The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัย TGTร่วมกับชุดกิจกรรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by rodjan_210540, 2022-03-09 12:13:19

วิจัย TGTร่วมกับชุดกิจกรรม

วิจัย TGTร่วมกับชุดกิจกรรม

94

4. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ด้านความรู้ (K)
1. นักเรยี นระบอุ งคป์ ระกอบท่มี ีชีวิตและองคป์ ระกอบทีไ่ มม่ ชี วี ิตในระบบนเิ วศได้
ด้านทักษะ (P)
1. นกั เรียนใชท้ ักษะการวดั โดยเลอื กและใชเ้ ครื่องมือเพือ่ วัดปริมาณขององค์ประกอบที่ไมม่ ชี วี ิต

ในระบบนเิ วศได้
ด้านเจตคติ (A)
1. นกั เรยี นตระหนักถงึ ความสำคัญของการใช้อุปกรณก์ ารทำกจิ กรรมได้

5. คุณลกั ษณะผู้เรยี น ซอื่ สตั ย์สจุ ริต  มุ่งมัน่ ในการทำงาน
5.1 คุณลกั ษณะที่พงึ ประสงค์  ใฝเ่ รยี นรู้  มจี ิตสาธารณะ
รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ อยอู่ ยา่ งพอเพียง
มีวินัย รกั ความเปน็ ไทย

6. ดา้ นสมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น
 ความสามารถในการคดิ : นกั เรียนสามารถคดิ โดยการนำข้อมูลทีไ่ ดจ้ ากการสังเกตมา

วิเคราะหแ์ ละเช่ือมโยงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งองค์ประกอบของระบบนิเวศ
 ความสามารถในการส่ือสาร: นกั เรียนสามารถสอ่ื สาร โดยการนำเสนอผลการศกึ ษาเพ่ือ

อธบิ ายปฏิสัมพันธข์ ององค์ประกอบของระบบนเิ วศ

7. สาระการเรยี นรู้
องค์ประกอบในสภาพแวดล้อมแต่ละบริเวณ เช่น สนามหญ้า สระน้ำ จะพบชนิดและปริมาณ

ของสิ่งมชี ีวิตและสงิ่ ไม่มีชวี ิตแตกตา่ งกนั ไป สง่ิ มชี วี ิตที่พบ เชน่ สตั ว์ พืช จุลนิ ทรยี ์ จดั เป็นองคป์ ระกอบท่ีมี
ชวี ติ (biotic component) และส่งิ ไมม่ ชี วี ติ เชน่ แสง อากาศ น้ำ ดิน ธาตอุ าหาร จัดเปน็ องค์ประกอบ
ทไี่ มม่ ีชวี ติ (abiotic component) โดยทอ่ี งค์ประกอบจะมปี ฏิสัมพันธ์กนั เชน่ ส่ิงมชี ีวติ ต้องการน้ำเพ่ือ
ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของร่างกาย สิ่งมีชีวิตใช้แก๊สออกซิเจนในการหายใจ พืชและสาหร่ายใช้แก็ส
คาร์บอนไดออกไซด์และแสงในการสังเคราะห์ด้วยแสงเพื่อสร้างอาหาร และปล่อยแก๊สออกซิเจนออกสู่อ
กาศ พืชและสิ่งมีชีวิตบางชนิดใช้ดินเป็นที่อยู่และแหล่งแร่ธาตุอาหาร ถ้าองค์ประกอบที่ไม่มีชีวิตมีการ

95

เปล่ียนแปลงไปองค์ประกอบทม่ี ีชีวิตอาจต้องมีการปรับตัวเพ่ือใหส้ ามารถดำรงชีวิตและอยู่รอดต่อไปได้ใน
สภาพแวดลอ้ มนนั้ ๆ

ในบริวณหนึ่ง ๆ จะพบสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่แตกต่างกัน เช่น พืช สัตว์ เห็ดรา แบคทีเรีย
บริเวณที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาศัยอยู่ เรียกว่า แหล่งที่อยู่ (habitat) เช่น สระน้ำ สนามหญ้า ขอนไม้ ในแต่
ละแหล่งที่อยู่ซึ่งมีสภาพแวดล้อมแตกต่างกันจะพบสิ่งมีชีวติ ต่างชนิดกัน สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อาศัยอยู่
ในแหล่งทอ่ี ยู่เดียวกันในช่วงเวลาหนึ่ง เรียกว่า ประชากร (population) ประชากรของสิ่งมชี ีวติ หลาย ๆ
ชนิดที่อาศัยอยู่ในแหล่งที่อยู่เดียวกันและมีความสัมพันธ์กันเรียกว่า กลุ่มสิ่งมีชีวิต (community) เรา
เรียกระบบที่มีสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ อาศัยในแหล่งที่อยู่เดียวกันที่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และมีปฏิสัมพันธ์
กับสภาพแวดล้อมว่า ระบบนิเวศ (ecosystem) ในท้องถิ่นของเราอาจจะพบระบบนิเวศที่มีขนาดเล็ก
เช่น ระบบนิเวศต้นไม้ ระบบนิเวศสวนผัก ระบบนิเวศขอนไม้ จนถึงระบบนิเวศขนาดใหญ่ เช่น ระบบ
นิเวศทะเล ระบบนิเวศป่าไม้ ขนาดของระบบนิเวศสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับการกำหนดขอบเขต
ระบบนเิ วศของผู้ศึกษา

ดังนั้นระบบนิเวศหมายถึงความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่อาศัย ณ ที่ใดที่หน่ึง
ความสัมพันธ์ มี 2 ลักษณะ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต และระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ
สิ่งมีชีวิตด้วยกันเอง โดยมีการถ่ายทอดพลังงานและสารอาหารในบริเวณนั้น ๆ สู่สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ
จึงประกอบด้วยส่ิงมชี วี ติ นานาชนิดและรูปแบบต่างกัน ไม่วา่ จะเป็นพืช สตั ว์ จุลินทรีย์ที่อยู่รวมกันบริเวณ
ใดบริเวณหนึ่ง โดยสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมรอบ ๆ ตัวได้
การปรับตัวเปลี่ยนแปลงบางอย่างของสิ่งมีชีวิตอาจเกิดขึ้นภายในหนึ่งชั่วอายุหรือยาวนานหลายชั่วอายุ
โดยผ่านการคัดเลือกตามธรรมชาติ ตามกระบวนการวิวัฒนาการ คุณสมบัติและความสามารถของ
สิง่ มชี วี ติ สง่ิ มีชีวติ และสภาวะแวดลอ้ มต่างกม็ ีบทบาทร่วมกัน และมปี ฏิกิรยิ าตอ่ กนั และกันอยา่ งซับซ้อนใน
ระบบนิเวศที่สมดลุ โครงสร้างและคุณสมบัติของระบบนิเวศเป็นสิ่งสำคญั ที่ช่วยให้สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ รวมทั้ง
มนุษย์อยู่รว่ มกันได้อย่างสมดุล เมื่อความเจริญและอารยธรรมของมนุษย์ได้มาถึงจุดสุดยอดและเริ่มเสื่อม
ลงเพราะมนุษย์เร่ิมทำลายสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นทีเ่ คยช่วยเหลอื สนับสนุนตนเองมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นดา้ น
อาหารอยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค หรือการแสวงหาความสุขและความบันเทิงบนความทุกข์ยาก
ของส่ิงมีชีวิตอนื่ ๆ จนทำให้เกดิ การเสยี สมดุลของระบบนเิ วศ ซ่งึ นำไปสคู่ วามเสียหายอย่างใหญ่หลวงของ
สรรพส่ิงท้ังมวล

การท่สี ง่ิ มชี วี ติ ชนดิ ต่าง ๆ ถกู ทำลายสญู หายไปจากโลก จะเป็นปัจจัยสำคญั ท่ชี ว่ ยเรง่ ให้อัตราการ
สูญพันธ์ของสิ่งมีชีวิตนานาชนิดที่เหลืออยู่เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ อันเนื่องมาจากการเสียดุลของระบบ
นิเวศนั้นเอง อัตราการสูญพันธุ์อาจแตกตา่ งกันไปในแต่ละระบบนิเวศ จะมีทางเป็นไปได้มากน้อยเพยี งใด

96

หรือไม่ที่มนุษย์ จะนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการปรับปรุงหาสิ่งมีชวี ิตชนิดอน่ื
มาทดแทนสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธ์ุไป ทั้งนี้เพราะการสูญเสียแหล่งสะสมความแปรผันทางพันธุกรรม อันถือว่า
เป็นขุมทรัพย์ล้ำค่าของประชากรสิ่งมีชีวิต นั้นจะเป็นการส่งเสริมให้มีการทำลายความหลากหลายทาง
ชวี ภาพของระบบนเิ วศนน้ั ๆ มากข้นึ

8. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ใช้รูปแบบการจัดการเรยี นการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (2 ชว่ั โมง; 120 นาท)ี

ข้ันท่ี 1 กระตุ้นความสนใจ (Engagement) (20 นาที)
1) นักเรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น จำนวน 10 ขอ้
2) กระตุ้นความสนใจของนักเรยี นเพ่ือนำเข้าสูห่ นว่ ยการเรียนรู้ท่ี 7 เรื่องระบบนิเวศและ

ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยให้สื่อวีดิทัศน์เกี่ยวกับสภาพธรรมชาติต่าง ๆ ที่มีสภาพแวดล้อมและ
สิ่งมีชีวิตหลากหลาย สืบค้นได้จาก: https://www.youtube.com/watch?v=dkPLIw9aZwY โดยใช้
คำถามต่อไปน้ี

- แนวปะการังมีสิ่งมีชีวิตอะไรอยู่บา้ ง (นักเรียนตอบตามทีส่ ังเกตได้ เช่น ปลาสิงโต ปลา
ชนิดต่าง ๆ ทอี่ าศยั อยใู่ นแนวปะการัง)

- จากวีดทิ ศั น์นักเรียนสงั เกตว่ามสี ง่ิ มีชวี ิตอะไรบา้ ง (นกั เรยี นตอบตามทส่ี ังเกตได)้
3) ให้นักเรียนอ่านเนื้อหานำหน่วย (หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชน้ั ม.3 เล่ม 2 สสวท. หน้า 156-157) แลว้ รว่ มกันอภิปรายโดยใชค้ ำถามตอ่ ไปนี้
- ปะการังมีความสัมพันธ์กับส่ิงมีชีวิตในแนวปะการังอย่างไร (นักเรียนตอบตามที่สงั เกต
ได้ เช่น ปะการังเป็นท่ีอยู่อาศยั และแหล่งอาหารของสตั วน์ ำ้ หลายชนิด)
- หากแนวปะการังถกู ทำลายจะส่งผลอย่างไร (สิง่ มชี วี ติ ในแนวปะการงั จะไม่มีที่อยู่อาศัย
และขาดแหล่งอาหารหรอื อืน่ ๆ ตามความคิดและเหตุผลของนักเรยี น)
4) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพิ่มเติมว่า แนวปะการังเป็นตัวอย่างของระบบนเิ วศ
ทางทะเลแบบหนึ่ง ประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่มีความหลากหลาย ซึ่งนักเรียนจะได้เรียนรู้เรื่องของระบบ
นิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ จากหน่วยการเรียนรู้นี้ จากนั้นให้นักเรียนอ่านคำถามนำหน่วย
องค์ประกอบของหนว่ ยและร่วมกันอภปิ ราย เพื่อให้นักเรยี นทราบวา่ จะต้องเรียนรู้เรื่องอะไรบ้างในหน่วย
นี้

97

5) เชื่อมโยงเข้าสู่บทที่ 1 ระบบนิเวศ โดยให้นักเรียนสังเกตภาพนำบท (หนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นม.3 เล่ม 2 สสวท. หน้า 158) พร้อมทั้งให้นักเรียนอ่าน
เนอื้ หานำบท โดยใช้คำถามตอ่ ไปนี้

- องค์ประกอบในแต่ละภาพมีอะไรบ้าง (นักเรียนตอบตามที่สังเกตได้ เช่น มีสิ่งมีชีวิต
และไมม่ ชี วี ิตอาศยั อยู่ร่วมกนั )

- สง่ิ เหล่านีม้ คี วามสัมพันธก์ นั อย่างไร (นักเรยี นตอบตามทสี่ ังเกตได้ เช่น ปลากินสาหรา่ ย
เปน็ อาหาร)

6) ให้นักเรียนสังเกตภาพนำเรื่องที่ 1 องค์ประกอบของระบบนิเวศ (หนังสือเรียน
รายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นม.3 เล่ม 2 สสวท. หน้า 159) ครูกระตุ้นความสนใจโดยใช้
คำถามดงั น้ี

- ในนาข้าวมีสิ่งมีชีวิตอะไรบ้าง (มีสิ่งมีชีวิตหลายชนิด เช่น ต้นข้าว แมลง ปูนา และ
สง่ิ มีชีวิตอืน่ )

- ในนาขา้ วมีสงิ่ ไม่มชี ีวติ อะไรบา้ ง (มสี ิ่งไม่มชี ีวิตหลายอย่าง เช่น แสง ดนิ นำ้ อากาศ)
- สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ อย่างไร (ตอบตามความเข้าใจและ
ประสบการณเ์ ดิมของนักเรยี นแต่ครคู วรบนั ทึกคำตอบไว้อภิปรายในตอนท้ายของบทเรยี น)
7) ให้นักเรียนทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียน (หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นม.3 เลม่ 2 สสวท. หนา้ 159) จำนวน 3 ขอ้
เขียนเคร่ืองหมาย ✓หน้าข้อความท่ีถูกต้อง และเขยี นเครื่องหมาย X หน้าข้อความท่ีไม่
ถูกต้อง
- ส่งิ มชี วี ติ แบง่ ออกเป็น 2 กลุม่ คือ กลุม่ พืชและกลมุ่ สตั ว์ (เฉลย)
- สง่ิ มีชีวิตกบั สงิ่ ไม่มีชวี ติ ในบรเิ วณเดียวกันมีความสมั พันธก์ ัน (เฉลย)
- สง่ิ มีชวี ิตมกี ารปรบั ตวั ดา้ นโครงสรา้ งและลกั ษณะใหเ้ หมาะสมกับแหล่งท่ีอยู่ (เฉลย)
8) ครูตรวจสอบการทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียน ถ้าไม่ถูกต้องให้แก้ไขความ
เขา้ ใจคลาดเคลอ่ื นของนักเรียน ความรูพ้ ้ืนฐานเรือ่ ง ระบบนิเวศและองคป์ ระกอบของระบบนเิ วศท่ีถูกต้อง
และเพียงพอที่จะเรียนตอ่ ไป
ขน้ั ที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) (40 นาที)
9) ครูเชื่อมโยงเข้าสู่กิจกรรมที่ 7.1 องค์ประกอบของสภาพแวดล้อมมีปฏิสัมพันธ์กัน
อย่างไร โดยใช้คำถามว่า นักเรียนคิดว่าสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นของนักเรียนมีองค์ประกอบอะไรบ้าง
และองคป์ ระกอบเหล่านน้ั มปี ฏิสัมพนั ธก์ นั อยา่ งไร (นกั เรยี นตอบตามความเข้าใจของตนเอง)

98

10) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น
พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 160 และครู
ตรวจสอบความเขา้ ใจการอา่ น โดยใช้คำถามดงั ต่อไปนี้

- กิจกรรมนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร (ปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของสภาพแวดล้อมใน
ทอ้ งถิ่น)

- กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อะไร (สำรวจและอธิบายปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบของ
สภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถิ่น)

- วิธีดำเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (ระดมความคิด เลือกและกำหนดพื้นท่ี
สำรวจพื้นท่ีด้วยวธิ ีการต่าง ๆ สังเกตและบนั ทกึ สภาพแวดล้อมทางกายภาพและทางชีวภาพ สืบค้นข้อมลู
วิเคราะห์ และอภิปรายเกย่ี วกับปฏสิ มั พันธ์ขององคป์ ระกอบทพี่ บในบริเวณทีส่ ำรวจ)

- ข้อควรระวังในการทำกิจกรรมมีอะไรบ้าง (การเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เป็นอันตราย เช่น
แมลงบางชนิด งู หรือสัตว์มพี ิษ ควรหลีกเลีย่ ง แต่หากนักเรียนสนใจศึกษาอาจใช้วธิ กี ารถ่ายภาพหรือวาด
แผนแทน การสัมผัสโดยตรง รวมทั้งคำนึงถึงความปลอดภัยในการสำรวจ เช่น ระวังการพลัดตกลงไปใน
แหล่งนำ้ ระวังความเสยี หายท่ีเกดิ จากการใช้อุปกรณ์และเคร่ืองมอื สำรวจ)

- นักเรียนต้องสังเกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (เก็บและรวบรวมข้อมูลสิ่งมีชวี ิต เชน่
จำนวนและชนิดของสัตว์และพืช ข้อมูลขององค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต เช่น แสง ค่า pH ของน้ำ รวมท้ัง
สังเกตปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบที่พบในบริเวณที่สำรวจ ซึ่งสามารถสังเกตได้ เช่น พฤติกรรม การ
เคลือ่ นที่ การกินอาหาร)

11) ขณะที่นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมในการสำรวจ ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรม
ของนักเรียนแต่ละกลุม่ โดยเฉพาะการสำรวจในบริเวณต่าง ๆ ครูควบคุมนักเรียนให้สำรวจตามพื้นท่ีและ
ขอบเขตที่กำหนดไว้ตอนต้น และให้คำแนะนำเมื่อนักเรียนมีคำถาม หรือมีข้อสงสัย เช่น การใช้เครื่องมือ
ชื่อของสิ่งมีชีวิต การบันทึกจำนวน เป็นต้น ซึ่งครูควรรวบรวมปัญหา และข้อสงสัยที่พบจากการทำ
กิจกรรมของนักเรียนเพ่อื ใชเ้ ปน็ ข้อมูลประกอบการอภปิ รายหลังจากการทำกจิ กรรม
ขั้นท่ี 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (20 นาที)

12) นักเรียนบันทึกการทำกิจกรรมลงในแบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 7.1
องค์ประกอบของสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร โดยสรุปผลของกิจกรรมและตอบ
คำถามท้ายกิจกรรม เพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันจะพบชนิดและ
ปริมาณของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตต่างกัน ในสภาพแวดล้อมเดียวกันสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกันจะมี

99

ปฏิสัมพันธ์กัน เช่น กินกันเป็นอาหาร นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตยังมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งไม่มีชีวิตด้วย เช่น พืชใช้
แสงและน้ำในการสร้างอาหาร กิง้ ก่านอนอาบแดดเพ่อื เพิม่ อุณหภูมิในรา่ งกาย เป็นตน้
ขนั้ ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที)

13) นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมในหนังสือเรียนหน้า 162-163 ที่เกี่ยวกับองค์ประกอบที่มี
ชีวิตและองค์ประกอบที่ไม่มีชีวิตในระบบนิเวศ ที่เกี่ยวกับความหมายของแหล่งที่อยู่ ประชากร กลุ่ม
สง่ิ มชี ีวิต และระบบนิเวศ จากนน้ั รว่ มกันตอบคำถามระหวา่ งเรียน ดังน้ี

- ยกตัวอย่างสภาพแวดล้อม ระบุสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต พร้อมทั้งอธิบายปฏิสัมพันธ์
ของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตที่พบในแหล่งที่อยู่นั้น (แนวคำตอบ คำตอบขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิมของ
นักเรียน เช่น ในแปลงผักบุ้ง สามารถพบสิ่งมีชีวิต ได้แก่ ผักบุ้ง หญ้า ตั๊กแตน ด้วงเต่าทอง หนอน
ส่งิ ไม่มชี ีวิต ไดแ้ ก่ ดิน นำ้ อากาศ แสงแดด โดยผกั บุ้งใชแ้ สง น้ำ อากาศในการสงั เคราะห์ด้วยแสงเพ่ือการ
เจรญิ เตบิ โต หนอนและตกั๊ แตนกนิ ผักบุ้งและน้ำเป็นอาหาร)

- บรเิ วณท่ีสิง่ มชี ีวติ อาศยั อยเู่ รียกวา่ อะไร (แหล่งท่ีอยู่)
- คำวา่ ประชากรกับกล่มุ สงิ่ มีชีวติ เหมือนหรือแตกต่างกนั อยา่ งไร (แตกต่างกัน ประชากร
คอื ส่งิ มีชีวติ ชนิดเดยี วกันที่อาศัยอยใู่ นแหล่งท่ีอย่เู ดยี วกนั ในชว่ งเวลาหน่ึง สว่ นกลุ่มสิ่งมีชวี ิต คอื ประชากร
ของสงิ่ มีชวี ิตหลาย ๆ ชนิดที่อาศัยอยใู่ นแหลง่ ท่อี ยเู่ ดยี วกันและมีความสัมพนั ธ์กนั )
- ระบบนเิ วศคอื อะไร เรากำหนดขอบเขตของระบบนเิ วศอยา่ งไร (ระบบนิเวศ คอื ระบบ
ทกี่ ลมุ่ ส่งิ มีชวี ติ อาศยั ในแหล่งท่ีอยู่เดียวกัน มคี วามสมั พนั ธ์ซง่ึ กันและกัน และมีความสัมพันธ์กับแหล่งท่ีอยู่
น้นั การกำหนดขอบเขตของระบบนิเวศข้ึนอยกู่ ับผ้ทู ี่ศึกษาเปน็ ผู้กำหนด)
14) ครูอธิบายเพิ่มเติม โดยใช้สื่อวีดิทัศน์เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างแหล่งที่อยู่
ประชากรและกลุ่มสิ่งมีชีวิต (สืบค้นได้จาก ipst.me/10606) ซึ่งอธิบายเกี่ยวข้องกับคำนิยามและ
ความหมายของคำว่าแหลง่ ท่อี ยู่ ประชากรและกลมุ่ สง่ิ มชี ีวิต
ข้นั ท่ี 5 ขัน้ ประเมนิ (Evaluation) (20 นาที)
15) ครูและนกั เรยี นอภิปรายผลการทำกิจกรรม องค์ประกอบของสภาพแวดล้อม จะได้ข้อ
สรปุ วา่
- ในสภาพแวดล้อมแต่ละบริเวณจะพบชนิดและปริมาณของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็น
องคป์ ระกอบที่มีชีวติ และองค์ประกอบทีไ่ มม่ ชี วี ติ โดยทอี่ งค์ประกอบต่าง ๆ จะมปี ฏสิ ัมพนั ธก์ ัน
- แหล่งท่ีอยู่ คอื บริเวณทีส่ ่ิงมีชวี ิตเหล่านี้อาศยั อยู่
- ประชากร คอื สง่ิ มีชวี ติ ชนดิ เดยี วกนั ท่ีอาศัยอย่ใู นแหล่งทอ่ี ยู่เดียวกันในช่วงเวลาหน่งึ

100

- กลมุ่ สิ่งมีชีวิต คอื ประชากรของสิ่งมีชวี ติ หลาย ๆ ชนิดทีอ่ าศยั อยใู่ นแหล่งท่ีอยู่เดียวกัน
และมีความสัมพันธก์ นั

- ระบบนิเวศ คือ ระบบทก่ี ลุ่มสง่ิ มชี ีวิตอาศยั ในแหล่งที่อยูเ่ ดยี วกัน มีความสัมพันธ์ซ่ึงกัน
และกัน และมีความสัมพันธ์กับแหล่งที่อยู่นั้น ซึ่งการกำหนดขอบเขตของระบบนิเวศขึ้นอยู่กับผู้ที่ศึกษา
เป็นผู้กำหนด

16) ครูตรวจสอบการส่งแบบบันทึกการค้นควา้ ของนักเรียนและให้คะแนนประเมินตาม
เกณฑ์การประเมิน (Rubrics Score)

9. สอื่ การเรยี นรู้/แหล่งเรยี นรู้

9.1 อปุ กรณ์ทำกจิ กรรม: จำนวน 15 รายการ ดงั แสดงแนบไว้ในใบกจิ กรรมที่ 7.1

9.2 คลิปวีดิทัศน์: - สภาพธรรมชาติต่าง ๆ ทม่ี สี ภาพแวดล้อมและสงิ่ มีชวี ติ หลากหลาย

https://www.youtube.com/watch?v=dkPLIw9aZwY

- ความสัมพันธร์ ะหวา่ งแหล่งทีอ่ ยู่ ประชากรและกล่มุ สง่ิ มีชีวติ

https://www.ipst.me/10606

9.3 ใบกจิ กรรม: ใบกิจกรรมที่ 7.1 องคป์ ระกอบของสภาพแวดลอ้ มในท้องถิ่นมปี ฏิสมั พันธ์กัน

อย่างไร

9.4 แบบบนั ทกึ กจิ กรรม: แบบบนั ทึกการค้นคว้ากจิ กรรมท่ี 7.1 องคป์ ระกอบของสภาพแวดลอ้ มใน

ทอ้ งถิ่นมปี ฏิสมั พันธ์กนั อย่างไร

9.5 แหล่งเรียนรู้: หนังสอื เรยี นรายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศกึ ษาปี

ท่ี 3 เลม่ 2 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศักราช

2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ

10. ภาระงาน
- แบบบันทกึ การค้นคว้ากิจกรรมท่ี 7.1 องค์ประกอบของสภาพแวดล้อมในทอ้ งถิ่นมปี ฏิสมั พนั ธ์กนั

อย่างไร

101

11. การวดั และการประเมิน วิธกี ารวัด เคร่อื งมือวัด เกณฑ์ที่ใช้ในการ
- ตรวจการตอบ ประเมิน
ตวั ชี้วดั /ผลการเรยี นรู้ คำถามทา้ ยกจิ กรรม
ท่ี 7.1 - คำถามท้ายกิจกรรมท่ี 7.1 - ได้ไมน่ ้อยกว่า 2
1. ระบอุ งค์ประกอบทมี่ ีชวี ติ
และองค์ประกอบท่ีไม่มีชวี ิต - ตรวจการทำแบบ จำนวน 5 ขอ้ คะแนน
ในระบบนิเวศ (ด้านความรู้: K) บนั ทกึ การคน้ ควา้
กจิ กรรมที่ 7.1 ระดบั คุณภาพดี
2. การใช้ทกั ษะการวัด โดย
เลือกและใชเ้ ครื่องมือเพื่อวัด - สังเกตการใช้งาน ถือวา่ ผ่านการ
ปริมาณขององค์ประกอบท่ี อปุ กรณ์ในกจิ กรรม
ไมม่ ีชีวิตในระบบนิเวศได้(ดา้ น ของนักเรียน ประเมนิ ด้าน
กระบวนการ: P)
ความรู้
3. ตระหนักถงึ ความสำคญั
ของการใช้อุปกรณ์ - แบบบนั ทกึ การคน้ คว้า - ได้ไมน่ ้อยกวา่ 2
การทำกิจกรรมได้
(ดา้ นเจตคติ: A) กิจกรรมท่ี 7.1 คะแนน

องคป์ ระกอบของสภาพ ระดับคุณภาพดี

แวดล้อมในท้องถิ่นมี ถอื ว่าผ่านการ

ปฏิสัมพนั ธก์ ันอยา่ งไร ประเมนิ

ด้านกระบวนการ

- เกณฑก์ ารประเมนิ การใช้ - ได้ไมน่ ้อยกวา่ 2

งานอุปกรณใ์ นกจิ กรรม คะแนน

ของนักเรียน ระดับคุณภาพดี

ถอื วา่ ผ่านการ

ประเมนิ

ด้านเจตคติ

102

11.1 เกณฑ์การประเมินผลนักเรยี น เกณฑ์การประเมนิ (Rubrics Score)

ประเดน็ การประเมนิ ค่าน้ำหนัก แนวทางการให้คะแนน
การใหค้ ะแนนตอบ คะแนน
ตอบคำถามทา้ ยกจิ กรรมท่ี 7.1 ถกู ต้อง จำนวน 4-5 ข้อ
คำถามท้าย 3 ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมท่ี 7.1 ถูกต้อง จำนวน 2-3 ข้อ
กจิ กรรมที่ 7.1 2 ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมที่ 7.1 ถกู ต้อง จำนวน 1 ขอ้ หรือไม่
1 ถูกต้อง
การใหค้ ะแนนการบนั ทึก บนั ทกึ ผลการทำกิจกรรมการวัด จากการเลอื กและใชเ้ คร่ืองมือ
แบบบันทกึ การค้นควา้ 3 ต่าง ๆ เชน่ ใช้เทอร์มอมเิ ตอร์วดั อณุ หภูมขิ องอากาศ นำ้ และดิน
ใช้เครื่องวดั ความเป็นกรด-เบส วดั ความเปน็ กรด-เบส ใช้ลกั ซ์
กจิ กรรมท่ี 7.1 2 มิเตอรว์ ัดความเขม้ ของแสงได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
สอดคล้องกบั เนื้อหาในกิจกรรม
การให้คะแนน 1 บันทกึ ผลการทำกิจกรรมการวัด จากการเลือกและใชเ้ คร่ืองมือ
การใช้งานอุปกรณ์ ตา่ ง ๆ เชน่ ใช้เทอรม์ อมเิ ตอร์วดั อณุ หภมู ขิ องอากาศ นำ้ และดิน
3 ใช้เครอ่ื งวดั ความเป็นกรด-เบส วัดความเปน็ กรด-เบส ใชล้ กั ซ์
ในกจิ กรรม 2 มิเตอรว์ ัดความเขม้ ของแสงได้ มคี วามสอดคล้องกับเน้ือหาใน
กิจกรรม
บนั ทึกผลการทำกิจกรรมการวดั จากการเลอื กและใช้เครอื่ งมือ
ตา่ ง ๆ เชน่ ใช้เทอร์มอมิเตอร์วัดอณุ หภูมขิ องอากาศ นำ้ และดิน
ใช้เครื่องวัดความเป็นกรด-เบส วดั ความเปน็ กรด-เบส ใชล้ ักซ์
มิเตอร์วดั ความเข้มของแสงได้ไม่เหมาะสม เกิดข้อผิดพลาด ไม่
สอดคล้องกับเน้ือหาในกจิ กรรม
ใช้งานอปุ กรณ์การทดลองในกิจกรรมได้ถูกวิธี หยิบ เคลือ่ นย้าย
อุปกรณ์อยา่ งระมัดระวัง ไม่หยอกล้อหรือแกล้งเพ่ือนขณะกำลัง
ใช้งานอปุ กรณ์ และหลงั การใชง้ านอุปกรณ์มกี ารเก็บรกั ษา
อย่างถูกวิธี
ใชง้ านอปุ กรณก์ ารทดลองในกิจกรรมได้ถกู วิธี หยบิ เคลอ่ื นยา้ ย
อปุ กรณ์อยา่ งระมดั ระวงั ไมห่ ยอกลอ้ หรือแกล้งเพื่อนขณะกำลัง

103

ประเด็นการประเมนิ ค่านำ้ หนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
คะแนน
ใชง้ านอปุ กรณ์ แต่หลงั การใชง้ านอุปกรณ์ไม่มีการเก็บรักษา
1 อย่างถูกวิธี หรอื ไม่เกบ็ อุปกรณเ์ ขา้ ตเู้ ก็บอุปกรณ์ตามประเภท
ของอปุ กรณ์
ใชง้ านอุปกรณ์การทดลองในกิจกรรมได้ แต่ขณะหยบิ เคลื่อนยา้ ย
อุปกรณ์หรือกำลังใช้งานอุปกรณ์ จะหยอกลอ้ หรือแกลง้ เพื่อน
อาจทำให้อุปกรณ์เสยี หายได้ และหลังการใช้งานอุปกรณไ์ ม่มกี าร
เกบ็ รกั ษาอยา่ งถกู วิธี

11.2 ระดับคุณภาพ
คะแนนรวมเฉลี่ย 6.00 - 5.00 หมายถงึ ดีมาก
คะแนนรวมเฉลย่ี 4.00 - 3.00 หมายถึง ดี
คะแนนรวมเฉลยี่ 2.00 - 1.00 หมายถึง พอใช้

ดงั นนั้ นกั เรียนต้องไดค้ ะแนนเฉลี่ยทุกประเด็นการประเมิน ไม่ตำ่ กวา่ 2.00 แสดงระดับ
คณุ ภาพ ดี ถอื วา่ ผา่ นเกณฑ์การประเมินในแผนการจัดการเรียนที่ 12

104

12. บนั ทึกหลงั การสอน
❖ ผลหลงั การสอน

......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................ ..............................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................... .............................

❖ ปัญหา/อปุ สรรค
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................... ................................
......................................................................................................................................................................

❖ แนวทางแก้ไข
......................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................... .................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................

ลงชอื่ ........................................................ผสู้ อน
(นางสาวศิรวิ ิลาศลักษ์ เกิดกันโณ )
……../……../……..

105

13. ความเห็นครูพเ่ี ลยี้ ง
ใชจ้ ัดกิจกรรมการเรยี นรไู้ ด้
ปรับปรุงแผนการสอน

ความคิดเห็นและขอ้ แสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ …………………………… ครพู ีเ่ ล้ียง
( นางจนิ ดา บริรักษ์ )
……../……../……..

14. ความเห็นหัวหนา้ กลุ่มสาระวทิ ยาศาสตร์
ใชจ้ ดั กจิ กรรมการเรียนร้ไู ด้
ปรับปรุงแผนการสอน

ความคดิ เหน็ และข้อแสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงช่อื …………………………… หวั หนา้ กลมุ่ สาระวิทยาศาสตร์
( นางจินดา บริรกั ษ์ )
……../……../……..

15. ความเหน็ ของผ้อู ำนวยการโรงเรยี น
ใช้จัดกจิ กรรมการเรียนรไู้ ด้
ปรับปรงุ แผนการสอน

ความคิดเห็นและขอ้ แสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ………………………………… ผอู้ ำนวยการโรงเรียน
( นายเดชา จันทิกาแกว้ )
……../……../…….

106

ส่อื การเรยี นรู้แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 12: สือ่ วีดิทัศน์

คลปิ วีดีทศั น์: สภาพธรรมชาติตา่ ง ๆ ท่ีมสี ภาพแวดล้อมและส่ิงมีชีวติ หลากหลาย

สื่อวีดิทัศน์เรื่อง สภาพธรรมชาติต่าง ๆ ที่มีสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตหลากหลาย อธิบาย
เก่ียวกบั ความสมั พันธข์ ององคป์ ระกอบท่มี ชี ีวิตและองค์ประกอบทไ่ี ม่มชี วี ิตในระบบนเิ วศ

แหล่งท่ีมา: เว็บไซตอ์ า้ งองิ
https://www.youtube.com/watch?v=dkPLIw9aZwY
เผยแพร่เม่ือ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
(ช่องYouTube: ADVEXON TV)

107

ส่ือการเรยี นรู้แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 12: สอื่ วีดทิ ศั น์

คลิปวดี ีทัศน์: ความสัมพันธ์ระหว่างแหล่งท่ีอยู่ ประชากรและกลมุ่ ส่ิงมีชีวิต

สอ่ื วดี ทิ ศั น์เรอ่ื ง ความสัมพันธ์ระหวา่ งแหลง่ ทอี่ ยู่ ประชากรและกลุ่มสิง่ มีชวี ติ อธบิ ายเกย่ี วข้องกับ
คำนยิ ามและความหมายของคำวา่ แหลง่ ท่อี ยู่ ประชากรและกลุ่มส่ิงมีชีวิต

แหลง่ ท่ีมา: เวบ็ ไซต์อ้างองิ ipst.me/10606
เผยแพร่เม่ือ 30 สงิ หาคม พ.ศ. 2562

(เจ้าของผลงาน สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.))

108

สอ่ื การเรยี นรู้แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 12: ใบกิจกรรมที่ 7.1

ใบกิจกรรมท่ี 7.1 องค์ประกอบของสภาพแวดล้อมในท้องถนิ่ มปี ฏิสัมพันธ์กันอย่างไร

หนงั สอื เรียนรายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสตู ร
แกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุงพ.ศ. 2560) สสวท.
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร หน้า 160

กจิ กรรมท่ี 7.1 องค์ประกอบของสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นมปี ฏสิ ัมพนั ธ์กนั อย่างไร?
จุดประสงค์
วัสดอุ ุปกรณ์ สำรวจและอธิบำยควำมสัมพนั ธข์ ององคป์ ระกอบของสภำพแวดลอ้ มในทอ้ งถิ่น

วสั ดทุ ี่ใชต้ อ่ กลมุ่

1. เทอร์มอมเิ ตอร์ 1 อนั

2. แท่งแก้วคน 2 อัน

3. กระดาษยูนเิ วอร์ซัลอินดเิ คเตอร์ 2 แผน่

4. กระจกนาฬกิ า 1 ใบ

5. ปากคบี 1 อัน

6. พูก่ ัน 1 ดา้ ม

7. ถุงพลาสติก 3 ใบ

8. บีกเกอร์หรือแกว้ พลาสติกใส 3 ใบ

9. เขม็ ทิศ 1 อัน

10. อุปกรณบ์ นั ทึกภาพ 1 ชดุ

11. แว่นขยายหรือกล้องจุลทรรศน์ใช้แสง 1 อัน

12. เซคคดิ สิ ก์ (Secchi disc) 1 ชดุ

13. ลักซม์ เิ ตอร์ (Lux meter) 1 ชุด

14. ช้อนปลกู 1 อัน

15. นำ้ กลัน่ 1 ขวด

วธิ ีดำเนิน 1.เลอื กบริเวณท่ีจะสำรวจในทอ้ งถ่ินหรอื บรเิ วณโรงเรียน เชน่ บรเิ วณสระนำ้
กิจกรรม สวนธรรมชาติ สวนหย่อม หลงั อาคารเรยี น โดยไมซ่ ้ำกนั ในแต่ละกลุ่ม
2. กำหนดขอบเขตของบริเวณท่สี ำรวจ

109

3. สงั เกตและบนั ทึกสภาพแวดลอ้ มทางกายภาพของบรเิ วณที่สำรวจ เชน่ ลกั ษณะภมู ิศาสตร์
ลกั ษณะดนิ แหล่งนำ้ สภาพอากาศ สิ่งปนเปื้อนในสภาพแวดลอ้ ม จากน้นั วาดแผนผังของ
บริเวณทจ่ี ะศึกษา โดยระบมุ าตราส่วน รายละเอียดของบริเวณโดยรอบ และระบทุ ิศให้ถูกตอ้ ง
4. เก็บและรวบรวมข้อมลู ของสภาพแวดลอ้ มในบริเวณที่สำรวจ เชน่ อุณหภูมิ
ความเป็นกรด-เบส (pH) ความโปรง่ ใสของน้ำ ความสวา่ ง โดยมวี ธิ กี ารดังนี้

กจิ กรรมที่ 7.1 องค์ประกอบของสภาพแวดล้อมในทอ้ งถิ่นมปี ฏสิ ัมพนั ธก์ ันอย่างไร?

การวดั อณุ หภมู ิ

• บริเวณแหล่งน้ำ วดั อณุ หภูมิท่ีผวิ น้ำ โดยจุม่ เทอร์มอมเิ ตอรล์ งในน้ำลกึ ประมาณ 5 เซนติเมตร

บนั ทกึ ผล

• บริเวณพ้ืนดนิ วดั อุณหภมู ิท่ีผวิ ดิน โดยเสียบเทอร์มอมเิ ตอรล์ งในดนิ ลกึ ประมาณ 5 เชนตเิ มตร

บนั ทกึ ผล

การวัดความเป็นกรด-เบส (pH)

• บริเวณแหลง่ นำ้ วัด pH ของน้ำโดยเก็บตวั อยา่ งน้ำที่ผวิ นำ้ แลว้ ใชแ้ ท่งแก้วจ่มุ ลงในตัวอย่างนำ้

มาแตะลงบนกระดาษยนู ิเวอร์ซลั อนิ ดิเคเตอรท์ ี่วางอยู่บนกระจกนาฬิกา เทียบสกี บั สมี าตรฐาน

ทีต่ ดิ อยบู่ นกล่อง บันทึกค่า pH ท่อี า่ นได้

• บรเิ วณพน้ื ดิน วัด pH ของดินโดยนำดินจากระดบั ผวิ ดนิ ปริมาณ 10 กรัม ใส่ลงในแก้ว

พลาสตกิ ใส แล้วเติมนำ้ กลน่ั 10 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตรใชแ้ ท่งแก้วคนให้เข้ากัน ตั้งทิ้งไว้ 10 นาที

หรอื จนกว่าจะตกตะกอน แล้วใช้แท่งแกว้ จมุ่ สว่ นที่เปน็ ของเหลวมาแตะลงบนกระดาษ

ยนู ิเวอร์ซลั อนิ ดิเคเตอร์ท่ีวางอยบู่ นกระจกนาฬิกา เทียบสีกับสีมาตรฐาน บันทกึ ค่า pH

ทอี่ ่านได้

การวัดความโปร่งใสของน้ำ

• บริเวณแหลง่ น้ำ สามารถวดั ความลึกที่แสงส่องผ่านลง

ไปในน้ำโดยใชเ้ ซคคดิ สิ ก์ ซ่ึงมีวิธีใช้ดงั น้ี

(1) ทำเคร่ืองหมายบนเส้นเชอื กทผ่ี กู ติดกบั เซคคดิ สิ ก์

เพอ่ื บอกระดบั ความลึกของน้ำ หยอ่ นเซคคิดิสก์ ลงใน ภาพเซคคิดสิ ก์
แหล่งนำ้ จนถึงระยะท่เี ริ่มมองไม่เห็นเซคคิดิสก์ แลว้

110

บันทึกคา่ ความลกึ ของระดับน้ำจากเคร่ืองหมายท่ที ำไว้

บนเชอื ก

(2) หยอ่ นเซคคิดิสก์ลงไปในนำ้ อกี เล็กนอ้ ย แล้วดึง

เซคคดิ สิ ก์ข้ึนช้า ๆ จนเริม่ มองเห็นเซคคิดิสก์อีกครัง้

แล้วบันทกึ คา่ ความลกึ ของระดบั น้ำจากเคร่ืองหมายที่

ทำไว้บนเชอื ก

(3) หาคา่ ความลึกทีแ่ สงส่องผ่านลงน้ำได้ โดยหา

คา่ เฉลี่ยความลึกของระดับน้ำจากข้อ (1) และ (2) ภาพลักซม์ เิ ตอร์
บันทึกผล

การวัดความสว่าง

• บรเิ วณพื้นทบ่ี นบก วัดความสว่างโดยใช้ลักซ์มิเตอร์ ซง่ึ มีหนว่ ยเปน็ ลกั ซ์ (Lux)

กิจกรรมท่ี 7.1 องคป์ ระกอบของสภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถน่ิ มีปฏิสมั พนั ธ์กันอย่างไร?
5. เกบ็ และรวบรวมข้อมลู ของสงิ่ มชี วี ิตในบริเวณท่ีสำรวจ เช่น ขอ้ มูลทั่วไปของสิ่งมชี วี ติ
การตอบสนองต่อส่ิงเร้าของสง่ิ มชี วี ติ โดยมีวธิ กี ารดงั น้ี
ขอ้ มลู ทัว่ ไปของสงิ่ มีชีวติ
• ระบุชื่อของสิ่งมีชีวิต รูปร่าง ลักษณะ จำนวน แหล่งที่พบ เวลาที่พบ ในกรณีที่ต้องการ
ศึกษาสิ่งมีชีวิตบางชนดิ เพิ่มเติม ถ้าบริเวณทีส่ ำรวจเป็นพื้นที่บนบกให้เก็บตวั อย่างสิ่งมชี วี ติ
นั้นใส่ถุงพลาสติก แต่ถ้าบริเวณที่สำรวจเป็นแหล่งน้ำให้เก็บตัวอย่างน้ำใส่แก้วพลาสติก
จากน้ันนำตัวอย่างมาศึกษาโดยใชแ้ ว่นขยายหรอื กลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ ช้แสง
• บันทึกภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตที่พบ โดยใช้อุปกรณ์บันทึกภาพและอาจ
นำวัตถุอ้างอิงที่รู้ขนาด เช่น เหรียญ หรือไม้บรรทัดวางไว้ข้างสิ่งมีชีวิต เพื่อใช้เปรียบเทียบ
ขนาดของสิ่งมชี วี ิตกับวัตถุอา้ งองิ
การตอบสนองตอ่ ส่งิ เร้าของสิ่งมีชีวติ
• สังเกตการตอบสนองตอ่ สิง่ เรา้ ของพืชและสตั ว์ เช่น การหบุ ของใบไมยราบเมือ่ ถูกสมั ผสั
การหบุ และบานของดอกไม้ การบินตอมดอกไม้ของแมลง การหาอาหารของสัตว์
6. วิเคราะหข์ อ้ มูลจากการสำรวจและอภิปรายปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งสิง่ มีชวี ติ กับสิง่ มีชวี ิต
และส่งิ มีชวี ิตกบั สง่ิ ไมม่ ชี ีวติ ในบรเิ วณท่ีสำรวจ

111

การเตรียมตัว 7. สบื ค้นขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ เกยี่ วกบั ปฏิสมั พนั ธ์ของส่งิ ต่าง ๆ ท่สี ำรวจพบและนำเสนอ
ลว่ งหน้าสำหรับครู ผลการทำกิจกรรม
ข้อควรระวงั ครูควรสำรวจพื้นที่ที่จะใช้ทำกิจกรรมก่อนจัดกิจกรรม เพื่อให้ทราบข้อมูลที่จำเป็นสำหรับ
การเตรยี มอปุ กรณ์และการอภปิ รายผล เชน่ สภาพพนื้ ที่ ชนิดของสงิ่ มีชีวิต เปน็ ต้น
ครคู วรกำหนดข้อตกลงกับนกั เรียนก่อนที่จะเร่ิมตน้ การสำรวจ และควรแจ้งใหน้ ักเรยี นระวัง
สตั วม์ ีพษิ และความปลอดภยั ในการสำรวจ เชน่ การใชอ้ ุปกรณ์ การลงพน้ื ท่ีเก็บน้ำตัวอยา่ ง

ข้อเสนอแนะใน ครูควรพิจารณาเลือกพื้นที่สำรวจที่มีความแตกต่างกันทั้งทางกายภาพ เช่น แหล่งน้ำ สนาม
การทำกจิ กรรม หญ้า ต้นไม้ใหญ่ และทางชีวภาพ เช่น มีสิ่งมีชีวิตแตกต่างกัน เพื่อให้นักเรียนเก็บข้อมูลได้

หลากหลายและนำมาใช้อภิปรายเกยี่ วกบั ปฏสิ ัมพนั ธ์ขององคป์ ระกอบของระบบนิเวศ

คำถามท้ายกิจกรรม

1. ในบริเวณที่สำรวจ พบส่งิ มีชวี ิตชนดิ ใดมากทีส่ ดุ และสิ่งมีชีวติ ชนดิ ใดน้อยที่สดุ เพราะเหตใุ ด
2. ส่งิ มีชวี ิตท่ีพบในบริเวณท่สี ำรวจมคี วามสมั พนั ธก์ ันหรือไม่ อย่างไร
3. ชนดิ และปรมิ าณของสง่ิ มชี วี ิตและสิ่งไม่มีชีวติ ในแต่ละบริเวณ เหมือนหรอื แตกต่างกนั อย่างไร เพราะเหตุใด
4. ส่ิงไมม่ ีชีวติ ท่พี บในแตล่ ะบริเวณมีผลทำให้ชนดิ ของสง่ิ มีชีวติ มีความแตกต่างกันหรือไม่ อยา่ งไร
5. จากกิจกรรม สรปุ ได้ว่าอย่างไร

112

ส่อื การเรยี นรู้แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 12: แบบบนั ทกึ การคน้ ควา้ กจิ กรรมท่ี 7.1

แบบบนั ทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 7.1 องคป์ ระกอบของสภาพแวดลอ้ มในท้องถนิ่ มปี ฏิสัมพันธก์ นั

อยา่ งไร

ชื่อ-นามสกุล..........................................................................................ชั้น.................เลขท.่ี ..........กลุ่มท.่ี ...........
 บันทกึ ผลการทำกจิ กรรม

บริเวณทเี่ ลือกสำรวจ คอื ............................................................................................................................
ส่งิ ทพ่ี บในสภาพแวดล้อมทางกายภาพของบริเวณท่ีสำรวจ ได้แก่ ...........................................................
.................................................................................................................................. .....................................

แผนผงั บรเิ วณที่สำรวจ

ขอ้ มูลสภาพแวดล้อมในบริเวณที่สำรวจ

- อณุ หภูมิทว่ี ดั ได้ คอื .............................................. - ความเปน็ กรด-เบส (pH) ที่วัดได้ คือ ............................

- ความโปร่งใสของน้ำทวี่ ดั ได้ คือ ............................ - ความสวา่ งท่ีวัดได้ คือ ....................................................

 ตารางบันทกึ ข้อมูลสิ่งมีชีวติ ท่ีพบในบริเวณทสี่ ำรวจ

รายการ สิง่ มีชีวิต จำนวน

 บันทึกข้อมูลเพ่ิมเตมิ จากการสำรวจ
............................................................................................................................. ................................................

113

แนบทา้ ยแผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 12: การให้คะแนนดา้ นกระบวนการ (P)

แนวทางบันทึกการคน้ คว้ากิจกรรมท่ี 7.1 องค์ประกอบของสภาพแวดล้อมในท้องถ่นิ มปี ฏสิ ัมพนั ธ์กนั

อย่างไร

 บันทกึ ผลการทำกิจกรรม (ตัวอย่างการบันทกึ ผลระบบนเิ วศสนามหญา้ )
บรเิ วณท่ีเลือกสำรวจ คือ ...................สนามหญ้าอาคารเรียน 1......................
สิง่ ทพ่ี บในสภาพแวดล้อมทางกายภาพของบรเิ วณท่ีสำรวจ ได้แก่ ........ดินค่อนขา้ งแหง้ ..............
...........เนอ่ื งจากบริเวณท่ีสำรวจโดนแสงแดดส่องตลอดทั้งวัน............................................................

แผนผงั บรเิ วณท่ีสำรวจ

กำหนดขอบเขตทสี่ ำรวจ ขนาดพน้ื ท่ี 100 ตารางเมตร บรเิ วณท่สี ำรวจ (ในกรอบส่ีเหลย่ี มสแี ดง)

ขอ้ มูลสภาพแวดล้อมในบรเิ วณทสี่ ำรวจ
- อุณหภูมิท่วี ดั ได้ คอื ......... 33 องศาเซลเซยี ส......... - ความเป็นกรด-เบส (pH) ท่ีวัดได้ คือ ........... 6.8.........
- ความโปร่งใสของนำ้ ที่วดั ได้ คือ .............-............. - ความสวา่ งท่ีวัดได้ คอื ............... 1,100 ลักซ์.............

 ตารางบันทกึ ขอ้ มลู สิ่งมีชวี ิตที่พบในบรเิ วณทีส่ ำรวจ

รายการ ส่ิงมีชีวิต จำนวน
ประมาณ 50 ตัว
1 มด ไมร่ ชู้ นดิ ประมาณ 300 ตน้
2 ตน้ ตน้ หนงึ่ มีผล 3 ผล
2 หญา้ อีกต้นไมม่ ีผล

3 ตน้ มะเขอื 3 ตัว

4 ตั๊กแตน

114

 บันทึกข้อมูลเพิ่มเตมิ จากการสำรวจ
รายละเอียดเพ่ิมเติม พบมดจำนวน 50 ตวั ขนซากใบไมข้ นาดเล็กและซากแมลงชนิดหนงึ่ (ไม่ทราบชนดิ )

พบรงั มดอยใู่ ตต้ น้ มะเขอื ตั๊กแตนอาศยอยูบ่ นใบหญ้า ดินบริเวณใต้ตน้ มะเขือมลี กั ษณะชนื้ กวา่ ดินทอ่ี ยู่ส่วนอน่ื ๆ
บริเวณพืน้ ทสี่ ำรวจฝงั่ ชดิ กับอาคาร (เปน็ ทีร่ ม่ ไม่โดนแดด) มีต้นหญา้ ข้นึ จำนวนน้อย บางจุดไม่พบตน้ หญ้า
ส่วนบรเิ วณท่ไี ดร้ ับแสงแดดตลอดวันจะมีหญ้าจำนวนมากกวา่

เฉลยใบกจิ กรรมท่ี 7.1 องคป์ ระกอบของสภาพแวดล้อมในท้องถ่ินมีปฏสิ มั พันธก์ ันอย่างไร

เฉลยคำถามทา้ ยกิจกรรม
1. ในบรเิ วณท่สี ำรวจ พบสง่ิ มีชีวิตชนดิ ใดมากท่สี ุด และสิง่ มีชีวติ ชนดิ ใดนอ้ ยทส่ี ุด เพราะเหตใุ ด
แนวคำตอบ ตอบตามขอ้ มูลท่นี ักเรยี นสำรวจได้ โดยใหน้ ักเรยี นแสดงหลักฐานสนับสนนุ ข้อมูลจำนวนของ
ชนดิ สิ่งมชี วี ติ แต่ละชนิด เชน่ ตารางบนั ทึกผล ภาพถ่าย ภาพวาด
2. ส่ิงมชี ีวิตทีพ่ บในบรเิ วณทีส่ ำรวจมคี วามสมั พนั ธก์ ันหรอื ไม่ อยา่ งไร
แนวคำตอบ ตอบตามความคิดเห็นและข้อสรุปของกลุ่ม ซึ่งครูสามารถนำอภิปรายร่วมกันถึงปฏิสัมพันธ์
ขององคป์ ระกอบในระบบนิเวศนั้น ๆ เชน่ มดขุดดินเพื่อสร้างรงั และกินต๊ักแตนตัวเล็ก ๆ เปน็ อาหาร หรอื
ปลาอาศัยอยู่ในน้ำ กินสาหร่ายเป็นอาหาร ส่วนสาหร่ายมักขึ้นริมตลิ่งเพราะต้องอาศัยแสงแดด ในการ
สงั เคราะหด์ ้วยแสง จึงไมส่ ามารถเจรญิ เตบิ โตในบริเวณน้ำลกึ ได้
3. ชนิดและปริมาณของสิ่งมีชวี ิตและส่ิงไม่มีชีวติ ในแต่ละบรเิ วณ เหมอื นหรอื แตกตา่ งกนั อย่างไร เพราะ
เหตุใด
แนวคำตอบ คำตอบข้ึนอยู่กับข้อมลู หากสำรวจในบรเิ วณใกล้เคยี งกนั มีความเป็นไปได้วา่ ข้อมูล อาจจะมี
ความคล้ายคลึงกัน แต่ถ้านักเรียนสำรวจในบริเวณที่แตกต่างกันก็อาจจะมีความแตกต่างกันทั้งสิ่งมีชีวิต
และสิ่งไม่มีชีวิต ส่วนสาเหตุที่แตกต่างกัน เพราะในแต่ละบริเวณจะมีสิ่งไม่มีชีวิตที่แตกต่างกัน ทำให้
สิ่งมีชีวิตที่อาศัยแตกต่างกัน เช่น บริเวณที่มีหญ้าขึ้นเป็นจำนวนมากและมีร่มเงา มักพบแมลงมากกว่า
บริเวณที่ไม่มีหญ้าและไม่มีร่มเงา เนื่องจากแมลงกินหญ้าเป็นอาหารและใช้เป็นแหล่งที่อยู่เพราะอุณหภูมิ
ไมส่ ูงจนเกนิ ไป ส่วนบรเิ วณทไี่ ม่มีหญ้าขึน้ และมแี สงแดดส่องถึงมากกว่าบรเิ วณอน่ื จะพบแมลงได้น้อยมาก

115

เพราะไมม่ ีอาหาร อุณหภมู สิ ูงมาก และความชนื้ ตำ่ ทำให้ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชวี ิต อีกท้ังยังไม่มีท่ีหลบ
ภยั จากผู้ลา่ เช่น นกทีก่ ินแมลงเป็นอาหาร
4. ส่งิ ไม่มชี ีวิตท่พี บในแต่ละบรเิ วณมผี ลทำใหช้ นดิ ของส่ิงมีชีวิตมคี วามแตกตา่ งกันหรือไม่ อย่างไร
แนวคำตอบ ความแตกต่างของสิ่งไม่มีชีวิต เช่น แสง น้ำ อากาศ ในแต่ละบริเวณ ส่งผลให้สิ่งมีชีวิต
ที่อาศัยอยู่ในแต่ละบริเวณนั้นแตกต่างกัน เนื่องจากสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีความต้องการพื้นฐานในการ
ดำรงชีวิตที่แตกต่าง เช่น พชื บางชนดิ เจรญิ เตบิ โตได้ดใี นพืน้ ท่ีชุ่มนำ้ ดังนั้นในบริเวณทีใ่ กลแ้ หลง่ น้ำก็จะพบ
พชื ชนิดนม้ี ากกวา่ บริเวณท่ีแห้งแล้ง พืชบางชนดิ ตอ้ งการแสงมาก พืชบางชนดิ ตอ้ งการแสงปานกลาง สัตว์
บางชนิดอาศยั อยใู่ นโพรงไม้ สัตว์บางชนิดอาศยั อยู่ในดนิ
5. จากกจิ กรรม สรุปไดว้ ่าอยา่ งไร
แนวคำตอบ ในสภาพแวดล้อมแต่ละบริเวณจะพบชนิดและปริมาณของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตต่างกัน
เราสามารถพบสิ่งมีชีวิต ได้แก่ พืช สัตว์ เป็นองค์ประกอบที่มีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต เช่น แสงแดด อากาศ
นำ้ ดนิ อุณหภมู ิ ทเี่ ปน็ องคป์ ระกอบท่ีไม่มีชีวิตแตกตา่ งกันออกไปในแต่ละระบบนิเวศ เพราะองค์ประกอบ
ดังกล่าวจะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ดังนั้นเมื่อองค์ประกอบใดเปลี่ยนไปย่อมส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนของ
องค์ประกอบอื่น ๆเช่น บริเวณที่ดินมีความชื้นสูงจะพบกบอาศัยอยู่ แต่ถ้าดินบริเวณนั้นไม่ได้รับน้ำ
ต่อเนื่องและดินแห้งลงเรื่อย ๆจะส่งผลให้กบไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ จำเป็นต้องอพยพไปบริเวณอ่ืน
เปน็ ต้น

116

ใบกิจกรรมที่ 1 เร่อื ง การสำรวจสง่ิ มีชีวิตในระบบนิเวศ

กลุ่มที่ ............ บรเิ วณทีส่ ำรวจ.......................................................................

สมาชกิ ในกลุ่ม มีดงั นี้
1. ........................................................................................................ เลขท.ี่ .....................
2. ........................................................................................................ เลขที่......................
3. ........................................................................................................ เลขท่.ี .....................
4. ........................................................................................................ เลขท.่ี .....................
5. ........................................................................................................ เลขท่.ี .....................

จดุ ประสงค์
1. เพ่อื สำรวจสง่ิ มีชวี ิตกบั สิง่ มีชีวติ ทีม่ คี วามสมั พันธ์กนั ในระบบนิเวศ
2. วเิ คราะหแ์ ละอธิบายความสมั พันธร์ ะหวา่ งส่งิ มชี วี ติ ท่ีอาศยั อยูร่ ว่ มกันในระบบนิเวศ

วสั ดุและอุปกรณ์
1. ใบบันทกึ กจิ กรรม
2. ปากกา/ดินสอ

วิธีการทำกจิ กรรม
1. ให้นักเรียนสำรวจส่งิ มีชวี ิตทม่ี คี วามสมั พันธ์กนั ในระบบนิเวศ ตามบริเวณที่ไดร้ บั มอบหมาย

(ใชเ้ วลาในการสำรวจ 10 นาท)ี
2. วิเคราะหค์ วามสมั พนั ธ์ระหวา่ งส่ิงมชี ีวิตกบั ส่งิ มชี วี ิตในระบบนิเวศท่ีได้จากการสำรวจและ

บนั ทึกผล
3. ตวั แทนกลมุ่ นำเสนอผลการทำกจิ กรรมหน้าชัน้ เรียน

117

บนั ทึกผลการสำรวจ

ส่ิงมชี ีวติ ทีพ่ บ ชนิดของ ความสัมพันธข์ องส่ิงมชี ีวติ รูปแบบความสมั พนั ธ์ เครอ่ื งหมาย
สง่ิ มีชวี ิต แตล่ ะชนดิ ระหวา่ งสิ่งมชี วี ติ ความสมั พนั ธ์
ทีอ่ ยรู่ ว่ มกัน ด้วยกนั

118

แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 13

กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ รายวชิ าวิทยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน รหสั วิชา ว23101
ปีการศึกษา 2563
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรยี นท่ี 2
เวลา 1 ช่วั โมง
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 7 ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชีวภาพ
ครูพ่ีเลีย้ ง นางจนิ ดา บริรกั ษ์
เร่อื ง การอย่รู ่วมกนั ของสง่ิ มีชวี ติ

ผูส้ อน นางสาวศิริวลิ าศลักษ์ เกดิ กันโณ

1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตและ

ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลง
แทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและ
ส่ิงแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งนำความรู้
ไปใช้ประโยชน์

2. ตวั ชีว้ ัด
ว 1.1 ม.3/2 อธิบายรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตรูปแบบต่าง ๆ ในแหล่งท่ี

อยู่เดยี วกันท่ไี ดจ้ ากการสำรวจ

3. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด
1) สิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาวะพึ่งพากัน ภาวะอิงอาศัย

ภาวะเหย่ือกบั ผลู้ า่ ภาวะปรสติ
2) สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อาศัยอยู่ร่วมกันในแหล่งที่อยู่เดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน เรียกว่า

ประชากร
3) กลุ่มสง่ิ มชี วี ติ ประกอบดว้ ยประชากรของส่งิ มชี ีวติ หลาย ๆ ชนดิ อาศยั อยู่ร่วมกันในแหล่งที่อยู่

เดียวกนั

119

4. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ด้านความรู้ (K)
1. นักเรียนอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในรูปแบบภาวะพึ่งพากัน ภาวะอิง

อาศยั ภาวะปรสติ และการลา่ เหยอื่ ได้
ดา้ นทักษะ (P)
1. นักเรยี นใช้ทกั ษะการจำแนกประเภท โดยการจัดกลุม่ สิง่ มชี วี ติ ตามความสัมพนั ธท์ ่ีมี

รปู แบบคล้ายคลงึ กนั ไว้ด้วยกันได้
ด้านเจตคติ (A)
1. นักเรยี นให้ความรว่ มมือในการทำกิจกรรมร่วมกับผ้อู ่ืนได้

5. คุณลักษณะผเู้ รยี น ซอื่ สตั ย์สุจรติ  มงุ่ มัน่ ในการทำงาน
5.1 คุณลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์
รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ อยอู่ ย่างพอเพยี ง  ใฝ่เรยี นรู้ มีจิตสาธารณะ
มีวนิ ัย รักความเปน็ ไทย

6. ดา้ นสมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
 ความสามารถในการส่อื สาร: นักเรียนสามารถส่ือสาร โดยการอภิปรายร่วมกนั เกย่ี วกับ

ความสัมพันธ์กนั ระหว่างสงิ่ มีชีวติ ในรปู แบบตา่ ง ๆ
 ความสามารถในการคดิ : นักเรียนสามารถคิด โดยการวิเคราะหค์ วามสัมพนั ธร์ ะหว่าง

สงิ่ มชี ีวติ ในรูปแบบตา่ ง ๆ แล้วลงความเห็นเกี่ยวกับรปู แบบความสมั พันธ์

7. สาระการเรียนรู้
สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่อยู่ร่วมกันในระบบนเิ วศจะมีปฏิสัมพนั ธ์กนั ในลักษณะต่าง ๆ สิ่งมีชีวิตบางชนิด

ได้ประโยชน์ บางชนดิ เสยี ประโยชน์ และบางชนดิ ไม่ได้และไมเ่ สียประโยชน์ การทสี่ ิง่ มีชีวิตสองชนิดมาอยู่
ร่วมกันโดยต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์เรียกรูปแบบความสัมพันธ์นี้ว่า ภาวะพึ่งพากัน (mutualism) เช่น
ปลาการ์ตูนกับดอกไม้ทะเล โดยปลาการ์ตูนใช้ดอกไม้ทะเลเป็นที่อยู่อาศัย หลบภัย และวางไข่ ส่วน
ดอกไม้ทะเลอาศัยปลาการ์ตูนล่อสัตว์น้ำชนิดอื่นให้เข้ามาใกล้ดอกไม้ทะเล เพื่อดอกไม้ทะเลจะได้จับสัตว์
น้ำนั้น ๆ เป็นอาหาร หรือกรณีของไลเคน ที่เป็นการอยู่ร่วมกันของราและสาหร่าย โดยราจะได้รับ
สารอาหารจกสาหร่าย ส่วนสาหรา่ ยกจ็ ะได้รับความชื้นจากรา

120

การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตที่ส่ิงมีชีวติ ชนดิ หนึ่งได้รับประโยชน์ ส่วนอีกชนิดหนึ่งไม่ได้และไม่เสยี
ประโยชน์ เรียกรปู แบบความสมั พนั ธน์ ว้ี ่า ภาวะองิ อาศยั (commensalism) ตวั อย่างเช่น ปลาเหาฉลาม
กับปลาฉลาม โดยปลาเหาฉลามได้ประโยชน์จากเศษอาหารท่ีปลาฉลามกิน ส่วนปลาฉลามไม่ได้ประโยชน์
จากปลาเหาฉลามแต่ก็ไม่เสียประโยชน์แต่อยา่ งใด หรือกรณีของกล้วยไม้ป่าทีเ่ กาะอยู่บนลำตนั ของตันไม้
ใหญ่ โดยกล้วยไม้ป่าได้รับความชื้นและที่อยู่อาศัยจากต้นไม้ใหญ่ ส่วนต้นไม้ใหญ่ไม่ได้รับประโยชน์จาก
กล้วยไมป้ า่ แตก่ ไ็ มเ่ สยี ประโยชน์เช่นเดียวกนั

ความสมั พันธร์ ะหว่างส่ิงมีชวี ิตท่ีอยู่ร่วมกันในลกั ษณะที่สงิ่ มีชวี ติ ชนิดหน่ึงได้ประโยชน์ แต่อีกชนิด
หนง่ึ เสยี ประโยชน์ โดยสิ่งมชี ีวติ ทไ่ี ด้ประโยชน์ เรียกวา่ ปรสติ (parasite) ต้องอาศัยอยู่กับสิ่งมีชีวิตท่ีเสีย
ประโยชน์ เรียกวา่ ผูถ้ ูกอาศยั (host) ซง่ึ ส่วนมากส่ิงมีชีวิตท่ีเป็นผู้ถูกอาศัยจะไมเ่ สียชีวิตในทันที รูปแบบ
ความสัมพันธ์นี้เรียกว่า ภาวะปรสิต (parasitism) ตัวอย่างเช่น เห็บบนตัวสุนัข โดยเห็บเป็นปรสิตได้
ประโยชน์จกการกินเลือดของสุนัขเป็นอาหาร ส่วนสุนัขเป็นผู้ถกู อาศัยเสียประโยชน์จากการสูญเสียเลือด
และอาจติดเช้ือโรคที่มาจากเหบ็ หรอื ในกรณีของกาฝากท่ีอาศัยอยู่บนต้นไม้ กาฝากเปน็ ปรสิตใช้รากเจาะ
ลำตนั ของตนั ไมเ้ พอ่ื ดูดนำ้ และอาหาร ส่วนตนั ไมเ้ ปน็ ผ้ถู กู อาศัยเสยี ประโยชน์ โดยจะถกู แย่งน้ำและอาหาร

ส่ิงมชี ีวติ บางชนดิ ท่ีอยใู่ นแหล่งที่อยเู่ ดียวกันจะมีการกนิ กนั เป็นอาหาร ซึง่ ฝ่ายหนึ่งจะได้ประโยชน์
ฝ่ายหนึ่งจะเสียประโยชน์ เรียกรูปแบบความสัมพันธ์นี้ว่า การล่าเหยื่อ (predation) โดยสิ่งมีชีวิตที่ได้
ประโยชน์จากการกินสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหารเรียกวา่ ผู้ล่า (predator) ส่วนสิ่งมีชีวิตท่ีเสียประโยชน์จาก
การถกู กนิ เป็นอาหารและเสียชวี ิตลงเรียกว่า เหยอื่ (prey) เช่น สิงโตกดั ควายป่า งูกับกบ โดยสิงโตและงู
เปน็ ผ้ลู า่ ส่วนควายป่าและกบเปน็ เหยื่อ

ในธรรมชาติเมื่อผู้ล่าเพิ่มจำนวนมากขึ้นจะทำให้เหยื่อซึ่งเป็นอาหารมีจำนวนลดลง หากผู้ล่ากิน
เหยอ่ื ชนดิ เดยี วเป็นอาหารจะส่งผลใหผ้ ู้ล่าขาดแคลนอาหารและเกิดการแข่งขนั เพื่อแย่งอาหาระหว่างผู้ล่า
ด้วยกันเอง ทำให้ผู้ล่ามีจำนวนลดลง ดังนั้นจำนวนของผู้ล่าและเหยื่อในระบบนิเวศหนึ่งจะมีการ
เปลี่ยนแปลงเพื่อทำให้เกิดความสมดุลของจำนนประชากรทั้งผู้ล่าและเหยื่อ ดังภาพ ซึ่งเป็นกราฟแสดง
ความสัมพันธ์ของจำนวนประชากรแมวปาลิงซ์กับกระต่ายป่า โดยแมวป่าลิงซ์เป็นผู้ล่า ส่วนกระต่ายป่า
เปน็ เหย่ือ

121

ภาพแสดง กราฟแสดงความสมั พันธข์ องจำนวนประชากรแมวปาลิงซก์ บั กระตา่ ยปา่
(ท่ีมา: หนงั สอื เรียนรายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ม.3 เลม่ 2 สสวท. หนา้ 178)

จากภาพ จะเห็นได้ว่า ประชากรของแมวป่าลิงซ์มีความสัมพันธ์กับประชากรกระต่ายป่า เม่ือ

กระตา่ ยปา่ มีจำนวนเพ่ิมข้ึนแมวปา่ ลิงซ์ก็จะเพ่ิมจำนวนข้ึนตามไปด้วย เพราะมอี าหารอดุ มสมบูรณ์ ในทาง

ตรงกันขา้ ม เมอ่ื จำนวนกระตา่ ยป่าลดลงก็จะส่งผลใหจ้ ำนวนประชากรของแมวป่าลิงซล์ ดลงตาม

ไปดว้ ย เพราะขาดแคลนอาหาร นอกจากน้ีหากเกิดภาวะแห้งแล้งเป็นเวลานานหรือเกดิ ภัยพบิ ัติอนื่ ๆ เช่น

ไฟป่า น้ำท่วม ที่ทำให้จำนวนประขากรพืชของกระต่ายป่าลดลง อาจส่งผลให้จำนวนประชากรของ

กระตา่ ยป่าและแมวปา่ ลิงซล์ ดลงอยา่ งรวดเรว็ เชน่ กนั

8. กิจกรรมการเรยี นรู้
ใชร้ ูปแบบการจดั การเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (1 ชว่ั โมง; 60 นาท)ี
ขั้นที่ 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement) (10 นาที)
1) ครูและนักเรียนสนทนาร่วมกัน เพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียน โดยครูใช้คำถาม

นำไปสู่การสนทนาว่า ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่มกี ารกินกันเป็นทอด ๆ เพื่อเชื่อมโยงไปยังความสัมพันธ์
แบบอ่ืน ๆ

2) ครูใชส้ ือ่ คลปิ วีดทิ ัศนเ์ รอื่ ง ปลาฉลามและเหาฉลาม สบื ค้นข้อมลู ได้จาก
https://www.youtube.com/watch?v=Mxpa6gPIbLE เพื่อให้นักเรียนเชื่อมโยงความสัมพันธ์
ระหว่างสง่ิ มชี ีวติ สองชนิดน้ี

ขั้นที่ 2 ขน้ั สำรวจและค้นหา (Exploration) (20 นาที)
3) ครเู ชื่อมโยงเขา้ สกู่ ิจกรรมที่ 7.4 สิ่งมชี ีวติ อย่รู ่วมกันอย่างไร โดยใชค้ ำถามว่า ในระบบ

นิเวศหนง่ึ ๆ ส่งิ มชี ีวติ ทีอ่ าศัยอยูร่ ว่ มกัน นอกจากจะมีปฏิสัมพนั ธก์ ันในดา้ นการกินต่อกนั เป็นทอด ๆ แล้ว

122

นักเรยี นคิดว่าสง่ิ มีชวี ิตจะมีความสมั พันธก์ ันในรูปแบบใดอีกบ้าง และมีปฏสิ ัมพนั ธ์ต่อกันอย่างไร (นักเรียน
ตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง)

4) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษา
ขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธกิ าร หน้า 175 และครู
ตรวจสอบความเขา้ ใจการอา่ น โดยใช้คำถามดังตอ่ ไปนี้

- กิจกรรมนี้เกยี่ วกบั เรอ่ื งอะไร (ปฏสิ มั พันธข์ องสง่ิ มีชีวิตทอี่ ยู่ร่วมกัน)
- กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อะไร (สืบค้นข้อมูลและอธิบายรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่าง
สิ่งมชี วี ติ กับสิง่ มีชวี ิตทอี่ ยู่รว่ มกัน)
- วิธีดำเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (อภิปรายและสืบค้นข้อมูล เพื่อวิเคราะห์
ความสัมพันธข์ องส่ิงมีชวี ิตแต่ละคู่ จำแนกคู่สิ่งมชี วี ิตตามเกณฑ์ และอภิปรายเกี่ยวกับความสัมพันธ์แต่ละ
ลกั ษณะ)
- นกั เรียนตอ้ งสงั เกตหรือรวบรวมข้อมลู อะไรบ้าง (รวบรวมข้อมูลจากการสืบคน้ และการ
อภิปรายลักษณะความสมั พนั ธ์ของค่สู ง่ิ มชี ีวิตแต่ละคู่)
5) ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเริ่มทำกิจกรรม ครูสังเกตการทำงานของนักเรียน ช่วยเหลือใน
การหาคำตอบความสัมพันธ์แต่ละแบบเมื่อนักเรียนมีข้อสงสัย เน้นให้นักเรียนสืบค้นเพิ่มเติม วิเคราะห์
และหาหลกั ฐาน เพ่ือสนับสนนุ แนวความคิดเก่ยี วกบั ความสมั พนั ธ์ของสิง่ มีชวี ิตในรปู แบบต่าง ๆ เพ่มิ เตมิ
ขัน้ ท่ี 3 ขน้ั อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) (10 นาที)
6) นกั เรียนบนั ทกึ การทำกิจกรรมลงในแบบบนั ทึกการค้นคว้ากจิ กรรมที่ 7.4 สิง่ มีชีวติ อยู่
ร่วมกันอย่างไร โดยสรุปผลกิจกรรม เพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า ในธรรมชาติสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่อยู่
ร่วมกนั มีความสมั พันธ์กันในลกั ษณะตา่ ง ๆ สง่ิ มีชีวิตบางชนดิ ไดป้ ระโยชน์ บางชนิดเสียประโยชน์ และบาง
ชนิดไม่ได้และไม่เสียประโยชน์
7) นักเรียนทำกิจกรรมบัตรคำความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต โดยการแบ่งนักเรียนออกเป็น
4 กลุม่ พรอ้ มกบั แจกบัตรคำ แล้วใหน้ ำบตั รคำมาเติมใหต้ รงกบั ภาพทกี่ ำหนดให้ ดังตัวอยา่ ง

123

ข้นั ท่ี 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาที)
8) นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเนื้อหาหน้า 176-177 เกี่ยวกับรูปแบบของความสัมพันธ์

ระหว่างสิง่ มีชวี ติ กบั สิ่งมีชวี ติ และใช้คำถามดังนี้
- ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตแบบใดที่เป็นประโยชน์ต่อระบบนิเวศ เพราะเหตุใด

(นักเรียนตอบตามความเข้าใจและประสบการณ์เดิม ครูพยายามกระตุ้นให้นักเรียนตอบให้ครบทุกแบบ
เช่น ภาวะปรสิตและการล่าเหยื่อจะช่วยควบคุมจำนวนประชากรของสิ่งมีชีวิตบางชนิดให้มีจำนวน
เหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไปในธรรมชาติ ภาวะอิงอาศัยและภาวะพึ่งพากันสามารถทำให้ประชากร
ของสิง่ มีชีวติ เพิ่มจำนวนประชากรได้ดี ทำใหเ้ พม่ิ แหลง่ อาหารให้กบั สิง่ มชี ีวิตทบี่ รโิ ภคสงิ่ มชี ีวติ เหล่าน้ันเป็น
อาหาร)

- ยกตัวอย่างคู่สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่มีความสัมพันธ์กันในรูปแบบต่าง ๆ (คำตอบขึ้นอยู่กับ
ข้อมลู ท่ีมาจากการสืบคน้ หรอื จากประสบการณเ์ ดมิ ของนักเรียน)

- ภาวะปรสิตกับการล่าเหยื่อเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (แนวคำตอบ การล่าเหย่ือ
คือ การที่สิ่งมีชีวิตหนึ่งกินสิ่งมีชีวิตหนึ่งโดยตรง ซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตที่เป็นเหยื่อตายลงส่วนภาวะปรสิต
สิ่งมีชวี ิตท่ีเป็นปรสติ จะเบียดเบียนเอาอาหารหรือสารอาหารจากเจ้าบ้าน โดยไม่ได้ทำให้สิง่ มีชีวิตเจ้าบา้ น
ตายลงในทนั ที แต่ความสัมพนั ธ์ทง้ั สองแบบก็เหมือนกันตรงท่ีส่งิ มชี วี ติ หน่ึงได้ประโยชน์ขณะท่ีสิ่งมีชีวิตอีก
ชนดิ หนึ่งเสยี ประโยชน)์

ข้นั ที่ 5 ขั้นประเมิน (Evaluation) (10 นาที)
9) ครแู ละนักเรยี นอภิปรายผลการทำกจิ กรรม สง่ิ มีชวี ิตที่อย่รู ่วมกันจะมีปฏสิ มั พันธ์กันใน

รูปแบบต่าง ๆ จะไดข้ ้อสรปุ ว่า
- ภาวะพงึ่ พากนั เป็นภาวะท่สี ิ่งมีชีวติ สองชนิดมาอยู่ร่วมกันแล้ว ส่งิ มีชีวิตทั้งสองชนิดมา

อย่รู ่วมกันจะไดป้ ระโยชน์
- ภาวะอิงอาศัย เป็นภาวะที่สิ่งมีชีวิตสองชนิดมาอยู่ร่วมกันแล้ว สิ่งมีชีวิตหนึ่งได้

ประโยชน์ โดยทส่ี งิ่ มชี วี ิตหนงึ่ ไม่เสยี ประโยชน์และไมไ่ ด้ประโยชน์
- ภาวะปรสิต เป็นภาวะที่สิ่งมีชีวิตสองชนิดมาอยู่ร่วมกันแล้ว สิ่งมีชีวิตหนึ่งได้ประโยชน์

(ปรสิต) ส่งิ มีชีวิตหนึง่ เสยี ประโยชน์ (ผถู้ กู อาศัย)
- การล่าเหยอ่ื เป็นภาวะทส่ี ่ิงมีชีวิตสองชนิดมาอยู่รว่ มกันแลว้ สงิ่ มีชีวิตหน่ึงได้ประโยชน์

(ผู้ลา่ ) สิง่ มชี ีวิตหนึง่ เสยี ประโยชน์ (เหยอื่ )

124

10) ครูตรวจสอบการส่งแบบบันทึกการค้นคว้าของนักเรียนและให้คะแนนประเมินตาม
เกณฑ์การประเมิน (Rubrics Score)

9. สอ่ื การเรยี นรู้/แหล่งเรียนรู้

9.1 คลิปวดี ทิ ศั น์: ความสมั พันธร์ ะหว่างปลาฉลามและเหาฉลาม

https://www.youtube.com/watch?v=Mxpa6gPIbLE

9.2 ใบกจิ กรรม: ใบกจิ กรรมท่ี 7.4 ส่ิงมชี ีวติ อยู่ร่วมกนั อย่างไร

9.3 แบบบันทึกกจิ กรรม: แบบบันทกึ การค้นควา้ กิจกรรมที่ 7.4 สิง่ มีชีวิตอยรู่ ว่ มกนั อย่างไร

9.4 แหลง่ เรียนรู้: หนงั สือเรียนรายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศึกษาปี

ที่ 3 เล่ม 2 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช

2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ

9.5 เกม: บัตรคำความสัมพนั ธข์ องส่ิงมีชวี ติ

10. ภาระงาน
- แบบบันทกึ การคน้ ควา้ กจิ กรรมที่ 7.4 สง่ิ มชี ีวติ อยู่ร่วมกันอย่างไร

125

11. การวัดและการประเมนิ

ตวั ช้วี ัด/ผลการเรียนรู้ วธิ กี ารวัด เครอ่ื งมือวัด เกณฑท์ ใี่ ชใ้ นการ
- คำถามทา้ ยกจิ กรรมท่ี 7 ประเมนิ
1. อธบิ ายความสมั พันธ์ระหวา่ ง - ตรวจการตอบ
สิ่งมชี วี ิตอยรู่ ว่ มกนั - ได้ไมน่ ้อยกวา่ 2
ส่ิงมชี ีวติ ในรูปแบบภาวะ คำถามท้าย อยา่ งไร จำนวน 2 ข้อ คะแนน

พ่ึงพากนั ภาวะอิงอาศยั กิจกรรมที่ 7.4 - แบบบันทกึ การค้นควา้ ระดับคุณภาพดี
กจิ กรรมที่ 7.4 ถอื ว่าผ่านการ
ภาวะปรสติ และการล่าเหยื่อ ส่งิ มีชวี ติ อยู่ร่วมกัน ประเมินดา้ น
อย่างไร ความรู้
(ด้านความรู้: K) - ได้ไม่น้อยกวา่ 2
- เกณฑ์การประเมินความ คะแนน
2. การใช้ทกั ษะการจำแนก - ตรวจการทำแบบ รว่ มมือในการทำกจิ กรรม ระดับคุณภาพดี
ร่วมกบั ผูอ้ ่ืนของนักเรยี น ถอื ว่าผ่านการ
ประเภท โดยการจดั กลุ่ม บนั ทกึ การคน้ ควา้ ประเมนิ
ด้านกระบวนการ
ส่ิงมีชีวิตตามความสมั พันธ์ทม่ี ี กิจกรรมที่ 7.4 - ได้ไม่น้อยกวา่ 2
คะแนน
รปู แบบคลา้ ยคลึงกันไวด้ ว้ ยกัน ระดับคุณภาพดี ถือ
วา่ ผา่ นการประเมิน
(ด้านกระบวนการ: P) ดา้ นเจตคติ

3. ใหค้ วามร่วมมอื ในการ - สังเกตความรว่ มมือ
ทำกจิ กรรมรว่ มกบั ผอู้ ่นื ได้ ในการทำกิจกรรม
(ดา้ นเจตคติ: A) ของนักเรยี น

11.1 เกณฑ์การประเมินผลนักเรียน เกณฑ์การประเมนิ (Rubrics Score)

ประเด็นการประเมิน คา่ นำ้ หนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
คะแนน

การให้คะแนนตอบ 3 ตอบคำถามท้ายกจิ กรรมท่ี 7.4 ถกู ต้อง จำนวน 2 ข้อ

คำถามทา้ ย 2 ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมท่ี 7.4 ถกู ต้อง จำนวน 1 ขอ้
กจิ กรรมท่ี 7.4 1 ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมท่ี 7.4 ไม่ถูกต้อง

126

ประเด็นการประเมนิ ค่าน้ำหนัก แนวทางการให้คะแนน
คะแนน

บันทึกผลการทำกิจกรรม จากการจำแนกความสมั พนั ธ์ของ

3 สิ่งมีชีวติ ทมี่ รี ปู แบบเดยี วกันไวด้ ว้ ยกัน ไดถ้ ูกต้องตามเกณฑ์ที่

กำหนด เหมาะสมและสอดคล้องกับเนื้อหาในกิจกรรม

การให้คะแนนการบนั ทึก 2 บนั ทึกผลการทำกจิ กรรม จากการจำแนกความสมั พนั ธ์ของ
แบบบันทึกการค้นคว้า สง่ิ มชี ีวิตท่มี รี ูปแบบเดียวกนั ไวด้ ้วยกัน ไดถ้ ูกต้องตามเกณฑ์ที่
กำหนด มคี วามสอดคล้องกบั เนอื้ หาในกจิ กรรม
กิจกรรมที่ 7.4 บันทกึ ผลการทำกจิ กรรม จากการจำแนกความสัมพนั ธข์ อง

1 ส่งิ มชี ีวิตท่ีมีรปู แบบเดยี วกันไวด้ ว้ ยกนั ไดถ้ กู ต้องตามเกณฑ์ท่ี
กำหนด ไมเ่ หมาะสม เกดิ ข้อผิดพลาด ไม่สอดคล้องกับเนือ้ หาใน

กจิ กรรม

ให้ความร่วมมือในทำกิจกรรมรว่ มกบั ผูอ้ ่นื ตลอดท้งั คาบเรียน ไม่

3 ก่อความวนุ่ วายหรอื ปัญหาทีร่ บกวนการเรียนของผ้อู ่ืน เช่น พูด
เสียงดังโวยวาย ลุกเดินไปมา หรือชวนผูอ้ ่นื คยุ เลน่ ขณะครูทำ

การสอน

การให้คะแนนความ ใหค้ วามร่วมมือในทำกิจกรรมร่วมกบั ผอู้ ื่นเปน็ บางคร้ังในคาบ

รว่ มมอื ในการทำกจิ กรรม 2 เรยี น และ
รว่ มกับผอู้ ื่น กอ่ ความวุ่นวายหรอื ปัญหาท่รี บกวนการเรียนของผ้อู ื่น เช่น พดู

เสียงดังโวยวาย ลุกเดนิ ไปมา หรือชวนผ้อู น่ื คุยเลน่ ขณะครูสอน

ไมใ่ ห้ความร่วมมือในทำกจิ กรรมร่วมกับผู้อืน่ ทำใหเ้ กิดความ

1 วุ่นวายหรอื ปัญหาท่รี บกวนการเรียนของผู้อื่น เช่น พูดเสยี งดัง

โวยวาย ลกุ เดินไปมา หรือ ชวนผ้อู น่ื คยุ เล่น ขณะครูทำการสอน

11.2 ระดับคณุ ภาพ

คะแนนรวมเฉลี่ย 6.00 - 5.00 หมายถงึ ดมี าก

คะแนนรวมเฉลย่ี 4.00 - 3.00 หมายถึง ดี

คะแนนรวมเฉลี่ย 2.00 - 1.00 หมายถงึ พอใช้

ดังน้นั นักเรียนตอ้ งได้คะแนนเฉล่ียทกุ ประเด็นการประเมิน ไม่ตำ่ กว่า 2.00 แสดงระดับ

คุณภาพ ดี ถอื ว่าผ่านเกณฑ์การประเมนิ ในแผนการจดั การเรยี นที่ 13

127

12. บนั ทึกหลงั การสอน
❖ ผลหลังการสอน

......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................ ..............................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................... ...................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................

❖ ปัญหา/อุปสรรค
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................

❖ แนวทางแก้ไข
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
........

ลงชอื่ ........................................................ผสู้ อน
(นางสาวศิริวลิ าศลกั ษ์ เกิดกนั โณ )
……../……../……..

128

13. ความเห็นครูพเ่ี ล้ยี ง
ใช้จัดกจิ กรรมการเรียนรไู้ ด้
ปรบั ปรุงแผนการสอน

ความคิดเหน็ และข้อแสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ …………………………… ครูพเี่ ลี้ยง
( นางจนิ ดา บรริ ักษ์ )
……../……../……..

14. ความเห็นหัวหน้ากลมุ่ สาระวทิ ยาศาสตร์
ใชจ้ ัดกจิ กรรมการเรียนรู้ได้
ปรบั ปรุงแผนการสอน

ความคิดเหน็ และข้อแสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื …………………………… หัวหนา้ กลมุ่ สาระวทิ ยาศาสตร์
( นางจนิ ดา บรริ ักษ์ )
……../……../……..

15. ความเหน็ ของผู้อำนวยการโรงเรยี น
ใช้จัดกิจกรรมการเรยี นรไู้ ด้
ปรับปรงุ แผนการสอน

ความคดิ เห็นและข้อแสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ………………………………… ผอู้ ำนวยการโรงเรียน
( นายเดชา จันทกิ าแก้ว )
……../……../…….

ส่อื การเรียนรู้แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 13: 129
คลปิ วดี ที ศั น์: พรี ะมดิ พลังงาน สอ่ื วดี ทิ ัศน์

สื่อคลิปวดี ีทศั น์เร่ือง พีระมิดพลงั งาน อธบิ ายเกยี่ วกบั ปลาเหาฉลาม(Echeneis naucrates)
เหาฉลามชนดิ หนึง่ แนบตัวเองกับปลาฉลามและสตั วท์ ะเลอ่ืน ๆ โดยใชค้ รบี หลังแรกที่มีวิวฒั นาการมา
เปน็ ตัวดูด ลาเหาฉลามได้รบั ทนี่ ง่ั ฟรีและกินเศษอาหารท่เี หลอื จากผ้ใู ห้อาศัย(โฮสต)์ ซึ่งยังไดร้ ับป้องกันภยั
อีกดว้ ย นี่เรียกวา่ ความสมั พนั ธแ์ บบภาวะองิ อาศัยหรือภาวะเกื้อกูล

แหลง่ ท่ีมา: เวบ็ ไซตอ์ า้ งองิ
https://www.youtube.com/watch?v=Mxpa6gPIbLE
เผยแพรเ่ มื่อ 18 กันยายน พ.ศ. 2555
(ชอ่ งYouTube: Bubble Vision)

130

ส่อื การเรียนรู้แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 13: ใบกจิ กรรมท่ี 7.4

ใบกจิ กรรมท่ี 7.4 สิ่งมีชวี ติ อยูร่ ่วมกนั อยา่ งไร

หนังสอื เรียนรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 เล่ม 2 ตามหลกั สตู ร
แกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) สสวท.
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร หนา้ 175

กจิ กรรมที่ 7.4 ส่งิ มีชีวิตอยรู่ ว่ มกันอย่างไร?

จดุ ประสงค์ สบื ค้นขอ้ มูลและอธบิ ายรูปแบบความสมั พันธ์ระหว่างสิง่ มีชวี ติ กบั สง่ิ มีชีวติ ที่อยรู่ ่วมกนั

วัสดุอปุ กรณ์ -

วธิ ดี ำเนิน 1. อภปิ รายความสมั พันธ์ระหวา่ งสงิ่ มชี วี ติ ที่อยรู่ ว่ มกนั แต่ละคดู่ ังต่อไปนี้

กิจกรรม • ควายกับนกเอีย้ ง • หมดั กบั สนุ ัข

• กาฝากกบั มะมว่ ง • ปลาเหาฉลามกับปลาฉลาม

• เสือโครงกับกวางดาว • ปลาการต์ ูนกับดอกไมท้ ะเล

• กลว้ ยไมป้ ่ากับยางนา • ตั๊กแตนตำขา้ วกบั แมลงปอ

2. สบื คน้ ขอ้ มลู เพิ่มเติม วเิ คราะห์ความสัมพันธร์ ะหว่างสิ่งมีชีวติ แต่ละคู่ และรว่ มกัน

อภปิ รายว่า ส่งิ มีชวี ติ ชนดิ ใดไดป้ ระโยชน์ สงิ่ มชี วี ติ ใดเสียประโยชน์ หรือสิ่งมชี วี ิตใดไม่ได้

และไม่เสยี ประโยชน์ บันทึกผลโดยทำเครอ่ื งหมายดังนี้

+ แทน สิ่งมีชวี ติ ทีไ่ ดป้ ระโยชน์

- แทน ส่งิ มีชวี ิตทเ่ี สยี ประโยชน์

0 แทน ส่งิ มชี ีวิตท่ีไม่ได้และไม่เสยี ประโยชน์

3. จำแนกรปู แบบความสัมพันธ์ของส่ิงมชี วี ติ ในข้อ 2 ออกเป็นกลุม่ บนั ทึกผลและ

นำเสนอ

4. ร่วมกนั อภิปรายเกีย่ วกับความสัมพันธ์ของสิ่งมชี วี ติ แตล่ ะกลุ่ม

คำถามท้ายกจิ กรรม

1. ลักษณะความสัมพนั ธ์ระหว่างสง่ิ มชี ีวิตท่กี ำหนดใหม้ ีกก่ี ลุม่ และสิ่งมีชวี ติ แต่ละกลมุ่ มีความสัมพันธก์ นั

อยา่ งไร

2. จากกจิ กรรม สรปุ ไดว้ า่ อย่างไร

131

ส่ือการเรียนรู้แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 13: แบบบนั ทึกการคน้ คว้ากจิ กรรมที่ 7.4

แบบบนั ทึกการคน้ ควา้ กจิ กรรมท่ี 7.4 สิง่ มีชีวติ อยู่ร่วมกันอยา่ งไร

ชื่อ-นามสกุล..........................................................................................ชนั้ .................เลขท.่ี ..........กลุ่มท.ี่ ...........
 ตารางบันทึกผลการทำกจิ กรรม

คู่สิ่งมีชีวติ สง่ิ มีชวี ิตตัวที่ 1 ส่ิงมีชวี ติ ตัวท่ี 2 ลกั ษณะความสมั พนั ธ์
ววั กับนกเอีย้ ง
กาฝากกับมะม่วง
เสือโครง่ กับกวางดาว
กล้วยไม้ปา่ กับตน้ ยางนา
หมดั กบั สนุ ขั
ปลาเหาฉลามกบั ปลาฉลาม
ปลาการ์ตนู กับดอกไม้ทะเล
ตก๊ั แตนตำขา้ วกบั แมลงปอ

 คำถามท้ายกิจกรรม

1. ลักษณะความสัมพนั ธ์ระหว่างสงิ่ มชี ีวิตทก่ี ำหนดให้มีกี่กลุ่ม และสิ่งมีชีวติ แตล่ ะกลุ่มมีความสัมพันธก์ นั อย่างไร

ตอบ ………………..…………………………………………………………………………………………………………………………………

………………..…………………………………………………………………………………………………………………………………

2. จากกิจกรรม สรุปไดว้ า่ อยา่ งไร

ตอบ ………………..…………………………………………………………………………………………………………………………………

ลกั ษณะการอยรู่ ว่ มกัน ผลที่เกดิ ขนึ้ กบั ส่ิงมีชวี ิตทง้ั สองชนดิ

ภาวะพง่ึ พากัน

ภาวะอิงอาศยั

การล่าเหยอื่

ภาวะปรสติ

132

แนบท้ายแผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 13: การใหค้ ะแนนดา้ นกระบวนการ (P)

แนวทางบันทกึ การค้นคว้ากิจกรรมท่ี 7.4 ส่ิงมีชีวิตอยูร่ ่วมกันอย่างไร

 ตารางบนั ทกึ ผลการทำกจิ กรรม

คู่ส่ิงมชี ีวิต ส่ิงมีชีวติ ตัวที่ 1 สงิ่ มีชีวิตตัวท่ี 2 ลักษณะความสมั พนั ธ์
ววั กับนกเอยี้ ง วัว + นกเอ้ยี ง + (+ , +)
กาฝากกบั มะม่วง มะม่วง - (+ , -)
เสือโคร่งกับกวางดาว กาฝาก + กวางดาว - (+ , -)
กล้วยไมป้ า่ กบั ตน้ ยางนา เสอื โครง่ + ตน้ ยางนา 0 (+ , 0)
หมดั กับสนุ ัข กลว้ ยไมป้ า่ + สนุ ัข - (+ , -)
ปลาเหาฉลามกับปลาฉลาม หมัด + ปลาฉลาม 0 (+ , 0)
ปลาการ์ตูนกบั ดอกไม้ทะเล ปลาเหาฉลาม + (+ , +)
ตกั๊ แตนตำข้าวกับแมลงปอ ปลาการ์ตนู + ดอกไมท้ ะเล + (+ , -)
ตั๊กแตนตำขา้ ว + แมลงปอ -

133

แนบท้ายแผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 13: การให้คะแนนดา้ นความรู้ (K)

เฉลยใบกิจกรรมท่ี 7.4 ส่ิงมีชีวิตอยรู่ ่วมกันอย่างไร
เฉลยคำถามท้ายกจิ กรรม

1. ลักษณะความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสิ่งมชี ีวติ ทก่ี ำหนดให้มีกี่กลมุ่ และส่ิงมีชวี ิตแต่ละกลุ่มมคี วามสัมพันธก์ ัน
อย่างไร

แนวคำตอบ ความสัมพันธม์ ที ้ังหมด 3 แบบ ได้แก่
• แบบที่ 1 คือ สง่ิ มีชีวิตหนึ่งทง้ั สองชนิดได้ประโยชน์ (+ , +)
• แบบท่ี 2 คือ สิ่งมชี ีวิตหน่ึงได้ประโยชน์ และสง่ิ มีชวี ิตหน่งึ ไม่เสยี หรือได้ประโยชน์

(+ , 0)
• แบบท่ี 3 คอื ส่ิงมชี วี ิตหนง่ึ ไดป้ ระโยชน์ และสิ่งมชี วี ิตหนึง่ เสียประโยชน์ (+ , -)

2. จากกจิ กรรม สรุปได้ว่าอยา่ งไร
แนวคำตอบ ความสมั พันธ์มที ั้งหมด 4 แบบ โดยมีรายละเอียดดังตอ่ ไปนี้

ลักษณะการอย่รู ว่ มกนั ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ กับส่ิงมีชวี ิตทง้ั สองชนดิ

ภาวะพง่ึ พากัน สิง่ มีชวี ิตทงั้ สองชนิดได้ประโยชน์ทงั้ คู่ (+,+)

ภาวะองิ อาศัย สิ่งมีชีวิตหนงึ่ ได้ประโยชน์ โดยที่สง่ิ มชี วี ติ หน่ึงไมเ่ สียประโยชนแ์ ละไม่ไดป้ ระโยชน์ (+,0)

การล่าเหยอ่ื สงิ่ มชี ีวิตหน่งึ ได้ประโยชน์ (ผู้ลา่ ) สง่ิ มชี วี ติ หน่งึ เสยี ประโยชน์ (เหย่อื ) (+,-)

ภาวะปรสติ สิ่งมีชวี ติ หน่ึงไดป้ ระโยชน์ (ปรสติ ) ส่งิ มชี วี ิตหนง่ึ เสียประโยชน์ (ผู้ถูกอาศยั ) (+,-)

134

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 14

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์พืน้ ฐาน รหัสวชิ า ว23101
ปกี ารศกึ ษา 2563
ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนท่ี 2
เวลา 2 ชว่ั โมง
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 7 ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชวี ภาพ
ครูพีเ่ ลยี้ ง นางจินดา บริรักษ์
เร่ือง ความสมั พันธ์ของส่งิ มชี ีวิตในระบบนเิ วศ

ผู้สอน นางสาวศริ วิ ลิ าศลักษ์ เกิดกันโณ

1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตและ

ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลง
แทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและ
ส่งิ แวดลอ้ ม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม รวมทั้งนำความรู้
ไปใชป้ ระโยชน์

2. ตวั ชีว้ ดั
ว 1.1 ม.3/2 อธิบายรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวติ กับสิ่งมีชีวติ รปู แบบต่าง ๆ ในแหล่งที่

อยเู่ ดยี วกันทไ่ี ด้จากการสำรวจ

3. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
1) สิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาวะพึ่งพากัน ภาวะอิงอาศัย

ภาวะเหยอ่ื กับผูล้ า่ ภาวะปรสิต
2) สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อาศัยอยู่ร่วมกันในแหล่งที่อยู่เดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน เรียกว่า

ประชากร
3) กล่มุ สิง่ มีชวี ติ ประกอบดว้ ยประชากรของสิ่งมชี ีวติ หลาย ๆ ชนิด อาศยั อยู่ร่วมกันในแหล่งที่อยู่

เดยี วกนั

135

4. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ดา้ นความรู้ (K)
1. นักเรยี นวิเคราะหค์ วามสมั พันธ์ของส่งิ มชี ีวติ ตา่ งชนิดกันท่อี ยู่ร่วมกนั แบบตา่ ง ๆ ได้
ด้านทกั ษะ (P)
1. นักเรียนใช้ทกั ษะการลงความเหน็ จากข้อมลู โดยนำข้อมูลท่ไี ด้จากการสังเกตส่ิงมชี วี ิต

มาเชื่อมโยง เพื่ออธบิ ายเกยี่ วกบั รปู แบบความสมั พนั ธ์ระหว่างสงิ่ มชี วี ิต
ดา้ นเจตคติ (A)
1. นกั เรยี นใหค้ วามร่วมมอื ในการทำกจิ กรรมรว่ มกับผูอ้ น่ื ได้

5. คณุ ลักษณะผ้เู รียน ซอ่ื สัตย์สจุ ริต  มุ่งมนั่ ในการทำงาน
5.1 คณุ ลักษณะที่พงึ ประสงค์
รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง  ใฝเ่ รยี นรู้ มจี ติ สาธารณะ
มีวนิ ยั รักความเป็นไทย

6. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
 ความสามารถในการสอื่ สาร: นกั เรยี นสามารถสื่อสาร โดยการอภปิ รายรว่ มกนั เกี่ยวกับ

ความสมั พันธ์กนั ระหวา่ งสงิ่ มีชีวิตในรปู แบบตา่ ง ๆ
 ความสามารถในการคดิ : นกั เรยี นสามารถคิด โดยการวิเคราะหค์ วามสัมพันธ์ระหว่าง

สง่ิ มีชีวิตในรูปแบบตา่ ง ๆ แล้วลงความเหน็ เกย่ี วกบั รูปแบบความสัมพันธ์

7. สาระการเรียนรู้
สิ่งมีชวี ิตต่าง ๆ ที่อยู่ร่วมกันในระบบนเิ วศจะมีปฏิสัมพนั ธ์กนั ในลักษณะต่าง ๆ สิ่งมีชีวิตบางชนดิ

ไดป้ ระโยชน์ บางชนดิ เสยี ประโยชน์ และบางชนดิ ไม่ได้และไมเ่ สียประโยชน์ การที่สงิ่ มีชีวิตสองชนิดมาอยู่
ร่วมกันโดยต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์เรียกรูปแบบความสัมพันธ์นี้ว่า ภาวะพึ่งพากัน (mutualism) เช่น
ปลาการ์ตูนกับดอกไม้ทะเล โดยปลาการ์ตูนใช้ดอกไม้ทะเลเป็นที่อยู่อาศัย หลบภัย และวางไข่ ส่วน
ดอกไม้ทะเลอาศัยปลาการ์ตูนล่อสัตว์น้ำชนิดอื่นให้เข้ามาใกล้ดอกไม้ทะเล เพื่อดอกไม้ทะเลจะได้จับสัตว์
น้ำนั้น ๆ เป็นอาหาร หรือกรณีของไลเคน ที่เป็นการอยู่ร่วมกันของราและสาหร่าย โดยราจะได้รับ
สารอาหารจกสาหรา่ ย ส่วนสาหรา่ ยก็จะไดร้ บั ความช้นื จากรา

การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวติ ที่สิ่งมีชีวติ ชนดิ หนึง่ ได้รับประโยชน์ ส่วนอีกชนิดหนึ่งไม่ได้และไม่เสีย
ประโยชน์ เรยี กรูปแบบความสมั พันธ์น้วี ่า ภาวะองิ อาศัย (commensalism) ตวั อย่างเชน่ ปลาเหาฉลาม

136

กับปลาฉลาม โดยปลาเหาฉลามได้ประโยชน์จากเศษอาหารที่ปลาฉลามกนิ สว่ นปลาฉลามไม่ได้ประโยชน์
จากปลาเหาฉลามแต่ก็ไม่เสียประโยชน์แต่อยา่ งใด หรือกรณีของกล้วยไม้ป่าที่เกาะอยู่บนลำตนั ของตันไม้
ใหญ่ โดยกล้วยไม้ป่าได้รับความชื้นและที่อยู่อาศัยจากต้นไม้ใหญ่ ส่วนต้นไม้ใหญ่ไม่ได้รับประโยชน์จาก
กลว้ ยไมป้ า่ แตก่ ็ไม่เสยี ประโยชนเ์ ช่นเดียวกัน

ความสมั พนั ธ์ระหว่างส่ิงมชี ีวิตท่ีอยรู่ ว่ มกันในลกั ษณะท่ีสิง่ มีชีวติ ชนิดหน่ึงได้ประโยชน์ แต่อีกชนิด
หนงึ่ เสียประโยชน์ โดยสิ่งมชี วี ติ ทไี่ ด้ประโยชน์ เรียกวา่ ปรสติ (parasite) ตอ้ งอาศัยอยู่กับส่ิงมีชีวิตที่เสีย
ประโยชน์ เรียกว่า ผู้ถกู อาศยั (host) ซงึ่ ส่วนมากส่ิงมชี วี ิตที่เป็นผู้ถูกอาศยั จะไม่เสียชีวิตในทันที รูปแบบ
ความสัมพันธ์นี้เรียกว่า ภาวะปรสิต (parasitism) ตัวอย่างเช่น เห็บบนตัวสุนัข โดยเห็บเป็นปรสิตได้
ประโยชน์จกการกินเลือดของสุนัขเป็นอาหาร ส่วนสุนัขเป็นผู้ถกู อาศัยเสียประโยชน์จากการสูญเสียเลือด
และอาจติดเชื้อโรคที่มาจากเหบ็ หรือในกรณีของกาฝากท่ีอาศัยอยู่บนตน้ ไม้ กาฝากเปน็ ปรสิตใช้รากเจาะ
ลำตนั ของตนั ไม้เพ่ือดดู น้ำและอาหาร ส่วนตันไมเ้ ป็นผู้ถูกอาศยั เสียประโยชน์ โดยจะถูกแยง่ น้ำและอาหาร

สงิ่ มีชวี ิตบางชนดิ ทีอ่ ยใู่ นแหล่งท่ีอยู่เดยี วกันจะมีการกินกนั เป็นอาหาร ซ่ึงฝ่ายหนง่ึ จะได้ประโยชน์
ฝ่ายหนึ่งจะเสียประโยชน์ เรียกรูปแบบความสัมพันธ์นี้ว่า การล่าเหยื่อ (predation) โดยสิ่งมีชีวิตที่ได้
ประโยชน์จากการกนิ สิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหารเรียกว่า ผู้ล่า (predator) ส่วนสิ่งมีชีวิตที่เสียประโยชน์จาก
การถูกกินเป็นอาหารและเสยี ชวี ิตลงเรียกว่า เหย่ือ (prey) เชน่ สงิ โตกดั ควายป่า งูกบั กบ โดยสิงโตและงู
เป็นผู้ล่า สว่ นควายป่าและกบเป็นเหย่อื

ในธรรมชาติเมื่อผู้ล่าเพิ่มจำนวนมากขึ้นจะทำให้เหยื่อซึ่งเป็นอาหารมีจำนวนลดลง หากผู้ล่ากิน
เหยื่อชนิดเดียวเปน็ อาหารจะส่งผลให้ผู้ล่าขาดแคลนอาหารและเกิดการแข่งขนั เพ่ือแย่งอาหาระหว่างผู้ล่า
ด้วยกันเอง ทำให้ผู้ล่ามีจำนวนลดลง ดังนั้นจำนวนของผู้ล่าและเหยื่อในระบบนิเวศหนึ่งจะมีการ
เปลี่ยนแปลงเพื่อทำให้เกิดความสมดุลของจำนนประชากรทั้งผู้ล่าและเหยื่อ ดังภาพ ซึ่งเป็นกราฟแสดง
ความสัมพันธ์ของจำนวนประชากรแมวปาลิงซ์กับกระต่ายป่า โดยแมวป่าลิงซ์เป็นผู้ล่า ส่วนกระต่ายป่า
เป็นเหยือ่

ภาพแสดง กราฟแสดงความสัมพนั ธข์ องจำนวนประชากรแมวปาลงิ ซ์กับกระต่ายป่า
(ทีม่ า: หนังสือเรยี นรายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ม.3 เล่ม 2 สสวท. หนา้ 178)

137

จากภาพ จะเห็นได้ว่า ประชากรของแมวป่าลิงซ์มีความสัมพันธ์กับประชากรกระต่ายป่า เม่ือ
กระตา่ ยป่ามีจำนวนเพิ่มขน้ึ แมวป่าลิงซ์กจ็ ะเพ่ิมจำนวนขึ้นตามไปดว้ ย เพราะมีอาหารอุดมสมบูรณ์ ในทาง
ตรงกันข้าม เมื่อจำนวนกระต่ายป่าลดลงก็จะส่งผลให้จำนวนประชากรของแมวป่าลิงซ์ลดลงตามไปด้วย
เพราะขาดแคลนอาหาร นอกจากนี้หากเกิดภาวะแห้งแล้งเป็นเวลานานหรือเกิดภัยพิบัติอื่น ๆ เช่น ไฟป่า
น้ำท่วม ที่ทำให้จำนวนประขากรพืชของกระต่ายป่าลดลง อาจส่งผลให้จำนวนประชากรของกระต่ายป่า
และแมวป่าลงิ ซ์ลดลงอยา่ งรวดเรว็ เชน่ กัน

8. กิจกรรมการเรยี นรู้
ใช้รูปแบบการจดั การเรยี นการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (2 ชวั่ โมง;

120 นาท)ี
ขน้ั ท่ี 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement) (10 นาที)
1) ครนู ำเสนอบัตรภาพจำนวน 2 ภาพ แลว้ ให้นกั เรยี นวเิ คราะห์ความสมั พันธ์ ดังน้ี
- ภาพท่ี 1 แสดงผเี สือ้ ตอมดอกไม้ (ผีเสือ้ กำลงั ช่วยผสมเกสรดอกไม้ สว่ นดอกไม้

ให้นำ้ หวานเปน็ อาหารแก่ผีเสอ้ื )
- ภาพที่ 2 แสดงไลเคนเกาะบนต้นไม้ (ไลเคนเปน็ ส่ิงมชี ีวติ 2 ชนดิ อาศยั ร่วมกัน

ระหวา่ ง ราและสาหร่าย ซ่ึงจะขาดสิ่งใดสงิ่ หน่งึ ไม่ได้ ต้องอยูร่ ่วมกัน)
ข้นั ท่ี 2 สำรวจและค้นหา (Exploration) (40 นาที)
2) ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายถึงความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในแต่ละรูปแบบ

และเตรียมการนำเสนอ ตามหวั ขอ้ โดยการจบั ฉลากเลอื กหวั ขอ้ ดังน้ี
- ภาวะไดป้ ระโยชนร์ ว่ มกนั (protocooperation)
- ภาวะพง่ึ พากนั (mutualism)
- ภาวะเก้ือกลู หรืออิงอาศัย (commensalism)
- ภาวะล่าเหยือ่ (predation)
- ภาวะปรสติ (parasitism)
- ภาวะแข่งขนั (competition)

ขน้ั ที่ 3 อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (40 นาที)
3) ครแู บ่งนักเรียนออกเป็นกล่มุ กลุม่ ละ 4 คน โดยคละเพศและความสามารถ ซ่ึงใน

กลมุ่ จะประกอบไปด้วยนกั เรียนทม่ี คี วามสามารถ เก่ง ปานกลาง อ่อน ในอัตราสว่ น 1:2:1 โดยใช้
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนในภาคเรียนที่ผ่านมานำมาจัดกล่มุ นกั เรยี น

138

4) ใหน้ ักเรยี นแต่ละกลุ่มสง่ ตัวแทนมารบั ใบความรู้และใบงาน
5) นกั เรียนภายในกลุ่มชว่ ยกันศกึ ษาใบความรู้ และรว่ มกันทำใบงานโดยสมาชิกภายใน
กลุ่มจะแบ่งหน้าท่ี และปฏบิ ตั ิตามหน้าทเ่ี วยี นไป ดังนี้

สมาชิกคนท่ี 1 มีหน้าทอี่ ่านคำถามและแยกประเด็นที่โจทยก์ ำหนดหรือสิ่งท่ี
เป็นประเด็นสำคัญของคำถาม

สมาชิกคนท่ี 2 วิเคราะหห์ าแนวทางตอบคำถามอธบิ ายไห้ไดม้ าซง่ึ แนวคำตอบ
อธิบายใหไ้ ด้มาซึง่ คำตอบท่โี จทยถ์ าม

สมาชิกคนที่ 3 รวบรวมข้อมูลและเขียนคำตอบ
สมาชกิ คนท่ี 4 สรปุ ขน้ั ตอนทั้งหมด ตรวจคำตอบ
6) ครูสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่ ของนักเรยี นแต่ละกลุ่ม และกระตนุ้ ใหน้ ักเรยี นทุก
คนร่วมมือกันทำแบบฝึกหดั ช่วยเหลือซง่ึ กนั และกัน ชว่ ยอธิบายจนเข้าใจ ผลสำเรจ็ ของกล่มุ น้นั จะข้นึ อยู่
กบั สมาชแิ ต่ละคนภายในกลมุ่ ดังน้ันทกุ คนตอ้ งร่วมมอื กนั
7) เมือ่ นักเรยี นทำใบงานเสรจ็ แล้วมารบั ใบเฉลยไปตรวจใบงานที่ได้ทำไปแลว้
8) ครูและนักเรยี นร่วมกนั อภิปรายและสรปุ
9) ให้นกั เรียนแต่ละกลุ่ม ซึ่งมีความสามารถแตกต่างกันแยกยา้ ยกันไปแข่งขันตามโตะ๊ ท่ี
จัดไวต้ ามความสามารถ กลุ่มแข่งขนั จะมแี ผนผงั ดังนี้
โตะ๊ หมายเลข 1 เปน็ โตะ๊ แขง่ ขนั สำหรบั สมาชกิ ท่ีมีความสามารถในระดบั เก่ง
โต๊ะหมายเลข 2 เปน็ โต๊ะแขง่ ขันสำหรบั สมาชิกท่ีมคี วามสามารถในระดับปานกลาง
โต๊ะหมายเลข 3 เปน็ โต๊ะแข่งขนั สำหรับสมาชกิ ท่ีมคี วามสามารถในระดบั ปานกลาง
โตะ๊ หมายเลข 4 เป็นโตะ๊ แข่งขันสำหรับสมาชิกทม่ี ีความสามารถในระดบั อ่อน
10) ดำเนินการแขง่ ขนั ตามขน้ั ตอน
- ครูแจกซองคำถามให้ทุกโตะ๊
- ครชู ้แี จงให้นักเรยี นทราบวา่ ทกุ คนจะผลัดกนั เป็นอา่ นคำถามและผู้อ่านคำถาม
หนา้ ทอี่ า่ นคำเฉลย และให้คะแนนผูท้ ี่ตอบถกู ตามลำดับ
11) เริ่มการแข่งขัน
- นกั เรยี นคนที่ 1 หยิบซองคำถาม 1 ซอง เปิดอ่านคำถามแลว้ วางกลางโตะ๊
- นักเรียนอีก 3 คนแข่งขันกนั ตอบคำถาม โดยเขียนคำตอบลงในกระดาษของ
ตนส่งให้คนที่ 1 อา่ น

139

- คนท่ีอา่ นคำถาม ทำหนา้ ท่ีให้คะแนนตามลำดบั คนทสี่ ง่ ก่อนหลัง
ผทู้ ่ีตอบถูกคนแรกได้ 2 คะแนน
ผู้ที่ตอบถูกคนต่อมาได้ 1 คะแนน
ผทู้ ต่ี อบผิดไมไ่ ด้คะแนน

- สมาชิกในกลุม่ แขง่ ขนั จะผลดั กนั ทำหน้าที่อา่ นคำถามจนคำถามหมด โดยให้
ทุกคนไดต้ อบคำถามจำนวนเท่ากนั

- ให้ทกุ คนรวมคะแนนของตนเอง โดยมสี มาชิกทกุ คนในกลุ่มรบั รองกันว่า
ถกู ต้อง การคดิ คะแนนจะได้คะแนนเพม่ิ เช่น

ผูท้ ี่ไดค้ ะแนนสูงสุดในแต่ละโต๊ะจะไดค้ ะแนนเพม่ิ 10 คะแนน
ผู้ทไ่ี ดค้ ะแนนรองอนั ดับ 1 จะไดค้ ะแนนเพิ่ม 8 คะแนน
ผู้ที่ได้คะแนนรองอนั ดับ 2 จะได้คะแนนเพม่ิ 6 คะแนน
ผทู้ ี่ได้คะแนนรองอันดับ 3 จะไดค้ ะแนนเพิ่ม 4 คะแนน
12) การยกย่องทมี ทปี่ ระสบผลสำเรจ็
นกั เรยี นท่ีไปทำการแข่งขันกลับเข้ากลุ่มเดิม นำคะแนนการแขง่ ขนั ของแต่ละคนมารวบรวม
เป็นคะแนนของกลุ่ม ครูแจ้งผลการแข่งขันพร้อมกับใหร้ างวลั และกล่าวชมเชยกลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุด
ขน้ั ที่ 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaboration) (10 นาท)ี
4) ครอู ธบิ ายเพิม่ เติมเกย่ี วกับการอยู่รว่ มกนั แบบภาวะเป็นกลาง เป็นความสมั พนั ธข์ อง
สิ่งมชี ีวิตท่ไี มเ่ กี่ยวข้องกนั แต่อาศยั ในระบบนิเวศเดยี วกัน จงึ ไมม่ ีฝ่ายใดได้รบั หรือเสยี ประโยชน์ เชน่
ไสเ้ ดือนกับเสือ ผีเส้ือกับลิง มดกบั ผง้ึ เป็นตน้
ขนั้ ท่ี 5 ประเมนิ ผล (Evaluation) (20 นาที)
5) นักเรียนทำแบบทดสอบหลงั เรียน เรื่อง ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสิ่งมีชวี ิต

9. ส่อื การเรยี นรู้/แหลง่ เรียนรู้ อุปกรณ์เครอ่ื งเขียนและกระดาษนำเสนอ
9.1 วัสดอุ ุปกรณ์: แสดงผเี สื้อตอมดอกไม้ และไลเคนเกาะบนต้นไม้
9.2 แผนภาพ: แบบฝกึ หัดทบทวนเรื่อง ความสัมพนั ธ์ระหว่างสิ่งมีชีวติ
9.3 แบบฝกึ หดั : หนงั สือเรียนรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปี
9.4 แหลง่ เรยี นร้:ู ท่ี 3 เลม่ 2 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช
2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ

140

10. ภาระงาน
- แบบทดสอบหลังเรียน เรือ่ ง ความสัมพันธข์ องส่งิ มีชีวิตในระบบนเิ วศ

11. การวดั และการประเมิน

ตัวช้ีวัด/ผลการเรยี นรู้ วธิ กี ารวัด เครือ่ งมือวดั เกณฑท์ ี่ใช้ในการ
ประเมนิ
1. วิเคราะหค์ วามสมั พันธข์ อง - ตรวจการทำแบบฝกึ หัด - แบบฝึกหดั
สิ่งมชี ีวิตตา่ งชนดิ กันท่ีอยู่ ทบทวนเร่ือง ความ ทบทวนเรอ่ื ง - ไดไ้ ม่น้อยกว่า 2
ร่วมกนั แบบต่าง ๆ สัมพนั ธ์ระหว่างสงิ่ มีชีวติ ความสมั พนั ธ์ คะแนน
(ด้านความรู้: K)
ระหวา่ งสงิ่ มีชวี ติ ระดบั คุณภาพดี
ถือวา่ ผา่ นการ
2. การใช้ทักษะการลงความเห็น - ตรวจจากการนำเสนอ - แบบประเมิน ประเมินดา้ น
จากข้อมลู เพ่ืออธิบายเกยี่ วกับ ข้อมลู รูปแบบ ทกั ษะการสื่อ ความรู้
รูปแบบความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง ความสมั พนั ธข์ อง ความหมายข้อมลู - ไดไ้ มน่ ้อยกว่า 2
สิ่งมีชีวิต (ดา้ นกระบวนการ: P) สง่ิ มชี วี ติ เปน็ รายกล่มุ คะแนน
ระดบั คุณภาพดี
3. ใหค้ วามร่วมมือในการ - สังเกตความร่วมมือ - เกณฑก์ าร ถอื ว่าผ่านการ
ทำกิจกรรมร่วมกบั ผู้อ่ืนได้ ในการทำกจิ กรรมของ ประเมินความ ประเมิน
(ด้านเจตคติ: A) นักเรียน ร่วมมอื ในการทำ ด้านกระบวนการ
กิจกรรมร่วมกับ - ได้ไม่น้อยกวา่ 2
ผ้อู ่ืนของนกั เรยี น คะแนน
ระดบั คุณภาพดี ถือ
วา่ ผา่ นการประเมิน
ด้านเจตคติ

141

11.1 เกณฑ์การประเมนิ ผลนักเรยี น เกณฑก์ ารประเมนิ (Rubrics Score)

ประเด็นการประเมนิ คา่ น้ำหนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
การใหค้ ะแนนตอบ คะแนน
แบบฝกึ หดั ทบทวน
3 ตอบคำถามในแบบฝกึ หัดทบทวน ถูกต้อง จำนวน 7-9 ขอ้
การให้คะแนนการ
นำเสนอข้อมูลรายกลมุ่ 2 ตอบคำถามในแบบฝกึ หัดทบทวน ถกู ต้อง จำนวน 4-6 ข้อ

การให้คะแนนความ 1 ตอบคำถามในแบบฝึกหดั ทบทวน ถกู ต้อง จำนวน 1-3 ข้อหรือไม่
รว่ มมือในการทำ ถกู ต้อง
กจิ กรรมร่วมกับผูอ้ ่นื
3 ผลงานมรี ปู แบบนา่ สนใจ มคี วามสัมพนั ธ์กับหัวข้อท่ีกำหนด นำเสนอ
ได้ชดั เจน เขา้ ใจไดง้ ่าย

2 ผลงานมรี ูปแบบน่าสนใจ แต่มีความสัมพันธ์กบั หัวขอ้ ทีก่ ำหนดนอ้ ย
นำเสนอได้ชดั เจน

1 ผลงานมรี ูปแบบไม่นา่ สนใจ มีความสมั พนั ธก์ ับหัวข้อที่กำหนดนอ้ ย

ให้ความร่วมมือในทำกิจกรรมร่วมกบั ผอู้ ่นื ตลอดทั้งคาบเรียน ไมก่ ่อ

3 ความวนุ่ วายหรือปญั หาท่ีรบกวนการเรียนของผู้อืน่ เชน่ พดู เสียง

ดังโวยวาย ลุกเดนิ ไปมา หรือชวนผ้อู ื่นคุยเลน่ ขณะครทู ำการสอน

ใหค้ วามรว่ มมือในทำกิจกรรมร่วมกับผอู้ ่นื เป็นบางครั้งในคาบเรียน

2 และ
กอ่ ความวุ่นวายหรอื ปัญหาทร่ี บกวนการเรียนของผูอ้ ื่น เชน่ พูด

เสียงดงั โวยวาย ลุกเดินไปมา หรอื ชวนผอู้ ื่นคุยเลน่ ขณะครูสอน

ไมใ่ ห้ความรว่ มมือในทำกิจกรรมรว่ มกับผู้อืน่ ทำให้เกิดความวนุ่ วาย

1 หรือปญั หาท่ีรบกวนการเรยี นของผู้อื่น เชน่ พูดเสยี งดงั โวยวาย ลกุ

เดนิ ไปมา หรือ ชวนผ้อู ่ืนคุยเลน่ ขณะครทู ำการสอน

11.2 ระดับคุณภาพ
คะแนนรวมเฉลี่ย 6.00 - 5.00 หมายถงึ ดีมาก
คะแนนรวมเฉลยี่ 4.00 - 3.00 หมายถึง ดี
คะแนนรวมเฉลี่ย 2.00 - 1.00 หมายถึง พอใช้

ดังน้นั นกั เรยี นตอ้ งไดค้ ะแนนเฉล่ียทกุ ประเด็นการประเมิน ไม่ตำ่ กว่า 2.00 แสดงระดับ
คุณภาพ ดี ถอื ว่าผา่ นเกณฑ์การประเมินในแผนการจดั การเรียนท่ี 14

142

12. บนั ทึกหลังการสอน
❖ ผลหลงั การสอน

......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................ ..............................
......................................................................................................................................................................

❖ ปัญหา/อุปสรรค
......................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................... .................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................

❖ แนวทางแก้ไข
.................................................................................................................................... ..................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................... .......................

ลงช่อื ........................................................ผสู้ อน
(นางสาวศริ วิ ลิ าศลกั ษ์ เกิดกนั โณ )
……../……../……..

143

13. ความเห็นครูพ่เี ล้ียง
ใช้จดั กจิ กรรมการเรยี นรไู้ ด้
ปรับปรุงแผนการสอน

ความคิดเห็นและข้อแสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงช่อื …………………………… ครพู เี่ ลี้ยง
( นางจนิ ดา บรริ กั ษ์ )
……../……../……..

14. ความเห็นหวั หนา้ กล่มุ สาระวทิ ยาศาสตร์
ใช้จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ได้
ปรับปรุงแผนการสอน

ความคิดเห็นและขอ้ แสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื …………………………… หัวหนา้ กลุม่ สาระวทิ ยาศาสตร์
( นางจินดา บริรกั ษ์ )
……../……../……..

15. ความเหน็ ของผ้อู ำนวยการโรงเรยี น
ใชจ้ ัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ได้
ปรับปรุงแผนการสอน

ความคิดเห็นและข้อแสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ………………………………… ผู้อำนวยการโรงเรยี น
( นายเดชา จนั ทกิ าแกว้ )
……../……../……


Click to View FlipBook Version