ปาก : ชนากานต์ โกมาสังข์ 93 ปาก รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และอุดมศึกษา ชนากานต์ โกมาสังข์ “พี่ต้อยนะเหรอ” เสียงผู้พูดดูจะขึ้นจมูกและทำ หน้าแหย ๆ “แกก็เป็นคนแบบนี้แหละฮะ ดูจากคนรอบตัวแกได้ว่าแกเป็นคน อย่างไร” ชายอ้วนท่าทางตุ้งติ้งพูดพลางสะบัดก้นเดินหนีไป “โอ๊ย ๆ ไม่เอาดีกว่าค่า ใครเขาจะไปกล้า เดี๋ยวแม่นางได้มาแหวกอก อิฉันให้” หญิงคนนั้นรีบเดินออกไป ท่าทางเร่งรีบเหมือนชายอ้วน “ไม่เอาค่า ไม่เอา ไม่ยุ่งกับป้าแก เฮ้ย พี่ต้อยดีกว่า ปากแบบนั้น ใครเขาจะยุ่งด้วย ดีไม่ดีโดนด่าเปิงกลับมา” สาวสวยผมสั้น รีบเดินจากไปด้วย ท่าทีไม่อยากสนใจ และไม่อยากพูดเกี่ยวกับผู้หญิงชื่อต้อย ต้อย คือชื่อของ ต้อย ธนามาลิน สมัยก่อนชื่อ ต้อยติ่ง ดอนปากมาก เพื่อนมักล้อเลียนนามสกุลที่แสนจะตลก ต้อยเกลียดนามสกุล และสัญญาว่า วันหนึ่งเธอจะเปลี่ยนนามสกุล ไม่ว่าจะเปลี่ยนด้วยวิธีการใดก็ตาม เธอจะไม่ใช้ นามสกุลบ้า ๆ นี่อีกต่อไป และเธอก็เลือกที่จะเปลี่ยนนามสกุล ปรับเปลี่ยน ตัวเองใหม่เมื่อย่างก้าวเข้ามาทำ งานในกรุงเทพฯ ใครหลายคนก็มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีใครอยากยุ่งกับต้อย เท่าใดนักด้วยพฤติกรรมที่โจษขานกันมาปากต่อปากเรื่องนิสัยใจคอที่เชือดเฉือน คมยิ่งกว่าใบมีดโกนไม่ได้อาบนํ้าผึ้งอย่างเดียว แต่อาบด้วยสารพันสารพัดสัตว์ มีพิษ “พวกที่ชอบมาทำ งานสาย ๆ นี่นะ เดี๋ยวซักวันเจ้านายมาเห็น จะเป็นเรื่อง”ต้อยเอ่ยขึ้นลอยๆเมื่อเห็นเหล่าพนักงานหลายคนมาทำ งานสาย ต้อยมักจะเจ้ากี้เจ้าการทุกอย่างภายในสำ นักงาน ทำตัวเป็นผู้รู้ผู้ตื่น แต่ไม่ยอม
94 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ เบิกบาน เธอมักจะเป็นเต่าในกะลาครอบ คิดว่าสิ่งที่ทำ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่ทำ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง โลกหมุนไปรอบ ๆ แต่เธอคิดว่ามันหมุนแค่รอบตัวเองเท่านั้น พฤติกรรมหลายต่อหลายอย่างที่คนในสำ นักงานมักจะเอือมระอา กับนิสัยของต้อย คือการนินทาผู้อื่น โบราณว่าปากคนยาวกว่าปากกา และ ปากหมาในบางทีอันนี้น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะต้อยมีนิสัยอย่างที่ว่าไว้จริง ๆ คนอื่นทำผิดมักจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่หากเธอผิดก็เหมือนเส้นผมบังภูเขา ที่จุด เล็กน้อยแต่กลายเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง แม้จะรู้ตัวว่าเพื่อนร่วมงานจะไม่ชอบหน้าเธอก็ตาม แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ ใยดีใครทั้งสิ้น สวนทางกัน ต้อยก็ยังเป็นต้อยอยู่วันยังคํ่า นอกจากไม่ปรับปรุง ตัวใหม่ให้เข้ากับเพื่อนร่วมงาน เธอยังทำตัวน่ารังเกียจอีกต่างหากตู้เย็นส่วนกลาง พนักงานทุกคนต่างมีสิทธิ์ที่จะเอาของมาใส่ได้ หากวันใดผีเข้า ต้อยก็จะเอา ของคนอื่นไปโยนทิ้ง เพียงเพราะมันวางของที่เธอใส่ไม่ได้แม้จะโดนค่อนแคะ แต่เธอก็ไม่สนใจ กาแฟ นม ขนมปัง ชาเขียว ชาดำ ชาชัก ของส่วนกลาง เมื่อใครมาชง เธอก็จะแอบบ่น ทั้งที่เป็นเงินสำ นักงาน แต่หากเธอจะดื่มเช้ากลางวัน เย็น หรือ ตอนทำ โอทีเธอก็จะชงเยอะ ๆ เพียงคนเดียว งานไม่เสร็จทำ โอทีทั้งวันนั่งซื้อแต่ของออนไลน์ ใครทำ เธอฟ้อง แต่หากเธอทำ เองเธอก็ไม่สน ยังมีอีกหลายอย่างที่คนเอือมระอากับพฤติกรรมนิสัยของต้อย ที่นอกจากประจบสอพลอ สอดรู้และเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่นแล้ว เธอยังมี พฤติกรรมที่หลายคนไม่ชอบอีกหลายอย่าง รวมทั้งการประจาน “แหม ๆ วันนี้ จะรีบกลับไปไหนเหรอจ๊ะ เจนจิรา” สาวใหญ่ที่เอ่ยเรียกชื่อของ เจนจิรา จีบปากจีบคอพูดเมื่อเห็นว่า ร่างของหญิงสาวกำลังลุกออกจากเก้าอี้ทำ งาน โดยมีสายตาของคนอื่นมองมา ที่เธอเหมือนเป็นตัวประหลาด
ปาก : ชนากานต์ โกมาสังข์ 95 “ปวดหัวนิดหน่อยค่ะพี่” เจนจิราหรือเจนตอบกลับไปด้วย ความอ่อนเพลียจากการทำ งานหามรุ่งหามคํ่ามาหลายวัน “เห็นพี่สาวิตรีว่าจะมีเรื่องคุยด้วยซะหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ เด็กใหม่ก็อย่างนี้แหละ”สาวใหญ่มองหน้าแล้วลอยตากลับไป ทิ้งปมคำ พูดเอาไว้ ให้เธอคิด “อย่าไปใส่ใจเลย”เสียงกระซิบของนิดหน่อยเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ เอ่ยขึ้นเมื่อเดินผ่านมาตรงโต๊ะทำ งานของเธอพอดี “พี่ต้อย แกก็เป็นแบบนี้แหละ” นิดหน่อยแตะที่บ่าของเจนก่อนยิ้ม แล้วเดินเคียงกันออกไปจากห้องทำ งาน โดยมีสายตาของต้อยแอบลอบมอง ตามไปด้วยสายตาสอดรู้และเมื่อทั้งสองเดินลับสายตาไป ต้อยก็เกริ่นขึ้นทันทีว่า “เด็กใหม่ก็แบบนี้เเหละ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ทนไม่ได้หนักไม่เอา เบาไม่สู้อะไรก็ทนไม่ไหว ทนแรงกดดันไม่ได้พอทำ งานดึก ๆ นะ ก็บ่น นี่เดี๋ยว ปวดหัวเดี๋ยวปวดท้องเดี๋ยวพ่อไม่สบายแม่ป่วย ญาติเสียลูกเข้าโรงบาล น้องสาว ขาหัก พี่ชายหัวแตก หมาตกท่อแมวตกระเบียงอ้างโน่นอ้างนี่สารพัด บางทีนะ ก็โกหก บอกเราว่าไม่สบาย ทำ หน้าทำตาเหมือนไม่ได้อึมาหลายวัน พอลับตา เราหน่อยนะ แหม แม่เจ้าประคุณรุนช่องซ้อนมอเตอร์ไซค์สามีไปแว้นสบายใจ เฉิบเชียวล่ะคุณเอ๋ย” ต้อยเอ่ยกับคนในที่ทำ งานเดียวกัน หลังจากที่เห็นว่าเจ้านาย กลับไปแล้ว ก็ได้เวลาที่หล่อนจะแอบมานินทาได้สบายกับคู่หูของหล่อน ที่ปากมากพอ ๆ กัน ต้อยมักเป็นหัวโจกนำ เรื่องของคนที่เธอเห็นว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม หรือไม่ชอบขี้หน้าเธอจะแอบลอบดูพฤติกรรมของคนคนนั้นแล้วแอบมานินทา ตอนเย็น ๆ หลังเลิกงาน สมาคมคนไม่มีผัวและนินทา อุปนายกสมาคมที่หลาย คนยกย่องให้เธอเป็นหัวหน้าถูกแต่งตั้งมานานหลายปีเพราะเธอไม่มีภาระ ที่จะต้องกลับก่อนเจ้านายเธอจึงอยู่ดึกได้ทั้งโอทีได้ทั้งหน้า นี่แหละคนที่ชื่อต้อย ต้องการ
96 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ “ฉันจะเม้าท์ให้ฟังเรื่องของยายเจน เด็กใหม่ที่แผนกฉัน” ต้อยเริ่ม เล่าเรื่องเจนจิรา สองสาวที่อยู่สมาคมเดียวกัน จ้องตาไม่กระพริบ หูไม่กระดิก ใจจดใจจ่อที่จะรอฟังเรื่องเม้าท์ของต้อย “เล่ามาซี่ พี่ต้อย หนูก็อยากรู้” “ยายนั่นนะ ไม่ได้เรื่อง ทำ งานก็งั้น ๆ ผลงานไม่ได้เด่นอะไรมากมาย เข้าทำ นองจบมาแต่ไร้ฝีมือ นี่นะวันนี้แม่คุณกลับก่อน พอฉันบอกว่าคุณสาวิตรี ต้องการคุย แม่นั้นทำ หน้าอย่างไรรู้มั้ย” สองสาวส่ายหน้า “ทำ หน้าอย่างไรเหรอพี่ต้อย” สองสาวนักนินทาพูดพร้อมกัน “ทำ หน้าอย่างกับสามีไม่ทำการบ้านนะสิยะ นี่นะ บอกฉันว่าเพลีย ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเล่นม้าโยกเยกกันไปกี่รอบ มาทำ งานแต่ละวันเหมือนเอาแต่ร่าง เอาแต่ซากไร้ซึ่งจิตวิญญาณมา ไอ้เราก็เห็นว่าเด็กจบใหม่ ที่ไหนได้ทำ งานไม่ได้ อะไรเลย ว่าง ๆ ฉันจะบอกคุณสาวิตรีให้ไล่แม่นั่นออก” ต้อยเอ่ย สองสาวรู้กิตติศัพท์ของสาวใหญ่จอมแฉสาระแนคนนี้ดีว่า เมื่อใดที่หล่อนจํ้าๆๆเดินไปที่ห้องของผู้บริหารที่มีนามว่าสาวิตรีเมื่อนั้นเธอจะ เอาเรื่องที่รู้จะจริงบ้างเท็จบ้าง ใส่สีตีไข่มาร้อยรอบ ผ่านกระบวนการยำ ให้เละ สับให้ขาดและขยำ ให้พัง ก่อนจะปะติดปะต่อเรื่องที่รู้มาให้เจ้านายฟัง เคยมีคน ที่โดนต้อยเอาเรื่องไปเล่าให้คุณสาวิตรีฟัง อีกสามวัน คนนั้นเดินเก็บกระเป๋า ลาออกไปดื้อๆโดยไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงกิตติศัพท์เหล่านั้นจึงทำ ให้สาวใหญ่ เป็นที่เกรงขามของคนในสำ นักงานเป็นที่สุด “ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไงนะนิดหน่อยเรื่องพี่ต้อย” เมื่อเดินออกมา จากบริษัท สองสาวก็เดินทอดน่องมาตามบาทวิถีที่บัดนี้ท้องถนนที่อยู่ด้านข้าง เต็มไปด้วยรถรา สองสาวจึงเดินเรื่อย ๆ มาตามทาง ปรับทุกข์เรื่องงาน ชีวิต และอื่น ๆ ที่ในที่ทำ งานบางทีก็พูดไม่ได้ “พี่ต้อยแกเป็นคนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วเจน ใคร ๆ ก็รู้นิสัยแกดี ว่าแกเป็นคนปากไว พูดเยอะ และก็เรื่องมาก”
ปาก : ชนากานต์ โกมาสังข์ 97 “ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก”เจนส่ายหน้าหันมองเพื่อนสาว นิดหน่อยสงสัย? “อ้าว? แล้วแกไปสงสัยอะไรพี่ต้อย” “ก็พี่ต้อยนะสิทำ ไมชอบยุ่งกับฉันทุกเรื่องไป ไม่ว่าฉันจะกลับบ้านก่อน ฉันเห็นนะว่าแกมีอคติกับคนกลับก่อนเสมอ ฉันว่าแกแปลก ๆ” เจนพูดไป ก็ไม่เข้าใจพี่ต้อยซักเท่าใดนักที่สาวใหญ่ชอบมาวุ่นวายกับเธอ “ก็อย่างที่บอก พี่ต้อยแกคอยจ้องจับผิดคนอื่น แกเป็นเหมือนสายลับคอยรายงานเจ้านาย” “เหมือนหมาเฝ้าบ้านนะเหรอ” เจนเอ่ยออกไป นิดหน่อยตีแขน เพื่อนเบา ๆ “ทีแบบนี้กล้านะยะ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แกอย่าไปคิดมากเชื่อฉัน” “ฉันไม่มีอะไรคิดมากหรอกนะ แต่ฉันว่าคนเราต้องมีขอบเขต ในการทำ งานบ้างสิไม่ใช่อะไรก็อ้างอยู่ดึก กลับดึก ฉันทำ งานมาทั้งวันปวดหัว จะแย่ไม่ได้มีเวลาไปดีดดิ้นแบบพี่ต้อยซะหน่อย”เจนบ่นและแขวะต้อยให้เพื่อน ต่างแผนกฟัง “เอาน่า ทน ๆ หน่อยอย่าไปคิดมากไป ๆๆเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า แก้เครียด” สองสาวยิ้มให้กัน ก่อนเดินไปตามทางที่มุ่งหน้าไปหอพักที่ไม่ไกล จากที่ทำ งานเท่าใดนัก เว็บบอร์ดกระทู้“พี่ที่ทำงานชอบกลับบ้านดึกพอเราจะกลับชอบทำ หน้า ไม่พอใจ” “มีเรื่องอยากจะถามค่ะ กับคนที่เรียนจบใหม่แล้วต้องมาเจอบริษัท เจอคนในที่ทำ งานเดียวกันแขวะ เพียงเพราะชอบกลับบ้านก่อน ทั้งๆ ที่ยังไม่มี คนกลับ บางทีเราก็สงสัยนะว่า ทำ ไมเราจะเลิกงานก่อนคนอื่น ทั้งๆ ที่เราทำ งาน เสร็จแล้วเราทำ งานตามตารางเวลาไม่ได้เอาเวลางานไปเดินนินทาตอนทำ งาน แต่ทำ ไมเราต้องมาเจอคนประเภทนี้ด้วย บางทีก็ชอบมาสั่งงานตอนเย็น ๆยิ่งช่วง เวลาเลิกงานแล้วยิ่งชอบสั่ง บางครั้งก็ชอบอ้างโน้นอ้างนี้ว่าที่ชอบทำ งานดึก ๆ มันได้โอทีแถมงานมันสะดวกกว่า (สะดวกตรงไหนวะ ติดต่อกับคนอื่นก็ไม่ได้
98 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ เพราะไม่ใช่เวลางาน) ตอนดึกรถไม่ติด กลับบ้านถนนโล่ง (ก็บ้านมรึงอยู่ใกล้ ที่ทำ งาน แต่จะใกล้ไกล ยังไงคนเราก็ต้องมีเวลาป่าววะ เวลาส่วนตัว) และสิ่งที่ ได้ยินมา คือทำ งานดึกมันช่วยให้งานในองค์กรบรรลุได้ไว เพราะเขาจ้างเรา มาทำ งาน เราต้องทำ ให้คุ้มกับงานที่เราทำ” ปล. จากเด็กจบใหม่ ความเห็นที่ ๑ แหม พี่คิดว่าพี่มาบ่นเอง เหมือนกันเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ ความเห็นที่ ๒ บริษัทผมก็เป็น ทำ ทำ ทำ ทำ เลิกแล้วไม่กลับ กลับ ๕ โมงเย็น ๖ โมงเย็น เป็นเรื่องแปลกประหลาด ทำ ไมรีบกลับ มีคำ ถาม ต้องทุ่มหนึ่ง ต้องช้า ๆ หกโมงกว่า สองทุ่มนี่เจ๋งสุด ๆ เหตุผลนำ ๆ รีบออกรถติด เหตุผลมากมาย พอตกเย็น ๆ บ่ายๆเริ่มขยันกันจัง มีเรื่องราวฉุกเฉินตลอดงานเข้า ประชุมเร่งด่วน จะส่งแล้ว ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ อ้าว แข่งกันเข้าพัฒนาองค์กร พัฒนาตัวเอง คนเราต้อง บลาๆๆๆๆๆ นานาประการแต่ทุกอย่างที่ทำ เกิน ๆเวลาไม่มีค่าแรง ไม่มีใดๆ ห่วงงานอยากให้งานสำ เร็จเพื่อนั่นนู่นนนนี่ๆๆๆอย่าๆๆพูดถึงเงินเดี๋ยวจะกลาย เป็นคนเลวไปเลยต้องทุ่มเท ต้องดึกๆ มากน้อยไม่รู้ล่ะฉันทุ่มหนึ่งนะโอเคดูดี เจ้านายชอบ ตบมือแปะ ความเห็นที่ ๓ งานเสร็จก็กลับ อยู่กันทำ ไมให้เปลืองค่าไฟ เห็นทำ งานเกินเวลากัน ไม่ว่าภาคเอกชนภาครัฐ ถ้าทำ งานกันหนักขนาดนั้น ป่านนี้ประเทศน่าจะเจริญแซงหน้า อเมริกาไปแล้ว ๕๕๕๕ ความเห็นที่ ๔ บางทีพวกนี้ก็ชอบสร้างภาพ เนื้องานก็งั้น ๆ เอาหน้าว่ากันไป
ปาก : ชนากานต์ โกมาสังข์ 99 ความเห็นที่ ๕ คนที่กลับช้า คือคนที่บริหารงานและเวลาไม่เป็น คนพวกนี้บางที กลับบ้านไปไม่มีคนพูดด้วย เลยต้องอาศัยการกลับดึก อุ้ย ลั่น ไม่รู้จริงป่ะ ความเห็นที่ ๖ บางทีเขาอาจจะไม่มีลูกไม่มีผัวก็ได้เลยทำ งานล่วงเวลา เพื่อแก้ปัญหา การคันตอนดึก ๕๕ ขำ ๆ อย่าเครียด เจนวางมือลง เมื่อเธอเปิดเข้าไปอ่านคอมเมนต์ เรื่องเด็กจบใหม่ที่ได้ รับผลกระทบจากสังคมออฟฟิศ นิดหน่อยเพื่อนสนิท เดินมาหาพลางมองหน้า เพื่อนสาว “ฉันว่าชีวิตฉันมันเหมือนกับผู้หญิงที่ไปตั้งกระทู้ในเว็บบอร์ดเลยว่ะแก นิดหน่อย” นิดหน่อยพลางทำ หน้าสงสัย “กระทู้อะไรว่ะแก” “ก็กระทู้เว็บพังพังดอทคอมไง ที่เราสามารถเข้าไปขอความเห็นจาก บรรดาคนอื่น ๆ ที่มีประสบการณ์ไงล่ะ นี่นะ ฉันเห็นกระทู้เรื่องสังคมออฟฟิศ ที่เขาเขียนว่า โดนกระแหนะกระแหนเรื่องกลับไวแล้ว นี่มันชีวิตฉันเลยล่ะ เหมือนอย่างกับก็อบปี้มาเลย” เจนจิราพลางหัวเราะ ทว่ามันเป็นเสียงหัวเราะ ที่ขมขื่นเสียมากกว่า “พี่ต้อย แกก็เป็นคนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ใคร ๆ เขาก็รู้จักนิสัย ใจคอของแกดี” นิดหน่อยพลางเอ่ยเมื่อเหลียวมองนาฬิกาถึงเวลาเลิกงานพอดี “ต้องทำ ใจอยู่ในสังคมแบบนี้ มันมีทั้งคนที่รู้จักคำ ว่ามารยาท และไม่รู้จักคำ ว่ามารยาท” นิดหน่อยแตะบ่าเพื่อนสนิท ก่อนจะพากัน กลับบ้าน “พรุ่งนี้วันหยุด พักผ่อน อย่าไปคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยแก” นิดหน่อย ให้กำลังใจเป็นเวลาเดียวกันที่ตนุพี่ในแผนกกำลังจะกลับพอดีเขาเห็นสองสาว
100 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ จึงชักชวนสองคนให้กลับด้วยกัน แต่ว่า...สิ่งที่ทำ ให้สองสาวต้องมองหน้ากัน คือ พี่ต้อย ขอกลับด้วย โดยที่ตนุเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน ตนุจึงต้อง เสียเวลาไปส่งสองสาวที่ผ่านทางบริษัท นิดหน่อยเช่าหออยู่ ส่วนเจนพักอาศัย อยู่กับแม่ที่บ้านในซอยแห่งหนึ่ง แล้วค่อยไปส่งต้อยที่มีบ้านพักแถวชานเมือง วันนี้เป็นวันเสาร์ ที่ทำ งานหยุด ต้อยเป็นอีกคนหนึ่งที่นิยม ออกนอกบ้านในวันหยุด ด้วยอากาศที่ร้อน เธอมักจะแวะไปเดินเล่น หรือนั่งเล่นที่ห้างเพราะไม่อยากเสียค่าไฟเปิดแอร์เปิดพัดลมที่ห้อง หากไม่มาห้าง เธอก็ทำ เป็นไปทำงาน ได้โอทีบ้างละไม่ได้บ้างล่ะแต่เธอก็ไปเพื่อที่จะไปตากแอร์ งานการจะเสร็จไม่เสร็จนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เสียงรถแล่นมาตามทางลานจอดชั้นสาม เป็นรถคันหนึ่งที่แล่นมา ต้อยกำลังจะขับหาที่จอดพอดีเธอเห็นว่ามีรถคันหนึ่งมาบังทางจอดรถเอาไว้ ด้วยความหัวใสอยากจะจอดทางเข้าประตูจึงเรียก รปภ. ที่ยืนอยู่ “น้อง ๆ ดันรถคันนั้นให้พี่หน่อย” รปภ. มองไปที่รถคันหนึ่งที่เธอชี้ไป “อ๋อ ไม่ได้หรอกครับ ที่จอดตรงนั้นเขามีไว้สำ หรับคนพิการ” รปภ. ตอบไปตามจริง เพราะตรงนั้นเป็นที่จอดสำ หรับคนพิการ ต้อยหัวเสีย “แล้วไอ้รถคันนั้นมาจอดบังทำ ไมล่ะ นี่ถ้ารถคนพิการ จะจอด เขาจะลงมาดันรถคันที่ขวางเหรอไง” เธอพูดด้วยอารมณ์ไม่ดี “เดี๋ยวผมไปดันก่อนนะครับ เผื่อมีคนพิการมาจอด”ว่าแล้วรปภ. หนุ่ม ก็วิ่งไปดันคันที่มาขวางทางต้อยเบ้ปากด้วยความไม่พอใจก่อนที่จะวนรถไปหา ที่จอดและเมื่อหาได้แล้วเธอก็เดินเข้าห้างแต่หางตากลับเห็นรถคันหนึ่งแล่นมา จอดที่ตรงนั้น ตรงคนพิการ เธอตาวาวมองดูก่อนจะเห็นผู้ชายหน้าตาดีเดินลงมาเขาสวมกางเกง ขายาว แต่งตัวดูดีเดินลงมาจากรถ ด้วยความที่ต้อยเป็นคนเช่นนี้เธอจึงหยิบ โทรศัพท์ขึ้นมาทันที
ปาก : ชนากานต์ โกมาสังข์ 101 “พวกนิสัยไม่ดีทีฉันขับมาจอดไม่ให้จอด พอไอ้รถคันนี้ดันจอดได้ อย่างนี้ฉันจะต้องประจาน ประจานลงโซเชียล ให้คนเขารู้ทั้งบ้านทั้งเมืองเลย” ต้อยยิ้มอย่างผู้มีชัยชนะ ก่อนที่จะกดบันทึกภาพ และเธอก็โพสต์ลง เฟซบุ๊กส่วนตัวพร้อมแคปชั่นใต้ภาพที่ว่า “สถานที่จอดรถสำ หรับคนพิการ รปภ. ห้ามรถทุกคนเข้าไปจอด แต่ผู้ชายคนนี้มีอภิสิทธิ์อะไรถึงจอดได้ บอกหน่อยค่ะ ว่าพิการส่วนไหน” เพียงไม่นานที่เธอลงทั้งคลิป ภาพ และข้อความลงไป ผู้คนต่างก็เข้ามา กดไลค์และแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ นานา บ้างก็ให้ความเห็นที่ว่า ไม่สมควร ที่จะขับมาจอด บ้างก็ว่าให้ทางห้างออกมาชี้แจง หรือไม่ก็บอกว่ารอฟังความ ทั้งสองฝั่งก่อนตัดสินใจคนกดไลค์แชร์เป็นจำ นวนมากจนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์ วิจารณ์ในสังคมโซเชียลชายคนดังกล่าวโดนพิพากษาไปแล้วส่วนหนึ่งว่ากระทำ ไม่เหมาะสม ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีโอกาสพูดเลยแม้แต่น้อย เช้าวันจันทร์ใคร ๆ ก็รู้ว่ารถติด มีพนักงานหลายรายที่มาทำ งานสาย ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา ต้อยเป็นคนหนึ่งที่แทบจะไม่เคยมาสายเลยก็ว่าได้ ปกติแล้วเธอจะเดินทางด้วยรถไฟฟ้าแทนที่จะขับรถมาให้เปลืองนํ้ามัน บางวัน ก็อาศัยกลับกับคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างเช่นเมื่อวันศุกร์ที่เธอขอกลับกับตนุ เพื่อนร่วมงาน “นี่ ๆ เธอ เมื่อวานศุกร์ที่ผ่านมา พี่ไปบ้านยายเจนเด็กใหม่ ที่อยู่ แผนกบัญชีเธอรู้มั้ยว่าบ้านยายเจนยังใช้ส้วมนั่งยองอยู่เลยนะ” เสียงเจื้อยแจ้ว ดังอยู่บริเวณในห้องทำ งานของแผนกหนึ่งต้อยพลางเอ่ยเล่าแบบขำขันให้เพื่อน รุ่นน้องฟังเกี่ยวกับส้วม “สมัยนี้ยังมีอีกเหรอคะพี่ต้อย ส้วมนั่งยอง” “มีสิจ้ะ พี่นะเห็นตามบ้านนอก แต่ในกรุงเทพฯ ไม่คิดว่าจะยังมีอยู่” ต้อยเอ่ยไปขบขันไป
102 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ “แล้วพี่ไปทำอะไรบ้านน้องเจนละคะพี่”คนอ่อนกว่าเอ่ยถาม เมื่อเห็น ว่าต้อยอยากเล่า “ก็ไปส่งน้องเจนเขานั่นแหละ พอดีพี่ติดรถคุณตนุเขาไป ขานั้นนะเห็น เด็กใหม่เป็นไม่ได้เชียวนะคงจะอยากสนิทละมั้ง เลยอาสาไปส่ง พี่เลยต้องนั่งติด รถเขาไปด้วย” ต้อยเอ่ยเล่า ทั้ง ๆ ที่ควรจะเล่าให้กระชับกว่านี้ “อ๋อ พี่เลยไปกับพี่ตนุด้วย” คนฟังพยักหน้ารับรู้ “ก็แหม บ้านคุณตนุ เขากลับทางเดียวกับพี่นะสิ” “ไปทุกวัน” คนฟังเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ใช่ ๆ ก็ต้องผ่าน สมัยนี้เขายิ่งรณรงค์ให้ทางเดียวกันไปด้วยกันไงจ๊ะ ประหยัดนํ้ามันช่วยชาติตั้งเยอะ” ต้อยเอ่ยแบบไม่รู้สึกใด ๆ สองสาวยังคงยืน คุยกันอยู่ในออฟฟิศ “นี่นะ ส้วมบ้านยายน้องเจนเหม็นมาก จนพี่จะอ้วก ถ้าไม่เกิดปวดฉี่ พี่คงไม่ขอเข้าหรอก” ต้อยทำ หน้าขยะแขยง เมื่อนึกไปถึงภาพห้องส้วมบ้าน ของเจน เมื่อคืนที่เธอเข้าไปทำธุระ ต้อยไม่รู้เลยว่าเจนถ่ายเอกสารอยู่มุมหนึ่ง และได้ยินเรื่องที่เธอเล่า อย่างหมดเปลือก “เหม็นจริง ๆ นะ นี่ยังติดจมูกพี่ไม่หายเลย” ต้อยทำ เอามืออุดจมูก “เฮ้ยแก ได้อ่านข่าวในเฟซปะวะ” เสียงหญิงสาวคนเดิมเข้ามา ในออฟฟิศเอ่ยขึ้น เมื่อสายตาจับจ้องที่จอสี่เหลี่ยมบนสมาร์ทโฟน “เรื่องไรแก” “ก็เรื่องที่มีคนไปโพสต์เรื่องคนไปแย่งที่จอดรถคนพิการในห้างนะสิ” “ทำ ไมวะ ไม่ได้ติดตามอ่านเลย” ต้อยรีบชวนสองสาวที่เดินคุยกันมาร่วมวงด้วยทันที “ก็ที่มีคนโพสต์แถมถ่ายรูปประจานรถยนต์ที่ไปจอดในที่ของคนพิการ นะสิตอนแรกนะ คนรุมด่ากันให้ไฟแลบเลยแก นี่นะ เพจดอกจิก จิกตาแตก
ปาก : ชนากานต์ โกมาสังข์ 103 คนไปคอมเมนต์กันเป็นพัน ๆข้อความเลยนะแก” หญิงสาวคนนั้นยื่นโทรศัพท์ ส่งให้เพื่อนดู “คนเรานะ สมัยนี้จิตกุศลไม่มีสักแต่จะไปจอดที่คนพิการ ก็สมควร แล้วล่ะ” ต้อยเอ่ยขึ้นลอย ๆ พลางยิ้ม สองสาวมองแวบ ๆ ก่อนจะก้มหน้า อ่านข่าวต่อ “ฮือออออออ แก นี่เขาไม่เรียกว่านิสัยนะแก คนแบบนี้” “จริงด้วย เขาเรียกสันดานย่ะแก” สองสาวเอ่ยด้วยความโมโหบุคคล ในข่าว ต้อยได้แต่อมยิ้ม “คนสมัยนี้นะ เห็นแก่ตัว นิสัยไม่ดีพี่นะเจอมาเยอะ” ต้อยเข้าไป ผสมโรง “จริงด้วยค่ะพี่ต้อย นี่นะคะถ้าหนูไม่อ่านข่าว หนูไม่รู้จริงด้วยว่ามีคน แบบนี้บนโลก” หญิงสาวคนนั้นพูดด้วยความเจ็บแค้นแทน “เขาไม่เรียกว่านิสัยหรอกจ้ะ เขาเรียกว่าพวกไม่มีคนอบรมสั่งสอน ไม่มีจิตสำ นึกส่วนรวม” ต้อยบอก “เหม็นอะไรก็ไม่รู้ค่ะ” เสียงนิ่ม ๆ ลอยมา ต้อยหันไปเห็นเจน ก้ม ๆ เงย ๆ ที่หน้าเครื่องถ่ายเอกสาร ก่อนจะเดินมาดู “เหม็นอะไรเหรอเจน” “กลิ่นอะไรก็ไม่รู้ค่ะพี่ เม้น เหม็น” เจนทำจมูกย่น พยายามหาต้นต่อ ของกลิ่น “หนูตาย จิ้งจกตายหรือเปล่า” แม่บ้านวัยกลางคนเดินถือไม้กวาด มาหาต้นต่อของกลิ่น “แต่หนูว่าไม่ใช่หรอกค่ะ” เจน เอ่ยขึ้น “แล้วเหม็นอะไรของเธอล่ะเจน”ต้อยร้องถาม เพราะเธอก็ไม่ได้กลิ่น “ก็เหม็นปากพี่ต้อยไงคะเหม็นยิ่งกว่าส้วมตันอีกค่ะพี่ เม้น เหม็น ว่างๆ ก็ไปตรวจสุขภาพช่องปากบ้างก็ได้นะคะเรื่องของคนอื่นรู้ดีไปเสียหมด นี่ละค่ะ ที่เขาบอกว่า ปากเหม็นเหมือนส้วมตัน กลิ่นมันเน่าแบบนี้นี่เอง”
104 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ “เธอกล้าดียังไงว่าพี่แบบนี้” “ทำ ไมจะว่าไม่ได้ล่ะคะพี่ต้อย ในเมื่อพี่ต้อยชอบเอาเรื่องของคนอื่น มาโพนทะนาไปทั่วแบบนี้” “เธอมันเด็กรุ่นใหม่ หัดเห็นหัวหงอกหัวดำกันบ้างสิไม่ใช่สักแต่จะเล่น ข้ามรุ่นแบบนี้”ต้อยโมโหที่โดนเด็กด่าต่อหน้าคนอื่น ๆคนในแผนกต่างหันมามอง เป็นสายตาเดียว แต่ดูเหมือนเจนจิราจะไม่ลดละเช่นกัน “เกิดก่อนใช่ว่าจะต้องน่าเคารพเสมอไปนะคะ หากทำ ตัวไม่เป็น ที่เคารพนบนอบให้รุ่นน้อง จะมาอ้างว่าอาบนํ้าร้อนมาก่อนไม่ได้หรอกค่ะ หากยังมีพฤติกรรมน่ารังเกียจแบบนี้อยู่” “นี่เธอกำลังด่าฉันอยู่นะเจนจิรา”ต้อยขึ้นเสียงด้วยความโมโห ตัวสั่น ไปหมด ทั้งอายคนที่มุงดู “มารยาทที่ดีเจนคิดว่าทุกคนในออฟฟิศก็คงรู้นะคะว่าควรทำอะไร อย่างไรแต่หากไม่รู้เจนแนะนำ ให้ไปซื้อหนังสือมารยาทไทยมาอ่าน จะได้ซึมซับ เข้าไปในจิตสำ นึกบ้าง” เจนจิราเดินเลี่ยงออกไปด้วยความไม่พอใจ ต้อยยืน ตัวสั่นเกร็งอยู่ตรงนั้น สายตาหลายคู่ที่มองมาเป็นสายตาแห่งการหัวเราะ เย้ยหยันอย่างเห็นได้ชัด “นี่ ๆ ไงแก เขาเปิดวาร์ปอีคนที่โพสต์คลิปประจานแล้ว” เสียงหนึ่ง เอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมในสำ นักงาน “คนโพสต์น่ะ ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเลยว่าถ่ายคลิปกะว่าจะไปประจาน คนอื่น แต่ไม่ได้รู้ความเป็นจริงเลยว่า ผู้ชายคนนั้นเขาพิการขา แต่ที่คนไม่เห็น เพราะเขาใส่กางเกงขายาวปิดบังขาเทียมเอาไว้” ต้อยหน้าซีด หญิงสาวคนนั้น บรรยายต่อ “นี่คนมารุมด่าในเพจกันเป็นหมื่นข้อความเลยจ้า สมนํ้าหน้า อีพวก เผือกไม่เข้าเรื่อง”
ปาก : ชนากานต์ โกมาสังข์ 105 “พวกไม่มีมารยาทก็แบบนี้แหละ เอะอะ ๆ ก็ถ่ายประจาน โดยไม่ดู เหตุและผลเลย” สองสาวส่ายหน้า ต้อยหน้าเสีย ตัวสั่น ปากสั่น ไม่กล้าสู้หน้าใครเลย ตอนนี้พลันทุก สายตาเพ่งเล็งมาที่เธอเพียงคนเดียว ณ ขณะนี้คงไม่ต้องบอกหรอกว่าใครเป็น คนถ่ายคลิปประจาน
ช่างทาสีจากพระตะบอง : รมณ กมลนาวิน 107 ช่างทาสีจากพระตะบอง รางวัลชนะเลิศ ระดับประชาชนทั่วไป รมณ กมลนาวิน - ๑ - ชื่อของเขามาจาก “สิน สีสามุต” จักรพรรดิเสียงทองผู้โด่งดัง ในยุค ๗๐’sแห่งกัมพูชาเขาบอกพ่อของเขาเป็นผู้ตั้งให้สินชอบครวญเพลงเบาๆ เวลาทำ งาน ยิ่งวันไหนบรรยากาศเป็นใจ จะได้ยินเพลงภาษาแปร่งหูแต่หาก ฟังดีๆ จะรู้ว่า เขากำลังร้องเพลงไทย สินเป็นหนุ่มวัยเบญจเพส ร่างผอมสูง ผิวคลํ้า ผมหยักศก ยาวเคลียต้นคอ เป็นช่างทาสีมาจากพระตะบอง ฝีมือฉกาจ ขยัน ซํ้าค่าแรง ที่เขาเรียกนั้น ใครก็อยากได้ไปช่วยงาน เสียแต่ว่าเขาเข้ามาทำงานราชอาณาจักรไทย อย่างผิดกฎหมาย นั่นทำ ให้รู้สึกกังวล เกรงเขาจะถูกจับคาไซต์งานของผม ผมจ้างสินทำ เฉพาะส่วนของงานสีที่ไซต์งานบ้านจัดสรรสองชั้น บนเนื้อที่ร้อยตารางวา ย่านถนนลาดกระบัง ที่ใช้เป็นเรือนหอในอีกไม่กี่เดือน ข้างหน้า ผมรับว่าจ้างจากเจ้าของบ้านเข้าไปออกแบบและตกแต่งภายใน เจ้าของบ้านอยากให้งานเสร็จภายในสองเดือนตามสัญญาจ้าง จึงอนุญาต ให้คนงานของผมพักที่ไซต์งาน โดยใช้พื้นที่เฉพาะชั้นล่าง ไม่ต้องเสียเวลา เดินทางไปและกลับ สินอยู่รวมกับช่างไม้คนไทยห้าคน หุงข้าวกินหม้อเดียวกัน เขามีฝีมือด้านทำอาหาร จึงรับหน้าที่เป็นพ่อครัว
108 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ - ๒ - คนงานช่วยกันลำ เลียงแผ่นไม้ใยอัดทนความชื้น สำ หรับวัด ตัดประกอบขึ้นรูปเฟอร์นิเจอร์จากด้านนอกเข้ามาวางซ้อนชิดผนังด้านในของ ห้องโถงกลางผมยืนมองโครงแผงตู้โชว์ที่ช่างไม้เพิ่งตอกยึดติดผนัง พลางลอบมอง เจ้าของบ้านร่างท้วมที่ยืนหลังงุ้มห่อไหล่อยู่ด้านข้าง เขากำลังแสดงสีหน้ากังวล หลังเดินดูความคืบหน้าของงาน ผมรู้ว่าแม้พยายามเร่งมือแต่งานก็ไม่เป็น ไปตามแผน เพราะตัวผมต้องวิ่งเข้าอีกไซต์งานสลับวันกัน ไซต์งานไหน ขาดคนคุมงานมักไม่รุดหน้าจนบางครั้งผมก็นึกโกรธพวกคนงาน ต้องมีคนคอยถือ แส้เฆี่ยนโบยกันหรือไรถึงจะรู้หน้าที่ ทุ่มทำ งานให้คุ้มค่าแรง เมื่อเห็นว่าคนงานกำลังนำ ท่อนไม้เข้าเครื่องตัด ผมจึงพาเจ้าของบ้าน เดินหนีฝุ่นไปทางห้องครัวแผงตู้ครัวประกอบเสร็จบ้างแล้วเหลือเพียงชั้นตู้ลอย ที่หากวันนี้เร่งมือหน่อยคงประกอบเสร็จ สินที่กำ ลังมุ่นอยู่กับงานตรงหน้า ลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นเรา เจ้าของบ้านมองส่วนที่ทาเสร็จด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ผมมองหน้าสิน บรรยากาศอึดอัดราวไม่ค่อยมีอากาศหายใจ ไม่ถึงนาทีได้ยิน เสียงร้องว้าวจากด้านหลังผมหันไปเห็นหญิงสาวรูปร่างสูงผอม ผมยาวดัดหยิก เจ้าของบ้านแนะนำ ว่าเธอคือว่าที่เจ้าสาวของเขา มาพร้อมเด็กสาวแรกรุ่น ตาชั้นเดียว ปากเรียวเล็ก จมูกโด่ง ผมสั้นดำ ขลับเหยียดตรง รูปร่างผอม จากผิวพรรณคล้ายคนทางเหนือ ดูจากอากัปกิริยานอบน้อมต่อเจ้าของบ้าน เธอคงเป็นสาวใช้ ว่าที่เจ้าสาวมีท่าทีพอใจ เธอใช้นิ้วไล้พื้นผิวตู้ครัวที่ทาสีขาวมุก สว่างตา พลางกล่าวชมไม่หยุดว่าสวยกว่าที่คิด นั่นเองที่ทำ ให้เจ้าของบ้านยิ้มได้ ผมพาพวกเขาเดินขึ้นตรวจงานชั้นสองแม้โดยรวมอยู่ในขั้นพอใจแต่ก็ยังมีเรื่องที่ เจ้าของบ้านขอให้ผมช่วยแก้ปัญหา นั่นก็คือ ความล่าช้า ผมรับปากและรีบ บอกว่า ผมได้จ้างโฟร์แมนมากประสบการณ์มาช่วยควบคุมงานไว้แล้ว
ช่างทาสีจากพระตะบอง : รมณ กมลนาวิน 109 รับประกันว่าเรือนหอเสร็จทันกำ หนดอย่างแน่นอน แม้สายตาของเจ้าของบ้าน ดูไม่วางใจต่อคำ มั่นของผมนักแต่ก็พยักหน้ารับ ก่อนกลับเขายังกำชับผมอีกครั้ง ราวกับลืมคำ ที่ผมรับปากไว้ ขณะผมว้าวุ่นในอก เสียงครวญเพลงของสินดังแว่วมาจากห้องครัว ราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนผมอดบ่นเขาในใจไม่ได้ไม่รู้อารมณ์ดี อะไรนักหนา ไม่รู้ว่าเป็นการแก้หรือผูกปมปัญหาใหม่ที่บอกกับเจ้าของบ้าน ไปอย่างนั้น เพราะผมไม่มีใครช่วยและไม่รู้จะว่าจ้างใครผมล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือ จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเลื่อนเปิดดูรายชื่อ เผื่อมีใครสักคนที่พอจะช่วยได้ แล้วผมก็สะดุดเข้ากับชื่อคนคนหนึ่ง น้องชายของผม ผมส่งเขาเรียนตั้งแต่อยู่มัธยมปลาย อีกปีเดียว ก็จะเรียนจบปริญญาตรีในสายงานที่ผมทำ จนกว่าผมจะหาคนได้คงต้องเรียก ตัวเขามาช่วย หลังเขารับคำ ผมให้เขามาพักที่ไซต์งาน ผมไม่กล้าเสี่ยงกับอารมณ์ ของเขาที่ยังมีความรับผิดชอบไม่มากพอ การต้องเทียวเดินทางไป-กลับ อาจพาลให้เขาเบื่อจนทิ้งงานผมได้และสิ่งสำคัญที่ผมต้องกำชับเขาก็คือเขาต้อง อำ พรางสถานะนักศึกษาไม่ให้เจ้าของบ้านรู้ - ๓ - ไม่รู้มีสิ่งใดผลักสินเข้ามาพูดกับผม โดยปกติเขาเป็นคนขี้เกรงอกเกรงใจ น้อยกว่าน้อยที่ออกปากขอให้ช่วย หลังผมสั่งคนงานเก็บเครื่องมือเมื่อใกล้เวลา เลิกงาน เขาเรียกผมไว้ก่อนผมจะเดินไปที่รถกระบะซึ่งจอดเทียบริมรั้วหน้าบ้าน ไซต์งาน
110 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ความต้องการของสินทำ เอาผมลำ บากใจอยู่บ้างเขาขอให้ผมช่วยให้เขา ได้ทำ งานอยู่ในประเทศนี้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผมนั้นเบื่อความยุ่งยาก กับการติดต่อทำ เอกสารกับหน่วยงานราชการ ทั้งไม่ถูกโรคกับท่าทีและนํ้าเสียง ห้วนสั้นของเจ้าหน้าที่ ที่ไม่ว่าสังกัดหน่วยงานไหนล้วนไม่เข้าหูผม และอาจด้วย เคยเสียท่าไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมให้กับคนในเครื่องแบบสีกากีที่รู้กันกับร้านค้าไม้ ขายไม้ผิดกฎหมายให้จนผมถูกจับคาไซต์งานขณะตัดแผ่นไม้นั้น ต้องเสียค่าโง่ ไปไม่น้อยเพื่อจบเรื่องสมัยที่เป็นผู้รับเหมามือใหม่ ตั้งแต่นั้น ผมจึงนึกเกลียด คนในเครื่องแบบ และเหมารวมเจ้าหน้าที่รัฐไปทุกสังกัด หากไม่จำ เป็น ผมไม่อยากเข้าใกล้และการต้องไปนั่งรอทำ เอกสารอยู่ด้วยกันทั้งวัน เพียงแค่นึก ก็ทำ เอาผมขนลุกขนพองขึ้นมาแล้ว และพอสินขอให้ช่วย ผมก็รู้สึกอึดอัดใจ ขึ้นมาทันทีแต่หากปฏิเสธ เขาก็อาจจะไปขอร้องผู้รับเหมาคนอื่น ผมเสียดาย หากต้องเสียสินไปในช่วงงานรีบเร่งเช่นนี้และก่อนตกปากรับคำ ผมอยากรู้ว่า เป็นเพราะอะไร อยู่ ๆ สินก็อยากเป็นแรงงานถูกกฎหมายขึ้นมา ทั้งที่เมื่อก่อน ไม่เคยสนใจเสียด้วยซํ้าเขาก็เหมือนกับผมที่ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับหน่วยงานราชการ คำ บอกเล่าของสินทำ เอาผมแปลกใจ เขากับสาวใช้เจ้าของบ้านรู้จัก กันตอนไหน ทั้งที่เขานั้นวันทั้งวันอยู่แต่กับกระป๋องสีในไซต์งาน ความรักของ คนทั้งคู่ก่อร่างจนผลิดอกขึ้นได้อย่างไรกัน และเหตุผลของเขาทำ เอาผมไม่กล้า ปฏิเสธ เขาว่าเขากลัวหากถูกตำ รวจจับแล้วถูกห้ามเข้าประเทศ ต้องแยกจาก หญิงคนรัก ผมถอนใจก่อนคิดหาข้อแลกเปลี่ยน ไม่อยากเสียเปรียบใคร เพราะ หากผมทำ บัตรคนต่างด้าวให้ก็ไม่ควรมีใครจับเสือมือเปล่า ได้เขาไปทำ งาน โดยไม่ต้องยุ่งยาก ข้อเสนอของผมผูกมัดเขาไว้กับผมคนเดียว ไม่มีอิสระ ในการรับงานได้เหมือนก่อน เขาคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนยอมรับเงื่อนไข สินเดินยิ้มกริ่มกลับเข้าบ้าน ผมมองร่างเขาราวกับล่องลอยได้
ช่างทาสีจากพระตะบอง : รมณ กมลนาวิน 111 - ๔ - เจ้าหนุ่มน้อยปีนี้สูงขึ้นกว่าปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงรูปร่าง ผอมเพรียวผมตัดทรงนิยมของเหล่าซูเปอร์สตาร์เกาหลีผิวขาวของเขาดูคลํ้าแดด ราวกับใช้ชีวิตกลางแจ้งมากกว่าในร่ม ผมคุยกับเขาผ่านโทรศัพท์มือถือเงื่อนไข ของเจ้าตัวดีทำ เอาผมอ้าปากค้าง ไม่รู้จะพูดคำ ใดออกมา ลำ พังการขอกลับ หอพักทุกวันหยุดไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่การนำ หมาพันทางขนสีนํ้าตาลทอง ตัวเท่าลูกหมูมาเลี้ยงในไซต์งานที่เจ้าของหมั่นมาตรวจความคืบหน้าของงานนั้น ทำ เอาผมกลัดกลุ้ม เขาว่าเขาต้องพามันไปด้วยทุกที่ เพราะมันคือโซ่ทองคล้องใจ เขากับแฟนสาว ที่บัดนี้ผิดใจกันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง เธอทิ้งมันไว้กับเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องยึดมันไว้เพื่อวันหนึ่งมันจะเรียกใจเธอกลับคืนมา ผมอด ฉุนเฉียวไม่ได้สองวันมานี้เหตุใดผมต้องพลอยวุ่นวายกับเรื่องความรัก ความใคร่ของใครต่อใครด้วยผมกำชับเขาผ่านสายโทรศัพท์อย่าให้หมาของเขา สร้างปัญหาให้ผม อยู่ๆ ผมก็เห็นภาพเขายิ้มออกมาอย่างผู้เหนือกว่า เมื่อเงื่อนไขทุกข้อถูกตอบรับ ผมก็มาตามเวลาที่นัดหมายกันไว้ หลังรถกระบะสี่ประตูจอดเทียบริมถนนหน้าหอพักเจ้าน้องชายที่อยู่ในชุดเสื้อยืด สีเทากางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบก็รีบเปิดประตูด้านหลังคนขับ โยนกระเป๋า ใส่เสื้อผ้าใบใหญ่เข้าไป แล้วต้อนเจ้าหมาอ้วนขึ้นตาม ส่วนเขามานั่งเบาะ ข้างคนขับ หลังผมหย่อนตัวนั่งหลังพวงมาลัยเจ้าหมาอ้วนก็เห่าใส่ผมดังลั่น จนผม ต้องคว้าต้นคอตนเองไว้เกรงจะถูกงับ เสียงเห่าของมันก็ทำ เอาเส้นประสาทผม ตึงเครียดไปหมด เจ้าน้องชายรีบคว้าปลอกคอมันไว้พลางส่งเสียงดุ แต่นั่น ก็ไม่ทำ ให้มันสงบลงได้มันคงรับรู้ถึงกลิ่นความไม่เป็นมิตรจากตัวผม น้องชายแนะวิธีทำ ให้มันเชื่อง เขาให้ผมเอาอกเอาใจมันด้วยของ ที่มันชอบ ผมทำตามทั้งที่ยังหัวเสีย เพียงแค่ครั้งแรกที่เจอกัน ผมต้องเสียเงิน ไปไม่น้อย พอท้องอิ่มมันก็เริ่มสงบลง แม้ท่าทีจะไม่วางใจในตัวผมนักก็ตาม
112 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ผมพยายามเก็บกดความฉุนเฉียวไว้ในอกขับรถมุ่งหน้ากลับให้เร็วที่สุดถึงไซต์งาน ช่างไม้พากันออกมาต้อนรับหัวหน้างานคนใหม่ก่อนหน้านี้ผมบอกกับทุกคนไว้ ไม่มีใครมีปัญหากับหัวหน้าที่อ่อนวัยกว่า ผมแนะนำ สินให้กับน้องชาย สินนอบน้อมยกมือไหว้อย่างลืมตัว ผมโล่งอกที่ทุกคนเข้ากันได้ดีแต่หากจะมี กังวลใจอยู่บ้างก็ตรงที่ หลังน้องชายรู้ว่าสินมาจากพระตะบอง เขาก็หยอกล้อ จนสินหน้าเจื่อน ผมไม่แน่ใจนักว่าคนพระตะบองยังกินเนื้อหมาหรือไม่แต่หากยัง กินอยู่ก็ไม่ใช่หมาทุกตัวที่พบเห็นหรอกโดยเฉพาะหมามีเจ้าของ พอเห็นทุกคน หัวเราะกับมุกตลกร้ายของน้องชาย สินก็หัวเราะตามเพื่อให้เข้าพวก ผมเห็น อาการของเขาแล้วรู้สึกกังวล เกรงเขาจะเก็บกดความอึดอัดใจเอาไว้ ไอ้หมาอ้วนมันเปลี่ยนไป แรกที่เห่าขู่ทุกคนในทันทีที่เห็นหน้า แต่พออยู่ด้วยกันเกือบสัปดาห์ มันทำตัวราวกับเป็นลูกแมวเชื่องตัวหนึ่งจนผม อดแปลกใจไม่ได้มันไม่เห่าใครแล้ว ยกเว้นสิน มันเห่ากระทั่งเงาของสินราวกับถูกโรคประสาทกิน เรื่องที่เคยหยอกล้อ สินถูกนำ กลับมาอีก แต่หนนี้นํ้าเสียงของน้องชายจริงจังขึ้น “หมามันกลัว เพราะมันรู้ว่าสินมาจากพระตะบอง”เขาว่าคนที่ไม่เคยหยอกล้อสินก็สนุกปาก ตามนํ้าไปด้วย ท่าทีอึดอัดของสินเริ่มเก็บซ่อนไว้ไม่มิด กระนั้นก็ยังฝืนยิ้ม - ๕ - เข้าสัปดาห์ที่สองในไซต์งานของเจ้าหมาอ้วน สินยังตกอยู่ใน ความขบขันของพวกช่างไม้ผมไม่ต้องการเห็นสินอยู่ในสภาพนี้ต่อไปอีกแล้ว เพราะหากเขาอึดอัดจนไม่อยากอยู่ คนที่ลำ บากก็คือ ผม งานอื่นยังพอหา คนแทนได้แต่งานสีใครเล่าจะมีฝีมือดีเท่าเขา ฝุ่นที่เกิดจากการเลื่อยตัดไม้ ร่วงกองเกลื่อนพื้น ผมยํ่าเกิดเป็นรอยเท้าตลอดทาง ดุ่มเดินไปหาสินที่ห้องครัว เพื่อจะบอกเคล็ดลับเอาใจเจ้าหมาอ้วน เห็นเขาลุก ๆ นั่ง ๆ อยู่หลังแผงตู้ครัว
ช่างทาสีจากพระตะบอง : รมณ กมลนาวิน 113 ที่ทำ สีเสร็จแล้ว ครั้นเข้าใกล้ผมก็ถึงกับประหลาดใจและยิ้มออกมาได้ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก สินค้นหาวิธีเอาชนะใจไอ้อ้วนก่อนผมจะบอกเขาซื้อใจมันด้วยตับไก่ปิ้ง หลายไม้ ให้มันกินมากกว่าที่เคยซื้อให้ตัวเองเสียอีก เขามองมันกลืนกิน อย่างเอร็ดอร่อยผมส่งเสียงทักทายพลางตบไหล่เขาเขายิ้มให้ผม รอยยิ้มนั้นโล่งอก ราวกับคนหลุดพ้นปัญหาใหญ่มาได้ไม่ใช่เพียงเขาที่รู้สึกแบบนั้น ผมก็ด้วย แต่ปัญหาที่ควรจบลงได้แล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น หมดเรื่องกับสิน ไอ้อ้วนก็ยังสร้าง ปัญหาให้ผมอย่างต่อเนื่อง แม้ผมจะหาทางหนีทีไล่ให้กับมันไว้แล้วหากวันใดที่เจ้าของบ้าน เข้ามาตรวจงาน แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด หลังเจ้าของบ้านโทรศัพท์มาบอกว่ากำลัง เดินทางมา ผมก็รีบสั่งให้คนงานพามันออกไปที่อื่น แม้เจ้าของบ้านจะไม่ทันได้ เห็นหน้ามัน แต่เขารู้ว่ามีหมาอยู่ที่นี่ กลิ่นสาบขนของมันฟุ้งตลบไปทั่วบ้าน น้องชายไม่ได้เอาใจใส่เจ้าอ้วนเท่าใด ปล่อยไว้จนเหม็นฉุน เจ้าของบ้านกลับไป หลังทิ้งคำ พูดไว้ให้ผมสำ นึกรับผิดชอบความสะอาดเรือนหอของเขาให้มากกว่านี้ ถึงเขาไม่พูดตรงๆแต่นั่นก็มากพอจะทำ ให้ผมหน้าชาไปตลอดวัน ผมบอกน้องชาย ให้จัดการแก้ปัญหาทุกอย่างที่เกิดจากไอ้อ้วนเสีย แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจ ผมพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ผมยังต้องพึ่งเขา - ๖ - กลางดึกน้องชายโทรปลุกผม นํ้าเสียงเขาเต็มไปด้วยความร้อนใจ บอกว่าหมาหายไปจากไซต์งาน ผมแนบโทรศัพท์มือถือไว้ที่หูขวา นิ่งฟังน้องชาย พูดโดยไม่ขัดผมเผลอยกมือกุมขมับ ไม่ว่าตอนที่มันอยู่หรือหายก็ล้วนแต่สร้าง ความยุ่งยากใจให้ผมบอกน้องชายว่ารุ่งเช้าจะไปหาที่ไซต์งาน แต่พอถึงเวลานั้น ผมก็เลือกที่จะไปอีกไซต์งานของผมสำคัญกว่าใครทั้งหมดแต่น้องชายไม่ปล่อย
114 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ให้ผมทำ งานอย่างเป็นสุข เขาโทรตามทุกสิบนาทีทั้งที่ผมบอกไปว่างานล้นมือ แค่ไหน แต่เขาก็ไม่ลดละซํ้ายังขู่ว่า หากผมไม่ไปหาเขาก็จะทิ้งงานไม่สนใจเช่นกัน ผมโกรธจัด สบถด่าเขาหลังกดวางสาย แล้วปิดเครื่องทันที กว่าผมจะยอมเปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือก็ปาเข้าไปอีกวัน อารมณ์ผม เย็นลงบ้างแล้วจึงโทรศัพท์กลับไปหาน้องชายแล้วผมก็รู้ว่าคิดผิดที่ปิดโทรศัพท์ มือถือหนีเขา รถจอดเทียบหน้าบ้านไซต์งาน น้องชายยืนรออยู่ก่อนแล้วผมลงจากรถ เดินผ่านเขาเข้าไปในบ้าน โดยไม่สนใจเสียงเรียกของเขาขณะสาวเท้าผมก็ระบาย ลมร้อนในอกออกเพื่อให้ใจเย็นลงแต่ครั้นพอเห็นไม่มีใครทำ งานสักคน อารมณ์ โกรธของผมก็ตีขึ้นมาอีก หมาตัวเดียวทำ เอาคนทั้งไซต์ต้องหยุดงานเพื่อตามหา อย่างนั้นหรือถ้าหามันไม่เจองานการผมไม่ต้องบรรลัยตามไปด้วยหรืออย่างไร ผมฟาดสายตาใส่ทุกคนที่ยืนนิ่งค้างไม่กล้าขยับ เจ้าน้องชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า เข าทำ ท่ า ร าวกับชีวิตดำ เนินต่อไปไม่ได้ห ากข าดหม า ผมจ้องเข า พลางถอนหายใจแรง น้องชายโพล่งออกมาอย่างเหลืออด เขาว่าหมาหายไป ต้องเกี่ยวข้องกับสินอย่างแน่นอน เพราะมันไม่ถูกกับสิน ทั้งไซต์งานมีสินคนเดียว ที่มันเห่าใส่ราวกับเกลียดกันแต่ชาติก่อน ผมฟังแล้วรู้ว่า น้องคงไม่รู้ว่าสินกับ หมาของเขานั้นดีต่อกันแล้ว คงเพราะความไม่ใส่ใจ ขังมันไว้แต่ในไซต์งาน ขณะตนเองออกไปหาสารพัดวิธีงอนง้อผู้หญิง หมามีประโยชน์ต่อเขาเพียง เรื่องเดียวเท่านั้น พอมันหายไป โอกาสที่จะได้คืนดีกับหญิงคนรักก็เท่ากับหมดทาง เขาถึงได้โวยวายเอาเรื่องขนาดนี้แต่ที่ไม่เข้าใจ หมาหายไปเกี่ยวอะไรกับสิน เหตุใดน้องชายถึงได้โยนความใส่ แต่ครั้นฟังความต่อไปถึงได้รู้ว่า เรื่องที่เคยหยอกล้อกันเรื่อง คนพระตะบองกินหมานั้น ตอนนี้ถือเป็นจริงเป็นจัง แล้วดูเหมือนทุกคนจะเชื่อ อย่างนั้น ช่างไม้ต่างแย่งกันพูดและถึงกับโก่งคอจะอาเจียนเมื่อนึกได้ว่าสินเป็น พ่อครัว พวกเขาสงสัยเนื้อในอาหารทุกจานที่สินทำ ให้พวกเขากิน พอพูดถึงตรงนี้ ช่างไม้ต่างวิ่งออกไปอาเจียนจริงที่หลังบ้าน ผมฟังแล้วถึงกับยกมือกุมขมับ
ช่างทาสีจากพระตะบอง : รมณ กมลนาวิน 115 ผมถามหาสิน ตั้งแต่มาถึงไซต์ก็ไม่เห็นเขา น้องชายเล่าว่าสินช่วยออก ตามหาหมาทั่วละแวกนี้ตลอดทั้งคืน แต่พอรุ่งเช้าก็หายตัวไปพร้อมข้าวของ ส่วนตัว น้องชายตั้งข้อสังเกตว่า หากไม่ร้อนตัวไยต้องหนีผมฟังแล้วถอนหายใจ ออกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็คร้านจะนับ สินคงทนกดดันต่อข้อกล่าวหาไม่ไหว ผมบอกไปว่าผมไม่เชื่อและขอให้ทุกคนกลับไปทำ งาน เจ้าน้องชายทำ หน้า ผิดหวังแสดงท่าทีฉุนเฉียวเดินออกจากไซต์ผมมองตามแผ่นหลังที่โยกแรงไปตาม อารมณ์โกรธ ดูท่าแล้วคงต้องหาคนมาคุมงานแทนเขาเป็นแน่ - ๗ - น้องชายของผมทิ้งงานหายไปสามวัน ไซต์งานขาดเขาไม่สร้าง ปัญหาเท่ากับขาดสิน ผมเดินไปยังห้องโถง โต๊ะและตู้ที่ประกอบเสร็จทั้งหมด ตั้งวางเรียงกันจนไม่มีเนื้อที่ให้เดิน ถ้ายังไม่ทำสีก็ติดตั้งไม่ได้วันส่งงานบีบเข้ามา เรื่อย ๆ ใจคิดถึงแต่สิน ทำอย่างไรเขาถึงกลับมา ทำอย่างไรงานของผมจะเสร็จ ผมรีบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเสียก่อน หาทางสร้างความพอใจให้กับเจ้าของบ้าน เพื่อชดเชยความล่าช้า ด้วยการเสนอเปลี่ยนแผ่นหลังคาโรงจอดรถให้ใหม่ ของเดิมที่ทางโครงการหมู่บ้านทำ ให้นั้นใช้วัสดุคุณภาพตํ่าเกินไป ไม่ทันข้ามปี อาจเกิดปัญหาผมถมข้อมูลลงจนเกินจริงก็เพื่อโน้มน้าวใจเจ้าของบ้านคล้อยตาม ของฟรีซํ้าคุณภาพดีทำ เอาเจ้าของบ้านยิ้มได้ผมก็คลายความกดดันลงบ้าง ขณะผมคุมคนงานที่กำลังปีนขึ้นไปบนโครงสร้างหลังคาโรงจอดรถ เพื่อปูแผ่น ไฟเบอร์กลาสสีชาโปร่งแสงอยู่นั้น ได้ยินเสียงใสแผ่วเบาของใครสักคน ทางด้านหลังผมหันไปสาวใช้วัยแรกรุ่นของเจ้าของบ้านนั่นเองเธอมาในชุดเสื้อยืด สีขาวกระโปรงผ้ายืดยาวคลุมเข่าสีนํ้าเงินลายดอกไม้เล็กๆสีเหลืองดูแปลกตา กว่าทุกครั้ง ผมนึกแปลกใจเหตุใดถึงมาเพียงลำ พัง หรือเจ้านายใช้ให้มาดูงาน ที่ทำ แถมให้ผมมองพยายามคาดเดา ท่าทีของเธอดูเกรงใจไม่น้อย เธอรอ จนผมทักก่อนค่อยเอ่ยธุระออกมา
116 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ เธอถามถึงสิน ผมไม่ต้องการให้เรื่องของคนในไซต์งานเล็ดลอดไปถึงคนนอกจึงบอก เธอไปว่าสินกลับไปประเทศบ้านเกิด เธอทำ หน้าราวกับจะร้องไห้ละลํ่าละลัก ถามว่าเขาจะกลับมาอีกไหม ผมบอกเธอไปถึงเรื่องที่ผมรับปากสินไว้ว่าจะทำ ให้ เขาเป็นลูกจ้างถูกกฎหมาย เดินทางเข้าออกประเทศได้โดยไม่ต้องหวาดกลัว จะถูกจับอีกต่อไป ผมให้ความมั่นใจกับเธอว่าสินต้องกลับมาอย่างแน่นอนทั้งที่ ไม่แน่ใจนัก เธอถอนใจโล่งอก แล้วบอกกับผมว่าผมอาจไม่ต้องเป็นธุระยุ่งยาก ให้กับสิน เพราะหากเขากลับมา เธอจะแต่งงานกับเขา เธอบอกว่าเธอตั้งท้องได้ เดือนเศษ ผมถึงกับตกตะลึงกับความสัมพันธ์ฉับไวของหนุ่มสาวคู่นี้ผมถามเธอ ว่าสินรู้เรื่องนี้หรือไม่ เธอส่ายหน้า เธอเองก็เพิ่งรู้วันนี้เธอโทรศัพท์ติดต่อสิน ไม่ได้ถึงได้รีบมาหาเขาที่นี่ ผมพยักหน้ารับ เห็นทางที่สินจะกลับมาทำ งาน ให้ผมแล้วแค่เพียงต้องติดต่อเขาให้ได้เท่านั้น สาวน้อยรวมถึงลูกในท้องของเธอ ฝากความหวังไว้กับผม แต่กว่าอาทิตย์แล้ว ผมก็ยังติดต่อสินไม่ได้ น้องชายของผมไม่ยอมกลับมาทำ งาน เขาโทรหาผมพูดนํ้าเสียงสั่น ราวกับพร้อมจะร้องไห้ออกมาได้ตลอดเวลา หญิงสาวของเขายื่นคำ ขาดว่า หากไม่พบหมาของเธอชาตินี้จะไม่มองหน้าเขาเขาหวาดกลัวจะเสียความรักไป ทิ้งทั้งงานและการเรียน ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนทุ่มให้กับการตามหาหมา และพูด ทิ้งท้ายว่าหากหาไม่พบ เขาจะทำ ให้สินหายไปเหมือนหมาของเขาผมรู้สึกโกรธ ที่ในวิกฤติงานการของผมเช่นนี้น้องชายคนเดียวที่อุตส่าห์ดูแลทุ่มเงินทองส่งเสีย ให้เรียนหลังจากพ่อกับแม่จากไปสี่-ห้าปีเลยทีเดียว เขากลับเห็นผู้หญิงดีกว่า ช่างปะไร ไม่มีเขาผมก็ทำ งานต่อไปได้แต่กับสิน ผมจะเสียเขาไปไม่ได้ ทางเดียวที่จะจบปัญหาทั้งหมดได้ก็คือ ต้องหาไอ้อ้วนให้พบ ผมสั่งช่างไม้หยุดงานทั้งสองไซต์ มีแรงงานแต่ไม่มีคนคุมงาน ไม่มีคนอ่านแบบแปลนให้จะมีประโยชน์อะไร ได้ไม่คุ้มเสียหากงานผิดพลาด
ช่างทาสีจากพระตะบอง : รมณ กมลนาวิน 117 ผมตัดสินใจวางมือขับรถเข้าเส้นถนนทางหลวงหมายเลข ๑ แดดใกล้เที่ยงแผดเผา ภายในรถร้อนจนเครื่องปรับอากาศแทบรับมือไม่ไหว ผมลอยละล่องอยู่ใน ความคิดหนึ่งด้วยความกังวลใจไม่นานผมก็เข้าสู่พื้นที่พระนครศรีอยุธยาจังหวัด ที่เต็มไปด้วยวัดเก่าแก่ ผมมุ่งหน้าไปยังวัดป่าที่เคยพาพ่อกับแม่มาปฏิบัติธรรม บ่อยครั้งสองอาทิตย์ก่อนผมพาไอ้อ้วนมาที่นี่ มาฝากไว้กับหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัด ท่านมีเมตตารับมันไว้โดยไม่ซักไซ้เอาความมาก บอกท่านอย่างไรก็เชื่ออย่างนั้น แม้การโกหกพระจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องบาปหนาแต่หากไม่ทำ ให้ท่านรู้สึกสงสารมัน ก็เกรงเป็นเรื่องยากที่ท่านจะช่วยเหลือผมเหลือบมองมันที่นอนทอดตัวบนพื้นดิน อย่างเจียมตัว นึกแปลกใจที่มันไม่เห่ากระโชกคนแปลกหน้าแล้ว ผมยกมือไหว้ หลวงพ่อแล้วเดินไปที่รถติดเครื่องได้ผมก็รีบเคลื่อนตัวขับออกจากวัด ตอนนั้น ผมรู้สึกโล่งอก หมดเรื่องเสียทีทุกคนจะได้ทำงานอย่างเต็มที่ไม่มีปัญหาต่อกันอีก แต่ผมกลับคิดผิด หลังหาที่จอดรถได้ผมเห็นสามเณรลูกวัดที่เดินสวนมา จำ ได้ว่า ครั้งก่อนท่านก็อยู่ด้วยตอนเอาไอ้อ้วนมาฝาก ผมยกมือไหว้ทักทายและถามถึง หลวงพ่อ ถึงรู้ว่ากำลังนั่งรับลมอยู่หน้ากุฏิผมกล่าวขอบคุณพร้อมยกมือไหว้ อีกครั้งแต่ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปผมตัดสินใจถามถึงไอ้อ้วน คำตอบท่านทำ เอาผม ตกใจชะงักค้าง ท่านว่าวันนั้นทันทีที่ไอ้อ้วนเห็นรถของผมเคลื่อนตัวออกจากวัด มันวิ่งตามไล่หลังไป เสียงเห่าของมันราวกับพยายามเรียกให้รถหยุด ท่านเล่าต่อว่า ท่านรีบเดินตามไป ไม่เห็นทั้งคนและรถ ฟังจบความ ผมรีบสาวเท้าไปทางซุ้มประตูทางเข้าวัด หยุดยืนริมถนน หันไปทางซ้ายและขวา มองออกไปไกลสุดสายตาด้วยความสะท้านใจ
ไอซ์พิงก์ : ไพรัตน์ ยิ้มวิลัย 119 ไอซ์พิงก์ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ ระดับประชาชนทั่วไป ไพรัตน์ ยิ้มวิลัย ต้องมีสักช่วงเวลาหนึ่งแหละที่นักเขียนนึกพล็อตไม่ออกต่อให้ใช้ตัวช่วย อย่างพล็อตไอเดียที่มีอยู่ในเว็บทั้งหลายก็เถอะ บางทีก็เห็นว่าน่าสนใจ แต่ต่อยอดไปไม่ถูก เรื่องแบบนั้นเกิดกับฉันอยู่เลย ฉันชื่อดรีม ไม่เคยบอกใครว่าฉันเขียนนิยายเหตุผลอาจฟังดูพิลึกกึกกือ ฉันหวั่นวิตกกับการให้คนอื่นรู้ว่างานอดิเรกเวลาว่างจากการเรียนคืออะไร ไตร่ตรองแล้วไม่ถึงขั้นเป็นโฟเบียกลัวการเขียนต่อสาธารณะ แค่ว่าใจหวิว สั่นสะเทือน หากคนอื่นล่วงรู้ตัวตนอีกด้านหนึ่งของฉัน ความวิตกนี้เกิดขึ้น ก็เฉพาะคนอื่นที่ว่าคือเพื่อนฝูงรวมถึงญาติที่รู้จักกันหรอกนะถ้าเป็นแฟนนิยาย ในเว็บออนไลน์นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งแหงแหละฉันไม่รู้จักคนอ่านเป็นการส่วนตัว นี่นา แฟนทั้งหลายก็ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของนิยายเรื่องที่ฉันเขียนด้วยเหมือนกัน ความจริงมันยิ่งกว่าความขลาดกลัวเสียอีก ฉันต้องการโลกอีกใบ เป็นของฉันเอง เอาไว้สร้างจินตนาการผ่านตัวอักษร แล้วไม่ต้องการให้คนนอก เข้ามายุ่มย่าม แอบปลื้มเวลาเห็นคอมเมนต์ใต้ตอนที่เพิ่งอัปเดตไป พอคนอ่าน ชักจะจับทางเดาเรื่องได้ก็เป็นภาระให้มาคิดพลิกแพลงหนีไปอีกทาง ฉันไม่ถึง กับเป็นมืออาชีพอะไรหรอกนะ คนวัยฉันเขียนนิยายลงเว็บกันตั้งเยอะแยะ เว็บออนไลน์เจ้าประจำ ที่ฉันฝากงานเขียน เพิ่งจะมีกิจกรรมให้แต้มกับคนที่อัป นิยายช่วงนี้ได้มากตอนที่สุดเป็นโอกาสดีทีเดียวในการเริ่มต้นงานชิ้นใหม่แต่ว่า นั่งคิดพล็อตมาตั้งหลายวันแล้วยังนึกไม่ออกเลยว่าจะเขียนเรื่องอะไรดีนักเขียน มืออาชีพแนะนำ ไว้ชัดเจนตรงกันว่า ให้เขียนเรื่องที่เรารู้เออ เด็กมอปลายจะรู้ อะไรได้สักกี่มากน้อยกันเนอะจะค้นข้อมูลจากบุคคลหรือสืบเสาะในสถานที่จริง ก็ลำ บาก ไม่รู้ต้องเริ่มต้นตรงไหน เห็นเพื่อนนักเขียนในเว็บบางคนหาทางออก โดยการสร้างโลกใหม่เองเสียเลย เข้าท่าดีแหละ แต่ถ้าจะเอาแต่สร้าง
120 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ โลกจอมปลอม คงพัฒนางานเขียนได้ไม่กว้างไกลเท่าไรมั้งฉันเลยตีกรอบตัวเองว่า ครั้งนี้จะลองเขียนอะไรที่มันดูมีความสมจริงมากสักหน่อย แล้วจะเขียนเรื่อง อะไรดี มือถือที่นอนควํ่าหน้าบนเตียงร้อง ฉันกระโจนไปคว้ามาดูข้อความ จากเกรป เกรป : ทำ ไรอยู่ ฉัน : เปล่า เกรป : อยู่บ้านเบื่อ ออกมากินติมกัน เกรปเป็นเพื่อนสนิทห้องเดียวกับฉัน เราติดกันยังกับปาท่องโก๋ เคยนอนค้างบ้านของกันและกันบ่อย ฉันเล่าหลายอย่างให้เกรปฟังยกเว้น เรื่องที่ฉันเขียนนิยายใส่เว็บ ส่วนเกรปไม่ปิดเรื่องทางบ้านตัวเองเท่าไรนักวันก่อน เกรปบ่นน้องชายที่คอยจุ้นจ้านน่ารำคาญ ในขณะที่แม่ต้องออกไปทำ งานกะดึก ฉันพอนึกภาพออก เพราะมีน้องชายด้วยเหมือนกัน ดีกว่าหน่อยตรงที่บ้านฉัน อยู่กันสี่คน ในขณะที่บ้านเกรปมีเพียงสาม ฉันรัวนิ้วใส่แอปตอบตกลง ดีกว่านั่งเฉยอยู่กับบ้านนึกพล็อตไม่ออก ฉัน : ไอซ์พิงก์๑๕ นาที เกรป : เค ไอเดียมากมายได้ตอนนั่งเล่นที่ไอซ์พิงก์บางทีเขียนนิยายมันตรงนั้นเลย ถ้าไม่มีใครอยู่ด้วย ถกเถียง ติวหนังสือก็ที่นี่ เมาท์ผู้ชายก็ในร้านนี้ ปรึกษา เรื่องปวดหัวในบ้านก็ตอนตากแอร์ตรงโตะประจำ ๊ ชีวิตฉันกับเพื่อนเหมือนดำ เนิน ไปในร้านไอศกรีมขนาดกะทัดรัดนี้ เกรปชวนได้ถูกเวลาแท้ฉันพับจอโน้ตบุ๊ก จัดเสื้อเข้าที่แต้มปากนิดหนึ่งคิดเองว่ามันช่วยลดไม่ให้คนรอบข้างสนใจขาโก่ง กับฟันเกได้ดีนะหน้าออกขาว ไม่งั้นขี้เหร่ตายเลย ทนอีกปีก็ทำผมทรงต้องการ ได้แล้ว สะพายกระเป๋าใบน้อย กระโจนโครมครามบนบันไดจนแม่เอ็ด พ่อนั่ง อมยิ้มหน้าจอทีวีดูบอลอย่างเคย น้องอยู่ไหนไม่รู้ “ไปหาเกรปนะแม่” “อย่าให้เย็นนักล่ะ”
ไอซ์พิงก์ : ไพรัตน์ ยิ้มวิลัย 121 ฉันโบกมือร่อนผ่านประตูคว้าจักรยาน ชะงัก กะพริบตา ขบปาก เปลี่ยนใจเข็นสองล้อเข้าเก็บ แล้วไปหาเกรปที่ไอซ์พิงก์ “แกว่าพี่ปอเป็นไงมั่งวะ” พี่ปอเป็นรุ่นพี่มอหก หน้าจืดสวมแว่นกรอบหนาขลุกอยู่แต่ห้องสมุด ไม่เล่นกีฬาสักอย่าง นอกจากรอยยิ้มที่ฉายอยู่บ่อยครั้งก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ ตรงไหน อ้อ คงมีชุดนักเรียนสีขาวสะท้อนแสงนั่นล่ะมั้งที่ทำ ให้พี่ปอโดดเด้งอยู่ ในแถวหน้าเสาธงตอนแปดโมงเช้าฉันหลิ่วตามองเพื่อน มันก้มหน้าดูช้อนสีเทา ขูดแก้วไอติม ที่เหลือติดก้นอยู่นิดหน่อย จานเลเยอร์เค้กเกลี้ยงเกลา “จะถามกี่ทีก็เหมือนเดิมแหละ แกนี่เป็นเอามาก พี่ว่านดูดีกว่า ตั้งเยอะ” “เชอะ” ฉันสไลด์จอมือถืออ่านเฟซ บางทีประเด็นน่าสนใจให้เอาไปเขียนเรื่อง ก็มาจากสเตตัสไร้สาระทั้งหลายนี่แหละโดยเฉพาะเพจเม้าท์มอยดารากับบรรดา เฟกนิวส์ท่วมโซเชียล “เมื่อวานพ่อโทรมา ถามว่าอยากไปอยู่ด้วยกันไหม” นิ้วชี้ฉันค้างเหนือหน้าจอแก้วเครื่องมือสื่อสารลิ้นเลียปากล่าง พ่อเกรป ทำ งานอยู่ชลบุรีนานทีค่อยเข้ามาเจอลูกสาวสักครั้ง ฉันไม่เคยถามเหตุผลที่ พ่อกับแม่เกรปเลิกกันเลยเพื่อนคนนี้คุยของมันเองจนฉันรู้เรื่องในบ้านมันเกือบ เท่าเพื่อนแล้ว “แล้วแม่แกว่าไง” “แม่โวยวายเสียใหญ่โต ทำยังกับว่าฉันจะไปตายแน่ะ” “แล้วแกคิดไง” “ไม่รู้สิ” เกรปเงยหน้า ยิ้มตาหยีถ้าพ่อจะมารับเพื่อนคนนี้ไปอยู่ด้วยก็เท่ากับ ฉันต้องเหงาในช่วงปีสุดท้ายก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ฉันไม่อยากให้มันไปเลย “พ่อแกคงไม่มารับไปอยู่ตอนนี้หรอกมั้ง อาจรอให้เข้ามหา’ลัยก่อน คงเห็นว่าแกอยากเข้ามอบูนั่นแหละ ถึงเกริ่นล่วงหน้าเอาไว้”
122 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ “ใครจะไปรู้เราอย่าพูดเรื่องนี้เลยสั่งอีกถ้วยแล้วไปเดินดูเสื้อกันเถอะ” เกรปไม่รอคำตอบ ยกมือเรียกพนักงาน เสียงใสเหมือนแก้วที่ไม่ได้ล้าง ฉันถอนใจ หัวเราะในลำคอ เมื่อเกรปเปลี่ยนแปลงปุบปับเสียอย่างนั้น ฉันคิดว่าได้พล็อตนิยายเรื่องใหม่เอาไปเขียนแล้วแหละ เพื่อนร่วมห้องมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ พอฉันจ้องกลับไป พวกนั้น ก็หลบหน้าหันไปซุบซิบอะไรกัน บางคนคิกคักชี้นิ้วทำ เหมือนฉันสังเกตไม่เห็น อย่างนั้นแหละขอบอกเลยว่าประสบการณ์ใช้ชีวิตในโรงเรียนมาหนึ่งทศวรรษกว่า ทำ ให้ฉันรู้ตัวเสมอเวลามีใครแอบนินทาอยู่ นักเรียนทุกคนมีเซนส์ทางนี้ ด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะคนที่กลืนไปกับอากาศธาตุเพียงแค่ฉันยังไม่รู้ว่ามีอะไร เกิดขึ้นกันแน่ นิยายที่ฉันเขียนจากชีวิตจริงของเกรปไปได้สวยทีเดียว เขียนออกมา ได้ราบรื่น ขยันอัปเดตอาทิตย์ละสองตอนแน่ะ คอมเมนต์ก็มีแต่ชื่นชม เป็นส่วนใหญ่ บางคนเห็นใจตัวละครในเรื่องอักโข ฉันคิดตอนต่อไปเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสพิมพ์มันด้วยว่ายัยเกรปขอยืมโน้ตบุ๊กฉันไปใช้งานเสียนี่ แม้นักเรียนมัธยมอย่างเราจะมีห้องคอมฯ เอาไว้ทำ งาน ทำ การบ้าน แต่ก็ ไม่สะดวกในบางเรื่องเหมือนกัน ฉันไม่ได้แบกโน้ตบุ๊กมาโรงเรียนทุกวันหรอก แต่ช่วงนี้ต้องแต่งนิยายทันทีที่นึกออกก็เลยหิ้วมันมาด้วย “เกรป ใช้คอมฯ เราเสร็จยัง” “อ๋อ เรียบร้อยแล้วแหละ ขอโทษทีนะ” “ไม่เป็นไรหรอก เราก็เคยยืมอะไรจากเธอเหมือนกันนี่นา” “ไม่ใช่อย่างนั้นสิ” เกรปบิดปาก ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม ดันกระเป๋าโน้ตบุ๊กมาบนโต๊ะหิน สียิปซัม ฉันหมุนด้านซิปเข้าหาตัวควักโน้ตบุกสีเทาซอมซ่อออกมาได้ครึ่งเครื่อง ๊ เห็นเพื่อนกระสับกระส่ายแล้วรู้สึกชอบกล มันเกาคางหลายทีแล้ว “มีอะไรหรือเปล่า ทำ หน้ายังกับตูดอยู่ได้” “อย่าว่าเรานะ คือเมื่อกี้ตอนใช้โน้ตบุ๊กเธออยู่น่ะ เราลุกจากโต๊ะ ไปเดี๋ยวหนึ่ง แล้วพวกโจ้เข้ามาดูว่า ฉันทำอะไรอยู่ โจ้มันแอบเล่นคอมฯ เธอ”
ไอซ์พิงก์ : ไพรัตน์ ยิ้มวิลัย 123 ฉันขมวดคิ้ว เผยอปาก ซอกคอคุกรุ่น ผิดกับปลายนิ้วที่เย็นเฉียบ แบบเดียวกับตอนถือแก้วนมชมพูอยู่หลายนาทีแล้วในอกก็โครมครามห้ามไม่ได้ ขึ้นมา เพื่อนมาแอบส่องคอมฯ ยังไม่เท่าไรหรอกนะ เพียงแค่ว่าฉันเก็บนิยาย ทุกเรื่องเอาไว้ในโน้ตบุกเครื่องนี้ ๊ ไม่ได้ตั้งป้องกันห้ามแอบอ่านเอาไว้ด้วยอาการ ของเกรปบอกใบ้เหตุพลิกผันล่วงหน้าตามตำราการแต่งนิยายหักมุมให้สังเกตเห็น เพื่อนรักของฉันโน้มตัวเข้าหาเหยียดมือระแวงแตะปลายนิ้วฉัน ปากสั่นพยายาม จะเอ่ยวาจา “ไงจ๊ะ แม่นักเขียนใหญ่” โจ้ส่งเสียงห้าวมาแต่ไกล ตามด้วยเสียงหัวเราะจากก๊วนของเขา ฉันไม่ได้หันมองแต่จำ ท่าเดินล้วงกระเปาโยกตัวซ้ายขวาของโจ้ได้ดี ๋ เพื่อนร่วมห้อง คนนี้เชี่ยวชาญในการรังควานคนอื่นอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่คนในห้องเดียวกันเท่านั้น แต่ยังระบาดไปยังห้องเรียนอื่น เมื่อพูดถึงห้องเรียนอื่นนั่น หมายถึงเด็กรุ่นน้องด้วย ครูเตือนก็หลายหน โจ้ก็ยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่เช่นเดิม “เธอเขียนว่าไงนะ ‘ปัญญ์วิ่งพรวดพราดกระชากประตูห้องแล้วโผ ฟุบหน้าลงบนเตียง กระซิกส่งสายนํ้าออกจากสองตาดิ่งสู่หมอนประจำ ตัว โกรธแม่ที่โวยวายหลังจากเธอแอบไปหาพ่อที่แยกจากกันไปหลายปี’ โอ๊ย สำ บัดสำ นวนสุดยอดสัส ๆ ดรีมไม่เห็นบอกเพื่อนเลยว่าเป็นนักเขียน” โจ้หันไปหัวเราะกับเพื่อนที่โห่ฮารับ ฉันงุดหน้า มือกำ จนเห็น เส้นเลือดโปนบนหลังมือซีดขาว เจ็บริมฝีปากจากฟันที่บดงับเอาไว้ตอนนี้ ไม่เพียงซอกคอเท่านั้นที่ร้อนผ่าว แต่ทั้งร่างเหมือนจมอยู่ในอ่างนํ้าเดือด ข้อเข่าเปลี้ยเสียจนไม่ยอมฟังคำ สั่งจากสมองที่ต้องการพาร่างออกไปเสีย จากตรงนี้ “พอทีเถอะโจ้แค่แอบดูคอมฯ ดรีมก็หนักแล้วนะ นี่ยังมาล้อมันอีก” “ฉันไม่ได้ล้อดรีมนะเฟ้ยยินดีด้วยซํ้าที่มีเพื่อนเป็นนักเขียน ว่าแต่ดรีม ไม่เอาเรื่องฉันไปเขียนมั่งเหรอ ไม่ต้องเป็นพระเอกก็ได้นะ เป็นผู้ร้ายวางแผน ครองโลกอะไรเทือกนั้นก็โออยู่อย่างเธอต้องเขียนได้แน่เลย”
124 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ไม่รู้ว่าเกรปทำ อะไรกับพวกโจ้บ้าง ฉันยัดโน้ตบุ๊กเก็บเข้าที่ลวก ๆ ลุกหันรีหันขวาง หลังมือปาดใต้ตา พรวดพราดออกจากวงล้อมที่ล้อเลียน งานอดิเรกของฉัน ว่องไวกว่าตัวละครปัญญ์ในฉากที่โจ้หยิบมาพูดถึงเมื่อกี้เสียอีก วิ่งไร้ทิศทางรองเท้าหนังกระทบพื้นตึบตับ ตาพร่ามัวร่างกายคงจดจำ พฤติกรรม ปกติของฉันได้พอรู้ตัวอีกทีก็มาถึงม้าไม้ใต้ต้นหูกวางข้างโรงยิมเสียแล้วฉันสะอึก สะอื้นทรุดก้นลงบนเก้าอี้สีโกโก้ไหม้มีรอยแตกกระจายเป็นหย่อม ขนลุกเกรียว เมื่อสายลมพัดผ่าน หอบเอากลิ่นหญ้าเกรียมแดดมาด้วย นกกระจอกแหกปาก รำคาญหูลิ้นขมปร่า พวกนั้นถือดีย่างกรายเข้ามาในโลกอีกใบของฉันโดยไร้คำ เชื้อเชิญ “อย่าไปใส่ใจโจ้เลย มันก็เป็นของมันอย่างงี้เอง” เกรปเสียงอ่อนบอกฉัน “ทำ ไมเธอปล่อยให้โจ้มายุ่งกับโน้ตบุกเรา๊ เธอยืมไปก็น่าจะรับผิดชอบ ด้วยสิ” “เออ เราขอโทษ แค่ลุกไปแป๊บเดียวเอง” “เธอแย่มากเลยเกรป นี่มันพื้นที่ของเรา ฉันหวงมันมากนะ แล้วทีนี้ พวกนั้นก็รู้กันหมดแล้ว ฉันทนไม่ได้หรอกนะที่จะให้ใครมามองเราแบบนั้น ฉันไม่ต้องการให้เพื่อนรู้ว่าฉันแต่งนิยาย อยากแอบเก็บไว้คนเดียว” เกรปยกขาวาดข้ามม้านั่งตวัดอีกข้างตาม กระโปรงส่งเสียงสวบทึบหนัก กระเถิบเข้าหา วางมือบนไหล่ฉัน ฉันสะบัดถอยห่าง “คนอื่นรู้ก็ไม่เป็นไรหรอกน่าดีเสียอีก ทุกคนจะได้รู้ว่าดรีมเก่งแค่ไหน ไงล่ะ นิยายเธอมันก็เยี่ยมเลยนะ ฉันว่าสนุกดีออก” “เธออ่านมันด้วยเหรอ” ฉันกระตุกหน้าอ่านแววตาของเกรป แม้แต่เพื่อนรักที่สุดก็ยังคงลํ้าเส้น เข้ามาในโลกที่ฉันสร้างเองด้วยหรือนี่ “เฮ้ย เราไม่ได้ตั้งใจ เราขอโทษ ขอโทษจริง ๆ นะ” เกรปเขย่ามือฉัน ฉันหอบหายใจ
ไอซ์พิงก์ : ไพรัตน์ ยิ้มวิลัย 125 “เหมือนกันหมดเลยแม้แต่เธอก็เหมือนพวกนั้น ดูของเขาโดยเจ้าของ ไม่อนุญาต ทำ ไมเธอเป็นแบบนี้ฉันอุตส่าห์ไว้ใจเห็นเป็นเพื่อนสนิท แล้วทำกัน แบบนี้เธอมันแย่ไม่ต่างจากโจ้เลย ทำแบบนี้มันเลวมากเลยนะเกรป” “แล้วแกล่ะดรีม แกดีกว่าฉันตรงไหน” เกรปผลักอกฉัน หน้าผากยับย่น เหงื่อผุดตรงขมับทั้งสองฝั่ง ปากเม้มเป็นเส้น ตาเหลือกเพ่งมาอย่างกับจะกินเลือดฉันเสียให้ได้ “หมายความว่าไง ฉันไปทำอะไรให้” “ยังจะถามอีกแกห่วงเรื่องนิยายไม่อยากให้ใครรู้ไม่ต้องการให้ใครอ่าน เพราะมันเป็นเรื่องของแกเพียงคนเดียว แล้วทีแกเอาเรื่องของฉันไปแต่งล่ะ แกถามฉันสักคำ ไหม เรื่องพ่อแม่เราก็เป็นเรื่องของเราเหมือนกัน ไม่คิดเลยใช่ไหม ว่าฉันจะรู้สึกยังไงเวลาคนอื่นอ่านเรื่องบ้านเรา เรื่องของแกคนอื่นห้ามรู้แต่เรื่อง คนอื่นป่าวประกาศให้รู้ทั่วกันได้งั้นสิว่าฉันเลวที่แอบอ่านนิยายแก งั้นแกก็เลว พอกันที่เอาเรื่องของฉันไปเขียนโดยไม่บอก” เกรปทะลึ่งตัว ถอยไปสองก้าว ฉันยืนสืบเท้าไปหาครึ่งก้าว เก้กังกับ จุดหักมุม “ไม่เหมือนกันนะเกรป นี่มันนิยายไม่ตรงกับความจริงแล้วก็ไม่มีใคร รู้ด้วยว่าเราเขียนเรื่องของเธอ” “ไม่จำ เป็นหรอก ก็อย่างที่แกบอกไง โลกของเราก็เป็นของเรา แกมัน ก็เห็นแก่ตัวไม่สนใจโลกอีกใบของคนอื่นเขาเหมือนกันนั่นแหละ ไอ้เพื่อนเลว” เกรปหมุนร่างจนกระโปรงสะบัดอีกคำ รบ วิ่งฉับออกไป ทิ้งให้ฉันโหวงหวิว อยู่ตรงนั้น นิยายเรื่องใหม่ที่ฉันเอาชีวิตของเกรปมาเขียนค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น ป่านนี้แฟนคลับคงบ่นกันระงมแล้วที่โดนเท ฉันเข้าใจเพราะเคยอยู่ในอารมณ์ เดียวกันเมื่อเรื่องที่ตามอ่านหยุดอัปไปเฉย ๆ ฉันไม่คิดจะเขียนนิยายต่ออีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็เถอะ เกรปพูดถูก ฉันข้ามเส้นชีวิตของเกรป เพราะสรุป เอาเองว่าการที่เพื่อนระบายความในใจออกมาเท่ากับยอมให้ฉันเอาไปปรุงแต่ง
126 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ดัดแปลงได้มันไม่ใช่แบบนั้นเลย ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง ฉันเปิดโน้ตบุ๊ก เข้าไปยัง โฟลเดอร์นิยายคลิกเมาส์กดชิฟต์กับปุ่มดิลีทพร้อมกัน ไดอะล็อกบอกซ์เด้งถาม ยืนยันจะลบไฟล์ทิ้งถาวรไหม ฉันกลั้นใจ กดเยส นิยายทั้งหมดหายไปก่อนฉันกะพริบตาเสร็จเสียอีก ฉันยังไม่ได้คุยกับเกรปเลยว่ากันให้ถูกเกรปต่างหากที่ไม่ยอมคุยด้วย แม้ฉันเพียรโทรหาส่งข้อความเข้ามือถือบอกว่าลบนิยายเรื่องชีวิตเธอทิ้งไปแล้ว แต่ก็ไร้การตอบกลับทุกรูปแบบ เราไม่ได้นั่งกินข้าวด้วยกัน ไม่ได้อ่านหนังสือ ด้วยกัน ไม่ได้ออกไปไหนด้วยกันอีกเลยจนกระทั่งปิดเทอม ฉันไม่ใช่แค่สูญเสีย โลกที่ฉันสร้างเองเท่านั้น ฉันยังสูญเสียเพื่อนรักที่สุดไปด้วยอีกคน ไม่เป็นไร หรอกมั้ง ฉันมันแค่วัยรุ่นเอง ยังมีอะไรรออยู่ข้างหน้าอีกตั้งเยอะ ได้แต่เจ็บใจ ปลอบตัวเอง มือถือประจำตัวร้องแจ้งข้อความเข้าฉันเกาพุงลากเท้า หาวเต็มที่ พอเห็นว่าใครทักมาก็ตาวาว เกรป : เป็นไงมั่ง ฉัน : แย่ว่ะ เกรป : เออ เหมือนกันเลย ฉัน : เรายังเป็นเพื่อนกันเปล่า ตัวอักษรบอกว่าฝั่งโน้นอ่านข้อความแล้ว ฉันตึกตักเม้มปาก ขยี้ตา นานเหลือเกินกว่าเกรปจะตอบกลับ เกรป : กินติมกัน ฉัน : ไอซ์พิงก์๑๕ นาที เกรป : เค ฉันปั่นจักรยานไปไอซ์พิงก์เร็วยังกับจะคว้าเหรียญทองซีเกมส์ ทิ้งรถโครม ก้าวยาว ปิดตา หายใจเข้าลึก กลั้นไว้ตรงลิ้นปี่ ระบายออกช้า เป่าปากทีหนึ่ง ผลักประตูเกรปโบกมือมาจากโต๊ะประจำของเรา “ขอโทษนะ” สองเราพูดพร้อมกันแล้วหัวเราะ
ไอซ์พิงก์ : ไพรัตน์ ยิ้มวิลัย 127 “คิดถึงแกชิบเป๋ง” “เหมือนกันเลย” ฉันเกือบร้องไห้เกรปก็ออกอาการไม่ต่างกัน เราสั่งไอศกรีมรสที่ชอบ มากินคนละสองถ้วย คุยเรื่อยเปื่อย เมาท์ซีรีส์จิ้นพระเอกสองคนในเรื่อง แหย่กันเหมือนเคย “ดรีม ฉันจะไปอยู่กับพ่อ” เกรปขูดก้นถ้วยไอศกรีมเหมือนตอนบอกฉันเรื่องนี้เมื่อคราวก่อน ฉันไสแก้วตรงหน้าไปด้านข้าง “แม่แกไม่ว่าอะไรเหรอ” “ก็เสียใจอยู่นะแต่ก็ยอมตามใจฉัน หมายความว่าไงรู้ไหม หมายความ ว่าปีหน้าฉันไม่ได้เรียนกับแกแล้วว่ะ” ฉันลุกไปนั่งฝั่งเดียวกับเกรป ดึงตัวเพื่อนเข้ามากอด ที่นํ้าตาเกือบไหล ตอนแรกมาถึง วินาทีนี้มันทะลักออกมาเรียบร้อย “ต่อไปแกเอาเรื่องฉันไปเขียนได้เลยนะ” “แกก็อ่านทุกอย่างในคอมฯ ฉันได้เหมือนกัน” อาทิตย์ต่อมา เกรปย้ายไปอยู่กับพ่อ แดดร้อนตรงตามฤดูกาล โจ้แซว ทุกคนเช่นปกติฉันจมที่นอนจนสิบโมงกว่าก่อนลุกเหมือนวัยรุ่นทั้งหลายต่างแค่ ยามนี้ไม่มีเพื่อนข้างกาย นึกแล้วใจหายเกือบพังแล้วเชียวยังดีที่เกรปยอมกลับมา เป็นเพื่อนสนิทเหมือนก่อนเก่า เมื่ออีกซีกของปาท่องโก๋หายไป ฉันได้แต่ร่อน จักรยานสนิมเกาะเอี๊ยดอ๊าด ดูชีวิตเด็กวัยเดียวกันในละแวกบ้าน สงสัยว่า พวกนั้นผ่านเรื่องราวอะไรกันบ้าง เก็บงำ ไว้แค่ไหน พร้อมจะเผยออกมาเท่าไร จะมีกี่คนที่ยังได้ผ่านชั้นไปเรียนร่วมกับเพื่อนสนิทที่นั่งข้างกันมาตั้งแต่ประถม ฉันจอดจักรยานหน้าไอซ์พิงก์แวะพักนั่งคิดหลากเรื่องราวเช่นทุกทีนั่งโต๊ะ ประจำ สั่งไอศกรีมรสคุ้นเคย รัวนิ้วบนมือถือเครื่องเก่า ข้อความตอบกลับจาก เพื่อนคนเดิม ฉันยิ้มก่อนเปิดโน้ตบุ๊กเครื่องเก่ง แล้วเริ่มเขียนนิยายเรื่องใหม่
ไม่เป็นไร : พิณพิพัฒน ศรีทวี 129 ไม่เป็นไร รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ ระดับประชาชนทั่วไป พิณพิพัฒน ศรีทวี ตัวละครยื่นซองให้ชาริตา หิ้วแกงฝากพ่อสักถุงไหม หญิงสาวถาม ไม่เป็นไร เก็บไว้ให้แขกอื่นเถอะ ตัวละครตอบ ก่อนนี้พอรู้มาว่าเธอเผชิญ อะไรอยู่ แกงถุงเดียวเทียบไม่ได้กับนํ้าหนักสิ่งที่เธอแบก แต่สำ หรับเขา พอหันหลังออกจากงาน นํ้าหนักของถุงแกงคงหล่นใส่บ่อนํ้าตาอยากพูดใจจะขาด ถุงพลาสติกไม่ย่อยสลายในวันสองวัน บางอย่างสลายยากกว่า เก็บไว้ กร่อนใจเปล่า ๆ ยิ้มให้คนรักเก่า สายตาพูดว่า ไม่เป็นไร เดินจากมาที่ลานจอดรถ ติดเครื่องยนต์ตัวละครนํ้าตาไหล หลายครั้งถูกค่อนแคะ ทำ เป็นเหนียม ทรงโจรขี้อายด้วยเหรอ มีแต่ ผู้เป็นพ่อที่เข้าใจ ชายชราบอก มึงเป็นคนเบามือ พ่อเองไม่ต่างกัน ใครให้อะไร แบบหยิบเอาสิยกเอาเลยแกไม่รับ ไม่ก็หยิบจับเอาน้อยกว่าเค้าว่า“พอจำ เป็น” นอกจากตัวเองถ้าไม่หนักจนล้น ชายหัวขาวขุ่นไม่เคยโยนความยุ่งยากใส่บ่าใคร ง่าย ๆ ตัวละครเข้าใจพ่อยิ่งกว่าใด ๆ คราวที่หลวงนพถามน้านิดว่า ไอ้แหว่ง ยังไม่ตายอีกหรือ พอรู้เรื่องเข้า พ่อของเขายังพูดกับน้านิดว่า ไม่เป็นไร แหว่ง คือชื่อที่ถูกตั้งให้พ่อของตัวละคร แหว่งหรือตาแหว่งภารโรง เป็นไม้หมอนผุคู่สถานีตัวละครไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร จู่ ๆ ผู้เป็นพ่อ ก็แยกครัวไป ต่อมาแม่ของตัวละครก็หายไปกับขบวนรถไฟ ตั้งแต่นั้นสามคนพี่น้อง ก็หายตัวได้เณรทู่พี่ชายคนโตบอกน้องๆว่าเวลาเจอใครในหมู่บ้าน โดยเฉพาะ ครอบครัวหลวงนพ ให้ก้มหน้าเอาไว้ยิ่งตํ่ายิ่งปลอดภัย สายตาของคนพวกนั้น จะทำ ให้ทุกคนเน่าเปื่อย ก้มหน้าตํ่าลงทุกวันกระทั่งไม่มีใครเห็นใบหน้า อีกต่อไป ตัวละครเริ่มเชื่อ พวกเขาหายตัวได้อย่างพี่ชายว่าจริง ๆ
130 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ บ้านของตัวละครซอมซ่อ โย้เย้อยู่ทางตะวันออกของสถานีรถไฟ ตาแหว่งกลับมาเป็นบางวัน ทุกครั้งที่ผู้เป็นพ่อกลับมา ตัวละครจะได้ยินเสียง หวูดรถไฟ ญาติฝ่ายเมียเก่าไม่ค่อยชอบใจนัก หาว่าแกเป็นตัวการให้แม่ของเด็ก สามคนหายไป เณรทู่เคยใจกล้าถามพ่อ มาหาพวกเราไม่กลัวยายกับตาด่าหรือ ตาแหว่งขอดเกล็ดปลาช่อนหั่นเป็นชิ้น ตักนํ้าในตุ่มลงซาวแล้วยิ้ม บอกลูกชาย คนโตว่า ไม่เป็นไร มื้อนี้จะแกงส้มปลาช่อนกับตีนบอนให้กิน หวูดรถไฟโหยหวน ประโยคสุดท้ายของผู้เป็นพ่อ แทบไม่มีใครได้ยิน พ่อพวกมึงตายแล้วหรือ หลวงนพชอบถาม ตัวละครไม่เข้าใจ แกแค้นอะไร พ่อนักหนา พ่อเป็นภารโรงไร้ปากเสียงประจำ สถานีนานปีตั้งแต่หลวงนพ ยังไม่ปลูกแนวมะม่วงนํ้าดอกไม้กินเนื้อที่การรถไฟเข้ามาห้าหกวาเสียอีก หลังจากการรถไฟสั่งให้หลวงนพถอยกลับ ครอบครัวของตัวละครก็ถูกหลวงนพ กับลูกเมียถ่มนํ้าลายรดตลอดก็นั่นแหละแกแค้นอะไรภารโรงอย่างพ่อนักหนา อยู่มากี่ตัวเสื้อแล้วทำ ไมใจยังสกปรกเณรทู่ตะโกนด่าตอนหลวงนพผ่านหน้าบ้าน ไปแล้ว เณรทู่ก็เป็นอย่างนี้บอกให้คนอื่นยอมแต่ตัวเองสู้หัวชนฝา จบปอหก มาหางานรับจ้างไปเรื่อย สมัยก่อนเคยเล่นถีบนั่งกันที่กองทรายหลังสถานี ทุกคนกระเด็นทุกทีที่เข้าใกล้เณรทู่ร่างกายกูทำด้วยเหล็ก หัวใจกูด้วยเณรทู่บอก ในหมู่บ้านริมทางรถไฟมีคนแบบนี้ไม่กี่คน งานหนักงานเบาเอาทุกอย่างรับจ้าง ขึ้นมะพร้าวลูกละสองบาท ขึ้นหมากกิโลกรัมละห้าสิบสตางค์ตัดหญ้าสวนปาล์ม ไร่ละสามร้อยแบกเข่งผลไม้ขึ้นรถไฟ วิดปลา ธงเบ็ดเอาหมด นอกจากปกป้อง และหาเลี้ยงน้องสองคน สิ่งที่เณรทู่ทำ ไม่ได้คือทำกับข้าวรสชาติที่คนกินเท่านั้น หน้าที่แม่บ้านจึงตกเป็นของนิ่ม น้องสาวคนรองตอนนั้นอายุย่างสิบสาม วันไหน พ่อกลับบ้าน นิ่มร่าเริงเป็นพิเศษ เพราะไม่ต้องเข้าครัวให้หน้าเมือกหน้ามัน ปีต่อมาเณรทู่ตกต้นมะพร้าวสูงสี่เมตรหลวงนพตะโกนถามมันยังไม่ตาย อีกหรือ มีปัญญารักษามันหรือเปล่า ไม่เป็นไร ตาแหว่งตอบก่อนจับคนเหล็ก นอนแคร่ย่างไฟเจ็ดวันรักษาชํ้าใน
ไม่เป็นไร : พิณพิพัฒน ศรีทวี 131 ในใจของพ่อลูกสามชํ้าแค่ไหน ใครจะรู้ ตอบตัวเองไม่ได้กับบางคนทำ ไมตัดไม่ขาด ไม่อยากเจอแต่คิดถึง ไม่อยากใกล้แต่กลัวต้องห่างไกล วันที่ชาริตาส่งข้อความหาทางไลน์ บอกว่า บริษัทส่งมาสัมมนาสามวัน ช่วยอยู่เป็นเพื่อนด้วย ตัวละครตอบตกลงทั้งที่ใจ ปฏิเสธ เสียงหวูดตามตัวละครไปทุกที่ จังหวัดที่ทำ งานของหนุ่มทรงโจร มีบางฉากที่ประกอบด้วยสถานีรถไฟ ไม่ต่างจากบ้านเกิด สำ นักงานเทศบาล ห่างออกไปราวสามร้อยเมตร บางทีเป็นเขาเองที่โยนตัวเองเข้าหาเสียงหวูดรถไฟ อยู่เสมอ เริ่มจากเลือกบรรจุเทศบาลที่นี่ จากนั้นเลือกเช่าห้องใกล้สถานีผู้คน พลุกพล่านพอสมควรเป็นสถานีเก่า ทางเทศบาลปรับเป็นแหล่งท่องเที่ยวสถานี สุดท้ายของฝั่งอันดามัน ใต้ร่มตีนเป็ดติดสถานีรถไฟเป็นร้านสถานีรัก เขาชวน ชาริตากินกาแฟติดผนังด้านนอกมีมุมเก็บความทรงจำ ก้อนหินพวงกล้วยไม้เทียม นํ้าตกจำลองจัดหยาบ ๆ ไว้ให้คนถ่ายรูป ด้านในกลิ่นหอมลึกเลียนแบบกาแฟ ถูกปล่อยบางๆ ทั่วร้าน เพลงคิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียวเวอร์ชั่นบรรเลงเปียโน ฉาบเป็นพื้นหลังเบาๆตัวละครคิดถึงเวอร์ชั่นต้นฉบับ ด้วยติดใจเสียงหวานเศร้า ของเจนนิเฟอร์ คิ้ม ตัวละครจิบเอสเปรสโซ่หอมทะลักเข้าโพรงจมูก จิบอีกนิดหนึ่ง ขมปี๋ หลับตาพิงพนักเก้าอี้มีอะไรก็บอกกันบ้าง ชาริตาชวนคุย ไม่เป็นไร ตัวละครตอบทั้งหลับตา “จะให้พักที่ไหน” หญิงสาวถาม “ที่ไหนก็ได้แต่ไม่ใช่ห้องกู” “เมื่อก่อนนอนห้องเดียวกันบ่อย” “มึงไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว…” “คิดยังที่ตอบ” หน้าสถานีรถไฟมีห้องให้เช่ารายวันสองสามแห่ง หญิงสาวเลือก แมนชั่นสีนํ้าตาลเทาเปิดหน้าต่างด้านหลังเห็นรางรถไฟ ชาริตาขอร้องให้เขาอยู่
132 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ เป็นเพื่อนจนจบสัมมนา ตัวละครอยากปฏิเสธแต่ไม่ปฏิเสธ คืนแรกเขานอนพื้น ชื้นเย็น คืนที่สองชาริตาขอร้องแกมบังคับให้ขึ้นนอนบนเตียงเอาหมอนข้างกั้นไว้ ด้วยสิเขาบอกชาริตาพยักหน้าคืนที่สาม ตัวละครใช้เวลากับหญิงสาวที่ร้านกาแฟ จนร้านปิด เธออยากดูทะเลตอนกลางคืน ซื้อของกินนิดหน่อยที่ร้านสะดวกซื้อ ขับรถไปถึงท่าเรือเก่า ชาริตานั่งลงมองแสงจันทร์หยอกเย้าคลื่น ตัวละคร เอนกายมองฟ้าเคียงกัน ตีสองเบียร์หมดหกกระป๋อง เธอชวนเขากลับห้อง ไม่มี ใครพูดอะไรอีกตัวละครพยุงหญิงสาวล้มตัวนอน หันหลังแอร์เย็นจัดเขาคิดถึง เสียงร้องไห้ครั้งแรกของพ่อ แม่จากไปช่วงผู้คนคลาคลํ่าสถานีหลายปีผ่าน อาคารขายตั๋วเก่าโทรมลงพร้อมกับสังขารผู้เป็นพ่อจำ นวนรถลดเหลือแค่วันละ สองสามเที่ยว ตัวละครไม่เคยลืมวันนั้น หวูดรถไฟดังชัดกว่าทุกครั้ง เหมือนจะ ส่งสัญญาณบอกลาขณะร่างแม่กลับสู่บ้านเกิด ภารโรงชราอย่างพ่อของตัวละคร รู้ว่าบางชีวิตไปต่อไม่ได้อีกแล้วตากับยายของตัวละครมองหน้าตาแหว่งเหมือน เป็นสิ่งปฏิกูล พ่อของตัวละครบอกร่างไร้ลมหายใจว่า ไม่เป็นไร ขณะนํ้าตาไหล เชื่องช้าเหมือนรถไฟเพิ่งออกจากสถานีรู้ตัวอีกทีสถานีนํ้าตาก็ร้างคน ไม่ทันตั้งตัวตอนชาริตากอด ลมหายใจร้อนผสมกลิ่นฉุนของเบียร์ สามกระป๋อง กูอยากมีลูก เธอกระซิบ ทำกับแฟนมึงสิเขาว่า กูอยากมีกับมึง หญิงสาวไม่ลดละ ตัวละครขนลุกชัน นิ้วมือของคนรักเก่าราวกับงูหลายตัว เลื้อยผ่านหน้าท้อง ตาเขาลุกโพลง หัวใจระรัวร้อนผ่าว แต่ตัวละครกลับบอก แอร์เย็นเกินไป หญิงสาวท้วงไม่มีใครรู้เห็นหรอก ฝากลูกกับกูไว้สักคนแล้ว จะไม่มายุ่งอีก มึงอย่าฝืนใจตัวเอง ไม่เป็นไร ตัวละครตอบ ลุกคว้ารีโมทเครื่องปรับอากาศโยนให้คนรักเก่า “แอร์เย็นเกินไป…” งานศพไม่มีเสียงหวูดรถไฟ ตัวละครยื่นซองให้ชาริตา หิ้วแกงฝาก พ่อสักถุงไหมมึง หญิงสาวถาม ไม่เป็นไร เก็บไว้ให้แขกอื่นเถอะ ตัวละครตอบ ก่อนนี้พอรู้มาว่าเธอเผชิญอะไรอยู่แกงถุงเดียวเทียบไม่ได้กับนํ้าหนักสิ่งที่เธอแบก
ไม่เป็นไร : พิณพิพัฒน ศรีทวี 133 แต่สำ หรับเขา พอหันหลังออกจากงาน นํ้าหนักของถุงแกงคงหล่นใส่บ่อนํ้าตา อยากพูดใจจะขาดถุงพลาสติกไม่ย่อยสลายในวันสองวัน บางอย่างสลายยากกว่า เก็บไว้กร่อนใจเปล่า ๆ ยิ้มให้คนรักเก่า สายตาพูดว่า ไม่เป็นไร เดินจากมาที่ลานจอดรถ ติดเครื่องยนต์ตัวละครนํ้าตาไหล ร่วมปีที่ชาริตาหายไปหลังจากคืนแอร์เย็น ตัวละครได้รับข้อความ เขารีบโทรหา นํ้าตาของคนรักเก่าไหลมาตามสัญญาณ สามีของเธอถูกยิง หน้าบ่อนวัวเขาบอกเธอว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไรถามถึงสาเหตุหญิงสาวปล่อยให้ ความเศร้าโศกเล่า สามีเธอเพิ่งชนวัวชนะพวกปากคลอง เดิมพันสองล้านสี่ หุ้นกับนักเลงวัวมะกอกใต้ไม่ทันได้แบ่งก็ถูกรัวกระสุนใส่เสียก่อน “พวกขี้แพ้ชวนรบ” ตัวละครกัดฟัน “ไม่ใช่…” เธอขัด “นักเลงวัวจริงแพ้ชนะเขาไม่ยิงกัน นอกจากถูกโกง” “มันโกงเขาหรือ…” “โกง แต่ไม่ใช่เรื่องวัว นั่นเสียงอะไร…” “หวูดรถไฟขบวนสุดท้าย” ตัวละครตอบ นานเท่าไหร่ที่ไม่ได้กลับบ้าน ไม่อยากนับ ตัวละครอยากทิ้งให้มัน แห้งเหือด ชาริตามีชีวิตที่ดีลูกสาวของเธอคงน่ารัก พ่อของเด็กเป็นใคร เขาไม่จำ เป็นต้องรู้ไม่ข้ามเส้นกันและกัน นิ่มกับเณรทู่ส่งข่าวพฤติกรรมคนรักเก่า ให้รู้ตลอดเธอไม่ใช่คู่ชีวิตเขาจะไปทำอะไรได้รักษาระยะห่างของความสัมพันธ์ เอาไว้บ้าง เพื่อรักษาสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า ตัวละครกลับบ้านอีกครั้ง น้านิดคู่ชีวิตพ่อจากไปเมื่อสองวันก่อน ชายชราบอกใครไม่กี่คำ ตัวละครเกือบไม่รู้เรื่องนี้ผู้เป็นพ่อหวังจัดการงานศพ สตรีที่ใช้ชีวิตร่วมกันเฉียดยี่สิบปีอย่างเงียบ ๆ และสะอาด กระทั่งนิ่มกับเณรทู่ ทนไม่ไหว ความตายของน้านิดจึงไม่เงียบอีกต่อไป ใครต่อใครมากันเต็มบ้าน
134 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ บ้านที่พ่อของตัวละครใช้ชีวิตคู่กับหญิงกลางคนที่ญาติฝ่ายแม่สุดรังเกียจ วัวราคาหมื่นสองล้มในกระทะเนื้อวัวเข้าปากคำแรกตัวละครคิดถึงชะตากรรม ของชาริตา งานศพนักเลงวัวชนในวันนั้น คลาคลํ่าด้วยผู้คนและแผงร้านค้า หากเติมมโนราห์ไพศาลกับมโนราห์ไข่เลี่ยมเข้าไปสักสองโรง ก็ไม่ต่างจาก งานประจำ ปีหน้าสถานีหลังจากตัวละครออกจากงานศพ ชาริตาจะร้องไห้บ้าง หรือเปล่ากลางผู้คนและแสงสว่างขณะบ้านน้านิดราวแสงหิ่งห้อย บ้านไม้หลังเก่า ติดกันเงียบเหงาและมืดมิด หน้าต่างถูกเปิดทิ้งไว้บานหนึ่ง แสงจากบ้านงาน ลอดเข้าบ้านไม้รำ ไร อ้างว้าง ใครบางคนล่องลอยในนั้นสี่ห้าเดือนก่อน คราวลูกติดน้านิดผู้เป็นเจ้าของบ้านหลับและไม่ตื่นขึ้นมาอีกแกก็บอก ใครไม่กี่คำ ตัวละครรู้หลังจากศพถูกจัดการไปแล้วหลายวันเช่นกัน วันรู้ข่าว การจากไปของน้องสาวต่างแม่ ตัวละครหยุดนิ่งในร้านสถานีรัก ฟังคำ บอกเล่า ผ่านแชทไลน์จากเณรทู่ ราวสามนาทีที่ทุกอย่างเงียบงัน ก่อนเสียงหวูดรถไฟ จะแทรกเข้ามา “หลวงนพเป็นเบาหวาน ป่วยติดเตียงแล้ว” เณรทู่โพล่งขึ้น “แล้วไง” “ก็ไม่ไงหรอก พ่ออุตส่าห์ไปดู…” “พ่อก็เป็นยังงี้อีกอย่างชั่วดีก็บ้านใกล้เรือนเคียง” “มึงรู้มั้ย หลวงนพแกทักพ่อว่าไง” “ไม่รู้…” “แกพะเงิบพะงาบถาม ไอ้แหว่ง มึงยังไม่ตายอีกเหรอ” ตัวละครไม่อยากฟังเรื่องเพื่อนบ้านจอมลํ้าเส้น เรื่องของชาริตา ค้างในหัว ทบซ้อนกับภาพทรงจำ เก่า ๆ เขากับชาริตาเป็นเพื่อนร่วมห้องตั้งแต่ อนุบาล เธอเป็นหัวหน้าห้อง พูดจาห้วนห้าว ว่ากันว่าโตขึ้นเธอจะเป็นสาวหล่อ ใครจะนึก เขากับสาวห้าวจะมาเป็นแฟนกัน
ไม่เป็นไร : พิณพิพัฒน ศรีทวี 135 “ผัวมันบ้าวัวชน” เณรทู่ลากตัวละครออกมาไกลคน “ก็พอรู้…” “ใช่แหละ เรื่องนั้นใคร ๆ ก็รู้แต่ที่รู้กันไม่กี่คน คือมันไปยิงเขาก่อน” “ยังไง” “ผัวแฟนเก่ามึง มันไปติดพร้าวห้าวทางควนดินสอโน่น…” “แม่ม่ายทรงเครื่อง…” “ใช่และไม่ใช่ เสียงเขาว่าเป็นเมียเจ้าของรีสอร์ทใหญ่แถวปากราง ให้เบี้ยมันมาลงวัวชนทีเป็นแสน ไม่รู้ทำ เอาท่าไหน มันถึงไปยิงผัวเขา” “ตาย…” “จะเหลือเหรอผีมันฟื้นมาเอาคืน”เณรทู่พูดหน้าตาเฉยก่อนหัวเราะ “มันโกงหัวใจเขา…” ตัวละครพูด หนึ่งวันก่อนปีใหม่ ตัวละครขับรถกลับบ้านอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขาได้ รับโทรศัพท์สองสาย ชาริตาโทรมา บอกอยากเจอ ชวนเขากลับบ้าน หากาแฟ กินกันสักหน่อยสิมึง เขาตอบ คิดดูก่อน ในเมืองบ้านเกิด มีร้านกาแฟผุดขึ้นทุกวัน ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเก่า เต็มไปด้วยจุดเช็คอินและซุ้มดอกไม้ปลอม โตโยต้าอัลติส ปี๒๐๑๒ คู่กายไต่ขึ้น เขาพับผ้า หมอกคลุมภูเขาชวนมองตัวละครลดกระจกวักความสดชื่นเข้าเต็มรถ โทรศัพท์เข้ามาสายหนึ่งเป็นเบอร์ของเณรทู่ เขากดรับ กลายเป็นเสียงของพ่อ ชายชราถามอยู่บ้านได้กี่วัน ต้มเนื้อกินกันสักมื้อตัวละครส่ายหน้าก่อนนึกออกว่า มองหน้ากันไม่เห็น เปลี่ยนใหม่เป็นตอบผู้ให้กำ เนิด คิดดูก่อน ก่อนวางสาย พ่อของตัวละครบอกหลวงนพตายแล้ว ตัวละครใจกระตุก ภาพอดีตผุดวับ ก่อนดับวูบ เสียงโทรศัพท์ดังอีกสายจากสมาร์ทโฟนตรงขาเสียบหน้าคอนโทรล ตามองถนน แต่ชื่อผู้โทรเข้ากลับไม่รอดหางตา “ถึงตอนไหน จะออกไปรอแถวในเมือง…” เสียงอดีตคนรักดังข้าม เส้นแบ่งเขตจังหวัด
136 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ “อยู่บนเขาพับผ้า ยังไม่ข้ามเขต” ตัวละครหยุดฟัง รอให้อีกฝ่ายถาม จะได้บอกสิ่งใจคิด ปลายสายเงียบตัวละครเลยพูดต่อ นํ้าเสียงราวพูดกับ สายหมอก “กูขอโทษ ไปไม่ได้แล้ว” “ไม่เป็นไร” ชาริตาไม่ถามเหตุผล ตัดสายทิ้งไป ตัวละครพยักหน้าตอบลำ พัง “ร้านกาแฟแอร์เย็นเกิน ลาก่อนนะมึง” หากตัวละครเป็นลูกโป่งสวรรค์ลอยตัวขึ้นปางฟ้า จะเห็นหิ่งห้อย สองตัวกะพริบแสงแข่งกัน พอตัวละครลอยตํ่าลงเรี่ยหลังคาสถานีรถไฟเก่า จะเห็นหิ่งห้อยกลายเป็นแสงไฟเริงร่าจากงานเลี้ยงปีใหม่ กับไฟเหลืองหม่น ของงานศพตั้งอยู่คนละฝั่งถนน แต่ตัวละครยังเป็นแค่ตัวละครในเรื่องแต่งเรื่องนี้ เช่นเดิม ลูกโป่งสวรรค์จึงแตก ตัวละครคืนสู่ความจริงในเรื่องแต่งตรงหน้า เณรทู่กำลังดื่มดํ่ากับเพลงลูกทุ่ง “รักเก่าที่บ้านเกิด” จากช่องยูทูบที่นิ่มเปิดลั่น ส่วนนิ่มเจ้าของสมาร์ทโฟนกำลังอร่อยกับผัดเผ็ดปลาดุก ปลาเผา และต้มเนื้อ ใบชะมวงฝีมือพ่อ ขณะตรงที่นั่งผู้เป็นพ่อกลับว่างเปล่า ตัวละครปล่อยให้ภาพ เหล่านั้นดำ เนินไปอย่างเรียบเรื่อย ลมปีใหม่พัดผ่านกายเป็นระลอก จอภาพ ของตัวละครถูกพัดไปตามลม ไม่แปลกที่ภาพตรงหน้าจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่หยุดนิ่ง วูบหนึ่งเขานึกถึงคืนนั้น ใจหายแต่ก็ดีใจที่ตัดสินใจโยนรีโมทแอร์ ให้ชาริตาแล้วเดินจากมา หวูดรถไฟคงกล่อมให้คนรักเก่าหลับตาลงในชั่วไม่กี่นาที ขณะที่ตัวละครต้องใช้เวลามากกว่านั้น แต่…ไม่เป็นไร อาจแค่สิบนาทีหรือหลายชั่วโมงที่พ่อของตัวละครหายไปในคืนปีใหม่ แต่แล้วก่อนเที่ยงคืนภารโรงเฒ่าก็กลับมาตัวละครรู้ผู้เป็นพ่อยังคงเป็นเช่นเดิม งานศพฝั่งโน้นคงมีที่ว่างสำ หรับพ่อที่พร้อมก้าวเข้าไปจากฝั่งนี้เสมอ ไม่ถามว่า ชายชราไปพูดอะไรหน้าโลงหลวงนพ แต่เณรทู่ก็เซ้าซี้เอาจนได้ ไปอโหสิกรรม ไม้หมอนผุตอบ
ไม่เป็นไร : พิณพิพัฒน ศรีทวี 137 เพลงของเอกชัย ศรีวิชัย จากช่องยูทูบยังดังประกอบเป็นพื้นหลัง แต่เพลงคิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียว ราวกับโหยเอื้อนมาจากทางสถานีรถไฟ ไกลโพ้น ตัวละครไม่แน่ใจด้วยซํ้าว่านั่นเป็นเสียงเพลงสตริงสุดโปรด หวูดรถไฟ หรือเสียงสวดศพ จะถามใคร ตัวละครเป็นคนเดียวที่ได้ยิน ชาริตาหรือพ่อ กันแน่ที่เคยบอก บางอย่างถ้าลํ้าเส้นไปแล้วจะไม่มีวันกลับคืน ตัวละครบอกให้ พี่สาวคนกลางปิดเพลง เณรทู่ค้าน ตัวละครชี้ไปทางบ้านงานศพ บอกเณรทู่ว่า ควรให้เกียรติคนที่จากไป เที่ยงคืน พลุจากที่ทำ การสถานีรถไฟเก่าพุ่งสู่ความมืดเป็นสาย ท้องฟ้าสว่างเนิ่นนาน
รางวัลชมเชย ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ 139 ขนมสอดไส้ของคุณยาย : นภจิรา อยู่ศรีเจริญ มารยาทเป็นเรื่องที่ดูยุ่งยากสำ หรับฉัน ถึงแม้จะเข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่อง ที่ควรทำก็ตาม แต่ฉันกลับรู้สึกว่า มันน่าอึดอัดเสียจนบอกไม่ถูก เด็กยุคใหม่ แบบฉันไม่ชอบอะไรที่เป็นการบีบบังคับและจู้จี้จุกจิกเช่นนี้... ความในใจของเด็กหญิงคนหนึ่ง ก่อนที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่ผู้ใหญ่ พรํ่าสอนนั้น เพื่อตัวของเธอเอง ความทรงจำสีเทา : แต๋น ...ฉันรีบลงมาทานข้าวกับพ่อแม่ เพราะไม่อยากให้พวกท่านรอฉันนาน มันเป็นมารยาทที่ฉันเป็นเด็กไม่ควรทำ ...ฉันรีบตักแกงตะเลาะเป๊าะช้อนแรก ให้พ่อและแม่ตามขนบธรรมเนียมของชาวเรา ก่อนฉันจะลงมือโกยมันใส่จาน แล้วทานอย่างเพลิดเพลิน...พ่อดูฉันทานข้าวอย่างจริงจัง จนบางทีฉันก็เขิน เพราะเป็นคนทานข้าวมูมมาม.... การปลูกฝังมารยาทเรื่องเล็กน้อยใกล้ตัวในครอบครัว เป็นการ ปูพื้นฐานมารยาทของบุคคลที่พึงมีในสังคมต่อไป
140 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ดาวบนดิน : เปรมากร เถียรถาวร รุ่นพี่บอกว่าขอโทษและยินดีต้อนรับดาวกลับเข้าสู่ทีม แถมยังทิ้งท้ายว่า ทีมเราขาดดาวไม่ได้ ดาวดีใจที่สุดในชีวิต เธอรู้สึกว่าความพยายามทั้งหมด ไม่สูญเปล่า ความเหนื่อยและท้อใจหายไปทั้งหมด... เมื่อเกิดความเข้าใจผิดในกลุ่มเพื่อนฝูง แม้จะถูกมองและต่อว่า ในทางร้าย หากผู้นั้นยังคงยึดมั่นในความดีสักวัน เมื่อเรื่องคลี่คลายความดีและ ความถูกต้องนั้นย่อมบังเกิดผล นิทรากัลปพฤกษ์ : จุฑาภัทร อินต๊ะสงค์ พี่นกจิบสวัสดีครับ การัณยกมือสวัสดีหญิงคนใช้ด้วยกริยานอบน้อม อย่างที่ควรกระทำกับผู้อาวุโสกว่า... นกจิบรีบรับไหว้ด้วยความลุกลี้ลุกลน การัณแอบยิ้มกับทีท่าและคำ พูดของพี่นกจิบ แต่สำ หรับเขาแล้ว การเคารพ ผู้อาวุโสกว่าถือเป็นมารยาทที่ดี การเคารพผู้อาวุโสกว่า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพใด ย่อมทำ ให้ ผู้ที่อ่อนวัยกว่า ได้รับความรัก ความชื่นชมเสมอ
ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ 141 ปั้นหยา : เกียรติญารัตน์เพชรรักษ์ ... “ผมมาขอโทษที่เมื่อวานไม่มีมารยาทครับ” พอจำ ได้ราง ๆ แม่เคย สอนมาว่า ทำผิดต้องขอโทษครับ “ย่าไม่ได้โกรธหนูเลย เจ้าหยา ย่าแค่ตักเตือน เพราะอยากให้หลานมีมารยาท อยากให้ใครพบเห็นก็ชม รู้ไหมว่ามารยาทน่ะ สำคัญแค่ไหน แล้วการมีมารยาทก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นเลย”... วิธีการปลูกฝัง พรํ่าสอนมารยาท จากการตระหนักรู้ย่อมก่อให้เกิดผล ที่งดงาม ผมในวันนั้นกับผมในวันนี้ : ธีร์ธวัช รัตโนทัย เมื่อประสบการณ์ในการใช้ชีวิตสอนให้รู้ว่า ปัจจัยอย่างหนึ่งที่ผมมองเห็นได้ชัด คือการที่เรารู้จักวางตัว และ มีมารยาทในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ทำ ให้ผมมีมิตรสหาย และคนที่คอย ช่วยเหลือผมอยู่ในชีวิต ทำ ให้ตอนนี้ผมมีความสุขและพอใจในสิ่งที่ตนเองมี เป็นอย่างมาก ไม่ว่าชีวิตเราจะผ่านอะไรมา การที่ต้องพบเจอกับสังคมที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นสังคมแบบไหน ถ้าหากเรียนรู้ที่จะมีมารยาทในสังคม ก็จะอยู่ได้แบบ มีความสุขแน่นอน
142 ขอโทษครับ ขอบคุณค่ะ ภูเขาและภูนํ้า : ศิวรัตน์บุญเป็ง ...ผมจะปรับตัวให้เป็นคนที่มีมารยาทไทยและมารยาททางสังคม เพื่อที่โตไปจะได้อยู่ในสังคม ได้อย่างสงบสุข เป็นคนดีของสังคมช่วยเหลือ ประเทศชาติ... พี่-น้องผู้มีวัยใกล้เคียงกันมีสังคมคล้ายกันตักเตือนและเข้าใจกันได้ง่าย เป็นการปรับพฤติกรรมร่วมกันในทางที่ดี เมื่อได้สัมผัส : ศวัส มีอภิวัฒน์ ...ความสุภาพอ่อนโยนของเด็กชาย เป็นสิ่งที่คุณลุงซึ่งทำ หน้าที่ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสัมผัสได้อยู่เป็นประจำ ทุกวัน ผ่านกิริยา ท่าทางและคำ พูด เขาไม่ได้ถือว่าจะต้องมาพูดคุยสื่อสารกับคนที่มีอาชีพเช่นนี้ ทุกคำ พูดแสดงถึงนํ้าใจไมตรีที่มีให้คนรอบข้างตลอดเวลา... การบ่มเพาะและปลูกฝังบุคลิกภาพที่เหมาะสมให้กับลูกหลาน เป็นหนทางให้ได้รับการยอมรับ และความสุขในชีวิตเมื่อเติบใหญ่