149
3. จงพจิ ารณาขอ้ มลู ท่ีกำหนดใหใ้ นตำราง แล้วแสดงวธิ ีการคำนวณหาค่าดัชนคี วามสอดคล้อง
(IOC) ของขอ้ สอบทผี่ า่ นการตรวจสอบโดยผเู้ ชย่ี วชาญ จำนวน 3 ทา่ น
จำนวนผู้เชย่ี วชาญทใี่ ห้ระดับ
คะแนนความสอดคลอ้ ง
รายการ สอดคล้อง(1) IOC = R/n
ไ ่มแน่ใจ(0)
ไ ่มสอดคล้อง(-1)
1. ท่านมีการวางแผนการทำงานในแตล่ ะวนั 2 -1
2. ทา่ นใชเ้ วลาส่วนใหญเ่ กี่ยวกบั การทำธุระ - 12
สว่ นตวั 1 2-
3. ท่านปฏิบัติตนตามตำรางเวลาทีก่ ำหนดอยา่ ง 3 --
เคร่งครัด 2 1-
4. ทา่ นมีการทบทวนบทเรยี นทีเ่ รยี นมาในแต่
ละวัน
5. เม่ือมเี วลาว่างทา่ นมกั จะเล่นอนิ เตอรเ์ น็ต
เพ่ือความบนั เทงิ
4. ความเชอ่ื มั่น (reliability) หมายถงึ อะไร
5. ถ้าเครื่องมือเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) ควรตรวจสอบความ
เทยี่ งตรงและความเช่ือม่นั ด้วยวธิ ีใด
6. เพราะเหตุใดแบบทดสอบจึงตอ้ งหาค่าความยากงา่ ยและคา่ อำนาจจำแนก จงอธบิ าย
150
8.9 เอกสารอ้างอิง
ณฏั ฐภรณ์ หลาวทอง. (2559). การสร้างเครื่องมือการวจิ ัยทางการศึกษา. กรงุ เทพมหานคร:
โรงพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
ประสาท เนอื งเฉลิม. (2556). วจิ ัยการเรยี นการสอน. พิมพค์ ร้งั ที่ 2. กรุงเทพมหานคร: บริษทั ทวี
พรน้ิ (1991) จำกัด.
พรรณี ลีกจิ วฒั นะ. (2559). วิธีการวิจยั ทางการศึกษา. พิมพค์ ร้ังที่ 11. กรุงเทพมหานคร: มีน
เซอร์วิส ซพั พลาย.
พิชติ ฤทธจ์ิ รญู . (2556). หลักการวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา. พิมพ์คร้งั ท่ี 8. กรงุ เทพมหานคร:
บริษัท เฮา้ ส์ ออฟ เคอรม์ สิ ท์ จำกัด.
วรรณี แกมเกตุ. (2555). วธิ วี ิทยาการวจิ ยั ทางพฤตกิ รรมศาสตร์ . พมิ พ์ครั้งท่ี 3. กรุงเทพมหานคร:
โรงพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
สุวมิ ล ติรกานันท์. (2551). ระเบยี บวธิ ีการวจิ ัยทางสังคมศาสตร์: แนวทางสูก่ ารปฏิบตั .ิ
พิมพ์ครั้งท่ี 7.กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
บทที่ 9
ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง
การดำเนินงานวิจัยจะมีการกำหนดขอบเขตที่จะทำการศึกษา ซึ่งขอบเขตดังกล่าวจะ
เก่ียวข้องกบั สงิ่ ท่ีนักวิจยั สนใจจะทำการศกึ ษาไมว่ ่าจะเปน็ สงิ่ มชี ีวิตหรอื ไม่มชี วี ิต ซงึ่ จะตอ้ งนำเครื่องมือ
วิจัยที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มที่ทำการศึกษาซึ่งเรียกว่าประชากร
โดยในการดำเนินงานวิจัยแต่ละเรื่องอาจจะทำการศึกษาจากประชากรท้ังหมด หรืออาจจะทำการสุม่
ตัวอย่างมาทำการศึกษาถ้าประชากรมีขนาดใหญ่ และมีข้อจำกัดในการดำเนินงานวิจัย ดังนั้นนักวจิ ยั
จึงควรจะเข้าใจลักษณะของประชากรและกลุ่มตัวอย่าง พร้อมทั้งวิธีการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง
และเทคนิคการสุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างที่จะใช้ในการวิจัย โดยจะขอ
นำเสนอดังรายละเอียดตอ่ ไปนี้
9.1 ความหมายของประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ ง
1. ความหมายของประชากร
มีผใู้ ห้ความหมายของประชากรไว้ดังน้ี
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 165) ได้ให้ความหมายของประชากร หมายถึง กลุ่มของสิ่งต่าง ๆ
ที่สมาชิกทกุ หน่วยของสิ่งนัน้ เปน็ กลมุ่ เป้าหมายท่ีผวู้ ิจัยตอ้ งการศึกษา
กลั ยา วานชิ ย์บัญชา (2555: 13) ได้ใหค้ วามหมายของประชากร หมายถึง ทุกหน่วยในเร่ืองท่ี
สนใจศกึ ษา คำวา่ หนว่ ย อาจหมายถงึ คน สัตว์ ส่ิงของ องค์กร เปน็ ต้น
รัตนะ บัวสนธ์ (2556: 99) ได้ให้ความหมายของประชากร (Population) หมายถึงทุกส่ิง
ท้ังหมด หรือทุกหนว่ ยของแหลง่ ขอ้ มูลทผ่ี ้วู ิจัยต้องการศกึ ษารวบรวม
พรรณี ลีกิจวัฒนะ (2559: 131) ได้ให้ความหมายของประชากร หมายถึง กลุ่มของสิ่งมีชีวิต
หรือสิ่งไม่มีชวี ิตที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา ซึ่งประกอบด้วยสมาชกิ (element) ที่มีลักษณะหรือคุณสมบตั ิ
บางอย่างร่วมกนั
ไพศาล วรคา (2559: 85) ได้ให้ความหมายของประชากร หมายถงึ สมาชกิ ทุกหน่วยที่อยู่ใน
กรอบที่ผู้วจิ ยั ต้องการศกึ ษา หรือกล่มุ ของคนสตั ว์หรอื สง่ิ ของทีเ่ ป็นเป้าหมายในการนำผลการศกึ ษาไป
อธบิ าย
จากความหมายของประชากรที่กล่าวมาสามารถสรุปได้ว่าประชากร หมายถึง ทุก ๆหน่วย
ของกลุ่มที่นักวิจัยสนใจจะทำการศึกษาไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ซึ่งหน่วยต่าง ๆ เหล่าน้ัน
นักวิจยั จะทำการเกบ็ รวบรวมข้อมูลเพ่ือนำผลทไี่ ด้ไปคน้ หาคำตอบ
152
2. ความหมายของกลุ่มตวั อย่าง
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 165) ได้ให้ความหมายของกลุ่มตัวอย่าง หมายถึง กลุ่มย่อยของ
ประชากรที่ผู้วิจัยใช้ในการศึกษา กลุ่มตัวอย่างนี้จะต้องเป็นตัวแทนที่ดีของประชากรทั้งหมด จึงต้อง
อาศัยเทคนิคการสุ่มตัวอย่าง (sampling technique) เข้ามาช่วยคัดเลือกทำให้ทุกหน่วยของ
ประชากรมีโอกาสทจ่ี ะเป็นตัวแทนเทา่ ๆ กันโดยจะต้องมกี ารกำหนดกรอบการสุ่มตัวอย่าง(sampling
frame) ซึ่งหมายถึง การกำหนดขอบเขตของประชากรทีต่ อ้ งการศกึ ษาให้ชดั เจนนน่ั เอง
รัตนะ บัวสนธ์ (2556: 100) ได้ให้ความหมายของกลุ่มตัวอย่าง (Sample group) หมายถึง
สว่ นหน่ึงที่เปน็ ตัวแทนของประชากรทผี่ วู้ จิ ยั ต้องการศกึ ษา
พรรณี ลีกิจวัฒนะ (2559: 133) ได้ใหค้ วามหมายของกลมุ่ ตวั อย่าง หมายถึง กลมุ่ ของสมาชิก
บางสว่ นของประชากรทไ่ี ด้รบั เลอื กใหเ้ ป็นตัวแทน (representative) ประชากรสำหรับใช้ในการศึกษา
สมาชิกแตล่ ะหนว่ ยในกลุ่มตวั อย่างเรยี กว่า หนว่ ยตวั อย่าง (sample unit)
ไพศาล วรคา (2559: 85) ได้ให้ความหมายของกลุ่มตัวอย่าง หมายถึง สมาชิกบางส่วนของ
ประชากรเปา้ หมายทไี่ ด้รบั การเลอื กหรอื ส่มุ มาเพอื่ เปน็ ตัวแทนของประชากรในการศึกษา
จากความหมายของกลุ่มตัวอย่างที่กล่าวมาสามารถสรุปได้ว่า กลุ่มตัวอย่าง หมายถึง กลุ่ม
ย่อยของประชากรที่นกั วิจยั สนใจจะทำการศกึ ษา ซง่ึ กลุม่ ย่อยน้ีจะเปน็ ตวั แทนทด่ี ขี องประชากรโดยจะ
ทำการคดั เลือกดว้ ยวิธกี ารสุ่มตวั อยา่ งทเ่ี หมาะสมกบั สภาพลกั ษณะของประชากร
9.2 ลักษณะของกลุ่มตัวอย่างที่ดี
พรรณี ลีกจิ วฒั นะ (2559: 136) ได้กล่าวถึงกลมุ่ ตัวอย่างท่ีดีต้องเปน็ ตัวแทนทด่ี ีของประชากร
มีลกั ษณะสำคัญ 2 ประการ คือ
1. ประกอบดว้ ยสมาชกิ ที่มลี ักษณะต่าง ๆ สอดคลอ้ งและครอบคลุมลกั ษณะของประชากร
2. มีขนาดเหมาะสมที่จะสามารถทดสอบความเชื่อมั่นทางสถิติได้ หรือเพียงพอที่จะสรุป
อา้ งองิ ไปสู่ประชากรได้
ไพศาล วรคา (2559: 89) ได้กล่าวถึงลักษณะกลุ่มตัวอย่างทีด่ ดี งั นี้
1. มีคุณสมบัติตรงตามจุดประสงค์ของการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ดีต้องสามารถให้ข้อมูลได้ตรง
กับคำถามการวิจัยหรือวัตถุประสงค์ของการวิจัย เช่น การศึกษาทักษะการทำวิจัยทางการศึกษาของ
ครูสงั กัดสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลมุ่ ตวั อยา่ งท้งั หมดจะต้องเป็นครู สงั กดั สำนักงานการศึกษา
ขัน้ พื้นฐานเทา่ น้นั
2. เป็นตัวแทนที่ดีของประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ดีต้องมีคุณลักษณะที่ศึกษาเหมือนกับ
ประชากรมากทีส่ ดุ
3. มีจำนวนที่เหมาะสม คือมีจำนวนไม่มากจนเกินไปจนทำให้มีปัญหาในการเก็บรวบรวม
153
ข้อมูล ทั้งปัญหาด้านระยะเวลา แรงงานและงบประมาณที่ใช้ แต่ก็ต้องมีจำนวนไม่น้อยจนเกินไปจน
ทำให้เกิดปญั หาในการวิเคราะห์ขอ้ มลู ทางสถติ ิ
4. ไดม้ าอย่างมีหลกั เกณฑ์หรือปราศจากอคติ (unbiased) จากลกั ษณะของกลุ่มตวั อย่างที่ดี
ดังทก่ี ล่าวมาสรุปได้ว่า กลุ่มตัวอย่างที่ควรเปน็ ตวั แทนของประชากรท่ที ำการศกึ ษา มีขนาดเหมาะสม
ซ่ึงอาจได้มาจากการคำนวณจากสตู รหรือเปดิ ตำรางสำเรจ็ รูป
9.3 การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอยา่ ง
พรรณี ลีกิจวัฒนะ (2559: 136) ได้กล่าวว่าขนาดของกลุ่มตัวอย่าง (Sample size) เป็น
จำนวนสมาชิกของกลุ่มตัวอย่างที่ เลือกจากประชากร เพื่อเป็นตัวแทนของประชากรสำหรับใช้เป็น
แหล่งในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัย คำว่าขนาดของกลุ่มตัวอย่างอาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า
จำนวนตัวอย่าง การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างสามารถทำได้ 2 วิธี คือการคำนวณจากสูตรและการ
กำหนดจากตำรางสำเรจ็ รูป จงึ ขอเสนอรายละเอยี ดดงั นี้
1. การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สตู ร
สูตรคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างมีหลายสูตรขึ้นอยู่กับวีการสุ่มตัวอย่าง และชนิดของตัว
ประมาณค่าที่ต้องการศึกษา และจะต้องกำหนดค่าต่าง ๆ หลายชนิดเพื่อนำมาแทนค่าในสูตรและ
โดยทั่วไปผู้วิจัยมักจะไม่ทราบค่าเหล่านั้น จึงไม่สะดวกในการใช้ ต่อมามีการปรับให้ใช้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็น
สูตรคำนวณขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ งของ Yamane ดงั นี้
สูตรคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอยา่ งของ Yamane (1973 : 1088)
n=N
1 + Ne2
เม่อื n แทน ขนาดของกลุ่มตัวอยา่ ง
N แทน ขนาดของประชากร
e แทน ระดบั ขอความคลาดเคลอ่ื นทย่ี อมรับได้ (อยใู่ นรูปสดั ส่วน)
เงอ่ื นไขในการใชส้ ตู รนี้
1. เป็นสูตรคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่ระดับความเชื่อมั่น (confident level) 95%
หมายความว่า ในการศึกษาโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างขนาด n ที่สุ่มจาก ประชากร
ขนาด N จำนวน 100 คร้ัง จะมีโอกาสได้ค่าสถิติท่ีถูกต้อง 95 คร้ัง และมีโอกาสได้คา่ สถติ ิท่ี ผิดพลาด
(เกดิ ความคลาดเคลื่อนเกินกว่าระดับท่ียอมรับได้) ไม่เกนิ 5 ครง้ั
2. ใชใ้ นกรณีทต่ี อ้ งการศึกษาข้อมลู ประเภทตอ่ เน่ือง (continuous data) ซึ่งได้จากการวัดใน
ระดับอันตรภาค (interval scale) หรือระดับอัตราส่วน (ratio scale) เช่น คะแนนสอบน้ำหนัก
ส่วนสงู ฯลฯ
154
3. ผู้วิจัยจะต้องกำหนดระดับความถูกต้อง (precision level) ที่ต้องการซึ่งจะทำให้ทราบ
ระดบั ความคลาดเคลื่อน (e) ทย่ี อมรบั ได้ สำหรับใชแ้ ทนคา่ ในสูตร
ระดับความถูกต้องที่ใช้ในการวิจัยทางการศึกษาควรอยู่ระหว่าง 95-98 % ยิ่งกำหนดระดับ
ความถูกตอ้ งมากขึ้น ระดบั ความคลาดเคลื่อนจะนอ้ ยลง และจะไดก้ ลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดใหญ่มากขึน้
กรณีที่ผู้วิจัยกำหนดระดับความถูกต้อง 95% จะได้ระดับความคลาดเคลื่อนเท่ากับ 100 –
95 = 5% คิดเป็นสัดส่วน (e) = .05 นั่นคือยอมให้ค่าสถิติที่จะได้รับจากกลุ่มตัวอย่างแตกต่างไปจาก
คา่ ที่แทจ้ ริงของประชากรไดไ้ มเ่ กิน ± 5%
2. การกำหนดขนาดของกลมุ่ ตัวอยา่ งโดยใช้ตารางสำเร็จรูป
2.1 ตารางสำเรจ็ รูปกำหนดขนาดของกลมุ่ ตัวอย่างของ Yamane
ตารางสำเร็จรูปกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างของ Yamane ที่ระดับความเชื่อมั่น
95% ดงั แสดงในตำรางที่ 8.1
ตารางท่ี 8.1 การกำหนดขนาดของกลมุ่ ตัวอย่างของ Yamane
ขนาดของ ขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ งตามระดบั ความคลาดเคล่ือน
ประชากร ±1% ±2% ±3% ±4% ±5% ± 10 %
500 b b b B 222 83
1,000 b b b 385 286 91
1,500 b b 638 441 316 94
2,000 b b 714 476 333 95
2,500 b 1,250 769 500 345 96
3,000 b 1,364 811 517 353 97
3,500 b 1,458 843 530 359 97
4,000 b 1,538 870 541 364 98
4,500 b 1,60 7891 549 367 98
5,000 b 1,667 909 556 370 98
6,000 b 1,765 938 566 375 98
7,000 b 1,842 959 574 378 99
8,000 b 1,905 976 580 381 99
9,000 b 1,957 989 584 383 99
10,000 5,000 2,000 1,000 588 385 99
15,000 6,000 2,143 1,034 600 390 99
155
ขนาดของ ขนาดของกลุม่ ตัวอยา่ งตามระดบั ความคลาดเคลอื่ น
ประชากร
±1% ±2% ±3% ±4% ±5% ± 10 %
20,000 6,667 100
25,000 7,143 2,222 1,053 606 392 100
50,000 8,333 100
100,000 9,091 2,273 1,064 610 394 100
10,000 100
∞ 2,381 1,087 617 397
2,439 1,099 621 398
2,500 1,111 625 400
b – ใชไ้ ม่ได้ ถา้ ข้อมูลมีการแจกแจงไมป่ กติ
ท่ีมา: Yamane (1973 : 1088)
2.2 ตารางสำเร็จรปู กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie and Morgan
ตารางสำเร็จรูปกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie and Morganที่ระดับความ
เช่ือม่นั 95 % และความคลาดเคล่ือน ± 5% ดังแสดงในตารางท่ี 8.2
ตารางท่ี 8.2 การกำหนดขนาดกลมุ่ ตัวอย่างของ Krejcie and Morgan
NSNSNSNS N S
10 10 100 80 280 162 800 260 2800 338
15 14 110 86 290 165 850 265 3000 341
20 19 120 92 300 169 900 269 3500 346
25 24 130 97 320 175 950 274 4000 351
30 28 140 103 340 181 1000 278 4500 354
35 32 150 108 360 186 1100 285 5000 357
40 36 160 113 380 191 1200 291 6000 361
45 40 170 118 400 196 1300 297 7000 364
50 44 180 123 420 201 1400 302 8000 367
55 48 190 127 440 205 1500 306 9000 368
60 52 200 132 460 210 1600 301 10000 370
65 56 210 136 480 214 1700 313 15000 375
70 59 220 140 500 217 1800 317 20000 377
75 63 230 144 550 226 1900 320 30000 379
80 66 240 148 600 234 2000 322 40000 380
156
NSNSNSNS N S
85 70 250 152 650 242 2200 327 50000 381
90 73 260 155 700 248 2400 331 75000 382
95 76 270 159 750 254 2600 335 1000000 384
N แทนขนาดของประชากร , S แทน ขนาดของกลมุ่ ตวั อย่าง
ทม่ี า: krejcie and Morgan (1970: 608)
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 171) ได้กล่าวถึงการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างต้องพิจารณาถึง
ส่ิงดงั ตอ่ ไปน้ี
1. ขนาดของประชากรว่ามีจำนวนท้งั สิน้ เทา่ ไร เพ่ือใชเ้ ปน็ จำนวนประชากรในการคำนวณกลุ่ม
ตวั อยา่ ง
2. ลักษณะความแตกต่างของประชากร หากเป็นความแตกต่างอย่างชัดเจนและมีผลต่อตัว
แปรที่ศึกษา จะต้องแบ่งชั้นของประชากรตามความแตกต่าง เพื่อสุ่มแบบ stratified random
sampling หรือแบบ cluster random sampling ดงั กลา่ วมาแลว้ ขา้ งต้น
3. ขนาดความคลาดเคลอื่ นสงู สุดท่ียอมรบั ได้ การกำหนดขนาดความคลาดเคล่อื นเป็นการปรับ
เพื่อให้ได้ขนาดของกลุ่มตวั อย่างที่ผูว้ ิจยั สามารถทำการศึกษาไดใ้ นทางปฏบิ ัติ
4. ระดับของความเชื่อมั่น ของการประมาณค่า การเลือกใช้ระดับ ความเชื่อมัน่ ที่แตกต่างกนั
จะไดข้ นาดของกลุ่มตวั อยา่ งทีแ่ ตกตา่ งกนั ไปด้วยเชน่ เดียวกับขนาดความคลาดเคล่ือน
5. ชนิดของพารามิเตอรท์ ี่ต้องการทดสอบว่าเป็นคา่ หรือ เพื่อจะได้เลือกสูตรการคำนวณหรอื
เลอื กใช้ตำรางการสุม่ ตัวอย่างทีถ่ ูกต้อง
6. งบประมาณ การทำงานวิจัยจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นเสมอไม่ว่าจะเป็นค่าวัสดุอุปกรณ์หรือ
ค่าตอบแทน ในบางครั้งขนาดของกลุ่มตัวอย่างจึงขึ้นกับงบประมาณที่ผู้วิจัยมีอยู่ แต่ในกรณีที่กลุ่ม
ตัวอย่างมีขนาดเล็กเกินไป ก็อาจจะให้เกิดความคลาดเคลื่อนมาก จนขาดคุณสมบัติความเป็นตัว
แทนที่ดขี องประชากรเป็นผลให้การสรุปผลในการใช้สถิติอนุมาน (inferential statistics) ไม่สามารถ
กระทำไดอ้ ย่างสมบูรณ์
7. เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ลักษณะของเครื่องมือแต่ละชนิดจะมีผลต่อขนาดกลุ่ม
ตวั อย่าง เชน่
1) การใชแ้ บบสอบถามทางไปรษณยี ์ ซงึ่ มงี านวิจัยยืนยันว่ามีอตั ราการตอบกลับค่อนข้าง
ต่ำจากเป็นจะต้องเพิ่มกลุ่มตัวอย่างให้มากขึ้นเพื่อให้ได้จำนวนที่ตอบกลับตรงตามวัตถุประสงค์ควรมี
การศกึ ษางานวจิ ัยเกยี่ วกบั อตั ราการตอบกลบั ก่อนทำการกำหนดขนาดกล่มุ ตัวอย่าง
2) การใชแ้ บบสมั ภาษณ์ต้องใชค้ วามละเอียด คณุ ภาพของเคร่ืองมือข้ึนอยกู่ ับความเที่ยง
157
ของผู้สัมภาษณ์ประกอบกับแบบสัมภาษณ์ หากจำนวนผู้ทำการสัมภาษณ์มีจำกัดขนาดของกลุ่ม
ตัวอย่างจะต้องลดลงให้เหมาะสมกับจำนวนผู้สัมภาษณ์ แต่ควรระลึกเสมอว่าการลดขนาดของกลุ่ม
ตวั อยา่ งทำใหค้ วามคลาดเคลื่อนเพ่มิ ขึน้ ด้วยเชน่ กัน
8. วิธีการสุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมกับปัญหาการวิจัย ภายใต้สถานการณ์ของการวิจัยแต่ละคร้งั
จะมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไป วิธีการสุ่มตัวอย่างจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้วิจัยว่าควรสุ่ม
ตวั อยา่ งหรอื ทำการศึกษาท้งั ประชากร จึงจะไดผ้ ลการวิจัยทีเ่ ป็นประโยชนท์ ่ีสดุ ในปญั หาการวจิ ัยน้ัน
พรรณี ลีกจิ วฒั นะ (2559: 140) กล่าวถึงขนาดของกลุ่มตวั อย่างตามเกณฑ์อยา่ งคร่าว ๆ แบ่ง
ได้เป็น 2 ประเภท คือ กลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ และกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก เกณฑ์ที่ใช้กำหนดขนาด
คอ่ นข้างยดื หยนุ่ และแตกตา่ งกนั ในการวจิ ัยเชงิ บรรยายกับการวิจยั เชิงทดลอง
1. กลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ (large-size sample) ในการวิจัยเชิงบรรยายควรมีสมาชิก
อย่างน้อยตั้งแต่ 100 หน่วยขึ้นไป ส่วนในการวจิ ัยเชิงทดลองต้องมีสมาชิกอย่างน้อยตัง้ แต่ 30 หน่วย
ข้นึ ไป
2. กลุ่มตัวอยา่ งขนาดเล็ก (small-size sample) ในการวจิ ยั เชิงบรรยายคือกลุ่มตัวอย่างท่ี
มีสมาชิกไม่ถึง 100 หนว่ ย สว่ นในการวิจัยเชิงทดลองคือกลุ่มตวั อย่างท่ีมีสมาชิกไม่ถึง 30 หน่วย สรุป
ลงตารางดังนี้
จำนวนสมาชกิ ในกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญแ่ ละขนาดเล็ก จำแนกตามประเภทของการวจิ ยั
ประเภทของการวจิ ัย จำนวนสมาชกิ ในกลุ่มตัวอย่าง
ขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก
การวิจยั เชงิ บรรยาย ตง้ั แต่ 100 หนว่ ยขนึ้ ไป ต่ำกว่า 100 หนว่ ย
การวิจยั เชงิ ทดลอง ต้งั แต่ 30 หนว่ ยข้นึ ไป ต่ำกว่า 30 หน่วย
จากการกำหนดขนาดกลุม่ ตวั อย่างท่ีกลา่ วมาสรุปไดว้ ่า ขนาดกลมุ่ ตวั อย่างกำหนดได้ 2 วธิ ี
คอื กำหนดจากสตู ร และกำหนดจากตารางสำเร็จรปู ซึ่งนยิ ม 2 ตารางได้แก่ ตาราง Yamane และ
ตาราง krejcie and Morgan
158
9.4 วิธกี ารสุ่มกลุ่มตวั อยา่ ง
มีผูก้ ลา่ วถึงวธิ ีการสมุ่ กลุ่มตวั อยา่ งไวห้ ลายท่าน ดังนี้
บญุ ชม ศรีสะอาด (2556: 44-49) ไดก้ ล่าวถงึ การสุ่มตัวอยา่ งหรือวธิ ีเลอื กกลุม่ ตวั อยา่ ง การ
เลอื กกลุ่มตัวอยา่ งอาจจำแนกได้เป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือ แบบไม่อาศยั ความนา่ จะเปน็ กับแบบอาศัย
ความน่าจะเปน็ แบบไม่อาศัยความน่าจะเปน็ (Non Probability Sampling) เป็นการเลือกโดยไม่ใช้
วธิ สี มุ่ จึงไม่สามารถทราบค่าความนา่ จะเปน็ ของสมาชกิ แต่ละหน่วยทถ่ี ูกเลือกเป็นตวั อย่าง การเลือก
กลุ่มตวั อยา่ งแบบนมี้ ี 4 วธิ ี คือ การเลือกแบบบังเอญิ (Accidental) การเลือกโดยการกำหนดสัดสว่ น
(Quota) การเลอื กแบบเจาะจง (Purposive) และการเลือกตามสะดวก (Convenience) สว่ นแบบ
อาศัยความนา่ จะเปน็ (Probability Sampling) เปน็ การเลือกโดยอาศัยเทคนคิ การส่มุ
(Random)สมาชิกกลุม่ ตวั อย่าง ซง่ึ จะชว่ ยขจดั ความลำเอยี ง การเลือกกลมุ่ ตวั อย่างแบบน้ีมี 4 วธิ ี คอื
1. การสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) จะทำการสุ่มที่หน่วยของการสุ่มตัวอย่าง
(Sampling Unit) จนกว่าจะได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ มีวิธีการ 3 วิธี คือ วิธีจับฉลากวิธีใช้ตาราง
เลขสุ่ม และวิธีใช้คอมพิวเตอร์สุ่ม วิธีจับฉลาก จะเขียนชื่อของสมาชิกแต่ละหน่วยลงในแผ่นกระดาษ
(ฉลาก) ใช้ 1 แผ่น ต่อ 1 ชื่อ ทำการสุ่มหยิบมาทีละแผ่น จนกว่าจะครบ วิธีใช้ตารางเลขสุ่ม จะต้อง
กำหนดตัวเลขเรียงลำดับให้กับสมาชิกแต่ละหน่วย กำหนดในใจว่าจะใช้เลขสุ่มไล่ตามแนวแถวหรือ
แนวคอลัมน์ และจะใช้เลขท้ายจำนวนหลกั เท่ากับที่กำหนดให้สมาชิก (ถ้ามี 100 คน ก็ใช้เลข 3 หลกั
เป็นต้น) แล้วสุ่มเปิดตำรางใช้นิว้ จิ้มแบบสุ่มหาจุดเริม่ ต้นไปพบจำนวนใดก็จะเป็นจุดเร่ิมต้นไล่จำนวน
ตามลำดับ จนกวา่ จะได้ครบตามต้องการ วิธีใช้คอมพิวเตอรส์ มุ่ จะกำหนดตวั เลขเรียงลำดับให้ สมาชกิ
แต่ละหน่วย จากนั้นสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำการสุ่มตัวอย่างออกมาตามจำนวนที่ต้องการ โดยใช้
โปรแกรม
2. การสุ่มแบบเป็นระบบ (Systematic Sampling) ทำการกำหนดตัวเลขเรียงลำดับให้กับ
สมาชิกแต่ละหน่วย จากนั้นหาชว่ งที่จะเลือกสมาชิก จากสูตร N/n เมื่อ N แทน จำนวน ประชากร n
แทนจำนวนกลุ่มตัวอยา่ งทีต่ ้องการจะเลือก เช่น ประชากรมี 100 คน ตอ้ งการสุ่มมา 20 คน ช่วงที่จะ
เลือกสมาชิกเท่ากับ 100/20 = 5 ต่อมาเลือกสมาชิกหน่วยแรก โดยใช้วิธีสุ่มอย่างง่ายกับ สมาชิก
ช่วงแรก นน่ั คอื สุ่มระหว่างหมายเลข 1 ถงึ 5 สมมตุ สิ ุม่ ได้หมายเลข 3 ตัวอยา่ งคนแรกก็คือ หมายเลข
3 คนตอ่ ๆ ไป คอื หมายเลข 8, 13, 18 ... เปน็ ตน้
3. การสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) กรณีที่ประชากรประกอบด้วย
สมาชิกที่แบ่งออกเป็นชั้น ๆ (Strata) แต่ละชั้นจะมีความแตกต่างกัน แต่ภายในชั้นจะมีสมาชิกที่
คล้ายคลึงกัน ตัวอย่าง เช่น ในสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งมีนักศึกษาปีที่ 1 ปี 2 ปี 3 ปี และปี 4 หรือ
มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมีนักศึกษาสาขาแพทย์ศาสตร์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาศึกษาศาสตร์ ฯลฯ
ผู้วิจัยสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายภายในแต่ละชั้น เช่น แต่ละชั้นปีสุ่มมา 50% หรือแต่ละสาขาสุ่มมา 40%
159
ลักษณะเช่นน้เี รียกวา่ เป็นการสุ่มแบบแบ่งชน้ั
4. การสุ่มแบบเป็นกลุ่ม (Cluster random sampling) กรณีที่ประชากรประกอบตัวด้วย
สมาชิกทีแ่ บง่ ออกเป็นกลุ่ม (Cluster) แต่ละกลมุ่ มคี วามคล้ายคลงึ กนั ตวั อย่าง เช่น แตล่ ะหมู่บ้านของ
ชนเผ่าหนึ่งจะมีลักษณะคล้ายกัน หมู่บ้านจึงจัดว่าเป็นลุ่ม ผู้วิจัยจะเลือกสุ่มมาเพียงบางกลุ่ม (บาง
หม่บู า้ น) แลว้ สมุ่ สมาชิกในกลุม่ อกี ทีหนง่ึ หรืออาจศึกษาจากสมาชกิ ท้งั หมดในกลมุ่ ที่สมุ่ มาได้ก็ได้
5. การสุ่มแบบหลายข้นั ตอน (Multi – stage sampling) เป็นการส่มุ ต้งั แต่ 3 ข้ันข้นึ ไป เช่น
สุ่มจงั หวัดมา 4 จงั หวัดจาก 7 จงั หวัด สมุ่ โรงเรียนจากจังหวัดทสี่ ุ่มได้มา 25% ของโรงเรียนในจังหวัด
น้ัน สุม่ หอ้ งเรยี นของโรงเรยี นทสี่ ุ่มมา 50% เปน็ ตน้
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 166-171) ได้กล่าวถึงวิธีการสุ่มตัวอย่างซึ่งจะประกอบด้วยการสุ่ม
ตัวอยา่ งแบบอาศยั ความนา่ จะเป็นและแบบไมอ่ าศัยความน่าจะเป็น โดยมีรายละเอียดดังน้ี
1. การส่มุ ตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเปน็
การสุม่ ตัวอย่างโดยอาศยั ความน่าจะเปน็ แบ่งออกเป็น 5 วธิ ี คอื
1.1 Simple random sampling เป็นการสุ่มตัวอย่างเมื่อประชากรมีลักษณะใกล้เคียงกัน
การได้หน่วยใดมาเป็นตัวอย่างก็ไมแ่ ตกต่างกัน วิธีที่นิยมใช้กัน คือ การจับสลาก เช่น การสุ่มตัวอย่าง
นักศึกษามาเป็นตัวแทนในพิธีไหว้ครู นักศึกษาทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้เป็นตัวแทนเหมือนกันการสุ่ม
ตัวอย่างจงึ ใช้วธิ ีการจบั สลาก
1.2 Systematic random sampling เป็นการสุ่มตวั อย่างเมื่อประชากรมีลักษณะใกล้เคียง
กัน และทุกหนว่ ยควรมโี อกาสเปน็ ตัวแทนเทา่ ๆ กัน แต่ลกั ษณะของประชากรมีการจัดเรยี งตามลำดับ
หมายเลขไวแ้ ล้ว การสุ่มจงึ สามารถทำอย่างเป็นระบบ โดยการนาจำนวนประชากรหารดว้ ยจำนวนตัว
อย่างที่ต้องการ เช่น นักศึกษา 2,000 คน ต้องการตัวอย่างเพียง 100 คน เท่ากับ 2,000/100 = 20
หมายความว่า ให้นับหมายเลขประจาตัวของนักศึกษา 20 หมายเลข ทุกลำดับท่ี 21 จะตกเป็น
ตวั อยา่ ง ทำเช่นนี้ต่อไปเร่ือย ๆ จนครบ 100 คน
1.3 Stratified random sampling เป็นการสุ่มตัวอย่างเมื่อผู้วิจัยพบว่าประชากรมีความ
แตกตา่ งอย่างชดั เจน กลมุ่ ตวั อย่างทเี่ ป็นตวั แทนที่ดขี องประชากรจงึ ตอ้ งประกอบดว้ ยสมาชิกของกลุ่ม
ย่อยเหล่านั้นทุกกลุ่ม ผู้วิจัยจะเริ่มด้วยการแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มตามความแตกต่างจากนั้นสุ่ม
ตวั อยา่ งในแต่ละกลมุ่ ยอ่ ยของประชากร ตามสดั ส่วนของประชากรในแตล่ ะกลุม่
1.4 Cluster random sampling ในบางประชากรจะพบลักษณะการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน
ทำให้การศึกษาตัวแปรต้องศึกษาจากสมาชิกในกลุ่มย่อย ๆ เหล่านั้นทั้งหมด เช่น การศึกษาผลของ
วิธีการสอนคณติ ศาสตร์ จะต้องเป็นวธิ ีการสอนทเี่ หมาะสมกบั นักเรยี นทั้งห้อง ตอ้ งไมใ่ ช่วิธที ไี่ ด้ผลดีกับ
นักเรียนคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ทำให้การสุ่มตัวอย่างต้องสุ่มทีละห้อง อีกตัวอย่างหนึ่งคือการศึกษา
รูปแบบการพัฒนาชนบท ซึ่งจะต้องการให้เป็นรูปแบบที่ใช้ได้ผลกับคนทั้งหมู่บ้านที่มีฐานะทางสังคม
160
แตกตา่ งกนั การเก็บขอ้ มูลจำเปน็ ต้องเกบ็ จากทกุ คนในหมูบ่ า้ นทำใหต้ อ้ งมีสมุ่ ตวั อย่างทลี ะหมู่บา้ น
1.5 Multi-stage sampling ในหลายกรณีพบว่าประชากรมีคุณลักษณะที่ซับซ้อน ทำให้
ต้องมีการสุ่มตัวอย่างมากกว่า 1 ครั้ง โดยจะใช้วิธีการสุ่มท่ีเหมือนกันหรือไม่เหมือนกันในแต่ละ
ขั้นตอนก็ได้ เช่น การสุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ต้องเริ่มสุ่มจากภาคทางการศึกษา
ขนาดโรงเรียน การอยู่ในหรือนอกชุมชน จำนวนห้อง ไปจนถึงการสุ่มนักเรียนในห้องเรียนการสุ่ม
ตัวอย่างที่ใช้ความน่าจะเป็นที่มีขนาดกลุ่มตัวอย่างเหมาะสม ทำให้ผู้วิจัยสามารถใช้สถิติอนุมานสรุป
อ้างอิงผลงานวจิ ยั จากกลุ่มตวั อย่างกลบั ไปยงั กลมุ่ ประชากรทีศ่ ึกษาได้ แตใ่ นบางกรณผี วู้ จิ ยั ไม่สามารถ
ใช้วิธีดังกล่าวข้างต้นได้ เพราะมีข้อจำกัดต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องจึงต้องหันมาใช้การเลือกตัวอย่างอีก
แบบหนึ่งที่ไม่ใช้ความน่าจะเป็น เรียกว่า Non-probability sampling ซึ่งในตาราบางเล่มจะใช้คำวา่
“selection” แทนคาว่า “sampling”
2. การสุ่มตวั อยา่ งแบบไมอ่ าศัยความน่าจะเป็น
วิธกี ารสมุ่ ตวั อยา่ งแบบไม่อาศยั ความน่าจะเปน็ มี 3 วธิ ี คือ
2.1 Purposive selection เป็นการเลือกตัวอย่างที่เจาะจงเพื่อให้เหมาะสมกับปัญหาการ
วิจัยนัน้ ๆ เช่น การศึกษาภาวการณด์ ารงชีพของผู้ป่วยโรคเอดส์ในระยะสุดท้าย การศึกษาจะเจาะจง
กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ป่วยโรคเอดส์ในระยะสุดท้าย ซึ่งจะพบผู้ป่วยเหล่านี้ในสถานพยาบาลบางแห่ง
เทา่ นน้ั
2.2 Accidental selection เปน็ การเลือกตวั อย่างในลักษณะการบงั เอิญพบ เช่นการศกึ ษา
เจตคตขิ องนักท่องเที่ยงต่อสภาพเมืองพัทยา จำนวนประชากรท่เี ป็นนักท่องเทีย่ งมีความไม่แน่นอนใน
แต่ละช่วงเวลา และผู้วิจัย ไม่สามารถสุ่มแบบใช้ความน่าจะเป็นได้เพราะการนัดหมายตัวอย่างทาได้
ค่อนข้างยาก ดังนั้น กลุ่มคนที่จะตอบแบบสอบถามจะเป็นนักท่องเที่ยงที่ผู้วิจัยพบทั่วไปไม่
เฉพาะเจาะจงผูใ้ ด หรอื ท่ีเรียกกนั ว่าพบโดยบังเอญิ นั่นเอง
2.3 Quota selection เป็นการกำหนดสัดส่วนของกลุ่มตัวอย่างที่มีความแตกต่างกันไว้
ล่วงหน้า เช่น การศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์ระหว่างนักศึกษาชายและ
นักศึกษาหญิงจะต้องกำหนดให้กลุ่มตัวอย่างมีสัดส่วนระหว่างเพศชายต่อเพศหญิงเท่ากับ 1:1 เพ่ือ
ป้องกนั ความคลาดเคลอื่ นทีเ่ กิดจากขนาดของกลุม่ ตัวอยา่ ง
วิธีการในชุดนี้มักจะใช้ได้สะดวกและใช้เมื่อมีเวลาจำกัดในการศึกษาหรือต้องการศึกษา
เฉพาะกลุ่มที่มีลักษณะเป็นการศึกษาเฉพาะกรณี (case study) การสรุปผลจะทำได้เฉพาะกลุ่มท่ี
ทำการศึกษาหรือสรปุ ในกลมุ่ ประชากรท่ีอยภู่ ายใต้สภาพการณท์ ม่ี ีเงื่อนไขเชน่ เดียวกันเท่านั้น
จากวธิ กี ารสุม่ ตัวอย่างท่กี ล่าวมาสรุปไดว้ า่ การสมุ่ ตวั อยา่ งจำแนกเปน็ 2 วิธใี หญ่ ๆ คือ การสุ่ม
ตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น ประกอบด้วยวิธีการสุ่มแบบ 1) Simple random sampling 2)
Systematic random sampling 3) Stratified random sampling 4) Cluster random sampling
161
5) Multi-stagesampling ส่วนการสุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น ประกอบด้วยการเลือก
แบบ 1) Purposive selection 2) Accidental selection 3) Quota
selection
9.5 สรปุ
ประชากร หมายถงึ ทุก ๆ หน่วยของกลมุ่ ทน่ี ักวิจัยสนใจจะทำการศึกษาไมว่ า่ จะเป็นสิ่งมีชีวิต
หรือไม่มีชีวิต ซึ่งหน่วยต่าง ๆ เหล่านั้นนักวิจัยจะทำการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำผลที่ได้ไปค้นหา
คำตอบ และกลมุ่ ตวั อยา่ ง หมายถึง กลมุ่ ยอ่ ยของประชากรทน่ี ักวจิ ยั สนใจจะทำการศึกษา ซึง่ กล่มุ ย่อย
นี้จะเป็นตัวแทนที่ดีของประชากรโดยจะทำการคัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมกับสภาพ
ลกั ษณะของประชากร
การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างสามารถดำเนินการได้ 2 วิธี คือกำหนดจากสูตร และกำหนด
จากตารางสำเร็จรูปซึ่งนิยม 2 ตารางได้แก่ ตาราง Yamane และตาราง krejcie and Morgan ส่วน
การสุ่มตัวอย่างจำแนกเป็น 2 วิธี คือ การสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น และการสุ่มตัวอย่าง
แบบไมอ่ าศยั ความน่าจะเปน็ ทั้งนนี้ ักวจิ ยั จะเลอื กวิธีการสมุ่ ตัวอยา่ งแบบไหนให้ คำนึงถงึ ลกั ษณะของ
ประชากรทีท่ ำการศกึ ษา
9.6 คำถามทบทวน
1. จงอธิบายความหมายของประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
2. จงพิจารณาจำนวนประชากรทก่ี ำหนดใหแ้ ลว้ คำนวณหาขนาดกลมุ่ ตัวอย่างดว้ ยสตู รทาโรยามาเน่
จำนวนประชากร จำนวนกลมุ่ ตวั อยา่ ง
1. ถ้ามนี กั เรียน จำนวน 1,500 คน
2. ถา้ มปี ระชาชนในหมู่บา้ น จำนวน 2,895 ครวั เรอื น
3. ถ้ามนี ักศึกษา จำนวน 34,200 คน
3. ถ้าประชากรมีขนาดใหญ่ควรเลอื กขนาดกล่มุ ตวั อย่างจากตำรางใด เพราะเหตุใด
4. จงอธิบายความแตกต่างระหวา่ งการสุ่มแบบอาศัยความน่าจะเป็นและแบบไม่อาศยั ความนา่ จะเป็น
5. การสุ่มตัวอยา่ งแบบ Stratified random sampling เหมาะกับประชากรที่มีลักษณะใดเพราะเหตุ
ใด
162
9.7 เอกสารอา้ งอิง
กลั ยา วานิชย์บัญชา. (2555). สถิตสิ ำหรับงานวจิ ัย. พิมพ์ครั้งท่ี 6. กรุงเทพมหานคร: บริษทั ธรรม
สาร จำกัด.
บุญชม ศรีสะอาด. (2556). การวิจยั เบื้องต้น: ฉบับปรับปรุงใหม่. พิมพ์คร้งั ที่ 9. กรงุ เทพมหานคร:
สุวรี ยิ าสาส์น.
พรรณี ลกี จิ วฒั นะ. (2559). วิธกี ารวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครงั้ ที่ 11. กรงุ เทพมหานคร: มีน
เซอรว์ ิส ซัพพลาย.
ไพศาล วรคา. (2559). การวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งท่ี 8. กรุงเทพมหานคร: ตักศลิ าการพมิ พ.์
รัตนะ บวั สนธ์. (2556). ปรชั ญาการวิจยั . พมิ พค์ ร้ังท่ี 3. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณ์
มหาวิทยาลยั .
สุวิมล ติรกานนั ท์. (2551). ระเบียบวธิ กี ารวิจัยทางสงั คมศาสตร:์ แนวทางส่กู ารปฏบิ ัติ.
พมิ พ์ครง้ั ที่ 7. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Krejcie R.V.& Morgan D.W. 1970. “Determining Sample Size for Research Activities”.
Educational and Psychological Measurement. Vol 30, No.3 Autumn, 607-610.
Yamane, T. 1960. Statistics: An Introductory Analysis. Singapore: Harper International
Edition.
บทที่ 10
สถติ เิ พอื่ การวิจยั และการวเิ คราะห์ขอ้ มลู
สถิติเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีหลายขั้นตอนเริ่มตั้งแต่การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง
การตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือวิจัย ตลอดจนการวเิ คราะห์ ขอ้ มูลทไ่ี ด้จากการเก็บรวบรวมข้อมูล ซ่ึง
ขั้นตอนนี้ถอื เป็นข้ันตอนสำคญั ท่นี ักวิจยั จะเลือกใช้สถติ ิมาทำการวิเคราะหข์ ้อมูลตามวัตถุประสงค์การ
วิจัยหรือการทดสอบสมมุติฐานที่ตั้งไว้ สถิติจำแนกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือสถิติพรรณนาหรือสถิติ
บรรยาย และสถิติอนุมานที่ใช้ในการอ้างอิงข้อมูลกลับไปยังประชากร ดังนั้นนักวิจัยจึงควรเลือกใช้
สถติ ิให้ถูกตอ้ งเพ่ือนำไปสู่การวเิ คราะห์ขอ้ มลู และการแปลผลทีถ่ ูกตอ้ งตามความเป็นจรงิ
10.1 ความหมายของสถิติ
มีผูใ้ หค้ วามหมายของสถิติไว้ดังนี้
สุวมิ ล ติรกานันท์ (2551: 183) ได้กล่าวว่าสถติ เิ ป็นศาสตร์ที่ถูกนำเขา้ มาช่วยในขั้นตอนของ
การตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือไปจนถงึ การอา้ งอิง โดยการนำขอ้ มลู (data) ท่ีเก็บรวบรวมมาจัด
กระทำให้เป็นระบบหรือเป็นหมวดหมู่ เกิดเป็นสารสนเทศ (information) ที่สามารถนำไปใช้
ประโยชน์ หรือเปน็ การจดั เปน็ หมวดหมู่ก่อนนำไปทดสอบเพอื่ สรปุ อา้ งอิงไปยังประชากรตอ่ ไป
กลั ยา วานชิ ยบ์ ัญชา (2555: 1) ได้ว่าสถิตเิ ป็นศาสตร์ท่ีประกอบด้วยการเกบ็ รวบรวมข้อมูล
การวเิ คราะห์ข้อมลู การสรปุ ข้อมูล และการนำเสนอผลการสรปุ หรอื การวเิ คราะหเ์ พื่อจะนำผลสรุปไป
ใชใ้ นการตดั สนิ ใจด้านต่าง ๆ
เมอื่ ศกึ ษาถึงศาสตร์ทางสถิตจิ ะพบว่าเปน็ ศาสตร์ทค่ี รบวงจรด้านการวิจยั โดยเร่ิมจากการ
ทผ่ี วู้ จิ ัยจะต้องเขียนหรือระบุวตั ถปุ ระสงค์ของงานวิจยั ใหช้ ดั เจน ขอบเขตการศึกษา การกำหนดขนาด
ตัวอยา่ ง การเลือกแผนการเก็บรวบรวมขอ้ มลู การวเิ คราะห์ ข้อมูล การสรปุ ผลการวิเคราะห์เพ่ือตอบ
วตั ถุประสงค์ของงานวจิ ยั
หรือคาวา่ “สถติ ิ” อีกความหมายคือ คา่ ตวั เลขทแ่ี สดงลกั ษณะทส่ี ำคญั ของข้อมลู ชุดหนงึ่
ๆ เช่น รายได้เฉล่ยี ของคนไทย คะแนนความพึงพอใจเฉลีย่ ของลูกค้า รอ้ ยละของประชาชนคนไทย ท่ี
เห็นดว้ ยกบั นโยบายของรัฐบาล พนื้ ท่ีทั้งหมดทปี่ ลูกข้าว เป็นตน้
พรรณี ลีกิจวัฒนะ (2558: 220) ได้กล่าวถึงความหมายของสถิติว่ามีความหมายใน 2
ประการ คอื จำนวนหรือคา่ และศาสตร์หรือวชิ า
1. จำนวนหรอื คา่ ทไี่ ดจ้ ากการเกบ็ รวบรวมข้อมูล แสดงถงึ ขอ้ เทจ็ จริงของส่ิงต่าง ๆ
อย่างมีความหมาย ดังนั้น สถิติในความหมายนีจ้ ึงเรียกว่า ข้อมูลสถิติ (statistical data) หรือค่าสถิติ
(statistic)
2. ศาสตรห์ รือวิชา ทว่ี ่าด้วยระเบียบวธิ ที างสถติ ิ ซึ่งประกอบด้วย ขั้นตอนใหญ่ ๆ 4
164
ขนั้ ตอน คอื
2.1 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
2.2 การนำเสนอข้อมูล
2.3 การวเิ คราะห์ข้อมูล
2.4 การแปลความหมายข้อมูล
จากความหมายของสถติ ิท่กี ลา่ วมาขา้ งตน้ สามารถสรปุ ได้วา่ สถติ ิ หมายถงึ ศาสตร์ท่ีเกยี่ วขอ้ ง
กับการนำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเพื่อนำไปสู่ การแปลผลและสรุปผลการวิจัยที่ ตอบ
วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ัย
10.2 ความสำคญั ของสถติ ใิ นการวจิ ยั
1. สถิตทิ ่ีใชใ้ นการวิจัย
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 183-185) ได้กล่าวถึงสถิติที่ใช้ในการวิจัยว่าในการเก็บรวบรวม
ข้อมูลการวิจัย สิ่งแรกที่นักวิจัยจะต้องกำหนด คือ ประชากรที่ต้องการศึกษา จากนั้นนักวิจัยต้อง
พิจารณาต่อไปว่าสามารถรวบรวมข้อมูลจากประชากรทั้งหมดหรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็จะต้องทำการศึกษา
เพียงบางส่วนของประชากรเท่าน้ัน การที่ประชากร (population) ที่ผู้วิจัยสนใจมขี นาดใหญ่ไม่ว่าจะ
เป็นจำนวนที่มากหรือมีการกระจายทางภูมิศาสตร์มาก จนทำให้ผู้วจิ ัยไม่สามารถศึกษาทุกหน่วยของ
ประชากรได้ และเปน็ เหตใุ ห้มกี ารเลือกกลุ่มตัวแทนของประชากรมาใช้ในการศึกษา ซ่งึ เราจะเรียกกัน
ทว่ั ไปวา่ กลมุ่ ตวั อยา่ ง (sample) ค่าตา่ ง ๆ ทคี่ ำนวณไดจ้ ึงมีชื่อเรียกตามกลุ่มตัวอย่างและประชากรท่ี
ใช้ในการศกึ ษาแบง่ เป็น 2 ชนิด คือ
1) พารามเิ ตอร์ (parameter) คอื ค่าตา่ ง ๆ ของลักษณะท่รี วบรวมหรอื คำนวณจากประชากร
ใช้อกั ษรกรีกเป็นสญั ลกั ษณ์ ไดแ้ ก่
μ แทนคา่ มชั ฌมิ เลขคณติ
2แทนคา่ ความแปรปรวน
ρ แทนค่า สมั ประสิทธส์ิ หสัมพนั ธ์
2) ค่าสถติ ิ (statistic) คอื คา่ ตา่ ง ๆ ของลักษณะท่ีรวบรวมหรือคำนวณจากกลมุ่ ตวั อย่าง ใช้
ตัวอกั ษรภาษาอังกฤษเป็นสัญลักษณ์ ไดแ้ ก่
X̅ แทนคา่ มชั ฌิมเลขคณติ
S2 แทนค่า ความแปรปรวน
แทนคา่ สมั ประสิทธ์ิสหสัมพันธ์
165
sampling techniques sample
population statistic
descriptive statistics
inferential statistics
parameter
-estimation
-testing hypothesis
ภาพที่ 9.1 ความสมั พนั ธ์ระหว่างประชากร กลมุ่ ตวั อย่าง และการใชส้ ถิติ
ทมี่ า : สุวมิ ล ตริ กานนั ท์ (2551)
จากแผนภมู ิ จะเหน็ ไดว้ า่ สถิติที่ใช้ในการวิจัยประกอบดว้ ย
1. เทคนิคการสุ่มตัวอย่าง (sampling techniques) เป็นเทคนิคทางสถิติที่ใช้เลือกกลุ่ม
ตัวอย่างเพื่อให้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของประชากรที่ศึกษา ในกรณีที่ไม่สามารถศึกษาทั้ง
ประชากรได้
2. สถิตบิ รรยาย (descriptive statistics) เป็นสถติ ิทใี่ ชใ้ นการบรรยายหรืออธิบายลกั ษณะต่าง
ๆ ของกล่มุ ตวั อย่าง หรอื ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาเท่านั้น ไม่สนใจทจี่ ะสรุปอ้างองิ ไปยังประชากรอ่ืน
วิธกี ารทางสถติ ปิ ระเภทนี้ทใ่ี ช้ ไดแ้ ก่ การแจกแจงความถ่ี การจดั ตำแหนง่ เปรียบเทยี บการวัดแนวโน้ม
เขา้ สสู่ ่วนกลางการวดั การกระจาย การวดั ความสัมพันธ์
การใช้สถติ บิ รรยาย จะใชใ้ น 2 ส่วน คือ
1) ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ โดยขึ้นกับชนิดของเครื่องมือที่ใช้ถ้าเป็น
แบบสอบถาม (questionnaire) ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป จะมีการประมาณค่าความเที่ยงและความตรงด้วย
สัมประสิทธิ์ความเที่ยงและสัมประสิทธิ์ความตรงชนิดต่าง ๆ แต่ถ้าเป็นแบบทดสอบ (test) จะต้องมี
การวเิ คราะห์คุณภาพอยา่ งอ่ืนนอกเหนือไปจากการประมาณค่าความเทยี่ งและค่าความตรง ได้แก่ ค่า
ความยาก อำนาจจำแนก การทำงานของตัวลวง เปน็ ต้น
2) ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลและแปลความหมาย ซึ่งเป็นขั้นตอนหลังจากที่ผู้วิจัยได้เก็บ
รวบรวมขอ้ มูลมาแล้ว มกี ารรวบรวมหมวดหมู่ จัดกระทำให้เกิดสารสนเทศ
3. สถิติอนุมาน (inferential statistics) เปน็ สถติ ิที่ใช้ในการสรุปอ้างอิงค่าสถิตติ ่าง ๆที่เกิดข้ึน
ในกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาไปยังกลุ่มประชากรของกลุ่มตัวอย่างนั้น ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการสุ่มตัวอย่างท่ี
166
ถูกต้องและมีขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม โดยเป็นการอนุมานหรือสรุปอ้างอิงจากค่าสถิติ
(statistic) ของกลุ่มตัวอย่างไปยังค่าพารามิเตอร์ (parameter) ของประชากรสถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูลจึงประกอบด้วย สถิติบรรยาย ( descriptive statistics) และสถิติอนุมาน
(inferential statistics)
2. ขัน้ ตอนการนาสถติ ไิ ปใชใ้ นงานวิจยั
กลั ยา วานชิ ย์บัญชา (2555: 5-7) ได้กลา่ วถึงขัน้ ตอนการนาสถิติไปใชใ้ นงานวิจัยว่าจะ
ประกอบดว้ ยข้นั ตอนดงั น้ี
ขนั้ ท่ี 1 การออกแบบงานวิจยั
สถิติเข้ามาเกี่ยวข้องกับงานวิจัยตั้งแต่การออกแบบงานวิจัย โดยเริ่มตั้งแต่การกำหนด
ประชากรเป้าหมาย การเลือกตัวอย่าง ขนาดตัวอย่าง กรณีที่ทาการวิจัยโดยการใช้ตัวอย่างแทนกลุ่ม
ประชากร มีรายละเอยี ดดังน้ี
1. การกำหนดประชากรเปา้ หมาย (Target Population)
ผู้วิจัย จะต้องกำหนดว่าคนใดบ้าง หรือหน่วยงานใดบ้างที่เป็นประชากรเป้าหมายที่จะ
ตอบวตั ถุประสงคข์ องงานวจิ ยั หรือเกี่ยวข้องกับงานวิจัย
2. การกำหนดเทคนคิ การเลือกตัวอย่าง
หลงั จากที่ผ้วู ิจยั กำหนดประชากรเปา้ หมายแลว้ จะต้องกำหนดวธิ กี ารเลือกตัวอย่างจาก
ประชากรเปา้ หมาย ซงึ่ เทคนิคการเลอื กตวั อย่างมหี ลายวิธี
ขั้นท่ี 2 การสร้างเคร่อื งมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล
เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล อาจจะเป็นแบบสอบถาม เครื่องชั่งน้ำหนักเครื่องวัด
ความดัน แบบทดสอบ ฯลฯ ในทน่ี จี้ ะเน้นถงึ การใช้แบบสอบถามเปน็ เครื่องมอื ในการเก็บข้อมลู ก่อนที่
จะทำการสร้างคำถามในแบบสอบถาม ผู้วิจัยควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของงานวิจัย และเทคนิคทาง
สถิติเพื่อตอบวัตถุประสงค์ของงานวิจัย ซึ่งจะเป็นสิ่งที่กำหนดลักษณะของข้อมูลและจะเน้นการ
กำหนดลักษณะคำถาม
ขัน้ ที่ 3 การตรวจสอบความเชื่อถอื ได้ของข้อมูลทีเ่ ก็บรวบรวม
การประเมินหรือการตรวจสอบเครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่กล่าวในขั้น ที่ 2
นั้น จะทำได้ 2 รู ปแบบ คือ การวัดความตรง (Validity) และการวัดความเชื่อถือได้ (Reliability) ไม่
ว่าเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นจะเป็นเครื่องมือแบบใดก็ตาม เช่นเครื่องวัดความสูง
เคร่อื งช่ังน้ำหนกั คำถามตา่ ง ๆ ในแบบสอบถาม หรอื ขอ้ สอบ ฯลฯ
สำหรับในหนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงความเชื่อถือได้เท่านั้น เพราะจะต้องใช้สถิติในการ
ตรวจสอบความเชื่อถือได้ นั่นคือ รายละเอียดอื่น ๆ เช่น การวัดความตรง ศึกษาได้จากหนังสือ
“ระเบยี บวิธวี จิ ยั ” ของผเู้ ขยี น สถติ ทิ ่ีใชต้ รวจสอบความเชื่อถือได้
167
ขนั้ ท่ี 4 การสรปุ ลักษณะที่สำคัญของงานวิจัย
1. กรณีทขี่ ้อมูลท่ีเกบ็ รวบรวมเปน็ ข้อมูลของประชากร
กรณีนี้ผู้วิจัยสามารถสรุปว่า กลุ่มประชากรประกอบด้วยใครบ้าง (ข้อมูล ส่วนบุคคล
เช่น เพศ ระดบั การศกึ ษา อายุ อาชพี ฯลฯ) มที ัศนคติอยา่ งไรถ้าเป็นการศึกษาวจิ ัยทัศนคติ เป็นตน้
2. กรณีท่ีข้อมลู ทเ่ี ก็บรวบรวมเป็นของกลมุ่ ตัวอยา่ ง
ผู้วจิ ยั จะสามารถสรุปว่ากลุ่มตวั อย่างนั้นมลี ักษณะอย่างใด (ข้อมูล ส่วนบุคคล) และสรุป
ในเนอื้ หางานวิจัย เช่น ศึกษาพฤตกิ รรมท่ีจะต้องอธิบายพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่างทั้งในข้อ 4.1 และ
4.2 จะใช้สถิตเิ ชิงพรรณนา (Descriptive Statistics)
ขน้ั ที่ 5 การสรปุ ลักษณะประชากร
กรณีทผี่ ู้วิจัยใชข้ ้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเม่ือต้องการสรุปลักษณะท่ีสำคญั ของประชากรจะใช้
การทดสอบสมมุตฐิ านทางสถิติ
ขัน้ ท่ี 6 การหาสาเหตุหรอื ปัจจัย
1. สถิติเชงิ พรรณนา (Descriptive Statistics)
เปน็ สถิติที่ใชใ้ นการสรปุ ลักษณะทส่ี ำคญั ของกลุ่มประชากรหรือ กลุ่มตัวอย่าง ซงึ่
ประกอบด้วยความถี่ ร้อยละ ค่ากลาง (ค่าเฉล่ีย ค่ามัธยฐาน ค่าฐานนยิ ม) ค่าการกระจาย
(ค่าแปรปรวน คา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน คา่ เปอรเ์ ซ็นต์ไทล์ ค่าควอไทล์ สัมประสิทธิค์ วามผนั แปร ฯลฯ)
กราฟตา่ ง ๆ เช่น กราฟวงกลม กราฟแทง่ ฮิสโตแกรม บลอ็ กพลอ็ ต (boxplot) ฯลฯ
2. สถติ เิ ชิงอนุมาน (Inferential Statistics)
2.1 การสรุปลักษณะประชากร กรณีที่งานวิจัยใช้ข้อมูลจากตัวอย่างจะต้องใช้การ
ทดสอบสมมุติฐานทางสถิติ เพ่อื อา้ งอิงถึงลักษณะของประชากร เชน่
- การทดสอบเก่ียวกบั ค่าสดั สว่ นประชากร
- การทดสอบเก่ียวกับคา่ เฉลย่ี ประชากร
2.2 การหาค่าสัมพนั ธ์
เปน็ การหาสาเหตุ หรอื ในงานวจิ ัยมกั ใช้คาว่า “กรณศี ึกษาปจั จัยทีส่ ง่ ผลตอ่ ....”
สถิติที่ใช้หาความสมั พันธ์มีหลายวิธี ซึ่งหลักการเลือกว่าควรใช้เทคนิคใดหรือสถิตใิ ด จะ
พจิ ารณาจากวัตถปุ ระสงคข์ องงานวิจัย และชนิดหรือสเกลของข้อมูล ซ่ึงเทคนิคประกอบดว้ ย
1. Z-test และ t-test (Independent t-test, Paired t-test)
2. การวิเคราะห์ความแปรปรวน (Analysis of Variance: ANOVA)
3. การวิเคราะห์ไคสแควร์ (Chi-Square Test)
4. การวเิ คราะห์ ความถดถอยและสหสัมพนั ธ์ (Regression and Correlation)
5. การวเิ คราะห์จำแนกกลุ่ม (Discriminant Analysis)
168
6. การวิเคราะห์สถิติทไี่ ม่ใช้พารามเิ ตอร์ (Nonparametric Test)
7. การวเิ คราะห์ปัจจยั (Factor Analysis)
8. การแบง่ กล่มุ (Cluster Analysis)
9. การวเิ คราะห์ความถดถอยโลจิสตคิ (Logistic Regression Analysis)
10. การวเิ คราะห์ความแปรปรวนเมือ่ มีตัวแปรตามหลายตัว (Multivariate ANOVA)
10.3 ประเภทของสถิติ
จำแนกได้ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ สถติ ิบรรยาย และสถิติอนมุ าน ซงึ มรี ายละเอยี ดดังน้ี
1. สถติ ิบรรยาย
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 193-203) ได้กล่าวถึงสถิติบรรยาย (Descriptive Statistics) ว่า
เมื่อผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลของตัวแปรที่ต้องการศึกษามา งานขั้นต่อไป คือ การนำเสนอข้อมูล
ลักษณะการนำเสนอข้อมูลจะให้ความสนใจข้อมูลทั้งชุดของตัวแปรแต่ละตัวที่เก็บรวบรวมมา โดยใช้
สถิติที่จะช่วยให้เห็นค่าที่เป็นค่ากลางของข้อมูลทั้งหมด หรือช่วยบรรยายความหนาแน่นที่เกิดขึ้นใน
แต่ละระดับของข้อมูล สถิติที่ใช้ในการบรรยาย พรรณนา ตัวแปรหรือลักษณะต่าง ๆ ที่สนใจในการ
วจิ ัย เรียกกันว่า สถิตบิ รรยาย (descriptive statistics) ซง่ึ เป็นชดุ ของเทคนิคทางสถติ ทิ ป่ี ระกอบด้วย
1.1 การจัดหมวดหมู่ข้อมลู ดว้ ยการแจกแจงความถี่
1.2 การจัดตำแหน่งเปรยี บเทยี บ ได้แก่ อัตราสว่ น สัดส่วน ร้อยละ เปอร์เซน็ ไทล์ เดไซล์
ควอไทล์
1.3 การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง ไดแ้ ก่ ค่าเฉลย่ี มธั ยฐาน ฐานนยิ ม
1.4 การวัดการกระจาย ไดแ้ ก่ พสิ ัย ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ความแปรปรวน
1.5 การวดั ความสมั พันธ์ ได้แก่ สหสัมพนั ธแ์ บบเพยี ร์สัน สหสมั พันธแ์ บบสเปียร์แมน
1.1 การแจกแจงความถี่ (Frequency distribution)
การแจกแจงความถี่ เป็นการจัดกลุ่มของข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้ให้อยู่เป็นชุดเป็นพวก
เดยี วกันตามค่าของตวั แปร เปน็ การจัดหมวดหมู่เพือ่ ให้เกิดเป็นสารสนเทศในการใช้ประโยชน์หรือเพ่ือ
เตรียมขอ้ มลู ไวเ้ พื่อการวิเคราะห์ทางสถิติในขัน้ สงู ต่อไป
การแจกแจงความถี่มีวิธีการง่าย ๆ โดยการนับจำนวนซ้ำในแต่ละคา่ ของตวั แปรแล้ว
บนั ทกึ ไว้ จากนัน้ รวบรวมนำเสนอในรายงานการวิจัย
การนำเสนอการแจกแจงความถี่ในการวิจยั นิยมนำเสนอกันใน 3 แบบ คือ
1) แบบค่าบรรยาย (Text presentation)
เป็นวิธีการนำเสนอโดยการใช้คำบรรยายประกอบกบั ค่าของตัวเลข ใช้บรรยายค่าของ
ตัวแปรทลี ะตัวแบบงา่ ยๆ
169
2) แบบตารางแจกแจงความถี่ (Tabular presentation)
ตารางท่ีใชใ้ นการนำเสนอข้อมูล สามารถใชไ้ ด้กับขอ้ มลู ในทกุ มาตรและนยิ มแสดงผล
ของการแจกแจงเป็นร้อยละ ซ่ึงสามารถจำแนกชนิดของตารางตามจำนวนตัวแปรทใี่ ช้ ดังนี้
2.1) ตารางแจกแจงความถี่ทางเดียว เป็นการแจกแจงข้อมูลโดยใช้ตัวแปร 1 ตัว มา
ชว่ ยในการแจกแจง
2.2) ตารางแจกแจงความถี่สองทาง เป็นการแจกแจงข้อมูลโดยใช้ตัวแปร 2 ตัว มา
ชว่ ยในการแจกแจง ทำใหเ้ ห็นลกั ษณะความเกี่ยวข้องในเบื้องต้นของตวั แปรทัง้ สอง
2.3) ตารางแจกแจงความถี่สามทาง เป็นการแจกแจงข้อมูลโดยใช้ตัวแปร 3 ตัว มา
ช่วยในการแจกแจง
3) แบบแผนภมู ิ (Graphic or Chart presentation)
แผนภูมิ เป็นการนำเสนอข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว มีลักษณะแสดงถึงปริมาณใน
แต่ละระดับของตัวแปรหนึ่ง ๆ หรือระดับของตัวแปรหนึ่งในระดับต่าง ๆ ของอีกตัวแปรหนึ่ง นิยมใช้
แสดงปรมิ าณของตวั แปรใด ๆ ในช่วงเวลาตา่ ง ๆ เช่น จำนวนประชากรในแตล่ ะปี เป็นต้น แบง่ เปน็
3.1) แผนภูมิภาพ (pictograph) เป็นแผนภูมิที่ใช้รูปสิ่งต่าง ๆ หรือเป็นสัญลักษณ์
แสดงระดับหรอื ปรมิ าณของตัวแปร นิยมใช้มากกบั ขอ้ มลู เกี่ยวกับประชากร
3.2) แผนภูมแิ ท่ง (bar charts) เป็นแผนภูมิทใ่ี ช้รูปแท่งที่มคี วามกว้างแตล่ ะแท่งเท่า ๆ
กันเป็นสัญลักษณ์ แสดงระดับหรือปริมาณของตัวแปร ใช้กับข้อมูลที่มีค่าขาดตอนไม่ต่อเนื่อง
(discrete)
3.3) แผนภูมิเส้น (trend charts) เปน็ แผนภูมิทีใ่ ช้เส้นตอ่ เน่ืองแสดงระดับจากจุดหน่ึง
ไปยังอีกจุดหนึ่ง นิยมใช้กับการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการของสิ่งใดสิ่งหนึ่งในแต่ละช่วงของ
ระยะเวลาซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงของสิ่งเหล่านั้น อันเป็นสารสนเทศที่มี
ประโยชน์ตอ่ การวางนโยบาย นอกจากน้ยี งั ใชไ้ ด้ดใี นการเปรยี บเทียบพฒั นาการของตัวแปรตา่ ง ๆ
3.4) แผนภูมิกง (pie diagram) เป็นแผนภูมิที่ใช้พื้นที่ในวงกลมแสดงปริมาณของส่ิง
ต่าง ๆ ทำใหส้ ามารถมองเหน็ ภาพรวมของเหตุการณ์ทง้ั หมดและเหตุการณ์ย่อย ๆ ท่เี กิดขน้ึ
3.5) ฮิสโตแกรม (histogram) เป็นแผนภูมิเหมือนแผนภูมิแท่ง แต่ข้อมูลที่ใช้นี้จะ
ลกั ษณะเปน็ ข้อมลู ต่อเน่ือง (continuous)
1.2 การจดั ตำแหน่งเปรียบเทียบ
สถิติในชุดนี้เป็นการเปลี่ยนค่าของข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้ให้อยู่ในลักษณะที่สามารถ
เรียงลำดับหรือเปรียบเทียบกันได้อย่างชัดเจน และชัดเจนกว่าการใช้ข้อมูลดิบสถิติในชุดน้ี
ประกอบด้วย
170
1) อตั ราส่วน (ratio) หมายถงึ ความถข่ี องสงิ่ หนึ่ง (A) หารดว้ ยความถี่ของอีกสิ่งหนึง่ (B)
อตั ราส่วน = ความถ่ีของ A
ความถข่ี อง B
นยิ มใชแ้ สดงปรมิ าณท่ีแตกต่างของของ 2 สง่ิ เพ่อื การเปรยี บเทยี บ
2) สดั สว่ น (proportion) หมายถึง ความถ่ีของส่วนยอ่ ยหารด้วยความถ่ที ้ังหมด
สัดส่วน = ความถสี่ ่วนยอ่ ยของตวั แปร
ความถ่ที ั้งหมดของตัวแปร
นยิ มใช้แสดงเปรยี บเทียบปริมาณสว่ นยอ่ ยในส่วนท้ังหมด
3) ร้อยละ (percent) เปน็ การเปลยี่ นจำนวนเตม็ ทัง้ หมดให้มีคา่ เทา่ กับ 100 นยิ มใช้ในลกั ษณะ
3.1) ใชร้ ้อยละในการบรรยายสัดส่วนของตัวแปร
3.2) ใช้ร้อยละในการบรรยายปริมาณการเปลี่ยนแปลงสัมพัทธ์ เช่น การเปลี่ยนแปลงอัน
เน่อื งมาจากเวลา โดยปกติการบรรยายปรมิ าณการเปลีย่ นแปลงที่ใชก้ ัน มี 2 ประเภทคือ
ก. การเปลี่ยนแปลงสัมบูรณ์ (absolute change : AC) แสดงด้วยความแตกต่างระหว่างค่า
ในช่วงเวลาแรกและช่วงเวลาหลงั
AC = คา่ ในชว่ งเวลาหลัง – คา่ ในชว่ งเวลาแรก
ข. การเปลี่ยนแปลงสัมพันธ์ (relation change : RC) แสดงความแตกต่างระหว่างตัวเลขใน
2 ช่วงเวลา โดยเทียบกับคา่ ในช่วงเวลาแรก
RC = (ค่าในชว่ งหลงั คา่ ในชว่ งแรก) x 100
คา่ ในช่วงแรก
โดยทั่วไปจะพบการใช้ร้อยละบรรยายการเปลย่ี นแปลงแบบสัมพนั ธ์
4) เปอร์เซ็นไทล์ (percentile: PX) เป็นค่าที่แสดงให้ทราบว่าเมื่อจัดข้อมูลเป็น 100 ส่วน
ที่ตำแหน่ง PX ซึ่งมีคะแนน X นั้น มีข้อมูลที่ค่าน้อยกว่าคะแนนที่ตำแหน่งนั้นอยู่ร้อยละเท่าไรเช่น
ข้อมูลที่ตำแหน่งเปอร์เซ้นไทล์ที่ 30 (P30) เท่ากับ 247 (X) หมายความว่ามีข้อมูลที่มีค่าต่ำกว่า 347
อยรู่ อ้ ย ละ 30
171
ของคะแนน X เมอื่ PX = ตำแหนง่ เปอรเ์ ซน็ ไทล์ (percentile rank)
Ri = ลำดบั ของคะแนนท่ีตอ้ งการหาเปอรเ์ ซ็นไทลโ์ ดยเรียงจากคะแนนมากไปน้อย
n = จำนวนขอ้ มลู หรอื ความถ่ีทง้ั หมด
5) เดไซล์ (decile: Dx) เป็นค่าที่แสดงให้ทราบว่า เมื่อจัดข้อมูลเป็น 10 ส่วน ค่าคะแนน (X)
ที่ตำแหน่ง (Dx) นั้น มีข้อมูลที่มีค่าต่ำกว่าอยู่เท่าไร เช่น ข้อมูลท่ีตำแหน่งเดไซล์ที่ 4เท่ากับ 124
หมายความว่ามขี อ้ มลู ท่มี คี ่าต่ำกวา่ 124 อยู่ 4 ใน 10 ส่วน คำนวณจากสูตร
6) ควอไทล์ (quartile: Qx) เป็นคา่ ทแ่ี สดงใหท้ ราบวา่ เม่อื จดั ข้อมลู เป็น 4 สว่ น ค่าคะแนน (X)
ที่ตาแหน่ง (Qx) นั้น มีข้อมูลที่มีค่าต่ำกว่าอยู่เท่าไร เช่น ข้อมูลที่ตำแหน่งควอไทล์ที่ 3เท่ากับ 216
หมายความวา่ มขี อ้ มูลท่ีมคี ่าตำ่ กว่า 216 อยู่ 3 ใน 4 สว่ น คำนวณจากสูตร
7) คะแนนมาตรฐาน (standard score) เป็นการนาค่าคะแนนที่มีหน่วยการวัดต่างกันใน
มาตรอันตรภาคหรอื มาตรอันตราสว่ นมาจดั ให้มหี นว่ ยเดียวกันเพ่ือใชใ้ นการเปรียบเทยี บข้อมูลท่ีนามา
แปลงเป็นคะแนนมาตรฐานตอ้ งมีการแจกแจงแบบปกติ (normal distribution)
X= คา่ คะแนนทต่ี ้องการเปลี่ยนเป็นคะแนนมาตรฐาน
X̅= คา่ มชั ฌิมเลขคณิต
S = ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน
172
1.3 การวัดแนวโน้มเข้าสสู่ ่วนกลาง
เป็นการคำนวณค่าท่ีใชเ้ ป็นตัวแทนของข้อมลู ทั้งชดุ แบ่งเป็น
1) มัชฌิมเลขคณิต (arithmetic mean) นิยมเรียกกันท่ัวไปว่าคา่ เฉลี่ย ใช้กับข้อมูลมาตร
อันตรภาค มาตรอัตราส่วน และการแจกแจงของคะแนนมลี ักษณะสมมาตร (symmetry) สูตรที่ใช้ใน
การคำนวณ คือ
X̅ = ค่ามัชฌิมเลขคณิต
∑X = ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
N = จำนวนข้อมูลทัง้ หมด
2) มัธยฐาน (median) เป็นตำแหน่งของคะแนนที่มีคะแนนจำนวนครึ่งหนึ่งมีค่าสูงกว่าและ
จำนวนอีกครึ่งหนึ่งมีค่าต่ำกว่า มักใช้กับข้อมูลมาตรอันดับ และข้อมูลที่มีการแจกแจงเบ้มากคำนวณ
จากสูตรในกรณที ่ขี อ้ มลู มกี ารจัดกลุม่
เมอื่ Md = ค่ามธั ยฐาน
L = ขดี จำกดั ลา่ งท่ีแท้จรงิ ของคะแนนในชั้นทมี่ ีมธั ยฐาน
N = จำนวนขอ้ มูลท้ังหมด
i = ความกวา้ งของอตั รภาคชนั้
F = ความถีส่ ะสมของคะแนนในช้นั ก่อนที่มมี ธั ยฐาน
f = ความถี่ของคะแนนในชั้นท่มี ีมธั ยมฐาน
3) ฐานนิยม (model) เป็นคะแนนที่มีความถี่สูงสุดในข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมด นิยมใช้กับข้อมูลมาตร
อนั ดบั และมาตรนามบัญญัตคิ ำนวณ วธิ ีการหาคา่ ฐานนิยมทำโดยการแจกแจงความถ่ี ค่าของตัวแปรท่ี
มคี วามถส่ี ูงสดุ คอื คา่ ฐานนิยม หรอื สามารถประมาณค่าฐานนิยมไดจ้ ากสตู ร
Mo = 3 Md -2 X
เมอ่ื Mo = ฐานนยิ ม
Md = มธั ยฐาน
1.4 การวดั การกระจาย (Dispersion)
การวัดการกระจายเป็นการคำนวณค่าตัวเลขที่แสดงให้เห็นถึงการกระจายของข้อมูล
ชดุ หนึง่ ๆ นิยมใช้แสดงควบคูก่ บั ค่าทไี่ ด้จากการวดั แนวโน้มเข้าสู่สว่ นกลาง แบง่ เปน็
173
1) พิสัย (range) เป็นค่าความแตกต่างระหว่างคะแนนที่มีค่าสงู สุดกับคะแนนที่มีค่าต่ำสุด ใช้
บอกการกระจายอย่างคร่าว ๆ ไม่เหมาะที่จะใช้กับชุดของข้อมูลที่มีจำนวนน้อยและมีค่าของคะแนน
ห่างกนั มาก นิยมใชก้ บั ฐานนยิ ม (mode)
พิสัย = คะแนนที่มีคา่ สูงสดุ – คะแนนท่ีมคี ่าต่ำสุด
2) ส่วนเบียงเบนควอไทล์ (quartile deviation) เป็นค่าที่ได้จากการใช้ระยะห่าง
จากควอไทลท์ ี่ 1 ถงึ ควอไทล์ที่ 3 หารดว้ ย 2 นิยมใชค้ กู่ บั มธั ยฐาน (median) คำนวณจากสูตร
3) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) เป็นค่าที่แสดงถึงการกระจายของข้อมูล
แต่ละตวั ท่เี บยี่ งเบนไปจากคา่ มัชฌิมเลขคณิต นิยมใชแ้ สดงควบคกู่ ับคา่ มัชฌมิ เลขคณติ คำนวณได้จาก
สตู ร
4) ความแปรปรวน (variance) มีคา่ เท่ากบั กำลงั สองของส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
5) สัมประสิทธ์ขิ องการกระจาย (coefficient of variation : C.V) ใชใ้ นการเปรียบเทียบการ
กระจายของข้อมูล 2 ชุดทมี่ หี น่วยในการวัดต่างกัน หรือมีมัชฌิมเลขคณิตต่างกัน การเปรียบเทียบทำ
ไดโ้ ดยการแปลงค่าสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน จากสูตร
6) ความเบ้ (skewness) เป็นค่าแสดงถึงลักษณะของข้อมูลว่ามีลักษณะของการแจกแจง
ความถี่สมมาตรหรอื ไมส่ มมาตร
คำนวณจากสตู ร Sk =
ถา้ มีค่า เป็น – จะมกี ารแจกแจงแบบเบ้ซ้าย
ถา้ มคี ่า เปน็ + จะมีการแจกแจงแบบเขข้ วา
ถ้ามีคา่ เปน็ 0 จะมกี ารแจกแจงแบบสมมาตร
174
7) ความโด่ง (kurtosis) เป็นค่าที่แสดงลักษณะสมมาตร 3 แบบ คือ โด่งมาก (leptokurtic)
โดง่ ปานกลาง (mesokurtic) โดง่ น้อยหรือคอ่ นข้างแบน (platykurtic)
คำนวณจากสูตร Ku =
ถ้ามคี า่ เปน็ – จะมีการแจกแจงแบบ platykurtic
ถา้ มีค่า เปน็ + จะมีการแจกแจงแบบ leptokurtic
ถ้ามคี ่า เปน็ 0 จะมีการแจกแจงแบบ mesokurtic
2. สถติ อิ นุมาน
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 193-203) ได้กล่าวถึงสถิติอนุมาน (Inferential Statistics) ว่าเมื่อผู้
วิจัย เก็บรวบรวมข้อมูล จากกลุ่มตัวอย่างมาหาค่าสถิติต่าง ๆ เพื่อบรรยายลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง
แล้วงานในขั้นต่อไป คือ การสรุปอ้างอิงสถิติ (statistic) ไปยังค่าพามิเตอร์ (parameter)ของ
ประชากร โดยอาศัยเทคนิคทางสถิติท่ีเรยี กว่า สถิตอิ นุมาน (Inferential statistics)
การที่จะใช้สถิติอนุมานได้นั้น ข้อมูลที่ได้ต้องมาจากกลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง
(sampling) ท่ีถูกต้องและมีขนาดกล่มุ ตวั อยา่ งที่เหมาะสม
ลักษณะการใช้สถิติอนุมาน
การใชส้ ถิติอนมุ านแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. การประมาณค่า (estimation) เป็นการประมาณค่าพารามิเตอร์ด้วยค่าสถิติที่คำนวณได้
จากกลุ่มตวั อยา่ ง ภายใตร้ ะดบั ความเชือ่ มัน่ (level of confidence) ทก่ี ำหนดไว้
2. การทดสอบสมมุตฐิ าน (testing hypothesis) เปน็ การทดสอบค่าสถิตขิ องลักษณะต่าง ๆ
หรือค่าสถิติที่แสดงความสัมพันธ์ หรือต้องการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่มตัวอย่าง เพื่อ
การสรปุ อา้ งองิ กลับไปยงั ประชากรท่ที ำการศึกษาภายใตร้ ะดับนยั สำคัญ (level of
significance) ท่ีกำหนดไว้
สถติ ิท่ีใช้ทดสอบสมมตุ ฐิ านยงั แบ่งเป็น 2 ชนดิ คือ
2.1 สถิติพาราเมตริก (parametric statistics) ใช้ในการทดสอบนัยสำคัญทาง
สถิติเมื่อข้อมูลอยู่ในมาตรอันตรภาคหรือมาตรอัตราส่วน มีการกำหนดลักษณะการแจกแจงของ
ประชากร ความแปรปรวนของกลมุ่ ตัวอย่างที่ทำการศกึ ษา และความเปน็ อิสระตอ่ กันของข้อมูล ได้แก่
z-test, t-test, F-test, χ2 เปน็ ตน้
2.2 สถิตินอนพาราเมตริก (nonparametric statistics) ใช้ในการทดสอบ
นัยสำคัญทางสถิติ เมื่อข้อมูลในมาตรนามบัญญัติและมาตรอันดับ ไม่มีการกำหนดเกี่ยวกับลักษณะ
การแจกแจงของประชากร แต่ มีข้อกำหนดเกี่ยวกับความเป็น อิสระของข้อมูล ได้แก่ χ2test,
175
McNemar test, Sign test เป็นต้น
การวิจัยทางสังคมศาสตร์ มักพบการทดลองสมมุติฐานทางสถิติมากกว่าการ
ประมาณค่าพารามิเตอร์ในประชากร ก่อนที่จะกล่าวถึงการทดสอบสมมุติฐานทางสถิติ ผู้วิจัยควร
ทราบถงึ ความแตกตา่ งระหว่างสมมตุ ิฐานการวจิ ยั และสมมุติฐานทางสถติ ิเสียก่อน
ประสาท เนอื งเฉลมิ (2556: 220-221) ได้กลา่ วว่าสถติ ทิ ใี่ ช้ในการวิจยั แบ่งเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี
1. สถิติเชิงบรรยายหรือสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) เป็นสถิติที่บรรยาย
คุณลักษณะของสิ่งที่ต้องการศึกษาจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มเล็กหรือกลุ่ม
ใหญ่ก็ได้แล้วแต่ลักษณะและบริบทของสิ่งที่ต้องการศึกษา ผลที่ได้จากการศึกษาไม่สามารถนำไป
อา้ งอิงยงั ประชากรได้ สถติ ทิ ่ใี ชใ้ นการบรรยายคณุ ลักษณะของข้อมลู ไดแ้ ก่ ความถี่ (Frequency)ร้อย
ละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) มัธยฐาน (Median) พิสัย (Range) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(Standard deviation)
2. สถิติเชิงอ้างอิงหรือสถิติอนุมาน (Inferential statistics) เป็นสถิติที่ศึกษาข้อมูลจากกลุ่ม
ตัวอย่าง แล้วนำผลการวจิ ัยท่ีได้สรุปไปยังประชากร สรุปอ้างอิงไปยังลักษณะประชากรหรือค่าสถิติที่
ได้จากกลุ่มตวั อยา่ งสรุปไปยงั ค่าพารามิเตอรข์ องประชากร การได้มาซ่ึงกลุ่มตัวอย่างมีความสำคัญย่ิงท่ี
ใช้เป็นตัวแทนของประชากร โดยสถิติที่อ้างอิงจะเกี่ยวกับการประมาณค่า (Estimation) และการ
ทดสอบสมมตุ ฐิ าน (Hypothesis testing)
10.4 การเลือกใชส้ ถติ ิในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 185-191) ได้กล่าวถึงการเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล
จะต้องพิจารณาจากสงิ่ ตอ่ ไปน้ี
1. จุดมงุ่ หมายหรือวัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย ท่ีพบท่ัวไปเป็นการใชส้ ถติ เิ พ่ือจัดกระทำข้อมูลที่
ได้ให้เปน็ ไปตามจดุ ม่งุ หมายดังตอ่ ไปนี้
1) เพื่อบรรยายลักษณะตัวแปรในกลุ่มตัวอย่างหรือประชากร เป็นการใช้สถิติ
บรรยายมาบรรยายภาพรวมของกลุ่มตัวอย่างหรอื ประชากรในตัวแปรท่ีสนใจ ประกอบด้วย
- การแจกแจงความถี่ ผู้วิจัยสามารถแจกแจงความถี่จากค่าที่วัดได้ของตัวแปรและ
นำเสนอการแจกแจงความถี่เพื่อแสดงภาพรวมของข้อมูลที่ได้ ในการนำเสนอนิยมใช้แผนภูมิและ
ตารางมากกว่าคาบรรยายเพียงอยา่ งเดยี ว
- การจัดลำดับเปรียบเทียบ สถิติในชุดนี้ได้แก่ สัดส่วน (proportion) อัตราส่วน
(ratio) ร้อยละ (percent) คะแนนมาตรฐาน (standard scroe) เปอร์เซ็นไทล์ (percentile) เดไซล์
(decile) ควอไทล์ (quatile)
- การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง สถิติที่ใช้ ได้แก่ มัชฌิมเลขคณิต (mean) มัธยฐาน
176
(median) ฐานนิยม (model)
- การวดั การกระจายสถิติที่ใช้ ได้แก่ ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (standard
deviation) ส่วนเบยี่ งเบนควอไทล์ (Quartile deviation) พสิ ัย (range) ความแปรปรวน (variance)
สมั ประสทิ ธกิ์ ารกระจาย (coefficient of variation)
- การวัดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร สถิติที่ใช้ ได้แก่ Pearson product -
moment correlation (rxy), Spearman rank-order correlation (rs), Phi correlation (r∅),
2) เพื่อเปรียบเทียบหาความแตกต่างและสรุปอา้ งอิงความแตกต่างจากกลุ่มตวั อย่าง
กลบั ไปยังประชากรทศี่ กึ ษา ไดแ้ ก่
- การเปรยี บเทียบความถหี่ รอื สัดสว่ นดว้ ย χ2-test, z-test
- การเปรยี บเทียบคา่ เฉลี่ยดว้ ย z-test, t-test, One-Way ANOVA
- การเปรียบเทียบความแปรปรวนดว้ ย F-test
3) เพื่อบรรยายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ได้แก่ การใช้สหสัมพันธ์อย่างง่าย
(simple correlation) ในการบรรยายความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ตัวแปร เช่น Pearson product-
moment correlation (rxy), Spearman rank-order correlation (rs), Phi correlation (r∅), และ
การใชส้ หสมั พนั ธ์พหุ (multiple correlation : R) ในการบรรยายความสัมพนั ธร์ ะหว่างตัวแปรกับชุด
ตวั แปร
4) เพื่ออธิบายความเป็นเหตุของตัวแปรอิสระที่มีผลต่อตัวแปรตามในการวิจัยที่
เรียกว่าการวิจัยเชงิ ทดลอง และสรุปอ้างอิงความแตกต่างจากกลุ่มตวั อย่างกลับไปยังประชากร ได้แก่
t-test, One-Way ANOVA
5) เพอื่ อธบิ ายปฏิกิริยาร่วมระหว่างตวั แปรอสิ ระที่มผี ลต่อตัวแปรตามในการวิจัยเชิง
ทดลองและสรุปอ้างอิงความแตกต่างจากกลุ่มตัวอย่างกลับไปยังประชากร ด้วยการใช้ Two-way
ANOVA
6) เพื่อทำนาย สถิติที่ใช้ ได้แก่ การวิเคราะห์แนวโน้ม (trend analysis) การ
วิเคราะห์ การถดถอย (regression analysis) การวิเคราะห์การถดถอยพหุ (multiple regression
analysis)
2. ตวั แปรทศ่ี กึ ษา ผู้วิจัยจะตอ้ งพิจารณาว่าในงานวิจยั ของตน
1) มจี ำนวนตวั แปรเทา่ ใด
2) เปน็ ตวั แปรอสิ ระหรือตวั แปรตาม
3) ตอ้ งการวิเคราะหต์ วั แปรทีละตวั หรอื ตวั แปรทง้ั ชดุ ในคราวเดยี วกัน
3. ข้อมูลมาจากกลุ่มตัวอย่างหรือประชากร ถ้าเป็นข้อมูลมาจากกลุ่มตัวอย่างและเป็นตัว
แทนที่ดขี อประชากร ผูว้ ิจัยจะต้องใชส้ ถติ อิ นมุ านเพือ่ สรา้ งอา้ งองิ กลบั ไปยงั ประชากร
177
4. มาตราของตัวแปร ตัวแปรทอี่ ยใู่ นแต่ละมาตรจะใช้ชนิดของสถติ ิทีแ่ ตกตา่ งกันออกไป
1) มาตรนามบัญญัติ (nominal scale) ตัวเลขต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นใช้ในมาตรนี้ไม่
สามารถนำมาบวก ลบ คณู หาร กันได้
สถติ ิบรรยายท่ใี ช้ :
1.1) การแจกแจงความถี่ ซึ่งสามารถแสดงในรูปของร้อยละ ตำราง แผนภูมิภาพและ
แผนภูมิแท่ง
1.2) การวดั แนวโน้มเขา้ สสู่ ่วนกลางด้วยฐานนยิ ม (model)
1.3) การวดั ความสมั พนั ธข์ องตวั แปรดว้ ย Phi correlation
สถติ อิ นุมานทใี่ ช้ :
Nonparametric statistics ได้แก่ χ2 -test
2) มาตรเรียงลำดบั (ordinal scale) ตวั เลขตา่ ง ๆ ที่กำหนดข้ึนในมาตรนีส้ ามารถ
บอกถงึ ความแตกตา่ งของหน่วยการวดั แต่ระยะห่างของแต่ละหน่วยไม่สามารถระบุได้ จงึ ไมส่ ามารถ
บวก ลบ คณู หาร กนั ได้
สถติ ิบรรยายท่ีใช้ :
2.1) การแจกแจงความถ่ี เชน่ เดียวกบั มาตรานามบัญญัติ
2.2) การวัดแนวโน้มเขา้ สูส่ ่วนกลางดว้ ยฐานนิยม (model) หรอื มธั ยฐาน (median)
2.3) การจัดการกระจายด้วยพิสัย (range) หรือส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์ (quartile
deviation: Q.D.)
2.4) การวดั ความสมั พันธด์ ้วย Spearman rank-order correlation
สถิตอิ นุมานทีใ่ ช้ :
Nonparametric statistics ได้แก่ χ2 -test
3) มาตรอันตรภาค (interval scale) ตัวเลขต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นใช้ในมาตรนี้
สามารถนำมาบวก ลบ คูณ หาร กันได้เพราะความแตกต่างของแต่ละหน่วยตัวแปรมีระยะห่างเท่า ๆ
กนั
สถติ บิ รรยายท่ใี ช้ :
3.1) การแจกแจงความถ่ี ในรปู ของร้อยละ ตำราง และแผนภมู ิตา่ ง ๆ
3.2) การวดั แนวโนม้ เขา้ สูส่ ่วนกลางด้วย มัชฌิมเลขคณติ (mean)
3.3) การวดั การกระจายด้วย สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
3.4) การวดั ความสมั พนั ธ์ของตัวแปรด้วย Pearson product-moment
correlation
178
สถติ อิ นมุ านที่ใช้ :
Parametric statistics ได้แก่ z-test, t-test, F-test, ANOVA
Nonparametric statistics ได้แก่ χ2 -test
4) มาตรอัตราสว่ น (ratio scale) ลักษณะเหมอื นมาตรอนั ตรภาคแตม่ ีศนู ย์แท้
ดงั นน้ั
สถิตทิ ใี่ ช้จึงเช่นเดยี วกบั มาตรอนั ตรภาค
5. ชนิดของพารามเิ ตอรท์ ต่ี ้องการทดสอบ ไดแ้ ก่
การทดสอบ μ จาก X
การทดสอบ 2 จาก S2
การทดสอบ ρ จาก r
6. ข้อตกลงเบื้องต้นของสถิติที่เลือกใช้ เทคนิคทางสถิติแต่ละประเภทถูกพัฒนาขึ้นมาด้วย
ข้อตกลงที่แตกต่างกันออกไป การฝ่าฝืนข้อตกลงเบื้องต้นจะเป็นผลให้ค่าที่คำนวณได้คลาดเคลื่อนไป
จากความเปน็ จริง หรอื มีประสิทธภิ าพในการทดสอบลดลง
การวิเคราะห์ขอ้ มลู
หลงั จากทนี่ ักวิจยั ไดพ้ จิ ารณาสิง่ ท่เี ก่ยี วข้องตา่ ง ๆ เรียบร้อยแล้วจงึ เร่มิ ทำการวเิ คราะห์ข้อมูล
ในการวิเคราะห์จะต้องประกอบด้วย
1. ข้อมูลที่ต้องการวิเคราะห์ ซึ่งอาจเป็นข้อมูลปฐมภูมิหรือข้อมูลทุติยภูมิก็ได้ ต้องมีการ
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนที่จะทำการวิเคราะห์ การตรวจสอบอาจใช้เจ้าหน้าที่หรือ
โปรแกรมสำเร็จรูปที่ใช้กับคอมพิวเตอร์หรืออาจจะใช้ทั้ง 2 วิธีด้วยกัน เพื่อให้เกิดความแม่นยำ การ
ตรวจสอบความถูกต้อง นอกจากจะมีผลดีต่อการทำการวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว ยังเป็นการตรวจสอบ
จำนวนข้อมูลวา่ ไดค้ รบตามจำนวนท่กี ำหนดไว้หรอื ไม่ หากไมค่ รบจะได้มีการแก้ไขต่อไป
2. สถิตทิ ่ใี ช้วิเคราะห์ หมายถงึ ชนดิ ของสถติ ทิ ี่เลือกมาใช้หลังจากได้พิจารณาส่ิงที่เกี่ยวข้องที่
ได้กล่าวมาในหัวขอ้ ทีแ่ ลว้
3. เครื่องมือที่ใช้ในการคำนวณ การใช้เทคนิคทางสถิติขั้นสูงที่ มีความซับซ้อนไม่สามารถ
คำนวณดว้ ยเคร่ืองคิดเลขธรรมดาได้ ต้องอาศัยเครื่องคำนวณขนาดท่ีมีหนว่ ยความจำสูงมาช่วยในการ
คำนวณ ทำให้การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในงานวิจยั ในปัจจุบันเทคโนโลยีทางดา้ นน้มี ี
ความทันสมัยขึ้นมาก การใช้เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่นิยมใช้กันตาม
บ้านสามารถคำนวณงานขนาดใหญ่ได้ดีเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ (main frame)ที่ใช้ใน
สถาบันตา่ ง ๆ นอกจากนยี้ ังมีโปรแกรมสำเร็จรูปที่อำนวยความสะดวกแกผ่ วู้ จิ ัยหลายโปรแกรมท่ีนิยม
ใชใ้ นการวจิ ยั ทางสงั คมศาสตร์ ไดแ้ ก่ โปรแกรม SPSS for Windows SAS เป็นตน้
ในการวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ผู้วิจัยจะต้องทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคำสั่งที่ใช้
179
ขดี จำกัดของโปรแกรม เชน่ จำนวนขอ้ มลู สูงสดุ หรอื จำนวนตวั แปรสูงสุดทีจ่ ะคำนวณได้อย่างแม่นยำ
บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ (2553: 150) ได้กล่าวถึงการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยจะเริ่มจาก
การจัดระเบียบข้อมูลให้เรียบร้อย ด้วยการตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อมูล และจัดแยก
ประเภทข้อมูลให้ตรงกับประเด็นปัญหาการวิจัยที่ต้องการทราบ การจัดเตรียมข้อมูล ถ้ามีข้อมูลไม่
มากอาจจะจัดเตรียมด้วยกระดาษแยกรายการ ทำรอยขีด และคำนวณค่าสถิติด้วยเครื่องคิดเลข
ธรรมดาก็ได้ ถ้ามีข้อมูลและตัวแปรมาก ๆ การวิเคราะห์สถิติที่ซับซ้อนก็ควรจัดเตรียมข้อมูลเพื่อ
คำนวณด้วยเครื่องสมองกลหรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะต้องจัดทำคู่มือลงรหัสของคำตอบทุกข้อ
คำถาม แล้วนำไปบันทึกลงในโปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อวิเคราะห์ทางสถิติด้วยโปรแกรมสถิติสำเร็จรูป
ตอ่ ไป
สถิติท่ีวิเคราะห์ข้อมลู อาจแบ่งไดเ้ ป็น 3 กลุม่ ดงั น้ี
1. การบรรยายลักษณะข้อมูล ใช้สถิติบรรยาย ทำแจกแจงความถี่ ตาราง กราฟ หาอัตรา
อัตราส่วน สัดส่วน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปอร์เซ็นไตล์ ควอไตล์ (Quartile) เป็น
ตน้
2. การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม ปกติเป็นการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย (Mean)
ระหวา่ งกลุ่มตัวแปรอสิ ระ ถา้ มีสองกลุ่มใช้ t – test มากกว่าสองกลุ่มใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวน
(Analysis of Variance = ANOVA) เปน็ ตน้
3. การหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ข้อมูลเป็นระดับกลุ่มใช้ Crosstab หาจำนวนและ
ร้อยละ ทดสอบด้วยไคสแควร์ (Chi-Square) ถ้าข้อมูลเป็นปริมาณใช้สหสมั พันธ์ (Correlation) หรือ
การวเิ คราะหถ์ ดถอย (Regression Analysis) เป็นต้น
จากสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยที่กลา่ วมาสามารถสรุปได้ว่า การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยควรเลือกใช้สถิติที่เหมาะสมกับลักษณะของข้อมูล และตรงตามวัตถุประสงค์ การวิจัยและ
สมมุติฐานที่ตั้งไว้ ซึ่งจะประกอบด้วยสถิติบรรยายและสถิติอนุมาน ทั้งนี้ต้องข้ึนอยู่กับระดับข้อมูลที่
นำมาวเิ คราะหด์ ว้ ยเพื่อใหไ้ ด้ผลการวจิ ัยทตี่ รงตามความเป็นจรงิ มากท่ีสดุ
10.5 สรุป
สถิติ หมายถึง ศาสตร์ที่เก่ียวข้องกับการนำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูลการวจิ ยั เพ่ือนำไปสู่การแปล
ผลและสรุปผลการวิจยั ที่ตอบวัตถุประสงค์การวิจัย ซ่ึงสถิติมคี วามสำคัญต่องานวิจัยต้ังแต่การนำสถิติ
มาใช้ในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย การนำสถิติมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่ออธิบาย
งานวิจัยเชิงปริมาณ โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจึงประกอบด้วยสถิติบรรยาย (descriptive
statistics) ไดแ้ ก่ การแจกแจงความถี่ การจดั ตำแหนง่ เปรยี บเทยี บ การวดั แนวโนม้ เข้าส่สู ว่ นกลางการ
วัดการกระจาย การวัดความสัมพันธ์ และสถิติอนุมาน (inferential statistics) ได้แก่ สถิติทดสอบ
180
Z-test t-test ANOVA χ2 เป็นต้น
10.6 คำถามทบทวน
1. จงอธิบายความหมายของสถติ บิ รรยายและสถติ ิอนุมาน
2. สถติ มิ ีความสำคัญตอ่ งานวิจยั อยา่ งไร จงอธิบาย
3. จากตัวอย่างวัตถุประสงค์การวิจัยที่กำหนดให้ ควรใช้สถิติอะไรในการวิเคราะห์ข้อมูลแต่
ละวตั ถุประสงค์
วัตถปุ ระสงค์การวจิ ยั
1) เพื่อเปรียบเทียบผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐานบูรณาการ TPACK Model และ
การสอนแบบปกติในรายวชิ าการวจิ ัยเพือ่ พฒั นาการเรียนรขู้ องนักศึกษาครู
2) เพื่อศึกษาระดับทักษะการรู้ดิจิทัลในรายวิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรูข้ องนักศึกษา
ครู
3) เพื่อศึกษาระดับความรู้ในการใช้เทคโนโลยีผนวกวิธีการสอนในการถ่ายทอดเนื้อหาของ
นักศึกษาครู
4. สถิตชิ นดิ ใดทีใ่ ชใ้ นการทดสอบสมมุติฐานการวจิ ยั เมอ่ื ต้องการอ้างอิงผลการวจิ ัยกลับไปยัง
ประชากรทที่ ำการศึกษา
5. จากข้อมูลที่กำหนดให้จงคำนวณหาค่าสถิติรอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ
ค่า t-test ด้วยโปรแกรมสำเรจ็ รปู
10.7 เอกสารอ้างอิง
กลั ยา วานิชยบ์ ัญชา. (2555). สถิตสิ ำหรบั งานวิจัย. พมิ พ์ครั้งท่ี 6. กรุงเทพมหานคร: บริษัท ธรรม
สาร จำกดั .
บญุ ธรรม กิจปรดี าบริสทุ ธ.์ิ (2553).คมู่ ือการวิจัย การเขียนรายงานการวิจยั และวิทยานพิ นธ.์ ฉบับ
ปรับปรุงครั้งท่ี 10. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์เรือนแกว้ .
ประสาท เนืองเฉลมิ . (2556). วิจยั การเรยี นการสอน. พิมพค์ รั้งท่ี 2. กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ัททวี
พริ้น (1991) จำกัด.
พรรณี ลกี ิจวัฒนะ. (2558). วิธกี ารวิจยั ทางการศกึ ษา. พิมพค์ ร้งั ท่ี 10. กรงุ เทพมหานคร: มนี
เซอรว์ สิ ซัพพลาย.
สุวิมล ติรกานนั ท์. (2551). ระเบยี บวธิ ีการวิจัยทางสงั คมศาสตร์: แนวทางสูก่ ารปฏบิ ัต.ิ
พิมพค์ รัง้ ท่ี 7.กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
บทที่ 11
การเขยี นโครงการวิจยั
เมื่อผู้วิจัยได้ทำการออกแบบการวิจัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ผู้วิจัยต้องดำเนินการขั้นตอน
ต่อมาคือการเขียนโครงการวิจัย เพื่อเป็นการนำเสนอประเด็นปัญหาที่ดำเนินการวิจัย ความสำคัญท่ี
ตอ้ งดำเนินการวิจัย การกำหนดวัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั เพ่ือนำไปสูก่ ารค้น คำตอบ การตง้ั สมมุตฐิ าน
การวิจัยการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องรวมทั้งอธิบายถึงวิธีดำเนินการวิจัยซึ่ง จะ
ประกอบดว้ ยการกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่างข้ันตอนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
วจิ ัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ขอ้ มลู และสถิตทิ ี่ใช้ และแผนดำเนินการวจิ ยั
11.1 ลักษณะของโครงการวิจัย
มนี กั วิชาการกลา่ วถึงลักษณะโครงการวิจยั ไวห้ ลายทา่ น ดงั น้ี
วาโร เพง็ สวสั ด์ิ (2551: 152) ไดก้ ล่าวถึงลักษณะของโครงการวจิ ัยว่าเป็นแผนการดำเนินงาน
ของการวิจัยที่ได้กำหนด หรือ วางแผนไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะดำเนินการวิจัยจริงโครงการวิจัย
เปรียบเสมือนต้น แบบของการดำเนินการวิจัย เพื่อให้การดำเนินการวิจัยเป็นไปตามขั้นตอนที่ได้
วางแผนและบรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีวางไว้ การเขียนโครงการวิจัยผู้วิจัยจะต้องมีความรู้ในเนื้อหาที่
จะทำวิจยั และมีความรู้ ในระเบยี บวิธีการวิจยั
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 261) ได้กล่าวถึงลักษณะของโครงการวิจัยว่าเป็นสิ่งที่ผู้วิจัยทำ
หลังจากที่ได้กำหนดประเด็นปัญหา ทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้องและออกแบบการวิจัยแล้ว โดย
โครงการวิจยั จะทำหน้าที่ดังนี้ (1) เป็นแผนการดำเนินงาน (2) เป็นการนำเสนอส่ิงที่ผู้วิจัยตอ้ งการทำ
(3) เปน็ ข้อเสนอในการพจิ ารณาอนมุ ตั งิ บประมาณ หรอื เงนิ ทุนดำเนินการวิจยั
สมคิด พรมจุ้ย (2554: 1-2) ได้กล่าวถึงลักษณะของโครงการวิจัยว่า โครงการวิจัยหรือโครง
รา่ งของการวิจยั เปน็ สิ่งทนี่ ักวิจยั นำเสนอเป็นลายลกั ษณ์อักษร ตามหัวข้อหรอื ประเด็นสำคัญท่ีกำหนด
ในแบบเสนอโครงการวิจัยของแต่ละหน่วยงาน เพื่อใช้เป็นแบบแผนการดำเนินการวิจัย ซึ่งใน
โครงการวิจัยจะมีขั้นตอนการดำเนินงานตามแผนที่นักวิจัยกำหนด การเขียนโครงการวิจั ยนักวิจัย
จะตอ้ งมีความรใู้ น 2 ประการ คือ
1. ความรู้ในเน้ือหาสาระท่จี ะทำวจิ ัย
2. ความรู้ในระเบียบวิธีการวิจัย ได้แก่ กระบวนการวิจัย การกำหนดปัญหาการวิจัย
ขั้นตอนการวิจัย การกำหนดตัวแปรวิจัย การออกแบบการวิจัย การสร้างเครื่องมือวิจัย การเก็บ
รวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การเลือกใช้สถิติให้ถูกต้องกับข้อมูล การจัดทำรายงานการวิจัย
และการนำเสนอผลการวจิ ยั
182
สุวิมล ว่องวาณิช และนงลักษณ์ วิรัชชัย (2554: 6) ได้กล่าวถึงลักษณะของโครงการวิจัย
(Research Project) ว่าเป็นโครงการที่มีกิจกรรมหลักเพื่อตอบประเด็นคำถามที่กำหนดขึ้น โดยใช้
กระบวนการวิจัยใน การค้นหาคำตอบ ผลที่ได้จากการทำโครงการวิจัย คือ รายงานการวิจัย
(Research Report)
วรรณี แกมเกตุ (2555: 385) ได้กล่าวถึงโครงการวิจัยหรือข้อเสนอโครงการวิจัย (Research
Proposal) ว่าเป็นเอกสารทางวิชาการที่นำเสนอเกี่ยวกับแผนงานในการดำเนินการวิจัย ซึ่งนักวิจัย
กำหนดไว้ล่วงหน้าก่อนลงมือทำวจิ ยั ว่าจะทำวิจยั เรื่องอะไร (กำหนดชื่อเรือ่ ง) ทำไมจึงทำวิจยั เรือ่ งนนั้
(ระบคุ วามเปน็ มาและความสำคัญของปัญหาวิจัย) ทำเพอ่ื อะไร (กำหนดวัตถุประสงค์ของการวจิ ยั ) ทำ
ในประเด็นใดครอบคลุมหรือไม่ครอบคลุมอะไรบ้าง (กำหนดขอบเขตและกรอบแนวคิดของการวิจัย)
ทำอย่างไร (ออกแบบวิธีดำเนินการวิจัย) ทำไปแล้วได้ประโยชน์อะไรบ้าง (บอกประโยชน์ที่คาดว่าจะ
ได้รับจากการวิจยั ) ใชท้ รพั ยากรอะไรบา้ ง (วางแผนการใช้ทรพั ยากร และงบประมาณในการวจิ ัย)
จากลกั ษณะของโครงการวิจัยที่กล่าวมาข้างตน้ สามารถสรุปไดว้ ่า โครงการวจิ ัยเป็นเอกสารท่ี
นักวิจัยจัดทำขึ้น เพื่อนำเสนอถึงประเด็นปัญหาวิจัยที่ต้องการจะทำการศึกษา โดยโครงการวิจัยจะมี
รายละเอียดประกอบด้วยหัวข้อความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาวัตถุประสงค์การวิจัย
สมมุติฐานการวิจัย (ถ้ามี) วิธีดำเนินการวิจัย งบประมาณ และแผนปฏิบัติการวิจัย เมื่อดำเนินการ
จัดทำโครงการวิจัยเสรจ็ นกั วิจยั จะทำการเสนอโครงการเพื่อขออนุมตั ิดำเนินการหรือขอทุนสนับสนนุ
การวจิ ัยตอ่ ไป
11.2 วตั ถุประสงคข์ องการเขียนโครงการวิจยั
มนี ักวชิ าการไดก้ ล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเขยี นโครงการวิจยั ไว้ดงั น้ี
วาโร เพ็งสวสั ด์ิ (2551: 152-153) ได้กล่าวถึงวตั ถุประสงค์ของการเขยี นโครงการวิจยั ไว้ดังน้ี
1. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการวิจัย ซึ่งจะช่วยให้ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่
วางไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนิน การวิจัย ระยะยาว หรือ ร่วมกันวิจัยหลายคนโครงการวิจัยจะ
ชว่ ยใหผ้ วู้ ิจัยทุกคนมีความเขา้ ใจตรงกนั และดำเนินการวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพ
2. เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบการดำเนินการวิจัย เนื่องจากโครงการวิจัยจะระบุ
รายละเอียดเกย่ี วกบั เร่ืองทจ่ี ะทำวิจยั
3. ชว่ ยให้ผวู้ ิจยั มองเหน็ ปัญหา หรอื อุปสรรคต่าง ๆ ในการทำการวจิ ยั ล่วงหนา้ ซึง่ จะทำให้เกิด
ความกระจา่ งในหวั ขอ้ ปญั หาการวิจยั
4. ทำให้ทราบค่าใช้จา่ ยและสิ่งจำเปน็ ล่วงหน้า เพ่ือจะใช้เตรยี มการท่ีถูกต้อง เช่น วัสดุ
อุปกรณ์ แรงงาน และคา่ ใชจ้ ่ายต่าง ๆ
5. เพ่ือใช้ในการนำเสนอขอทุนอุดหนนุ การวจิ ัยจากหน่วยงาน หรือองค์การต่าง ๆ
183
6. ใช้เป็นแนวทางในการเขยี นรายงานการวิจยั
สมคิด พรมจยุ้ (2554: 4-5) ไดก้ ล่าวถงึ วตั ถปุ ระสงคข์ องการเขียนโครงการวิจยั ไว้ดงั น้ี
1. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการวิจัย หรือเป็นพิมพ์เขียวของการวิจัย ช่วยให้นักวิจัย
ไดด้ ำเนินงานวิจยั เป็นข้นั ตอนตามแผนท่วี างไว้ โดยเฉพาะในกรณีทเ่ี ป็นโครงการวจิ ยั ระยะยาวหรือมีผู้
ร่วมวิจัยหลายคน โครงการวิจัยจะช่วยให้นักวิจัยทุกคนมีความเข้าใจตรงกัน และดำเนินงานวิจัยไปสู่
จุดประสงคเ์ ดยี วกันได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
2. เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบการดำเนนิ การวิจัย โครงการวิจัยจะระบุรายละเอียด
เกี่ยวกับเรื่องที่จะทำวิจัย เช่น ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัยวัตถุประสงค์ของการ
วิจัย ขอบเขตของการวิจัย สมมุติฐานการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย ระยะเวลาทำ การวิจัย แผน
ดำเนินงาน และงบประมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการที่ขอรับทุนอุดหนุนการวิจัยผู้ให้ทุนจะได้
ตรวจสอบดวู ่านักวจิ ัยดำเนนิ การวจิ ยั ตามโครงการวจิ ัยทีว่ างแผนไว้มากนอ้ ยเพยี งใด
3. เพ่อื ใช้เป็นเอกสารเสนอขออนุมัติดำเนนิ การวิจยั ในกรณีท่ีนักวิจัยทาการวจิ ัยเป็นส่วนหน่ึง
ของการศึกษา จะต้องมีการพิจารณาโดยคณะกรรมการ เพื่อให้ความเห็นชอบอนุมัติให้ดำเนินการ
เสียก่อน ในกรณีทเี่ ปน็ หนว่ ยงานก็ตอ้ งเขียนโครงการวิจัยขออนุมัติผ้บู ังคบั บญั ชา ซึง่ ผูบ้ ังคับบัญชาจะ
ได้ทราบว่านักวิจัย จะทำวิจัยเรื่องอะไรทำอย่างไร ผลที่จะได้รับมี อะไรบ้าง มีความสำคัญและ
ประโยชน์มากน้อยเพยี งใดตอ่ หนว่ ยงาน ตอ่ สงั คม หรือวงวิชาการ
4. เพื่อใช้เป็นเอกสารเสนอขอรับทุน ในกรณีที่หน่วยงานต่าง ๆ ประกาศให้ทุนหรือกรณีที่
นักวิจัยต้องการหาแหล่งทุนสนับสนุนในการวิจัย มีความจำเป็นที่จะต้องเขียนโครงการวิจัยเพื่อเสนอ
พิจารณาขอรับทุนอุดหนุนการวจิ ยั แหล่งทุนจะพิจารณาให้ทนุ จากโครงการวิจัยที่เสนอขอรับทุนเป็น
สำคญั
วรรณี แกมเกตุ (2555: 385) ได้กล่าวถงึ วัตถปุ ระสงค์ของการเขยี นโครงการวิจยั ไว้ดงั นี้
1. เพ่อื เปน็ แนวทางชนี้ าการทำวิจยั ให้นักวจิ ัยดำเนนิ การตามโครงการท่ีได้เสนอไว้ ซึ่งจะช่วย
ใหน้ ักวจิ ยั ไม่หลงทาง ไมท่ ำเกนิ ขอบเขต หรอื น้อยกวา่ ขอบเขตทก่ี ำหนดเปา้ หมายไว้
2. เพื่อเป็นหลักฐาน/เครื่องมือช่วยให้นักวิจัยหรือหน่วยงานผู้ให้การสนับสนุนการวิจัย
สามารถตรวจสอบติดตามความกา้ วหนา้ และประเมนิ ผลการดำเนนิ การวจิ ัยได้ทุกขัน้ ตอน
3. เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับสถาบัน หน่วยงาน ผู้รู้หรือที่ปรึกษาการวิจัยได้พิจารณาให้
ขอ้ เสนอแนะเพื่อการแกไ้ ขปรบั ปรุงงานวจิ ัยทจี่ ะทำให้มีคุณภาพดยี ง่ิ ข้นึ
4. เพื่อเป็นเอกสารหลักฐานในการขออนุมัติหรือขอทุนสนับสนุนในการวิจัย กล่าวคือเป็น
หลักฐานยืนยันวา่ งานวิจัยท่ีนกั วจิ ัยวางแผนจะทำนัน้ มคี ุณค่า และมีความเป็นไปได้ สมควรที่จะได้รับ
อนุมัติจากหน่วยงานหรือผู้เกี่ยวข้องให้ดำเนินการวิจัยได้ หรือสมควรที่จะได้รับการสนับสนุนทุนใน
การทำวจิ ัย
184
จากวัตถุประสงค์ของการเขยี นโครงการวิจัยที่กล่าวมาสามารถสรุปได้ว่า โครงการวิจัยจัดทำ
ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็น แนวทางในการดำเนินการวิจัยของนักวิจัย นอกจากนี้ยังใช้เป็น
หลักฐานเพื่อตรวจสอบการดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ และใช้เป็นเอกสารเพื่อขออนุมัติการทำวิจัย
จากแหล่งทนุ ตา่ ง ๆ
11.3 องค์ประกอบของโครงการวจิ ัย
วาโร เพง็ สวสั ดิ์ (2551: 153) ได้กลา่ วถงึ องค์ประกอบของโครงการวจิ ยั จะประกอบด้วย 5
ส่วน ไดแ้ ก่
1. ส่วนประกอบตอนต้น ได้แก่ ช่อื เรอ่ื ง ชือ่ ผวู้ ิจยั
2. สว่ นประกอบทเี่ ปน็ เนื้อหา ได้แก่
2.1 บทที่ 1 บทนำ ประกอบด้วย ภูมิหลังหรือที่มาของปัญหา ปัญหาการวิจัย
วัตถุประสงค์ของการวิจัย สมมุติฐานการวิจัย กรอบแนวคิดการวิจัย ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย
ขอบเขตของการวจิ ัย นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ ข้อตกลงเบ้อื งต้น
2.2 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ที่เกยี่ วข้อง ประกอบด้วยแนวคิด ทฤษฎีท่เี กี่ยวข้อง
ผลงานวิจัยทีเ่ กยี่ วขอ้ ง
2.3 บทท่ี 3 วิธดี ำเนินการวจิ ัย ประกอบดว้ ย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เคร่ืองมือ
วิจยั การเก็บรวบรวมข้อมูล การวเิ คราะห์ข้อมลู
3. ส่วนประกอบตอนท้าย ได้แก่ บรรณานุกรม
4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
5. ค่าใชจ้ ่ายในการทำวิจัย
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 261-263) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของโครงการวิจัยจะ
ประกอบด้วย
1. ชอ่ื โครงการวจิ ยั
2. ผ้วู ิจัยหรือคณะผู้ดำเนนิ การวจิ ัย
3. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
4. วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย
5. การทบทวนเอกสารทเ่ี กีย่ วขอ้ ง
6. สมมตุ ิฐานการวจิ ยั
7. ตัวแปรที่ใชใ้ นการวจิ ยั
8. นยิ ามศพั ท์
9. วิธดี ำเนินการวจิ ยั
185
10. ประโยชน์ท่คี าดว่าจะได้รับ
11. ระยะเวลาทำการวิจยั และแผนการดำเนนิ งาน
12. รายละเอียดงบประมาณคา่ ใชจ้ ่ายในการวจิ ยั
บญุ ธรรม กิจปรดี าบรสิ ทุ ธ์ิ (2553: 33-34) ไดก้ ล่าวถึงองค์ประกอบของโครงการวิจัยดงั น้ี
1. ชื่อเรือ่ ง (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)
2. ช่ือและประวตั ิผู้ทำวจิ ัยหรือคณะผวู้ ิจัย
3. สถานท่ที ำวจิ ัย
4. ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา หรือหลักการและเหตผุ ล
5. วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย
6. สมมตุ ิฐานการวจิ ัย
7. ขอบเขตของการวจิ ยั
8. นยิ ามศัพท์ท่ีใชใ้ นการวิจยั
9. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
10. เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวขอ้ ง
11. ระเบียบวิธีการวจิ ัยหรือวัสดแุ ละวิธีการ
12. เอกสารอา้ งอิงหรอื บรรณานกุ รม
13. ระยะเวลาทำวิจยั
14. แผนดำเนนิ การวจิ ัยตลอดโครงการ
15. อปุ กรณ์ทใี่ ชใ้ นการทำวจิ ัย
16. รายละเอยี ดงบประมาณทใ่ี ช้
17. ภาคผนวก
วรรณี แกมเกตุ (2555: 386) ไดก้ ลา่ วถึงองค์ประกอบของโครงการวจิ ัยจะประกอบด้วย 3
ส่วนคือ ส่วนนำ ส่วนเนือ้ หา และสว่ นทา้ ย
สาระสำคัญในส่วนนำ ประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ชื่อผู้วิจัย/คณะผู้วิจัย ที่ปรึกษาโครงการวิจัย
(ถ้ามี) ประเภทของการวจิ ัย/สาขาวิชาทีท่ ำวิจัย ปที ่ีทำวิจยั
สาระสำคัญ ในส่วนเนื้อหา ประกอบด้วยความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
วัตถุประสงค์ของการวิจัยขอบเขตของการวิจัยนิยามศัพท์ หรือคำจำกัด ความที่ใช้ในการวิจัย
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กรอบแนวคิดและสมมุติฐานในการวิจัย
(ถ้ามี) วิธีดำเนินการวิจัย ซึ่งให้รายละเอียดเกี่ยวกับประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
เครือ่ งมอื ทีใ่ ช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมขอ้ มลู และการวเิ คราะห์ข้อมลู
186
สำหรับสาระในส่วนท้าย ประกอบด้วย แผนการดำเนินงานวิจัย งบประมาณที่ใช้ในการวิจัย
รายการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม และภาคผนวกในกรณีที่ผู้วิจัย ต้องการเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมที่
เกย่ี วข้องกับการวจิ ัย เชน่ ตวั อย่างเครอ่ื งมือ เป็นตน้
จากองคป์ ระกอบของโครงการวิจัยทก่ี ล่าวมาสามารถสรปุ ได้วา่ โครงการวิจัยจะประกอบด้วย
ชื่อเรื่อง ชื่อผู้วิจัย ขั้นตอนตามระเบียบวิธีวิจัย ระยะเวลาดำเนินการวิจัย แผนดำเนินการวิจัยและ
งบประมาณทใ่ี ชท้ ำวิจัย
11.4 หลักการเขยี นโครงการวิจยั
มผี กู้ ลา่ วถงึ หลักการเขียนโครงการวิจยั ไว้ดังน้ี
วาโร เพ็งสวสั ดิ์ (2551: 152-153) ไดก้ ลา่ วถึงการเขยี นเคา้ โครงการวจิ ัยว่ามีความสำคัญดังนี้
1. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการวิจัย ซึ่งจะช่วยให้ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนท่ี
วางไว้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการดำเนินการวิจัยระยะยาว หรือร่วมกันวิจัยหลายคน เค้าโครงการวิจัยจะ
ชว่ ยใหผ้ ู้วิจยั ทุกคนมีความเข้าใจตรงกันและดำเนินการวิจยั อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
2. เพ่ือใชเ้ ปน็ หลักฐานในการตรวจสอบการดำเนินการวิจยั เนื่องจากเคา้ โครงการวิจัยจะระบุ
รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำวิจัย เช่น ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาวิจัยวัตถุประสงค์
ของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย สมมุติฐานการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย ระยะเวลาการทำการวิจัย
แผนการดำเนินงาน และงบประมาณ เป็นต้น ซึ่งใช้เป็นเอกสารสำคญั ในการตรวจสอบผลการวิจัยทุก
ขน้ั ตอนของการดำเนนิ การวิจยั
3. ช่วยให้ผู้วิจัยมองเห็นปัญหา หรืออุปสรรคต่าง ๆ ในการทาการวิจัยล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้
เกิดความกระจา่ งในหวั ข้อปัญหาการวิจัย
4. ทำให้ทราบคา่ ใช้จ่ายและส่ิงจำเป็นลว่ งหนา้ เพือ่ จะใชเ้ ตรียมการทีถ่ กู ตอ้ ง เชน่ วสั ดุอุปกรณ์
แรงงาน และคา่ ใช้จ่ายต่าง ๆ
5. เพอื่ ใช้ในการนำเสนอขอทุนอุดหนนุ การวจิ ยั จากหน่วยงาน หรอื องค์การตา่ ง ๆ
6. ใชเ้ ป็นแนวทางในการเขียนรายงานการวิจยั
สุวมิ ล ติรกานันท์ (2551: 261-263) ไดก้ ลา่ วถึงแนวการเขียนโครงการวจิ ัยไวด้ ังน้ี
1. ชือ่ โครงการวจิ ัย
การตั้งชื่อเรื่องควรตั้งชื่อที่เป็นกลาง เพราะหากมีความลำเอียงจากชื่อเรื่องอาจเป็น
สาเหตุทำให้การศึกษาผิดทิศทาง หรือได้ข้อค้นพบที่ผิดพลาด นอกจากนี้ชื่อเรื่องควรมีการกำหนด
ขอบเขตการวิจัยที่ชัดเจน เช่น ขอบเขตทางภูมิศาสตร์ ขอบเขตของเวลา ขอบเขตของประเภทการ
วจิ ัย ขอบเขตทางวิชาการ ขอบเขตของเน้ือหาทศ่ี ึกษา
2. ผวู้ จิ ัยหรอื คณะผู้ดำเนนิ การวิจยั
187
การใส่ชื่อผู้วจิ ัยหรือคณะผู้วิจัย ควรที่จะระบุคุณวุฒิด้วย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระดับ
หนึง่ แก่ผู้อ่านและในกรณีท่ีมที ปี่ รึกษาโครงการวจิ ัย ผูว้ จิ ยั ควรที่จะระบุใหช้ ดั เจนด้วยเชน่ กัน
3. ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา
ส่วนนีเ้ ปน็ สว่ นที่ชกั จูงใหผ้ อู้ ่านเข้าใจและเหน็ ถึงความสำคญั ของการทำงานวจิ ัย ในส่วนนี้
จึงควรให้รายละเอียดเกี่ยวกับความเป็นมาของสถานการณ์ที่สนใจ และความเกี่ยวเนื่องไปสู่
สถานการณ์อื่น ข้อสงสัยที่เกิดขึ้นซึ่งนำไปสู่ปัญหาของการวิจัย ตลอดจนผลที่จะได้รับหากมีการวิจัย
เร่ืองนี้ การเขยี นในสว่ นนีค้ วรมกี ารอา้ งอิงหลักฐานหรือเหตกุ ารณ์ จะใหน้ ำ้ หนักมากกว่าการเขียนด้วย
ความคดิ เหน็ ของผ้วู ิจยั เพียงอยา่ งเดยี ว
4. วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั
เป็นการบอกถึงจุดมุ่งหมายที่ผู้วิจัยต้องการจากการวิจัย ลักษณะควรเป็นประโยคบอก
เลา่ มากกว่าท่ีจะเปน็ ประโยคคำถาม
5. การทบทวนเอกสารทีเ่ กยี่ วขอ้ ง
การทบทวนเอกสารที่ เกี่ยวข้องที่มีคุณภาพจะแสดงถึงความเป็นไปได้ของโครงการวิจัย
ความสอดคล้องของตัวแปรที่เลือกศึกษาและความรอบรู้ของผู้วิจัย ข้อความที่ใช้ควรจะกระชับไม่เยิน่
เย้อมากเกินไปเพราะจะทำให้กรอบความคิดส่วนนี้ไม่ชัดเจน การแสดงกรอบแนวคิดในการวิจัยด้วย
ลักษณะของแผนภูมจิ ะแสดงใหเ้ หน็ ถึงผลที่ได้จากการทบทวนเอกสารทเ่ี กี่ยวข้องไดช้ ดั เจนย่ิงขึ้น
6. สมมตุ ฐิ านการวิจัย
เป็นการคาดคะเนคำตอบของปญั หาการวิจยั ซึง่ ได้จากการทบทวนเอกสารทเ่ี ก่ียวข้อง
หรือจากการสำรวจเบ้อื งตน้
7. ตัวแปรท่ีใช้ในการวจิ ยั
ผวู้ จิ ยั ควรระบุตัวแปรทั้งหมดทท่ี ำการศึกษา พรอ้ มกบั การจัดหมวดหมชู่ นิดของตัวแปร
วา่ เปน็ ตัวแปรอิสระ หรอื ตัวแปรตามถ้ามี
8. นิยามศพั ท์
การนิยามศัพท์ ในโครงการวิจัยควรเป็นนิยามศัพท์ เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ผู้อ่าน
เกี่ยวกับตัวแปรบางตัวแปรที่ใช้ว่าเหมือนหรือแตกต่างจากงานวิจัยอื่นอย่างไร การนิยามศัพท์ใน
โครงการวิจัยต่างจากการนยิ ามศัพท์ในรายงานการวจิ ยั บทท่ี 1 การนิยามควรเปน็ การนิยามเชิงทฤษฎี
ควบคกู่ บั นยิ ามศัพทเ์ ชงิ ปฏิบตั ิการ เพราะสว่ นนีเ้ ป็นสว่ นสำคัญอกี ส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยทีจ่ ะทำให้
ผอู้ ่านเข้าใจถงึ ความเป็นไปได้ และความรขู้ องผวู้ จิ ัยในเรื่องทต่ี อ้ งการวิจัย
9. วธิ ีดำเนินการวิจยั ประกอบด้วย
9.1 ประชากร เป็นการระบุกลุ่มเป้าหมายทีต่ ้องการศึกษาและถูกใช้เป็นกรอบในการสุ่ม
ตัวอย่าง
188
9.2 กลุ่มตัวอย่างและการสุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยต้องระบุจำนวนตัวอย่างและวิธีการสุ่ม
ตวั อย่างโดยละเอยี ดและแสดงเป็นขนั้ ตอนของการสมุ่ ตัวอย่างประกอบ
9.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล รายละเอียดใน
ส่วนนี้ ผู้วิจัยควรแสดงขั้นตอนโดยละเอียดว่าผู้วิจัยจะได้ข้อมูลที่ต้องการด้วยวิธีการอย่างไร ใช้
เครื่องมอื อะไรในการเก็บรวบรวมข้อมลู ตลอดจนวิธีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมอื
9.4 การวิเคราะหข์ ้อมูล เป็นการบอกแนวทางกวา้ ง ๆ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจน
เทคนคิ ทางสถติ ิทเี่ ลอื กมาใช้
10. ประโยชน์ท่คี าดวา่ จะไดร้ ับ
ผวู้ จิ ัยจะต้องเขียนให้สอดคล้องกับวตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั โดยไม่เขยี นส่ิงท่ีอยู่
นอกเหนืองานวิจยั น้ันและจะตอ้ งมีความเป็นไปได้
11. ระยะเวลาทาการวจิ ยั และแผนการดำเนินงาน
การกำหนดระยะเวลาควรทาตารางเวลาหรือแผนภูมิประกอบเพื่อความชัดเจน
12. รายละเอยี ดงบประมาณค่าใชจ้ า่ ยในการวิจัย
โครงการวิจัยทีเ่ สนอของบประมาณหรอื ขอทนุ อุดหนนุ การวจิ ยั จำเปน็ อย่างยิ่งที่จะต้องมี
รายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณที่ใช้ในการวิจัย เพื่อประกอบในการพิจารณาอนุมัติงบประมาณหรือ
เงนิ ทนุ
วรรณี แกมเกตุ (2555: 386-393) ไดก้ ล่าวถงึ หลกั การและแนวทางในการเขียนโครงการวิจัย
ไว้ว่าการเขียนโครงการวิจัย ให้มีคุณภาพที่ดี นักวิจัยควรมีความรู้ความเข้าใจในระเบียบวิธีวิจัยและ
เนอื้ หาสาระทที่ ำวจิ ัย รวมทัง้ ได้ปฏบิ ตั ิตามคำแนะนำท่ีจะนำเสนอต่อไปน้ี
1. ชื่อโครงการวิจัย
ชื่อโครงการวจิ ยั ชื่อเรือ่ งวิจัย หรือหัวข้อการวิจัย (Research Topic) เป็นข้อความท่จี ะ
สื่อให้ผู้อ่านทราบว่า นักวิจัยจะทำวิจัยเรื่องอะไร การตั้งชื่อเรื่องที่ดีจะช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดความ
สนใจตดิ ตามงานวิจยั และเปน็ สง่ิ ท่บี ง่ ชีใ้ ห้ผ้อู ่านทราบเรือ่ งราวของงานวิจัยนัน้ โดยภาพรวมครา่ ว ๆ ว่า
นักวิจัยจะทำวิจัยเกี่ยวกับตัวแปรอะไร ศึกษากับประชากรกลุ่มใด และใช้แบบแผนการวิจัยแบบใด
ดังนั้น การตั้งชื่อเรื่องควรใช้ข้อความที่ชี้ให้ผู้อ่านทราบถึงปัญหาวิจัย และสะท้อนให้ทราบถึงตัวแปร
และประชากรที่มุ่งศึกษา รวมถึงแบบแผนการวิจัยหลักที่ใช้โดยเฉพาะในการวิจัยเชิงปริมาณ สำหรับ
การวิจัยเชิงคุณภาพไม่มีกฎเกณฑม์ ากนักในการต้ังชือ่ เรือ่ ง แต่อย่างน้อยชื่อเรื่องควรสะท้อนให้ทราบ
ถึงประเด็น เรื่องราว คุณลักษณะหรือตัวแปรสำคัญที่จะศึกษา โดยอาจเขียนในรูปข้อความ วลี หรือ
คำสน้ั ๆ ท่สี ะท้อนถึงภาพของงานวจิ ัย และดงึ ดดู ความสนใจของผู้อ่าน
2. ชือ่ ผวู้ จิ ยั /คณะผูว้ ิจัย และท่ปี รกึ ษาโครงการวิจัย
การเขียนโครงการวิจัยนอกจากจะบอก ช่ือ นามสกุลของผู้วิจัยและคณะผู้วิจัยแล้วควร
189
บอกคุณวุฒิอาชีพตำแหน่ง หน่วยงานที่สังกัด และประสบการณ์เกี่ยวกับการวิจัยหรือผลงานวิจัยที่
ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ และงานวิจัยที่กำลังดำเนินการอยู่ของนักวิจัยเปน็ รายบุคคลด้วย เพื่อแสดง
ให้เห็นว่านักวิจัยเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญเพียงพอที่จะทำวิจัยตามโครงการที่
เสนอได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในกรณีที่โครงการวิจัยนั้นมีที่ปรึกษาโครงการ ก็ควรบอกข้อมูล
รายละเอียดดังกล่าวข้างต้นของที่ปรึกษาโครงการด้วย โดยเฉพาะความรู้ความเชี่ยวชาญพิเศษท่ี
เกยี่ วขอ้ งกบั โครงการวิจัยที่เสนอนโ้ี ดยตรง ในกรณีที่โครงการวิจยั ท่ีนำเสนอเป็นโครงการเสนอเพื่อทำ
วิทยานิพนธ์ ต้องระบุชื่อ นามสกุลของอาจารย์ทีป่ รกึ ษาอยู่แล้ว แต่รายละเอียดอื่น ๆ จะบอกหรือไม่
อยา่ งไร ขน้ึ อยูก่ ับรปู แบบและขอ้ กำหนดของแต่ละสถาบนั น้นั ๆ
3. ประเภทของการวิจัย/สาขาวชิ าทท่ี ำวิจัย
การเขียนประเภทของการวิจัย เป็นการระบุว่างานวิจัย ที่จะทำนั้นเป็นงานวิจัยประเภท
ใด ซึ่งประเภทของการวิจยั สามารถแบง่ ไดห้ ลายแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยูก่ ับเกณฑ์ท่ีใชใ้ นการแบ่งเชน่ ถ้าแบ่ง
ตามวิธีการวิจัย อาจแบ่งเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ การวิจัยเชิงบรรยาย การวิจัยเชิงทดลองการวิจยั เชงิ
ประวัติศาสตร์ แบ่งตามลักษณะข้อมูล แบ่งได้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเป็นต้น การ
เขียนโครงการวิจัยนั้น นักวิจัยต้องศึกษาข้อกำหนดหรือระเบียบของสถาบันในการแบ่งประเภทของ
การวิจยั ในสว่ นของการระบุสาขาวชิ าท่ีทำวิจยั ก็เช่นเดียวกนั นักวิจัยต้องระบุให้ได้ว่างานวิจัยที่เสนอ
โครงการนั้นเป็นงานวิจัยในสาขาวิชาใด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ในการแบ่งสาขาวิชาที่สถาบันนั้น ๆ
กำหนด เช่น สาขาสงั คมศาสตร์ สาขาวทิ ยาศาสตร์ สาขาเกษตรศาสตร์ เปน็ ต้น
4. ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหาวจิ ัย
การเขียนความเป็นมาและความสำคัญของปญั หาวจิ ยั เป็นการเขยี นสาระที่แสดงให้เห็น
ว่าเรื่องที่กำลังจะทำวิจัยมีภูมิหลังหรือที่มาของปัญหาอย่างไร โดยการเขียนเกริ่นน ำถึงประเด็นที่
เกย่ี วขอ้ งกับตัวแปรในการวิจัย โดยเฉพาะตวั แปรหลักหรือตวั แปรตามของการวิจัยเป็นภาพกวา้ ง ๆซึ่ง
อาจอ้างอิงแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่ผ่านมาประกอบ และนำเข้าสู่ประเด็นปัญหาที่ต้องการจะ
ศกึ ษาวิจยั พร้อมทง้ั ช้ีใหเ้ หน็ ว่าประเด็นปัญหาท่ีต้องการจะค้นคว้าหาคำตอบนนั้ มีความสำคัญอย่างไร
ทำไมจึงต้องทำวิจัย ถ้าไม่ทำจะเกิดผลเสียอย่างไร ทั้งนี้หากนักวิจัยมีความสนใจที่จะศึกษาวิจัยใน
กลุ่มเป้าหมาย พื้นที่ หรือบริบทใด ๆ ก็ตาม นักวิจัยควรแสดงเหตผุ ลสนับสนุนในการเลือกศกึ ษาวจิ ยั
ในบริบทนั้น ๆ ดว้ ย
5. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย
การเขียนวตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย เป็นการระบุจดุ มุ่งหมายท่ีนักวิจัยต้องการค้นคว้าหา
คำตอบตามปญั หาวิจยั ซึง่ เขียนอยใู่ นรูปของประโยคบอกเล่า โดยใชภ้ าษาส่อื สารท่ีชัดเจนตรงประเด็น
ถึงสิ่งที่นักวิจัยต้องการจะทำ เช่น เพื่อศึกษา เพื่อสำรวจ เพื่อเปรียบเทียบ เพื่อวิเคราะห์ เพื่อ
สงั เคราะห์ เพ่ือพัฒนา เป็นตน้ รูปแบบการเขียนวัตถุประสงค์มีหลายรูปแบบที่สามารถทำได้ โดยอาจ
190
เขียนเป็นวัตถุประสงค์หลักที่บอกภาพรวมของสิ่งที่ต้องการหาคำตอบและแยกเป็นวัตถุประสงค์ย่อย
ออกเป็นข้อ ๆ ตามลำดับความสำคัญ บางรูปแบบอาจเขียนในรูปของวัตถุประสงค์ย่อยเป็นข้อ ๆ ไป
เลยโดยไม่มีวัตถุประสงคห์ ลัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กบั ความเหมาะสมสำหรบั การวิจัยแตล่ ะเรื่อง และสไตล์การ
เขยี นของนกั วิจยั แตล่ ะคน
6. ขอบเขตของการวิจยั
การเขยี นขอบเขตของการวจิ ัย เปน็ การระบุ ขอบข่ายหรือตกี รอบของการวิจยั ว่านักวิจัย
จะทำอะไรแค่ไหน ซึ่งการระบุขอบเขตของการวิจัย นั้น อาจระบุในเชิงของกรอบทฤษฎีที่นำมาใช้ใน
การวจิ ัย ประชากรเป้าหมายในการวจิ ยั ตวั แปรในการวจิ ยั พื้นท่ี ระยะเวลาท่ที าการวจิ ัยเพ่ือให้ผู้อ่าน
รับรู้และเข้าใจตรงกันว่างานวิจัยเรื่องนี้มีขอบเขตครอบคลุมหรือไม่ ครอบคลุมอะไรบ้างซึ่งแตกต่าง
จากข้อจำกัดของการวิจัยที่เป็นการบอกถึงความไม่สมบูรณ์หรือจุดอ่อนของการวิจัย โดยปกติแล้ว
ข้อจำกัดของการวิจัยมักไม่ระบุในการเขียนโครงร่างการวิจัย แต่จะเขียนอยู่ในรายงานวิจัยฉบับ
สมบรู ณ์ (ถ้ามี)
7. คำจำกัดความทีใ่ ช้ในการวิจยั
การเขียนคำจำกัดความที่ใช้ในการวิจัย เป็นการระบุหรือนิยามคาศัพท์สำคัญหรือ ตัว
แปรในการวิจัย ซึ่งการนิยามดังกล่าวสามารถทำได้ใน 2 ลักษณะ คือ นิยามเชิงมโนทัศน์ หรือนิยาม
เชิงทฤษฎี (Conceptual Definition) กับนิยามเชิงปฏบิ ัติการ (Operational Definition)
การนยิ ามเชงิ มโนทัศน์หรือเชงิ ทฤษฎี เป็นการอธิบายความหมายของคำศัพท์หรือตัวแปร
ในการวิจัยตามหลักวิชาการหรือตามทฤษฎีทั่วไป โดยไม่ได้ชี้ให้เห็นถึงวิธีการวัดตัวแปร การนิยามใน
ลักษณะนีเ้ หมาะสำหรับการนิยามความหมายของคำศัพทส์ ำคัญทเี่ กี่ยวข้องในการวิจัยตามที่ปรากฏใน
ชื่อเรือ่ ง หรือวัตถุประสงคข์ องการวิจยั เพื่อใหผ้ ้อู า่ นเข้าใจตรงกันวา่ คำศัพทเ์ หล่าน้ันสำหรบั ในการวิจัย
นี้หมายถงึ อะไร สำหรับในกรณที ่เี ปน็ ตัวแปร โดยเฉพาะตัว แปรทางจิตวิทยาทีม่ ลี กั ษณะเป็นนามธรรม
ในรูปตัวแปรแฝง (Latent Variable) นอกจากจะเป็นการอธิบายความหมายของตัวแปรในเชิงทฤษฎี
แล้ว นักวิจัยควรต้องแสดงให้เห็นถึงวิธีการวัดตัวแปรเหล่านั้นด้วย ในรูปของนิยามเชิงปฏิบัติการ ซึ่ง
เป็นการอธิบายความหมายของตัวแปรให้เป็นรูปธรรม ที่สามารถนำไปปฏิบัติการวัดหรือสังเกตได้
โดยตรง การนิยามในลักษณะนี้มีความจำเป็นที่จะต้องนิยามตัวแปรที่เป็นคุณลักษณะแฝง (Latent
Trait) หรอื ตัวแปรแฝงนนั่ เอง
8. ประโยชนท์ ่ีคาดว่าจะได้รบั จากการวิจยั
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย นับเป็นหัวข้อหนึ่งที่มีความสำคัญในการเขียน
โครงการวจิ ยั เนื่องจากเป็นหัวข้อที่จะแสดงให้ผู้อ่านเห็นคุณค่าของการวิจยั เร่ืองนั้นวา่ เมื่อทำวิจัยตาม
โครงการที่เสนอแล้ว จะทำให้ได้ข้อคน้ พบทเี่ ป็นประโยชน์อย่างไรบ้าง ท้ังประโยชนใ์ นเชงิ วิชาการและ
ประโยชน์ในเชิงปฏิบัติ หลักการเขียนประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัยควรเขียนให้สอดคล้อง
191
กับวัตถุประสงค์ของการวิจัยนั่น คือ ทำให้ได้ข้อค้นพบตามวัตถุประสงค์และข้อค้น พบนั้นก่อให้เกิด
ประโยชน์กับใคร อย่างไรบ้าง ทั้งในเชิงวิชาการและการนำผลวิจัยไปใชใ้ นทางปฏิบัติ ข้อควรระวังใน
การเขยี นประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะได้รบั ก็คือควรตอ้ งเขียนประโยชนท์ ่คี าดว่าจะได้ รับภายใต้ขอบเขตของ
ข้อค้น พบตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยไม่ควรเขียนประโยชน์ที่เกินเลย หรืออยู่นอกเหนือขอบเขต
ของข้อคน้ พบตามวัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัยที่ได้กำหนดไว้
9. เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี ก่ียวข้อง
เอกสารและงานวจิ ัยที่เกี่ยวขอ้ ง มีความสำคัญมากในการเขียนโครงการวิจัย และการทำ
วจิ ยั เน่ืองจากการศึกษาเอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กย่ี วข้องได้อยา่ งครอบคลุมและมี คณุ ภาพ จะนำไปสู่
การกำหนดปัญหาวิจัยที่ชัดเจนขึ้น และนำไปสู่การกำหนดกรอบแนวคิดและสมมุติฐานในการวิจัย
การคัดเลือกตัวแปรที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการนิยามตัวแปรและการวัดตัวแปรได้อย่างมีคุณภาพ
นอกจากนี้ยังสามารถชี้นาถึงวิธีดำเนินการวิจัยได้อีกด้วย ดังนั้นในการเขียนเอกสารและงานวิจัยที่
เกี่ยวข้อง ก่อนอื่นนักวิจัยต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าเรื่องที่จะทำการวิจัยนั้นจะต้องอาศัยพื้นฐานความรู้
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอะไรบ้าง เมื่อวิเคราะห์ได้แล้วนักวิจัยต้องจัดลำดับเนื้อหาใน
การนำเสนอ โดยเริม่ จากเน้ือหาท่ีเป็นภาพกว้าง ๆ แล้วค่อย ๆ นำเข้าสูป่ ระเด็นสำคัญเกี่ยวกับปัญหา
วจิ ัย และการสร้างกรอบความคดิ ในการวิจยั โดยอาจแบง่ เนอ้ื หาออกเป็นหัวข้อ และแยกนำเสนอเป็น
ตอน ๆ ไปตามลำดับการนำเสนอเนื้อหาในแต่ละตอนควรมีการสรุปวิเคราะห์วิพากษ์เช่ือมโยงใหเ้ หน็
ถึงความเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาวิจัยหรือตวั แปรในการวจิ ยั และท้ายท่สี ุดควรมกี ารสรปุ สงั เคราะห์
ใหเ้ ห็นภาพรวมของเนื้อหาเร่ืองราวทั้งหมด และเชื่อมโยงไปสู่การกำหนดกรอบแนวคดิ และสมมุติฐาน
ของการวิจยั (ถ้ามี)
สำหรับแนวทางในการศึกษาเอกสารที่เป็นแนวคิด ทฤษฎีของนักวิชาการหรือจากหนังสือ
ตำราต่าง ๆ ในส่วนนี้นักวิจัยควรจะแสดงให้เห็นถึงสภาพความรู้ที่มีอยู่เดิมอันจะเป็นพื้นฐานในการ
วิจยั หรอื ถา้ เป็นการศึกษาทฤษฎีซ่งึ อาจจะมีหลายทฤษฎี การทน่ี ักวิจัยจะเลือกหรือประยุกต์ทฤษฎีใด
ทฤษฎีหนง่ึ มาใช้ในการวิจัย หรือเป็นการผสมผสานแนวคิดจากหลายทฤษฎกี ็ตาม นกั วิจยั ควรแสดงให้
เห็นถงึ เหตุผลทีม่ าในการเลอื กใชท้ ฤษฎี หรอื ประยุกต์ทฤษฎหี รอื ผสมผสานทฤษฎมี าใช้ในการวิจัยด้วย
และในกรณีที่เป็นการศกึ ษางานวิจยั ท่ีเกี่ยวข้อง นักวิจัยควรแสดงให้เห็นรายละเอยี ดของงานวิจัย แต่
ละเรื่องโดยสรุป ว่างานวิจัยแต่ละเร่ืองนน้ั เป็นการวิจัยเรื่องอะไร ทำเมื่อไร ท่ไี หนประชากรเปา้ หมายที่
ศึกษาเป็นใคร หรืออะไร มีวิธีดำเนินการวจิ ัยอยา่ งไร และได้ข้อค้นพบอะไรบ้างซึ่งรายละเอยี ดเหล่าน้ี
จะช่วยให้นักวิจัย สามารถคิดวิเคราะห์ ได้ว่างานวิจัยที่ผ่านมาเขาทำอะไรถึงขั้นไหน มีข้อจำกัดหรือ
จุดอ่อนอะไรบ้าง โครงการท่ีเสนอทำวิจัยนี้จะศึกษาเตมิ เต็มหรอื ต่อยอดในประเด็นใด แง่มุมใดบ้างใน
ที่สุดผลท่ีได้จากการศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนี้ก็จะนำไปสู่การ
กำหนดกรอบแนวคิด สมมุติฐาน และเป็นข้อมูลที่ใช้ในการวางแผนออกแบบการวิจัยต่อไปได้อย่าง
192
สมเหตสุ มผล
10. กรอบแนวคิดและสมมตุ ิฐานในการวิจัย
กรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual Framework) เป็นแผนภาพแสดงความสัมพันธ์
ระหว่างตัว แปรหรือความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างประเด็นสำคัญที่นักวิจัยต้องการศึกษา ในการ
เขียนกรอบแนวคิดในการวิจัย นอกจากจะเขียนเป็นแผนภาพแล้ว ยังสามารถเขียนอยู่ในรูปของ
ข้อความที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร หรือความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างประเด็นสำคัญที่
นักวิจัยต้องการศึกษา หรือถ้าจะให้ดีมีความชัดเจนยิ่งขึ้น ควรเขียนทั้งสองอย่างในลักษณะของ
แผนภาพประกอบคำอธิบาย จากกรอบแนวคิดในการวิจัย นักวิจัยนำมากำหนดสมมุติฐานวิจัยต่อไป
โดยอาศัยพื้นฐานทางทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ได้ศึ กษามากำหนดสมมุติฐานวิจัยต่อไปโดย
อาศัยพื้นฐานทางทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ได้ศึกษามาเป็นเหตุผลสนับสนุนในการกำหนด
สมมุตฐิ านวิจยั ซึ่งการเขียนสมมุตฐิ านวิจัยอาจเขียนแยกเปน็ ขอ้ ๆ ตามวัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย หรือ
หากกรอบแนวคิดในการวิจัย อยู่ในรูปของโมเดลแสดงโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและผล
ระหวา่ งตัวแปร สมมุตฐิ านวิจยั อาจเขียนในรูปข้อความท่ีอธิบายความสมั พันธ์เช่ือมโยงระหว่างตัวแปร
ตามแผนภาพโมเดลดงั กล่าวกไ็ ด้
11. วธิ ดี ำเนินการวิจยั
การเขียนวิธีดำเนินการวจิ ยั เป็นการเขียนสาระที่จะทำให้ผู้อ่านทราบว่าโครงการที่เสนอ
ทำวิจัยนั้น นักวิจัยมีวิธีดำเนินการอย่างไรบ้าง ตั้งแต่เรื่องของแบบการวิจัยที่ใช้ประชากรและกลุ่ม
ตัวอย่าง ตัวแปร และลักษณะข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล และการ
วเิ คราะห์ขอ้ มูล สาระท้ังหลายเหล่านจ้ี ะเปน็ เคร่ืองชี้ให้เหน็ ถึงความเป็นไปได้ในการทำวิจัย ที่จะทำให้
ไดม้ าซึง่ คำตอบตามปญั หาวจิ ยั ท่ีมคี ุณภาพ วธิ กี ารเขียนนำเสนอนยิ มเขยี นเป็นหัวข้อยอ่ ย ๆ ดังน้ี
11.1 แบบการวิจัย เป็นการกล่าวถึงแบบการวิจัยที่ใช้ในการทำวิจัยตามโครงการท่ี
เสนอ ซึ่งอาจจะเป็นการวิจยั เชิงบรรยาย การวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ หรือการวจิ ยั
เชิงคณุ ภาพ ทัง้ น้ขี ึ้นอยกู่ ับว่าการวิจัยเรอื่ งทเี่ สนอนั้นเหมาะที่จะใช้การวิจัยแบบใด
11.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นการกล่าวถึงประชากร
เปา้ หมายและกลุ่มตัวอย่างในการวจิ ยั รวมถงึ วธิ ีการกำหนดขนาดของกลมุ่ ตวั อย่าง วธิ ีการสุ่มตัวอย่าง
โดยอธิบายให้เห็นถึงขั้นตอนการสุ่มตัวอย่างที่ชัดเจนในการทำให้ได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่างและผู้ให้ข้อมลู
ในการวิจยั
11.3 ตัวแปรและลักษณะข้อมูลในการวิจัย เป็นการระบุถึงตัวแปรและนิยามการวัด
ตัวแปร รวมถงึ ลักษณะหรอื ธรรมชาตขิ องขอ้ มูลสำหรับตวั แปรแต่ละตวั ในการวจิ ยั
11.4 เครอ่ื งมือท่ใี ช้ในการวิจยั เปน็ การบอกใหท้ ราบถึงประเภทของเครื่องมือท่ีใช้ใน
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ข้นั ตอนการสร้างและการตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมือในกรณีทีน่ กั วิจัยเป็น
193
ผู้สร้างเครื่องมือเอง สำหรับในกรณีที่นักวิจัยใช้เครื่องมือที่มีอยู่แล้วหรือเป็นการปรับปรุงดัดแปลง
เครื่องมือของผู้อื่นมาใช้ ควรบอกที่มา รายละเอียดของการปรับปรุงดัดแปลง และการตรวจสอบ
คุณภาพ รวมถึงบอกเหตุผลในการเลือกใช้เครื่องมือนั้น ๆ ว่ามีความเหมาะสมกับการวัดตัวแปรที่มุ่ง
วดั และลกั ษณะของกลุม่ ตวั อย่างในการวจิ ัยครั้งนี้อยา่ งไร
11.5 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นการบอกให้ทราบถึงวิธีการและขั้นตอนการนำ
เคร่ืองมอื ไปใช้เกบ็ รวบรวมข้อมูล ว่าใช้วธิ ีการแบบไหน มีข้ันตอนดำเนนิ การอย่างไรบ้าง ใครเป็นผู้เก็บ
เก็บที่ไหน เมื่อไร รวมถึงการติดตามทวงถามข้อมูลในกรณีที่เป็นการใช้แบบสอบถามแล้วเวน้ ระยะให้
กลุ่มตัวอย่างสง่ กลบั คนื
11.6 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ เป็นการอธิบายให้ทราบถึงวิธีการจัดกระทำ
และวเิ คราะห์ข้อมูลว่าวิเคราะห์อะไร อย่างไร ใช้สถติ ิอะไรบ้างในการวิเคราะห์ ทง้ั น้ีต้องพิจารณาตาม
หลักการเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัยและธรรมชาติ
ของข้อมลู ในการเขยี นการวิเคราะห์ ขอ้ มูล และสถิตทิ ่ีใช้ อาจแยกเป็นหัวข้อย่อยวา่ ด้วยเร่ืองของการ
วเิ คราะห์ข้อมลู เบื้องตน้ การวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือการวิเคราะห์เพ่ือตรวจสอบ
ข้อตกลงเบื้องต้นของสถิติที่ใช้ และการวิเคราะห์เพื่อตอบคำถามวิจัย โดยต้องระบุให้ชัดเจนว่า
วิเคราะหต์ วั แปรใด เพอื่ วัตถปุ ระสงคใ์ ด และใช้สถติ อิ ะไร
ทั้งนี้การเขียนวิธีดำเนินการวิจัยควรต้องมีความสอดคล้องกันและเป็นไปตามหลักการ
ออกแบบการวิจัย ท้งั ในเรื่องของการออกแบบการวัดตัวแปร (Measurement Design) การออกแบบ
การสุ่มตัวอยา่ ง (Sampling Design) และการออกแบบการวิเคราะห์ (Analysis Design)
12. แผนการดำเนินงานวิจัย
แผนการดำเนินงานวิจัย เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมการดำเนินงานตามขั้นตอน
ของกระบวนการวจิ ัย และระยะเวลาท่ีใช้ในการดำเนินกิจกรรมนนั้ ๆ ในการเขยี นแผนการดำเนินงาน
วจิ ัย นกั วิจัยจะต้องคิดวางแผนโดยมองภาพของงานตลอดโครงการว่ามีกิจกรรมใดบา้ งที่จะต้องปฏิบัติ
เพือ่ ใหง้ านวิจยั นั้นสำเร็จลงได้ภายในระยะเวลาท่ีกำหนดพร้อมทง้ั กำหนดชว่ งเวลาในการปฏิบัติแต่ละ
กิจกรรมน้นั ด้วย วิธีการนำเสนอนิยมนำเสนอเป็นแผนภูมิแสดงระยะเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมแต่ละ
ข้ันตอนตลอดโครงการวิจยั (Gantt Chart)
13. งบประมาณทีใ่ ชใ้ นการวจิ ยั
โดยทั่วไปการเขียนงบประมาณที่ใช้ในการวิจัย นักวิจัยจะคิดวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายว่าใน
การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดกระบวนการของการวิจัย จะต้องใช้งบประมาณเท่าไร การนำเสนอ
มักนำเสนอแยกเปน็ หมวด ๆ เช่น หมวดค่าตอบแทน หมวดค่า วัสดุครภุ ณั ฑ์ หมวดค่าใช้จ่าย เป็นต้น
หรือบางหน่วยงาน/สถาบันที่มีการกำหนดรูปแบบการนำเสนอ งบประมาณแยกตามหมวดค่าใช้จ่าย
ตา่ ง ๆ อยา่ งชัดเจน นักวิจยั ตอ้ งทำตามข้อกำหนดของหนว่ ยงาน/สถาบันน้ัน
194
14. บรรณานุกรม
การเขียนบรรณานกุ รม เปน็ การนำเสนอรายละเอียดของรายการอ้างองิ ท้ังหมดที่ได้มกี าร
กลา่ วอ้างไว้ในเน้ือหาของโครงการวิจัย นอกจากน้ีในกรณีที่นักวิจยั ไดศ้ ึกษาคน้ คว้ารายละเอียดของ
แหล่งอ้างองิ ตา่ ง ๆ เหลา่ นน้ั ไดใ้ นบรรณานุกรม สำหรับรปู แบบการเขยี นรายการอ้างองิ เปน็ ไปตาม
ขอ้ กำหนดของแตล่ ะหน่วยงาน/สถาบัน หรอื ถ้าหน่วยงาน/สถาบันใดไมไ่ ด้กำหนดรูปแบบไวต้ ายตวั
สามารถใชร้ ปู แบบสากลที่นิยมใชก้ ัน คือรูปแบบ American Psychological Association
(APA Style) ข้อควรระมัดระวงั ในการเขยี นบรรณานกุ รมก็คอื นกั วิจยั ควรตรวจสอบรายการอ้างองิ
ตา่ ง ๆ ในบรรณานุกรมใหค้ รอบคลมุ ครบถว้ นแหล่งอ้างอิงทีไ่ ด้อา้ งไว้ในเนื้อหาท้งั หมด และตรวจสอบ
รปู แบบการเขยี นใหถ้ ูกต้องตามท่ีกำหนด ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
จากแนวทางในการเขียนโครงการวิจัย ที่กล่าวมาสามารถสรุปได้ว่า โครงการวิจัยจะมี
แนวทาง การเขียนแต่ละหัวข้อที่ถูกต้องตามระเบียบวิธีวิจัย โดยเขียนรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนและ
รอบคอบ เพ่ือนำไปสู่การกำหนดระยะเวลาท่ีจะใช้ดำเนินการวิจัยและการกำหนดแผนดำเนินการวิจัย
เพื่อให้สอดคล้องกับกิจกรรมที่จะดำเนินการซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อ
ค้นพบหรอื คำตอบทผ่ี ู้วจิ ยั คาดคะเนไวล้ ่วงหน้า
11.5 สรุป
โครงการวิจัยเป็นเอกสารที่นักวิจัยจัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอถึงประเด็นปัญหาวิจัยที่ต้องการจะ
ทำการศึกษาศึกษา โดยโครงการวจิ ยั จะมรี ายละเอียดประกอบด้วยหวั ขอ้ ความเปน็ มาและความสำคัญ
ของปัญหา วัตถุประสงค์การวิจัย สมมุติฐานการวิจัย (ถ้ามี) วิธีดำเนินการวิจัย งบประมาณ และ
แผนปฏิบัติการวิจัย เมื่อดำเนินการจัดทำโครงการวิจัยเสร็จนักวิจัยจะทำการเสนอโครงการเพื่อขอ
อนุมัตดิ ำเนนิ การหรอื ขอทนุ สนับสนนุ การวิจยั ต่อไป
โครงการวิจัยจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการวิจัยของ
นกั วจิ ัยนอกจากนย้ี งั ใชเ้ ป็นหลกั ฐานเพ่ือตรวจสอบการดำเนนิ งานตามแผนท่วี างไว้ และใช้เปน็ เอกสาร
เพื่อขออนุมัติการทำวิจัยจากแหล่งทุนต่าง ๆ ทั้งนี้โครงการวิจัยจะมีแนวทางการเขียนแต่ละหัวข้อที่
ถูกต้องตามระเบียบวิธีวิจัย โดยเขียนรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบ เพื่อนำไปสู่การกำหนด
ระยะเวลาที่จะใช้ดำเนินการวิจัย และการกำหนดแผนดำเนินการวิจัยเพื่อให้สอดคล้องกับกิจกรรมท่ี
จะดำเนินการซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อค้นพบหรือคำตอบที่ผู้วิจัย
คาดคะเนไวล้ ่วงหน้า
195
11.6 คำถามทบทวน
1. จงอธิบายลักษณะของโครงการวิจยั
2. จงอธิบายความสำคญั ของการเขยี นโครงการวิจยั
3. จงระบุองค์ประกอบของโครงการวิจัยมาให้ครบถ้วน พร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดแต่ละ
องค์ประกอบ
4. แผนปฏบิ ตั กิ ารวจิ ยั มีไวเ้ พื่ออะไร จงอธบิ าย
5. โครงการวจิ ัยมหี วั ข้อผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู หรือไม่ เพราะเหตใุ ด
11.7 เอกสารอ้างองิ
กรรณกิ าร์ ภริ มยร์ ตั น์. (2558). เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าการวิจยั เพื่อพฒั นาการเรียนรู้
(EDU3102). กรงุ เทพมหานคร: คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สวนสุนันทา.
วรรณี แกมเกตุ. (2555). วิธวี ิทยาการวิจัยทางพฤตกิ รรมศาสตร์ . พมิ พค์ ร้งั ท่ี 3. กรงุ เทพมหานคร:
โรงพิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วาโร เพง็ สวสั ดิ.์ (2551). วิธวี ิทยาการวิจัย. กรุงเทพมหานคร: สวุ ีรยิ าสาส์น.
สมคดิ พรมจุ้ย. (2554). การเขยี นโครงการวิจยั : หลักการและแนวปฏิบัติ. พิมพค์ รัง้ ท่ี 4.
กรงุ เทพมหานคร : จตุพร ดีไซน์.
สวุ มิ ล ว่องวาณิช และนงลกั ษณ์ วิรชั ชยั . (2554). แนวทางการใหค้ ำปรกึ ษาวทิ ยานิพนธ์.
พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2.กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
สวุ มิ ล ติรกานันท์. (2551). ระเบียบวิธีการวจิ ัยทางสังคมศาสตร:์ แนวทางสกู่ ารปฏิบตั .ิ
พมิ พค์ รัง้ ที่ 7.กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
บทท่ี 12
การวจิ ยั ในชั้นเรยี น
การวจิ ัยในช้ันเรียนเริ่มเข้ามามบี ทบาทอย่างจริงจังในแวดวงการศึกษาตั้งแต่มีการประกาศใช้
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่งกำหนดให้สถานศึกษาส่งเสริมให้ครูสามารถทำวิจัย
ในชั้นเรียนได้ การทำวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้สอนมีเป้าหมายหลักเพื่อเป็นการแก้ปัญหา หรือพัฒนา
ผู้เรียนทั้งในด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ โดยการใช้กระบวนการวจิ ัยเข้ามาชว่ ย
ในการค้นหาคำตอบในประเด็นที่ ครูสงสัยหรือต้องการจะพัฒนาผู้เรียน ซึ่งต้องอาศัยนวัตกรรมทาง
การศึกษาทจี่ ะนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพอื่ ใหผ้ ูเ้ รยี นบรรลุตามจุดมุ่งหมายท่ีครูได้กำหนด
ไว้ตามหลกั สตู ร
12.1 ความหมายของการวจิ ัยในช้ันเรยี น
มีผู้ให้ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียนไวห้ ลายท่านดงั น้ี
พิสณุ ฟองศรี (2551: 4) ได้ให้ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียน หมายถึง การวิจัยที่มี
ขอบเขต ขั้นตอน และกระบวนการที่นอ้ ยกว่า การวิจัยทั่วไป หรือยืดหยุ่นกว่า มีลักษณะเป็นทางการ
น้อยกว่าทำโดยครูผู้สอนภายในห้องเรียนหรือภายใต้ความรับผิดชอบของตน เน้นการนำผลไปใช้จรงิ
เพือ่ แกป้ ัญหาหรอื พฒั นานกั เรยี น่
รัตนะ บัวสนธ์ (2552: 94) ได้ให้ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียน หมายถึง การวิจัยที่มุ่ง
ค้นหาความจรงิ เกีย่ วกับปัญหาการเรียนการสอนในชนั้ เรยี นหนึ่ง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำความรู้ที่
ได้รับมาใช้ในการแก้ปัญหาการเรียนของนักเรียนในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการ
สอนของครู
อนุวัติ คุณแก้ว (2555: 37) ได้ให้ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียน หมายถึง การวิจัยเชิง
ปฏิบัติการ และมีลักษณะเป็นการวิจัยและพัฒนาเป็นการวิจัยที่ทาโดยครู เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นใน
ห้องเรียน และนำผลมาใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอน การวิจัยประเภทนี้มีจุดมุ่งหมายเพ่ือ
พฒั นาการเรยี นการสอนให้เกดิ ประโยชน์สูงสดุ
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2557: 23) ได้ให้ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียน หมายถึง การวิจัย
ปฏิบัตกิ ารที่มเี ป้าหมายเพื่อแก้ปญั หาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผ้เู รยี น โดยครเู ป็นผู้มบี ทบาทสำคัญใน
การวางแผนแก้ปัญหา โดยศึกษาสภาพการณ์ หรือ ปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับผู้เรี ยนและครู
แสวงหาวิธีการหรอื นวตั กรรมในการแก้ปัญหาหรือพฒั นาการเรียนรู้ ปฏิบัติการแก้ ปัญหาหรือพัฒนา
สังเกตผลหรือตรวจสอบผลการแก้ปัญหา และสะท้อนผลกลับต่อการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้
ของผู้เรียนเพื่อหาทางปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนบรรลุผลสำเร็จของการแก้ ปัญหาห รือ
พัฒนาการเรยี นรู้ของผเู้ รียน
197
สุวิมล ว่องวาณิช (2559: 21) ได้ให้ความหมายของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน หมายถึง
การวจิ ยั ท่ีทำโดยครูผสู้ อนในชัน้ เรียน เพือ่ แก้ไขปัญหาทีเ่ กิดข้ึนในชั้นเรยี น และนำผลมาใช้ในการ
12.2 ความสำคญั ของการวิจยั ในชน้ั เรยี น
มีผ้กู ลา่ วถึงความสำคญั ของการวิจยั ในชนั้ เรียนไวด้ งั นี้
ครุรกั ษ์ ภิรมยภ์ ักษ์ (2543: 5) ไดก้ ล่าววา่ การวิจยั ปฏิบัตกิ ารในช้ันเรยี นมคี วามสำคัญพอสรุป
ได้ ดงั น้ี
1. เป็นเครื่องมือสำคัญของครูในการพัฒนาวิถีชีวิตความเป็นครูไปสู่ความเป็นครูมืออาชีพ
เพราะการวจิ ัยในชนั้ เรยี นจะชว่ ยให้ครูเปน็ นักแสวงหาความรู้และวธิ ีการใหม่ ๆ อยูเ่ สมอ ซ่ึงจะช่วยให้
ครูมีความร้อู ย่างกว้างขวางและลุม่ ลึก ทำงานอยา่ งมเี หตผุ ล สร้างสรรค์ และเปน็ ระบบ
2. เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรและการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ทำให้
งานของครูมีลักษณะเป็นพลวัต มีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวก้าวไหข้างหน้าไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ เกิด
นวัตกรรมทีท่ นั สมยั นำมาใช้ในการแก้ปัญหาการเรยี นการสอนไดท้ ันทว่ งที
3. เปน็ เคร่อื งมือสำคัญทีจ่ รรโลงวิชาชีพครูให้มีความเข้มแขง็ เพราะผลจากการวจิ ยั ในช้ันเรียน
จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสำเร็จในการทำงานของครูได้อย่างเป็นรูปธรรม นั่นก็คือ การเปลี่ยนแปลงไป
ในทางท่ีพงึ ประสงค์ของผู้เรยี นตามท่ีครู ต้องการและเป็นไปตามความคาดหวังของสังคมทั้งตัวครูและ
ผูเ้ รยี น
อนวุ ัติ คุณแก้ว (2555: 22) ได้กลา่ วถึงความสำคัญของการวจิ ัยในชน้ั เรยี นไวด้ งั นี้
1. ความสำคญั ตอ่ นักเรียน เพราะการวิจัยในชั้นเรียนจะช่วยใหค้ รูได้ทราบปญั หาต่าง ๆ ไม่ว่า
จะเป็นปัญหาในการเรียน หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่าง ๆ เพื่อหาทางแก้ปัญหา ส่งเสริม
พัฒนาการเรียน และพฤติกรรมของนกั เรียนให้ดขี ้นึ
2. ความสำคัญต่อครูการวิจัย ในชั้นเรียน จะช่วยให้ ครูได้ทราบผลย้อนกลับในการจัด
กจิ กรรมการเรียนการสอนว่ามีปญั หาสิง่ ใดบ้าง ที่นกั เรียนยงั ไมเ่ ข้าใจ จงึ ทำการวจิ ยั เพ่ือแก้ปัญหาและ
พัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถนำผลงานวิจยั ในชั้นเรียนเสนอเปน็ ผลงาน
ทางวิชาการ เพอื่ ความกา้ วหนา้ ในชวี ิตราชการ
3. ความสำคัญต่อโรงเรยี น การวิจัยในชนั้ เรยี นของครูผสู้ อน จะช่วยใหโ้ รงเรยี นมคี ณุ ภาพและ
ช่วยในการสนับสนุนการประกนั คณุ ภาพภายในของโรงเรียน เพอื่ รองรบั การประเมนิ คณุ ภาพภายนอก
ได้เปน็ อยา่ งดี ซึ่งจะทำให้โรงเรียนมีช่อื เสยี ง เปน็ ท่ยี อมรบั ของสงั คม
4. ความสำคัญต่อวิชาชีพครู การวิจัยในชั้นเรียนจะทำให้ครู ได้มีการพัฒนานวัตกรรมทาง
การศึกษา ซึ่งช่วยให้เกิดองค์ความรู้ มีแนวทางการแก้ปัญหาที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือเป็นผลทำให้
วิชาชีพครูมมี าตรฐานยิ่งขนึ้
198
5. ความสำคญั ต่อการพัฒนาประเทศ การวิจยั ในชน้ั เรยี นจะช่วยให้นักเรียน ได้รับการพัฒนา
ด้วยวิธกี ารที่เชือ่ ถือได้ ทำให้ผู้เรยี นที่จบการศึกษาแล้วมีความรู้ ความสามารถ และทักษะต่าง ๆ เป็น
อยา่ งดี สง่ ผลทำให้ประเทศมีทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ ซึง่ จะเป็นกำลงั สำคัญในการพัฒนาประเทศ
ใหเ้ จรญิ กา้ วหน้ามากขนึ้
สุวิมล ว่องวานิช (2559: 24-25) ได้กล่าวถึงความสำคัญและความจาเป็นของการวิจัย
ปฏิบตั กิ ารในช้นั เรียนไวด้ ังนี้
1. ให้โอกาสครูในการสร้างองค์ความรู้ ทักษะการทำวิจัย การประยุกต์ใช้การตระหนักถึง
ทางเลอื กท่ีเปน็ ไปไดท้ ่ีจะเปล่ียนแปลงโรงเรียนใหด้ ขี ึ้น
2. เป็นการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงหรือสะท้อนผลการ
ทำงาน
3. เปน็ ประโยชนต์ ่อผู้ปฏิบตั ิโดยตรง เนอ่ื งจากช่วยพัฒนาตนเองด้านวชิ าชพี
4. ช่วยทำให้เกิดการพัฒนาที่ต่อเนื่อง และเกิดการเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการวิจัยในท่ี
ทำงาน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อองค์กร เนื่องจากนำไปสู่การปรับปรุง เปลี่ยนแปลงการปฏิบัติ และการ
แกป้ ญั หา
5. เป็นการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติในการวิจัยทำให้กระบวนการวิจัยมี
ความเปน็ ประชาธปิ ไตย ทำให้เกดิ ยอมรบั ในความรขู้ องผ้ปู ฏบิ ัติ
6. ช่วยตรวจสอบวิธกี ารทำงานของครูทมี่ ปี ระสทิ ธผิ ล
7. ทำใหค้ รูเป็นผู้นำการเปลยี่ นแปลง
จากความสำคัญของการวิจัยในชั้นเรียนที่ กล่าวมาสามารสรุปได้ว่าการวิจัยในชั้นเรียนมี
ความสำคัญเริ่มจากผู้เรียนที่ครูหาวิธีการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนโดยการสร้างนวัตกรรมทาง
การศึกษามาช่วยในการจัดการเรยี นการสอน นอกจากจะมีความสำคัญต่อผเู้ รยี นแลว้ ยงั มีความสำคัญ
ต่อครูผู้สอนที่จะพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของตนเองและพัฒนาทักษะการทำวิจัย เพื่อนำไปสู่
การขอผลงานทางวิชาการ ขณะเดียวกับสถานศึกษายังได้รับผลจากการทำวิจัยของครูผู้สอนที่จะนำ
ผลงานไปประเมินสถานศกึ ษา
12.3 ขนั้ ตอนการทำวิจัยในชนั้ เรียน
การดำเนินการวิจัยในชั้นเรียนมีกระบวนการหรือขั้นตอนที่ดำเนินการคล้ายกับการวิจัยทาง
การศึกษาทั่วไป ๆ แต่จะมีขั้นตอนการวเิ คราะห์สภาพปัญหาและการนำนวัตกรรมมาใชใ้ นการพัฒนา
หรือปรับปรงุ ผู้เรียนใหบ้ รรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้หรือคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามทีห่ ลกั สตู ร
การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานกำหนดไว้ ทง้ั นม้ี ผี กู้ ล่าวถึงขน้ั ตอนการวิจยั ในชัน้ เรียนไว้หลายทา่ น ดังน้ี