55
วารสารวิชาการ เอกสารของทางราชการ เช่น พระราชบัญญัติ ประกาศ จดหมายเหตุ นอกจากนี้ใน
ปจั จุบนั จะนิยมสบื ค้นขอ้ มลู จากอินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซด์ตา่ ง ๆ
4.4 วธิ กี ารศึกษาเอกสารทีเ่ ก่ียวข้อง
มีผู้เสนอวธิ กี ารศึกษาเอกสารทีเ่ ก่ยี วข้องไว้ ดังน้ี
อนวุ ตั ิ คณู แกว้ (2555: 56-58) ไดใ้ ห้ขอ้ เสนอแนะวิธกี ารศึกษาเอกสารที่เกีย่ วข้อง ไว้ดงั นี้
1. ข้อเสนอแนะในการศึกษาเอกสารทเ่ี กย่ี วข้องกบั การวิจัย
ในการศึกษาเอกสารท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั การวจิ ยั ผูว้ จิ ัยควรคำนึงถึงสิง่ ตอ่ ไปน้ี
1.1 แหล่งข้อมูลที่จะค้นคว้า มีอยู่ที่ใดบ้าง การให้บริการเป็นอย่างไร และมีความ
สะดวกในการค้นคว้าหรือไม่ เช่น ห้องสมุดในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ หน่วยงานที่ ให้บริการระบบ
อนิ เทอร์เนต็ เป็นตน้
1.2 ความทันสมัยของข้อมูลที่นำมาอ้างองิ ควรเปน็ เรอ่ื งที่ทันสมยั เอกสารที่ จะนำมา
อ้างอิง ถ้าเป็นการอ้างอิงจากเอกสารหรือตำราภาษาไทย ไม่ควรเกิน 5 ปี ถ้าเป็นการอ้างอิงจาก
เอกสารหรือตำราภาษาอังกฤษ ไม่ควรเกิน 10 ปี ยกเว้น สิ่งที่นำมาอ้างอิง เป็นเจ้าของทฤษฎี หรือ
เจา้ ของต้นฉบับ อาจจะเกนิ 5-10 ปี กไ็ ด้
1.3 ผู้วิจัยควรสร้างความเข้าใจในการอ้างอิงต่าง ๆ เช่น การเขียนบรรณานุกรมการ
เขียนเชิงอรรถ เปน็ ตน้ เพ่อื สะดวกตอ่ การจดบนั ทกึ อย่างมีคุณภาพ
1.4 ควรมีการจดบันทึกเนื้อหา สาระสำคัญ และเกี่ยวข้องกับงานวิจัยของตนเองทุก
คร้ัง อยา่ งถูกตอ้ ง และครบถ้วน เพ่ือป้องกันการลมื แหลง่ ข้อมลู
1.5 ควรคน้ คว้า เอกสารที่เกย่ี วขอ้ งให้ได้มากท่ีสุดและค้นคว้าอยา่ งพินิจพเิ คราะห์
2. การสบื คน้ ขอ้ มูลทเี่ กีย่ วขอ้ งกับการวจิ ยั
การสืบค้นข้อมูล เพื่อการศึกษาและการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้ มี
วิธกี ารสบื ค้นอยู่ 2 วธิ ี คอื
2.1 การสบื คน้ จากเอกสารอา้ งอิงท่ัวไป
ขนั้ ตอนในการคน้ หาเอกสารอ้างอิง (Steps involved in a literature search) มี
ดังนี้
2.1.1 กำหนดปญั หาวิจัยใหช้ ัดเจนมากที่สุด ในสว่ นนผ้ี ู้วิจัยระบุปัญหาให้ชัดเจนว่า
สิง่ ทเี่ ราจะศึกษานัน้ เปน็ สงิ่ ใด ควรเป็นปญั หาเฉพาะ อยา่ งกวา้ งจนเกินไป
2.1.2 พินิจพิจารณา (Peruse) แหล่งข้อมูลที่จะค้นคว้า ไม่ว่าจะเป็นแหล่งข้อมูล
ทั่วไป แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ หรือ แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ เช่น สารานุกรมงานวิจัย วารสารงานวิจัยที่
เกี่ยวข้องทัง้ ไทย และตา่ งประเทศ
56
2.1.3 ทำการค้นหาเอกสารท่เี กีย่ วข้องกบั งานวจิ ัย จากแหล่งข้อมูลดังกลา่ ว
2.1.4 อา่ นเอกสารดงั กล่าวพิจารณา และเลือกงานวจิ ัย ท่ีใกล้เคียงกับงานวิจัยของ
เราพร้อมทั้งบันทึก สรุปประเด็นสำคัญ และบรรณานุกรม ในการบันทึกนั้น ผู้วิจัยควรจะทำเป็น
แผ่นกระดาษขนาด 5” x 8” หรอื มสี มดุ บันทึก โดยแบ่งเปน็ หมวดหมู่ เพือ่ สะดวกตอ่ การอา้ งอิง
3. การสบื คน้ เอกสารอา้ งองิ จากระบบอินเทอร์เน็ต (The internet system search
of the literature)
ในปัจจุบัน อินเทอรเ์ น็ตได้มีบทบาทต่อการศกึ ษาเป็นอยา่ งมาก ในการสืบคน้ ข้อมูล นอกจาก
จะค้นหาจากเอกสาร สิ่งตีพิมพ์ทั่วไปแล้ว เรายังสามารถค้นหาจากอินเทอร์เน็ตได้ด้วยเนื่องจากได้มี
การเผยแพรแ่ นวคดิ ทฤษฎี บทความ งานวิจัยต่าง ๆ ลงบนเวบ็ ไซต์ (Web sites) ซ่งึ มีทงั้ ของไทยและ
ตา่ งประเทศ นอกจากจะทำให้ได้ข้อมลู ที่ทนั สมัย และหลากหลายแล้ว การสบื ค้นข้อมูลด้วยวิธีนี้ ก็ไม่
ยุ่งยากมากนัก ถ้าผู้วิจัยมีคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ตเรียบร้อยแล้วก็สามารถค้นหาได้เลย
ไมต่ อ้ งเสียเวลาเดนิ ทางไปยงั ห้องสมุดในสถานศึกษา หรอื หน่วยงานต่าง ๆประหยัดทง้ั เวลา คา่ ใช้จา่ ย
และงา่ ยต่อการสบื ค้น การสืบคน้ ข้อมลู จากอินเทอร์เนต็ มขี น้ั ตอนดังน้ี
3.1 ระบปุ ัญหาใหช้ ัดเจน (Define the problem as precisely as possible) ในขั้นตอนแรก
นี้ผู้วิจยั ต้องกำหนดปัญหาวจิ ัยทีจ่ ะศึกษาให้ชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการสืบค้น จะได้ไม่ยุ่งยาก และมี
จดุ มุ่งหมายการคน้ หาทช่ี เ้ี ฉพาะ
3.2 เลือกแหล่งขอ้ มลู ทจี่ ะค้นหา (Decide on the database) ในทีน่ ้ี หมายถึงชือ่ เวบ็ ไซตท์ ี่จะ
ทำการสบื ค้น ควรจะเป็นเวบ็ ไซต์ท่เี ขา้ ถึงได้ง่าย และมีจำนวนบทความงานวจิ ัยทม่ี ีปริมาณมาก
3.3 เลือกคำที่จะใช้ค้นหา (Select descriptors) เป็นคำ หรือข้อความที่จะใช้พิมพ์ลงใน
คอมพิวเตอร์เพื่อค้นหา หรือที่เรียกว่า คำค้นหาหลัก (Keywords) ขั้นตอนนี้ใช้ในกรณีท่ีเวบ็ ไซต์นั้นมี
ทางเลอื กในการใหค้ ้นหาอยา่ งรวดเร็ว คือ จะมีคาว่า “search” ท่ีชอ่ งส่เี หลี่ยม
ประสาท เนืองเฉลิม (2556: 109-112) ได้กล่าวถึงการประเมินคุณค่าเอกสารและงานวิจัย
ออนไลน์ ว่า สภาพปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าเอกสารวิชาการและงานวิจัยมักนิยมทำเป็นเอกสาร
อิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา สะดวก รวดเร็ว และประหยัด ดังนั้น ผู้วิจัย
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสามารถวิเคราะห์ คัดกรอง และตรวจเลือกงานวิชาการที่เผยแพร่ แบบ
ออนไลน์แล้วนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง ซึ่ง เอกสารต่าง ๆ ที่ปรากฏแบบออนไลน์ควรมี
คณุ ภาพในเชงิ วิชาการ ดังนี้
1. ความสมบรู ณ์ ครบถว้ นของเนื้อหาเอกสารที่ ปรากฏบนเครือข่ายอินเทอรเ์ น็ตจะต้องเขียน
ครบถ้วนสมบูรณ์ตามขอบข่ายของเนื้อหาทผ่ี ู้แตง่ ต้องการนำเสนอ หากมีอา้ งอิงแหล่งที่มาของเอกสาร
ด้วยก็จะเป็นการดี ได้แก่ ชื่อหนังสือ ชื่อบทความ ชื่อวารสาร ชื่อผู้แต่ง เป็นต้น หรือทำการสแกน
บางส่วนหรือทั้งหมดจากต้นฉบับในรู ป PDF ก่อนที่จะนำมาเสนอบนอินเทอร์เน็ตหรือฐานข้อมูล
57
ออนไลน์
2. ความครบถ้วนสมบูรณ์ทางวิชาการ เอกสารที่ปรากฏจะต้องได้รับการพิจารณาจาก
วัตถุประสงค์ในการเขียนที่ผู้แต่งกำหนด ตรงตามขอบเขตที่วางไว้ เนื้อหาแต่ละหัวข้อแต่ละเรื่องต้อง
ครบถว้ นและเชือ่ มโยงกบั สว่ นอนื่ ๆ ดว้ ย
3. ความถูกต้อง หากไม่แน่ใจในความถูกต้องของเอกสาร ให้ทำการตรวจสอบจากหลาย ๆ
แหล่งข้อมูล เพราะการอ่านเอกสารที่นำเสนอข้อมูลผิดจะให้ความรู้ที่ผิดไปด้วย และทุกครั้งที่นำ
ความรู้นัน้ ไปใชก้ จ็ ะทำให้ความผดิ พลาดทางวิชาการดังกลา่ วแผ่ขยายออกไปเร่อื ย ๆ
4. ความทันสมัย ความรู้สมัยใหม่มักได้รับการยืนยันจากผลงานในอดีตแล้วระดับหนึ่งว่ามี
ความถกู ต้องหรือมีข้อผิดพลาดน้อย และตอ้ งได้รับการยืนยันหรือเผยแพรโ่ ดยหน่วยงานที่เป็นที่รู้จักดี
และมอี ยู่จรงิ
5. วารสารหรอื สำนกั พมิ พ์ ช่อื วารสารจะเป็นตัวบ่งบอกความน่าเช่ือถือไดร้ ะดับหนึ่งเช่น การ
เผยแพร่ผลงานวิจัยของครูภายในกลุ่มโรงเรียน อาจจะมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าที่ได้รับการเผยแพร่
ในวารสารทั้งนี้เนื่องจากวารสารมีผู้ทรงคุณวุฒิประจำวารสารคอยทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้อง
ทางวิชาการก่อนจัดพิมพ์เผยแพร่ บางสำนักพิมพ์ที่เป็นที่รู้จักกันดีจะมีมาตรฐานในการจัดพิมพ์
เชน่ เดยี วกบั วารสาร
6. การมีตัวตนของผู้แต่งในผลงาน ตัวตนของผู้แต่งที่ปรากฏในเอกสารที่แสดงถึงลำดับ
ความคิด การเรียบเรยี งภาษา การอธิบาย วเิ คราะห์ตีความประเมินค่าด้วยความรู้ และความคิดของผู้
แต่ง จึงทำให้ผลงานมีลักษณะเฉพาะ ถ้างานวิชาการที่สืบค้นมาเป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักกันดีใน
สาขาวิชานั้น ๆ ก็จะได้รับประเมินค่าของผลงานอยู่ในระดับน่าเชื่อถือ แต่ถ้าค้นงานมาแล้วชื่อผู้แต่ง
เปน็ ผู้ที่ไม่คอ่ ยเป็นทีร่ จู้ กั กันดีกจ็ ะตอ้ งใชว้ ิจารณญาณในการอ้างงานวิชาการน้ัน
7. ความเป็นเหตุเป็นผล การมีหลักฐานอ้างอิง ข้อพิสูจน์เกี่ยวกับที่มาที่ไปของเอกสารและมี
การอธบิ ายความสัมพันธ์เชงิ สาเหตุท่ีไดจ้ ากการอ่านเอกสารและงานวจิ ยั เป็นอกี มาตรฐานหนึ่งในด้าน
คณุ คา่ ทางวชิ าการ
นอกจากนเ้ี อกสารงานวิชาการจากอินเทอรเ์ น็ตและฐานข้อมูลออนไลนต์ ่าง ๆ ซึ่งนับวันจะย่ิง
มีมากขึน้ เร่ือย ๆ จำเปน็ อยา่ งยิ่งทผ่ี ูว้ ิจยั ต้องมีความสามารถในการประเมนิ คุณค่างานวิชาการ เพ่ือจะ
ไม่ทำให้การนำความรู้ที่ได้มาปรับใช้ในงานวิจัยนั้นเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในด้านคุณค่าและ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ส่งผลต่อการนำเอกสารและงานวิจัยมาอ้างอิงและสิ่งเหล่าน้ีจะปรากฏใน
งานวิจัยรุ่นถัดไป โดยทั่วไปแล้ว นักวิจัยแต่ละคนก็จะมีเทคนิคและวิธีการในการอ่านเพื่อเก็บประเด็น
สำคัญจากการอ่านในแต่ละครั้ง ซึ่งผู้เขียนขอถ่ายทอดประสบการณ์ในการค้นคว้าและอ่านเพื่อให้ได้
ประเด็นทเี่ ก่ยี วขอ้ ง การนำไปใช้ประโยชนส์ ำหรับการวิจัย ดังน้ี
1. ถ้าต้องการงานวิจัยใหม่ ๆ ผู้เขียนมักจะสืบคนเสาะแสวงหาจากฐานข้อมูลออนไลน์
58
ต่างประเทศ โดยมีเงื่อนไขว่างานวิจัยที่ต้องการจะทำนั้นต้องปรากฏย้อนหลังไปไม่เกิน 3 ปี แล้วทำ
การตรวจสอบดูว่างานวิจัยมีใครศึกษาบ้าง ขอบเขตของการวิจัยอยู่ในระดับใด งานวิจัยนี้มีความ
เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ผู้วิจัยกำลังจะศึกษามากน้อยเพียงใด และพิจารณาว่าจะสร้างทางเลือกหรือ
แนวทางการวจิ ัยไปในทศิ ทางใด
2. ทุกครั้งที่จะสืบค้น เอกสารและงานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยต้องทำการกำหนดค่าสำคัญ
(Keyword) สำหรับใช้ค้นคว้าทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ รวมทั้งคำที่มีความหมายใกล้เคียง
กัน เช่น cooperative learning, co-operative learning การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจการเรียนรู้
แบบกลุ่มร่วมมือ การเรียนรูแ้ บบรว่ มมอื กัน การเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื กนั เรียนรู้ ฯลฯ
3. เมื่ออ่านงานวิจัยก็จะเริ่มจากการอ่านบทคัดย่อหรือทำความเข้าใจใน abstract เสียก่อน
เพื่อที่จะได้เข้าใจภาพรวมของการวิจัย แต่ถ้าหากมีประเด็นสงสัยหรืออ่านแล้วเก็บประเด็นไม่ได้เสีย
ทั้งหมด ก็จะอ่านรายละเอยี ดในแต่ละหัวข้อทีป่ รากฏในบทความน้นั
4. อ่านเพื่อจับประเด็น ไม่ใช่แปลตามตัวอักษรทุกตัว และไม่ต้องอ่านทุกตัวขณะที่อ่านก็
มักจะตงั้ คำถามกับบทความหรือรายงานการวจิ ัยนัน้ วา่ มหี วั เรื่องอะไร มีความมงุ่ หมายการวิจยั อย่างไร
กลุ่มตัวอย่างคือใคร นวัตกรรมที่ใช้มีอะไรบ้าง ตัวแปรที่ใช้ในการวจิ ัยได้แก่อะไร และได้ผลการวิจัยที่
ชัดเจนหรือไม่ อย่างไร
5. หากอ่านหนังสือแล้ว หลายคนมักถามว่าควรจะย้อนหลังไปไม่เกินกี่ปีจริง ๆ แล้วไม่ได้มี
ใครกำหนดว่าหนังสือที่นำมาอ้างอิงเก่าใหม่ขนาดไหน แต่ที่สำคัญคือมีความน่าเชื่อถือและสามารถ
นำมาใช้อา้ งองิ ไดอ้ ยา่ งครบถว้ นสมบรู ณ์
6. อ่านเรื่องใดต้องรีบทำสรุปประเด็นสำคัญไว้ไม่เกิน 15 บรรทัด และต้องรีบเขียน
เอกสารอ้างอิงไว้เสมอ เพื่อป้องกันการลืมเอกสารอ้างอิงท้ายเล่ม ถ้าเป็นไปได้ควรรีบพิมพ์สำเนาไฟล์
เก็บไวท้ ่เี ครื่องคอมพวิ เตอร์
7. อ่านสม่ำเสมอค้นคว้าอยู่บ่อย ๆ และเขียนเป็นประจำจะช่วยทำให้ผู้วิจัยมีทักษะในการ
อ่าน วิเคราะห์ และจับประเด็นที่ได้จากการอ่านเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงฝึกฝนทักษะ
และเทคนิคการสืบค้นข้อมูล ซึ่งช่วยให้ประหยัดเวลาและพลังงานในการพัฒนาค้นคว้าเอกสาร
ประกอบการวิจัย
จากวิธีการศึกษาเอกสารทเ่ี กย่ี วข้องข้างต้นสรุปได้ว่า นักวิจยั ควรทำการศึกษาเอกสารโดยเริ่ม
จากการกำหนดประเด็นท่ีต้องการจะศึกษาให้ชัดเจน จากน้นั จะทำการคน้ คว้าเอกสารจากแหล่งท่ีต่าง
ๆ เช่น ห้องสมุด หรือบทเว็บไซด์ และต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือของผู้แต่งและคำนึงถึงความ
ทันสมัยของเอกสารทั้งนี้เพื่อให้ผลการศึกษาใกล้เคียงกับสภาพในปัจจุบัน จากนั้นนักวิจัยจะทำการ
อ่านเอกสารและจดบนั ทึกข้อมูลเพื่อจะนำไปใชใ้ นการดำเนนิ การวจิ ัยในขน้ั ตอนอื่นถัดไป
59
4.5 กรอบแนวคิดการวิจยั
หลังจากที่นักวิจัยดำเนินการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้วทำให้ทราบถึงตัวแปรที่จะ
ทำการศึกษาในงานวิจัย ซึ่งขั้นตอนต่อไปนักวิจัยจะทำการกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย ทั้งนี้เพื่อให้
เขา้ ใจถงึ กรอบแนวคดิ การวิจัยควรทำความเข้าใจกับนยิ าม ดงั มผี นู้ ยิ ามไวด้ ังนี้
วรรณี แกมเกตุ (2555: 70) ได้ให้ความหมายกรอบแนวคิดการวิจัย หมายถึง แผนภาพทาง
ความคิดของนักวิจัยในการหาคำตอบ สำหรับปัญหาวิจัยที่ตั้งขึ้น ซึ่งประกอบด้วยตัวแปรที่มุ่งศึกษา
และอาจรวมไปถึงการระบุความสมั พันธร์ ะหว่างตวั แปรท่ีศึกษาด้วย
อนุวัติ คูณแก้ว (2555: 91) ได้ให้ความหมายกรอบแนวคิดการวิจัย หมายถึง แบบจำลองท่ี
แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ได้จากการศึกษาทฤษฎี ข้อสรุปเชิงประจักษ์ข้อมูลจาก
สมมตุ ิฐาน และผลงานวจิ ัย นำมาสงั เคราะห์เพ่ือใหผ้ วู้ ิจัยเกิดมุมมองภาพรวมของงานวิจัยเรื่องนั้นว่ามี
ตัวแปรอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ศึกษาเป็นอย่างไร อะไรเป็นตัว แปรต้น
และอะไรเป็นตัวแปรตาม
พรรณี ลีกิจวัฒนะ (2559: 129) ได้ให้ความหมายกรอบแนวคิดการวิจัย (research
conceptual framework) หมายถึง รูปแบบของความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร หรือ
โครงสร้างของตวั แปรท่ีศึกษา กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัยอาจอยู่ในรูปของข้อความและ/หรอื โมเดล
ทอี่ ธบิ ายความเกย่ี วขอ้ งสัมพันธข์ องตัวแปรหรือโครงสร้างของตัวแปรท่ีศกึ ษา
ไพศาล วรคา (2559: 58) ไดใ้ หค้ วามหมายกรอบแนวคดิ การวิจยั หมายถึง กรอบเชิงทฤษฎีที่
แสดงใหเ้ ห็นถึงปัจจัยหรือความสมั พันธ์ของปัจจยั หรอื ตัวแปรทั้งหมด ที่เก่ียวข้องสัมพันธ์กันกับปัจจัย
หรือตัวแปรตามหรือปรากฏการณ์ทีผ่ ู้วิจัยต้องการศกึ ษา ซึ่งปัจจัยหรือตัวแปรดงั กล่าวนีม้ าจากทฤษฎี
แนวคดิ และผลงานวจิ ัยตา่ ง ๆ แต่เม่อื จะทำการวิจัยในเรื่องดังกลา่ วผู้วจิ ยั ไมส่ ามารถจะศึกษาทกุ ๆ ตัว
แปรหรือปัจจยั ในกรอบเชิงทฤษฎีได้ จงึ อาจปรบั ลดบางตวั แปรลงหรอื ทำให้ตัวแปรบางตวั คงที่ แลว้ จึง
ปรับกรอบเชิงทฤษฎีใหม่ซึ่งก็จะไดก้ รอบแนวคดิ ในการวิจัยจากความหมายของกรอบแนวคดิ การวจิ ยั
ทกี่ ลา่ วมาสรปุ ไดว้ ่ากรอบแนวคดิ การวิจยั หมายถึง ส่ิงที่แสดงความสัมพนั ธ์ของตวั แปรที่ทำการศึกษา
ซึ่งตัวแปรดังกล่าวต้องมาจากการทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้อง กรอบแนวคิดจะแสดงในรูปของ
สญั ลักษณ์หรอื แผนภาพ
60
4.6 ตัวอยา่ งกรอบแนวคิดการวิจยั
งานวิจัยเรื่อง กระบวนทัศน์ใหม่ต่อการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้วิจัยเป็นฐาน
บูรณาการ TPACK Model ในรายวิชาการวิจยั เพื่อพัฒนาการเรียนรู้เพื่อเพิม่ ขีดความสามารถการทำ
วิจยั และทักษะการรูด้ ิจิทลั ของนกั ศกึ ษาครู (อสิ มาอีล ราโอบ, 2562)
การจดั การเรยี นรู้ -ขดี ความสามารถการทำวจิ ัย
-วิจยั เป็นฐานบูรณาการ TPACK Model -ทกั ษะการรดู้ ิจิทัล
-การจัดการเรียนรแู้ บบปกติ -ความรู้ TPACK
จากกรอบแนวคิดการวิจัยดังกล่าวเป็นการเขียนในลักษณะของแผนภาพ ซึ่งแสดงความ
สัมพันธ์ของตัวแปรที่ศึกษาสามารถจำแนกเป็นตัวแปรต้นคือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน
บูรณาการ TPACK Model และการจัดการเรียนรู้แบบปกติ ที่ส่งผลต่อตัวแปรตาม คือ
ขีดความสามารถการทำวจิ ยั ทกั ษะการร้ดู จิ ิทัล และความรู้ TPACK
4.7 สรปุ
การทบทวนเอกสารท่ีเก่ียวข้องเป็นขั้นตอนที่นกั วจิ ยั จะดำเนนิ การหลังจากได้ประเดน็ ปญั หา
การวจิ ัย ซ่ึงการทบทวนเอกสารจะมีท้ังการทบทวนแนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ยั ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพ่ือที่
นักวิจัยจะนำเอกสารดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทางในการวิจัยไม่ว่าจะเป็นการตั้งสมมุติฐาน การกำหนด
ตัวแปร การสร้างเครื่องมือและการตรวจสอบคุณภาพ การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล
ตลอดจนการอภิปรายผลการวิจัย แหล่งที่มาของเอกสารที่เกี่ยวข้องนักวิจัยสามารถค้นคว้าจาก
หนังสือ ตำรา งานวิจัยที่เป็นที่วิทยานิพนธ์และงานวิจัยทั่วไป บทความจากวารสารวิชาการ เอกสาร
ของทางราชการและเว็บไซด์ จากน้นั นักวิจัยจะทำการศึกษาเอกสารโดยเร่ิมจากการกำหนดประเด็นท่ี
ต้องการจะศึกษาให้ชัดเจน จากนั้นจะทำการค้นคว้าเอกสารจากแหล่งที่ต่าง ๆ และทำการอ่าน
เอกสารและจดบันทึกข้อมูลเพื่อจะนำไปใช้ในการดำเนินการวิจัยในขั้นตอนต่าง ๆ เมื่อนักวิจัยศึกษา
เอกสารที่เกี่ยวข้องเสร็จก็จะสามารถกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัยซึ่งเป็นกรอบที่แสดงความสัมพันธ์
ของตวั แปรที่ทำการศกึ ษา
61
4.8 คำถามทบทวน
1. จงอธบิ ายความสำคัญของการศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ัยท่เี กย่ี วข้อง เพื่อนำมาศกึ ษาวิจัย
2. ถ้านักศึกษาจะทำวิจัยเรื่อง “การศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียน
การสอนของอาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี” จะต้องศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ี
เกยี่ วข้องอะไรบา้ ง
3. การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะนำไปใช้ประโยชน์ในขั้นตอนใดบ้างของการ
ดำเนินงานวิจยั บอกมาไมต่ ่ำกวา่ 5 ขอ้
4. เพราะเหตใุ ดการทบทวนเอกสารและงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วข้องจงึ ต้องใชเ้ อกสารที่ทนั สมัย
5. จงเขียนกรอบแนวคิดการวิจัยที่นักศึกษาจะทำการศึกษา พร้อมระบุตัวแปรที่ศึกษาให้
ชัดเจน
4.9 เอกสารอา้ งอิง
กรรณกิ าร์ ภิรมยร์ ตั น์. (2553). การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนสาระการเรียนรู้ภูมิศาสตร์
เร่ือง ทวปี ยโุ รป กอ่ นเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรียนสาธติ
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสนุ ันทา โดยใชแ้ บบฝึกเสรมิ ทักษะ. งานวิจยั ท่ไี ดร้ บั ทนุ สนบั สนุน
การวิจัยจากสถาบนั วิจยั และพัฒนา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสนุ นั ทา.
ประสาท เนอื งเฉลมิ . (2556). วจิ ัยการเรียนการสอน. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรุงเทพมหานคร: สานักพมิ พ์
แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
พรรณี ลกี จิ วฒั นะ. (2559). วิธีการวจิ ยั ทางการศกึ ษา. พิมพ์ครงั้ ท่ี 11. กรุงเทพมหานคร: มนี
เซอรว์ ิส ซพั พลาย.
พิสณุ ฟองศร.ี (2551). วิจยั ชั้นเรียน: หลกั การและเทคนิคปฏิบัติ. พมิ พ์ครั้งที่ 6. บรษิ ทั ด่านสทุ ธา-
การพิมพ์ จำกัด.
ไพศาล วรคา. (2559). การวจิ ยั ทางการศกึ ษา. พิมพ์คร้ังที่ 8. กรุงเทพมหานคร: ตักศลิ าการพมิ พ์.
วรรณี แกมเกตุ. (2555). วธิ ีวิทยาการวจิ ัยทางพฤติกรรมศาสตร์ . พิมพ์ครัง้ ที่ 3. กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
สุวิมล ตริ กานันท์. (2551). ระเบยี บวธิ ีการวิจัยทางสงั คมศาสตร์: แนวทางสูก่ ารปฏิบัต.ิ พิมพ์ครง้ั ท่ี
7.กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
อนวุ ัติ คณู แกว้ . (2555). การวจิ ัยเพื่อพัฒนาการเรยี นรู้สูผ่ ลงานทางวิชาการเพื่อการเล่ือน
วทิ ยฐานะ. กรุงเพทมหานคร. โรงพิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
อิสมาอีล ราโอบ. (2563). การพัฒนาเว็บแอพพลิเคชั่นตามหลักมะกอศิดอัชชะรีอะฮ์เพื่อเพิ่มขีด
ความสามารถในการเรียนรู้ของผูเ้ รียนในศตวรรษท่ี 21.
บทท่ี 5
ตัวแปรการวจิ ัยและสมมุตฐิ าน
การดำเนินการวิจัยหลังจากนักวิจัยได้ทำการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเสร็จ
เรียบร้อยแล้ว นักวิจัยจะสามารถกำหนดสิ่งที่จะทำการศึกษาเพื่อค้นหาคำตอบตามประเด็นปัญหา
การวิจัย ที่ตั้งไว้ได้นั่น คือ การกำหนดตัวแปรการวิจัยซึ่งตัวแปรการวิจัยสามารถจำแนกได้หลาย
ประเภทและแต่ละประเภทมีวิธีการวัดหรอื ศึกษาที่แตกต่างกัน เมื่อนักวิจัยกำหนดตัวแปรการวิจัยได้
แล้วก็จะนำไปสู่การคาดคะเนคำตอบของประเด็นปัญหาด้วยการตั้งสมมุติฐานการวิจัยต่อไป ดังนั้น
นกั วจิ ยั จงึ ควรทำความเขา้ ใจเกย่ี วกบั ตัวแปรการวิจยั และสมมุติฐาน
5.1 ความหมายของตวั แปรการวจิ ยั
มผี ู้กล่าวถึงความหมายของตัวแปรไวห้ ลายท่าน ดังนี้
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 46) ได้ให้ความหมายของตัวแปรว่า หมายถึง สิ่งต่าง ๆ
หรือลักษณะต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่ปรากฏในประเด็นที่ต้องการศึกษาโดยมีค่าท่ี
แปรเปล่ยี นกนั ไปในแตล่ ะหน่วยของประชากรท่ศี กึ ษา
บญุ ชม ศรีสะอาด (2556: 26) ได้ใหค้ วามหมายของตวั แปรว่า หมายถึง คณุ ลักษณะ
หรือภาวการณต์ ่าง ๆ ซง่ึ แบ่งออกเป็นพวก หรอื เปน็ ระดับ หรือมีคา่ ได้หลายคา่
ไพศาล วรคา (2559: 65) ได้ให้ความหมายของตัวแปร หมายถึง คุณลักษณะหรือ
คุณสมบัติหรือสัญลักษณ์แทนคุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใด ๆ ที่ผู้วิจัยสนใจศึกษาโดย
คุณลักษณะคุณสมบัติ หรอื สญั ลกั ษณ์นนั้ มีค่าแปรเปลย่ี นไปตามหนว่ ยทีท่ ำการศึกษา
ศิริชัย กาญจนวาสี และคณะ (2559: 13) ได้ให้ความหมายของตัวแปรว่า หมายถึง
สิ่งที่โดยสภาพท่ัวไปแล้วสามารถแปรค่าได้ต่าง ๆ กันในแต่ละหน่วยของประชากรหรือกลุ่มตัวอยา่ งที่
เรานำมาศึกษา
จากความหมายของตัวแปรที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่าตัวแปร หมายถึง สิ่งที่ต่าง ๆ
หรือคุณลักษณะที่นักวิจัยต้องการจะศึกษา โดยมีค่าแปรเปลี่ยนได้ในแต่ละหน่วยของประชากรท่ี
ศกึ ษา
63
5.2 ประเภทของตัวแปรการวิจยั
มผี ู้กล่าวถึงประเภทของตวั แปรการวิจัยไว้หลายท่าน ดงั น้ี
บุญชม ศรสี ะอาด (2556: 27-30) ได้แบ่งประเภทของตัวแปรออกเปน็ 5 ประเภท ดงั น้ี
1. ตวั แปรอสิ ระ (Independent Variable) เป็นตัวแปรทเี่ ป็นอสิ ระไม่ขึ้นกับตัวแปร
ตาม และยังสันนิษฐานวา่ จะเป็นสาเหตุ มผี ล หรอื มอี ทิ ธพิ ลต่อตัวแปรตามอีกดว้ ย มีชื่อเรียกอีกหลาย
ช่อื เชน่ ตวั แปรตน้ ตัวแปรเร้า ตัวแปรจัดกระทำหรอื ตัวแปรป้อน
2. ตัวแปรตาม (Dependent Variable) เป็นตัวแปรที่ผูว้ ิจัยเชื่อว่าจะขึ้นอยู่หรือผัน
แปรไปตามตัวแปรอิสระ เรยี กอีกอยา่ งว่าตวั แปรผล
3. ตัวแปรสอดแทรกหรือตัวแปรแทรกซ้อน (Intervening Variable) เป็นตัวแปรที่
เกิดขึ้นระหว่างทดลอง เช่น ความเหนื่อยลา้ ความวิตกกังวล เป็นต้น เป็นตัวแปรที่ผูว้ จิ ยั ควบคุมไมไ่ ด้
และอาจมีอิทธิพลต่อตวั แปรตาม
4. ตัวแปรเกินหรือตัวแปรภายนอก (Extraneous Variable) เป็นตัวแปรท่ีผู้วิจัย
ไม่ได้มุ่งศึกษาผลของตัวแปรนั้นและไม่ได้ควบคุม แต่อาจมีอิทธิพลต่อตัวแปรตาม ทำให้ข้อสรุปของ
การวจิ ัยขาดความเทยี่ งตรง
5. ตัวแปร Organismic เป็นตัวแปรที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น อายุ เชื้อชาติ
เป็นตน้
ศริ ชิ ยั กาญจนวาสี และคณะ (2559: 17-21) ไดแ้ บ่งประเภทของตัวแปรการวจิ ัยไวด้ งั นี้
ตัวแปรอาจจะจำแนกออกได้หลาย ๆ แบบหลักการที่มักจะนิยมใช้ในการจำแนกประเภท
ของตัวแปร คอื
1. พิจารณาจากความเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน ตัวแปรที่มีลักษณะของการจำแนกตามวิธีนี้
คือ
1.1 ตวั แปรอสิ ระและตัวแปรตาม (Independent and Dependent Variables)
คำวา่ “ตวั แปรอิสระ” และ “ตัวแปรตาม” มักจะใช้กันบ่อยในการวิจัยเชงิ ทดลองหรือ
กึ่งทดลอง เพราะมักจะเป็นเรื่องของการสรุปความเป็นเหตุเป็นผลต่อกันของสิ่งที่ศึกษาตัวแปรอิสระ
หรือบางทีก็เรียกว่าตัวแปรต้น คือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนและถือเป็นเหตุของตัวแปรตามซึ่งเป็นผลที่
คาดคะเนว่าจะได้รับจากการทดลอง ลักษณะของงานวิจัยที่ตัวแปรต้นเป็นตัวแปรที่เกิดจากการวัด
กระทำโดยตรงของผู้วิจัย หรือผู้ดำเนินการทดลองมักจะเรียกว่าเป็นการวิจัย ในเชิงทดลอง
(Experimentation) ไม่ว่าจะทำในห้องทดลอง (Laboratory) หรือทำในสภาพตามธรรมชาติ
(Natural setting) และเช่นเดียวกัน การวิจัยที่การจัดกระทำเกี่ยวกับตัวแปรอิสระเกิดขึ้นจากการ
เลอื กกำหนดกลมุ่ ตามลักษณะทม่ี ีอยแู่ ล้วในตวั แปรน้นั มกั จะเรียกวา่ เป็นการวิจัยทศ่ี ึกษาความสัมพันธ์
(Correlational Research)
64
1.2 ตวั แปรแทรกซ้อน (Extraneous Variable)
ในการพิจารณาจากความเป็นเหตุเป็นผลต่อกันของตัวแปร ตัวแปรแทรกซ้อนนับว่า
เป็นตัวแปรทีส่ ำคัญท่ีผูว้ จิ ัยต้องนำมาพิจารณา ตัวแปรแทรกซ้อนคือตัวแปรทีจ่ ะมีผลต่อตวั แปรตามที่
มุ่งศึกษา และถ้าไม่ได้รับการควบคุมให้มีความเท่าเทียมกันในระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ที่ศึกษา (จำแนก
ตามตัวแปรอิสระ) ก็อาจจะทำให้การสรุปผลของการทดลองผิดพลาดได้ เช่น ถ้าผู้วจิ ยั ตอ้ งการรู้ว่าวิธี
สอนสถิติแบบที่ 1 หรือแบบที่ 2 จะทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจได้ดีกว่ากัน แบบนี้ตัวแปรอิสระก็คือ
วิธีสอนซึ่งมีอยู่ 2 วิธี ส่วนตัวแปรตาม คือ คะแนนผลการเรียนวชิ าสถิติหลังจากท่ีได้รับการสอนในแต่
ละวิธี แบบนี้ตัวแปรแทรกซ้อนอาจจะเป็นพื้นความรู้เดิมในวิชาสถิติ ซึ่งตัวแปรนี้มีผลต่อคะแนนที่ทำ
ได้ในวิชาสถิติ ผู้วิจัยจะตอ้ งควบคมุ ใหม้ คี วามเท่าเทียมกันใน 2 กลมุ่ นี้
2. พิจารณาตามค่าความตอ่ เน่ือง
เมื่อพิจารณาค่าความต่อเนื่องสามารถจำแนกตัวแปรออกเป็น ตัวแปรต่อเน่ืองและ
ตัวแปรไม่ต่อเนือ่ ง (Continuous Variable and discrete Variable)
2.1 ตัวแปรต่อเนื่อง (Continuous Variable) เป็นตัวแปรที่มีค่าละเอียด
เป็นไปได้ทุกค่า เช่น อายุ ความสูง น้ำหนัก ระดับสติปัญญา เป็นต้น ลักษณะที่สำคัญของตัวแปร
ต่อเน่ืองคอื เราสามารถวดั ลงไปไดล้ ะเอียดตามที่ต้องการได้ ซง่ึ ความละเอียดในการวัด (Refinedness)
จะช่วยเพิ่มความถูกต้อง(exactness) ของตัวเลขที่วัดได้ คือสามารถทำให้ค่าที่วัดได้เข้าไปใกล้ค่าที่
แท้จรงิ ของส่ิงวดั มากขึ้น เช่น อายขุ องคน อาจจะวดั ไดเ้ ป็นปี เดอื น วนั หรอื ละเอียดลงไปมากกว่านั้น
ก็ได้เป็นตน้
2.2 ตัวแปรไม่ต่อเนื่อง (Discrete Variable หรือ Categorical Variable)
เป็นตัวแปรที่ไม่สามารถวัดลงไปละเอียดเช่นนั้นได้ เช่น จำนวนสมาชิกในครอบครัวหรือจำนวน
หนังสือในห้องสมุด เป็นต้น สมาชิกในครอบครัวอาจจะมี 3 หรือ 5 หรือ 6 แต่จะไม่มี 3.5 หรือ 5.2
คน คอื หน่วยในการวดั ของมนั จะหยุดอยู่ทจี่ ำนวนคนเท่านนั้ จะซอยลงไปมากกวา่ นน้ั ไม่ได้โดยหลักทั่ว
ๆ ไปอาจจะกล่าวได้ว่า ตัวแปรไม่ต่อเนื่องนี้คือตัวแปรที่วัดได้โดยการนับนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตาม
อาจจะกล่าวได้ว่า ตัวแปรต่อเนื่องทุกตัวถ้าจะวัดให้ละเอียดลงไปก็จะไปถึงจุดที่มีความไม่ต่อเนื่อง
เชน่ กนั ข้นึ อยูก่ บั ผู้วัดต้องการจะวัดใหล้ ะเอยี ดแค่ไหน
จากประเภทของตัวแปรการวิจัยที่กล่าวมาจะพบว่าตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยส่วนใหญ่จะแบ่ง
ออกเป็น 2 ลักษณะ คือตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ และตัวแปรตาม โดยตัวแปรที่สองตัวนักวิจัยจะ
สามารถกำหนดได้จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมากำหนดตัวแปรที่จะ
ทำการศึกษาเพือ่ นำไปสกู่ ารวัดค่าตวั แปรต่อไป
65
5.3 การวดั ตัวแปร
มีผู้กล่าวถงึ การวัดตวั แปรหรือมาตรวัดตวั แปรไว้หลายทา่ น ดงั นี้
บุญชม ศรีสะอาด (2556: 52-54) ได้กล่าวถึงระดับของการวัดข้อมูลในการวิจัย ซึ่งข้อมูล
จำนวนมากได้มาจากการวัด การวัด (Measurement) หมายถึง การกำหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์อื่น
ๆ แทนปรมิ าณ หรอื คณุ ภาพ หรือคณุ ลักษณะ ระดบั ของการวดั มี 4 ระดบั หรือเรียกว่า 4 มาตรา คือ
มาตรานามบญั ญัติ มาตราเรียงอันดบั มาตราอันตรภาค และมาตราส่วน โดยมีรายละเอยี ด ดังน้ี
1. มาตรานามบัญญัติ (Nominal Scale or Classification Scale) เป็นระดับของ
การวัดที่ต่ำที่สุด เป็นการกำหนดตัวเลขแทนชื่อคน แทนคุณลักษณะต่าง ๆ แทนเหตุการณ์ต่าง ๆ
ตัวอย่างของมาตรานามบัญญตั ิ ได้แก่ เบอร์นางงามทีเ่ ข้าประกวด เบอร์นักกีฬา การกำหนดให้เลข 0
(ศูนย์) แทนเพศหญิง เลข 1 แทนเพศชาย เป็นต้น คุณสมบัติที่สำคัญของมาตรานี้ คือ ตัว เลขท่ี
กำหนดให้ดังกล่าวจะเพียงแต่ชี้ถึงความแตกต่างกัน กล่าวคือ ชี้ว่าไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ไม่ได้แทนอันดับ
ขนาด ปรมิ าณ หรอื คุณภาพใด ๆ
2. มาตราเรียงอันดับ (Ordinal Scale) เป็นระดับของการวัดที่สูงกว่ามาตรานาม
บัญญัติ เป็นการกำหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์เพื่อชี้ถึงอันดับที่ เช่น หลังจากพิจารณาการร้องเพลง
อานาชีดแล้ว ก็ให้อันดับจากเพลงว่าใครร้องเพลงเพราะเป็นอันดับ 1 รองลงมาเป็นอันดับ 2, 3 ...
ตามลำดับเป็นต้นมาตรานี้มีคุณสมบัติของมาตรานามบัญญัติ กล่าวคือ ความแตกต่างกัน และยังมี
ทิศทางของความแตกต่างอกี ดว้ ย เชน่ อนั ดบั 1 อยู่ เหนอื กว่าอันดบั 2 เป็นตน้ แต่ช่วงระหว่างอันดับ
ต่าง ๆ มักไม่เท่ากัน เช่น ที่ 1 อาจมีคุณภาพเหนือกว่าที่ 2 มาก ขณะที่ ที่ 2 มีคุณภาพใกล้เคียงกับท่ี
3 มากเป็นต้น จากการที่มีช่วงอันดับไม่เท่ากันดังกล่าว จึงไม่สามารถนำเอาตัวเลขในมาตรานี้ (เอา
อนั ดับท่ี) มาบวก ลบ คูณ หาร กัน
3. มาตราอันตรภาค (Interval Scale) เป็นระดับการวัดทีส่ ูงกว่ามาตรานามบัญญัติ
และมาตราเรียงอันดับ โดยมีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นอีก 2 ประการ คือ มี ศูนย์สมมุติ (Arbitrary Zero or
Relative Zero) และมีหน่วยของการวดั ท่ีเท่ากัน ตัวอย่างของมาตรานี้ ไดแ้ ก่ การวัดอุณหภูมิ เช่นใน
หนว่ ยวัดอุณหภมู ิแบบเซลเซียส จะกำหนดจุดท่นี ้ำกลายเปน็ น้ำแข็งเปน็ 0 และจดุ ท่ี นา้ เดอื ดเป็น 100
ซ. แลว้ แบ่งชว่ งระหว่าง 2 จุดน้อี อกเป็น 100 ช่วงเท่า ๆ กนั 0 ซ.เป็นศูนย์เทียม ไม่ได้หมายถึง การที่
อุณหภูมิ 0 ซ. นี้ไม่มคี วามร้อนอยู่เลย เป็นเพยี งจุดทนี่ ้ำกลายเป็น นกั วดั ผลถือวา่ คะแนนจากการสอบ
วดั ในตวั แปรต่าง ๆ เช่น ผลสมั ฤทธิ์ในวชิ าภาษาไทย คะแนนจากแบบทดสอบวดั ความถนดั ทางเหตุผล
ฯลฯ เป็นการวัดในมาตรานี้นับว่ามาตราอันตรภาค เป็นมาตราที่เป็นปริมาณอย่างแท้จริง ไม่เหมือน
มาตรานามบัญญัตแิ ละเรยี งอันดับ
4. มาตราอัตราส่วน (Ratio Scale) เป็นระดับการวัดที่สูงที่สุด นอกจากจะมี
คณุ สมบัตเิ หมือนมาตราอันตรภาคแล้ว ยงั มศี ูนย์แท้ (Absolute Zero) การวัดในมาตราน้ี ได้แก่ การ
66
วัด ความยาว น้ำหนัก ฯลฯ แต่ละหน่วยของความยาวจะมีช่วงเท่ากัน แต่ละหน่วยของน้ำหนักจะมี
ขนาดเท่ากัน จากที่การวัดในระดับนี้มีความสมบูรณ์ทุกประการ จึงสามารถนำมา บวก ลบ คูณ หาร
ถอดราก และยกกำลงั ได้
ประสาท เนอื งเฉลิม (2556: 222-224) ได้กลา่ วถงึ มาตราการวัดว่าขอ้ มูลการวิจัยแบ่งออกได้
4 มาตราการวัดดังน้ี
1. มาตรานามบัญญัติ (Nominal scale) เป็นข้อมลู ที่มีลักษณะการจำแนกกลุ่มหรือ
ประเภท โดยตัวเลขหรือค่าที่กำหนดให้นำมาบวก ลบ คูณ หาร กันไม่ได้ เป็นระดับการวัดที่ต่ำที่สุด
โดยการกำหนดตัวเลขแทนชื่อคน แทนคุณลักษณะต่าง ๆ แทนเหตุการณ์ต่าง ๆ หรือแทนสิ่งต่าง ๆ
เช่น เลข เลขทะเบียนรถ เลขประจำตัวนักเรียนคุณสมบัติที่สำคัญ ของมาตรานี้ก็คือตัว เลขท่ี
กำหนดให้จะเพียงแต่บ่งชี้ถึงความแตกต่างกัน ไม่ได้แทนอันดับ ขนาด ปริมาณหรือคุณภาพใด ๆ ซ่ึง
ตัวเลขหรือค่าต่าง ๆ ที่กำหนดให้นั้นนำมาบวก ลบ คูณ หารกันไม่ได้ เช่น เพศที่แบ่งออกได้เป็นแค่
2 ประเภท เท่านัน้ คือ ชายและหญิงโดยให้ 1 เป็นสัญลกั ษณ์แทนเพศชาย และ 2 เปน็ สัญลักษณ์แทน
เพศหญงิ เท่านั้นไม่สามารถนำสญั ลักษณ์ที่เปน็ ตวั เลข 1 กับ 2 มาบวก ลบ คณู หรือหารได้แต่อย่างใด
หรอื ไมส่ ามารถสรปุ ได้ว่า 2 มากกวา่ 1 เปน็ ตน้
2. มาตราอันดับ (Ordinal scale) เป็นมาตราการวัดที่มีความละเอียดกับการวัด
เพิ่มขึ้น หรือสูงกว่ามาตรนามบัญญัติ เพราะสามารถบอกลำดับและความแตกต่างแต่ไม่สามารถบอก
ได้ว่าคุณลักษณะหรือคุณสมบัติเหล่านี้มีปริมาณมากน้อยกว่ากันเท่าใด กล่าวอีกนัยหนึ่ง ข้อมูลใน
ระดับนี้ไม่สามารถนามาคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้เช่นเดียวกับมาตรนามบัญญัติ เช่น การประกวด
นางสาวไทย เราได้อันดับที่ 1 คือ นางสาวไทย, อันดับ 2 คือ รองนางสาวไทยคนที่ 1 และดันดับที่ 3
คอื รองนางสาวไทยคนที่ 2 เช่นนเ้ี รารูถ้ ึงอันดบั และความแตกตา่ งของความสวยของนางสาวไทยทั้ง 3
คน เราไม่สามารถจัดจำแนกได้ว่าอันดับ 1 สวยมากกวา่ อันดับ 2 เทา่ ใด เปน็ ตน้ จากการท่ีช่วงอันดับ
ไม่เท่ากันดังกล่าว จึงไม่สามารถนำเอาตัวเลขในมาตรานี้มาบวก ลบ คูณ หรือหารกันได้ ข้อมูลที่ได้
จากการวัดโดยใช้มาตราอันดับเป็นข้อมูลที่มีลักษณะจำแนกกลุ่มหรือประเภท สามารถเรียงอันดับได้
ด้วย เช่น ตำแหนง่ (ที่ 1 ท่ี 2 ที่ 3) ระดบั ความพอใจ (มากที่สดุ มาก ปานกลาง น้อย และนอ้ ยท่สี ุด)
3. มาตราอันตรภาค (Interval scale) มาตรานี้มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นอีก 2 ประการ
คือมีศูนย์สมมติ (Arbitrary zero or relative zero) และมีหน่วยของการวัดที่เท่ากัน เช่น คะแนน
สอบอณุ หภมู เิ วลา IQ ถา้ ขอ้ มลู บอกความแตกตา่ งเป็นหนว่ ยที่เท่ากันได้เป็นการจำแนกความแตกต่าง
ที่ละเอียดขึ้น เพราะสามารถบอกความแตกต่างเป็นปริมาณหน่วยที่เท่ากัน ทำให้บอกระดับความ
แตกตา่ งเปน็ ปริมาณหนว่ ยทเี่ ทา่ กนั ทำให้บอกระดบั ความแตกต่างทล่ี ะเอียดมาก และบอกได้ว่าแต่ละ
คนแตกต่างกันเป็นปริมาณเท่าใด เช่น แบบทดสอบที่มีจำนวน 60 ข้อ ถ้า ก สอบได้ 50 คะแนน ข
สอบได้ 30 คะแนน ค สอบได้ 25 คะแนน และ ง สอบได้ 5 คะแนน ก็กล่าวว่า ก ได้คะแนนมากกว่า
67
ข 20 คะแนน ข ได้ คะแนนมากกว่า ง (ต่างกันมากกว่า 20 คะแนน) แต่ไม่สามารถตีความได้ว่า ก มี
ความรู้เป็น 2 เท่าของ ค เพราะจุดเริ่มต้นไม่ใช้ศูนย์แท้ ผู้สอบได้คะแนนศูนย์ไม่ได้หมายความว่าไม่มี
ความรูใ้ นวิชาน้ัน เป็นเพียงแต่วา่ ทาข้อสอบชุดนั้นไมไ่ ด้ ถา้ ออกข้อสอบมากกวา่ น้นั หรือง่ายกว่านั้นเขา
อาจทำได้บา้ ง
4. มาตราอัตราส่วน (Ratio scale) เป็นระดับของการวัดที่สูงที่สุด มีความสมบูรณ์
มากกว่ามาตราวัดอันตรภาค นอกจากจะมีคุณสมบัติเหมือนมาตราวัดอันตรภาคแล้วยังมีศูนย์แท้
(Absolute zero) ตัวอยา่ งการวดั ในมาตราน้ี ไดแ้ ก่ การวดั ความยาว น้ำหนกั สว่ นสงู จึงสามารถนำมา
จดั กระทำตามหลกั คณิตศาสตร์ไดท้ กุ ประการ เชน่ บวก ลบ คณู หาร ถอดราก และยกกำลงั
ศิริชัย กาญจนวาสี และคณะ (2559: 15-17) ได้กล่าวถึงมาตรการวัด (Measurement
Scales) ว่าในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวแปร มาตราต่าง ๆ ที่ใช้วัดค่าของแต่ละตัวแปรนับว่าเปน็
สิ่งสำคัญที่ควรได้ทำความเข้าใจให้ชัดเจนในขั้นต้น เพราะการแปรค่าของตัวแปรไม่ว่าจะเป็นตัวแปร
ใดก็ตาม จะแปรคา่ ตามมาตรการวัด ไมป่ ระเภทใดก็ประเภทหนึ่งดังตอ่ ไปนี้
1. มาตรานามบญั ญัติ (Nominal Scale)
มาตรานี้ตัวที่กำหนดขึ้นเป็นเพียงการจำแนกประเภทลักษณะต่าง ๆ ภายในตัวแปร
เทา่ นน้ั เช่น ศาสนาทน่ี บั ถอื อาจจะแปรค่าเปน็ พุทธ ครสิ ต์ อิสลาม ถ้ากำหนดให้ พุทธ = 1, ครสิ ต์ =
2, และอิสลาม = 3 ดังนั้น ตัวเลข 1, 2 และ 3 จะบอกถึงศาสนาที่นับถือตามที่กำหนดให้ไว้เท่าน้ัน
มิได้สื่อความหมายทางคณิตศาสตร์แต่ประการใด หรือตัวแปรเพศถ้ากำหนดให้ ชาย = 1,หญิง = 0
แบบนี้กม็ ิไดห้ มายความว่า 1 จะมากกว่า 0 ตวั อย่างเพิ่มเติมของตวั แปรประเภทนี้ เช่นประเภทของท่ี
อยู่อาศัย ที่ตั้งของโรงเรียน เลขที่ในบัตรประจำตัว เป็นต้น ถ้าตัวแปรที่แปรตามมาตรานี้สามารถ
จำแนกลักษณะได้เพียง 2 ลักษณะ เรียกว่า Dichotomous variable เช่น เพศ (ชาย,หญิง) ผลการ
สอบ (ผ่าน, ไม่ผ่าน) เป็นต้น แต่ถ้าตัวแปรที่แปรตามมาตรานี้สามารถจำแนกลักษณะได้มากกว่า 2
ลกั ษณะ เรียกว่า Polytomous variable เช่น ศาสนาท่ีนบั ถอื อาชพี ภูมิลำเนา เป็นต้น
2. มาตราอันดับ (Ordinal Scale)
ตวั อยา่ งของตัวแปรตามมาตราน้ี เชน่ ลำดับท่ผี ลการเรียนในชนั้ เรียน ลำดับท่ีของความ
แข็งของวัตถุ เป็นต้น มาตราอันดับนี้จะมีความละเอียด (Refinement) ของการวัดเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบ
กับมาตรานามบัญญัติ เพราะตัวเลขที่แสดงอันดับหรือลำดับที่จะมีความหมายที่บอกให้ทราบถึง
ตำแหน่งของค่าน้ัน เมื่อเทียบกบั ค่าท่ีอื่นในกลุ่มเดยี วกนั เช่น คนที่สอบไดล้ ำดับท่ี 2 คะแนนของเขาก็
จะอย่ใู นตำแหน่งทส่ี ูงกว่าคะแนนของคนท่ีสอบไดล้ ำดบั ที่ 3 เพยี งแต่วา่ ไม่ไดว้ ัดละเอียดลงไปถึงตัวค่า
จริงของสิ่งที่วัดนั้น ถึงแม้ว่าค่าของสิ่งที่วัดจะเปลี่ยนไป แต่ถ้าตำแหน่งยังเหมือนเดิม ตัวเลขที่วัดได้
ตามมาตรานี้ก็จะยังคงเดิม ดังนั้นการวัดในมาตรานี้จึงยังนับว่ายังวัดได้ไม่ละเอียดเท่าที่ควร (แต่ก็
ละเอียดขน้ึ หรอื ตัวเลขที่วดั ได้สอ่ื ความหมายมากขนึ้ เมอื่ เทียบกับมาตรานามบญั ญัติ
68
3. มาตราอันตรภาค (Interval Scale)
มาตรานี้จะมีการวัดค่าที่ละเอียดไปถึงค่าจริงของสิ่งที่วัด ตัวอย่างของตัวแปรที่แปรค่า
ตามมาตรานี้ เช่น คะแนนผลการเรยี นในวชิ าตา่ ง ๆ อุณหภูมิ ปี พ.ศ. หรอื ค.ศ. เป็นต้น ตวั เลขทว่ี ดั ได้
จากมาตรานี้ จะมีช่วงห่างที่เท่ากัน แต่ค่าที่เป็นศูนย์จะไม่ใช่ค่าศูนย์แท้ คือค่าที่เป็นศูนย์ในมาตรานี้
เป็น เพียงคา่ ท่ีกำหนดขึ้นเทา่ นั้น เชน่ นกั เรยี นท่ีได้คะแนน 0 ไม่ไดห้ มายความว่าเขาไมม่ ีความรู้เลยใน
วิชานั้น ดังนั้นมาตรานี้จึงสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของสิ่งที่วัดได้แต่จะบอกความแตกต่าง
เป็นจำนวนเท่าไม่ได้ เช่น เราจะบอกได้ว่าความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่าง 10 0F กับ50 0F จะ
เทา่ กบั ความแตกตา่ งระหว่าง 80 0F กบั 90 0F แตเ่ ราบอกไม่ไดว้ ่าท่ีอุณหภมู ิ 90 0F จะมีค่าความร้อน
เปน็ 2 เท่าของ 45 0F ท้ัง ๆ ท่ี 90 มคี ่าเปน็ สองเทา่ ของ 45 ทงั้ นี้เพราะว่าท่ี 0 0F ไม่ได้หมายความว่า
ไม่มคี วามร้อนเลย หรือนกั เรียนท่ไี ด้คะแนน 60 กไ็ ม่ได้หมายความว่าเขามีความร้เู ป็นสองเท่าของคนท่ี
ได้คะแนน 30 ทั้งนี้เพราะว่าผู้ที่ได้คะแนน 0 ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีความรู้เลยคะแนน 0 เป็น
เพียงคา่ ทกี่ ำหนดขน้ึ ไม่ใช่คา่ ที่เป็นศูนยแ์ ท้ (ศูนย์แท้คอื จดุ ท่ีค่าของสิง่ ทว่ี ดั นน้ั ไมม่ เี ลย)
4. มาตราอตั ราสว่ น (Ratio Scale)
มาตราน้ี เปน็ มาตรฐานที่สามารถวัด ไดล้ ะเอยี ดทีส่ ุดตวั เลขที่วัดไดจ้ ะส่อื ความหมายตรง
ตามคา่ ของสิ่งที่วดั และเป็นมาตราที่ค่าศนู ย์แท้ คือถา้ ตัวเลขทีว่ ัดไดม้ ีค่าเป็นศูนย์ก็แสดงว่าสิ่งท่ีวัดน้ัน
มีค่าเป็นศูนย์ดว้ ย ตัวแปรท่ีแปรค่าตามมาตรานี้ เช่น น้ำหนัก ความสูง ระยะทางอายุ เป็นต้น อะไรที่
น้ำหนักมีค่าเท่ากับศูนย์ก็คือไม่มีน้ำหนักเลย ดังนั้นความแตกต่างของน้ำหนักของคนที่หนัก 40 และ
50 กิโลกรมั กจ็ ะเท่ากับความแตกต่างของนำ้ หนักของคนทห่ี นกั 80 และ 90 กโิ ลกรัม (ลกั ษณะตอนนี้
จะเหมือนมาตราช่วง คือ บอกความเท่ากันของความแตกต่างได้) และคนที่หนัก 90 กิโลกรัม ก็จะ
บอกไดว้ า่ หนกั เปน็ สองเท่าของคนทหี่ นัก 45 กโิ ลกรมั ทัง้ นเ้ี พราะ ณ จดุ ทน่ี ้ำหนกั มีค่าเท่ากับศูนย์ ก็
คือจุดที่ไม่มีน้ำหนักเลย ซึ่งตรงนี้คือจุดสำคัญของความแตกต่างระหว่างมาตราอันตรภาคและมาตรา
อัตราส่วนจากมาตรการวัดค่าตัวแปรการวิจัย ที่กล่าวมาสามารถสรุปได้ว่าตัว แปรมีมาตรการวัด
จำแนกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ มาตรานามบัญญัติ (Nominal Scale) มาตราอันดับ (Ordinal Scale)
มาตราอันตรภาค (Interval Scale) และมาตราอัตราส่วน (Ratio Scale) ทั้งนี้ในการทำวิจัยนักวิจัย
ควรกำหนดมาตรวัดตัวแปรให้ถูกต้องเพ่ือนำไปสู่การสรา้ งเครื่องมือและวเิ คราะห์ข้อมูลทีเ่ หมาะสมกับ
ระดับตวั แปรตอ่ ไป
69
5.4 ความหมายของสมมตุ ฐิ านการวิจัย
มีผูใ้ หค้ วามหมายของสมมตุ ฐิ านการวจิ ยั ไว้หลายทา่ น ดงั น้ี
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 39) ได้ให้ความหมายของสมมุติฐานการวิจัยว่า หมายถึง
การคาดคะเนคำตอบของปัญหาการวิจัย คำตอบที่ได้เป็นการนำเรื่องราวที่ผู้วิจัยได้สรุปสาระมาจาก
การค้นควา้ เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง ซง่ึ เป็นส่วนหนึ่งของการอา้ งองิ เชงิ ทฤษฎี
รัตนะ บัวสนธ์ (2556: 39) ได้ให้ความหมายของสมมุติฐานการวิจัยว่า หมายถึง
ข้อความที่กำหนดเสนอขึ้นเพื่อคาดคะเนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ (ตัวแปร) สอง
ส่วนหรือมากกว่าว่ามีความสัมพันธ์กันหรือไม่อย่างไร โดยที่ความสัมพันธ์ที่คาดคะเนนี้สามารถจะทำ
การพสิ ูจน์ทดสอบได้
พรรณี ลีกิจวัฒนะ (2559: 115) ได้ให้ ความหมายของสมมุติฐานการวิจัย หมายถึง
ข้อความที่คาดการณ์คำตอบที่เป็นผลการวิจัยไว้ล่วงหน้าหรือข้อสันนิษฐานผลการวิจัยที่คาดว่าจะ
เกดิ ข้ึน
ศริ ิชัย กาญจนวาสี และคณะ (2559: 21) ได้ให้ความหมายของสมมตุ ิฐานการวิจัยว่า
หมายถึง สิ่งที่คิดว่าจะเป็นคำตอบของปัญหา หรือทำนายว่าจะเป็นคำตอบของปัญหาที่ทำการศึกษา
คำตอบที่คาดคิดขึ้นนั้นอาจจะเกิดขึ้นด้วยหลักการ ผลวิจัยหรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้น หรือ
จากประสบการณ์ส่วนตวั กเ็ ป็นได้
จากมีผู้ให้ความหมายของสมมุติฐานการวิจัยข้างต้น สามารถสรุปได้ว่าสมมุติฐาน
การวจิ ัยหมายถึง การคาดคะเนคำตอบของประเด็นปัญหาการวิจัยไวล้ ่วงหน้า โดยการคาดคะเนจะมา
จากผลของการศกึ ษาแนวคิด ทฤษฎี หรืองานวจิ ัยท่เี กี่ยวข้อง
5.5 ลักษณะของสมมตุ ฐิ านการวิจัย
มผี ู้กลา่ วถึงลักษณะของสมมุติฐานการวจิ ัย ไว้ดงั น้ี
สวุ มิ ล ตริ กานันท์ (2551: 39-40) ได้กล่าวถงึ ลกั ษณะของสมมุตฐิ านการวจิ ยั ที่ดีจะมีลกั ษณะ
ดังน้ี
1. เป็นคำตอบที่ตรงกับประเด็นปญั หาการวิจัยท่กี ำหนดมาแล้วขา้ งตน้
2. รายละเอียดมีความชัดเจนมากพอทจ่ี ะพิสจู น์หรือทดสอบ
3. ผวู้ ิจยั สามารถพสิ ูจน์หรือทดสอบได้ภายในเวลาที่กำหนดไว้
4. มขี อบเขตใหพ้ อเหมาะในการศกึ ษา ไม่กว้างหรอื แคบจนเกินไป
5. สอดคลอ้ งกบั ความเป็นจริงและสภาวการณ์ทเ่ี ป็นอยู่
6. ควรใช้ภาษาในการเขยี นเป็นภาษาที่เข้าใจกนั ทวั่ ไป
ศิริชัย กาญจนวาสี และคณะ (2559: 22-23) ได้กล่าวถึงลักษณะของสมมุติฐานการวิจัยที่ดี
70
ดังนี้
1. สมมุติฐานควรมีความชัดเจนและเฉพาะเจาะจง ควรหลีกเลี่ยงคำที่มีความหมาย
กว้างเกิน ไป เช่น “การสอนที่ดี” หรือว่า “สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้” คำว่ามีความ
เหมาะสมก็ตาม หรือคำอื่นที่มีลักษณะทำนองนี้ ยากที่จะตีความว่าแค่ไหนจึงจะเรียกว่าดีแล้วหรือ
เหมาะสมแล้ว ซ่งึ จะเหน็ ว่าคำเหลา่ น้ขี าดความเฉพาะเจาะจง และเปน็ การยากต่อการทดสอบ
2. สมมุติฐานต้องเป็นสิ่งที่ทดสอบได้ สมมติว่าเราตั้งสมมุติฐานว่า “ครูโรงเรียน
มัธยมไม่มีความรู้ทางคณิตศาสตร์พอที่จะสอนนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ” แบบนี้จะเป็น
สมมุติฐานที่ไม่ีเป็นวิทยาศาสตร์ หลังจากที่ได้ตั้งสมมุติฐานนี้ขึ้น ผู้วิจัยอาจจะออกข้อสอบวัดความรู้
ทางคณิตศาสตร์ของครูมัธยมที่สอนวิชานี้ สมมติว่าปรากฏว่าครูส่วนใหญ่ทำคะแนนได้ค่อนข้างต่ำ
ดังนั้นจึงสรุปว่าความรู้ไมพ่ อแต่ปัญหาก็คือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแค่ไหนถึงจะพอ ถ้าไม่มีงานวิจัยวา่ แค่
ไหนถึงจะพอหรือไม่พอก็คงยากที่จะทดสอบได้ สมมุติฐานที่ทดสอบได้ส่วนมากมักจะมาจากข้อมูลท่ี
เป็นปริมาณที่วัดได้ ตัวอย่างเช่น เราสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถทางคณิตศาสตร์ของผู้เรียน
ออกมาเป็นคะแนน แล้วต้ังสมมุติฐานว่านักเรียนที่เรียนจากวิธีสอนแบบที่ 1 จะมีคะแนน
ความสามารถทางคณิตศาสตร์โดยเฉล่ียสงู กว่านักเรียนทเี่ รยี นจากวิธีสอนแบบท่ี 2 ดังน้ีเป็นต้นแบบนี้
เรยี กวา่ วัดได้ทดสอบได้ และหาคำตอบของสง่ิ ท่เี ราต้องการจะรไู้ ด้
3. สมมุติฐานไม่ควรเป็นสิ่งที่ขอบเขตกว้างเกินไปการตั้งสมมุติฐานในลักษณะท่ี
ครอบจักรวาล นอกจากจะยากต่อการทดสอบแล้ว ยังเป็นการลำบากท่จี ะสรุปสิ่งท่ีค้นพบได้ให้ตรงกับ
เปา้ หมายของสิ่งที่ตอ้ งการจะศกึ ษา
4. สมมตุ ฐิ านควรจะสอดคลอ้ งกบั ความเป็นจริงทเ่ี ป็นอยูใ่ นปจั จุบันที่เกี่ยวกบั เร่ืองที่
ศกึ ษานนั้ ๆ แตถ่ า้ จะเบ่ียงเบนออกไปก็ควรจะแสดงหลักการหรือเหตุผลประกอบไวด้ ว้ ย
5. สมมตุ ฐิ านควรใชค้ ำทีเ่ ขา้ ใจไดง้ ่าย ท้ังนเ้ี พื่อใหค้ วามหมายเป็นท่ีแจม่ ชดั สำหรับคน
ทั่วไปเช่น แทนที่จะตั้งสมมุติฐานว่า “ประสบการณ์ ในการเรียนจะเป็น ตัวอำนวยผลที่ดีต่อ
ประสิทธิภาพของผลผลิตด้านการเรียนรู้ในลักษณะของวิชาการทางคณิตศาสตร์” อาจจะตั้ง
สมมุติฐานเพียงว่าในวิชาคณิตศาสตร์นักเรียนที่ทาแบบฝึกหัดมากกว่าจะท ำคะแนนได้ดีกว่าดังนี้เป็น
ต้น แบบนีจ้ ะช่วยใหอ้ ่านได้ร้เู รอ่ื งดกี ว่า
6. สมมตุ ฐิ านที่ต้ังข้นึ ควรจะเปน็ ส่ิงท่ีสามารถทดสอบได้ ภายในระยะเวลาหรือ
งบประมาณท่มี ีอยู่ เพราะในงานวิจัยแต่ละเรือ่ ง บางครงั้ ผู้วิจยั ก็ มรี ะยะเวลาและงบประมาณทจี่ ำกดั
ดงั นั้น สมมุติฐานทด่ี นี น้ั ควรคำนึงถึงความเหมาะสมอันนี้ด้วย
รตั นะ บวั สนธ์ (2556: 39) ได้กลา่ วถงึ ลักษณะของสมติฐานการวจิ ัยไว้ดงั นี้
1. สมมุติฐานมีลักษณะเป็นข้อความที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงท่ี
สามารถพิสูจน์ทดสอบได้
71
2. ขอ้ ความทเี่ ปน็ สมมุติฐานจะแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ (ตัวแปร)
สองส่วนหรือมากกว่าและมกั จะอย่ใู นรูปของข้อความ “ถ้า... แล้ว (จะ) เกิด....”
3. สมมุติฐานยังไม่ใช่สิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงที่สังเกตแล้วแต่เป็นข้อความเกี่ยวกับ
ข้อเทจ็ จรงิ ทจ่ี ะสามารถทำการสังเกตได้
4. สมมุติฐานเป็นข้อความหรือสิ่งที่มีลักษณะชั่วคราวเพื่อรอการพิสูจน์ทดสอบถ้า
พสิ ูจนท์ ดสอบแลว้ กจ็ ะหมดสภาพความเป็นสมมตุ ิฐานคือกลายเป็นความรูห้ รือขอ้ เทจ็ จรงิ
จากลกั ษณะของสมมตุ ิฐานท่ีกล่าวมาสามารถสรุปได้ว่า การตัง้ สมมตุ ิฐานการวิจัยนักวิจัยควร
ต้ังสมมุตฐิ านบนพื้นฐานของข้อเท็จจรงิ มีความชัดเจนและต้องเปน็ สิ่งท่ีสามารถทดสอบหรือพิสูจน์ได้
เนือ่ งจากสมมุตฐิ านเปน็ การคาดคะเนคำตอบผลการวจิ ัยไว้ลว่ งหนา้
5.6 ประโยชน์ของสมมตุ ิฐานการวิจัย
มีผ้กู ล่าวถงึ ประโยชน์ของสมมุติฐานการวิจยั ไว้ดงั นี้
สุวมิ ล ติรกานนั ท์ (2551: 40) ได้กลา่ วถงึ ประโยชนข์ องสมมุติฐานการวจิ ัยไวด้ งั น้ี
1. ช่วยในการกำหนดขอบเขตการวจิ ยั โดยเป็นแนวทางให้ผู้วจิ ยั ดำเนนิ การในทิศทาง
ท่ถี ูกต้อง
2. ชว่ ยใหผ้ ูว้ จิ ยั สามารถพิจารณาเลอื กใชข้ ้อมูลอยา่ งถกู ต้องและเหมาะสม
3. ช่วยในการกำหนดตวั แปรที่ใชใ้ นการวิจยั
4. ชว่ ยใหผ้ วู้ จิ ัยสามารถเลือกใชร้ ูปแบบการวิจยั ทเ่ี หมาะสม
5. ช่วยเป็นแนวทางในการเลอื กใชว้ ิธกี ารวเิ คราะห์ข้อมลู
6. ชว่ ยในการกำหนดกรอบการแปลผลจากการวิเคราะหข์ ้อมูลท่ีได้ และป้องกันการ
สรุปเกนิ ผลท่ีได้
ไพศาล วรคา (2559: 79-81) ไดก้ ล่าวถงึ ประโยชน์ของสมมุติฐานการวจิ ัยสรุปไดด้ ังนี้
1. ช่วยใหไ้ ด้คำตอบท่ีตรงประเดน็ เนอื่ งจากการตง้ั สมมตุ ฐิ านการวิจัย ส่วนใหญจ่ ะ
ต้ังใหส้ อดคล้องกับวตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั หรือตรงกับคำถามการวิจยั ดังนน้ั การทดสอบสมมตุ ิฐาน
จงึ เปน็ การตอบคำถามการวิจัย หรือการตอบวัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย
2. ทำให้ปัญหาการวิจัยมีขอบเขตที่ชัดเจน การกำหนดสมมุติฐานการวิจัยช่วยให้
ขอบเขตในการวิจัยมีความชัดเจนขึ้น เนื่องจากสมมุติฐานการวิจัยทำให้ทราบขอบเขตด้านตัวแปรที่
ทำการศึกษาและการวัดตัวแปรเหล่านั้น เช่น การศึกษาเรื่องการตรวจงานนักเรียนของครู ที่ตั้ง
สมมุติฐานการวิจัยไว้ว่า “นักเรียนที่ได้รับการตรวจงานแบบให้ข้อเสนอแนะจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นสูงกวา่ นกั เรยี นท่ีได้รบั การตรวจงานแบบใหเ้ กรด” จากสมมตุ ฐิ านการวจิ ัยน้ี จะเหน็ ว่ามีตัวแปรท่ี
ผู้วิจัยศึกษาจำนวน 2 ตัวคือ วิธีตรวจงานนักเรียน ซึ่งเป็นตัวแปรต้นจำแนกออกเป็น 2 ระดับหรือ 2
72
ค่าคือ การตรวจงานแบบให้ข้อเสนอแนะ และการตรวจงานแบบให้เกรด ส่วนตัวแปรที่สองเป็น
ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน ซง่ึ เปน็ ตัวแปรตาม
3. ช่วยให้เห็นวิธีการทำวิจัย การกำหนดสมมุติฐานการวิจัยจะช่วยให้ผู้อ่านงานวจิ ัย
พอที่จะทราบแนวทางการวิจัยอย่างคร่าว ๆ ส่วนผู้วิจัยนั้นก็สามารถระบุวิธีการวิจัยเพื่อตรวจสอบ
สมมุติฐานของตนเองได้ เช่น จากสมมุติฐานการวิจัยที่ว่า “นักเรียนที่ได้รับการตรวจงานแบบให้
ข้อเสนอแนะจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการตรวจงานแบบให้เกรด” ผู้วิจัย
จะต้องทำวิจัยเชิงทดลองเพื่อทดสอบสมมุติฐานดังกล่าว โดยใช้นักเรียนสองกลุ่มที่มีความรู้
ความสามารถใกล้เคียงกันซงึ่ อาจต้องทำการทดสอบความรู้ความสามารถของนกั เรยี นทัง้ สองกลุ่มก่อน
ทำการทดลองเพื่อให้แน่ใจว่าความรู้ความสามารถของผู้เรียนทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่ างกัน จากนั้นก็
จดั การเรยี นรูใ้ ห้แกผ่ ู้เรียนทงั สองกลุ่มเหมือนกนั เพยี งแต่ใช้วธิ ีการตรวจงานต่างกัน เมื่อทำการทดลอง
ไปประมาณหนึ่งภาคเรียนทำการทดสอบนักเรียนทั้งสองกลุ่มพร้อมกัน แล้วนำผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นว่าวิธีการวิจัยนั้นมุ่งทดสอบสมมุติฐานการวิจัยที่ตั้งขึ้น การกำหนด
สมมุติฐานการวจิ ัยจงึ ช่วยให้ผวู้ จิ ัยมองเห็นวิธที ่ีจะดำเนนิ การวจิ ัย
4. ช่วยให้ อธิบายผลการวิจัย ได้เที่ยงตรงและเชื่อถือได้ การกำหนดสมมุติฐานการ
วจิ ยั นอกจากจะช่วยให้มองเห็นวิธีการทำวิจัยแลว้ ยงั ช่วยให้ผ้วู ิจยั สามารถออกแบบการวิจัยเพ่ือให้ได้
ขอ้ มูลเชงิ ประจักษ์ทส่ี ามารถนำมาทดสอบสมมุติฐานการวิจยั ได้ น่ันคอื การออกแบบเคร่ืองมือการวัด
วิธีการวัดการเก็บ รวบรวมข้อมูล ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อทดสอบสมมุติฐาน ทำให้ได้
ผลการวิจัยที่มีความเที่ยงตรงและมีความเชื่อมั่น ในขณะเดียวกันการอธิบายผลการวิจัยก็จะมีความ
เที่ยงตรงและมีความเชื่อมั่นด้วย เพราะผลการทดสอบสมมุติฐานนั้นเป็นการพิสูจน์ความสัมพันธ์
ระหว่างตัวแปรที่กำหนดไว้ในสมมุติฐาน เมื่อผลการทดสอบมีความเที่ยงตรงและมีความเชื่อมั่น ก็
สามารถอธิบายผลการวจิ ัยไดอ้ ย่างมคี วามเทีย่ งตรงและความเช่ือม่ันเชน่ กัน
5. ช่วยให้ประหยัดเวลาและแรงงาน การกำหนดสมมุติฐานจะช่วยใหผ้ ู้วิจยั สามารถ
ออกแบบการวิจัยได้รัดกุมหลีกเลี่ยงการดำเนินงานที่ไม่จำเป็นช่วยให้ประหยัดเวลา แรงงานและ
ค่าใชจ้ ่ายในการดำเนนิ การวจิ ยั
จะเห็นว่าการกำหนดสมมุติฐานการวิจัยนั้นมีประโยชน์อย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม การ
กำหนดสมมตุ ิฐานการวจิ ยั กม็ ขี อ้ เสียเชน่ กัน เชน่
1. อาจทำให้งานวิจัยมีความลำเอียง เนื่องจากผู้วิจัยอยากได้ผลการวิจัยตามที่ต้ัง
สมมตุ ฐิ านไว้
2. ทำใหผ้ ้วู จิ ยั ม่งุ แตจ่ ะทดสอบสมมตุ ฐิ านการวจิ ยั บางครงั้ อาจมองข้าม
ปรากฏการณ์อืน่ ๆ ท่เี กดิ ขน้ึ ระหวา่ งทาการวจิ ยั ซงึ่ อาจมีความสำคัญมากกวา่ การทดสอบสมมุตฐิ าน
ศิริชัย กาญจนวาสี และคณะ (2559: 23) ได้กล่าวว่าสมมุติฐานในการวจิ ัยมีความสำคัญและ
73
มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวิจัย เพราะสมมุติฐานเป็นสิ่งที่ผู้วิจัยสามารถยึดเป็นแนวทางในการที่จะ
ค้นหาความจรงิ ในปัญหาน้นั ๆ ความสำคญั หรอื ประโยชนข์ องสมมุตฐิ านอาจสรปุ ได้ดงั น้ี
1. ชว่ ยจำกัดขอบเขตและทำให้ปญั หาในการวิจยั ชดั เจนขึ้น
2. ช่วยให้ผู้วิจัยเลือกข้อมูลที่จะมาศึกษาได้ถูกต้องตรงประเด็นเท่ากับเป็นการ
ประหยัดท้ังเวลาและเงินทุนที่จะต้องใชใ้ นการวจิ ยั
3. ช่วยในการพจิ ารณาวา่ ตัวแปรอะไรบา้ งทจี่ ะนำมาศกึ ษา
4. ช่วยผู้วิจัยในการพิจารณาว่าควรออกแบบการวิจัยแบบใด จึงจะเหมาะสมกับ
ปัญหาทศ่ี กษา เช่น จะใชก้ ลมุ่ ตัวอยา่ งอย่างไร เกบ็ รวบรวมข้อมูลอย่างไร จะวดั การแปรค่าของตวั แปร
บางตวั ในมาตราใด จะใชส้ ถติ ิอะไรทดสอบ เป็นต้น
5. ช่วยกำหนดขอบเขตในการตีความหมายของผลวิจัย และรู้ว่าควรสรุปออกมาใน
แง่ใด ประเด็นใด เป็นต้น จากประโยชน์ ของสมมุติฐานการวิจัย จะพบว่า สมมุติฐานการวิจัยมี
ประโยชน์ทั้งในการกำหนดตัวแปรการวิจัยที่ทำการศึกษา การกำหนดรูปแบบการวิจัยที่จะทำการ
ทดสอบทางสถิติ และการเลือกใชส้ ถติ ใิ นการวิเคราะห์ข้อมูลใหเ้ หมาะสม
5.7 หลักการเขียนสมมตุ ิฐานการวิจยั
ผู้กลา่ วถึงหลักการเขียนสมมตุ ิฐานการวจิ ัย ไวด้ ังน้ี
สุวมิ ล ติรกานันท์ (2551: 40-41) ได้กลา่ วถึงหลักการเขยี นสมมตุ ิฐานการวิจยั ไว้ดังน้ี
1. สมมตุ ฐิ านการวิจัยมักพบในรายงานการวิจัย 2 ลกั ษณะ คอื ลกั ษณะแรกจะอยู่ใน
บทที่ 1 ในลักษณะนี้ผู้วิจัยต้องการให้ผู้อ่านทราบถึงทิศทางที่ต้องการการพิสูจน์ในงานวิจัยนั้นด้วย
ข้อมูลเชิงประจักษ์ ส่วนลักษณะที่ 2 จะอยู่ในตอนท้ายของบทที่ 2 ซึ่งเป็นบทเกี่ยวกับการทบทวน
เอกสารที่เกี่ยวข้อง วัตถุประสงค์ของการเขียนแบบนี้ ผู้วิจัยต้องการแสดงให้เห็นถึงผลการค้นคว้า
เอกสารจนสามารถคาดคะเนคำตอบของการวิจยั
2. สมมุติฐานการวจิ ัยที่ตง้ั ขน้ึ จะตอ้ งเป็นคำตอบทีส่ อดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการ
วิจยั
3. เขียนในลักษณะประโยคบอกเลา่
4. สมมุติฐานการวิจัยอาจจะมหี รือไม่มีทิศทางของความสมั พันธ์ หรือความแตกต่าง
กไ็ ด้ข้นึ อยกู่ ับการทบทวนเอกสารที่เกย่ี วข้อง
74
5.8 การทดสอบสมมตุ ฐิ าน
ศิรชิ ยั กาญจนวาสี และคณะ (2559: 24) ไดก้ ลา่ วถงึ การทดสอบสมมุติฐานวา่ สมมุติฐานที่ยัง
ไมไ่ ด้รับการทดสอบกย็ ังคงเป็นเพยี งส่ิงท่เี ราเดาหรือคาดคะเนในความเปน็ ไปที่จะเกิดขึ้น แม้ว่าเราจะ
ตั้งสมมุติฐานขึน้ มาด้วยหลักการหรือความสมเหตสุ มผลเพียงใดก็ตาม ดังนั้นเมื่อสมมุติฐานขึน้ มาแลว้
สิง่ ทค่ี วรจะต้องทำคอื
1. พิจารณาดูว่าอะไรคือผลที่จะเกิดขึ้นตามมา ถ้าสมมุติฐานเป็นจริง (deducing
the consequences)
2. เลือกหาวิธีการที่จะทดสอบเพื่อดูว่าผลที่ตามมา (Consequences) เหล่านั้น
เกิดขึน้ จริงหรือไม่ (selecting test procedures)
3. ดำเนนิ การทดสอบตามวธิ ีท่ีเลือกน้ันโดยรวบรวมความจริง (facts) ทเี่ ก่ียวข้องกับ
ประเด็นปัญหาตามสมมุติฐานที่ตั้งขึ้น เพื่อจะยืนยันหรือปฏิเสธ (confirmed or disconfirmed)
สมมตุ ฐิ านอันน้ี ซึ่งก็จะเป็นขอ้ สรปุ กลับไปทส่ี มมตุ ิฐานท่ไี ด้ต้งั ขน้ึ ในตอนแรก
สมมุติฐานที่ตั้งขึ้นไม่จำเป็นต้องได้รับการยืนยันเสมอไป ถึงแม้ว่าไม่ได้รับการยืนยันก็ไม่ได้
หมายความวา่ การวจิ ยั น้ันจะล้มเหลว และอาจจะมองไดว้ า่ เปน็ การได้คน้ พบข้อความรู้ใหมท่ ี่คนอาจจะ
เข้าใจผดิ ต่อไปก็ได้ ถ้าไม่ไดท้ ำวจิ ัยในเร่อื งนี้ ซ่ึงก็นับว่าเป็นการคน้ พบทเ่ี ป็นประโยชน์และอาจเป็นสิ่งที่
นำไปสกู่ ารตง้ั สมมุติฐานใหมเ่ พือ่ ได้ทำการศกึ ษาค้นควา้ ต่อไปวา่ คำตอบทีถ่ ูกต้องนั้นควรเป็นเชน่ ไร
5.9 สรปุ
ตัวแปรหมายถึงสิ่งที่ต่าง ๆ หรือคุณลักษณะที่นักวิจัยต้องการจะศึกษา โดยมีค่าแปรเปลี่ยน
ได้ในแต่ละหน่วยของประชากรที่ศึกษา ซึ่งแปรท่ีใช้ในการวิจัยส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ
คือตวั แปรตน้ หรอื ตวั แปรอิสระ และตวั แปรตาม โดยตวั แปรท่สี องตวั นักวิจัยจะสามารถกำหนดได้จาก
การทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้มาตรการวัดค่าตัวแปรจำแนกเป็น 4 ระดับ ได้แก่
มาตรานามบัญญัติ (Nominal Scale) มาตราอันดับ (Ordinal Scale) มาตราอันตรภาค (Interval
Scale)และมาตราอัตราส่วน (Ratio Scale) ทั้งนี้ในการทำวิจัยนักวิจัยควรกำหนดมาตรวัดตัวแปรให้
ถกู ตอ้ งเพือ่ นำไปส่กู ารสรา้ งเครอ่ื งมอื และวเิ คราะหข์ ้อมลู ท่ีเหมาะสมกับระดับตัวแปรตอ่ ไป
สมมุติฐานการวิจัยหมายถึงการคาดคะเนคำตอบของประเด็นปัญหาการวิจัยไว้ล่วงหนา้ โดย
การคาดคะเนจะมาจากผลของการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นักวิจัยจะตั้ง
สมมุติฐานการวิจัย บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง มีความชัดเจนและต้องเป็นสิ่งที่สามารถทดสอบหรือ
พสิ จู นไ์ ดเ้ น่ืองจากสมมุติฐานเป็นการคาดคะเนคำตอบผลการวิจัยไว้ล่วงหนา้ ทั้งนี้สมมุติฐานการวิจัยมี
ประโยชน์ทั้งในการกำหนดตัวแปรการวิจัยที่ทำการศึกษา การกำหนดรูปแบบการวิจัยที่จะทำการ
ทดสอบทางสถิติ และการเลอื กใช้สถติ ใิ นการวเิ คราะห์ข้อมลู ใหเ้ หมาะสม
75
5.10 คำถามทบทวน
1. จงบอกความหมายของตวั แปรการวจิ ัย
2. จงพจิ ารณาชื่อวจิ ัยต่อไปนแี้ ล้วระบุตัวแปรต้นและตวั แปรตามให้ถูกต้อง
“การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรยี นสาธติ มหาวทิ ยาลัยฟาฏอนีโดยใช้แบบฝกึ เสริมทักษะ”
3. จากข้อ 2 คะแนนผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนจดั เป็นขอ้ มูลในมาตราวัดตวั แปรใด
4. จงบอกความหมายของสมมตุ ิฐานการวจิ ยั
5. จงเขียนสมมุติฐานการวจิ ัยในงานวจิ ัยทีน่ ักศึกษาจะดำเนนิ การ
5.11 เอกสารอา้ งองิ
บุญชม ศรีสะอาด. (2556). การวิจยั เบือ้ งตน้ : ฉบบั ปรบั ปรุงใหม.่ พิมพ์ครง้ั ที่ 9. กรุงเทพมหานคร:
สวุ รี ิยาสาส์น.
ประสาท เนืองเฉลมิ . (2556). วจิ ัยการเรยี นการสอน. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพมหานคร: บริษัททวี
พรน้ิ (1991) จำกัด.
พรรณี ลกี ิจวฒั นะ. (2559). วิธกี ารวิจยั ทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งท่ี 11. กรุงเทพมหานคร: มนี
เซอร์วสิ ซพั พลาย.
ไพศาล วรคา. (2559). การวจิ ยั ทางการศกึ ษา. พมิ พ์ครั้งท่ี 8. กรุงเทพมหานคร: ตักศลิ าการพิมพ.์
รัตนะ บัวสนธ์. (2556). ปรัชญาการวิจยั . พิมพ์ครัง้ ท่ี 3. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย.
ศริ ชิ ัย กาญจนวาสี ทวีวัฒน์ ปติ ยานนท์ และดิเรก ศรสี โุ ข. (2559). การเลือกใช้สถติ ิที่เหมาะสม
สำหรบั การวิจัย. พิมพ์ครง้ั ที่ 7. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
สวุ มิ ล ตริ กานันท์. (2551).ระเบยี บวธิ ีการวจิ ัยทางสังคมศาสตร์: แนวทางสูก่ ารปฏิบตั .ิ
พิมพ์คร้ังท่ี 7.กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
บทที่ 6
การออกแบบการวจิ ยั
ขั้นตอนต่อไปของการดำเนินการวิจัยคือการออกแบบการวิจัย ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญอีก
ขั้นตอนหนึ่งที่ผูว้ จิ ยั จะทำการวางแผนการดำเนินการวิจัยหรือวิธีดำเนนิ การวจิ ยั เพื่อให้ได้คำตอบตาม
ประเด็นปัญหาการวิจัยที่ตั้งไว้ โดยการออกแบบการวิจัย เริ่มตั้งแต่การออกแบบการสุ่มตัวอย่าง การ
ออกแบบการวัดตัวแปร และการออกแบบการวิเคราะห์ ข้อมูล โดยการออกแบบการวิจัยต้องอยู่
ภายใต้การรองรับของแนวคิด ทฤษฎีและงานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วข้อง
6.1 ความหมายของการออกแบบการวจิ ยั
มีผู้ให้ความหมายการออกแบบการวิจัยไว้ ดงั นี้
Kerlinger (1986: 279) ได้กล่าวว่าการออกแบบการวิจัย หมายถึง แบบแผนและโครงสร้าง
ของการศึกษาที่ทำให้ได้คำตอบของปัญหาการวิจัย ซึ่งเป็นความหมายที่แสดงถึงผลที่ได้จากการ
ออกแบบการวิจัย
สุวิมล ว่องวาณิช (2550: 40) ได้กล่าวว่าการออกแบบการวิจัย หมายถึง การออกแบบการ
กำหนดกลุ่มเปา้ หมายที่ใชใ้ นการวิจัย การออกแบบวธิ ีการเกบ็ ขอ้ มูลและการวเิ คราะห์ขอ้ มูล แบบวิจัย
ท่ใี ช้ต้องเหมาะสม ทำใหต้ อบโจทย์ปัญหาวจิ ัยได้ดี
วาโร เพ็งสวสั ด์ิ (2551: 124) ไดก้ ล่าววา่ การออกแบบการวิจัย หมายถึง แผนโครงสร้าง และ
ยุทธวิธีในการศึกษาค้นคว้า โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้คำตอบต่อปัญหาที่ทำการวิจัยอย่างถูกต้อง
แม่นยำ เป็นปรนัย และเพือ่ ควบคมุ หรอื ขจดั อทิ ธิพลของตัวแปรแทรกซ้อนท่สี ่งผลต่อการวิจยั
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 85) ได้กล่าวว่าการออกแบบการวิจัย หมายถึง ขั้นตอนการ
เช่ือมโยงการอ้างองิ เชิงทฤษฎเี ขา้ สู่การอา้ งองิ เชงิ ประจกั ษ์
วรรณี แกมเกตุ (2555: 108) ได้กล่าวว่าการการออกแบบการวิจัย หมายถึง การกำหนด
แผนการดำเนินงานที่แสดงถึงรูปแบบ แนวทาง และวิธีการที่มีระบบมีขั้นตอนในการวิจัย เพื่อให้ได้
คำตอบสำหรบั ปญั หาการวิจยั ที่มีความตรง เปน็ ปรนัย และแม่นยำ ภายใตท้ รัพยากรทป่ี ระหยัด
ณรงค์ โพธ์พิ ฤกษานันท์ (2557: 106) ไดก้ ลา่ วว่าการออกแบบการวิจยั หมายถึง การวางแผน
ดำเนนิ การวจิ ัยอย่างเปน็ ระบบ และใช้ระเบียบวิธีการวิจัยให้เหมาะสม
พรรณี ลีกิจวัฒนะ (2559: 281) ได้กล่าวว่าการออกแบบการวิจัย หมายถึง แผนการวิจัยท่ี
แสดงถงึ รปู แบบความเก่ียวข้องสัมพนั ธ์กันระหว่างตวั แปรในการวิจัย และวิธีการดำเนินการวิจัยต้ังแต่
ต้นจนจบ เพอ่ื ให้ไดม้ าซ่ึงคำตอบต่อคำถามของการวจิ ัยตามวตั ถุประสงค์ที่ตง้ั ไวแ้ บบการวจิ ัย หมายถึง
แผนการวิจัย ที่แสดงถึงรูปแบบความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันระหว่างตัวแปรในการวิจัย และวิธีการ
77
ดำเนินการวจิ ยั ตงั้ แตต่ ้นจนจบ เพือ่ ให้ได้มาซึ่งคำตอบตอ่ คำถามของการวจิ ัยตามวัตถปุ ระสงค์ท่ตี ัง้ ไว้
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2559: 120) ได้กล่าวว่าการออกแบบการวิจัย หมายถึง การกำหนดกรอบ
การวิจัยที่เกี่ยวกับโครงสร้าง รูปแบบการวิจัย ขอบเขตการวิจัย และแนวดำเนินการวิจัยเพื่อให้ได้มา
ซงึ่ คำตอบที่เหมาะสมกบั ปัญหาวิจยั ที่กำหนดไว้
จากความหมายของการออกแบบการวิจัยท่ีกล่าวมาสามารถสรุปได้ว่า การออกแบบการวิจัย
หมายถึง การวางแผนการดำเนินการวิจัยอย่างรอบคอบถูกต้องและเหมาะสมเพื่อนำไปสู่การค้นหา
คำตอบของประเดน็ ทีน่ กั วจิ ัยตงั้ ไว้
6.2 จุดมุ่งหมายของการออกแบบการวิจยั
มีผ้กู ล่าวถึงจุดมงุ่ หมายของการออกแบบการวิจัยไว้ ดังนี้
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 86) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการออกแบบการวิจัยว่าแบ่งออกเป็น
2 ประการ ดังนี้
1. เพื่อใหไ้ ด้แนวทางไปสู่คำตอบปญั หาการวิจัยที่มคี วามตรง มคี วามเปน็ ปรนัย มีความแม่นยำ
และในขณะเดยี วกนั ก็ประหยดั ทรัพยากรที่จะต้องใช้
2. เพอ่ื ควบคุมความแปรปรวน อันไดแ้ ก่
2.1 จัดให้ความแปรปรวนของตัว แปรที่ศึกษามีค่าสูงสุด (to maximize the variance
of the variable) เป็นการจัดกระทำให้ตัวแปรที่เลือกมาศึกษาแสดงความแปรปรวนในกลุ่มตัวอย่าง
หรือประชากรทีต่ อ้ งการศกึ ษาให้มากทสี่ ดุ
2.2 ลดความคลาดเคล่ือนหรือความแปรปรวนแบบสุ่มทเ่ี กิดจากการวัดตัวแปรให้มีค่าต่ำสุด
(to minimize the error) เป็นความพยายามลดความคลาดเคลื่อนในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้ได้
มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยความคลาดเคลื่อนนี้อาจเกิดขึ้นจากเครื่องมือที่ใช้ หรือผู้เก็บข้อมูลเอง
หรือกล่มุ ตวั อยา่ งเป้าหมายก็เปน็ ได้
2.3 ควบคุมความแปรปรวนที่เกิดจากตัวแปรเกินและตัวแปรแทรกซ้อน (to control the
variance of extraneous of “unwanted” variables) ลกั ษณะของตวั แปรทั้ง 2 ชนิดจะพบไดจ้ าก
ลักษณะของกลุ่มตัวอย่างหรือประชากรท่ีศึกษา ในขณะเดียวกันก็สามารถพบได้จากตัวแปรภายนอก
อื่น ๆ ที่ไม่ได้เลือกมาศึกษาหากในขั้นตอนของการออกแบบการวิจัยมีกาพิจารณาในประเด็นนี้ ย่อม
ทำใหผ้ วู้ ิจยั มีโอกาสท่จี ะควบคุมการสง่ ผลต่อตวั แปรท่ีตอ้ งการศึกษาได้มากย่ิงข้นึ
วรรณี แกมเกตุ (2555: 108) ได้กลา่ ววา่ การออกแบบการวิจยั มีวตั ถปุ ระสงคท์ ส่ี ำคัญ
2 ประการ คือ
1. เพื่อให้ได้คำตอบสำหรับปัญหาการวิจัยที่มีความตรง ถูกต้องแม่นยำ เป็นปรนัยและ
ประหยดั มากที่สดุ เทา่ ทจ่ี ะทำได้
78
2. เพื่อควบคุมความแปรปรวน การควบคุมความแปรปรวนมีหลักการ 3 ประการ คือ
การศึกษาให้ครอบคลุมขอบข่ายของปญั หาการวิจยั ให้มากที่สุด การควบคุมอทิ ธิพลของสิ่งต่าง ๆ ท่ีไม่
อยใู่ นขอบข่ายของการวจิ ยั แต่ส่งผลตอ่ การวจิ ัยใหไ้ ด้มากทส่ี ุด
ณรงค์ โพธิ์พฤกษานันท์ (2557: 107) ได้กลา่ วถึงความมุง่ หมายของการออกแบบการวิจัย
ไว้ดงั นี้
1. เพอ่ื ให้ไดค้ ำตอบตามประเด็นปัญหา การออกแบบการวิจยั ไดก้ ระทำโดยความระมัดระวัง
บนพื้นฐานของกฎ ทฤษฎี และประสบการณ์ กำหนดกรอบแบบแผนการวิจัย อย่างรอบคอบตาม
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ จึงได้คำตอบหรือผลการวิจัยที่เที่ยงตรง มีความเป็นปรนัยถูกต้องแม่นยำ
และนา่ เชอ่ื ถือ
2. เพื่อควบคุมความแปรปรวนของตัวแปร การทำให้ความแปรปรวนของตัวแปรที่ศึกษามีคา่
สูง ลดความคลาดเคลื่อนและความแปรปรวนโดยการสุ่ม และควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปร
เกิน โดยการเลือกเทคนิคการสุ่ม แบบแผนการวิจัยที่เหมาะสม เช่น การวิจัยเชิงทดลองกึ่งทดลอง
เป็นต้น
3. เพื่อให้การวัดตัวแปรถูกต้องแม่นยำ การออกแบบการวิจัยได้กำหนดตัวแปรให้นิยามเชิง
ทฤษฎี นิยามเชิงปฏิบัติการ และเลือกวิธีการทางสถิติไว้อย่างเหมาะสม จะทำให้การวัดตัวแปรแต่ละ
ประเภทถูกตอ้ งแมน่ ยำ ลดความแปรปรวน และความคลาดเคลอ่ื นได้
4. เพื่อให้การวิจัยดำเนินการอย่างเป็นระบบ ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามขั้นตอนของ
กระบวนการวิจัย ที่จะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร นอกจากนี้ยังสามารถติดตามตรวจสอบความก้าวหน้า
และปัญหาอุปสรรคของการวิจัย ปัจจุบันองค์การหรือหน่วยงานผู้ให้ทุนวิจัยต้องให้ผู้รับทุนรายงาน
ความก้าวหน้าการวิจัยเป็นช่วง ๆ เพื่อทราบว่าได้ทำกิจกรรมอะไรบ้าง มีปัญหาและข้อเสนอแนะ
อย่างไร การออกแบบการวจิ ยั ทีด่ จี ะทำใหผ้ ู้วิจัยดำเนินการอย่างเปน็ ระบบและต่อเนื่อง
5. เพอ่ื การประหยัด โครงการวิจัยได้วางแผนความต้องการ “ทรพั ยากร” อันรวมถึงบุคลากร
งบประมาณ และวัตถุประสงค์ไวอ้ ย่างเหมาะสม โดยเฉพาะงบประมาณตอ้ งยึดถือตามระเบียบการเงิน
ของกระทรวงการคลัง การใชท้ รัพยากรต่าง ๆ ตอ้ งอยูบ่ นพนื้ ฐานของเหตุและผล ไมฟ่ มุ่ เฟอื ย และการ
ทำงานวิจัยให้เสร็จตามแผนการวิจัยยอ่ มจะทำให้ประหยัดท้ังบุคลากร งบประมาณวัสดุอุปกรณ์ และ
เวลาดว้ ย
พรรณี ลีกิจวัฒนะ (2559: 282) ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการออกแบบการวิจัยมี 2
ประการ คอื
1. เพื่อให้ไดค้ ำตอบท่ีถูกต้องตรงต่อคำถามของการวิจัยอยา่ งประหยดั เน่อื งจากการออกแบบ
การวิจัยนั้นเป็นการวางโครงสร้างของการศึกษาเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันระหว่างตัวแปรใน
การวิจัย ซึ่งจะเป็นแนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ขอ้ มูล เช่น ชี้ให้เห็นว่าจะตอ้ งเกบ็
79
รวบรวมข้อมลู อะไรบ้าง มากนอ้ ยแค่ไหน จากแหล่งใด จะจัดกระทำกบั ตัวแปรอยา่ งไร ใช้สถิติชนิดใด
ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ตลอดจนแนวทางในการลงข้อสรุปจากผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
2. เพื่อควบคุมความแปรปรวน ซึ่งความแปรปรวนในที่นี้ หมายถึง ความแปรปรวนของตัว
แปรตาม การควบคมุ ความแปรปรวนของตัวแปรตามกเ็ พ่อื ให้ความแปรปรวนในตวั แปรตามเป็นผลมา
จากตวั แปรอสิ ระอย่างแทจ้ รงิ
จากจดุ มงุ่ หมายของการออกแบบการวิจัยท่ีกลา่ วมาสามารถสรุปได้ว่า การออกแบบการวิจัย
มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ไดค้ ำตอบการวิจัยที่มีความเที่ยงตรง มีความแม่นยำ และประหยัดทรัพยากรที่ใช้
ในการวิจัย นอกจากนย้ี งั มจี ุดมุ่งหมายเพอื่ ควบคุมความแปรปรวนทีเ่ กิดขนึ้ ในการดำเนนิ การวิจยั
6.3 ขั้นตอนการออกแบบการวจิ ยั
มีผ้กู ล่าวถึงขน้ั ตอนการออกแบบการวิจัยไว้ดังน้ี
สวุ ิมล ตริ กานนั ท์ (2551: 90-95) กล่าวว่าการออกแบบการวจิ ยั มขี ั้นตอนท่สี ำคัญดังนี้
1. กำหนดขอบเขตการวิจัย
เมื่อผู้วิจัยได้ตัดสินใจเลือกประเด็นที่จะวิจัยแล้ว ผู้วิจัยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนด
ขอบเขตของการวจิ ัยใหช้ ดั เจนก่อนท่ีจะออกแบบการวิจัย ขอบเขตทคี่ วรจะกำหนดประกอบด้วย
1) การกำหนดขอบเขตของประชากรท่ตี ้องการศึกษา
2) การกำหนดพนื้ ทีท่ างภูมิศาสตร์ท่ตี อ้ งการศึกษา
3) การกำหนดช่วงเวลาที่ทำการศึกษาว่าเป็นการศึกษาเก่ียวกับอดีตหรือปัจจุบัน
หรืออนาคต
2. เลือกรปู แบบของการวจิ ัย
ในการเลือกรูปแบบของการวิจัย ผู้วิจัยต้องพิจารณาจากเรื่องที่เลือกมาศกึ ษา ว่ามีกรอบการ
วิจัยเป็นอย่างไรเมื่อได้กรอบของการวิจัยแล้วจึงทำการเลือกรูปแบบของการวิจัยเนื่องจากการแบ่ง
รูปแบบของการวิจัยมีหลายแบบขึ้นกับเกณฑ์ที่นำมาใช้ ได้แก่ ลักษณะของข้อมูลวัตถุประสงค์
การศึกษา เป็นต้น ผู้วิจัยควรเลือกรูปแบบที่เหมาะสม และนำไปสู่คำตอบของการวิจัยได้ดีที่สุด ดัง
รายละเอียดของรูปแบบการวจิ ัยทก่ี ลา่ วมาแล้ว
3. ออกแบบการดำเนินงาน ประกอบด้วย
3.1 ออกแบบการสมุ่ ตวั อยา่ ง (Sampling design)
ผู้วิจัยมักจะพบเสมอว่าประชากรที่ต้องการศึกษามีขนาดใหญ่ จนไม่สามารถศึกษาท้ัง
ประชากรได้ จำเป็นที่จะต้องนำเพียงบางส่วนของประชากรที่มีความเป็นตวั แทนมาศึกษา การท่ีจะได้
กลุ่มตัวอย่างที่มีความเป็นตัวแทน ผู้วิจัยจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยเทคนิคการสุ่ มตัวอย่าง
(sampling techniques)
80
หลักการท่สี ำคัญของการสุ่มตัวอยา่ ง คอื
1) เลือกวธิ ีการสมุ่ ตัวอย่างที่ทำให้ได้ตัวอย่างที่เปน็ ตวั แทนที่ดีของประชากร
2) ขนาดของกลุ่มตวั อย่างต้องมีขนาดพอเหมาะทั้งในดา้ นทฤษฎแี ละในด้านการ
ปฏิบัติ
การสุ่มตัวอย่างที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้ทุกหน่วยของประชากรมีโอกาสเท่า ๆ กันที่จะได้รับ
การคัดเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่าง เรียกการสุ่มตัวอย่างประเภทนี้ว่า probability sampling
แบ่งออกเปน็ 5 วธิ ี คือ
1) Simple random sampling
2) Systematic random sampling
3) Stratified random sampling
4) Cluster random sampling
5) Multi-stage random sampling
การสุ่มประเภทนี้ทำให้สามารถสรุปอ้างอิงผลงานวจิ ัยจากกลุม่ ตัวอย่างที่นำมาศึกษากลับไป
ยังประชากรที่ศึกษาได้ด้วยวิธีการทางสถิติ แต่ในบางกรณีนักวิจัยไม่สามารถใช้วิธีดังกล่าวข้างต้นได้
เพราะมีข้อจำกัดต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงต้องหันมาใช้การเลือกตัวอย่างอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่า
Non-probability sampling และเพื่อความเหมาะสมตำราหลายเล่มจะใช้ คาว่า“selection” แทน
คำว่า “sampling” เพราะเป็นวิธีการเลือกตัวอย่างโดยไม่มีกลุ่ม ทำให้ตัวอย่างที่ได้ไม่ใช่ตัวแทนที่ดี
ของประชากรทศ่ี ึกษา วธิ ีเลอื กตัวอย่างเหลา่ นี้ ได้แก่
1) Purposive selection
2) Accidental selection
3) Quota selection
วิธีการในชุดนี้มักจะใช้เพื่อความสะดวก และมีเวลาจำกัดในการศึกษา หรือต้องการศึกษา
หรือวิเคราะห์ที่มีลักษณะเป็นการศึกษาเฉพาะกรณี (case study) การสรุปผลจะทำได้เฉพาะกลุ่มท่ี
ทำการศึกษา หรือสรุปภายใต้สภาพการณ์ที่มีเงื่อนไขเช่นเดียวกันเท่านั้น รายละเอียดของการสุ่ม
ตวั อยา่ งจะกล่าวตอ่ ไป
3.2 ออกแบบการวดั ตัวแปร (Measurement design)
ในการเก็บข้อมูลเชิงประจักษ์มาวิเคราะห์เพื่อทดสอบสมมตุ ิฐาน ต้องมีเครื่องมือท่มี ี
ความเฉพาะเจาะจง มีความแมน่ ยำในการวดั โดยมีขัน้ ตอนทสี่ ำคัญดังนี้
1) ศกึ ษาลกั ษณะของตัวแปรวา่ เป็นตวั แปรเดย่ี ว หรอื ตวั แปรรวม หรือตวั แปร
คณุ ลกั ษณะแฝง
2) กำหนดรูปแบบและวิธีการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน ตัวแปรแทรกซ้อนในทาง
81
สังคมศาสตร์ส่วนใหญ่จะเกิดจากความแตกต่างจากกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มได้ จึงมีเทคนิคการควบคุมตัว
แปรแทรกซอ้ นเหล่าน้ีหลายวธิ ีดว้ ยกัน ไดแ้ ก่
2.1) Randomization เป็นการสุ่มตัวอย่างเพื่อควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน
อันเนื่องมาจากกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ แบ่งการสุ่มเป็น 2 ขั้นตอน คือ random selection และ random
assignment ซึ่งเป็นการทำให้กลุ่มตัวอย่างมีความเท่าเทียมกนั เมื่อเร่ิมต้นทำการวจิ ัย จะพบได้ในการ
วิจัยเชิงทดลอง
2.2) Matching เป็นการจับคู่ตัวอย่างที่มีลักษณะคล้ายกันทีละคู่เพื่อให้ได้
กลมุ่ ตัวอยา่ ง 2 กลุม่ ทีม่ คี วามใกล้เคียงกันมากท่ีสุด พบในการวิจยั เชิงทดลองเชน่ กนั
2.3) Blocking ในการวิจัยเชิงทดลองมีการแยกกลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะ
ใกล้เคียงกันออกเป็นกลุ่มย่อย โดยแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งนี้เพื่อดูผลการวิจัยท่ี
เกดิ ในแตล่ ะกล่มุ ย่อยท่ีแตกต่างกนั น้ัน
2.4) ควบคุมด้วยวิธีทางสถิติ เช่น สหสัมพันธ์บางส่วน (part and partial
correlation) การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (ANCOVA) ใช้ได้ทั้งการวิจัยเชิงทดลองและการวิจัย
ท่ไี มใ่ ชก่ ารวิจัยเชิงทดลอง
2.5) เลือกตัวแทรกซ้อนนั้นมาเป็นตัวแปรอิสระอีกตัวหนึ่งที่ทำการศึกษา
จากนั้นนำผลท่ีได้มาแยกตามระดบั หรอื กลุ่มของตัวแปรแทรกซ้อน เพื่อดูความแตกต่างท่ีเกิดขึ้น วิธีน้ี
ใช้ได้ทง้ั ในการวจิ ยั ท่ไี ม่ใช่การวจิ ยั เชงิ ทดลองและการวิจยั เชิงทดลอง
3) กำหนดลักษณะข้อมูลท่ีใชว้ ่าเปน็ ข้อมลู ปฐมภมู ิ หรอื ขอ้ มูลทุติยภูมิ ถ้าเป็นข้อมูลปฐม
ภูมิจะต้องมีกระบวนการสร้างเครื่องมือ และตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือเข้ามาเกี่ยวข้องส่วนข้อมูล
ทตุ ยิ ภูมิจะต้องมีการตรวจสอบความถูกตอ้ งก่อนนำมาใช้
4) ใหค้ วามหมายหรอื นิยามเชิงทฤษฎแี ละนิยามปฏิบตั กิ ารแกต่ ัวแปรที่ต้องการวดั
5) เลือกใช้และกำหนดมาตรวดั ของตัวแปร
6) กำหนดวธิ ีการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย
6.1) การเลือกใช้เครอื่ งมือทีเ่ หมาะสม เคร่ืองมือทใี่ ชเ้ ก็บข้อมลู ได้แก่
- แบบสอบถาม
- แบบทดสอบ
- แบบสมั ภาษณ์
- แบบสังเกต
- แบบบนั ทกึ ข้อมลู
6.2) กำหนดรูปแบบของคำตอบท่เี หมาะสม ได้แก่
- แบบเตมิ คำ (short answer)
82
- แบบตวั เลือก (multiple choice)
- แบบจัดลำดับ (ranking)
- แบบประเมินค่า (rating)
6.3) กำหนดวิธีตรวจสอบคณุ ภาพของเครอ่ื งมือ ได้แก่
- วธิ ตี รวจสอบความเทีย่ ง (reliability)
- วธิ ตี รวจสอบความตรง (validity)
3.3 การออกแบบการวเิ คราะห์ข้อมูล (Analysis design) มี 2 ประเภท คือ
1) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative data analysis) เป็นการวิเคราะห์
ข้อมูลเชงิ ปริมาณ โดยอาศัยวิธกี ารทางสถติ ิเขา้ มาชว่ ย แบง่ เป็น
1.1) ชนิดของสถิติท่ีใช้ แบง่ เปน็
1.1.1) สถิติบรรยาย (descriptive statistics) ใช้ในการบรรยายลักษณะหรือ
บรรยายความสัมพนั ธร์ ะหว่างตวั แปรที่ไดจ้ ากข้อมลู ของกลุ่มตวั อยา่ ง หรอื ประชากร
1.1.2) สถิติอนุมาน (inferential statistics) แบ่งเป็น Parametric statistics
และ Nonparametric statistics ใช้ในการสรุปอ้างอิงข้อมูลจากกลชุ่มตัวอย่างกลับไปยังประชากร
โดยมีเงื่อนไขวา่ กล่มุ ตวั อยา่ งนน้ั ตอ้ งมคี วามเป็นตัวแทนของประชากรที่ตอ้ งการอ้างอิง
1.2) ขอ้ พจิ ารณาในการเลือกใช้เทคนคิ ทางสถติ ิแตล่ ะประเภท ผ้วู ิจัยจะต้องพิจารณา
1.2.1) มาตรวดั ตัวแปร
1.2.2) ขนาดของกลุ่มตวั อยา่ ง และความเป็นตวั แทนของประชากร
1.3) เป้าหมายของการวิเคราะห์ว่าต้องการอธิบายตัวแปร หรือต้องการศึกษา
ความสมั พันธ์ระหว่างตัวแปรในลกั ษณะใด ในการวิจยั มักจะพบการศกึ ษาตวั แปรอยู่ 5 ลักษณะคือ
1.3.1) บรรยายหรอื อธิบายตวั แปรเพียงตัวเดยี ว (X)
1.3.2) ศกึ ษาตวั แปรเดยี วและเปรยี บเทียบความแตกต่างระหว่างประชากร
(X1 = X1)
1.3.3) ศกึ ษาความสมั พันธ์ระหวา่ งตวั แปร
2) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (Qualitative data analysis) เป็นการวิเคราะห์
ขอ้ มลู เชิงคณุ ลักษณะที่ได้จากการบรรยายลักษณะหรือสภาพของเหตุการณ์ โดยใช้หลักความเป็นเหตุ
เป็นผล วิธีการท่ีใชก้ นั อยู่ ได้แก่
2.1) Content analysis เปน็ การวเิ คราะห์เน้อื หาของข้อมูลทร่ี วบรวมมาได้ท้ังหมด
โดยแยกให้เหน็ สว่ นประกอบและความสัมพนั ธ์ระหว่างส่วนประกอบน้นั
2.2) Pattern matching เป็นวิธีการสร้างรูปแบบ (pattern) ของความสัมพันธ์
ระหว่างตัวแปรขึ้นจากทฤษฎี แนวคิดและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากนั้นนาข้อมูลที่รวบรวมได้มา
83
เปรียบเทียบกับ รูปแบบที่สร้างไว้ว่ามีความสอดคล้องหรือแตกต่างกันอย่างไร และวิเคราะห์ถึง
ลกั ษณะและสาเหตขุ องความแตกต่างท่ีเกิดข้ึน
2.3) Explanation-building เป็นลักษณะหนึ่งของ pattern matching ที่พิเศษ
ออกไปตรงท่ีจะต้องอธิบายถงึ ความเช่ือมโยงระหวา่ งตัวแปรท่ีเกิดข้นึ ซึ่งจะมีความซับซ้อนและยุ่งยาก
มากกวา่ ความสัมพันธ์ระหว่างตวั แปรสร้างข้นึ จากการทบทวนเอกสารท่ีเกี่ยวข้องประกอบด้วยแนวคิด
ทฤษฎี และผลงานวิจัย มีก ารยืนยันลักษณะของ explanation-building ที่สร้างขึ้นด้วยข้อมูลเชิง
ประจกั ษ์
2.4) Time-series analysis มีลักษณะเหมือน time-series ในการวิจัยเชิงทดลอง
แบ่งเป็น simple time-series และ complex time-series เป็นการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงของ
ลกั ษณะหรอื เหตุการณ์ตามชว่ งเวลา
2.5 Logical analysis เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่าง
เหตกุ ารณแ์ ละผลท่เี กดิ ข้นึ ตามมา วเิ คราะหโ์ ดยใชเ้ มตรกิ ซ์แสดงความเปน็ สาเหตแุ ละผลท่ีตามมา
4. กำหนดเวลาในการดำเนนิ งาน
ผู้วิจัยต้องประมาณการเวลาที่ใช้ในแต่ละขั้นของการวิจัย เวลาที่กำหนดควรเป็นเวลาที่
เหมาะสมไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ส่วนใหญ่มักกำหนดเป็นตารางเวลาการทำงานที่เรียกว่า
Bar Chart
5. กำหนดงบประมาณทใ่ี ช้
ค่าใช้จ่ายในการวิจัยเป็นสิ่งที่ผู้วิจัยต้องประมาณการล่วงหน้า ในกรณีขอทุนการวิจัยการ
กำหนดงบประมาณจะต้องมีความเป็นเหตุเป็นผล และควรแสดงรายละเอียดอย่างชัดเจน เพ่ือ
ประกอบการพิจารณา หรอื ในกรณีท่ไี ม่ได้ขอทุนการกำหนดรายละเอียดคา่ ใชจ้ ่ายไว้จะช่วยลดปญั หา
ทางการเงินในการวจิ ยั ไดม้ าก
เมื่อผู้วิจัยดำเนินการตามขั้นตอนการออกแบบการวิจัยแล้ว ขั้นตอนต่อไปผู้วิจัยจะนำผลท่ี
ได้มาเขียนเป็นข้อเสนอโครงการวิจัย (research proposal) เพื่อใช้เป็นแผนในการดำเนินการวิจัย
ตอ่ ไป
ณรงค์ โพธิ์พฤกษานันท์ (2557: 108-109) ได้กล่าวถึงขั้นตอนของการออกแบบการวิจัย ว่า
การออกแบบการวิจัยนั้นกระทำหลังจากนักวิจัยได้กำหนดชื่อเรื่องวิจัย สมมุติฐาน และวัตถุประสงค์
แล้วจากนั้นจึงจะมาออกแบบดำเนินการวิจัยในเชิงปฏิบัติ การออกแบบการวิจัยนี้จะต้องทำให้
ครอบคลุมกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ “การเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล การแปลผล การสรุปผล
และการจัดทำรายงานการวิจัย ” การออกแบบการวิจัย เป็นกระบวนการวางแผนโครงการวิจัย หรือ
เค้าโครงการวจิ ยั ประกอบด้วย 5 ขัน้ ตอน ดังนี้
1. การกำหนดขอบเขตการวจิ ยั ควรกลับไปทบทวนว่าเร่ือง หรือประเด็นปญั หาการ