การเรียนรู้บูรณาการ
หลักธรรมคำสอนในพระพุ ทธศาสนา
กับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา
(ANTI – CORRUPTIONEDUCATION)
โ ค ร ง ก า ร บู ร ณ า ก า ร พ ร ะ ส อ น ศี ล ธ ร ร ม ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม กั น ท า ง สั ง ค ม
ต้านทุจริตด้วยจิตพอเพี ยงตามแนววิถีพุ ทธ (ต่อยอด PHASE 2)
๑
บทนำ
บทนำ
การทุจริตคอร์รัปช่ันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยมาอย่างช้ำนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ มีทั้งการคอร์รัปชั่นในรูปแบบส่วนบุคคลและ
สถาบัน เช่น การให้และการรับสินบน การขู่เข็ญบังคับและให้สิ่งของล่อใจ การยอมรับของขวัญ การไม่
กระทำตามหน้าท่ีแบบตรงไปตรงมาก การใช้อำนาจหน้าท่ีในทางที่ผิด การทุจริตการเลือกตั้ง การมี
ผลประโยชน์ทับซ้อน การรณรงค์ ที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ยงั มีการคอร์รัปชันในรูปแบบเชงิ นโยบาย เชน่
การใช้นโยบายบังคับ การออกกฎหมาย กฎเกณฑ์ และข้อบังคับต่างๆ อย่างมีอคติ การใช้นโยบายประชา
นิยมของผู้บริหารการนำเสนอช่องทางและโครงการที่มีงบประมาณสูงมากขึน้ การแปรรูปเปน็ รัฐวิสาหกจิ
เพื่อให้มีผู้ได้รับผลประโยชน์เข้ามาควบคุมกิจการ การใช้ทรัพยากร ของรัฐไปในทางที่มิชอบ การมีมติ
กรรมการใหด้ ูเหมือนว่าเป็นการกระทำถูกต้องแลว้ ฉกฉวยเอาผลประโยชน์ ไปเปน็ ของตัวเองหรือพวกพ้อง
โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งพฤติกรรมการคอร์รัปช่ันที่มีความซับซอ้ นดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นจากความรว่ มมอื
กันระหวา่ งนกั การเมือง ข้าราชการและนกั ธุรกจิ ที่มผี ลประโยชน์รว่ มกนั ท้ังสน้ิ
พระพุทธศาสนามีจุดมุ่งหมายให้ทุกคนเป็นคนดีในสังคม ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
การทำความดีทั้ง ๓ ทางเช่นนี้ เรียกว่า การประพฤติสุจริต ๓ ได้แก่ กายสุจริต เป็นความสุจริตทางกาย,
วจีสุจริต เป็นความสุจริตทางวาจา และมโนสุจริต เป็นความสุจริตทางใจ การประพฤติสุจริตทั้ง ๓ ทางนี้
ถือเป็นกุศลกรรม หรือความดีที่มนุษย์พึงปฏิบัติต่อกัน ดังที่ปรากฏในจุฬราหุโลวาทสูตรว่า พระพุทธเจ้า
ตรัสกับพระราหุลว่า บุคคลควร พิจารณาให้ดีแล้วจึงทำกรรมทางกาย ทางวาจา และทางใจ จะต้อง
พิจารณาว่า กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมที่เราปรารถนำจะทำนี้ เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตัวเอง หรือ
เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น หรือเป็นไปเพื่อเบียดเบียนทั้ง ๒ ฝ่าย ถ้าเป็นเช่นนี้ กายกรรม วจีกรรม และ
มโนกรรมน้ัน เปน็ อกุศล มีทกุ ข์เป็นกำไร มที กุ ขเ์ ปน็ วิบาก ก็ขอให้อย่าทำกรรม เช่นนนั้ ในทางตรงกันข้าม
หากพิจารณาแล้วว่า กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ที่เราปรารถนาจะทำน้ี ไม่เป็นไป เพื่อเบียดเบยี น
ตัวเอง หรอื ไม่เปน็ ไปเพื่อเบยี ดเบียนผูอ้ ื่น หรอื ไม่เปน็ ไปเพื่อเบียดเบยี นท้ัง ๒ ฝ่าย ถา้ เป็นเช่นน้ี กายกรรม
วจีกรรม และมโนกรรมนั้น เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก กรรมเช่นนั้นสมควรที่จะทำเป็น
อย่างยง่ิ เพราะการไม่เบยี ดเบยี นตวั เอง ไม่เบยี ดเบยี นผูอ้ น่ื และไมเ่ บยี ดเบียนท้ัง ๒ ฝ่ายเช่นนี้ ถือเป็นสิ่งที่
นำความสุขมาให้ ตรงกับ พุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “อพฺยาปชฺฌ สุข โลเก” แปลความว่า “ความไม่
เบียดเบียน เป็นสุขในโลก” ด้วยเหตุนี้ สำนักส่งเสริมและบูรณาการการมีส่วนร่วมต้านทุจริต สำนักงาน
ป.ป.ช. จึงจัดทำหลักสูตร หรือชุดการเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ด้านการป้องกันทุจริต โดยการ
ประยุกต์หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา กับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเข้าด้วยกัน เรียกว่า “Anti –
Corruption Education” เป็นการนำกรอบศีลธรรม ตามแนวทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์เข้ากับ
หลกั สูตรต้านทุจริตศกึ ษา โดยแบ่งเป็นวธิ ีการ ๒ ประการ ได้แก่
๒
๑) การเปรียบเทยี บ
๒) การบรู ณาการ
การเปรียบเทยี บ (Comparison) หมายถึง การพจิ ารณาเทยี บเคียงให้เหน็ ลกั ษณะท่ีเหมอื นกัน
และตา่ งกนั สว่ นบรู ณาการ (Integration) หมายถงึ การทำสง่ิ ที่บกพร่องให้สมบรู ณ์แบบ โดยการเพ่ิมเติม
บางส่วน ที่ขาดอยู่ให้สมบูรณ์ หรือการนำส่วนประกอบย่อยมารวมกันตั้งแต่สองส่วนเพื่อทำให้เป็น
ส่วนประกอบใหญ่ ของทั้งหมด ดังนั้น การบูรณาการเป็นการเชื่อมสิ่งหนึ่งหรือหลายสิ่งเข้ามาเป็น
ส่วนประกอบกับอีกสิ่งหน่ึง ให้มีความสมบูรณ์กลายเป็นส่วนหนึ่งของแกนหลักหรือส่วนประกอบท่ีใหญ่
กว่า ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่า การเปรียบเทียบทำให้เห็นความเหมือนและความต่าง กล่าวคือ อะไรที่
เหมือนกันจะทำให้เข้าใจง่ายขึ้น ส่วนความแตกต่างกัน จะทำให้เกิดการบูรณาการ เพื่อเชื่อมโยงหรือ
เตมิ เต็มบางสิ่งทีข่ าดไปใหม้ ีความสมบูรณ์มากยง่ิ ข้ึน
หากอธิบายด้วยแนวคิดหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในกรอบของพุทธธรรม พบว่ามีจุดมุ่งหมาย
เพื่อมุ่งเน้นสอนพระภิกษุและเณรให้สามารถอธิบายเนื้อหาในกรอบของพุทธธรรมได้อย่างเด่นชัด และ
พร้อมกันนั้น ก็สามารถเทศน์สัง่ สอนฆราวาสโดยใช้วธิ ีการสอดแทรกเอากรอบแนวคิดหลักสตู รต้านทุจริต
ศึกษาเป็นตัวตั้ง แล้วใช้หลักพุทธธรรมสอดแทรกเข้าไป ที่เรียกว่าการบูรณาการ (Integration) ซึ่งจะใช้
เปน็ เคร่อื งมือกระตุ้นความคิด ในระดับวิทยากรต่อไป เมอ่ื เป็นเชน่ น้ี จึงต้องพิจารณาจากกรอบแนวคิดทั้ง
๒ ด้านผนวกเข้าด้วยกัน กล่าวคือ กรอบแนวคิด หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา และกรอบแนวคิดด้านพุทธ
ธรรม ในที่น้ีจะขอเสนอถงึ กรอบแนวคิดหลักสูตรต้านทจุ รติ ศึกษา มหี ัวขอ้ วิชา ๔ วชิ า ประกอบด้วย
๑) การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนบุคคลกับผลประโยชนส์ ่วนรวม
๒) ความอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ
๓) STRONG - จิตพอเพยี งต้านทจุ รติ
๔) พลเมืองและความรบั ผดิ ชอบต่อสังคม
โดยนำมาเป็นกรอบมโนทัศน์ในการพิจารณาผนวกเข้าด้วยกันกับกรอบแนวคิดด้านพุทธธรรม
กล่าวคือ สังวรสูตร คือ การเรียงลำดับบทตามหลักปธาน ๔ หรือความเพียร ๔ ประการ ได้แก่ ๑) สังวร
ปธาน หมายถึง เพยี รระวงั หรือเพยี รปิดกนั้ คอื เพยี รระวังยบั ยง้ั บาปอกุศลธรรมทย่ี ังไมเ่ กิด มิให้เกิดขน้ึ ๒)
ปหานปธาน หมายถงึ เพยี รละหรือเพยี รกำจัด คอื เพียรละบาปอกุศลธรรมท่เี กดิ ขึ้นแล้ว ๓) ภาวนาปธาน
หมายถึง เพียรเจริญหรือเพียรก่อให้เกิด คือ เพียรทำกุศลธรรมท่ียังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้นมา ๔) อนุรักขนา
ปธาน หมายถึง เพียรรักษา คือ เพียรรักษากุศลธรรมท่ีเกิดขึ้นแล้ว ให้ตั้งมั่น และให้เจริญยิ่งขึ้นไปจน
ไพบูลย์ หลักปธาน ๔ หรอื ความเพยี ร ๔ นี้มีความสำคญั เปน็ อย่างมาก เพราะเปน็ หลกั ธรรมท่มี สี ่วนสำคัญ
ในการทำให้กงล้อขององค์แห่งมรรคทั้ง ๘ ขบั เคลอ่ื นไปข้างหน้าได้ ทีเ่ ปน็ เช่นนั้นเพราะหลักปธาน ๔ นี้ มี
ชื่อเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า สัมมัปปธาน หรือสัมมาวายามะ ซึ่งเป็นข้อที่ ๖ ของมรรคมีองค์ ๘ ที่มี
ความสำคัญเป็นอย่างยงิ่ สำหรบั พระพุทธศาสนา
๓
นอกจากนี้ ยังสามารถนำหลักโกศล ๓ มาพิจารณาร่วมด้วย กล่าวคือ นำหลักการไตร่ตรอง
ดว้ ยกระบวนการทางปัญญาทเี่ กดิ ขนึ้ จากความฉลาดหรือความเช่ียวชาญ ๓ ด้าน ได้แก่
๑) อายโกศล หมายถึง ความฉลาดในความเจริญ รอบรู้ทางเจริญ และเหตุของความเจริญ
กล่าวคือ ความฉลาดในการคิดเชิงบวก มองโลกในแง่ดี พร้อมทั้งค้นหาสาเหตุท่ีทำให้ความเจริญตั้งมั่นอยู่
ได้นานดว้ ย
๒) อปายโกศล หมายถึง ความฉลาดในความเสื่อม รอบรู้ทางเสื่อม และเหตุของความเสื่อม
กล่าวคือ ความฉลาดในการคิดมุมกลับ มองโลกด้วยสายตาที่ประกอบด้วยเหตุผลถึงที่มาของความเสื่อม
ทง้ั หลาย พร้อมท้ังคน้ หาแนวทางท่จี ะไม่ทำใหค้ วามเสื่อมนัน้ เกิดขนึ้ แก่ตวั เองและองค์กร
๓) อุปายโกศล หมายถึง ความฉลาดในอุบาย รอบรู้วิธีแก้ไขเหตุการณ์และวิธีที่จะทำให้ประสบ
ความสำเร็จ กล่าวคือ ความฉลาดในการใช้ปัญญาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็น
กระบวนการขบคดิ หาแนวทางการแก้ปัญหาด้วยปญั ญาโดยชอบ พรอ้ มท้งั หาอบุ ายในการสร้างความเจริญ
ใหด้ ำรงอยูไ่ ด้นานและหาหนทางในการป้องกันมใิ ห้ความเสื่อมเกิดข้ึนแก่ตัวเองและองค์กรต่อไปในอนาคต
เมอ่ื พจิ ารณาถึงความสำคัญของกรอบแนวคดิ หลกั สตู รต้านทุจริตศึกษา มีหัวข้อวิชา ๔ วชิ า ผนวกรวมเข้า
กับกรอบแนวคิดด้านพุทธธรรมที่นำหลักปธาน ๔ มาประยุกต์ร่วมกัน กรอบมโนทัศน์นี้จึงเป็นแนวทาง
ของการพิจารณาหนังสือหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนากับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา : Anti –
Corruption Education น้ี ไดร้ บั การสนับสนนุ จาก สำนกั งานคณะกรรมการ ปอ้ งกนั และปราบปรามการ
ทุจริตแห่งชาติ(สำนักงาน ป.ป.ช.) โดยได้ดำเนินการเสนอหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption
Education) ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ให้
ความเห็นชอบด้วยตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ และมี
การดำเนนิ การ รับความเหน็ ของกระทรวงศึกษาธิการ สำนกั งาน ก.พ. สำนกั งานคณะกรรมการพัฒนาการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาไปพิจารณา
ดำเนินการในส่วนที่เก่ียวข้องด้วย โดยให้ประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตแห่งชาติและให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลงั กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธกิ าร
สำนกั งาน ก.พ. สำนกั งานตำรวจแห่งชาติ และหนว่ ยงานท่ีเก่ยี วข้องหารือรว่ มกับสำนกั งานคณะกรรมการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อพิจารณานำหลักสูตรไปปรับใช้ในโครงการฝึกอบรมของ
ข้าราชการ บุคลากรภาครัฐ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่บรรจุใหม่ บุคลากรทางการศึกษา เช่น
ครู อาจารย์ หรือ ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ในหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน และหลักสูตร
อุดมศึกษา พร้อมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เช่น ตำราเรียน ครู อาจารย์
เพื่อนำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ
หลักสูตรอุดมศึกษาไปปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษา โดยม่งเน้นการสร้างความรู้
ความเข้าใจท่ีถูกต้องเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของการกระทำทุจริตในลักษณะต่างๆ ทั้งทางตรง
และทางอ้อม ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริต ความสำคัญของการต่อต้านการทุจริต รวมทั้งจัดให้มี
การประเมนิ ผลสัมฤทธ์ิของการจดั หลักสูตรในแตล่ ะช่วงวัยของผเู้ รยี นดว้ ย
๔
สำหรับคมู่ ือชดุ กิจกรรมการเรียนรู้บรู ณาการหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนากบั หลกั สตู ร
ตา้ นทจุ ริตศึกษา (Anti-Corruption Education) จัดทำขน้ึ เพือ่ ใช้ประกอบการจัดกจิ กรรมการรสู้ ำหรับ
พระสอนศีลธรรมในโรงเรียน โดยใช้กรอบแนวคดิ ด้านพทุ ธธรรม กลา่ วคอื สงั วรสูตร คือ การเรียงลำดับ
บทตามหลักปธาน ๔ หรือความเพยี ร ๔ ประการ ได้แก่
๑) สังวรปธาน หมายถงึ เพียรระวงั หรือเพียรปิดก้ัน คือ เพยี รระวงั ยบั ยั้งบาปอกุศล
ธรรมทยี่ งั ไม่เกิด มใิ หเ้ กดิ ข้นึ
๒) ปหานปธาน หมายถึง เพียรละหรือเพียรกำจดั คือ เพียรละบาปอกุศลธรรมทเี่ กิดขนึ้
แลว้
๓) ภาวนาปธาน หมายถงึ เพียรเจรญิ หรือเพียรกอ่ ให้เกดิ คือ เพียรททำกุศลธรรมที่ยงั
ไม่เกิดให้เกดิ มีข้ึนมาเกิด ใหเ้ กิดมขี ึ้นมา
๔) อนรุ กั ขนาปธาน หมายถงึ เพยี รรกั ษา คอื เพยี รรกั ษากุศลธรรมท่ีเกดิ ข้นึ แล้ว ใหต้ ง้ั
มัน่ และให้เจรญิ ยิ่งข้นึ ไปจนไพบูลย์
ซ่งึ ในการประยุกต์หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนากบั หลักสูตรต้านทุจริตศกึ ษาเข้าดว้ ยกัน
เรียกว่า “Anti – Corruption Education” เป็นการนำกรอบศลี ธรรม ตำมแนวทำงพระพุทธศาสนามา
ประยุกต์เขา้ กับหลักสตู รต้านทุจริตศกึ ษา โดยแบ่งเปน็ วิธีการ ๒ ประการ ไดแ้ ก่
๑) การเปรยี บเทยี บ
๒) การบูรณาการ
การเปรยี บเทยี บ (Comparison) หมายถึง การพิจารณาเทยี บเคยี งให้เหน็ ลกั ษณะที่เหมอื นกัน
และตา่ งกัน สว่ นบูรณาการ (Integration) หมายถึง การทำส่ิงท่บี กพร่องใหส้ มบูรณแ์ บบ โดยการเพ่ิมเติม
บางส่วนที่ขาดอยู่ให้สมบูรณ์ หรือการนำส่วนประกอบย่อยมารวมกันตั้งแต่สองส่วนเพื่อทำให้เป็น
ส่วนประกอบใหญ่ของทั้งหมด ซึ่งการบูรณาการเป็นการเชื่อมสิ่งหนึ่ง หรือหลายสิ่งเข้ามาเป็น
ส่วนประกอบกับอีกสิ่งหนึ่ง ให้มีความสมบูรณ์กลายเป็นส่วนหนึ่งของแกนหลักหรือส่วนประกอบที่ใหญ่
กว่า ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่า การเปรียบเทียบทำให้เห็นความเหมือนและความต่าง กล่าวคือ อะไรที่
เหมือนกันอาจจะทำเข้าใจง่ายข้นึ สว่ นความแตกต่างกันจะทำให้เกดิ การบรู ณาการ เพอ่ื เชื่อมโยงหรือเติม
เต็มบางสิง่ ทขี่ าดไปให้มคี วามสมบรู ณ์มากยิ่งขนึ้
ดังนั้นการนำคู่มือชุดกิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนากับ
หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้
บรรลุตามจุดประสงค์และศกั ยภาพสูงสดุ ในการเรียนรู้ ในค่มู อื ฉบบั นป้ี ระกอบดว้ ย
๑. คำชแ้ี จงการใช้ชุดกจิ กรรมการเรยี นรบู้ ูรณาการหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา
กับหลกั สูตรตา้ นทุจริตศกึ ษา (Anti-Corruption Education)
๒. สง่ิ ทพ่ี ระสอนศลี ธรรมตอ้ งเตรียมกอ่ นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
๓. ส่งิ ท่พี ระสอนศลี ธรรมจะต้องแจง้ ผู้เรยี น
๔. การจดั การเรียนรู้โดยการลงมือปฏิบตั ิจริง (Active Learning)
๕
๕. องค์ประกอบการจัดการเรียนรู้
๖. โครงสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้
๗. ชุดกิจกรรมการเรียนรชู้ ่วงชน้ั ท่ี ๑ - ช่วงชัน้ ที่ ๔
โดยคู่มือฉบับนี้จะอธิบายวิธีการเตรียมการสำหรับพระสอนศีลธรรมก่อนที่จะจัดการเรียนรู้
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยการลงมือปฏิบัติจริง (Active Learning) ภาระงาน/ชิ้นงาน สื่อการเรียนรู้
และแหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้บูรณาการ
หลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนากับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ของ
พระสอนศีลธรรม เพอื่ พฒั นาผูเ้ รียนใหเ้ ปน็ บุคคลแหง่ การเรยี นรู้อยา่ งแท้จริง
๖
คำช้แี จงการใชช้ ดุ กจิ กรรมการเรียนรู้บูรณาการ
หลกั ธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนากับหลกั สตู รต้านทุจรติ ศึกษา (Anti – Corruption Education)
คู่มือการชุดกิจกรรมการเรียนรูบ้ ูรณาการหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนากับหลักสูตรต้าน
ทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) เป็นคู่มือสำหรับพระสอนศีลธรรมเพื่อใช้ในการจัดกิจกรรม
การบูรณาการหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนากับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption
Education) ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีโดยนำหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาที่สอดคล้องกับ
การต่อต้านการทุจริตในสังคมที่เน้นให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ ด้วยตนเองผ่านการลงมือปฏิบัติจริง
(Active Learning) โดยมีพระสอนศีลธรรมเป็นผู้จัดเตรียมสถานการณ์ เป็นผู้ให้คำแนะนำ ปรึกษาและ
คอยอำนวยความสะดวกในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน ดำเนินการวัดและประเมินผลโดยใช้
วิธกี ารทห่ี ลากหลายตามสภาพจรงิ ดงั นั้นเพ่ือเปน็ การพฒั นาผูเ้ รยี นให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ย่างแท้จริง
พระสอนศลี ธรรม สามารถดำเนินการไดด้ ังน้ี
๑. พระสอนศลี ธรรมควรศึกษาชุดกิจกรรมการการเรยี นรู้บรู ณาการหลกั ธรรมคำสอน
ในพระพุทธศาสนากับหลักสตู รตา้ นทุจรติ ศกึ ษา (Anti-Corruption Education) ใหเ้ ข้าใจโดยละเอียด
๒. พระสอนศลี ธรรม ศกึ ษาการจัดการเรียนรู้โดยการลงมอื ปฏบิ ัติจรงิ (Active
Learning) พุทธวิธีการสอน และองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ (OLE) ให้เข้าใจ เพื่อจะได้ทราบ
กระบวนการในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรแู้ ละสามารถจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ได้อยา่ รงาบรืน่
๓. พระสอนศีลธรรมจัดเตรียมใบกิจกรรม ใบงาน วัสดุ อุปกรณ์ ที่อยู่ในชุดกิจกรรมการ
เรียนร้แู ตล่ ะหน่วย ให้เพยี งพอต่อจำนวนผเู้ รียน และควรมีสำรองประมาณ ๒-๓ ชุด โดยสามารถประสาน
กบั ครูผสู้ อนในแต่ละโรงเรียนเพ่อื อำนวยความสะดวกในการจัดทำเอกสาร
๔. พระสอนศีลธรรม สามารถเลือกใช้สื่อในภาคผนวก ที่สอดคล้องกับชุดกิจกรรมท่ี
เหมาะสมกบั แตล่ ะช่วงช้ัน
๕. ในระหว่างการทำกิจกรรม พระสอนศีลธรรมควรเดินดรู อบๆ ห้องเพอื่ คอยสังเกตและ
บันทึกพฤติกรรมของนกั เรียน และคอยใหค้ ำแนะนำเม่อื นกั เรียนต้องการ
๗. พระสอนศีลธรรมควรตรวจแบบทดสอบ ใบงาน ผลงานของนักเรียน หรือให้นักเรียน
ตรวจคำตอบด้วยตนเอง แล้วแจ้งผลให้นกั เรยี นทราบทันทีเพ่ือให้นักเรียนรู้พัฒนาการของตนเอง และเกิด
ความภาคภมู ิใจในความสำเร็จของตนเอง
๗
การจดั การเรยี นรโู้ ดยการลงมอื ปฏบิ ัตจิ รงิ (Active Learning)
แนวคดิ ของการจดั การเรยี นรูเ้ ชิงรุก (Active Learning)
การจดั การเรียนรูเ้ ชงิ รกุ (Active learning) เป็นกระบวนการเรียนการสอนทีส่ ่งเสริมให้ ผู้เรียนมี
ส่วนร่วมในชั้นเรียน สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ โดยมีครู
เป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) สร้างแรงบันดาลใจ ให้คำปรึกษา ดูแล แนะนำทำหน้าที่เป็นโคช้
และ พี่เลี้ยง (Coach & Mentor) แสวงหาเทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย
ให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย (Meaningful learning) ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ได้ มีความข้าใจ
ในตนเอง ใช้สติปัญญา คิด วิเคราะห์ สร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมที่บ่งบอกถึงการมีสมรรถนะสำคัญ
ในศตวรรษที่ ๒๑ มีทักษะวิชาการ ทักษะชีวิต และทักษะวิชาชีพ บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ตามระดับ
ชว่ งวัย
ความหมายของการจดั การเรยี นรเู้ ชิงรกุ (Active Learning)
การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) คือ การเรียนที่เน้นให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับ
การ เรียนการสอน กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดขั้นสูง ( Higher-Order Thinking) ด้วย
การวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่า ไม่เพียงแต่เป็นผู้ฟัง ผู้เรียนต้องอ่าน เขียน ตั้งคำถาม และถาม
อภิปรายร่วมกัน ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง โดยต้องคำนึงถึงความรู้เดิมและความต้องการของผู้เรียนเป็น
สำคัญ ทั้งนี้ผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับความรู้ไปสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้
ความสำคัญของการจัดการเรียนรเู้ ชิงรกุ (Active Learning)
๑. Active Learning ส่งเสริมการมีอิสระทางด้านความคิดและการกระทำของผู้เรียน
การมีวิจารณญาณ และการคิดสร้างสรรค์ ผู้เรียนจะมีโอกาส มีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริงและมีการใช้
วิจารณญาณในการคิดและตัดสินใจในการปฏิบัติกิจกรรมนั้น มุ่งสร้างให้ผู้เรียนเป็นผู้กำกับทิศทาง
การเรียนรู้ ค้นหาสไตล์การเรียนรู้ของตนเอง สู่การเป็นผู้รู้คิด รู้ตัดสินใจด้วยตนเอง (Metacognition)
เพราะฉะนั้น Active Learning จึงเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาความคิด
ขั้นสูง (Higher order thinking) ในการมีวิจารณญาณ การวิเคราะห์ การคิดแก้ปัญหา การประเมิน
ตดั สินใจ และการสรา้ งสรรค์
๒. Active Leaning สนับสนุนส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ซ่ึงความร่วมมือในการปฏิบัตงิ านกล่มุ จะนำไปส่คู วามสำเรจ็ ในภาพรวม
๓. Active Learning ทำให้ผู้เรียนทุ่มเทในการเรียน จูงใจในการเรียน และทำให้ผู้เรียน
แสดงออกถึงความรู้ความสามารถ เมื่อผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรมอย่างกระตือรือร้น
ในสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวย ผ่านการใช้กิจกรรมที่ครูจัดเตรียมไว้ให้อย่างหลากหลาย ผู้เรียนเลือก
เรียนรู้ กิจกรรมต่าง ๆ ตามความสนใจและความถนัดของตนเอง เกิดความรับผิดชอบและทุ่มเทเพื่อมุ่งสู่
ความสำเร็จ
๘
๔. Active Learning สง่ เสริมกระบวนการเรียนรทู้ ี่ก่อให้เกิดการพฒั นาเชิงบวกทั้งตวั ผู้เรียน และ
ตัวครู เป็นการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน ผู้เรียนจะมีโอกาสได้เลือกใช้ความถนัด ความสนใจ
ความสามารถที่เป็นความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) สอดรับกับแนวคิดพหุปัญญา
(Multiple Intelligence) เพื่อแสดงออกถึงตัวตนและศักยภาพของตัวเอง ส่วนครูผู้สอนต้อง
มีความตระหนักที่จะปรับเปลี่ยนบทบาท แสวงหาวิธีการ กิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อช่วยเสริมสร้าง
ศักยภาพของผู้เรียนแตล่ ะคน สิ่งเหล่านีจ้ ะทำให้ครูเกิดทักษะในการสอนและมีความเชี่ยวชาญในบทบาท
หน้าท่ที รี่ บั ผิดชอบ เปน็ การพฒั นาตน พฒั นางาน และพัฒนาผูเ้ รียนไปพร้อมกัน
ลกั ษณะของการจัดการเรยี นรูเ้ ชงิ รกุ (Active Learning)
ลกั ษณะของการจดั การเรยี นรเู้ ชิงรกุ มดี งั น้ี
๑. เป็นการพัฒนาศกั ยภาพการคดิ การแกป้ ญั หา และการนำความรูไ้ ปประยกุ ตใ์ ช้
๒. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดระบบการเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้โดยมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ใน
รูปแบบของความร่วมมอื มากกวา่ การแข่งขนั
๓. เปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รยี นมสี ่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสดุ
๔. เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศ สู่ทักษะการคิดวิเคราะห์และ
ประเมินคา่
๕. ผู้เรียนไดเ้ รียนรคู้ วามมีวนิ ัยในการทำงานร่วมกบั ผอู้ น่ื
๖. ความรู้เกิดจากประสบการณ์และการสรปุ ของผ้เู รียน
๗. ผสู้ อนเป็นผ้อู ำนวยความสะดวกในการจดั การเรียนรเู้ พื่อใหผ้ ู้เรยี นเปน็ ผปู้ ฏิบตั ิดว้ ยตนเอง จาก
ลกั ษณะการเรยี นรู้แบบ Active Learning
ดงั กล่าว จึงควรมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ ท่ีสอดคล้องกนั ดงั น้ี
๑. จัดการเรียนรู้ที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหาและการนำความรู้ไป
ประยุกต์ใช้
๒. จัดการเรียนรทู้ ีเ่ ปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นมีสว่ นร่วมในกระบวนการเรยี นร้สู ูงสุด
๓. จดั ให้ผ้เู รยี นสร้างองคค์ วามรู้และจัดกระบวนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
๔. จัดให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทั้งในด้านการสร้างองค์ความรู้การสร้างปฏิสัมพันธ์
รว่ มกัน สรา้ งรว่ มมอื กันมากกวา่ การแขง่ ขัน
๕. จัดให้ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทำงานและการแบ่งหน้าท่ี
ความรับผดิ ชอบในภารกิจตา่ ง ๆ
๖. จัดกระบวนการเรียนที่สร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิดอย่างลุ่มลึก ผู้เรียนจะเป็น
ผจู้ ัดระบบการเรยี นร้ดู ้วยตนเอง
๗. จัดกจิ กรรมการจดั การเรยี นร้ทู เี่ น้นทกั ษะการคดิ ข้ันสูง
๘. จัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร หรือสารสนเทศและหลักการ
ความคิดรวบยอด
๙
๙. ผู้สอนจะเป็นผูอ้ ำนวยความสะดวกในการจัดการเรยี นรู้ เพอื่ ให้ผู้เรยี นเป็นผ้ปู ฏิบตั ิด้วย ตนเอง
๑๐. จัดกระบวนการสร้างความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้และการสรุป
ทบทวนของผเู้ รยี น
ลักษณะของกจิ กรรมทีเ่ ป็นการเรียนรู้เชิงรกุ
๑. กระบวนการเรียนรู้ที่ลดบทบาทการสอนและการให้ความรู้โดยตรงของครูแต่เปิดโอกาสให้
ผู้เรียนมีส่วนรว่ มสรา้ งองค์ความรู้ และจดั ระบบการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง
๒. กจิ กรรมพัฒนาการเรียนรขู้ องผูเ้ รียนใหน้ ำความรู้ ความเขา้ ใจไปประยกุ ตใ์ ช้ สามารถ
วิเคราะห์ สงั เคราะห์ ประเมนิ ค่า คิดสรา้ งสรรค์ส่ิงต่าง ๆ พฒั นาทกั ษะกระบวนการคดิ ไปสู่ระดบั ที่สูงขนึ้
๓. กิจกรรมเชื่อมโยงกับนักเรียน กับสภาพแวดล้อมใกล้ตัว ปัญหาของชุมชน สังคม หรือ
ประเทศชาติ
๔. กิจกรรมเปน็ การนำความรู้ท่ีได้ไปใช้แก้ปญั หาใหม่ หรือใช้ในสถานการณใ์ หม่
๕. กิจกรรมเน้นให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดของตนเองอย่างมีเหตุมีผล มีโอกาสร่วมอภิปรายและ
นำเสนอผลงาน
๖. กิจกรรมเน้นการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน และปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียน
ดว้ ยกัน
การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้เชงิ รุกตามพทุ ธวิธีในการสอน
วิธีสอนแบบพระพุทธเจ้าในทางพระพุทธศาสนานอกจากมีหลักธรรมอันประเสริฐเพื่อการพัฒนา
ให้ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว พระพุทธเจ้าทรงมีวิธีสอนที่หลากหลาย เน้นให้เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติด้วย
ตนเอง เรียก ไดว้ า่ เป็นการเรยี นรูแ้ บบพุทธ (ประเวศ วะสี, ๒๕๔๖) มีวัตถปุ ระสงค์เพือ่ การลดความเห็นแก่
ตัวหรือตัวกูของกู เพื่อการอยู่รวมกันอย่างสันติ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
กระบวนการเรียนรูเ้ ป็นการ เรยี นรจู้ ากประสบการณ์ กิจกรรม และการทำงานในวิถชี ีวติ
พระพุทธเจ้าทรงมีวิธีการสอนอันชาญฉลาด เมื่อพระองค์ทรงแสดง พระธรรมเทศาสนาจบลง
มักมีผู้สรรเสริญพระธรรมเทศนาเสมอว่า แจ่มแจ้งจริงพระองค์ ผู้เจริญแจม่ แจง้ จริง พระธรรมเทศนาของ
พระองค์ เหมือนหงายของท่ีคว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง ส่องประทีปในเมืองให้คนที่มีจักษุ
เห็นรูป (วศิน อินทสระ, ๒๕๖๓) พระองค์ทรงใช้วิธีการสอนที่หลากหลายตามแต่ระดับสติปัญญาของ
ผู้เรียน และในการสอน แต่ละครั้งพระพุทธเจ้าทรงคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยแบ่งบุคคล
ออกเป็น ๔ จำพวก คอื
๑. อุคฆฏติ ัญญู ผอู้ าจรูธ้ รรมไดพ้ ลนั เปรยี บเหมือนดอกบวั อยเู่ หนอื น้ำ พอถูกแสงอาทิตย์กบ็ าน
๒. วิปจิตัญญู ผู้อาจรู้ธรรมได้ต่อเมื่อท่านได้อธิบายเปรียบเทียบดอกบัวปิ่มน้ำอันจะบาน
ในวันรุ่งขึน้
๓. เนยยะ ผพู้ อจะแนะนำ ส่ังสอนอยู่บอ่ ย ๆ จึงรตู้ ามเปรยี บเหมือนดอกบัวใตน้ ำ้ อันจะบานในวัน
ต่อ ๆ ไป
๑๐
๔. ปทปรมะ พวกบรมโง่ คือ พวกที่แม้จะแนะนำสั่งสอนอย่างไรก็ไม่เข้าใจหรือไม่รับฟังทั้งนั้น
เปรียบเหมือนดอกบัวซึ่งติดอยู่กับดินอัน จะเป็นอาหารปลาและเต่า ในบุคคลเหล่านี้ พระพุทธเจ้าทรง
เลือกสอนบุคคล ๓ ประเภทแรกโดยทรงเลือก ธรรมะให้เหมาะสมกับอุปนิสัยและปญั ญาบารมีของบุคคล
น้นั (พระธรรมปฎิ ก ป.อ. ปยุตโฺ ต, ๒๕๔๔)
การเรียนรู้แบบพุทธเป็นวิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงเผยแพร่พระธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้เพื่อให้
ประชาชนทุกหมเู่ หลา่ ไดเ้ รียนรูแ้ นวการสอนของพระพุทธเจา้ ซง่ึ มีลกั ษณะสำคัญ ๔ ประการ ดังน้ี
๑. สันทัสสนา ในการอบรมสั่งสอนธรรมะของพระองค์จะชี้แจงให้ผู้ฟังอย่างเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
ชัดเจน เหน็ จรงิ
๒. สมาปทา พระองคจ์ ะอธบิ ายใหผ้ ู้ฟงั เห็นวา่ เรือ่ งที่พูดถึงนัน้ เปน็ ความจริง
๓. สมุตเตชนา พระองค์จะใช้วิธีปลุกเร้าใจให้ผู้ฟังคึกคัก กระตือรือร้นที่จะปฏิบัติตามหลักธรรม
นนั้ ให้ประสบความสำเร็จ
๔. สัมปหังสนา ในการบรรยายธรรมะ พระองค์จะสร้างบรรยากาศให้เอื้อต่อการเรียนรู้ (วรวิทย์
วศินสรากร, ๒๕๔๖)
นอกจากน้ี ลักษณะการสอนของพระพุทธเจ้า แบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ คอื
๑) ทรงสั่งสอนโดยการปฏิวัติ เป็นการ “เปลี่ยน” หลักคำสอนดั้งเดิมของศาสนาพื้นเมืองอย่าง
กลับหน้ามือเป็นหลังมือ เช่น ศาสนา พราหมณ์สอนให้ฆ่าสัตว์บูชายัญแต่พระพุทธเจ้ากลับให้มีความ
เมตตากรุณาต่อสัตว์แทน หรอื การสอนให้ ทรมานตนในการปฏบิ ัติ เพอื่ บรรลคุ ณุ ธรรมช้ันสูง พระพุทธเจ้า
ทรงทดลองมาแลว้ เห็นวา่ ไม่ใชท่ างตรสั รู้ ทรง สอนใหใ้ ชว้ ธิ ีอน่ื ที่เรียกวา่ ทางสายกลาง เปน็ การอบรมกาย
วาจาใจในทางประพฤตปิ ฏิบตั ิทชี่ อบแทน เปน็ ตน้
๒) ทรงสั่งสอนโดยการปฏิรูป เป็นการสอนโดยวิธีคัด “แปลง” ของเก่าที่ยังไม่ดีให้ดีขึ้นหรือของ
เก่ามี ความหมายอย่างหนึ่ง แต่นามาแปลความหมายเสียใหม่เพื่อใหต้ รงกับหลักเหตผุ ลยิ่งขึน้ เชน่ ศาสนา
พราหมณ์ สอนให้ลงอาบน้ำในแม่น้ำศกั ดิ์สทิ ธิ์แลว้ จะบริสุทธ์ิจากบาปได้ แตพ่ ระพทุ ธศาสนาสอนให้ตั้งอยู่
ในศีล อันเป็น การอาบที่ตัวไม่เปียก แต่ทำให้บริสุทธิ์สะอาดได้ดีกว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์ หรือคำสอนเรื่อง
พราหมณ์ว่า เป็นผู้ประเสริฐ โดยชาติกำเนิด คือ เกิดจากมารดาบิดาอยู่ในวรรณะพราหมณ์ แต่
พระพุทธเจ้าทรงอธิบายใหม่วา่ คนเราไม่เป็น พราหมณ์หรือผู้ประเสรฐิ เพราะชาติสกุล แต่เป็นผูป้ ระเสริฐ
เพราะการกระทาหรือความประพฤติ เป็นตน้
๓) ทรงสั่งสอนโดย “ตั้งหลักขึ้นใหม่” ที่ยังไม่มีสอนในที่อื่น แต่ทรงสอนไปตามหลัก สัจธรรม
ที่ทรงค้นพบ ดังจะเห็นในเรื่องหลักธรรมเรื่องความพ้นทุกข์ที่เรียกว่า อริยสัจ ๔ ประการ เป็นหลักธรรม
ที่ตั้งขึ้นใหม่อันแสดงไว้ชัด ทั้งเหตุและผล คือ การจะพ้นทุกข์ก็ต้องรู้ว่าอะไรเป็นตัวความทุกข์ อะไรเป็น
เหตขุ องความดบั ทุกข์ และการดับ ความทุกขค์ อื ดบั อะไร ทำอย่างไร หรือปฏบิ ัติอย่างไร จงึ จะดับทุกข์ได้
เปน็ ตน้
ฉะนั้น จากวิธีการสอนของพระพุทธเจ้าดงั กล่าวสรุปได้ว่า วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า คือ แบบ
สากัจฉา หรอื สนทนา แบบบรรยาย แบบตอบปัญหา แบบวางกฎข้อบังคบั หลกั การสอนของพระพุทธเจ้า
๑๑
ดังกล่าวมานี้ แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในการสอนของ พระองค์ได้อย่างชัดเจน สามารถสรุป
การสอน ของพระพุทธเจ้าได้ว่า “พระพุทธเจ้าทรงมีวิธีสอนอันชาญฉลาด เมื่อพระองค์แสดงพระธรรม
เทศนาจบลง ผู้ฟัง จะสรรเสริญเสมอว่า แจ่มแจ้งจริง พระองค์ผู้เจริญ แจ่มแจ้งจริง พระธรรมเทศนาของ
พระองค์เสมือนหงายของ ท่ีควำ่ บอกหนทางแก่คนหลงทาง ส่องประทีปในทีม่ ดื ให้คนมีจักษไุ ดเ้ ห็นรูป...”
จึงสมควรอย่างยิ่งที่ผู้ทาหน้าที่ ในการสอนจะได้ศึกษาและทาความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการสอนของ
พระพุทธเจา้ พร้อมกับยึดถือเปน็ หลัก ปฏิบัติ(วศิน อนิ ทสระ, ๒๕๔๕) การเรียนการสอนตามแบบพุทธวิธี
มีพฤติกรรมการพัฒนาที่ดีขึ้นตามลำดับ ปรากฏว่ามีการนำเอาการศึกษาและหลักธรรมทาง
พระพุทธศาสนามาใช้ในการจัดกระบวนการเรียนการสอนท่ี เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ จึงน่าจะเป็น
ประโยชน์ในการนำไปศกึ ษาตอ่ ไป
๑๒
การออกแบบการจัดการเรียนการสอน
การสอน คือ การจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้หรือเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น การสอนจึงเป็นกระบวนการสำคัญท่ีก่อให้เกิดความเจรญิ งอกงาม การสอนจึง
เป็นภารกิจที่ต้องใช้ทั้ง ศาสตร์ และศิลป์จึงจะสามารถก่อให้เกิดประสบการณ์ที่มีความหมายต่อ
การเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมของนักเรียน ซ่ึงมคี วามครอบคลมุ ทงั้ ด้าน วิธีการ ด้านตวั บุคคล น่ันคอื ผู้สอน
และผู้เรียนต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ดา้ นเปา้ หมายการสอนและดา้ น ความสามารถของผู้สอน ซ่ึงจะช่วยให้
การสอนประสบผลสำเร็จได้ดี ส่งผลให้ผู้เรยี นเกิดการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมตามจุดประสงคท์ ่ีกำหนด ซ่ึง
ตอ้ งอาศยั ทงั้ ศาสตร์และศลิ ป์ของผู้สอน
ลกั ษณะการสอน
ลักษณะการสอนที่ดีนั้นจะช่วยให้ครูประสบผลสำเร็จในการสอนให้นักเรียนมีความเข้าใจ
ในบทเรียนนั้น ๆ มีการส่งเสริมนักเรียนให้เรียนด้วยการกระทำ เพราะการได้ลงมือทำจริง จะทำให้
ประสบการณ์ที่มีความหมายส่งเสริมนักเรียนให้เรียนด้วยการทำงานเป็นกลุ่ม นักเรียนได้แสดง
ความคิดเหน็ ยอมรับความคิดเห็นซง่ึ กนั และกนั และรู้จักการทำงานรว่ มกับผู้อ่ืน ซึ่งมขี อ้ สังเกตของลักษณะ
การสอนได้ ๓ ประการ ดังน้ี
๑. การสอนเปน็ กระบวนการปฏิสัมพันธร์ ะหว่างผสู้ อนกับผู้เรียน
๒. การสอนมจี ดุ ประสงค์ให้ผ้เู รียนเกิดการเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมตามจดุ ประสงค์ท่ีกำหนดไว้
๓. การสอนจะบรรลจุ ดุ ประสงค์ได้ดีตอ้ งอาศยั ทัง้ ศาสตรแ์ ละศลิ ปข์ องผู้สอน ซึง่ สามารถอธิบายได้
ดงั นี้
๓.๑ การสอนเปน็ กระบวนการปฏสิ ัมพันธร์ ะหวา่ งผสู้ อนกับผเู้ รยี น ซง่ึ การสอนจะเกิดขึ้น
ได้นั้นทั้งผู้สอนและ ผู้เรียนต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน และเป็นปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นไป
ตามลำดับขั้นตอนเพ่ือทำให้ผูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้ หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการจัดการเรียนการ
สอน ในการจัดการเรียนการสอนถ้าครูและนักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม การร่วมมือกันแลกเปลี่ยน
ประสบการณ์กัน นักเรยี นไดแ้ สดงออกด้วยการพูด การเขยี น การทดลอง การคดิ การสรา้ งงานศลิ ปะ การ
ตัดสินใจ การ แก้ปัญหา ฯลฯ โดยที่ครูเป็นผู้จัดสถานการณ์และสิ่งเร้าให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดจน
ได้รับ ประสบการณ์ใหม่ การจัดสถานการณ์และสิ่งเร้าเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้นี้ต้องจัดอย่างมีล
าดับ ขั้นตอนอย่างต่อเนื่องสัมพันธ์กัน เช่น จัดสอนโดยมีขั้นนำเข้าสู่บทเรียน มีขั้นตอนการสอนตาม
ลักษณะ ของเทคนิควิธีการสอนที่นำมาใช้ มีขั้นการสรุปบทเรียน ทุกขั้นตอนเหล่านี้ต้องมีความต่อเนื่อง
สมั พนั ธก์ ัน จึงจะเรียกว่าเปน็ กระบวนการ ดังนัน้ การสอนจงึ เปน็ กระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับ
ผ้เู รียนท่ีทำให้ผเู้ รียนได้รับประสบการณ์จริง
๓.๒ การสอนมจี ุดประสงคใ์ หผ้ ูเ้ รียนรู้ เกิดการเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมตามจดุ ประสงคท์ ี่
กำหนดไว้ ข้อนี้ต้องการเน้นท่ีเป้าหมายของการสอน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมทั้ง ๓
ดา้ น ไดแ้ ก่
๑๓
๓.๒.๑ ดา้ นความรู้ (Knowledge) ความคิด หรอื ด้านพุทธิพิสยั กล่าวคอื
ผ้เู รยี นเกิดความเจริญงอกงามทางสตปิ ัญญา เกดิ การพฒั นาข้ึนจากความไม่รู้ไม่เข้าใจ เปล่ียนเป็นมีความรู้
ความเข้าใจ มีความคิดและคิดเป็น เช่น จากการอ่านเขียนไม่ได้ไม่เป็น มาเป็นอ่านออกเขียนได้แสดง
ความคิดเหน็ ได้ ตัดสินใจแกป้ ัญหาได้ ประเมนิ ค่าและวจิ ารณ์ได้ ฯลฯ
๓.๒.๒ ดา้ นทกั ษะ (Process) หรอื ดา้ นทกั ษะพสิ ยั หมายถึง ความสามารถ
กระทำได้ ปฏิบัติได้ถูกต้องตามวัย เช่น สามารถว่ายน้ำได้ พิมพ์ดีดได้ ร้อยมาลัยได้ วาดภาพได้
โยนลูกบอลได้ ฟัง พูด อ่าน เขียนได้ ฯลฯ ผู้เรียนจะเกิดทักษะถ้าได้ฝึกปฏิบัติบ่อยๆ ดังนั้นในการสอน
จึงต้องตั้งจุดประสงค์ให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทั้ง ๓ ด้านมิใช่ด้านใด ด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว จึงจะถือว่า
เป็นการสอนที่สมบูรณ์ ตลอดจนมุ่งให้ผู้เรยี นสามารถนำประสบการณ์ ใหมไ่ ปใช้ได้
๓.๒.๓ ดา้ นเจตคติ (Attitude) หรือดา้ นจติ พิสยั เก่ยี วกบั ความรู้สึกเหน็ คณุ คา่
ความดี ความงาม ผู้เรียนเกิดการพัฒนาในด้านนี้ เช่น รู้สึกซาบซึ้งในบทกลอนที่ได้ฟังได้อ่าน เห็นคุณค่า
ของการใช้ภาษาไทย ให้ถูกต้อง เกิดการยอมรับที่จะช่วยกันรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี เห็นคุณค่า
ความสำคญั ของการอนรุ ักษ์ ปา่ ไม้ เปน็ ตน้
๓.๓ การสอนจะบรรลจุ ดุ ประสงค์ไดด้ ีต้องอาศยั ท้ังศาสตรแ์ ละศลิ ปข์ องผสู้ อนขน้ึ อยู่กบั
สมรรถภาพของผู้สอน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสอน การสอนจะบรรลุผลตามจุดประสงค์
ได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถของผูส้ อนทั้งด้านวิชาการ วิชาชีพทักษะและเทคนิคการสอน
เป็นสำคญั ดังนนั้ ผเู้ ป็นครจู ะต้อง รจู้ กั ศาสตรก์ ารสอน เช่น ความรเู้ กีย่ วกับวิธีสอน หลักการสอนจิตวิทยา
การเรยี นรู้ ฯลฯ และรู้จักใช้ศลิ ป์การสอนซึง่ เป็นเทคนคิ การสอนเปน็ อย่างดีถ้าครมู คี วามรูด้ ที ั้งด้านวิชาการ
และวิชาชีพครูแล้วสามารถประยุกต์ความรู้นั้นไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีศิลปะ ดังนั้น การสอนจึงต้อง
อาศยั ท้ังศาสตร์และศิลป์เพ่ือทำให้ผู้เรยี นเกิดการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมตามจุดประสงคท์ กี่ ำหนดไว้
จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า การสอนจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีกระบวนการปฏิสัมพันธ์ ระหว่าง
ครูผู้สอนกับผู้เรียน มีเป้าหมายการจัดกิจกรรมการสอน และการสอนจะประสบผลสำเร็จได้ดี ถ้า ครู
ผ้สู อนรจู้ ักใช้ศาสตรอ์ ยา่ งมีศลิ ป์
องคป์ ระกอบของการสอน
การสอนจะเกดิ ข้ึนได้ตองอาศัยองคประกอบหลายด้าน ทุกสงิ่ ทกุ อย่างเก่ียวของกับการสอน และ
มีสวนสงเสริมใหการสอนประสบผลสำเร็จ จัดเป็นองคประกอบของการสอนทั้งสิ้น นักวิชาการ
นักการศึกษาหลายท่านได้ระบุองคประกอบของการสอนไวแตกต่างกันไป พอสรุปเป็นวงจรการจัด
การเรยี นการสอน ซง่ึ สามารถจดั องคป์ ระกอบได้ ๓ ประการ ดังนี้
๑. วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้หรอื จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (Objective) ควรเขียนเปน็
วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม (Behavioral Objective) โดยเน้นใหผ้ ้เู รียนไดพ้ ฒั นาในเร่อื งตอ่ ไปนี้
๑.๑ ความรู้ (Knowledge: K)
๑.๒ ทกั ษะกระบวนการ (Process: P) ทักษะกระบวนการคิดและการปฏบิ ัติ
รวมท้งั การแสดงออก
๑๔
๑.๓ เจตคติ (Attitude : A) คือ ความสนใจ พอใจ รวมทัง้ ลกั ษณะนสิ ัย
๒. ประสบการณเ์ รยี นรู้ (Learning Experiences) ในส่วนน้ีประกอบดว้ ย ๒ สว่ น ได้แก่
๒.๑ เน้อื หาสาระ (Content) ทีต่ อ้ งการให้ผู้เรยี นได้รับ
๒.๒ กระบวนการจดั การเรียนรู้ (Process of Learning) เป็นขั้นตอน
การจดั การเรียนรู้ ต้ังแตข่ ้ันนํา ขน้ั กจิ กรรม ขั้นสรปุ
๓. การประเมนิ ผล (Evaluation) เปน็ การตคี า่ ผลการเรียนรู้ของผู้เรยี นซง่ี ตอ้ งใช้ข้อมลู
เชิงปรมิ าณและเชงิ คุณภาพจากการประเมินผลการเรยี นรู้ตามสภาพจริง (Authentic Assessment) หรือ
การ ประเมินผลการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง องค์ประกอบทั้ง ๓ ข้างต้นปรากฏในแผนภาพ
ตอ่ ไปน้ี
องคประกอบท้ังสาม รวมเรยี กวา “ไตรยางศการสอน” หรือ OLE ซงึ่ มีความสมั พนั ธ์
ดงั ภาพท่ี ๑
ภาพท่ี ๑ : แผนภาพองค์ประกอบของแผนการจดั การเรยี นรู้ (พิมพนั ธ์เดชะคุปต์, ๒๕๕๐: ๑๒)
๑๕
โครงสรา้ งชุดกิจกรรมการเรียนรบู้ รู ณาการหลกั ธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา
กบั หลกั สตู รตา้ นทจุ ริตศกึ ษา (Anti – Corruption Education)
ลำดบั หนว่ ยการเรียนรู้ สาระสำคญั /เนอ้ื หา จำนวน
ชัว่ โมง
ที่
๘
ช่วงชั้นที่ ๑ (ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ๑ - ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๓) ๒
๑ สังวรปธาน : การคดิ แยกแยะระหว่าง - อัตถะ ๓ ๒
๒
ผลประโยชน์สว่ นบคุ คลกับผลประโยชน์ส่วนรวม - สติสงั วร ๒
- สีลสงั วร ๘
๒
๒ ปหานปธาน : การละอายและความไม่ทนต่อการ - หริ ิโอตัปปะ
๒
ทุจรติ - บาปบุญคณุ โทษ
๒
๓ ภาวนาปธาน : STRONG จิตพอเพยี งต่อตา้ นการ - สจุ รติ ๓ ๒
ทจุ ริต - สัมมาทิฏฐิ
๔ อนุรักขนาปธาน : พลเมอื งกบั ความรับผิดชอบต่อ - อปริหานยิ ธรรม
สังคม - กายกรรม
- วจกี รรม
- มโนกรรม
ชว่ งชนั้ ท่ี ๒ (ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๔ - ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๖)
๑ สงั วรปธาน : การคดิ แยกแยะระหวา่ ง - อัตถะ ๓
ผลประโยชน์สว่ นบคุ คลกบั ผลประโยชน์สว่ นรวม - สตสิ งั วร
- สีลสังวร
- ญาณสงั วร
๒ ปหานปธาน : การละอายและความไม่ทนตอ่ การ - หริ ิโอตัปปะ
ทจุ ริต (หลักธรรม)
- คุณคา่ แท้
- คุณคา่ เทยี ม
- โยนิโสมนิการ
(หลักธรรมรอง)
๓ ภาวนาปธาน : STRONG จิตพอเพยี งต่อต้านการ - สุจรติ ๓
ทจุ ริต - สันโดษ
๔ อนุรักขนาปธาน : พลเมอื งกับความรบั ผดิ ชอบต่อ - อปรหิ านิยธรรม ๗
สังคม - กายกรรม
- วจกี รรม
๑๖
ลำดบั หน่วยการเรยี นรู้ สาระสำคญั /เนอ้ื หา จำนวน
ชัว่ โมง
ท่ี
๘
- มโนกรรม ๒
- ทิฏฐิสามัญญตา ๒
๒
ชว่ งชนั้ ที่ ๓ (ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ ๑ – ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓) ๒
๑ สังวรปธาน : การคดิ แยกแยะระหว่าง - อตั ถะ ๓ ๘
๒
ผลประโยชน์ส่วนบุคคลกบั ผลประโยชน์ส่วนรวม - สตสิ งั วร
๒
- สีลสังวร ๒
- ญาณสังวร
- ขันตสิ ังวร
๒ ปหานปธาน : การละอายและความไม่ทนต่อการ - หิริโอตัปปะ
ทุจริต - คิดแบบมีเหตผุ ล
๓ ภาวนาปธาน : STRONG จิตพอเพียงต่อตา้ นการ - สุจริต ๓
ทุจริต - จักขมุ า วธิ ุโร
นสิ สยสัมปนั โน
๔ อนุรกั ขนาปธาน : พลเมอื งกับความรับผิดชอบต่อ - อปรหิ านยิ ธรรม
สังคม - กายกรรม
- วจกี รรม
- มโนกรรม
- สลี สามัญญตา
ชว่ งชน้ั ที่ ๔ (ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๔ - ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖)
๑ สังวรปธาน : การคดิ แยกแยะระหว่าง - อตั ถะ ๓
ผลประโยชน์ส่วนบคุ คลกับผลประโยชน์สว่ นรวม - สติสังวร
- สีลสงั วร
- ญาณสังวร
- ขนั ตสิ งั วร
- วริ ยิ ะสงั วร
๒ ปหานปธาน : การละอายและความไม่ทนตอ่ การ - หริ ิโอตัปปะ
ทจุ ริต - อริยสจั วิภชั ชวาท
๓ ภาวนาปธาน : STRONG จิตพอเพยี งต่อต้านการ - สจุ ริต ๓
ทจุ รติ - จกั ขมุ า วิธโุ ร
นิสสยสมั ปนั โน
๑๗
ลำดับ หน่วยการเรยี นรู้ สาระสำคญั /เนื้อหา จำนวน
ชั่วโมง
ท่ี
๒
๔ อนุรักขนาปธาน : พลเมืองกบั ความรับผดิ ชอบต่อ - อปรหิ านิยธรรม
สังคม - กายกรรม
- วจกี รรม
- มโนกรรม
- สลี สามญั ญตา
๑
ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้
หนว่ ยที่ ๑ สังวรปธาน : การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม
ชว่ งชัน้ ท่ี ๑ (ป.๑-ป.๓)
เร่อื ง ผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม เวลา ๒ ช่ัวโมง
๑. สาระการเรยี นรู้/เนอ้ื หา
สังวรปธาน หมายถึง การเพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น หมายถึง การป้องกันไม่ให้
เกิดการทุจริตคอร์รปั ชัน โดยสร้างภมู คิ ุ้มกนั ทางจิตใจ มใิ ห้ความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดขึน้
อัตถะ ๓ หมายถึง ประโยชน์หรือผลที่มุ่งหมาย ๓ ประการ ได้แก่ อัตตัตถะ หมายถึง ประโยชน์ตน,
ปรัตถะ หมายถึง ประโยชน์ผู้อื่น, อุภยัตถะ หมายถึง ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น
รวมกัน หรอื ทเ่ี รียกวา่ ประโยชน์ส่วนรวมสติสงั วร หมายถึง การมสี ติในการสำรวมระมัดระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ใจเมื่อมีรูปารมณ์ เป็นต้นมากระทบ โดยนัยน้ี สติ เป็นองค์คุณสำคญั ในการควบคุมมิให้อารมณ์ที่เป็นข้าศึกเกดิ ขึน้
“ยานิ โสตานิ โลกสฺมึ สติ เตสํ นิวารณํ โสตานํ สํวรํ พฺรูมิ” กระแสเหล่าใดมีอยู่ในโลก สติเป็นเครื่องกั้นกระแส
เหล่านั้น เรากล่าวว่า สติเป็นเครื่องกั้นกระแส คำว่า กระแส ในที่นี้ หมายถึง ตัณหา ความทะยานอยาก ดังน้ัน
ปุถุชน จึงต้องใช้สติในการสำรวมระมัดระวัง จักขุนทรีย์ เป็นต้น เพื่อเป็นเครื่องกั้นกระแสคือตัณหาความทะยาน
อยากนน้ั
สีลสังวร หมายถึง การสำรวมในการรักษาศีลอันได้แก่ ปาฏิโมกสังวรศีล อันเป็นศีลของบรรพชิต สำหรับ
ฆราวาสผู้ครองเรือนจะหมดจดได้ด้วยสมาทานวิรัติ คือ มีเจตนางดเว้นด้วยวิธีรับสมาทานเบญจศีล มีการเปล่ง
วาจา เป็นต้น หรือตั้งสัตยาธิษฐานต่อหน้าสมาคมว่า ข้าพเจ้าจักประพฤติหน้าที่ให้เป็นสุจริต เป็นต้น บางท่านมี
คณุ ธรรมสงู อันนบั เน่อื งด้วยมหี ิรโิ อตปั ปะ ละอายชั่ว กลวั ต่อบาป เมือ่ ประสบกบั โลภะท่ีบงั เกิดเฉพาะหน้า สามารถ
หกั ห้ามใจ ไมป่ ระพฤติไปตามอำนาจกเิ ลสได้ เรียกว่า มีสมั ปตั ตวริ ตั ิ ปฏเิ สธไดเ้ มื่อเผชญิ กับอารมณ์ที่น่าใคร่
๒. จุดประสงค์
๒.๑ เพอ่ื ใหน้ ักเรียนมีความรคู้ วามเขา้ ใจเก่ยี วกับหลกั ธรรมอัตถะ ๓ สตสิ ังวร และ สลี สงั วร (K)
๒.๒ เพื่อใหน้ กั เรียนสามารถนำหลกั ธรรมอตั ถะ ๓ สตสิ ังวร และ สลี สงั วรไปปฏบิ ตั ไิ ด้ (P)
๒.๓ เพอื่ ใหน้ ักเรยี นเห็นความสำคญั และหลกั ธรรมอตั ถะ ๓ สตสิ งั วร และ สลี สังวร (A)
๓. ข้นั ตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้แบบ (Active learning)
ชัว่ โมงท่ี ๑
๓.๑ ขนั้ นำ (สตสิ งั วร)
๑. นกั เรยี นร่วมกนั สวดมนต์ไหวพ้ ระ พร้อมกับนง่ั สมาธิก่อนเรยี นหรือกิจกรรมทีส่ ง่ เสรมิ ใหเ้ กิด
สมาธิเพ่อื ให้มสี มาธิก่อนเขา้ สู่บทเรียน
๒. นกั เรยี นชมคลปิ วิดีโอ “แก้ไมจ่ บสีแ่ ยกกลว้ ยแขกทำรถติดผิดกฎหมาย” (ลิงค์คลปิ วดิ ีโออยใู่ น
ภาคผนวก) จากนน้ั นักเรยี นร่วมกันตงั้ คำถามจากคลิปวดิ โี อทไ่ี ดร้ ับชม และร่วมกนั ตอบคำถาม
ตวั อยา่ งคำถาม ๑. บุคคลในคลิปวดิ ีโอกำลงั ทำอะไร (แนวคำตอบ คนขายกลว้ ยแขกกลางสี่แยก
ไฟแดง และมรี ถจอดซ้อื กลว้ ยแขกทำให้รถตดิ )
ตวั อย่างคำถาม ๒. การกระทำของบุคคลในคลปิ วิดีโอสง่ กระทบอย่างไร (แนวคำตอบ ส่งผลดคี อื
กอ่ ใหเ้ กิดรายได้ สง่ ผลเสีย คอื ทำให้รถติด ประชาชนเดือดร้อน)
๒
๓.๒ ข้นั สอน (สีลสังวร อัตถะ ๓)
๑. นักเรียนร่วมกันแสดงความคดิ เห็น ในประเดน็ ดังต่อไปน้ี
- นกั เรยี นร่วมกนั ยกตวั อย่างสิ่งของทีเ่ ป็นของใชส้ ว่ นตน และส่ิงของทีเ่ ป็นของใช้
สว่ นรวมวา่ มอี ะไรบ้าง
- นกั เรียนร่วมกันยกตวั อย่างสถานทส่ี ่วนตน และสถานท่สี ว่ นรวมว่ามีอะไรบ้าง
๒. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ ๆ ละ ๔-๕ คน รว่ มกนั ทำใบงานท่ี ๑.๑ เรือ่ งของใชส้ ่วนตัวและส่วนรวม
และใบงานท่ี ๑.๒ เรือ่ ง การแยกแยะสถานทสี่ ว่ นตนและสถานที่สว่ นรวม
๓. ให้นักเรยี นแต่ละกลุ่มสง่ ตัวแทนนำเสนอใบงานท่ี ๑.๑ ใบงานท่ี ๑.๒ พร้อมท้งั รว่ มกนั
ตรวจสอบใบงานแลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ จากการทำใบงาน และการปฏิบตั ติ นทเี่ หมาะสมเกย่ี วกบั ของใช้ สถานท่ี
ทั้งในส่วนตนและในส่วนรวม
๔. นกั เรยี นชมคลิปวดิ ีโอ “อตั ถะ ๓” (ลงิ คค์ ลปิ วิดีโออยู่ในภาคผนวก)
๓.๓ ขัน้ สรุป (สตสิ ังวร สีลสังวร และอัตถะ ๓)
๑. นกั เรียนและครรู ่วมกันสรุปความหมาย องค์ประกอบของหลกั ธรรมอัตถะ ๓ พร้อมทั้งสรปุ
องค์ความรู้ท่ีไดจ้ ากการเรยี นการสอนในชวั่ โมงน้ี โดยมีแนวทางการสรุป ดังนี้
- สรุปความหมาย องค์ประกอบของหลกั ธรรมอัตถะ ๓
- นักเรียนเกิด สติสงั วร คือ ระลึกได้ รับรู้ มีจติ ใจจดจ่อ ในขณะทีน่ กั เรียนดูคลปิ วิดโี อ
- นกั เรยี นเกิด สลี สงั วร คอื การกระทำ การแสดงออกทาทางกาย วาจา ในการมีสว่ นร่วม แสดง
ความคิดเหน็ การทำใบงาน
๒. มอบหมายใหน้ ักเรียนทำใบงานท่ี ๑.๓ เรอ่ื ง อตั ถะ ๓ เปน็ การบา้ นรายบุคคล และนำมาสง่ ใน
ช่ัวโมงถัดไป
ชว่ั โมงที่ ๒
๓.๑ ขั้นนำ (สติสังวร)
๑. นักเรียนร่วมกันสวดมนตไ์ หวพ้ ระ พร้อมกับนั่งสมาธกิ ่อนเรยี นหรือกจิ กรรมทส่ี ่งเสรมิ ให้เกิด
สมาธิเพื่อให้มสี มาธกิ ่อนเข้าสู่บทเรียน
๒. นกั เรียนและครรู ว่ มกันทบทวน สรปุ ความหมาย องคป์ ระกอบของหลกั ธรรมอัตถะ ๓
๓. ให้นักเรยี นเลน่ เกมเกา้ อดี้ นตรี แล้วรว่ มกันสนทนาถงึ เหตุการณ์หลังจากการเล่นเกมส้ินสุด
โดยมีแนวคำถามดังนี้
- ในขณะท่นี กั เรยี นไดน้ ง่ั เกา้ อี้ นักเรยี นรู้สกึ อยา่ งไร และในขณะที่นกั เรยี นไม่ไดน้ ง่ั เกา้ อ้ี
นกั เรียนรู้สึกอยา่ งไร (ผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม)
- นกั เรยี นจะมวี ธิ ีการช่วยเหลอื เพื่อนที่ไมม่ ีเก้าอ้ีนั่งไดอ้ ยา่ งไร
๔. สรุปเกมเกา้ อด้ี นตรี
- มีสติในการดำเนนิ ชวี ติ การเคารพให้เกียรติซง่ึ กนั และกัน พรอ้ มทงั้ รู้จัก การแบ่งปนั
ให้กบั บุคคลรอบข้าง
๓.๒ ขั้นสอน (สีลสงั วร อตั ถะ ๓)
๑. เลอื กตัวแทนนกั เรียนนำเสนอใบงานที่ ๑.๓ เร่อื ง อัตถะ ๓ นักเรียนและครูร่วมกนั ทบทวน
ความรู้ทไ่ี ดจ้ ากการทำใบงาน ที่ ๑.๓ และชน่ื ชมนักเรียนที่ออกมานำเสนอหน้าชัน้ เรยี น
๓
๒. รว่ มกนั อภิปรายแลกเปล่ียนความคดิ เห็นโดยนำหลักธรรม อตั ถะ ๓ มาอธิบายเชื่อมโยงกับ
คำว่า สิทธิส่วนตนและสิทธิสว่ นรวม (โดยใช้ใบความรู้ความหมายของบทบาทหน้าทแ่ี ละสิทธิ)
๓. ใหน้ กั เรียนแบง่ กลมุ่ ๆละ ๔-๕ คน ช่วยกนั ระดมความคิดเห็นและทำใบงานท่ี ๑.๔ เร่ือง
การปฏบิ ัตติ นทแ่ี สดงถึงการเคารพสิทธขิ องตนเองและผู้อ่ืน
๔. ใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลมุ่ สง่ ตัวแทนนำเสนอใบงานที่ ๑.๔ และร่วมกันอภปิ รายแสดงความคดิ เหน็
เกี่ยวกบั ใบงาน
๓.๓ ขั้นสรปุ (สตสิ ังวร สีลสังวร และอัตถะ ๓)
๑. นักเรยี นและครรู ว่ มกันสรุปหลกั ธรรม สตสิ งั วร สลี สังวร และ อตั ถะ ๓ ว่าสอดคล้องกับการ
ปฏิบัตติ นใหเ้ หมาะสมกับบทบาทหน้าทีข่ องตนเองอยา่ งไรในประเด็นต่อไปนี้
- บทบาทหนา้ ท่ีของนักเรียน (สอดคล้องกบั สติสงั วร สีลสงั วร และ อตั ถะ ๓ อยา่ งไร)
- นักเรยี นสามารถปฏบิ ตั ติ นอย่างไรได้บ้างเพ่อื ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อตนเอง (สอดคล้องกบั สตสิ งั วร
สีลสงั วร และ อตั ถะ ๓ อยา่ งไร)
- นักเรียนสามารถปฏิบตั ิตนอย่างไรได้บ้างเพอ่ื ให้เกดิ ประโยชน์ตอ่ สังคม (สอดคล้องกบั สติสงั วร
สลี สงั วร และ อัตถะ ๓ อยา่ งไร)
๔. ภาระงาน/ชนิ้ งาน
๔.๑ ใบงานที่ ๑.๑ เรอ่ื ง ของใช้ส่วนตวั และสว่ นรวม
๔.๒ ใบงานท่ี ๑.๒ เรอื่ ง การแยกแยะสถานทีส่ ว่ นตนและสถานทีส่ ่วนรวม
๔.๓ ใบงานที่ ๑.๓ เร่ือง อัตถะ ๓
๔.๔ ใบงานท่ี ๑.๔ เรื่อง การปฏบิ ัตติ นท่แี สดงถงึ การเคารพสทิ ธิของตนเองและผู้อ่ืน
๕. สอ่ื /แหลง่ เรียนรู้
๕.๑ คลปิ วดิ ีโอ “แก้ไมจ่ บสแี่ ยกกล้วยแขกทำรถติดผิดกฎหมาย จากลงิ ค์
https://www.youtube.com/watch?v=n๙๖PP_๖J๑K๐
๕.๒ คลิปวดิ โี อ “อัตถะ ๓” จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=pn๓k๕
IznNRM&ab_channel=BKindStory
๕.๓ ใบความรู้ ความหมายของบทบาทหน้าท่ีและสิทธิ
๖. การวัดและประเมินผล
๖.๑ วิธกี ารวดั และประเมินผล
๑. ตรวจใบงาน
๒. สงั เกตการทำงานกลมุ่
๓. สงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล
๖.๒ เครอื่ งมือและเกณฑก์ ารวดั และประเมนิ ผล
๑. แบบประเมินใบงาน
๒. แบบสังเกตการทำงานกลุ่ม
๓. แบบสังเกตพฤตกิ รรมรายบุคคล
๔
ภาคผนวก
๑. คลิปวิดีโอ “แก้ไม่จบสแ่ี ยกกลว้ ยแขกทำรถตดิ ผิดกฎหมาย”
ลิงค์ : https://www.youtube.com/watch?v=n๙๖PP_๖J๑K๐
๒. คลิปวดิ ีโอ “อตั ถะ ๓”
ลงิ ค์ : https://www.youtube.com/watch?v=pn๓k๕IznNRM&ab_channel=BKindStory
๕
ใบความรู้ ความหมายของบทบาทหนา้ ที่และสทิ ธิ
คำช้แี จง ใหน้ กั เรยี นทำเคร่ืองหมาย ใบงานที่ ๑.๑ ๖
ใช้ส่วนรวม เรอื่ ง ของใชส้ ่วนตวั และสว่ นรวม
ภาพของใชท้ ่ีเป็นของสว่ นตัว และทำเคร่อื งหมาย ภาพของที่เป็น
คำช้แี จง ให้นักเรียนทำเคร่ืองหมาย เฉลย ๗
ใช้ส่วนรวม ใบงานท่ี ๑.๑
เรือ่ ง ของใช้ส่วนตวั และส่วนรวม ภาพของที่เป็น
ภาพของใชท้ ่ีเปน็ ของส่วนตวั และทำเคร่ืองหมาย
๘
แบบตรวจใหค้ ะแนนใบงาน
เลขที่ ชอ่ื -สกลุ คะแนนทไ่ี ด้ สรปุ ผล
(๑๐ คะแนน) ผ่าน ไมผ่ า่ น
สรุป
เกณฑก์ ารประเมนิ
๙ – ๑๐ =ดมี าก
๗ – ๘ = ดี
๕ – ๖ = ปานกลาง
น้อยกวา่ ๕ = ปรับปรุง
๙
ใบงานท่ี ๑.๒
เรือ่ ง การแยกแยะสถานที่ส่วนตนและสถานท่สี ่วนรวม
คำชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นทำเครื่องหมาย ทับภาพทีเ่ ปน็ สถานที่ส่วนตน และ ล้อมรอบภาพทเี่ ปน็ สถานที่
ส่วนรวม
๑๐
เฉลย
ใบงานท่ี ๑.๒
เรอ่ื ง การแยกแยะสถานทีส่ ่วนตนและสถานทส่ี ่วนรวม
คำชแี้ จง ให้นักเรียนทำเครื่องหมาย ทับภาพทเ่ี ป็นสถานทส่ี ่วนตน และ ล้อมรอบภาพที่เปน็ สถานที่
ส่วนรวม
๑๑
แบบตรวจให้คะแนนใบงาน
เลขที่ ชอ่ื -สกลุ คะแนนทไ่ี ด้ สรปุ ผล
(๑๐ คะแนน) ผา่ น ไมผ่ า่ น
สรุป
เกณฑ์การประเมิน
๙ – ๑๐ =ดีมาก
๗ – ๘ = ดี
๕ – ๖ = ปานกลาง
น้อยกว่า ๕ = ปรบั ปรุง
๑๒
ใบงานท่ี ๑.๓
เรอื่ ง อตั ถะ ๓
คำช้แี จง ให้นกั เรียนนำตัวเลขหนา้ ข้อความท่ีกำหนดให้ต่อไปน้เี ติมลงในช่องว่างให้ถูกต้อง
(๑) ประโยชนต์ น (๒) ประโยชนผ์ อู้ น่ื (๓) ประโยชน์ส่วนรวม (๔) ปรัตถะ (๕) อัตตตั ถะ
(๖) อุภยัตถะ (๗) ประโยชนห์ รือผลทีม่ ุง่ หมาย ๓ ประการ
๑. อัตถะ ๓ หมายถึง...........................................................................................................................
๒. อัตตตั ถะ หมายถงึ .........................................................................................................................
๓. ปรตั ถะ หมายถึง............................................................................................................................
๔. อุภยตั ถะ หมายถึง............................................................................................................................
๕. ประโยชนป์ ระเภทใดทมี่ คี วามจำเป็นต่อสังคมมากทส่ี ุด คอื ..............................................................
๖. จากภาพ คือการอา่ นหนังสือ เปน็ การสร้างประโยชน์ใหก้ บั ตนเอง
ตรงกับหลักธรรมอัตถะ ๓ คอื ...............................................................
๗. จากภาพ คือ เดก็ ช่วยคณุ ยายข้ามถนน เป็นการสร้างประโยชนใ์ ห้กับผอู้ น่ื
ตรงกบั หลกั ธรรม อตั ถะ ๓ คือ...............................................................
๘. จากภาพ คือ การชว่ ยกนั กวาดพื้น เก็บขยะ เปน็ การสร้างประโยชนใ์ หก้ บั
ส่วนรวม ตรงกับหลักธรรม อัตถะ ๓ คือ...............................................................
จากภาพ คือ การช่วยกันกวาดลานวดั เปน็ การสรา้ งประโยชน์ให้กับสว่ นรวม
๙. ตรงกบั หลกั ธรรม อัตถะ ๓ คือ...............................................................
๑๐. จากภาพ คือ เดก็ ๆ แปรงฟนั เป็นการสร้างประโยชน์ให้กับตนเอง ตรงกับ
หลกั ธรรม อัตถะ ๓ คอื ...............................................................
๑๓
เฉลย ใบงานที่ ๑.๓
เรอื่ ง อัตถะ ๓
คำช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นนำตัวเลขข้อความท่ีกำหนดให้ต่อไปนี้เตมิ ลงในช่องว่างใหถ้ ูกต้อง
(๑) ประโยชนต์ น (๒) ประโยชน์ผอู้ ่ืน (๓) ประโยชน์สว่ นรวม (๔) ปรตั ถะ (๕) อตั ตตั ถะ
(๖) อุภยตั ถะ (๗) ประโยชน์หรอื ผลทม่ี งุ่ หมาย ๓ ประการ
๑. อตั ถะ ๓ หมายถึง (๗) ประโยชน์หรือผลทมี่ งุ่ หมาย ๓ ประการ
๒. อัตตตั ถะ หมายถงึ (๑) ประโยชน์ตน
๓. ปรัตถะ หมายถงึ (๒) ประโยชนผ์ อู้ น่ื
๔. อุภยัตถะ หมายถึง (๓) ประโยชนส์ ่วนรวม
๕. ประโยชนป์ ระเภทใดทีม่ ีความจำเป็นต่อสงั คมมากท่สี ุด คอื (๓) ประโยชน์ส่วนรวม
๖. จากภาพ คือการอ่านหนังสือ เปน็ การสรา้ งประโยชนใ์ ห้กบั ตนเอง ตรงกบั
หลักธรรมอตั ถะ ๓ คอื (๕) อัตตัตถะ
๗. จากภาพ คือ เด็กช่วยคุณยายข้ามถนน เป็นการสร้างประโยชน์ใหก้ ับผอู้ ่ืน ตรง
กับหลักธรรม อตั ถะ ๓ คือ (๔) ปรตั ถะ
๘. จากภาพ คือ การช่วยกันกวาดพื้น เกบ็ ขยะ เปน็ การสร้างประโยชนใ์ หก้ บั
ส่วนรวม ตรงกับหลักธรรม อัตถะ ๓ คือ (๖) อภุ ยัตถะ
๙. จากภาพ คือ การช่วยกันกวาดลานวัด เปน็ การสร้างประโยชน์ให้กับสว่ นรวม
ตรงกับหลักธรรม อตั ถะ ๓ คือ (๖) อุภยัตถะ
๑๐. จากภาพ คือ เด็ก ๆ แปรงฟนั เป็นการสร้างประโยชน์ใหก้ ับตนเอง ตรงกบั
หลกั ธรรม อัตถะ ๓ คอื (๕) อัตตัตถะ
๑๔
แบบตรวจใหค้ ะแนนใบงาน
เลขที่ ช่อื -สกลุ คะแนนท่ไี ด้ สรุปผล
(๑๐ คะแนน) ผ่าน ไมผ่ า่ น
สรุป
เกณฑก์ ารประเมิน
ช่วงคะแนน ๙ – ๑๐ =ดมี าก
๗ – ๘ = ดี
๕ – ๖ = ปานกลาง
นอ้ ยกวา่ ๕ = ปรับปรุง
๑๕
ใบงานที่ ๑.๔
เร่ือง การปฏบิ ัติตนที่แสดงถึงการเคารพสิทธิของตนเองและผู้อ่ืน
คำชี้แจง ใหน้ กั เรยี นวาดภาพระบายสีการปฏบิ ตั ติ นที่แสดงให้เหน็ ถึงการเคารพสทิ ธิของตนเองและผู้อนื่
พรอ้ มบรรยายใตภ้ าพ
………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………….
๑๖
เฉลย ใบงานท่ี ๑.๔
เรอ่ื ง การปฏิบตั ติ นท่แี สดงถึงการเคารพสิทธขิ องตนเองและผอู้ ื่น
คำช้แี จง ใหน้ ักเรียนวาดภาพระบายสีการปฏิบัติตนทแี่ สดงใหเ้ หน็ ถึงการเคารพสทิ ธขิ องตนเองและผูอ้ ่นื
พร้อมบรรยายใตภ้ าพ
นกั เรียนเขยี นบรรยายจากภาพ
นนนกั เรียนวาดภาพระบายขสึ้นีใหอ้ตยรู่กงกับบั ดหลุ วั ขยอ้ พทนิ่ีกิจาหขนอดงขค้นึ รอผู ยู้สกู่ อบั ดนุลยพนิ ิจของครูผสู้ อน
………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………….
๑๗
แบบประเมินใบงาน
ลำดับ ชอ่ื -สกุล ภาพวาดตรง ภาพวาด เนอ้ื หา ใช้ภาษาได้ ความ
ที่ ตามหัวข้อท่ี ระบายสี สอดคล้องกบั ถกู ต้อง เรียบร้อย รวม ๒๐
สวยงาม เปน็ ระเบยี บ คะแนน
กำหนด สรา้ งสรรค์ ภาพ
๔๓๒๑ ๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒ ๑๔๓๒๑
เกณฑ์การให้คะแนน เกณฑ์การประเมิน
๔ คะแนน = ดีมาก ช่วงคะแนน ๑๖-๒๐ = ดีมาก
๓ คะแนน = ดี ๑๑-๑๕ = ดี
๒ คะแนน = ปานกลาง ๕-๑๐ = พอใช้
๑ คะแนน = ปรบั ปรุง ๐-๕ = ปรับปรงุ
๑๘
ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้
หนว่ ยที่ ๒ ปาหานปธาน : ความละอาย และความไม่ทนต่อการทจุ รติ ช่วงช้นั ท่ี ๑ (ป.๑-๓)
เร่ือง ความละอาย และความไม่ทนต่อการทจุ รติ (จำนวน ๒ ชัว่ โมง)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
๑. สาระสำคญั /เนือ้ หา
หลกั ธรรม ปหานปธาน หมายถงึ การเพยี รพยามยามและการทุจรติ ซ่งึ มีอยแู่ ลว้ ภายในจิตใจ โดยอาศัยการ
พจิ ารณาเหน็ โทษของการทุจรติ ทีม่ ีอยูภ่ ายในจติ แหง่ ตนแลว้
หิริโอตตัปปะ หมายถึง : ความละอายและความเกรงกลัวต่อบาป เป็นหลักธรรมคุ้มครองโลกให้สงบสุข
รักตนเอง รักครอบครวั รกั สว่ นรวม
หริ ิ (อา่ นวา่ หิ-ร,ิ ห-ิ หริ) แปลวา่ ความละอายแกใ่ จ ความละอายต่อบาป
โอตตปั ปะ (อ่านว่า โอดตับปะ) แปลว่า ความเกรงกลัว หมายถงึ ความสะดุ้งกลัวต่อผลของความชว่ั ตอ่ ผล
ของความทุจรติ ท่ีทำไว้
๒.จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
๒.๑ เพือ่ ให้นกั เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในเรอ่ื งหลกั ธรรม ปหานปธานและหิริโอตตัปปะ (K )
๒.๒ เพ่อื ให้นกั เรียนสามารถนำหลกั ธรรม เรื่อง ปหานปธาน และ หริ ิโอตตัปปะ ไปปรบั ใชใ้ น
ชีวติ ประจำวนั ได้ (P)
๒.๓ เพื่อให้นกั เรยี นเหน็ ความสำคญั ของหลักธรรม ปหานปธาน และ หิรโิ อตตปั ปะ (A)
๓.ข้ันตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบ (Active learning)
ชั่วโมงที่ ๑
๓.๑ ขน้ั นำ
๑. นักเรียนสวดมนต์นั่งสมาธิก่อนเรียนประมาณ ๕ นาที โดยกิจกรรมต่าง ๆ เช่น นั่งสมาธิ
การเล่นเกมทดสอบสมาธิตา่ งๆ
๒. นักเรยี นและครูดคู ลปิ วิดีโอเร่ือง “วดี โิ อลอกข้อสอบ” (ลิงค์คลปิ วิดีโออยู่ในภาคผนวก)
๓.นกั เรยี นและครรู ว่ มกันแสดงความคดิ เหน็ และวเิ คราะห์ ทบทวน เร่ือง พฤติกรรมของตวั ละคร
ในวีดิโอลอกแบบเนยี น วา่ มพี ฤตกิ รรมอะไรบ้าง และร่วมกันเขียนลงในกระดาน
๓.๒ ข้นั สอน
๑. นักเรียนวิเคราะห์พฤติกรรมของตัวละครในวีดิโอลอกแบบเนียน ว่ามีพฤติกรรม ที่ดีหรือไม่
และนกั เรียนจะทำตามไหม เพราะเหตุใด
๒.นักเรียนทำใบงานที่ ๒.๑ เรอื่ งหิรโิ อตตัปปะ ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต
๓. ครอู ธิบายเพม่ิ เติมในการนำหลกั ธรรมเรือ่ ง หิรโิ อตตัปปะ จาก ใบงานท่ี ๒.๑
เร่อื งหริ โิ อตตปั ปะ ความละอายและความไมท่ นต่อการทจุ ริต
๓.๓ ข้นั สรุป
๑. นกั เรียนและครูรว่ มกันสรุปหลักธรรม เรื่อง หิริโอตตปั ปะ และทำใบงาน เร่ือง หริ ิโอตตัปปะ
ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ ริต
๑๙
๒. นักเรียนร่วมกนั เสนอแนวทางการแกป้ ัญหาพฤติกรรมที่เกิดจาก คลิปวิดโี อหนังสั้นและนำไป
ปรับใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั ของตนเองได้
ชัว่ โมงท่ี ๒
๓.๑ ข้นั นำ
๑. นักเรียนสร้างสมาธิก่อนเรียนประมาณ ๕ นาที เพื่อให้มีสติในการเรียน โดยกิจกรรมต่าง ๆ
เชน่ การเลน่ เกมทดสอบสมาธิต่างๆ
๒. นกั เรียนร่วมกนั พดู คุย ทบทวนหลกั ธรรม เรื่อง ปหานปธาน และ หริ ิโอตตัปปะ จากชัว่ โมงที่
ผ่านมา
๓. นกั เรียนดวู ดี ิโอ เร่ือง บาปบญุ คณุ โทษ (ลงิ คค์ ลิปวิดีโออย่ใู นภาคผนวก)
๔. นักเรียนและครูร่วมกันวิเคราะห์ จากการที่ดูวีดิโอ โดยครูอาจตั้งคำถามชวนคิดว่า
เกิดเหตุการณอ์ ะไรขึ้นและส่งผลอย่างไรกับตวั ละครในเรอ่ื ง
๓.๒ ขั้นสอน
๑. นกั เรยี นและครูอา่ นแผนภมู ิ “ขอ้ ปฏบิ ัตใิ นการสอบ”
“ขอ้ ปฏบิ ัตใิ นการสอบ”
๑. ไม่คยุ กัน
๒. ไมถ่ ามเพื่อน
๓. ไม่แอบดคู ำตอบ
๔. ไมใ่ หเ้ พอ่ื นลอกขอ้ สอบ
๕. ไมอ่ า่ นขอ้ สอบเสียงดัง
๒. นกั เรียนรว่ มกันสนทนา การลอกข้อสอบของเพื่อนว่าดีหรอื ไม่ และถา้ นักเรยี นเห็นเพ่ือนลอก
ขอ้ สอบกนั หรอื เพ่ือนลอกขอ้ สอบของนักเรยี นเอง นักเรยี นจะทำอยา่ งไร (การลอกข้อสอบของเพื่อนเป็นสิ่งไม่
ดี นา่ ละอาย ไมค่ วรทำ เปน็ คนเหน็ แก่ตัว ถา้ เห็นเพ่อื นกาลังลอกข้อสอบของเรา เราก็พยายามปดิ เพื่อแสดงให้
เพ่ือนรู้ว่าเราไม่พอใจ เราไม่อยากใหเ้ พื่อนลอกหรือบอกให้ครูทราบ เพ่ือให้ครูตักเตือนหรือลงโทษตามความ
เหมาะสม)
๓. นักเรยี นทำ ใบงานที่ ๒.๒ เรอ่ื ง การประยกุ ต์ใชค้ วามรู้เรื่องความละอาย และความไม่ทนตอ่
การทจุ ริตกบั กิจกรรมภายในบ้านหอ้ งเรียน
๒๐
๓.๓ ขน้ั สรปุ
๑. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ซักถามในประเด็นหลักธรรมที่นักเรียนสงสัยและทบทวน
หลักธรรมที่สามารถนำไปปฏิบัติในชวี ิตประจำวันได้
๔. ภาระงาน/ชิน้ งาน
๔.๑ ใบงานท่ี ๒.๑ เร่อื ง หริ โิ อตตัปปะ ความละอายและความไมท่ นต่อการทุจริต
๔.๒ ใบงานท่ี ๒.๒ เร่อื ง การประยุกตใ์ ชค้ วามรเู้ ร่ืองความละอาย และความไม่ทนต่อการทจุ รติ กบั
กิจกรรม ภายในบ้านห้องเรียน
๕.สอื่ แหล่งเรยี นรู้
๕.๑ คลปิ วิดีโอ เรอื่ ง “วีดโิ อลอกข้อสอบ” https://www.youtube.com/watch?v=q๒MOqup-MIs
๕.๒ คลิปวิดีโอ เรือ่ ง บาปบญุ คณุ โทษ https://www.youtube.com/watch?v=_hh๑๖๙mxlGo
๖.การวัดและประเมนิ ผล
๖.๑ วิธกี ารวัดและประเมินผล
๑. ตรวจใบงาน
๒. สงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล
๖.๒ เครอื่ งมือและเกณฑก์ ารวดั และประเมินผล
๑. แบบประเมนิ ใบงาน
๒. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล
๒๑
ภาคผนวก
๑. คลปิ วิดโี อ เรอื่ ง “วดี ิโอลอกข้อสอบ”
ลงิ ค์ : https://www.youtube.com/watch?v=q๒MOqup-MIs
๒. คลปิ วดิ ีโอ “บาปบญุ คุณโทษ”
ลงิ ค์ : https://www.youtube.com/watch?v=_hh๑๖๙mxlGo&ab_channel=pat๓๑๗๓๓
๒๒
ใบงานที่ ๑
เรือ่ ง หริ ิโอตตปั ปะ ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจรติ
คำชี้แจง ให้นกั เรยี นดูภาพและตอบคำถามให้ถกู ต้อง
ชอ่ื …………………….....……………นามสกลุ ……..........…………....................…ชน้ั ................เลขท่ี ….......….
๑. ภาพทีน่ กั เรียนเห็นเป็นภาพทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับพฤตกิ รรมตรงกบั หลกั ธรรมใด
ตอบ..................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
๒. นกั เรียนรู้สกึ อยา่ งไรเมื่อเห็นภาพที่กำหนดให้
ตอบ.................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
๓. นกั เรยี นนำหลักธรรม หริ ิโอตตปั ปะ ไปใชใ้ นชวี ิตประจำวันได้อยา่ งไร
ตอบ..................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
๒๓
เฉลยใบงานที่ ๑
เรื่อง หริ โิ อตตัปปะ ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต
คำช้ีแจง ให้นกั เรยี นดภู าพและตอบคำถามให้ถูกต้อง
ชื่อ…………………….....……………นามสกลุ ……..........…………....................…ช้ัน................เลขที่ ….......….
๑. ภาพท่ีนกั เรียนเหน็ เป็นภาพทเี่ กย่ี วข้องกบั พฤตกิ รรมตรงกบั หลกั ธรรมใด
ตอบ นักเรยี นกำลงั ลอกการบา้ นเพื่อน เกย่ี วข้องกับพฤตกิ รรมด้านความละอาย ไม่เกรงกลัวตอ่
การทุจริตตรงกบั หลกั ธรรม หริ ิโอตตัปะ
๒. นกั เรยี นรสู้ ึกอย่างไรเมื่อเห็นภาพท่ีกำหนดให้
ตอบ ขึน้ อยู่กบั ดลุ ยพนิ ิจของครผู ู้สอน
๓. นักเรียนนำหลกั ธรรม หิริโอตตัปะ ไปใชใ้ นชีวิตประจำวนั ได้อย่างไร
ตอบ รู้จกั ความละอายตอ่ การกระทำท่ีทุจริต
๒๔
ใบงานท่ี ๒ ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ
เรือ่ ง การประยุกตใ์ ชค้ วามร้เู รอื่ งความละอาย และความไมท่ นตอ่ การทุจรติ กับกจิ กรรมภายในบา้ นห้องเรียน
ชื่อ…………………….....……………นามสกลุ …….....……................…ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี ….......……..เลขท…่ี ……
คำช้แี จง : นกั เรยี นทำเคร่ืองหมายหนา้ ข้อท่ีถกู และทำเครอ่ื งหมาย หน้าข้อท่ีผิด
๒.
๑. การบ้าน คือ งานที่ครใู ห้นักเรยี นทำนอกเวลาเรยี น ๒.ความละอาย คือ รูส้ ึกอายท่ที ำให้สงิ่ ที่ไม่ถูก
๓. นกั เรียนรีบมาโรงเรียนเพ่อื มาลอกการบา้ นเพื่อน ๔. นกั เรยี นมาโรงเรยี นและรีบสง่ การบ้านทโ่ี ต๊ะครู
๕. เมื่อนกั เรียนเห็นเพื่อนลอกการบ้านกันนักเรียนต้องไปบอกครูให้ทราบ
๒๕
เฉลย ใบงานท่ี ๒ ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจรติ
เรือ่ ง การประยุกต์ใชค้ วามรเู้ ร่ืองความละอาย และความไม่ทนตอ่ การทุจริตกบั กจิ กรรมภายในบา้ นหอ้ งเรียน
ชือ่ …………………….....……………นามสกลุ ..........…………....................…ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ….......….เลขท…่ี ……
คำชแี้ จง : นักเรยี นทำเคร่ืองหมายหนา้ ขอ้ ท่ีถกู และทำเครือ่ งหมาย หนา้ ข้อที่ผิด
๑. การบา้ น คอื งานที่ครใู ห้นักเรยี นทำนอกเวลา ๒.ความละอาย คือ รสู้ ึกอายท่ที ำให้ส่งิ ท่ีไม่ถกู
เรยี น
๓. นกั เรยี นรีบมาโรงเรยี นเพอื่ มาลอกการบา้ นเพอ่ื น ๔. นักเรยี นมาโรงเรยี นและรีบสง่ การบ้านที่โต๊ะครู
๕. เม่ือนกั เรียนเห็นเพ่ือนลอกการบา้ นกนั นักเรียนต้องไปบอกครูให้ทราบ
๒๖
แบบตรวจใหค้ ะแนนใบงาน
เลขที่ ช่อื -สกลุ คะแนนท่ไี ด้ สรุปผล
(๑๐ คะแนน) ผ่าน ไมผ่ า่ น
สรุป
เกณฑก์ ารประเมิน
ช่วงคะแนน ๙ – ๑๐ =ดมี าก
๗ – ๘ = ดี
๕ – ๖ = ปานกลาง
นอ้ ยกวา่ ๕ = ปรับปรุง
๒๗
ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้
หน่วยที่ ๓ ภาวนาปธาน : STRONG / จติ พอเพียงต่อตา้ นการทจุ รติ ช่วงชน้ั ที่ ๑ (ป.๑-๓)
เรอ่ื ง การเสรมิ สร้างจิตพอเพียงตอ่ ต้านการทุจริตด้วยหลักธรรมสุจริต ๓ เวลา ๒ ชั่วโมง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
๑. สาระสำคญั /เน้อื หา
ภาวนาปธาน คือ การเพียรทำสุจริตธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้นมา ภาวนาปธาน หมายถึง การเพียร
เจรญิ ทำกุศลธรรมทย่ี งั ไมเ่ กิดให้เกดิ ข้ึน หรอื เพียรเจริญ เพยี รทำกศุ ลธรรมที่ยังไมม่ ียังไมเ่ กิด ให้มขี น้ึ
สุจริต ๓ เป็นธรรมที่มุ่งให้เกิดขึ้นแก่ทั้งปัจเจกบุคคลอันจะนำไปสู่การสร้างสังคมที่สุจริตเฉกเช่นเดียวกบั
แนวทางและจดุ ม่งุ หมายของโมเดล STRONG สุจรติ ธรรมประกอบด้วยองค์ประกอบ ๓ ประการ ไดแ้ ก่
(๑) กายสจุ รติ หมายถึง ความประพฤตชิ อบดว้ ยกาย เปน็ การประพฤติดี และงดงามทางกายโดย
งดเว้นจากการไมเ่ บยี ดเบียน และฆา่ สตั ว์ การไมแ่ ยง่ ชงิ คดโกง ยกั ยอกและลกั พาส่งิ ของทีเ่ จา้ ของมิได้อนุญาต
(๒) วจสี จุ ริต หมายถงึ ความประพฤตชิ อบดว้ ยวาจา เป็นการประพฤติดี
และงดงามทางกาย โดยการงดเว้นจากการพูดเท็จ และบดิ เบือนเพ่ือให้มา หรอื ให้บคุ คลอนื่ ในทางท่ีผิด การพูดจา
เหน็บแนมและสอ่ เสยี ดบุคคลอนื่ การพดู คำหยาบคายเพอ่ื ให้คนอื่นเจบ็ ใจ
(๓) มโนสุจริต หมายถึง ความประพฤติชอบด้วยใจ เป็นการประพฤติดีและงดงามทางจิตใจ
โดยการไม่เพง่ เล็งท่ีจะแสวงหาช่องทางเพ่ือใหท้ รพั ย์สมบัตขิ องคนอน่ื การไม่ผกู พยาบาทจองเวรคนอื่น
สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดที ำช่ัวไดช้ ่ัว ถือเป็นองคแ์ รกใน
มรรคมีองคแ์ ปด อันเป็นแนวทางสู่การหลดุ พ้นจากทุกข์
โมเดลจิตพอเพียงต้านทุจริต (STRONG Model) เป็นโมเดลที่เสริมสร้างบุคคลและสังคมให้มีพฤติกรรม
สุจรติ รวมท้งั ตอ่ ต้านการทจุ รติ สรา้ งสงั คมท่ไี มท่ นตอ่ การทจุ ริต
(๑) ความพอเพยี ง หมายถึง ความพอประมาณ ความมเี หตผุ ล การมภี มู ิคุ้มกันในตวั ทด่ี ี
(๒) ความโปร่งใส หมายถึง การกระทำทถ่ี ูกตอ้ ง มขี ้นั ตอนการทำงานท่ีชดั เจนตรวจสอบได้
(๓) ความเอือ้ อาทรหมายถึง ความเอ้อื เฟอ้ื ความห่วงใย และการมนี ำ้ ใจชว่ ยเหลอื กัน
การตอ่ ตา้ นการทุจรติ หมายถึง การไมส่ นบั สนุนกจิ การของกลมุ่ หรือบุคคลที่กระทำการโดยมชิ อบใน
การแสวงหาผลประโยชน์
๒.จุดประสงค์
๒.๑ นกั เรียนเขา้ ใจและสามารถบอกความหมายของหลักธรรมสุจรติ ๓ และสมั มาทฎิ ฐิ ได้ (K)
๒.๒ นักเรยี นสามารถยกตวั อย่างวธิ ีปฏิบตั ิตนตามโมเดล STRONG โดยใช้หลักธรรมสจุ รติ ๓ ได้ (P)
๒.๓ นกั เรยี นเหน็ ความสำคัญการตอ่ ต้านการทุจริต (A)
๓. กจิ กรรมการเรียนรู้ (Active Learning)
ชว่ั โมงท่ี ๑
๓.๑ ขนั้ นำ
๑. นักเรยี นรว่ มกนั สวดมนต์ไหว้พระ พร้อมกับนัง่ สมาธกิ ่อนเรยี นหรอื กิจกรรมท่สี ่งเสรมิ ให้เกดิ
สมาธิเพือ่ ให้มสี มาธกิ ่อนเข้าสู่บทเรียน
๒๘
๒. นักเรียนชมวีดีทัศน์ นิทาน เรื่อง “ความซื่อสัตย์” (ลิงค์คลิปวดิ ีโออยูใ่ นภาคผนวก)
แล้วสนทนารว่ มกันโดยใช้คำถาม เชน่ นักเรยี นควรปฏบิ ัตติ นตามนิทานดังกลา่ วหรอื ไม่ เพราะเหตุใด
๓.๒ ขัน้ สอน
๑. ครอู ธบิ ายความหมายของ ความซอ่ื สัตย์ โดยครูอธบิ าย ยกตัวอย่างให้สอดคล้องกับหลักธรรม
สจุ รติ ๓ ประกอบดว้ ย กายสุจริต (ทำด)ี วจีสุจริต (พดู ดี) และ มโนสุจรติ (คิดด)ี
๒. ให้นกั เรยี นยกตวั อย่างพฤตกิ รรมทแี่ สดงถึงความซื่อสัตย์ของตนเอง เชน่ การตงั้ ใจเรียน
ไมล่ อกการบา้ น การพูดความจรงิ ไมพ่ ูดโกหก โดยครูคอยใหค้ ำแนะนำ ตรวจสอบความถูกตอ้ ง และบอกผลดีของ
พฤติกรรมดงั กลา่ ว วา่ จดั อย่ใู น กายสจุ รติ (ทำด)ี วจีสุจริต (พดู ดี) หรอื มโนสุจรติ (คดิ ดี)
๓. ครูอธิบายพฤติกรรมของนักเรียนเชื่อมโยงกับโมเดล STRONG จิตพอเพียงต้านทจุ รติ
เรือ่ งความพอเพยี ง (กายสจุ ริต:ทำด)ี ความโปรง่ ใส วจีสจุ ริต (พดู ดี) ความเอ้ืออาทร มโนสจุ รติ (คดิ ด)ี
๔. ใหน้ ักเรียนจับคู่ ๒ คน ช่วยกนั ทำใบงานท่ี ๓.๑ เรอื่ งสจุ ริต ๓ และออกมานำเสนอหน้าชั้น
เรียน โดยครเู ป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องและให้คำแนะนำ
๓.๓ ข้นั สรปุ
๑. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปองค์ความรู้เกี่ยวกับโมเดล STRONG จิตพอเพียงต้านทุจริต
เรื่องความพอเพียง ความโปร่งใส ความเอื้ออาทร ท่ีสอดคล้องกับหลักธรรมสุจริต ๓ ประพฤติชอบด้วยการมีกาย
วาจา ใจ
ชั่วโมงท่ี ๒
๓.๑ ข้นั นำ
๑. นักเรียนร่วมกันสวดมนต์ไหว้พระ พร้อมกับนั่งสมาธิก่อนเรียนหรือกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เกิด
สมาธิเพือ่ ใหม้ ีสมาธกิ อ่ นเข้าสู่บทเรียน
๒. จากนั้นครูเปดิ วดี ีโอ เพลง “โตไปไม่โกง” (ลิงคค์ ลปิ วิดโี ออย่ใู นภาคผนวก) แล้วร่วมกันสนทนา
โดยใช้ประเดน็ คำถาม ดังนี้
- จากเพลงโตไปไม่โกง ถ้าเราจะเปน็ คนดีต้องปฏบิ ัติตนตามเพลงมีกี่ข้อ อย่างไรบา้ ง (มี ๕ ข้อ
คือ ขอ้ ๑ ซอ่ื สตั ย์, ขอ้ ๒ รับผดิ ชอบ, ขอ้ ๓ รักในความเปน็ ธรรม, ข้อ ๔ พอเพียง และข้อ ๕ ทำเพ่อื สว่ นรวม)
- นักเรียนคิดว่าตนเองทำไดท้ กุ ข้อหรือไม่ เพราะอะไร (ได้ / ไม่ได้ เพราะ...ขนึ้ อยเู่ หตุผลของ
นกั เรยี นแต่ละคน)
- นกั เรยี นคดิ วา่ คนไมด่ มี ลี ักษณะอยา่ งไร (โกหก / ลกั ขโมย / ลอกการบ้าน / โกง)
๓.๒ ข้ันสอน
๑. จากนนั้ ครูไดเ้ ปดิ วดี โี อ หรืออ่านนิทาน เรอ่ื ง นิทานชาดก ตอน นกพริ าบใจดีกบั กาข้ขี โมย
(ลิงคค์ ลปิ วดิ โี ออยูใ่ นภาคผนวก) ให้นักเรียนฟังและร่วมกนั สนทนาโดยครใู ชค้ ำถาม ดงั นี้
- จากนทิ านมีตัวละครใดบ้าง (นกพริ าบ , กา และเศรษฐี)
- นกพิราบมีนสิ ัยอยา่ งไร (ใจดี)
- กามนี ิสัยอย่างไร (ข้ีขโมย)
- ผลของการขี้ขโมย เกดิ เหตุการณอ์ ะไรข้ึนกับกา (ถูกถอนขน และไลอ่ อกจากบา้ นเศรษฐี)
- นักเรยี นคิดว่าการกระทำของกาดีหรือไม่ (ถกู ทกุ คำตอบเพราะเป็นการแสดงความคิดเห็น
ของนักเรียน)
๒๙
๒. ให้นักเรียนช่วยกนั บอกพฤตกิ รรมการปฏิบตั ติ นเปน็ คนดี และการปฏบิ ตั ิตนเป็นคนไม่ดีที่พบ
เหน็ ภายในห้องเรียนวา่ มีอะไรบ้าง จากนั้นวาดภาพพฤติกรรมท่ีแสดงถึงการกระทำความดีทคี่ วรส่งเสริมลง ใบงาน
ท่ี ๓.๒ เรื่องเด็กดีต้านทจุ รติ แลว้ ออกมานำเสนอผลงานหนา้ ชน้ั เรียน
๓.๓ ขน้ั สรุป
๑. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปองค์ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมปฏิบัติตนเป็นคนดี และการไม่
ส่งเสริมการกระทำความผิด (การปฏิบัติตนเป็นคนดี ต้องไม่ลักขโมย ไม่หยิบของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง และไม่
สง่ เสรมิ การกระทำความผิด ทำให้อยกู่ ับผอู้ ืน่ ได้อยา่ งมีความสุข สว่ นผลของการกระทำความผิด จะทำใหไ้ ม่มีเพ่ือน
คบและเกดิ ผลเสยี ต่อตนเอง)
๔. ภาระงาน
๔.๑. ใบงานท่ี ๓.๑ เรอื่ งสุจรติ ๓
๔.๒. ใบงานที่ ๓.๒ เรอื่ งเดก็ ดตี ้านทจุ ริต
๕. สอ่ื /แหล่งเรียนรู้
๕.๑ นทิ านเร่อื ง “ความซื่อสัตย์” จาก https://www.youtube.com/watch?v=ggVN๒Eap๙
FQ&ab_channel=kutthareeyakumhong
๕.๒ ใบความรู้ เพลงโตไปไม่โกง
๕.๓ เพลง “เพลงโตไปไม่โกง” จาก https://www.youtube.com/watch?v=jRLavK๙๐ucE
๕.๔ ใบความรู้ นิทานชาดก ตอน นกพริ าบใจดีกับกาข้ขี โมย
๕.๕ นิทานชาดก ตอน “นกพิราบใจดีกับกาขีข้ โมย”
จาก https://www.youtube.com/watch?v=C๗CuXNkeXhQ
๖. การวัดและประเมนิ ผล
๖.๑ วธิ กี ารวดั และประเมินผล
๑) ตรวจผลงานการทำใบงาน
๒) การสังเกตพฤติกรรมนักเรียน
๖.๒ เครอ่ื งมือและเกณฑ์การวัดและประเมนิ ผล
๑) แบบตรวจผลงานการทำใบงานเร่อื งความซื่อสัตย์
๒) แบบตรวจผลงานการทำใบงานเร่อื งเด็กดีต้านทจุ ริต
๓) แบบการสงั เกตพฤตกิ รรมนักเรียน
๓๐
ภาคผนวก
๑. คลปิ วิดโี อ นทิ าน เรอื่ ง “ความซื่อสัตย”์
ลงิ ค์ : https://www.youtube.com/watch?v=q๒MOqup-MIs
๒. คลิปวดิ ีโอ เพลง “เพลงโตไปไมโ่ กง”
ลงิ ค์ : https://www.youtube.com/watch?v=_hh๑๖๙mxlGo&ab_channel=pat๓๑๗๓๓
๓. คลปิ วิดโี อ นิทานชาดก ตอน “นกพิราบใจดกี บั กาขขี้ โมย”
ลงิ ค์ : https://www.youtube.com/watch?v=_hh๑๖๙mxlGo&ab_channel=pat๓๑๗๓๓
๓๑
ใบงานท่ี ๓.๑ ความซ่ือสตั ย์
คำชแี้ จง : ให้นักเรียนโยงเส้นภาพพฤตกิ รรมให้สอดคล้องกับหลักธรรมสุจริต ๓ ใหถ้ กู ต้อง
กายสจุ รติ วจสี จุ รติ มโนสจุ รติ
ช่อื .........................................................................ช้นั ...............................เลขท่ี.............................
๓๒
(เฉลย) ใบงานที่ ๓.๑ ความซอ่ื สตั ย์
คำชแ้ี จง : ให้นักเรียนโยงเสน้ ภาพพฤติกรรมให้สอดคล้องกับหลักธรรมสุจริต ๓ ให้ถกู ต้อง
กายสุจริต วจวีสจุจสี รุจิตรติ มโนสจุ รติ
ชอ่ื .........................................................................ชัน้ ...............................เลขที่.............................