The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัย TGTร่วมกับชุดกิจกรรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by rodjan_210540, 2022-03-09 12:13:19

วิจัย TGTร่วมกับชุดกิจกรรม

วิจัย TGTร่วมกับชุดกิจกรรม

การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง ความสัมพนั ธข์ องส่ิงมีชวี ติ ใน
ระบบนเิ วศ โดยใช้การจัดการเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื เทคนคิ TGT ร่วมกบั ชดุ กจิ กรรม
วทิ ยาศาสตร์ สำหรับนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบา้ นดอนขเ้ี หลก็
อำเภอเมอื ง จงั หวดั สงขลา

ศริ ิวลิ าศลกั ษ์ เกิดกันโณ

รายงานวจิ ยั ในช้นั เรียนฉบบั น้ี เปน็ สว่ นหนงึ่ ของการฝึกประสบการณว์ ชิ าชีพครู
ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563

คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสงขลา

การพฒั นาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง ความสมั พันธข์ องสิ่งมชี ีวติ ใน
ระบบนเิ วศ โดยใช้การจัดการเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ เทคนคิ TGT รว่ มกับชุดกจิ กรรม
วิทยาศาสตร์ สำหรบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นบ้านดอนขีเ้ หล็ก
อำเภอเมอื ง จังหวัดสงขลา

โดย
ศิรวิ ลิ าศลักษ์ เกิดกันโณ
วิชาเอกวิทยาศาสตรท์ วั่ ไป รหัส 59E148052

เสนอ
อาจารย์ ชุติมา จันทรจิตร

รายงานวิจยั ในช้ันเรียนฉบับน้ี เปน็ ส่วนหนง่ึ ของการฝกึ ประสบการณว์ ชิ าชีพครู
ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563

คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสงขลา



ชื่อเรอ่ื ง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์ เรอื่ ง ความสัมพนั ธ์ของสง่ิ มชี ีวิตในระบบ
นเิ วศ โดยใช้การจัดการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื เทคนิค TGT รว่ มกบั ชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์
สำหรับนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบา้ นดอนขเ้ี หล็ก อำเภอเมอื ง จงั หวัดสงขลา

ผวู้ ิจยั ศริ วิ ิลาศลักษ์ เกดิ กนั โณ
ปีทท่ี ำการวจิ ยั 2563

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องความสัมพันธ์ของ
สิ่งมชี วี ิตในระบบนิเวศ หลังใช้การจดั การเรียนร้แู บบร่วมมอื เทคนคิ TGT ร่วมกบั ชดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตร์
กับเกณฑ์รอ้ ยละ 70 และเพอื่ เปรยี บเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นเร่ืองความสัมพนั ธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบ
นิเวศ กอ่ นและหลังเรียนดว้ ยการจัดการเรยี นรู้แบบร่วมมือ เทคนคิ TGT รว่ มกับชดุ กจิ กรรมวิทยาศาสตร์
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนขี้เหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ประชากรที่ใช้ใน
การวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประจำปีการศึกษา 2563 โรงเรียนบ้านดอนขี้เหล็ก
อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา จำนวน 14 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) แผนการ
จัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบ
นิเวศ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 2) การจัดการเรียนร้แู บบรว่ มมือ เทคนิค TGT ร่วมกบั ชดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์
3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ การวิเคราะห์
ขอ้ มูล ทำไดโ้ ดยการวเิ คราะหห์ าคา่ ร้อยละ ค่าเฉลย่ี (µ) และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (σ) ผลการวจิ ยั สรุป
ได้ดงั นี้

1. หลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์
นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยรวมสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 10 คน และนักเรียนมีคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์
ร้อยละ 70 จำนวน 4 คน

2. ก่อนเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์
นักเรียนทำคะแนนสงู สุดได้ 5 คะแนน คะแนนต่ำสดุ 1 คะแนน คะแนนเฉลยี่ (µ) 2.29 คะแนน และสว่ น
เบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) 0.61 และหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุด
กิจกรรมวิทยาศาสตร์ นักเรียนทำคะแนนสูงสุดได้ 9 คะแนน คะแนนต่ำสุด 6 คะแนน คะแนนเฉลี่ย (µ)
6.57 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) 0.42 แสดงให้เห็นว่าหลังเรียนด้วยการจัดการเรยี นรู้แบบ
ร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสงู กวา่
ก่อนเรียน



กติ ติกรรมประกาศ

รายงานวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาและการให้คำแนะนำและความอนุเคราะห์
อย่างดียิ่งจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชุติมา จันทรจิตร อาจารย์นิเทศก์ประจำโรงเรียนบ้านดอนขี้เหล็ก
ท่ีได้ใหค้ ำปรึกษา ชแี้ นะ และแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ อย่างดียิ่งตลอดมา ผวู้ จิ ยั ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

ขอขอบพระคุณ ผู้เชี่ยวชาญ นางจินดา บริรักษ์ นางนิพิท ศิริเพชร และ นางสาวรุ่งดล นฤนาท
มโนรม ที่ได้ตรวจสอบ และให้คำแนะนำในการสร้างเครื่องมือวิจัย ปรับปรุง แก้ไขให้มีความถูกต้อง และ
เหมาะสม

ขอขอบคุณผู้บริหาร คณะครู และนักเรียนโรงเรียนบ้านดอนขี้เหล็กที่ได้ให้ความร่วมมือ และ
อำนวยความสะดวกแก่ผู้วิจัยเป็นอย่างดีย่งิ ในการเก็บขอ้ มลู เพื่อการวจิ ยั ในคร้งั นี้

ขอขอบคุณบิดา มารดา และบุคคลในครอบครัวของผู้วิจัยที่ช่วยเหลือ และเป็นกำลังใจให้ผู้วิจัย
เสมอมา จนงานวจิ ัยสำเร็จลลุ ว่ ง

คุณค่าและคุณประโยชน์ของรายงานวิจัยฉบับนี้ ขอมอบเป็นเคร่ืองบูชาพระคุณบิดามารดา
ตลอดจนครอู าจารยท์ ไี่ ด้ประสทิ ธิ์ประสาทความรู้แก่ผวู้ ิจัย

ศริ วิ ลิ าศลักษ์ เกิดกนั โณ



สารบัญ หน้า

บทคดั ย่อ ข
กติ ตกิ รรมประกาศ ค
สารบัญ จ
สารบัญตาราง
บทที่ 1 บทนำ 1
3
ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา 3
วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั 4
ขอบเขตการวจิ ัย 4
กรอบแนวคดิ การวิจัย 4
สมมตฐิ านการวจิ ัย 5
ประโยชน์ท่ีได้รบั จากการวิจยั
นยิ ามศัพท์เฉพาะ 6
บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง
หลกั สูตรการศึกษาขัน้ พ้ืนฐานพทุ ธศักราช 2551 28
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง 2560) 41
การจัดการเรยี นร้แู บบรว่ มมอื เทคนคิ TGT (Team Game Tournament) 45
ชดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ 50
ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์
งานวจิ ัยทเ่ี กยี่ วขอ้ ง 55
บทที่ 3 วธิ ีดำเนินการวิจัย 55
ประชากร 56
เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ยั 57
การสร้างเคร่ืองมือวจิ ยั 58
การเก็บรวบรวมข้อมลู
การวเิ คราะหข์ ้อมูลและสถิติทีใ่ ช้



สารบัญ (ตอ่ ) หน้า

บทที่ 4 การวเิ คราะห์ข้อมูล 60
ตอนที่ 1 การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนเรือ่ งความสมั พันธข์ องสิง่ มีชีวิต
ในระบบนเิ วศหลงั ใช้การจัดการเรยี นร้แู บบรว่ มมอื เทคนคิ TGT 62
ร่วมกับชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตรก์ บั เกณฑ์ร้อยละ 70
ตอนท่ี 2 การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นเรอื่ งความสมั พนั ธ์ของส่ิงมีชวี ิต 64
ในระบบนเิ วศก่อนและหลงั เรียนดว้ ยการใชก้ ารจัดการเรยี นรู้แบบรว่ มมือ 65
เทคนคิ TGT รว่ มกบั ชดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ 69
70
บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 72
สรุปผลการวิจัย 73
อภิปรายผล 75
ขอ้ เสนอแนะ 86
92
บรรณานุกรม 147
ภาคผนวก 152
158
ภาคผนวก ก รายนามผูเ้ ชย่ี วชาญ
ภาคผนวก ข แบบประเมนิ คุณภาพสำหรบั ผเู้ ชย่ี วชาญ
ภาคผนวก ค ผลการประเมนิ คณุ ภาพสำหรับผู้เชยี่ วชาญ
ภาคผนวก ง แผนการจดั การเรยี นรกู้ ลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
ภาคผนวก จ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์
ภาคผนวก ฉ ภาพการจดั การเรียนการสอน
ประวตั ิผูว้ ิจยั



สารบัญตาราง หนา้
61
ตารางท่ี
1. แสดงคะแนนหลังเรยี นโดยใชก้ ารจัดการเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ เทคนคิ TGT รว่ มกบั ชดุ 62

กจิ กรรมวิทยาศาสตร์เมอื่ เทียบกบั เกณฑร์ อ้ ยละ 70
2. แสดงคะแนน คา่ เฉลี่ย และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานของคะแนนก่อนและหลังเรยี นดว้ ยการ

จดั การเรยี นรู้แบบร่วมมือ เทคนคิ TGT รว่ มกับชดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์

บทที่ 1
บทนำ

ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา
หลักสูตรมีความสำคัญยิ่งในการจัดการศึกษาทุกระดับ เพราะเป็นโครงร่างกำหนดกรอบแนว

ทางการปฏิบัติที่จะนำไปสู่การจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนิน
ชีวิต ซง่ึ หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน มงุ่ พฒั นาผ้เู รยี นทกุ คน ซึ่งเปน็ กำลงั ของชาตใิ ห้เป็นมนุษย์
ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึด
มั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะ
พื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้น
ผู้เรียนเป็นสำคัญ บนพ้นื ฐานความเช่อื วา่ ทกุ คนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เตม็ ตามศักยภาพ ซ่ึงมี
หลกั การท่สี ำคัญ คอื เป็นหลกั สตู รการศกึ ษาเพอ่ื ความเป็นเอกภาพของชาติ มจี ดุ หมายและมาตรฐาน การ
เรียนรู้เปน็ เปา้ หมายสำหรับพฒั นาเดก็ และเยาวชนใหม้ คี วามรู้ ทกั ษะ เจตคติ และคณุ ธรรมบนพื้นฐานของ
ความเป็นไทยควบค่กู ับความเป็นสากล ทกุ คนมโี อกาสไดร้ ับการศึกษาอยา่ งเสมอภาคและมคี ุณภาพ สังคม
มสี ่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถ่นิ ดา้ นโครงสรา้ งสามารถ
ยึดหยนุ่ ได้ ทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลา และการจดั การเรียนรู้ นอกจากน้ียังเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ อีกทั้ง
เป็นหลักสูตรการศึกษา สำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุก
กลมุ่ เป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ได้

ปัจจุบันสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุก ๆ ด้าน รวมทั้งด้านวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี การพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าและมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ต้องตระหนักถึง
ความสำคัญของการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสำคัญ (สำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษา
แห่งชาติ. 2541:2 ) ประกอบกบั แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 9 ได้กำหนดแนวทางการ
พัฒนาคนให้มีคุณภาพ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปการศึกษาและการ
เรียนรเู้ สรมิ สรา้ งพื้นฐานความคดิ ตามหลกั วิทยาศาสตร์ ท้งั ในระบบและนอกระบบโรงเรียน ควบคู่กับการ
จัดการใหม้ ีแหลง่ เรียนรอู้ ย่างเพียงพอ เพือ่ ใหน้ กั เรียนและประชาชนมีวธิ ีคดิ อย่างมเี หตผุ ลซง่ึ จะนำไปสู่การ
ยกระดับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ. 2544: 40- 42) วิทยาศาสตร์จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและ
อนาคต เพราะวิทยาศาสตรม์ ีความเกย่ี วข้องกบั ทุกคนทั้งในชวี ิตประจำวนั และการงานอาชพี ตา่ ง ๆ รวมทง้ั
มีบทบาทสำคัญในการพฒั นาผลผลิตต่าง ๆ ท่ใี ชใ้ นการอำนวยความสะดวกทั้งในชีวติ และการทำงาน

2

นอกจากนี้วิทยาศาสตร์ยังช่วยพัฒนาวิธีคิดและทำให้มีทักษะที่จำเป็นในการตัดสินใจและแก้ปัญหาอย่าง
เปน็ ระบบ

จากการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนขี้เหล็ก พบว่า มีสาเหตุ
หลายประการที่ทำให้นักเรียนเกิดปัญหาด้านการเรียน เช่น ด้านผู้เรียน ได้แก่ ผู้เรียนขาดเรียน ไม่ตั้งใจ
เรียน ไม่ส่งงาน ด้านตัวครู ยังขาดเทคนิคการสอน ขาดสื่อการสอนท่ีน่าสนใจ และผู้สอนอาจเน้นเนื้อหา
สอนแบบอธิบายหรือบรรยายมากเกินไป ผู้วิจัยได้นำปัญหาดังกล่าวมาวิเคราะห์ พบว่า มีสาเหตุมาจาก
หลายประการด้วยกัน สาเหตุที่สำคัญที่เลือกมาแก้ปัญหาโดยการทำวิจัยคือ ครูสอนเน้นเนื้อหาและ
บรรยายมากเกินไป ขาดสื่อการสอนที่น่าสนใจ ทำให้นักเรียนมีผลการเรียนต่ำ เหตุผลที่เลือกสาเหตุ
ดังกล่าว เนื่องจากธรรมชาติของเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ บางเนื้อหามีลักษณะเป็นนามธรรม หรือบาง
เนื้อหาก็อาจจะเป็นสิง่ ที่ไกลตัวหรือสิ่งทีน่ ักเรียนไม่คุน้ เคย ทำให้ยากต่อการเรียนรู้และทำความเข้าใจ จึง
เป็นสาเหตุหนึง่ ทำให้ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนต่ำ

การศึกษาจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากระบบการศึกษาที่มีอยู่เดิม เพื่อให้ทันสมัย
ต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาทางด้าน
การศึกษาบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ต้องมีการผลิตและ
พัฒนาสื่อใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อตอบสนองการเรียนรู้ของมนุษย์ให้เพิ่มมากขึ้นด้วยระยะเวลาที่สั้นลง ผู้จัดทำ
จึงเห็นประโยชน์ของการนำนวัตกรรมมาใช้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้เร็วและเรียนรู้
ได้มากในเวลาจำกัด เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาการเรียนให้ดียิ่งขึ้น ในที่นี้จะใช้การจัดการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ การใช้เทคนิค TGT รว่ มกบั กจิ กรรมวิทยาศาสตร์
เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยใหผ้ ูเ้ รียนได้เรียนรู้เร่ืองต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน อีกทั้งจะช่วยให้ผู้เรียนมีความเอาใจ
ใส่ รบั ผดิ ชอบตัวเองและกลมุ่ ร่วมกับสมาชกิ อนื่ สง่ เสรมิ ให้ผเู้ รียนทีม่ ีความสามารถต่างกันไดเ้ รียนรู้ร่วมกัน
ส่งเสริมให้ผู้เรียนผลดั เปลี่ยนกนั เป็นผู้นำ ส่งเสริมให้ผู้เรยี นได้ฝึกและเรียนรู้ทักษะทางสงั คม และผู้เรียนมี
ความตื่นตัว สนกุ สนานกบั การเรียนรู้ช่วยกระตุน้ ใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ช่วยใหผ้ เู้ รยี นได้ฝึกทักษะการคิด
ไดด้ ว้ ยตนเอง ช่วยดึงดูดความสนใจ ทำให้นักเรียนไมเ่ บื่อเวลาเรียน ชว่ ยพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนได้ ให้
นักเรียนได้ ปฏิบัติกิจกรรมนั้นด้วยตนเอง ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาที่เรียนได้ ให้นักเรียนสามารถน า
ความรู้ในเรื่องที่ได้ ไปใช้ในการแก้ปัญหา เป็นการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางโดยผู้เรียนเป็นผู้เล่น
ผเู้ รียนไดม้ ีส่วนรว่ มในการจัดการเรียนรู้ และเกิดประสบการณอ์ ยา่ งแทจ้ ริง

จากสภาพปญั หาและความสำคญั ทก่ี ล่าวมาขา้ งต้น ผู้วจิ ยั จึงสนใจทจ่ี ะศกึ ษาการพฒั นาผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ โดยใช้การจัดการเรียนรู้
แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

3

โรงเรียนบ้านดอนขี้เหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาการ
เรียนการสอน ซึ่งจะช่วยทำให้กระบวนการเรียนรู้ของ ผู้เรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเป็น
แนวทางสำหรับครูผู้สอนในระดับมัธยมศึกษาในการปรับปรุง และพัฒนาการจัดการเรียนการสอน
วิทยาศาสตร์ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จตามจุดประสงค์ของหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขน้ั พน้ื ฐานพุทธศักราช 2551

วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย
1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ

หลังใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ของนักเรียน
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบา้ นดอนขีเ้ หล็ก อำเภอเมือง จงั หวดั สงขลา กบั เกณฑ์รอ้ ยละ 70

2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
ก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ของ
นกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นบา้ นดอนขเี้ หล็ก อำเภอเมอื ง จงั หวดั สงขลา

ขอบเขตการวจิ ัย
ขอบเขตด้านประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา

2563 โรงเรยี นบา้ นดอนขี้เหลก็ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา จำนวน 14 คน
ขอบเขตด้านเน้ือหา
การสรา้ งการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์ เนอ้ื หาท่ีใช้

ประกอบการสร้างครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้เนื้อหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของ
ส่ิงมีชีวิตในระบบนเิ วศ ได้แก่

1. ชนิดของสิ่งมีชวี ิตในแตล่ ะระบบนิเวศ
2. ความสัมพนั ธข์ องส่ิงมชี วี ิตในระบบนิเวศ
ขอบเขตดา้ นตวั แปร
ตัวแปรอิสระ คือ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์
ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่อง
ความสมั พันธข์ องสงิ่ มีชีวติ ในระบบนิเวศ

4

ขอบเขตด้านระยะเวลา ตวั แปรตาม
ธนั วาคม 2563 - มกราคม 2564
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการ
กรอบแนวคิดการวิจยั เรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ตวั แปรอิสระ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตใน
ระบบนเิ วศ
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค
TGT รว่ มกับชดุ กจิ กรรมวิทยาศาสตร์

สมมติฐานการวิจยั
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่องความสัมพันธ์

ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนขี้เหล็ก อำเภอเมือง
จังหวัดสงขลา หลังเรียนดว้ ยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมอื เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกจิ กรรมวิทยาศาสตร์
สงู กวา่ เกณฑร์ อ้ ยละ 70

2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่องความสัมพันธ์
ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนขี้เหล็ก อำเภอเมือง
จังหวัดสงขลา หลังเรียนดว้ ยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมอื เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์
สูงกวา่ ก่อนเรียน

ประโยชน์ท่ไี ดร้ ับจากการวิจยั
1. ผลการวิจัยสามารถนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระ

การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ของนักเรียน
ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 ใหส้ ูงขึ้นไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

2. ผลการวิจยั สามารถนำมาเป็นแนวทางแก่ครู และผทู้ ่เี กีย่ วข้องกับการจัดกจิ กรรมการเรียนการ
สอนไปใช้ปรับปรุงเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มี
ประสิทธภิ าพมากยิง่ ข้นึ

5

นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ
1. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT (Team Game Tournament) หมายถึง

การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ท่ีมนี ักเรียนเรียนเป็นกล่มุ กล่มุ ละ 4 คน ภายในกลมุ่ จะประกอบด้วยนักเรียนที่
มีความสามารถแตกต่างกัน คือ เก่ง ปานกลาง อ่อน และจะใช้ในเกมการแข่งขันเชิงวิชาการประเมิน
ความรู้ความสามารถของสมาชิกในกลุ่ม โดยจะแข่งขันตามความสามารถของนักเรียน ความสำเร็จของ
กลุ่มจะขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ เทคนิคนี้จะต้องมีการกระตุ้นให้นักเรียน
รว่ มมอื การทำงาน และทำให้กลมุ่ ประสบความสำเร็จมากทส่ี ุด

2. ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ หมายถึง ชุดการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องความสัมพันธ์ของ
สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นในรูปแบบของบัตรภาพ ใบงาน ใบความรู้ และวิดีทัศน์ เพ่ือ
เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ตาม
ตัวชี้วัดและหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ 2560)

3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้เนื้อหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เรื่องความสัมพันธข์ องสิง่ มชี ีวิตในระบบนิเวศของนักเรยี น โดยวัดจากการทำ
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ก่อนเรียนและหลัง
เรยี นทีผ่ ู้วิจยั สรา้ งขึ้น

4. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียน
บา้ นดอนขีเ้ หลก็ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา

บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ียวขอ้ ง

ในการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เรื่องความสัมพันธ์ของ
สิง่ มีชีวิตในระบบนิเวศ โดยใช้การจัดการเรยี นรู้แบบรว่ มมือ เทคนคิ TGT ร่วมกบั ชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนขี้เหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ผู้วิจัยได้
ทำการศึกษาค้นควา้ เอกสารแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง โดยได้รวบรวมเอกสารและสรุปเพ่อื ใช้
เป็นแนวทางในการวจิ ยั ในครั้งนีร้ ายละเอียดดังต่อไปนี้

1. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี (ฉบับปรับปรงุ 2560) ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3

2. การจดั การเรียนร้แู บบร่วมมือเทคนคิ TGT (Team Game Tournament)
3. ชดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์
4. ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์
5. งานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวขอ้ ง

1. หลกั สูตรการศกึ ษาขน้ั พื้นฐานพทุ ธศกั ราช 2551 กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(ฉบบั ปรับปรุง 2560) ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3
สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ

มาตรฐานการเรียนรู้
ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตและ
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลง
แทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและ
สิง่ แวดลอ้ ม แนวทางในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม รวมท้ังนำความรู้
ไปใช้ประโยชน์

7

ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง

1. อธิบายปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบของระบบ ระบบนิเวศประกอบด้วยองค์ประกอบที่มีชีวิต

นิเวศทไี่ ดจ้ ากการสำรวจ เชน่ พชื สตั ว์จุลินทรียแ์ ละองค์ประกอบท่ีไม่มีชีวิต

เช่น แสง น้ำ อุณหภูมิ แร่ธาตุ แก๊ส องค์ประกอบ

เหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์กัน เช่น พืชต้องการแสง น้ำ

และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในการสร้างอาหาร

สัตว์ต้องการอาหาร และสภาพแวดล้อมท่ี

เหมาะสมในการดำรงชวี ติ เช่น อณุ หภูมิ ความชื้น

องค์ประกอบทั้งสองส่วนนี้จะต้องมีความสัมพันธ์

กนั อยา่ งเหมาะสม ระบบนเิ วศจงึ จะสามารถคงอยู่

ต่อไปได้

2. อธิบายรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต - สิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ์กันใน

กับสิง่ มชี วี ติ รูปแบบต่าง ๆ ในแหลง่ ท่ีอยู่เดียวกันท่ี รูปแบบตา่ ง ๆ เชน่ ภาวะพงึ่ พากนั ภาวะอิงอาศัย

ไดจ้ ากการสำรวจ ภาวะเหยื่อกบั ผู้ล่า ภาวะปรสติ

- สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันทีอ่ าศัยอยู่ร่วมกันในแหล่ง

ท่อี ยู่เดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกนั เรยี กว่า

ประชากร

- กลุ่มสิ่งมีชีวิตประกอบด้วยประชากรของ

สิ่งมีชีวิตหลาย ๆ ชนิด อาศัยอยู่ร่วมกันในแหล่งที่

อย่เู ดยี วกนั

3. สร้างแบบจำลองในการอธบิ ายการถ่ายทอด - กลุ่มส่งิ มชี วี ติ ในระบบนเิ วศแบง่ ตามหน้าทไี่ ด้เป็น

พลงั งานในสายใยอาหาร 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่ผูผ้ ลติ ผบู้ ริโภค และผยู้ อ่ ยสลาย

4. อธิบายความสัมพันธ์ของผู้ผลติ ผู้บรโิ ภค และ สารอินทรีย์สิ่งมีชีวิตทั้ง 3 กลุ่มนี้มีความสัมพันธ์

ผยู้ อ่ ยสลายสารอนิ ทรียใ์ นระบบนเิ วศ กัน ผู้ผลิตเป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหารได้เอง โดย

5. อธิบายการสะสมสารพิษในสิ่งมีชีวิตในโซ่ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงผู้บริโภค เป็น

อาหาร สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารได้เอง และต้อง

6. ตระหนกั ถึงความสัมพนั ธ์ของสง่ิ มชี วี ิต และ กินผู้ผลิตหรือสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร เมื่อผู้ผลิต

สง่ิ แวดลอ้ มในระบบนิเวศ โดยไม่ทำลายสมดลุ และผู้บริโภคตายลง จะถูกย่อยโดยผู้ย่อยสลาย

8

ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ของระบบนิเวศ ส า ร อ ิ น ท ร ี ย ์ ซ ึ ่ ง จ ะ เ ป ล ี ่ ย น ส า ร อ ิ น ท ร ี ย ์ เ ป็ น
สารอนินทรีย์กลับคืนสู่สิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดการ
หมุนเวียนสารเป็นวัฏจักร จำนวนผู้ผลิตผู้บริโภค
และผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ จะต้องมีความ
เหมาะสม จงึ ทำใหก้ ลมุ่ สงิ่ มชี วี ิตอยู่ไดอ้ ย่างสมดลุ
- พลังงานถูกถ่ายทอดจากผผู้ ลิตไปยังผู้บริโภค
ลำดับต่าง ๆ รวมทั้งผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ ใน
รูปแบบสายใยอาหาร ทีป่ ระกอบดว้ ยโซ่อาหาร
หลายโซท่ สี่ ัมพันธ์กนั ในการถา่ ยทอดพลังงานใน
โซ่อาหาร พลังงานที่ถูกถ่ายทอดไปจะลดลงเรื่อย
ๆ ตามลำดบั ของการบริโภค
- การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนิเวศ อาจทำให้
มสี ารพษิ สะสมอยใู่ นสงิ่ มีชวี ติ ไดจ้ นอาจกอ่ ใหเ้ กิด
อันตรายต่อสิ่งมีชีวิต และทำลายสมดุลในระบบ
นเิ วศ ดงั นน้ั การดแู ลรักษาระบบนิเวศให้เกิดความ
สมดลุ และคงอยู่ตลอดไปจงึ เปน็ ส่งิ สำคัญ

ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมสารพันธกุ รรม
การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของ
ส่งิ มชี วี ติ รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์

ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง
1. อธบิ ายความสัมพันธร์ ะหว่าง ยนี ดเี อน็ เอ และ - ลกั ษณะทางพันธกุ รรมของสิ่งมชี ีวิตสามารถ
โครโมโซม โดยใช้แบบจำลอง ถ่ายทอดจากรุ่นหนง่ึ ไปยังอีกรุ่นหนึง่ ได้โดยมยี ีน
เป็นหน่วยควบคมุ ลักษณะทางพันธุกรรม
- โครโมโซมประกอบดว้ ย ดีเอน็ เอ และโปรตนี
ขดอยใู่ นนิวเคลียส ยนี ดีเอน็ เอ และโครโมโซม
มีความสัมพันธก์ ัน โดยบางส่วนของดีเอ็นเอ

9

ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง

ทำหนา้ ทเ่ี ปน็ ยนี ทก่ี ำหนดลกั ษณะของสิง่ มีชวี ิต

- สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซม 2 ชุด โครโมโซมที่เป็นคู่

กันมีการเรียงลำดับของยีนบนโครโมโซม

เหมือนกัน เรยี กวา่ ฮอมอโลกัสโครโมโซม ยนี หน่ึง

ท่ีอยบู่ นคฮู่ อมอโลกสั โครโมโซม อาจมรี ปู แบบ

แตกต่างกัน เรียกแต่ละรูปแบบของยีนที่ต่างกันน้ี

วา่ แอลลลี ซง่ึ การเข้าค่กู นั ของแอลลีลตา่ ง ๆ อาจ

สง่ ผลทำใหส้ ง่ิ มีชีวติ มลี กั ษณะท่ีแตกต่างกันได้

- สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีจำนวนโครโมโซมคงท่ี

มนษุ ย์มีจำนวนโครโมโซม 23 คู่ เป็นออโตโซม 22

คู่และโครโมโซมเพศ 1 คู่ เพศหญิงมีโครโมโซม

เพศเปน็ XX เพศชายมีโครโมโซมเพศเปน็ XY

2. อธบิ ายการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมจาก - เมนเดลได้ศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทาง

การผสมโดยพิจารณาลกั ษณะเดียวทแ่ี อลลลี เด่น พันธุกรรม ของต้นถั่วชนิดหนึ่ง และนำมาสู่

ข่มแอลลีลด้อยอย่างสมบรู ณ์ หลักการพื้นฐาน ของการถ่ายทอดลักษณะทาง

3. อธิบายการเกิดจีโนไทปแ์ ละฟโี นไทป์ของลกู พันธุกรรมของ ส่ิงมชี ีวติ

และคำนวณอัตราส่วนการเกิดจีโนไทป์ และฟีโน - สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซมเป็น 2 ชุด ยีนแต่ละ

ไทป์ของรนุ่ ลกู ตำแหน่งบนฮอมอโลกัสโครโมโซมมี 2 แอลลีล

โดยแอลลีลหนึ่งมาจากพ่อ และอีกแอลลีลมาจาก

แม่ซึ่งอาจมีรูปแบบเดียวกัน หรือแตกต่างกัน

แอลลีลที่แตกต่างกันนี้แอลลีลหนึ่งอาจมีการ

แสดงออกข่มอีกแอลลีลหนึ่งได้เรียกแอลลีลนั้นว่า

เป็น แอลลีลเด่น ส่วนแอลลีลที่ถูกข่มอย่าง

สมบูรณ์ เรียกวา่ เปน็ แอลลีลดอ้ ย

- เมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์แอลลีลที่เป็นคู่กัน

ในแต่ละฮอมอโลกัสโครโมโซมจะแยกจากกัน ไปสู่

เซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์โดยแต่ละเซลล์สืบพันธุ์

จะได้รับเพียง 1 แอลลีลและจะมาเข้าคู่กับ

10

ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

แอลลีลที่ตำแหน่งเดียวกันของอีกเซลล์สืบพันธ์ุ

หนึ่ง เมื่อเกิดการปฏิสนธิจนเกิดเป็นจีโนไทป์และ

แสดงฟีโนไทปใ์ นรุ่นลูก

4. อธบิ ายความแตกต่างของการแบง่ เซลลแ์ บบ - กระบวนการแบ่งเซลล์ของสง่ิ มีชวี ติ มี 2 แบบ คือ

ไมโทซสิ และไมโอซิส ไมโทซสิ และไมโอซสิ

- ไมโทซสิ เป็นการแบง่ เซลล์เพอื่ เพิม่ จำนวนเซลล์

ร่างกาย ผลจากการแบ่งจะไดเ้ ซลล์ใหม่ ๒ เซลล์

ที่มีลักษณะและจำนวนโครโมโซมเหมือนเซลล์ต้ัง

ตน้

- ไมโอซิส เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์

สบื พนั ธผุ์ ลจากการแบ่งจะไดเ้ ซลล์ใหม่ ๔ เซลลท์ ีม่ ี

จำนวนโครโมโซมเป็นครง่ึ หน่ึงของเซลล์ตั้งตน้

เมื่อเกดิ การปฏสิ นธขิ องเซลล์สบื พันธล์ุ ูกจะได้รบั

การถ่ายทอดโครโมโซมชุดหนึ่งจากพ่อและอีกชุด

หนึ่งจากแม่จึงเป็นผลให้รุ่นลูกมีจำนวนโครโมโซม

เทา่ กับรนุ่ พ่อแม่และจะคงทใี่ นทกุ ๆ รนุ่

5. บอกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของยีนหรือ - การเปลยี่ นแปลงของยีนหรอื โครโมโซม ส่งผลให้

โครโมโซมอาจทำให้เกิดโรคทางพันธุกรรม พร้อม เกิดการเปลย่ี นแปลงลักษณะทางพันธุกรรมของ

ท้ังยกตัวอยา่ งโรคทางพนั ธกุ รรม สิ่งมีชีวิต เช่น โรคธาลัสซีเมียเกิดจากการ

6. ตระหนักถงึ ประโยชน์ของความรเู้ ร่ืองโรคทาง เปลยี่ นแปลงของยีน กลมุ่ อาการดาวน์เกิดจากการ

พันธกุ รรม โดยรูว้ า่ กอ่ นแต่งงานควรปรกึ ษาแพทย์ เปลย่ี นแปลงจำนวนโครโมโซม

เพอ่ื ตรวจและวินิจฉยั ภาวะเสย่ี งของลูกท่ีอาจ - โรคทางพันธุกรรมสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่

เกดิ โรคทางพันธกุ รรม ไปสู่ลูกได้ดังนั้นก่อนแต่งงานและมีบุตรจึงควร

ป้องกันโดยการตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยงจาก

การถา่ ยทอดโรคทางพนั ธกุ รรม

7. อธิบายการใช้ประโยชน์จากสง่ิ มีชวี ติ ดดั แปร - มนุษย์เปลยี่ นแปลงพนั ธุกรรมของส่ิงมชี ีวติ ตาม

พันธกุ รรม และผลกระทบทอี่ าจมตี ่อมนุษย์

และสิง่ แวดล้อม โดยใชข้ อ้ มลู ท่รี วบรวมได้

11

ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

8. ตระหนักถึงประโยชน์และผลกระทบของ ธรรมชาติเพื่อให้ได้สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะตาม

สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่อาจมีต่อมนุษย์และ ต้องการเรียกสิ่งมีชีวิตนี้ว่าสิ่งมีชีวิตดัดแปร

สงิ่ แวดลอ้ ม พันธกุ รรม

โดยการเผยแพร่ความรู้ทไ่ี ดจ้ ากการโตแ้ ย้งทาง - ในปจั จุบนั มนุษย์มีการใช้ประโยชน์จากสงิ่ มชี ีวิต

วทิ ยาศาสตร์ซงึ่ มขี อ้ มูลสนับสนุน ดัดแปรพันธุกรรมเป็นจำนวนมาก เช่น การผลิต

อาหารการผลิตยารักษาโรคการเกษตรอยา่ งไรกด็ ี

สังคมยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของ

สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและ

สิ่งแวดล้อม ซึ่งยังทำการติดตามศึกษาผลกระทบ

ดงั กลา่ ว

9. เปรียบเทยี บความหลากหลายทางชวี ภาพ - ความหลากหลายทางชวี ภาพ ม๓ี ระดบั ได้แก่

ในระดบั ชนิดส่ิงมีชวี ิตในระบบนิเวศตา่ ง ๆ ความหลากหลายของระบบนิเวศ ความ

10. อธบิ ายความสำคญั ของความหลากหลายทาง หลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิต และความ

ชวี ภาพที่มตี ่อการรักษาสมดุลของระบบนเิ วศ หลากหลายทางพันธุกรรม ความหลากหลายทาง

และตอ่ มนษุ ย์ ชีวภาพนี้มีความสำคัญต่อการรักษาสมดุลของ

11. แสดงความตระหนกั ในคณุ คา่ และความสำคัญ ระบบนิเวศระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทาง

ของความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมสี ว่ นร่วม ชีวภาพสูงจะรักษาสมดุลได้ดีกว่าระบบนิเวศที่มี

ในการดแู ลรกั ษาความหลากหลายทางชวี ภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพต่ำกว่า นอกจากน้ี

ความหลากหลายทางชีวภาพยังมีความสำคัญต่อ

มนุษย์ในด้านต่าง ๆ เช่น ใช้เป็นอาหาร ยารักษา

โรค วัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดังนั้นจึงเป็น

หน้าที่ของทุกคนในการดูแลรักษาความ

หลากหลายทางชวี ภาพให้คงอยู่

12

สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ

โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร
การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี

ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
1. ระบุสมบัตทิ างกายภาพและการใช้ประโยชน์ - พอลเิ มอร์เซรามกิ และวัสดุผสม เป็นวสั ดทุ ่ีใช้
วสั ดปุ ระเภทพอลิเมอรเ์ ซรามิก และวัสดผุ สม มากในชีวติ ประจำวนั
โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์และสารสนเทศ - พอลิเมอร์เป็นสารประกอบโมเลกุลใหญ่ที่เกิด
2. ตระหนักถึงคณุ ค่าของการใชว้ ัสดุประเภท จากโมเลกุลจำนวนมากรวมตัวกันทางเคมี เช่น
พอลิเมอร์เซรามิก และวสั ดผุ สม โดยเสนอแนะ พลาสติกยาง เส้นใยซึ่งเป็นพอลิเมอร์ที่มีสมบัติ
แนวทางการใชว้ ัสดอุ ยา่ งประหยดั และค้มุ คา่ แตกต่างกัน โดยพลาสติกเป็นพอลิเมอร์ที่ขึ้นรูป
เปน็ รปู ทรงต่าง ๆ ไดย้ างยืดหยนุ่ ไดส้ ่วนเส้นใยเป็น
พอลิเมอร์ท่ีสามารถดึงเปน็ เสน้ ยาวได้พอลิเมอร์จึง
ใชป้ ระโยชนไ์ ดแ้ ตกตา่ งกนั
- เซรามิกเปน็ วัสดทุ ีผ่ ลิตจาก ดนิ หนิ ทราย และ
แร่ธาตตุ ่าง ๆ จากธรรมชาตแิ ละสว่ นมากจะผ่าน
การเผาท่ีอณุ หภมู ิสูง เพ่ือใหไ้ ด้เนือ้ สารทีแ่ ขง็ แรง
เซรามิกสามารถทำเป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้สมบัติ
ทั่วไปของเซรามิกจะแข็ง ทนต่อการสึกกร่อนและ
เปราะ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น ภาชนะ
ที่เป็นเครือ่ งปนั้ ดนิ เผาชน้ิ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
- วัสดุผสมเป็นวัสดุที่เกิดจากวัสดุตั้งแต่ ๒
ประเภทที่มีสมบัติแตกต่างกันมารวมตัวกัน เพ่ือ
นำไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น เช่น เสื้อกันฝนบาง
ชนิดเปน็ วสั ดผุ สมระหว่างผ้ากับยางคอนกรีตเสริม
เหลก็ เปน็ วัสดุผสมระหวา่ งคอนกรีตกับเหลก็
- วัสดุบางชนดิ สลายตวั ยาก เช่น พลาสตกิ การใช้

13

ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง

วัสดุอยา่ งฟุ่มเฟอื ยและไม่ระมดั ระวงั อาจกอ่

ปญั หาต่อส่งิ แวดลอ้ ม

3. อธิบายการเกดิ ปฏิกิริยาเคมีรวมถงึ การจดั - การเกิดปฏกิ ิริยาเคมหี รอื การเปล่ยี นแปลงทาง

เรียงตัวใหมข่ องอะตอมเม่ือเกิดปฏิกริ ิยาเคมี เคมีของสาร เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดสาร

โดยใช้แบบจำลองและสมการขอ้ ความ ใหม่ โดยสารทเ่ี ข้าทำปฏกิ ริ ยิ าเรยี กวา่ สารตัง้ ต้น

สารใหม่ท่เี กิดขนึ้ จากปฏกิ ิรยิ า เรยี กว่า ผลติ ภัณฑ์

การเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีสามารถเขยี นแทนไดด้ ว้ ย

สมการข้อความ

- การเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมอี ะตอมของสารตัง้ ตน้ จะมี

การจัดเรียงตัวใหม่ ได้เป็นผลิตภัณฑ์ซึ่งมีสมบัติ

แตกต่างจากสารต้ังต้น โดยอะตอมแตล่ ะชนิดก่อน

และหลงั เกดิ ปฏกิ ิริยาเคมมี จี ำนวนเท่ากัน

4. อธิบายกฎทรงมวล โดยใช้หลักฐานเชิงประ - เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีมวลรวมของสารตั้งต้น

จกั ษ เท่ากับมวลรวมของผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นไปตามกฎ

ทรงมวล

5. วเิ คราะหป์ ฏิกิรยิ าดดู ความร้อน และปฏกิ ิริยา - เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีมีการถ่ายโอนความร้อน

คายความร้อน จากการเปลย่ี นแปลงพลงั งาน ควบคู่ไปกับการจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมของ

ความรอ้ นของปฏิกริ ิยา สารปฏิกิริยาที่มีการถ่ายโอนความร้อนจาก

สิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบเป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน

ปฏิกิริยาที่มีการถ่ายโอนความร้อนจากระบบออก

สสู่ ิง่ แวดลอ้ มเป็นปฏกิ ริ ิยาคายความร้อน โดยใช้

เครื่องมือที่เหมาะสมในการวัดอุณหภูมิเช่นเทอร์

มอมิเตอร์หัววัดที่สามารถตรวจสอบการ

เปลี่ยนแปลงของอุณหภูมไิ ด้อย่างต่อเน่อื ง

๖. อธิบายปฏิกิรยิ าการเกิดสนมิ ของเหล็ก - ปฏิกิริยาเคมีท่พี บในชวี ิตประจำวันมีหลายชนิด

ปฏกิ ิรยิ าของกรดกบั โลหะ ปฏิกริ ิยาของกรดกับ เช่น ปฏิกิริยาการเผาไหม้การเกิดสนิมของเหล็ก

เบส และปฏกิ ิริยาของเบสกบั โลหะ โดยใช้ ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรดกับ

หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์และอธบิ ายปฏกิ ิริยาการเผา เบส ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ การเกิดฝนกรด

14

ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ไหม้การเกดิ ฝนกรด การสังเคราะหด์ ว้ ยแสง โดย การสงั เคราะห์ด้วยแสง ปฏิกริ ิยาเคมีสามารถเขียน
ใชส้ ารสนเทศ รวมทัง้ เขียนสมการข้อความแสดง แทนได้ด้วยสมการข้อความ ซึ่งแสดงชื่อของสาร
ปฏิกิรยิ าดงั กล่าว ตง้ั ต้นและผลิตภัณฑ์ เช่น
เชื้อเพลิง + ออกซิเจน → คาร์บอนไดออกไซด์+
น้ำ ปฏิกิริยาการเผาไหม้เป็นปฏิกิริยาระหว่างสาร
กับออกซิเจน สารที่เกิดปฏิกิริยาการเผาไหม้ ส่วน
ใหญ่เป็นสารประกอบที่มีคาร์บอนและไฮโดรเจน
เป็นองค์ประกอบ ซึ่งถ้าเกิดการเผาไหม้อย่าง
สมบูรณ์จะได้ผลิตภัณฑ์เป็นคาร์บอนไดออกไซด์
และน้ำ
- การเกิดสนิมของเหล็ก เกิดจากปฏิกิริยาเคมี
ระหว่างเหลก็ นำ้ และออกซิเจน ไดผ้ ลติ ภัณฑ์เป็น
สนมิ ของเหลก็
- ปฏกิ ิรยิ าการเผาไหมแ้ ละการเกิดสนิมของเหลก็
เปน็ ปฏกิ ิริยาระหว่างสารตา่ ง ๆ กับออกซิเจน
- ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะกรดทำปฏิกิริยากับ
โลหะได้หลายชนิด ได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือของ
โลหะและแกส๊ ไฮโดรเจน
- ปฏิกิริยาของกรดกับสารประกอบคาร์บอเนตได้
ผลิตภัณฑ์เป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เกลือของ
โลหะ และนำ้
- ปฏกิ ริ ยิ าของกรดกับเบส ไดผ้ ลิตภัณฑ์เปน็ เกลือ
ของโลหะและน้ำ หรืออาจไดเ้ พยี งเกลอื ของโลหะ
- ปฏกิ ิริยาของเบสกับโลหะบางชนิด ไดผ้ ลิตภณั ฑ์
เป็นเกลือของเบสและแกส๊ ไฮโดรเจน
- การเกิดฝนกรด เป็นผลจากปฏิกิริยาระหว่าง
น้ำฝนกบั ออกไซด์ของไนโตรเจน หรอื ออกไซด์ของ
ซัลเฟอรท์ ำใหน้ ำ้ ฝนมสี มบตั ิเป็นกรด

15

ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

- การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช เป็นปฏิกิริยา

ระหว่างแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ โดยมีแสง

ช่วยในการเกิดปฏิกิริยา ได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำตาล

กลูโคสและออกซเิ จน

7. ระบุประโยชนแ์ ละโทษของปฏิกิรยิ าเคมี - ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจำวั นมีท้ัง

ทมี่ ตี ่อสิ่งมชี ีวติ และส่ิงแวดล้อม และยกตัวอย่าง ประโยชนแ์ ละโทษตอ่ ส่ิงมชี ีวิตและสิ่งแวดล้อม จึง

วิธีการป้องกันและแก้ปัญหาที่เกิดจากปฏิกิริยา ต้องระมัดระวังผลจากปฏิกิริยาเคมีตลอดจนรู้จัก

เคมีทพ่ี บในชีวติ ประจำวนั จากการสบื คน้ ข้อมูล วิธีป้องกันและแก้ปัญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีท่ี

8. ออกแบบวธิ แี กป้ ัญหาในชีวติ ประจำวนั โดยใช้ พบในชีวิตประจำวนั

ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีโดยบูรณาการ - ความรเู้ กี่ยวกับปฏิกริ ยิ าเคมสี ามารถนำไปใช้

วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและ ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และสามารถบูรณา

วิศวกรรมศาสตร์ ก า ร ก ั บ ค ณ ิ ต ศ า ส ต ร์ เ ท ค โ น โ ล ยี แ ล ะ

วิศวกรรมศาสตร์เพื่อใช้ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้มี

คุณภาพตามต้องการหรืออาจสร้างนวัตกรรมเพื่อ

ป้องกันและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมี

โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี เช่น การ

เปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อนอันเนื่องมาจาก

ปฏกิ ิรยิ าเคมกี ารเพิม่ ปรมิ าณผลผลิต

ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์
ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชวี ติ ประจำวัน ธรรมชาตขิ องคลื่น ปรากฏการณท์ เ่ี กย่ี วข้องกับเสียง
แสง และคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมท้ังนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
1. วิเคราะหค์ วามสมั พันธ์ระหว่างความต่างศักย์ - เมื่อต่อวงจรไฟฟ้าครบวงจรจะมีกระแสไฟฟ้า
กระแสไฟฟ้า และความตา้ นทาน และคำนวณ ออกจากขั้วบวกผ่านวงจรไฟฟ้าไปยังขั้วลบของ
ปรมิ าณทีเ่ ก่ียวขอ้ งโดยใชส้ มการ V = IR แหลง่ กำเนิดไฟฟ้า ซึ่งวดั ค่าได้จากแอมมิเตอร์
จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์

16

ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง

2. เขียนกราฟความสมั พันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้า - ค่าที่บอกความแตกต่างของพลังงานไฟฟ้าต่อ

และความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้า หน่วยประจุระหว่างจุด 2 จุด เรียกว่า ความต่าง

3. ใช้โวลตม์ ิเตอรแ์ อมมเิ ตอรใ์ นการวดั ปรมิ าณทาง ศกั ย์ซึง่ วัดคา่ ได้จากโวลต์มิเตอร์

ไฟฟา้ - ขนาดของกระแสไฟฟ้ามีค่าแปรผันตรงกับความ

ต่างศักย์ระหว่างปลายท้งั สองของตัวนำ

โดยอัตราส่วนระหว่างความต่างศักย์และ

กระแสไฟฟ้ามีค่าคงที่ เรียกค่าคงที่นี้ว่า ความ

ต้านทาน

4. วิเคราะหค์ วามตา่ งศกั ย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า - ในวงจรไฟฟ้าประกอบด้วยแหล่งกำเนิดไฟฟ้า

ในวงจรไฟฟ้าเมื่อต่อตัวต้านทานหลายตัว แบบ สายไฟฟ้า และอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยอุปกรณ์ไฟฟ้า

อนุกรมและแบบขนานจากหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่ละชิ้นมีความต้านทาน ในการต่อตัวต้านทาน

5. เขียนแผนภาพวงจรไฟฟ้าแสดงการต่อตัว หลายตัว มที ัง้ ต่อแบบอนุกรมและแบบขนาน

ต้านทานแบบอนุกรมและขนาน - การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบอนุกรมใน

วงจรไฟฟ้า ความต่างศักย์ที่คร่อมตัวต้านทานแต่

ละตวั มีคา่ เท่ากับผลรวมของความต่างศักย์ท่ีคร่อม

ตัวต้านทานแต่ละตัว โดยกระแสไฟฟ้าที่ผ่านตัว

ตา้ นทานแตล่ ะตวั มีคา่ เท่ากัน

6. บรรยายการทำงานของช้ินส่วนอเิ ล็กทรอนกิ ส์ - การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบขนานใน

อยา่ งงา่ ยในวงจรจากข้อมูลที่รวบรวมได้ วงจรไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าที่ผ่านวงจรมีค่าเท่ากับ

7. เขียนแผนภาพและต่อชนิ้ ส่วนอิเล็กทรอนกิ ส์ ผลรวมของกระแสไฟฟ้าที่ผ่านตัวต้านทานแต่ละ

อยา่ งง่ายในวงจรไฟฟ้า ตวั โดยความตา่ งศกั ยท์ คี่ ร่อมตวั ต้านทานแตล่ ะตัว

มคี ่าเทา่ กัน

- ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีหลายชนิดเช่น ตัว

ต้านทานไดโอด ทรานซิสเตอร์ตัวเก็บประจุโดย

ชิ้นส่วนแต่ละชนิดทำหน้าที่แตกต่างกันเพื่อให้

วงจรทำงานไดต้ ามต้องการ

- ตัวต้านทานทำหน้าที่ควบคุมปริมาณ

กระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า ไดโอดทำหน้าที่ให้

17

ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

กระแสไฟฟ้าผ่านทางเดียว ทรานซิสเตอร์ทำ

หน้าที่เป็นสวิตช์ปิดหรือเปิดวงจรไฟฟ้าและ

ควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้า ตัวเก็บประจุทำ

หนา้ ทเ่ี กบ็ และคายประจไุ ฟฟ้า

- เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยชิ้นส่วน

อิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดที่ทำงานร่วมกันการต่อ

วงจรอิเล็กทรอนิกส์โดยเลือกใช้ชิ้นส่วน

อิเลก็ ทรอนกิ ส์ท่เี หมาะสมตามหน้าท่ขี องชิน้ ส่วน

น้ัน ๆ จะสามารถทำใหว้ งจรไฟฟา้ ทำงานได้ตาม

ต้องการ

8. อธิบายและคำนวณพลงั งานไฟฟา้ โดยใชส้ มการ - เครื่องใช้ไฟฟ้าจะมีค่ากำลังไฟฟ้าและความต่าง

W = Pt รวมท้งั คำนวณคา่ ไฟฟา้ ของเคร่ืองใช้ ศกั ยก์ ำกบั ไว้กำลังไฟฟ้ามีหน่วยเปน็ วัตต์ความต่าง

ไฟฟ้าในบ้าน ศักย์มีหน่วยเป็นโวลต์ค่าไฟฟ้าส่วนใหญ่คิดจาก

9 . ต ร ะ ห น ั ก ใ น ค ุ ณ ค ่ า ข อ ง ก า ร เ ล ื อ ก ใ ช้ พลงั งานไฟฟ้าที่ใช้ท้ังหมด ซ่ึงหาได้จากผลคูณของ

เครื่องใช้ไฟฟา้ โดยนำเสนอวธิ ีการใช้เคร่ืองใช้ไฟฟ้า กำลังไฟฟ้า ในหน่วยกิโลวัตต์กับเวลาในหน่วย

อย่างประหยัดและปลอดภัย ชั่วโมง พลังงานไฟฟ้ามีหน่วยเป็นกิโลวัตต์ชั่วโมง

หรือหนว่ ย

- วงจรไฟฟ้าในบ้านมีการต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบ

ขนานเพอ่ื ใหค้ วามต่างศักย์เทา่ กัน การใชเ้ คร่อื งใช้

ไฟฟา้ ในชวี ติ ประจำวันต้องเลือกใชเ้ ครื่องใช้ไฟฟา้

ที่มีความต่างศักย์และกำลังไฟฟ้าให้เหมาะกับการ

ใช้งาน และการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์

ไฟฟ้าตอ้ งใช้อยา่ งถกู ตอ้ ง ปลอดภยั และประหยัด

10. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกดิ คลื่น - คลื่นเกิดจากการส่งผ่านพลังงานโดยอาศัย

และบรรยายสว่ นประกอบของคลนื่ ตัวกลางและไม่อาศัยตัวกลาง ในคลื่นกล พลังงาน

จะถูกถ่ายโอนผ่านตัวกลางโดยอนุภาคของ

ตัวกลางไม่เคลื่อนที่ไปกับคลื่น คลื่นที่แผ่ออกมา

จากแหลง่ กำเนดิ คลนื่ อย่างต่อเน่ืองและมีรปู แบบ

18

ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
11. อธิบายคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้าและสเปกตรัม ทซี่ ำ้ กนั บรรยายไดด้ ้วยความยาวคล่ืน ความถี่
คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ จากขอ้ มูลที่รวบรวมได้ แอมพลจิ ดู
12. ตระหนกั ถงึ ประโยชนแ์ ละอนั ตรายจาก - คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ เป็นคลื่นทไี่ มอ่ าศัยตวั กลางใน
คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ โดยนำเสนอการใช้ การเคล่อื นที่ มีความถตี่ อ่ เน่ืองเปน็ ชว่ งกวา้ งมาก
ประโยชนใ์ นด้านตา่ ง ๆ และอันตรายจาก เคลื่อนที่ในสุญญากาศด้วยอัตราเร็วเท่ากันแต่จะ
คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในชวี ติ ประจำวัน เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วต่างกันในตัวกลางอื่นคล่ืน
แม่เหล็กไฟฟ้าแบ่งออกเป็นช่วงความถี่ต่าง ๆ
13. ออกแบบการทดลองและดำเนินการทดลอง เรยี กว่า สเปกตรัมของคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า แต่ละ
ดว้ ยวิธที ีเ่ หมาะสมในการอธบิ าย ช่วงความถี่มีชื่อเรียกต่างกัน ได้แก่คลื่นวิทยุ
ไ ม โ ค ร เ ว ฟ อ ิ น ฟ ร า เ ร ด แ ส ง ท ี ่ ม อ ง เ ห็ น
อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ และรังสีแกมมา ซึ่ง
สามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ได้
- เลเซอรเ์ ป็นคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ทมี่ ีความยาวคล่นื
เดียว เปน็ ลำแสงขนานและมีความเขม้ สูง นำไปใช้
ประโยชนใ์ นด้านต่าง ๆ เชน่ ดา้ นการสอ่ื สารมีการ
ใช้เลเซอร์สำหรับส่งสารสนเทศผ่านเส้นใยนำแสง
โดยอาศัยหลักการการสะท้อนกลับหมดของแสง
ดา้ นการแพทยใ์ ช้ในการผา่ ตดั
- คลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ นอกจากจะสามารถนำไปใช้
ประโยชน์แล้ว ยังมีโทษต่อมนุษย์ด้วย เช่น ถ้า
มนุษย์ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตมากเกินไปอาจจะ
ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง หรือถ้าได้รังสีแกมมาซึ่ง
เปน็ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีมีพลังงานสูงและสามารถ
ทะลุผ่านเซลล์และอวัยวะได้ อาจทำลายเนื้อเย่ือ
หรืออาจทำให้เสียชีวิตได้เมื่อได้รับรังสีแกมมาใน
ปรมิ าณสูง
- เม่อื แสงตกกระทบวัตถุจะเกดิ การสะทอ้ นซงึ่ เป็น
ไปตามกฎการสะท้อนของแสง โดยรังสตี กกระทบ

19

ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

กฎการสะทอ้ นของแสง เส้นแนวฉาก รังสีสะท้อนอยู่ในระนาบเดียวกัน

14. เขยี นแผนภาพการเคลอ่ื นทีข่ องแสง แสดง และมุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน ภาพจาก

การเกดิ ภาพจากกระจกเงา กระจกเงาเกดิ จากรังสีสะท้อนตัดกนั หรอื ต่อแนว

รงั สสี ะทอ้ นให้ตัดกนั โดยถ้ารังสีสะท้อนตดั กนั จรงิ

จะเกิดภาพจริง แต่ถ้าต่อแนวรังสีสะท้อนให้ไปตดั

กัน จะเกิดภาพเสมือน

15. อธบิ ายการหักเหของแสงเม่ือผา่ นตัวกลาง - เมื่อแสงเดินทางผ่านตัวกลางโปร่งใสที่แตกต่าง

โปร่งใสทีแ่ ตกตา่ งกัน และอธบิ ายการกระจาย กัน เช่น อากาศและน้ำ อากาศและแก้ว จะเกิด

แสงของแสงขาวเมอ่ื ผา่ นปริซึมจากหลกั ฐาน การหักเห หรืออาจเกิดการสะท้อนกลับหมดใน

เชิงประจักษ์ ตัวกลางที่แสงตกกระทบ การหักเหของแสงผ่าน

16. เขยี นแผนภาพการเคลอื่ นที่ของแสง เลนสท์ ำให้เกิดภาพทีม่ ีชนิดและขนาดตา่ ง ๆ

แสดงการเกิดภาพจากเลนสบ์ าง - แสงขาวประกอบด้วยแสงสีต่าง ๆ เมื่อแสงขาว

ผา่ นปริซมึ จะเกิดการกระจายแสงเปน็ แสงสตี ่าง ๆ

เรียกว่า สเปกตรัมของแสงขาว เมื่อเคลื่อนที่ใน

ตัวกลางใด ๆ ทไ่ี ม่ใช่อากาศ จะมีอัตราเร็วต่างกัน

จึงมกี ารหักเหต่างกัน

17. อธิบายปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวกับแสง และการ - การสะท้อนและการหักเหของแสงนำไปใช้

ทำงานของทัศนอุปกรณ์จากข้อมลู ท่รี วบรวมได้ อธิบายปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับแสง เช่น รุ้ง มิราจ

18. เขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของแสง แสดง และอธิบายการทำงานของทัศนอุปกรณ์เช่น แว่น

การเกิดภาพของทัศนอปุ กรณ์และเลนส์ตา ขยายกระจกโค้งจราจร กล้องโทรทรรศน์ กล้อง

จุลทรรศน์และแวน่ สายตา

- ในการมองวัตถุ เลนสต์ าจะถูกปรับโฟกัส เพื่อให้

เกดิ ภาพชัดท่จี อตา ความบกพรอ่ งทางสายตา เชน่

สายตาสั้น และสายตายาว เป็นเพราะตำแหน่งที่

เกดิ ภาพไมไ่ ดอ้ ยู่ทีจ่ อตาพอดจี งึ ตอ้ งใชเ้ ลนส์ในการ

แก้ไขเพื่อช่วยให้มองเห็นเหมือนคนสายตาปกติ

โดยคนสายตาสั้นใช้เลนส์เว้า ส่วนคนสายตายาว

ใช้เลนสน์ นู

20

ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

19. อธบิ ายผลของความสวา่ งท่มี ตี อ่ ดวงตาจาก - ความสว่างของแสงมีผลต่อดวงตามนษุ ย์การใช้

ขอ้ มลู ท่ีได้จากการสืบคน้ ส า ย ต า ใ น ส ภ า พ แ ว ด ล ้ อ ม ท ี ่ ม ี ค ว า ม ส ว ่ า ง ไ ม่

20. วัดความสวา่ งของแสงโดยใช้อปุ กรณว์ ดั เหมาะสมจะเป็นอันตรายต่อดวงตา เช่น การดู

ความสวา่ งของแสง วตั ถุในทีม่ ีความสว่างมากหรอื น้อยเกินไป การจ้อง

21. ตระหนักในคุณค่าของความรู้เรือ่ ง ความสว่าง ดูหนา้ จอภาพเปน็ เวลานาน ความสวา่ งบนพนื้ ทีร่ ับ

ของแสงทีม่ ีต่อดวงตา โดยวิเคราะห์สถานการณ์ แสงมีหน่วยเป็นลักซ์ ความรู้เกี่ยวกับความสว่าง

ปัญหาและเสนอแนะการจัดความสวา่ ง สามารถนำมาใช้จัดความสว่างให้เหมาะสมกับการ

ให้เหมาะสมในการทำกจิ กรรมตา่ ง ๆ ทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดความสว่างที่

เหมาะสมสำหรบั การอ่านหนงั สือ

สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐานการเรียนรู้
ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาว

ฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยอี วกาศ

ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
1. อธบิ ายการโคจรของดาวเคราะห์รอบ - ในระบบสรุ ยิ ะมีดวงอาทิตย์เปน็ ศูนยก์ ลางโดยมี
ดวงอาทติ ยด์ ้วยแรงโน้มถว่ งจากสมการ ดาวเคราะห์และบริวาร ดาวเคราะห์แคระดาว
F = (Gm1m2)/r2 เคราะห์นอ้ ยดาวหางและอ่ืน ๆ เชน่ วตั ถคุ อยเปอร์
โคจรอยู่โดยรอบ ซึ่งดาวเคราะห์และวัตถุเหล่าน้ี
โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยแรงโนม้ ถ่วงแรงโน้มถว่ ง
เปน็ แรงดึงดูดระหวา่ งวัตถสุ องวตั ถุโดยเป็นสัดส่วน
กับผลคูณของมวลทั้งสองและเป็นสัดส่วนผกผัน
กับกำลังสองของระยะทางระหว่างวัตถุทั้งสอง
แสดงได้โดยสมการ F = (Gm1m2)/r2 เมื่อ F แทน
ความโน้มถ่วงระหว่างมวลทั้งสอง G แทนค่านิจ
โน้มถ่วงสากล m1 แทนมวลของ วัตถุแรก m2

21

ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง
2. สรา้ งแบบจำลองท่อี ธิบายการเกิดฤดแู ละ แทนมวลของวัตถุที่สอง และ r แทนระยะห่าง
การเคลอ่ื นทป่ี รากฏของดวงอาทติ ย ระหว่างวตั ถทุ ้ังสอง
- การที่โลกโคจรรอบดวงอาทติ ย์ในลักษณะทีแ่ กน
3. สร้างแบบจำลองทอี่ ธบิ ายการเกิดข้างข้ึน โลกเอียงกับแนวตั้งฉากของระนาบทางโคจรทำให้
ขา้ งแรม การเปลย่ี นแปลงเวลาการขน้ึ และตก ส่วนต่าง ๆ บนโลกได้รับปริมาณแสงจากดวง
ของดวงจนั ทร์และการเกดิ น้ำข้ึนน้ำลง อาทิตย์แตกต่างกันในรอบปีเกิดเป็นฤดูกลางวัน
กลางคืนยาวไม่เท่ากัน และตำแหน่งการขึ้นและ
4. อธบิ ายการใชป้ ระโยชนข์ องเทคโนโลยอี วกาศ ตกของดวงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าและเส้นทางการข้ึน
และยกตวั อย่างความก้าวหน้าของโครงการ และตกของดวงอาทิตย์เปลีย่ นไปในรอบปีซ่ึงส่งผล
ตอ่ การดำรงชีวิต
- ดวงจนั ทร์โคจรรอบโลก โลกและดวงจนั ทร์โคจร
รอบดวงอาทิตยด์ วงจันทร์รับแสงจากดวงอาทิตย์
คร่งึ ดวงตลอดเวลา เม่ือดวงจันทร์โคจรรอบโลก
ได้หนั สว่ นสวา่ งมายังโลกแตกตา่ งกัน จงึ ทำให้คน
บนโลกสังเกตสว่ นสวา่ งของดวงจันทร์แตกต่างไป
ในแตล่ ะวนั เกดิ เปน็ ขา้ งขน้ึ ข้างแรม
- ดวงจนั ทรโ์ คจรรอบโลกในทศิ ทางเดยี วกนั กับ
ที่โลกหมุนรอบตัวเอง จึงทำให้เห็นดวงจันทร์ขึ้น
ชา้ ไปประมาณวันละ 50 นาที
- แรงโน้มถว่ งทดี่ วงจนั ทรด์ วงอาทติ ย์กระทำตอ่
โลกทำให้เกดิ ปรากฏการณน์ ้ำขน้ึ นำ้ ลง ซงึ่ สง่ ผล
ตอ่ ส่งิ แวดลอ้ มและสิง่ มีชวี ติ บนโลก วนั ทนี่ ำ้ มี
ระดับการขน้ึ สงู สุดและลงตำ่ สุดเรยี ก วนั น้ำเกดิ
สว่ นวันท่รี ะดับนำ้ มีการขนึ้ และลงนอ้ ยเรียก
วันน้ำตายโดยวันน้ำเกิด น้ำตาย มีความสัมพันธ์
กับขา้ งข้นึ ข้างแรม
- เทคโนโลยอี วกาศได้มีบทบาทตอ่ การดำรงชวี ิต

22

ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
สำรวจอวกาศ จากข้อมลู ที่รวบรวมได้ ของมนุษย์ในปัจจุบันมากมาย มนุษย์ได้ใช้
ประโยชนจ์ ากเทคโนโลยีอวกาศเชน่ ระบบนำทาง
ด ้ ว ย ด า ว เ ท ี ย ม ( GNSS) ก า ร ต ิ ด ต า ม พ า ยุ
สถานการณไ์ ฟปา่ ดาวเทียมชว่ ยภัยแล้ง การตรวจ
คราบนำ้ มนั ในทะเล
- โครงการสำรวจอวกาศต่าง ๆ ไดพ้ ฒั นาเพิม่ พนู
ความรคู้ วามเขา้ ใจตอ่ โลก ระบบสุริยะและเอกภพ
มากข้นึ เปน็ ลำดับ ตวั อยา่ งโครงการสำรวจอวกาศ
เช่น การสำรวจสง่ิ มชี ีวิตนอกโลก การสำรวจ
ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ การสำรวจดาว
องั คาร และบริวารอืน่ ของดวงอาทิตย์

สาระที่ 4 เทคโนโลยี
มาตรฐานการเรียนรู้
ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่าง

รวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือ
พัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง
เหมาะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบต่อชีวติ สงั คม และสิง่ แวดลอ้ ม

ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง

1. วิเคราะห์สาเหตุ หรอื ปจั จยั ที่ส่งผลต่อการ - เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตั้งแต่

เปลย่ี นแปลงของเทคโนโลยีและความสมั พันธ์ อดตี จนถึงปัจจุบนั ซ่งึ มสี าเหตหุ รือปจั จัยมาจาก

ของเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะ หลายด้าน เช่น ปัญหาหรือความต้องการของ

วิทยาศาสตรห์ รือคณิตศาสตรเ์ พ่ือเป็นแนวทาง มนุษย์ความก้าวหน้าของศาสตร์ต่าง ๆ การ

การแก้ปัญหาหรอื พฒั นางาน เปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม

สิ่งแวดล้อม

- เทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กับศาสตร์อ่ืน

โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์โดยวิทยาศาสตร์เป็นพื้น

23

ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
ฐานความรู้ที่นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีและ
2. ระบุปัญหาหรือความต้องการของชุมชนหรอื เทคโนโลยีที่ได้สามารถเป็นเครื่องมือที่ใช้ใน
ทอ้ งถ่ิน เพือ่ พฒั นางานอาชพี สรุปกรอบของ การศกึ ษา ค้นคว้าเพือ่ ให้ไดม้ าซึง่ องค์ความรู้ใหม่
ปญั หา รวบรวม วิเคราะห์ข้อมลู และแนวคดิ - ปญั หาหรอื ความต้องการอาจพบได้ในงานอาชพี
ท่เี กยี่ วข้องกับปญั หา โดยคำนงึ ถึงความถูกตอ้ ง ของชุมชนหรอื ทอ้ งถ่ิน ซึ่งอาจมหี ลายดา้ น เช่น
ด้านทรัพยส์ ินทางปัญญา ดา้ นการเกษตร อาหาร พลังงาน การขนสง่
- การวเิ คราะห์สถานการณป์ ญั หาช่วยให้เขา้ ใจ
3. ออกแบบวธิ ีการแกป้ ญั หา โดยวิเคราะห์ เง่ือนไขและกรอบของปญั หาได้ชดั เจน จากนั้น
เปรียบเทียบ และตดั สนิ ใจเลือกขอ้ มลู ทีจ่ ำเป็น ดำเนินการสืบค้น รวบรวมข้อมูล ความรู้จาก
ภายใตเ้ ง่อื นไขและทรพั ยากรทม่ี ีอยู่ นำเสนอ ศาสตร์ต่าง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เพื่อนำไปสู่การออกแบบ
แนวทางการแกป้ ญั หาให้ผ้อู น่ื เข้าใจด้วยเทคนิค แนวทางการแกป้ ญั หา
หรอื วธิ กี ารท่ีหลากหลาย วางแผนขน้ั ตอน - การวิเคราะหเ์ ปรียบเทยี บ และตัดสินใจเลอื ก
การทำงานและดำเนินการแก้ปญั หาอย่างเปน็ ขอ้ มูลทจ่ี ำเปน็ โดยคำนงึ ถึงทรพั ย์สนิ ทางปญั ญา
ขั้นตอน เงือ่ นไขและทรัพยากร เชน่ งบประมาณ เวลา
ข้อมูลและสารสนเทศ วัสดุ เคร่อื งมือและอุปกรณ์
4. ทดสอบ ประเมนิ ผล วเิ คราะหแ์ ละให้เหตผุ ล ช่วยใหไ้ ดแ้ นวทางการแก้ปัญหาทเี่ หมาะสม
ของปัญหาหรือข้อบกพร่องท่ีเกิดขน้ึ ภายใต้ - การออกแบบแนวทางการแก้ปญั หาทำได้
หลากหลายวิธีเช่น การร่างภาพ การเขียน
แผนภาพการเขียนผงั งาน
- เทคนิคหรอื วธิ กี ารในการนำเสนอแนวทาง
การแกป้ ัญหามหี ลากหลาย เช่น การใช้แผนภมู ิ
ตาราง ภาพเคลือ่ นไหว
- การกำหนดขัน้ ตอนและระยะเวลาในการทำงาน
ก่อนดำเนินการแก้ปญั หาจะชว่ ยให้การทำงาน
สำเรจ็ ไดต้ ามเป้าหมาย และลดข้อผดิ พลาด
ของการทำงานที่อาจเกดิ ขนึ้
- การทดสอบและประเมินผลเป็นการตรวจสอบ
ช้ินงานหรือวิธกี ารวา่ สามารถแก้ปญั หาได้ตาม

24

ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
กรอบเงื่อนไข พรอ้ มทั้งหาแนวทางการปรบั ปรุง วตั ถปุ ระสงค์ภายใตก้ รอบของปัญหา เพ่อื หา
แกไ้ ข และนำเสนอผลการแก้ปญั หา ขอ้ บกพร่อง และดำเนินการปรบั ปรงุ โดยอาจ
ทดสอบซ้ำเพ่อื ให้สามารถแกไ้ ขปญั หาได้
5. ใชค้ วามรูแ้ ละทักษะเกีย่ วกับวัสดุอุปกรณ์ - การนำเสนอผลงานเปน็ การถ่ายทอดแนวคดิ
เคร่ืองมือ กลไก ไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนิกส์ เพอ่ื ให้ผ้อู ืน่ เข้าใจเกยี่ วกับกระบวนการทำงาน
ให้ถกู ต้องกับลกั ษณะของงาน และปลอดภยั และชิน้ งานหรือวิธกี ารทีไ่ ด้ซงึ่ สามารถทำได้
เพอ่ื แก้ปัญหาหรือพัฒนางาน หลายวิธเี ช่น การเขยี นรายงาน การทำแผน่
นำเสนอผลงาน การจัดนิทรรศการ การนำเสนอ
ผา่ นส่ือออนไลน์
- วัสดแุ ต่ละประเภทมสี มบัติแตกต่างกนั เชน่ ไม้
โลหะ พลาสติก เซรามิก จึงต้องมกี ารวิเคราะห์
สมบัตเิ พ่อื เลอื กใชใ้ ห้เหมาะสมกบั ลกั ษณะของงาน
- การสรา้ งช้ินงานอาจใช้ความรูเ้ รอ่ื งกลไก ไฟฟ้า
อิเล็กทรอนกิ สเ์ ชน่ LED LDR มอเตอร์เฟอื ง
คาน รอก ลอ้ เพลา
- อุปกรณ์และเคร่ืองมือในการสร้างชิน้ งาน
หรือพฒั นาวิธีการมีหลายประเภท ต้องเลอื กใช้
ใหถ้ ูกตอ้ ง เหมาะสม และปลอดภยั รวมทง้ั รจู้ ัก
เก็บรกั ษา

ว 4.2 เขา้ ใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปญั หาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเป็นข้ันตอนและเป็น
ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทำงาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ รูเ้ ทา่ ทัน และมจี รยิ ธรรม

ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

1. พัฒนาแอปพลิเคชันที่มีการบูรณาการกับวิชา - ข้นั ตอนการพฒั นาแอปพลิเคชนั

อน่ื อยา่ งสรา้ งสรรค์ - Internet of Things (IoT)

- ซอฟตแ์ วร์ที่ใชใ้ นการพัฒนาแอปพลิเคชนั เชน่

25

ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

Scratch, python, java, c, AppInventor

- ตัวอย่างแอปพลิเคชนั เช่น โปรแกรมแปลง

สกลุ เงิน โปรแกรมผันเสยี งวรรณยุกตโ์ ปรแกรม

จำลองการแบง่ เซลล์ระบบรดนำ้ อัตโนมตั ิ

2. รวบรวมข้อมูล ประมวลผล ประเมินผล - การรวบรวมข้อมลู จากแหล่งข้อมูลปฐมภูมแิ ละ

นำเสนอข้อมูลและสารสนเทศตามวัตถุประสงค์ ทุตยิ ภมู ปิ ระมวลผล สร้างทางเลือก ประเมินผล

โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือบริการบนอินเทอรเ์ นต็ ที่ จะทำใหไ้ ดส้ ารสนเทศเพือ่ ใชใ้ นการแก้ปัญหา

หลากหลาย หรอื การตดั สินใจไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ

- การประมวลผลเปน็ การกระทำกับข้อมูล เพื่อให้

ไดผ้ ลลัพธท์ ม่ี ีความหมายและมีประโยชน์ต่อการ

นำไปใชง้ าน

- การใช้ซอฟต์แวร์หรอื บริการบนอนิ เทอรเ์ นต็

ทีห่ ลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล

สรา้ งทางเลอื ก ประเมินผล นำเสนอ จะช่วยให้

แกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ถกู ตอ้ ง และแม่นยำ

- ตัวอย่างปัญหา เช่น การเลือกโปรโมชันโทรศัพท์

ให้เหมาะกบั พฤตกิ รรมการใช้งาน สนิ คา้ เกษตร

ท่ีตอ้ งการและสามารถปลูกไดใ้ นสภาพดินของ

ท้องถน่ิ

3. ประเมนิ ความน่าเชื่อถือของข้อมลู วเิ คราะห์สอื่ - การประเมินความนา่ เชอื่ ถอื ของขอ้ มูล เชน่

และผลกระทบจากการให้ข่าวสารทีผ่ ิด เพอ่ื การ ตรวจสอบและยืนยันขอ้ มูล โดยเทยี บเคยี งจาก

ใช้งานอยา่ งรู้เทา่ ทัน ขอ้ มูลหลายแหล่ง แยกแยะข้อมลู ทเี่ ปน็ ขอ้ เท็จจริง

และขอ้ คิดเหน็ หรือใช้ PROMPT

- การสบื คน้ หาแหล่งต้นตอของข้อมูล

- เหตุผลวิบตั (ิ logical fallacy)

- ผลกระทบจากข่าวสารที่ผดิ พลาด

- การรเู้ ทา่ ทันสื่อ เชน่ การวิเคราะหถ์ ึงจุดประสงค์

ของขอ้ มูลและผู้ให้ข้อมูล ตคี วาม แยกแยะเน้อื หา

26

ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
สาระของส่อื เลือกแนวปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม
4. ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภัย และมี เม่อื พบขอ้ มลู ตา่ ง ๆ
ความรับผดิ ชอบต่อสงั คม ปฏิบัตติ ามกฎหมาย - การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั เชน่
เกี่ยวกับคอมพวิ เตอร์ใชล้ ขิ สิทธ์ขิ องผ้อู ื่น การทำธรุ กรรมออนไลน์การซ้อื สินคา้
โดยชอบธรรม ซื้อซอฟตแ์ วรค์ า่ บริการสมาชิก ซือ้ ไอเท็ม
- การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีความ
รับผิดชอบ เช่น ไม่สร้างข่าวลวง ไม่แชร์ขอ้ มูลโดย
ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจรงิ
- กฎหมายเกย่ี วกับคอมพิวเตอร์
- การใช้ลขิ สิทธ์ิของผอู้ ่ืนโดยชอบธรรม (fair use)

คณุ ภาพผูเ้ รียนเม่อื จบชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3
เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบที่สำคัญของเซลล์สิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการทำงานของ
ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนษุ ยก์ ารดำรงชีวติ ของพืช การถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมการเปลี่ยนแปลง
ของยีนหรอื โครโมโซม และตวั อย่างโรคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพนั ธุกรรมประโยชนแ์ ละผลกระทบ
ของสิ่งมชี ีวิตดัดแปรพันธุกรรม ความหลากหลายทางชวี ภาพ ปฏสิ ัมพนั ธข์ ององค์ประกอบของระบบนิเวศ
และการถา่ ยทอดพลังงานในสงิ่ มชี วี ติ
เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธิ์ สารผสมหลักการแยกสาร การ
เปลี่ยนแปลงของสารในรูปแบบของการเปลี่ยนสถานะ การเกิดสารละลายและการเกิดปฏิกิริยาเคมีและ
สมบัตทิ างกายภาพ และการใช้ประโยชน์ของวสั ดุประเภทพอลิเมอร์เซรามกิ และวสั ดุผสม
เข้าใจการเคลื่อนที่ แรงลัพธ์และผลของแรงลัพธ์กระทำต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรงแรงที่ปรากฏใน
ชีวิตประจำวัน สนามของแรง ความสัมพันธ์ของงาน พลังงานจลน์ พลังงานศักย์โน้มถ่วงกฎการอนุรักษ์
พลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟ้าการต่อวงจรไฟฟ้าใน
บา้ น พลงั งานไฟฟา้ และหลักการเบ้อื งตน้ ของวงจรอเิ ล็กทรอนกิ ส์
เข้าใจสมบัติของคลื่น และลักษณะของคลื่นแบบต่าง ๆ แสง การสะท้อนการหักเหของแสงและ
ทศั นอปุ กรณ์

27

เข้าใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทติ ย์ การเกิดฤดู การเคลื่อนที่ปรากฏของดวงอาทติ ย์
การเกิดข้างขึ้นข้างแรม การขึ้นและตกของดวงจันทร์การเกิดน้ำขึ้นน้ำลงประโยชน์ของเทคโนโลยอี วกาศ
และความก้าวหน้าของโครงการสำรวจอวกาศ

เข้าใจลักษณะของชั้นบรรยากาศ องค์ประกอบและปัจจัยที่มีผลต่อลมฟ้าอากาศการเกิดและ
ผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์การเปลี่ยนแปลง
ภมู อิ ากาศโลก กระบวนการเกิดเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และการใช้ประโยชน์พลังงานทดแทนและการใช้
ประโยชน์ลักษณะโครงสร้างภายในโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลักษณะชั้น
หน้าตัดดิน กระบวนการเกิดดิน แหล่งน้ำผิวดิน แหล่งน้ำใต้ดินกระบวนการเกิดและผลกระทบของภัย
ธรรมชาตแิ ละธรณีพิบตั ภิ ัย

เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์วิเคราะห์
เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพื่อเลือกใช้เทคโนโลยีโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม
ประยุกต์ใช้ความรู้ทักษะ และทรัพยากรเพื่อออกแบบและสร้างผลงานสำหรับการแก้ปัญหาใน
ชีวิตประจำวันหรือการประกอบอาชีพ โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมทั้งเลือกใช้วัสดุ
อุปกรณแ์ ละเครอ่ื งมือได้อย่างถูกตอ้ ง เหมาะสม ปลอดภัย รวมท้งั คำนึงถึงทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา

นำข้อมูลปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ ประเมิน นำเสนอข้อมูลและสารสนเทศได้
ตามวัตถุประสงค์ ใช้ทักษะการคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงและเขียนโปรแกรมอย่าง
ง่ายเพื่อช่วยในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างรู้เท่าทันและรับผิดชอบต่อ
สงั คม

ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาที่เช่ือมโยงกับพยานหลักฐาน หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีการ
กำหนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สามารถนำไปสู่การ
สำรวจตรวจสอบ ออกแบบและลงมือสำรวจตรวจสอบโดยใช้วัสดุและเครื่องมือที่เหมาะสม เลือกใช้
เครื่องมือและเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ท่ี
ได้ผลเทีย่ งตรงและปลอดภยั

วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลที่ได้จากการสำรวจตรวจสอบจาก
พยานหลักฐาน โดยใช้ความรู้และหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการแปลความหมายและลงข้อสรุปและ
สื่อสารความคิด ความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเ ทศ
เพือ่ ให้ผูอ้ ่นื เขา้ ใจไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

28

แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในสิ่งที่จะเรียนรู้มีความคิด
สรา้ งสรรค์เกี่ยวกบั เรื่องทจี่ ะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใชเ้ ครือ่ งมอื และวธิ ีการทใ่ี ห้ได้ผลถูกต้อง
เชื่อถือได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นของตนเอง รับฟังความคิดเห็น
ผู้อื่น และยอมรับการเปลี่ยนแปลงความรูท้ ี่ค้นพบ เมื่อมีข้อมูลและประจักษ์พยานใหม่เพิ่มข้ึนหรือโต้แยง้
จากเดมิ

ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวันใช้ความรู้และ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพแสดงความชื่นชม
ยกยอ่ ง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น เข้าใจผลกระทบทง้ั ด้านบวกและด้านลบของการพัฒนาทาง
วิทยาศาสตร์ต่อสิ่งแวดล้อมและต่อบริบทอ่นื ๆ และศึกษาหาความรูเ้ พ่ิมเติม ทำโครงงานหรอื สร้างชิ้นงาน
ตามความสนใจ

แสดงถงึ ความซาบซ้งึ ห่วงใย มพี ฤตกิ รรมเก่ียวกับการดแู ลรกั ษาความสมดุลของระบบนิเวศ และ
ความหลากหลายทางชีวภาพ

2. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of Cooperative or Collaborative Learning)
ลักขณา สริวัฒน์ (2557 : 193-206) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperrative

Learning Theory) ไวด้ งั นี้
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperrative Learning Theory) การเรียนรู้แบบร่วมมือ

เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่เนน้ ให้ครูใช้วิธีการสอนที่เนน้
ผู้เรียนเป็นสำคัญ เนื่องจากมีรูปแบบการสอนให้เลือกอย่างหลากหลายตามวัตถุประสงค์ของการจัดการ
เรียนรู้ในกลุ่มสาระต่าง ๆ สำหรับเนื้อหาและองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ จำแนก
เป็น 8 เรื่อง ได้แก่ ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือ วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมอื ลักษณะสำคัญของการเรียนรูแ้ บบร่วมมือ เทคนิคการเรียนร้แู บบ
ร่วมมือ ขั้นตอนการเรียนรู้แบบร่วมมือ และการประยุกต์ใช้หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือในการสอน ดัง
รายละเอียดต่อไปน้ี

ความหมายของการเรียนรแู้ บบรว่ มมอื
การเรียนแบบร่วมมือ หมายถึง การจัดกจิ กรรมการเรยี นรูท้ ่ีส่งเสริมให้นักเรยี นทำกิจกรรมต่าง ๆ
เป็นกลุ่ม โดยกลุ่มนั้นต้องประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน เพื่อให้แต่ละคนเห็น
ความสำคัญขอเพ่อื นนักเรยี นในกล่มุ ซงึ่ จะขาดไม่ได้ เพราะแตล่ ะคนมีคามสามารถไม่เหมือนกันจึงต้อง

29

อาศัยซึ่งกันและกันในการเรียนรู้ คนที่เก่งจะช่วยเหลือคนที่เรียนอ่อนกว่าในด้านวิชาการ แต่คนที่เรียน
อ่อนในด้านวิชาการอาจก่งด้านการพูด หรือด้านการช่วยเหลือและให้กำลังใจต่อกัน นอกจากนี้ยังทำให้
เกิดความเห็นใจกัน มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีความผูกพันกัน โดยยึดหลักความสำเร็จของกลุ่มคือ
ความสำเรจ็ ของสมาชิกทุกคนในกล่มุ

หลกั การของการเรียนร้แู บบร่วมมอื
จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson. 2003) ได้ให้แนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
ไว้ว่าเรียนควรรว่ มมือกันในการเรียนรู้มากกว่าการแข่งขันกัน เพราะการแข่งขันก่อใหเ้ กดิ สภาพการณ์ของ
การแพ้-ชนะ ต่างจากการร่วมมือกันซึ่งก่อให้เกิดสภาพการณ์ของการชนะ-ชนะ อันเป็นสภาพการณ์ท่ี
ดีกว่าทั้งทางด้านจิตใจและสติปัญญา และหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือประกอบด้วยหลักการที่
สำคญั 5 ประการ ได้แก่

1. การเรียนรู้ต้องอาศัยหลักการพึ่งพากัน (Positive Interdependence) โดยถือว่าทุก
คนมคี วามสำคญั เท่าเทยี มกนั และจะตอ้ งพึ่งพากนั เพ่ือความสำเรจ็ รว่ มกัน

2. การเรียนรู้ที่ดีต้องอาศัยการหันหน้าเข้าหากัน มีปฏิสัมพันธ์กัน (Face to Face
Interaction) เพอื่ แลกเปล่ยี นความคิดเห็น ขอ้ มูล และการเรียนร้ตู า่ ง ๆ

3. การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม (Social Skills) โดยเฉพาะทักษะการ
ทำงานร่วมกนั

4. การเรียนรูร้ ว่ มกนั ควรมกี ารวิเคราะหก์ ระบวนการของกลุ่ม (Group Processing) ที่ใช้
ในการทำงาน

5. การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมีผลงานหรือผลสำฤทธิ์ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่มที่สามารถ
ตรวจสอบและวัดประเมินได้ (Individual Accountability) หากผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบร่วมมือกัน
นอกจากจะช่วยให้ผูเ้ รยี นเกิดการเรยี นรทู้ ัง้ ด้านเน้ือหาสาระต่าง ๆ ไดก้ ว้างขึ้นและลึกซึ้งข้ึนและยังสามารถ
พฒั นาผูเ้ รียนทางด้านสังคมและอารมณ์มากข้ึนดว้ ยรวมทั้งมโี อกาสได้ฝึกฝนพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ
ที่จำเปน็ ตอ่ การดำรงชีวิตไดอ้ กี มากมาย

วัตถปุ ระสงค์ของการเรยี นรแู้ บบร่วมมือ
การเรียนรแู้ บบร่วมมอื นี้มวี ตั ถุประสงค์หลายประการ ได้แก่ (Slavin. 1990)

1. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ๆ ด้วยตนเองและสามารถพัฒนาได้ตาม
ศกั ยภาพของตนเอง

2. เพ่ือใหเ้ กิดการแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ระหว่างผู้เรยี นและผู้สอน รวมทั้งผ้เู รยี นและผ้เู รยี นดว้ ยกัน
3. เพ่อื เกดิ การรว่ มมอื และความชว่ ยเหลอื ระหวา่ งเพ่ือนด้วยกันในกลุ่ม

30

4. เพือ่ เกดิ การพัฒนาทักษะทางสังคมตา่ ง ๆ
องค์ประกอบของการเรยี นรแู้ บบร่วมมอื
จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson. 1994) อธิบายว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือ
เกิดขน้ึ ไดต้ อ้ งมีองคป์ ระกอบทีส่ ำคญั 5 ประการดงั นี้

1. การพึ่งพาและช่วยเหลือกัน (Positive Interdependence) การเรียนรู้แบบร่วมมือ
จะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าสมาชิกกลุ่มทุกคนมีความสำคัญเท่ากันเพราะความสำเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับ
สมาชิกทุกคน ดังนั้นแต่ละคนจงึ ตอ้ งมีความรับผิดชอบในบทบาทหน้าท่ีของตนและในขณะเดียวกันกต็ ้อง
ชว่ ยเหลือสมาชกิ คนอนื่ ๆ ด้วยเพ่ือประโยชนร์ ่วมกนั ของกลุ่ม

2. การปรึกษาหารอื กันอย่างใกล้ชดิ (Face –to-face Promotion Interaction) เปน็ การ
มีปฏสิ ัมพันธท์ ส่ี ่งเสริมซึ่งกันและกนั ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มี
การอธิบายความรู้ให้แก่เพื่อนในกลุ่ม ส่งเสริมและช่วยเหลือกันและกันในการทำงานต่าง ๆ ร่วมกันส่งผล
ให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกันจึงควรมีการให้ข้อมูลย้อนกลั บและเปิดโอกาสให้สมาชิกเสนอแนวคิดใหม่ๆ
เพอ่ื เลอื กในสิง่ ท่ีเหมาะสมท่ีสดุ

3. ความรับผิดชอบของแต่ละคนที่สามารถตรวจสอบได้ (Individual Accountability)
ทุกคนจะต้องพยายามทำงานท่ีไดร้ ับมอบหมายอยา่ งเต็มความสามารถเพราะไม่มีใครท่ีจะได้รับประโยชน์
โดยไมท่ ำหนา้ ท่ีของตน กลมุ่ จำเป็นตอ้ งมีระบบการตรวจสอบผลงานทีเ่ ปน็ รายบุคคลและเป็นกลุ่ม สำหรับ
วธิ กี ารทสี่ ามารถสง่ เสรมิ ให้ทุกคนทำหนา้ ทีข่ องตนอย่างเตม็ ท่มี ีหลายวิธี เชน่ การจดั กลมุ่ ใหเ้ ลก็ เพื่อจะได้มี
การเอาใจใส่กันและกันอย่างทั่วถึง การทดสอบเป็นรายบุคคล การสุ่มเรียกชื่อให้รายงาน ครู สังเกต
พฤตกิ รรมของผ้เู รยี นในกลมุ่ การจัดใหก้ ลุ่มมีผ้สู ังเกตการณ์ หรือการใหผ้ ู้เรยี นสอนซึง่ กนั และกัน เปน็ ต้น

4. การใช้ทักษะปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย
(Interpersonal and Small-group Skills) การเรยี นรแู้ บบร่วมมือจะประสบผลสำเรจ็ ได้ตอ้ งอาศยั ทักษะ
ที่สำคัญหลายประการ เช่น ทักษะทางสังคม ทักษะการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทักษะการทำงานกลุ่ม ทักษะ
การสื่อสาร และทักษะการแก้ปัญหาขัดแย้ง รวมทั้งการเคารพยอมรับและไว้วางใจกันและกัน ดังนั้นครู
ต้องฝึกทักษะผู้เรียนเพื่อให้เกิดทักษะต่าง ๆ ดังกล่าวเพราะเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้การทำงานกลุ่ม
ประสบผลสำเร็จได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ

5. การใช้กระบวนการกลุ่ม (Group Processing) กระบวนการกลุ่มเป็นกระบวนการ
ทำงานที่มีขั้นตอนหรือวิธีการที่จะช่วยให้มีการดำเนินงานกลุ่มเป็นไปอย่างมีงานร่วมกัน และดำเนินงาน
ตามแผน ตลอดจนมีการประเมินผลและปรับปรุงงาน นอกจากนี้จะต้องมีการวิเคราะห์กระบวนการ
ทำงานของกลุ่มเพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น การวิเคราะห์กระบวนการ

31

กลุ่มครอบคลุมการวิเคราะห์เกี่ยวกับวิธีการทำงานกลุ่ม พฤติกรรมของสมาชิกกลุ่มและผลงานกลุ่ม การ
วิเคราะห์การเรียนรู้นี้อาจทำได้โดยครู หรือผู้เรียน หรือทั้งสองฝ่าย การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มนี้เป็น
ยุทธวิธีหนึ่งที่ส่งเสริมให้กลุ่มตั้งใจทำงาน เพราะรู้ว่าจะได้รับข้อมูลป้อนกลับ และช่วยฝึกทักษะการรู้คิด
(Metacognition) คอื สามารถทจี่ ะประเมินการคิดและพฤติกรรมของตนท่ีได้ทำไป แนวคดิ ของจอห์นสัน
และจอห์นสัน (Johnson and Johnson) ยังคงสอดคล้องกับแนวคิดของโอสเสน และคาแกน (Olsen
and Kagan. 1992) ท่ไี ด้อธบิ ายองค์ประกอบการเรยี นแบบร่วมมอื ไวด้ ังนี้

1. การพึ่งพาอาศัยกันในทางที่ดี (Positive Interdependent) การพึ่งพากัน
ในทางที่ดีจะเกิดขึ้นเมื่อผลประโยชน์แต่ละคนที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของบุคคลอื่น ๆ กล่าวคือ เมื่อ
ผู้เรียนคนหนึ่งได้รับผลสำเร็จ ผู้เรียนคนอื่นก็จะได้รับผลประโยชน์ไปด้วย ซึ่งจะต้องมีการจัดโครงสร้าง
ภาระงาน กำหนดโครงสรา้ งวิชาการและโครงสรา้ งทางผลลพั ธด์ ังน้ี

1) การพึ่งพาอาศัยโดยใช้โครงสร้างทางผลลัพธ์ อาจกำหนดให้ผู้เรียนมี
เป้าหมายเดียวกัน โดยมอบหมายภาระงานให้เพียง 1ชิ้น เขียนบรรยายภาพส่ง 1ชิ้น หรืออาจกำหนดให้
รางวัลกลมุ่ โดยนำคะแนนของสมาชกิ แตล่ ะคนในกลมุ่ มาแปลเป็นคะแนนของลมุ่ ก็ได้

2) การพึงพาอาศัยโดยใช้โครงสร้างทางวิชาการ สมาชิกแต่ละคนจะได้รับ
มอบหมายบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกัน เช่น อธิบายหรือผู้ตรวจสอบซึ่งทุกคนจะรับผิดชอบในหน้าที่ของ
ตนและปฏบิ ตั ติ ามบทบาทน้ัน ครูจะใช้วัสดอุ ุปกรณห์ รอื ใบงานให้เสร็จทุกคนก่อนจะเริ่มทำงานต่อไป

2. การสร้างทีมงาน (Team Formation) การจัดลุ่มหรือทีมงานสามารถทำได้
โดยครูกำหนดให้หรือนักเรียนจัดกลุ่มกันเอง หัวหน้ากลุ่มด้วยจากการคัดเลือกของสมาชิกและมีการ
ผลัดเปลี่ยนตำแหน่งกัน แต่อย่างไรตามการจัดกลุ่มอย่างเป็นทางการมีความเหมาะสมกว่าซึ่งสามารถทำ
ได้ 4 วิธีดังน้ี

1) การจัดกลุ่มตามความแตกต่างด้านทางเพศ เชื้อชาติ ภาษา และระดับ
ความสามารถ

2) การจัดกลุ่มแบบกลุ่มโดยใช้เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์บางอย่าง เช่น
กระดาษสี ผูเ้ รยี นทไี่ ด้สัญลกั ษณ์สีเดียวกนั จะไดอ้ ยกู่ ล่มุ เดียวกัน

3) การจดั กลุ่มตามความแตกตา่ งและระดับความสามารถทางภาษา
4) การจัดกลมุ่ ตามความสนใจ ความชอบ และลักษณะนิสัย
3. ความรับผิดชอบ (Accountability) ความรับผดิ ชอบตอ่ ตนเองและต่อกลมุ่ มี
ความสำคัญต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบร่วมมือ และเป็นลักษณะเด่นของการเรียนแบบนี้ผู้เรียนจะ
ได้รับหมอบหมายความรับผดิ ชอบเป็นรายบุคคล มีการให้คะแนนในส่วนรวมที่ตนเองร่วมทำงานของกล่มุ

32

ซึ่งสามารถตรวจสอบความรับผิดชอบได้ด้วยการทดสอบเรื่องทักษะทางสังคม และโครงสร้างการเรียนรู้
และวธิ จดั โครงสรา้ ง

4. ทกั ษะกระบวนการปฏสิ มั พนั ธข์ องผู้เรยี นเพ่ือให้การปฏบิ ัตงิ านเป็นไปอย่างมี
ประสิทธภิ าพนกั เรียนจำเป็นต้องมีความสมั พันธท์ ดี่ รี ะหวา่ งบคุ คลและกลุ่มย่อย

5. การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม เพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับปรุง
การทำงานให้ดีขึ้น เช่น การวิเคราะห์เกี่ยวกับวิธีการทำงานของกลุ่ม พฤติกรรมของสมาชิกในกลุ่ม และ
ผลงานของกล่มุ เปน็ ต้น

สรุปไดว้ ่า องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมอื ประกอบดว้ ย การพ่งึ พาซึ่งกันและ
กัน เพื่อช่วยเหลือกันและเกื้อกูลกัน การปรึกษาหารือกันเพื่อคอยให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาระหว่าง
บุคคลอย่างใกล้ชิด ความรับผิดชอบของสมาชิกเพื่อให้ผลงานมีประสิทธิภาพควรมีการแบ่งหน้าที่ความ
รับผิดชอบของนักเรียนแต่ละคน ทักษะกระบวนการปฏิสัมพันธ์เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพนักเรียนจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคลและกลุ่มย่อยและการวิเคราะห์
กระบวนการกลมุ่ เพอ่ื ช่วยให้กลุ่มเกิดการเรยี นรแู้ ละปรบั ปรุงการทำงานใหด้ ีขึน้ เชน่ การวเิ คราะห์เกีย่ วกับ
วิธีการทำงานของกลุ่ม พฤติกรรมของสมาชิกกลุ่ม และผลงานของกลุ่ม องค์ประกอบทั้ง 5 นี้ ต่างก็มี
ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในการช่วยให้การเรียนแบบร่วมมือดำเนินไปได้ด้วยดี และบรรลุเป้าหมายที่
กลุ่มต้องการคือสมาชิกกลุม่ เกดิ ความรู้ ความเข้าใจ และสามารถนำทักษะเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชนไ์ ด้
อยา่ งเตม็ ที่

ลักษณะสำคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ Slavin (1990) กำหนดลักษณะสำคัญการ
เรยี นรูแ้ บบร่วมมอื ไว้ 6 ประการ ดังน้ี

1. เปา้ หมายของกลุม่ (Group Goals) หมายถงึ ทุกคนในกลุ่มมเี ป้าหมายรว่ มกนั คือ การ
ยอมรับผลงานของกล่มุ

2. การรับผิดชอบเป็นรายบุคคล (Individual Accountability) หมายถึง ทุกคนที่เป็น
สมาชิกกลุ่มมีความรับผิดชอบในการดำเนินงานของกลุม่ ให้ได้รบั ความสำเร็จ เพราะความสำเร็จของกลุ่ม
ขน้ึ อยู่กับผลการเรียนรู้รายบุคคลของสมาชกิ ในกลุม่

3. โอกาสในความสำเร็จเท่าเทียมกัน (Equal Opportunities for Success) หมายถึง
การที่นักเรียนได้รับโอกาสที่จะทำคะแนนให้กับกลุ่มของตนเองได้เท่าเทียมกันทุกคนไม่มีใครได้มากน้อย
กวา่ กนั

33

4. การแข่งขันเป็นทีม (Team Competition) การเรียนแบบร่วมมือจะมีการแข่งขัน
ระหว่างทีม ซึ่งหมายถึงการสร้างแรงจูงใจและความสมัครสมานสามคั คี รวมทั้งความรบั ผิดชอบใหเ้ กดิ ขน้ึ
ภายในทมี

5. งานพิเศษ (Task Specialization) หมายถึง การออกแบบงานย่อยๆ ของแต่ละกลุ่ม
ให้นกั เรียนแต่ละคนรบั ผิดชอบ ซงึ่ นกั เรยี นแตล่ ะคนจะเกดิ ความภูมใิ จที่ได้ช่วยเหลือกลุ่มของตนให้ประสบ
ความสำเร็จ ลกั ษณะงานจะเป็นการพ่ึงพาซึ่งกนั และกัน รวมถงึ การตรวจสอบความถูกต้อง

6. ดัดแปลงความต้องการของแต่ละบุคคลให้เหมาะสม (Adaptation to Individual)
หมายถึง การเรียนแบบร่วมมือแต่ละประเภทจะมีบางประเภทได้ดัดแปลงการสอนให้เหมาะสมกับความ
ตอ้ งการของแต่ละบุคคล

สรุปได้ว่า ลักษณะสำคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือมีลักษณะรว่ มกันหลายประการ คือ
มีการจัดกลุ่มย่อยที่มีความแตกต่างกันในด้านความรู้ ความสามารถ มีการกำหนดบทบาทหน้าที่ สมาชิก
ภายในกลุ่มทหี่ มุนเวียนกันรบั ผดิ ชอบเพือ่ ความเสมอภาค มีปฏสิ ัมพันธ์กันภายในกลุม่ ไดแ้ ลกเปลีย่ นความ
คิดเหน็ ยอมรับฟังเหตุผลซึ่งกนั และกัน มกี ารชว่ ยเหลือซ่ึงกนั และกนั มกี ารอธิบายให้เพ่ือนเกิดการเรียนรู้
ไปพร้อม ๆ กัน มีการรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายและรับผิดชอบต่อเพื่อนภายในกลุ่ม มีทักษะใน
การทำงานกลุ่ม มีการยอมรับและสนับสนนุ ซึ่งกันและกัน และร่วมกันจัดทำกิจกรรมการเรียนการสอนทำ
ให้การทำงานมปี ระสทิ ธิภาพ

เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ การเรียนรู้แบบร่วมมือมีเทคนิคมากมายหลายรูปแบบ
ซง่ึ แตล่ ะรปู แบบจะมวี ธิ ีการดำเนินการทต่ี ่างกนั ตามวัตถปุ ระสงคเ์ ฉพาะ แต่ไมว่ า่ จะเป็นรปู แบบใดต่างก็ใช้
หลักการเดียวกนั คือหลักการเรียนรู้แบบรว่ มมือ 5 ประการ และมีวตั ถุประสงค์ที่เปน็ ไปในทิศทางเดียวกัน
คอื เพ่อื ให้ผูเ้ รยี นเกดิ การเรียนรูใ้ นเนื้อหาสาระท่ีศกึ ษามากทสี่ ุด โดยอาศัยการรว่ มมือกัน การช่วยเหลือกัน
และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนในกลุ่มและผู้เรียนในระหว่างกลุ่มด้วยกันความแตกต่างของ
รูปแบบแต่ละรูปแบบจะอยู่ที่เทคนิคในการศึกษาเนื้อหาสาระและวิธีการเสริมแรงและจะให้รางวัลเป็น
ประการสำคญั ทศิ นา แขมมณี (2550) ได้อธบิ ายเทคนิคการเรยี นแบบรว่ มมือดงั ตอ่ ไปนี้

1. เทคนิคการต่อเรื่องราว (Jigsaw) เป็นเทคนิคที่ใช้ในการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้มีการ
รว่ มมอื ระหวา่ งสมาชิกในกลุ่มและมกี ารถ่ายทอดความรู้กันระหว่างกลมุ่

2. เทคนิคการจัดทีมแข่งขัน (TGT : Team Games Tournament) เหมาะสำหรับการ
เรียนการสอนที่ต้องการให้กลุ่มผู้เรียนได้ศึกษาประเดน็ หรือปัญหาที่มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว
ซึง่ เป็นคำตอบท่ีชัดเจน เช่น คณิตศาสตร์ การใชภ้ าษา สังคมศึกษา เปน็ ตน้

34

3. เทคนคิ แบ่งปนั ความสำเร็จ (STAD : Student Teams Achievement Division) เป็น
การร่วมมือกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม โดยทุกคนจะต้องพัฒนาความรู้ของตนเองในเรื่องผู้สอนกำหนดซ่ึง
จะมีการช่วยเหลือทบทวนความรู้ให้แก่กัน มีการทดสอบเป็นรายบุคคลแทนการแข่งขัน และรวมคะแนน
เป็นกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนมากที่สุดจะเป็นฝ่ายชนะ เหมาะสำหรับใช้ในการเรียนการสอนในบทเรียนที่มี
เนื้อหาไมย่ ากเกินไป

4. เทคนิคกลุ่มสืบค้น (GI : Group Investigation) เป็นเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือท่ี
จัดผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเพื่อเตรียมทำงานหรือทำโครงงานที่ผู้มอบหมายมอบหมายให้ เทคนิคนี้เหมาะ
สำหรับฝึกผู้เรียนรู้จักสืบค้นความรู้หรือวางแผนสืบสวนเพื่อแก้ปัญหาหรือหาคำตอบในประเด็นที่สนใจ
ดังนั้นก่อนการดำเนินการดำเนินกิจกรรมทุกครั้งผู้สอนควรฝึกทักษะการสื่อสาร ทักษะการคิด ตลอดจน
ทกั ษะทางสงั คมใหแ้ กผ่ ู้เรียนก่อน

5. เทคนิคคู่คิด (Think Pair Share) เป็นเทคนิคที่ผู้สอนใช้คู่กับวิธีสอนแบบอื่นเรียกว่า
เทคนิคคู่คิด เป็นเทคนิคที่ผู้สอนตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาให้แก่ผู้เรียน ซึ่งอาจจะเป็นใบงานหรือ
แบบฝึกหัดก็ได้ และให้ผู้เรียนแต่ละคนคิดหาคำตอบของตนก่อน แล้วจับคู่กับเพื่อนอภิปรายคำตอบ เม่ือ
ม่นั ใจวา่ คำตอบของคนถูกต้องแลว้ จงึ นำคำตอบไปอธิบายใหเ้ พื่อนทั้งชั้นฟงั

6. เทคนิคเพื่อนคู่คิด 4 สหาย (Think Pair Square) เป็นเทคนิคที่ผู้สอนตอบคำถามหรือ
กำหนดปญั หาให้แกผ่ ู้เรียน ซงึ่ ผสู้ อนอาจทำเป็นใบงานหรือแบบฝึกหดั ก็ได้ ใหผ้ ู้เรยี นแต่ละคนตอบคำถาม
หรือตอบปัญหาดว้ ยตนเองก่อนแลว้ จับคู่กับเพ่อื น นำคำตอบไปผลดั กันอธิบายคำตอบดว้ ยความม่ันใจ

7. เทคนิคคู่ตรวจสอบ (Pairs Check) เป็นเทคนิคที่ผู้สอนตอบคำถามหรือกำหนดปัญหา
(โจทย์) ให้กับผู้เรียน โดยจัดทำเป็นใบงานหรือแบบฝกึ หัดที่มีคำตอบหรือโจทย์หลายข้อจำนวนข้อจะเปน็
เลขคู่ ผู้เรียนจะจับคู่กันเมื่อได้รับโจทย์หรือปัญหาจากผู้สอน คนหนึ่งจะทำหน้าที่ตอบคำถามหรือ
แก้ปัญหาโจทย์ครบ 2 ข้อ แล้วให้สมาชิกทั้งคู่ (ซึ่งจัดในกลุ่มเดียวกัน) เปรียบเทียบคำตอบซึ่งกันและกัน
เหมาะสมกับใบงานหรือแบบฝกึ หดั ทีไ่ ม่ยากและไม่ซับซ้อน

8. เทคนิคการสัมภาษณ์ 3 ขั้นตอน (Three-Step Interview) เป็นเทคนิคที่ฝึกให้ผู้เรียน
แต่ละคนไดม้ ีประสบการณ์ในการสมั ภาษณ์บุคคลและเก็บใจความสำคัญ หรอื อาจจะเป็นการสรุปความคิด
รวบยอดในเรอ่ื งท่เี รยี น

9. เทคนิคร่วมกันคิด (Numbered Heads Together) เหมาะสมกับการทบทวนความรู้
หรอื ตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ ผู้สอนใช้คำถามถามผ้เู รียนและให้ผเู้ รียนแต่ละกลุ่มชว่ ยกันคิดหาคำตอบ
แล้วผ้สู อนสุ่มเรยี กสมาชกิ คนหน่ึงของกลุม่ ใดกลมุ่ หนงึ่ ออกมาตอบคำถาม

35

10. เทคนิคเล่าเรื่องรอบวง (Round Robin) เป็นเทคนิคที่สมาชกิ ทุกคนในกลุ่มได้ผลดั กนั
เลา่ ประสบการณ์ ความรู้ทตี่ นเองได้ศึกษาตลอดจนสิ่งทต่ี นประทับใจให้แกเ่ พ่ือนๆในกลุ่มฟังทีละคน หรือ
อาจจะเป็นเรื่องสมาชิกในกลุ่มต้องการจะเสนอแนะแสดงความคิดเห็น แนะนำตนเอง พูดถึงส่วนดีของ
เพือ่ น ยกตวั อย่างการกระทำของบุคคลทีส่ อดคลอ้ งกับเรื่องทเี่ รียนไปแลว้ หรือทก่ี ำลงั จะเรยี น เปน็ ต้น โดย
สมาชิกทุกคนได้ใช้เวลาในการเล่าเท่า ๆ กัน หรือใกล้เคียงกัน ซึ่งจะเป็นการฝึกให้ผู้เรียนเปน็ คนมีความรู้
และเทคนิคการเลา่ เร่ืองเปน็ อยา่ งดี

ขั้นตอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson.
2003) ได้เสนอขั้นตอนของการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื ดังนี้

1. ข้ันเตรยี ม ประกอบดว้ ยครูเปน็ ทป่ี รึกษาให้คำแนะนำเกี่ยวกับบทบาทของนักเรียน การ
แบ่งกลุ่มการเรียน แจ้งวัตถุประสงค์ของการเรียนในแตล่ ะบทเรียน แต่ละคาบ และฝึกฝนทักษะพืน้ ฐานที่
จำเปน็ สำหรบั การทำกิจกรรมกลุ่ม

2. ขั้นสอน ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ประกอบด้วยการเข้าสู่บทเรียน แนะนำ
เนื้อหา แนะนำแหล่งข้อมูล และมอบหมายงานให้นักเรียนในแต่ละกลุ่มได้รับงานเป็นชุด เพื่อฝึกความ
รบั ผิดชอบในการคิดตัดสินใจแบง่ ปันงานให้สมาชิกในกลุ่ม

3. ขน้ั ทำกิจกรรมกลุ่ม นักเรยี นแตล่ ะคนมบี ทบาทหน้าที่ในการทำกิจกรรมกลุ่มตามที่ได้รับ
มอบหมาย และจะช่วยเหลือกันเพื่อให้งานนั้นสำเร็จ เป็นการเสริมแรงและสนับสนุนกัน ให้กำลังใจกัน
และพ่ึงพาอาศัยกนั

4. ข้ันตรวจสอบผลงานและทดสอบเป็นการตรวจสอบว่าผู้เรียนได้ปฏิบัติหน้าท่ีครบถ้วนหรือไม่
ผลการปฏิบตั เิ ปน็ อย่างไร เน้นการตรวจสอบผลงานกลุ่มและรายบุคคล และตอ่ จากนัน้ เปน็ การทดสอบ

5. ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการทำงานกลุ่ม ครู และนักเรียนช่วยกันสรุปบทเรียน
ถา้ มีส่ิงท่ผี เู้ รียนยงั ไมเ่ ขา้ ใจครคู วรอธิบายเพิ่มเตมิ และชว่ ยกนั ประเมนิ ผลการทำงานกลมุ่ หาจุดเด่นและส่ิงที่
ควรปรบั ปรงุ แกไ้ ข

การประยุกต์ใช้หลักการเรียนรู้แบบรว่ มมือในการสอน ทิศนา เขมมณี (2553) ได้กล่าวถึง
การนำหลกั การเรียนรู้แบบรว่ มมือไปใช้ว่า ครูสามารถนำไปจัดการเรียนการสอนของตนได้โดยพยายามจัด
กลุ่มการเรียนรู้ให้มีองค์ประกอบครบ 5 ประการดังกล่าวข้างต้น และใช้เทคนิควิธีการต่างๆ เพื่อช่วยให้
องค์ประกอบทั้ง 5 สัมฤทธิ์ผล โดยทั่วไปการวางแผนบทเรียนและการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้
เรียนร้แู บบร่วมมอื มีประเดน็ ทีส่ ำคัญดงั น้ี

1. ด้านการวางแผนการจดั การเรยี นรู้ ประกอบด้วย
1) กำหนดจุดมุง่ หมายของบทเรยี นทั้งทางด้านความร้แู ละทักษะกระบวนการต่าง ๆ

36

2) กำหนดขนาดของกลุ่ม กลุ่มควรมีขนาดเล็กประมาณ 3-6 คน กลุ่ม
ขนาด 4 คน จะเป็นขนาดที่มีความเหมาะสมทีส่ ุด

3) กำหนดองค์ประกอบของกลุ่ม หมายถึง การจัดผู้เรียนเข้ากลุ่มซึ่งอาจทำโดย
การสมุ่ หรอื การเลือกให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ โดยทั่วไปกล่มุ จะต้องประกอบไปด้วยสมาชิกท่ีคละกัน
ในดา้ นตา่ ง ๆ เช่น เพศ ความสามารถ ความถนัด เปน็ ต้น

4) กำหนดบทบาทของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กัน
อย่างใกล้ชิดและมีส่วนในการทำงานอย่างทั่วถึง ครูควรมอบหมายบทบาทหน้าที่ในการทำงานให้ทุกคน และ
บทบาทหน้าที่นั้น ๆ จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของงานอันเป็นส่วนหนึ่งของจุดมุ่งหมายของกลุ่ม และสมาชิกกลุ่ม
ต้องอยู่ในลักษณะท่ตี ้องพ่ึงพาอาศัยกันและเกื้อกูลกัน บทบาทหน้าที่ในการทำงานเพ่ือการเรียนรู้มีจำนวนมาก
เชน่ บทบาทผู้นำกลุ่ม ผู้สังเกตการณ์ เลขานุการ ผู้เสนอผลงาน ผู้ตรวจสอบผลงาน เป็นต้น

5) สถานที่ให้เหมาะสมในการทำงานและการมีปฏิสัมพันธ์กัน ครูจำเป็นต้องคดิ
ออกแบบการจดั หอ้ งเรยี นหรอื สถานท่ีทจ่ี ะใชใ้ นการเรียนรู้ใหเ้ อ้ือและสะดวกต่อการทำงานของกลุม่

6) จัดเนื้อหาสาระ วัสดุอุปกรณ์ หรืองานที่จะให้ผู้เรียนทำ พร้อมทั้งมีการ
วเิ คราะหเ์ นื้อหาสาระ วัสดุอปุ กรณ์ และงานท่ีจะให้ผ้เู รียนได้เกิดการเรยี นรู้ แล้วจดั แบ่งเน้ือหาสาระ วัสดุ
อปุ กรณ์ และงานในลกั ษณะที่ให้ผเู้ รยี นแต่ละคนมสี ่วนในการช่วยกลมุ่ และพึ่งพากันในการเรียนรู้

2. ด้านการสอนครูควรมกี ารเตรยี มกลุ่มเพอื่ การเรียนรู้ร่วมกัน ดงั นี้
1) อธิบายชแ้ี จงเกี่ยวกบั งานของกลมุ่ ครคู วรอธิบายถงึ จุดมุ่งหมายของบทเรียน

เหตผุ ลในการดำเนินการต่าง ๆ รายละเอยี ดของงานและข้ันตอนการทำงาน
2) อธิบายเกณฑ์การประเมินผลงาน ผู้เรียนจะต้องมีความเข้าใจตรงกันว่า

ความสำเร็จของงานอยู่ตรงไหน งานที่คาดหวังจะมีลักษณะอย่างไร และเกณฑ์ที่จะใช้ได้ในการ วัด
ความสำเร็จของงานคอื อะไร

3) อธิบายถึงความสำคัญและวิธีการของการพึ่งพาและเกื้อกูลกัน ครูควร
อธิบายกฎเกณฑ์ ระเบียบ กติกา บทบาทหน้าที่ และระบบการให้รางวัลหรือประโยชน์ที่กลุ่มจะได้รับใน
การร่วมมือกนั เรยี นรู้

4) อธบิ ายวิธีการช่วยเหลือกันระหว่างสมาชกิ ในกลมุ่
5) อธบิ ายถงึ ความสำคญั และวธิ ีการในการตรวจสอบความรับผิดชอบต่อหน้าท่ี
ทแี่ ต่ละคนไดร้ ับมอบหมาย เชน่ การส่มุ เรียกช่อื ผู้สอนผลงาน การทดสอบ การตรวจสอบผลงาน เปน็ ต้น

37

6) ชีแ้ จงพฤตกิ รรมทค่ี าดหวัง หากครูชี้แจงให้ผู้เรยี นไดร้ ูอ้ ย่างชดั เจนวา่ ต้องการ
ให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมอะไรบ้าง ย่อมทำให้ผู้เรียนรู้ความคาดหวังที่มีต่อตนและพยายามที่จะแสดง
พฤติกรรมน้ัน

3. ดา้ นการควบคมุ กำกับและช่วยเหลือกลุ่ม ไดแ้ ก่
1) ดแู ลใหส้ มาชกิ กลมุ่ มกี ารปรึกษาหารือกนั อยา่ งใกล้ชิด
2) สังเกตการณ์การทำงานร่วมกันของกลุ่ม ตรวจสอบว่า สมาชิกกลุ่มมี ความ

เข้าใจในงาน หรือบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายหรือไม่ สังเกตพฤติกรรมต่าง ๆ ของสมาชิกให้ข้อมูล
ปอ้ นกลับ ใหแ้ รงเสริม และบันทึกข้อมูลมีจะเปน็ ประโยชนต์ ่อการเรยี นรูข้ องกลุ่ม

ธรรมชาตขิ องการเรยี นรู้ มี 4 ข้นั ตอน คอื
1. ความต้องการของผู้เรียน (Want) คือ ผูเ้ รยี นอยากทราบอะไร เมอื่ ผู้เรยี นมีความต้องการอยาก
รู้อยากเห็นในสิ่งใดก็ตาม จะเป็นสง่ิ ท่ียัว่ ยุใหผ้ ูเ้ รียนเกิดการเรยี นร้ไู ด้
2. สิ่งเร้าที่น่าสนใจ (Stimulus) ก่อนที่จะเรียนรู้ได้ จะต้องมีสิ่งเร้าที่น่าสนใจ และน่าสัมผัส
สำหรบั มนษุ ย์ ทำใหม้ นษุ ยด์ นิ้ รนขวนขวาย และใฝใ่ จท่ีจะเรยี นรู้ในสงิ่ ท่ีน่าสนใจนัน้ ๆ
3. การตอบสนอง (Response) เมอ่ื มสี ิง่ เรา้ ท่ีนา่ สนใจและน่าสัมผัส มนุษย์จะทำการสัมผัสโดยใช้
ประสาทสัมผัสต่าง ๆ เช่น ตาดู หูฟัง ลิ้นชิม จมูกดม ผิวหนังสัมผัส และสัมผัสด้วยใจ เป็นต้น ทำให้มีการ
แปลความหมายจากการสัมผัสสิ่งเร้า เป็นการรับรู้ จำได้ ประสานความรู้เข้าด้วยกัน มีการเปรียบเ ทียบ
และคิดอย่างมเี หตผุ ล
4. การได้รับรางวัล (Reward) ภายหลังจากการตอบสนอง มนุษย์อาจเกิดความพึงพอใจ ซึ่งเป็น
กำไรชีวติ อยา่ งหนึ่ง จะไดน้ ำไปพฒั นาคุณภาพชวี ิต เช่น การได้เรียนรู้ ในวชิ าชีพชนั้ สงู จนสามารถออกไป
ประกอบอาชีพชั้นสูง (Professional) ได้ นอกจากจะได้รับรางวัลทางเศรษฐกิจเป็นเงินตราแล้ว ยังจะ
ไดร้ บั เกยี รติยศจากสงั คมเปน็ ศกั ดศ์ิ รี และความภาคภมู ิใจทางสงั คมไดป้ ระการหน่ึงดว้ ย
ลำดับขั้นของการเรียนรู้
ในกระบวนการเรียนรู้ของคนเรานั้น จะประกอบด้วยลำดับขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญ 3 ขั้นตอน
ด้วยกนั คอื
1. ประสบการณ์ (experiences) ในบุคคลปกติทุกคนจะมีประสาทรับรู้อยู่ด้วยกันทั้งนั้น ส่วน
ใหญ่ทเ่ี ป็นทเี่ ข้าใจกค็ ือ ประสาทสัมผสั ท้ังห้า ซึ่งไดแ้ ก่ ตา หู จมูก ล้นิ และผวิ หนงั ประสาทรับรู้เหล่านี้จะ
เป็นเสมอื นชอ่ งประตทู จี่ ะใหบ้ คุ คลไดร้ ับรู้และตอบสนองต่อส่งิ เรา้ ต่าง ๆ
2. ความเข้าใจ (understanding) ก็คือ ตีความหมายหรือสร้างมโนมติ ( concept) ใน
ประสบการณน์ ัน้ กระบวนการนเ้ี กดิ ข้ึนในสมองหรอื จิตของบุคคล

38

3. ความนกึ คิด (thinking) ความนกึ คดิ ถือว่าเป็นขน้ั สุดท้ายของการเรียนรู้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่
เกิดขึ้น

สรุป
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of Cooperative or Collaborative Learning) โดย
ผ้เู รยี นจะต้องเรยี นรู้จากกลุ่มใหม้ ากท่ีสดุ มีความร่วมมือทัง้ ด้านความคดิ การทำงาน และความ รับผิดชอบ
ร่วมกันจนสามารถบรรลุเป้าหมายได้ การที่จะช่วยให้การดำเนินงานของกลุ่มเป็นไปได้อย่าง มี
ประสทิ ธภิ าพและบรรลุเป้าหมายนั้น กลุ่มจะต้องมีหัวหน้าที่ดี สมาชิกดี และกระบวนการทำงานดี น่ันคือ
มกี ารเขา้ ใจในเปา้ หมายการทำงานร่วมกัน ผู้เรียนมีการพงึ่ พาอาศัยกันในการเรยี นรู้ มีการปรกึ ษาหารือกัน
อย่างใกล้ชดิ มีการสมั พันธ์กัน มกี ารทำงานรว่ มกันเป็นกลุ่ม มีการวเิ คราะห์กระบวนการของกลุ่ม และ
มีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบงานร่วมกัน ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ควรมีการประเมินทั้งทางด้าน
ปริมาณและคุณภาพ โดยวิธกี ารที่ หลากหลายและควรใหผ้ ู้เรียนมสี ว่ นรว่ มในการประเมิน และครูควรจดั
ให้ผู้เรียนมีเวลาในการวิเคราะห์การทำงานกลุ่มและพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่ม เพื่อให้กลุ่มมีโอกาสที่จะ
ปรับปรงุ สว่ นบกพรอ่ งของกลมุ่ เดียว
การจดั การเรยี นรูแ้ บบรว่ มมือโดยใช้เทคนคิ TGT
TGT เกดิ เพราะครเู ผชิญกบั ปัญหาการขาดแรงจงู ใจในนักเรียนและมีผลงานวิจยั ท่ีน่าตน่ื เต้นของ
นักจติ วทิ ยาสาขาตา่ ง ๆ ในเรื่องนีป้ รากฎออกมาในปลายทศวรรษที่ 1960 ซงึ่ วา่ ด้วยปัญหาตอ่ ไปน้ี

1. คา่ นยิ มในนักเรยี นไม่ไดร้ บั การกระตนุ้ ให้ใฝร่ เู้ ชงิ วิชาการ
2. ระดบั ความสามารถท่แี ตกต่างกันหลากหลายในช้นั เรยี น
3. ผลการจัดการเรียนรแู้ บบแข่งขันที่ปรากฎในหนังสือของ TGT มีผลดีปรากฏชัดใน
ผลการวจิ ยั ท่ปี รากฎใน 3 โรงเรียน
ลกั ษณะของ TGT
รปู แบบการจดั การเรียนรู้ แบบรว่ มมือโดยใชเ้ ทคนิค TGT มีองค์ประกอบ 3 ประการ
(เกษม วจิ ิโน. 2535: 15-17; อ้างอิงจาก Allenand; et al. 1970: 319-326) คือ
ทีม (Teams) แบ่งนกั เรียนออกเป็นทีม แต่ละทีมจะมนี ักเรยี นหลากหลายท้ังเรือ่ งของระดับ
ผลสัมฤทธิ์ เพศ โดยแตล่ ะทมี จะมผี ู้มผี ลสมั ฤทธสิ์ ูง 1 คน ปานกลาง 2 คน และตำ่ 1 คน อย่างไรกด็ ีแต่ละ
ทมี ตอ้ งประมาณว่ามีความสามารถทางการเรียนพอ ๆ กนั ตลอดชว่ งของการใช้TGT สมาชิกจะสังกัดกลมุ่
อยา่ งถาวร แตล่ ะกลุ่มจะได้รับการฝึกฝนทเ่ี หมือนกนั หรือสอนกัน และในกลุ่มจะชว่ ยเหลือซึง่ กันและกนั ใน
การทบทวนสิ่งที่ครสู อน

39

เกม (Games) เกมที่ใช้เป็นการฝึกทักษะ ซึ่งเน้นที่เนื้อหาหลักสูตรนักเรียนจะได้ตอบปัญหาเกม
บนบัตรหรอื เอกสารท่ีมแี ต่ละทักษะ ซง่ึ เนน้ เฉพาะกฎเกณฑพ์ ้นื ฐานสำคญั คอื การแขง่ ขนั กัน

การแข่งขันกัน (Toumament) การฝึกในกลุ่มจะมีการแข่งขัน การแขง่ ขันจะมสี ัปดาห์ละ 1 คร้ัง
หรือ 2 ครั้งโดยให้งานชนิดที่แต่ละทีมต้องแข่งขันกัน แต่ละทีมจะได้รับการประเมินคร่าว ๆ ในระดับ
ผลสัมฤทธิ์ทีมไหนจะได้คะแนนสูงสุด แต่ละคาบเรียนในปลายคาบเรียนนักเรียนหรือผู้เล่นทุกคนจะได้
เปรียบเทียบคะแนนของแต่ละกลุ่มว่ากลุ่มใดได้คะแนนที่ดีที่สุด ปานกลาง หรือ ต่ำ กลุ่มได้คะแนนสูงสุด
ได้ 6 คะแนน ปานกลาง 4 คะแนน และต่ำได้ 2 คะแนน คะแนนนี้จะบวกแยกคะแนนสมาชิกแต่ละคน
และมีการบวกรวมกับครั้งก่อน ๆ แล้วจะมีการปรับวิธีการและเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้กัน ผลคะแนน
จะประกาศในลักษณะจดหมายข่าว สัปดาหล์ ะคร้งั

ขน้ั ตอนการจดั การเรยี นรแู้ บบรว่ มมือโดยใชเ้ ทคนิค TGT
1. การนำเสนอบทเรยี นต่อนักเรียนทั้งชน้ั

1) ครูทบทวนความรเู้ ดมิ ของนกั เรียนโดยการอภิปรายซักถาม
2) ครแู จง้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้
3) นำเขา้ สู่บทเรียน เพื่อใหน้ ักเรียนมีความพร้อมและเร้าความสนใจทจี่ ะเรียน โดยการ
เลือกใช้กจิ กรรมต่าง ๆ เชน่ การอภปิ รายซักถาม ใช้ภาพเป็นส่อื ประกอบ เปน็ ตน้
2. การเรียนกลุม่ ย่อย
1) แบ่งนักเรียนออกเปน็ กลุ่ม กลุม่ ละ 4 คน โดยคละเพศและความสามารถ ซง่ึ ในกลุม่
จะประกอบไปดว้ ยนกั เรียนท่ีมคี วามสามารถ เก่ง ปานกลาง อ่อน ในอตั ราสว่ น 1:2:1 โดยใช้ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นในภาคเรยี นทผ่ี า่ นมานำมาจัดกลมุ่ นกั เรยี น
2) ใหน้ ักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมารับใบความรู้และใบงาน
3) นักเรียนภายในกลุ่มชว่ ยกนั ศึกษาใบความรู้ และรว่ มกันทำใบงานโดยสมาชิกภายใน
กลมุ่ จะแบ่งหน้าท่ี และปฏิบตั ิตามหน้าทีเ่ วยี นไป ดังน้ี

สมาชกิ คนที่ 1 มีหน้าทอ่ี ่านคำถามและแยกประเด็นที่โจทยก์ ำหนดหรือส่ิงท่ี
เป็นประเด็นสำคัญของคำถาม

สมาชิกคนที่ 2 วเิ คราะหห์ าแนวทางตอบคำถามอธิบายไห้ได้มาซึ่งแนวคำตอบ
อธบิ ายใหไ้ ด้มาซ่ึงคำตอบท่โี จทยถ์ าม

สมาชิกคนที่ 3 รวบรวมข้อมลู และเขียนคำตอบ
สมาชิกคนที่ 4 สรปุ ขัน้ ตอนท้ังหมด ตรวจคำตอบ

40

4) ครูสงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนแต่ละกลุ่ม และกระตุ้นใหน้ ักเรยี นทุก
คนรว่ มมือกันทำแบบฝกึ หดั ชว่ ยเหลอื ซ่ึงกันและกนั ช่วยอธิบายจนเข้าใจ ผลสำเรจ็ ของกลุ่มนนั้ จะขึน้ อยู่
กับสมาชิแต่ละคนภายในกลุ่มดังน้นั ทกุ คนตอ้ งร่วมมือกนั

5) เมือ่ นักเรยี นทำใบงานเสรจ็ แลว้ มารับใบเฉลยไปตรวจใบงานทีไ่ ดท้ ำไปแลว้
6) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรปุ
3. การแขง่ ขนั เกมทางวชิ าการ
1) ให้นกั เรียนแตล่ ะกลุ่ม ซงึ่ มีความสามารถแตกต่างกนั แยกยา้ ยกนั ไปแข่งขันตามโต๊ะท่ี
จดั ไว้ตามความสามารถ กลุ่มแขง่ ขันจะมีแผนผัง ดงั น้ี

โต๊ะหมายเลข 1 เป็นโตะ๊ แข่งขันสำหรับสมาชิกที่มีความสามารถในระดับเก่ง
โต๊ะหมายเลข 2 เป็นโต๊ะแขง่ ขันสำหรบั สมาชิกทม่ี ีความสามารถในระดับปานกลาง
โตะ๊ หมายเลข 3 เปน็ โต๊ะแขง่ ขันสำหรบั สมาชิกที่มีความสามารถในระดับปานกลาง
โตะ๊ หมายเลข 4 เป็นโตะ๊ แขง่ ขันสำหรับสมาชิกทม่ี ีความสามารถในระดับอ่อน
2) ดำเนินการแข่งขนั ตามขั้นตอน
- ครูแจกซองคำถามให้ทุกโต๊ะ
- ครูชแ้ี จงให้นักเรยี นทราบวา่ ทกุ คนจะผลัดกนั เป็นอ่านคำถามและผู้อ่านคำถาม
หนา้ ทอี่ า่ นคำเฉลย และให้คะแนนผ้ทู ่ีตอบถกู ตามลำดบั
3) เริ่มการแขง่ ขนั
- นักเรยี นคนท่ี 1 หยิบซองคำถาม 1 ซอง เปิดอ่านคำถามแลว้ วางกลางโตะ๊
- นักเรียนอีก 3 คนแข่งขนั กันตอบคำถาม โดยเขียนคำตอบลงในกระดาษของ
ตนส่งใหค้ นที่ 1 อ่าน
- คนทอ่ี า่ นคำถาม ทำหนา้ ที่ให้คะแนนตามลำดบั คนท่สี ง่ ก่อนหลงั

ผทู้ ตี่ อบถูกคนแรกได้ 2 คะแนน
ผู้ทตี่ อบถูกคนต่อมาได้ 1 คะแนน
ผทู้ ตี่ อบผิดไม่ได้คะแนน
- สมาชิกในกลมุ่ แข่งขันจะผลดั กนั ทำหน้าท่ีอ่านคำถามจนคำถามหมด โดยให้
ทุกคนไดต้ อบคำถามจำนวนเทา่ กนั
- ใหท้ กุ คนรวมคะแนนของตนเอง โดยมีสมาชิกทุกคนในกลุ่มรับรองกันว่า
ถูกต้อง การคิดคะแนนจะได้คะแนนเพิม่ เช่น
ผทู้ ไ่ี ดค้ ะแนนสงู สดุ ในแตล่ ะโต๊ะจะได้คะแนนเพ่มิ 10 คะแนน

41

ผทู้ ไี่ ด้คะแนนรองอนั ดบั 1 จะได้คะแนนเพมิ่ 8 คะแนน
ผู้ทไ่ี ดค้ ะแนนรองอนั ดับ 2 จะไดค้ ะแนนเพมิ่ 6 คะแนน
ผู้ทีไ่ ดค้ ะแนนรองอนั ดบั 3 จะไดค้ ะแนนเพมิ่ 4 คะแนน
4) การยกย่องทีมท่ีประสบผลสำเร็จ
นกั เรียนท่ไี ปทำการแขง่ ขันกลับเข้ากลมุ่ เดิม นำคะแนนการแข่งขนั ของแตล่ ะคนมา
รวบรวมเป็นคะแนนของกลุ่ม ครูแจ้งผลการแข่งขันพร้อมกับใหร้ างวัลและกลา่ วชมเชยกลมุ่ ท่ีได้คะแนนสงู สุด

3. ชดุ กจิ กรรมวิทยาศาสตร์
ความหมายของชดุ กิจกรรมการเรียนรู้
ชุดกิจกรรมเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่รวบรวมสื่อ กระบวนการและกิจกรรมการ

เรยี นรตู้ ่าง ๆ เพื่อเป็นส่ือกลางระหวา่ งผู้สอนกับผเู้ รียน ใหเ้ กดิ การเรยี นรู้แก่ผู้เรียนตามจุดประสงค์อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ จุดเด่นของชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ คือ สนองวตั ถุประสงคข์ องหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
ที่เน้นการฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และประยุกต์ความรู้มาใช้ป้องกัน
และแก้ไขปญั หา ทำใหส้ ามารถแก้ปัญหาทางการศกึ ษาเก่ียวกับการเรียนการสอนได้ เปน็ การจัดกิจกรรม
ให้ผเู้ รยี นได้เรยี นรจู้ ากประสบการณ์จรงิ ฝึกการปฏิบัตใิ หท้ ำได้ คดิ เปน็ ทำเปน็ ใฝร่ ู้ ใฝเ่ รียนอยา่ งต่อเน่ือง
ผสมผสานสาระการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนและสมดุลกัน ปลูกฝังคุณธรรมค่านิยมที่ดีงามและ
คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นคำใหม่ยังไม่มีนักการศึกษาท่านใดให้ความหมายไว้
แต่มีผู้ให้ความหมายของคำบางคำที่มีลักษณะและความหมายใกล้เคียงกัน คือ ชุดการสอนหรือชุดการ
เรยี นการสอน ชดุ การสอนเป็นคำในภาษาอังกฤษที่เรียกช่ือต่างกนั เช่น Learning Package Instruction
Package หรือ Instruction Kits ซึ่งมีนักการศึกษาหลายท่าน ได้ให้ความหมายของชุดการสอนหรือชุด
กิจกรรมไวด้ ังน้ี

ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2557 : 113 –114) ได้ให้ความหมายของ ชุดการสอนไว้ว่า เป็นสื่อผสม
ประเภทหนึง่ ซ่งึ มีจุดมุ่งหมายเฉพาะเรื่องที่จะสอน มคี วามสอดคล้องกบั เน้ือหาวิชาหน่วยการเรียนหรือหัว
เรอื่ ง และวัตถุประสงค์ เพ่อื ช่วยใหม้ กี ารเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมการเรียนรูเ้ ป็นไปอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ

ภพ เลาหไพบูลย์ (2557 : 225) ชดุ การสอน หมายถงึ การรวบรวมส่ือการสอนอย่างสมบรู ณ์ตาม
แบบแผนที่วางไว้ เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของการสอน ชุดการสอนเป็นระบบสือ่ ประสมสำเร็จรปู เพื่อให้
ครูใชใ้ นการสอน มอี ุปกรณท์ ใี่ ชใ้ นการเรียน คมู่ ือครู เนื้อหา รายการสือ่ การสอน และเอกสารอา้ งองิ

42

วรกิต วัดข้าวหลาม (2559 : 15) ชุดการสอน หมายถึง ชุดสอื่ ประสมที่ผลิตข้นึ มาอย่างมีระบบมี
ความสมบูรณ์เบ็ดเสร็จในตัวเองโดยมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับเนื้อหาวิชา ประสบการณ์ที่สามารถ
นำไปใช้ในการเรียนการสอน เพื่อใหเ้ กดิ การเรียนรู้ได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า ชุดการสอนหรือชุดกิจกรรม คือ การนำเอาสื่อ
ประสมที่มีการวางแผนการผลิตอย่างเป็นระบบ และมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับเนื้อหาวิชามาใช้ในการ
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละหน่วย เพื่อถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์แก่นักเรียน ช่วยให้นักเรียน
เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ผู้รายงานจะเรียกว่า
“ชุดกิจกรรมการเรยี นรู”้

แนวคิด ทฤษฎีและหลักการทเ่ี ก่ยี วข้องกบั การสรา้ งชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้
การปฏิรูปการศึกษา การประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และการ
ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544 ทำให้แนวคิดในการจัดการเรียนการสอนกว้างขึ้น
คำวา่ “ชุดการสอน” จึงเปลยี่ นมาเปน็ “ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้” ซ่ึงเนน้ กิจกรรมและกระบวนการเรียนรู้ท่ี
ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ด้วยตนเอง แนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ในการสร้างชุดกิจกรรมการ
เรียนรู้จึงเหมือนกันกับแนวคิดทฤษฎีและหลักการที่ใช้ในการสร้างชุดการสอน ซึ่ง ชม ภูมิภาค (ม.ป.ป.,
หนา้ 100) ได้จำแนกแนวคิดและหลกั การของ ดร.ชยั ยงค์ พรมวงศ์ ไวด้ ังนี้
1. ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล นักการศึกษาได้นำหลักจิตวิทยามาใช้ในการเรียนการ
สอนโดยคำนึงถึงความตอ้ งการ ความถนัด และความสนใจของผูเ้ รียนเป็นสำคัญบคุ คลมีความแตกต่างกัน
หลายด้าน กล่าวคือ ความสามารถ สติปัญญา ความต้องการ ความสนใจ ร่างกาย อารมณ์ สังคม และ
ความแตกต่างอื่น ๆ วิธีการที่เหมาะสมที่สุด คือ การจัดการสอนรายบุคคลหรือการศึกษาตามสภาพ
การศึกษาแบบเสรี และการศึกษาด้วยตนเองmล้วนเป็นวิธีสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีอิสระในการเรียน
ตามสติปัญญาความสามารถและความสนใจโดยครูเปน็ ผู้คอยชว่ ยเหลือตามความเหมาะสม
2. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ยึดหลักจิตวทิ ยาการเรียนรู้หมายถึงการเรยี นการสอนทเ่ี ปิดโอกาสใหน้ ักเรยี น
ดงั นี้

2.1 เขา้ ร่วมกจิ กรรมในการเรียนด้วยตนเอง
2.2 การทราบผลการเรยี นทันที
2.3 มกี ารเสรมิ แรงอนั จะทำใหน้ ักเรียนกระทำพฤติกรรมน้ันซำ้ หรือหลกี เลยี่ งไม่ กระทำ
2.4 ไดเ้ รียนรไู้ ปทลี ะขน้ั ตอนตามความสามารถและความสนใจ

43

2.5 การนำเอาสื่อประสมมาใช้ หมายถึง การนำสื่อการสอนหลาย ๆ อย่างมาสัมพันธ์
กนั อย่างมีคุณคา่ ที่ส่งเสริมซ่ึงกันและกันอย่างมีระบบ สอ่ื การสอนอยา่ งงหนึ่งอาจใชเ้ ร้าความสนใจในขณะ
อีกอย่างหนึ่งใช้เพื่อการอธิบายข้อเท็จจริงของเนื้อหา และอีกชนิดหนึ่งอาจใช้เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจท่ี
ลึกซึ้ง การใช้สื่อประสมช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์จากประสาทสัมผัสที่ผสมผสาน กับให้นักเรียนได้
คน้ พบวิธกี ารทจ่ี ะเรียนในสงิ่ ทต่ี ้องการไดด้ ้วยตนเองมากยิง่ ข้นึ

2.6 การเอากระบวนการกลุ่มมาใช้ เดิมนั้นความสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียนใน
ห้องเรียนมีลักษณะเป็นทางเดียว กล่าวคือ ครูเป็นผู้นำ นักเรียนเป็นผู้ตามนักเรียนไม่มีโอกาสฝึกการ
ทำงานเป็นกลุ่มที่จะฝึกการเคารพในความคิดเห็นของผู้อื่นเมื่อโตขึ้นจึงทำงานร่วมกันไม่ได้แนวโน้มใน
ปัจจุบันและอนาคตจะต้องนำกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์มาใช้ ทฤษฎีกระบวนการกลุ่มจึงเป็นแนวคิดทาง
พฤตกิ รรมศาสตรซ์ ่ึงนำมาไว้ในรูปของชดุ การสอน

2.7 การนำวิธีวิเคราะห์ระบบมาใช้ในการผลิตชุดการเรียนซึ่งแตกต่างไปจากการทำ
โครงการสอนในปัจจุบันตรงที่ว่า ชุดการสอนมีการจัดเนื้อหาวิชาให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและวัย
ของผเู้ รียนรายละเอยี ดต่าง ๆ ได้นำไปทดลองปรบั ปรงุ จนมีคุณภาพเชอ่ื ถือไดแ้ ลว้ จงึ นำมาใช้

ประเภทของชดุ กิจกรรม
บุญเก้ือ ควรหาเวช (2553 : 145) ไดแ้ บง่ ประเภทของชดุ กิจกรรมเปน็ 3 ประเภท ดงั นี้
1. ชุดกิจกรรมประกอบคำบรรยาย เป็นชุดกิจกรรมสำหรับผู้สอนที่ต้องการปูพื้นฐานให้ผู้เรียน
สว่ นใหญไ่ ดร้ ้แู ละเขา้ ใจในเวลาเดยี วกนั มุ่งในการขยายเนื้อหาสาระใหช้ ัดเจนขึ้นชุดกิจกรรมแบบน้ีจะช่วย
ให้ผู้สอนลดการพูดให้น้อยลง และเป็นการใช้สื่อการสอนที่มีพร้อมอยู่ในชุดกิจกรรม ในการเสนอเนื้อหา
มากขึ้น สื่อทใ่ี ชอ้ าจไดแ้ ก่ รปู ภาพ แผนภมู ิ หรือกจิ กรรมที่กำหนดไว้ เปน็ ตน้
2. ชุดกิจกรรมแบบกลุ่มกจิ กรรม เป็นชดุ กิจกรรมสำหรบั ใหผ้ เู้ รยี นรว่ มกนั เป็นกล่มุ เลก็ ๆ ประมาณ
5-7 คน โดยใช้สื่อการสอนที่บรรจุไว้ในชุดกิจกรรมแต่ละชุด มุ่งที่จะฝึกทักษะในเนื้อหาวิชาที่เรียนและ
ผู้เรียนมีโอกาสทำงานร่วมกนั ชุดกิจกรรมชนิดน้ีมักจะใช้สอนในการสอนแบบกิจกรรมกลุม่ เช่น การสอน
แบบศนู ยก์ ารเรียน เปน็ ต้น
3. ชุดกิจกรรมแบบรายบุคคลหรือชุดกิจกรรมตามเอกัตภาพ เป็นชุดกิจกรรมสำหรับเรียนด้วย
ตนเองเป็นรายบุคคล คือ ผู้เรียนจะต้องศึกษาหาความรูต้ ามความสามารถและความสนใจของตนเองอาจ
เรียนที่โรงเรียนหรือที่บ้านก็ได้ส่วนมากมักจะมุ่งให้ผู้เรียนได้ทำความเข้าใจเนื้อหาวิชาที่เรียนเพิ่มเติม
ผู้เรียนสามารถจะประเมินผลการเรียนด้วยตนเองได้ด้วยชุดกิจกรรมชุดกิจกรรมชนิดนี้อาจจะจัดใน
ลักษณะของหน่วยการสอนส่วนยอ่ ยหรอื โมดูลก็ได้


Click to View FlipBook Version