1 การพัฒนาทักษะภาษาด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร UTILIZING MILLIONAIRE WORD GAMES TO DEVELOP READING COMPREHENSION SKILL OF MATHAYOMSUKSA 2 STUDENTS AT PHANG KHON WITTHAYAKHOM SCHOOL, PHANG KHON DISTRICT, SAKON NAKHON PROVINCE นางสาวธัญยธรณ์ มณีเนตรฐิติพร วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
2 การพัฒนาทักษะภาษาด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร UTILIZING MILLIONAIRE WORD GAMES TO DEVELOP READING COMPREHENSION SKILL OF MATHAYOMSUKSA 2 STUDENTS AT PHANG KHON WITTHAYAKHOM SCHOOL, PHANG KHON DISTRICT, SAKON NAKHON PROVINCE นางสาวธัญยธรณ์ มณีเนตรฐิติพร วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ก หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะภาษาด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ผู้วิจัย นางสาวธัญยธรณ์ มณีเนตรฐิติพร สาขาวิชา ภาษาอังกฤษ อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์สราวดี ณ หนองคาย ครูพี่เลี้ยง นางสิริพร รัตนวรรณดี อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัอุดรธานี อนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชภาษาอังกฤษ .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (อาจารย์บุรัชต์ ภูดอกไม้) วันที่ 30 เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2566 คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................................. ประธานคณะกรรมการ (อาจารย์ที่ปรึกษา) .............................. .................................................... กรรมการ (อาจารย์ประจำสาขา/หลักสูตร/คณะครุศาสตร์) .................................................................................. กรรมการ (ครูพี่เลี้ยง) .................................................................................. กรรมการ (รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ/หัวหน้าหมวด)
ข หัวข้อวิทยานิพนธ์ การพัฒนาทักษะภาษาด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจโดยใช้เกม เศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ผู้วิจัย นางสาวธัญยธรณ์ มณีเนตรฐิติพร อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์สราวดี ณ หนองคาย ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เกมเศรษฐีคําศัพท์2) เปรียบเทียบทักษะภาษาอังกฤษด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3) หาประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ด้านการอ่าน เพื่อความเข้าใจโดยใช้เกมเศรษฐีคําศัพท์ตามเกณฑ์ 70/70 และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการอ่าน เพื่อความเข้าใจโดยใช้เกมเศรษฐีคําศัพท์กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จํานวน 32 คน ที่กําลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อําเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) บอร์ดเกมเศรษฐี คําศัพท์2) แผนการจัดการเรียนรู้ของการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 3) แบบทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจและ 4) แบบสอบถามความพึงใจของนักเรียนต่อการ อ่านเพื่อความเข้าใจโดยใช้เกมเศรษฐีคําศัพท์สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะภาษาอังกฤษด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังได้รับการเรียนรู้ ผ่านเกมเศรษฐีคําศัพท์(̅ =21.59) สูงกว่าก่อนเรียน (̅ =13.53) 2) ผลการเปรียบเทียบคะแนนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนพบว่าผลคะแนนการพัฒนาทักษะการอ่าน เพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนโดยใช้เกมคําศัพท์เศรษฐีสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ประสิทธิภาพการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้ธนาคาร คําศัพท์มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.50/71.98 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ 70/70 4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจโดยใช้ เกมคําศัพท์เศรษฐีโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (̅ =4.97) ก
ค Thesis topic UTILIZING MILLIONAIRE WORD GAMES TO DEVELOP READING COMPREHENSION SKILL OF MATHAYOMSUKSA 2 STUDENTS AT PHANG KHON WITTHAYAKHOM SCHOOL,PHANG KHON DISTRICT, SAKON NAKHON PROVINCE Author Miss Thanyatorn Maneenetthitiporn Thesis Advisor Assistant Professor Sarawadee Na Nongkhai Academic Years 2023 ABSTRACT The objectives of this research were: 1) to develop reading comprehension skill of Matthayomsuksa 2 students by using Millionaire Word Game; 2) to compare reading comprehension skill of Matthayomsuksa 2 students before and after learning through the Millionaire Word Game; 3) to examine the efficiency of learning activities by using the Millionaire Word Game in accordance with the standard criteria indicated 70/70; and 4) to explore students’ satisfaction after learning through the Millionaire Word Game. Using the cluster sampling, the samples were 32 Mutthayumsuksa 2 students studying in the second semester of the 2023 academic year at Phang Khon Witthayakhom School in Phang Khon District, Sakon Nakhon Province. The research instruments were: Millionaire Word Game, lesson plans, an achievement test, and a questionnaire. To analyze the data, descriptive statistics like percentage, mean, standard deviation and t-test (one sample) was employed. The results were as follows: 1) Reading comprehension skill of Mutthayumsuksa 2 students after learning through the Millionaire Word Game was improved as their averaged posttest score (̅ =21.59) was higher than their pretest score (̅ =13.53); 2) Based on the comparison results, the students’ reading comprehension skill after learning through the Millionaire Word Game was significantly improved at the statistical level of .05; 3) The efficiency of learning activities by using the Millionaire Word Game was 84.50/71.98 which was higher than the standard criteria indicated 70/70; and 4) The students felt satisfied with learning through the Millionaire Word Game at the highest level (̅ =4.97). ข
ก กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยฉบับนี้สําเร็จด้วยความกรุณาผู้ช่วยศาสตราจารย์ สราวดี ณ หนองคาย อาจารย์ที่ปรึกษา ที่กรุณาให้คําปรึกษาคําแนะนํา อ่าน และแก้ไข ข้อบกพร่องต่างๆ จนสําเร็จสมบูรณ์ ทั้งเสียสละเวลาและให้กําลังใจ ผู้วิจัยมาโดยตลอดจนสําเร็จเรียบร้อย ขอกราบขอบพระคุณ คุณครูอนุพันธ์ พีระธรรม คุณครูเพ็ญลักษณ์ เต็งวัฒนโชติและ คุณครูสิริพร รัตนมณี ที่กรุณาให้ความอนุเคราะห์ในการตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย และให้ข้อเสนอแนะ ตลอด ระยะเวลาดําเนินการวิจัย ขอขอบพระคุณ ผู้อํานวยการโรงเรียน คณะครู โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อําเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร และขอบคุณนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ที่ให้ความอนุเคราะห์ ทดลองใช้เครื่องมือใน การวิจัยและให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจนได้ข้อมูลอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา และครอบครัว ซึ่งเปิดโอกาสให้ได้รับการศึกษาเล่าเรียน ตลอดจนคอยช่วยเหลือและให้กําลังใจผู้วิจัยเสมอ มา ประโยชน์และคุณค่าจากวิจัยฉบับนี้ ผู้วิจัยขอกุศลแห่งความดีในครั้งนี้แด่พระคุณบิดา มารดา ผู้มีพระคุณ และ ครูอาจารย์ทุกท่านที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ในการทําวิจัย ทําให้ผู้วิจัยประสบความสําเร็จในครั้งนี้ ธัญยธรณ์ (นางสาวธัญยธรณ์ มณีเนตรฐิติพร) ค
ข สารบัญ บทที่ หน้า บทคัดย่อ..................................................................................................................... ......... ก ABSTRACT.............................................................................................................. ............ ข กิตติกรรมประกาศ.............................................................................................................. . ค สารบัญ....................................................................................................................... ......... ง สารบัญ(ต่อ) ........................................................................................................................ จ สารบัญตาราง.................................................................................................................. ..... ฉ สารบัญตาราง(ต่อ)................................................................................................................ ช บทที่ 1 บทนํา................................................................................................................ ...... 1 1.1 ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา.............................................................. 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย..................................................................................... 3 1.3 สมมุติฐานของการวิจัย......................................................................................... 3 1.4 ขอบเขตของการวิจัย............................................................................................ 4 1.5 ระยะเวลาที่ใช้ในวิจัย........................................................................................... 5 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ................................................................................................. 5 1.7 ประโยชน์ที่จะได้รับ............................................................................................. 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.................................................................................. 6 2.1 หลักสูตรแกนการกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ......... 6 2.2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนคําศัพท์........................................... 6 2.3 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้การใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ……................................................... 8 2.4 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน.................................................... 10 2.5 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ................................................................... 12 2.6 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวข้องกับการอ่าน................................................................... 13 2.7 จุดมุ่งหมายของการอ่าน.................................................................................... 16 2.8 ประเภทของการอ่าน......................................................................................... 17 2.9 ทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับอ่าน............................................................... 20 2.10 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์................................................................ 26 2.11 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.......................................................................................... 30 ง
ค สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย……………………................................................................................ 33 3.1 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย............................................................................... 33 3.2 รูปแบบในการทดลอง......................................................................................... 33 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย………………………………………………………………………….. 33 3.4 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ............................................................... 34 3.5 การเก็บรวมรวมข้อมูล........................................................................................ 37 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................ 38 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิจัย............................................................................................ 38 3.8 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน...................................................................... 39 บทที่ 4 ผลการวิจัย……………………......................................................................................... 41 4.1 ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………….. 41 4.2 ผลการวิเคราะห์................................................................................................. 41 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายและข้อเสนอแนะ………………………................................................. 44 5.1 สรุปผลการวิจัย……………………………………………………………………………………… 44 5.2 อภิปรายผล…………………………………………………………………………………………… 44 5.3 ข้อเสนอแนะ…………………………………………………………………………………………. 46 บรรณานุกรม…………………….................................................................................................. 47 ภาคผนวก……………………....................................................................................................... 49 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบ รวมข้อมูล......................................................................................... 50 ภาคผนวก ข แผนการจัดการเรียนรู้........................................................................ 52 ภาคผนวก ค แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน…………………..………………… 137 ภาคผนวก ง ค่า IOC ค่าความยาก ค่าอำนาจความแจกแจงรายข้อและ ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับของเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล……..……. 143 ภาคผนวก จ คะแนนจากการจัดการเรียนรู้…………………………………………..……… 152 ประวัติผู้วิจัย……………………................................................................................................ 157 จ
ง สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการพัฒนาทักษะด้านการอ่าน เพื่อความเข้าใจโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ………………………………………………………………………………………….………….… 41 ตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์การหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ………………………………………………………………………………………….….………. 42 ตารางที่ 3 ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับผู้ตอบแบบสอบถาม………………………………….…….…... 42 ตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการ จัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 …………………………………………………………………………………………..……….…. 43 ตารางที่ 5 ผลการประเมินความสอดคล้องของแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 …………………………………………………………………………………………………… 144 ตารางที่ 6 ผลการประเมินความสอดคล้องของแบบสอบถาม ความพึงพอใจต่อสื่อการเรียนรู้เกมเศรษฐีคำศัพท์……………………………… 146 ตารางที่ 7 ผลการประเมินความสอดคล้องของแผนการจัดการ เรียนรู้โดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ……………………………………………………………………………………………………… 148 ฉ
จ สารบัญตาราง (ต่อ) หน้า ตารางที่ 8 ผลการวิเคราะห์ค่าความยากง่ายและค่าอำนาจจำแนก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ……………………………………………………………………………………………… 150 ตารางที่ 9 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการพัฒนาทักษะด้าน การอ่านเพื่อความเข้าใจโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษา อังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร จากการทดลองใช้ ……………………………………………………………………………………………… 153 ตารางที่ 10 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและ หลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาทักษะด้าน การอ่านเพื่อความเข้าใจโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษา อังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ……………………………………………………………………………………………… 155 ช
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ชื่อวิจัย การพัฒนาทักษะภาษาด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร 1.2 ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหาการวิจัย ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับชาวต่างชาติ เป็นสิ่งจําเป็นในการประกอบ อาชีพ ประกอบกับในยุคนี้เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร และเทคโนโลยีที่ต้องใช้ทักษะทางภาษาอังกฤษ ดังที่ ยุดา รัก ไทย (2552 : 26) ได้กล่าวว่า “บทบาทและความสําคัญของภาษาอังกฤษ เป็นแรงผลักให้ผู้เรียนต้องเรียน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ เพื่อติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล ด้านความรู้ ความคิดและเทคโนโลยีต่างๆ กับชาวต่างชาติ” ซึ่งความจําเป็นในการใช้ภาษาดังกล่าวสอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของกรม วิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544 : 1) ได้กําหนดไว้ในเอกสารสาระและมาตรฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ ในเรื่องวิสัยทัศน์การเรียนรู้ว่า “การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ในหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน มีความคาดหวังว่า เมื่อผู้เรียนเรียนภาษาอังกฤษ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา ผู้เรียนจะมีเจตคติที่ดีต่อภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) สามารถใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพและสามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่าง สร้างสรรค์” การเรียนการสอนภาษาอังกฤษสิ่งสําคัญที่สุดคือ คําศัพท์ที่ใช้ในการศึกษา เพราะถ้าหากผู้เรียนไม่มีความรู้ เกี่ยวกับคําศัพท์หรือไม่เข้าใจคําศัพท์แล้วก็จะทํา ให้ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาที่อ่านซึ่งจะส่งผลต่อการเรียนทักษะใน ด้านอื่น ๆ ด้วย เพราะคําศัพท์เป็นส่วนสําคัญในการสื่อสาร จากการศึกษาวิธีการสอนเพื่อพัฒนาคําศัพท์พบว่ามี หลายวิธี แต่วิธีที่ได้ทําให้เด็กเกิดการพัฒนาและจําคําศัพท์ ได้แก่ เพลงกับเกมประกอบการสอน สะท้อนได้จาก ผลการวิจัยของ จันทร์เพ็ญ (2550) ศึกษาผลการใช้เกมเพื่อเป็นกิจกรรมเสริมใน การพัฒนาในการเรียนรู้คําศัพท์ ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชาวเขาชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 พบว่า การจัดกิจกรรมเสริมการเรียนรู้คําศัพท์ ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีทําให้การเรียนรู้คําศัพท์ของนักเรียนมีการพัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึง พอใจในการจัดกิจกรรมเสริมในการเรียนรู้คําศัพท์โดย ใช้เกมอยู่ในระดับสูง จาก ประสบการณ์ของผู้วิจัยที่สอนภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยพบว่า อุปสรรคในการเรียนรู้ภาษาสําหรับนักเรียนจํานวนมากคือ ความรู้ด้านคําศัพท์ไม่เพียงพอ ความรู้ด้านคําศัพท์ หมายถึงความเข้าใจด้านความหมายของคําศัพท์ การสะกดคํา
2 และด้านการนําไปใช้คําในประโยค เมื่อนักเรียนไม่เข้าใจ ความหมายของคําศัพท์ก็จะฟังและอ่านไม่รู้เรื่อง จับ ใจความไม่ได้ ใช้คําศัพท์ผิดความหมายทําให้สื่อสารไม่ กระทรวงศึกษาธิการได้ส่งเสริมให้มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่มีมาตรฐานตามกรอบ มาตรฐานหลัก ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน และเน้นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communicative Language Teaching : CLT) โดยปรับการเรียนการสอนจากการเน้นไวยากรณ์ มาเป็น เน้นการสื่อสารที่เริ่มจาก การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ตามลำดับ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2557) ปัจจุบันประเทศไทยได้ใช้ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ซึ่งมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีเจตคติที่ดีต่อภาษาต่างประเทศ สามารถใช้ ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารใน ชีวิตประจำวัน รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอัน หลากหลายของประชาคมโลก และสามารถถ่ายทอดเผยแพร่วัฒนธรรมไทยไปสู่สังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ (ปาริชาต พงษ์ไทย, 2549; ศิรินันท์ โชติญาณนนท์, 2548) แม้ประเทศไทยได้เริ่มใช้หลักสูตรการศึกษาที่ชี้ให้เห็นถึง ความสำคัญของภาษาอังกฤษ แต่กระนั้นสภาพการจัดการเรียนการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษใน ประเทศไทย พบว่า ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เห็นได้จากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภาษาอังกฤษของผู้เรียนยังอยู่ใน ระดับที่ไม่น่าพึงพอใจ จากการศึกษาข้อมูลจากสถาบันทดสอบทาง การศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ซึ่งได้ รายงานผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) วิชาภาษาอังกฤษของผู้เรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย จังหวัด สุพรรณบุรี จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน พบว่า ร้อยละ 80 มีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน การศึกษาของสถานศึกษา คือ ผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนน เฉลี่ยในระดับโรงเรียนวิชา ภาษาอังกฤษในปีการศึกษา 2561 มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 30.86 คะแนน ปีการศึกษา 2562 มีคะแนน เฉลี่ยอยู่ที่ 36.60 คะแนน และปีการศึกษา 2563 มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 43.07 คะแนน (สถาบัน ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ, 2563) ดังจะเห็นได้ว่า คะแนนเฉลี่ยวิชาภาษาอังกฤษทั้ง 3 ปี3 การศึกษา มี คะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า 50 คะแนนซึ่งไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด อีกทั้งเมื่อ พิจารณาจากคะแนนเฉลี่ย จำแนกตามรายสาระ พบว่า มาตรฐานการเรียนรู้ที่โรงเรียนควรเร่งพัฒนา ได้แก่ สาระภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.2 ผู้เรียนต้องมีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก และ ความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากผู้เรียนมีคะแนนเฉลี่ยในระดับโรงเรียนของปีการศึกษา 2561 มี คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 31.26 คะแนน ปีการศึกษา 2562 มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 39.84 คะแนน และปีการศึกษา 2563 มี คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 42.71 คะแนน ดังจะเห็นได้ว่า คะแนนเฉลี่ยจำแนกตามรายสาระทั้ง 3 ปีการศึกษายังไม่บรรลุ ค่าเป้าหมาย ความสำเร็จตามประเด็นพิจารณาของมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียน คือ ร้อยละ 80 มีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ อยู่ในระดับดีขึ้นไปตามเกณฑ์ ที่ สถานศึกษากำหนด (โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย, 2563) ด้วยผลคะแนนดังกล่าวยิ่งทำให้เห็น ความชัดเจนของ ปัญหาด้านการเรียนการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษของผู้เรียนชัดเจนมากยิ่งขึ้น
3 จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ผู้สนใจที่จะศึกษาในเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ของการใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร เพื่อนําผลที่ได้มาปรับปรุง และพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยัง เป็นกระบวนการที่ทำให้ผู้เรียนได้สื่อสารและปฏิบัติจริงซึ่งนำไปสู่การจัดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ผู้สอนได้ กำหนดไว้โดยให้ปฏิบัติตามกฎ กติกา และนำเนื้อหาของแต่ละบทเรียนไปประยุกต์ปรับใช้ในกิจกรรมเกมเศรษฐี คำศัพท์สังเกตพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียน อธิบาย วิธีการเล่นเกมเศรษฐีคำศัพท์แบบสั้น กระชับ และเข้าใจง่าย และหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมเกมเศรษฐีคำศัพท์แล้วนั้นผู้เรียนก็สามารถอภิปรายเพื่อสรุปการเรียนรู้โดยใช้ความรู้ จากการเล่นเกม ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงเล็งเห็นถึงประโยชน์ในการนำกิจกรรมเกมเศรษฐีคำศัพท์มาปรับใช้กับการ ส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษกับผู้เรียนกลุ่มตัวอย่างจึงทำให้เกิดงานวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ของการ ใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคน วิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ที่ผู้วิจัยออกแบบกิจกรรมเกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เพื่อส่งเสริม ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษของผู้เรียน ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้น และสร้างเจตคติที่ดีต่อวิชา ภาษาอังกฤษ 1.3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน พังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร โดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะภาษาอังกฤษด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3. เพื่อหาประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษตามเกณฑ์ 70/70 4. เพื่อศึกษาความพึ่งพอใจต่อการใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร 1.4 สมมติฐานของการวิจัย 1. ทักษะภาษาอังกฤษด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียนหลังเรียนรู้ด้วยเกมเศรษฐีคําศัพท์สูงกว่า ก่อนเรียน 2. ประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมส์เศรษฐีคําศัพท์เป็นไปตามเกณฑ์ 70/70
4 1.5 ขอบเขตของการวิจัย 1. กลุ่มประชากร กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนพัง โคนวิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนครเขต 2 จำนวน 9 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 369 คน 1.1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม ที่กําลังศึกษาในภาค เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จํานวน 1 ห้อง จํานวนนักเรียน 36 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบ Cluster Random Sampling 2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1 ตัวแปรต้น คือ การใช้เกมส์เศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน เพื่อความเข้าใจ 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 2.2.1 ผลสัมฤทธิ์ของการใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการ อ่านเพื่อความเข้าใจ 2.2.2 ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการใช้เกมส์เศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนา ทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ 1.6 เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้ศึกษาสาระมาตฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยการคัดเลือกหน่วย (Unit) และหัวเรื่อง (Topic) ที่เหมาะสมกับทักษะ การอ่านในรายวิชา อ21101 ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยกำหนดเป็นหน่วยการเรียนรู้ดังนี้ Unit 1: Hello 1. Topic: UNDERSTAND QUESTIONS ABOUTPERSONAL INFORMATION จำนวน 1 แผน เวลา 1 ชั่วโมง 2. Topic: READ ABOUT A TEAM จำนวน 3 แผน เวลา 3 ชั่วโมง 3. Topic: : WRITE INTERVIEW QUESTIONS จำนวน 1 แผน เวลา 1 ชั่วโมง Unit 2: Let's have fun 1. Topic: I love music จำนวน 2 แผน เวลา 3 ชั่วโมง 2. Topic: Do you want / Would you like? จำนวน 1 แผน เวลา 1 ชั่วโมง 3. Topic: I like sport จำนวน 1 แผน เวลา 1 ชั่วโมง
5 1.7. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยดำเนินการทดลองในปีการศึกษา 2566 วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานจำนวน 2 หน่วยการเรียนรู้ ได้แก่หน่วยที่ 1 เรื่อง Hello และหน่วยที่ 2 เรื่อง Let's have some fun ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตาม แผนการจัดการเรียนรู้ 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จำนวน 10 แผน ใช้เวลา 10 ชั่วโมง 1.8 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ หมายถึง เกมกระดานแบบสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีการทอยลูกเต๋า ผู้วิจัยออกแบบและกำหนดช่องที่ผู้เรียนสามารถเดินเกม จากจุดเริ่มต้นไปยังช่องต่อๆ ไป โดยทำภารกิจซึ่งเป็นการทายคำศัพท์ เดาความหมาย อ่านคำศัพท์ทำท่างประกอบ ขณะพูดตามช่องที่กำหนดให้ต่าง ๆ 2. ความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ หมายถึง ความสามารถในการจดจำคำศัพท์หลังจากการใช้ เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สามารถอ่านคำศัพท์รู้ความหมายที่เรียนมาได้เนื้อเรื่องที่วัดโดยใช้คะแนนจาก แบบทดสอบ Reading ที่เกี่ยวกับคำศัพท์นั้น ๆ ซึ่งใช้ทั้ง Pre-test / Post-test และมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน โดย ให้ผู้เรียนทดสอบทั้งหมด 10 ข้อแบ่งออกเป็น 4 ตัวเลือก 3. ความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจที่มีต่อทางการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐี คำศัพท์ภาษาอังกฤษ วัดได้จากการทําแบบสอบถามประเมินความพึงพอใจที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 1.9. ประโยชน์ที่จะได้รับ 1. การใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สามารถช่วยพัฒนาและเพิ่มทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร มีคะแนน หลังจากการเรียนโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ 70% 3. การใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษสามารถใช้เป็นแนวทางการสอนให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2
6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน วิชาภาษาอังกฤษที่ใช้แนวความคิดใน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารตำรา งานวิจัยและทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย มี รายละเอียดดังนี้ 2.1 หลักสูตรแกนการกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อภาษาต่างประเทศสามารถใช้ ภาษาต่างประเทศ สื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพ และศึกษาต่อ ในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก และ สามารถถ่ายทอด ความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ ประกอบด้วยสาระสําคัญ ดังนี้ ภาษาเพื่อการสื่อสารการใช้ภาษาต่างประเทศในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดง ความรู้สึกและความคิดเห็น ตีความ นําเสนอข้อมูล ความคิดรวบยอดและความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ และสร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่างเหมาะสม ภาษาและวัฒนธรรม การใช้ภาษาต่างประเทศตามวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาความสัมพันธ์ความเหมือน และความแตกต่างระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับ วัฒนธรรมไทย และนําไปใช้อย่างเหมาะสม ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น การใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่ม สาระการเรียนรู้อื่น เป็นพื้นฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศน์ของตนภาษากับความสัมพันธ์กับ ชุมชนและโลก การใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ชุมชน และสังคม โลก เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ ประกอบอาชีพ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก 2.2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนคําศัพท์ เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสอนคําศัพท์ ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์พัฒนาทักษะด้านคําศัพท์ของนักเรียน จึงได้ศึกษาการสอนคําศัพท์ เพื่อเป็นกรอบแนวคิดนํามาประยุกต์ใช้ในการสอนคําศัพท์ดังนี้ ความหมายของคําศัพท์มีผู้ให้ความหมายของคําศัพท์ไว้ดังนี้ ประสิทธิ์ กาพย์กลอน (2519: 21) ได้แบ่งความหมายของคําไว้3 อย่าง คือ 1. ความหมายที่แทนรูปเป็นความหมายของสิ่งที่เป็นรูปธรรมเช่น คน สัตว์วัตถุสิ่งของ เป็นสิ่งที่ สามารถมองเห็นได้
7 2. ความหมายที่แทนนามธรรมเป็นความหมายที่เกี่ยวกับความรู้สึกความคิดซึ่งไม่เกี่ยวกับรูปธรรม 3. ความหมายของคําที่บริบทหรือตําแหน่งเป็นตัวบังคับคําประเภทนี้อยู่คําเดียวดูดเฉพาะความหมาย ไม่ได้จนกว่าจะนําเข้าไปอยู่ ในประโยค จึงจะทราบความหมายที่แท้จริง ศิธร แสงธนู; และ คิด พงษ์ทัต (2521: 35-41) ให้ความหมายของคําศัพท์ว่าคําศัพท์ เป็นส่วนหนึ่งของภาษาหมายถึงกลุ่ม ซึ่งมีความหมายให้รู้ว่าเป็นคนสิ่งของอาการหรือลักษณะอาการอย่างใดอย่าง หนึ่ง วรรณพร ศิลาขาว (2538: 12) กล่าวว่าคําศัพท์คือกลุ่มเสียงที่มีความหมายเสียงออกเป็นหลาย ประเภทขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกันออกไป เช่นแบ่งตามรูปคําหรือแบ่งตามลักษณะการ นําไปใช้เป็นต้น เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์ (2539: 73) ได้กล่าวไว้ว่าคําศัพท์เป็นคําที่มีความหมาย เช่นเดียวกับ คํา แต่ให้ เป็นภาษาวิชาการและนิยมใช้เป็นทางการมากกว่าไม่เป็นทางการ โดยเรียกคําเพียงอย่างเดียวดังนั้นคําหรือคําศัพท์ จึงเป็นคําเรียกขานคําต่างๆ ในภาษาไทยเท่านั้น ความสําคัญของคําศัพท์ เมื่อนักเรียนมีความรู้ด้านคําศัพท์มากจําได้แม่นย่อมสามารถนําคํามาใช้ในการสื่อสารได้มากมี นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงความสําคัญของคําศัพท์ดังนี้ วรรณพร ศิลาขาว (2538: 18) ให้ความเห็นว่า คําศัพท์เป็นหน่วยพื้นฐานของภาษา ซึ่งผู้เรียนจะต้องเรียนรู้เป็นอันดับแรกเพราะคําศัพท์เป็นห้องประกอบที่สําคัญที่สุดในการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะ ภาษาการพูด ทอร์นบอรี่ (Thornbury. 2546: 19) ได้กล่าวว่า ถ้าปราศจากไวยากรณ์การสื่อสารเกิดขึ้นน้อยมากหาก ปราศจากคําศัพท์การสื่อสารจะไม่เกิดขึ้นเลยการเรียนรู้ไวยากรณ์อย่างเดียวไม่ทําให้พัฒนาการของภาษาดีขึ้นแต่ จะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างมากถ้าเรียนรู้คําศัพท์และสํานวนต่างๆมากขึ้น วัลยา ช้างขวัญยืน (2547: 2) ให้ความเห็นว่า การเรียนรู้คําศัพท์มีส่วนสําคัญในการเรียนรู้ภาษาไม่ว่าจะ เป็นการเรียนรู้ภาษาแม่หรือภาษาต่างประเทศเนื่องจากคําศัพท์เป็นเครื่องมือพื้นฐานทางภาษาที่สําคัญที่สุดในการ สื่อสาร สรุปได้ว่า คําศัพท์เป็นหน่วยพื้นฐานทางภาษาซึ่งผู้เรียนต้องเรียนรู้เป็นอันดับแรกเพราะคําศัพท์เป็น องค์ประกอบสําคัญที่สุดในการเรียนรู้ทักษะการฟังพูดอ่านและเขียนนอกจากนี้การรู้ภาษาไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ภาษาแม่หรือภาษาต่างประเทศเนื่องจากคําศัพท์เป็นเครื่องมือพื้นฐานทางภาษาที่สําคัญที่สุดในการสื่อสาร
8 2.3 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้การใช้เกมส์เศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อ ความเข้าใจ ความหมายของการเรียนรู้คําศัพท์ สุมล จักรแก้ว (2536: 92-94) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างวิธีการสอนคําศัพท์ของครูกับกลยุทธ์การ จดจําคําศัพท์กับผู้เรียน พบว่า วิธีการสอนคําศัพท์แบบมีบริบทช่วยให้ผู้เรียนจําคําศัพท์ได้สูงกว่าวิธีแปลนั้นเพราะ ในการสอนคําศัพท์แบบมีบริบท 1 คํามีการใช้บริบท ได้แก่ การนําเสนอ ซึ่งเป็นทั้งสถานการณ์รูปภาพหรือของจริง ขึ้นอยู่กับความหมายของคํา การตรวจสอบความเข้าใจและการให้นักเรียนยกตัวอย่าง ส่วนกลยุทธ์การเรียน คําศัพท์ของผู้เรียนมี 6 วิธีต้องทําบ่อยและสม่ำเสมอ ได้แก่ การท่องจํา การเขียน การอ่านการฟัง การพูดและการ นําคํามาเล่นเป็นเกม ทําให้การจดจําคําศัพท์ของนักเรียนที่เรียนโดยวิธีบริบทที่สูงกว่าวิธีการแปลและจํานวน ความถี่ของการใช้กลยุทธ์การจดจําคําศัพท์แบบบริบทสูงกว่าแบบแปลอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ความหมายของเกม มีผู้ให้ความหมาย ดังนี้ ดวงเดือน วังสินธ์ (2533: 16) กล่าวว่า เกมหมายถึงการแข่งขันที่มีเวลากําหนดแน่นอน มีกฎกติกาที่ไม่ สลับซับซ้อนมากนัก และเป็นการเล่นที่ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเคลื่อนไหลขั้นพื้นฐาน วิมลรัตน์ คงภิรมย์ชื่น (2540: 21) ที่ให้ความหมายของเกมประกอบการสอนไว้ว่า เกม หมายถึง กิจกรรม การเล่นที่ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ช่วยฝึกทักษะให้นักเรียนเกิดความคิดรวบยอดในสิ่งที่เรียน อาจมีการ แข่งขันหรือไม่มีก็ได้ แต่จะต้องมีมีกติกาการเล่นกําหนดไว้ และต้องมีการประเมินผลความสําเร็จของผู้เล่นด้วย โดบสัน (Dobson. 1998: 9-17; อ้างอิงจากสําเนา ศรีประมงค์. 2547: 11) ให้ความหมายของเกมไว้ว่า เกมหมายถึงกิจกรรมที่สนุกสนานมรกฎเกณฑ์ กติกา กิจกรรมที่เล่น มีทั้งเกมเงียบ (Passive Games) หรือเกมที่ไม่ ต้องเคลื่อนที่ และเกมใช้ความว่องไว (Active Games) หรือเกมที่ต้องเคลื่อนไหว เกมเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความว่องไว ความแข็งแรง การเล่นเกมมีทั้งเล่นคนเดียว สองคน หรือเล่นเป็นกลุ่ม บางเกมก็กระตุ้นการทํางานของร่างกายและ สมอง บางเกมก็ฝึกทักษะบางส่วนของร่างกายและจิตใจ สุคนธ์ สินธพานนท์ (2553: 141) ให้ความหมายไว้ว่า เป็นกิจกรรมที่สร้างความสนใจและความสนุกสนาน ให้แก่ผู้เรียน มีกฎเกณฑ์ กติกา ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดกิจกรรมการเรียนรู้เข้าใจและจดจําบทเรียนได้ง่ายและพัฒนา ทักษะต่างๆ รวดเร็ว อีกทั้งส่งให้ผู้เรียนได้รู้จักการทํางานร่วมกัน มีกระบวนการในการทํางานและอยู่ร่วมกัน จะเห็นได้ว่า เกมประกอบการเรียนให้ความสนุกเพลิดเพลิน ส่งเสริมผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เข้าใจและจดจํา บทเรียนได้ง่ายและพัฒนาทักษะต่างๆ รวดเร็ว อีกทั้งส่งให้ผู้เรียนได้รู้จักการทํางานร่วมกัน การเล่นมีทั้งเล่นคน เดียว สองคนหรือเล่นเป็นกลุ่ม อย่างไรก็ตาม การเล่นเกมต้องมีกติกาการเล่นกําหนดไว้และจะต้องมีการ ประเมินผลความสําเร็จของผู้เล่นด้วย
9 คุณค่าของการใช้เกมประกอบการเรียน การให้นักเรียนเรียนรู้โดยการใช้เกมประกอบการสอนนั้น จะก่อให้เกิดคุณค่าของหลาย ประการ ดังนี้ อัจฉรา ชีวพันธ์ (2533: 3) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการใช้เกมประกอบการสอนดังนี้ 1. ช่วยให้เกิดพัฒนาการทางด้านความคิดให้กับนักเรียน 2. ช่วยส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาด้านฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน 3. ช่วยในการทักษะทางภาษาและทบทวนเนื้อหาวิชาต่างๆ 4. ช่วยเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงออกซึ่งความสามารถที่มีอยู่ 5. ช่วยประเมินผลการเรียนและการสอน 6. ช่วยให้นักเรียนเกิดความเพลิดเพลิน และผ่อนคลายความตึงเครียดในการเรียน 7. ช่วยจูงใจและเร้าความสนใจของนักเรียน 8. ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนมีความสามัคคี รู้จักการเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน 9. ชาวยฝึกให้นักเรียนรับผิดชอบ และฝึกให้นักเรียนรู้จักการปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์ 10. ช่วยให้ครูได้เห็นพฤติกรรมของนักเรียนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การใช้เกมประกอบการสอน ผู้สอนจําเป็นต้องศึกษา และทําความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการใช้เกมประกอบการสอนภาษาอังกฤษ เพื่อให้การจัดเกมประกอบการสอนภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพ วิไลพร ธนสุวรรณ (2530: 4-5) ได้เสนอขั้นตอนในการใช้การเกมประกอบการสอน ดังนี้ 1. ขั้นเลือก เลือกเกมที่เหมาะสมสอดคล้องกันความมุ่งหมายของการใช้เกมและระดับความสามารถของ ผู้เรียนรวมถึงขนาดของชั้นเรียนด้วย 2. ขั้นเตรียม ควรเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ หรือสถานที่ให้พร้อมและฝึกใช้เกมล่วงหน้า 3. ขั้นการใช้เกม อธิบายความมุ่งหมายของการเล่นเกม กติกา วิธีเล่นให้ชัดเจนโดยใช้ภาษาง่ายๆ สั้น กะทัดรัดได้ใจความ ผู้สอนคอยควบคุมดูแลให้ผู้เล่นปฏิบัติตามที่กํานดไว้ 4. ขั้นประเมินผล การเล่นเกมย่อมมีการกําหนดความมุ่งหมายไว้เสนอ จึงต้องมีการวัดผลและประเมินผล ว่าผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจในการเล่นเกม ตามความมุ่งหมายที่กําหนดไว้หรือไม่และหากเป็นการเล่นเกมใน ลักษณะการแข่งขันควรมีการให้คะแนนหลัก สังเวียน สฤษดิกุล (2530: 315) ได้กล่าวถึงการใช้เกมประกอบการสอน ดังนี้ 1. ควรเล่นเกมตอนท้ายชั่วโมง หรือเริ่มนําเข้าสู่บทเรียนถ้าเป็นเกมที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่จะสอน 2. ฝึกอ่านเกมระหว่างบทเรียนเพื่อคลี่คลายความตึงเครียดและเรียนต่อไปได้ 3. ครูอธิบายวิธีเล่นเกมให้เข้าใจและอาจจะสาธิตให้ดูก่อน
10 4. ใช้อุปกรณ์ที่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้าอย่างดีแล้วประกอบการเล่นเกมแต่ละครั้ง 5. จัดแบ่งกลุ่ม หรือเล่นทั้งห้องแล้วแต่ความเหมาะสมของเกมและสภาพห้องเรียนแต่ละครั้ง 6. ระมัดระวังเรื่องเสียงรบกวนเสียงห้องข้างเขียง 7. ครูต้องศึกษาวิธีเล่น จํานวน และกติกาการตัดสินของแต่ละเกมให้เข้าใขก่อน 8. ควรฝึกเกมที่ต้องใช้ภาษาตลอดเวลา และพยายามใช้ภาษาง่ายๆที่เหมาะสมกับวัยและระดับความรู้ของ ผู้เรียน 2.4 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน นักจิตวิทยาและนักการศึกษา สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์คือ การทําให้เสร็จในด้านความรู้ส่วนผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน คือ การเข้าถึงความรู้ การพัฒนาทักษะในการเรียน ซึ่งพิจารณาจากคะแนน Eysenck, Arnold and Mecili (1972 : 6 ) คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึงขนาดของความสําเร็จที่ได้จากการทํางานเป็นผลมาจากการ กระทําที่อาศัยความสามารถทั้งร่างกายและ สติปัญญา มณฑารัตน์ ชูพินิจ (2540 :12) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ ความสําเร็จในการ พยายามเข้าถึงความรู้ เกิดมาจากการทํางานที่อาศัยความพยายามซึ่งจะแสดงออกมาในรูปแบบของคะแนน เกรด เฉลี่ย การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความจําเป็นต่อการเรียนการสอน หรือการตัดสินผลการเรียน เพราะเป็น การวัดระดับความสามารถในการเรียนรู้ของบุคคลหลังจากที่ได้รับการฝึกฝน โดยอาศัยเครื่องมือประเภท แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นิยมมากที่สุดการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนวคิดของ Bloom (1982) ถือว่าสิ่งใดก็ตาม ที่มีปริมาณอยู่จริงสิ่งนั้นสามารถวัดได้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก็อยู่ภายใต้กรอบแนวคิด ดังกล่าว ซึ่งผลการวัดจะเป็นประโยชน์ในลักษณะทราบและประเมินระดับความรู้ทักษะและเจตคติของนักเรียน และระดับความรู้ความสามารถตามแนวคิดของ Bloom มี 6 ระดับ ดังนี้ 1) ความจํา คือ สามารถจําเรื่องต่าง ๆ ได้ เช่น คําจํากัดความสูตรต่าง ๆ วิธีการ 2) ความเข้าใจ คือ สามารถแปลความ ขยายความ และสรุปใจความสําคัญออกมาในรูปแบบความคิดของ ตนเองได้ 3) การนําไปใช้ คือ สามารถนําความรู้ ไปใช้ในสภาพการณ์ต่างๆนอกเหนือจากที่เจอในบทเรียนได้ 4) การวิเคราะห์ คือ สามารถคิด แยกแยะข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ ออกเป็นส่วนต่างๆ 5) การสังเคราะห์ คือ สามารถนําองค์ประกอบ หรือส่วนต่าง ๆ เข้ามารวมกันเป็นหมวดหมู่
11 6) การประเมินค่า คือ สามารถพิจารณา ตัดสินคุณค่าของข้อมูลและหลักการโดยใช้มาตรการที่ผู้อื่น กําหนดไว้หรือตัวเองกําหนดขึ้น เยาวดี วิบูลย์ศรี (2540) ได้กล่าวถึงข้อตกลงเบื้องต้นที่ควรคํานึงถึงในการสร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ไว้ ดังนี้ 1) เนื้อหา หรือทักษะภายใน จะต้องครอบคลุมในแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์นั้นสามารถจํากัดอยู่ในรูปของ พฤติกรรม ซึ่งมีความเฉพาะเจาะจงในลักษณะที่จะสื่อสารไปยังบุคคลอื่นได้ 2) ผลิตผลที่แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์วัดนั้น จะต้องเป็นผลิตผลเฉพาะที่เกิดขึ้นจากการเรียนการสอนตาม วัตถุประสงค์ที่ต้องการเท่านั้น จะวัดผลผลิตผลอย่างอื่นไม่ได้ 3) ผลสัมฤทธิ์หรือความรู้ต่าง ๆ ที่แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์วัดได้นั้น ถ้าจะนําไปเปรียบเทียบกันแล้ว ผู้เข้า สอบทุกคนจะต้องมีโอกาสได้เรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ เท่าเทียมกัน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สมบูรณ์ ตันยะ (2545) ได้ให้ความหมายว่า เป็นแบบทดสอบที่ใช้สําหรับวัดพฤติกรรมทางสมองของ ผู้เรียนว่ามีความรู้ ความสามารถใน เรื่องที่เรียนรู้มาแล้ว หรือได้รับการฝึกฝนอบรมมาแล้วมากน้อยเพียงใด พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2544) ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ทักษะ และความสามารถ ทางวิชาการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้ว ว่า บรรลุผลสําเร็จตามจุดประสงค์ที่กําหนดไว้เพียงใด สิริพร ทิพย์คง (2545) ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นชุดคําถามที่มุ่งวัดพฤติกรรมการเรียนของ ผู้เรียนว่ามีความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพด้านสมองด้านต่างๆ ในเรื่องที่เรียนรู้ไปแล้วมากน้อยเพียงใด สมพร เชื้อพันธ์ (2547) ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นแบบทดสอบหรือชุดของข้อสอบที่ใช้วัดความสําเร็จหรือ ความสามารถในการทํางานหรือกิจกรรมของผู้เรียนที่เป็นผลมาจากการวัดของครูผู้สอนว่าผ่านจุดประสงค์การ เรียนรู้ที่ตั้งไว้หรือไม่ ผลสัมฤทธิ์ของการใช้เกมส์เศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ เนื้อหาที่นักเรียน จําเป็นต้องทราบตามสาระการเรียนรู้แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) รวมทั้งสามารถจดจําคําศัพท์และบอกวามหมายของ คําศัพท์ได้อย่างถูกต้องโดยสามารถแปลความหมายของคําศัพท์คํานั้นได้ โดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ และพิจารณาการวัดความรู้เกี่ยวกับคําศัพท์ภาษาอังกฤษเรื่องต่างๆที่เรียนมาโดยการบอกความหมายที่ผู้วิจัยสร้าง ขึ้น คือแบบประเมินความรู้คําศัพท์
12 2.5 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ ความพึงพอใจเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกหรือทัศนคติที่เป็นนามธรรม มักเกิดจากการได้รับการ ตอบสนองตามที่ตนต้องการ ก็จะเกิดความรู้สึกที่ดีต่อสิ่งนั้น เป็นความพึงพอใจในทางบวก เป็นความรู้สึกที่พอใจ ต่อสิ่งที่ทําให้เกิดความชอบ ความสบายใจและเป็นความรู้สึกที่บรรลุถึงความต้องการของตนทฤษฎีความพึงพอใจ เน้นสาระสําคัญว่า ความต้องการของคนทําให้เกิดความจูงใจ หากคนไม่มีความต้องการ การจูงใจก็เกิดขึ้นไม่ได้ ความต้องการของคนจะเปลี่ยนเป็นพลังภายในที่จูงใจให้เกิดพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่บําบัดความต้องการนั้น ความต้องการของคนเป็นเสมือนบัญชีแสดงสิ่งที่คนต้องการและดําเนินการเพื่อให้ได้สิ่งของนั้น เมื่อผู้ใดให้การ บริการรู้จักความต้องการเหล่านั้นก็จะจัดบริการต่างๆ ให้สนองและเสริมแรงจูงใจของสมาชิกหรือผู้รับบริการได้ อย่างดียิ่งทฤษฎีความพึงพอใจที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ ทฤษฎีความพอใจ และทฤษฎีการเสิรมแรง (Reinforcement theories) ความหมายของความพึงพอใจ นิภารัตน์ รื่นสุข (2546: 24-25) ได้ให้ ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง ความรู้สึกที่เกิดจาก ทัศนคติความต้องการที่เป็นไปตามความคาดหวัง ถ้าความต้องการได้รับการตอบสนองความพึงพอใจก็จะเกิดขึ้น ธีรพล จํานงนิจ (2548: 7-8) ได้ให้ความหมายความพึงพอใจไว้ว่า หมายถึง ความต้องการให้ ได้บรรลุเป้าหมาย พฤติกรรมที่แสดงออกมาก็จะมีความสุข สังเกตได้จากสายตา คําพูดและการแสดงความพึง พอใจเป็นความรู้สึก ความประทับใจที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลบรรลุความต้องการ ประสบความสําเร็จตาม จุดมุ่งหมายที่กําหนดไว้ ซึ่งทําให้เกิดความสุข จึงแสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมา เช่น การพูดจา ท่างทางที่แสดงออก เพียรเพ็ญ อินทร์เลิศ (2550: 7) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า หมายถึง ความรู้สึก หรือทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลนั้นได้บรรลุถึงต้องการ หรือจุดมุ่งหมายของ ตนเองที่กําหมดไว้ และระดับความพึงพอใจยังขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของคนๆ นั้นด้วย เฉลิมเกียรติ ตุ่นแก้ว (2553: 11) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า หมายถึง ความรู้สึก หรือทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เกิดขึ้นต่อความรู้สึกที่ดี ชอบประทับใจต่อการให้บริการและ การรับบริการในทุกสถานการณ์ ทุกสถานที่ การตอบสนองในความต้องการเป็นความรู้สึกในทางบวกแล้วทําให้เกิด เป็นความสุข ทั้งนี้ความพึงพอใจของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกันและสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามสภาพการณ์ แนวคิดทฤษฎีความพึงพอใจสรุปได้ว่าหัวใจของมนุษย์คนขึ้นมาระบบความพึงพอใจมีความรู้สึกทางบวก มากกว่าทางลบซึ่งเป็นผลจากการได้รับการตอบสนองในสิ่งที่ต้องการและเมื่อมนุษย์มีความรู้สึกทางบวกหรือมี ความพึงพอใจต่อสิ่งใดแล้วก็เกิดความพึงพอใจซ้ำขึ้นอีก
13 2.6 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน ความหมายของการอ่าน ได้มีการศึกษาให้ความหมายของการอ่านไว้ดังนี้ จุไรรัตน์ ลักษณะศิริและบาหยัน อิ่มส าราญ (2548 : 91) กล่าวถึงความหมายการอ่านว่าการอ่าน หมายถึงการรับสารในรูปของตัวอักษรมาแปลเป็นความรู้ ความเข้าใจของผู้อ่านโดยผ่านการคิดประสบการณ์และ ความเชื่อของตน จิตรลดา ไมตรีจิตต์(2549: 8) กล่าววา่ การอ่าน คือกระบวนการของการทำความเข้าใจภาษาเขียน โดยแปลความหมายตัวอักษรหรือสัญลักษณ์เป็นถ้อยคำหรือความคิด โดยอาศัยประสบการณ์เดิมแล้วนำความคิด ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป สุวัฒน์ วิวัฒนานนท์ (2550 : 75) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า หมายถึงการแปลความหมายของ ตัวอักษรที่อ่านออกมาเป็นความรู้ความคิดและเกิดความเขา้ใจเรื่องราวที่อ่านตรงกับเรื่องราวที่ผู้เขียนเขียน ผู้อ่าน สามารถนำความรู้ความคิดหรือสาระเรื่องราวที่อ่านไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ธนู ทดแทนคุณ และกานต์รวี แพทย์พิทักษ์ (2552 : 53) กล่าววา่การอ่าน หมายถึงการรับรู้และแปล ความหมายของตัวอักษร เครื่องหมาย สัญลักษณ์ที่สื่อความหมายต่าง ๆ มาเป็นความคิดความรู้และความเข้าใจ ระหว่างผู้เรียนและผู้อ่าน เพื่อที่ผู้อ่านสามารถนำความรู้จากสารนำไปใช้ได้ ทิพย์วิมล พัวเจริญสิน (2552 : 15) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า หมายถึง ทักษะพื้นฐานสำคัญใน กระบวนการสื่อสารระหว่างผู้เขียนและผู้อ่าน โดยผู้อ่านต้องแปลความหมายทำความเข้าใจความหมายของคeหรือ สัญลักษณ์ โดยแปลออกมาเป็นความหมายที่ใช้สื่อความคิดและความรู้ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านให้เข้าใจตรงกัน และผู้อ่านสามารถนำเอาความหมายนั้นๆ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ศุภรณ์ ภูวัด (2553 : 8) ได้ให้ความหมายของการอ่านวา่ การอ่านเป็นกระบวนการทางสมองในการแปล สัญลักษณ์นั้น แล้วก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เกิดความคิดอย่างมีเหตุผลถ่ายทอดความหมายของอักษร หรือ สัญลักษณ์นั้นอกมาในรูปของความคิด แล้วจึงนำความคิดเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป จรัสกร เล็กตระกูล (2553 : 22) กล่าวว่า การอ่าน หมายถึงกระบวนการทางความคิดการทำความเข้าใจ ภาษาเขียน เพื่อสื่อสารกนั ระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารผู้อ่านจะใช้การสังเกตการจำรูปความและประสบการณ์เดิม ที่สำคัญจะต้องเข้าใจความหมายของคำเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ จากเรื่องที่อ่าน ผู้อ่านต้องมีความสามารถใน การจัดระบบข้อมูลความรู้ต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตีความเรื่องที่อ่าน ซึ่งทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้เจตคติและทักษะ ทั้งนี้แล้วแต่จุดประสงคข์องการอ่านแต่ละคน สรุปได้ว่าการอ่าน หมายถึงกระบวนการทางสมองที่ใช้สายตาสัมผัสตัวอักษรเพื่อแปลความหมายของคำ ข้อความ เรื่องราวและความคิดของผู้เขียนเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ
14 ความสำคัญของการอ่าน การอ่านนอกจากเป็นทักษะพื้นฐานในการเรียนรู้วิชาต่างๆ แล้วการอ่านยงัเป็นเครื่องมือในการแสวงหา ความรู้ ทำให้ทันโลก ทันเหตุการณ์ ได้มีนักการศึกษาหลายท่านกล่าวถึงความสำคัญของการอ่านไว้ดังนี้ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2546 : 7) กล่าวถึงความสำคัญ ของการอ่าน ดังนี้ 1. การอ่านเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้โดยเฉพาะบุคคลที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียนจำเป็นต้องอ่าน หนังสือเพื่อการศึกษาหาความรู้ด้านต่าง ๆ 2. การอ่านเป็นเครื่องมือช่วยให้ประสบผลสำเร็จในการประกอบอาชีพ เพราะสามารถนำความรู้ที่ได้จาก ความสามารถไปพัฒนาตนพัฒนางาน 3. การอ่านเป็นเครื่องมือสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมของคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนรุ่นต่อๆ ไป 4. การอ่านนี้เป็นวิธีการส่งเสริมให้คนมีความคิดและความฉลาดรอบรู้เพราะประสบการณ์ ที่ได้จากการ อ่านเมือเก็บสะสมเพิ่มพูนเข้านานวัน ก็จะทำให้เกิดความคิด เกิดสติปัญญา เป็นคนฉลาดรอบรู้ได้ 5. การอ่านนี้เป็นกิจกรรมก่อให้เกิดความเพลิดเพลินบันเทิงใจ เป็นวิธีหนึ่งในการแสวงหาความสุขให้แก่ ตนเองที่ง่ายที่สุด และได้ประโยชน์คุ้มค่าที่สุด 6. การอ่านนี้เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้เป็นคนที่สมบูรณ์ทั้งด้านจิตใจ และบุคลิกภาพเพราะเมื่อ อ่านมากย่อมรู้มาก สามารถนำ ความรู้ไปใช้ในชีวิตได้อย่างมีความสุข 7. การอ่านนี้เป็นเครื่องมือหนึ่งในระบบการเมืองการปกครอง ศาสนา ประวัติศาสตร์และสังคม 8. การอ่านเป็นวิธีหนึ่งในการพัฒนาระบบการสื่อสารและการใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ วันทนา เมืองจันทร์(2547 : 25) ได้ให้ความเห็นว่าการเรียนรู้ที่จะอ่านออกได้อย่างแตกฉานเป็นเรื่องสำคัญ และไม่เป็นเพียงความสำคัญสำหรับตัวผู้เรียนเองเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อผู้อื่นด้วย เพราะวา่การอ่านนั้นเป็น ส่วนหนึ่งของกิจกรรมหลายหลากกิจกรรมของการเรียนการสอนแบบบูรณาการยิ่ง ไปกว่านั้นความสามารถในการ อ่านได้อยางแตกฉานจะเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งตลอดชีวิตของคนทุกคน เพราะว่าความสามารถในการ อ่านจะมีความสัมพันธ์กับความสำเร็จในการเรียนรู้ของผู้เรียนและนำไปสู่การขยายความรู้ตลอดชีวิตของเขา จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ และบาหยัน อิ่มสำราญ (2548 : 91) กล่าวถึงความสำคัญของการอ่าน ดงัต่อไปนี้ 1. การอ่านทำใหผู้อ่านได้รับสาระความรู้ต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านเป็นผู้ที่ทันต่อความคิดความก้าวหน้าของ โลกได้เช่นเดียวกับการรับสารจากสื่อชนิดต่างๆ เช่น วิทยุโทรทัศน์และสื่อ อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ 2. หนังสือเป็นสื่อที่ดีที่สุด ใช้ง่ายที่สุดและมีราคาถูกที่บุคคลทั่วไปใช้เพื่อศึกษาหาความรู้และความ เพลิดเพลิน
15 3. การอ่านหนังสือเป็นการฝึกให้สมองได้คิดและเกิดสมาธิด้วย ฉะนั้นหากมีการฝึกอย่างต่อเนื่องจะทำ ให้ ทักษะด้านนี้พัฒนาและเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด 4. ผู้อ่านหนังสือสามารถสร้างความคิดและจินตนาการได้เอง ในขณะที่สื่ออย่างอื่น เช่นวิทยุโทรทัศน์ ฯลฯ จะจำกัดความคิดของผู้อ่านมากกวา่ ฉะนั้นการอ่านหนังสือจึงทา ให้ผู้อ่านมีอิสระทางความคิดได้ดีกวา่การใช้สื่อ ชนิดอื่น สมชาย หอมยก(2550 : 38) สรุปความสำคัญของการอ่านว่าอยู่ที่ผู้อ่านมีความสามารถหรือไม่ในด้านต่าง ๆ การอ่านช่วยพัฒนาความคิด และจิตใจ การอ่านมากจะทำให้รู้จักนำความรู้ความคิด ประสบการณ์จากการอ่าน มาพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้เป็นอยางดี การอ่านเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมความรู้ และความ เข้าใจระหว่างมนุษย์ทุกชาติทุกภาษา ความสำคัญของการอ่านมีดังนี้ 1. การอ่านช่วยเพิ่มเติมความรู้ ความคิด และประสบการณ์ ทำให้มีความงอกงามทั้งสติปัญญา อารมณ์ เป็นการพัฒนาจิตใจได้เป็นอยางดี 2. การอ่านช่วยส่งเสริมวิจารณญาณในการรับสาร 3. สามารถติดตามความเคลื่อนไหว และการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ของสังคมโลกได้ 4. ช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดได้รับความเพลิดเพลิน 5. ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพ การอ่านมากทำให้มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล การที่เรารู้จักรับข้อคิดเห็นจากผู้อื่นจะ ทำให้เรากลายเป็นผู้ที่มีเสน่ห์ คนรอบ ๆ ข้างก็อยากอยู่ใกล้ๆ ทิพย์วิมล พัวเจริญสิน (2552 : 17) กล่าวว่า การอ่านมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ปัจจุบัน เนื่องจากการอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ ทำให้บุคคลได้รับการพัฒนาทั้ง ทางด้านสติปัญญา ความสามารถ ตลอดจนคุณธรรมจริยธรรมต่าง ๆ เมื่อบุคคลมีความเขา้ใจในเรื่องที่อ่านอย่าง แท้จริงย่อมสามารถนำความรู้ความคิดไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและสังคมได้เป็นอย่างดีซึ่งจะส่งผล ให้นกัเรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อการอ่านและมีนิสัยรักการอ่าน ศุภรณ์ ภูวัด (2553 : 10) กล่าวว่า การอ่านมีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตในปัจจุบันมาก สังคม เปลี่ยนแปลงเจริญก้าวหน้ามากเพียงไรการอ่านก็เป็นทักษะที่สำคัญในการแสวงหาความรู้ให้ทัน ต่อเหตุการณ์มาก เท่านั้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มพูนสติปัญญา ประสบการณ์ให้สามารถปรับตัวให้อยู่ในสังคมที่เปลี่ยนได้อยางเป็นสุข จรัสกร เล็กตระกูล (2553 : 24) ได้สรุปความสำคัญของการอ่านไว้ว่า การอ่านเป็นทักษะที่สำคัญและ จำเป็นในการศึกษาหาความรู้และการพัฒนาคุณภาพชีวิต นอกจากการอ่านจะทำให้เกิดความรู้แล้วยงัก่อให้เกิด ความสนุกสนานเพลิดเพลิน และส่งเสริมให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้แนวคิดในการดำเนินชีวิต การอ่านจึงเป็น หัวใจของการศึกษาทุกระดับและเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการแสวงหาความรู้เรื่องต่างๆ ตลอดจนเป็นเครื่องมือใน
16 การประกอบอาชีพให้ประสบความสำเร็จ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีคนที่มีความสมบูรณ์ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ เพราะเมื่ออ่านมากยอมรู้มาก สามารถนำความรู้ไปใช้ในการดำรงชีวติอยางมีความสุข สรุปได้ว่าการอ่านเป็นทักษะสำคัญในการเรียนรู้ การแสวงหาความรู้ทางการศึกษาของนักเรียน นักศึกษา บุคคลทั่วไปเพราะเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้และพัฒนาสติปัญญาความรู้ความสามารถ 2.7 จุดมุ่งหมายของการอ่าน การอ่านที่ดีควรมีจุดมุ่งหมายในการอ่านว่ามีความต้องการรู้สิ่งใดจากการอ่าน หากมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน จะทา ให้การอ่านเป็นไปตามแนวทางที่วางไว้นักการศึกษาหลายท่านกล่าวถึง จุดมุ่งหมายการอ่านไว้ดังนี้ กานตม์ ณีศักดิ์เจริญ (2546 : 90 -92) ไดก้ล่าวถึงความมุ่งหมายในการอ่านไว้ดังนี้ 1. อ่านเพื่อความรู้คนเราต้องการให้ความรู้ของตนงอกเงยขยายขอบเขตออกไปจากที่มีอยู่เดิม ต้องการรู้ ในสิ่งที่เป็นปัญหาไม่เขา้ใจต่าง ๆ การอ่านจึงเน้นให้ความรู้เกี่ยวกบัวิทยาการแขนงต่าง ๆ เพื่อการประกอบอาชีพ เพื่อให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม โดยไม่จา เป็นต้องเป็นนักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา เพื่อเข้าใจผู้อื่น เข้าใจ ตนเองดีขึ้น เพื่อรู้ความเป็นไปในโลกสถานที่ที่ห่างไกลคนที่แปลกเผ่าแปลกพันธุ์และวัฒนธรรมที่ต่างออกไป เพื่อ เขา้ใจเกี่ยวกบั สิ่งแวดลอ้มและใชประโยชน์ จากสิ่งแวดล้อม เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของตนและ เพื่อทราบข่าวความเคลื่อนไหวของสังคมที่ตนอยู่ 2. อ่านเพื่อให้เกิดความคิด การอ่านวัสดุสิ่งพิมพ์ที่แสดงทรรศนะ ได้แก่ บทความบทวิจารณ์วิจัยต่าง ๆ จะ ช่วยให้ทรรศนะของผู้อ่านกว้างขวางขึ้น การอ่านในลกัษณะนี้เป็นการอ่านเพื่อทำความเขา้ใจแนวคิดที่สำคัญ การ จัดลำดับขั้นแนวความคิดของผู้เขียน พิจารณาเหตุผล และแรงจูงใจในการเขียนเรื่องนั้นๆ ขั้นเป็นการปลูกฝังนิสัย การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3. อ่านเพื่อความบันเทิง สภาวะแวดล้อมมีอิทธิพลต่อจิตใจอารมณ์และร่างกายของมนุษย์เป็นอันมาก บางครั้งก่อให้เกิดความเบื่อหน่ายการอ่านหนังสือที่เนื้อหาสาระไม่เป็นวิชาการนักจะช่วยให้เกิดความบันเทิงควบคู่ ไปกับความรู้ความคิด ได้มีความสุขกับความไพเราะของภาษาได้หัวเราะ ได้สนุก เป็นการผ่อนคลายอารมณ์ตึง เครียด 4. อ่านเพื่อความก้าวหนา้ในอาชีพ มนุษย์ต้องการความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานมนุษย์จึงพยายาม ขวนขวายหาความรู้ที่จำเป็นเพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ที่จะนำมาใช้ในการดำเนินงาน การตัดสินใจการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการทำงานหรือเพื่อวาง แผนการทำงานในอนาคตก็ตาม 5. อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน เป็นการอ่านที่ทา ให้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปดูหรือไปฟังให้เสียค่าใช้จ่าย มากเกินความจำเป็น และได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินเจริญใจเป็นการอ่านเพื่อพักผ่อนหย่อนใจแต่ใน
17 ขณะเดียวกันก็จะได้รับความรู้ไปด้วย การอ่านชนิดนี้ได้แก่หนังสือประเภทนวนิยายเรื่องสั้น การ์ตูน หนังสือตลก จิตรลดา ไมตรีจิตต์(2549: 13) กล่าววา่ จุดมุ่งหมายที่สำคัญของการอ่านนั้น เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความคิด ความบันเทิงและเพื่อให้สามารถรู้เท่าทันกับเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคมทั้งนี้จุดมุ่งหมายของการอ่านก็ขึ้นอยู่กับแต่ละ บุคคล รวมทั้งการนำ ความรู้ที่ได้จากการอ่านไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ในการดำรงชีวติต่อไป สมชาย หอมยก(2550 : 38) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการอ่านมีดังนี้ 1. อ่านเพื่อความรู้ เป็นการอ่านที่สำคัญและจำเป็นโดยเฉพาะในวัยศึกษาเล่าเรียนอาจจะเป็นการอ่านเพื่อ หาความรู้ทั่วไป หรือความรู้เฉพาะด้านก็ได้ 2. อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน เป็นการอ่านที่มุ่งผ่อนคลายอารมณ์ ความตึงเครียดที่อาจเกิดขึ้นได้ในสภาวะ แวดล้อมของสังคมยุคปัจจุบัน 3. อ่านเพื่อค่าเวลา เป็นการอ่านที่ไม่คาดหวังเรื่องความรู้ หรือเนื้อหาสาระมากนักมุ่งอ่านเพื่อใช้เวลาวาง ให้ เป็นประโยชน์ เช่น การนั่งรอรถหรือการเดินทางที่ใชระยะเวลานานๆ จรัสกร เล็กตระกูล (2553 : 26) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายที่สำคัญของการอ่าน คือการอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ อ่านเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน อ่านเพื่อให้เกิดความคิดใหม่ ๆ อ่านเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของ ตนเอง สามารถรู้เท่าทันเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม เพื่อนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีวติ ต่อไป สรุปได้ว่าการอ่านมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถ บุคลิกภาพของผู้อ่านตลอดจนส่งเสริม สมรรถภาพในการอ่านของผู้อ่านและยังก่อให้เกิดความเพลิดเพลินอีกด้วย การอ่านจะประสบผลสำเร็จผู้อ่านควร ตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านว่าอ่านเพื่ออะไรจะทา ให้ผู้อ่านได้รับรู้เรื่องที่ตนอ่านได้ถูกต้อง 2.8 ประเภทของการอ่าน ประเภทการอ่านได้มีนักการศึกษาหลายท่านกล่าวถึงประเภทการอ่านไว้ดังนี้ วิมล จิโรจพันธุ์ และคนอื่น ๆ (2546 : 1-3) ได้แบ่งประเภทการอ่านเป็น 3 ประเภท คือ 1. การอ่านออกเสียง เป็นการถ่ายทอดตัวอักษรที่จะน าไปสู่ความรู้ ความเข้าใจและความคิดออกมาเป็น เสียงได้ถูกต้องตามอักษรนั้นๆ โดยมุ่งการได้ยินได้ฟังเสียงนอกเหนือจากจะมุ่งเอาใจความหรือเนื้อหาสาระผู้อ่าน ออกเสียงให้ถูกต้องตามอักขรวิธีทั้งวรรณยุกต์ ตัวสะกดควบกล้า จังหวะลีลาและวรรคตอน เพื่อให้เกิดความรู้ความ เข้าใจแก่ผู้ฟังมากยิ่งขึ้น 2. การอ่านในใจ เป็นการแปลตัวอักษรออกมาเป็นความรู้ความเข้าใจและความคิดแล้วนำไปใช้อีกทอด หนึ่งอย่างไม่ผิดพลาด โดยทั่วไปมักอ่านเพื่อความรู้และความบันเทิง
18 3. การอ่านทำนองเสนาะ เป็นการอ่านออกเสียงประเภทหนึ่งที่มีจังหวะและทำนองเพื่อให้เกิดความ ไพเราะ เพลิดเพลินและผู้ฟังพึงพอใจ โดยผู้อ่านต้องรู้ลักษณะบังคับของคำประพันธ์แต่ละชนิดด้วยจึงจะอ่านได้ ถูกต้องและน่าฟัง ไพพรรณ อินทนิล(2546 : 32-51) ใช้วิธีการแบ่งประเภทการอ่าน 3 วิธี คือ 1. แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการอ่าน 1.1 อ่านเพื่อเก็บใจความสำคัญ 1.2 อ่านเพื่อทดสอบความเข้าใจ 1.3 อ่านเพื่อแสดงความคิดเห็น 1.4 อ่านเพื่อปฏิบัติตามคำแนะนำ 1.5 อ่านเพื่อคลายเครียด หรือค่าเวลา 2. แบ่งตามลกัษณะของวัสดุการอ่าน 2.1 การอ่านวัสดุตีพิมพ์เป็นฉบับ 2.2 การอ่านป้าย 2.3 การอ่านกระดาษที่ทำเป็นแผ่นขนาดย่อย 2.4 การอ่านข้อความที่พิมพ์ไว้บนบรรจุภัณฑ์และยา 3. แบ่งตามวิธีการประพันธ์ 3.1 ประเภทร้อยแก้ว แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ 3.1.1 การอ่านหนังสือประเภทข่าวสาร 3.1.2 การอ่านหนังสือประเภทผ่อนคลายอารมณ์ 3.1.3 การอ่านหนังสือประเภทเกี่ยวกบัการเรียนการสอน 3.2 ประเภทร้อยกรองหรือค าประพันธ์ 3.2.1 การอ่านวรรณคดี 3.2.2 การอ่านรูปประโยคของค าประพันธ์ 3.2.3 การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง ฐะปะนีย์ นาครทรรพ (2547 : 19) ได้แบ่งการอ่านออกเป็น 2 ประเภท คือ การอ่านในใจ และการ อ่านออกเสียง การอ่านออกเสียงนั้นหมายรวมเอาทั้งการออกเสียงธรรมดาและการออกเสียงทำนองเสนาะ การุณนันทน์ รัตนแสนวงษ์ (2548 : 29 ) กล่าวถึงประเภทของการอ่านไว้ว่าการอ่านแบ่งตามวิธีอ่านได้2 ประเภทใหญ่ๆ คือการอ่านในใจและการอ่านออกเสียง ซึ่งมีลกัษณะดังนี้ 1. การอ่านในใจคือการอ่านไม่ออกเสียงหรืออ่านเงียบ (Silent Reading) เวลาอ่านจะไม่ใช้อวยัวะที่ช่วย ในการออกเสียงเคลื่อนไหวเลยคงใช้เฉพาะสายตากวาดไปบนตัวอักษร นัยน์ตารับภาพแล้วส่งสัญญาณผ่าน
19 ประสาทไปยังประสาทสมองให้รับรู้เพื่อจดจา และตีความต่าง ๆ ออกมาเป็นการอ่านที่ผู้อ่านมุ่งเก็บใจความสำคัญ ให้ถูกต้องและรวดเร็วกวา่การอ่านออกเสียง 2. การอ่านออกเสียง เป็นการอ่านให้เกิดเสียงดัง (Sound Reading)คือการเปล่งเสียงตามตัวอักษรถ้อยคำ และเครื่องหมายต่าง ๆ ออกมาให้ถูกต้องชัดถ้อยชัดคา และเป็นที่เข้าใจแก่ผู้ฟังและสื่อสารให้ผู้อ่านเข้าใจ ความหมายได้อย่างถูกต้องการอ่านออกเสียงนี้ผู้อ่านจะต้องอาศัยการทำงานที่สัมพันธ์กันระหว่างสมอง สายตา และอวยัวะในการออกเสียงไปพร้อม ๆกันด้วยกล่าวคือผู้อ่านจะต้องใช้สายตากวาดไปบนตัวอักษรครั้งละหนึ่งวรรค และต้องแบ่งใจความไว้แปลงความคิดเป็นเสียงแล้วจึงเปล่งเสียงออกมาให้ตรงความหมายของถ้อยคำ ลาวัณย์ สังขพันธานนท์ และคณะ (2549 : 18-21) ได้แบ่งประเภทของการอ่านออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. การจำแนกประเภทตามลกัษณะการอ่าน แบงได้ 2 ประเภท คือ 1.1 การอ่านออกเสียง หมายถึง การอ่านโดยวิธีการเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำหรือเสียงแล้วถ่ายทอด เสียงออกมาเป็นความคิด 1.2 การอ่านในใจ คือ การอ่านที่ถ่ายทอดตัวอักษรออกมาเป็นความคิดโดยตรงการอ่านในใจเป็นเรื่องที่ ต้องอาศัยทักษะและความชำนาญผสมผสานกบั การหมั่นฝึกฝนตนเองเพื่อก่อให้เกิดความชำนาญในการอ่าน ทักษะที่สำคัญในการอ่านในใจได้แก่ ทักษะการอ่านได้เร็วและทักษะการเข้าใจความหมาย ทักษะในการอ่านเร็ว เป็นเรื่องของกลไกการอ่านหรือการเคลื่อนไหวของสายตา ทักษะการเข้าใจความหมาย เป็นหัวใจสำคัญ ของการ อ่านเพราะหากมีระดับความเร็วในการอ่านดีแต่ไม่สามารถเข้าใจเนื้อความของสิ่งที่อ่านได้การอ่านก็จะไม่ประสบ ผลสำเร็จ การที่ผู้อ่านจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่านได้จะต้องมีพื้นฐานเกี่ยวกับสิ่งต่อไปนี้คือ 1.2.1 ความรู้พื้นฐานเรื่องคา และไวยากรณ์ ได้แก่ การรู้จักความหมายของคำศัพท์หน้าที่ของคำและ ประโยค 1.2.2 การรู้จักย่อหน้าหรือปริเฉท (Paragraph) ผู้อ่านมีความจำเป็นต้องรู้ความสำคัญของการย่อหน้า เพราะในแต่ละย่อหน้าจะมีใจความสำคัญ (Main Idea) หนึ่งยอหน้า จะแสดงประโยคใจความสำคัญไว้หนึ่งประโยค เรียกวา่ ประโยคหลัก(Topic Sentence) จากนั้น จะใช้ประโยคพลความ (Supporting Sentence) เป็นประโยค เสริมเพื่ออธิบายหรือขยายความตามปกติใจความสำคัญ ของแต่ละย่อหน้าส่วนมากจะปรากฏที่ต้นหรือตอนท้าย ของยอหน้าหรืออาจปรากฏที่ตอนกลางของยอหน้าก็ได้หนึ่งย่อหน้าจะมีใจความสำคัญ เพียงหนึ่งใจความเท่านั้น 1.2.3 ภูมิหลังและประสบการณ์ของผู้อ่าน ผู้อ่านที่มีประสบการณ์ได้พบเห็นหรือได้คุ้นเคยกับเหตุการณ์ หรือเรื่องราวนั้นๆ จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวที่อานได้ชัดมากยิ่งขึ้น 2. การจำแนกประเภทตามวิธีการอ่าน แบ่งได้5 ประเภท คือ 2.1 การอ่านอย่างคร่าว ๆ เป็นวิธีการอ่านที่จะใช้เมื่อต้องการสำรวจว่าจะอ่านหนังสือนั้นต่อไปโดย ละเอียดหรือไม่ การอ่านอย่างคร่าว ๆ จะอ่านเพียงชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่งสารบัญคำนำ หรือเป็นการอ่านเพียงบางตอน เพื่อดูจำนวน การอ่านเพื่อสังเกตเนื้อหา หรือการอ่านเพื่อดูดรรชนีค้นหาหัวข้อที่ต้องการว่ามีหรือไม่
20 2.2 การอ่านแบบตรวจตราเป็นวิธีการอ่านละเอียดในข้อความที่ต้องการรู้เป็นการอ่านเพื่อเก็บข้อมูลคือ การอ่านหนังสือในหัวข้อเรื่องเดียวกนัจากหนังสือหลาย ๆ เล่ม เพื่อเปรียบเทียบและคดัเลือกก่อนจะสรุปและนำ ส่วนที่ตนเองต้องการมาใช้นิยมใช้กันมาก ในการอ่านเพื่อการทำรายงาน การทำวิจัยการค้นคว้าหรือการทำ วิทยานิพนธ์ 2.3 การอ่านแบบศึกษาค้นคว้า เป็นการอ่านอยางละเอียดถี่ถ้วนตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย เพื่อให้รู้ เนื้อหาอย่างละเอียดลึกซึ้งทุกขั้นตอน และเก็บแนวคิดเพื่อ สาระสำคัญของเนื้อความทั้งหมด 2.4 การอ่านเชิงวิเคราะห์หรือการอ่านตีความ เป็นวิธีการอ่านที่ต่อเนื่องจากวิธีการอ่านแบบศึกษาค้นคว้า คือการอ่านอย่างละเอียดให้ได้ใจความครบถ้วน แล้วจึงแยกแยะส่วนประกอบออกให้ได้ว่าส่วนต่าง ๆ นั้น มี ความหมายและความสำคัญอยางไร่ 2.5 การอ่านโดยใช้วิจารณญาณ คือ การอ่านโดยสอดแทรกการวิพากษ์ วิจารณ์ของผู้อ่านไปด้วยโดย ผู้อ่านจะต้องมีความรู้พื้นฐานมากและต้องอาศัยเทคนิคการอ่านทุกวิธีอยางมีประสิทธิภาพ แล้วจึงเกิดการสรุป ประมวลเป็นความคิดรวบยอด สามารถวิพากษ์วิจารณ์อยางมีเหตุผลและถูกต้อง สมพรจารุนัฏ (2549 : 46-62) ได้แบง่ ประเภทของการอ่านเป็น 2 ประเภท คือการอ่านออกเสียง และ การอ่านในใจ ดังนี้ 1. การอ่านออกเสียง เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างความคิดกบั ภาษา กล่าวคือ เมื่ออ่านตัวอักษรจะต้องใช้ ความคิดไปวิเคราะห์ความหมายของตักอักษรนั้น การอ่านออกเสียงเป็นการอ่านให้ผู้อื่นฟัง ถ้าเป็นการอ่านออก เสียง ผู้อ่าน จะต้องระวังการอ่านออกเสียง ตัวสะกด ตัวควบกล้าลีลา จังหวะวรรคตอนให้ถูกต้อง แม้จะอ่านถูก อักขรวิธีแต่ถ้าลีลาการอ่านไม่ดีแบ่งวรรคตอนการอ่านไม่ถูกต้อง ก็จะทา ให้การอ่านไม่ดีเท่าที่ควร 2. การอ่านในใจ เป็นการอ่านเพื่อเก็บใจความ และเพื่อทำความเข้าใจ เป็นการอ่านเพื่อแสวงหาความรู้ ความบันเทิงให้เกิดกบั ตนเอง ผู้อ่านจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ คำศัพท์ และสามารถเข้าใจเรื่องราวที่ได้อ่านโดย ตลอด และพอจะเก็บใจความได้ว่า เรื่องที่อ่านนั้น มีเนื้อหาเรื่องราวเป็นอย่างไร สรุปได้ว่าการอ่านมี2 ประเภท คือการอ่านออกเสียงและการอ่านในใจ มีความสำคัญต่อการอ่านอย่าง มาก การเลือกประเภทของการอ่านควรเลือกให้เหมาะสมและได้ประโยชน์ต้องพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ในการอ่าน เป็นสำคัญ 2.9 ทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน ทฤษฏีของ Ausubel ออซุเบล (Ausubel, David 1963 อ้างถึงใน สุรางค์ โค้วตระกูล, 2550 : 216-219) ได้อธิบายการเรียนรู้ที่ เรียกว่าการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (Meaningful Verbal Learning)โดยเฉพาะการเชื่อมโยงความรู้ที่ปรากฏใน หนังสือที่โรงเรียนใช้กับความรู้เดิมที่อยู่ในสมองของผู้เรียนในโครงสร้างสติปัญญา (Cognitive Structure) หรือการ
21 สอนโดยวิธีให้ข้อมูลข่าวสาร ด้วยถ้อยคำ ทฤษฏีของออซุเบล เน้นความสำคัญของการเรียนรู้อยา่ งมีความเขา้ใจ และมีความหมายการเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนได้รวม หรือเชื่อมโยง (Subsume) สิ่งที่เรียนรู้ใหม่ซึ่งอาจจะเป็น ความคิดรวบยอด (Concept) หรือความรู้ทีได้รับใหม่ในโครงสร้างทางสติปัญญา (Cognitive Structure) กับ ความรู้เดิมที่อยู่ในสมองของผู้เรียนแล้ว ทฤษฏีของออซุเบลบางครั้งเรียกวา่ “Subsumption Theory” ออซุเบล สนใจที่จะหากฎเกณฑ์และวิธีการสอนการเรียนรู้อยา่ งมีความหมายไม่วา่ จะเป็นโดยการรับหรือ ค้น พบ เพราะออซุเบลคิดว่าการเรียนรู้ในโรงเรียนส่วนมากเป็นการท่องจา โดยไม่คิดเขาได้อธิบายสิ่งที่เรียนรู้ว่า เป็นการเรียนรู้ที่ได้รับมาจากการที่ผู้สอนอธิบายสิ่งที่ต้องการจะให้นกัเรียนเรียนรู้ให้นักเรียนฟัง ซึ่งส่วนมากจะมา จากการเรียนวิชาต่าง ๆ จากโรงเรียน ซึ่ง Advance organizer เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมายจากการสอนหรือบรรยาย ของครูโดยการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างความรู้ที่มีมาก่อนกบัขอ้มูลใหม่ หรือความคิดรวบยอดใหม่ที่จะต้องเรียน จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายที่ไม่ต้องท่องจากหลักการทั่วไปที่นำมาใช้คือ การจัดเรียบเรียง ข้อมูลข่าวสารที่ต้องการให้ผู้เรียน เรียนรู้แบ่งออกเป็นหมวดหมู่หรือใช้หลักการกว้างๆ ก่อนที่นกัเรียนจะเรียน ความรู้ใหม่หรือแบ่งบทเรียนออกเป็นหัวขอ้ที่สำคัญ ๆ หากมีความคิดรวบยอดใหม่ที่สำคัญ เกี่ยวกบั หัวขอ้ที่จะ เรียนรู้ใหม่ก็ควรจะอธิบายให้ผู้เรียนทราบก่อนที่จะสอนหน่วยการเรียนใหม่นั้น ออซูเบลถือวา่ Advance Organizer มีความสำคัญมากเพราะเป็นวิธีการสร้างการเชื่อมช่องว่างระหว่างความรู้ที่ผู้เรียนได้รู้แล้ว (ความรู้เดิม) กับความรู้ใหม่ที่ได้รับที่จำเป็นจะต้องเรียนรู้เพื่อผู้เรียนจะได้มีความเข้าใจเนื้อหาใหม่ได้ดีและจดจำ ได้ดีขึ้น ฉะนั้น ผู้สอนควรจะใช้เทคนิค Advance Organizer ช่วยผู้เรียนในการเรียนรู้ทั้งประเภทการรับอย่างมีความหมายและ การค้นพบอย่างมีความหมาย ทฤษฏีของ Gagne กานเย (Gagne อ้างถึงใน ฉวีลักษณ์ บุญยะกาญจน, 2547 : 29 – 30) ได้สรุปพฤติกรรม การเรียนรู้ซึ่งเป็นแนวทางอนัจะนา ไปสู่การอ่าน 8ระดับคือ 1. Signal Learning อาการตอบสนองที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือโดยอัตโนมัติที่มิได้เรียนรู้มาก่อน 2. Stimulus Response Learning การเรียนรู้ของนกัเรียนเริ่มด้วยการเร้าและการตอบสนองกับเงื่อนไข เฉพาะ คือ ต้องการให้ผู้เรียนตอบสนองอย่างไรก็กำหนดเงื่อนไขในการเร้าให้เฉพาะเจาะจงไปเฉพาะเรื่อง 3. Motor Chaining คือการเรียนรู้ที่ต่อจากStimulus Response Learning คือมีการเร้าที่ต้องการให้ ตอบสนองเป็นอนุกรมติดต่อไป โดยเฉพาะในด้าน motor skills เช่น การขบัรถยนต์เริ่มต้นด้วยขั้นตอนต่าง ๆ จนกระทั่งขับรถได้ 4. Verbal Chaining เป็นการเรียนรู้ที่ตอบสนองด้วยคำพูดที่ติดต่อกันไป เช่น การเรียนเกี่ยวกับโคลง กลอน หรือเรื่องราวปะติดปะต่อกัน
22 5. Multiple Discrimination เป็นการเรียนรู้ขั้นขยายอนุมานของ Verbal Chaining เช่นสามารถจำแนก พืชพันธุ์โดยบอกชื่อต้น ไม่ได้อย่างถูกต้องหรือสามารถแยกรายละเอียดของเนื้อหาที่อ่าน โดยบอกถึงความสำคัญใน เนื้อเรื่องแต่ละตอนได้ถูกต้อง 6. Concept Formation หรือ Classifying คือ การเรียนรู้ที่เริ่มตน้ จากการที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าการ แยกความแตกต่างของสิ่งเร้าจนกระทั่งเกิดความคิดรวบยอด เช่น ในการเรียนภาษาเริ่มตั้งแต่คำ ที่ง่าย ๆ สามารถ จำแนกคำที่อ่านออกจากคำ อื่น ๆ จนกระทั่งเขา้ใจและเกิดความคิดรวบยอดในคำ นั้น ๆ 7. Principal formation หรือ Rule Using เป็นการเรียนรู้หลกัการต่างๆ ที่อาจจะโยงความสัมพันธ์ของ สิ่งที่เรียนรู้ระหว่างของตั้งแต่ 2 สิ่งขึ้นไปเป็นกฎหรือหลักการ 8. Problem Solving เป็นขั้นที่นำหลักการมาใช้ คือ ผู้เรียนต้องใช้ความคิดเพื่อให้ได้สิ่งใหม่ออกมา เช่น ในการตัดสินใจหรือการแก้ปัญหา พฤติกรรมการแก้ปัญหานั้น Gagne ถือเป็นพฤติกรรมสูงสุดในการเรียนรู้ขั้น ต่างๆ ของการเรียนรู้ ทฤษฏีของ Bloom บลูม (Bloom อ้างถึงใน ฉวีลักษณ์ บุญยะกาญจน,2547: 31 –32) ได้กำหนดพฤติกรรมไว้ในรูปของ Taxonomy แยกเป็น 3 domain ที่สามารถนา มาใช้ในการอ่านได้เป็นอย่างดีดังนี้ 1. ด้านสติปัญญา (Cognitive Domains) เป็นพฤติกรรมในดา้นกิจกรรมของสมองจำแนกได้เป็นส่วนย่อย 6 ระดับ คือ 1.1 ความรู้ คือรู้ในข้อเท็จจริงต่าง ๆ รู้สิ่งที่เฉพาะ แนวทาง เงื่อนไข แนวโน้มโครงการ หลักการ และ กระบวนการ 1.2 ความเข้าใจ คือ ความสามารถในการแปลความ ตีความ โยงความสัมพันธ์ อธิบายแนะนำบอก แนวโน้มได้ 1.3 การประยุกต์เป็นความสามารถที่นำหลักการต่าง ๆ มาใช้ได้ถูกต้อง คือแก้ปัญหาได้สรุปความคิด รวบยอดได้ 1.4 วิเคราะห์สามารถจำแนกจากส่วนรวมมาเป็นส่วนย่อยได้พิจารณาเหตุผลหาความสัมพันธ์ของ ส่วนย่อยต่าง ๆ นั้นได้และมองเห็นโครงสร้างของส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นส่วนใหญ่ 1.5 สังเคราะห์ ความสามารถในการรวบรวมประเด็นยอ่ ยต่าง ๆ ส่วนย่อยอาจมาจากแหล่งต่าง ๆกัน เมื่อสังเคราะห์แล้วจะเป็นรูปแบบหรือโครงสร้างใหม่ การสังเคราะห์เป็นพฤติกรรมเกี่ยวกับความคิดริเริ่ม แต่อาจไม่ เป็นความคิดที่เสรีทั้งหมด เพราะมีขอบเขตจำกัดของปัญหา หรือขอบข่ายของงาน 1.6 การประเมินผลเป็นความสามารถในการตดัสินคุณค่าเกณฑ์การตดัสินอาจขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ภายในหรือภายนอกตัวบุคคลแล้วแต่จุดหมายปลายทางที่ต้องการ
23 2. ด้านเจตคติ (Affective Domains) เป็นพฤติกรรมในด้านความรู้สึก อารมณ์ ทัศนคติที่เป็นผลมาจาก การเรียนรู้แยกได้ดังนี้ 2.1 การยอมรับ เป็นความรู้สึกที่มีต่อสิ่งเร้า เช่น พอใจในสิ่งที่เรียน ความเต็มใจที่จะร่วมกิจกรรม มี ความรู้สึกชื่นชม มีความเชื่อและเห็นคุณค่า 2.2 การตอบสนองคือการมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้า เช่น พอใจในสิ่งที่เรียน ความเต็มใจที่จะร่วมกิจกรรม มี ความรู้สึกชื่นชม มีความเชื่อและเห็นคุณค่า 2.3 การรวบรวม จากการที่พอใจหรือยอมรับ หรือมีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งที่จะเรียนจะเกิดความคิดรวบ ยอดเฉพาะตน สามารถรวบรวม จัดระบบซึ่งตรงกับอุดมคติหรือความต้องการของตนคุณลักษณะเฉพาะตัว เมื่อ เกิดความพอใจในการเรียนจะยอมรับเอามาเป็นความคิด ความเชื่อ ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล 3. ด้านทักษะ (Psychomotor Domains) เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกที่เห็นได้จากการกระทำ เช่น การ รับรู้การเลียนแบบ และสามารถริเริ่มกระทำด้วยตัวเองหรือเกิดแนวคิดใหม่ปฏิบัติพลิกแพลงไปจากหลกัการเดิม เมื่อได้ทราบถึงพฤติกรรมต่าง ๆในการเรียนรู้ดั้งนั้นในการอ่านจึงต้องตั้งวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral or Objectives) เพราะเป็นวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและรัดกุม สามารถระบุสิ่งที่ต้องการจะประเมินการกระทำของ ผู้เรียนได้เช่นต้องการให้ผู้อ่านทำขนมเค้กเป็น แต่เมื่อผู้อ่านอ่านหนังสือวิธีทำขนมต่าง ๆ และหลงัจากการอ่านแล้ว ผู้อ่านสามารถทำขนมเค้กได้นั่น หมายความว่าบรรลุวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ทฤษฏีการอ่าน ทฤษฎีการอ่านเป็นข้อ สรุปเกี่ยวกับการอ่าน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดรูปแบบการอ่าน แต่ละ ทฤษฎีมีรายละเอียด (สุนันทา มั่นเศรษฐวทิย,์2545 :58–62) ทฤษฎีเน้นความสัมพันธ์ของข้อความทฤษฎีเน้นความสัมพันธ์ของข้อความ เป็นทฤษฎีเน้นใจความสำคัญ ของสารเป็นหลักในข้อความหนึ่งๆ จะมีใจความสำคัญ เมื่อผู้อ่านอ่านสารแล้วจะนำใจความรวมกันโดยให้ต่อเนื่อง แล้วทำความเขา้ใจใจความเหล่านั้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทฤษฎีนี้ยังแยกออกไปตามแนวคิดของนักการศึกษา ดังนี้ ทฤษฎีของทาบาสโซ (Trabasso) ไดก้ล่าววา่ การอ่านเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์ กัน 2 ประการคือผู้อ่านรับรู้สาร ต่อจากนั้นทำการเปรียบเทียบโดยอาศัยประสบการณ์เดิม ทฤษฎีนี้ได้เน้นว่าระดับ การอ่านของผู้อ่านจะไม่คงที่ในขณะที่อ่านข้อความผู้อ่านจะควบคุมเพียงโครงสร้างผิวเผินจนกว่าสารที่รับรู้จะรับ การเปรียบเทียบ เช่น เมื่อเด็กอ่านประโยค“ฉันเห็นลูกบอลสีแดง” เมื่ออ่านเสร็จแล้วหากยงัไม่มีประสบการณ์ก่อน ว่าสีแดงเป็นอย่างไรก็จำเป็นต้องอาศัยผู้รู้แนะนำช่วยตัดสิน เมื่อเด็กพบสิ่งที่มีสีแดงก็จะใช้ประสบการณ์ที่เคยมีมา ก่อนพิจารณาตัดสินได้ดังนั้น ลำดับขั้นตอนของการอ่านตามพื้นฐานทฤษฎีนี้จึงแบ่งเป็น 3 ขั้น ก. การรับสารโดยใช้สายตารับรู้
24 ข. การใช้ประสบการณ์เดิม ความจริงและภาพ ทา การเปรียบเทียบกับสารที่ได้รับว่าแตกต่างไปจาก ประสบการณ์เดิมหรือไม่ถา้เป็นเรื่องที่ไม่รู้จักผู้อ่านจะอ่านทบทวน 2 –3 ครั้งจนกว่าจะตัดสินใจวา่อะไรคือคำตอบ ที่แท้จริง ค. คำตอบที่ได้จากการเปรียบเทียบกบั ประสบการณ์เดิมหรือโดยอาศัยความรู้จากแหล่งอื่นมาช่วยตัดสิน นั้นถือว่าเป็นความรู้ใหม่ที่ได้จากการอ่าน ทฤษฎีของ เชส และคาร์ค (Chase, Clark) เป็นทฤษฎีที่เน้นถึงความสัมพันธ์ของใจความที่อ่านกับ ประสบการณ์เดิม ก. ผู้อ่านจะรับสารแล้วทำการเปรียบเทียบกับประสบการณ์ของจริงและภาพ ถ้าไม่ตรงกับขอ้มูลดังกล่าว หรือยงัไม่แน่ใจก็ใช้วิธีการอ่านซ้ำข้อความนั้น ข. สารที่ให้ความรู้สึกในทางลบ จะใช้เวลาในการรับรู้ไวและนาน หมายความว่า เมื่อรับรู้แล้วจะเก็บไว้นาน กว่าสารให้ความรู้สึกทางบวก ซึ่งระยะเวลาในการเก็บจะสั้นกว่าหรืออาจลืมได้เร็วกว่าสารที่ให้ความรู้สึกทางลบ เช่น มาลีเป็นเด็กดีเธอจึงได้รับคา ชมเชยจากครู(บวก) นิดไม่ทำการบ้าน จึงถูกอาจารย์ตี 3 ที (ลบ) ค. ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปร่างลักษณะและความหมายของคา จะได้รับการบันทึกไว้ในสมอง ทฤษฎีของ ลูเมลฮาร์ท (Rumelhart) ได้กล่าวถึงการอ่านว่าเป็นกระบวนการที่ทำงานคล้ายกับเครื่อง คอมพิวเตอร์มีความซับซ้อน แต่ละขั้นตอนจะมีความสัมพันธ์กันถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะทำให้การอ่านไม่ สมบูรณ์ ผู้อ่านจะเริ่มต้นด้วยการอ่านสารโดยพิจารณารูปร่างของคำ ที่รู้จกัเพื่อทำความเข้าใจความหมาย ต่อจากนั้นจึงทำ การเปรียบเทียบความหมายของคำกับความรู้เดิมที่มีอยู่เพื่อเป็นการพิสูจน์หาขอ้เท็จจริงโดยผู้อ่าน จำต้องมีความรู้เกี่ยวกับ หนา้ที่ของคำความหมายการสะกาดคำและชนิดของคำองค์ประกอบเหล่านี้จะช่วยให ผู้อ่านสามารถแปลความของสารได้หลักสำคัญของทฤษฎีมีอยู่ 4 ประการ คือ ก. การที่ผู้อ่านจะรับรู้วา่คำนั้น เป็นคำชนิดใด ต้องสังเกตหนา้ที่ของคำ ที่อยู่ใกล้เคียงในประโยคเดียวกนั หรือในขอ้ความใกล้เคียงกันว่าคำนั้นทำหนา้ที่อย่างไร ข. การที่ผู้อ่านจะรับรู้ความหมายของคำขึ้นอยู่กับความเข้าใจความหมายของคำใกล้เคียงอาจเป็นคำ ที่มา ก่อนหรือมาหลังก็ได้จะเป็นแนวทางชี้แนะให้ผู้อ่านเขา้ใจความหมายของคำใหม่ได้เร็วขึ้น ค. การที่ผู้อ่านจะรับรู้หน้าที่ของคำนั้นขึ้นอยู่กับความเข้าใจของผู้อ่านเกี่ยวกับหน้าที่ของคำอื่นที่มาก่อน หรือมาหลงัคำ ใหม่จะเป็นแนวทางช่วยชี้แนะหน้าที่ของคำ ใหม่ให้ผู้อ่านเข้าใจ ง. การที่ผู้อ่านจะแปลความหมายของคา ขึ้นอยู่กับการชี้แนะของคำ บางคำจะเห็นได้ว่าทฤษฎีเหล่านี้เน้น ความสัมพันธ์ของคำ ประโยคและข้อความผู้อ่านจะต้องรู้จักความหมายของคำชนิด/หนา้ที่รูปร่างและสะกดได้จะ
25 ช่วยให้เขา้ใจความหมายของเรื่องราวทั้งหมด นักการศึกษาได้ชี้ให้เห็นการทำงานของกระบวนการอ่านซึ่งคล้ายกบั ระบบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์แท้จริงเป็นการแยกให้เห็นว่าสมองต้องมีความรู้ในเรื่องอะไรบ้างเป็นการ ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสารกับสมองของผู้อ่านนั่นเอง ทฤษฎีเน้นการวิเคราะห์ข้อความเป็นทฤษฎีที่เน้นความสำคัญขององค์ประกอบย่อยของประโยคได้แก่ ประธาน กริยากรรม และส่วนขยาย นอกจากนั้นต้องรู้จักคำ ชนิดต่าง ๆ เช่น คำ นาม สรรพนาม กริยา ฯลฯ การ เขา้ใจหนา้ที่และความหมายที่แท้จริงจะช่วยให้เขา้ใจความหมายของขอ้ความหรือเรื่องที่อ่านผู้สนับสนุนทฤษฎีนี้ ได้แก่ ดาเวส (Dawes)และ เฟดเดอริเคน (Frederiken) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ทฤษฎีของ ดาเวส (Dawes) ได้กล่าวว่า ข้อความหรือเรื่องราวที่ได้รับการแก้ไขปรับปรุงประโยคให้มี ความเกี่ยวข้องอันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนเป็นที่เขา้ใจของผู้อ่านในลกัษณะเช่นนี้ถือว่ามีความสัมพันธ์เป็นบวก ความสัมพันธ์ในที่นี้คือความเกี่ยวข้องของความหมายในแต่ละประโยคนั่นเองแม้บางครั้งประโยคแต่ละประโยค ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กัน หากผู้อ่านพยายามดึงความหมายให้มาเกี่ยวขอ้งกนัก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ของ ประโยคได้เช่น ประโยคที่ 1 ผู้ชายทุกคนสวมกางเกงสีน้ำเงิน ประโยคที่ 2 ผู้หญิงบางคนสวมกางเกงสีน้ำเงิน จากทั้งสองประโยคทำให้ผู้อ่านรู้ว่าในกลุ่มคนที่ผู้เขียนกล่าวนี้มีผู้ชายกับผู้หญิงและผู้ชายทุกคน ที่อยู่ใน กลุ่มนี้สวมกางเกงสีน้ำเงิน ในขณะเดียวกันมีผู้หญิงบางคนที่อยู่ในกลุ่มนี้สวมกางเกงสีน้ำเงิน ดังนั้น ประโยคที่1 จึง เป็นประโยคนำให้กับประโยคที่ 2 และอาจกล่าวได้ว่า ประโยคที่ 2 เป็นประโยคสรุปผู้อ่านจะรู้วา่ความหมายที่ คล้ายคลึงกันของประโยคที่1 และที่ 2 คือ การที่ผู้ชายและผู้หญิงสวมกางเกงสีน้ำเงินส่วนข้อต่างกนัคือผชู้ายทุกคน กับผู้หญิงบางคนสวมกางเกงสีน้ำเงิน Dawesเชื่อว่าผู้อ่านจะเห็นข้อต่างและคล้ายกนัของความหมายในประโยคที่ อ่าน คือการที่ประโยคเหล่านี้มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกนั่นเองสำหรับประโยคที่มิได้รับการปรับปรุงแก้ไขผู้อ่านอ่าน แล้วไม่สามารถจะแยกได้ว่าอะไรเหมือนกันและต่างกันข้อความที่มีลกัษณะเช่นนี้ถือว่า มีความสัมพันธ์ในเชิงลบ ทฤษฎีของ เฟดเดอริ เคน (Frederiken) ทฤษฎีนี้ได้นำโครงสร้างทางภาษาเป็นแกนสำหรับสร้างความ เข้าใจหน้าที่ของคำ การนำถ้อยคำมาเชื่อมโยง โดยอาศัยวิธีการทางหลักภาษาซึ่งโครงสร้างของประโยคจะ ประกอบด้วย ประธาน กริยากรรม และส่วนขยายเช่น ถ้าผู้อ่านเขา้ใจโครงสร้างทางหลกั ภาษาก็จะเข้าใจ ความหมายของประโยค ทฤษฎีนี้ยังได้กล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญของเรื่องที่ผู้อ่านมักจะพบเป็นส่วนมากมีดังนี้ 5.1 แนวคิดของเรื่องที่อ่านเป็นแนวคิดรวมตลอดเนื้อเรื่อง 5.2 แนวคิดย่อย ๆ ของเนื้อเรื่องที่จะมีความสัมพันธ์กันและเมื่อนำมารวมกันแล้วก็สามารถสรุปรวมเป็น แนวคิดของเนื้อเรื่องทั้งหมดได้
26 5.3 ข้อเสนอแนะที่ผู้เขียนไดก้ล่าวไว้ในท้ายบท 5.4 บทสรุปผลรวมของแนวคิดแต่ละบท หากเนื้อเรื่องมีหลายตอน เพื่อมิให้ผู้อ่านสับสนผู้เขียนจึงมักมี บทสรุปไว้ตอนท้ายของบทด้วย นอกจากนั้น เฟดเดอริเคน (Frederiken) ยังไดก้ล่าวต่อไปวา่การอ่านเป็นกระบวนการที่คล้ายกับ โปรแกรมของเครื่องคิดเลขเมื่อใส่สารเขา้ไปในโปรแกรมแล้ว จำเป็นต้องได้รับการพิสูจน์จากผู้อ่านว่าถูกต้องหรือไม่ ทั้งนี้โดยใช้ประสบการณ์เดิมของผู้อ่านมาเปรียบเทียบ หรือตัดสิน เมื่อได้รับการพิสูจน์แล้วจึงทำการเปลี่ยนแปลง แก้ไขด้วยการเก็บส่วนที่เป็นความรู้ไว้ในสมอง ส่วนที่ไม่จำเป็นก็ทิ้งไปความรู้ที่เก็บไว้นั้นจะได้รับการนำมาใช้เมื่อถึง เวลาจำเป็น จากการศึกษาทฤษฎีการอ่านสรุปได้ว่าทฤษฎีการอ่านแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือกลุ่มที่เน้นความสัมพันธ์ ของขอ้ความซึ่งจะเน้นใจความสำคัญ ของสารเป็นหลักและกลุ่มที่เน้นการวิเคราะห์ข้อความเป็นกลุ่มที่เน้น ความสำคัญขององค์ประกอบย่อยในประโยค 2.10 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความหมายของอารมณ์ เจ ซี และ แมคเบอร์นีย์ (Mcburney, 2003: 121-142) กล่าวว่า อารมณ์ หมายถึงประสบการณ์เกี่ยวกับ ความรู้สำนึกและอัตวิสัยที่ถูกกำหนดลักษณะเฉพาะโดยการแสดงออกเชิงอารมณ์ สภาพจิตใจอารมณ์มักเกี่ยวข้อง และมีอิทธิพลกับพื้นอารมณ์แต่กำเนิด นิสัย บุคลิกภาพและแรงจูงใจ เหมือนที่ได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมนและสาร สื่อประสาท เช่น โดพามีน นอราดรีนาลีนอารมณ์ยังเป็นพลังผลักดันเบื้องหลังของพฤติกรรมทั้งเชิงบวกหรือเชิงลบ อารมณ์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการกระตุ้นของระบบประสาท โดยแสดงออกมาทางร่างกาย เช่น หายใจเร็ว เหงื่อ ท่วมตัว กล้ามเนื้อหดเกร็ง ชีพจรเต้นเร็ว จิราภรณ์ ตั้งกิตติภาภรณ์ (2556: 163-164) ได้อธิบายความหมายของ อารมณ์(Emotion) ว่ามาจาก ภาษาละตินว่า Emovere โดย E แปลว่า Out ส่วน Movere แปลว่า เคลื่อนดังนั้นความหมายในภาษาไทยของคำ ว่า Emotion จึงหมายถึง เคลื่อนออก ตื่นเต้น หรือปั่นป่วนโดยได้อธิบายเพิ่มเติมว่าสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดอารมณ์นั้น แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1. สิ่งเร้าภายนอก(External Stimulus) ได้แก่ สิ่งที่อยู่นอกตัวเรา สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาท สัมผัสทั้ง 5 เช่น การชมเชย การสูญเสีย 2. สิ่งเร้าภายใน (Internal Stimulus) ได้แก่ ความปรารถนาความ ต้องการความสนใจ ประสบการณ์ ความทรงจ า คนึงนุช สิงห์นนท์ (2555: 8) กล่าวว่า อารมณ์ หมายถึงสภาวะจิตใจที่มีสิ่งเร้ามากระตุ้น เป็นปัจจัยให้ บุคคลแสดงพฤติกรรมที่เกิดจากการรับรู้ ตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้นทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งมีระดับความรุนแรง แตกต่างกัน
27 พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ (2551: 75) กล่าวว่า อารมณ์ คือ สภาพความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและ จิตใจ อันเป็นผลมาจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและอินทรีย์ เกิดการโต้ตอบต่อสิ่งนั้นไปตามสถานการณ์ โดย ผลที่มาจากการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมนั้นก่อให้ เกิดกระบวนการรับรู้ส่งผ่านระบบประสาทรับสัมผัสซึ่งอาจมี เรื่องของฮอร์โมนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยสัมผัสรับรู้นี้มักผ่านกระบวนการรู้คิดซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมที่เกิดตามมา จากความหมายของอารมณ์ข้างต้นสรุปได้ว่า อารมณ์ หมายถึง สภาวะทางจิตใจที่เกิดจากประสบการณ์ ความรู้ สึกส่วนบุคคล ก่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างสิ่งเร้าและกับอินทรีย์ส่งผลให้เกิดการโต้ตอบต่อความรู้ สึกที่หวั่นไหวนั้นออกมาในรูปแบบพฤติกรรมที่มีความเข้มข้นแตกต่างกันไป ประเภทของอารมณ์ จิราภรณ์ ตั้งกิตติภาภรณ์ (2556: 175-179) อธิบายเกี่ยวกับประเภทของอารมณ์ไว้ดังนี้ ความกลัว (Fear) เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อรู้ สึกว่าตนเองไม่ได้รับความปลอดภัยหรือชีวิตกำลังถูกคุกคาม อาจเกิดจากเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีมาก่อน ความกลัวจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดพฤติกรรมหลีกหนี ไม่กล้าเผชิญสิ่ง นั้น หากเป็นความกลัวที่เกิดขึ้นมากเกินกว่าเหตุหรือไม่สมเหตุสมผล จะเรียกว่า Phobiaเช่น กลัวเชื้อโรค กลัว ความสูง ความวิตกกังวล (Anxiety) เป็นอารมณ์ ไม่สบายใจ กระวนกระวายใจ เฟรเดอริค เอส เพิร์ล (Frederick S. Perls) นักจิตวิทยาชาวอเมริกันกล่าวว่า ความวิตกกังวลเป็นเพียงช่องว่างระหว่างเวลา เมื่อใดที่เราไม่สนใจ ปัจจุบัน ครุ่นคิดถึงแต่อนาคต เมื่อนั้นจะรู้ สึกวิตกกังวล อารมณ์ประเภทนี้พบได้น้อยในทารกและเด็กเล็ก ความ วิตกกังวลเชิงจิตวิทยาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ความวิตกกังวลที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ (State Anxiety or Situational Anxiety) จะเกิดกับบุคคลในบาง สถานการณ์เท่านั้น หากบุคคลสามารถเรียนรู้ รู้จักวิธีหลีกเลี่ยงสถานการณ์นั้น ก็จะพ้นจากภาวะอารมณ์นี้ได้ ความวิตกกังวลที่เป็นลักษณะนิสัยประจ าตัวของบุคคล (Trait Anxietyor General Anxiety) จะเกิดกับ บุคคลในสถานการณ์ทั่วไปทุกสถานการณ์ ระดับความเข้มมักจะต่างแต่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจน กลายเป็นลักษณะประจำตัวของบุคคล จัดเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพ ความรัก (Affection) เป็นอารมณ์ที่มีคุณค่ามากที่สุด ก่อให้เกิดการปรับตัวที่ดีในทุกด้าน ทำให้เกิด ความสุขใจ ชื่นใจ เป็นมิตรต่อกัน เอื้อให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อสิ่งเร้านั้น ความร่าเริงสนุกสนาน (Joy) เป็นอารมณ์ที่บ่งบอกถึงการมีสุขภาพจิตดีอารมณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อบุคคลได้รับ การตอบสนองในสิ่งที่ต้องการ มักแสดงออกในรูปแบบการหัวเราะกระโดดโลดเต้น กอด เอื้อให้บุคคลมองโลกในแง่ ดีและเกิดกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆ
28 ความอิจฉา (Jealousy) เกิดขึ้นเมื่อมีความรู้สึกด้อย ท าให้เกิดการครุ่นคิดแต่เรื่องเดิม ทำให้ไม่มีความสุข โดยธรรมชาติแล้วเด็กวัย 18 เดือน ถึง 42 เดือน จะเกิดความอิจฉาระหว่างพี่น้อง เป็นวัยที่ต้องการความรัก ความ เอาใจใส่จากพ่อแม่ ขณะเดียวกันวัยผู้ใหญ่ที่มีอารมณ์อิจฉาพบว่ามักเป็นคนที่มีอารมณ์เหมือนครั้งวัยเด็ก มี พัฒนาการทางอารมณ์ช้ากว่าปกติหรือ ไม่มีวุฒภาวะทางอารมณ์ (Immature) คนประเภทนี้มักขาดความภูมิใจใน ตนเอง ขาดความมั่นใจและรู้สึกด้อยกว่าผู้อื่น ความเศร้า (Depression) เป็นอารมณ์เกิดจากความล้มเหลว ผิดหวังหรือสูญเสียในชีวิต มักแสดงออกโดย การไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งรอบตัว ไม่ยอมพูด แสดงออกทางร่างกาย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ มีอาการปวด ท้อง ความโกรธ (Anger) คนที่มีอารมณ์ โกรธมักแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวที่ปราศจากเหตุผลออกมา สถานการณ์ “คับข้องใจ” (Frustration) ทำให้คนเกิดอารมณ์โกรธ ซึ่งความคับข้องใจนี้เกิดเมื่อพฤติกรรมที่ แสดงออกของเราเพื่อมุ่งสู่จุดหมายที่วางไว้ถูกขัดขวางหรือถูกทำให้ช้าลง เช่น ถูกบังคับให้ ทำในสิ่งที่ไม่ปรารถนา ซัลลิแวน (Sullivan) นักจิตวิทยาชาวอเมริกันให้ความเห็นว่า พฤติกรรมก้าวร้าวมีผลจากความวิตกกังวลที่สะสมจน ระเบิดอารมณ์โกรธออกมา แต่ละคนมีวิธีแสดงออกที่ต่างกันขึ้นอยู่กับประสบการณ์การเรียนรู้ในอดีต วัย สถานการณ์ขณะนั้นและวัฒนธรรม จะเห็นว่าเด็กในวัยเรียนจะแสดงอารมณ์โกรธออกมาในรูปของการร้องไห้ หน้าตาบูดบึ้ง ทำลายสิ่งของกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่จะแสดงพฤติกรรมทางอารมณ์ที่ซับซ้อนขึ้น มีการใช้คำพูดร่วม ด้วย เช่นพูดจาเสียดสี นินทา ตะคอก พร้อมกับมีอาการกล้ามเนื้อเกร็ง เลือดสูบฉีดแรง มีการกลั่นกรองการ แสดงออกมากกว่าวัยเด็ก สังคมสอนให้รู้จักการสะกดกลั้นปฏิกิริยาที่เป็นไปตามธรรมชาติ และแสดงออกมาใน รูปแบบที่สังคมยอมรับ ความขัดแย้ง (Conflict) เมื่อบุคคลตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจเลือกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เป็น ความรู้สึกไม่สบายใจจากประเภทของอารมณ์ข้างต้นสรุปได้ว่า ประเภทของอารมณ์ สมารถแบ่งออกเป็น8 ประเภท โดยสามารถแย่งออกเป็นสองด้านหลักๆคือ ประเภทของอารมณ์ที่สร้างความสุข ได้แก่ความรัก ความร่าเริง สนุกสนาน และ ประเภทของอารมณ์ที่ส่งผลทางลบต่อสภาพจิตใจ ได้แก่ความกลัว ความวิตกกังวล ความอิจฉา ความเศร้ า ความโกรธ และความขัดแย้ง หากสามารถพิจารณาประเภทของอารมณ์ได้ดังนี้แล้ว การจัดการอารมณ์ ของแต่ละบุคคลจะเกิดการพัฒนามากขึ้นเพราะเกิดความเข้าใจต่ออารมณ์ตนเอง ทฤษฎีของชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ (2553: 79) อ้างถึงทฤษฎีของดาร์วินว่า พฤติกรรมของมนุษย์เป็นผลของ วิวัฒนาการที่สืบต่อกันมายาวนาน เขาได้ ทดลองและพิสูจน์ทฤษฎีวิวัฒนาการด้านอารมณ์โดยศึกษาการแสดงออก ของคนและสัตว์ ได้เสนอกฎการเกิดอารมณ์ไว้ 3 ข้อ คือ 1. กฎนิสัยสัมพันธ์ การแยกเขี้ยวแสดงออกถึงอารมณ์ โกรธ ริมฝีปากจะยื่นเมื่อถ่มสิ่งที่น่ารังเกียจออกจากปาก ดังนั้นการทำปากยื่นย่อมแสดงอารมณ์ขยะแขยง
29 2. กฎแห่งการขัดกัน การงอตัวเป็นท่าเตรียมสู้ ส่วนการนอนเหยียดแขนขาเป็นการแสดงความเป็นมิตร ขณะเดียวกัน คนจะยื่นมือออกไปสัมผัสเพื่อแสดงความยินดี และมีท่างอแขนเป็นการเตรียมส่งหมัด 3. กฎแห่ง ระบบประสาท อาการงอโก่งหรือบิดเบี้ยวเป็นเพราะความเจ็บปวดเป็นปฏิกิริยาโดยตรงของประสาทเครียดที่แผ่ไป ทั่วร่างกายเมื่อเกิดอารมณ์ขึ้น ทฤษฎีของเจมส์-แลง (James - Lange) พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ (2553: 79) อธิบายว่า นักจิตวิทยาสองคนสมัยต้นศตวรรษที่ 19 ที่ศึกษาการ เกิดอารมณ์ ของมนุษย์ ได้ แก่ วิลเลียม เจมส์ (William James)นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน และ คาร์ล แลง (Charle Lange) นักสรีรวิทยาชาวเดนมาร์ก มีแนวคิดว่าอารมณ์เป็นผลต่อเนื่องของการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย แต่ อารมณ์ไม่ได้เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลง หมายความว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระก่อน แล้วจึงค่อยเกิด อารมณ์ตามมาสอดคล้องกับ จุฑามาศ แหนจอน (2561: 9) กล่าวถึงทฤษฎีนี้ว่า อารมณ์เกิดจากการเปลี่ยนแปลง ของสรีระและพฤติกรรมของอินทรีย์ที่ได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้า และจิราภรณ์ ตั้งกิตติภาภรณ์(2556: 164) ยังได้ อธิบายว่า ทฤษฎีนี้เชื่อว่าประสบการณ์ทางอารมณ์ส่วนใหญ่เป็นผลจากประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ทฤษฎีของแคนนอน-บาร์ด (Cannon – Bard) จุฑามาศ แหนจอน (2561: 10) กล่าวว่า บาร์ดนักสรีรวิทยาชาวอเมริกันผู้ศึกษาเกี่ยวกับสมองส่วนทา ลามัสมีแนวคิดสอดคล้องกับแคนนอนที่ว่า สมองมีศูนย์กลางเฉพาะทำหน้าที่เกี่ยวกับกระบวนการทางอารมณ์อยู่ที่ ทาลามัสซึ่งทำให้เกิดการตอบสนองทางร่างกายแบะอารมณ์ในเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน กล่าวคือเมื่ออินทรีย์ รับรู้ต่อสิ่งเร้า กระแสประสาทจะถูกส่งตรงไปยังทาลามัส อีกส่วนหนึ่งจะแยกไปสู่กล้ามเนื้อและอวัยวะภายใน ร่างกายซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆพร้อมกัน อีกทั้ง จิราภรณ์ ตั้งกิตติภาภรณ์ (2556: 165) ได้ อธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีอีกว่า ค.ศ.1972 วอลเตอร์ แคนนอน (Walter Cannon) และฟิลลิพ บาร์ด (Philip Bard) มี แนวคิดว่า มนุษย์เกิดอารมณ์ก่อนจึงแสดงปฏิกิริยาทางร่างกาย เช่น การเต้นของหัวใจการไหลของเหงื่อ ดังนั้น อารมณ์จึงเป็นผลของการรับรู้การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เรียกทฤษฎีนี้ว่า ทฤษฎีศูนย์ประสาท (Central Neural Theory) กล่าวคือ เมื่อร่างกายได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้า กระแสประสาทรับสัมผัสจะถูกส่งไปยังศูนย์ประสาททา รามัส (Thalamus) ก่อนถูกส่งไปยังสมองส่วนผิว (Cerebral Cortex) เพื่อแปลความหมายของอาการสัมผัสให้เป็น การรับรู้ทางอารมณ์ต่างๆ ขณะเดียวกันกระแสประสาทจากศูนย์ประสาททารามัสจะถูกส่งไปยังระบบประสาทอัต บาลซึ่งควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อเรียบของอวัยวะภายในและต่อมต่างๆทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ ขึ้น
30 ทฤษฎีของลาซารัส (Lazarus) จิราภรณ์ ตั้งกิตติภาภรณ์ (2556: 165-166) อธิบายว่า ค.ศ. 1960 ริชาร์ด ลาซารัส (Richard Lazarus) ได้ตั้งทฤษฎีความเกี่ยวพันระหว่างการรู้คิดและแรงจูงใจของอารมณ์โดยมีพื้นฐานความเชื่อว่า อารมณ์ เป็นผลจากการประเมินทางการรู้ คิด (Cognitive Appraisal)อารมณ์เกิดจากความตั้งใจ ดังนั้น การรู้คิด การ ตัดสินใจ การประเมิน จึงมีความสำคัญต่อการเกิดอารมณ์ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 1. การประเมินการรู้คิด (Cognitive Appraisal) บุคคลจะใช้ระบบการรู้คิดมาประเมินสถานการณ์ เช่น ประเมินว่างูเป็นสัตว์อันตราย 2. การ เปลี่ยนแปลงทางสรีระ(Physiological Changes) ความเลวร้ายของสถานการณ์จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางสรีระร่างกาย เช่น หัวใจเต้นเร็วและแรง 3. การกระทำ (Action) การเลือกแสดงออกตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น การวิ่งหนีพร้อมการกรีดร้อง จากแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับอารมณ์ ข้างต้นสรุปได้ ว่า อารมณ์ ที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับการ แสดงออกทางสรีระร่างกาย โดยมีกระบวนการทางความคิดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย การแสดงออกทางอารมณ์ต่างๆ นั้น ขึ้นอยู่กับการแปลความหมายต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้น หากเกิดการกระตุ้นในระดับที่เข้มข้น การแสดงออกทาง ร่างกายจะเข้มข้นตามไปด้วย 2.11 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยในประเทศ สมชาย หอมยก(2550 : 38) ได้ศึกษาความสำคัญของการอ่านว่าอยู่ที่ผู้อ่านมีความสามารถหรือไม่ในด้าน ต่าง ๆ การอ่านช่วยพัฒนาความคิด และจิตใจ การอ่านมากจะทำให้รู้จักนำความรู้ความคิด ประสบการณ์จากการ อ่านมาพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้เป็นอยางดี การอ่านเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมความรู้ และ ความเข้าใจระหว่างมนุษย์ทุกชาติทุกภาษา ความสำคัญของการอ่านมีดังนี้ 1. การอ่านช่วยเพิ่มเติมความรู้ ความคิด และประสบการณ์ ทำให้มีความงอกงามทั้ง สติปัญญา อารมณ์ เป็นการพัฒนาจิตใจได้เป็นอยางดี 2. การอ่านช่วยส่งเสริมวิจารณญาณในการรับสาร 3. สามารถติดตามความเคลื่อนไหว และการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ของสังคมโลกได้ 4. ช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดได้รับความเพลิดเพลิน 5. ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพ การอ่านมากทำให้มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล การที่เรารู้จักรับ ข้อคิดเห็นจากผู้อื่นจะทำให้เรากลายเป็นผู้ที่มีเสน่ห์ คนรอบ ๆ ข้างก็อยากอยู่ใกล้ๆ ทิพย์วิมล พัวเจริญสิน (2552 : 17) ได้ศึกษาความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ปัจจุบันเนื่องจาก การอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ ทำให้บุคคลได้รับการพัฒนาทั้งทางด้าน
31 สติปัญญา ความสามารถ ตลอดจนคุณธรรมจริยธรรมต่าง ๆ เมื่อบุคคลมีความเขา้ใจในเรื่องที่อ่านอย่างแท้จริงยอ่ มสามารถนา ความรู้ความคิดไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและสังคมได้เป็นอย่างดีซึ่งจะส่งผลให้นกัเรียนเกิด เจตคติที่ดีต่อการอ่านและมีนิสัยรักการอ่าน มณฑาทิพย์อตัตปัญโญ (2542 : บทคัดย่ออ้างถึงในวิไลวรรณ ถินจะนะ, 2551 : 55) ได้ศึกษาการใช้ เกมพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคาภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตแห่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตกาแพงแสน จังหวัดนครปฐมัผลการศึกษาพบวาผลสัมฤทธ์ทางการเขียนสะกด คาก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มที่มีความสามารถทางภาษาไทยสูงปานกลางและต่ำแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 วราภรณ์ เหลี่ยมไธสง (2542 : บทคัดย่ออ้างถึงในวิไลวรรณ ถินจะนะ, 2551 : 55) ได้ศึกษาเปรียบเทียบ ทักษะการอ่านและเขียนในการสะกดคำยากภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างการสอนโดยใช้เกมและใช้ แบบฝึกทักษะผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่เรียนโดยใช้เกมมีทักษะการอ่านและเขียนในการสะกดคำยาก ภาษาไทยชั้นประถมศึกษา 2 หลังเรียนมากกว่านักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ 2) นักเรียนที่เรียนโดยใช้เกม และนักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะมีคะแนนเฉลี่ยการอ่านและการเขียนสะกดคำยากหลังเรียนเพิ่มขึ้นจาก ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนที่งสองกลมุมีทักษะดังกล่าวก่อนเรียนไมแตกต่างกัน 3) นักเรียนที่เรียนโดยใช้เกมและนักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะมีความคงทนในการเรียนรู้หลังจากเรียนไป แล้ว 2 สัปดาห์ มณีแก้ว วันตา (2545 : 36) ได้ศึกษาการใช้เกมเพื่อพัฒนาความรู้สึกเชิงจำนวนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 วิชาคณิตศาสตร์ พบว่า 1) ได้แผนการสอนที่ใช้เกมเพื่อพัฒนานำความรู้สึกเชิงจำนวนเรื่องจำนวนนับ 21-100 จำนวน 10 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง รวม 10 ชั่วโมง ได้เกม 10 เกมโดยแผนการสอนที่ได้สร้างขึ้นสามารถพัฒนาความรู้สึกเชิง จำนวนได้เป็นอยางดี 2) ผลสมฤทธิ์ด้านความรู้สึกเชิงจำนวนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้เกมได้ คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80ซึ่งสูง กว่าเกณฑ์ที่โรงเรียนตั้งเป้าหมายไว้ที่ร้อยละ 70 และมีพฤติกรรมในการเรียนอยู่ในระดับดีมาก 3) ความคิดเห็นต่อการเรียนโดยใช้เกม พบว่า นักเรียนรู้กคณิตศาสตร์เพราะเรียนแล้วสนุกสนาน เพลินเพลิดได้เล่นเกมที่ตื่นเต้น เร้าใจ มีความสุขในการเรียน เล่นเกมที่ท้าทาย ความสามารถมีความสุขเมื่อสามารถ เล่นเกมได้และได้เล่นกับเพื่อน
32 งานวิจัยต่างประเทศ ฟินเตอร์(Pinter, 7 : 710-A) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสะกดคาที่สอนโดยใช้เกมการศึกษาและ สอนโดยใช้ตำรากับนักเรียน จำนวน 94 คน เพื่อศึกษาความรู้สึกเกี่ยวกับมโนภาพและความสามารถในการสะกด คำ โดยการทดสอบก่อนและหลังการทดลองภายหลังการทดลอง 3 สัปดาห์จึงทำการทดสอบเพื่อเปรียบเที่ยบ พบว่าคะแนนผลสัมฤทธิ์ในการทดลองของกลุ่มที่ใช้เกมการศึกษามีคะแนนสูงกว่ากลุ่มที่สอนตามตำรา วอลลิง (Walling, 7 : 7 อ้างถึงใน วิไลวรรณ ถินจะนะ, 2551 : 56) ได้ทำการวิจัยทดลองศึกษาผลการ เรียนโดยใช้เกม เป็นสื่อการสอนทุกขั้นตอนกับการสอนวิธีอื่น เช่น การบรรยายอภิปราย (Lecture Discussion) การบรรยายอย่างเดียว (Lecture) และการบรรยายประกอบเกม (Lecture Games) ของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ (Illinois) จำนวน 180 คน ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษากลุ่มที่เรียนโดยการใช้เกม เป็นสื่อการสอนทุกขั้นตอนมีผล สมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ จะเห็นได้ว่า เกมประกอบการเรียนให้ความสนุกเพลิดเพลิน ส่งเสริมผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เข้าใจและจดจํา บทเรียนได้ง่ายและพัฒนาทักษะต่างๆ รวดเร็ว อีกทั้งส่งให้ผู้เรียนได้รู้จักการทํางานร่วมกัน การเล่นมีทั้งเล่นคน เดียว สองคนหรือเล่นเป็นกลุ่ม อย่างไรก็ตาม การเล่นเกมต้องมีกติกาการเล่นกําหนดไว้และจะต้องมีการ ประเมินผลความสําเร็จของผู้เล่นด้วย
33 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 3.1 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย 1.ประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ประจำปี การศึกษา 2566 จำนวน 369 คน 2. กลุ่มเป้าหมาย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที 2/3 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ประจำปีการศึกษา 2566 ที่เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษ (อ21101) จำนวน 32 คน ที่ได้มาจากการสุ่มแบบ Cluster Random Sampling 3.2 รูปแบบในการทดลอง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบในการทดลองแบบกลุ่มเดียว (One Group Pretest – Posttest Design) โดยมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ดังนี้ (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 60) กลุ่ม สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง E T1 X T2 E แทน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 (One Group Pretest – Posttest Design) T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การใช้เกมส์เศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 10 แผน 10 ชั่วโมง ดังนี้ Unit 1: Hello 1. Topic: UNDERSTAND QUESTIONS ABOUTPERSONAL INFORMATION จำนวน 1 แผน เวลา 1 ชั่วโมง 2. Topic: READ ABOUT A TEAM จำนวน 3 แผน เวลา 3 ชั่วโมง 3. Topic: WRITE INTERVIEW QUESTIONS จำนวน 1 แผน เวลา 1 ชั่วโมง
34 Unit 2: Let's have fun 1. Topic: I love music จำนวน 2 แผน เวลา 2 ชั่วโมง 2. Topic: Do you want / Would you like? จำนวน 1 แผน เวลา 1 ชั่วโมง 3. Topic: I like sport จำนวน 1 แผน เวลา 1 ชั่วโมง 4. Topic: Congratulations จำนวน 1 แผน เวลา 1 ชั่วโมง 2)แบบทดสอบการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษทดสอบก่อน เรียนและหลังเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จํานวน 1 ฉบับ 30 ข้อ 3) แบบสอบถามความพึ่งพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษโดยการใช้เกมเศรษฐี คำศัพท์ภาษาอังกฤษ จำนวน 10 ข้อ 3.4 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 3.4.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้เกมส์เศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 1) ศึกษาทฤษฎี หลักการ และแนวคิดที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมเศรษฐี คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 2) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551หลักสูตรสถานศึกษา คู่มือครู แบบเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ของกระทรวงศึกษาธิการและเอกสารที่เกี่ยวข้อง 3) วิเคราะห์และกําหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ และกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ 4) สร้างแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้เกมส์เศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยแบ่งออกเป็น 2 เรื่อง เรื่องละ 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จำนวน 10 แผน ใช้เวลา 10 ชั่วโมง ซึ่งมีสาระการเรียนรู้ ดังนี้ Unit 1: Hello 1. Topic: UNDERSTAND QUESTIONS ABOUTPERSONAL INFORMATION จำนวน 1 แผน เวลา 1 ชั่วโมง 2. Topic: READ ABOUT A TEAM จำนวน 3 แผน เวลา 3 ชั่วโมง 3. Topic: : WRITE INTERVIEW QUESTIONS จำนวน 1 แผน เวลา 1 ชั่วโมง
35 Unit 2: Let's have fun 1. Topic: I love music จำนวน 2 แผน เวลา 2 ชั่วโมง 2. Topic: Do you want / Would you like? จำนวน 1 แผน เวลา 1 ชั่วโมง 3. Topic: I like sport จำนวน 1 แผน เวลา 1 ชั่วโมง 4. Topic: Congratulations จำนวน 1 แผน เวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้(รายชั่วโมง) สาระ การเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล 5) นําแผนการจัดการเรียนรู้ที่เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจํานวน 3 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน ภาษาอังกฤษ และการวัดผลและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของ แผนการจัดการเรียนรู้ โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item objective congruence : IOC) ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กระบวนการจัดการเรียนรู้และการวัดประเมินผลโดยให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละ ท่านพิจารณาตรวจสอบให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ มีความเหมาะสมและสอดคล้อง กัน ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ มีความเหมาะสมและ สอดคล้องกัน ให้คะแนนเป็น –1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ มีความไม่เหมาะสมและไม่ สอดคล้องกัน 6) นำผลการพิจารณาไปวิเคราะห์ เพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไปพบว่ามีค่าดัชนีความ สอดคล้องเท่ากับ ...... ถือว่า...........เกณฑ์ที่ยอมรับได้และสามารถนำไปเก็บรวบรวมข้อมูล 7) นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง 3.4.2 แบบทดสอบการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง Hello and Let's Have Fun! ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีลักษณะเป็นแบบปรนัยชนิด เลือกตอบมี 4 ตัวเลือก ในการสร้างแบบทดสอบการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ 1) ศึกษาเอกสารหลักสูตร ได้แก่ คู่มือครู คู่มือวัดและประเมินผลวิชาภาษาอังกฤษ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรเอกสารที่เกี่ยวข้องเทคนิคการเขียนข้อสอบ การสร้าง แบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ
36 2) วิเคราะห์เนื้อหา เรื่อง Hello and Let's Have Fun! เพื่อแบ่งเนื้อหาออกเป็นเนื้อหา ย่อยๆ แล้วเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ 3) สร้างแบบทดสอบการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ให้ครอบคลุมเนื้อหาและ จุดประสงค์การเรียนรู้ตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร 4) นําแบบทดสอบการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง Hello and Let's Have Fun! เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจํานวน 3 ท่าน ซึ่งเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษ และการวัดผลและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความ สอดคล้อง (Index of item objective congruence: IOC) ระหว่างข้อคําถามและจุดประสงค์การเรียนรู้โดยให้ ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านพิจารณาตรวจสอบให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแบบทดสอบ มีความเหมาะสมและสอดคล้องกัน ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบของแบบทดสอบ มีความเหมาะสมและสอดคล้องกัน ให้คะแนนเป็น –1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแบบทดสอบ มีความไม่เหมาะสมและไม่ สอดคล้องกัน 5) นำผลการพิจารณาไปวิเคราะห์ เพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไปพบว่ามีค่า ดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ ...... ถือว่า...........เกณฑ์ที่ยอมรับได้และสามารถนำไปเก็บรวบรวมข้อมูล 6) ปรับปรุงแก้ไขแบบทดสอบการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง Hello and Let's Have Fun! ตามข้อเสนอแนะของ ผู้เชี่ยวชาญแล้วนําไปทดสอบกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง การเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษแล้วนําคะแนนการทดสอบมาวิเคราะห์หาความยากง่าย (p) และอํานาจ จําแนก (r) เป็นรายข้อ โดยมีความยาก ง่ายระหว่าง 0.21 – 0.75 และอํานาจจําแนกตั้งแต่ 0.23 – 0.65 7) นําแบบทดสอบการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง Hello and Let's Have Fun! จํานวน 30 ข้อ ที่คัดเลือกไว้ มาวิเคราะห์หาความ เชื่อมั่นทั้งฉบับ โดยคํานวณจากสูตร KR -20 โดยพิจารณาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับตั้งแต่ 0.72 8) นําแบบทดสอบการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง Hello and Let's Have Fun! ที่หาคุณภาพเรียบร้อยแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียน กลุ่มตัวอย่างต่อไป
37 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน พังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร การดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลในแต่ละขั้น มีดังนี้ 1) ศึกษาหลักสูตร วิเคราะห์หลักสูตร กําหนดจุดประสงค์การเรียนรู้และสาระการเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามหลักสูตรแกนการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 เกี่ยวกับ การเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐี คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 2) ศึกษาวิธีสร้างและเขียนแบบทดสอบประเภทเลือกตอบจากหนังสือการวัดผลการศึกษาของ สมนึก ภัททิยธนี (2549, หน้า 202-232) 3) เลือกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่กําลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 4) จัดทําแผนการจัดการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษและประเมิน ความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) 5) สร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์คัดเลือกคุณภาพมีค่า IOC ค่าความยาก ค่าอํานาจจําแนก และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 6) สร้างแบบวัดความพึงพอใจและประเมินความเหมาะสม 7) นําไปใช้จัดกรรมการเรียนรู้โดยการชี้แจงกระบวนการการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐี คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผู้เรียนปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง 8) ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบทดสอบการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เพื่อนําคะแนนมาวิเคราะห์เป็นคะแนนก่อนเรียน 9) ดําเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยผู้วิจัยและผู้ช่วยนักวิจัยเป็นผู้ออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เอง ใช้เวลา 10 ชั่วโมง โดยผู้วิจัย ดําเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้ เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ จํานวน 10 แผน รวม 10 ชั่วโมงโดยระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครูผู้สอน และผู้ช่วยผู้วิจัยจะทําการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้คําศัพท์ของนักเรียนไปด้วย 10) เมื่อสิ้นสุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทําการทดสอบหลังเรียน (Post-test) กับนักเรียนกลุ่มเดิมใน โรงเรียน ด้วยแบบทดสอบการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ และแบบวัดความ พึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ 11) นําคะแนนจากการตรวจแบบทดสอบการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ มาวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีทางสถิติ เพื่อตรวจสอบสมมติฐาน
38 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำคะแนนจากแบบทดสอบการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ มาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติ ดังนี้ 1) วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิการเรียนรู้การใช้เกมส์เศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะ การอ่านเพื่อความเข้าใจ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนเรียนและหลังเรียนมาคิดคะแนนเป็นร้อยละค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) แล้วนําคะแนนมาทดสอบสมมติฐาน โดยใช้สถิติ t-test Dependent Sample (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2543 : 165-167) 2) วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของจัดการเรียนรู้การใช้เกมส์เศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะ การอ่านเพื่อความเข้าใจ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามเกณฑ์ 70/70 ด้วยค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E1/E2) 3) วิเคราะห์ความพึงใจของนักเรียนต่อจัดการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและวิเคราะห์ข้อมูลเชิง คุณภาพ จากคำถามปลายเปิดของแบบสอบถามแล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์โดยจัดเนื้อหาเป็นหมวดหมู่ จัดลำดับ ข้อมูล แล้วนำเสนอข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิจัย 3.7.1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาคุณภาพเครื่องมือ การหาค่าความเที่ยงตรง (Validity) การหาความเที่ยงตรงของแผนการจัดการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตรดัชนีความสอดคล้อง IOC ดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี, 2558 : 220-221) IOC = R N เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหา หรือระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จํานวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด
39 การหาค่าความยากและค่าอํานาจจําแนกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งเป็นแบบทดสอบ แบบอิงกลุ่ม โดยใช้สูตร ดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี, 2558 : 195) = R N r = Ru - Rl ƒ เมื่อ P แทน ค่าความยาก R แทน ค่าอํานาจจําแนก R แทน จํานวนผู้ตอบถูกทั้งหมด (Ru+Rl) N แทน จํานวนคนในกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำ (ซึ่งเท่ากับ 2f) f แทน จํานวนคนในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ำ Ru แทน จํานวนคนในกลุ่มสูงที่ตอบข้อนั้นถูก Rl แทน จํานวนคนในกลุ่มต่ำที่ตอบข้อนั้นถูก การหาค่าความเชื่อมั่นแบบทดสอบวัดวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นด้วยสูตร KR-20 ดังนี้(สมนึก ภัททิยธนี, 2558 : 223) KR 20:r n 1 pq เมื่อ r แทน ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ n แทน จํานวนข้อของแบบทดสอบทั้งฉบับ P แทน อัตราส่วนของผู้ตอบถูกในข้อนั้น q แทน อัตราส่วนของผู้ตอบผิดในข้อนั้น S แทน ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบับ 3.8 สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน 3.8.1การเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้สูตร คํานวณหาค่า t-test แบบ Dependent Samples (บุญชม ศรีสะอาด, 2556 : 68) tt n 1 2 tt 2 s
40 เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤตเพื่อทราบนัยสําคัญ D แทน ความแตกต่างระหว่างคะแนนแต่ละคู่ N แทน จํานวนกลุ่มตัวอย่างหรือจํานวนคู่ ∑ แทน ผลรวม df แทน ความเป็นอิสระมีค่าเท่ากับ N – 1 3.8.2 การหาค่าอํานาจจําแนก (Discrimination) ของแบบวัดความความพึงใจของนักเรียนต่อจัดการ เรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเศรษฐีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า โดยใช้t-test โดย ใช้สูตร ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด,2556: 96-97) เมื่อ t แทน อํานาจจําแนก แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มสูง แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มต่ำ 2 แทน ความแปรปรวนของกลุ่มสูง 2 แทน ความแปรปรวนของกลุ่มต่ำ N แทน จํานวนคนในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ำซึ่งมีจํานวนเท่ากัน 3.8.3 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับของแบบวัดความพึงพอใจ ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า โดยวิธีหาค่า สัมประสิทธิ์แอลฟา (α-Coefficient) ตามวิธีของครอนบาค (Cronbach) ใช้สูตร ดังนี้ (สมนภัททิยธนี, 2558 : 225-226) เมื่อ α แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบวัด/แบบประเมิน n แทน จํานวนข้อของแบบวัด/แบบประเมินทั้งฉบับ 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรายข้อ 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบับ