The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by asreeth60, 2021-10-21 22:56:47

วิชาวิจัย

วิชาวิจัย

84

วิจัย ข้อคำถาม วัตถุประสงค์ สมมุติฐาน การกำหนดตัวแปรและกรอบแนวคิดว่าเป็นที่พอใจหรือยัง
จะปรับปรงุ อะไรใหห้ นักแน่นขน้ึ เพอ่ื ยนื ยันความถูกต้อง ความสมบรู ณ์ของเรื่องวิจัยและตัดสินใจวาง
แผนการวิจัยใหส้ อดคล้องกบั เรือ่ งวิจัย

2. การกำหนดระเบียบวิธีการวิจัย จากขอบเขตของเรื่องวิจัยจะช่วยให้นักวจิ ัยซึ่งจะ
เป็นสถาปนิกออกแบบการวิจัยตัดสินใจว่าจะเลือกวิธีการวิจัยอย่างไร โดยทั่วไปแล้วการกำหนด
ระเบยี บวิธีการวจิ ยั มดี งั ต่อไปน้ี

2.1 การเลือกประเภทการวจิ ยั
2.2 การศึกษาข้อมูล คือ การศึกษาข้อมูลทุติยภูมิจากวรรณกรรมต่าง ๆ
และข้อมลู ปฐมภูมจิ ากประชากรหรือกลมุ่ ตัวอย่าง เปน็ ต้น
2.3 เลือกประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เป็นใคร กลุ่มไหน อยู่ที่ไหน จะ
คัดเลือกอยา่ งไรวิธกี ารส่มุ อยา่ งไร และใช้จำนวนเทา่ ใดเพื่อสะดวกในการวเิ คราะห์ข้อมูลทางสถิติ
2.4 เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ถ้าหากเป็นการวิจัยเชิงสำรวจและ
เชงิ คณุ ภาพจะใช้เครือ่ งมืออะไรเกบ็ ข้อมูล โดยพิจารณาถงึ ระดับการศกึ ษาของกลุม่ ตัวอย่างด้วย
2.5 การวิเคราะห์ข้อมูล ถา้ เปน็ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณต้องระบุชนิด
สถติ ทิ ี่ใช้มาตรวัดตัวแปร และโปรแกรมที่ใช้วเิ คราะห์ ส่วนข้อมลู เชงิ คุณภาพก็ต้องระบุว่าจะวิเคราะห์
เน้อื หาเพ่อื การสรา้ งรปู แบบ เปน็ ตน้
3. การกำหนดแผนกิจกรรม การระบุกจิ กรรม และขนั้ ตอนการดำเนินการวิจัยต้ังแต่
เริม่ ตน้ จนสำเรจ็
4. การกำหนดทรัพยากรที่ใช้ ประกอบด้วย บุคลากร เงินงบประมาณ และวัสดุ
อปุ กรณ์ทจ่ี ำเปน็ ตอ้ งใชอ้ ย่างชดั เจน
5. การจัดทำโครงการวิจัย เมื่อออกแบบการวิจัยตามขั้นตอนต่าง ๆ เหมาะสมแล้ว
สถาปนิกออกแบบการวิจัยก็จัดทำหรือเตรียมโครงการวิจัยให้สมบูรณ์ เพื่อใช้สำหรับเสนอขอทุนการ
วจิ ยั หรือเป็นค่มู ือของนักวจิ ยั ตอ่ ไป
วรรณี แกมเกตุ (2555: 120-123) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการออกแบบการวิจัยว่าเมื่อผู้วิจัยได้
ตัดสินใจเลือกประเด็นปัญหาที่จะวิจัย โดยได้มีการกำหนดคำถามการวิจัย วัตถุประสงค์ของการวิจัย
และขอบเขตของการวิจัย รวมทั้งการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแนวคิด ทฤษฎี และรายงานการวิจัยท่ี
เก่ียวขอ้ งแล้วงานท่ีสำคญั ในขน้ั ตอนตอ่ ไปกค็ ือ การออกแบบการวิจยั วธิ ีการออกแบบการวจิ ัยไมว่ ่าจะ
เป็นการวจิ ัยประเภทใด มีหลักการคล้ายคลึงกัน แต่อาจมีส่วนที่แตกต่างกนั บ้างในรายละเอียดวิธีการ
ออกแบบการวิจยั ที่จะกลา่ วตอ่ ไปนเี้ ปน็ วธิ กี ารโดยทว่ั ๆ ไป ซึง่ แบ่งออกเป็น 2 ขัน้ ตอนหลกั ดังน้ี
1. การเลือกประเภทหรอื รปู แบบของการวิจยั
เนือ่ งจากการวิจยั มีหลายประเภท แตล่ ะประเภทเหมาะสมกับปัญหาการวิจยั แตกตา่ งกัน การ

85

ที่จะตัดสินใจเลือกใช้การวิจัยประเภทใดขึ้นอยู่กับธรรมชาติของปัญหาการวิจัยนั้นว่าเหมาะสมกับ
รูปแบบใด ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการวิจัยว่าต้องการแสวงหาความรู้อะไร ในลักษณะใด ตอบ
คำถามการวิจัยอะไร และขึ้นอยู่กับสถานภาพของความรู้เกี่ยวกับปัญหาการวิจัยขณะนั้นว่าก้าวหน้า
ถึงระดับใด นักวิจยั ตอ้ งพิจารณาใหร้ อบคอบก่อนตดั สนิ ใจเลอื กแนวทางและออกแบบการวจิ ยั

การเลือกประเภทหรือรูปแบบการวิจัย นอกจากจะขึ้นอยู่กับ ปัญหาหรือคำถามการวิจัยเป็น
หลกั และองค์ประกอบดงั กล่าวข้างต้นแล้ว ในทางปฏบิ ตั อิ าจจำเป็นต้องพิจารณาปจั จัยอ่นื ๆร่วมด้วย

1.1 ทรัพยากร การออกแบบการวิจัยจำเป็นต้องพิจารณาถึงทรัพยากรทั้งกำลังคน
งบประมาณ และเวลาที่มีอยู่ เช่น ถ้าต้องการทดสอบสมมุติฐานบางอย่างในเวลาและงบประมาณอัน
จำกดั อาจจำเปน็ ตอ้ งเลือกรูปแบบการวิจัยเชิงวิเคราะหย์ ้อนหลงั (retrospective research) แต่ถ้ามี
งบประมาณมากพอและต้องการผลที่เชื่อถือได้มากขึ้น ก็อาจเลือกใช้รูปแบบการวิจัยเชิงวิเคราะห์ไป
ขา้ งหนา้ (prospective research)

1.2 ประชากรท่ีศึกษา โดยการพิจารณาขนาดกลุม่ ตัวอย่างวา่ เพียงพอหรือไม่สำหรับ
รปู แบบการวจิ ยั ชนดิ น้นั ๆ เชน่ การศกึ ษาเชิงวเิ คราะห์ไปขา้ งหนา้ ตอ้ งใชต้ ัวอยา่ งค่อนขา้ งมาก เพราะ
ต้องใช้เวลายาวนานในการติดตามศึกษาหากกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษามีจำนวนน้อย หรือถ้าเลือก
ทำการศกึ ษากับกลุ่มประชากรทมี่ ีการเคลอ่ื นยา้ ยมากก็จะมีผลกระทบตอ่ การศึกษาได้

2. การออกแบบการดำเนนิ การวิจยั
การออกแบบการดำเนินการวิจัยหรือการกำหนดแนวทางการวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบต่อ
ปัญหาการวิจัยที่มีทั้งความตรงภายในและความตรงภายนอกนั้น นักวิจัยจะต้องดำเนินการออกแบบ
3 อย่าง คือ การออกแบบการวัดตัวแปร (measurement design) การออกแบบการสุ่มตัวอย่าง
(sampling design) และการออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล (analysis design)

2.1 การออกแบบการวัดตวั แปร (Measurement Design)
การออกแบบการวดั ตวั แปร เปน็ การออกแบบการวิจัยในสว่ นที่เป็นการกำหนดข้อมูลหรือวัด
ค่าของตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม รวมทั้งการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนเพื่อให้ผลการวิจัยมีความ
ตรงภายในสูง การวดั ค่าของตัวแปร ตามกรอบแนวคิดและสมมุติฐานของการวิจยั นักวิจัยตอ้ งกำหนด
ว่าตัวแปรอะไรบ้างที่ศึกษาในการวิจัย และจัดแบ่งประเภทวา่ ตวั แปรใดเป็นตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม
ตัวแปรแทรกซ้อน แล้วสร้างนิยามปฏิบัติการโดยการแปลงคุณลักษณะที่เป็นนามธรรมตามทฤษฎี
ออกมาเป็นรูปธรรมที่สามารถวัดได้จากนิยามปฏิบัติการที่ได้ นักวิจัยต้องนำมาเป็นข้อมูลในการ
กำหนดเคร่ืองมือและวธิ ีการรวบรวมข้อมลู เก่ียวกับตวั แปรนน้ั ๆ ให้มคี วามแมน่ ตรง เชือ่ ถอื ได้ นกั วิจัย
ต้องกำหนดรายละเอียดของการสร้างเครื่องมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างชัดเจน ถ้าเป็นการ
วิจัยเชิงทดลอง ต้องกำหนดรายละเอียดของการดำเนินการทดลอง การจัดกระทำตัวแปร และวัดตัว
แปรตามให้ชัดเจน

86

2.2 การออกแบบการส่มุ ตวั อย่าง (Sampling Design)
การออกแบบการสุ่มตัวอย่างเป็นการกำหนดรูปแบบ ขอบเขต และแนวทางการดำเนินงาน
เพื่อให้ได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาเป็นตัวแทนของประชากร โดยมีเป้าหมายที่สำคัญของการ
ออกแบบการสุ่มตัวอย่างคือ เพื่อให้ผลการวิจัย ที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างสามารถสรปุ อ้างอิง(inference)
ไปยัง ประชากรเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง หรือสามารถนำผลการวิจัยไปสรุป ใช้(generalize) ใน
สถานการณ์อื่นที่คล้ายคลงึ กันได้อย่างถูกต้อง ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า เพื่อให้ผลการวิจัยมีความตรง
ภายนอก (external validity) นัน่ เอง
หัวใจสำคัญของการออกแบบการสุ่มตัวอย่างจึงอยู่ที่การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างท่ี
เหมาะสมและการเลือกเทคนิคการสุ่มตัวอย่างที่ดี ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมควรเป็นขนาด
กลุ่มตัวอย่างที่ถูกต้องตามหลักสถิติ และควรเป็นขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่พอเหมาะตามหลักปฏิบัติ
คือเป็นขนาดที่เป็นไปได้ภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด เทคนิคการสุ่มตัวอย่างที่ดีควรเป็นเทคนิคการ
สุ่มตัวอย่างที่ไม่ลำเอียงและปราศจากอคติ ควรเป็นวิธีเปิดโอกาสให้ทุกหน่วยของประชากรมีโอกาส
เท่า ๆ กัน ที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นการสุ่มตัวอย่างที่อาศัยความน่าจะเป็น
(probability sampling) ไม่ควรใช้เทคนิคการสุ่มที่ไม่ได้คำนึงถึงความน่าจะเป็น (non-probability
sampling) ถ้าไม่จำเป็นเพราะเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้กลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นตัวแทนที่ดีของ
ประชากรเป้าหมาย
การสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น (probability sampling) แบ่งออกเป็น 5 วิธี
ได้แก่ การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (simple random sampling) การสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ
(systematic random sampling) การส่มุ ตวั อยา่ งแบบแบ่งชน้ั (stratified random sampling)การ
สุ่มตัวอย่างแบบยกกลุ่ม (cluster random sampling) และการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน
(multi-stage random sampling)
การสุ่มตัวอย่างดังกล่าวข้างต้นทำให้สามารถสรุป อ้างอิง ผลการวิจัยไปยังกลุ่มประชากร
เป้าหมายได้ด้วยวิธีการทางสถิติ แต่ในบางกรณีนักวิจัยไม่สามารถใช้วิธีการดังกล่าวได้เพราะมี
ข้อจำกัดต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงต้องอาศัย การเลือกตัวอย่างอีกแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า การเลือก
ตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น (non-probability sampling) ได้แก่ การเลือกตัวอย่างแบบ
เฉพาะเจาะจง (purposive sampling) การเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญ (accidental sampling)การ
เลือกตัว อย่างแบบโคว ตา ( quota sampling) และการเลือกตัวอย่างแบบก้อนหิมะ
(snowball sampling)
การเลือกตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็นนี้ มักจะใช้เพื่อความสะดวกและมีเวลาจำกัด
ในการศึกษา หรือต้องการศึกษาเฉพาะกรณี (case study) ซึ่งผลการวิจัยที่ได้ไม่สามารถนำไปสรุป

87

อ้างอิงยังประชากรได้ การสรุปผลจะทาได้เฉพาะกลุ่มที่ทำการศึกษาหรือภายใต้สถานการณ์ที่มี
เงอื่ นไขเชน่ เดยี วกนั หรอื คล้ายคลึงกนั เทา่ นัน้

2.3 การออกแบบการวิเคราะหข์ ้อมูล (Analysis Design)
การออกแบบการวเิ คราะห์ข้อมูล เปน็ การเลอื กใช้แบบการวิเคราะห์ขอ้ มูล หรือใช้วิธีการทาง
สถิติที่เหมาะสมในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตอบปัญหา วัตถุประสงค์ และสมมุติฐานของการวิจัยได้
อย่างถูกต้อง โดยมีปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการพิจารณาเลือกใช้วิธีการทางสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล
ประกอบด้วย วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการวิจัย ระดับการวัดของตัวแปร จำนวนตัวแปรขนาด
และจำนวนกล่มุ ตวั อยา่ งประชากร เป็นต้น
การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัย มี 2 ประเภท คือ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ
(quantitative data analysis) และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ (qualitative data analysis)

2.3.1 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นการวิเคราะห์โดยใช้วิธีการทาง
สถิติ ซึ่งประกอบด้วย สถิติเชิงบรรยาย (descriptive statistics) และสถิติเชิงสรุปอ้างอิง
(inferential statistics)

1) สถิติเชิงบรรยาย เป็นสถิติที่มุ่งเสนอสารสนเทศเพื่อบรรยาย
ลักษณะข้อมูลเฉพาะของกลุ่มตัวอย่างหรือประชากรตามข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้ โดยไม่นำไปใช้
อธิบายหรือสรุปอ้างอิงไปยังกลุ่มตัวอย่างหรือประชากรกลุ่มอื่น ๆ สถิติที่ใช้ เช่น ความถี่ ร้อยละ
ค่าเฉลี่ย สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน เป็นต้น

2) สถิติเชิงสรุปอ้างอิง เป็นสถิติที่ศึกษาเกี่ยวกับข้อมูล จากกลุ่ม
ตัวอย่าง (sample data) เพื่อประมาณค่า (estimate) คาดคะเน (prediction) สรุปอ้างอิง
(generalization)หรือนำไปสู่การตัดสินใจไปยังประชากรเป้าหมายในแง่ที่ทำการศึกษาสถิติที่ใช้ เช่น
Z-test, t-test,ANOVA เป็นต้น

2.3.2 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู เชงิ คุณภาพ เปน็ การวิเคราะห์ข้อมลู โดยใช้หลกั
ความเป็นเหตุเป็นผล วิธีการที่นยิ มใชไ้ ดแ้ ก่ การวเิ คราะห์เน้ือหา (content analysis)

จากขั้นตอนการออกแบบการวิจัยที่กล่าวมาสรุปได้ว่าขั้นตอนการออกแบบการวิจัยมีลำดั บ
เริ่มจาก (1) การกำหนดขอบเขตการวิจัย ซึ่งประกอบด้วยการกำหนดประชากร ด้านภูมิศาสตร์ และ
ระยะเวลาดำเนนิ การวจิ ยั (2) กำหนดรูปแบบการวจิ ยั ท้งั นี้ข้นึ อยู่กบั วตั ถุประสงค์การวจิ ัยและลักษณะ
ข้อมูล (3) ออกแบบการดำเนินการวิจัย ซึ่งประกอบด้วยการสุ่มตัวอย่าง การวัดค่าตัว แปรโดยใช้
เครื่องมือการวิจัย และการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของข้อมูล ถ้าเป็นข้อมูลเชิงปริมาณจะ
เกี่ยวข้องกับสถิตทิ ี่ใช้ แต่ถ้าเป็นข้อมูลเชิงคณุ ลักษณะจะเปน็ การวิเคราะห์เนื้อหา (4) กำหนดเวลาใน
การดำเนินการวจิ ยั และ 5) กำหนดงบประมาณทใ่ี ช้ดำเนนิ การวิจยั

88

6.4 ลักษณะของการออกแบบการวจิ ยั
มผี กู้ ลา่ วถงึ ลักษณะของการออกแบบการวจิ ยั ไว้ดงั น้ี
วรรณี แกมเกตุ (2555: 111-119) กลา่ วว่าลักษณะของการออกแบบการวจิ ัยทด่ี ีมี 2

ประการดังน้ี
1. ความตรงภายใน (Internal Validity)
ความตรงภายใน หมายถึง ความตรงของแบบการวิจัยว่าสามารถตอบปัญหาการวิจัยได้

หรือไม่ มีการควบคมุ ตวั แปรแทรกซ้อน (extraneous variables) ทไ่ี มอ่ ยู่ในขอบข่ายของการวจิ ัย แต่
สง่ ผลตอ่ การวิจัยได้ดีเพยี งใด ลดความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไดม้ ากเพียงใด หรอื กลา่ วอีกอย่างหน่ึงได้
วา่ ความตรงภายใน หมายถึง การทีผ่ ลการเปล่ียนแปลงของตัวแปรตาม (dependent variable) เป็น
ผลมาจากตัวแปรอิสระ (independent variable) ที่ใช้ในการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีผลมาจากตัวแปร
แทรกซ้อนอ่ืน ๆ นอกเหนือจากตวั แปรท่ีต้องการศึกษาวจิ ัยซง่ึ งานวิจัยจะมีความตรงภายในสูงจะต้อง
มีความคลาดเคลอื่ นของการวัดแปรต่ำ และจะต้องสามารถควบคุมตวั แปรแทรกซ้อนท่ีจะมีอิทธิพลต่อ
ตัวแปรตามได้เป็นอย่างดี รวมทั้งมีกระบวนการวิเคราะห์และแปลความหมายผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ได้อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตรงภายในที่นักวิจัยควรจะต้องพิจารณาควบคุมในการออกแบบ
การวิจยั ได้แก่ ประวัติประสบการณ์ของกลุ่มที่ศึกษา (history) วุฒภิ าวะ (maturation) การทดสอบ
(testing) เครื่องมือวัด (instrumentation) การถดถอยทางสถิติ (statistical regression) การ
คัดเลือกตัวอย่าง (selection) การขาดหายของตัวอย่าง (mortality) และปฏิสัมพันธ์ระหว่างการ
คัดเลือกตวั อย่างและวฒุ ิภาวะของตวั อย่าง ซ่งึ รายละเอียดของปัจจยั ดงั กลา่ วมดี ังนี้

1.1 ประวัติประสบการณ์ของกลุ่มที่ศึกษา (History)
ประวัติประสบการณ์ของกลุ่มที่ศึกษาเป็นความแตกต่างของตัวอย่างที่มีตั้งแต่เริ่มแรกของ
การศึกษา หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างดำเนินการทดลอง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีผลทำให้
เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวแปรตาม ทำให้นักวิจัยไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าผลที่เกิดขึ้นในตัว
แปรตามเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระที่ศึกษา ซึ่งอาจทำให้นักวิจัย สรุปผลการเปลี่ยนแปลงในตัวแปร
ตามว่าเป็นผลมาจากอิทธิพลของตัวแปรอิสระที่ศึกษา หรือสิ่งทดลองที่ให้ไป แต่ความจริงแล้วไม่ได้
เป็นเช่นนั้น ผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจเนื่องมาจากเหตุการณ์พ้อง หรือจากอิทธิพลร่วมกัน
ระหว่างสิง่ ทดลองและเหตุการณ์พ้องก็ได้ เชน่ นกั วจิ ัยตอ้ งการศึกษาผลของการอบรมให้ความรู้ความ
เข้าใจเกี่ยวกับหลักการดำรงชีวิตตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแก่ประชาชนในชุมชนแห่ง
หนึ่ง ว่าจะทำให้ประชาชนมีพฤติกรรมการดำรงชีวิตเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ในระหว่างดำเนินการ
ทดลอง ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพง ทำให้ประชาชนต้อง
ดำรงชีวติ อยา่ งพอเพียง ประหยดั อดออมมากขน้ึ พฤติกรรมการดำรงชีวิตท่เี ปลยี่ นแปลงไปนี้อาจไม่ได้

89

เกิดจากผลของการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจ แต่อาจเกิดจากสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ได้ ดังน้ัน
นักวจิ ยั จึงควรระมัดระวงั ในการสรุปผลการทดลอง

1.2 วฒุ ิภาวะ (Maturation)
วุฒิภาวะ เป็นการเจริญเติบโตหรือการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจของกลุ่ม
ตวั อย่างทท่ี ดลองซึง่ การเปลยี่ นแปลงนี้ อาจเปล่ียนแปลงไปในทางเพิ่มขนึ้ หรอื ลดลงก็ได้ตามระยะเวลา
ที่ผ่านไปในการทดลอง โดยเฉพาะการทดลองที่ใช้ระยะเวลายาวนาน ตัวอย่างมีอายุมากขึ้นมีการ
พัฒนาทางร่างกาย และสติปัญญาเพิ่มขึ้น มีความชำนาญเพิ่มขึ้นในการทดลองระยะสั้น ตัวอย่างอาจ
เกิดอาการเหนื่อย เบื่อหน่ายต่อสภาพการณ์ทดลอง ง่วง หิว มีความเครียดเพิ่มขึ้น มีความสนใจและ
ความพยายามลดลง เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อพฤติกรรมของกลุ่มตวั อยา่ งในการทดลอง ง่วงหิวมี
ความเครียดเพ่ิมข้นึ มคี วามสนใจและความพยายามลดลง เปน็ ต้นปัจจยั เหล่านี้มีผลต่อพฤติกรรมของ
กลุ่มตวั อย่างในการทดลอง ทำใหผ้ ลการทดลองคลาดเคลอื่ นไปจากความเปน็ จรงิ ได้
1.3 การทดสอบ (Testing)
การทดสอบในที่น้ี หมายถงึ การใชเ้ ครื่องมือวดั ตวั แปรตามก่อนการให้สิ่งทดลอง เพ่อื ใช้เป็น
ข้อมูลสำหรับเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรตามเดียวกันภายหลังได้ รับสิ่งทดลองแล้ว
การทดสอบก่อนการทดลองนีอ้ าจทำให้ผู้ถูกทดลองมปี ฏิกิริยาตอบสนองต่อการจัดเก็บข้อมูลครั้งแรก
ได้ เช่น มีความคุ้นเคยในคำถาม หรือวิธกี ารของเครือ่ งมือน้ัน มีความรู้ความชำนาญในเนือ้ หาเพิ่มขนึ้
และอาจมีความคิด เจตคติเปล่ียนไป ดงั นน้ั เม่ือนักวิจัยใช้เครื่องมือชนิดเดียวกันนี้ไปเก็บข้อมูลอีกคร้ัง
หนงึ่ ภายหลงั จากการให้สิ่งทดลองไปแล้ว ผถู้ ูกทดลองอาจแสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป เชน่ ตอบใน
เรื่องที่ต้องการวัดได้ดีขึ้น แสดงความรู้สึกในทางที่เปลี่ยนไปจากก่อนการให้สิ่งทดลองอย่างชัดเจน
รวมทงั้ การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมอ่ืน ๆ ดว้ ย พฤตกิ รรมทีเ่ ปลีย่ นแปลงน้ีอาจเนื่องมาจากอิทธิพลของ
การวัดครง้ั แรกกอ่ นให้สงิ่ ทดลอง ไม่ใชเ่ ป็นเพราะอทิ ธพิ ลของสงิ่ ทดลองที่ให้กบั ตัวอยา่ งก็อาจเป็นไปได้

1.4 เครอื่ งมอื วัด (Instrumentation)
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคลอบคลมุ ถึงเครื่องมือทุกชนิด เช่นแบบทดสอบ
แบบวดั แบบสอบถาม รวมถงึ เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการช่ัง ตวง วัด น้ำยา สารเคมี เปน็ ต้น ซึ่งถือเป็นแหล่ง
ทีท่ ำให้เกดิ ความคลาดเคล่ือนในผลการวจิ ัยได้ หากเคร่อื งมอื ท่ีใชไ้ ม่มีคุณภาพ หรอื เส่ือมประสิทธิภาพ
ไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้น เครื่องมือที่ใช้วัด ตัวแปรในการวิจัย จึงต้องเป็นเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน มี
คณุ ภาพ มคี วามตรง (validity) ความเท่ยี ง (reliability) ซึ่งความคลาดเคลื่อนในผลการวิจัย นอกจาก
จะเกิดจากคุณภาพของเครื่องมือ แล้วยังอาจเกิดจากวิธีการใช้เครื่องมือผู้ใช้เครื่องมือที่ขาดทักษะ
ความชำนาญ หรอื มีผูเ้ ก็บข้อมลู หลายคน อาจใช้เกณฑก์ ารตดั สินผลการวดั และการแปลความหมายไม่
ตรงกัน รวมถึงการเปล่ียนแปลงเครอ่ื งมอื ท่ีใชเ้ ก็บรวบรวมข้อมูล

90

1.5 การถดถอยทางสถิติ (Statistical Regression)
การถดถอยทางสถิติเป็น การเปล่ียนแปลงตามธรรมชาตขิ องขอ้ มลู ที่มี แนวโน้มเบ่ียงเบน
เข้าสู่ค่าเฉลี่ยของกลุ่มเสมอ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อความตรง
ภายในของผลการวิจัย โดยที่มีผลการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรตามไม่ได้เกิดจากอิทธิพลของตัวแปร
อิสระหรือสิ่งทดลอง แต่เป็นอิทธิพลของการถดถอยทางสถิติที่มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย
ซ่ึงมกั จะเกดิ ในกรณีทีม่ กี ารเก็บข้อมูลจากตวั อยา่ งกลุ่มเดยี วกัน 2 คร้ัง หรือมากว่า 2 คร้ังขน้ึ ไปแล้วนา
ขอ้ มูลที่ต้องการศึกษาการเปลี่ยนแปลงในแตล่ ะครั้งมาวิเคราะห์เปรียบเทยี บกัน โดยเฉพาะถ้านักวิจัย
เลือกกลุม่ ตัวอย่างทม่ี ลี ักษณะสดุ โตง่ (extreme) ทางดา้ นใดด้านหน่ึง เชน่ การเลอื กกลมุ่ ที่มีค่าของตัว
แปรที่จะศึกษามีค่าสูงมากหรือต่ำมากผิดปกติ เช่น เก่งมาก-อ่อนมาก สูงมาก-ต่ำมาก ดีมาก-เลวมาก
เปน็ ตน้ เมือ่ นาผลการวัดมาวเิ คราะห์จะพบว่า ผลการวดั ครัง้ แรกกบั คร้งั ทีส่ องจะมกี ารเปลย่ี นแปลงใน
ลักษณะทเ่ี ข้าใกล้คา่ เฉลี่ยของกลุ่ม
1.6 การคัดเลือกตัวอย่าง (Selection)
การคัดเลือกตัวอย่างในการวิจัย ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกตัวอย่างจากประชากร หรือ
การคัดเลือกตัวอย่างเขา้ สู่กลุ่มทดลอง และกลุม่ ควบคุม ถา้ นักวจิ ัยมีความลำเอียงในการเลือกตัวอย่าง
(selection bias) เช่น อาจจะเลือกตัวอย่างที่มีลักษณะที่ดี เป็นผู้ที่เรียนเก่ง ขยัน อดทน แข็งแรง มี
เจตคติที่ดี สวย หล่อ บุคลิกท่าทางดี ไว้ในกลุ่มทดลอง ส่วนตัวอย่างที่มีลักษณะไม่ดีหรือแตกต่างไป
จากกลุ่มทดลอง จัดไปไว้ในกลุ่มควบคุม สภาพความแตกต่างระหว่างกลุ่มดังกล่าว อาจส่งผลให้เกิด
ความแตกต่างในตัวแปรตามที่ต้องการศึกษาอย่างเห็นได้ชัดเจนระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคมุ
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผลการทดลองทีเ่ ปล่ยี นแปลงในกลุ่มตวั อยา่ งทดลอง ไม่ได้เกดิ จากอิทธิพลของ
สิ่งทดลองที่ให้ แต่อย่างใด แต่เกิดเนื่องจากความลำเอียงในการเลือกคุณลักษณะที่ได้เปรียบของ
ตวั อย่างน้ันต่างหาก
ดังนั้น ในการคัดเลือกตัวอย่างในการวิจัย นักวิจัยควรใช้วิธีการสุ่ม (randomization) ทุก
ขนั้ ตอน ถ้าสามารถทำได้ ท้งั ขั้นตอนการเลือกตวั อย่างจากประชากร (random selection) เพื่อให้ได้
กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนที่ดี และขั้นตอนการเลือกตัวอย่างเข้าสู่กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม
(random assignment) เพ่อื ให้ไดร้ ับสง่ิ ทดลองทีแ่ ตกตา่ งกัน
1.7 การขาดหายของตวั อยา่ ง (Mortality)
การขาดหายของตวั อย่างอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ กัน เชน่ จากการเจบ็ ป่วย หรือตายไป
ของตัวอย่าง การถอนตัวจากการเป็นตัวอย่าง การย้ายถิ่นไปอยู่ที่อื่น เป็นต้น ซึ่งโอกาสที่จะเกิด
เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เป็นได้มาก ถ้าการวิจัยหรือการทดลองนั้นใช้ระยะเวลายาวนาน ทำให้จำนวน
ตัวอย่างที่เหลือในขั้นสุดท้าย อาจมีคุณลักษณะไม่เป็นตัวแทนของกลุ่มตัวอย่างที่กำหนดไว้เริ่มต้น
หรือไมส่ ามารถเป็นตวั แทนของประชากรสว่ นใหญ่ที่ต้องการสรุปผลครอบคลุมไปถึงได้ ท้ังนี้เพราะผล

91

การเปล่ยี นแปลงที่เกิดขนึ้ ในขนั้ สุดท้ายอาจเกิดเนื่องจากคุณลักษณะพิเศษของกลุ่มตัวอย่างที่เหลืออยู่
เท่าน้ัน ซึง่ เปน็ คุณลักษณะทีไ่ ม่มีในกลุ่มประชากรหรอื กลุ่มตัวอยา่ งท่ถี อนตวั ออกไป

1.8 ปฏิสัมพันธ์ระหว่างการคัดเลือกตัวอย่างและวุฒิภาวะของตัวอย่าง
(Interaction of Selection and Maturation)

เป็นอิทธิพลร่วมระหว่างความลำเอียงในการเลือกตัวอย่าง กับการเปลี่ยนแปลงตาม
ธรรมชาติของตัวอย่างเอง ไดแ้ ก่ การใชต้ วั อยา่ งในเวลาทแ่ี ตกต่างกนั ออกไป ทำให้ตัวอย่างมีวุฒิภาวะ
แตกต่างกันไปด้วย อิทธิพลร่วมนี้มิใช่มีเพียงแต่อิทธิพลร่วมระหว่างการคัดเลือกตัวอย่างกับวุฒิภาวะ
ของตัวอย่างเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงอิทธิพลร่วมระหว่างการคัดเลือกตัวอย่างกับปัจจัยอื่น ๆ ที่
กลา่ วมาข้างตน้ รวมทง้ั อทิ ธิพลรว่ มระหวา่ งปจั จัยอ่ืน ๆ ดว้ ย

2. ความตรงภายนอก (External Validity)
ความตรงภายนอก หมายถึง ความตรงของแบบการวิจัยว่าสามารถนำผลการวิจัยไปสรุป
อ้างอิง (generalizability) หรือใช้เป็นตัวแทนของประชากร (representativeness) ได้เหมาะสม
เพียงใด ผลการวิจัยจะใช้ได้กับประชากรกลุ่มใด สภาพการณ์ใด ตัวแปรและการวัดลักษณะใด หรือ
กล่าวโดยสรุปได้วา่ ความตรงภายนอก หมายถึง การที่ผลการวิจัยสามารถสรุปอ้างอิงไปยังประชากร
เป้าหมาย เนือ้ หา หรือสภาพการณท์ ีใ่ กล้เคียงกันไดอ้ ยา่ งถูกต้อง
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตรงภายนอกที่นักวิจัยควรจะต้องพิจารณาถึงในการออกแบบการ
วจิ ยั มรี ายละเอยี ดดงั น้ี

2.1 ปฏิสัมพันธ์ระหว่างความลำเอียงของการเลือกตัวอย่างกั บสิ่งทดลอง
(Interaction Effects of Selection Biases and Treatment)

ความลำเอยี งของการเลือกตวั อย่าง อาจทำใหไ้ ดต้ ัวอย่างท่ีมีคุณลักษณะพิเศษแตกต่างไป
จากกลุ่มประชากร ซึ่งคุณลักษณะพิเศษนี้ สามารถมีอิทธิพลร่วมกับสิ่งทดลองหรือตัวแปรอิสระ
มากกว่ากลุ่มประชากรทั่ว ๆ ไปจึงทำให้ผลการวิจัยที่ได้ไม่สามารถที่จะนำไปใช้หรือสรุปอ้างอิงไปยัง
กลมุ่ ประชากรได้

2.2 ปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งการวัดก่อนการทดลองและสิ่งทดลอง (Reactive or
Interaction Effects of Pretesting and Treatment)

การเกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างการวัดก่อนการทดลองกับสิ่งทดลองมีผลทำให้คุณลักษณะ
ของกลุ่มตัวอย่างในการทดลองครั้งนี้แตกต่างจากคุณลักษณะของกลุ่มประชากร ส่วนใหญ่ที่ไม่มีการ
วดั ก่อนการทดลอง จงึ ทำใหผ้ ลการวิจยั ที่ได้ไม่สามารถสรุปอา้ งองิ ไปยังกลุ่มประชากรได้ทั้งนี้เพราะใน
การวัดหรือการทดสอบบางเรื่องก่อนเร่ิมใหส้ งิ่ ทดลองมผี ลทำใหผ้ ู้ถูกวัดมีคณุ ลักษณะเปลย่ี นไป เช่น มี
ความรู้สกึ ทั้งในแง่ดีและในแง่ไม่ดี มีความตื่นตัว ตระหนักหรอื ให้ความสนใจในเร่ืองท่ีถูกวดั เป็นพิเศษ
มากกว่าปกติ คุณลักษณะหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปนี้ผิดปกติจากกลุ่มประชากรส่วนใหญ่ ซึ่งถือว่า

92

เป็นกลุ่มที่ไม่เป็นตวั แทนที่ดีของกลุ่มประชากรท่ัวไป ดังนั้นผลที่เกดิ จากปฏสิ ัมพันธน์ ี้จงึ เปน็ ข้อจำกัด
ในการขยายผลสรุปจากการทดลองหรือการวิจัยครัง้ นไี้ ปส่กู ลมุ่ ประชากรได้

2.3 อิทธิพลของปฏิกิริยาจากผู้ถูกทดลองที่มีต่อวิธีการหรือกระบวนการทดลอง
(Reactive Effects of Experimental Procedures)

กระบวนการทดลอง หรอื วิธกี ารทดลองทเี่ กิดขึ้นในระหว่างดำเนินการทดลอง อาจทำให้
กลุ่มตัวอย่างหรือผู้ถูกทดลองรู้ตัวว่ากำลังถูกทดลอง ทำให้มีปฏิกิริยาตอบสนองเปลี่ยนแปลงไปทั้ง
ในทางที่ดีขึ้น หรือในทางที่ไม่ดีมากขึ้นก็ได้ อิทธิพลของปฏิกิริยาจากผู้ถูกทดลองที่มีต่อกระบวนการ
ทดลองนี้ จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดข้อจำกัดในการนำผลการวิจัยไปใช้กับกลุ่มประชากรส่วนใหญ่
ได้ หรือขาดความตรงภายนอกนนั่ เอง

2.4 ปฏิสัมพันธ์ร่วมของสิ่งทดลองหลายสิ่งหรือหลายวิธี (Reactive Effects of
Multiple Treatments)

ปฏิสัมพันธร์ ว่ มของส่งิ ทดลองหลายสิ่งหรือหลายวิธี หมายถึง การทดลองทีใ่ ห้ ส่ิงทดลอง
หลายสิ่ง หรือหลายวิธีซ้ำ ๆ ต่อเนื่องกันในกลุ่มตัวอย่าง/ผู้ถูกทดลองกลุ่มเดียวกัน ซึ่งอาจมีปัญหาว่า
ผลขั้นสุดท้ายอาจเป็นผลเนื่องมาจากการสะสมของสิ่งทดลองก่อนหน้าน้ีเร่ือย ๆ มา โดยที่ยงั ไม่ไดล้ บ
ปฏิกิริยาของสิ่งทดลองก่อนหน้านั้นออกไปให้หมดเสียก่อน ซึ่งเป็นผลตกค้างที่เรียกว่า “carry over
effect” ทำใหก้ ารสรปุ ผลไม่สามารถสรปุ ไปยังประชากรทั่วไปได้ เพราะประชากรในสภาพท่ัวไปจะไม่
มีการใหส้ งิ่ ทดลองต่อเนื่องซ้ำ ๆ กนั ในลักษณะเดยี วกับสภาพการทดลอง

ณรงค์ โพธิ์พฤกษานันท์ (2557: 109-111) กล่าวว่าการออกแบบการวิจัยนอกจากจะเน้น
ควบคุมตัวแปร การหาคำตอบที่ต้องการแล้วยังต้องออกแบบให้การวจิ ัยมีความเที่ยงตรงด้วย “ความ
ถูกต้อง” แบบของการวิจัย ที่ดีควรจะสามารถควบคุมความเที่ยงตรงภายในและความเที่ยงตรง
ภายนอกได้ ความเที่ยงตรงภายใน หมายถึงความถูกต้องในการที่จะสรุปว่าผลการวิจัยที่เกิดขึ้นนั้นมี
อิทธิพลมาจากตัวแปรต้น หรือสิ่งทดลองจริง หรือไม่ส่วนความเบี่ยงตรงภายนอกนั้น หมายถึง
ความสามารถในการนำผลท่ีได้จากการวิจัยมาสรุปอ้างเปน็ หลักสากลได้หรือไม่ (Generaligability of
the Findings)

การออกแบบการวิจัยเพ่อื ให้ไดผ้ ลการวิจัยหรอื คำตอบทีเ่ ที่ยงตรงสงู จะต้องออกแบบการวิจัย
ให้มี “ความเที่ยงตรงภายในและความเทยี่ งตรงภายนอก” ดงั ต่อไปน้ี

1) ความเทย่ี งตรงภายใน (Internal Validity)
ความเทีย่ งตรงภายในเป็นอทิ ธิพลของตวั แปรอสิ ระท่ไี ดร้ บั การทดลอง ทำให้ตัวแปรตามมี
ความแตกตา่ งตามนยั มี หมายความวา่ ถ้าหากเราได้ออกแบบการวจิ ยั ท่สี ามารถควบคมุ ตัวแปรอิสระ
ทต่ี ้องการศึกษาอยา่ งมีประสิทธิภาพ โดยไมม่ ตี วั แปรอสิ ระท่ไี มต่ ้องการศึกษาหรือตัวแปรอิสระอน่ื
แทรก ผลของการเปล่ยี นแปลงหรือผลความแตกต่างของตวั แปรตามกับตัวแปรอสิ ระนัน้ เป็นผลมาจาก

93

การกระทาของตัวแปรอสิ ระของการทดลองอย่างแทจ้ รงิ และการสรปุ เพ่อื อา้ งองิ ก็จะถูกต้องตาม
สมมุติฐาน

2) ความเท่ยี งตรงภายนอก (External Validity)
ความเที่ยงตรงภายนอกเป็น “ความถูกต้องของการวิจัยที่สามารถสรุปผลอ้างอิงได้อย่าง
ถูกต้อง” การวิจัยที่คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจากประชากร ผลการวิจัยที่ได้จะอ้างอิงไปสู่ลักษณะของ
ประชากร ถ้าหากออกแบบการวิจัยดี ผลการวิจัยมีความเที่ยงตรงภายนอกและมีความเชื่อมั่นสูง
ผลการวิจัยกลุ่มตัวอย่างจะมีความเป็นตัวแทนของประชากรได้อย่างดี อ้างอิงกลับไปยัง ประชากร
ปรากฏการณ์ และเน้อื หาไดถ้ ูกต้อง
ความเชื่อถือได้ (Reliability) หมายถึง “ความน่าเชื่อถือ ความมั่นคง คงที่มีความถูกต้อง
แมน่ ยำและสามารถทำนายได้ ” ตวั อย่างเชน่ คนท่ีมีความเช่อื ถือไดต้ อ้ งเปน็ คนท่ปี ระพฤตอิ ย่างคงเส้น
คงวา มีความเชอื่ ม่นั และสามารถทำนายได้ ไมว่ ่าจะเป็นวันพรงุ่ นี้ และสปั ดาห์ ตอ่ ไปเขากจ็ ะประพฤติ
เหมอื นวันนี้
จากลักษณะของการออกแบบการวิจัยที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่าลักษณะการ
ออกแบบการวิจัยที่ดีนั้นผลการวิจัยต้องมีความเที่ยงตรงทั้งภายในและภายนอก ซึ่งถ้าผลการวิจัย
ความเที่ยงตรงภายในจะบ่งบอกถึงอิทธิพลของตัวแปรอิสระหรือตัวแปรตน้ ส่งผลต่อตวั แปรตามโดยมี
ความคลาดเคล่ือนน้อยที่สุดหรือสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ดี และถ้าผลการวิจัยมีความ
เทยี่ งตรงภายนอกน่นั คือผลการวิจัยสามารถอ้างอิงกลบั ไปยงั ประชากรท่ีทำการศึกษา

6.5 สรปุ
การออกแบบการวิจัยเป็นการวางแผนการดำเนินการวิจัยอย่างรอบคอบถูกต้องและ

เหมาะสมเพื่อนำไปสู่การค้นหาคำตอบของประเด็นที่นักวิจัยตั้งไว้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้คำตอบ
การวิจัยที่มีความเที่ยงตรง มีความแม่นยำ และประหยัดทรัพยากรที่ใช้ในการวิจัย นอกจากนี้ยังมี
จุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมความแปรปรวนที่เกิดขึ้นในการดำเนินการวิจัย โดยการออกแบบการวิจัยมี
ขั้นตอน ได้แก่การกำหนดขอบเขตการวิจัย กำหนดรูปแบบการวิจัย ออกแบบการดำเนินการวิจัย ซ่ึง
ประกอบด้วยการสุ่มตัวอย่าง การวัดค่าตัวแปรโดยใช้เครื่องมือการวิจัย และการวิเคราะห์ข้อมูล
กำหนดเวลาในการดำเนินการวิจัย และกำหนดงบประมาณที่ใช้ดำเนินการวิจัย นอกจากนี้การ
ออกแบบการวิจยั จะนำไปสู่ความเทย่ี งตรงทั้งภายในและความเทีย่ งตรงภายนอก

94

6.6 คำถามทบทวน
1. จงบอกความหมายของการออกแบบการวจิ ยั
2. จงอธิบายจดุ มุ่งหมายของการออกแบบวจิ ยั
3. จงอธิบายข้นั ตอนการออกแบบการวิจัย ท้ังการออกแบบการสมุ่ ตวั อยา่ ง การวดั ค่าตัวแปร

และการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
4. เพราะเหตใุ ดงานวิจัยจึงจำเปน็ ตอ้ งออกแบบการวิจัยกอ่ นดำเนนิ การ
5. สง่ิ สำคัญของการออกแบบการวัดค่าตวั แปรอะไร เพราะเหตุใด จงอธบิ าย

6.7 เอกสารอา้ งอิง
ณรงค์ โพธิ์พฤกษานันท์. (2557). ระเบยี บวธิ ีการวจิ ยั : หลักการ แนวคดิ และเทคนคิ การเขียน

รายงานการวิจยั . พิมพค์ รัง้ ที่ 9. กรุงเทพมหานคร: บรษิ ทั แอคทีฟ พร้ินท์ จำกดั .
พรรณี ลีกจิ วัฒนะ. (2559). วิธกี ารวิจยั ทางการศึกษา. พิมพค์ รั้งท่ี 11. กรุงเทพมหานคร: มนี

เซอร์วิส ซัพพลาย.
พชิ ติ ฤทธจิ์ รูญ. (2559). เทคนิคการวจิ ยั เพอื่ พัฒนาการเรยี นรู้. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพแ์ ห่ง

จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
วรรณี แกมเกต.ุ (2555). วธิ ีวิทยาการวิจัยทางพฤตกิ รรมศาสตร์ . พิมพค์ รัง้ ที่ 3. กรุงเทพมหานคร:

โรงพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
วาโร เพ็งสวัสด.์ิ (2551). วิธีวิทยาการวิจยั . กรุงเทพมหานคร: สวุ รี ิยาสาสน.์
สวุ มิ ล ตริ กานนั ท์. (2551). ระเบียบวิธกี ารวจิ ัยทางสงั คมศาสตร์: แนวทางสู่การปฏบิ ตั .ิ

พมิ พค์ รั้งที่ 7.กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
สวุ มิ ล วอ่ งวาณชิ . (2550). เคล็ดลบั การทำวจิ ัยในชัน้ เรยี น. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 2. กรุงเทพมหานคร: คณะครุ

ศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย
Kerlinger, F.N. (1986). Foundations of Behavioral Research. Japan: CBS College

Publishing.

บทท่ี 7
การสรา้ งเคร่ืองมอื การวจิ ยั

สิ่งสำคัญประการหนึ่งของขั้นตอนการวิจัยคือการสร้างเครื่องมือการวิจัยเพื่อ นำมาใช้
รวบรวมข้อมูลที่นักวิจัยต้องการวัดค่าตัวแปรที่ทำการศึกษา ทั้งนี้หากนักวิจัยมีเครื่องมือวิจัยที่มี
คุณภาพก็จะนำไปสู่ข้อมูลที่มีคุณภาพด้วย ดังนั้น การสร้างเครื่องมือวิจัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่นักวิจัย
จะต้องมีกระบวนการสร้างที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ และมีการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือก่อนจะ
นำไปเก็บรวบรวมข้อมูลกับประชากรหรือกลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษา ซึ่งการตรวจสอบคุณภาพ
เครื่องมือแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันนักวิจัยจึงควรทาความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการสร้างและ
ตรวจสอบคุณภาพเครอ่ื งมือวจิ ยั ดงั น้ี

7.1 ความหมายของเครอื่ งมือการวิจัย
มีผูใ้ หค้ วามหมายของเครื่องมือวิจยั ไวห้ ลายท่าน ดังนี้
รตั นะ บวั สนธ์ (2556: 109) ได้ให้ความหมายของเครื่องมือวจิ ัย หมายถึง เอกสารสิ่งพิมพ์

ที่ทำหน้าที่เป็นสิ่งเร้า โดยให้ บุคคลอ่านแล้วตอบคำถามโดยการเขียนหรือทำเครื่องหมายตอบ ซึ่ง
แบง่ เปน็ หลายประเภท ได้แก่ 1) แบบสำรวจรายการ 2) มาตราสว่ นประมาณค่า 3) แบบสอบถาม
และ 4) แบบทดสอบ

พรรณี ลีกิจวัฒนะ (2559: 169) ได้ให้ความหมายของเครื่องมือวิจัย หมายถึง สิ่งที่ใช้ใน
การเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัย ซึ่งเครื่องมือวัดที่ใช้ในการวิจัยทางการศึกษามีลักษณะที่หลากหลาย
มากอาจจัดเป็น 5 ประเภทใหญ่ ๆ คือ แบบสอบถาม แบบทดสอบ แบบวดั เจตคติ การสมั ภาษณ์ และ
การสังเกต

ไพศาล วรคา (2559: 237) ได้ให้ความหมายของเครื่องมือวิจัย หมายถึง วัสดุ ครุภัณฑ์
และอปุ กรณ์อืน่ ๆ ท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย ซ่งึ ตามความหมายนี้อาจแบ่งเคร่ืองมือวิจยั ออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน
คือครุภัณฑ์การวิจัย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีสภาพคงทนถาวร เช่น เครื่องกลั่นสาร เครื่องบันทึกวีดีโอ
เครื่องบันทึกเสียง เป็นต้น วัสดุประกอบการวิจัย เป็นอุปกรณ์หรือเครื่องมือมีสภาพไม่คงทนถาวร
และใช้ประกอบการดำเนนิ การวิจัย เชน่ บทเรียนสำเร็จรูป แผนการสอน แบบฝกึ หดั และเคร่ืองมือที่
ใช้รวบรวมขอ้ มลู ซึง่ เป็นเคร่อื งมือที่ใช้ในการวดั ค่าของตัวแปรและสำรวจขอ้ เทจ็ จรงิ ของปรากฏการณ์
ซึ่งได้แก่ แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบตรวจสอบรายการ

จากความหมายของเครื่องมือวิจัยที่กล่าวมาสรุปได้ว่า เครื่องมือวิจัย หมายถึง เอกสารที่
นกั วจิ ัยสรา้ งข้ึนมาเพื่อใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลหรือเพื่อวัดค่าตัวแปรท่ีทำการศึกษา เคร่ืองมือวิจัย
จำแนกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบสังเกต ทั้งนี้
นักวิจัยจะเลือกใช้เครื่องมือชนิดใดนั้นต้องขึ้นอยู่กับตัวแปรที่ต้องการวัดเพื่อ นำมาสู่ข้อมูลที่ตอบข้อ

96

คน้ พบของงานวจิ ยั

7.2 ประเภทของเครื่องมือการวจิ ยั
มีผู้กำหนดประเภทเคร่ืองมอื การวิจัยไวห้ ลายทา่ น ดังน้ี
ณฏั ฐภรณ์ หลาวทอง (2559: 9-11) ได้กล่าวถงึ ประเภทของเครอื่ งมอื การวจิ ัยไวด้ งั น้ี
เครื่องมือการวิจัยที่นิยมใช้ในการวิจัยนั้นมีหลากหลายประเภท เช่น แบบสอบถามหรือแบบ

สำรวจ แบบสัมภาษณ์ แบบทดสอบหรือแบบสอบ และแบบสังเกต เครื่องมือเหล่านี้ ยังมีชนิดของ
เครื่องมือแบ่งเปน็ ประเภทย่อย ๆ อกี ในบทนจ้ี ะกลา่ ววา่ เครอ่ื งมอื แตล่ ะชนดิ มีประเภทใดบา้ ง สำหรบั
รายละเอยี ดแต่ละประเภทของเครอ่ื งมือจะนำไปกล่าวในบทอนื่ ๆ ต่อไป

1. แบบสอบถามหรือแบบสำรวจ
1.1 แบบปลายปดิ
- แบบตรวจสอบรายการ
- แบบมาตรประมาณค่า
- แบบจดั อันดับ
- แบบถูก-ผดิ /ใช่-ไม่ใช่
- แบบเลอื กตอบ
1.2 แบบปลายเปิด
- แบบเติมคำ
- แบบตอบสั้น
- แบบความเรียง

2. แบบสมั ภาษณ์
2.1 แบบมีโครงสร้าง
2.2 แบบกึ่งโครงสรา้ ง
2.3 แบบไมม่ โี ครงสร้าง

3. แบบทดสอบหรือแบบสอบ
3.1 จัดประเภทตามการแปลความหมาย
(1) แบบสอบแบบอิงกลุ่ม
(2) แบบสอบแบบอิงเกณฑ์
3.2 จดั ประเภทตามการตอบ
(1) แบบกำหนดคำตอบให้เลือก (select-response test)
- แบบสอบถูกผดิ (true or false)

97

- แบบสอบจับคู่ (matching)
- แบบสอบเลอื กตอบ (multiple choice)
(2) แบบกำหนดคำตอบข้นึ มาเอง (supply-response test)
- แบบสอบเตมิ คำ (completion)
- แบบสอบตอบส้ัน (short answer)
- แบบสอบกำหนดขอบเขตคำตอบ (restricted response)
- แบบสอบไม่กำหนดขอบเขตของคำตอบ (extended response)
3.3 จดั ประเภทตามการให้คะแนน
(1) แบบสอบปรนยั (objective test)
- แบบสอบถกู ผิด (true or false)
- แบบสอบจับคู่ (matching)
- แบบสอบเตมิ คำ (completion)
- แบบสอบเลือกตอบ (multiple choice)
- แบบสอบแบบโคลซ (cloze)
(2) แบบสอบอัตนัย (subjective test)
- แบบสอบตอบสน้ั (short answer)
- แบบสอบกำหนดขอบเขตคำตอบ (restricted response)
- แบบสอบไม่กำหนดขอบเขตของคำตอบ (extended response)
3.4 จัดประเภทตามการจำกัดเวลา
(1) แบบสอบจำกัดเวลาและใช้ความเร็วในการตอบ (speed test)
(2) แบบสอบไม่จำกดั เวลาหรือใชค้ วามสามารถ (power test)
3.5 จดั ประเภทตามลักษณะท่ีวัด
(1) แบบสอบสมรรถนะสูงสุด (maximal performance)
- แบบสอบผลสัมฤทธิ์ (achievement test)
- แบบสอบความสามารถ (ability tests)
- แบบสอบความถนัด (aptitude tests)
(2) แบบวัดสมรรถนะเฉพาะแบบ (typical performance)
- แบบวดั บุคลิกภาพ (personality test)
- แบบวัดเจตคติ (attitude test)
- แบบวัดความสนใจ (interest inventory)

98

4. แบบสงั เกต
4.1 แบบสังเกตแบบมสี ว่ นร่วม
4.2 แบบสงั เกตแบบไมม่ ีส่วนรว่ ม

ประสาท เนอื งเฉลมิ (2556: 184-205) ไดก้ ลา่ วถงึ เคร่ืองมอื ทใี่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลการ
วจิ ัยทส่ี ำคญั ดงั น้ี

1. แบบทดสอบ
การทดสอบนิยมใช้แบบทดสอบเป็นเครื่องมือที่นิยมนำมาใช้เพื่อวัดการเรียนรู้ด้านพุทธิ

พิสัยหรือวัดความสามารถทางด้านสติปัญญาประกอบด้วยชุดของข้อคำถามที่ใช้วัดกลุ่มตัวอย่าง
พฤติกรรมเกี่ยวกับความสามารถทางสมอง หรือความรู้สึกนึกคิดทางจิตใจหรือทักษะการดำเนินงาน
ของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลภายใต้สถานการณ์ที่เป็นมาตรฐาน และมีการกำหนดหลักเกณฑ์การให้
คะแนนทช่ี ัดเจน แบบทดสอบแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดงั นี้

1. แบบเขียนตอบ (Essay item) เป็นแบบทดสอบที่ผู้สอบต้องเขียนตอบอย่างอิสระ
ภายใต้ประเด็นคำถามตามกรอบของผู้ออกข้อสอบโดยใช้ภาษาและความสามารถของตนเองในการที่
จะระลึกถงึ ความรทู้ ่มี อี ยู่ แล้วเรียบเรยี งหรือจดั ระเบียบความรนู้ ้นั ออกเปน็ ภาษาเขยี น

2. แบบถูกผดิ (True-False) คำถามชนิดนถ้ี ามถึงความจริงหลกั การกฎตา่ ง ๆ และ
การตคี วาม เช่น ให้เขยี นเครื่องหมายลงในหนา้ ข้อท่ีทา่ นเห็นว่าถกู () หรือผิด (×) เปน็ ต้น

3. แบบจบั คู่ (Matching) ลกั ษณะของข้อสอบจะมี 2 คอลัมน์ คอลมั น์หนึ่งจะเป็นชุด
ของคำถาม อีกคอลัมน์หนึ่งจะเป็นชุดของคำตอบซึ่งผู้ตอบจะเลือกคำตอบที่ถูกต้องเพื่อให้สอดคล้อง
กับคำถาม

4. แบบเลือกตอบ (Multiple-Choice) ข้อสอบแบบนี้แต่ละข้อกระทง (Item) จะ
ประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกของโจทย์ (Stem) อีกส่วนหนึ่งเป็นตัวเลือก (Alternative) มีตั้งแต่ 3
ตัวเลือกถึง 5 ตัวเลือกแบบทดสอบแบบนี้จะวัดความสามารถของสมองได้ตั้งแต่ขั้นต่ำถึงขั้นสูง โดย
คำตอบในตัวเลอื กนนั้ จะมีขอ้ ถกู ต้องอยเู่ พยี งขอ้ เดียว สว่ นขอ้ อ่ืน ๆ เปน็ ตัวลวง (Distracters)

2. แบบสอบถาม
การสอบถามนิยมใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ค่อนข้าง

สะดวกและไม่กดดัน ในการตอบคำถาม โดยการเขียน ซึ่งอาจเขียนตอบเป็น ข้อความหรือ
เป็นเครื่องหมายตามเงือ่ นไขที่กำหนด สิ่งที่วัดโดยแบบสอบถามมีทั้งข้อเทจ็ จริง ความรู้ ความคิดเหน็
เจตคติและพฤติกรรม แบบสอบถามแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบสอบถามแบบเปิด (Open-
ended form) เป็นแบบสอบถามที่ข้อคำถามมีลักษณะเปิดกว้างให้ผู้ตอบตอบอย่างอิสระในขอบเขต
คำถามโดยไม่มีการแนะแนวทางในการตอบ และแบบสอบถามแบบปลายปิด (Close-ended form)
เปน็ แบบสอบถามทม่ี คี ำถามมลี ักษณะจำกัดใหต้ อบ ผู้ตอบเลือกตอบจากคำตอบที่กำหนดให้

99

3. แบบสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์มีจุดมุ่งหมายทำนองเดียวกับการใช้แบบสอบถามบางคนอาจเรียกการ

สัมภาษณ์ว่าเป็นแบบสอบถามปากเปล่า แต่มีความแตกต่างกันตรงวิธีการ กล่าวคือ การสัมภาษณ์ ผู้
สัมภาษณ์เป็นฝ่ายซักถามโดยการพูดแล้วผู้สมั ภาษณ์เป็นฝ่ายบนั ทึกคำตอบ ส่วนการใช้แบบสอบถาม
ผตู้ อบตอบโดยการเขียนตอบลงในแบบสอบถาม

การสัมภาษณ์จะไดข้ ้อมูลท่ีดีหรือไม่เพยี งใดขึ้นอยู่กับผู้สัมภาษณ์เป็นสำคัญ บางกรณี
ก็มีการใช้แบบสัมภาษณ์ช่วยเป็น แนวทางสำหรับผู้สัมภาษณ์ แต่บางกรณีก็ไม่ได้ใช้แบบสัมภาษณ์
ประกอบการสมั ภาษณ์แต่อยา่ งใด ดงั นั้น ผูส้ ัมภาษณจ์ ึงเปน็ เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมลู

3.1 ประเภทของแบบสัมภาษณ์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดงั นี้
3.1.1 การสมั ภาษณแ์ บบไมม่ ีคำถามแน่นอน (unstructured Interview) เป็นการ

สัมภาษณ์ที่ไม่มีกำหนดคำถามท่ีแนน่ อนตายตัว การสมั ภาษณ์ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำถามเหมือนกันการ
เรียงลำดับคำถามก็ไม่ตอ้ งเหมือนกัน ผู้ถามสามารถปรบั เปล่ียนให้เหมาะกับสถานการณ์และผู้ตอบ ผู้
ถามมอี ิสระในการถามเพอื่ ให้ไดค้ ำตอบตามจดุ มงุ่ หมายของการวิจัย

3.1.2. การสัมภาษณ์แบบมีคำถามที่แน่นอน (Structured Interview) เป็นการ
สัมภาษณ์ที่มีการกำหนดข้อคำถามไว้ล่วงหน้า การสัมภาษณ์ แบบนี้จำเป็นต้องใช้แบบสัมภาษณ์ท่ี
จัดเตรยี มไวก้ ่อน การสมั ภาษณแ์ บบมคี ำถามแน่นอนชว่ ยใหผ้ ู้ถามถามไดต้ รงตามประเดน็ ที่ตอ้ งการ

4. แบบสังเกต
การสังเกตเป็นวธิ ีการอยา่ งหนงึ่ ท่ีใช้เป็นเคร่ืองมือเกบ็ รวบรวมข้อมลู การวิจยั โดยการ

ใช้ประสาทสัมผัสของผู้สังเกต ผู้สังเกตเป็นฝ่ายบันทึกสิ่งที่สังเกตได้ อาจบันทึกได้หลายวิธี เช่นการ
เขียน การอดั เสยี ง บนั ทึกเหตุการณ์ไวใ้ นวีดทิ ัศน์ วธิ กี ารสงั เกตเหมาะสำหรับการศกึ ษาพฤติกรรมและ
ปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ

การสังเกตเป็นวิธีการพื้นฐานที่สามารถนำมาใช้ในการเก็บรวมข้อมูล เพื่อที่จะให้ได้
ขอ้ มลู นา่ เชอ่ื ถอื ควรมลี ักษณะดังนี้

- ความตง้ั ใจของผูส้ งั เกต (Attention) ผสู้ ังเกตตอ้ งมีเป้าหมายว่าจะสงั เกตส่งิ ท่ีศึกษา
อย่างแน่วแน่ และสังเกตไปทีละอย่างอย่างถูกต้อง รู้จักขจัดปัญหาส่วนตัวหรือความลำเอียงต่อสิ่งที่
สังเกตตลอดระยะเวลาทศ่ี ึกษา เพอื่ จะได้ขอ้ มูลทีใ่ กล้เคยี งกบั สภาพความเป็นจริงมากท่ีสุด

- ประสาทสัมผัส (Sensation) ต้องแน่ใจเป็นเบื้องต้นว่าประสาทสัมผัสของผู้สังเกต
ไม่ผิดปกติ เช่น หูหนวก ตาบอด ตาบอดสี ถ้าหากว่าสภาพร่างกายผิดปกติไปย่อมส่งผลต่อคุณภาพ
ของการสังเกตดว้ ยเชน่ กัน

- การรับรู้ (Perception) ผู้สังเกตจะต้องมีการรับรู้ที่ดี เมื่อรับรู้แล้วก็สามารถที่จะ
สามารถแปลความหมายไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและรวดเร็ว

100

4.1 ประเภทของการสงั เกต
การสังเกตจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่เน้นตัวบุคคลทำหน้าที่ในการวัด โดยใช้

ประสาทสมั ผัสเปน็ เคร่ืองมอื สำคัญในการตดิ ตามเฝา้ ดกู ารแสดงพฤติกรรมของบุคคล เมอ่ื ได้พฤตกิ รรม
ที่สังเกตแลว้ กบ็ ันทึกเป็นข้อมูลในการวิจัยต่อไป ซึ่งการรวบรวมขอ้ มูลโดยการสังเกตนั้นแบง่ ได้เป็น 2
ประเภท คือ แบบมีส่วนร่วม (Participant observation) การสังเกตที่ผู้สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมต่าง ๆ และแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-participant observation) การสังเกตที่ผู้สังเกตไม่ได้
เข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีไปสังเกตเพยี งแตเ่ ปน็ ผู้สงั เกตการณเ์ ท่าน้ัน

4.1.1 การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant observation) ผู้สังเกตเข้าไปมี
ส่วนร่วมอยู่ในเหตุการณ์หรือกิจกรรมนั้น ๆ การเข้าไปมีส่วนร่วมนี้อาจเป็นลักษณะมีส่วนร่วมโดย
สมบูรณ์ (completion participant) หรือมีส่วนร่วมโดยไม่สมบูรณ์ (incompletion participant)
แบบมีส่วนร่วมโดยสมบูรณ์ ผู้สังเกตจะเข้าไปเป็นสมาชิกคนหน่ึงของกลุ่มและเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
ของกลมุ่ เช่นเดียวกบั ผู้ถูกสงั เกต การมีส่วนรว่ มโดยสมบรู ณ์ผู้ถูกสงั เกตจะไม่รตู้ ัวว่ากำลงั ถูกสังเกตจึงมี
พฤติกรรมตามปกติ แต่การสังเกตแบบมีส่วนร่วมโดยไม่สมบูรณ์ ผู้สังเกตจะเข้าไปร่วมกิจกรรมบ้าง
ตามสมควร เพอ่ื สรา้ งความสัมพนั ธก์ บั กล่มุ ถกู สังเกต

4.1.2 การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-Participant observation) เป็นการ
สังเกตที่ผู้สังเกตจะอยู่นอกวงผู้ถูกสังเกต ทำตนเป็นบุคคลภายนอกโดยไม่ เข้าร่วมกิจกรรมกับผู้ถูก
สังเกตเลย ทำตนเป็นบุคคลภายนอกโดยไม่เข้าร่วมกิจกรรมกับผู้ถูกสังเกตเลย ขณะสังเกตผู้สังเกต
อาจจะอยู่ในบริเวณเดียวกันหรืออยู่นอกบริเวณเหตุการณ์ที่สังเกตก็ได้ และการสังเกตแบบไม่มีส่วน
ร่วมน้กี ม็ ีท้งั แบบทผ่ี สู้ งั เกตรตู้ วั และไม่ร้ตู ัววา่ กำลังถกู สงั เกต

4.2 ขอ้ ดขี องการสงั เกต
4.2.1 ข้อเท็จจริงด้วยวิธีการสังเกตโดยตรง เพราะได้ศึกษาและสังเกตประเด็น

ต่าง ๆ ท้ังหมดเกยี่ วกบั ปรากฏการณน์ น้ั ทำใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทม่ี ีความเช่ือถือได้สูง
4.2.2 ช่วยให้ได้ข้อมูลที่เป็นตัวแทนพฤติกรรมในสภาพการณ์ และสภาวการณ์

ตา่ ง ๆ อยา่ งแท้จรงิ ซง่ึ จะมคี วามหมายลึกซง้ึ กวา่ ข้อมลู ที่ไดจ้ ากวิธีอื่น
4.2.3 สามารถบันทึกข้อเท็จจริงได้ ในระหว่างที่ปรากฏการณ์ที่ต้องการสังเกต

ขณะท่ีเหตกุ ารณ์กำลงั เกดิ ขนึ้ จริง ๆ
4.2.4 ชว่ ยใหไ้ ด้ข้อเทจ็ จริงที่ไม่บิดเบือน เพราะเปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ ท่เี ห็นได้จากบุคคล

นนั้ ๆ ทนั ทโี ดยไมม่ ีโอกาสทีจ่ ะตอ้ งนกึ คดิ เปลย่ี นแปลง
4.2.5 ทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลบางอย่างที่ผู้ถูกสังเกตไม่เต็มใจบอกหรือเป็น

ข้อมูลท่เี ป็นความลบั บางอยา่ งได้
4.2.6 ช่วยรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมจากที่ได้ด้วยวิธีการอื่น เพื่อช่วยเสริมความรู้

101

ความเขา้ ใจในขอ้ มูลให้ชัดเจนถูกตอ้ งย่ิงข้ึน
4.2.7 ชว่ ยใหไ้ ด้ข้อเท็จจรงิ บางอย่างทีเ่ ปน็ ผลพลอยได้ ซึง่ อาจจะเกิดขึ้นใน

ระหว่างการสังเกต โดยมคี วามสำคญั ต่อการวิจัยนั้นอย่างยิ่ง
4.3 ข้อจำกดั ของการสังเกต
4.3.1 ผลของการสังเกตข้ึนอยู่กับความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของผู้

สังเกตเป็นสำคัญถ้าผู้สังเกตไม่มีความรู้ในเรื่องที่จะสังเกตดีพอ หรือไม่มีความเข้าใจในวิธีการสังเกต
การสังเกตจะไดผ้ ลนอ้ ยมาก

4.3.2 เสียเวลามาก เพราะพฤติกรรมบางอยา่ งท่ีต้องการสังเกต อาจไม่เกิดขึ้นใน
ระยะเวลา อันสั้นแต่ต้องรอระยะหนึ่งจึงเกิดพฤติกรรมหรือปรากฏการณ์นั้น เช่น การสังเกต
พฤติกรรมก้าวรา้ วของนักเรยี นระดับปฐมวัย

4.3.3 อาจมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นทำให้ไม่มีโอกาสสังเกตเพราะเหตุการณ์
หรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นนั้นยากที่จะคาดคะแนนให้ได้แน่นอน ต้องเลื่อนการสังเกตออกไป ถ้าหากไม่
สามารถเลอ่ื นได้ก็อาจะเกดิ ผลเสียหายแกก่ ารวิจัยนั้นได้

4.3.4 เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์บางอย่างอาจยากที่จะไปสังเกตได้ หรือ
เหตุการณ์บางอย่างที่อาจจะเกิดพร้อม ๆ กันหลาย ๆ อย่างและหลาย ๆ แห่ง ทำให้ยากแก่การไป
สงั เกตให้ไดผ้ ลครบถ้วน

4.3.5 เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์บางอย่างไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
จึงไม่สามารถบันทึกผลได้ เช่น การสังเกตสีหน้าของเด็กทาผิดว่ามีสีหน้าอย่างไร ซึ่งผู้สังเกตอาจจะ
มองไมเ่ หน็ สหี นา้ ของเด็กในเวลาท่ีทำผิดก็ได้

4.3.6 ผู้ถูกสังเกต ถ้ารู้ว่าตนถูกสังเกต อาจจะพยายามแสร้างทำหรือสร้างรอย
ประทับใจเป็นพิเศษให้แก่ผู้สังเกตจนทำให้ผสู้ ังเกตไดข้ ้อมูลหรือข้อเท็จจรงิ ท่ีไมต่ รงกับความเป็นจริงก็
ได้

จากประเภทของเครื่องมือวิจัยที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่าเครื่องมือวิจัยจะแบ่งออกเป็น 4
ประเภท ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบสังเกต ทั้งนี้ผู้วิจัยจะเลือกใช้
เครื่องมือประเภทไหนต้องขึ้นอยู่กับประเด็นปัญหาการวิจัยว่าควรเลือกใช้เครื่องมือชนิดใดในการ
นำไปเก็บรวบรวมข้อมูลทีต่ รงกบั สภาพปัญหามากทีส่ ดุ

102

7.3 มาตรวดั ตัวแปร
มีผู้กล่าวถงึ การวดั ตวั แปรหรอื มาตรวดั ตวั แปรไว้หลายท่าน ดงั น้ี
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 103-104) ได้กล่าวมาตรวัดแปรว่า หมายถึง ค่าลักษณะรูปแบบ

ของผลหรือคำตอบที่ได้จากเครื่องมือที่ใช้วัด การเข้าใจมาตรวัดจะทำให้การสร้างเคร่ืองมือวัดตัวแปร
เป็น ไปตามมาตรที่ควรจะเป็น หรือที่ผู้วิจัยต้องการ มาตรของตัวแปรที่ใช้กันอยู่เป็นมาตรที่ S.S.
Steven คดิ ขึน้ ในปี ค.ศ. 1960 แบง่ เปน็ 4 ระดับ ประกอบด้วย

1. มาตรนามบัญญัติ (Nominal scale) ค่าตัวแปรที่วัดได้จากมาตรนี้ เป็นการ
จำแนกประเภทหรือการจัดหมวดหมู่ของสิ่งต่าง ๆ แต่ไม่สามารถเรียงลำดับและบอกปริมาณความ
แตกต่างไดเ้ ชน่ เพศ คา่ ท่ไี ดค้ ือ ชายและหญิง สผี ิว ค่าที่ได้ คอื ขาว ดำ เหลือง เปน็ ต้น

2. มาตรอันดับ (Ordinal scale) ค่าตัวแปรที่วัดได้สามารถเรียงลำดับได้ แต่ไม่
สามารถบอกปริมาณความแตกต่างระหวา่ งแต่ละค่าได้อย่างชัดเจน การจัดลำดับที่เกิดขึน้ จะต้องเปน็
การจัดลำดบั โดยมีเกณฑม์ าช่วย เช่น ความสามารถในการร้องเพลง ค่าที่ได้คือ อันดับ 1 หรือ 2 หรือ
3 ตามลำดับ โดยเป็นการพิจารณาจากเกณฑ์ ได้แก่ การใช้เสียง การออกอักขระที่ ถูกต้องและการ
แสดงออกท่ีนา่ ประทบั ใจ เป็นตน้

3. มาตรอนั ตรภาค (Interval scale) ค่าตัวแปรทว่ี ัดไดส้ ามารถเรยี งลำดบั และบอก
ปริมาณความแตกต่างระหว่างแต่ละค่าได้อย่างชัดเจน แต่ไม่มีค่าที่เป็นศูนย์แท้ เช่น คะแนนสอบ 10
คะแนน ถงึ 20 คะแนน จะแตกต่างเท่ากบั คะแนนสอบ 20 คะแนนถึง 30 คะแนน คือ 10 คะแนน แต่
นกั เรียนสอบได้ 0 คะแนน ไม่ได้หมายความว่านักเรียนผู้น้ันไม่มีความรู้ในเรื่องท่สี อบอยู่เลย ท้ังนี้เป็น
เพราะอาจมหี วั ข้อทีน่ ักเรยี นผูน้ ัน้ ทราบแตไ่ ม่ไดน้ ำมาออกข้อสอบ

4. มาตราอัตราส่วน (Ratio scale) ค่าตัวแปรที่วัดได้สามารถเรียงลำดับและบอก
ความแตกต่างระหว่างแต่ละค่าได้อย่างชัดเจน และมีค่าเป็นศูนย์แท้ เช่น ความสูง น้ำหนัก อายุ เป็น
ต้น การมีศูนย์แท้ทำให้สามารถบอกอัตราส่วนของค่าหนึง่ ต่ออีกค่าหน่ึงได้ เช่น อายุ 40 ปีมากเป็น 2
เท่าของอายุ 20 ปี

บุญชม ศรีสะอาด (2556: 52-54) ได้กล่าวถึงระดับของการวัดข้อมูลในการวิจัย ซึ่งข้อมูล
จำนวนมากได้มาจากการวัด การวัด (Measurement) หมายถึง การกำหนดตัวเลขหรือสัญลกั ษณ์อนื่
ๆ แทนปริมาณ หรือคุณภาพ หรอื คณุ ลกั ษณะ ระดบั ของการวดั มี 4 ระดบั หรอื เรียกว่า 4 มาตรา คือ
มาตรานามบญั ญตั ิ มาตราเรียงอนั ดบั มาตราอันตรภาค และมาตราส่วน โดยมีรายละเอียด ดงั นี้

1. มาตรานามบัญญัติ (Nominal Scale or Classification Scale) เป็นระดับของ
การวัดที่ต่ำที่สุด เป็นการกำหนดตัวเลขแทนชื่อคน แทนคุณลักษณะต่าง ๆ แทนเหตุการณ์ต่าง ๆ
ตัวอย่างของมาตรานามบัญญัติ ได้แก่ เบอร์นางงามที่เข้าประกวด เบอร์นักกีฬา การกำหนดให้เลข 0
(ศูนย์) แทนเพศหญิง เลข 1 แทนเพศชาย เป็นต้น คุณสมบัติที่สำคัญของมาตรานี้ คือ ตัวเลขที่

103

กำหนดให้ดังกล่าวจะเพียงแต่ชี้ถึงความแตกต่างกัน กล่าวคือ ชี้ว่าไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ไม่ได้แทนอันดับ
ขนาด ปรมิ าณ หรือคณุ ภาพใด ๆ

2. มาตราเรียงอนั ดับ (Ordinal Scale) เป็นระดบั ของการวดั ทีส่ ูงกวา่ มาตรานาม
บัญญัติ เป็นการกำหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์เพ่ือชี้ถึงอนั ดบั ที่ เชน่ หลงั จากพิจารณาพานไหว้ครูแล้ว
ก็ให้อันดับจากพานที่จัดทำได้สวยที่สุดเป็นอันดับ 1 รองลงมาเป็นอันดับ 2, 3 ... ตามลำดับเป็นต้น
มาตรานี้มีคุณสมบัติของมาตรานามบัญญัติ กล่าวคือ ความแตกต่างกัน และยังมีทิศทางของความ
แตกต่างอีกด้วย เช่น อันดับ 1 อยู่เหนือกว่าอันดับ 2 เป็นต้น แต่ช่วงระหว่างอันดับต่าง ๆ มักไม่
เท่ากัน เช่น ที่ 1 อาจมีคุณภาพเหนือกว่าที่ 2 มาก ขณะที่ ที่ 2 มีคุณ ภาพใกล้เคียงกับที่ 3 มากเป็น
ต้น จากการที่มีช่วงอันดับไม่เท่ากันดังกล่าว จึงไม่สามารถนำเอาตัวเลขในมาตรานี้ (เอาอันดับที่) มา
บวก ลบ คณู หาร กัน

3. มาตราอันตรภาค (Interval Scale) เป็นระดับการวัดที่สูงกว่ามาตรานาม
บัญญัติและมาตราเรียงอันดับ โดยมีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นอีก 2 ประการ คือ มี ศูนย์สมมุติ (Arbitrary
Zero or Relative Zero) และมีหน่วยของการวัดที่เท่ากัน ตัวอย่างของมาตรานี้ ได้แก่ การวัด
อุณหภูมิ เช่นในหน่วยวัดอุณหภูมิแบบเซลเซียส จะกำหนดจุดที่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งเป็น 0 และจุดท่ี
น้ำเดือดเป็น 100 ซ. แล้วแบ่งช่วงระหว่าง 2 จุดนี้ออกเป็น 100 ช่วงเท่า ๆ กัน 0 ซ.เป็นศูนย์เทียม
ไม่ได้หมายถึง การที่อุณหภูมิ 0 ซ. นี้ไม่มีความรอ้ นอยู่เลย เป็นเพียงจุดที่นำกลายเป็น นักวัดผลถือวา่
คะแนนจากการสอบวัดในตัวแปรตา่ ง ๆ เช่น ผลสมั ฤทธ์ใิ นวชิ าภาษาไทย คะแนนจากแบบทดสอบวัด
ความถนัดทางเหตุผลฯลฯ เป็นการวัดในมาตรานี้นับว่ามาตราอันตรภาค เป็นมาตราที่เป็นปริมาณ
อย่างแทจ้ รงิ ไม่เหมอื นมาตรานามบัญญัตแิ ละเรียงอนั ดับ

4. มาตราอัตราส่วน (Ratio Scale) เป็นระดับการวัดที่สูงที่สุด นอกจากจะมี
คณุ สมบัติเหมือนมาตราอันตรภาคแล้ว ยงั มีศูนย์แท้ (Absolute Zero) การวดั ในมาตราน้ี ได้แก่ การ
วัด ความยาว น้ำหนัก ฯลฯ แต่ละหน่วยของความยาวจะมีช่วงเท่ากัน แต่ละหน่วยของน้ำหนักจะมี
ขนาดเท่ากัน จากที่การวัดในระดับนี้มีความสมบูรณ์ทุกประการ จึงสามารถนำมา บวก ลบ คูณ หาร
ถอดราก และยกกำลงั ได้

จากมาตรวัดตวั แปรการวจิ ยั ท่ีกลา่ วมาสามารถสรปุ ไดว้ า่ ขอ้ มลู การวิจยั จะจำแนกได้ 4 มาตร
วัด ได้แก่ มาตรนามบัญญัติ (Nominal scale) มาตรอันดับ (Ordinal scale) มาตรอันตรภาค
(Interval scale) และมาตราอัตราส่วน (Ratio scale)

104

7.4 ขน้ั ตอนการสรา้ งเครื่องมอื การวจิ ัย
มีผูก้ ลา่ วถึงข้ันตอนการสร้างเครื่องมือการวิจยั แต่ละประเภทไว้หลายทา่ นดงั นี้
สวุ ิมล ตริ กานนั ท์ (2551: 104-105) ไดก้ ล่าวถึงขัน้ ตอนการสรา้ งเคร่อื งมือวิจยั ในภาพรวม

ดังน้ี
เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้วิจัยได้ ข้อมูลเชิงประจักษ์มายืนยัน

สมมตุ ฐิ านการวิจัยทตี่ ัง้ ไว้ การสร้างเครอื่ งมือจงึ มรี ายละเอียด มขี นั้ ตอนในการสรา้ งเพื่อให้ไดเ้ ครื่องมือ
ทีม่ ีคุณภาพ ขั้นตอนดังกล่าวประกอบด้วย

1. ศึกษาและทบทวนทฤษฎี แนวคิด และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรที่ต้องการจะสร้าง
เครอ่ื งมอื โดยพจิ ารณา

1) ความหมายของตัวแปร ลักษณะของพฤติกรรมที่แสดงออกของตัวแปรหรือ
องคป์ ระกอบของตัวแปร

2) เคร่ืองมือทใ่ี ชว้ ัดคา่ เปน็ ชนดิ ใด เหมาะสมหรือไม่
3) วิธีการสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ผู้วิจัยควรพิจารณาว่ามีขั้นตอนการสร้าง
เครื่องมือถูกต้องหรือไม่ และเครื่องมือที่นำมาใช้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพหรือไม่ ผลการตรวจสอบ
คุณภาพเปน็ อยา่ งไร
4) ผลที่ได้จากเครื่องมือ หมายถึง ข้อมูลที่ได้จากเครื่องมือในข้อ 3) เมื่อนำไปใช้กับกลุ่ม
ตัวอย่างหรือประชากรเป้าหมายมีผลการใชอ้ ย่างไร
2. นำผลท่ไี ดจ้ ากการศึกษาจากข้อ 1) – 4) มากำหนดนิยามเชิงทฤษฎีและนยิ ามเชงิ
ปฏิบัตกิ าร
3. เลอื กวธิ ีการเกบ็ รวบรวมข้อมลู วา่ ควรใชแ้ บบสอบถาม การสัมภาษณ์ หรอื การสงั เกตจงึ จะ
ไดข้ ้อมลู ตรงตามความตอ้ งการและเปน็ ขอ้ มูลทีถ่ ูกตอ้ ง
4. ถ้าใช้แบบสอบถามจะต้องพิจารณาลักษณะของประเภทคำถามที่เหมาะสมว่าควรใช้
คำถามปลายเปิดหรือคำถามปลายปิด ถ้าเป็นคำถามปลายปิดควรเป็นคำตอบประเภทใด ได้แก่
ประเภทเลอื กตอบ ประเภทมาตรประเมินค่า (rating scale) เป็นต้น
5. สร้างข้อคำถามจากนยิ ามปฏบิ ัตกิ ารทั้งหมด แล้วรวบรวมเปน็ แบบสอบถาม
6. นำเครือ่ งมือท่สี รา้ งขน้ึ ไปทดลองใช้
7. นำผลทีไ่ ด้จากการทดลองได้มาวิเคราะห์ เพ่ือตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่อื งมือ
8. ปรับปรงุ เครือ่ งมอื ให้มคี ุณภาพอยู่ในระดับทีน่ ่าพอใจก่อนนำไปใช้จรงิ
นอกจากนสี้ ิ่งท่นี กั วจิ ยั ควรคำนึงถงึ ในการสร้างเครื่องมอื มดี ังน้ี
1. ลกั ษณะของตวั แปรท่จี ะสรา้ งว่ามลี ักษณะอย่างไร แบ่งตวั แปรเป็น 3 ลกั ษณะ คอื
1.1 ตัวแปรทเ่ี ปน็ ลักษณะทางกายภายท่เี ป็นตัวแปรเดี่ยว เช่น เพศ อายุ

105

1.2 ตัวแปรที่เป็นลักษณะทางกายภาพที่เป็นตัวแปรรวม เช่น ฐานทางเศรษฐกิจปัจจัย
ทางสงั คม

1.3 ตัวแปรที่มีลักษณะเป็นภาวะสันนิษฐาน (construct) หรือเป็นคุณลักษณะแฝง
(latent trait) เช่น การยอมรับ ความสนใจ เจตคติ

การแบง่ ตวั แปรในลักษณะนเ้ี ป็นการแบ่งเพื่อการสรา้ งเครื่องมือ ผวู้ จิ ยั จะต้องพิจารณาว่า
ตัวแปรที่ตอ้ งการศึกษาอยู่ในลกั ษณะใด การสรา้ งขอ้ คำถามจะแตกตา่ งกันไปตามชนิดของตัวแปร

2. หากเป็นตัวแปรรวมหรือตัวแปรภาวะสันนิฐาน ผู้วิจัยต้องนิยมตัวแปรจะต้องเป็นนิยามที่
ถกู ต้อง เหมาะสมกบั ตัวแปรท่ตี อ้ งการสร้างเครอ่ื งมอื

3. สร้างข้อคำถามท่ีครอบคลุมเนอ้ื หาและทำให้ได้สารสนเทศสงู สดุ
4. ใชว้ ิธกี ารสร้างมาตรวดั ทีถ่ กู ต้อง เชน่ ถา้ ใช้ rating scale จะต้องสรา้ งข้อคำถามอย่างไร
5. ใช้ภาษาทเ่ี ข้าใจกันไดง้ ่าย หลีกเลีย่ งการใชศ้ ัพท์ทางวิชาการ
1. แบบสอบถาม
มีผ้กู ล่าวถึงข้ันตอนการสรา้ งแบบสอบถามไว้หลายท่านดงั นี้
วรรณี แกมเกตุ (2555: 216) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามว่าแบบสอบถามเป็น
เครื่องมือที่เหมาะสำหรับการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับข้อเท็จจริง ความรู้สึก ความคิดเห็น ความเชื่อ
ทัศนคติ และความสนใจ ซึ่งเป็นพฤติกรรมทางด้านจิตพิสัย (affective domain)โดยมีขั้นตอนการ
สร้างดงั นี้

1. กำหนดขอบเขตและจดุ ม่งุ หมายของแบบสอบถาม ผวู้ จิ ัยต้องตอบคำถามใหไ้ ด้ว่าจะ
สร้างแบบสอบถามเพื่อวัดอะไร ของใคร ผู้ถูกวัดมีลักษณะอย่างไร กระบวนการวัดจะทำอย่างไร มีกี่
ชนดิ แต่ละชนิดจะใหน้ ้ำหนกั เท่าไร เวลาในการใชม้ ีมากน้อยเพยี งไร

2. ระบเุ นอ้ื หาหรือตวั แปรท่ีต้องการวัด ผวู้ จิ ัยต้องระบุให้ได้ว่าเนื้อหาสาระหรือตัวแปร
ที่ต้องการทราบมีอะไรบ้าง ในกรณีที่เป็นตัวแปรทางจิตวิทยา ต้องนิยามให้ชัดเจนเพียงพอที่จะวัดได้
โดยตรงในลักษณะของนิยามเชิงปฏิบัติการ ดงั รายละเอยี ดที่กล่าวถึงแล้วข้างต้น ในการระบุตัวแปรท่ี
ต้องการวดั นั้นสามารถพิจารณาได้จากวัตถปุ ระสงค์ กรอบแนวคดิ และสมมตุ ิฐานของการวจิ ยั

3. กำหนดรูปแบบของคำถาม รูปแบบของคำถามที่ใช้ในการสอบถามมีหลายรูปแบบ
เช่น คำถามแบบปลายปิด คำถามแบบปลายเปิด คำถามแบบเติมคำตอบสั้น ๆ และแบบประมาณคา่
(rating scale) เป็นตน้ ผวู้ ิจยั ควรเลอื กรูปแบบของคำถามใหเ้ หมาะสมกบั ตวั แปรหรือคุณลักษณะของ
ส่ิงท่มี งุ่ วัด และกล่มุ ผู้ตอบแบบสอบถาม รวมทัง้ ประเภทของขอ้ มลู ทต่ี ้องการดว้ ย

4. ร่างและจัดเรียงข้อคำถาม ในการร่างข้อคำถามนั้น ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย
กะทัดรัด และถามให้ตรงกับเรื่องที่ต้องการให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงการถามคำถามซ้อนกัน ซึ่งเป็น
คำถามที่มีหลายประเด็นคำถามในข้อเดียวกัน คำถามท่กี ่อให้เกิดความลำเอยี งในการตอบ และการใช้

106

ประโยคปฏเิ สธซ้อนปฏิเสธ หลงั จากรา่ งคำถามเสร็จเรยี บรอ้ ยแลว้ ควรเรียงข้อคำถามให้เป็นระบบเป็น
หมวดหมู่ เพอ่ื ความสะดวกในการนำไปใช้ และผตู้ อบไมเ่ กดิ ความสับสนในการตอบแบบสอบถาม

5. ตรวจสอบคณุ ภาพของข้อคำถาม
6. ทดลองใช้ และตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถามทงั้ ฉบับ

ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง (2559: 17-26) ไดก้ ล่าวถึงการสร้างแบบสอบถาม โดยมี
รายละเอียดดังน้ี

แบบสอบถามเป็นเครื่องมือการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และการศึกษานิยมใช้เนื่องจาก
แบบสอบถามสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลกับบุคคลจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น ข้อมูลที่ได้จาก
แบบสอบถามมักประกอบด้วย ข้อเท็จจริง ข้อมูลส่วนบุคคล ความคิดเห็น เจตคติ ความเช่ือ
คุณลักษณะทางจิตวิทยาต่าง ๆ ขอบบุคคลหรือข้อมูลขององค์กรที่เป็นหน่วยตัวอย่างในการศึกษา
แบบสอบจึงประกอบด้วย ข้อคำถามหรือชุดคำตอบที่มีรูปแบบทั้งปลายปิดและปลายเปิด โดยมี
รายละเอยี ดแตล่ ะหัวขอ้ ดงั ตอ่ ไปน้ี

1. ประเภทของข้อคำถามที่ใชใ้ นแบบสอบถาม
รูปแบบของข้อคำถามที่ใช้ในแบบสอบถามมีความแตกต่างหลากหลายทั้งที่เป็นแบบ

ปลายปิด และปลายเปิด ตัวอยา่ งเช่น
1.1 แบบปลายปิด เป็นรูปแบบของข้อคำถามที่ผู้วิจัยต้องกำหนดคำตอบเพื่ออำนวยความ

สะดวกให้ ผู้ ทำแบบสอบถามตอบได้โดยไม่ต้องเขียนด้วยตนเอง ดังนั้น การกำหนดคำตอบในแต่ละ
ขอ้ ตอ้ งมีความครอบคลมุ ความเปน็ ไปได้ทั้งหมดของการตอบ หรือหากมคี ำตอบจำนวนมาก ผู้วิจยั ควร
นำคำตอบที่เป็นที่น่าจะมีความถี่สูงให้เป็นตัวเลือกในคำตอบ หากผู้วิจัยไม่แน่ใจว่าใส่แนวคำตอบที่
เป็นไปได้ทั้งหมดได้อย่างครอบคลุมหรือไม่ ผู้วิจัยควรสร้างตัวเลือกเพิ่มเติมที่ผู้ตอบแบบสอบถาม
สามารถเขียนระบดุ ว้ ยตนเอง เช่น อ่ืน ๆ โปรดระบุ....... ตัวอยา่ งของขอ้ คำถามปลายปดิ ได้แก่

1.1.1 แบบตรวจสอบรายการ เป็นแบบเลือกคำตอบที่มีหลายข้อซึ่งการตอบอาจ
เลอื กตอบขอ้ ใดขอ้ หนงึ่ เลือกไดห้ ลายข้อแต่จำกดั จำนวน และเลือกได้หลายข้อตามต้องการ

1.1.2 แบบมาตรประมาณค่า เป็นการตอบที่มีให้ เลือกหลายข้อที่แสดงระดับความเข้ม
ของความรู้สึกหรือความถี่ของพฤติกรรมที่แบ่งออกเป็นหลายระดับรูปแบบที่มีความนิยมใช้ได้แก่
มาตรประมาณค่าแบบลเิ คริ ต์ และแบบออสกูด

มาตรประมาณค่าแบบลิเคิร์ตนิยมใช้ความเข้มของความรู้สึกหรือความถี่ของพฤติกรรม
เปน็ 5 ระดับ โดยผู้วิจัยจะประยกุ ตเ์ ปน็ 3 4 6 7 หรอื 9 ระดับตามความเหมาะสม

- เห็นด้วยมากที่สุด เห็นด้วย ตัดสินใจไม่ได้/เห็นด้วยปานกลาง/ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็น
ดว้ ย ไมเ่ ห็นด้วย ไม่เหน็ ด้วยมากทสี่ ุด

107

- เป็นจริงสำหรับฉันมาก เป็นจริงสำหรับฉันเป็นส่วนใหญ่ เป็นจริงสำหรับฉันบางส่วน
ไม่เป็นจริงสำหรับฉัน

- พงึ พอใจมากท่ีสดุ พึงพอใจ พงึ พอใจปานกลาง ไม่พงึ พอใจ ไมพ่ ึงพอใจมากที่สุด
- ดเี ยย่ี ม ดี พอใช้ ควรปรับปรุง ตอ้ งปรบั ปรงุ เปน็ อยา่ งยิง่
- จำเป็น สำคญั มาก สำคัญปานกลาง สำคญั น้อย ไม่สำคญั
- ชอบมากท่สี ุด ชอบ เฉย ๆ ไม่ชอบ ไมช่ อบมากทส่ี ุด
- เป็นประจำ บอ่ ย บางคร้งั นาน ๆ ครัง้ ไม่เคยเลย
สำหรับมาตรประมาณค่าแบบออสกูดนิยมใช้ความเข้มของความรู้สึกด้วยคาคุณศัพท์ที่มีข้ัว
ตรงกันข้าม เช่น ดี -เลว ซื่อสัตย์-ไม่ซื่อสัตย์ ยุติธรรม-ไม่ยุติธรรม รูปธรรม-นามธรรม ยาก-ง่าย
เหมาะสม-ไม่เหมาะสม ถูกต้อง-ไม่ถูกต้อง เป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ ฯลฯ โดยมีตัวเลขบอกระดับความ
แตกต่างของคาคุณศัพท์ดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นตัวเลขค่าบวกทั้งหมดหรือตัวเลขที่มีค่าบวกและลบในคู่
คำคุณศัพทแ์ ตล่ ะครู่ ช่วงของคำตอบอาจมตี ั้งแต่ 3 5 7 9 ระดบั
1.1.3 แบบจัดอันดับ เป็นการตอบที่ให้จัดอันดับความสำคัญโดยเรียงอันดับความสำคัญ
จากมากไปนอ้ ย ดว้ ยการกรอกตัวเลข 1, 2, 3 ..... หน้าชอ่ งวา่ งของสง่ิ ทตี่ อ้ งการใหจ้ ดั เรยี ง
1.1.4 แบบถูก-ผิด/ใช่-ไม่ใช่ เป็นการตอบที่ให้เลือกคำตอบใดคำตอบหนึ่งจากสอบ
ตวั เลอื ก ถกู /ผิด ใช่/ไม่ใช่ จรงิ /ไม่จริง เคย/ไมเ่ คย ชอบ/ไม่ชอบ ได้รับ/ไม่ได้รบั
1.1.5 แบบเลือกตอบ เป็นการตอบที่มี ความใกล้ เคียงกับการตอบแบบตรวจสอบ
รายการ มักใช้ในการวัดความรู้ความสามารถ บ่งชี้ความสนใจ บุคลิกภาพ เป็นต้น โดยทั่วไปผู้ตอบ
แบบสอบถามจะเลอื กเพียงคำตอบเดยี วจากตวั เลอื กทัง้ หมด
1.2 แบบปลายเปิด เปน็ รปู แบบของข้อคำถามทผี่ ้ตู อบแบบสอบถามต้องเขียนตอบคำถาม
ด้วยตนเอง เพื่อให้ข้อมูลที่มากกว่าปรากฏในข้อคำถามปลายปิดที่มีอยู่ รวมถึงการเขียนแสดงความ
คิดเห็น ข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาตา่ ง ๆ ที่ต้องการให้ข้อมูลกับผูว้ จิ ัย การตอบข้อคำถาม
ปลายเปิดมีข้อดีที่ผู้ตอบแบบสอบถามมีอิสระในการให้ข้อมูล หรือให้แง่คิดที่แตกต่างไปจากคำตอบท่ี
ปรากฏในแบบสอบถาม
1.2.1 แบบเติมคำ เปน็ การตอบโดยการเตมิ คาหรอื ตัวเลขลงในช่องว่างทก่ี ำหนดให้
1.2.2 แบบตอบสนั้ เป็นการตอบโดยการเติมคำลงในช่องวา่ งที่เปน็ วลีหรอื ประโยคไม่
ยาวนกั
1.2.3 แบบความเรียง เป็นการตอบโดยการเติมความคิดเห็น ข้อเสนอแนะแนวทาง
การแก้ไขปัญหา หรือประเดน็ อ่ืน ๆ ลงในช่องว่างท่ีกำหนด โดยท่ัวไปมักมีการใช้ข้อคำถามแบบความ
เรียงจำนวนนอ้ ยขอ้ คำถามเม่ือเทียบกับข้อคำถามปลายปิด และมักถามข้อมูลที่มีความจำเปน็ ผู้วิจัยมี
ความประสงค์อยากได้ข้อ มูลเพิ่มเติม รวมถึงเหตุผล แนวทางที่เปิดอิสระให้ผู้ตอบได้แสดงความ

108

คดิ เห็นของตนเองอย่างเตม็ ที่
2. การออกแบบและการสร้างแบบสอบถาม
การออกแบบและการสร้างแบบสอบถามมีขั้นตอนการดำเนินการอย่างเป็นระบบโดยจะ

ขออธิบายเกี่ยวกับขั้นตอนการสร้างแบบสอบถาม การออกแบบข้อคำถาม และการออกแบบ
รปู ลกั ษณ์ของแบบสอบถาม ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้

2.1 ขั้นตอนการสรา้ งแบบสอบถาม
1) การทบทวนเอกสารวรรณคดีที่เกี่ยวข้องกับตัว แปรที่วัดหรือต้องการศึกษาว่ามี

งานวิจัยใดศึกษามาก่อน มีการนิยาม และมีตัวอยา่ งเคร่ืองมอื ข้อคำถามแบบในลักษณะใดซึ่งจะนำมา
สูก่ ารกำหนดนิยามใหเ้ หมาะสมกับบรบิ ทและบคุ คลท่เี ป็นตัวอยา่ งวจิ ยั ท่ผี วู้ จิ ยั สนใจศกึ ษา

2) หากพบวา่ มีการศึกษาเอกสารวรรณคดที ่ีเก่ยี วข้องกับสิ่งท่วี ดั หรือตัวแปรท่ีศึกษามา
จำนวนไม่มาก ผ้วู จิ ยั อาจจะใชก้ ารสมั ภาษณ์ หรือการใชข้ อ้ คำถามปลายเปิดสอบถามผูร้ ูผ้ ู้เชี่ยวชาญใน
ประเด็นนั้น ๆ เพื่อนำมากำหนดเป็นข้อคำถามเพิ่มเติม รวมถึงการสัมภาษณ์หรือการใช้ข้อคำถาม
ปลายเปิดกับบุคคลที่อยู่ภายใต้ประชากรที่ศึกษาที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างสำหรับสำรวจหาแนวคำตอบท่ี
เปน็ ไปไดท้ ่ีสามารถนำมาใชใ้ นการสร้างแบบสอบถามเพ่ิมเติม

3) กำหนดนิยามสิ่งที่ต้องการศกึ ษา ซึ่งการกำหนดนิยามนี้ควรเป็นนิยมเชิงปฏิบัติการ
ที่ทำให้เห็นองค์ประกอบของการวัดตัวแปรดังกล่าว รวมถึงระบุวิธีที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลซึ่งก็
คือการใชแ้ บบสอบถามน่ันเอง

4) สร้างข้อคำถามให้ตรงกับคำนิยามที่กำหนดไว้ โดยมีหลักการสร้าง คือต้องสร้างข้อ
คำถามให้มากเกนิ กว่าข้อคำถามท่ีต้องการใช้จริง

5) นำข้อคำถามทส่ี ร้างขน้ึ ไปขอความกรุณาจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านเน้ือหาตรวจสอบ
ว่า ข้อคำถามนี้มีความสอดคล้องกับนิยามที่กำหนดไว้หรอื ไม่ มีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ใน
การนำไปวดั กับผ้ทู เ่ี ปน็ เป้าหมายของการใชแ้ บบสอบถามมากน้อยเพยี งใด ดังนัน้ ผูว้ ิจัยจะต้องสง่ โครง
ร่างงานวิจยั นิยามตัวแปรที่ต้องการวัด และแบบตรวจสอบความตรงเชิงเนือ้ หาให้กับผู้เชี่ยวชาญเพอ่ื
พิจารณาประกอบการตดั สินใจด้วย

6) นำข้อเสนอแนะและแนวทางในการปรับปรุงข้อคำถามจากผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุง
ขอ้ คำถามให้มคี วามเหมาะสมมากขนึ้

7) นำแบบสอบถามไปทดลองใช้ โดยในขน้ั ต้นอาจจะสุ่มกลมุ่ เป้าหมายทต่ี อ้ งการศึกษา
ที่อยู่ภายใตป้ ระชากรเดียวกนั แตไ่ ม่ใช่กลุ่มตัวอย่างจำนวนประมาณ 10 คน ทดลองทำเพื่อตรวจสอบ
ความเข้าใจทางภาษาของคำชี้แจงและข้อคำถามแต่ละข้อ การจับเวลาที่ใช้ในการทำแบบสอบถาม
และซกั ถามผู้ทำแบบสอบถามวา่ ขอ้ สงสยั ประการใดเกย่ี วกับแบบสอบถามนน้ั หรือไม่

8) ปรบั ปรุงแบบสอบถามที่ ไดจ้ ากการทดลองใช้ขัน้ ต้นเพื่อนำไปเกบ็ รวบรวมข้อมูลกับ

109

กลุม่ ทดลองใช้เคร่ืองมือวิจัย (try out หรือ pilot study) ที่อยภู่ ายใต้ประชากรเดียวกัน แต่ไม่ใช่กลุ่ม
ตัวอย่างของงานวิจัยจำนวนประมาณ 30 คนขึ้นไป หากผู้วิจัยมีความประสงค์จะตรวจสอบคุณภาพ
ความตรงเชิงโครงสร้างอาจจะต้องใช้จำนวนกลุ่มทดลองใช้เครื่องมือมากกว่า 100คนขึ้นไป ใน
กระบวนการนำแบบสอบถามไปทดลองใช้น้ี ผู้วิจัยควรสอบถามหรือสัมภาษณ์เพิม่ เติมในกลุ่มทดลอง
ใช้เพื่อเก็บข้อมูลมาปรับปรุงแบบสอบถามร่วมด้วย รวมทั้งจับเวลาในการทาแบบสอบถามโดยเฉล่ีย
ก่อนนำไปใชจ้ รงิ

9) นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์อำนาจจำแนก ความเที่ยง ในกรณีที่มีแบบวัดปรากฏใน
แบบสอบถามนัน้ แลว้ คดั เลอื กขอ้ คำถามทมี่ ีคณุ ภาพท้งั ในเชงิ คณุ ภาพและปรมิ าณ

10) นำแบบสอบถามไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่แท้จริงที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ผู้วิจัยสนใจ
ศึกษาข้อมลู

ประสาท เนอื งเฉลมิ (2556: 195) ไดก้ ลา่ วถึงขน้ั ตอนการสรา้ งแบบสอบถาม โดยมีหลักการ
สรา้ งดังนี้

1. คำถามต้องมีความชัดเจน ไม่กำกวม เมื่ออ่านแล้วต้องเข้าใจตรงกัน ควรหลีกเลี่ยงคำว่า
สว่ นมาก ปกติ ค่อนข้าง เพราะการตีความตามความรสู้ ึกของแตล่ ะคนน้นั มีความแตกตา่ งกัน

2. ควรใชค้ ำถามสั้น ๆ กระชับ เข้าใจง่าย หลีกเล่ยี งการอธิบายรายละเอียดทเี่ กนิ ความ
จำเปน็

3. หลกี เลย่ี งการใชป้ ระโยคปฏิเสธ
4. ไม่ควรใช้คำถามที่อาจมีแนวคิดต่างกนั แต่ให้ผตู้ อบเลือกเพียงคำตอบเดียว
5. ไม่ควรใช้ศัพท์เทคนิคหรือคำที่มคี วามหมายกวา้ งมากจนเกินไป ทำใหผ้ ู้ตอบไมเ่ ข้าใจหรือ
ทำความเข้าใจไดย้ าก
6. หลกี เลีย่ งการถามนำ จะทำใหไ้ มไ่ ด้ข้อมูลตามความเป็นจรงิ
7. พยายามทำใหแ้ บบสอบถามนา่ สนใจ เชน่ สีกระดาษ รูปภาพประกอบ เทคนิคการพิมพ์
ข้อความ ฯลฯ
8. จดั วางข้อคำถามให้อา่ นง่ายและเป็นระบบ
9. ถา้ มีคำถามปลายปิดและปลายเปดิ ควรใหต้ อบแบบสอบถามปลายปิดกอ่ น
10. จำนวนข้อคำถามไมค่ วรมากเกินไป เพราะผูต้ อบอาจจะเกิดความเบ่ือหน่ายในการตอบ
ได้
ขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามถอื เป็นสิ่งที่จะต้องระลกึ ถึง ก็คือการสร้างแบบสอบถามอย่าง
ถูกต้องตามขั้นตอนไม่ได้หมายความว่าเครื่องมือ นั้นจะมีคุณภาพดีเสมอไปหากการกำหนด
รายละเอียดของตัว แปรคลาดเคลื่อนมาตั้งแต่ต้น จะทำให้ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาไม่ก่อให้เกิด
ประโยชนแ์ ต่อย่างใด การสร้างแบบสอบถามมขี ้นั ตอนดังน้ี

110

1. ศึกษาทฤษฎี หลักการ แนวคิด และงานวิจัยทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ตวั แปรทีต่ ้องการจะสรา้ ง
เครอื่ งมือ

2. กำหนดจดุ มงุ่ หมายของแบบสอบถามและกำหนดนยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ โดยคำนึงถงึ การ
วิเคราะหข์ ้อมลู จากการตอบแบบสอบถามตามจดุ ประสงค์ท่ีตอ้ งการ

3. เขียนข้อคำถามในแบบสอบถาม ผู้วิจัยต้องระมัดระวังในการสร้างคำถามและวิธีการเก็บ
รวบรวมข้อมูล จากแบบสอบถามข้อคำถามแต่ละข้อจะต้องสามารถวัดได้อย่างเฉพาะเจาะจงตาม
จุดประสงค์ ควรอธิบายรายละเอียดถึงเหตุผลที่ตั้งคำถาม และวิธีการที่จะวิเคราะห์ผลการตอบ
แบบสอบถาม

4. สร้างแบบสอบถามที่มีการจัดวางข้อความอ่านง่าย และเขียนถูกต้องเหมาะสมตาม
หลักการวัดผลการศกึ ษา

5. นำแบบสอบถามท่สี รา้ งขน้ึ ไปทดลองใช้เพ่ือหาคุณภาพของแบบสอบถาม
6. นำผลทไ่ี ดม้ าวิเคราะหห์ าค่าคณุ ภาพเครื่องมือ
7. ปรบั ปรุงแก้ไขแบบสอบถามให้มคี ุณภาพให้อย่ใู นระดบั ที่นา่ พอใจก่อนนำไปใชจ้ ริง
2. แบบทดสอบ
ประสาท เนืองเฉลิม (2556: 187-188) ได้กล่าวถึงข้ันตอนการสรา้ งแบบทดสอบว่าการสร้าง
แบบทดสอบท่ีดมี คี ุณภาพไม่ใชเ่ ร่ืองงา่ ยนักสำหรบั ผทู้ ่อี อกข้อสอบขน้ั ตอนการสรา้ งแบบทดสอบมีดังน้ี
1. กำหนดจุดมงุ่ หมายของการสอบแตล่ ะครง้ั ให้แน่ชดั วา่ จะสอบเพ่ืออะไร สอบกับใครและ
ระดบั ช้ันใด
2. กำหนดลักษณะของสิ่งที่ต้องการจะวัด การสร้างแบบทดสอบจะต้องรู้ว่าต้องวัดสิ่งใด
จุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนคืออะไรเนื้อหาจะช่วยให้ผู้เรียนบรรลุพฤติกรรมด้านใดพฤติกรรม
เหลา่ น้ันเป็นอยา่ งไร
3. กำหนดชนดิ ของเครือ่ งมอื ทีใ่ ช้ในการวัด การกำหนดชนิดของเครือ่ งมือที่จะใชว้ ัดพิจารณา
ไดจ้ ากคณุ ลกั ษณะของสิ่งที่ต้องการศึกษา โดยดจู ากตารางวเิ คราะห์หลกั สูตร แบบทดสอบต้องการวัด
พฤติกรรมใด กบั ใคร ท่ไี หน เม่อื ไร และอย่างไร
4. เขียนข้อสอบ การเขียนข้อสอบควรคำนึงถึงความชัดเจนของข้อคำถามและความ
สอดคล้องระหว่างข้อคำถามกบั พฤติกรรมทีต่ ้องการวดั ตามหลกั วิชาการวดั ผลทางการศกึ ษา
5. ผ้เู ชี่ยวชาญพจิ ารณาตรวจสอบแก้ไข ผเู้ ช่ยี วชาญควรประกอบด้วยบุคคลอย่างน้อย 2 ด้าน
คือ ด้านเนอ้ื หาสาระวชิ า และดา้ นการวัดผลทางการศึกษา โดยพิจารณาคำถามและคำตอบว่าถูกต้อง
ตามหลกั วชิ าหรอื ไม่ ภาษาท่ีใช้ในการเขียนข้อสอบเหมาะสม และวัดไดต้ รงตามจุดประสงคห์ รอื ไม่
6. การทดลองใช้แบบทดสอบ เมื่อผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบและแก้ไขแล้ว ก็นำ
แบบทดสอบไปทดลองใช้เพื่อวิเคราะห์หาคุณภาพเคร่ืองมือ และสามารถพัฒนาแบบทดสอบโดยการ

111

นำไปทดลองหลาย ๆ คร้ัง จนไดค้ ณุ ภาพเปน็ ทนี่ ่าพอใจจงึ นำไปใช้จริงต่อไป
7. สร้างเกณฑ์ในการแปลความหมายคะแนน การสร้างเกณฑ์ในการแปลความหมายคะแนน

เพื่อต้องการให้ ทราบว่าถ้าบุคคลใดสอบได้คะแนนเท่าไร จะเป็นผู้ที่มีความสามารถหรือลักษณะ
พฤตกิ รรมอยา่ งไร

8. การเขยี นรายงานและคู่มือการใช้ การเขยี นรายงานและคู่มือการใชจ้ ะทำใหน้ ำไปใช้ได้โดย
รู้ถึงขั้นตอนในการสร้างแบบทดสอบ และรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการสอน การแปลความ
คะแนน ซึง่ จะช่วยใหผ้ เู้ ลอื กใช้แบบทดสอบได้เหมาะสมกับจดุ มุ่งหมายในการสอบ

ณฏั ฐภรณ์ หลาวทอง (2559: 40-41) ได้กลา่ วถงึ ขั้นตอนการสรา้ แบบทดสอบไวด้ ังน้ี
การสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้สร้างเครื่องมือจะต้องมีความชัดเจนใน

มวลเนื้อหาและจุดมุ่งหมาย/วัตถุประสงค์การเรียนการสอน เพื่อให้แน่ใจว่า ข้อสอบสามารถมุ่งวัด
พฤติกรรมเป้าหมายหรือความรู้ตามวัตถุประสงค์และเนื้อหาการจัดการเรียนการสอนที่ได้รับมาแล้ว
อยา่ งครบถ้วนครอบคลุม มีข้นั ตอนการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นที่สำคัญ ดงั น้ี

1) กำหนดจดุ มุง่ หมาย/วตั ถุประสงค์ของการเรยี นการสอน
2) ออกแบบการทดสอบและเตรยี มตำรางวเิ คราะหแ์ บบสอบ
3) สร้างข้อสอบให้สอดคล้องกับวัตถปุ ระสงค์และตำรางวิเคราะหแ์ บบสอบ
4) คัดเลือกข้อสอบ
5) จดั เรยี งข้อสอบเขา้ สู่แบบสอบ
6) ทดทวนและประเมนิ ขอ้ สอบก่อนนำไปใช้
7) บริหารการทดสอบและตรวจใหค้ ะแนน
8) วเิ คราะหค์ ณุ ภาพของแบบสอบ
9) ปรบั ปรุงขอ้ สอบ
3. แบบสัมภาษณ์
ประสาท เนืองเฉลิ ม (2556: 199-200) ได้กล่าวถึงขั้นตอนของการสัมภาษณ์ว่า การ
สัมภาษณ์ที่จะให้ได้ข้อมูลตรงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยและมีความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด ผู้วิจัย
ควรจะดำเนนิ การดงั นี้
1. กำหนดวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์ให้ชัดเจน ซึ่งวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์
นน้ั ควรจะสอดคล้องกบั วตั ถุประสงค์ของการวิจยั
2. กำหนดตัวผู้ให้สัมภาษณ์ ในการกำหนดตัวผู้ให้สมั ภาษณน์ ั้นเป็นขั้นตอนที่สำคัญขน้ั
หนึ่ง ผู้วิจัยควรจะศึกษาประเด็นข้อมูลต่าง ๆ ให้ดีเสียก่อนว่า ผู้ที่จะให้สัมภาษณ์นั้นควรจะเป็นผู้ที่รู้
ข้อมูลที่ต้องการทราบอย่างแท้จริง เพราะถ้าหากผู้วิจัยไม่ศึกษาให้ดีก่อนที่จะกำหนดตัวผู้สัมภาษณ์
อาจจะส่งผลใหไ้ ดข้ ้อมลู ทค่ี ลาดเคล่ือนได้ถ้าผใู้ หส้ ัมภาษณ์น้นั ไม่ใชผ่ ้รู จู้ รงิ ในขอ้ มลู ทีส่ ัมภาษณ์

112

3. การติดต่อ กำหนดนัดหมายเวลาและสถานที่กับผู้ให้สัมภาษณ์ที่จะไปทำการ
สัมภาษณ์ และควรจะบอกให้ ผู้ให้สัมภาษณ์ได้ทราบล่วงหน้าด้วยว่าจะไปสัมภาษณ์เกี่ยวกับอะไร
สัมภาษณเ์ มื่อไหร่ ท่ไี หน ผู้ใหส้ มั ภาษณจ์ ะไดเ้ ตรยี มข้อมูลไวไ้ ด้ถูกต้อง

4. การจัดเตรียมคำถามและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะใช้ประกอบการสัมภาษณ์ เช่น เครื่อง
บันทึกเสียง เครื่องบันทึกภาพ ฯลฯ ถ้าเป็นการสัมภาษณ์แบบเป็นมาตรฐาน แบบสัมภาษณ์ที่ได้รับ
การปรบั ปรงุ คุณภาพและตอ้ งเตรยี มไว้ใหพ้ ร้อมเป็นอย่างดี

5. ควรจะศกึ ษาขอ้ มูลต่าง ๆ ทเ่ี ก่ียวข้องกบั ผู้ใหส้ มั ภาษณ์เปน็ อย่างดี เพ่ือความสะดวก
ในการสร้างสมั พนั ธภาพในระหว่างการสมั ภาษณ์

6. ในกรณีที่จะต้องใช้ผู้สัมภาษณ์หลายคน ควรจะมีการฝึกฝน อบรมผู้สัมภาษณ์
เสียก่อนให้มีความรู้ความเข้าใจตรงกันถึงวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์ วัตถุประสงค์ของงานวิจัย
ขั้นตอนของการสัมภาษณ์ คำถามทใี่ ช้ในการสัมภาษณ์และวธิ กี ารจดบันทึกการให้สัมภาษณ์ เพราะถ้า
ผสู้ ัมภาษณ์มคี วามเข้าใจไม่ตรงกันจะทำให้ไดข้ ้อมลู ท่ีคลาดเคล่ือน

7. เมื่อเริ่มตน้ การสัมภาษณ์ผูส้ มั ภาษณ์ควรมีการแนะนำตัวเองและชีแ้ จงวัตถปุ ระสงค์
ของการสัมภาษณ์ พยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้ให้สัมภาษณ์ โดยแสดงว่าที่ของการเป็น
มิตร เช่น การพูดจาอย่างเป็นกันเอง การยิ้ม การทักทาย การแสดงความเอาใจใส่ การให้เกียรติผู้ให้
สมั ภาษณ์เหล่าน้ี เปน็ ตน้ ผ้สู มั ภาษณ์ควรปฏบิ ัติดงั นี้

7.1 พยายามให้ผู้ให้สัมภาษณ์เป็นผู้พูดให้ข้อมูลมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ผู้
สัมภาษณอ์ ยา่ แย่งพดู เสียเอง

7.2 ควรใชภ้ าษาทส่ี ภุ าพ ไม่แสดงอาการข่มขู่ดว้ ยน้าเสียงและทา่ ทาง
7.3 พยายามใชภ้ าษาเดียวกับผใู้ หส้ มั ภาษณ์ ศัพท์เทคนิคตา่ ง ๆ ที่ไม่จำเปน็ ไม่
ควรนำมาใช้
7.4 ในระหวา่ งที่สมั ภาษณ์ใหผ้ ู้วจิ ัยสังเกตสภาพแวดล้อมประกอบด้วย
7.5 ถ้าผู้ให้สัมภาษณ์ตอบไม่ตรงประเด็นต้องพยายามชี้แจงแลกล่อมให้เข้าสู่
ประเด็นใหไ้ ด้ แต่ไม่ใช่ตัดบทอย่างกะทันหัน
7.6 ถ้าการสมั ภาษณต์ ้องใชเ้ วลานาน ควรจะหาทางผ่อนคลายความตงึ เครียด
โดยการสนทนาเรอ่ื งอื่นทเี่ บา ๆ บา้ งก็ได้
7.7 ในขณะที่ผู้ให้สัมภาษณก์ ำลังให้ข้อมลู ผู้วจิ ยั ไม่ควรแสดงอาการหรอื ทา่ ทใี ห้
เหน็ วา่ เกดิ ความเบ่ือหนา่ ยต่อวธิ ีการพูดของผใู้ ห้สัมภาษณ์
7.8 ถ้าเป็นการสัมภาษณ์แบบเป็นมาตรฐาน ผู้สัมภาษณ์ควรอ่านคำถามให้
เหมือนกับในแบบสัมภาษณ์ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกนั ถามตามลำดับกอ่ นหลงั ของคำถามในแบบ
สัมภาษณ์ และอย่าถามนำ

113

8. การจดบันทกึ ผลการสมั ภาษณ์ ผู้สมั ภาษณ์ควรจะปฏิบตั ิดังน้ี
8.1 ควรจะจดบนั ทึกทนั ทีในระหวา่ งการสัมภาษณ์ หรือหลังจากที่สมั ภาษณเ์ สรจ็

ใหม่ ๆ ไม่ควรท้ิงไว้นานเพราะจะทำให้ลมื ได้
8.2 ถ้าเป็นการสมั ภาษณแ์ บบเปน็ มาตรฐาน ให้จดบนั ทึกตามรูปแบบของแบบ

สัมภาษณน์ ้นั
8.3 ถ้าเป็นการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นมาตรฐาน ส่วนใหญ่คำถามที่ใช้จะเป็นคำถามแบบ

ปลายเปิด ควรบนั ทกึ เนื้อหาสาระทีส่ ำคัญไว้ท้ังหมด ถา้ เปน็ การสมั ภาษณ์ทม่ี ีเนื้อหามาก ๆ อาจจะขอ
อนุญาตผู้ให้สัมภาษณส์ รุปสาระสำคัญ ๆ ให้ผู้ให้สัมภาษณฟ์ ังซำ้ อีกทีว่าถูกตอ้ งหรอื ไม่ ถ้ามีสิ่งขาดตก
บกพร่องผู้ใหส้ มั ภาษณ์ก็จะแก้ไขทนั ที

8.4 ในแบบบนั ทกึ การสมั ภาษณ์ทกุ ครง้ั ควรจะมชี อ่ื ท่ีอยขู่ องผใู้ หส้ ัมภาษณแ์ ละวัน เดอื น
ปี ทส่ี มั ภาษณด์ ว้ ยเพ่ือจะตดิ ตามขอสัมภาษณ์ภายหลงั กรณีขอ้ มูลที่ไดม้ าไม่ครบ

4. แบบสังเกต
ประสาท เนอื งเฉลมิ (2556: 208) ได้กล่าวถึงข้นั ตอนของการสงั เกต ควรมขี ั้นตอนดังนี้
1. กำหนดจุดมุ่งหมายของการสังเกตเป็นอย่างดี จุดมุ่งหมายของการสังเกตควรจะ

สอดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์ของการวจิ ยั
2. ผสู้ ังเกตควรจะมีความรู้ในเร่ืองทจี่ ะไปสงั เกตเป็นอย่างดี
3. จัดเตรียมแบบสังเกตหรือ แบบบันทึกข้อมูลไปให้พร้อมจะช่วยให้ประหยัดเวลา

ในการรวบรวมข้อมูล
4. แบ่งข้อมูลที่ไปสังเกตเป็นหมวดหมู่ ตามลักษณะของปัญหาในการวิจัยและควร

สังเกตทีละอยา่ งไมค่ วรสังเกตหลายอยา่ งพร้อม ๆ กนั เพราะจะทำใหส้ บั สนได้
5. ผูท้ ่ีจะไปทำหนา้ ท่ีเปน็ ผู้สงั เกตควรจะไดร้ ับการฝึกฝนเป็นอย่างดี
6. พยายามสังเกตให้เปน็ ปรนยั มากที่สุด ไม่ควรใช้ความคดิ เห็นสว่ นตัวเข้าไปตัดสนิ

เหตกุ ารณน์ ้นั
7. เวลาจดบันทึกให้จดบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่เห็นตามสภาพความเป็นจริง อาจจะใช้

อุปกรณ์บางอย่างชว่ ยในการสังเกตได้ เชน่ เคร่อื งบนั ทกึ ภาพ เคร่อื งบนั ทึกภาพและเสียง ฯลฯ
การสังเกตสามารถใช้ในการรวบรวมข้อมูลบางอย่างได้ ในกรณีที่ไม่สามารถใช้วิธีการชนิดอื่น

ข้อมูลทไี่ ด้จากการสงั เกตน้นั ไม่ขึ้นกับความจำของผูถ้ ูกสังเกต เพราะเปน็ การสังเกตโดยตรง ผู้สงั เกตได้
เห็นพฤติกรรมของผู้ถูกสังเกตโดยตรง ถ้าผู้สังเกตไม่รู้ตัวว่าถูกสังเกต จะไม่มีปัญหาในการบิดเบือน
ข้อมูล และการสังเกตยังสามารถรวบรวมข้อมูลบางชนิดที่ผู้ถูกสังเกตไม่เต็มใจบอก หรือเป็นข้อมูลท่ี
เปน็ ความลับบางอยา่ ง ทเี่ ปน็ ประโยชน์ตอ่ การวิจยั เพ่ิมเตมิ ในระหว่างทสี่ ังเกต

จากขั้นตอนการสร้างเครื่องมือวิจัยที่กล่าวมาสามารถสรุปได้ว่า เครื่องมือวิจัยมีขั้นตอนการ

114

สร้างเริ่มจาก 1) ศึกษาเอกสารแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2) การกำหนดนิยามศัพท์เชิง
ปฏิบัติ 3) สร้างเครื่องมือวิจัย 4) ตรวจสอบความเที่ยวตรงเชิงเนื้อหา 5) นำเครื่องมือไปทดสองใช้
(tryout) 6) ปรับปรุงแกไ้ ขเครอ่ื งมือวิจยั และ 7) จัดพมิ พเ์ ครือ่ งมือวจิ ัยเพื่อนำไปใชเ้ ก็บรวบรวมข้อมลู

7.5 ลกั ษณะของเครอื่ งมือวิจัยท่ีดี
มีผูก้ ลา่ วถึงลักษณะเคร่ืองมือวจิ ัยที่ดีไว้หลายท่าน ดงั นี้
ประสาท เนืองเฉลมิ (2556: 189-193) ได้กล่าวถึงลักษณะของเครอ่ื งมือวิจัยที่ดีควรมี

ลักษณะ ดังนี้
1. ความเที่ยงตรง (Validity) การวัดในสง่ิ ทต่ี ้องการจะวัดได้อยา่ งถูกต้อง
2. ความเช่อื มั่น (Reliability) การวัดที่ให้ผลแน่นอน สมำ่ เสมอ คงเส้นคงวาของการได้

คะแนน คะแนนทวี่ ดั ได้จากผู้สอบไม่วา่ จะก่ีคร้ังก็ใหผ้ ลคงเดิม ถึงแมจ้ ะมีการวัดซ้ำอีก ผลที่ได้ก็ย่อมไม่
เปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ

3. ความเป็นปรนัย (Objectivity) ความชัดเจนของข้อคำถามที่ทำให้ผู้ตอบเกิดความ
เขา้ ใจในความหมายไดอ้ ย่างถูกต้องตรงกัน การตรวจให้คะแนนตรงกนั ไมว่ ่าจะเป็นใครตรวจให้คะแนน
ก็ตาม และคะแนนทไ่ี ดก้ ส็ ามารถแปลความหมายไดต้ รงกนั

4. อำนาจจำแนก (Discrimination) ความสามารถในการจำแนกบุคคลที่มคี ุณลกั ษณะ
หรอื ความสามารถแตกตา่ งกันออกจากันได้

5. ความยาก (difficulty) คณุ ลักษณะของข้อสอบไม่ยากหรือง่ายจนเกนิ ไป
6. วัดอย่างลึกซึ้ง (Searching) ลักษณะของคำถามต้องวัดได้ครอบคลุมพฤติกรรมที่
ต้องการวัด ไม่เป็นคำถามที่วัดเพียงแค่ความรู้ ความจำเท่านั้น หากแต่สามารถวัดพฤติกรรมสูง ๆ
ผู้ตอบคำถามต้องใช้ความคดิ และใชส้ มอง
7. ยตุ ธิ รรม (Fair) ลักษณะคำถามท่ีไมเ่ ปิดโอกาสให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไดเ้ ปรยี บในการ
ตอบคำถามมากกว่าอีกกลุ่มหนึง่
8. จำเพาะเจาะจง (Definite) ลักษณะคำถามต้องไม่ถามหลายแง่มุมหรอื หลายประเด็น
ของคำถามในขอ้ เดียวกัน
9. มีประสิทธิภาพ (Efficiency) ข้อสอบสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ประหยัดเวลา
และงบประมาณ
10. มีการจูงใจให้ตอบ (Exemplary) ทำได้โดยเรียงข้อสอบข้อง่าย ๆ ไว้ตอบแรก ๆ
แล้วค่อยเพิ่มความยากขึ้นในข้อถัด ๆ ไปซึ่งรูปแบบการจัดพิมพ์ข้อสอบควรจัดวางเป็นระบบและดู
สวยงาม อาจใช้ภาพหรือแผนผงั ประกอบคำถามเพื่อเร้าความสนใจของผูต้ อบ
ไพศาล วรคา (2559: 266-279) ได้กล่าวถึงเครื่องมือวิจัยที่ดีควรที่ ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลในการ

115

วิจยั ควรมคี ุณลกั ษณะดงั น้ี
1. มีความเที่ยงตรง (Validity) เครื่องมือที่ดีจะต้องสามารถวัดได้ตรงตามวัตถุประสงค์

และพฤติกรรมที่ต้องการจะวัดดังนั้น ความเที่ยงตรงจึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญเป็นอันดับแรกที่
เครื่องมือวดั จำเปน็ ต้องมี เพราะถ้าเครือ่ งมอื ไม่มีความเท่ียงตรงแล้ว ผลที่ได้จากการวัดย่อมไมใ่ ช่สิง่ ที่
ผู้วิจัยต้องการ เช่น ถ้าผู้วิจัยต้องการวัดความเข้าใจเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้าแต่กลับถามว่าไฟฟ้า มี
ประโยชน์อย่างไร ซึ่งผลของการตอบคำถามนี้จะไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าผู้ตอบมีความเข้าใจในเรื่อง
วงจรไฟฟ้าหรือไม่ แต่สิ่งที่ได้จะทำให้รู้ว่าผู้ตอบรู้จักประโยชน์ของไฟฟ้าหรือไม่ ซึ่งไม่ตรงกับคว าม
ตอ้ งการของผู้วจิ ยั เป็นต้น

การพิจารณาความเที่ยงตรงของเครื่องมือนั้นมีอยู่ 3 ชนิด ด้วยกัน คือ 1) ความ
เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา 2) ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง และ 3) ความเที่ยงตรงเชิงเกณฑ์สัมพันธ์ ซ่ึง
สามารถแยกยอ่ ยออกเปน็ ความเทีย่ งตรงเชงิ โครงสร้าง และความเท่ยี งตรงเชิงพยากรณไ์ ด้อกี

2. มีความเช่อื ม่ัน (Reliability) เครอ่ื งมือทดี่ ีจะต้องให้ผลการวัดท่ีมีความเช่ือม่ันสูงหรือ
มีความแน่นอน คงเส้นคงวา นั่นคือ หากคุณลักษณะที่ ต้องการวัดนั้นไม่ได้มีปริมาณเปลี่ยนแปลงไป
จากเดิม เมื่อใช้เครื่องมอื ที่มีความเชื่อม่ันวดั ก็จะได้ค่าของคณุ ลักษณะนั้นเท่าเดิม การใช้เครื่องมือที่มี
ความเชื่อม่ันสูงในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ขอ้ มูลทไ่ี ด้ก็จะมีความเชอ่ื ถอื ได้

3. มีความเป็นปรนัย (Objectivity) เครื่องมือที่ดีควรมีความเป็นปรนัยสูงคือ มีความ
ชัดเจนทั้งในข้อคำถาม คำตอบและการให้คะแนน ที่ทำให้ ทุก ๆ คนสามารถเข้าใจหรือตีความได้
เหมอื น ๆ กนั ท้งั หมด ไมว่ า่ จะเปน็ ใครทำ ทำเวลาใด จะต้องเข้าใจตรงกันวา่ ถามอะไร คำตอบทถ่ี ูกต้อง
ตอ้ งเป็นอยา่ งไร เมอื่ ตอบเช่นน้ันแล้วจะได้คะแนนเท่าใด ซึง่ จะให้ใครเปน็ ผู้ตรวจก็จะได้คะแนนเท่ากัน
และสามารถแปลผลของคะแนนท่ีได้ตรงกัน

4. มีความเฉพาะเจาะจง (Definite) เครอื่ งมือที่ดคี วรมีความเฉพาะเจาะจง กล่าวคือใน
หนึ่งข้อคำถามหรือรายการคำถามใด ๆ ควรถามเพียงประเด็นเดียวเป็นการเฉพาะ ไม่ควรมีประเด็น
อื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ถ้าถามว่า ครูผู้สอนมีความรบั ผดิ ชอบและยุติธรรมเพียงใด ถ้าผู้ตอบตอบ
ว่า “มาก” การตีความคำตอบท่ีได้สามารถเปน็ ไปได้ถงึ 3 กรณีคือ 1) ครูมคี วามรบั ผิดชอบมาก แต่ไม่
ยุติธรรม 2) ครูไม่มีความรับผิดชอบแต่มีความยุติธรรมมาก และ 3) ครูมีความรับผิดชอบมากและมี
ความยตุ ิธรรมมาก ซ่งึ ทำใหเ้ กดิ ความคลาดเคลอ่ื นในการวัด

5. มีประสิทธิภาพ (Efficiency) เครื่องมือที่ดีควรเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ
สามารถนำไปใช้ได้อย่างสะดวก ประหยัดและคุ้มค่า เช่น มีคำชี้แจงที่เข้าใจง่าย สะดวกในการตอบ
และจัดเกบ็ ขอ้ มลู รายการคำถามไม่ยาวเกนิ ไป เวลาที่กำหนดเหมาะสมกบั จำนวนขอ้ คำถาม เป็นต้น

6. มีอำนาจจำแนก (Discrimination) เครื่องมือที่ดีควรจะสามารถแยกแยะบุคคล
ออกเป็นกลมุ่ ๆ ตามปริมาณของคุณลักษณะท่ีตอ้ งการวดั ได้ เช่น แยกคนท่ีมีความสามารถสูงกับคนท่ี

116

มีความสามารถตำ่ ออกจากกนั ได้ หรือแยกคนท่มี ีความพึงพอใจกับคนท่ีไม่พึงพอใจออกจากกันได้ เป็น
ตน้

7. มีความยากเหมาะสม (Difficulty) เครื่องมือที่ดีควรมีระดับความยากที่เหมาะกับ
กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ทั้งคำชี้แจงในการตอบและเนื้อหาสาระที่ถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องมือที่เป็น
แบบทดสอบ ความยากถือว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่ง เครื่องมือที่มีความยากไม่เหมาะสม
กับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลจะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในผลของการวัด เช่น ข้อสอบที่ยากเกินไปจะทำให้
ผู้ตอบเกิดการเดา ถ้าง่ายเกินไปก็จะทำให้ทุกคนตอบถูกทั้งหมด จึงไม่สามารถวัดความสามารถท่ี
แท้จรงิ ของกลุ่มตัวเองได้

จากลักษณะของเครื่องมือวิจัยที่ดีดังที่กล่าวมา สรุปได้ว่าเครื่องมือวิจัยควรมีความเที่ยงตรง
ความเชื่อมั่น ความยากง่าย อำนาจจำแนก มีความเป็นปรนัย มีประสิทธิภาพ และมีความยุติธรรมใน
การวัด ซึ่งเครื่องมือวิจัยแต่ละประเภทจะมีลักษณะที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับเครื่องมือชนิด ๆ นั้นทั้งน้ี
นักวิจัยจึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัยก่อนนำไปใช้เก็บรวบรวม
ขอ้ มูล

7.6 สรุป
เครอ่ื งมอื วิจัย หมายถึง เอกสารที่นักวจิ ัยสร้างข้ึนมาเพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลหรือเพ่ือ

วัดค่าตัวแปรที่ทำการศึกษา เครื่องมือวิจัยจำแนกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสอบถาม
แบบสัมภาษณ์ และแบบสังเกต และเครื่องมือวิจัย แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ แบบทดสอบ
แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบสังเกต นอกจากนี้ข้อมูลที่ได้จากเกบ็ รวบรวมข้อมูลแบง่ ระดับ
ขอ้ มลู เป็น 4 มาตรวดั ไดแ้ ก่ มาตรนามบญั ญตั ิ (Nominal scale) มาตรอันดบั (Ordinal scale)มาตร
อันตรภาค (Interval scale) และมาตราอัตราสว่ น (Ratio scale)

ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือวิจัยที่จำแนกได้ 7 ขั้นตอนดังนี้ 1) ศึกษาเอกสารแนวคิด ทฤษฎี
และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2) การกำหนดนิยามศัพท์เชิงปฏิบัติ 3) สร้างเครื่องมือวิจัย 4) ตรวจสอบ
ความเทย่ี วตรงเชิงเน้ือหา 5) นาเคร่อื งมือไปทดสองใช้ (try out) 6) ปรบั ปรงุ แก้ไขเครื่องมือวิจัย และ
7) จัดพิมพ์เครื่องมือวิจัยเพื่อนำไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ทั้งนี้เครื่องมือวิจัยที่ได้ควรมีความเที่ยงตรง
ความเชื่อมั่น ความยากง่าย อำนาจจำแนก มีความเป็นปรนัย มีประสิทธิภาพ และมีความยุติธรรมใน
การวดั

117

7.7 คำถามทบทวน
1. จงบอกความหมายของเคร่ืองมือวิจัย
2. เครอื่ งมือวิจัยแบ่งออกเปน็ ก่ีประเภท อะไรบ้าง จงอธิบาย
3. จงอธบิ ายขน้ั ตอนการสร้างแบบสอบถามการวจิ ัย
4. เพราะเหตุใดก่อนจะสร้างเครื่องมือวิจยั ต้องทำการนิยามศัพทเ์ ชงิ ปฏบิ ัติการ
5. มาตรวดั ตัวแปรอันตรภาคกบั อัตราส่วนแตกต่างกันอยา่ งไร จงอธิบาย
6. หากใชเ้ ครอ่ื งมอื ผิดประเภทจะเกิดอะไรข้ึนกับผลการวิจัย

7.8 เอกสารอ้างอิง
กรรณิการ์ ภริ มย์รตั น์ . (2555). ปจั จยั ท่ีส่งผลต่อทักษะการเรยี นรขู้ องนักศกึ ษาคณะครุศาสตร์

มหาวิทยาลัยราชภฏั สวนสุนนั ทา. งานวจิ ยั ทีไ่ ด้รับทุนสนับสนนุ การวิจยั จากสถาบันวจิ ยั และ
พัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสนุ นั ทา.
ณฏั ฐภรณ์ หลาวทอง. (2559). การสร้างเครื่องมอื การวจิ ัยทางการศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร:
โรงพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
บุญชม ศรสี ะอาด. (2556). การวจิ ัยเบือ้ งตน้ : ฉบับปรบั ปรุงใหม่. พิมพ์คร้งั ที่ 9. กรุงเทพมหานคร:
สวุ ีริยาสาสน์ .
ประสาท เนืองเฉลิม. (2556). วจิ ยั การเรียนการสอน. พมิ พค์ ร้ังที่ 2. กรงุ เทพมหานคร: บริษทั ทวี
พรนิ้ (1991) จำกัด.
พรรณี ลกี ิจวฒั นะ. (2559). วิธีการวิจยั ทางการศกึ ษา. พิมพค์ ร้ังท่ี 11. กรุงเทพมหานคร: มนี
เซอรว์ สิ ซัพพลาย.
ไพศาล วรคา. (2559). การวิจยั ทางการศึกษา. พิมพ์คร้ังที่ 10. กรุงเทพมหานคร: ตกั สลิ าการพิมพ.์
รตั นะ บัวสนธ์. (2556). ปรชั ญาการวิจยั . พิมพ์ครั้งที่ 3. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย.
วรรณี แกมเกต.ุ (2555). วธิ วี ิทยาการวิจัยทางพฤตกิ รรมศาสตร์ . พิมพค์ รงั้ ท่ี 3. กรงุ เทพมหานคร:
โรงพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
สุวมิ ล ติรกานันท์. (2551). ระเบยี บวิธกี ารวจิ ัยทางสังคมศาสตร์: แนวทางส่กู ารปฏบิ ัต.ิ
พมิ พ์ครัง้ ท่ี 7.กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .

บทท่ี 8
การตรวจสอบคุณภาพเครอ่ื งมือวจิ ยั

ผลการวิจัยที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือสิ่งที่สำคัญที่สุดคือมาจากข้อมูลที่มีคุณภาพเนื่องจาก
ข้อมูลที่ได้มาจากการวัดค่าตัวแปรจากเครื่องมือ ที่นักวิจัยสร้างขึ้น ดังนั้นหลังจากที่นักวิจัย สร้าง
เครื่องมือเสร็จแล้วขั้นตอนต่อไปนักวิจัยต้องนำเครื่องมือไปทาการตรวจสอบคุณภาพ ซึ่งการ
ตรวจสอบคุณภาพจะประกอบด้วยค่าความเที่ยงตรง ค่าความเชื่อมั่น ความยากง่าย อำนาจจำแนก
และความเป็นปรนัยทั้งนี้การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวจิ ัยนักวิจัยควรพิจารณาตรวจสอบคุณภาพ
ตามลักษณะของเครื่องมือแต่ละชนิดเพื่อให้เครื่องมีคุณภาพและประสิทธิภาพก่อนจะนำไ ปเก็บ
รวบรวมขอ้ มลู

8.1 ความหมายของการตรวจสอบคณุ ภาพ
มีผใู้ หค้ วามหมายของการตรวจสอบคณุ ภาพเครื่องมือวจิ ยั ไว้ ดังนี้
วรรณี แกมเกตุ (2555 : 219-235) ได้กล่าวถึงการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือว่า เครื่องมือ

วิจัยที่มีคุณภาพ หมายถึง เครื่องมือวิจัยที่ให้ผลการวัดมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ ผลการวัดมี ความ
เที่ยงตรงมีความเชือ่ ม่ันมีความเป็นปรนยั มีความยากง่ายพอเหมาะมีอำนาจจำแนกสงู มปี ระสิทธภิ าพ
ไร้อคติ และมีความครบถ้วน ดังนั้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการนักวิจัยจึงต้อง
ประเมิน คุณภาพของข้อมูล ซึ่งทำได้โดยการประเมิน หรือตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวิจัย หรือ
ประเมินคุณ ภาพการวัดว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมตามที่ต้องการในการวิจัยหรือไม่ซึ่งการตรวจสอบ
คณุ ภาพของข้อคำถาม และการตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่ืองมือท้ังฉบบั

พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2556) ได้กล่าวถึงการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือว่า หมายถึง เป็นการ
ตรวจสอบคุณสมบตั ขิ องเครื่องมือในเรื่อง ความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่น ความยาก อำนาจจำแนก และ
ความเปน็ ปรนัย

พรรณ ลีกิจวัฒนะ (2557: 192) ได้กลา่ วถึงการตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองวา่ หมายถึง เปน็
การตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องมือ ท้ังในด้านความเที่ยงตรง ความเชื่อม่ัน ความยากงา่ ย และ
อำนาจจำแนก ก่อนท่ีจะนำเครื่องมือไปใชเ้ กบ็ รวบรวมข้อมูล

จากความหมายของการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัยที่กล่าวมาสามารถสรุปได้ว่า การ
ตรวจสอบคณุ ภาพเครือ่ งมือวจิ ยั หมายถงึ การตรวจสอบความถกู ต้องของเครื่องมือท้งั ความเที่ยงตรง
ความเช่ือมัน่ ความยากงา่ ย อำนาจจำแนก และความเป็นปรนยั เพอื่ ให้ได้เครื่องมือทสี่ ามารถวัดค่าตัว
แปรไดถ้ ูกตอ้ งและนำไปสู่คุณภาพของผลการวจิ ัย

134

8.2 ความเทย่ี งตรง
1. ความหมายของความเทีย่ งตรง
มีผ้ใู ห้ความหมายความเทยี่ งตรงหรือความเที่ยงตรงไว้ดังนี้
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 127) ได้ให้ความหมายความเที่ยงตรง (Validity) หมายถงึ

ความแมน่ ยำของเคร่ืองมอื ในการวัดสง่ิ ทตี่ ้องการจะวัด หรือส่งิ ท่เี คร่อื งมอื ควรวัด และคะแนนที่ได้จาก
แบบสอบทค่ี วามเทย่ี งตรงสูง สามารถบอกถงึ สภาพทีแ่ ท้จรงิ และพยากรณ์ไดถ้ ูกต้องแม่นยำ

วรรณี แกมเกตุ (2555: 219) ได้ให้ความหมายความเที่ยงตรงของเครื่องมือวิจัย
หมายถึง คุณสมบัติของเครื่องมือวิจัยที่วัดสิ่งที่ต้องการวัดได้ถูกต้องแม่นยำ การที่จะตรวจสอบว่า
เครื่องมือวิจัยนั้นมีความเที่ยงตรงหรือ ไม่จะต้องมีรายละเอียดของสิ่งที่ต้องการวัดเป็นเกณฑ์
เปรียบเทยี บวา่ เครอ่ื งมอื วจิ ยั น้ันวัดไดต้ รงตามส่งิ ที่ต้องการวัดหรอื ไม่

ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง (2559: 94) ได้ให้ความหมายของความเที่ยงตรง หมายถึง
หลักฐานที่แสดงถึงความถูกต้องในการวัดตัวแปรที่สนใจ สะท้อนสภาพที่แท้จริงของสิ่งที่ต้องการวัด
และสอดคล้องกับทฤษฎีหรือแนวคิดที่สนใจศึกษา หลักฐานที่สะท้อนความเที่ยงตรงประกอบด้วย
หลักฐานในเชิงเนื้อหา หลักฐานในเชิงความสัมพันธ์กับเกณฑ์ภายนอก และหลักฐานในเชิงโครงสร้าง
ของการวดั

จากความหมายของความเที่ยงตรงที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่าความเที่ยงตรงหมายถงึ
ความแม่นยำของเครื่องมือวิจัยที่จะวัดในสิ่งที่ต้องการจะวัด โดยเครื่องมือที่วัดจะต้องสอดคล้องกับ
ทฤษฎหี รือนิยามศัพทท์ ีน่ กั วจิ ยั ได้กำหนดไว้แล้วลว่ งหนา้

2. ประเภทของความเที่ยงตรง
มีผกู้ ลา่ วถึงประเภทของความเท่ยี งตรงไวห้ ลายทา่ นดงั นี้
วรรณี แกมเกตุ (2555 : 219-235) ได้กล่าวถึง ความเที่ยงตรงของเนื้อหารายข้อ

(Item Content Validity) เปน็ การตรวจสอบความสอดคลอ้ งของคำถามแตล่ ะข้อว่ามีความสอดคล้อง
กับเน้ือหา และ/หรอื นิยามตวั แปรท่ีมุง่ วดั หรือไม่ ซึ่งสามารถดำเนินการไดโ้ ดยการนำข้อคำถามท่ีสร้าง
ขึ้น พร้อมทั้งเนื้อหาและนิยามปฏิบัติการของ ตัวแปรที่ต้องการวัดไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเนื้อหาและ
ด้านการวัดและประเมินผล จำนวนหนึ่ง (ซึ่งอาจใช้ประมาณ 3-7 คนก็ได้) พิจารณาตรวจสอบความ
สอดคล้องระหว่างขอ้ คำถามกับเน้ือหา หรือนยิ ามตัวแปรท่ีมงุ่ วัด โดยพิจารณาอาจให้คะแนนเป็นดงั นี้

+1 หมายถึง แนใ่ จวา่ คำถามวดั ไดต้ รงเนื้อหา/นยิ าม/จุดประสงค์
0 หมายถงึ ไมแ่ น่ใจว่าข้อคำถามวดั ได้ตรงเน้ือหา/นยิ าม/จุดประสงค์
-1 หมายถงึ แนใ่ จว่าข้อคำถามวดั ไม่ตรงเน้ือหา/นิยาม/จดุ ประสงค์
ความเทีย่ งตรงของเคร่ืองมือวิจยั อาจแบ่งออกเป็นประเภทหลกั ได้ 3 ประเภท ตาม
เกณฑ์ที่นามาใช้เปรียบเทียบ ได้แก่ ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา (Content Validity) ความเที่ยงตรง

135

ตามเกณฑ์สัมพันธ์ (Criterion-Related Validity) และความเที่ยงตรงตามโครงสร้างหรือความ
เที่ยงตรงตามทฤษฎี (Construct Validity)

1. ความเทีย่ งตรงตามเน้อื หา (Content Validity) หมายถงึ คณุ สมบัติของเคร่อื งมือวิจัยท่ีวัด
เนื้อหาสาระได้อย่างครอบคลุม และเป็นตัวแทนของมวลเนื้อหาที่ต้องการวัดอย่างครบถ้วน
รายละเอียดของสิ่งที่ต้องการวัด อาจอยู่ในรูปของตารางกำหนดรายละเอียดของเนื้อหาและ
จุดมุ่งหมายที่ต้องการวัด (Table of Specification) ในกรณีที่เครื่องมือเป็นแบบทดสอบสำหรับ
เครื่องมือที่เป็นแบบสอบถามหรือแบบสัมภาษณ์ นักวิจัยอาจกำหนดเป็นตำรางโครงสร้างเนื้อหาของ
ตัวแปรและจำนวนข้อคำถามที่ต้องการวัด ตามรายละเอียดของคำนิยามเชิงทฤษฎี และนิยามเชิง
ปฏิบัตกิ าร

วิธีการตรวจสอบความเที่ยงตรงตามเน้ือหา สามารถทำไดโ้ ดยการให้ผู้ทรงคุณวฒุ ิจำนวนหน่ึง
พิจารณาความครอบคลุมเนื้อหาของคำถามท่ีใช้วัดสิ่งท่ีมุ่งวดั หรือตัวแปรสำคัญ รวมถึงพิจารณาว่าข้อ
คำถามแต่ละขอ้ สามารถวัดได้ตรงตามเนื้อหาทร่ี ะบุไว้ในตำรางโครงสรา้ งเนื้อหา และคานิยาม ตัวแปร
หรือไม่ แล้วนำผลการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมดมาคำนวณหาค่าดชั นี IOC ตามรายละเอียดที่
กล่าวถึงแลว้ ข้างต้น ในการนี้นกั วจิ ยั จะต้องนำตารางโครงสรา้ งเนื้อหาและคานิยาม ตัวแปร พร้อมท้ัง
เคร่อื งมอื ที่สรา้ งข้นึ ไปให้ผู้ทรงคุณวุฒปิ ระกอบการพิจารณาดว้ ย

2. ความเที่ยงตรงตามเกณฑ์สัมพันธ์ (Criterion-Related Validity) หมายถึงคุณสมบัติของ
เครื่องมือที่ให้ผลการวัดสอดคล้องกับคุณลักษณะหรือพฤติกรรมที่ต้องการวัด ซึ่งเป็นเกณฑ์ภายนอก
เกณฑ์ภายนอกทีใ่ ชใ้ นการตรวจสอบความเท่ียงตรงของเครื่องมือวิจัยมี 2 แบบ คือเกณฑ์ที่เปน็ สภาพ
ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน กับเกณฑ์ที่เป็นสภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยเหตุนี้ความเที่ยงตรงตามเกณฑ์
สัมพนั ธ์ จงึ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื

2.1 ความเที่ยงตรงร่วมสมัยหรือ ความเที่ยงตรงตามสภาพ (Concurrent Validity)
หมายถึง คุณสมบัติของเครื่องมือที่ให้ผลการวัดสอดคลอ้ งกับคุณลักษณะหรือพฤติกรรมท่ีต้องการวัด
ซึ่งเป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยคำนวณได้จากค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนที่ได้จากเครื่องมือ
วิจัยที่สร้างขึน้ กบั คะแนนที่ไดจ้ ากเคร่ืองมืออืน่ ท่ีเป็นมาตรฐาน ซึ่งวัดในเรื่องเดยี วกัน เช่น ถ้าต้องการ
หาความเที่ยงตรงร่วมสมัยของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิ ชาภาษาไทยที่ครูสร้างขึ้น
สามารถดำเนินการได้โดยนำแบบทดสอบฉบับที่ครูสร้างขึ้นไปทดสอบกับนักเรียนกลุ่มหนึ่ง และนำ
คะแนนทีไ่ ด้ไปหาความสมั พันธ์กบั คะแนนท่ีได้จากแบบทดสอบระดับชาตวิ ชิ าภาษาไทย ซึ่งวัดในเวลา
ใกลเ้ คียงกัน ถ้าคะแนนท่ีไดจ้ ากแบบทดสอบ 2 ฉบบั มีความสมั พันธ์กัน ก็แสดงวา่ แบบทดสอบวัดผล
สมั ฤทธิ์ทาง การเรยี นวชิ าภาษาไทยท่คี รสู รา้ งข้นึ มีความเทยี่ งตรงรว่ มสมัยน่นั เอง

2.2 ความเที่ยงตรงตามการพยากรณ์ (Predictive Validity) หมายถึงคุณสมบัติของ
เครื่องมือท่ีใหผ้ ลการวดั สอดคลอ้ งกบั คุณลักษณะหรือพฤติกรรมท่ตี ้องการวัดทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ ในอนาคต ซ่ึง

136

คำนวณได้จากค่าสมั ประสิทธิส์ หสัมพันธ์ระหวา่ งคะแนนท่ีไดจ้ ากเคร่ืองมือวจิ ัยท่ีสร้างขน้ึ กับคะแนนท่ี
เป็นเกณฑ์ภายนอก ซึ่งอาจได้จากเครือ่ งมือฉบบั อื่นที่เปน็ มาตรฐานซ่ึงวัดในเวลาต่อมาหรือในอนาคต
หรือผลการวัดอื่น ๆ ที่บ่งชี้ถึงคุณลักษณะน้ัน ๆ ในอนาคต เช่น ต้องการหาความเที่ยงตรงตามการ
พยากรณ์ของแบบทดสอบเอ็นทรานซ์ ว่าจะสามารถพยากรณ์ความสำคัญในการเรียนระดับปริญญา
ตรีได้หรือไม่ อาจทำได้โดยการนำคะแนนสอบเอ็นทรานซ์ไปหาความสัมพันธ์กับเกรดเฉลี่ยสะสมของ
นสิ ติ เมอ่ื เรียนจบช้นั ปีท่ี 4 หากคะแนนทัง้ 2 ชุด มีความสมั พันธ์กัน กแ็ สดงวา่ แบบทดสอบเอ็นทรานซ์
มีความเที่ยงตรงตามการพยากรณ์หรือสามารถพยากรณ์ทำนายความสำเร็จในการเรียนในอนาคตได้
นน่ั เอง

พชิ ติ ฤทธจิ์ รูญ (2556: 135-139) ไดแ้ บ่งประเภทของความเทย่ี งตรงออกเปน็ 3 ประเภทดงั นี้
1. ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) เป็นคุณสมบัติของข้อคำถามที่

สามารถวัดได้ ตรงตามเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด และเมื่อรวบรวมข้อคำถามทุกข้อเป็น
เคร่อื งมือท้ังฉบับจะตอ้ งวดั ได้ครอบคลุมเนือ้ หาและพฤตกิ รรมทั้งหมดทต่ี ้องการวดั ดว้ ย

2. ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง (Construct Validity) เป็นคุณสมบัติของเครื่องมือท่ี
สามารถวัดได้ตรงตามทฤษฎีหรือแนวคิดของโครงสร้างที่ต้องการจะวัด คำว่าโครงสร้างมีความหมาย
ในเชิงนามธรรม ที่ใช้อธิบายตัวแปรที่ศึกษาและเขียนไว้ในรูปข้อสันนิษฐานหรือสมมุติฐาน สามารถ
อธิบายและค้นหาขอ้ เทจ็ จรงิ มาสนบั สนนุ ได้

3. ความเที่ยงตรงตามเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง (Criteria Relative Validity) เป็นคุณสมบัติของ
เครื่องมือที่สามารถวัดได้สอดคล้องกับเกณฑ์ภายนอกบางอย่าง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือความ
เท่ยี งตรงเชงิ สภาพ และความเทยี่ งตรงเชงิ พยากรณ์

นอกจากนี้ การตรวจสอบความเท่ียงตรงเชงิ เนอื้ หา มีวธิ กี ารตรวจสอบดงั น้ี
1. การตรวจสอบว่าข้อคำถามในเครื่องมือมีความเปน็ ตวั แทนของเน้ื หาหรือครอบคลุม
เนื้อหาที่ตอ้ งการจะวดั หรอื ไม่
2. ตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาที่วัดกับจุดประสงค์ที่ต้องการวัด โดยให้
ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาว่าข้อคำถามวัดได้ตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการจะวัดหรือไม่ วิธีนี้เป็นการหาค่า
ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ (Index of Item-Objective Congruence
หรือ IOC) โดยใหผ้ ู้เช่ียวชาญไมน่ ้อยกวา่ 3 คน เป็นผพู้ ิจารณาใหค้ ะแนนแตล่ ะขอ้ ดังน้ี
+1 เมื่อแน่ใจว่า ข้อคำถามนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์
0 เมื่อไม่แนใ่ จวา่ ข้อคำถามนัน้ สอดคล้องกบั จดุ ประสงค์
-1 เมอ่ื แน่ใจว่า ข้อคำถามน้ันไม่สอดคล้องกบั จุดประสงค์
จากนั้นนำคะแนนผลการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อ
คำถามกบั จุดประสงค์ โดยใช้สตู ร

137

สูตร IOC = R
N

เมื่อ IOC แทน ดชั นคี วามสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์
R แทน ผลรวมของคะแนนการพิจารณาของผ้เู ชีย่ วชาญ
N แทน จำนวนผ้เู ช่ยี วชาญ

โดยใชเ้ กณฑ์การคดั เลือกขอ้ คำถาม ดังน้ี
1. ขอ้ คำถามที่มคี ่า IOC ต้งั แต่ 0.5-1.0 คดั เลือกไวใ้ ชไ้ ด้
2. ข้อคำถามที่มคี า่ IOC ตำ่ กว่า 0.5 ควรพิจารณาปรบั ปรุงหรือตัดทิ้ง

8.3 ความเช่ือมน่ั
1. ความหมายของความเช่ือมั่น
มผี ู้ใหค้ วามหมายของความเช่ือมั่นไว้หลายทา่ นดงั นี้
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2556: 137) ได้ให้ความหมายของความเชื่อมั่น (reliability) หมายถึง

คุณสมบัติของเครื่องมอื วดั ที่แสดงให้ทราบว่าเครื่องมือนั้น ๆ ให้ผลการวัดทีค่ งท่ี ไม่ว่าจะใช้วัดก่ีครั้งก็
ตามกับกลุ่มเดิม

วรรณี แกมเกตุ (2555: 220) ได้ให้ความหมายของความเชื่อมั่นของเครื่องมือวิจัย
(Reliability) หมายถึง คุณสมบัติของเครือ่ งมือท่ีให้ผลการวัดทีค่ งท่ีหรือคงเสน้ คงวา เมื่อทาการวดั ซำ้
หลาย ๆ คร้ังด้วยเครอ่ื งมือทีว่ ดั ส่ิงเดยี วกัน

สวุ มิ ล ตริ กานนั ท์ (2551: 152) ไดใ้ ห้ความหมายของความเชือ่ มน่ั หมายถงึ ความคงทข่ี อง
ผลทไี่ ดจ้ ากการวดั ด้วยเครือ่ งมือชดุ เดียวกนั กบั คนกลมุ่ เดียวกัน ในเวลาที่ต่างกนั

จากความหมายของความเชื่อมั่นที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ความเชื่อมั่น หมายถึง คุณสมบัติ
ของเครื่องมือวิจัย ที่มีความคงเส้นคงวาในการวัดสิ่งเดียวกัน ในเวลาที่ต่างกันนั่นคือ ไม่ว่าจะนำ
เคร่ืองมอื วิจัยน้ันไปวัดกคี่ รัง้ ค่าที่ได้จากการวัดจะมีค่าไม่ต่างกัน

2. วธิ ีการหาความเชือ่ มน่ั
มผี ูก้ ลา่ วถึงวิธกี ารหาความเชือ่ มน่ั ไวห้ ลายท่านดงั น้ี

วรรณี แกมเกตุ (2555: 222) ไดก้ ล่าวถงึ วิธีการหาความเชื่อม่ันทีน่ ยิ มใชก้ ันมหี ลายวิธีทุกวิธี
เป็นการหาความเชื่อมนั่ ในความหมายของความคงที่หรือความคงเส้นคงวาของผลการวัดแตกต่างกัน
ตรงท่วี ธิ กี ารทใ่ี ช้ ซ่ึงสามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ 3 ประเภท

1. การหาความเช่ือม่ันแบบความคงที่ (Measure of Stability) ความเชื่อม่ันแบบ
ความคงท่เี ปน็ ความคงเสน้ คงวาของคะแนนจากการวดั ในช่วงเวลาต่างกัน โดยวิธสี อบซำ้ ดว้ ยเครอื่ งมือ
ฉบับเดิม แล้วนำผลการวัดทั้งสองครัง้ มาหาค่าสมั ประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ วิธีนี้เรียกอีกอย่างวา่ วิธีสอบซำ้

138

(Test-retest Method) การคำนวณค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนการวัดทั้ง 2 ครั้ง ใช้
สตู รการคำนวณดังนี้

2. การหาความเชื่อมั่นแบบความเท่าเทียมกัน (Measure of Equivalence)
ความเช่อื ม่นั แบบความเท่าเทียมกัน หมายถงึ ความสอดคล้องกนั ของคะแนนจากการวัด ในช่วงเวลา
เดยี วกนั โดยใชแ้ บบทดสอบคู่ขนาน (Parallel Test) แล้วนำคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบท้ังสองฉบับ
มาหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์โดยใช้สูตรดังกล่าวข้างต้น การหาความเชื่อมั่นแบบนี้เป็นผลมาจาก
ความพยายามในการปรับปรุงจุดอ่อนของวิธีแรก อันเน่ืองมาจากความคลาดเคลื่อน ในการวัดซ้ำ
เพราะผู้สอบอาจจำข้อสอบได้ในการสอบซ้ำ แต่วิธีนีก้ ็มีความยุ่งยากที่จะตอ้ งสรา้ งแบบทดสอบข้ึนมา
อีกชุดหนึ่งที่มีความคู่ขนานกับแบบทดสอบชุดเดิม นักวัดผลจึงได้พัฒนาวิธีการหาความเชื่อมั่นในรูป
ของ ความสอดคลอ้ งภายใน

3. การหาความเชื่อมั่นแบบความสอดคล้องภายใน (Measure of Internal
Consistency) ความเทย่ี งแบบความสอดคล้องภายใน เปน็ ความสอดคล้องกันระหว่างคะแนนรายข้อ
หรือความเป็นเอกพันธ์ของเนื้อหารายข้ออันเป็นตัวแทนของคุณลักษณะเด่นเดยี วกันที่ต้องการวัด วิธี
นี้นักวิจัยนาเคร่ืองมือฉบับเดียวไปทาการวดั กับกลุ่มตวั อย่างเพียงครัง้ เดียว แล้วนาผลการวดั มาหาคา่
ความเชือ่ มัน่ โดยวิธีต่าง ๆ 4 วิธี ดงั นี้

3.1 วธิ แี บง่ ครึ่งข้อสอบ (Split-Half Method) ดำเนนิ การดงั น้ี
3.1.1 แบ่งครึ่งข้อสอบออกเป็น 2 ฉบับย่อย โดยอาจยึดเกณฑ์ข้อคู่-ข้อ

คี่, ครึ่งแรก-ครึ่งหลัง, ตามเนื้อหาหรือโดยการสุ่ม รวมคะแนนข้อคู่ -ข้อคี่ของแต่ละคน หรือรวม
คะแนนตามเกณฑ์อ่นื ๆ ท่ีใช้แบง่ ครึ่งขอ้ สอบ

3.1.2 คำนวณค่าสัมประสทิ ธิส์ หสมั พนั ธ์ระหว่างคะแนนข้อคู่-ข้อค่ี (หรือ
ตามเกณฑ์อ่นื ๆ ทีใ่ ช้ในการแบง่ คร่งึ ข้อสอบ) ซ่งึ จะได้ค่าสมั ประสิทธส์ิ หสัมพันธข์ องครึ่งฉบบั

3.1.3 คำนวณค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือทั้งฉบับ โดยใช้สูตรของ
Spearman-Brown

3.2 วิธีของ Kuder-Richardson ใช้ในกรณีที่เครื่องมือมีการตรวจให้
คะแนนแบบ 0, 1 โดย ตอบถกู ให้ 1 คะแนน ตอบผดิ ให้ 0 คะแนน วิธนี ม้ี ีสูตรการคำนวณ 2 แบบ คือ
KR-20 และ KR-21 การใช้สูตร KR-21 มีข้อตกลงเบื้องต้นว่า ข้อสอบทุกข้อมีความยากง่ายเท่ากัน
หรือใกล้เคยี งกนั ในกรณีทขี่ อ้ สอบมคี วามยากงา่ ยแตกต่างกนั ควรใช้สตู ร KR-20

3.3 วิธีสัมประสิทธิ์ แอลฟาของครอนบาค ( Cronbach’s Alpha
Coefficient: α) ใช้ในกรณีที่การให้คะแนนเป็นแบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) หรือข้อสอบ
อัตนยั และ ยงั ใชไ้ ดก้ ับแบบทดสอบทใี่ ห้คะแนนแบบ 0, 1 ได้ดว้ ย สตู รน้ีเปน็ ทน่ี ิยมใช้กันแพรห่ ลาย

3.4 วิธีวิเคราะห์ความแปรปรวนของ Hoyt (Hoyt’s Analysis of

139

Variance) วิธีน้ใี ช้การวิเคราะหค์ วามแปรปรวนแบบสองทางของคะแนนท่ีผถู้ ูกทดสอบแต่ละคนได้รับ
จากข้อสอบแต่ละข้อ โดยไม่มีปฏิสัมพันธ์ วิธีนี้สามารถใช้ในแบบทดสอบที่ให้คะแนนแบบ 0.1 หรือ
แบบทดสอบอัตนัย หรือมาตรประมาณค่าก็ได้ ผลการวิเคราะห์ได้ค่าเท่ากับวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟา
ของครอนบาค

สวุ ิมล ติรกานนั ท์ (2551: 153-158) ได้กล่าวถึงการหาค่าความเชื่อมัน่ ของเครื่องมือวิจัยไว้
ดังนี้

การประมาณค่าความเชื่อมั่นสามารถทำได้หลายวิธี และในแต่ละวิธีก็มีข้อจำกัดท่ี
แตกต่างกัน การที่จะเลือกใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับความมุ่งหมายลักษณะของคะแนนคำตอบและชนิดของ
แบบสอบถามที่ใชโ้ ดยทั่วไปวิธกี ารประมาณค่าความเทย่ี งมี 3 รปู แบบ คอื

1. การวดั ความคงที่ (Measure of Stability)
2. การวดั ความสมมูลกัน (Measure of Equivalence)
3. การวัดความสอดคล้องภายใน (Measure of Internal Consistency) ซึ่ง
เทคนคิ ทางสถิตทิ ่ใี ช้ ได้แก่

3.1 วธิ ีแบง่ คร่งึ ข้อสอบ (Split-half)
3.2 วิธขี องคเู ดอร์-ริชาร์ดสนั (Kuder-Richardson estmates)
3.3 สัมประสิทธแิ์ อลฟา (Alpha-coefficient)
1. การวัดความคงท่ี (Measure of Stability)
เป็นวธิ ที ี่จะหาสัมประสิทธิ์ของความคงที่ (coefficient of stability) โดยนำแบบสอบถาม
ไปทดสอบกับผู้สอบกลุ่มเดิมสองครั้งและจะทิ้งช่วงระยะเวลาพอควรก่อนการสอบครั้งที่สอง แล้วนำ
คะแนนที่ได้จากการทดสอบทั้งสองครั้งมาคำนวณค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson
product-moment correlation coefficient) โดยสูตรต่อไปนี้

เม่อื rXY คอื สมั ประสทิ ธิค์ วามเทีย่ งของเคร่ืองมือ
n คือ จำนวนตัวอยา่ ง
X คือ คะแนนการสอบคร้ังทห่ี นึง่ ของผ้สู อบแต่ละคน
Y คือ คะแนนการสอบคร้ังทส่ี องของผสู้ อบแตล่ ะคน
การหาความเชื่อมั่นโดยวิธีการสอบซ้ำนี้ นิยมเรียกกันว่า Test-retest methodซึ่งการหา

ความเชอ่ื มั่นดว้ ยวธิ ีสอบซ้ำมักจะเกดิ ความคลาดเคลือ่ น เนือ่ งจากมีองคป์ ระกอบอื่นมาทำให้คะแนนท่ี
สอบในครัง้ ท่สี องเปล่ียนไป การทิง้ ชว่ งระยะเวลาส้ัน ๆ ระหว่างการสอบคร้ังท่ีหนึ่งและการสอบครั้งที่
สองอาจทำให้ผู้สอบจำได้ว่าในครัง้ แรกได้ตอบคำถามไปอย่างไร ครั้งหลังก็พยายามตอบแบบเดิมโดย

140

ไม่พิจารณาว่าคำตอบนั้นตอบถูกหรือผิด ในลักษณะนี้จะทำให้ความเที่ยงสูงกว่าความเป็นจริงแต่ถ้า
เวน้ ระยะเวลานานเกินไป ผู้สอบอาจเกิดการเรียนรู้มากขึ้น และมพี ัฒนาการทางสติปัญญามากข้ึน ซึ่ง
จะมีผลทำใหค้ วามเที่ยงต่ำ สำหรับการท้ิงชว่ งระยะเวลาในการสอบซำ้ ยังไม่มขี ้อสรุปที่แน่นอนว่าควร
เวน้ ระยะเวลาเทา่ ใดจึงจะเหมาะสม

2. การวดั ความสมมลู กัน (Measure of Equivalence)
เนื่องจากวธิ หี าความเชื่อมั่นแบบสอบซ้ำประสบปัญหาเกี่ยวกับการเวน้ ช่วงระยะเวลา จึงใช้

วิธีนำเครื่องมือ 2 ฉบับที่คล้ายกันหรือคู่ขนานกัน (parallel test) มาใช้แทน โดยข้อสอบที่ใช้ใน
เครื่องมือทั้ง 2 ฉบับ จะมีลักษณะเป็นข้อสอบที่สมมูลกัน (equivalent) นำแต่ละฉบับไปทดสอบใน
ผู้สอบกลุ่มเดียวกัน จากนั้นนำคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบทั้ง 2 ฉบับไปคำนวณค่าความเที่ยงด้วย
สูตรการคำนวณค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธแ์ บบเพียร์สันเช่นเดียวกับแบบสอบซ้ำ การสร้างข้อสอบใน
ลักษณะนี้จะทำได้ดีในแบบทดสอบวิชาคณิตศาสตร์ ส่วนในสาขาวิชาอื่นและการสร้างแบบทดสอบ
ถามทั่วไปทำได้ค่อนข้างยาก จึงไม่ค่อยมีผู้นิยมใช้วิธีนี้ประมาณค่าความเชื่อมั่นเครื่องมือเก็บรวบรวม
ข้อมูลทางการวจิ ัยมากนกั

3. การวดั ความสอดคล้องภายใน (Measure of Internal Consistency)
เป็นการประมาณค่าความเชื่อมั่นที่ใช้การสอบเพียงครั้งเดียว โดยพิจารณาว่าข้อคำถาม

ทงั้ หมดในแบบทดสอบน้นั วัดในเร่ืองเดียวกันหรือไม่ ถ้าวัดในเร่ืองเดียวกนั กน็ ่าจะมีความสอดคล้องใน
การวัดสูงโดยที่จะมกี ารสอบเพียงครงั้ เดียว สำหรับวิธกี ารคำนวณหาความเช่อื มน่ั ท่นี ยิ มใช้มีดังนี้

3.1 วิธีแบ่งครึ่งข้อสอบ (split-half) โดยจะนำแบบทดสอบที่ต้องการหาค่าความเชื่อมั่นไป
ทดสอบกับกลุ่มตวั อยา่ งนำมาตรวจให้คะแนน แล้วจงึ แบง่ คะแนนรวมเป็น 2 ส่วนเชน่ จัดแบ่งคะแนน
รวมจากข้อคู่กับข้อคี่หรือครึ่งแรกกับครึ่งหลัง จากนั้นนำคะแนนสองส่วนดังกล่าวไปคำนวณค่า
สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ซึ่งจะได้ค่าความเชื่อมั่นเพียงครึ่งฉบับ จึงต้องทำการปรับขยาย
ใหเ้ ป็นคา่ ความเช่ือม่นั ของแบบทดสอบทงั้ ฉบับโดยใช้สูตรของสเปียร์แมนบราวน์
(Spearman-Brown) ดังน้ี

เมอ่ื rtt คือ คา่ สัมประสิทธค์ิ วามเชื่อม่ันของแบบทดสอบทั้งฉบบั
Rhh คอื สมั ประสทิ ธิค์ วามเช่ือมนั่ ของแบบทดสอบครึ่งฉบับ
3.2 วธิ ขี องคูเดอร์ ริชาร์ดสนั ในปี 1937 คูเดอร์และรชิ าร์ดสนั (Kuder and
Richardson) เสนอสูตรสำหรับการประมาณคา่ ความเชือ่ มั่นของเครอื่ งมอื หลายสูตร แต่สตู รทเี่ ป็นที่
นิยมและใชก้ นั อย่างกวา้ งขวาง คือ สูตรคูเดรอ์รชิ าร์ดสัน 20 (Kuder-Richardson 20 : K-R20)

141

เมอ่ื r คือ สัมประสิทธ์คิ วามเชอ่ื ม่ันของแบบทดสอบ
n คอื จำนวนขอ้ ในแบบทดสอบ
p คือ สดั ส่วนของผ้ตู อบถกู ในแต่ละข้อ
q คือ สัดสว่ นของผู้ตอบผิดในแต่ละข้อ
St2 คือ ความแปรปรวนของคะแนนรวมของผูต้ อบทัง้ หมด

การหาคา่ ความเบ่ียงแบบคเู ดอร์รชิ ารด์ สัน เป็นการหาความสอดคล้องระหว่างข้อคำถาม
ซง่ึ ดำเนนิ การสอบครง้ั เดียวและใช้แบบทดสอบชดุ เดยี ว ความสอดคล้องกนั ระหวา่ งข้อน้ีได้รับอิทธิพล
จากแหลง่ ความแปรปรวนคลาดเคลอื่ น 2 แหล่ง คือ

1) เนอื้ หาที่สมุ่
2) ความเป็นเอกพันธ์ (homogeneous) ของพฤติกรรมที่สุ่ม ยิ่งข้อสอบมีความเป็นเอก
พันธม์ ากความสอดคลอ้ งกนั ระหว่างขอ้ ก็ยง่ิ สงู
ค่าความเชื่อมั่นแบบคูเดอร์ริชาร์ดสันมีค่าประมาณได้กับค่าเฉลี่ยของสัมประสิทธิ์ความ
เชือ่ ม่นั ท่ไี ดจ้ ากการแบ่งครึง่ แบบทดสอบดว้ ยวธิ ีต่าง ๆ กัน
ข้อตกลงเบ้ืองตน้ ของสูตรคเู ดอรร์ ชิ ารด์ สนั 20 คือ
ก. การตรวจให้คะแนนแตล่ ะข้อ ให้ 1 คะแนนเมื่อตอบถูกและให้ 0 คะแนน เม่ือตอบผดิ
ข. ขอ้ สอบในแบบทดสอบจะต้องมีลักษณะเป็นเอกพันธ์ คือ วัดคณุ ลักษณะเดยี วกนั
สูตรคูเดอร์ริชาร์ดสัน 20 นี้ เหมาะที่จะหาความเชื่อมั่นของแบบทดสอบความสามารถ
(power test) เท่านั้น ไม่เหมาะที่จะหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบความเร็ว (speed test)
เพราะคา่ p และ q ของแตล่ ะขอ้ จะตอ้ งเป็นคา่ ทไี่ ดจ้ ากการที่ผสู้ อบทุกคนมโี อกาสทำข้อนน้ั แล้ว ซ่ึงใน
เครือ่ งมอื วัดความเรว็ ผสู้ อบทุกคนมโี อกาสทำไม่ครบจนถงึ ข้อสดุ ท้าย
ต่อมาคูเดอร์และริชาร์ดสันได้เสนอสูตรที่สามารถคำนวณจากค่าเฉลี่ย โดยมีข้อตกลง
เบื้องต้นว่า ข้อสอบแต่ละข้อจะต้องมีความยากเท่ากันหรือกำหนดให้ค่า p คงที่ สูตรใหม่นี้เรียกวา่ คู
เดอร์รชิ ารด์ สัน 21 (KR-21)

เมือ่ r คือ สมั ประสิทธิ์ความเชือ่ ม่นั ของเคร่อื งมือ
n คือ จำนวนขอ้ ในเครือ่ งมอื
m คอื ค่าเฉลยี่ ของคะแนนรวมที่ผตู้ อบทงั้ หมดทาได้

142

St2 คือ ความแปรปรวนของคะแนนรวมของผู้ตอบท้งั หมด
การประมาณคา่ ความเชอ่ื ม่นั ของแบบทดสอบโดยใชส้ ตู รของ คเู ดอร์ -รชิ าร์ดสนั
21 ค่าทไ่ี ดจ้ ะมีค่าต่ำกว่าท่ีประมาณดว้ ยสูตรคูเดอรร์ ชิ ารด์ สัน 20 เน่ืองจากข้อสอบโดยทั่วไปแต่ละข้อ
ในเคร่อื งมอื จะมีระดับความยากแตกต่างกัน ซง่ึ ไมเ่ ป็นไปตามข้อตกลงเบือ้ งตน้ ดงั กล่าว

3.3 วิธีสัมประสิทธิ์แอลฟา (coefficient –∝) วิธีนี้ได้รับการพัฒนาจากครอนบาค
(Cronbach) โดยได้พัฒนาสูตรคูเดอร์รชิ าร์ดสัน 20 มาเป็นสัมประสิทธิ์แอลฟาเพื่อให้ใชไ้ ด้กับการให้
คะแนนที่ไม่เป็นระบบ 0, 1 เช่น แบบสอบอัตนัย แบบสำรวจความสนใจในอาชีพ มาตรประมาณค่า
(rating scale) เป็นต้น ซง่ึ มีสตู รในการคำนวณดังนี้

คอื สมั ประสทิ ธ์ิความเชื่อมน่ั ของเครอ่ื งมอื
n คอื จำนวนข้อในเคร่ืองมือ
คือ ความแปรปรวนของคะแนนคำถามแต่ละข้อ
คอื ความแปรปรวนของคะแนนรวมของผ้ตู อบท้ังหมด

3. การประมาณค่าความเช่อื มั่นของแบบสงั เกต
ลักษณะของแบบสังเกตที่เป็นแบบ Check-list การตรวจสอบหาความเชื่อมั่นเป็นการ

คำนวณหาค่าความเชือ่ มั่นของผสู้ ังเกตเพราะใชก้ ารเก็บข้อมูลของผสู้ งั เกต ผู้สังเกตจงึ จัดเป็นเคร่ืองมือ
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลควบคู่กับแบบสังเกต ความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นเป็นความเชื่อมั่นที่เกิดจากผู้
สงั เกตต้ังแต่ 2 ท่านขน้ึ ไป ที่ใชแ้ บบสงั เกตและสังเกตส่ิงเดียวกัน มีสูตรการคำนวณท่ีไม่ยุ่งยากเหมือน
ของแบบทดสอบหรอื แบบวดั ค่าความเชอ่ื มน่ั ที่ไดเ้ รียกว่า สัมประสิทธ์ิความสอดคลอ้ งมีสตู รดงั น้ี

ค่าสมั ประสิทธิ์ความเชอื่ ม่นั ที่ได้จากการคำนวณในสูตรต่าง ๆ มคี า่ สูงสดุ เทา่ กบั 1 โดยเม่อื
ค่าที่ได้มีค่าใกล้ 1 แสดงว่าเครื่องมือมีความเที่ยงค่อนข้างสูง แต่มีข้อควรระวังเมื่อมีการประมาณค่า
ความเชื่อมั่นของแบบสอบถามหรือแบบทดสอบ เพราะค่าสัมประสิทธิ์สูงอาจมีผลเนื่องมาจากการใช้
ผู้สอบจำนวนมาก หรือการใช้ข้อคำถามจำนวนมาก หรือการใช้กลุ่มตัวอย่างที่ มีความแตกต่างกัน
ค่อนขา้ งมาก ซงึ่ ทำใหผ้ ู้วิจัยเข้าใจผดิ คิดวา่ ค่าสมั ประสทิ ธิ์ทไ่ี ดม้ าจากความเช่ือมนั่ ของเคร่ืองมือท่ีสร้าง
ขน้ึ

143

ข้ันตอนในการประมาณค่าความเช่ือมั่น
ในการวิจยั ทางสังคมศาสตร์นิยมใช้การประมาณค่า ความเชื่อมั่นแบบความสอดคล้อง

ภายในเพราะมีการทดลองใช้เพียงครั้งเดียว ซึ่งเหมาะกับภาวการณ์ที่เป็นจริงของการดำเนนิ งานวิจยั
แต่เน่อื งจากสตู รท่ใี ช้คำนวณมีหลายสตู รดว้ ยกัน ผู้วจิ ยั จงึ ควรใชส้ ตู รคำนวณใหถ้ ูกต้องตามเงอื่ นไขของ
สูตรทกี่ ำหนดไว้ การตรวจสอบความเช่ือม่นั ยังมวี ิธีการดงั น้ี

1) นำเครื่องมือที่สร้างขึ้นไปทดลองใช้ (try out) กับกลุ่มตัวอย่างมีลักษณะใกล้เคียง
กบั กล่มุ เปา้ หมาย จำนวนประมาณ 30-40 คน

2) นำเคร่อื งมือที่ทดลองใช้มาตรวจใหค้ ะแนน
3) พจิ ารณาสูตรที่เหมาะกับลักษณะของแบบสอบถาม
4) คำนวณตามสูตร
5) หากคา่ ทไี่ ด้มีค่า คอ่ นขา้ งต่ำหรือยงั ไมเ่ ป็นท่ีพอใจของผวู้ จิ ยั จะต้องดำเนินการแก้ไข
ซง่ึ อาจเกิดข้ึนได้จากสาเหตตุ ่อไปนี้

5.1) การใหค้ ะแนนไม่ถูกต้อง เช่น การใหค้ ะแนนข้อความทางลบของมาตร
วัดแบบ Likert ที่ตอ้ งเปล่ยี นจาก 5 4 3 2 1 เป็น 1 2 3 4 5

5.2) ข้อความทใี่ ชไ้ ม่ชดั เจน กำกวม
5.3) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้มีการแสดงลักษณะเหมือนกัน ทำให้คำตอบที่ได้ไม่
แตกตา่ งกันคะแนนที่ไดจ้ งึ ใกล้เคยี งกนั และเกือบไม่มคี วามผนั แปรของผลที่ได้
6) หลังการแก้ไข ผู้วิจัยจะต้องนำไปทดลองใช้อีกครั้งหนึ่งและนำผลที่ได้มาประมาณ
คา่ ความเชื่อมั่นอีกคร้งั หน่ึง หากยังไมไ่ ดผ้ ลตามที่ตอ้ งการก็ต้องมีการปรับแก้ แตถ่ า้ ผลจากการทดลอง
ใช้ครั้งแรกเป็นที่น่าพอใจแล้ว ผู้วิจัยก็สามารถนำเครื่องมือนัน้ ไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายหรือประชากรท่ี
ตอ้ งการได้

8.4 ค่าความยาก
1. ความหมายของคา่ ความยาก

มผี ใู้ หค้ วามหมายของคา่ ความยากหลายท่าน ดงั นี้
พิชิต ฤทธ์ิจรูญ (2556: 138) ได้ให้ความหมายของความยาก (difficulty) หมายถึงคุณสมบัติ
ขอ้ สอบทบ่ี อกให้ทราบว่าขอ้ สอบข้อนน้ั มีคนตอบถูกมากหรอื น้อย ถา้ มีคนตอบถกู มากข้อสอบนั้นก็ง่าย
และถ้ามีคนตอบถูกน้อยข้อสอบนั้นก็ยาก ถ้ามีคนตอบถูกบ้างตอบผิดบ้างหรือมีคนตอบถูกปานกลาง
ข้อสอบข้อนั้นก็มีความยากปานกลาง ข้อสอบที่ดีควรมีความยากพอเหมาะพอควรมีคนตอบถูกไม่ต่ำ
กว่า 20 คน และไมเ่ กิน 80 คน จากผ้สู อบ 100 คน คา่ ความยากหาไดโ้ ดยการนำจำนวนคนท่ีตอบถูก
หารด้วยจำนวนคนทตี่ อบทงั้ หมด

144

ประสาท เนืองเฉลิม (2556: 190) ได้ให้ความหมายค่าความยาก หมายถึง จำนวนร้อยละ
หรือค่าสัดสดั ส่วนของผเู้ รียนที่ตอบถูกในข้อนนั้ เมื่อเปรยี บเทยี บกับผเู้ รียนท้งั หมดใช้กับเคร่ืองมือที่วัด
เปน็ แบบทดสอบเลอื กตอบประเภท 0-1

ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง (2559: 82) ได้ให้ความหมายของค่าความยาก หมายถึง ความเข้มของ
ข้อคำถาม ที่หากผู้รับการทดสอบที่มีคุณลักษณะทางพุทธพิ ิสัยหรือความสามารถทางสมองสูงในเรือ่ ง
นั้นจะมีโอกาสทำาข้อที่มีความยากมากได้ขณะที่ผู้รับการทดลองที่มีคุณลักษณะทางพุทธิพิสัยหรือ
ความสามารถทางสมองต่ำในเรอ่ื งน้ันจะมีโอกาสทำข้อสอบที่มีความยากน้อยได้

จากความหมายของค่าความยากที่กล่าวมา สรุปได้ว่า ค่าความยาก หมายถึง ผลของการ
คำนวณหาสัดส่วนของผู้ที่ทาข้อสอบข้อนั้นถูกกับผู้ที่เข้าสอบทั้งหมด ถ้าข้อนั้นมีคนทำถูกเป็นจำนวน
มากแสดงว่าข้อสอบข้อนั้นง่าย ในทางตรงกันข้ามถ้าขอนัน้ มีคนทำถูกน้อยแสดงว่าข้อสอบข้อนัน้ ยาก
โดยค่าความยากจะแสดงถึงคุณภาพประการหนึ่งของแบบทดสอบซึ่งเป็นเครื่องมือวิจัยที่น ำมาวัด
ความรคู้ วามสามารถด้านสติปญั ญาของผ้เู รียน

2. การหาคา่ ความยาก
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2556: 140) ได้กล่าวถึงวิธีการหาค่าความยากของแบบทดสอบ จะเป็นการ

หาจำนวนร้อยละหรือสัดส่วนของคนท่ีตอบถูกในข้อนนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนทั้งหมดที่ทำ
ขอ้ สอบน้ัน น่ันคอื
ความยากของข้อสอบ (P) = จำนวนคนทตี่ อบถูกในแต่ละข้อ

จำนวนคนทั้งหมดที่ทำข้อสอบในแต่ละข้อ
เกณฑ์ในการพจิ ารณาคา่ ความยาก

ค่าความยากมีค่าตั้งแต่ 0.00 ถึง 1.00 โดยทั่วไปข้อสอบที่มีความหมายยากพอเหมาะควรมี
คา่ ความยากตง้ั แต่ 0.20-0.80 ซึง่ มรี ายละเอยี ดดังนี้

0.80 ≤ P ≤ 1.00 แสดงว่า เปน็ ขอ้ สอบงา่ ยมาก ควรตัดทิ้งหรอื ปรบั ปรุง
0.60 ≤ P < 0.80 แสดงวา่ เป็นข้อสอบค่อนขา้ งงา่ ย (ด)ี
0.40 ≤ P < 0.60 แสดงวา่ เปน็ ข้อสอบยากง่ายปานกลาง (ดีมาก)
0.20 ≤ P < 0.40 แสดงวา่ เปน็ ข้อสอบค่อนขา้ งยาก (ดี)
0.00 ≤ P < 0.20 แสดงวา่ เป็นขอ้ สอบยากมาก ควรตัดท้ิงหรือปรับปรงุ
ถ้าข้อสอบข้อใดมีผู้ตอบถูกหมด แสดงว่า ข้อนั้นง่ายมาก มีค่า P=1.00 แต่ถ้าข้อสอบข้อใดมี
ผตู้ อบผิดหมด แสดงว่า ข้อนัน้ ยากมาก มีค่า P=0.00

145

8.5 คา่ อำนาจจำแนก
1. ความหมายของคา่ อำนาจจำแนก

มีผใู้ ห้ความหมายของคา่ อำนาจจำแนกหลายท่าน ดงั นี้
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2556:138) ได้ให้ความหมายของค่าอำนาจจำแนก (discrimination)

หมายถงึ คณุ สมบัติของขอ้ สอบท่ีสามารถจำแนกผ้เู รยี นได้ตามความแตกต่างของบุคคลวา่ ใครเกง่ ปาน
กลาง อ่อน ใครรอบรู้ -ไม่รอบรู้ โดยยึดหลักการว่าคนเก่งจะต้องตอบข้อสอบนั้นถูก คนไม่เก่งจะต้อง
ตอบผิด ข้อสอบที่ดีจะต้องแยกคนเก่งกับคนไม่เก่งออกจากกันได้ อำนาจจำแนกมีความสัมพันธ์กับ
ความเที่ยงตรงเชิงสภาพในทางบวก กล่าวคือ ถ้าเครื่องมือใดมีอำนาจจำแนกสงู เครือ่ งมือนัน้ กม็ ีความ
เที่ยงตรงเชงิ สภาพสงู ดว้ ย

ประสาท เนืองเฉลิม (2556: 191) ได้ให้ความหมายของค่าอำนาจจำแนก หมายถึง
ประสทิ ธิภาพของข้อคำถามในการแบ่งเด็กออกเปน็ กลุ่มคนเก่งและอ่อน กลุ่มผผู้ ่านเกณฑ์กับกลุ่มผู้ไม่
ผ่านเกณฑ์ในกรณีที่เป็นแบบทดสอบ หรือจำแนกผู้ที่มีคุณลักษณะจากผู้ที่มีคุณลักษณะต่ำในกรณีท่ี
เป็นแบบสอบถาม

ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง (2559: 86) ได้ให้ความหมายของค่าอำนาจจำแนกหรือความไว
หมายถึง ความสามารถในการจำแนกความรู้ความสามารถของบุคคลออกจากกันได้อย่างชัดเจน ใน
ส่วนของอำนาจจำแนกจะเป็น ความสามารถของข้อสอบ/ข้อคำถามในการจำแนกความแตกต่าง
ระหว่างผูท้ ่ีมคี ุณลักษณะท่ตี ้องการวัดมากกับน้อย หรอื เรียกว่าระหว่างกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำออกจากกัน
ได้

จากความหมายของค่าอำนาจจำแนกที่ กล่าวมาสามารถสรุปได้ว่าค่าอำนาจจำแนกหมายถงึ
คุณลักษณะของข้อสอบข้อนั้น ๆ ที่สามารถแบ่งผู้เรียนที่เก่งกับอ่อนออกจากกันได้อย่างชัดเจน ถ้า
ข้อสอบท่จี ำแนกได้ดีคือข้อสอบที่คนเกง่ ตอบถูกสว่ นคนอ่อนจะตอบผิด
2. การหาคา่ อำนาจจำแนก

พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2556: 141) ได้กล่าวถึงวิธีการหาค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบ ซึ่งเป็น
ประสิทธิภาพของข้อสอบในการแบ่งผู้สอบออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่ได้คะแนนสูงหรือกลุ่มที่ได้
คะแนนตำ่ หรือกลุม่ อ่อน การวิเคราะห์ข้อสอบเพอื่ หาคา่ อำนาจจำแนก วิธที ี่นยิ มกันมากวธิ หี นงึ่ คือการ
ใช้เทคนิค 27% ซง่ึ มีวธิ วี เิ คราะหด์ ังนี้

1. นำข้อสอบไปสอบ ตรวจใหค้ ะแนนและเรียงกระดาษคำตอบตามลำดบั จากคะแนนมากไป
น้อย

2. แบ่งกระดาษคำตอบอกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเรียกว่ากลุ่มสูง (PH) โดยนับจากคะแนนสูง
ลงมาประมาณ 27% ของการดาษคำตอบทั้งหมด และกลุ่มหลังเรียกว่ากลุ่มต่ำ (PL) โดยนับจาก
คะแนนตำ่ สดุ ข้นึ ไปประมาณ 27% ของกระดาษคำตอบทง้ั หมด

146

การใชเ้ ทคนิค 27% สำหรับคัดเลอื กกลุ่มสูงและกลมุ่ ต่ำน้ี ใช่ในกรณีทกี่ ลุ่มตัวอย่างหรือผู้สอบ
มีจำนวนมาก และคะแนนมีการแจกแจงแบบปกติ (normal distribution) แต่ถา้ คะแนนไม่มกี ารแจก
แจงแบบปกติ ควรใชเ้ ทคนคิ 35%

โดยค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบ อาจคำนวณไดจ้ ากสูตรงา่ ยๆ ต่อไปน้ี

เม่ือ P แทน คา่ ความยาก
r แทน ค่าอำนาจจำแนก
PH แทน จำนวนคนท่ตี อบถกู ในกล่มุ สูง
PL แทน จำนวนคนที่ตอบถกู ในกลมุ่ ต่ำ
n แทน จำนวนคนในกลมุ่ สูงหรอื กลมุ่ ตำ่

เกณฑใ์ นการพิจารณาคา่ อำนาจจำแนก
ค่าอำนาจจำแนกมีค่าต้งั แต่ -1.00 ถงึ +1.00 ข้อสอบทีด่ ีควรมีคา่ อำนาจ จำแนก

ตง้ั แต่ 0.20 ขึ้นไป สว่ นค่าอนื่ ๆ มคี วามหมายดงั นี้
0.40 ≤ r ≤ 1.00 แสดงวา่ จำแนกได้ดเี ป็นข้อสอบทด่ี ี
0.30 ≤ r ≤ 0.39 แสดงวา่ จำแนกได้เปน็ ข้อสอบที่ดพี อสมควรอาจตอ้ งปรบั ปรุงแก้ไข
0.20 ≤ r ≤ 0.29 แสดงวา่ จำแนกพอใช้ได้ แต่ต้องปรบั ปรุง
-1.00 ≤ r ≤ 0.19 แสดงว่า ไมส่ ามารถจำแนกได้ตอ้ งปรบั ปรงุ ใหมห่ รอื ตดั ทง้ิ
ถ้า r มคี ่าเปน็ ลบหรอื น้อยกวา่ 0 แสดงวา่ ข้อสอบขอ้ นนั้ จำแนกกลบั แสดงว่าคนเกง่ ทำไม่ได้

คนอ่อนทำได้ ตอ้ ปรับปรุงใหม่หรอื ตัดทิ้ง

8.6 ค่าความเป็นปรนยั
1. ความหมายของความเปน็ ปรนยั

มีผ้ใู หค้ วามหมายของความเป็นปรนัยไวด้ งั นี้
สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 163) ได้ให้ความหมายของความเป็นปรนัย หมายถึง การท่ี

เครื่องมือมีคำถามที่ชัดเจนสามารถเข้าใจได้ตรงกันทั้งผู้ถามและผู้ตอบ และเข้าใจผลที่วัดได้ตรงกัน
หรอื ให้คะแนนตรงกันไมว่ า่ ใครจะเป็นผูใ้ ห้คะแนน

วรรณี แกมเกตุ (2555: 221) ได้ให้ความหมายของความเป็นปรนัย (Objectivity) หมายถึง
คุณสมบัตขิ องเครือ่ งมือท่สี ามารถส่ือความหมายได้ชดั เจน เขา้ ใจตรงกนั มเี กณฑ์ในการตรวจ และการ

147

แปลความหมายคะแนนที่ชัดเจนเป็นแบบเดียวกัน สามารถให้ผลการตรวจและการแปลความหมาย
สอดคล้องกนั ไมว่ ่าผตู้ รวจจะเป็นใครกต็ าม

พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2556: 140) ได้ให้ความหมายของความเป็นปรนัย หมายถึง ความชัดเจน
ความถูกต้องตามหลักวิชาและความเข้าใจตรงกันความเปน็ ปรนัยเป็นคุณสมบัติของเครือ่ งมือวัดผลท่ี
แสดงใน 3 ลักษณะ คือ ความชัดเจนของคำถาม ความชัดเจนในการให้คะแนน และความชัดเจนใน
การแปลความหมายของคะแนน

จากความหมายของความเป็นปรนัยที่กล่าวมา สามารถสรุปได้ว่าความเป็นปรนัยหมายถึง
คณุ สมบตั ขิ องเคร่ืองมือวจิ ัยที่มคี วามเข้าใจในประเดน็ ทถ่ี ามตรงกันทั้งผู้ถามและผู้ตอบ เชน่ ข้อคำถาม
เกณฑ์การตรวจ และการแปลความหมาย
2. ประเภทของความเป็นปรนัย

มผี ู้จำแนกประเภทของความเปน็ ปรนัยไวด้ ังนี้
วรรณี แกมเกตุ (2555: 221) ได้แบง่ ความเป็นปรนยั ไว้ 3 ประเภท ดงั นี้

1. ความเปน็ ปรนัยของตวั เครอื่ งมอื หมายถึง ลักษณะของเครอื่ งมือท่ีมคี วามชัดเจนในการ
ส่ือความหมายได้เข้าใจตรงกัน

2. ความเปน็ ปรนัยของเกณฑ์ หมายถงึ ความชดั เจนเปน็ ท่ีเข้าใจตรงกันเก่ียวกับกฎเกณฑ์
การให้คะแนนแทนคุณลักษณะท่ีมุง่ วัดไม่ว่าใครเป็นผตู้ รวจใหค้ ะแนนก็ได้ผลเปน็ แบบเดียวกัน

3. ความเป็นปรนัยของการแปลความหมายคะแนน หมายถึง ความชัดเจนใน การแปล
ความหมายของคะแนน ไมว่ า่ ใครจะนำผลการวัดไปใชก้ ็สามารถแปลความหมายได้เป็นแบบเดยี วกัน

สำหรับวิธีการตรวจสอบความเป็นปรนัย สามารถดำเนินการได้โดยนาเครื่องมือไปให้
ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนหนึ่งตรวจสอบชัดเจนของภาษาที่ใช้ว่าสามารถสื่อความได้เข้าใจตรงกันหรือไม่
ภาษาที่ใช้เหมาะสมกับระดับของกลุ่มตัวอย่างหรือไม่ จากนั้นจึงนำไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง
จำนวนหนึ่ง เพื่อตรวจสอบว่ากลุ่มตัวอย่างเข้าใจคำถามได้ตรงกันหรือไม่ และทาการปรับปรุงข้อ
คำถามในเครื่องมอื จนกวา่ กลุ่มตวั อย่างจะเขา้ ใจคำถามไดต้ รงกัน

พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2556: 138-139) ได้กล่าวถึงความเป็นปรนัยเป็นคุณลักษณะของเครื่องมือ
วัดผลท่แี สดงลักษณะ 3 ประการ ดงั นี้

1. ความชัดเจนของคำถาม ข้อคำถามต้องชัดเจน รัดกุม ไม่วกวน ไม่กำกวม ทุกคน
อา่ นคำถามแลว้ เขา้ ใจตรงกันวา่ คำถามนัน้ ถามถงึ อะไร และภาษาทใี่ ชต้ อ้ งเหมาะสมกบั วัยของผสู้ อบ

2. ความชดั เจนในการให้คะแนน หมายถึง การตรวจใหค้ ะแนนได้ตรงกนั ไม่ว่าผูอ้ อก
ข้อสอบเป็นคนตรวจ หรอื ใครเปน็ ผ้ตู รวจก็ตาม สามารถตรวจใหค้ ะแนนได้ตรงกนั หรือเฉลยได้ตรงกัน
มเี กณฑก์ ารตรวจใหค้ ะแนนท่ีชัดเจนตรงกัน

3. ความชัดเจนในการแปลความหมายของคะแนน หมายถึง การแปลความหมาย

148

ของคะแนนได้ชดั เจน ไม่ว่าใครจะเปน็ ผูแ้ ปลความหมายของคะแนนก็ใหผ้ ลเปน็ อยา่ งเดียวกนั
จากประเภทของความเป็นปรนัยที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ความเป็นปรนัยของเครื่องมือวิจัยเป็น

การตรวจสอบความชัดเจนของข้อคำถามที่ผู้ถามและผู้ตอบเข้าใจตรงกัน นอกจากนี้ยังเป็นการตรวจ
ให้คะแนนทตี่ รงกันไมว่ ่าผูต้ รวจเป็นใครกใ็ ห้คะแนนไมแ่ ตกตา่ งกนั

8.7 สรปุ
จากแนวคิดเกี่ยวกับการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือจะพบว่าเครื่องมือที่มีคุณภาพนั้นต้อง

ผ่านการตรวจสอบคุณภาพทั้งความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่น ความยาก อำนาจจำแนก และความเป็น
ปรนัย แต่ทั้งนี้การตรวจสอบคุณภาพขึ้นอยู่กับลักษณะของเครื่องมือแต่ละชนิดว่าควรตรวจสอบ
อะไรบ้างเพ่ือให้ครอบคลุมเนื้อหาหรือสามารถนำไปวดั คา่ ได้ตรงกับสิ่งที่ต้องการจะวัดใหม้ ากที่สุด ถ้า
เป็นเครื่องมือวิจัยที่เป็นแบบสอบถาม แบบสังเกต และแบบสัมภาษณ์ จะตรวจสอบความเที่ยงตรง
และความเชื่อมั่น แต่ถ้าเครื่องมือวิจัยเป็นแบบทดสอบจะตรวจสอบความเที่ยวตรง ความยากง่าย
อำนาจจำแนก และความเชื่อมัน่

8.8 คำถามทบทวน
1. จงบอกความหมายของการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจยั
2. ความเท่ียงตรง (validity) หมายถึงอะไร


Click to View FlipBook Version