The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัย TGTร่วมกับชุดกิจกรรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by rodjan_210540, 2022-03-09 12:13:19

วิจัย TGTร่วมกับชุดกิจกรรม

วิจัย TGTร่วมกับชุดกิจกรรม

44

องคป์ ระกอบของชดุ กิจกรรม
ระพนิ ทร์ โพธิ์ศรี (2555 : 98) ได้กลา่ วถึงความสำคัญของชุดกิจกรรมท่มี ลี ักษณะสำคัญ ดังนี้
1. มจี ดุ ประสงคป์ ลายทางทช่ี ัดเจน ท่ีระบุทัง้ เนอ้ื หา ความรู้ และระดบั ทักษะ การเรียนรทู้ ี่ ชัดเจน
นั่นคือ จะต้องมีจุดประสงค์ประจำชุดกิจกรรมที่ระบุไว้ชัดเจนว่าเมื่อผ่านการเรียนรู้ จบชุดกิจกรรมน้ัน
แลว้ นักเรยี นตอ้ งทำอะไรเป็นระดับใด
2. ระบกุ ล่มุ เป้าหมายชัดเจนว่า ชุดกจิ กรรมดงั กล่าว สรา้ งข้นึ สำหรบั ใคร
3. มีองค์ประกอบของจุดประสงค์ที่เป็นระบบเป็นเหตุและผล เชื่อมโยงกันระหว่าง จุดประสงค์
ประจำหน่วยและจุดประสงค์ยอ่ ย
4. ต้องมีคำชี้แจง เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินผลที่สอดคล้องกับ
จดุ ประสงค์แตล่ ะระดบั
5. กรณีทำเป็นชุดการสอน ต้องมีคู่มือครูที่อธิบายวิธีการ เงื่อนไขการใช้ชุดและการเฉลยข้อ
คำถามทั้งหมดในกจิ กรรม ประเมินผล
บุญเกื้อ ควรหาเวช (2543 : 95-97) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของชุดการสอนโดยจำแนกส่วน
ของชดุ การสอน เปน็ 4 สว่ น คอื
1. ค่มู ือ สำหรบั ครูผ้ใู ช้ชดุ การสอน หรือผู้เรียนทีต่ ้องการเรยี นจากชุดการสอน
2. คำส่งั หรอื กรอบงาน เพื่อกำหนดแนวทางการเรยี นใหน้ ักเรยี น
3. เน้อื หาสาระและสื่อ โดยจดั ใหอ้ ยใู่ นรปู ของสื่อการสอนแบบประสม และกจิ กรรมการเรียนการ
สอนแบบกล่มุ และรายบุคคลตามวตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม
4. การประเมินผล เปน็ การประเมินของกระบวนการ ได้แก่ แบบฝึกหดั รายงานการคน้ คว้า และ
ผลการเรียนร้ใู นรูปของแบบสอบตา่ ง ๆ
จากเอกสารดงั กลา่ วสรุปไดว้ า่ องคป์ ระกอบของชุดกจิ กรรม ควรประกอบดว้ ย
1. คูม่ อื ครซู ึ่งเปน็ คมู่ ือและแผนการจัดการเรียนร้ใู นการใชช้ ุดกิจกรรม
2. วัตถปุ ระสงคข์ องชุดกิจกรรม
3. คำชแี้ จงเนอ้ื หากจิ กรรมการสอน
4. เนอื้ หาสาระและส่อื
5. การประเมนิ ท่ีสอดคลอ้ งกบั วัตถุประสงค์
ชุดกิจกรรมมีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนทุกระดับ ถือว่า เป็นนวัตกรรมการสอนท่ี
ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและเป็นสื่อที่มีความเหมาะสมช่วยเร้าความสนใจ รวมทั้งช่วยส่งเสริมให้
ผู้เรียนเกิดความเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองตามความสามารถของแต่ละคน ทำให้

45

ผู้เรียนเกิดทักษะในการแสวงหาความรู้ไม่เบื่อหน่ายในการเรียน มีส่วนร่วมในการเรียน และสร้างความ
มั่นใจให้แก่ครูเพราะชุดกิจกรรมมีการจัดระบบการใช้สื่อ ผลิตสื่อและกิจกรรมการเรียนรู้รวมทั้งมี
ข้อแนะนำ การใช้สำหรับครู ทำใหค้ รูมีความพร้อมในการจัดกจิ กรรมการเรียนรจู้ ึงก่อให้เกิดประสิทธิภาพ
ในการเรยี นการสอนอยา่ งแท้จรงิ

ประโยชน์ของชดุ กิจกรรม
การสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมประเภทใดก็ตาม ย่อมทำให้มีคุณประโยชน์ต่อการเพิ่มคุณค่าในการ
เรยี นการสอน ถา้ มรี ะบบการผลติ ทีม่ กี ารทดสอบวิจัยแลว้
บุญเกอื้ ควรหาเวช (2553 : 110 – 111) ไดส้ รปุ คณุ ค่าและประโยชน์ของชดุ การสอนที่มีต่อการ
เรียนการสอนไว้ดังนี้
1. ช่วยเพิม่ ประสิทธิภาพในการเรียนรู้
2. ขจดั ปญั หาการขาดแคลนครู ชว่ ยลดภาระของครผู ูส้ อน
3. ช่วยใหผ้ เู้ รยี นจำนวนมากไดร้ บั ความรู้แนวเดียวกนั
4. ชว่ ยใหค้ รสู ามารถดำเนินการสอนไดต้ รงตามวตั ถุประสงค์ด้วยความมนั่ ใจ
5. ช่วยใหก้ ิจกรรมการเรยี นมีประสิทธิภาพ
6. ช่วยให้ครูวดั ผลเด็กได้ตามวัตถปุ ระสงค์
7. เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นใช้ความสามารถของตนเองไดอ้ ยา่ งเต็มท่ี

4. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์
ความหมายของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียนได้รับ

ประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและประเมินผล
การสร้างเคร่อื งมอื วัดใหม้ ีคุณภาพนัน้ ได้มีผูใ้ หค้ วามหมายของผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นไว้ดังน้ี

สมพร เชื้อพันธ์ (2547, หน้า 53) สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ
ความสำเร็จและสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของผ้เู รียน ทีไ่ ด้จากการเรยี นรู้อนั เป็นผลมาจากการเรียนการสอน
การฝกึ ฝน หรือประสบการณ์ของแตล่ ะบุคคล ซ่งึ สามารถวดั ได้จากการทดสอบด้วยวิธกี ารตา่ ง ๆ

พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2548, หน้า 125) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หมายถึง ขนาดของความสำเรจ็ ทไ่ี ดจ้ ากกระบวนการเรียนการสอน

ปราณี กองจินดา (2549,หน้า 42) กลา่ วา่ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือ
ผลสำเร็จ ที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้

46

ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของ
วัตถปุ ระสงค์ของการเรยี นการสอนทแ่ี ตกตา่ งกนั

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากกระบวนการเรียนการสอนท่ี
จะทำให้นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และสามารถวัดได้โดยการแสดงออกมาทั้ง 3 ด้าน คือ
ดา้ นพุทธิพิสยั ด้าน จิตพสิ ยั และดา้ นทกั ษะพิสยั

การวดั และประเมินผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวทิ ยาศาสตร์
การวดั และประเมินผลกลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรว์ า่ การประเมนิ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

วิชาวิทยาศาสตร์เป็นการพิจารณาผลที่เกิดจากการวัด การเรียนรู้ในภาพรวม การประเมินผลกลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์จึงประกอบด้วย การประเมินความเข้าใจกระบวนการวิทยาศาสตร์ เจตคติ
วิทยาศาสตร์ ทักษะการใช้ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์และความรับผิดชอบในการปฏิบัติงาน
วิทยาศาสตร์ซึ่งความก้าวหน้าด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนจะส่งผลต่อจุดประสงค์ของรายวิชา ผลการเรียนรู้ที่
คาดหวงั และมาตรฐานการเรียนรู้ท่สี ถานศึกษากำหนดไว้ การวดั และประเมนิ ผล ตัวผู้เรยี นกลุ่มสาระการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์จึงวัดและประเมิน 2 แนวทางคือการวัดและประเมินผลตามคู่มือ Taxonomy of
educational objectives ของ Bloom และ การประเมินตามสภาพจรงิ (Authentic assessment)

พฤติกรรมท่ตี อ้ งการทำการวดั ประเมนิ ผู้เรียน ดงั นี้
1. ด้านความรู้ความจำ หมายถึง ความสามารถในการระลึกถึงสิ่งที่เคยเรียนรู้มาแล้วเกี่ยวกับ

ข้อเท็จจริง ศัพท์นิยาม มโนทัศน์ ข้อตกลง การจัดประเภท เทคนิควิธีการ หลักการ กฎ ทฤษฎี และ
แนวคิดที่สำคัญทางด้านวิทยาศาสตร์ นักเรียนที่มีความสามารถในด้านนี้ จะแสดงออกโดยสามารถให้คำ
จำกัดความหรือนิยาม เล่าเหตุการณ์ จดบันทึก เรียกชื่อ อ่านสัญลักษณ์ และระลึกข้อสรุปได้ การวัด
พฤติกรรมด้านความรู้ความจำลักษณะของข้อสอบจะถามเกี่ยวกับความรู้ความจำไม่เกินร้อยละ 20 ของ
ขอ้ สอบทง้ั หมด

2. ด้านความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการอธิบาย การแปลความ การตีความสร้าง
ข้อสรุป ขยายความ นักเรียนมีความสามารถในด้านนี้จะแสดงออกโดยสามารถเปรียบเทียบแสดง
ความสัมพันธ์ การอธิบายชี้แนะ การจำแนกเข้าหมวดหมู่ ยกตัวอย่าง ให้เหตุผล จับใจความเขียน
ภาพประกอบ ตดั สนิ เลอื ก แสดงความเห็น อา่ นกราฟแผนภมู ิและแผนภาพได้

2.1 พฤติกรรมความเขา้ ใจ แบง่ ออกเปน็ 3 ระดับ
2.1.1 ความสามารถอธบิ ายความเขา้ ใจตา่ ง ๆ ไดด้ ว้ ยตนเอง
2.1.2 ความสามารถจำแนกหรือระบคุ วามร้ไู ด้เมอื่ ปรากฏในรปู สถานการณใ์ หม่

47

2.1.3 ความสามารถแปลความรู้จากสญั ลักษณห์ นึ่งไปสอู่ กี สญั ลักษณห์ นึง่
2.2 การวัดพฤติกรรมความเข้าใจ ลักษณะของข้อสอบจะถามให้นักเรียนอธิบายหรือ
บรรยายความรู้ต่าง ๆ ด้วยคำพูดของตัวหรือให้ระบุข้อเท็จจริง มโนทัศน์ หลักการ กฎ หรือทฤษฎีท่ี
เกี่ยวขอ้ ง กับสถานการณ์ที่กำหนดให้หรือใหแ้ ปลความหมายสถานการณ์ ทกี่ ำหนดใหซ้ ึ่งอาจอยู่ในรูปของ
ข้อความ สัญลกั ษณ์ รูปภาพ หรอื แผนภาพ เปน็ ต้น
3. ด้านการนำไปใช้ เป็นการวัดความสามารถด้านการนำเอาความรู้ความเข้าใจ มาประยุกต์ใช้
หรือแก้ปัญหาในเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ใหม่ได้อย่างเหมาะสม การเขียนคำถามในระดับนี้อาจเขียน
คำถามความสอดคล้องระหว่างวิชาและการปฏิบัติ ถามให้อธิบาย หลักวิชา ถามให้แก้ปัญหา ถามเหตุผล
ของภาคปฏบิ ัติ
4. ด้านการวิเคราะห์ เป็นการวัดความสามารถในการแยกแยะหรือแจกแจง รายละเอียดของ
เรื่องราว ความคิด การปฏิบัติออกเป็นระดับย่อย ๆ โดยอาศัยหลักการหรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อค้นพบ
ข้อเท็จจริงและคุณสมบัติบางประการ คำถามระดับการวิเคราะห์ แบ่งออก 3 ประเภท คือ การวิเคราะห์
ความสำคญั การวเิ คราะห์ความสัมพนั ธ์ และการวเิ คราะหห์ ลักการ
5. ด้านการสังเคราะห์ เป็นการวัดความสามารถในการรวบรวมและผสมผสานในด้าน
รายละเอียดหรือเรื่องราวปลีกย่อย ของข้อมูลสร้างเป็นสิ่งใหม่ที่แตกต่างจากเดิม ความสามารถดังกล่าว
เป็นพื้นฐานของความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คำถามระดับนี้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การสังเคราะห์
ขอ้ ความ การสังเคราะหแ์ ผนงาน และการสงั เคราะห์ความสมั พนั ธ์
6. ด้านการวดั และประเมินค่า เป็นการวัดความสามารถในด้านการสรุปค่าหรือตีราคา เกี่ยวกับ
เรื่องราว ความคิด พฤติกรรมว่าดี-เลว เหมาะสม-ไม่เหมาะสม เพื่อหาจุดประสงค์บางประการมาอ้างโดย
ใชเ้ กณฑ์ภายในและการประเมินโดยใช้เกณฑภ์ ายนอก
ดังนั้นการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ จะเป็นไปตามแนวคิดของ Bloom โดยเป็น
การวัดพฤติกรรมการเรยี นรู้ทัง้ หมด 6 ด้าน คือความรู้ความจำ ดา้ นความเขา้ ใจ ดา้ นการนำไปใช้ ด้านการ
วิเคราะห์ ด้านการประเมินค่า ซึ่งผู้วิจัยใช้เป็นแนวทางในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา
วทิ ยาศาสตร์ในการวจิ ยั ครงั้ นี้

แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545 : 96) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง

แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการที่นักเรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่าบรรลุผล
สำเรจ็ ตามจุดประสงคท์ ก่ี ำหนดไว้เพยี งใด

48

สิริพร ทิพย์คง (2545 : 193) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงชุด
คำถามที่มงุ่ วัดพฤตกิ รรมการเรียนของนกั เรียนว่ามีความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพดา้ นสมองดา้ นต่าง ๆ ใน
เรื่องท่เี รียนรไู้ ปแลว้ มากนอ้ ยเพียงใด

สมพร เชื้อพันธ์ (2547 : 59) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง
แบบทดสอบหรือชุดของข้อสอบที่ใช้วัดความสำเร็จหรือความสามารถในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ของ
นักเรียนที่เป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนว่าผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้
เพยี งใด

แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน ประเภทที่ครสู รา้ งมีหลายแบบ แต่ทน่ี ยิ มใชม้ ี 6 แบบดังน้ี
1. ข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง (Subjective or Essay test) เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะคำถาม

แลว้ ใหน้ ักเรียนเขียนตอบอยา่ งเสรี เขยี นบรรยายตามความรแู้ ละเขียนข้อคิดเหน็ ของแต่ละคน
2. ข้อสอบแบบกาถูก-ผิด (True-false test) คือข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือกแต่

ตัวเลือกดงั กล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่ จริง-ไม่จริง เหมือนกัน-
ตา่ งกนั เปน็ ต้น

3. ข้อสอบแบบเติมคำ (Completion test) เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยค หรือ
ข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์แล้วให้ตอบเติมคำหรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้นั้นเพื่อให้มี
ใจความสมบูรณ์และถกู ตอ้ ง

4. ข้อสอบแบบตอบสั้นๆ (Short answer test) เป็นข้อสอบที่คล้ายกับข้อสอบแบบเติมคำ
แต่แตกตา่ งกันทขี่ อ้ สอบแบบตอบส้นั ๆ เขียนเป็นประโยคคำถามสมบรู ณ์ (ข้อสอบเติมคำเป็นประโยคหรือ
ขอ้ ความทีย่ งั ไมส่ มบูรณ์) แลว้ ให้ผู้ตอบเขยี นตอบ ค าตอบทต่ี อ้ งการจะส้ันและกะทัดรดั ไดใ้ จความสมบูรณ์
ไม่ใชเ่ ปน็ การบรรยายแบบข้อสอบอตั นยั หรือความเรยี ง

5. ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching test) เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบชนิดหนึ่งโดยมีค่าหรือ
ข้อความแยกออกจากกันเป็น 2 ดแล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่าแต่ละข้อความในชุดหนึ่งจะคู่กับคำหรือ
ข้อความใดในอีกชุดหน่ึงซงึ่ มีความสมั พนั ธก์ นั อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงตามทีผ่ ูอ้ อกข้อสอบกำหนดไว้

6. ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple choice test) คำถามแบบเลือกตอบโดยทั่วไปจะ
ประกอบด้วย 2ตอน คือ ตอนนำหรือคำถาม (Stem) กับตอนเลือก (Choice) ในตอนเลือกนั้นจะ
ประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นคำตอบถูกและตัวเลือกลวง ปกติจะมีคำถามที่กำหนดให้พิจารณา แล้วหา
ตัวเลือกที่ถูกต้องมากที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตัวเลือกอื่น ๆ และคำถามแบบเลือกตอบที่ดีนิยมใช้
ตัวเลือกที่ใกลเ้ คียงกนั

49

ดังนั้นในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จึงเป็นวิธีการวัดประเมินผลการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์ซึ่งมีการสร้างแบบทดสอบหลากหลาย ได้แก่ ข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง ข้อสอบ
แบบกาถูกกาผิด ข้อสอบแบบเติมคำ ข้อสอบแบบตอบสั้น ข้อสอบแบบจับคู่ และข้อสอบแบบเลือกตอบ
ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบเลือกตอบเนื่องจากเป็น
แบบทดสอบที่สามารถวัดพฤติกรรมทั้ง 6 ด้านได้แก่ ด้านความรู้ ด้านความเข้าใจ ด้านการนำไปใช้ ด้าน
การวเิ คราะห์ ดา้ นการสงั เคราะห์และดา้ นการประเมินค่า

ลกั ษณะของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทีด่ ี
นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี (สิริพร ทิพย์คง.

2545: 195;พิชติ ฤทธจ์ิ รูญ. 2545: 135 – 161)
1. ความเที่ยงตรง เป็นแบบทดสอบที่สามารถนำไปวัดในสิ่งที่เราต้องการวัดได้อย่างถูกต้อง

ครบถว้ น ตรงตามจดุ ประสงค์ที่ต้องการวัด
2. ความเชอ่ื ม่ัน แบบทดสอบที่มีความเช่ือมัน่ คือ สามารถวัดไดค้ งท่ีไมว่ ่าจะวัดก่คี ร้ังก็ตาม เช่น

ถ้านำแบบทดสอบไปวัดกับนักเรียนคนเดิม คะแนนจากการสอบทั้งสองครั้งควรมีความสัมพันธ์กันดี เมื่อ
สอบไดค้ ะแนนสงู ในคร้งั แรกกค็ วรได้คะแนนสงู ในการสอบคร้ังทส่ี อง

3. ความเปน็ ปรนยั เป็นแบบทดสอบทมี่ คี ำถามชัดเจน เฉพาะเจาะจง ความถกู ตอ้ งตามหลักวิชา
และเข้าใจตรงกนั เมือ่ นักเรยี นอ่านคำถามจะเข้าใจตรงกัน ข้อคำถามตอ้ งชดั เจนอา่ นแล้วเขา้ ใจตรงกัน

4. การถามลึก หมายถึง ไม่ถามเพียงพฤติกรรมขั้นความรู้ความจำ โดยถามตามตำราหรือถาม
ตามท่ีครูสอน แต่พยายามถามพฤติกรรมข้ันสูงกวา่ ขั้นความรู้ความจำ ได้แก่ ความเขา้ ใจการนำไปใช้ การ
วิเคราะห์ การสงั เคราะห์และการประเมนิ ค่า

5. ความยากง่ายพอเหมาะ หมายถึง ข้อสอบที่บอกให้ทราบว่าข้อสอบข้อนั้นมีคนตอบถูกมาก
หรือตอบถูกน้อย ถ้ามีคนตอบถูกมากข้อสอบข้อนั้นก็ง่ายและถ้ามีคนตอบถูกน้อยข้อสอบข้อนั้นก็ยาก
ข้อสอบที่ยากเกินความสามารถของนักเรียนจะตอบได้นั้นก็ไม่มีความหมาย เพราะไม่สามารถจำแนก
นักเรียนได้ว่าใครเก่งใครอ่อน ในทางตรงกันข้ามถ้าข้อสอบง่ายเกินไปนักเรียนตอบได้หมด ก็ไม่สามารถ
จำแนกไดเ้ ช่นกนั ฉะนัน้ ขอ้ สอบท่ดี คี วรมคี วามยากงา่ ยพอเหมาะ ไม่ยากเกนิ ไปไม่ง่ายเกนิ ไป

6. อำนาจจำแนก หมายถึง แบบทดสอบนี้สามารถแยกนักเรียนได้ว่าใครเก่งใครอ่อนโดย
สามารถจำแนกนักเรยี นออกเปน็ ประเภท ๆ ได้ทุกระดบั อยา่ งละเอียดต่งั แต่อ่อนสุดจนถึงเก่งสุด

50

7. ความยตุ ธิ รรม คำถามของแบบทดสอบต้องไม่มชี ่องทางช้ีแนะให้นักเรยี นที่ฉลาดใช้ไหวพริบ
ในการเดาได้ถกู ต้องและไม่เปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นทเ่ี กยี จคร้านซึ่งดตู ำราอย่างคร่าว ๆ ตอบได้ และต้องเป็น
แบบทดสอบท่ีไม่ลำเอยี งตอ่ กลุ่มใดกลมุ่ หนง่ึ

สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี ต้องเป็นแบบทดสอบที่มีความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่น
ความเป็นปรนัย ถามลึก มคี วามยากง่ายพอเหมาะ มคี า่ อำนาจจำแนก และมีความยุตธิ รรม

6. งานวิจยั ท่ีเกย่ี วขอ้ ง
ณัฐวุฒิ จันละมดุ (2554) ศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นวิทยาศาสตร์และเจตคติทางวิทยาศาสตร์

ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปาและการจัดการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือ โดยใชเ้ ทคนคิ TGT การวจิ ยั คร้งั น้ี มีความม่งุ หมายเพอ่ื ศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวิทยาศาสตร์
และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซปิ ปา
และการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนบ้านปล่องเหลี่ยม จังหวัดสมุทรสาคร
จำนวน 2 ห้องเรียน นักเรียนทั้งหมด 80 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling)
เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และแบบประเมินวัดเจตคติทาง
วิทยาศาสตร์ ดำเนินการทดลองโดยใช้แบบแผนการทดลองเป็นแบบ Randomized control group
Pretest- Posttest Design และการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติแบบ t- test Independent Sample
ผลการวิจัยสรุป ได้ดังน้ี 1. นักเรียนที่ได้รับกรจัดกรเรียนรู้แบบโมดถชิปปและการจัดการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียนอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปามีผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรยี นวิทยาศาสตร์ หลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรยี นอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .O5 3. นักเรียนที่ได้รับการ
จัดการเรียนรูแ้ บบรว่ มมือโดยใช้เทคนิค TGT มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรยี นสงู กว่าก่อน
เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปากับการ
จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่าง
กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปา มีเจตคติ
ทางวิทยาศาสตร์หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนยั สำคญั ทางสถิติที่ระดับ .05 6. นักเรียนที่ได้รับการ
จัดการเรยี นรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรียนอย่างมี
นัยสำคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .05

51

นันตพร วดีศิริศักดิ์ และคณะ (2556) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ด้วยกลุ่มแบบ TGT และการ
จัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หน่วยของชีวิตและชีวิตพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบ
1) ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ 2) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนระหว่างนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ด้วยกลุ่มแบบ TGT กับกลุ่มที่เรียนด้วยการจัดการ
เรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1
โรงเรียนอุเทนพัฒนาได้แก่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 จํานวน 45 คน ซึ่งเรียนแบบการจัดการเรียนรู้ด้วย
กลุม่ แบบ TGT และนกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1/2 จาํ นวน 45 คน ทเี่ รยี นแบบวัฏจักรการเรยี นรู้ 7 ข้ัน
เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจยั ไดแ้ ก่ 1) แบบวดั ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ จาํ นวน 30 ขอ้ มีค่าความยาก
รายขอ้ ต้งั แต่ 0.21-0.75 คา่ อาํ นาจจําแนกรายข้อต้ังแต่ 0.21-0.72 และคา่ ความเช่ือมนั่ (KR-20) เท่ากับ
.84 2) แบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีค่าความยากรายข้อตั้งแต่ 0.42-0.76 ค่าอํานาจ
จําแนกรายข้อตั้งแต่ 0.25-0.87 และค่าความเชื่อมั่น (KR-20) เท่ากับ .86 และ 3) แบบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนมีค่าความยากรายข้อตัง้ แต่ 0.22-0.77 ค่าอํานาจจําแนกรายขอ้ ตั้งแต่ 0.21-0.82 และค่า
ความเชื่อมั่น (KR-20) เท่ากับ .76 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน และวเิ คราะห์ความแปรปรวนรว่ ม ผลการวิจยั พบวา่ 1) นักเรียนที่เรยี นด้วยการจัดการเรียนรู้
แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์สูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการ
เรยี นรู้ด้วยกลมุ่ แบบ TGT อยา่ งมีนัยสําคัญทางสถิติท่รี ะดบั .01 2) นักเรยี นทเ่ี รยี นดว้ ยการจดั การเรยี นรู้
ด้วยกลุ่มแบบ TGT มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้
แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการ
เรียนรู้ด้วยกลุ่มแบบ TGT มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ
วัฏจกั รการเรียนรู้ 7 ขนั้ อย่างมนี ัยสําคัญทางสถิตทิ ่รี ะดบั .01

สุพัชชา ปาทา (2554) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์และความสามารถในการคดิ
วิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจดั การเรียนรูแ้ บบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT และ
การจัดการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ การวิจัยครั้ง มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
วิทยาศาสตร์ และ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการ
เรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT และการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มตัวอย่างเป็น
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนหนองบัวแดงวิทยา ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2553 ทั้งหมด 2
ห้องเรียน จำนวน 70 คน โดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) และสุ่มอย่างง่ายอีก

52

คร้ังหนึ่งโดยใช้วิธีจบั ฉลากออกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลองได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT และกลุ่มควบคุมได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ใช้เวลา
16 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางกรเรียนวิทยศาสตร์โดยใช้
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ทีม่ ีค่าความเชื่อมั่น .84 และวัดความสามารถในการ
คิดวิเคราะห์โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ที่มีค่าความเชื่อม่ัน 0.75 ดำเนินการ
ทดลองโดยใช้แบบแผนการวิจัย แบบ Randomized Control Group Pretest-Posttest Design การ
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ t-test Independent Samples ในรูป Difference Score ผลจากการวิจัย
พบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้
เทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค
TGT หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
วทิ ยาศาสตรข์ องนักเรียนที่ไดร้ บั การจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ หลังเรียนสงู กว่ากอ่ นเรยี น อย่าง
มนี ัยสำคัญทางสถิติที่ระดบั .01 4. ความสามารถในการคิดวิเคราะหข์ องนักเรียนท่ีไดร้ ับการจัดการเรียนรู้
แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .01 5. ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
6. ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนกั เรยี นท่ีไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้หลังเรียน
สงู กว่ากอ่ นเรียน อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01

อริยาภรณ์ ขนุ ปักษี (2561) ศกึ ษาการพัฒนาชดุ กจิ กรรมวิชาวทิ ยาศาสตร์โดยใชเ้ ทคนคิ การเรียนรู้
แบบรว่ มมือ เพอื่ สง่ เสรมิ การเรียนรู้วชิ าวิทยาศาสตร์ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 การวจิ ยั นีเ้ ป็นการ
วิจัยเชิงทดลองมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบ
รว่ มมือเพ่อื สง่ เสริมการเรียนรวู้ ชิ าวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4 2) เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ 3) เพ่อื ศกึ ษาพฤติกรรมกลุ่ม โดยเทคนิคการเรยี นรู้แบบรว่ มมือเพ่ือส่งเสริม
การเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการใช้ชุดกิจกรรมโดโดยเทคนิค
การเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 4/5 จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียนจำนวน 35 คน การเลือกตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster
sampling) โคยมีเครื่องมือในการวิจัยทั้งหมด 4 อย่าง ได้แก่ ) ชุดกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 3
เรื่องวัสดุและสาร จำนวน 6 ชุด 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 3) แบบ
สงั เกตพฤตกิ รรมกลุ่มสำหรบั การเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการวิจยั พบวา่ ชุด

53

กิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ สามารถส่งเสริมการเรียนรู้วิชา
วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 80/80 2) นักเรียนมีการเรียนรู้วิชา
วิทยาศาสตร์ โดยใช้ชุดกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์และเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปที ่ี 4 มีคะแนนเฉลี่ยรอ้ ยละ 80 และรอ้ ยละ 89 ของคะแนนเตม็ และนักเรียนมคี ะแนนเฉล่ีย
การเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าการใช้การ
เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ( t = -9.88, Sig - .000) 3)
นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้ชุดกิจกรรม และการเรียนแบบร่วมมือด้วย
เทคนิค STAD และเทคนิค TGT มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่
ระดับ .05 4) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์ โดยการ
เรยี นรแู้ บบรว่ มมอื เทคนิค STAD และเทคนคิ TGT อย่ใู นระดับมากที่สุด และนกั เรยี นมีความพึงพอใจท่ีใช้
การเรยี นรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT มากกว่า การใช้การเรียนรแู้ บบร่วมมือเทคนิค STAD อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถติ ิท่รี ะดบั .05 (t = -6.26, Sig = .000)

นฤมล วัฒนวิกกิจ (2559) ศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องสารและสมบัติของสารและทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์ จังหวัด
พระนครศรอี ยุธยา การวิจยั ครงั้ นมี้ ีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือ (1) เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิทยาศาสตร์
เรื่องสารและ สมบัติของสารของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์กับนักเรียนที่เรียนด้วยการสอนปกติ (2) เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิ ทยาศาสตร์กับนักเรียนที่เรียน
ดว้ ยการสอนปกติ (3) เปรยี บเทยี บทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนก่อนและหลงั เรยี นโดย
ใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่ม
ตัวอยา่ งเปน็ นกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรยี นจอมสรุ างค์อปุ ถัมภ์ จำนวน 100 คน 2 หอ้ งเรียน ได้มา
โดยการสมุ่ แบบกล่มุ แล้วจบั ฉลากใหห้ ้องหนึ่งเป็นกลมุ่ ทดลองและอีกห้องหน่ึงเปน็ กลุ่มควบคุม เครื่องมือ
ทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ครั้งนี้ประกอบดว้ ย 1) ชดุ กิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2) แบบ
วดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์เรือ่ งสารและสมบัตขิ องสาร 3) แบบวัดทักษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์ สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉล่ยี สว่ นเบย่ี งเบน มาตรฐาน และการทดสอบค่าที
ผลการวิจัยพบว่า (1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์สูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยการสอนปกติอย่างมีนัยส ำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01 (2) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะ

54

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์สูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยการสอนปกติอย่างมีนัยส ำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01 (3) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ หลังเรยี นสงู กว่าก่อนเรียน

ภานุวฒั น์ เปรมปรี (2556) ศึกษาการพฒั นาชุดกจิ กรรมการเรยี นร้เู รื่องระบบนเิ วศนำ้ จืด สำหรบั
นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 4 โรงเรียนประเทียบวิทยาทาน จังหวัดสระบุรี การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย
เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องระบบนิเวศน้ำจืด ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 และเพื่อศึกษา
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่อง ระบบนิเวศน้ำจืด เจตคติต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และศึกษาความพึง
พอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนเรื่องระบบนิเวศน้ำจืด กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ัน
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรยี นประเทยี บวิทยาทาน จำนวน 44 คน ได้มาโดยการสุมอย่างง่าย ทดลองในภาค
เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 ผลการวิจัย พบว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องระบบนิเวศน้ำจืด มี
ประสิทธิภาพ 82.98/80.53 ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน หลงั เรียนของนักเรยี นกลุ่มตัวอยา่ งสูงกว่าก่อนเรียน
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 เจตคติการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างหลังเรียน
สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อชุดการ
เรยี นอยูใ่ นระดบั ดีมาก (4.83)

สรุป จากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า การใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT และ
การใชช้ ุดกจิ กรรมวิทยาศาสตร์ สามารถทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรียนสูงข้ึน

บทที่ 3
วิธดี ำเนนิ การวจิ ยั

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องความสัมพันธ์ของ
สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ หลงั ใช้การจัดการเรียนร้แู บบรว่ มมอื เทคนคิ TGT ร่วมกบั ชุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์
กับเกณฑร์ อ้ ยละ 70 และเพอื่ เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ืองความสัมพันธข์ องส่ิงมชี ีวิตในระบบ
นเิ วศ กอ่ นและหลังเรียนดว้ ยการจัดการเรยี นรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT รว่ มกบั ชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนขี้เหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา โดยผู้วิจัยได้
ดำเนนิ การวจิ ัย ดังรายละเอยี ดต่อไปนี้

1. ประชากร
2. เครื่องมือที่ใชท้ ำวจิ ัย
3. การสร้างเครอื่ งมอื วิจยั
4. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู
5. การวิเคราะหข์ อ้ มลู และสถิตทีใ่ ช้

1. ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ี เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2

ประจำปีการศกึ ษา 2563 โรงเรยี นบา้ นดอนขเ้ี หล็ก อำเภอเมอื ง จงั หวัดสงขลา จำนวน 14 คน

2. เครอ่ื งมือท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย
เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการวจิ ยั ครง้ั นี้ประกอบด้วย
2.1 แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่อง ความสัมพันธ์

ของส่ิงมชี ีวติ ในระบบนิเวศ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 3 แผน ไดแ้ ก่
2.1.1 องค์ประกอบของสภาพแวดลอ้ มในท้องถ่ิน
2.1.2 การอยรู่ ว่ มกันของสิง่ มีชวี ติ
2.1.3 ความสมั พันธ์ของสงิ่ มชี วี ิตในระบบนิเวศ

2.2 นวตั กรรมทเี่ ลือกใช้ จำนวน 1 ชดุ ได้แก่
การจัดการเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ เทคนคิ TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์

56

2.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งใช้สำหรับทดสอบนักเรียน
ก่อนและหลังใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เป็น
แบบทดสอบชนิดเลอื กตอบ มี 4 ตวั เลอื ก จำนวน 10 ขอ้

3. การสร้างเคร่อื งมือในการวจิ ัย
3.1 การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เร่ือง

ความสมั พันธข์ องสิง่ มชี วี ิตในระบบนิเวศ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ผวู้ จิ ัยไดด้ ำเนินการตามข้ันตอน ดังน้ี
3.1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

และเทคโนโลยี
3.1.2 วเิ คราะหม์ าตรฐานการเรยี นรู้กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
3.1.3 กำหนดหวั เรอื่ ง หน่วยการเรียนร้ยู อ่ ย เวลาเรียน
3.1.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น ให้ครูพี่เลี้ยงพิจารณาเพื่อตรวจสอบความ

เหมาะสมและใหข้ อ้ เสนอแนะ
3.1.5 ปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ตามข้อสนอแนะของครูพีเ่ ลี้ยง และได้แผนการจดั การ

เรยี นรู้ท่ีสมบรู ณ์ จำนวน 3 แผน
3.2 การสร้างการจดั การเรยี นรู้แบบร่วมมือ เทคนคิ TGT รว่ มกับชุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ ผวู้ ิจยั

ได้ดำเนินการตามข้นั ตอน ดงั น้ี
3.2.1 ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ ง เพื่อนำมาสร้างเป็นการจัดการ

เรียนร้แู บบร่วมมอื เทคนิค TGT รว่ มกับชุดกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์
3.2.2 สร้างการจัดการเรียนรแู้ บบร่วมมือ เทคนิค TGT รว่ มกับชดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์
3.2.3 นำเสนอครพู ่เี ลีย้ งและผู้เชีย่ วชาญ เพอ่ื ตรวจสอบความถูกตอ้ งและนำมาแก้ไข
3.2.4 นำการจดั การเรยี นรูแ้ บบร่วมมือ เทคนคิ TGT ร่วมกบั ชดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ หาค่า

IOC จากนัน้ แก้ไขปรับปรุงตามคำแนะนำของผ้เู ชย่ี วชาญ แลว้ นำไปทดลองใชก้ บั ประชากรตอ่ ไป

57

3.3 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยได้ดำเนินการตาม
ขั้นตอน ดังน้ี

3.3.1 ศึกษาเนื้อหากลุ่มสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เรอื่ ง ความสมั พนั ธ์ของสงิ่ มีชวี ติ ในระบบนเิ วศ จากหลกั สูตรการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พ.ศ. 2551

3.3.2 ศึกษาวิเคราะหจ์ ุดประสงคใ์ นหลกั สูตรกล่มุ สาระการกล่มุ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์
และเทคโนโลยี

3.3.3 กำหนดจุดประสงค์ชงิ พฤติกรรมใหส้ อดคล้องกับจดุ ประสงค์ในหลักสูตรกลุ่มสาระการ
เรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

3.3.4 สร้างแบบทดสอบตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ซึ่งเป็นแบบทดสอบแบบเลือกตอบมี
4 ตวั เลือก จำนวน 1 ฉบับ จำนวน 10 ข้อ

3.3.5 นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา จำนวน 3 คน ตรวจสอบ
ความถูกต้อง ความเที่ยงตรงตามเนื้อหาและจุดประสงค์ โดยการหาค่า IOC ซึ่งการให้ความคิดเห็นของ
ผเู้ ชีย่ วชาญ ได้กำหนดเกณฑ์ ดงั นี้

+1 เม่ือแนใ่ จวา่ ข้อสอบน้ันวดั ไดต้ รงตามเนื้อหาและจดุ ประสงค์
0 เมอ่ื ไม่แน่ใจว่า ข้อสอบนัน้ วัดได้ตรงตามเน้ือหาและจดุ ประสงค์
–1 เมอื่ แนใ่ จว่า ขอ้ สอบนนั้ ไม่ไดว้ ัดตรงตามเน้ือหาและจดุ ประสงค์
3.3.6 ปรับปรุงแก้ไขแบบทดสอบตามข้อสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ แล้วคัดเลือกข้อสอบที่มี
ค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป ได้จำนวนข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 10 ข้อ แล้วนำมาพิมพ์เป็นแบบทดสอบ
เพื่อนำไปใช้ทดสอบกบั ประชากรต่อไป

4. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู
1. ดำเนินการทดสอบก่อนใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรม

วิทยาศาสตร์ กับประชากร จำนวน 14 คน ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระ
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ซึ่งใช้คะแนนประเมินผลจาก
แบบทดสอบก่อนเรียน จำนวน 10 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน รวม 10 คะแนน โดยคะแนนผ่านเกณฑ์คือ
ร้อยละ 70

2. ดำเนินการทดลองกับประชากร โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับ
ชดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ จำนวน 1 ชดุ ชุดละ 3 แผน แผนละ 1 - 2 ชว่ั โมง จำนวน 2 แผนต่อสัปดาห์

58

3. หลังใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ครบ
ตามที่กำหนดไว้ ผู้วิจัยได้ทดสอบด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศกับประชากรอีกครั้ง ซึ่งใช้คะแนนประเมินผล
จากแบบทดสอบก่อนเรียน จำนวน 10 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน รวม 10 คะแนน โดยคะแนนผ่านเกณฑ์คือ
รอ้ ยละ 70

5. การวิเคราะห์ข้อมลู และสถิตทิ ี่ใช้
5.1 การวเิ คราะห์ข้อมูล
1.1 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ หลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT
ร่วมกบั ชดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ กบั เกณฑ์ร้อยละ 70 โดยใชค้ ่าร้อยละ (Percentage)

1.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรยี นรู้แบบร่วมมือ เทคนิค

TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ โดยใช้ค่าเฉล่ีย (Mean) และค่าสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (σ)
5.2 สถติ ทิ ใี่ ชใ้ นการวิจัย
5.2.1 หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ โดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง
ของผเู้ ช่ียวชาญ (IOC)

สูตร IOC = ∑R

N

เม่ือ IOC แทน ดชั นีความสอดคล้องระหว่างขอ้ สอบกับจดุ ประสงค์
∑R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเหน็ ของผูเ้ ชย่ี วชาญ
N แทน จำนวนผู้เชย่ี วชาญ

2.2 หาค่าร้อยละ (Percentage) จากสตู รตอ่ ไปนี้

สูตร p = f × 100

N

เมอื่ p แทน ค่ารอ้ ยละ
แทน ความถ่ที ี่ต้องการแปลงให้เปน็ คา่ รอ้ ยละ
f แทน จำนวนความถ่ีทั้งหมด
N

59

2.3 หาคา่ เฉลยี่ ของคะแนน (Mean)
สตู ร µ̅ = ∑x

N

เมือ่ µ̅ แทน คา่ เฉลีย่

∑x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด

N แทน จำนวนนักเรียน

2.4 หาส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (σ)

σ = √ ∑ 2−(∑ )2

( −1)

เม่ือ σ แทน ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน
∑ แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด
N แทน จำนวนนกั เรยี น
∑ x2 แทน ผลรวมกำลงั สองของคะแนนแต่ละตัว

บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่อง ความสัมพันธ์ของ
สง่ิ มีชีวติ ในระบบนิเวศ หลงั ใช้การจดั การเรยี นรแู้ บบร่วมมือ เทคนิค TGT รว่ มกบั ชดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตร์
กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตใน
ระบบนิเวศ ก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรม
วทิ ยาศาสตร์ ของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบา้ นดอนข้ีเหลก็ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา โดย
ผู้วิจยั ไดเ้ สนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพอ่ื ตอบวัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั รายละเอยี ดดังน้ี

ตอนที่ 1 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
หลังใชก้ ารจัดการเรยี นร้แู บบรว่ มมือ เทคนคิ TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ กบั เกณฑร์ อ้ ยละ 70

ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
กอ่ นและหลงั เรียนด้วยการจดั การเรยี นรูแ้ บบร่วมมือ เทคนิค TGT รว่ มกับชดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์

ตอนที่ 1 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเรอื่ งความสมั พนั ธข์ องส่ิงมชี ีวติ ในระบบ
นเิ วศหลังใชก้ ารจดั การเรียนรู้แบบรว่ มมอื เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์กับ
เกณฑ์ร้อยละ 70
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ หลังใช้

การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนขี้เหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา กับเกณฑ์ร้อยละ 70 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ปรากฏดงั แสดงในตารางที่ 1

61

ตารางที่ 1 แสดงคะแนนหลงั เรียนโดยใชก้ ารจดั การเรียนรแู้ บบรว่ มมอื เทคนคิ TGT รว่ มกบั ชดุ

กจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์เมอ่ื เทียบกบั เกณฑร์ ้อยละ 70

นักเรียนคนท่ี คะแนนหลังเรียน เทยี บกับเกณฑร์ ้อยละ 70
(คะแนนเต็ม 10 คะแนน) (ผา่ นเกณฑ์ 7 คะแนน)

16 ไมผ่ า่ น

29 ผ่าน

37 ผา่ น

49 ผา่ น

58 ผ่าน

66 ไมผ่ ่าน

77 ผา่ น

87 ผา่ น

96 ไม่ผา่ น

10 7 ผา่ น

11 7 ผา่ น

12 6 ไมผ่ า่ น

13 7 ผา่ น

14 8 ผา่ น

µ̅ 7.14 ผา่ น

จากตารางท่ี 1 จะเหน็ ไดว้ ่าหลงั เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมอื เทคนิค TGT ร่วมกับ
ชุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ นกั เรียนมีคะแนนเฉลย่ี รวมสงู กว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 โดยมีค่าเฉลย่ี ร้อยละ 71.40
เมื่อพิจารณาคะแนนเป็นรายบุคคล พบว่า นักเรียนมีคะแนนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 10 คน คิด
เป็นรอ้ ยละ 71.43 และนักเรยี นมคี ะแนนตำ่ กว่าเกณฑร์ ้อยละ 70 จำนวน 4 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 28.57

62

ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นเรื่องความสมั พันธ์ของส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศ ก่อน
และหลังเรียนด้วยการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรม
วทิ ยาศาสตร์

การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นเรื่องความสัมพันธ์ของสงิ่ มชี ีวติ ในระบบนเิ วศ ก่อนและ
หลังใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบา้ นดอนขี้เหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลปรากฏ
ดังแสดงในตารางที่ 2

ตารางท่ี 2 แสดงคะแนน คา่ เฉลยี่ และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานของคะแนนกอ่ นและหลงั เรยี นดว้ ยการ
จดั การเรยี นร้แู บบร่วมมอื เทคนคิ TGT รว่ มกบั ชดุ กจิ กรรมวิทยาศาสตร์

นกั เรยี นคนที่ คะแนนก่อนเรยี น คะแนนหลังเรียน คะแนนที่เพิม่ ข้นึ
(คะแนนเตม็ 10 คะแนน) (คะแนนเต็ม 10 คะแนน)
1 4
2 2 6 5
3 4 9 5
4 2 7 7
5 2 9 6
6 2 8 5
7 1 6 6
8 1 7 5
9 2 7 1
10 5 6 6
11 1 7 6
12 1 7 4
13 2 6 4
14 3 7 4
4 8 4.86
µ̅ 2.29 6.57 1.46
0.61 0.42
σ

63

จากตารางที่ 2 จะเห็นได้ว่าก่อนเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับ
ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ นักเรียนทำคะแนนสูงสุดได้ 5 คะแนน คะแนนต่ำสุด 1 คะแนน คะแนนเฉล่ีย
2.29 คะแนน และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน 0.61 และหลังเรียนดว้ ยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค
TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ นักเรียนทำคะแนนสูงสุดได้ 9 คะแนน คะแนนต่ำสุด 6 คะแนน
คะแนนเฉลี่ย 6.57 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.42 แสดงให้เห็นว่าหลังเรียนด้วยการจัดการ
เรียนร้แู บบร่วมมือ เทคนคิ TGT ร่วมกบั ชุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ นกั เรยี นมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นสงู กว่า
ก่อนเรยี น

บทที่ 5
สรปุ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องความสัมพันธ์ของ
สิ่งมีชวี ติ ในระบบนิเวศ หลังใชก้ ารจัดการเรียนรู้แบบร่วมมอื เทคนิค TGT ร่วมกับชดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์
กบั เกณฑ์รอ้ ยละ 70 และเพ่อื เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นเรื่องความสัมพันธข์ องส่ิงมีชีวิตในระบบ
นเิ วศ ก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรยี นรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT รว่ มกบั ชดุ กจิ กรรมวิทยาศาสตร์
ของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนบา้ นดอนข้เี หล็ก อำเภอเมือง จงั หวดั สงขลา

ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประจำปีการศึกษา 2563
โรงเรียนบา้ นดอนข้เี หล็ก อำเภอเมอื ง จังหวดั สงขลา จำนวน 14 คน

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 3 แผน ได้แก่
แผนที่ 1 องค์ประกอบของสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น แผนที่ 2 การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต แผนที่ 3
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 2) นวัตกรรมที่เลือกใช้จำนวน 1 ชุด ได้แก่ ชุดกิจกรรม
วิทยาศาสตร์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งใช้สำหรับทดสอบนักเรียน
ก่อนและหลังใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เป็น
แบบทดสอบชนิดเลือกตอบมี 4 ตวั เลือกจำนวน 10 ข้อ

การวิเคราะห์ข้อมูลทำได้โดยการวิเคราะห์หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ของคะแนนที่ไดจ้ ากการทดสอบ

สรปุ ผลการวจิ ยั
ผลการวิจยั สรุปและนำเสนอตามลำดบั ดงั น้ี
1. หลงั เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนคิ TGT รว่ มกบั ชุดกจิ กรรมวิทยาศาสตร์

นกั เรยี นมคี ะแนนเฉล่ียรวมสงู กว่าเกณฑร์ ้อยละ 70 โดยมคี า่ เฉล่ียร้อยละเทา่ กบั 71.40 เม่อื พจิ ารณา

65

คะแนนเป็นรายบุคคลพบว่านักเรียนมีคะแนนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ
71.43 และนกั เรียนมคี ะแนนตำ่ กว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 4 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 28.57

2. ก่อนเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์
นักเรียนทำคะแนนสูงสุดได้ 5 คะแนนคะแนนต่ำสุด 1 คะแนน คะแนนเฉลี่ย 2.29 คะแนน และส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.61 และหลังเรียนดว้ ยการจัดการเรยี นรแู้ บบรว่ มมือเทคนคิ TGT รว่ มกบั ชดุ กจิ กรรม
วิทยาศาสตร์นักเรียนทำคะแนนสูงสุดได้ 9 คะแนนคะแนนต่ำสุด 5 คะแนน คะแนนเฉลี่ย 6.57 คะแนน
และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.42 แสดงให้เห็นว่าหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค
TGT รว่ มกบั ชุดกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ นักเรียนมีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนสูงกวา่ กอ่ นเรยี น

อภิปรายผล
จากผลการวิจยั สามารถอภิปรายผลตามวตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัยดงั นี้
1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ

หลงั เรยี นโดยใชก้ ารจดั การเรยี นรู้แบบรว่ มมือ เทคนคิ TGT รว่ มกับชุดกจิ กรรมวิทยาศาสตร์ ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนขี้เหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา กับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า
หลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ นักเรียนมี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า ชุดกิจกรรมที่สร้างขึ้นซึ่งประกอบด้วย
ใบความรู้ ใบงาน บัตรภาพ ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย มีภาพประกอบที่ชัดเจน ช่วยกระตุ้นความใฝ่เรียนรู้ของ
นกั เรียน ทำให้นักเรียนใหค้ วามสนใจเน้ือหาภายในชดุ กจิ กรรม อกี ท้ังชุดกจิ กรรมยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
ในการเรียนรู้ ช่วยลดภาระของครูผู้สอน ช่วยให้ผู้เรียนจำนวนมากได้รับความรู้แนวเดียวกัน ช่วยให้ครู
สามารถดำเนินการสอนได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ช่วยให้กิจกรรมการเรียนมีประสิทธภิ าพ ช่วยให้ครวู ดั ผล
เด็กได้ตามวัตถุประสงค์ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนใช้ความสามารถของตนเองไดอ้ ย่างเตม็ ท่ี และยังช่วยกระตุน้
ให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบและพยายามทำความเข้าใจในประเด็นที่กำหนด ซึ่งสอดคล้องกับ อภิญญา
เคนบุปผา (2546 : 26) ที่กล่าวว่า ชุดกิจกรรมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสอนของครู และส่งเสริม
การเรียนของนักเรียนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนศึกษาและ
ปฏิบัติ กิจกรรมจากชุดกิจกรรมดว้ ยตนเอง ซึ่งเป็นการเรียนโดยยดึ ผู้เรียนเป็นสำคญั ผู้เรียนจะมีส่วนรว่ ม
ในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ตามความสามารถของแต่ละบุคคล ทำให้นักเรียนไม่เบื่อหน่ายที่จะเรียน
แต่มีความกระตือรือร้นที่จะค้นคว้าหาคำตอบด้วยตัวเอง ทำให้นักเรียนมโี อกาสในการฝึกทักษะปฏบิ ัติใน
ด้านต่าง ๆ ได้ด้วย และสอดคล้องกับงานวิจัยของ อริยาภรณ์ ขุนปักษี (2561) ได้ศึกษาการพัฒนาชุด
กิจกรรมวิชาวทิ ยาศาสตรโ์ ดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ เพอ่ื ส่งเสรมิ การเรียนรู้วชิ าวทิ ยาศาสตร์ของ

66

นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า ชุดกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้
แบบร่วมมือ สามารถส่งเสริมการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
มีประสิทธิภาพ 80/80 นักเรียนมีการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้ชุดกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์และ
เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 และร้อยละ
89 ของคะแนนเต็ม และนักเรียนมคี ะแนนเฉล่ียการเรียนรู้วชิ าวิทยาศาสตร์ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ
เทคนิค TGT มคี ะแนนเฉลีย่ สูงกว่าการใช้การเรียนรู้แบบร่วมมอื เทคนิค STAD อยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถิติที่
ระดับ .05 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้ชุดกิจกรรม และการเรียนแบบ
ร่วมมือด้วยเทคนิค STAD และเทคนิค TGT มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติท่รี ะดับ .05 นักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 มคี วามพงึ พอใจต่อชุดกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์ โดย
การเรยี นรแู้ บบรว่ มมือเทคนิค STAD และเทคนคิ TGT อยูใ่ นระดบั มากทสี่ ุด และนักเรยี นมคี วามพึงพอใจ
ที่ใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT มากกว่า การใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสอดคล้องกับงานวิจัยของ นฤมล วัฒนวิกกิจ (2559) ได้ศึกษาผลการ
ใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่องสารและสมบัติของสารและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรียนจอมสรุ างค์อปุ ถัมภ์ จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา ผลการวิจยั พบวา่ ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนของนักเรยี นที่เรยี นโดยใช้ชุดกจิ กรรมเพ่ือพัฒนาทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์สูงกว่า
นักเรียนที่เรียนด้วยการสอนปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการท างวิทยาศาสตร์สูงกว่า
นักเรียนที่เรียนด้วยการสอนปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
หลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรียน และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ภานวุ ัฒน์ เปรมปรี (2556) ได้ศึกษาการพัฒนา
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องระบบนิเวศน้ำจืด สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนประเทียบ
วิทยาทาน จงั หวดั สระบุรี ผลการวิจัย พบว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เร่ืองระบบนเิ วศน้ำจืด มีประสิทธิภาพ
82.98/80.53 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 เจตคติการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างหลังเรียนสูงกว่า
กอ่ นเรยี นอย่างมนี ยั สำคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .05 นักเรยี นกล่มุ ตวั อยา่ งมีความพึงพอใจต่อชดุ การเรียนอยู่ใน
ระดบั ดีมาก (4.83)

67

2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
ก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนขี้เหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา พบว่า หลังจากที่
นักเรียนเรียนด้วยการจัดการเรยี นรูแ้ บบร่วมมือ เทคนิค TGT ร่วมกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ นักเรียนมี
ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นกลุ่มสาระวทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง ความสัมพันธข์ องส่ิงมชี ีวติ ในระบบนเิ วศ สงู กว่าก่อน
เรียน ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะว่า กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT มุ่งเน้นให้นักเรียนสร้าง
องค์ความรดู้ ว้ ยตนเอง โดยอาศยั กระบวนของกลุ่ม การรว่ มมือกันเพ่ือแข่งขนั เกมทางวชิ าการตา่ ง ๆ ทำให้
เกิดการพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ขึ้น และอาศัยกระบวนการกลุ่มเป็นส่วนช่วยสนับสนุนเพิ่มเติม
มากย่งิ ขน้ึ ทำให้เกดิ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เกิดการคิดวเิ คราะห์ เกดิ ความรจู้ ากประสบการณ์ท่ีนักเรียนได้
เรียนรู้ การจดั การเรียนรแู้ บบร่วมมือโดยใชเ้ ทคนคิ TGT เปน็ การจัดการเรยี นรู้ โดยมีองค์ประกอบทส่ี ำคัญ
ซึ่งได้แก่ กลุ่ม ในแต่ละกลุ่มจะมีนักเรียนหลากหลาย ทั้งเรื่องของระดับความสามารถ และเพศ โดย
นกั เรียนภายในกลมุ่ จะมีทั้งนักเรียนท่ี เรยี นเก่ง ปานกลาง และออ่ น และทกุ คนจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
นักเรียนทุกคนในการทำกิจกรรม หรือใบงานอีกทั้งมีการทบทวนสิ่งท่ีครูสอน ทำให้นักเรียนภายในกลุ่ม
เข้าใจบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น เน่ืองจากทบทวนหรือการอธิบายในสิ่งที่นักเรียนบางคนไม่เข้าใจนั้น ใช้ภาษาที่
สอื่ สารหรอื อธบิ ายที่เข้าใจง่ายกว่าครูอธิบาย และต่อมาคือเกม เกมที่ใชเ้ ป็นในการแข่งขันน้ัน เป็นสิ่งท่ีจะ
ประเมินความรู้ความเข้าใจในบทเรียนที่นักเรียนได้เรียนผ่านมา และยังช่วยให้นักเรียนเกิดความ
สนุกสนาน รู้สึกตื่นตวั ในการแข่งขัน การแข่งขันจะมีการแข่งขันตามระดับความสามารถของตนเอง จึงไม่
เกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบกัน ซึ่งสอดคล้องกับ เกษม วิจิโน (2535: 15 -17) ที่กล่าวถึงรูปแบบการ
จัดการเรียนรู้นี้ประกอบไปด้วย ทีมหรือกลุ่มซึ่งจะแบ่งนักเรียนตามความสามารถ เกมใช้ฝึกทักษะของ
นกั เรยี น และการแขง่ ขัน เมอ่ื เรียนจบจะมีการประเมินโดยการแข่งขัน การจัดการเรยี นรู้ แบบร่วมมือโดย
ใช้เทคนิค TGT สมาชิกกลุ่มจะมีความรับผิดชอบร่วมกัน สนใจการทำงานของ ตัวเองเท่า ๆ กับงานกลุ่ม
สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน แลกเปลี่ยนบทบาทหน้าที่กัน ช่วยเหลือซึ่งกันและความสำเร็จ
ของกลุ่มนั้นขึ้นอยู่กับสมาชิกภายในกลุ่ม ดังนั้นการเรียนด้วยวิธีนี้ ทุกคนต้องร่วมมือกันเรียนจึงทำให้
ประสบความสำเร็จได้ และยังมีการเสริมแรงให้กับนักเรียนโดยการให้รางวัลซ่ึงรางวัลเป็นตัวกระตุ้นทำให้
นักเรียนเกิดความพยายามและกระตือรือร้นในการเรียน และสอดคล้องกับแนวคิดของบลูม การส่งเสริม
การปฏิบัติกิจกรรมร่วมกันถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่ทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ผู้เรยี นทม่ี ีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม เพราะผเู้ รียนได้เรียนร่วมกนั มีความชว่ ยเหลือและ
เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ เด็กเก่งชว่ ยเหลือเด็กอ่อน ทำให้ผู้เรียนเกิดปฏิสัมพันธ์ภายในกลุ่ม นำมาสู่การ
พัฒนาตนอย่างต่อเนื่องและสามารถดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับ

68

งานวิจัยของ ณัฐวุฒิ จันละมุด (2554) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และเจตคติทาง
วิทยาศาสตร์ ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ทีไ่ ด้รบั การจัดการเรยี นรแู้ บบโมเดลซปิ ปาและการจัดการ
เรยี นรแู้ บบร่วมมอื โดยใช้เทคนิค TGT ผลการวิจัยสรปุ ได้ดงั นี้ นกั เรยี นทีไ่ ด้รับกรจัดกรเรียนรู้แบบโมเดล
ชิปปาและการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ก่อน
เรียนและหลังเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโมเดล
ซิปปามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.O5 นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
วิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นักเรียนที่ได้รับการจัดการ
เรียนรู้แบบโมเดลซิปปากับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์
ก่อนเรยี นและหลังเรียนแตกตา่ งกันอย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั .05 นกั เรยี นทไี่ ดร้ บั การจัดการเรยี นรู้
แบบโมเดลซิปปา มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.05 และนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์
หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสอดคล้องกับงานวิจัยของ นันตพร
วดศี ริ ศิ กั ด์ิ และคณะ (2556) ศึกษาผลการจัดการเรียนร้ดู ้วยกลุม่ แบบ TGT และการจดั การเรยี นรู้แบบวัฏ
จักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง หน่วยของชีวิตและชีวิตพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของนักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ผลการวจิ ัยพบว่า นกั เรยี นทีเ่ รียนดว้ ยการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น
มคี วามสามารถในการคดิ วเิ คราะหส์ ูงกวา่ นักเรยี นที่เรียนด้วยการจดั การเรยี นรู้ดว้ ยกลุ่มแบบ TGT อย่างมี
นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ด้วยกลุ่มแบบ TGT มีทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์สูงกว่านักเรียนท่ีเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น
อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ด้วยกลุ่มแบบ TGT
มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น
อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้องกับงานวิจัยของ สุพัชชา ปาทา (2554) ได้ศึกษา
ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวิทยาศาสตร์และความสามารถในการคิดวิเคราะหข์ องนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี
3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT และการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
ผลจากการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญ
ทางสถิติ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยใช้
เทคนิค TGT หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

69

วิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการ
เรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ แตกต่างกัน
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการ
เรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้หลัง
เรียนสูงกว่ากอ่ นเรยี น อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .01

ขอ้ เสนอแนะ
1 ขอ้ เสนอแนะจากการวิจยั ในคร้งั นี้
1.1 ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ควรมกี ารอภิปรายระหว่างผู้เรียน

กับผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้สอนให้มากขึ้น เพื่อเป็นการฝึกให้นักเรียนรู้จักแสดงความคิดเห็น และการกระตุ้น
โดยใช้คำถามให้ผ้เู รยี นรจู้ ักคดิ มากขน้ึ จะทำใหผ้ ้เู รียนเกดิ องคค์ วามร้ไู ด้ดขี ้นึ

1.2 ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้สอนควรตรวจแบบฝึกหดั ในใบงานทุกใบงาน
เพื่อตรวจสอบการเรียนรู้ โดยดูการตอบคำถามของนกั เรียนในการใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ตา่ ง ๆ และแจง้ ใหน้ กั เรยี นทราบผลการตรวจในชั่วโมงต่อไป เพ่ือเปน็ การสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความ
เพยี รพยายามในการเรยี นร้จู ากกิจกรรมถดั ไป

1.3 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสาขาวิชาอื่น ๆ ได้
เพ่อื ช่วยพัฒนใหผ้ ู้เรียนมีประสทิ ธิภาพมากยิ่งขึ้น

2 ขอ้ เสนอแนะสำหรบั การวิจยั ครงั้ ต่อไป
2.1 ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ แบบ

ร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT กับรูปแบบการสอนแบบอื่นๆ ที่มีผลต่อตัวแปรอื่นๆ เช่น ความสามารถด้าน
ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์

2.2 ควรมีการสังเกตพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียนในกระบวนการกลุ่ม โดยมีการจด
บันทึกและเก็บข้อมูลระหว่างการเรียน และนำข้อมูลนั้นมาเป็นประโยชนในการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน ระหว่างกอ่ นเรยี นและหลังเรยี นของผ้เู รยี น

70

บรรณานุกรม

กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พทุ ธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย.

กัลยรัตน์ คงดำ. (2554). ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 25 ธันวาคม 2563, จาก
http://krupitui11.blogspot.com/p/theory-of-co-operative-or-collaborative.html

ณัฐวุฒิ จนั ละมุด. (2554). การศกึ ษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์และเจตคติทางวิทยาศาสตร์
ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3 ทไ่ี ด้รับการจดั การเรยี นรู้แบบโมเดลซิปปาและการจัดการ
เรียนรู้แบบร่วมมอื โดยใช้เทคนคิ TGT. (ปริญญานิพนธ์ ก า ร ศ ึ ก ษ า ม ห า บ ั ณ ฑ ิ ต ,
มหาวิทยาลัยศรนี ครทิ รวโิ รฒ).

ทัศนวรรณ รามณรงค์. (2558). ชุดกิจกรรมการเรียนรู้. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 25 ธันวาคม 2563, จาก
https://www.gotoknow.org/posts/561214

นฤมล วัฒนวิกกิจ. (2559). ผลการใช้ชุดกจิกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ี มี
ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องสารและสมบัติของสารและทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนจอมสุรางค์
อุปถัมภ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. (วิทยานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต,
มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช).

นันตพร วดีศิริศักด์ิ มนตรี อนันตรักษ์ และสุเทพ ทองประดิษฐ์. ผลการจัดการเรียนรู้ด้วยกลุ่มแบบ TGT
และการจดั การเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขนั้ ต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน เรื่อง หน่วยของชีวิตและชีวิตพืช
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วารสารมหาวิทยาลัย
นครพนม 3 (มกราคม - เมษายน 2556) : 73-78

ประภัสรา โคตะขุน. (2553). การจัดการเรียนการสอนแบบ TGT. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 25 ธันวาคม
2563, จาก https://sites.google.com/site/prapasara/11-2

71

บรรณานกุ รม (ตอ่ )

ปราณี กองจนิ ดา. (2549). การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นคณติ ศาสตร์และทักษะการ คดิ เลข
ในใจของนักเรียนที่ได้รบั การสอนตามรูปแบบซปิ ปาโดยใช้แบบฝึกหดั ที่เนน้ ทักษะการคดิ
เลขในใจกับนกั เรยี นท่ีไดร้ บั การสอนโดยใชค้ ่มู อื ครู. วิทยานพิ นธ์ ค.ม.(หลกั สตู ร และการ
สอน). พระนครศรีอยุธยา : บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา.

พชิ ิต ฤทธจิ์ รูญ. (2545). การวิจยั เพื่อพฒั นาการเรยี นรู้ : ปฏิบัตกิ ารวจิ ัยในช้ันเรียน.(พิมพ์ครง้ั ที่ 3 ).
กรงุ เทพฯ : ครุศาสตรม์ หาวิทยาลยั ราชภฏั พระนคร.

พิมพนั ธ์ เตชะคุปต.์ (2548). การเรยี นการสอนท่ีเนน้ ผเู้ รียนเป็นศนู ย์กลาง. กรงุ เทพฯ : เดอะมาสเตอร์
กรปุ๊ แบเนจเมน็ ท์.

ภาณุวัฒน์ เปรมปรี. (2556). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องระบบนิเวศน้ำจืด สำหรับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนประเทียบวิทยาทาน จังหวัดสระบุรี (ปริญญานิพนธ์
การศกึ ษา มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ).

ลกั ขณา สริวฒั น์. (2557). จิตวิทยาสำหรบั ครู. โอ.เอส.พร้ินติง้ เฮ้าส์ : กรุงเทพฯ.
สมพร เชือ้ พนั ธ์. (2547). การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นคณิตศาสตรข์ องนกั เรียนช้ัน

มัธยมศึกษาปีท่ี3 โดยใช้วธิ ีการจดั การเรียนการสอนแบบสร้างองค์ความรดู้ ้วยตนเองกบั การ
จดั การเรียนการสอนตามปกติ. วทิ ยานิพนธ์ ค.ม. (หลกั สูตรและการสอน).พระนครศรีอยธุ ยา :
บณั ฑติ วิทยาลยั สถาบนั ราชภัฏพระนครศรีอยุธยา.
สิริพร ทิพย์คง. (2545). หลักสูตรและการสอนคณิตศาสตร์. กรุงเทพฯ : พัฒนาคุณภาพ
วิชาการ.
สุพัชยา ปาทา. (2554). การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถในการคิด
วิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้
เทคนิค TGT และการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้. (ปริญญานิพนธ์ การศึกษา
มหาบณั ฑิต, มหาวทิ ยาลยั ศรีนคริทรวิโรฒ).
อริยาภรณ์ ขุนปักษี. (2561). การพัฒนาชุดกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบ
รว่ มมอื เพ่อื ส่งเสรมิ การเรียนรู้วิชาวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4
. (วิทยานพิ นธ์ การศึกษา มหาบณั ฑิต, มหาวทิ ยาลัยธรุ กิจบัณฑิตย์).

72

ภาคผนวก

ภาคผนวก ก รายนามผเู้ ชยี่ วชาญ
ภาคผนวก ข แบบประเมินคุณภาพสำหรับผเู้ ชยี่ วชาญ
ภาคผนวก ค ผลการประเมินคุณภาพสำหรับผ้เู ชยี่ วชาญ
ภาคผนวก ง แผนการจดั การเรียนรูก้ ลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
ภาคผนวก จ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์
ภาคผนวก ฉ ภาพการจัดการเรยี นการสอน

73

ภาคผนวก ก
รายนามผู้เชย่ี วชาญ

74

รายนามผเู้ ชีย่ วชาญ

รายนามผู้เชี่ยวชาญในการตรวจแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีดังน้ี

1. นางนิพิท ศิริเพชร ครู ระดบั วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ

โรงเรยี นบา้ นดอนขเ้ี หล็ก อำเภอเมอื ง จงั หวัดสงขลา
ระดบั การศกึ ษาปริญญาตรี (วท.บ.ชีววิทยา)
ระดับการศกึ ษาปรญิ ญาโท (วท.ม.การจดั การส่ิงแวดล้อม)

2. นางจินดา บริรักษ์ ครู ระดบั วทิ ยฐานะชำนาญการพเิ ศษ

โรงเรียนบา้ นดอนขเ้ี หลก็ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
ระดบั การศึกษาปรญิ ญาตรี (ค.บ.วิทยาศาสตรท์ ั่วไป)
ระดับการศกึ ษาปรญิ ญาโท (กศ.ม.บริหารการศึกษา)

3. นางสาวรุ่งดล นฤนาทมโนรม ครู ระดับวทิ ยฐานะชำนาญการ

โรงเรียนบ้านดอนขเ้ี หลก็ อำเภอเมอื ง จงั หวัดสงขลา
ระดบั การศกึ ษาปริญญาตรี (ค.บ.คหกรรมศาสตร)์
ระดบั การศกึ ษาปรญิ ญาโท (กศ.ม.บรหิ ารการศึกษา)

75

ภาคผนวก ข
แบบประเมนิ คณุ ภาพสำหรบั ผเู้ ช่ียวชาญ

76

แบบประเมินคุณภาพนวัตกรรม

แบบแสดงความคดิ เห็นของผู้เช่ียวชาญท่มี ตี ่อชดุ กจิ กรรมวิทยาศาสตร์
คำชแ้ี จง ขอให้ท่านผู้เชี่ยวชาญได้กรณุ าแสดงความคดิ เหน็ ของท่านทีม่ ีต่อชุดกิจกรรมวทิ ยาศาสตรโ์ ดย
ใสเ่ ครื่องหมาย ( ✓) ลงในช่องความคิดเห็นของทา่ นพร้อมเขยี นข้อเสนอแนะท่ีเป็นประโยชนใ์ น การ
นำไปพจิ ารณาปรับปรุงต่อไป

ความคิดเหน็

รายการขอความคดิ เหน็ เหมาะสม ไมแ่ น่ใจ ไม่ ขอ้ เสนอแนะ
เหมาะสม

+1 0 -1

1. ความสอดคล้องเหมาะสมกับหลกั สูตร

2. ความสอดคล้องเหมาะสมกับธรรมชาติวชิ า

3. ความสอดคล้องเหมาะสมกับวยั ของ

ผู้เรียน

4. ความสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพ

ปัจจบุ นั และปญั หา

5. ความเหมาะสมตอ่ กระบวนการพัฒนา

ผู้เรยี น

6. ความเหมาะสมของเนื้อหา

7. ความเหมาะสมกับความสนใจของ

นกั เรียน

8. ความเหมาะสมของภาพ

ข้อเสนอแนะอน่ื ๆ
............................................................................................................................. ................................
.................................................................................................. ...........................................................

ลงช่อื ........................................................
(..........................................................)
ผู้เชีย่ วชาญทางดา้ นเนื้อหา

77

แบบประเมินคุณภาพนวัตกรรม

แบบแสดงความคิดเหน็ ของผเู้ ช่ียวชาญทีม่ ตี ่อชดุ กจิ กรรมวิทยาศาสตร์

คำชแ้ี จง ขอให้ทา่ นผเู้ ชี่ยวชาญได้กรณุ าแสดงความคดิ เห็นของท่านท่ีมตี ่อชุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตรโ์ ดย

ใส่เครื่องหมาย ( ✓) ลงในช่องความคิดเหน็ ของทา่ นพร้อมเขียนข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชนใ์ น การ

นำไปพจิ ารณาปรับปรงุ ต่อไป

ความคิดเห็น

รายการขอความคิดเห็น เหมาะสม ไมแ่ น่ใจ ไม่ ขอ้ เสนอแนะ
เหมาะสม

+1 0 -1

1. ด้านสือ่ การเรียนรู้ ได้แก่ ตัวอักษร

ภาพประกอบ อุปกรณ์การทดลอง ตัวต่อรูป

เรขาคณิต และใบกิจกรรม

1.1 มีความเหมาะสมกับเนือ้ หา ชว่ ยให้เขา้ ใจ

เนือ้ หาชดั เจนขน้ึ

1.2 ชดุ กิจกรรมช่วยใหน้ ักเรียนได้ลงมือปฏบิ ัติจริง

1.3 ชุดกจิ กรรมมเี น้ือหาท่ีเหมาะสม มีความ

ชัดเจน เขา้ ใจงา่ ย

1.4 ชว่ ยให้ผ้เู รียนเกดิ ความคิดรวบยอดและสรปุ

องค์ความรไู้ ด้ด้วยตนเอง

2. ด้านการออกแบบหรือกระบวนการเรียนรู้

2.1 มกี ารออกแบบกจิ กรรมที่เหมาะสมกบั จุดประสงค์

2.2 มีการออกแบบกิจกรรมท่ีเหมาะสมกบั ผู้เรียน

2.3 มีการออกแบบกิจกรรมทีน่ ่าสนใจ

ขอ้ เสนอแนะอนื่ ๆ
............................................................................................................................. ................................
.................................................................................................. ...........................................................

ลงชื่อ........................................................
(..........................................................)

ผเู้ ชยี่ วชาญทางดา้ นการศกึ ษาและการสอน

78

แบบประเมนิ ความสอดคล้องระหวา่ งข้อสอบกับจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม

กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์

คำช้แี จง ใหท้ ่านพิจารณาวา่ ข้อสอบท่ีสรา้ งขน้ึ สอดคลอ้ งกับตวั ชี้วดั /ผลการเรยี นร้ทู ี่กำหนดหรือไม่
โดยพิจารณาใหน้ ำ้ หนัก ดังนี้
+1 คือ แนใ่ จ วา่ ขอ้ สอบน้ันสอดคล้องกบั ตวั ช้วี ดั /ผลการเรียนรู้ทีก่ ำหนด
0 คือ ไมแ่ นใ่ จ วา่ ข้อสอบน้นั สอดคล้องกบั ตัวชี้วดั /ผลการเรยี นรู้ทก่ี ำหนดหรือไม่
-1 คอื แนใ่ จ วา่ ขอ้ สอบน้นั ไม่สอดคลอ้ งกับตัวชี้วดั /ผลการเรยี นรู้ทก่ี ำหนด

ตัวชี้วัด ว 1.1 ม.3/2 อธิบายรูปแบบความสัมพันธร์ ะหว่างสิง่ มีชีวิตกบั ส่ิงมีชีวิตรูปแบบตา่ ง ๆ ในแหล่งท่ี
อยูเ่ ดยี วกนั ทไี่ ดจ้ ากการสำรวจ

จดุ ประสงค์เชิง ขอ้ สอบ นำ้ หนกั ข้อเสนอแนะ
พฤติกรรม +1 0 -1

1. อธิบายรูปแบบ 1. ข้อใดเป็นการอยรู่ ว่ มกนั แบบภาวะพ่ึงพา

ความสัมพันธ์ อาศัย

ระหว่างส่งิ มีชวี ติ กับ ก. โปรโตซัวอาศัยอย่ใู นลำไส้ปลวก

ส่ิงมีชีวติ รปู แบบ ข. ซีแอนีโมนีอาศัยอยบู่ นเปลือกปเู สฉวน

ตา่ ง ๆ ในแหล่งท่ี ค. ผเี ส้ือดดู นำ้ หวานจากเกสรดอกบานชืน่

อยเู่ ดยี วกันที่ไดจ้ าก ง. พยาธอิ าศัยท่ีตบั

การสำรวจ 2. สิง่ มีชีวิตใดอยมู่ คี วามสัมพันธแ์ บบ

เดยี วกบั มดดำและเพลยี้

ก. ปลาฉลามและปลาเหาฉลาม

ข. นกเอีย้ งและควาย

ค. กบและแมลง

ง. แมงมุมและกระตา่ ย

79

จุดประสงค์เชิง ข้อสอบ นำ้ หนัก ข้อเสนอแนะ
พฤติกรรม +1 0 -1

1. อธบิ ายรูปแบบ 3. สิง่ มชี ีวติ คใู่ ด ไม่ได้มคี วามสมั พนั ธแ์ บบ

ความสัมพนั ธ์ ปรสติ

ระหวา่ งสงิ่ มีชีวติ กบั ก. เห็บ-สนุ ขั

ส่ิงมชี วี ิตรูปแบบ ข. พยาธิปากขอ-คน

ตา่ ง ๆในแหลง่ ที่อยู่ ค. ปลวก-โปรโตซัว

เดยี วกนั ทไี่ ด้จาก ง. ถูกทกุ ขอ้

การสำรวจ 4. ความสัมพันธ์ของสิง่ มชี ีวิตคใู่ ดทม่ี ี

ความสมั พันธ์แบบเป็นกลาง

ก. เสอื -สงิ โต

ข. กบ-แมลง

ค. ไลเคนส์

ง. แมงมุม-กระตา่ ย

5. ข้อใดกล่าวถงึ ไลเคนสไ์ ด้ไม่ถูกต้อง

ก. เป็นการอยรู่ ว่ มกนั ของสาหรา่ ยและรา

ข. ราจะไดป้ ระโยชน์จากการรบั แก๊ส

คารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากการหายใจของ

สาหร่าย

ค. มคี วามสมั พันธแ์ บบเดยี วกับปลวกและ

แบคทเี รียในลำไส้ปลวก

ง. เปน็ ความสัมพันธแ์ บบพงึ่ พาอาศัยหรือ

เก้ือกลู กนั คือแยกกนั อย่ไู มไ่ ด้

80

จุดประสงค์เชงิ ขอ้ สอบ น้ำหนัก ข้อเสนอแนะ
พฤตกิ รรม +1 0 -1

1. อธบิ ายรปู แบบ 6. ข้อใดเป็นความสมั พนั ธ์ของส่ิงมีชวี ติ แบบ

ความสัมพันธ์ ฝา่ ยหนึ่งได้ประโยชน์และอีกฝ่ายไม่ได้และ

ระหว่างสง่ิ มีชวี ิตกับ ไม่เสยี ประโยชน์

สงิ่ มีชีวิตรปู แบบ ก. ปรสิต

ตา่ ง ๆในแหล่งที่อยู่ ข. แขง่ ขันกัน

เดียวกันที่ได้จาก ค. พง่ึ พาอาศัย

การสำรวจ ง. องิ อาศยั

7. ข้อใดเปน็ ความสมั พันธท์ ีต่ ่างฝ่ายได้

ประโยชน์ การแยกกนั อยจู่ ะทำให้เกิดผลเสยี

ก. ไดป้ ระโยชน์รว่ มกัน

ข. พงึ่ พาอาศัย

ค. อิงอาศัย

ง. กลาง

8. ข้อใดเปน็ ความสมั พันธแ์ บบพึ่งพาอาศยั

ก. ปลวกและโปรโตซวั

ข. แบคทเี รยี ไรโซเบียมและถ่ัว

ค. ปเู สฉวนและดอกไม้ทะเล

ง. ก และ ข

9. ข้อใดกลา่ วไมถ่ ูกต้องเก่ียวกับภาวะแบบ
ปรสติ
ก. เปน็ ภาวะท่ีฝ่ายหนง่ึ ได้ประโยชน์และอีก
ฝา่ ยเสียประโยขน์
ข. สงิ่ มชี ีวิตท่ปี รสิตอาศยั เรียกว่า โฮสต์
(Host)
ค. สามารถเขียนไดเ้ ปน็ (+.-) หรือ (-, +)
ง. ตวั อย่าง เชน่ ไรแดง-ปลาหางนกยงู

81

จดุ ประสงคเ์ ชิง ข้อสอบ นำ้ หนัก ขอ้ เสนอแนะ
พฤติกรรม +1 0 -1
10. ความสมั พันธข์ องส่ิงมีชวี ิตแบบใดท่ี
ส่งิ มีชีวติ ทงั้ คู่เสียประโยชน์
ก. ปรสติ
ข. ลา่ เหย่อื
ค. แข่งขนั
ง. ถกู ทกุ ขอ้

ลงชอ่ื ........................................................
(..........................................................)

ผู้เชีย่ วชาญทางดา้ นการศึกษาและการสอน

82

แบบประเมนิ ความสอดคล้องระหวา่ งข้อสอบกับจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม

กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์

คำช้แี จง ใหท้ ่านพิจารณาวา่ ข้อสอบท่ีสรา้ งขน้ึ สอดคลอ้ งกับตวั ชี้วดั /ผลการเรยี นร้ทู ี่กำหนดหรือไม่
โดยพิจารณาใหน้ ำ้ หนัก ดังนี้
+1 คือ แนใ่ จ วา่ ขอ้ สอบน้ันสอดคล้องกบั ตวั ช้วี ดั /ผลการเรียนรู้ทีก่ ำหนด
0 คือ ไมแ่ นใ่ จ วา่ ข้อสอบน้นั สอดคล้องกบั ตัวชี้วดั /ผลการเรยี นรู้ทก่ี ำหนดหรือไม่
-1 คอื แนใ่ จ วา่ ขอ้ สอบน้นั ไม่สอดคลอ้ งกับตัวชี้วดั /ผลการเรยี นรู้ทก่ี ำหนด

ตัวชี้วัด ว 1.1 ม.3/2 อธิบายรูปแบบความสัมพันธร์ ะหว่างสิง่ มีชีวิตกบั ส่ิงมีชีวิตรูปแบบตา่ ง ๆ ในแหล่งท่ี
อยูเ่ ดยี วกนั ทไี่ ดจ้ ากการสำรวจ

จดุ ประสงค์เชิง ขอ้ สอบ นำ้ หนกั ข้อเสนอแนะ
พฤติกรรม +1 0 -1

1. อธิบายรูปแบบ 1. ข้อใดเป็นการอยรู่ ว่ มกนั แบบภาวะพ่ึงพา

ความสัมพันธ์ อาศัย

ระหว่างส่งิ มีชวี ติ กับ ก. โปรโตซัวอาศัยอย่ใู นลำไส้ปลวก

ส่ิงมีชีวติ รปู แบบ ข. ซีแอนีโมนีอาศัยอยบู่ นเปลือกปเู สฉวน

ตา่ ง ๆ ในแหล่งท่ี ค. ผเี ส้ือดดู นำ้ หวานจากเกสรดอกบานชืน่

อยเู่ ดยี วกันที่ไดจ้ าก ง. พยาธอิ าศัยท่ีตบั

การสำรวจ 2. สิง่ มีชีวิตใดอยมู่ คี วามสัมพันธแ์ บบ

เดยี วกบั มดดำและเพลยี้

ก. ปลาฉลามและปลาเหาฉลาม

ข. นกเอีย้ งและควาย

ค. กบและแมลง

ง. แมงมุมและกระตา่ ย

83

จุดประสงค์เชิง ข้อสอบ นำ้ หนัก ข้อเสนอแนะ
พฤติกรรม +1 0 -1

1. อธบิ ายรูปแบบ 3. สิง่ มชี ีวติ คใู่ ด ไม่ได้มคี วามสมั พนั ธแ์ บบ

ความสัมพนั ธ์ ปรสติ

ระหวา่ งสงิ่ มีชีวติ กบั ก. เห็บ-สนุ ขั

ส่ิงมชี วี ิตรูปแบบ ข. พยาธิปากขอ-คน

ตา่ ง ๆในแหลง่ ที่อยู่ ค. ปลวก-โปรโตซัว

เดยี วกนั ทไี่ ด้จาก ง. ถูกทกุ ขอ้

การสำรวจ 4. ความสัมพันธ์ของสิง่ มชี ีวิตคใู่ ดทม่ี ี

ความสมั พันธ์แบบเป็นกลาง

ก. เสอื -สงิ โต

ข. กบ-แมลง

ค. ไลเคนส์

ง. แมงมุม-กระตา่ ย

5. ข้อใดกล่าวถงึ ไลเคนสไ์ ด้ไม่ถูกต้อง

ก. เป็นการอยรู่ ว่ มกนั ของสาหรา่ ยและรา

ข. ราจะไดป้ ระโยชน์จากการรบั แก๊ส

คารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากการหายใจของ

สาหร่าย

ค. มคี วามสมั พันธแ์ บบเดยี วกับปลวกและ

แบคทเี รียในลำไส้ปลวก

ง. เปน็ ความสัมพันธแ์ บบพงึ่ พาอาศัยหรือ

เก้ือกลู กนั คือแยกกนั อย่ไู มไ่ ด้

84

จุดประสงค์เชงิ ขอ้ สอบ น้ำหนัก ข้อเสนอแนะ
พฤตกิ รรม +1 0 -1

1. อธบิ ายรปู แบบ 6. ข้อใดเป็นความสมั พนั ธ์ของส่ิงมีชวี ติ แบบ

ความสัมพันธ์ ฝา่ ยหนึ่งได้ประโยชน์และอีกฝ่ายไม่ได้และ

ระหว่างสง่ิ มีชวี ิตกับ ไม่เสยี ประโยชน์

สงิ่ มีชีวิตรปู แบบ ก. ปรสิต

ตา่ ง ๆในแหล่งที่อยู่ ข. แขง่ ขันกัน

เดียวกันที่ได้จาก ค. พง่ึ พาอาศัย

การสำรวจ ง. องิ อาศยั

7. ข้อใดเปน็ ความสมั พันธท์ ีต่ ่างฝ่ายได้

ประโยชน์ การแยกกนั อยจู่ ะทำให้เกิดผลเสยี

ก. ไดป้ ระโยชน์รว่ มกัน

ข. พงึ่ พาอาศัย

ค. อิงอาศัย

ง. กลาง

8. ข้อใดเปน็ ความสมั พันธแ์ บบพึ่งพาอาศยั

ก. ปลวกและโปรโตซวั

ข. แบคทเี รยี ไรโซเบียมและถ่ัว

ค. ปเู สฉวนและดอกไม้ทะเล

ง. ก และ ข

9. ข้อใดกลา่ วไมถ่ ูกต้องเก่ียวกับภาวะแบบ
ปรสติ
ก. เปน็ ภาวะท่ีฝ่ายหนง่ึ ได้ประโยชน์และอีก
ฝา่ ยเสียประโยขน์
ข. สงิ่ มชี ีวิตท่ปี รสิตอาศยั เรียกว่า โฮสต์
(Host)
ค. สามารถเขียนไดเ้ ปน็ (+.-) หรือ (-, +)
ง. ตวั อย่าง เชน่ ไรแดง-ปลาหางนกยงู

85

จดุ ประสงค์เชิง ขอ้ สอบ นำ้ หนัก ขอ้ เสนอแนะ
พฤติกรรม +1 0 -1
10. ความสมั พนั ธข์ องสิ่งมีชีวิตแบบใดท่ี
ส่งิ มชี วี ติ ทง้ั คู่เสียประโยชน์
ก. ปรสติ
ข. ลา่ เหย่อื
ค. แขง่ ขนั
ง. ถกู ทุกขอ้

ลงชือ่ ........................................................
(..........................................................)
ผู้เชยี่ วชาญทางดา้ นเน้อื หา

86

ภาคผนวก ค
ผลการประเมนิ คณุ ภาพสำหรบั ผเู้ ช่ียวชาญ

87

ตารางท่ี 1 ผลการประเมนิ คุณภาพนวตั กรรมสำหรบั ผู้เช่ียวชาญ 2 ท่าน

ความคดิ เห็น

รายการขอความคดิ เหน็ เหมาะสม ไม่แน่ใจ ไม่ รวม เฉลย่ี
เหมาะสม
2 2
+1 0 -1 2 2
2 2
1. ความสอดคลอ้ งเหมาะสมกบั หลกั สูตร 2
2 2
2. ความสอดคล้องเหมาะสมกบั ธรรมชาติวชิ า 2
2 2
3. ความสอดคล้องเหมาะสมกับวัยของผเู้ รยี น 2 2 2
2 2
4. ความสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน 2 2 2
และปัญหา

5. ความเหมาะสมต่อกระบวนการพัฒนาผเู้ รียน 2

6. ความเหมาะสมของเนอ้ื หา 2

7. ความเหมาะสมกับความสนใจของนักเรยี น 2

8. ความเหมาะสมของภาพ 2

น้ำหนกั คะแนน ดังน้ี
+1 คอื แนใ่ จ วา่ ขอ้ สอบน้นั สอดคล้องกับตัวชีว้ ัด/ผลการเรียนรู้ทก่ี ำหนด
0 คอื ไม่แนใ่ จ ว่าข้อสอบนัน้ สอดคล้องกบั ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ทก่ี ำหนดหรอื ไม่
-1 คือ แนใ่ จ ว่าข้อสอบนน้ั ไม่สอดคลอ้ งกับตวั ชี้วดั /ผลการเรยี นรู้ที่กำหนด

88

ตารางที่ 2 ผลการประเมนิ คุณภาพสำหรบั ผเู้ ชย่ี วชาญ 1 ท่าน

ความคดิ เหน็

รายการขอความคิดเหน็ เหมาะสม ไมแ่ นใ่ จ ไม่ รวม เฉลย่ี
เหมาะสม
1 1
+1 0 -1 1 1
1 1
1. ด้านส่ือการเรยี นรู้ ไดแ้ ก่ ตวั อักษร 1 1

ภาพประกอบ อปุ กรณ์การทดลอง ตัวต่อ 1 1
1 1
รูปเรขาคณิต และใบกจิ กรรม 1 1

1.1 มคี วามเหมาะสมกับเนอื้ หา ชว่ ย 1
ใหเ้ ข้าใจเน้ือหาชดั เจนข้ึน

1.2 ชดุ กจิ กรรมช่วยให้นักเรียนได้ลง 1
มือปฏิบตั ิจรงิ

1.3 ชุดกิจกรรมมีเนือ้ หาท่ีเหมาะสม มี 1
ความชัดเจน เข้าใจงา่ ย

1.4 ชว่ ยให้ผู้เรยี นเกิดความคิดรวบ 1
ยอดและสรปุ องค์ความรู้ได้ดว้ ยตนเอง

2. ด้านการออกแบบหรอื กระบวนการ

เรยี นรู้

2.1 มีการออกแบบกจิ กรรมที่ 1
เหมาะสมกับจดุ ประสงค์

2.2 มกี ารออกแบบกจิ กรรมท่ี 1
เหมาะสมกับผเู้ รียน

2.3 มีการออกแบบกิจกรรมทน่ี า่ สนใจ 1

น้ำหนักคะแนน ดงั นี้
+1 คอื แนใ่ จ วา่ ขอ้ สอบนนั้ สอดคล้องกบั ตวั ช้วี ดั /ผลการเรียนรู้ท่ีกำหนด
0 คือ ไมแ่ นใ่ จ วา่ ข้อสอบนน้ั สอดคล้องกับตวั ชวี้ ัด/ผลการเรยี นรู้ที่กำหนดหรือไม่
-1 คือ แน่ใจ ว่าขอ้ สอบนน้ั ไม่สอดคล้องกับตวั ชวี้ ดั /ผลการเรียนรู้ทก่ี ำหนด

89

ตารางท่ี 3 ระดับผลการประเมนิ แบบทดสอบสำหรับผเู้ ช่ียวชาญ 3 ทา่ น

จุดประสงค์ ขอ้ สอบ นำ้ หนกั ขอ้ เสนอแนะ
เชิงพฤติกรรม +1 0 -1

1. อธบิ าย 1. ขอ้ ใดเป็นการอยู่รว่ มกนั แบบภาวะพึ่งพา 3
3
รูปแบบ อาศยั
3
ความสัมพันธ์ ก. โปรโตซัวอาศัยอย่ใู นลำไส้ปลวก

ระหวา่ ง ข. ซแี อนโี มนอี าศัยอยบู่ นเปลือกปเู สฉวน

ส่ิงมีชวี ติ กับ ค. ผเี สอื้ ดดู นำ้ หวานจากเกสรดอกบานชนื่

สิ่งมีชีวติ ง. พยาธิอาศัยที่ตบั

รปู แบบตา่ ง ๆ 2. ส่งิ มีชวี ิตใดอยู่มีความสัมพันธแ์ บบ

ในแหล่งทอ่ี ยู่ เดยี วกับมดดำและเพลย้ี

เดยี วกนั ทีไ่ ด้ ก. ปลาฉลามและปลาเหาฉลาม

จากการ ข. นกเอย้ี งและควาย

สำรวจ ค. กบและแมลง

ง. แมงมุมและกระต่าย

3. สง่ิ มชี ีวติ คู่ใด ไม่ไดม้ ีความสัมพันธแ์ บบ

ปรสติ

ก. เห็บ-สนุ ขั

ข. พยาธิปากขอ-คน

ค. ปลวก-โปรโตซัว

ง. ถกู ทกุ ขอ้

4. ความสมั พนั ธข์ องสิง่ มชี ีวิตค่ใู ดที่มี 3
ความสมั พนั ธแ์ บบเปน็ กลาง
ก. เสอื -สิงโต
ข. กบ-แมลง
ค. ไลเคนส์
ง. แมงมุม-กระต่าย

90

จดุ ประสงค์ ขอ้ สอบ นำ้ หนัก ข้อเสนอแนะ
เชงิ พฤตกิ รรม +1 0 -1

5. ข้อใดกลา่ วถึงไลเคนส์ไดไ้ ม่ถูกตอ้ ง 3

ก. เปน็ การอยรู่ ่วมกันของสาหร่ายและรา

ข. ราจะได้ประโยชนจ์ ากการรับแก๊ส

คารบ์ อนไดออกไซด์จากการหายใจของ

สาหร่าย

ค. มีความสัมพนั ธแ์ บบเดียวกบั ปลวกและ

แบคทเี รียในลำไส้ปลวก

ง. เปน็ ความสัมพันธ์แบบพึง่ พาอาศยั หรือ

เก้ือกูลกันคือแยกกันอยูไ่ มไ่ ด้

6. ข้อใดเป็นความสัมพันธ์ของสงิ่ มีชวี ิตแบบ 3
ฝ่ายหน่ึงไดป้ ระโยชน์และอกี ฝ่ายไม่ได้และ
ไมเ่ สียประโยชน์
ก. ปรสิต
ข. แข่งขันกนั
ค. พง่ึ พาอาศยั
ง. องิ อาศัย

7. ข้อใดเป็นความสัมพันธ์ท่ตี า่ งฝ่ายได้ 3
ประโยชน์ การแยกกันอยูจ่ ะทำใหเ้ กิดผลเสีย
ก. ไดป้ ระโยชน์รว่ มกัน
ข. พ่ึงพาอาศยั
ค. อิงอาศยั
ง. กลาง

91

จดุ ประสงค์ ข้อสอบ น้ำหนัก ข้อเสนอแนะ
+1 0 -1
เชิงพฤตกิ รรม 8. ข้อใดเป็นความสมั พนั ธ์แบบพง่ึ พาอาศยั 3

ก. ปลวกและโปรโตซวั 3

ข. แบคทีเรียไรโซเบยี มและถ่ัว 3

ค. ปูเสฉวนและดอกไม้ทะเล
ง. ก และ ข

9. ข้อใดกล่าวไมถ่ ูกต้องเก่ียวกบั ภาวะแบบ

ปรสิต

ก. เป็นภาวะท่ฝี ่ายหนึ่งไดป้ ระโยชน์และอกี

ฝ่ายเสียประโยขน์
ข. ส่งิ มชี ีวิตทปี่ รสติ อาศยั เรยี กว่า โฮสต์

(Host)

ค. สามารถเขียนได้เป็น (+.-) หรือ (-, +)

ง. ตวั อย่าง เช่น ไรแดง-ปลาหางนกยงู

10. ความสัมพนั ธข์ องส่งิ มีชวี ติ แบบใดที่

สิ่งมีชีวิตทัง้ คู่เสียประโยชน์

ก. ปรสติ

ข. ล่าเหยอ่ื

ค. แขง่ ขัน

ง. ถูกทุกข้อ

92

ภาคผนวก ง
แผนการจัดการเรยี นรู้ กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์

93

แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 12

กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ รายวิชาวิทยาศาสตรพ์ ืน้ ฐาน รหสั วิชา ว23101

ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 7 ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ เวลา 2 ชว่ั โมง

เรอื่ ง องคป์ ระกอบของสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น

ผู้สอน นางสาวศริ ิวิลาศลกั ษ์ เกดิ กนั โณ ครูพเี่ ลี้ยง นางจนิ ดา บริรักษ์

1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตและ

ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลง
แทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและ
สงิ่ แวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม รวมทั้งนำความรู้
ไปใช้ประโยชน์

2. ตวั ชี้วดั
ว 1.1 ม.3/1 อธิบายปฏสิ มั พันธ์ขององค์ประกอบของระบบนิเวศท่ีไดจ้ ากการสำรวจ

3. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด
1) ระบบนิเวศประกอบด้วยองคป์ ระกอบทม่ี ีชวี ิต เชน่ พชื สัตว์ จุลินทรีย์ และองคป์ ระกอบที่ไม่มี

ชีวิต เช่น แสง น้ำ อุณหภูมิ แร่ธาตุ แก๊ส องค์ประกอบเหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์กัน เช่น พืชต้องการแสง น้ำ
และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในการสร้างอาหาร สัตว์ต้องการอาหาร และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมใน
การดำรงชีวติ เช่น อณุ หภมู ิ ความชนื้ องคป์ ระกอบทง้ั สองสว่ นนี้จะต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสม
ระบบนิเวศจงึ จะสามารถคงอย่ตู ่อไปได้


Click to View FlipBook Version