The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การเรียนรู้บูรณาการ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nick_4921, 2022-06-08 13:13:24

การเรียนรู้บูรณาการ

การเรียนรู้บูรณาการ

๓๑

ตวั อย่างผังมโนทศั น์ตามแบบของ STRONG : จติ พอเพยี งตา้ นทุจริต

STRONG: จติ พอเพยี ง
ต้านทจุ รติ ของข้าวปนั้

๓๒

ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้

หน่วยที่ ๔ อนรุ กั ขนาปทาน : พลเมืองและความรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคม เวลา ๒ ชัว่ โมง
ระดับชว่ งชนั้ ที่ ๒

เรือ่ ง รหู้ น้าท่ี พลเมืองดี สังคมมีสขุ

๑.สาระสำคัญ/เนือ้ หา

อปริหานิยธรรม หมายถงึ ธรรมไมเ่ ป็นทต่ี ง้ั แหง่ ความเส่อื ม แตเ่ ป็นธรรมเพื่อความเจรญิ กล่าวคอื ถ้า

บุคคล ปฏิบัติตามอปรหิ านิยธรรม บุคคลนัน้ จะมีแตค่ วามเจริญความกา้ วหนา้ ในชวี ติ ไม่มีความเส่ือม ความ

เสียหาย อนั เปน็ อปุ การะมากสำหรบั ผู้ปฏิบตั ิ ผ้บู รหิ าร หมชู่ น และคนในสังคม

กายกรรม คือ การกระทำทางกาย

วจกี รรม คือ การ กระทำทางวาจา

มโนกรรม คอื การกระทำทางใจ

ทิฏฐสิ ามญั ญตา มีทิฏฐิดงี ามเสมอกนั กบั เพ่ือนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทงั้ ตอ่ หน้าและลบั หลัง คอื เหน็ ชอบ

รว่ มกนั ในข้อทเ่ี ปน็ หลักการ อันจะนำไปส่คู วามหลดุ พน้ สิ้นทุกข์ ขจัดปัญหา

เบญจธรรม หมายถงึ ข้อพงึ ปฏบิ ตั หิ ้าประการตามคำสอนในพุทธศาสนา เปน็ คุณธรรมต้านทุจรติ

เสริมสร้างความสจุ ริตให้เข้มแขง็ ซึ่งถือวา่ เป็นสง่ิ ทด่ี ีงาม เป็นเหตุให้ผ้ปู ฏบิ ตั ิเจรญิ กา้ วหนา้ ปลอดเวร ปลอดภยั

เพ่ิมพนู ความดีแกผ่ ู้ทำ ประกอบด้วย ๕ ประการดงั น้ี

๑) เมตตากรุณา คือ บคุ คลทมี่ เี มตตาย่อมไม่ฆา่ หรือไม่เบียดเบยี นสัตว์ ด้วยรดู้ ีวา่ ทกุ ชวี ติ ยอ่ ม

มคี วามรักตัวกลวั ตายเช่นเดยี วกบั เรา ทำใหไ้ มผ่ ดิ ศีลในข้อท่ี ๑ เคารพสิทธิและหนา้ ที่ หรือใหเ้ กียรติซ่ึงกันและกนั
การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เข้าใจตนเองเข้าใจผอู้ ืน่

๒) สมั มาอาชพี คือ การทำงาน การประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่ผดิ กฎหมาย ไมส่ ร้างความ
เดอื ดรอ้ นให้ผอู้ ่นื จงึ ทำให้ไมผ่ ิดศลี ขอ้ ท่ี ๒

๓) ความสำรวมอนิ ทรยี ์ คือ ระมัดระวงั ตา หู จมูก ลนิ้ กาย และใจ ทำให้ระมัดระวงั การ
ดำเนินชวี ติ ดว้ ยหลกั ความพอเพยี ง เพราะมุ่งลดวัตถุนยิ ม หรือการบริโภคนิยมโดยมองเห็นคุณแท้คุณคา่ เทยี มของ
ชวี ติ เนื่องจากความใคร่ในกามคุณ คือ การติดในรูป รส กลนิ่ เสียง สมั ผัส เพื่อลดละเลกิ ความฟมุ่ เฟือย ฟ้งุ เฟ้อ
เมอ่ื ความสำรวมเกดิ ข้นึ จงึ ทำใหไ้ มผ่ ิดศีลขอ้ ท่ี ๓

๔) ความซ่อื สตั ย์ คือ การพูดความจริงทำจริง มคี วามจริงใจ

๕) สติ คือ การรู้สกึ ตัวหรอื การมสี ำนึกดีชว่ั เพื่อตา้ นทุจริต หรือสรา้ งสุจรติ ซง่ึ เปน็ หวั หน้าฝา่ ย
ความเจริญ (กุศล) ทำให้สรา้ งชีวิตดว้ ยความไม่ประมาท เพราะรู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว ทำให้ไม่เกลือกกลวั้ กบั ส่ิงท่จี ะ
ทำให้ชวี ติ ตกตำ่ เชน่ สรุ าเมอ่ื คนดืม่ กนิ กท็ ำใหม้ นึ เมาและขาดสติ การมีสติจึงทำใหไ้ ม่ผดิ ศีลข้อท่ี ๕ และสามารถ
ต้านทุจริต อีกท้งั สรา้ งสุจรติ ได้เขม้ แข็งมน่ั คง

๓๓

อนุรกั ขนาปธาน คือ การเพยี รรักษาสุจรติ ธรรมท่ีเกดิ ข้นึ แล้วไม่ใหเ้ สือ่ มและบำเพ็ญใหเ้ จริญยิ่งขนึ้ ไปจน
ไพบลู ย์ (เข้มแข็ง : STRONG)

๒. จุดประสงค์
๑. เพ่อื ให้นกั เรยี นมคี วามรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกับหลัก อปริหานยิ ธรรม กายกรรม วจกี รรม มโนกรรม และ

ทฏิ ฐสิ ามัญญตา (K)
๒. เพอ่ื ให้นักเรียนสามารถปฏิบตั ติ นเป็นพลเมืองที่ดมี ีความรับผดิ ชอบตอ่ สังคม (P)
๓. เพ่อื ใหน้ ักเรยี นสามารถเห็นความสำคญั ของการปฏบิ ัตติ นเปน็ พลเมืองท่ดี ีมีความรบั ผิดชอบต่อสงั คม

สามารถนำหลกั ธรรมไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวติ ประจำวันไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ (A)
๓. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (Active Learning )

๓.๑ ขน้ั นำ (กัลยาณมิตรสนทนา หรอื ปุจฉาวสิ ัชนา)
๑. ครสู นทนาซักถามนักเรียนเกี่ยวกับหน้าที่ความรบั ผิดชอบในโรงเรยี น ดงั น้ี
- เมือ่ นกั เรียนมาถึงโรงเรียนในตอนเชา้ นกั เรียนมหี นา้ ที่อะไรตอ้ งรับผิดชอบบา้ ง
( แนวคำตอบ ทำเวรห้องเรียน กวาดหอ้ ง ถหู ้อง ลา้ งหอ้ งน้ำ เก็บขยะ ฯลฯ)
- เพราะเหตุใดนักเรียนจงึ ต้องรบั ผดิ ชอบในหนา้ ทีน่ ั้นๆ
( แนวคำตอบ อยากให้โรงเรียนสะอาด นา่ อยู่ เป็นหน้าทขี่ องนักเรยี น ฯลฯ)
๒. ครูและนักเรยี นชว่ ยกันสรุปเร่ือง ความรับผดิ ชอบของตนเองเพอื่ การเปน็ พลเมอื งที่ดี

๓.๒ ข้ันสอน ( กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทฏิ ฐิสามัญญตา )
๑) นักเรยี นดูวิดีโอ เร่ือง ความรับผดิ ชอบ จากลงิ ค์https://www.youtube.com/watch?v=๗
kbnUOzerjg และครูต้งั คำถามรว่ มกนั สนทนาเน้ือหาในวิดโี อเรื่อง
ความรบั ผดิ ชอบ ดงั น้ี

- จากคลปิ วดี ีโอ บอมเป็นคนอยา่ งไร (แนวคำตอบ เหน็ แก่ตวั ขาดความรับผิดชอบ โกหก )
- บอมทำอย่างไร เพ่ือนจึงกลับมาคบกับบอม (แนวคำตอบ บอมมีความรบั ผิดชอบในหน้าทข่ี อง
ตนเอง )
๒) ครู และนักเรียนชว่ ยกนั สรุปความร้จู ากการดคู ลิปวดี ีโอ และเพิ่มเตมิ เรื่อง ความหมายของความ
รับผดิ ชอบ ปฏิบัติตนเป็นผู้มคี วามรับผดิ ชอบ การมวี นิ ัยต่อตนเอง และปฏิบัตหิ นา้ ทีท่ ่ีตนได้รบั มอบหมาย
๓) นกั เรียนทำใบงานที่ ๑ เรื่อง เก่งตรงไหน เอาปากกามาวง เปน็ รายบคุ คล
๔) สุ่มนักเรยี นนำเสนอใบงานท่ี ๑ ประมาณ ๒-๓ คน ออกมานำเสนอหน้าช้ันเรยี น
๕) ครูและนักเรียนชว่ ยกันอภิปราย เร่ืองหน้าท่ีความรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเอง และ สังคม และสนทนาถงึ การ
ใชช้ วี ิตในสังคมของนักเรยี น
๖) นักเรียนดูภาพ ดังต่อไปนี้
- ภาพช่วยกันเกบ็ ขยะ

๓๔

- ล้างหอ้ งนำ้
- ปลูกปา่
และสนทนาซักถามนกั เรียนว่า จากภาพทน่ี ักเรยี นเหน็ เปน็ ภาพที่เกี่ยวข้องกบั การเปน็ พลเมอื งดดี ้าน
ใดบ้าง ( แนวคำตอบ การทำจติ สาธารณะ การรบั ผดิ ชอบ การมีนำ้ ใจ การชว่ ยเหลอื สงั คม เป็นต้น)
๗) ครูและนกั เรียนชว่ ยกนั สรุปความรทู้ ่ีได้จากการศึกษาและตอบคำถามจากการดูภาพ เพอ่ื เชื่อมโยงการ
เป็นพลเมืองดี
๘) นักเรียนแบง่ กล่มุ กลมุ่ ละ เท่าๆกัน จำนวน ๔ กลุม่ ชว่ ยกนั ระดมความคิด ออกแบบแผนผงั ความคิด
เรอ่ื ง พลเมืองดีต้องทำอย่างไร ลงกระดาษบรู๊ฟ ตกแตง่ ระบายสใี ห้สวยงาม
๙) สง่ ตวั แทนนักเรียนออกมาจับสลากลำดับ ออกมานำเสนอหนา้ ช้ัน โดยครชู ่วยแนะนำเพมิ่ เติมในแนว
ทางการปฏบิ ตั ติ นตามบทบาทหนา้ ท่ีผลเมอื งทด่ี ี
๑๐) ครูและนักเรียนช่วยกนั สรปุ บทเรยี น ว่า “บุคคลจะเป็นพลเมอื งดขี องสังคมนัน้ ต้องตระหนกั ถึง
บทบาทหนา้ ท่ี ทจี่ ะต้องปฏิบัติ และมุ่งมน่ั เพื่อให้บรรลเุ ปา้ หมาย ดว้ ยความรับผิดชอบอยา่ งเต็มท่ี สอดคล้องกับ
หลักธรรม วฒั นธรรมประเพณี และรัฐธรรมนญู ท่ีก าหนดไว้ รวมทั้งบทบาททางสังคมท่ีตนดำรงอยู่ เพือ่ ให้เกดิ
ประสิทธภิ าพสงู สดุ และไดป้ ระสิทธผิ ลทงั้ ในสว่ นตนและสังคม เม่ือสามารถปฏบิ ัติหนา้ ทีไ่ ด้อย่างถูกต้องสมบรู ณ์
ย่อมเกิดความภาคภูมิใจและเกิดผลดที ัง้ ต่อตนเองและสังคม ด้วยการเปน็ พลเมืองดีที่เคารพกฎหมาย เคารพสิทธิ
เสรีภาพของผู้อนื่ มีความกระตือรอื ร้นทีจ่ ะเข้ามามสี ว่ นรว่ มในการแกป้ ัญหาของชุมชนและสงั คม มีคุณธรรมและ
จรยิ ธรรมเปน็ หลักในการด าเนนิ ชีวิตอยา่ งผาสุข”
๓. ๓ ข้นั สรปุ ( กายกรรม วจกี รรม มโนกรรม ทฏิ ฐิสามัญญตา )
ครแู ละนกั เรียนร่วมกันสรุปความสำคญั ของความรบั ผดิ ชอบทม่ี ีตอ่ ตนเอง ชุมชน สู่การเป็นพลเมอื งท่ีดีของ
ประเทศชาติ
๔. ภาระงาน/ช้ินงาน
๔.๑ แผนผังความคดิ เรือ่ ง พลเมอื งดีต้องทำอยา่ งไร
๔.๒ ใบงานที่ ๑ เร่อื ง เก่งตรงไหน เอาปากกามาวง
๕. สอื่ /แหล่งเรียนรู้
๕.๑ คลิปวีดีโอ ความรบั ผดิ ชอบ จากลิงค์https://www.youtube.com/watch?v=๗kbnUOzerjg
๕.๒ ภาพประกอบ เช่น ภาพคนเก็บขยะ ภาพล้างห้องนำ้ ภาพปลกู ปา่
๖. การวัดผลและประเมินผล
๖.๑ วธิ ีการประเมนิ
สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงาน
๖.๒ เครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการประเมนิ
แบบสงั เกตพฤติกรรม

๓๕

๖.๓ เกณฑก์ ารตัดสิน
นักเรียนผา่ นเกณฑก์ ารประเมินร้อยละ ๘๐ ข้นึ ไป

๓๖

คลิปวดี โี อประกอบการสอน

https://www.youtube.com/watch?v=๗kbnUOzerjg

๓๗

ภาพประกอบการสนทนาซักถาม

๓๘

๓๙

ใบงาน
เรอ่ื ง เกง่ ตรงไหนเอาปากกามาวง
ช่อื ....................................................................ชั้น...................เลขท.่ี ................
คำช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นวงกลมล้อมรอบกจิ กรรมทเี่ ป็นหนา้ ทร่ี ับผิดชอบของนักเรียนทบ่ี ้าน

กวาดบ้าน ปลูกปา่ ชายเลน

ถูบ้าน

กรอกนำ้ ลา้ งจาน เลยี้ งน้อง ล้างขวด
ใสต่ ูเ้ ยน็ ล้างตเู้ ยน็ ขายพวงมาลยั นม

ปลูกป่าชายเลน ล้างแกว้

ลบกระดาน กวาดใบไม้ รดนำ้ ตน้ ไม้

ปลูกผัก

จูงยายขา้ มถนน ใหอ้ าหาร ซักผ้าปูทน่ี อน
บอกทาง สนุ ขั

ซักเส้ือผ้า

ใหอ้ าหารลิง
ท้งิ ขยะ

เก็บขยะรมิ หาด



ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้

หน่วยที่ ๑ สงั วรปธาน : การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม

ช่วงชัน้ ท่ี ๓ (ม.๑-ม.๓)

เรอื่ ง ผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม เวลา ๒ ชว่ั โมง

๑. สาระสำคัญ/เนอื้ หา
อัตถะ ๓ หมายถงึ ประโยชน์หรอื ผลทม่ี งุ่ หมาย ๓ ประการ ไดแ้ ก่

๑) อัตตตั ถะ หมายถึง ประโยชน์ตน
๒) ปรตั ถะ หมายถึง ประโยชน์ผูอ้ ่ืน
๓) อภุ ยตั ถะ หมายถึง ประโยชนท์ งั้ สองฝ่าย คอื ประโยชนต์ นและประโยชนผ์ ู้อ่ืนรวมกันหรือ
ทีเ่ รยี กวา่ ประโยชนส์ ว่ นรวม

สงั วรปธาน (สติ ศลี ญาณ ขนั ติ)
สังวรปธาน หมายถึง การป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน โดยสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจมิให้

ความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้น เพื่อทำให้ผู้เรียนสามารถคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคล
สว่ นบคุ คลอืน่ กบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวมได้ และคำนงึ ถึงผลประโยชน์ส่วนรวมมากกวา่ ผลประโยชนส์ ว่ นบคุ คล

สงั วรปธานจะเกดิ ขนึ้ ได้ ดังนี้
๑) สติสังวร หมายถึง การมีสติในการสำรวมระมัดระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การคุมจิตใจไเพื่อให้
เกดิ ความสจุ รติ เสมอ เพอื่ ต้านทุจริต
๒) สลี สงั วร หมายถึง การสำรวมในการรักษาศีล การปฏบิ ัตติ ามกฏระเบียบ เพอื่ ไม่ให้ประพฤติผิดทาง
กายและวาจาใหต้ งั้ อยู่ในสุจริต
๓) ญาณสังวร หมายถึง ความสำรวมด้วยญาณ คือ ตัดกระแสกิเลสมีตัณหา เป็นต้น ใช้ปัญญา
พิจารณาแยกแยะถึงทรัพย์สินของตวั ทรัพย์สินของผู้อน่ื ได้ ตลอดถงึ รจู้ ักประมาณตน ในการพ่ึงพาตัวเองอยู่บน
พ้ืนฐานของความพอเพยี ง ไมฟ่ มุ่ เฟือย ไม่ลักขโมย ไมค่ ดโกง ขยนั ซอ่ื สตั ย์ ประหยดั อดทน สง่ ผลให้ตัวเองและ
ผู้อื่นไมเ่ ดือดรอ้ น
๔) ขันติสังวร หมายถึง การสำรวมด้วยขันติ อดทนไม่ให้ความอยากได้ครอบงำ แม้จะมีอามิส สินจ้าง
เขา้ มานำเสนอให้ปล้ืมใจ ตอ้ งมีความอดทน ไม่เรียก ไมร่ ับ ไม่สนับสนุนการคดโกงจะทำให้เป็นคนดไี ด้

๒. จุดประสงค์

๑) นกั เรียนมคี วามรู้ ความเข้าใจในหลักธรรม เร่อื ง อัตถะ ๓ และสังวรปธาน ๔ (สติ ศลี ญาณ ขันต)ิ
(K)

๒) นกั เรียนสามารถวิเคราะหค์ ิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวมได้ (P)
๓) นักเรยี นตระหนกั ถึงเห็นความสำคัญของผลประโยชนส์ ่วนตน ผลประโยชนส์ ว่ นรวม และสามารถ

นำหลักธรรมเรอ่ื ง อตั ถะ ๓ สงั วรปธาน ๔ (สติ ศลี ญาณ ขนั ต)ิ มาปรบั ใช้ในชวี ติ ประจำวันได้ (A)



๓. ขน้ั ตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
วธิ ีสอนแบบแบง่ กลุม่ ทำงาน ( Committee Work Method)
ชว่ั โมงที่ ๑
ขน้ั นำ
๑) กิจกรรมสร้างสมาธิก่อนเรียนให้กับนักเรียน ประมาณ ๕ นาที เพื่อให้มีสติในการเรียน เช่น
สวดมนต์ นั่งสมาธิ การสอดด้ายเข้าเข็ม เบรนยิม (Brain Gym) หรือเกมอื่น ๆ ที่สอดคล้อง
กบั การสรา้ งสมาธิ เปน็ ตน้
๒) ครูนำข่าว อวสานแผงค้าริมทางหลวง ลั่น ภายใน ๒ ปี รื้อเกลี้ยง มาให้นักเรียนดู แล้วให้
นักเรียนร่วมกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็น ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเหตุใด เป็นสิ่งที่ควร
กระทำหรือไม่ จากนัน้ ครูอธบิ ายเพอื่ เช่ือมโยงเขา้ สูเ่ นอ้ื หาที่จะเรียน
ขน้ั สอน
๓) ครูและนักเรียนร่วมกันอธิบายถึงความหมายของอัตถะ ๓ หมายถึง ประโยชน์หรือผลที่มุ่ง
หมาย ๓ ประการ ไดแ้ ก่
๑) อตั ตัตถะ หมายถึง ประโยชนต์ น
๒) ปรัตถะ หมายถงึ ประโยชน์ผ้อู ่ืน
๓) อุภยัตถะ หมายถึง ประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือ ประโยชน์
ตนและประโยชนผ์ ู้อ่ืนรวมกนั
สังวรปธาน (สติ ศลี ญาณ ขนั ติ)
สงั วรปธาน หมายถงึ การปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กิดการทุจริตคอร์รปั ชนั โดยสร้างภูมิค้มุ กันทางจิตใจมิ
ให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้น เพื่อทำให้ผู้เรียนสามารถคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์
ส่วนบุคคล ส่วนบุคคลอื่นกับผลประโยชน์ส่วนรวมได้ และคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่า
ผลประโยชน์ส่วนบคุ คล
สังวรปธานจะเกดิ ข้นึ ได้ ดังน้ี
๑) สติสงั วร หมายถึง การมีสตใิ นการสำรวมระมัดระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การคุมจิตใจ
ไเพือ่ ใหเ้ กิดความสจุ รติ เสมอ เพอ่ื ต้านทุจริต
๒) สีลสังวร หมายถึง การสำรวมในการรักษาศีล การปฏิบัติตามกฏระเบียบ เพื่อไม่ให้
ประพฤติผิดทางกายและวาจาให้ตัง้ อยู่ในสุจริต
๓) ญาณสังวร หมายถึง ความสำรวมด้วยญาณ คือ ตัดกระแสกิเลสมีตัณหา เป็นต้น ใช้
ปัญญาพิจารณาแยกแยะถึงทรัพย์สินของตัว ทรัพย์สินของผู้อื่นได้ ตลอดถึงรู้จักประมาณตน ในการ
พึ่งพาตัวเองอยู่บนพ้ืนฐานของความพอเพยี ง ไม่ฟุ่มเฟอื ย ไม่ลกั ขโมย ไมค่ ดโกง ขยันซือ่ สัตย์ ประหยัด
อดทน สง่ ผลให้ตวั เองและผู้อนื่ ไม่เดือดรอ้ น
๔) ขันตสิ งั วร หมายถึง การสำรวมดว้ ยขนั ติ อดทนไมใ่ ห้ความอยากได้ครอบงำ แม้จะมีอามิส
สินจา้ ง เขา้ มานำเสนอใหป้ ลม้ื ใจ ต้องมคี วามอดทน ไม่เรยี ก ไมร่ บั ไม่สนับสนุนการคดโกงจะทำใหเ้ ป็น
คนดีได้



๔) ครูนำชุดภาพตัวอย่างมาให้นักเรียนดูที่หน้าชั้นเรียน แล้วให้นักเรียนช่วยกันจำแนกแยกแยะ
ว่าภาพใดเปน็ ประโยชนเ์ พือ่ สว่ นตนหรือภาพใดเปน็ ประโยชนส์ ่วนเพ่ือรวม

๕) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้อง จากนั้นครูอธิบายให้นักเรียนทราบว่าการคิด
แยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนหรือผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นอย่างไร และสามารถสะท้อนให้
เห็นถึงวถิ ชี วี ิตและสภาพนน้ั ๆ

ชัว่ โมงท่ี ๒
๑) กจิ กรรมสร้างสมาธิกอ่ นเรยี นให้กับนกั เรียน ประมาณ ๕ นาที เพือ่ ใหม้ สี ติในการเรยี น เช่น สวด
มนต์ นั่งสมาธิ การสอดด้ายเข้าเข็ม เบรนยิม (Brain Gym) หรือเกมอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับการ
สรา้ งสมาธิ เป็นต้น
๒) ทบทวนความรูเ้ ดมิ จากชว่ั โมงทีแ่ ลว้
๓) ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น ๔ กลุ่ม เพื่อศึกษาข่าวเรื่องอวสานแผงค้าริมทางหลวง
ลัน่ ภายใน ๒ ปี รือ้ เกลี้ยง แล้วให้นกั เรยี นร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นออกมาในรูปแบบ Mind
Mapping ลงในกระดาษชาร์ต ในหัวข้อดงั ตอ่ ไปน้ี
- ประโยชน์สว่ นตน/ประโยชน์ส่วนรวม
- แผงค้ารมิ ทางหลวงมีข้อดอี ยา่ งไร (สะดวกในการซ้ือของ/ชาวบ้านมีรายได้)
- การร้อื แผงค้าริมทางหลวงส่งผลกระทบอยา่ งไร (ชาวบ้านขาดรายได้)
- ถา้ นักเรียนเป็นผ้ทู ่มี ีสว่ นเก่ียวข้องกับเร่อื งน้ี นักเรียนมวี ธิ กี ารแกป้ ญั หานอ้ี ยา่ งไร
๔) ครูสังเกตพฤติการทำงานของนักเรียนแต่ละกลุ่มตามแบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานของ
ผูเ้ รยี นเปน็ รายบุคคล

ขั้นสรปุ
๕) นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทน ออกมานำเสนองาน Mind Mapping อวสานแผงค้าริมทาง
หลวง พรอ้ มทง้ั นำผลงานไปจัดปา้ ยนเิ ทศ
๖) ครูและนกั เรียนรว่ มกนั สรุปเรื่อง ผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม

๔. ภาระงาน/ช้ินงาน
๑) Mind Mapping อวสานแผงคา้ รมิ ทางหลวง

๕. สื่อ/แหล่งเรยี นรู้
๑) ข่าว อวสานแผงค้าริมทางหลวง ล่นั ภายใน ๒ ปี รอื้ เกล้ียง
ท่ีมา: กระปกุ ดอทคอม https://hilight.kapook.com/view/๑๔๕๕๓๓
๒) ชุดภาพตวั อยา่ งประโยชนส์ ว่ นตน/ประโยชนส์ ่วนรวม



๖. การวดั และประเมินผล

๑) วธิ ีการวัดและประเมินผล
๑. สังเกตการทำงานกล่มุ ของนกั เรยี น
๒. สังเกตพฤติกรรมการทำงานของนกั เรียนเป็นรายบุคคล

๒) เครื่องมือการวัดและประเมนิ ผล
๑. แบบประเมินการนำเสนอผลงาน
๒. แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล

๓) เกณฑก์ ารวดั และประเมนิ ผล
- เกณฑก์ ารตัดสินคุณภาพ

๗. ภาคผนวก
- ข่าว อวสานแผงคา้ รมิ ทางหลวง ล่ัน ภายใน ๒ ปี รอ้ื เกลีย้ ง
- ชดุ ภาพตัวอยา่ งประโยชนส์ ว่ นตน/ประโยชนส์ ว่ นรวม
- แบบประเมนิ การนำเสนอผลงานนกั เรียน
- แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนรายบุคคล



ข่าว อวสานแผงค้าริมทางหลวง ล่นั ภายใน ๒ ปี รื้อเกลยี้ ง ทมี่ า : กระปกุ ดอดคอม

กรมทางหลวงสง่ั จัดระเบียบแผงค้าและสง่ิ ปลกู สร้างท่รี ุกลำ้ ทางหลวงท่วั ประเทศ ตงั้ เป้า ๒ ปี แผงขาย
โรตสี ายไหม ร้านไก่ต้มน้ำปลา โดนร้ือแล้ว

วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ นายสราวุธ ทรงศิวิไล รองอธิบดีฝ่ายบำรุงทาง กรมทางหลวง (ทล.)
เปิดเผยว่า กรมทางหลวงมีนโยบายจัดระเบียบแผงค้าและสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำทางหลวงทั่วประเทศทั้งแผง
ถาวร คือขายตลอดทั้งปี และแผงชั่วคราว คือวางขายช่วงสั้น ๆ ประมาณ ๑-๒ สัปดาห์ หรือนำสินค้ามาขาย
ตามฤดูกาล เช่น ขายหน่อไม้ เห็ด สาลี่นมสด พุทรานมสด แม้ว่าการตั้งแผงขายเพื่อหารายได้ และกระจาย
สินค้าเป็นอาชีพสุจริต แต่การรุกล้ำพื้นที่สาธารณะถือว่าผิดกฎหมาย ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยมีผลกระทบใน
การเดนิ ทางของประชาชน ทั้งกดี ขวางการจราจร ผคู้ ้าเองเสี่ยงอนั ตรายจากอบุ ัติเหตุ ซึ่งเป็นปัญหาท่ีสะสมมา
นานและกระจายหลายในพ้ืนท่ี

ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่กรมทางหลวงเองก็มไี ม่พอในการกวดขันดูแล โดยจะเดนิ หน้านโยบายดังกล่าว
เร่งจัดระเบียบให้เรียบร้อยทั่วประเทศ ภายใน ๑-๒ ปี ต้องไม่มีแผงค้าและสิ่งปลูกสร้างในเขตทางหลวง
เพอ่ื ความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรยี บร้อยของเมือง สว่ นที่ต้องใช้เวลานานนับปีเน่ืองจากเจ้าหน้าท่ีไม่
เพียงพอจึงตอ้ งใช้เวลา

นายสราวุธ ยังกล่าวต่ออีกว่า นโยบายของกรมสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ที่สั่งการให้จัดระเบียบ
โดยสนับสนุนกำลังจากทุกภาคส่วนทั้งทหาร ตำรวจ และจังหวัด เพื่อร่วมกันจัดระเบียบและใช้มาตรการเร่ิม
จากการเจรจากับผู้ค้าเพ่ือสรา้ งความเขา้ ใจก่อน เช่น ภายใน ๓ เดือนตอ้ งย้ายออกจากพ้ืนท่ี เพื่อให้ผู้ค้าเตรียม
ตัว และช่วยจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสมมาเยียวยาผู้ค้าไปอยู่รวมกัน เช่น เป็นศูนย์โอทอป หรือศูนย์รว มสินค้า
หา่ งจดุ เดมิ ประมาณ ๓-๔ กิโลเมตร แตอ่ ยู่นอกเขตทางหลวงและเดนิ ทางสะดวก

จากนั้นเมื่อถึงเวลากำหนดก็ร่วมกับทหารตำรวจและฝ่ายปกครองจัดการกับผูบ้ ุกรกุ ที่ไม่ยอมยา้ ยออก
อาจต้องเข้าไปร้ือถอนเอง โดยที่ผ่านมามีการรื้อแผงขายโรตีสายไหมริมถนนสายเอเชียที่ จ.พระนครศรีอยธุ ยา
ย้ายได้แล้ว ๙๐% คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะรื้อย้ายได้หมด เนื่องจากผู้ค้าบางส่วนขอเวลารื้อถอน รวมถึงร้านไก่
ตม้ นำ้ ปลา ถนนเพชรเกษม จ.เพชรบรุ ี ดว้ ย

สำหรับทางหลวงทวั่ ไปนนั้ มเี ขตทางจากแนวรนิ ถนนเขา้ ไป ๖ เมตร ซงึ่ หมายความว่าใน ๖ เมตรนี้ห้าม
ปลกู สร้างรุกลำ้ ทางหลวง แตล่ กึ เขา้ ไปเกนิ ๖ เมตร สามารถวางแผงค้านอกเขตทางได้



ชดุ ภาพประกอบ

เรื่อง ผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม

ต้งั โต๊ะบนทางเทา้ ถนน

แมน่ ้ำเจ้าพระยา รถไฟฟ้า BTS

ห้องคอมพวิ เตอร์ สนามฟุตบอล



ชุดภาพประกอบ

เร่อื ง ผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม

โทรศพั ทม์ ือถือ หอ้ งนอน

ชดุ นักเรียน รองเท้า

กระเป๋า เครอื่ งเขยี น



Mind Map
1

Mapping

ช่ือ/กล่มุ ................................



แบบการประเมินผลการนำเสนอผลงาน
เรื่อง ……………………………………………………………………….
วิชา…………………………………………………….…………….ช้ัน……………….
ช่อื /กลุ่ม……………………………………………………….…………………………………………………..

ผู้ประเมนิ รวม เกณฑ์การประเมิน
ที่ รายการประเมนิ
คะแนน ๔ : มีครบทกุ ข้อ
ตนเอง เพอื่ น ครู คะแนน ๓ : มี ๓ ข้อ ขาด ๑ ข้อ
คะแนน ๒ : มี ๒ ข้อ ขาด ๒ ข้อ
๑ เนอ้ื หา (๔ คะแนน) คะแนน ๑ : มี ๑ ขอ้ ขาด ๓ ข้อ
๑. เนื้อหาครบถ้วนสมบูรณ์
๒. เนื้อหาถูกตอ้ ง คะแนน ๒ : มคี รบทกุ ข้อ
๓. เนือ้ หาต่อเน่อื ง คะแนน ๑ : มี ไม่ครบ ๔ ข้อ
๔. มีการค้นควา้ เพ่มิ เติม คะแนน ๐ : ไม่ปรากฏกระบวน
การทำงานทชี่ ัดเจน
๒ กระบวนการทำงาน (๒ คะแนน)
๑. มีการวางแผนอยา่ งเป็นระบบ คะแนน ๒ : มคี รบทุกข้อ
๒. การปฏิบตั ติ ามแผน คะแนน ๑.๕: มี ๓ ข้อ ขาด ๑ ข้อ
๓. ติดตามประเมินผล คะแนน ๑ : มี ๒ ข้อ ขาด ๒ ข้อ
๔. การปรบั ปรงุ พัฒนางาน คะแนน ๐.๕ : มี ๑ ข้อขาด ๓ ข้อ

๓ การนำเสนอ (๒ คะแนน ) คะแนน ๒ : มีครบทุกข้อ
๑. การใชส้ ำนวนภาษาดีถกู ต้อง คะแนน ๑.๕: มี ๓ ข้อ ขาด ๑ ข้อ
๒. การสะกดคำและไวยากรณ์ คะแนน๑ : มี ๒ ข้อ ขาด ๒ ข้อ
ถูกต้อง คะแนน ๐.๕ :มี ๑ ข้อ ขาด ๓ ขอ้
๓. รปู แบบนา่ สนใจ
๔. ความสวยงาม คะแนนเตม็ ๑๐ คะแนน

๔ คุณธรรม (๒ คะแนน)
๑. ตรงตอ่ เวลา
๒. ซื่อสตั ย์
๓. ความกระตือรือรน้
๔. ความมนี ำ้ ใจ

รวม

เฉล่ยี

ลงช่ือผู้ประเมิน…………………………….. ตนเอง
ลงช่อื ผูป้ ระเมิน…………………………….. เพ่ือน
ลงชอ่ื ผปู้ ระเมนิ …………………………….. ครู

๑๐

แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานของนักเรียนเป็นรายบุคคล

กลมุ่ ท่ี……..........

คำชี้แจง: ผสู้ อนสงั เกตการทำงานของผเู้ รียน โดยทำเคร่อื งหมายถกู ลงในชอ่ งทีต่ รงกับความเป็นจรงิ

พฤตกิ รรม ความสนใจ การมสี ่วน การรบั ฟงั การตอบ ความรับผดิ รวม
ในการเรียน รว่ มแสดง ความ คำถาม ชอบต่องาน คะแนน
ชื่อ ท่ไี ดร้ ับมอบ
ความ คิดเห็น ของ
คิดเหน็ ใน ผู้อื่น หมาย

การ
อภิปราย

๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๑๐

เกณฑก์ ารประเมิน
ใหค้ ะแนน ๐ - ๔ ถ้าการทำงานนน้ั อยใู่ นระดับต้องปรบั ปรงุ
ให้คะแนน ๕ - ๗ ถา้ การทำงานนน้ั อยูใ่ นระดบั พอใช้
ให้คะแนน ๘ - ๑๐ ถา้ การทำงานนน้ั อยู่ในระดับดี

ลงชื่อ……………………………………………………ผปู้ ระเมนิ
(…………………………………………………..)

๑๑

ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ ช่วงชั้นท่ี ๓ (ม.๑-ม.๓)
เวลา ๒ ชวั่ โมง
หน่วยที่ ๒ ปหานปธาน : ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี ๑ เรอ่ื ง ความละอายและความไมท่ นต่อการทจุ รติ

๑. สาระสำคัญ/เนื้อหา
ปหานปธาน หมายถงึ การเพียรพยายามละการทจุ ริตซง่ึ มีอยู่แล้วภายในจิตใจ โดยอาศัยการพิจารณา

เห็นโทษของการทุจริตที่มีอยู่ภายในจิตแห่งตนแล้ว ปลูกฝังความพอใจในอันที่จะละการทุจริตเหล่านั้นไปจาก
จิต และใช้ความพยายาม ความเพยี ร การกระทาต่อเนือ่ ง จนสามารถละการทจุ ริตหรือบาปได้จะมากหรือน้อย
กต็ าม ก็พยายามรักษาคุณภาพจิตเอาไวใ้ นจุดน้นั

หิริโอตตัปปะ เป็นหลักธรรมขั้นพื้นฐานต่อการรักษาศีล ๕ ที่จาเป็นต่อการดาเนินชีวติ ของมนุษย์เป็น
อย่างมาก ทำใหม้ นุษย์ไมไ่ ปในท่ีชัว่ ไม่ทำบาปอกศุ ล ทุจริต

หิริ คอื ความอายชัว่ เกิดจากการนึกถึงศกั ดิ์ศรีของวงศต์ ระกูล การศึกษาตาแหน่งฐานะในสงั คมเป็นต้น
แล้วเกดิ ความละอายใจทีจ่ ะกระทาการทจุ ริตและประพฤตมิ ชิ อบ

โอตตปั ปะ คือ ความกลัวบาป เกิดจากการนึกถงึ ภัยหรือความทุกขท์ เ่ี ป็นผลจากทาบาปความกลัวบาป
ท่ีควรนึกถึงมี ๔ ประการ คอื

๑) อัตตานุวาทภยั ความกลวั ถกู ตนเองตาหนิตเิ ตียน หมายถึง กลวั การมวี ิปปฏสิ ารหรือความสานึกผิด
ท่จี ะคอยตดิ ตามเผาลนจิตใจ

๒) ปรานวุ าทภัย ความกลวั ผอู้ ่นื ติเตยี น หมายถงึ กลัวการถูกสังคมประณามหรือกลัวการถกู ส่ือมวลชน
ประจาน เป็นตน้

๓) ทัณฑภัย ความกลัวถูกลงอาญา หมายถึง กลัวโทษปรับจองจาหรือประหารชีวิตรวมทั้งการถูกยึด
ทรัพย์ตามท่กี ฎหมายกาหนด

๔) ทคุ ตภิ ยั ความกลวั ทคุ ติ หมายถึง กลวั การรบั โทษในนรก เป็นต้น ภายหลงั จากสิ้นชวี ิตไปแล้วความ
ละอายและความไม่อดทนนี้ เป็นธรรมค้มุ ครองโลกและเป็นธรรมสาหรับทาคนให้เปน็ เทวดา สง่ เสริมให้เป็นคน
รู้จักอดทนต่อแรงจูงใจให้ทาความชั่วและใหม้ ีความม่ันคงในการทาความดยี ิ่ง ๆ ขึ้นไปที่สาคัญคือธรรมท้ังสอง
ประการนีค้ อยกระตนุ้ ใหล้ ะเลกิ การทุจรติ

๒. จดุ ประสงค์
๑) นกั เรยี นมคี วามรู้ความเข้าเกย่ี วกับปหานปธานและหิริโอตตปั ะ (K)
๒) นกั เรียนสามารถคดิ วิเคราะหถ์ ึงผลดผี ลเสียจากการทุจรติ ต่อการทำการบา้ น/ชนิ้ งาน การทำเวร/
การทำความสะอาด การแต่งกาย การเลือกตัง้ ได้ (P)
๓) นกั เรยี นมคี วามตระหนกั และมคี วามละอายต่อการทจุ ริตได้ (A)

๓. ข้นั ตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้

วธิ สี อนแบบแบ่งกลมุ่ ทำงาน ( Committee Work Method)
ชัว่ โมงท่ี ๑

ข้นั นำ
๑) กิจกรรมสร้างสมาธิก่อนเรียนให้กับนักเรียน ประมาณ ๕ นาที เพื่อให้มีสติในการเรียน เช่น
สวดมนต์ นั่งสมาธิ การสอดด้ายเข้าเข็ม เบรนยิม (Brain Gym) หรือเกมอื่น ๆ ที่สอดคล้องกบั
การสรา้ งสมาธิ เป็นตน้

๑๒

๒) นักเรียนดวู ดี ีโอ เรอื่ ง น้องใหมร่ ้ายบริสุทธิ์ ตอน เกรด ๔ วิชาลอก ซึง่ มีเนื้อหาเก่ียวกับการวาง
แผนการทจุ ริตในการสอบ (ทมี่ าของคลิปวดี โิ อ https://www.youtube.com/watch?v
=Wf๑XMWcU๗๒g)

๓) นกั เรยี นสนทนาอภิปรายคลิปวีดโี อ เร่ือง น้องใหม่รา้ ยบริสุทธิ์ ตอน เกรด ๔ วิชาลอก เพ่ือชี้ให้
นกั เรียนได้เล็งเห็นและตระหนกั ถึงการทุจรติ เปน็ สิง่ ท่ีไมด่ ี โดยอาจใชป้ ระเด็นตอ่ ไปน้ี
- นักเรยี นมคี วามคดิ เห็นอยา่ งไรกับเหตุการณท์ เี่ กิดขนึ้ ในคลปิ วดี โี อ
- นกั เรยี นคดิ วา่ สาเหตุใดบ้างท่ีทำให้เกิดการลอกข้อสอบ (ครพู ยายามชี้ใหเ้ ห็นว่า
สว่ นหนึง่ มาจากสาเหตกุ ารไม่ทำการบา้ น/ช้นิ งานเอง)
- นกั เรยี นคดิ วา่ เราจะมีวธิ ีการแกไ้ ขปญั หาดงั กลา่ วไดอ้ ยา่ งไร

ขั้นสอน
๔) ครูอธิบายให้นักเรียนรู้ ความหมายปหานปธาน หิริโอตตัปปะ พร้อมทั้งเชื่อมโยงให้นักเรียน
เข้าใจถึงตัวอย่างความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต โดยชี้ให้เห็นถึงผลดีผลเสียที่เกิด
จากการทจุ รติ และความรับผดิ ชอบทตี่ อ้ งรับจากผลของการกระทำ
๕) นักเรียนทำใบงานที่ ๑ เรื่อง การสอบ จากนั้นครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้อง
ของใบงาน

ชว่ั โมงท่ี ๒
๑) กิจกรรมสร้างสมาธิก่อนเรียนให้กับนักเรียน ประมาณ ๕ นาที เพื่อให้มีสติในการเรียน
เช่น สวดมนต์ นั่งสมาธิ การสอดด้ายเข้าเข็ม เบรนยิม (Brain Gym) หรือเกมอื่น ๆ
ทีส่ อดคลอ้ งกบั การสรา้ งสมาธิ เป็นต้น
๒) ทบทวนความรูเ้ ดมิ จากชั่วโมงทีแ่ ล้ว
๓) ครูใหน้ กั เรียนแบง่ กลมุ่ ออกเปน็ ๔ กลุ่ม กลุ่มละเทา่ ๆ กัน ตามความสมัครใจ
๔) ใหน้ กั เรยี นส่งตัวแทนกลมุ่ จับฉลากเลอื กหวั ขอ้ กจิ กรรม
- การทำการบา้ น/ชนิ้ งาน
- การทำเวร/การทำความสะอาด
- การแตง่ กายตามระเบียบ
- การเขา้ แถว
๕) ครูกำหนดระยะเวลาในการทำงานกลุ่มร่วมกนั ตามความเหมาะสม
๖) นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันใช้หลักการคิดแบบมีเหตุผล ในการคิดวิเคราะห์ถึงผลดีและผลเสีย
จากการทุจริตตามหัวข้อกิจกรรมที่นักเรียนได้รับมอบหมาย ลงในใบงานที่ ๒ (ตามหัวข้อที่
ไดร้ บั มอบหมาย)

ขนั้ สรุป
๗) นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมานำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนนักเรียน
ร่วมกันแสดงความคิดเหน็ และให้ข้อเสนอแนะเพือ่ นำไปปรบั ใชใ้ นชีวติ ประจำวนั
๘) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต โดยให้นักเรียนช่วยกัน
ออกแบบโลโกต้ ้านทุจริตเพื่อจดั ทำเปน็ ปา้ ยนเิ ทศและเผยแพรผ่ ลงานตอ่ ไป

๔. ภาระงาน/ชิ้นงาน

๑) ใบงานที่ ๑ เรือ่ ง การสอบ
๒) ใบงานที่ ๒

๑๓

- การทำการบ้าน/ช้นิ งาน
- การทำเวร/การทำความสะอาด
- การแตง่ กายตามระเบียบ
- การเขา้ แถว

๓) โลโก้ต้านทุจริต
๕. ส่อื /แหลง่ เรียนรู้

๑) วดี ีโอ เรอ่ื งนอ้ งใหม่รา้ ยบรสิ ุทธิ์ ตอน เกรด ๔ วชิ าลอก

(ที่มาของคลิปวีดิโอ https://www.youtube.com/watch?v =Wf๑XMWcU๗๒g)

๖. การวัดและประเมนิ ผล

๑) วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล
๑. สงั เกตการทำงานกลุ่มของนักเรียน
๒. สงั เกตพฤติกรรมการทำงานของนักเรยี นเป็นรายบคุ คล

๒) เครื่องมือการวดั และประเมนิ ผล
๑. แบบประเมินการนำเสนอผลงาน
๒. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล

๓) เกณฑก์ ารวัดและประเมนิ ผล
- เกณฑก์ ารตดั สนิ คุณภาพ

๗. ภาคผนวก
- วดี โี อ เรื่องน้องใหมร่ า้ ยบรสิ ุทธิ์ ตอน เกรด ๔ วชิ าลอก (https://www.youtube.com/watch?v

=Wf๑XMWcU๗๒g)

- ใบงานที่ ๑ เรือ่ ง การสอบ
- ใบงานท่ี ๒

- การทำการบ้าน/ชิ้นงาน
- การทำเวร/การทำความสะอาด
- การแตง่ กายตามระเบยี บ
- การเข้าแถว
- แบบประเมินการนำเสนอผลงานนักเรียน
- แบบสงั เกตพฤติกรรมการทำงานของนักเรียนเป็นรายบคุ คล

๑๔

ใบงานที่ ๑
เรอ่ื ง การสอบ

คำชี้แจง : ให้นกั เรยี นตอบคำถามจากภาพทีก่ ำหนดให้

๑. จากภาพ นักเรยี นคิดวา่ เด็กชายกำลงั ทำอะไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. นักเรียนคิดว่า การกระทำของเดก็ ชายคนนถี้ ูกตอ้ งหรือไมอ่ ยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ถา้ นักเรียนเป็นเดก็ ชายคนน้ี นักเรียนจะทำตามแบบเดก็ ชายคนน้ีหรือไม่ เพราะอะไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ถา้ นักเรยี นลอกข้อสอบเพือ่ น แลว้ ไดค้ ะแนนสงู ๆ นกั เรียนมคี วามภาคภูมใิ จหรือไม่ เพราะเหตใุ ด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ถ้านักเรยี นมีการสอบ นกั เรียนควรปฏบิ ตั ิตนอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (ข้อละ ๒ คะแนน)
๒ คะแนน อธบิ ายไดช้ ัดเจน ถูกตอ้ ง ตรงประเด็น
๑ คะแนน อธบิ ายได้ถกู ตอ้ ง แต่ยังไม่ชดั เจน/ อธบิ ายไดบ้ า้ ง ตรงประเด็น
๐ คะแนน อธบิ ายไม่ถกู ต้อง

สรปุ ผลการประเมิน
นักเรียนไดค้ ะแนน ๘-๑๐ คะแนนจึงจะผา่ น

๑๕



๑๖



๑๗



๑๘



๑๙

๒๐

แบบการประเมินผลการนำเสนอผลงาน
เร่ือง ……………………………………………………………………….
วิชา…………………………………………………….…………….ช้ัน……………….
ชื่อ/กลุ่ม……………………………………………………….…………………………………………………..

ท่ี รายการประเมนิ ผู้ประเมนิ รวม เกณฑก์ ารประเมิน

ตนเอง เพื่อน ครู คะแนน ๔ : มีครบทกุ ขอ้
คะแนน ๓ : มี ๓ ข้อ ขาด ๑ ข้อ
๑ เนอื้ หา (๔ คะแนน) คะแนน ๒ : มี ๒ ข้อ ขาด ๒ ข้อ
๑. เนอ้ื หาครบถ้วนสมบูรณ์ คะแนน ๑ : มี ๑ ขอ้ ขาด ๓ ข้อ
๒. เนอ้ื หาถกู ต้อง
๓. เนือ้ หาตอ่ เนอ่ื ง คะแนน ๒ : มคี รบทกุ ข้อ
๔. มกี ารค้นคว้าเพม่ิ เติม คะแนน ๑ : มี ไม่ครบ ๔ ข้อ
คะแนน ๐ : ไม่ปรากฏกระบวน
๒ กระบวนการทำงาน (๒ คะแนน) การทำงานทชี่ ัดเจน
๑. มีการวางแผนอยา่ งเป็นระบบ
๒. การปฏบิ ตั ิตามแผน คะแนน ๒ : มีครบทกุ ขอ้
๓. ตดิ ตามประเมินผล คะแนน ๑.๕: มี ๓ ข้อ ขาด ๑ ข้อ
๔. การปรบั ปรงุ พฒั นางาน คะแนน ๑ : มี ๒ ข้อ ขาด ๒ ข้อ
คะแนน ๐.๕ : มี ๑ ข้อขาด ๓ ขอ้
๓ การนำเสนอ (๒ คะแนน )
๑. การใช้สำนวนภาษาดีถกู ต้อง คะแนน ๒ : มีครบทกุ ข้อ
๒. การสะกดคำและไวยากรณ์ คะแนน ๑.๕: มี ๓ ข้อ ขาด ๑ ข้อ
ถูกต้อง คะแนน๑ : มี ๒ ข้อ ขาด ๒ ข้อ
๓. รูปแบบนา่ สนใจ คะแนน ๐.๕ :มี ๑ ขอ้ ขาด ๓ ข้อ
๔. ความสวยงาม
คะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน
๔ คณุ ธรรม (๒ คะแนน)
๑. ตรงต่อเวลา
๒. ซ่อื สัตย์
๓. ความกระตอื รือร้น
๔. ความมีนำ้ ใจ

รวม

เฉลี่ย

ลงชื่อผ้ปู ระเมิน…………………………….. ตนเอง
ลงช่ือผู้ประเมิน…………………………….. เพ่ือน
ลงช่ือผู้ประเมิน…………………………….. ครู

๒๑

แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานของนักเรียนเปน็ รายบุคคล
กล่มุ ท่ี……..........

คำช้ีแจง : ผู้สอนสังเกตการทำงานของผ้เู รียน โดยทำเคร่ืองหมายถกู ลงในชอ่ งที่ตรงกับความเปน็ จริง

พฤตกิ รรม ความสนใจ การมสี ่วน การรับฟัง การตอบ ความรบั ผดิ รวม
ช่ือ ในการเรียน รว่ มแสดง ความ คำถาม ชอบต่องาน คะแนน
ท่ไี ดร้ บั มอบ
ความ คิดเหน็ ของ
คิดเห็นใน ผู้อน่ื หมาย

การ
อภปิ ราย

๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๑๐

เกณฑก์ ารประเมนิ

ให้คะแนน ๐ - ๔ ถ้าการทำงานนนั้ อยใู่ นระดับต้องปรับปรุง
ใหค้ ะแนน ๕ - ๗ ถา้ การทำงานนัน้ อยใู่ นระดับพอใช้
ใหค้ ะแนน ๘ - ๑๐ ถ้าการทำงานน้ันอยใู่ นระดบั ดี

ลงชื่อ……………………………………………………ผ้ปู ระเมนิ

(…………………………………………………..)

๒๒

ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ ชว่ งช้ันท่ี ๓ (ม.๑-ม.๓)
เวลา ๒ ชัว่ โมง
หน่วยท่ี ๓ ภาวนาปธาน : STRONG / จติ พอเพียงต่อตา้ นการทจุ รติ
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี ๑ เรื่อง MY IDOL

๑. สาระสำคญั /เนอ้ื หา
ภาวนาปธาน เป็นหลักธรรมหนึ่งในปธาน ๔ อัน หมายถึง ความเพียรที่ชอบเป็นสัมมาวายามะ

(มี ๔ ประการ ได้แก่ สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน และอนุรักขนาปธาน) โดยภาวนาปธานนั้นเป็น
หลักธรรมขอ้ ท่ี ๓ อนั หมายถงึ การเพยี รเจริญทากุศลธรรมที่ยังไมเ่ กิดให้เกิดข้นึ หรอื เพยี รเจริญ เพียรทำกุศล
ธรรมทย่ี ังไม่มียังไม่เกิดให้มขี ึ้น

สุจรติ ธรรม เปน็ ธรรมที่มุ่งใหเ้ กิดข้นึ แกท่ ้งั ปัจเจกบคุ คลอันจะนำไปสกู่ ารสรา้ งสงั คมทส่ี ุจริต สจุ รติ ธรรม
ประกอบด้วยองคป์ ระกอบ ๓ ประการ ได้แก่

๑) กายสุจริต หมายถึง ความประพฤติชอบดว้ ยกาย (good conduct in act) เปน็ การประพฤตดิ ีและ
งดงามทางกายโดยงดเว้นจากการไม่เบียดเบียน และฆ่าสัตว์ (ปาณาติบาต) การไม่แย่งชิง คดโกง ยักยอกและ
ลักพาส่ิงของทีเ่ จา้ ของมิได้อนญุ าต (อทนิ นาทาน) และการประพฤตผิ ดิ ในเรื่องกามคุณจนขาดความสำรวมระวัง
(กาเมสุมจิ ฉาจาร)

๒) วจีสุจริต หมายถึง ความประพฤติชอบด้วยวาจา (good conduct in word) เป็นการประพฤติดี
และงดงามทางกาย โดยการงดเว้นจากการพูดเท็จ และบิดเบือนเพื่อให้มาหรือให้บุคคลอื่นในทางที่ผิด
(มุสาวาท) การพูดจาเหน็บแนมและส่อเสียดบุคคลอื่น (ปิสุณวาจา) การพูดคำหยาบคายเพื่อให้คนอื่นเจ็บใจ
(ผรุสวาจา) และการพดู จาเพ้อเจอ้ หาสาระมไิ ด้จากการพดู เหลา่ นน้ั (สัมผัปปลาปะ)

๓) มโนสุจริต หมายถงึ ความประพฤติชอบด้วยใจ (good conduct in thought) เป็นการประพฤติดี
และงดงามทางจิตใจ โดยการไม่เพ่งเลง็ ที่จะแสวงหาช่องทางเพื่อให้ทรพั ย์สมบัติของคนอื่น (อนภิชฌา) การไม่
ผูกพยาบาทจองเวรคนอื่น (อพยาบาท) และการมีความคิดในทางที่ถูกต้องเหมาะสม มีปัญญาคิดพิจารณาสิ่ง
ตา่ ง ๆ ตามความเปน็ จรงิ (สัมมาทิฐิ)

ปาปณิกธรรม คือ หลกั ของการเปน็ พอ่ คา้ หรอื คณุ สมบตั ขิ องพ่อค้า หมายถงึ การเปน็ พอ่ ค้าที่ดีจะต้อง
มีหลักในการค้าหรอื มคี ุณสมบตั ดิ า้ นการคา้ ดงั ต่อไปน้ี

๑. จกั ขุมา คือ ตาดี หมายถึง การรู้จักสินคา้ ดูสนิ ค้าเป็น สามารถคำนวณราคากะทุนเก็งกำไรได้อย่าง
แม่นยำ เป็นต้น

๒. วธิ ูโร คือ จัดเจนธุรกิจ หมายถึง รู้แหล่งซ้ือแหลง่ ขายรู้ความเคล่ือนไหวหรือความต้องการของตลาด
มคี วามสามารถในการจดั ซือ้ จดั จำหน่ายร้ใู จและรจู้ ักเอาใจลูกคา้ บริการตรงกบั ความต้องการของลกู คา้ เปน็ ต้น

๓. นิสสยสัมปันโน คือ มีพร้อมด้วยแหล่งทุนเป็นที่อาศัย หมายถึง ทำตัวเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจใสหมู่
แหลง่ ทุนใหญ่ (เครดิตดี) มคี วามสามารถหาเงนิ มาลงทุนหรือดำเนนิ กจิ การได้โดยง่าย

๒. จุดประสงค์
๑) นักเรยี นมีความรคู้ วามเข้าใจเก่ียวกบั ภาวนาปธาน สจุ ริต๓ และปาปณกิ ธรรม (K)
๒) นักเรียนสามารถเลือกวิธีการปฏบิ ัตติ นให้เป็นผู้มพี ฤติกรรมของบคุ คลท่ีมคี วามม่งุ มั่นต้ังใจในการ
ปฏิบัติงานได้ (P)
๓) นักเรยี นมคี วามรับผิดชอบตอ่ การปฏิบัติหนา้ ที่ของตนดว้ ยความซ่ือสัตย์สุจริต มุ่งมน่ั ตั้งใจ
จนกระท่งั งานนัน้ สำเรจ็ ได้ (A)

๒๓

๓. ข้ันตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

วิธสี อนการจดั การเรยี นรแู้ บบคน้ พบ (Discovery Method)
ชวั่ โมงที่ ๑

ขน้ั นำเข้าสบู่ ทเรยี น
๑) กิจกรรมสร้างสมาธิก่อนเรียนให้กับนักเรียน ประมาณ ๕ นาที เพื่อให้มีสติในการเรียน เช่น
สวดมนต์ นั่งสมาธิ การสอดด้ายเข้าเข็ม เบรนยิม (Brain Gym) หรือเกมอื่น ๆ ที่สอดคล้อง
กับการสรา้ งสมาธิ เป็นตน้
๒) ครตู งั้ คำถามกระตนุ้ ความคิดในหัวขอ้ ดังต่อไปนี้
- นักเรยี นรู้จักอาชีพใดบา้ ง
- นักเรียนมีความใฝ่ฝนั อยากประกอบอาชพี ใดในอนาคต เพราะเหตใุ ด
พร้อมสนทนารว่ มกันถึงคณุ ลกั ษณะเดน่ ของแต่ละอาชีพ และแนวทางในการปฏิบตั ิตน เพ่ือให้
ประสบความสำเรจ็ กับอาชีพทตี่ นเองใฝฝ่ ัน และเข้าสู่เนอ้ื หาทีจ่ ะเรยี น

ข้ันเรียนรู้
๓) ครูให้นักเรียนชมคลิปวีดีโอ เรื่อง ความสำเร็จที่เกิดจากความพยายาม เมื่อชมจบแล้วร่วมกัน
อภิปรายแสดงความคิดเห็นต่อพฤติกรรมของบคุ คลในเร่ือง ในหวั ขอ้ ดงั ตอ่ ไปนี้
- นกั เรยี นได้ข้อคิดอะไรจากการดวู ดิ ิโอ
- นักเรยี นประทบั ใจบคุ คลในเร่อื งบคุ คลใดบ้าง เพราะเหตุใด
- บคุ คลในเรอื่ งประสบความสำเรจ็ ในชีวิตได้อย่างไร
จากน้ันครเู ชื่อมโยงขอ้ คิดที่ได้จากวดิ ิโอกบั หลกั ธรรมเรื่อง ภาวนาปธาน สจุ ริตธรรม และ
ปาปณกิ ธรรม

ชว่ั โมงท่ี ๒
๑) กิจกรรมสร้างสมาธิก่อนเรียนให้กับนักเรียน ประมาณ ๕ นาที เพื่อให้มีสติในการเรียน
เช่น สวดมนต์ นั่งสมาธิ การสอดดา้ ยเข้าเข็ม เบรนยิม (Brain Gym) หรือเกมอน่ื ๆ ที่สอดคลอ้ ง
กับการสร้างสมาธิ เปน็ ต้น
๒) ทบทวนความร้เู ดมิ จากช่วั โมงท่แี ล้ว
๓) ครูและนักเรยี นสนทนาร่วมกันถงึ บุคคลทเ่ี ปน็ คนตน้ แบบ (IDOL) หรือบุคคลสำคญั ในชุมชนท่ี
นักเรียนช่ืนชอบและปรารถนาที่จะเดินรอยตามคอื ใคร ชอบเพราะเหตุใด
๔) ให้นักเรียนทำใบงาน เรอ่ื ง บุคคลทเ่ี ป็นคนต้นแบบ (IDOL)
๕) สุ่มนักเรยี นออกมานำเสนอ ใบงาน เร่ือง บุคคลท่ีเป็นคนต้นแบบ (IDOL) หน้าช้ันเรยี น
เพอื่ เปน็ การแลกเปลย่ี นเรียนรตู้ อ่ กัน

ข้ันนำไปใช้
๖) นักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายแสดงความคดิ เห็น หากการทำงานของนักเรียนตอ้ งพบกับปัญหา
อปุ สรรคทที่ ำให้การทำงานน้ันไม่ราบรน่ื นักเรยี นจะมวี ธิ ีการจัดการกับปญั หาน้ันอย่างไร และ
จะนำไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั ของตนไดอ้ ย่างไร
๗) ครูและนักเรียนร่วมกนั สรุปหลักธรรมที่นำไปสูค่ วามสำเรจ็

๒๔

๔. ภาระงาน/ชิน้ งาน
๑) ใบงาน เร่อื ง บคุ คลท่เี ปน็ คนต้นแบบ (IDOL)

๕. สอื่ /แหล่งเรียนรู้
๑) คลปิ วีดีโอเรอื่ ง ความสำเรจ็ ท่เี กดิ จากความพยายาม
(https://www.youtube.com/watch?v=X๕๑QX๗๙Jodk)
๒) อินเตอรเ์ น็ต
๓) แหล่งเรียนรู้ บคุ คลสำคญั ในชุมชน

๖. การวัดและประเมนิ ผล

๑) วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล
๑. สังเกตพฤติกรรมการทำงานของนกั เรียนเปน็ รายบคุ คล

๒) เครอ่ื งมอื การวัดและประเมินผล
๑. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล

๓) เกณฑก์ ารวดั และประเมนิ ผล
- เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ

๗. ภาคผนวก

- คลิปวีดีโอเรื่องความสำเร็จที่เกิดจากความพยายาม (https://www.youtube.com/watch?v=X
๕๑QX๗๙Jodk)

- ใบงาน เรอื่ ง บคุ คลทีเ่ ปน็ คนต้นแบบ (IDOL)

- แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานของนักเรยี นเปน็ รายบคุ คล

๒๕

๒๖

แบบการประเมนิ ผลการนำเสนอผลงาน
เรอื่ ง ……………………………………………………………………….
วชิ า…………………………………………………….…………….ช้ัน……………….
ช่ือ/กลุ่ม……………………………………………………….…………………………………………………..

ท่ี รายการประเมิน ผปู้ ระเมิน รวม เกณฑก์ ารประเมิน
ตนเอง เพอ่ื น ครู
คะแนน ๔ : มคี รบทกุ ขอ้
๑ เนอ้ื หา (๔ คะแนน) คะแนน ๓ : มี ๓ ข้อ ขาด ๑ ข้อ
๑. เนอื้ หาครบถ้วนสมบูรณ์ คะแนน ๒ : มี ๒ ข้อ ขาด ๒ ข้อ
๒. เนอ้ื หาถกู ต้อง คะแนน ๑ : มี ๑ ข้อ ขาด ๓ ข้อ
๓. เน้ือหาต่อเน่อื ง
๔. มีการคน้ คว้าเพมิ่ เติม คะแนน ๒ : มีครบทุกขอ้
คะแนน ๑ : มี ไม่ครบ ๔ ข้อ
๒ กระบวนการทำงาน (๒ คะแนน) คะแนน ๐ : ไม่ปรากฏกระบวน
๑. มกี ารวางแผนอย่างเปน็ ระบบ การทำงานทช่ี ัดเจน
๒. การปฏิบัติตามแผน
๓. ติดตามประเมินผล คะแนน ๒ : มีครบทกุ ข้อ
๔. การปรับปรุงพฒั นางาน คะแนน ๑.๕: มี ๓ ข้อ ขาด ๑ ข้อ
คะแนน ๑ : มี ๒ ข้อ ขาด ๒ ข้อ
๓ การนำเสนอ (๒ คะแนน) คะแนน ๐.๕ : มี ๑ ข้อขาด ๓ ขอ้
๑. การใช้สำนวนภาษาดถี กู ต้อง
๒. การสะกดคำและไวยากรณ์ คะแนน ๒ : มคี รบทกุ ข้อ
ถกู ต้อง คะแนน ๑.๕: มี ๓ ข้อ ขาด ๑ ข้อ
๓. รูปแบบน่าสนใจ คะแนน๑ : มี ๒ ข้อ ขาด ๒ ข้อ
๔. ความสวยงาม คะแนน ๐.๕ :มี ๑ ขอ้ ขาด ๓ ขอ้

๔ คุณธรรม (๒ คะแนน) คะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน
๑. ตรงต่อเวลา
๒. ซ่อื สตั ย์
๓. ความกระตือรือร้น
๔. ความมนี ้ำใจ

รวม

เฉลยี่

ลงชื่อผ้ปู ระเมิน…………………………….. ตนเอง
ลงชอื่ ผปู้ ระเมิน…………………………….. เพ่ือน
ลงชอื่ ผูป้ ระเมิน…………………………….. ครู

๒๗

แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานของนักเรยี นเป็นรายบคุ คล
กลุ่มที่……..........

คำชีแ้ จง : ผู้สอนสังเกตการทำงานของผู้เรยี น โดยทำเครือ่ งหมายถูกลงในช่องท่ตี รงกับความเป็นจรงิ

พฤติกรรม ความสนใจ การมีส่วน การรบั ฟงั การตอบ ความรับผดิ รวม
ช่ือ ในการเรยี น รว่ มแสดง ความ คำถาม ชอบต่องาน คะแนน
ทไี่ ดร้ ับมอบ
ความ คดิ เห็น ของ
คิดเหน็ ใน ผู้อ่ืน หมาย

การ
อภิปราย

๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๑๐

เกณฑ์การประเมิน
ใหค้ ะแนน ๐ - ๔ ถ้าการทำงานนั้นอย่ใู นระดับตอ้ งปรบั ปรุง
ใหค้ ะแนน ๕ - ๗ ถา้ การทำงานน้นั อยูใ่ นระดับพอใช้
ใหค้ ะแนน ๘ - ๑๐ ถา้ การทำงานนัน้ อย่ใู นระดับดี

ลงชอื่ ……………………………………………………ผ้ปู ระเมนิ
(…………………………………………………..)

๒๘

ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้

หน่วยท่ี ๔ พลเมืองกบั ความรับผิดชอบตอ่ สังคม ช่วงชน้ั ท่ี ๓ (ม.๑-ม.๓)

แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๑ เรื่อง การเป็นพลเมอื งท่ดี ีตอ่ ประเทศชาตแิ ละสงั คมโลก เวลา ๒ ช่วั โมง

๑. สาระสำคัญ/เนอื้ หา
อนุรักขนาปธาน หมายถึง การเพียรรักษาสุจริตธรรมที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อมและบำเพ็ญให้เจริญ

ยิ่งขึน้ ไปจนไพบูลย์ ซง่ึ การรกั ษาให้เจริญย่ิงขึ้นไปน้ี มไิ ด้หมายเอาเพยี งการดูแลอย่างเดียวเท่านั้นหากแต่หมาย
รวมไปถึงการสอดส่อง การสำรวจตรวจสอบ การพินิจพิจารณา การส่งเสริมให้ทำความดีอย่างต่อเนื่อง
ไม่ปล่อยให้เกิดอาการชำรุดทรุดโทรม ไม่ปล่อยให้เกิดรูรั่ว ไม่ปล่อยให้เกิดความเสียหายดว้ ยประการใดๆ เมื่อ
พบสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร อันอาจก่อให้เกิดความเสียหาย ไม่ว่าแก่ตน แก่ประชาคม แก่สังคมส่วนรวมตลอดถึง
ชาติบา้ นเมอื ง จะต้องไม่นิ่งดูดายเฉยเมย แต่ตอ้ งแสดงความกล้าหาญทางจรยิ ธรรมออกมาทำหน้าท่ีปกป้องจน
เต็มสติปัญญาและความรู้ความสามารถ เฉกเช่นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้ความกล้าหาญอย่าง
เด็ดเดี่ยวในการเสด็จออกพระราชวัง เพื่อไปแสวงหาหนทางแห่งการพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงสืบไป

หลักอปริหานิยธรรม สร้างสังคมไทยห่างไกลความเสื่อมหลักอปริหานิยธรรมนี้ เป็นหลักที่พระพุทธ
เจ้ำตรัสถงึ ควำมเข้มแข็งของชาวแคว้นวัชชีที่ประพฤติปฏบิ ัตติ ำมคำสอนทพี่ ระพุทธองคท์ รงประทำนไว้ให้อย่าง
แข็งขัน เมื่อชาวแคว้นวัชชปี ฏิบัติตามหลักอปริหานิยธรรมนี้ย่อมได้ชื่อว่า มีแต่ความเจริญ ไม่มีความเสื่อมเลย
ซง่ึ หลกั อปริหานิยธรรมนม้ี ีทง้ั หมด ๗ ขอ้ ดงั น้ี

๑) หมนั่ ประชุมกันเนอื งนิตย์
๒) พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจทั้งหลาย ที่ควรทำ
รว่ มกัน หรอื พร้อมเพรียงกนั ลุกขน้ึ ปกปอ้ งบา้ นเมืองด้วยความสามัคคี
๓) ไมบ่ ัญญัติสิ่งที่ขัดกับหลักการเดมิ ไมล่ ้มลา้ งส่งิ ท่ีบัญญัติไวต้ ามหลักการเดิมท่ีดีอยู่แล้วถือปฏิบัติม่ัน
ตามหลักการเดิมที่วางไว้ ในกรณีเช่นนี้หมายเอาหลักการเดิมที่มีความถูกต้องดีงามอยู่ก่อนแล้วหากหลักการ
เดมิ มขี อ้ บกพรอ่ ง ก็ให้พจิ ารณารว่ มกนั เพ่อื สร้างบญั ญตั ิใหม่ใหม้ ีความเหมาะสมตอ่ ผู้คนในชุมชนตอ่ ไป
๔) ท่านเหล่าใดเป็นผูใ้ หญ่ในชุมชน ให้เคารพนับถือท่านเหล่านั้น เห็นถ้อยคำของท่านว่าเป็นสิ่งท่คี วร
รับฟัง เพราะผู้ใหญ่ในชุมชนถือเป็นผู้มีประสบการณ์ผ่านชีวิตมามาก ดังนั้น ท่านย่อมแนะนำสิ่งที่ดีและคอย
ป้องกนั สง่ิ ทีไ่ ม่ดีท่จี ะสง่ ผลตอ่ ชมุ ชนของเรำเปน็ แน่แท้
๕) อย่าข่มเหงทำร้ายกุลสตรีทัง้ หลายในชุมชนด้วยการทำร้ายจิตใจ ใหช้ ว่ ยสงเคราะห์กุลสตรีเหล่านั้น
ให้อยู่อยา่ งเปน็ สุข มใิ ห้ถกู ขม่ เหงทำรา้ ยไม่วา่ ในกรณใี ดก็ตาม
๖) เคารพสักการบูชาปูชนียสถานและปูชนียวัตถุต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อจิตใจของผู้คนในชุมชนมิ
ปล่อยให้รกร้างวา่ งเปล่าหรือเสื่อมโทรมขาดคนดูแล เพราะสิ่งศักด์ิสิทธิเ์ หล่านี้มผี ลต่อศรัทธาและขวัญกำลังใจ
ของผู้คนในชุมชนเปน็ อย่ำงย่ิง
๗) จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง ป้องกันอันชอบธรรม แก่เหล่าพระสงฆ์ผู้เป็นบรรพชิตที่ปฏิบัติตาม
หลักธรรมและเป็นผู้นำจิตใจของประชาชน โดยตั้งใจว่า จะบำรุงท่านเหล่านั้นให้มีความผาสุกในปฏิบัติสมณ
ธรรมสืบไป

๒๙

หลักสาราณียธรรม เป็นหลักธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึงกัน เป็นหลักการแห่งการอยู่
ร่วมกนั ด้วยบารมแี หง่ เมตตาและความรกั ที่มีใหต้ ่อกนั และกนั ของผคู้ นในสงั คม

๑) เมตตากายกรรม คือ การตั้งเมตตากายกรรมในเพ่ือน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ให้ช่วยเหลือกิจธุระ
ของผรู้ ว่ มคณะดว้ ยความเตม็ ใจ แสดงกริ ิยาอาการสุภาพ เคารพนับถือกัน ให้เกยี รตกิ ันและกัน ทั้งตอ่ หนา้
และลบั หลัง

๒) เมตตาวจีกรรม คือ การตั้งเมตตาวจีกรรมในเพื่อน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ให้ช่วยเหลือด้วยการ
บอกแจ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์ แนะนำตักเตือนและสั่งสอนด้วยควำมหวังดี กล่าววาจาสุภาพ แสดงความเคารพ
นับถือตอ่ กันและกนั ท้ังต่อหน้าและลับหลัง

๓) เมตตามโนกรรม คือ การตั้งเมตตามโนกรรมในเพื่อน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ด้วยการตั้งจิต
ปรารถนาดี คิดทำส่ิงทีเ่ ป็นประโยชนแ์ ก่กันและกนั มองกันในแงด่ ี มคี วามคดิ ด้วยพลังด้ำนบวกอย่างสร้างสรรค์
ต่อกนั และกนั มหี น้าตายมิ้ แย้มแจ่มใสต่อกนั และกนั

๔) สีลสามัญญตา คือ มีศีลบริสุทธิ์เสมอกันกับเพ่ือน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง มีความประพฤติสุจริตดี
งามต่อกัน มีความปฏิบัตถิ ูกต้องตามระเบยี บวินัย ไม่ทำตนให้เป็นที่นา่ รังเกียจของหมู่คณะ เรียกอีกอย่างหน่งึ
ว่ามีความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายเดียวกันไม่มีใครได้รับสิทธิพิเศษจากการปฏิบัติภายใต้กฎระเบียบ
เดยี วกันเพราะความเสมอภาคน้ีเป็นสิ่งทม่ี นษุ ยค์ วรมเี ท่าเทียมกัน

๒. จดุ ประสงค์
๑) นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเก่ยี วกบั การเปน็ พลเมืองทีด่ ีและสามารถอธบิ ายหลักธรรมอนุรกั ขนา
ปธาน หลักอปรหิ านยิ ธรรม และหลกั สาราณียธรรมได้ (K)
๒) นักเรยี นสามารถวเิ คราะหบ์ ทบาทหนา้ ที่ของพลเมืองทด่ี ีตอ่ ประเทศชาตแิ ละสงั คมโลกได้ (P)
๓) นกั เรยี นตระหนักและเหน็ ความสำคัญต่อการประพฤติปฏิบตั ิตนให้เป็นพลเมืองทีด่ ีต่อประเทศชาติ
และสงั คมโลกได้ (A)

๓. ขนั้ ตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

วธิ ีสอนแบบแบง่ กลมุ่ ทำงาน ( Committee Work Method)
ชัว่ โมงที่ ๑

ขัน้ นำ
๑) กิจกรรมสร้างสมาธิก่อนเรียนให้กับนักเรียน ประมาณ ๕ นาที เพื่อให้มีสติในการเรียน
เช่น สวดมนต์ นั่งสมาธิ การสอดด้ายเข้าเข็ม เบรนยิม (Brain Gym) หรือเกมอื่น ๆ
ที่สอดคล้องกับการสร้างสมาธิ เป็นต้น
๒) ครสู นทนากบั นักเรยี นถึงคำว่า พลเมือง ประชาชน ราษฎร แลว้ ถามนักเรยี นว่าทั้ง ๓ คำนีม้ ี
ความหมายเหมอื นกนั หรือตา่ งกนั นักเรียนคดิ ว่าการเปน็ พลเมืองทดี่ ีต้องปฏบิ ตั ิตนอย่างไร

ขนั้ สอน
๓) ครูอธิบายหลักธรรมเรอ่ื ง อนรุ กั ขนาปธาน หลักอปริหานยิ ธรรมและ หลกั สาราณียธรรม
๔) แบง่ กลมุ่ นกั เรียนออกเปน็ ๕ กลมุ่ แจกใบความรทู้ ่ี ๑ เรอ่ื ง ความเปน็ พลเมือง ประชาชน และ
ราษฎรใหแ้ ตล่ ะกลุม่ ศึกษา และร่วมกันสรปุ องค์ความรทู้ ่ีไดจ้ ากการศกึ ษาใบความรู้ แต่ละกลุ่ม
ส่งตัวแทนนำเสนอผลงานหน้าชัน้ เรียน

๓๐

๕) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปถึงความหมายของคำวา่ พลเมอื ง ประชาชน และราษฎรถึงแม้นว่า
คำทั้งคำจะมีความหมายที่แตกต่างกันไปบ้างแต่เราก็ต้องรู้ว่าหน้าที่ที่สำคัญของเราคืออะไร
ไม่ว่าเราจะเป็นพลเมือง ประชาชน หรอื ราษฎร ถา้ เราปฏบิ ตั ติ นเปน็ คนดี มีความซอ่ื สัตย์ เราก็
เป็นคนดี

ชัว่ โมงท่ี ๒
๑) กิจกรรมสรา้ งสมาธกิ อ่ นเรยี นใหก้ บั นกั เรยี น ประมาณ ๕ นาที เพือ่ ให้มีสตใิ นการเรยี น
เช่น สวดมนต์ น่งั สมาธิ การสอดดา้ ยเขา้ เขม็ เบรนยมิ (Brain Gym) หรอื เกมอนื่ ๆ ทส่ี อดคลอ้ ง
กับการสร้างสมาธิ เปน็ ตน้
๒) ทบทวนความรเู้ ดิมจากชวั่ โมงที่แลว้
๓) แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น ๕ กลุ่ม ครูแจกใบความรู้ที่ ๒ เรื่องบทบาทหน้าที่ของพลเมืองที่ดี
ตอ่ ประเทศชาตแิ ละสังคมโลก ให้แต่ละกลมุ่ นำศึกษา
๔) ครสู นทนา อภิปราย กับนกั เรยี นถงึ การปฏิบตั ิตนอย่างไรจงึ จะเรยี กวา่ พลเมืองดี
๕) แจกใบงานให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเขียนแผนภาพความคิด (mind mapping) เรื่อง พลเมืองดี
ในใจฉัน
๖) ครูนำผลงานนกั เรยี นของกลุ่มท่ีทำได้ถูกต้องและสวยงามมานำเสนอหนา้ ชั้นเรียน ให้คัดเลือก
ผลงานทด่ี ถี กู ตอ้ งสวยงามไปตดิ ไวท้ ่ีป้ายนเิ ทศของโรงเรียน

ข้นั สรปุ
๗) ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั สรุปหลักธรรมอนุรักขนาปธาน หลักอปริหานิยธรรมและ หลักสาราณีย
ธรรม และการเปน็ พลเมืองท่ีดตี อ่ ประเทศชาติและสังคมโลก

๔. ภาระงาน/ชิน้ งาน
๑) แผนภาพความคิด (mind mapping) เรอื่ ง พลเมืองดีในใจฉนั

๕. สอื่ /แหล่งเรยี นรู้

๑) ใบความรูท้ ่ี ๑ เร่ือง ความเป็นพลเมือง ประชาชน และราษฎร

๒) ใบความร้ทู ี่ ๒ เร่อื งบทบาทหน้าทข่ี องพลเมอื งที่ดีต่อประเทศชาตแิ ละสังคมโลก

๖. การวดั และประเมนิ ผล

๑) วิธกี ารวัดและประเมินผล
๑. สังเกตการทำงานกลุ่มของนักเรียน
๒. สงั เกตพฤติกรรมการทำงานของนกั เรยี นเปน็ รายบุคคล

๒) เครอื่ งมอื การวัดและประเมนิ ผล
๑. แบบประเมนิ การนำเสนอผลงาน
๒. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล

๓) เกณฑก์ ารวัดและประเมินผล
- เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ

๓๑

๗. ภาคผนวก

๑) ใบความร้ทู ี่ ๑ เรอื่ ง ความเป็นพลเมือง ประชาชน และราษฎร

๒) ใบความร้ทู ่ี ๒ เร่ือง บทบาทหน้าทข่ี องพลเมอื งที่ดตี ่อประเทศชาติและสงั คมโลก

๓) แบบประเมนิ การนำเสนอผลงานนกั เรยี น
๔) แบบสงั เกตพฤติกรรมการทำงานของนักเรยี นเปน็ รายบคุ คล

๓๒

ใบความรูท้ ่ี ๑
เร่ือง ความเป็นพลเมือง ประชาชน และราษฎร

แต่เดิมนั้นสังคมไทยใช้คำว่า'ราษฎร (subject"ประชาซนpeople) และ 'พลเมือง (ctizen)
เพ่อื อธิบายถงึ 'คนหรือประชาชนของประเทศท่ีไมใ่ ชผ่ ้ปู กครอง' และมักพดู ต่อกนั เชน่ ประชาราษฎร ประชาชน
พลเมือง ตอ่ มาเมือ่ สังคมเปลีย่ นแปลงไป ความหมายของคำท้งั สามกเ็ ปล่ียนแปลงไป กล่าวคือ

ประชาชน" มีความหมายกลางๆ คือ หมายถึง คนทั่วไปในสังคมที่ไม่ใช่ผู้ปกครอง เป็นสามัญชนที่อยู่
ภายใต้รัฐ ราษฎร'เป็นคำทเี่ รมิ่ ใช้ในชว่ งสมัยรัชกาลที่ ๕ เนือ่ งจากสังคมไทยสมัยโบราณนั้น ประชาชนเป็นไพร่
หรือทาสเกือบทั้งหมด พอมาถึงช่วงรัชกาลที่ ๕ ได้มีการเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการแผ่นดนิ ครั้งใหญ่และ
ได้ทำการเลิกทาสเลิกไพร่ ทำให้ประชาชนเหล่านั้นกลายเป็นราษฎรหรือเสรีชนที่ไม่ต้องเป็นข้ารับใช้มูลนาย
และมีสถานะทางกฎหมายเท่าเทียมกัน จึงเรียกอดีตไพร่ ทาส ขุนนาง รวมทั้งชนชั้นใหม่ๆว่า 'ราษฎรใน
ความหมายของ ผูท้ ี่ตอ้ งเสียภาษีใหก้ บั รฐั และตอ้ งปฏบิ ตั ิตามกฎหมายของบา้ นเมืองเช่นเดยี วกันหมด

ปัจจุบันคำว่าราษฎร และประชาชน มีความหมายเกือบจะเหมือนกัน แต่ประชาชน สื่อถึงการเป็น
เจ้าของประเทศ และเจ้าของอำนาจอธิปตย มากกว่าราษฎร ส่วนราษฎรมีนัยของคนที่เสียเปรียบ คนที่ด้อย
กวา่ อยดู่ ้วย

'พลเมือง' หมายถึงประชาชน ที่นอกจากเสียภาษีและปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ยังต้องมี
บทบาทในทางการเมือง คืออย่างน้อยมีสิทธิไปเลือกตั้ง แต่ยิ่งไปกว่านั้น คือมีสิทธิในการแสดงต่อทางการหรือ
รัฐได้ ทั้งยังมีสิทธิเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ กับรัฐ และอาจเป็นฝ่ายรุกเพื่อเรียกร้องกฎหมายนโยบายและ
กิจกรรมของรัฐตามที่เห็นพ้อง พลเมืองนั้นจะเป็นคนที่รู้สึกเป็นเจ้าของในสิ่งสาธารณะ มีความกระตือรือร้น
อยากมีส่วนร่วม เอาใจใส่การทำงานของรัฐ และเป็นประชโชนที่สามารถแก้ไขปัญหาส่วนรวมได้ในระดับหนึ่ง
โดยไม่ตอ้ งรอใหร้ ฐั มาแกไ้ ขให้เทา่ น้นั
ประชาชน

ประชาชน หมายถึงคนของประเทศ เชน่ ประชาชนทกุ คนมีหน้าท่ตี ้องรู้กฎหมาย ใครจะปฏิเสธว่าไม่รู้
ไม่ได้ คำว่า ประชาชน ในบางครง้ั อาจหมายถงึ ผู้ท่ีไม่ใช่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ หรอื นกั บวช และในบางครั้ง
หมายถงึ ผู้ท่ีมีไดเ้ ปน็ พ่อคา้ ด้วย
ประชากร

ประชากร หมายถึง คนโดยทั่วไป แต่มักใช้ในกรณีที่จะพิจารณาถึงจำนวน คือจำนวนคนของประเทศ
หรอื ของโลก ในทางสถติ ิ มีการใช้คำวา่ ประชากร หมายถงึ จำนวนของสัตว์ หรือสิ่งทีส่ ำรวจทพ่ี จิ ารณาดว้ ย
พลเมือง

พลเมือง หมายถึง หมู่คนที่เป็นของประเทศใดประเทศหนึ่ง คนทั้งหมดซ่ึงเป็นกำลังของประเทศท้ัง
ในทางเศรษฐกิจ การทหาร และอำนาจต่อรองกับประเทศอื่น โดยนัยของความหมาย คำว่า พลเมืองหมายถึง
คนทีส่ นับสนนุ เปน็ กำลงั อำนาจของผปู้ กครอง เปน็ คนทีอ่ ยูใ่ นการควบคุมดแู ลของผปู้ กครอง
ความแตกตา่ งระหว่างความเป็นราษฎรและความเป็นพลเมือง
ความเปน็ ราษฎร

- ปฏิบัติตนตามหน้าที่เท่านั้น เช่น เสียภาษี ปฏิบัติตามกฎหมายยอมรับกฎหมาย นโยบาย กิจการ
กิจกรรม ต่างๆ ของรฐั

- ไม่กระตอื รอื รน้ ที่จะมีสว่ นร่วมทางการเมอื งหรอื กจิ กรรมสาธารณะ
- คดิ ว่าตนเองเป็นผนู้ อ้ ย ตอ้ งคอยรับการอุปถัมภ์จากผู้ใหญ่

๓๓

ความเป็นพลเมอื ง
นอกจากเสียภาษีและปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ต้องมีสำนึกในทางการเมือง อย่างน้อยต้องไปใช้สิทธิ

เลือกตั้ง หรือมากกว่านั้น คือ แสดงความคิดเห็นต่างๆ ต่อบ้านเมือง ใช้สิทธิเข้าร่วมการทำกิจกรรมต่างๆ
รว่ มกบั รัฐ

- มีอิสรภาพ ศักดิ์ศรี มีความเท่าเทียมกับผู้อื่น ให้ความสนใจต่อส่วนรวมมีบทบาทและมีส่วนร่วม
ทางการเมอื ง

- เคารพตนเองและเคารพสิทธิของผู้อื่น เป็นเจ้าของชีวิตตนเอง ไม่อยู่ใต้ระบบอุปถัมภ์ หรืออิทธิพล
อำนาจของใคร

- ไมต่ กอยใู่ ต้อิทธิพลของพรรคการเมือง และนักการเมือง ไม่รับเงินหรือความช่วยเหลือท่ีได้มาถูกต้อง
ไมซ่ อื้ สิทธิ ไมข่ ายเสยี ง

- เอาใจใส่ออกความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงนของรัฐบาล ตรวจสอบ ร้องเรียน เมื่อมีการดำเนิน
นโยบายผิดพลาด รสู้ กึ เดือดรอ้ นเมอื่ รัฐบาลท าเรอื่ งไมด่ ี ทำงานผิดพลาด หรือดำเนินนโยบายผดิ

- เป็นฝ่ายรุก เพอ่ื เรียกรอ้ งกฎหมาย นโยบาย หรือกจิ การท่ตี นเองเหน็ พอ้ ง
- สามารถแกป้ ัญหาสว่ นรวมเบ้ืองตน้ ได้ ไม่ต้องรอแตร่ ัฐบาลมาแก้ไข
(เอกสารอา้ งองิ :จดหมายขา่ วสถาบนั พระปกเกล้า ปที ี่ ๑๐ ฉบบั ท่ี ๗ เดอื นกรกฎาคม ๒๕๕๒)

๓๔

ใบความรทู้ ่ี ๒
เรื่อง บทบาทหนา้ ที่ของพลเมืองท่ีดีต่อประเทศชาติและสังคมโลก

พลเมืองดีของประเทศชาติและสังคมโลก จะต้องเป็นพลเมืองที่ตระหนกั ถึงบทบาทหน้าท่ีท่ีตนจะต้อง
ปฏิบัติต่อสังคมและประเทศชาติในด้านต่างๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมืองการปกครอง
ด้านสังคมและวัฒนธรรม ทั้งนี้เพราะบทบาทหน้าที่ในด้านต่างๆ ทั้ง ๓ ด้าน จะส่งผลกระทบต่อชุมชนและ
ประเทศชาติในดา้ นบวกหรือลบกไ็ ด้

กล่าวคือ หากชาวไทยทุกคนปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีในด้านเศรษฐกจิ โดยประกอบอาชพี ที่สุจรติ เอา
เปรียบผู้อื่น และในด้านการเมืองการปกครอง โดยการไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้ สมัครที่ดีให้ไปเป็น
สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร กจ็ ะส่งผลดตี ่อประเทศชาติ

นอกจากน้ี บทบาทในด้านสังคมและวัฒนธรรมที่ต้องปฏิบัติ คอื การร่วมงานกบั ผ้อู น่ื เพอื่ พฒั นาสังคม
และส่งเสริมวัฒนธรรมที่ดีของประเทศให้เป็นที่ชื่นชมของชาวต่างชาติ สังคมไทยกู้จะมีแต่ความสามัคคีกลม
เกลียว ไมเ่ อารัดเอาเปรียบกัน

แต่หากชาวไทยแสดงบทบาทหน้าที่ในทางตรงกันข้าม เช่น ประกอบอาชีพผิดกฎหมาย เอารัดเอา
เปรยี บผู้อ่นื เลอื กคนไมด่ ไี ปปกครองประเทศ ชน่ื ชมวัฒนธรรมของต่างประเทศ สังคมไทยและประเทศไทยก็จะ
เจริญก้าวหนา้ ไดล้ ่าชา้ และขาดความน่าเชือ่ ถือในสังคมโลก

บทบาทหนา้ ท่ขี องพลเมืองดที างดา้ นเศรษฐกิจ
บทบาทหน้าท่ขี องพลเมืองดใี นด้านเศรษฐกิจทส่ี ำคัญ มีดงั นี้
๑. พลเมืองดีต้องประกอบอาชีพที่สุจริตและไม่เอาเปรียบผู้อื่น เช่น ถ้าเป็นเจ้าของโรงงาน ก็จะต้อง

ผลิตสนิ คา้ ที่มคี ณุ ภาพตามที่โฆษณาไว้และไมต่ ง้ั ราคาขายสงู มากเกินไป หรอื เอาเปรยี บผูบ้ รโิ ภคดว้ ยวธิ กี าร
๒. พลเมืองดีที่มีความอ่อนแอทางเศรษฐกจิ ควรรวมตัวกันเปน็ กลุ่มอาชีพ หรือสหกรณ์ประเภทต่างๆ

เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และเพิ่มอำนาจของการต่อรองทางเศรษฐกิจ เช่น การรวมตัวกันเป็นเกษตรกร
หรือสหกรณ์การเกษตรประเภทต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรด้วยกันและเพิ่มอำนาจต่อรองกับกลุ่มพ่อค้า
คนกลาง เปน็ ตน้

นอกจากนี้ การรวมกลุ่มอาชพี ยงั เป็นแนวทางการสรา้ งความสามัคคีของคนในชาติได้อีกทางหนึ่งดว้ ย
๓. พลเมืองดีต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดและไม่ควรกู้เงินของบุคคลอื่น โดยเฉพาะจากชาวต่างชาติ มา
ลงทุนในกิจการท่ีอาจให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจช้าหรือมีความเสี่ยงสูง เช่น การกู้เงินต่างชาติมาทำโรงการ
พฒั นาทดี่ ินและปลกู หมู่บา้ นจดั สรรโดยไม่ศกึ ษาความต้องการด้านท่ีอยู่อาศัยของผบู้ รโิ ภค ยังผลให้การก่อสรา้ ง
บ้านจัดสระหรือคอนโดมิเนียมหลายโครงการมผู้ซื้อน้อยราย เป็นผลให้ผู้ลงทุนไม่สามารถใช้เงินต้นและ
ดอกเบี้ยแก่ธนาคารผู้ให้กู้ได้ตามกำหนดเวลา จนกลายเป็นปัญหาหนี้เสียจำนวนหลายหมื่นล้านบาท และเป็น
สาเหตสุ ำคัญสว่ นหนงึ่ ทีท่ ำใหก้ ารฟ้นื ตวั ทางเศรษฐกิจของไทย กระทำไดย้ ากลำบาก เปน็ ตน้
๔. พลเมอื งดจี ะต้องเสียภาษีอากรให้องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินและรัฐบาลกลางอยา่ งครบถ้วน ทั้งน้ี
เพือ่ ชว่ ยให้องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินและรฐั บาลกลางมีรายได้สำหรับนำไปใช้ในการพัฒนาชุมชนและพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคม ในทางกลับกันหากชาวไทยไม่ยอมเสียภาษีอากรหรือเสียภาษีน้อยกว่าที่ควรจะเสียให้แก่
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือรัฐบาลกลาง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือรัฐบาลกลางก็จะไม่มีรายได้มา
พัฒนาท้องถิ่น หรือจ่ายเงินเดือนให้แก่เจ้าหน้าที่ของท้องถิ่นหรือรัฐทีร่ ับผิดชอบในการพัฒนาและรักษาความ
สงบเรยี บรอ้ ยของชมุ ชนและประเทศ

๓๕

๕. พลเมอื งดคี วรท่องเท่ียวภายในประเทศและใช้ของท่ีผลิตในประเทศ เพือ่ ส่งเสริมการท่องเท่ียวของ
ไทย และเพือ่ ป้องกันมใิ ห้เงินตราร่ัไหลไปต่างประเทศ นอกจากน้ี จะต้องเชญิ ชวนชาวไทยและชาวต่างชาติเข้า
มาเท่ียวในประเทศไทยด้วย

บทบาทหนา้ ทีข่ องพลเมอื งดีทางดา้ นการเมอื งการปกครอง
พลเมืองดมี ีบทบาทหนา้ ทดี่ ้านการเมอื งการปกครองต่อชมุ ชนและประเทศ ดงั น้ี
๑. พลเมืองดีมีหน้าที่ไปออกเสียงเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ดีมีคุณภาพไปเป็นสมาชิกสภาองค์กร

ปกครองส่วนทอ้ งถิ่นหรอื ผู้บริการทอ้ งถิน่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร และสมาชิกวุฒสิ ภา
๒. พลเมืองดีมีหน้าที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือ

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมอื่ มีคุณสมบตั คิ รบตามเกณฑท์ ่ีกฎหมายบัญญัติ
๓. พลเมืองดีมีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและ

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือผู้ดำรงตํแหน่งทางการเมืองอื่น เช่น นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ว่าเป็นไปโดย
ชอบดว้ ยกฎหมายหรือไม่ หากพบว่าสมาชกิ องค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ หรือสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรทุจริตต่อ
หน้าที่หรือละเมิดรัฐธรรมนูญ ก็ควรเข้าชื่อกันฟ้องกล่าวโทษ เพื่อปลดหรือถอดถอนบุคคลดังกล่าวออกจาก
ตำแหน่ง

บทบาทหนา้ ทข่ี องพลเมืองดที างด้านสังคมและวัฒนธรรม
บทบาทหนา้ ท่ขี องพลเมอื งดีทางดา้ นสังคมและวฒั นธรรมตอ่ ชมุ ชนและประเทศท่ีควรปฏิบัติ มีดังน้ี

๑. พลเมืองดมี หี นา้ ทีร่ ว่ มมือกนั พัฒาสังคมให้น่าอยูแ่ ละรักษาวัฒนธรรมท่ีดงี ามของชุมชนและประเทศ
ไว้ เพอ่ื เปน็ มรดกของชาติและเพ่ือจูงใจใหช้ าวต่างชาติมาเยี่ยมชม และลงทุนในกิจการต่าง ๆ เช่นแต่งกายด้วย
ผา้ ไทยทีเ่ รยี บร้อยและรัดกมุ ในประเพณีสำคัญของชาวไทย เช่น วันลอยกระทง วนั สงกรานต์

๒. พลเมืองดีมีหน้าที่รกั ษาความสามัคคีและป้องกันมิให้กลุ่มบุคคลทีม่ ีผลประโยชน์ต่างกัน เกิดความ
ขัดแย้งหรือทะเลาะวิวาทกันกลายเป็นการเผชิญหน้าและเป็นศัตรูกันตลอดเวลาทำให้สังคมไม่สงบสุข เช่น
เตือนสติไม่ให้เพอ่ื นฝูงทะเลาะกัน เป็นต้น

๓. พลเมืองดีมีหน้าที่ป้องกันมีให้วัฒนธรรมต่างชาติมาทำลายวัฒนธรรมไทย หรือวิถีชีวิตที่ดีงามของ
ชาวไทย ในขณะเดียวกันก็ยอมรับวัฒนธรรมที่ดีงามของชาวต่างชาติมาประยุกต์ใช้เพื่อนพัฒนาสังคมไทยให้
เจริญกา้ วหนา้ ยง่ิ ๆ ขึน้ ไป เช่น การใชค้ อมพิวเตอร์ในการค้นคว้าขอ้ มูลความร้ดู า้ นการศกึ ษา เป็นตน้

๔. พลเมืองดีมีหน้าที่ช่วยเหลือคนพิการหรือทุพพลภาพให้มาสมารถมีชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมี
คณุ ภาพ เช่น เมื่อพบเหน็ คนพกิ ารข้ามถนน กค็ วรจะชว่ ยเหลอื ให้สามารถข้ามไปไดอ้ ย่างปลอกภยั เป็นตน้

๕. พลเมอื งดีมหี น้าทีช่ ว่ ยเหลือราชการในเรื่องท่ีสามารถช่วยเหลือได้ เช่น ช่วยเป้นพยานให้แก่ตำรวจ
เพื่อเอาคนทำผิดมาลงโทษ ช่วยสอดส่องและแจ้งเบาะแสต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อ ได้พบเห็นการกระทำที่ ผิด
กฎหมาย เป็นตน้

๖. พลเมืองดีที่ยังเป็นเด็กและเยาวชนหน้าที่ศึกษาเล่าเรียนให้ดีที่สุด เพื่อจะได้เป็นกำลังที่มีคุณภาพ
ของสงั คมและประเทศชาตติ ่อไป เช่น เปน็ หมอรักษาผูป้ ว่ ย เปน็ ครูอาจารย์ เปน็ ตน้

กล่าวโดยสรุปว่า พลเมืองดีมีความสำคัญต่อประเทศชาติและสังคมโลกอย่างมาก ทั้งทางด้านสังคม
เศรษฐกิจ และการเมืองการปกครอง โดยพลเมืองดีจะเป็นผู้ท่ีทำประโยชน์ให้แก่สังคมสว่ นรวมอย่างสม่ำเสมอ
เช่น ประกอบสัมมาอาชีพ ยึดมั่นในหลักการเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับในด้านการเมืองการนั้น พลเมืองดีจะ
เป็นผู้ที่เคารพกฎหมาย รู้จักสิทธิของตนเอง และเคารพสิทธิของผู้อื่นเสทำหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้อย่าง
เคร่งครดั

๓๖

ดังนั้น จึงถือได้ว่าหากพลเมืองของประทศใดปฏิบัติตนให้สมกับเป็นพลเมืองดีที่ได้กล่าวมาข้างต้น
ประเทศน้นั ก็จะมแี ต่ความสงบสุขและเจรญิ กา้ วหน้า รวมทง้ั จะชว่ ยให้สังคมโลกมสี นั ตสิ ขุ ด้วย

๓๗

๓๘

แบบการประเมนิ ผลการนำเสนอผลงาน
เร่ือง ……………………………………………………………………….
วิชา…………………………………………………….…………….ช้ัน……………….
ชื่อ/กลุ่ม……………………………………………………….…………………………………………………..

ท่ี รายการประเมนิ ผู้ประเมิน รวม เกณฑ์การประเมิน

ตนเอง เพอื่ น ครู คะแนน ๔ : มีครบทกุ ขอ้
คะแนน ๓ : มี ๓ ข้อ ขาด ๑ ข้อ
๑ เนอื้ หา (๔ คะแนน) คะแนน ๒ : มี ๒ ข้อ ขาด ๒ ข้อ
๑. เนื้อหาครบถว้ นสมบูรณ์ คะแนน ๑ : มี ๑ ขอ้ ขาด ๓ ข้อ
๒. เนอื้ หาถกู ตอ้ ง
๓. เนือ้ หาตอ่ เน่อื ง คะแนน ๒ : มคี รบทกุ ข้อ
๔. มกี ารค้นคว้าเพม่ิ เติม คะแนน ๑ : มี ไม่ครบ ๔ ข้อ
คะแนน ๐ : ไม่ปรากฏกระบวน
๒ กระบวนการทำงาน (๒ คะแนน) การทำงานทชี่ ัดเจน
๑. มีการวางแผนอยา่ งเป็นระบบ
๒. การปฏบิ ตั ิตามแผน คะแนน ๒ : มีครบทกุ ขอ้
๓. ตดิ ตามประเมินผล คะแนน ๑.๕: มี ๓ ข้อ ขาด ๑ ข้อ
๔. การปรับปรงุ พัฒนางาน คะแนน ๑ : มี ๒ ข้อ ขาด ๒ ข้อ
คะแนน ๐.๕ : มี ๑ ข้อขาด ๓ ข้อ
๓ การนำเสนอ (๒ คะแนน )
๑. การใชส้ ำนวนภาษาดีถูกต้อง คะแนน ๒ : มีครบทกุ ข้อ
๒. การสะกดคำและไวยากรณ์ คะแนน ๑.๕: มี ๓ ข้อ ขาด ๑ ข้อ
ถูกต้อง คะแนน๑ : มี ๒ ข้อ ขาด ๒ ข้อ
๓. รูปแบบนา่ สนใจ คะแนน ๐.๕ :มี ๑ ขอ้ ขาด ๓ ข้อ
๔. ความสวยงาม
คะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน
๔ คณุ ธรรม (๒ คะแนน)
๑. ตรงต่อเวลา
๒. ซ่อื สตั ย์
๓. ความกระตือรือร้น
๔. ความมีนำ้ ใจ

รวม

เฉลี่ย

ลงชื่อผ้ปู ระเมิน…………………………….. ตนเอง
ลงช่ือผู้ประเมิน…………………………….. เพ่ือน
ลงช่ือผู้ประเมิน…………………………….. ครู

๓๙

แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานของนักเรยี นเป็นรายบคุ คล
กลมุ่ ท…่ี …..........

คำช้ีแจง: ผสู้ อนสังเกตการทำงานของผู้เรยี น โดยทำเครอ่ื งหมายถูกลงในช่องทตี่ รงกับความเปน็ จรงิ

พฤติกรรม ความสนใจ การมีส่วน การรบั ฟงั การตอบ ความรบั ผดิ รวม
ช่ือ ในการเรยี น รว่ มแสดง ความ คำถาม ชอบต่องาน คะแนน
ทไ่ี ดร้ ับมอบ
ความ คดิ เห็น ของ
คดิ เหน็ ใน ผู้อนื่ หมาย

การ
อภปิ ราย

๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๑๐

เกณฑ์การประเมิน

ให้คะแนน ๐ - ๔ ถ้าการทำงานน้นั อยใู่ นระดับต้องปรับปรงุ
ใหค้ ะแนน ๕ - ๗ ถา้ การทำงานนนั้ อยใู่ นระดับพอใช้
ใหค้ ะแนน ๘ - ๑๐ ถา้ การทำงานน้นั อยูใ่ นระดับดี

ลงชือ่ ……………………………………………………ผูป้ ระเมิน
(…………………………………………………..)



ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้

หน่วยที่ ๑ สงั วรปธาน : การแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม

ช่วงชั้นท่ี ๔ (ม.๔- ม.๖) เวลา ๒ ช่ัวโมง

เร่อื ง ประโยชนส์ ว่ นรวม ประโยชน์สว่ นตน ประโยชนข์ องใคร

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

๑. สาระการเรียนรู้/เน้อื หา
- หลกั ธรรมอัตถะ ๓ หมายถึง ประโยชนห์ รอื ผลที่ม่งุ หมาย ๓ ประการ ไดแ้ ก่
(๑) อตั ตตั ถะ หมายถงึ ประโยชน์ตน
(๒) ปรตั ถะ หมายถงึ ประโยชนผ์ ู้อื่น
(๓) อุภยัตถะ หมายถึง ประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือ ประโยชน์ตนและ

ประโยชนผ์ ้อู ่นื รวมกัน หรือที่เรียกว่า ประโยชน์ส่วนรวม
- หลกั ธรรมสงั วรปธาน หรือสงั วร ๕ (สติ ศีล ญาณ ขนั ติ วริ ยิ ะ)
สังวรปธาน คือ ป้องกันปัญหาการทุจริต เป็นหลักพุทธธรรมสำคัญเพื่อจะไม่ให้เกิดปัญหาการทุจริต

โดยทำให้คนในสังคมคิดดี มีมโนสุจริต พูดดีวจีสุจริต ทำดีกายสุจริต เพราะไม่ไปฉกฉวยผลประโยชน์ของ
ส่วนรวมมาเป็นของตน เพ่อื ทำให้ผเู้ รยี นสามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นบุคคล ส่วนบุคคลอื่นกับ
ผลประโยชน์ส่วนรวมได้ และคำนึงถงึ ผลประโยชนส์ ว่ นรวมมากกว่าผลประโยชนส์ ่วนบคุ คล

สติ แปลว่า ความระลึกได้ ความนึกขึ้นได้ ความไม่เผลอ ฉุกคิดขึ้นได้ การคุมจิตไว้ในกิจหน้าที่เพื่อให้
เกดิ ความสจุ ริตเสมอ เพ่ือตา้ นทจุ ริต

ศีล แปลว่า กฎ ระเบียบ หรือข้อปฏิบัติตนขั้นพื้นฐานในทางพระพุทธศาสนา เพื่อควบคุมความ
ประพฤตทิ างกายและวาจาใหต้ งั้ อยู่ในสุจริต และความดงี ามมีความปกติสขุ ในสังคม

ญาณ แปลว่า ความรู้ คือ ปรีชาหยั่งรู้ ปรีชากำหนดรู้ หรือ กำหนดรู้ได้ด้วยอำนาจการแยกแยะฐาน
สอง หรือฐานสิบ เพราะการฝึกฝนจิตใจให้เข้มแข็ง ด้วยเรียนรู้อัตถะ ๓ ประการเพื่อพัฒนาตนเอง บุคคลอื่น
และสงั คมให้เข้มแข็ง (STRONG VALUE)

ขนั ติ แปลว่า ความอดทนไม่ให้ความอยากได้ครอบงำ แม้จะมีอามสิ สนิ จ้าง
วริ ิยะ แปลวา่ ความสำรวมดว้ ยความเพียรพยายาม

๒. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
๑. เพอ่ื ให้นกั เรยี นมคี วามรู้ ความเข้าใจในเรื่องหลักธรรมเร่อื ง อัตถะ ๓ และสังวร ๕ (K)
๒. เพื่อให้นักเรียนสรุปหลักธรรม เรื่องอัตถะ ๓ และสังวรปธาน หรือสังวร ๕ (สติ ศีล ญาณ ขันติ วิริยะ)

ในรปู แบบผงั มโนทศั นไ์ ด้ (P)


Click to View FlipBook Version