The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

1 A บรรยาย กศป. ม.ศรีปทุม รุ่น 4 Power Point 17 10 64 (1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pachairat, 2021-10-16 06:07:23

1 A บรรยาย กศป. ม.ศรีปทุม รุ่น 4 Power Point 17 10 64 (1)

1 A บรรยาย กศป. ม.ศรีปทุม รุ่น 4 Power Point 17 10 64 (1)

1 2จบ POWER POINT มตี ่อ POWER POINT อกี จานวน 236 สไลด์

เริ่ม POWER POINT 2

กรณีศึกษา

คดีปกครองเก่ียวกบั
ส่ิงแวดล้อม การผงั เมือง อาคาร

และเหตเุ ดือดรอ้ นราคาญ

“คดีปกครองเก่ียวกบั การตงั้ ถิ่นฐานมนุษย”์
(HUMAN SETTLEMENT)

การศึกษาและสงั เคราะหต์ ้องเป็นไปในลกั ษณะ
ความเป็ นสหวิทยาการ

(Interdisciplinary)

การวนิ ิจฉัยคดปี กครอง
เกยี่ วกบั สิ่งแวดล้อม การผงั เมือง อาคาร และเหตุเดือดร้อนราคาญ

ข้ันตอนการสรุป ข้ันตอนการวเิ คราะห์ ข้นั ตอนการสังเคราะห์ ข้นั ตอนการวนิ ิจฉัยคดี การพพิ ากษาคดี
ข้อกฎหมายและข้อเทจ็ จริง Analysis
Synthesis Synopsis
บทบัญญัติของกฎหมาย เจตนารมณ์และวตั ถุประสงค์
ทเี่ กยี่ วข้อง ของกฎหมายทเ่ี กยี่ วข้อง นาผล ( Syllabus )
การพเิ คราะห์มา
ข้อเทจ็ จริงเกย่ี วกบั ความชอบด้วยกฎหมาย ประมวลด้วยกนั สรุปคาวนิ ิจฉัย คาพพิ ากษา
การใช้อานาจรัฐ เพ่ือให้เห็นภาพรวม ด้วยเหตุผลทม่ี ี และ
ทเ่ี กดิ ในปัจจุบัน
ข้อเทจ็ จริงตาม คากล่าวอ้างของคู่กรณี ความ คาบงั คบั
คากล่าวอ้างของคู่กรณี รับฟังได้เพยี งใด และกาหนด สมเหตุสมผล รวมท้งั
สภาพท่ีเหมาะสม เพ่ือแสดงให้เห็น ข้อสังเกต
ข้อเทจ็ จริงเกยี่ วกบั มสี ภาพทเ่ี กย่ี วข้องหรือมผี ลกระทบ ว่าการพพิ ากษา และ
สภาพทางด้านกายภาพ อย่างไรกบั เนื้อหาของคดี ทจี่ ะเกดิ ขนึ้ แนวทางหรือ
ต่อบุคคลและสังคม ก่อให้เกดิ วธิ ีการ
เศรษฐกจิ สังคม ความยุตธิ รรม ดาเนินการ
การบริหารราชการ ฯลฯ ภายหลงั ให้เป็ นไป
การพพิ ากษาคดี และ ตาม
ตามเจตนารมณ์ ความสงบสุข คาพพิ ากษา
ของกฎหมาย
ในสังคม
อย่างไร

ภานุพนั ธ์ ชัยรัต ๕ กรกฎาคม ๒๕๔๗

กรณศี ึกษา

อานาจศาลปกครอง

ในการพิจารณาพิพากษาคดีปกครองเก่ียวกบั
ส่ิงแวดล้อม การผงั เมอื ง อาคาร
และเหตเุ ดือดรอ้ นราคาญ

361

อานาจศาลปกครอง

อานาจในฐานะองคก์ รใช้อานาจอธิปไตยของรฐั
ตามบทบญั ญตั ิของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย

(รฐั สภา คณะรฐั มนตรี ศาล)

อานาจในฐานะศาลซ่ึงเป็นองคก์ รตลุ าการของรฐั
มาตรา ๑๙๗ ของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐
(การนิติบญั ญตั ิ การบริหารราชการแผน่ ดิน การพิจารณาพิพากษาคดี)

อานาจในฐานะศาลเพ่ือพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง
ตามบทบญั ญตั ิของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย
พระราชบญั ญตั ิว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอานาจหน้าท่ีระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒

(ศาลยตุ ิธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร)

อานาจในฐานะศาลปกครองเพื่อพิจารณาพิพากษาตามเนื้อหาคดีปกครอง
ตามบทบญั ญตั ิแห่งพระราชบญั ญตั ิจดั ตงั้ ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

(กฎ คาสงั่ และ การกระทาอ่ืนใด)
(มาตรา ๙ (๖) คดีพิพาทเกี่ยวกบั เร่ืองที่มีกฎหมายกาหนดให้อย่ใู นเขตอานาจศาลปกครอง)

ประเดน็
ศาลปกครองของไทย

ในฐานะ
องค์กรใช้อานาจอธิปไตยของรัฐ

363

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

อานาจอธิปไตย & การแบ่งแยกอานาจ

ประเทศไทยภายหลงั เปลยี่ นแปลงการปกครองปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ใช้การปกครอง
ตามแนวความคิดรัฐธรรมนูญนิยม มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็ นกฎหมาย
สูงสุด กาหนดหลักการสาคัญของระบอบการปกครองประเทศ ประมุขของรัฐ
แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ โครงสร้ างอานาจขององค์กรท่ีใช้ อานาจอธิปไตย
การรับรองสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหน้าทข่ี อง ชนชาวไทย เป็ นต้น

รัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรก คือ รัฐธรรมนูญแห่ งราชอาณาจักรสยาม

พุทธศักราช ๒๔๗๕ บัญญัติไว้ดังนี้ มาตรา ๒ อานาจอธิปไตย ย่อมมาจากปวงชน

ชาวสยาม พระมหากษัตริย์ผู้เป็ นประมุขทรงใช้ อานาจน้ันแต่โดยบทบัญญัติแห่ง

รัฐธรรมนูญน้ี มาตรา ๖ พระมหากษัตริย์ทรงใช้ อานาจนิติบัญญัติ โดยคาแนะนาและ

ยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงใช้ อานาจบริหาร

ทางคณะรัฐมนตรี มาตรา ๘ พระมหากษตั ริย์ทรงใช้ อานาจตุลาการ ทางศาลที่ได้ต้ังขึ้น

ตามกฎหมาย 364

แนวความคดิ

อานาจอธิปไตย & การแบ่งแยกอานาจ

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๙๒ บัญญัติไว้ดังนี้

มาตรา ๓ อานาจอธิปไตย มาจากปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้เป็ นประมุขทรงใช้

อานาจน้ันแต่โดยบทบัญญตั ิแห่งรัฐธรรมนูญนี้ มาตรา ๘ พระมหากษตั ริย์ทรงใช้อานาจ

นิติบัญญัติ ทางรัฐสภา มาตรา ๙ พระมหากษัตริย์ทรงใช้ อานาจบริหาร ทาง

คณะรัฐมนตรี มาตรา ๑๐ พระมหากษตั ริย์ทรงใช้ อานาจตุลาการ ทางศาล

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ บัญญัติไว้ดังนี้

มาตรา ๓ อานาจอธิปไตย เป็ นของปวงชนชาวไทย พระมหากษตั ริย์ผู้เป็ นประมุขทรงใช้

อานาจน้ันแต่โดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ มาตรา ๑๐ พระมหากษัตริย์ทรงใช้

อานาจนิติบัญญัติ ทางรัฐสภา มาตรา ๑๑ พระมหากษัตริย์ทรงใช้ อานาจบริหาร ทาง

คณะรัฐมนตรี มาตรา ๑๒ พระมหากษตั ริย์ทรงใช้ อานาจตุลาการ ทางศาล 365

อานาจอธิปไตย & การแบ่งแยกอานาจ

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑ บัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา ๓ อานาจอธิปไตย มาจากปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้เป็ นประมุขทรงใช้
อานาจน้ันทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญตั แิ ห่งรัฐธรรมนูญนี้

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ บัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา ๓ อานาจอธิปไตย เป็ นของปวงชนชาวไทย พระมหากษตั ริย์ผ้เู ป็ นประมุขทรงใช้
อานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญตั แิ ห่งรัฐธรรมนูญนี้

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ บัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา ๓ วรรคหน่ึง อานาจอธิปไตย เป็ นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรง
เป็ นประมุขทรงใช้อานาจน้ันทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่ง

รัฐธรรมนูญนี้ วรรคสอง การปฏิบัติหน้าท่ีของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมท้ัง

องค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐต้องเป็ นไปตาม หลกั นิติธรรม

366

อานาจอธิปไตย & การแบ่งแยกอานาจ

ในช่วงระยะเวลา ๕๐ ปี ภายหลงั ประเทศไทยเปล่ยี นแปลงการปกครองในปี พ.ศ.

๒๔๗๕ การใช้อานาจอธปิ ไตยของรฐั เป็นไปตามแนวความคดิ หลกั การแบ่งแยกอานาจ โดย

บทบญั ญตั ขิ องรฐั ธรรมนูญไดก้ าหนดใหม้ กี ารแบ่งแยกอานาจอธปิ ไตยออกเป็นสามอานาจ ไดแ้ ก่

อานาจนิตบิ ญั ญตั ิ อานาจบรหิ าร และอานาจตุลาการ และกาหนดใหพ้ ระมหากษตั รยิ ท์ รงใชอ้ านาจ

แต่ละอานาจผ่านองคก์ รทก่ี าหนดไวโ้ ดยเฉพาะ คอื อานาจนิตบิ ญั ญตั ทิ างรฐั สภา อานาจบรหิ าร

ทางคณะรฐั มนตรี และอานาจตุลาการทางศาล ตามแนวความคิดท่กี ล่าวมาเป็นการแบ่งแยก

อานาจอธปิ ไตยออกเป็นสามอานาจ และกาหนดใหอ้ งคก์ รแต่ละองคก์ รใชอ้ านาจแต่ละอานาจแยก

จากกนั โดยเดด็ ขาด จงึ กล่าววา่ “ศาลเป็นองคก์ รใช้อานาจตลุ าการ”

แต่ภายหลงั การประกาศใชร้ ฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๒๑ และ

รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทยฉบบั ต่อๆมาจนถงึ ฉบบั ปัจจุบนั การใชอ้ านาจอธปิ ไตยของรฐั

ไม่ได้เป็ นไปตามแนวความคิดตามหลักการแบ่งแยกอานาจ เช่นเดียวกับบทบัญญัติของ

รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทยในระยะแรก จงึ ไม่ไดม้ บี ทบญั ญตั ใิ หแ้ บ่งแยกอานาจอธปิ ไตย

เป็นสามอานาจ แต่บญั ญตั ใิ หพ้ ระมหากษตั รยิ ท์ รงใชอ้ านาจอธปิ ไตยซ่งึ เป็นอานาจสูงสุดของรฐั

ทม่ี เี พยี งหน่ึงเดยี วผา่ นองคก์ รหลกั ของรฐั สามองคก์ ร คอื รฐั สภา คณะรฐั มนตรี และศาล ดงั นนั้

ในปัจจบุ นั จงึ กลา่ ววา่ “ศาลเป็นองคก์ รใช้อานาจอธิปไตยของรฐั ” 367

อานาจอธิปไตย & การแบ่งแยกอานาจ

หลกั การแบง่ แยกอานาจกบั สภาพความเป็นจริงของประเทศไทย

ที่มา : พิเชษฐ เมาลานนท์ นิลุบล ชยั อิทธิพรวงศ์ และ พรทิพย์ อภิสิทธิวาสนา (ทีมวิจยั ปัญหาตุลาการศาสตร์) ศาลปกครองของไทย
ยอ่ มพฒั นากา้ วไกล เมื่อใชว้ ธิ ีประเมินตนเอง วารสารข่าวกฎหมายใหม่ ปี ที่ ๖ ฉบบั ท่ี ๑๐๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ หนา้ ๒๘

368

กรณศี ึกษา

อานาจศาลปกครอง

ในฐานะ 369

องค์กรใช้อานาจอธิปไตยของรัฐ

อานาจอธิปไตย เป็ นของปวงชนชาวไทย
พระมหากษตั ริย์ผู้ทรงเป็ นประมุขทรงใช้อานาจน้ัน

ทาง รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และ ศาล

ศาลปกครองสูงสุด คาสง่ั ท่ี ๕๙๒/๒๕๕๒
ลงวนั ที่ ๒ ธนั วาคม ๒๕๕๒ คาสงั่ อทุ ธรณ์
คาสงั่ ศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดาที่
๙๐๘/๒๕๕๒ ลงวนั ท่ี ๒๙ กนั ยายน ๒๕๕๒

ศาลปกครองกลาง
คาสง่ั คดีหมายเลขดาท่ี ๙๐๘/๒๕๕๒

ลงวนั ที่ ๒๙ กนั ยายน ๒๕๕๒


Click to View FlipBook Version