ทำให้ประเทศไทยก็อยู่ในกรอบของแนวคิดและวิธีการของ โคลเบิร์ก การเสนอแนะวิธีปลูกฝัง จริยธรรมแก่เยาวชนไทยก็อยู่ในกรอบของแนวความคิดและวิธีการของโคลเบิร์ก เช่น ดังนี้ ๑. แนวความคิดพื้นฐาน หมายถึง กฎเกณฑ์ในการตัดสินความถูกผิดของการกระทำ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์นี้ขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางปัญญาซึ่งผูกพันกับอายุของบุคคล ๒. วิธีปลูกฝังจริยธรรม คือ การพัฒนาผู้เรียนให้มีกฎเกณฑ์ในการตัดสินความถูกผิดด้วย เหตุผลในระดับสูง จริยธรรมครู (Teacher’s Function) คือการแสดงออกในสิ่งที่ควรประพฤติปฏิบัติอัน เป็นหน้าที่ที่ครูควรพึงกระทำ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติกระทรวงศึกษาธิการ142 ได้กล่าวถึง หลัก การของทฤษฎีและแนวคิดที่จะพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะที่ดีของ ผู้เรียน ดังนี้ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psycho analysis Theory Sigmund Freud) มีแนวคิดว่า บุคคล ใกล้ชิดที่สำคัญของเด็ก เช่น พ่อแม่ หรือ ครูอาจารย์จะต้องปลูกฝังมโนธรรมให้แก่เด็กตั้งแต่ยังเยาว์วัย เพื่อจะได้เติบโตเป็นบุคคลที่มีจริยธรรม และมีพฤติกรรมที่พึงปรารถนาสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมี ความสุขและเป็นประโยชน์ต่อสังคม ทฤษฎีการเผชิญความจริง (Reality Theory Glaser) ให้แนวคิดว่า บุคคลที่ใกล้ชิดเด็ก เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ จะต้องช่วยเด็กประเมินตนเองตามความเป็นจริง ช่วยให้ความยอมรับ ข้อบกพร่องของตนเอง ช่วยในการวางแผนปรับปรุงพฤติกรรมที่พึงปรารถนา ช่วยสนับสนุนให้มุ่งมั่น ในการทำตามโครงการเปลี่ยนพฤติกรรมที่พึงปรารถนา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้ข้อสรุปจากการประมวล การประชุมระดมความคิด ได้ให้ความหมายของคำว่า จริยธรรม หมายถึง สิ่งที่พึงประพฤติปฏิบัติ มี พฤติกรรมที่ดีงามต้องประสงค์ของสังคมเป็นหลัก หรือกรอบที่ทุกคนกำหนดไว้เป็นแนวทางปฏิบัติ สำหรับสังคม เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม เกิดความสงบร่มเย็นเป็นสุข เกิดความ รักสามัคคีเกิดความอบอุ่น มั่นคงและปลอดภัยในการดำรงชีวิต เช่น ศีลธรรม กฎหมาย ธรรมเนียม ประเพณี เป็นต้น จริยธรรมของอาชีพครูประกอบด้วย “กติกาแห่งวิชาชีพ” (code of ethics) มี ๔ ด้าน คือ143 ๑. ด้านที่รับผิดชอบต่อสังคม ๒. ด้านที่รับผิดชอบต่อผู้รับบริการ ๓. ด้านที่รับผิดชอบต่อวิชาชีพ ๔. ด้านที่รับผิดชอบต่อสมาชิกของวิชาชีพ 142 สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติกระทรวงศึกษาธิการ, ชุดอบรมด้วยตนเอง การพัฒนาการเรียนรู้สู่ครูมืออาชีพตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ๒๕๔๒ : การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม, หน้า ๕๓ -๕๘. 143 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, เอกสารการสอนชุดวิชา จริยศึกษา หน่วยที่ ๕, (นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๓๙), หน้า ๒๙๗.
จริยธรรมสำหรับอาชีพครู มีดังนี้ ๑. ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ๑.๑ ตั้งใจฝึกสอนศิษย์ เพื่อให้เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ๑.๒ ครูควรร่วมมือกับผู้ปกครองในการอบรมสั่งสอนเด็กอย่างใกล้ชิต ๑.๓ ครูควรรู้จักเสียสละและรับผิดชอบในหน้าที่การงานทั้งปวง ๑.๔ ครูควรยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือและไม่ลบหลู่ศาสนาอื่น ๑.๕ ครูควรบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคม ๒. ด้านความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการ ๒.๑ ครูควรตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ ๒.๒ ครูควรร่วมมือกับผู้ปกครองในการอบรมสั่งสอนเด็กอย่างใกล้ชิด ๓. ด้านความรับผิดชอบต่อวิชาชีพ ๓.๑ ครูควรมีศรัทธาในอาชีพครู ๓.๒ ครูควรบำเพ็ญตนให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู ๓.๓ ครูควรใฝ่ใจศึกษาให้เกิดความรู้ความชำนาญอย่างเสมอ ๓.๔ ครูควรเสียสละและรับผิดชอบในหน้าที่การงานทั้งปวง ๔. ด้านความรับผิดชอบต่อสมาชิกของวิชาชีพ ๔.๑ ครูควรรักษาชื่อเสียงของคณะครู ๔.๒ ครูควรให้เกียรติแก่ครูด้วยกัน ๔.๓ ครูควรยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ การเป็นครูที่ “ดี” นั้น ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ ทางด้านจิตวิทยาหลาย ประการ ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างกันตามลักษณะของผู้เรียน ถ้ากล่าวถึงครูดีตามแนวความคิดของ ผู้เรียนทางช่างอุตสาหกรรมแล้ว ครูที่ดีจะมีลักษณะสำคัญ คือ144 ๑. ปรับปรุงการเรียนการสอนให้ทันสมัยและเหมาะสมอยู่เสมอ ๒. มีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้เรียนให้ประสบความสำเร็จในทุกด้าน ๓. มีบุคลิกภาพที่ดี ๔. มีความรู้ความชำนาญในงานที่สอน ๕. มีความอดทน ๖. มีลักษณะซึ่งผู้เรียนให้ความไว้วางใจ ๗. มีความกระตือรือร้นในการถ่ายทอดความรู้ ๘. มีความจริงใจ ๙. มีลักษณะเป็นผู้นำ ดังนั้นครูที่ดี คือ ครูที่หมั่นแสวงหาความรู้เพิ่มเติมในเนื้อหาวิชาที่ตนสอน เพื่อให้ เนื้อหาวิชามีความทันสมัยเหมาะสมกับยุคปัจจุบัน นอกจากนั้นครูที่ดีจะต้องมีความรู้ทางด้านจิตวิทยา ทั้งนี้เพราะวิชาจิตวิทยาเปรียบเหมือนเครื่องมือสำคัญในการทำความเข้าใจผู้เรียน วิชาคณิตศาสตร์มี 144 ชาติชาย พิทักษ์ธนาคม, จิตวิทยาการเรียนการสอน, (กรุงเทพมหานคร : ๒๕๔๔), หน้า ๓๑๓.
ความสำคัญต่ออาชีพวิศวกรอย่างไร วิชาจิตวิทยาก็ต้องสำคัญต่ออาชีพครูฉันนั้น นอกจากจะมีความรู้ แล้ว ครูที่ดีจะต้องสามารถนำหลักจิตวิทยาไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับเนื้อหาวิชาตนสอน และ เหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียน ทั้งนี้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เป็น “มนุษย์” ที่สมบูรณ์ เพื่อจะเป็นกำลังที่มีประสิทธิภาพของสังคมต่อไป ๔.๑.๓ คุณธรรมจริยธรรมด้านความรับผิดชอบต่อตนเอง นักการศึกษาและนักจิตวิทยาได้นิยามความหมายของความรับผิดชอบต่อตนเองดังนี้ Bandura145 กล่าวว่า จริยธรรมความรับผิดชอบต่อตนเอง หมายถึง กฎสำหรับ ประเมินพฤติกรรม กฎการประเมินมีลักษณะไม่แตกต่างจากกฎทางภาษาที่เรียกว่า ไวยากรณ์ กฎ เหล่านี้เกิดจากการเรียนรู้ ความหมายระบบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ดังนี้ ๑. หลักการแนวทางในการประพฤติปฏิบัติรู้ว่าสิ่งใดควรทำและสิ่งใดไม่ควรทำ ๒. การกระทำหรือการแสดงออกเป็นพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความสงบสุขและอยู่รวมกัน ในสังคมนั้นได้อย่างมีความสุข Good146 ได้ให้ความหมายความรับผิดชอบต่อตนเองไว้ว่า การปฏิบัติตนในความสำนึก ความรับผิดชอบต่อตนเอง การเล่าเรียน ครอบครัว สังคม และต่อบุคคลใกล้ชิดโดยการแสดงออกมา ในรูปของการปฏิบัติอย่างตั้งใจละเอียดรอบคอบที่จะให้การปฏิบัติบรรลุตามเป้าหมาย ยอมรับการ กระทำของตนทั้งด้านดีและผลเสีย อีกทั้งพยายามปรับปรุงการปฏิบัติหน้าที่ให้ดียิ่งขึ้น กรมวิชาการ147 ได้ให้ความหมายของความรับผิดชอบต่อตนเองไว้ว่า หมายถึงความ มุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความผูกพัน ด้วยความพากเพียรและความละเอียดรอบคอบ ยอมรับผลการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามความมุ่งหมายทั้งพยายามที่จะ ปรับปรุงการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามความมุ่งหมายทั้งพยายามที่จะปรับปรุงการปฏิบัติ ที่ให้ดียิ่งขึ้น ชำนาญ นิสารัตน์148 ได้กล่าวว่าความรับผิดชอบต่อตนเอง คือการยอมรับรู้ และสำนึก ในการกระทำของตนเอง ยอมรับผลการกระทำของตนเองด้วยความเต็มใจ ไม่ว่าผลการกระทำนั้นจะ เป็นผลดีหรือร้ายและพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ความรับผิดชอบเป็นสิ่งเกื้อหนุนให้บุคคลปฏิบัติ สอดคล้องกับกฎจริยธรรมและกฎเกณฑ์ของสังคม โดยไม่ต้องมีการบังคับควบคุมจากผู้อื่น 145 Bandura, Moral Education, (London : Routledge and KeGen Pauk, 1979), p.13. 146 Good c.v., Dictionary of Education, (New York : McGraw Hill Company, 1973), อ้างใน นริศลักษณ์ ภักดีพงษ์. “ผลของการใช้ชุดฝึกจิตลักษณะเพื่อนพัฒนาพฤติกรรมรับผิดชอบของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาในช่วงชั้นที่ ๒”, วิทยานิพนธ์, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น), ๒๕๔๖, หน้า ๔-๑๓. 147 กรมวิชาการ, หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช ๒๕๒๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๓๓), (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา, ๒๕๓๕), หน้า ๑๔๖. 148 ชำนาญ นิสารัตน์, หนังสือสังคมศึกษา หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย, (กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๔), หน้า ๕๓.
ศิริพร กล่อมจันทร์149 ได้ให้ความหมายของความรับผิดชอบต่อตนเองว่า หมายถึง พฤติกรรมของบุคคลซึ่งแสดงออกให้ตนประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย สุพัตรา สุภาพ150 ให้ความหมายไว้ว่า ความรับผิดชอบต่อตนเอง คือการรู้จักหน้าที่ที่ ตนต้องปฏิบัติหรือกระทำ ไม่นึกถึงแต่สิทธิเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำที่ควรกระทำหรือต้อง กระทำตามสถานภาพ (ตำแหน่ง) ของบุคคลหนึ่ง ๆ สรุปแล้วความหมายของความรับผิดชอบต่อตนเอง หมายถึง การรับรู้ฐานะและบทบาท ของตนที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม จะต้องดำรงตนให้อยู่ในฐานะที่ช่วยเหลือตนเองได้ รู้จักว่าอะไรผิด รู้จักว่าอะไรถูก ยอมรับการกระทำของตนเองทั้งที่เป็นผลดีและผลเสียหรือไม่ และจะเลือกปฏิบัติแต่ สิ่งที่ก่อให้เกิดผลดีเท่านั้น ๔.๑.๔ คุณธรรมจริยธรรมด้านความมีวินัย คุณธรรมจริยธรรมด้านความมีวินัยถ้าหากได้มีการปลูกฝังให้กับนักเรียนได้เป็นอย่างดี และมีประสิทธิภาพแล้ว ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในระเบียบวินัยแล้วสังคมก็จะอยู่อย่างมีความสุข จึงได้กล่าวความหมายของความมีวินัยไว้ดังนี้ นงนภัส เอี่ยมลออ151 ได้กล่าว่า วินัย หมายถึง ความสามารถที่จะควบคุมตนเองในด้าน ความประพฤติ การยอมรับในระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล ตลอดจนการแก้ไขความ ประพฤติของตนเองหรือของผู้อื่น โดยอาศัยวิธีการต่าง ๆ ทั้งการดูแลให้คำแนะนำโดยใช้หลักเหตุผล หรือวิธีการลงโทษตามสภาพของสถานการณ์ที่ปรากฏอยู่ พระสมชาย ฐานวุฑฺโฒ152 ได้ให้ความหมายของวินัยว่า หมายถึงระเบียบกฎเกณฑ์ ข้อบังคับสำหรับควบคุมความประพฤติทางกาย วาจา ของคนในสังคมให้เรียบร้อยดีงาม เป็นแบบแผน อันหนึ่งอันเดียวกัน จะได้อยู่ร่วมกันอย่างสุขสบาย ไม่กระทบกระทั่งกันและกัน สมบูรณ์ สิงห์คำป้อง153 ในความเห็นว่า วินัย หมายถึง คุณลักษณะที่มีอยู่ภายในของ บุคคล ที่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเองให้ประพฤติตามกฎหมาย และระเบียบแบบแผนตามที่ สังคมกำหนดไว้โดยไม่ถือว่าเป็นการบังคับให้กระทำ 149 ศิริพร กล่อมจันทร์, “ความรับผิดชอบ การพึ่งตนเอง และวินัยในตนเองของนักศึกษาวิทยาลัย ครู”, ปริญญานิพนธ์, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ), ๒๕๒๖, หน้า ๖. 150 สุพัตรา สุภาพ, สังคมและวัฒนธรรมไทย: ค่านิยม สังคม ครอบครัว ประเพณี, (กรุงเทพมหานคร:ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๕), หน้า ๒๕. 151 นงนภัส เอี่ยมลออ, “การใช้กิจกรรม “รักบ้านมงฟอร์ต” เพื่อพัฒนาวินัยนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่”. การศึกษาค้นคว้าแบบอิสระ, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่), ๒๕๔๔, หน้า ๖. 152 พระสมชาย ฐานวุฑฺโฒ, มงคลชีวิต ฉบับก้าวหน้า, (กรุงเทพมหานคร : ม.ป.พ., ๒๕๔๕), หน้า ๗๒. 153 สมบูรณ์ สิงห์คำป้อง, “ศึกษาปัญหาการส่งเสริมวินัยนักเรียนตามทัศนะของผู้บริหารและครู ใน โรงเรียนเอกชน สังกัดกองศึกษามูลนิธิแห่งภาคริสตจักรในประเทศไทย”, การศึกษาค้นคว้าอิสระ, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม), ๒๕๔๒, หน้า ๓๖.
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ154 ได้ให้ความหมายของวินัยไว้ว่า วินัย หมายถึง คุณลักษณะทางจิตใจและพฤติกรรมที่ช่วยให้สามารถควบคุมตนเอง และปฏิบัติตาม ระบบระเบียบ เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม ซึ่งคนส่วนมากเห็นว่าวินัยเกิดจากการดูแลควบคุมใน ระยะแรกที่เด็กยังเยาว์ การทำตนเป็นแบบอย่างที่ดีและแนะนำบอกกล่าวด้วยเหตุผล โดยไม่รู้สึกว่าถูก บังคับ อัญจนา ประสานชาติ155 ได้กล่าวว่า พฤติกรรมการมีวินัยในตนเอง หมายถึง ความสามารถในการควบคุมตนเองของบุคคลโดยไม่มีผู้ใดมาบังคับ ทั้งด้านอารมณ์ และพฤติกรรมที่ไม่ ขัดต่อกฎเกณฑ์ของสังคม และขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อความสงบสุขในการดำเนินชีวิต และ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการอยู่ร่วมกันในสังคม กล่าวโดยสรุปความมีวินัย หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการควบคุมอารมณ์หรือ บังคับพฤติกรรมของตนเอง ให้เชื่อฟังและประพฤติปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ระเบียบ แบบแผนอันดีงาม ต่าง ๆ ที่สังคมยอมรับ โดยตนเองมองเห็นคุณค่าที่จะกระทำเพื่อให้เกิดผลดีต่อตัวเองและสังคม ส่วนรวม ๔.๑.๕ คุณธรรมจริยธรรมด้านความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์เป็นคุณสมบัติของผู้ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรปลูกฝังให้กับนักเรียน เพื่อให้นักเรียน เป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง และผู้อื่น ดังนี้ กรมการศาสนา156 ได้ให้ความหมายของความซื่อสัตย์ไว้ว่า หมายถึงให้เป็นคนตรง ประพฤติอะไรด้วยน้ำใสใจจริง ธวัชชัย ชัยจิรฉายากุล157 ได้ให้ความหมายของความซื่อสัตย์ไว้ว่า หมายถึง การปฏิบัติ ตนด้วยความจริงใจและตรงไปตรงมา ประเสริฐ เอื้อนครินทร์158 ได้ให้ความหมายของความซื่อสัตย์ไว้ว่า หมายถึง ความ ซื่อตรงไม่คดโกงทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งตนเองและหน้าที่การงาน 154 สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, แนวปฏิบัติกิจกรรมเสริมสร้างวินัยนักเรียน สำหรับโรงเรียนประถมศึกษา, (สุพรรณบุรี : ศูนย์วิชาการสุพรรณบุรี), ๒๕๓๒, หน้า ๒๐. 155 อัญจนา ประสานชาติ, “ผลการฝึกจิตลักษณะเพื่อพัฒนาพฤติกรรมวินัยในตนเองของนักเรียนระดับ ประถมศึกษา”, วิทยานิพนธ์, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น), ๒๕๔๕, หน้า ๘๒. 156 กรมการศาสนา, หลักสูตรพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอน ปลายพุทธศักราช ๒๕๓๔, (กระเทพมหานคร :โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๓๗). หน้า ๘. 157 ธวัชชัย ชัยจิรฉายากุล, “ผลของการใช้กลุ่มสัมพันธ์และผลของการให้คำปรึกษากลุ่มที่มีต่อความมี วินัยในตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา”, วิทยานิพนธ์, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร), ๒๕๓๕, หน้า ๙๙. 158 ประเสริฐ เอื้อนครินทร์, “การทดลองใช้เทคนิค “แม่บท” เพื่อพัฒนาจริยธรรมและความซื่อสัตย์” ปริญญานิพนธ์, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร), ๒๕๒๔, หน้า ๒๒.
โพธิ์ทอง จิตอ่อนน้อม159 ได้ให้ความหมายของความซื่อสัตย์ว่า หมายถึงการประพฤติ ปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริง เป็นการประพฤติปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาทั้งกาย วาจา ใจ ต่อตนเองและผู้อื่น อดิศักดิ์ ภูมิรัตน์160 ได้ให้ความหมายของความซื่อสัตย์ไว้ว่า หมายถึง ความประพฤติที่ ยึดหลักแห่งคุณธรรม ประพฤติด้วยความจริงใจทั้งทางกาย วาจา ใจ ทั้งต่อตนเอง และต่อผู้อื่น และได้ เสนอแนะแนวทางการแก้ไขและเสริมสร้างลักษณะนิสัยให้มีจริยธรรมด้านความซื่อสัตย์ พอสรุป ใจความสำคัญกว้าง ๆ ดังนี้ ๑. ให้เด็กได้อยู่ใกล้ชิดกับตัวอย่างที่ดี ได้ปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันจนเห็นคุณค่า ๒. เสนอปัญหาให้คิด เมื่อเด็กเห็นปัญหาของคนอื่นหรือสังคมที่ตนเป็นส่วนหนึ่งมาก ๆ ก็ จะนำไปเปรียบเทียบกับประสบการณ์ของตนเอง ทำให้เกิดความสำนึกมากขึ้น และจะเปลี่ยนแปลง ค่านิยม และพฤติกรรมของตนเองให้มีความซื่อสัตย์โดยไม่รู้ตัว ๓. จัดโอกาสให้เด็กได้ศึกษาหาประสบการณ์จากวิชาการบางอย่างซึ่งสามารถพัฒนา ค่านิยมได้ เช่น ศิลปะ ช่วยขัดเกลาจิตใจให้ละเอียดอ่อน มีความซื่อสัตย์ เป็นต้น ๔. สนทนาวิสาสะในชีวิตประจำวัน เมื่อได้พบเห็นหรือสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ทั้งในโรงเรียนและ นอกโรงเรียน ในบ้านและนอกบ้านก็นำมาวิเคราะห์วิจารณ์กับเด็กได้ ๕. สร้างคำขวัญที่คนส่วนใหญ่จะยอมรับนับถือร่วมกัน ทั้งนี้ต้องอยู่ในขอบเขตที่ เหมาะสม ๖. จัดกิจกรรมแนะแนวโดยให้กระบวนการกลุ่ม เพื่อให้เด็กได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ซึ่งกันและกัน เรียนรู้จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในกลุ่มทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้และส่งผลให้เกิดความ เจริญงอกงามในทุก ๆ ด้านได้ พอสรุปได้ว่า ความซื่อสัตย์ หมายถึง การประพฤติปฏิบัติตนอย่างตรงไปตรงมา ทั้งทาง กาย วาจา ใจ การตรงต่อหน้าที่ ตรงต่อความเป็นจริง ต่อตนเองและผู้อื่น ๔.๑.๖ คุณธรรมจริยธรรมด้านความเสียสละ ถ้าคนเรามีความเสียสละ ความเอื้อเฟื้อผู้อื่น เหมือนอุ้มชูตนเอง ความมีน้ำใจกว้างขวาง เป็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นเยี่ยม ความมีอัธยาศัยเป็นกันเองในที่ทั้งปวง แต่ไม่ให้เสียระเบียบ และ ความมีนิสัยไม่เกี่ยงงอน ยิ่งได้ทำกิจการมากก็ยิ่งเห็นเป็นเกียรติ ซึ่งถือได้ว่าเป็นประตูชัยของหน้าที่การ งาน ฉะนั้นความเสียสละจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องปลูกฝังให้กับนักเรียน ซึ่งคุณธรรมด้านการเสียสละ มีผู้กล่าวดังนี้ Seglow161 ได้กล่าวถึงการเสียสละเป็นการไม่เห็นแก่ตัว เป็นการให้ที่มีแรงผลัดดันมา จากความต้องการให้สิ่งดี ๆ แก่ผู้อื่น โดยการเสียสละเพื่อช่วยเหลือนั้นไม่ต้องใช้เวลาหรือคำนึงถึง 159 โพธิ์ทอง จิตอ่อนน้อม, “พฤติกรรมทางจริยธรรมของครูพลศึกษาในทัศนะของผู้บริหารโรงเรียน มัธยมศึกษา และนักเรียนในเขตการศึกษา ๗”, ปริญญานิพนธ์, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พิษณุโลก), ๒๕๒๙, หน้า ๗. 160 อดิศักดิ์ ภูมิรัตน์, “ผลของการใช้กิจกรรมกลุ่มที่มีต่อเจตคติเชิงจริยธรรมด้านความซื่อสัตย์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาที่ ๖”, ปริญญานิพนธ์, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวรพิษณุโลก), ๒๕๓๕. 161 Seglow Jonatham, The Ethics of Altruism, (London : Frank Cass, 2004), p. 20.
ปัจจัยว่าผู้ใดที่เราควรช่วย เช่น จะช่วยเหลือคนไหน คนที่มีฐานะจนแค่ไหนจึงควรจะช่วย เป็นต้น แต่ มนุษย์ควรเสียสละเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเหมาะสมกับตน กรมวิชาการ อ้างใน กชกร จินตนสถิต162 ได้ให้ความหมายของความเสียสละ ว่า คือ การกระทำที่แสดงถึงไมตรีจิต ความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีต่อผู้อื่น ช่วยเหลือเจือจานแก่บุคคลที่ควรให้ เพื่อให้เขา ได้รับความสะดวก มีความพอใจ การให้การบริจาค การยอมเสียสิทธิ หรือสละสิ่งที่เราควร ได้รับให้แก่ผู้อื่น โดยพฤติกรรมของผู้ที่มีความเสียสละ มีลักษณะดังต่อไปนี้ ๑. การให้ทางกาย เช่น ช่วยเหลือผู้อื่นทำธุรการงานที่ไม่มีโทษ ไม่นิ่งดูดายช่วยเหลืองาน สาธารณะประโยชน์ เป็นต้น ๒. การให้ทางวาจา เช่น ช่วยเหลือให้คำแนะนำทั้งในทางโลกและทางธรรมช่วยเจรจา เอาเป็นธุระให้สำเร็จประโยชน์ ๓. การให้ทางสติปัญญา เช่น ช่วยแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา ช่วยแก้ปัญหา เดือดร้อนแก่คนที่ไม่ทำผิด ช่วยคิดหาแนวทางที่ถูกที่ชอบ ช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ผู้อื่นตาม กำลังสติปัญญา ๔. การให้ด้วยกำลังทรัพย์ เช่น แบ่งปันเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้ที่สมควรให้แบ่งปัน เงินทองให้แก่ผู้ที่สมควรให้ การสละทรัพย์เพื่อสาธารณกุศล เป็นต้น ๕. การให้ทางใจ เช่น ยินดีเมื่อผู้อื่นพลั้งพลาด ไม่นึกสมน้ำหน้าผู้อื่น ไม่อยากขโมยอยาก ได้ของผู้อื่นมาเป็นของตน กมลชนก ภิรมย์ศิริพรรณ163 ได้สรุปความหมายของการเสียสละว่า หมายถึงการละ ความเห็นแก่ตัว การให้ปันแก่คนที่ควรให้ด้วยกำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังใจ รวมทั้งการรู้จักยอมเสีย ประโยชน์ส่วนตัว เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวมมากกว่า จันทนะ วิไลพัฒน์164 ได้สรุปถึงการเสียสละว่า หมายถึงพฤติกรรมหรือการกระทำที่ แสดงถึงไมตรีจิต ความมีน้ำใจ โอบอ้อมอารีต่อผู้อื่น คอยเอื้อเฟื้อช่วยเหลือเกื้อกูล ลดความเห็นแก่ตัว รู้จักแบ่งปัน ยอมเสียสิทธิ์ หรือสละสิ่งที่เราควรได้รับหรือมีอยู่น้อยให้แก่ผู้อื่น ร่วมบริจาค ร่วมสร้าง ประโยชน์ หรือกระทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อสังคม และต่อส่วนรวมด้วยความจริงใจโดยไม่ หวังผลตอบแทน นอกจากนี้ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ยังรวมถึงการรู้จักให้อภัยผู้อื่นรู้จักระงับอารมณ์ของ ตน ไม่แสดงกิริยา วาจาไม่สุภาพ ไม่โลภ ไม่ละเมิดสิทธิหรือก้าวกายสิทธิของผู้อื่น ยอมรับฟังความ คิดเห็นของผู้อื่น 162 กชกร จินตนสถิต, “ การพัฒนาคุณธรรมด้านการเสียสละที่ได้จากการอ่านวรรณกรรมสำหรับ เด็กของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลบุรีรัมย์”, วิทยานิพนธ์, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช), ๒๕๔๙, หน้า ๑๒. 163 กมลชนก ภิรมย์ศิริพรรณ, “ คู่มือพัฒนาความเสียสละของนักเรียนช่วงชั้นที่ ๑”, สารนิพนธ์, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ), ๒๕๔๙, หน้า ๒๓. 164 จันทนะ วิไลพัฒน์, “การพัฒนาพฤติกรรมด้านความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการเสียสละของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ โดยการใช้กระบวนการสร้างค่านิยม ”, วิทยานิพนธ์, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช), ๒๕๔๒, หน้า ๑๑.
ณรงค์ ศิลารัตน์165 ให้ความหมายของความเสียสละไว้ว่า หมายถึง การรู้จักยอมสละ ประโยชน์ส่วนตัว เพื่อประโยชน์ส่วนรวม และการปันแก่คนที่ควรให้ด้วย กำลังกาย กำลังทรัพย์ และ กำลังสติปัญญา บรรทม มณีโชค166 ได้ให้ความหมายของคุณธรรมจริยธรรมความเสียสละไว้ว่า ๑. การให้ปัน หมายถึง การช่วยเหลือหรือให้ผู้อื่นในด้าน ทรัพย์ สิ่งของ ความรู้ และ แรงงาน ๒. การเห็นแก่ส่วนรวม หมายถึง การอุทิศตนทำงานเพื่อสังคมและส่วนรวม ๓. ความมีน้ำใจ หมายถึง ความปรารถนาดีต่อผู้อื่นในด้านการพูด และการกระทำโดย ให้กำลังใจ และแสดงความเห็นใจผู้อื่น ๔. การไม่เอาเรียบผู้อื่น หมายถึง การสละทรัพย์ สิ่งของ และแรงานของตนเท่ากับหรือ มากกว่าผู้อื่น จากความหายของคุณธรรมจริยธรรมด้านความเสียสละข้างต้นพอสรุปได้ว่า ความ เสียสละ หมายถึง การช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความเต็มใจ โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการ ช่วยเหลือในด้านทรัพย์ สิ่งของ แรงกาย สติปัญญา ความสามารถ เวลา และวาจา การเสียสละนั้นเป็น การขจัดความเห็นแก่ตัวออกจากตนเอง และมุ่งสู่ประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ๔.๒ ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรม นักจิตวิทยาที่ศึกษาพัฒนาการทางจริยธรรมส่วนใหญ่ยอมรับว่า จริยธรรมของมนุษย์จะมี การพัฒนาการขึ้นเป็นลำดับอย่างเห็นได้ชัดจากวัยทารกถึงวัยผู้ใหญ่ แม้ว่ามนุษย์จะมีพัฒนาการที่ แตกต่างกัน แต่นักทฤษฎีทั้งหลายก็ยังเชื่อว่าการพัฒนานี้ในบุคคลต่าง ๆ กัน มีลำดับขั้นตอนเป็น ระบบอย่างมีที่คล้ายคลึงกัน นอกจากนี้นักค้นคว้าทางจริยธรรมส่วนมากยังลงความเห็นว่าต้นกำเนิด และแหล่งที่ก่อให้เกิดการพัฒนาทางจริยธรรมนั้นอยู่ที่สังคมเป็นสำคัญแต่ก็มีความคิดที่แตกต่างกัน ออกไปมาเป็นเหตุให้เกิดทฤษฎีในด้านนี้มากมาย ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้จะกล่าวถึงเพียงบางทฤษฎี เท่านั้น ดังนี้167 ๑. ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory) นักจิตวิทยาในกลุ่มทฤษฎีนี้ เชื่อว่าจริยธรรมเป็นส่วนเดียวกับมโนธรรม (Conscience) จริยธรรมเกิดจากกระบวนการภายในของวัฒนธรรม หรือบรรทัดฐานของพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดู ได้แก่ การถือ ตนตามอย่าง (Identification) ทำให้เด็กรับเอาบุคลิกภาพ คำนิยม มาตรฐาน จริยธรรมในสังคม 165 ณรงค์ ศิลารัตน์, “ศึกษาพฤติกรรมเชิงจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรม สามัญศึกษา จังหวัดนครศรีธรรมราช”, วิทยานิพนธ์, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยทักษิณ), ๒๕๔๔, หน้า ๗. 166 บรรทม มณีโชค, “การศึกษารูปแบบของข้อคำถามวัดลักษณะนิสัยด้านความเสียสละชนิด ข้อความและชนิดสถานการณ์ที่มีผลต่อคุณภาพของแบบทดสอบ”, วิทยานิพนธ์, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวิโรฒ), ๒๕๓๐, หน้า ๖-๗. 167 โกสุม ผือโย, “ศึกษาบทบาทในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารและครูโรงเรียนเอกชน ระดับการศึกษาขึ้นพื้นฐาน เขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต ๒”, ปริญญานิพนธ์, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ), ๒๕๔๘, หน้า ๑๗-๒๐.
เมื่อบุคคลได้รับการปลูกฝังจริยธรรม หากความต้องการของตนไม่สอดคล้องกับสิ่งที่สังคมต้องการก็จะ เกิดความขัดแย้งกันขึ้น และถ้าบุคคลนั้นทำชั่วเขาก็จะเกิดความละอายใจตนเองไม่สบายใจ ซึ่งนั้นถือ ว่าเป็นการลงโทษตัวเอง ต่อไปเขาจะไม่ทำความชั่วอีกโดยไม่ต้องมีการควบคุมจากบุคคลอื่นภายนอก นั่นคือ เขามีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือเกิดมโนธรรมภายในใจ นั่นเอง ๒. ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Contingency) ให้แก่เด็กตั้งแต่เกิดโดยนำเอา หลักการเสริมแรงและหลักการเชื่อมโยงอธิบายโดยมีความเชื่อเบื้องต้น ดังนี้ ๒.๑ พัฒนาการทางจริยธรรม เกิดจากการเจริญเติบโตของการคล้อยตามกฎเกณฑ์ จริยธรรมของสังคม ทั้งทางความประพฤติ และอารมณ์มากกว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ทางสมอง (Cognitive Structure Change) ๒.๒ แรงจูงใจพื้นฐานที่ทำให้เกิดพัฒนาการทางจริยธรรมทุกจุด มีรากฐานจากความ ต้องการทางชีวภาพ หรือความต้องการรางวัลจากสังคมและการหลีกเลี่ยงการลงโทษ ๒.๓ พัฒนาการทางจริยธรรมมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรม ๒.๔ พื้นฐานทางจริยธรรม (Basic Moral Norm) เกิดขึ้นภายในจิตใจ โดยมีสาเหตุจาก กฎเกณฑ์วัฒนธรรมภายนอก ๒.๕ สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางจริยธรรมมากเท่าใด ขึ้นกับปริมาณของ รางวัล การลงโทษ การห้ามและการเห็นแบบอย่างของพ่อแม่ และบุคคลอื่นซึ่งเป็นตัวแทนสังคม (Socializing Agent) ๓. ทฤษฎีพัฒนาการทางพุทธิปัญญา (Cognitive Development Theory) นักจิตวิทยาในทฤษฎีนี้มีความเชื่อเบื้องต้น คือ ๓.๑ พัฒนาการทางจริยธรรมมีโครงสร้างพื้นฐานทางพุทธิปัญญา (Cognitive) และมี องค์ประกอบทางการเลือกใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม ๓.๒ แรงจูงใจเบื้องต้นเกี่ยวกับจริยธรรม คือ แรงจูงใจเกี่ยวกับจริยธรรมกับการยอมรับ (Acceptance) การมีความสามารถ (Competence) การเคารพตนเองหรือเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้ (Self-Esteem or Actualization) มากกว่าจะเป็นความต้องการทางกายหรือการลดความวิตกกังวล เกี่ยวกับความกลัว ๓.๓ ลักษณะสำคัญของพัฒนาการทางจริยธรรม คือ พัฒนาการจะเป็นสากล มีขั้นตอน เหมือนกันทุกวัฒนธรรม เพราะในทุกวัฒนธรรมมีการปฏิสัมพันธ์กัน ในสังคมมีการสวมบทบาท (Role Taking) และมีความขัดแย้งในสังคมซึ่งต้องการการบูรณาการทางจริยธรรม (Moral Integration) เช่นเดียวกัน ๓.๔ กฎและเกณฑ์ปกติเบื้องต้นของจริยธรรม เกิดจากประสบการณ์ที่ได้รับจากการมี ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมากกว่าเกิดจากการสร้างกฎเกณฑ์ภายในตัวเอง จึงไม่นิยมขั้นพัฒนาการ แต่เกิด จากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตน (Self) กับคนอื่น ๓.๕ สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางจริยธรรม พิจารณาจากคุณภาพและ ขอบเขตทั่วๆ ไปของสิ่งเร้าทางพุทธิปัญญา และทางสังคม ตลอดช่วงการพัฒนาการของเด็กมาก กว่าเดิมจากประสบการณ์เฉพาะอย่างจากพ่อแม่ หรือประสบการณ์ที่ได้จากวินัย การลงโทษ หรือ รางวัล
จรรจา สุวรรณทัต 168 ได้กล่าวไว้ว่า การพัฒนาการทางจริยธรรม หมายถึง การเจริญ เติมโตของบุคคลในการเข้าสังคม ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างหนึ่งในชาติประกอบด้วยความเข้าใจ ในบทบาทและหน้าที่ของบุคคลที่มีต่อผู้อื่น และสังคมโดยรวม การพัฒนาการทางจริยธรรมส่วนหนึ่ง ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของพันธุกรรม การพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะทำให้บุคคลมีสติปัญญาในการเข้า ใจความคาดหวังของสังคมเข้าใจตนเองเพียงพอในระดับที่จะช่วยให้เกิดการพัฒนาจริยธรรม จากขั้น ต่ำไปยังขั้นสูงต่อๆ ไปได้ ดังนั้น ความรวดเร็วในการพัฒนาจริยธรรมของบุคคลจึงมีบางส่วนขึ้นอยู่กับ การพัฒนาทางสติปัญญา ได้แก่ การจดจำ การรับรู้ และการกระทำ อย่างไรก็ดีอัตราการพัฒนา จริยธรรม ซึ่งจะดำเนินไปได้เร็วหรือช้าส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางสังคมวัฒนธรรมของ บุคคล แหล่งกำเนิดสำคัญของจริยธรรม ได้แก่ สังคมหรือผู้แวดล้อมบุคคล จุดกำเนิดเริ่มถูกฟูมฟัก ให้แก่ตัวขึ้นในตัวบุคคลแรกเกิด โดยกระบวนการเรียนรู้ กล่าวคือ บุคคลเริ่มค่อยเรียนรู้เกี่ยวกับ สิ่งแวดล้อมที่เป็นตัวบุคคลและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เท่าที่พัฒนาการทางประสาทสัมผัสต่างๆ ของตนจะ สามารถเอื้อให้ได้ นักทฤษฎีพัฒนาการทางสังคมเชื่อว่าพัฒนาการทางจริยธรรมจะมีขึ้นในช่วงสิบปี แรกและพัฒนาการทางจริยธรรมนี้จะเป็นรากฐานฝังลึกยากต่อการที่บุคคลจะปลี่ยนแปลงในช่วงหลัง ของชีวิต สามารถปรับและเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์โดยไม่ขึ้นอยู่กับอายุของ บุคคล และนักทฤษฎีจริยธรรมได้เห็นพ้องกันว่าแหล่งที่มาสำคัญซึ่งก่อให้เกิดจริยธรรมในบุคคลก็คือ การเรียนรู้จากสังคมนั่นเอง ซึ่งแตกต่างกัน ดวงเดือน พันธุมนาวิน169 ได้กล่าวถึง แหล่งกำเนิดของจริยธรรมของบุคคลมีต้นเหตุ มาจากอิทธิพลของพันธุกรรม กล่าวคือ บุคคลที่เกิดมาแต่ละสังคมจะต้องเรียนรู้และยอมรับจริยธรรม ประเพณีในสังคมของตน ซึ่งจะแตกต่างจากจริยธรรมประเพณีของสังคมอื่นๆ ไม่มากก็น้อย ฉะนั้นจึง เห็นได้ว่าแหล่งกำเนิดที่สำคัญของจริยธรรมของบุคคลก็คือสังคม หรือผู้แวดล้อมนั่นเอง รากฐานการ เกิดจริยธรรมจะเริ่มก่อตัวขึ้นในทารกตั้งแต่เกิดโดยการเรียนรู้เกี่ยวกับบุคคลอื่นทีละน้อยตามที่ พัฒนาการทางประสาทสัมผัสต่าง ๆ ซึ่งจะอำนวยให้ นักทฤษฎีพัฒนาทางสังคมหลายคนเชื่อว่า พัฒนาการทางจริยธรรมจะเกิดขึ้นในช่วงแรกของชีวิตมนุษย์คือในช่วงสิบปีแรก และจะฝังรากลึกยาก แก่การเปลี่ยนแปลงในช่วงหลัง ๆ ของชีวิตแต่มีนักทฤษฎีการเรียนรู้ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าลักษณะ และการกระทำต่าง ๆ ของมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์โดยที่ ไม่ได้จำกัดอายุ ถึงแม้ว่าการศึกษาจริยธรรมจะยุ่งยากซับซ้อนมากอันเป็นเหตุให้เกิดทฤษฎี และ ข้อคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป แต่ผู้ค้นคว้าทางจริยธรรมได้เห็นพ้องกันในลักษณะที่สำคัญของ จริยธรรม คือ ยอมรับจริยธรรมของบุคคลนั้นมีเจริญขึ้นเป็นลำดับอย่างเห็นได้ชัดจากวัยทารกไปถึง วัยผู้ใหญ่ และนักทฤษฎีทางจริยธรรมยังเชื่อว่าการพัฒนาทางจริยธรรมของบุคคลมีลำดับขั้นตอนเป็น แบบอย่างที่คล้ายคลึงกัน นอกจากนี้ยังลดความเห็นว่าต้นกำเนิดและแหล่งที่ก่อให้เกิดการพัฒนาการ ทางจริยธรรมนั้นอยู่ที่การเรียนรู้จากสังคมเป็นสำคัญ 168 จรรยา สุวรรณทัต, เอกสารการสอนชุดวิชาการแนะแนวกับคุณภาพชีวิตหน่วยที่ ๑-๘, (นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๓๓), หน้าที่ ๑๐๐ – ๑๐๑. 169 ดวงเดือน พันธุมนาวิน, พฤติกรรมศาสตร์ เล่ม ๒ จิตวิทยาและจิตวิทยาภาษา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๔), หน้า ๕-๖.
ดวงเดือน พันธุมนาวิน และเพ็ญแข ประจนปัจจนึก170 ได้กล่าวถึง ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง กับต้นเหตุและพัฒนาการของจริยธรรมได้เป็น ๓ ประเภท คือ ๑. ทฤษฎีอิทธิพลของสังคมต่อพัฒนาการทางจริยธรรม ทฤษฎีนี้เกิดความเชื่อที่ว่าสังคม มีส่วนในการปั้นมนุษย์ให้มีลักษณะต่าง ๆ กันตามแต่ว่ามนุษย์นั้นจะอยู่สังคมใด เด็กเล็ก ๆ จะเรียนรู้ ว่าอะไรชั่วจากผู้อื่นที่อยู่ใกล้ชิดซึ่งเป็นตัวแทนของสังคม ด้วยขบวนการเทียบเคียง (Identification) เด็กจะใช้วิธีการเรียนแบบผู้ที่มีอำนาจและผู้ที่ตนรักจนในที่จุดจะยอมรับกฎเกณฑ์ของสังคมมาเป็น หลักปฏิบัติของตนโดยอัตโนมัติ ๒. ทฤษฎีพัฒนาการลักษณะที่ส่งเสริมจริยธรรม ทฤษฎีนี้เกิดจากความเชื่อว่าการพัฒนา การทางสติปัญญาและอารมณ์เป็นรากฐานของการพัฒนาการทางจริยธรรม จริยธรรมของเด็กจะ เจริญขึ้นตามความเจริญของความสามารถทางการรับรู้ (Cognitive Ability) สติปัญญาและอารมณ์ ของเด็ก นักจิตวิทยากลุ่มนี้ คือ เพียเจท์กับโคลเบิร์ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโคลเบิร์กได้ทำการศึกษาและ พบความสัมพันธ์ระหว่างจริยธรรมกับระดับสติปัญญาลักษณะมุ่งไปสู่อนาคต และความสามารถใน การควบคุมตนเองจากทฤษฎีที่ใช้จริยธรรมโดยสิ้นเชิง ๓. ทฤษฎีการเรียนรู้สังคม คือ ทฤษฎีที่อธิบายวิธีการและขบวนการที่บุคคลได้รับ อิทธิพลจากสังคม ทำให้เกิดการยอมรับลักษณะและกฎเกณฑ์ทางสังคมมาเป็นลักษณะของตน ซึ่ง ทฤษฎีนี้ได้นำเอาหลักการเสริมแรง(Principle of Reinforcement) และหลักการเชื่อมโยง (Principle of Association) มาใช้อธิบายปรากฏการณ์สังคม กล่าวคือ จริยธรรมกำหนดขึ้นหรือ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเรียนรู้โดยบังเอิญ และการเลียนแบบทฤษฎีนี้จะทำ ให้เกิดความสำคัญแก่ลักษณะของสถานการณ์ ซึ่งจะเป็นเครื่องกระตุ้นให้บุคคลกระทำซึ่งจนกลายเป็น ลักษณะนิสัยของเขาไปในที่สุด กรมสามัญศึกษา171 ได้กล่าวถึงแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนาการทางจริยธรรม ว่ามี ๒ แนวคิด คือ ๑. แนวคิดการเรียนรู้ทางสังคม ซึ่งเชื่อว่าสังคมมีอิทธิพลอย่างยิ่ง ต่อพัฒนาการทาง จริยธรรมของบุคคล กล่าวคือ บุคคลจะมีจริยธรรมในคุณภาพและปริมาณใด ๆ ย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะ และกฎเกณฑ์ของสังคมนั้น ๆ ๒. แนวคิดพัฒนาการทางสติปัญญา เชื่อว่าความพร้อมที่จะมีความเจริญทางจิตใจนั้น แฝงอยู่กับตัวบุคคลตั้งแต่แรกเกิด เมื่อเติบโตขึ้นลักษณะทางจริยธรรมของบุคคลนั้นจะเริ่มแสดงตัว เด่นชัด นักทฤษฎีกลุ่มนี้ คือ เพียเจท์และโคลเบิร์ก สรุปได้ว่า การพัฒนาการทางจริยธรรมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทั้งหลายทั้งปวงของ บุคคล พัฒนาของบุคคลทุกด้านไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย สติปัญญา สังคม อารมณ์ การศึกษาและ จริยธรรมล้วนแต่ก็มีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกัน การพัฒนาจริยธรรมก็เช่นเดียวกับการพัฒนาการ 170 ดวงเดือน พันธุมนาวิน และเพ็ญแข ประจนปัจจนึก, จริยธรรมของเยาวชนไทย: แผนงานวิจัย ฉบับที่ ๒๑,สถาบันพฤติกรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร, ๒๕๒๐), หน้า๖-๑๓. 171 กรมสามัญศึกษา, แนวทางการพัฒนาวัฒนธรรมไทย, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๒๓), หน้า ๑๑.
ทางด้านอื่นๆ ของมนุษย์ กล่าวคือ การพัฒนาด้านนี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการเตรียมการไว้อย่างเป็น ระบบดูแลรักษาและส่งเสริมจนให้เกิดขึ้นอย่างมั่นคง และต่อเนื่องด้วยการพัฒนาจริยธรรมนี้เป็นส่วน หนึ่งที่ไม่อาจแยกออกได้ ซึ่งจากการพัฒนาชีวิตทั้งหมดของบุคคลทำให้เกิดความสมบูรณ์ทั้งปัญญา อุดมการณ์ต่อการพัฒนาความดีความงามและความเหมาะสมของชีวิต ๔.๓ กฎหมายและแผนพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและคุณธรรม ระบบการศึกษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย172 ได้บัญญัติถึงสิทธิของบุคคลใน การรับการศึกษาไม่น้อยกว่า ๑๒ ปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย โดยรวมถึงผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก ต้องได้รับการสนับสนุนจาก รัฐเพื่อให้ได้รับการศึกษาโดยทัดเทียมกับบุคคลอื่นด้วย การจัดการศึกษาอบรมขององค์กรวิชาชีพหรือ เอกชนการศึกษาทางเลือกของประชาชน การเรียนรู้ด้วยตนเอง และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ย่อมได้รับ ความคุ้มครองและส่งเสริมที่เหมาะสมจากทางรัฐ พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการจัดตลอดชีวิต ย่อม ได้รับความคุ้มครองและส่งเสริมที่เหมาะสมจากรัฐ พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษาใน ทุกระดับ และทุกรูปแบบให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และทางสังคม โดยจัดให้มี แผนการศึกษาแห่งชาติ กฎหมายเพื่อพัฒนาการศึกษาของชาติ จัดให้มีการพัฒนาคุณภาพครูและ บุคลากรทางการศึกษาให้ก้าวหน้าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก รวมทั้งปลูกฝังที่ให้ผู้เรียนมี จิตสำนึกของความเป็นไทย มีระเบียบวินัยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม และยึดมั่นในการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่งเสริมและสนับสนุนการกระจายอำนาจ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน องค์การทางศาสนา และเอกชน จัดและมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาเพื่อพัฒนามาตรฐานคุณภาพการศึกษาให้เท่าเทียม และสอดคล้องกับแนวนโยบายพื้นฐาน แห่งรัฐ เป็นต้น ในการนี้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้กำหนดบทบัญญัติไว้ในหมวดต่างๆ ทั้งในเรื่องของความมุ่งหมายและหลักการ สิทธิ และหน้าที่ ทางการศึกษา ระบบการศึกษา การบริหารและการจัดการศึกษา มาตรฐานและการ ประกันคุณภาพการศึกษา ระบบการศึกษา การบริหารและการจัดการศึกษา ทรัพยากรและการลงทุน เพื่อการศึกษา และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา บทบัญญัติดังกล่าวส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการศึกษา ไทยทั้งระบบ คณะรัฐมนตรีได้ประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๔๕ – ๒๕๕๙) ซึ่งเป็นแผน ระยะยาวภายใต้บทบัญญัติของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติดังกล่าว ที่ใช้เป็นแนวทางการจัดทำ แผนพัฒนาการศึกษาขององค์กรทางการศึกษาทั้งในทางระดับกระทรวง เขตพื้นที่การศึกษา และ สถานศึกษาที่เน้นปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยึดทางสายกลางบนพื้นฐานของความสมดุลพอดี รู้จักประมาณอย่างมีเหตุผล มีความรอบรู้เท่าทันโลก เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เพื่อมุ่งให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและความอยู่ดีมีสุขของคนไทย โดยยึด “คน” เป็นศูนย์กลางการพัฒนาโดยมีวัตถุประสงค์และแนวนโยบาย ดังนี้ 172 ศึกษาธิการ, กระทรวง. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับที่ ๒) แก้ไข เพิ่มเติม ๒๕๔๕. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ครุสภา ลาดพร้าว.๒๕๔๕). หน้า ๕๕-๖๗.
๑. พัฒนาคนอย่างรอบด้านและสมดุล แนวนโยบาย พัฒนาทุกคนให้มีโอกาสเข้าถึงการ เรียนรู้ ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อผู้เรียน ปลูกฝังและเสริมสร้างศีลธรรม คุณธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ และ พัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพึ่งพาตนเองและเพิ่ม สมรรถนะในการแข่งขัน ๒. สร้างสังคมคุณธรรม ภูมิปัญญา และการเรียนรู้ แนวนโยบาย พัฒนาสังคมแห่งการ เรียนรู้ เพื่อสร้างความรู้ ความคิด ความประพฤติ และคุณธรรมของคน ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา และ สร้างสรรค์ประยุกต์ใช้ และเผยแพร่ความรู้และการเรียนรู้ ๓. พัฒนาสภาพแวดล้อมของสังคม แนวนโยบาย ส่งเสริมและสร้างสรรค์ทุนทางสังคม และวัฒนธรรม จำกัด ลด ขจัดปัญหาทางโครงสร้างเพื่อความเป็นธรรมในสังคม พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อ การศึกษา และจัดระบบทรัพยากรและการลงทุนทางการศึกษา ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๐ – ๒๕๕๔) ได้กำหนด วิสัยทัศน์ประเทศไทย มุ่งพัฒนาสู่ “สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน (Green and Happiness Society) “คนไทยมีคุณธรรมนำความรู้ รอบรู้เท่าทันโลก ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง สังคมสันติสุข เศรษฐกิจมีคุณภาพ เสถียรภาพและเป็นธรรม สิ่งแวดล้อมมีคุณภาพและทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน อยู่ ภายใต้ระบบบริหารจัดการประเทศที่มีธรรมาภิบาลดำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่มี พระมหากษัตริย์เป็นประมุขและอยู่ในประชาคมโลกได้อย่างมีศักดิ์ศรี โดยมีเป้าหมายการพัฒนา คุณภาพคน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา โดยให้คนไทยทุกคนได้รับการพัฒนาทั้งทางร่างกาย จิตใจ ความรู้ ความสามารถ ทักษะการประกอบอาชีพ และมีความมั่นคงในการดำรงชีวิตครอบคลุมทุก กลุ่มเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้ตนเองที่จะนำไปสู่ความเข้มแข็งของครอบครัว ชุมชน และ สังคมไทย โดยเพิ่ม จำนวนปี การศึกษาเฉลี่ยของคนไทยเป็น ๑๐ ปี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาหลัก ของทุกระดับสูงกว่าร้อยละ ๕๕ เพิ่มกำลังแรงงานระดับกลางที่มีคุณภาพเป็นไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖๐ ของกำลังแรงงานทั่วประเทศ และจำนวนบุคลากรด้านการวิจัย ๑๐ คน ต่อประชากร ๑๐,๐๐๐ คน ทั้งนี้ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพคนและสังคมไทยสู้สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนที่มีคุณธรรมนำความรู้ ส่งเสริมให้คนไทยเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตลอดชีวิต และสามารถจัดการองค์ความรู้ทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่นและองค์ความรู้สมัยใหม่ กระแสโลกาภิวัตน์ส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษา เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการสื่อสาร โดยด้านสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงเอกลักษณ์และภาษา ด้านวัฒนธรรม เกิดการซึมซับวัฒนธรรมสากลมากขึ้น วัฒนธรรมโลกใหม่เป็นวัฒนธรรมที่มีลักษณะพึงพาอาศัยกัน มี มาตรฐานและแบบแผนเดียวกันมาขึ้น ประชากรมีการย้ายถิ่นมากขึ้น การเคลื่อนย้ายแรงงานเป็นไป อย่างรวดเร็ว ลักษณะงานในอนาคตจะมีการกระจายการผลิตเป็นชิ้นส่วน เรื่องของคุณภาพและ ประหยัดต้นทุนจะเป็นปัจจัยสำคัญของการผลิตและการแข่งขัน แรงงาน และความรู้จึงจำเป็นต่อ เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ รวมทั้งการเคลื่อนจากวัยแรงงานสู่วัยสูงอายุมากขึ้นจากผลของ การพัฒนาทางการแพทย์ การสาธารณะสุขและวางแผนครอบครัว เศรษฐกิจขยายตัวด้านการเงินและ การธนาคารอย่างกว้างขวาง เกิดการค้าเสรี การลงทุนข้ามชาติ สถาบันการเงินขนาดใหญ่มีอิทธิพลใน ระดับโลก วิกฤตการณ์น้ำมันส่งผลต่ออำนาจ การต่อรองของกลุ่มผลประโยชน์ ส่งผลต่อรายได้ของ
ประชากรและของประเทศทั่วโลกด้านการเมืองที่มีความสัมพันธ์เชิงอำนาจ มีอิทธิพลเหนือระดับ ภูมิภาคภายใต้การรวมกลุ่มของประเทศมหาอำนาจ ลัทธิก่อการร้ายสากลแผ่ขยายไปทั่วโลก มีการ ทำลายร้างและก่อความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นด้านสิ่งแวดล้อม เกิดการใช้และเผาผลาญทรัพยากรส่งผล ให้เกิดกระแสโลกร้อน อุบัติภัยทางธรรมชาติที่รุนแรง เกิดโรคระบายใหม่ เช่น โรคเอดส์ โรคซาร์ ไข้หวัดนก ที่ต้องหาทางป้องกัน ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการสื่อสาร ที่เจริญรุดหน้าไม่หยุดยั้ง เกิด ครือข่ายเชื่อมโยงถึงกันในพริบตาทั้งด้านข้อมูลข่าวสาร และความรู้ด้วยกลไกลจากคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์ วิทยุ โดยเฉพาะความรู้มีบทบาทอย่างสำคัญจนกลายเป็นกระแสควบคุม เศรษฐกิจและสังคมโลก เกิดการแข่งขันกันอย่างเสรี เกิดกระแสเศรษฐกิจ- สังคมฐานความรู้ เรื่องของ การเรียนรู้ตลอดชีวิต และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้มีบทบาทอย่างยิ่งในยุคโลกาภิวัตน์ บริบทและ ปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวล้วนมีอิทธิพล ส่งผลต่อการศึกษาที่ต้องการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาทั้งการศึกษา ในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยที่เน้นในเรื่องของมาตรฐานและคุณภาพ เพื่อการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์และการแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ปัญหาการศึกษา แม้ว่าองค์กร หน่วยงานทางการศึกษา ทั้งระดับนโยบายและระดับ ปฏิบัติจะได้มีดำเนินการจัดการศึกษาภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่โดยภาพรวมพบว่าคน ไทยทุกคนยังไม่สามารถรับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีคุณภาพ โดยปีการศึกษา ๒๕๔๘ มีคนไทยวัย การศึกษาขึ้นพื้นฐานได้รับการศึกษาภาคบังคับเพียงร้อยละ ๙๖.๖ ของประชากรกลุ่มอายุ ๖ – ๑๔ ปี และผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายคิดเป็นร้อยละ ๕๙.๓ ของประชากรกลุ่มอายุ ๑๕ – ๑๗ ปี โดยมีจำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยของคนไทยเพียง ๘.๓ ปี คณะที่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานปีการศึกษา ๒๕๔๘ ทั้งระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา พบว่า ผลสัมฤทธิ์วิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาหลัก และเป็นกลไกลเพิ่มความสามารถในการแข่งขันขั้นต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ ทุกวิชา โดยเฉพาะวิชา ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิชาวิทยาศาสตร์ ต่ำกว่าร้อยละ ๓๕ นอกจากนั้น จากการประเมิน คุณภาพการศึกษาของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาจำนวน ๓๐,๐๑๐ แห่ง ได้มาตรฐานเพียงร้อยละ ๓๕ เท่านั้น โดยด้านที่ไม่ได้มาตรฐานได้แก่ ผู้เรียน ไม่ได้มาตรฐาน เกี่ยวกับความสามารถในการคิดอย่าเป็นระบบ ความรู้และทักษะที่จำเป็นตามหลักสูตร ทักษะการ แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รักการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ทักษะการทำงาน รักการ ทำงาน สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น ด้านผู้บริหาร ไม่ได้มาตรฐานเกี่ยวกับการบริหารวิชาการ โดยเฉพาะการมีหลักสูตรที่เหมาะกับผู้เรียนและท้องถิ่น การมีสื่อการเรียนการสอนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ การส่งเสริมกิจกรรมการเรียนการสอน ด้านครู ไม่ได้มาตรฐานเกี่ยวกับความสมารถในการจัดการเรียน การสอนที่มีคุณภาพและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและความไม่พอเพียงของครู ในด้านการอาชีวศึกษา สถานศึกษา อาชีวศึกษา ไม่เป็นแหล่งวิชาการทางอาชีพแก่ชุมชน และทางสังคมเท่าที่ควร รวมทั้งไม่ สามารถจัดการศึกษารองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและการพัฒนาประเทศอย่างมี ประสิทธิภาพ ส่วนระดับอุดมศึกษา ผลการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษานานาชาติ ของสถาบันจัด อันดับมหาวิทยาลัยนานาชาติในปี ๒๕๔๘ มีสถาบัน อุดมศึกษาไทยเพียงแห่งเดียวติดอันดับใน ๒๐๐ อันดับแรก
อนึ่ง จากการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขั้นนานชาติของสถาบันนานชาติซึ่งว่า ด้วยการพัฒนาการจัดการ (IMD) ด้านการศึกษาของไทยลดลงโดยลำดับ โดยอยู่ในอันดับ ๔๖ จาก ๖๐ ประเทศ ในปี ๒๕๔๘ และอันดับ ๔๘ จาก ๖๑ ประเทศในปี ๒๕๔๙ นับเป็นวิกฤตการณ์อย่างยิ่ง ของคุณภาพการศึกษาไทย ขณะเดียวกันการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติในหลายประการยัง ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม อาทิเช่น การจัดตั้งกองทุนต่าง ๆ และหน่วยงานทาง เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา การกระจายอำนาจไปสู่เขตพื้นที่ การศึกษาสถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การส่งเสริมให้เอกชน ครอบครัว ชุมชน สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันทางสังคมอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้ มากขึ้น เป็นต้น ดังนั้น ด้วยเหตุผลและความจำเป็นดังกล่าว จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาการศึกษาเพื่อ รองรับก้าวให้ทัน และนำการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ในฐานะที่การศึกษามีบทบาทอย่างสำคัญต่อการ พัฒนาประเทศในยุคของสังคม และเศรษฐกิจฐานความรู้ จึงจำเป็นต้องจัดทำกรอบทิศทางการ พัฒนาการ ศึกษาในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๐ – ๒๕๕๔) ที่สอด คล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๔๕ – ๒๕๕๙ ) เพื่อเป็นกรอบการพัฒนาการศึกษา ขององค์กร / หน่วยงานทางการศึกษาต่อไป ๔.๔ หลักธรรมในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม ศีลธรรม173 คือ วิธีการกระทำหรือปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลของการกระทำนั้น ๆ ถ้าการ กระทำดี ย่อมจะก่อให้เกิดผลที่ดีได้ผลที่ดีดังกล่าวคือ ความสุขนั่นเอง วิธีการกระทำที่ดีจึงเป็นการ กระทำตามหลักศีลธรรม ในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ตรัสสอนโดยเน้นการกระทำ หรือหลักการ เช่นเดียวกันแต่การกระทำทุกอย่างจะต้องมีสติ คือ ระลึกอยู่เสมอว่าจะทำ พูดหรือคิดสิ่งใด และ จะต้องมีปัญญา คือ ความรู้รอบ รู้อย่างรอบคอบ รู้ให้ถ้วนถี่อีกด้วย การกระทำเช่นนั้นจะให้ผล เป็นอย่างไร ทุกข์หรือสุข ถ้ารู้ว่าจะให้ผลเป็นสุขทั้งแก่ตนและสังคมแล้ว จึงควรกระทำใน ประโยชน์ตนแลสังคม แม้จะไม่ได้ประโยชน์แต่ตน หากแต่ได้ประโยชน์แก่สังคม พระพุทธองค์ยังให้ เลือกเอาประเด็นหลัง แต่ถ้ารู้แน่แก่ใจว่าจะเกิดความทุกข์โทษแล้ว ควรเว้นให้ห่างไกล ดังนั้น ในหลัก คำสอนของพระพุทธศาสนา พุทธองค์จึงตระหนักยิ่งทั้งในหลักการและผลที่จะเกิดขึ้นด้วย ดังพระ พุทธองค์ตรัสไว้ว่า174 “ผู้มีปัญญาควรรักษาจิตที่เห็นได้ยากยิ่ง ละเอียดยิ่ง ย่อมไปหาแต่อารมณ์ที่ปรารถนา เพราะจิตที่คุ้มครองแล้วย่อมนำสุขมาให้” ฉะนั้นหลักในการประพฤติที่จะต้องมีความสุข เพราะความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ปรารถนา อันเป็นผล แต่จะเกิดผลได้จะต้องมีหลักการที่จะต้องปฏิบัติ ในพระพุทธศาสนาคฤหัสถ์ หรือชาวบ้าน จะต้องมีความสุขได้ต้องพยายามปฏิบัติตามหลัก เบญจศีล เบญจธรรม อันเป็นธรรมที่ให้บุคคลเป็น มนุษย์สมบูรณ์ได้ 173 บุญมี แท่นแก้ว, จริยศาสตร์, หน้า ๑๒๕. 174 ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๖/๓๖.
เบญจศีล มาจากคำสองคำ175 คือคำว่า เบญจ แปลว่า ๕ และคำว่า ศีล แปลว่า ปกติ รวมเป็น เบญจศีล คือ ศีล ๕ ประการ หมายถึงการรักษากายวาจาให้เป็นปกติ โดยสรุป ได้แก่การงดเว้นจากการทำความชั่วทั้งปวงนั่นเอง ศีลนั้นเป็นข้อปฏิบัติเบื้องต้น เพื่อคอยควบคุม ความประพฤติให้เรียบร้อยดีงาม ไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่น รวมทั้งสังคมส่วนรวม เป็นคุณธรรมที่ช่วยผดุงสังคมให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขไร้ทุกข์ภัย ทำให้สังคมมนุษย์มีความรักความ ปรารถนาดีต่อกัน เคารพในสิทธิของกันและกัน ดังนั้น ศีลจึงถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับมนุษย์ทุกคนที่ จะต้องประพฤติปฏิบัติ เบญจศีลนั้นมี ๕ ประการ ได้แก่176 ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ๒. อทินนาทานา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการลักทรัพย์ ๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดทางประเวณี ๔. มุสาวาทา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการกล่าวเท็จ ๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการดื่มสุราเมรัยและของเมา เบญจศีลทั้ง ๕ ข้อนี้ ท่านจัดเป็นสิกขาบท คือ ข้อที่พึงศึกษาและปฏิบัติมิให้ขาดหรือ ด่างพร้อยด้วยประการทั้งปวง เบญจธรรม แปลว่า ธรรม ๕ ประการ เป็นธรรมข้อที่ควรปฏิบัติคู่กับเบญจศีล หรือ ศีล ๕ ประการ เบญจธรรมนี้เป็นข้อปฏิบัติที่สนับสนุนให้การรักษาเบญจศีลมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จัดเป็นคู่ ๆ ได้ดังต่อไปนี้177 ข้อที่ ๑ เมตตากรุณา หมายถึง ความคิดปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ปราศจากความ ทุกข์ด้วยประการทั้งปวง ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่นให้ลำบากเดือดร้อน เมื่อผู้อื่นมีทุกข์ก็พลอยหวั่นใจไป ด้วย เป็นคุณธรรมที่ส่งเสริมให้มนุษย์ในสังคมมีความเมตตาปรานีและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน เช่น บิดา มารดา มีความรักในบุตร ไม่คิดอาฆาตพยาบาทต่างๆ เป็นต้น เบญจธรรมนี้คู่กับเบญจศีลข้อที่ ๑ คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ ข้อที่ ๒. สัมมาอาชีวะ หมายถึง การเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง คุณธรรมข้อนี้เป็นเครื่องสนับสนุนให้ผู้มีศีลสามารถรักษาศีลไว้ได้อย่างมั่นคง การเลี้ยงชีพในทางที่ ชอบ เช่น การทำมาหากินโดยสุจริตเที่ยงธรรม เว้นจากมิจฉาอาชีวะที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ ผู้อื่นและสังคมทั่วไป เบญจธรรมข้อนี้คู่กับเบญจศีลข้อที่ ๒ คือการเว้นจากการลักทรัพย์ ข้อที่ ๓ กามสังวร หมายถึง ความสำรวมระวังในกามให้ยินดีพอใจในคู่ครองของตน เท่านั้น ชายที่มีภรรยาแล้วไม่พึงประพฤตินอกใจภรรยาเป็นเด็ดขาด และต้องเอาใจใส่ยกย่องภรรยา ตามสมควรแก่ฐานะ และภรรยาก็ต้องดูแลปรนนิบัติ เอาอกเอาใจสามีให้มีความสุข เบญจธรรมข้อนี้ คู่กับเบญจศีลข้อที่ ๓ คือ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม 175 สำนักงานคุณธรรมจริยธรรม กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนาธรรม, ธรรมศึกษาชั้นตรี ฉบับ ปรับปรุงใหม่ที่ประกาศใช้ปัจจุบัน, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด, ๒๕๔๙), หน้า ๑๓๖. 176 ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๘๖/๒๓๓. 177 คณาจารย์สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง, หนังสือเรียนธรรมศึกษาชั้นตรี ฉบับมาตรฐาน บูรณาการ ชีวิต, ( กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง,๒๕๕๒), หน้า ๒๒๘.
ข้อที่ ๔ สัจวาจา หมายถึง ความมีสัตย์ คือ มีความจริงใจ ซื่อตรงทั้งต่อตนเอง มิตร สหาย และเพื่อนร่วมงาน รักษาสัจจะเท่าชีวิต มีความสุจริตยุติธรรมในใจ พูดคำไหนเป็นคำนั้น ผิดก็ยอมรับผิด ถูกก็ว่าไปตามนั้น ไม่มีลำเอียง เป็นผู้มีวาจาสัตย์เป็นที่เชื่อถือได้ ไม่กลับไปกลับมา อันจะมีผลทำให้ผู้อื่น เชื่อถือในถ้อยคำ ยอมรับนับถือในความสุจริต เบญจธรรมข้อนี้คู่กับเบญจศีล ข้อที่ ๔ คือ เว้นจากการพูดเท็จ ข้อที่ ๕ สติสัมปชัญญะ หมายถึง ความมีสติรอบคอบฝึกฝนตนเองมิให้หลงประมาทมัว เมา สติ ได้แก่ ความระลึกได้ในขณะที่ทำ พูด คิดอะไรก็ตาม ต้องพยายามตั้งสติให้ดี สัมปชัญญะ ได้แก่ ความรู้สึกตัวในขณะที่ทำ พูด หรือคิด เช่นเดียวกัน สติสัมปชัญญะนั้นเป็นธรรมที่มาคู่กัน เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก คือไม่เกิดความประมาทพลั้งเผลอ เมื่อจะทำ จะพูด จะคิด ก็จะเป็นไป ด้วยความเรียบร้อยตามหลักธรรม เบญจธรรมข้อนี้คู่กับ เบญจศีลข้อที่ ๕ คือ เว้นจากการดื่มสุรา และเมรัย สรุปแล้วเบญจศีล เบญจธรรม จึงเป็นหลักธรรมที่จะต้องปฏิบัติคู่กัน หลักเบญจศีลนั้นให้ มนุษย์ละเว้นจากการไม่ประพฤติชั่ว เมื่อไม่ประพฤติชั่วแล้วจะต้องพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น เป็นการ พัฒนาตนเองดังนั้นจะต้องมีปฏิบัติตามหลักเบญจธรรมด้วย จึงจะถือว่าเป็นผู้ประพฤติดี ในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม และการประพฤติตนให้เป็นประโยชน์แต่สังคม หรือ ส่วนรวมจะทำให้สำเร็จ และให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานในด้านที่ดีนั้น จะต้องมีคุณธรรมที่จะ ช่วยให้สำเร็จ หรือความเจริญก้าวหน้าในทางด้านคุณธรรมจริยธรรมดังประสงค์ คือ อิทธิบาท ๔ ประการ 178 ได้แก่ ๑. ฉันทะ ความพึงพอใจหรือต้องการที่จะทำ หรือใฝ่ใจจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และ ปรารถนาจะทำให้ได้ผลดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ๒. วิริยะ ความเพียรหรือขยันหมั่นเพียรประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม แข็งขันอดทน เอาธุระ ไม่ท้อถอย ๓. จิตตะ ความคิดหรือตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำและทำสิ่งนั้นด้วยความคิดไม่ปล่อยใจให้ ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป ๔. วิมังสา ความไตร่ตรองหรือทดลอง ได้แก่ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตรา หาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้นมีการวางแผนวัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง ผู้มีคุณธรรม ๔ ประการ ย่อมเจริญก้าวหน้าในชีวิตเป็นอย่างดี เราอยู่ในสังคมเดียวกัน มี มนุษยธรรม คือ เบญจศีล เบญจธรรม เป็นพื้นฐานชีวิต ครุ่นคิดใน กุศลกรรมบถ คือทางก่อความดี งาม ความฉลาด ซึ่งจะทำให้มนุษย์เราประพฤติดีอยู่ในศีลธรรม กุศลกรรมบถ กรรมที่เป็นทางแห่งกุศล ทางที่ผู้ใดทำแล้วถือว่าเป็นการทำความดี มี ๑๐ ประการ คือ179 ทางกายกรรม ๓ ได้แก่ ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี (เว้นจากการฆ่าสัตว์) 178 ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๖/๒๗๗. 179 ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๗/๓๖๒.
๒. อทินนาทานาทานา เวรมณี (เว้นจากการลักทรัพย์) ๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี (เว้นจากการประพฤติผิดในกาม) ทางวจีกรรม ๔ ได้แก่ ๑. มุสาวาทา เวรมณี (เว้นจากการพูดเท็จ) ๒. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี (เว้นจากการพูดส่อเสียด) ๓. ผรุสาย วาจาย เวรมณี (เว้นจากการพูดคำหยาบ) ๔. สัมผัปปลาปา เวรมณี (เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ) ทางมโนกรรม ๓ ได้แก่ ๑. อนภิชฌา (ไม่โลภอยากได้ของเขา) ๒. อพยาบาท (ไม่ปองร้ายเขา) ๓. สัมมาทิฏฐิ (ไม่เห็นผิดจากคลองธรรม) เมื่อมนุษย์เราก่อความดีงาม ก็จะมีความเจริญก้าวหน้า เมื่อเห็นความเจริญก้าวหน้าของ มวลมนุษย์ทางด้านคุณธรรมจริยธรรมแล้ว ควรยอมรับนับถือชื่นชมยินดีในความสามารถนั้น ๆ ของ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ควรมี อคติ คือความลำเอียงไม่ยุติธรรม อคติคือ ความลำเอียง ความเอนเอียงเข้าข้าง วางตัวใจไม่เป็นกลาง ไม่มีความยุติธรรม ๔ ประการ180 ได้แก่ ๑. ฉันทาคติ – ลำเอียงเพราะรัก ๒. โทสาคติ – ลำเอียงเพราะชัง ๓. โมหาคติ – ลำเอียงเพราะเขลา (หูเบา) ๔. ภยาคติ– ลำเอียงเพราะกลัว อคติทั้ง ๔ เมื่อทำเข้าข้อใด ก็เป็นเหตุให้เสียความยุติธรรม ความเป็นผู้ใหญ่ทั้งสิ้น เพราะ เกรงว่าเขาจะดี หรือเจริญก้าวหน้ายิ่งกว่า ควรเป็นพรหมวิหารธรรม ซึ่งจัดเป็นผู้ประเสริฐ พรหมวิหาร คือ ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหม เป็นธรรมที่ท่านผู้ใหญ่ควรยึดถือไว้เป็น แนวปฏิบัติ เป็นธรรมที่ทำให้บุคคลผู้ประพฤติตามเป็นผู้ใหญ่ มี ๔ ประการ 181 ได้แก่ ๑. เมตตา – ความรักใคร่ ปรารถนาจะให้เป็นสุข ขจัดการปองร้ายผู้อื่นได้ ๒. กรุณา – ความสงสาร คิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ ขจัดความคิดเบียดเบียนผู้อื่นได้ ๓. มุทิตา – ความพลอยยินดี เมื่อผู้อื่นได้ดี ขจัดความไม่ยินดีต่อผู้อื่นได้ ๔. อุเบกขา – การวางเฉย ไม่ดีใจไม่เสียใจเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ ขจัดความ กระทบกระทั่งใจต่อผู้อื่นได้ ผู้ดีผู้ประเสริฐทางด้านคุณธรรมจริยธรรม จะต้องปฏิบัติ จะต้องบำเพ็ญให้มีในตนเป็น นิตย์ หรือเป็นปกตินิสัย ผู้ที่แผ่เมตตา จะทำให้ผู้นั้นมีเมตตากรุณาย่อมถึงความสมบูรณ์พูนสุขโดยนัย ตรงกันข้ามนี้ กระแสจิตอันระคนด้วยเมตตากรุณานั้นย่อมปรุงใจของผู้แผ่เมตตานั้นเองให้สงบเยือก 180 ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๑/๒๘๘. 181 สำนักงานคุณธรรมจริยธรรม กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนาธรรม, ธรรมศึกษาชั้นตรี ฉบับ ปรับปรุงใหม่ที่ประกาศใช้ปัจจุบัน, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด, ๒๕๔๙), หน้า ๓๓.
เย็น และในโอกาสเดียวกันก็ไปคลี่คลายความมุ่งร้ายในจิตใจของผู้คิดร้ายต่อเรา ให้คลาย ความเหี้ยมโหดลงด้วย พระพุทธองค์ทรงสรุปอานิสงส์ (ประโยชน์) ของเมตตาไว้ ๑๐ ประการ182 คือ ๑. นอนหลับสบาย ๒. ตื่นขึ้นก็สบาย ๓. ไม่ฝันร้าย ๔. เป็นที่รักของมนุษย์ ๕ เป็นที่รักของอมนุษย์ ๖. เทวดาคุมครองรักษา ๗. คุ้มกันอันตรายต่าง ๆ ๘. จิตใจตั้งมั่นด้วยดี ๙. ผิวพรรณผ่องใส ๑๐. ไม่ตายอย่างหลงใหลลืมสติ การอยู่ร่วมกันในสังคมก็จะมีความสุข ถ้าหากทุกคนเป็นผู้ประพฤติดี แต่อย่างไรก็ตาม การจะบังคับให้ทุกคนเป็นคนประพฤติดีด้วยกันหมดนั้นเป็นได้ยาก เพราะแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้กับนักเรียนจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากในสังคมปัจจุบัน เพื่อ ปลูกฝังให้นักเรียนเป็นผู้ที่มีมารยาทดี มีความเคารพในสิ่งที่ดีงาม มีสัมมาคารวะ ต่อผู้อื่น คารวะ คือ ความเคารพ ความนับถืออย่างหนักแน่น, ความเอื้อเฟื้อด้วยกิริยาที่นอบน้อม เช่น การลุกรับ ฯลฯ รวมถึงการประพฤติมารยาทอย่างอื่นด้วยความตั้งใจ ไม่กระด้างกระเดื่อง มี ๖ ประการ183 ได้แก่ ๑. พุทธคารวตา – ความเคารพนับถือพระพุทธเจ้า ๒. ธัมมคารวตา – ความเคารพนับถือพระธรรม ๓. สังฆคารวตา – ความเคารพนับถือพระสงฆ์ ๔. สิกขาคารวตา – ความเคารพเอื้อเฟื้อในการศึกษา ๕. อัปปมาทคารวตา – ความเคารพเอื้อเฟื้อในความไม่ประมาท ๖. ปฏิสันถารคารวตา – ความเคารพเอื้อเฟื้อในการทำปฏิสันถาร เมื่อนักเรียนรู้จักสัมมาคารวะ ให้ความเคารพได้อย่างถูกต้องแล้ว การอยู่ร่วมกันก็จะมี ความสุขในสังคม ทำให้เกิดความรักความสามัคคีให้หมู่คณะ เมื่อจากกันไปย่อมทำให้ระลึกถึงกัน สาราณิยธรรม คือ ธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน (เป็นที่เคารพนับถือของผู้อื่น สมานสามัคคีกลมเกลียวในหมู่คณะไว้ได้ เป็นไปเพื่อสงเคราะห์กันและกัน) มี ๖ ประการ คือ ๑. เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือช่วยขวนขวายในกิจธุระของเพื่อนกันด้วยกาย มีพยาบาลภิกษุไข้ เป็นต้น ด้วยจิตเมตตา 182 คณะญาติธรรมวัดป่าโสมพนัส, ทำวัตรเช้า - เย็น และมหาสติปัฏฐานสูตร แปล, ( สกลนคร : สำนักพิมพ์ใยไหม, ๒๕๕๐), หน้า ๒๓. 183 ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๔/๓๑๙-๓๒๒.
๒. เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือช่วยขวนขวายในกิจธุระของเพื่อนกันด้วยวาจา เช่น กล่าวสั่งสอน เป็นต้น ด้วยจิตเมตตา ๓. เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือคิดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนกัน ๔. แบ่งปันลาภที่ตนได้มาแล้วโดยชอบธรรมให้แก่เพื่อนภิกษุสามเณรไม่หวงไว้บริโภค จำเพาะผู้เดียว ๕. รักษาศีลบริสุทธิ์เสมอกันกับเพื่อนพระภิกษุสามเณรอื่นๆ ไม่ทำตนให้เป็นที่รังเกียจ ของผู้อื่น ๖. มีความเห็นร่วมกันกับภิกษุสามเณรอื่น ไม่วิวาทกับใครๆ เพราะมีความเห็นผิดกัน ใครต้องการอยู่ร่วมกันในหมู่คนส่วนมาก หรือในสังคม ต่างคนก็ต่างรูปแบบกันไป ฉะนั้น จะต้องรู้จักในการคบเพื่อน เลือกคบบุคคลที่ดีจึงจะได้รับการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงาม เพื่อน ที่ดี คือ มิตรแท้ เพื่อนที่ไม่ดี เรียกกว่า มิตรเทียม184 มิตรปฏิรูป หรือ มิตรเทียม มี ๔ ประเภท ได้แก่ ๑. คนปอกลอก ได้แก่ ๑. คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ๒. เสียให้น้อยคิดเอาให้มาก ๓. เมื่อมีภัยจึงรับทำกิจเพื่อน ๔. คบเพื่อนเพราะเห็นประโยชน์ ๒. คนดีแต่พูด ได้แก่ ๑. เก็บเอาของล่วงแล้วมาปราศรัย ๒. อ้างของยังไม่มีมาปราศัย ๓. สงเคราะห์สิ่งไม่มีประโยชน์ ๔. ออกปากพึ่งมิได้ ๓. คนหัวประจบ ได้แก่ ๑. จะทำดีก็คล้อยตาม ๒. จะทำชั่วก็คล้อยตาม ๓. ต่อหน้าว่าสรรเสริญ ๔. ลับหลังตั้งนินทา ๔. คนชักชวนในทางฉิบหาย ได้แก่ ๑. ชักชวนดื่มน้ำเมา ๒. ชักชวนเที่ยวกลางคืน ๓. ชักชวนมัวเมาในการเล่น ๔. ชักชวนเล่นการพนัน มิตรแท้มี ๔ ประเภท ได้แก่ 184 ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๐๖/๒๐๙.
๑. มิตรมีอุปการะ ได้แก่ ๑. ป้องกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๒. ป้องกันสมบัติของเพื่อนผู้ประมาท ๓. เมื่อมีภัย เป็นที่พึ่งอาศัยได้ ๔. เมื่อมีธุระ ช่วยออกทรัพย์เกินที่ออกปาก ๒. มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ได้แก่ ๑. บอกความลับตนแก่เพื่อน ๒. ปกปิดความลับของเพื่อน ๓. ไม่ละทิ้งยามวิบัติ ๔. แม้ชีวิตอาจสละแทนได้ ๓. มิตรแนะประโยชน์ได้แก่ ๑. ห้ามไม่ให้ทำชั่ว ๒. แนะนำให้ทำดี ๓. ให้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟัง ๔. บอกทางสวรรค์ให้ ๔. มิตรมีความรักใคร่ ได้แก่ ๑. มีทุกข์ ๆ ด้วย ๒. มีสุข ๆ ด้วย ๓. โต้เถียงคนพูดติเตียน ๔. รับรองคนพูดสรรเสริญ บทบาทในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้กับนักเรียน กลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดใน พระพุทธศาสนาการจัดหลักสูตรในการเรียนการสอนจึงนำหลักธรรม ไตรสิกขา185นำมาใช้ในหลักสูตร อย่างเป็นระบบในการดำเนินชีวิต ๓ ด้าน ได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา สิกขา คือการศึกษา ที่ฝึกอบรม พัฒนาชีวิต ๓ ด้านนั้น มีดังนี้ ๑. สิกขา / การฝึกศึกษา ด้านสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม จะเป็นสิ่งแวดล้อมทางสังคม คือ เพื่อนมนุษย์ ตลอดจนสรรพสัตว์ หรือสิ่งแวดล้อมทางวัตถุก็ตาม ด้วยอินทรีย์ (เช่น ตา หู) หรือด้วย กาย วาจา ก็ตาม เรียกว่า ศีล (เรียกเต็มว่า อธิสีลสิกขา) ๒. สิกขา / การฝึกศึกษา ด้านจิตใจ เรียกว่า สมาธิ (เรียกเต็มว่า อธิจิตตสิกขา) ๓. สิกขา / การฝึกศึกษา ด้านปัญญา เรียกว่า ปัญญา (เรียกเต็มว่า อธิปัญญาสิกขา) รวมความว่า การฝึกศึกษานั้น มี ๓ อย่าง เรียกว่า สิกขา ๓ หรือ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งพูดด้วยถ้อยคำของคนยุคปัจจุบันว่าเป็นระบบการศึกษาที่ทำให้บุคคลพัฒนาอย่างมีบูรณา การ และให้มนุษย์เป็นองค์รวมที่พัฒนาอย่างมีดุลยภาพ เมื่อมองจากแง่ของสิกขา ๓ จะเห็นความหมายของสิกขาแต่ละอย่างดังนี้ 185 พระธรรมปิฎก, (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับเดิม , (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ธรรมสภา, ๒๕๔๕), หน้า ๓๕๑.
๑. ศีล คือ สิกขาหรือ การศึกษาที่ฝึกในด้านการสัมพันธ์ติดต่อปฏิบัติจัดการกับ สิ่งแวดล้อม ทั้งทางวัตถุและทางสังคม ทั้งด้วยอินทรีย์ต่าง ๆ และด้วยพฤติกรรมทางกาย-วาจา พูดอีก อย่างหนึ่งว่า การมีวิถีชีวิตที่ปลอดเวรภัยไร้การเบียดเบียน หรือการดำเนินชีวิตที่เกื้อกูลแก่สังคม และ แก่โลก ๒. สมาธิ คือ สิกขา หรือ การศึกษาที่ฝึกในด้านจิต หรือระดับจิตใจได้แก่การพัฒนา คุณสมบัติต่าง ๆ ของจิต ทั้งในด้านคุณธรรม เช่น เมตตา กรุณา ความมีไมตรี ความเห็นอกเห็นใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความสุภาพอ่อนโยน ความเคารพ ความซื่อสัตย์ ความกตัญญู ในด้านของ ความสามารถของจิต เช่น ความเข้มแข็งมั่งคง ความเพียรพยายาม ความกล้าหาญ ความขยัน ความ อดทน ความรับผิดชอบ ความมุ่งมั่นแน่วแน่ ความมีสติ สมาธิ และในด้านความสุข เช่น ความมีปีติอิ่ม ใจ ความมีปราโมทย์ร่าเริงเบิกบานใจ ความสดชื่นผ่องใส ความรู้สึกพอใจ สรุปคือ พัฒนาคุณภาพ สมรรถภาพ และสุขภาพของจิต ๓. ปัญญา คือ สิกขาหรือการศึกษาที่ฝึกหรือพัฒนาในด้านการรู้ความจริง เริ่มตั้งแต่ ความเชื่อที่มีเหตุผล ความเห็นที่เข้าสู่แนวทางของความเป็นจริง การรู้จักหาความรู้ การรู้จัก พิจารณา การรู้จักวินิจฉัย ไตร่ตรอง ทดลอง ตรวจสอบ ความรู้เข้าใจ ความหยั่งรู้เหตุผล การเข้าถึง ความจริง การนำความรู้มาใช้ในการแก้ไขปัญหา และคิดการต่าง ๆ ในทางเกื้อกูลสร้างสรรค์ เฉพาะ อย่างยิ่ง เน้นการรู้ตรงตามความเป็นจริง หรือรู้เห็นตามที่มันเป็น ตลอดจนรู้แจ้งความจริงที่เป็นสากล ของสิ่งทั้งปวง จนถึงขั้นรู้เท่าทันธรรมดาของโลกและชีวิต ที่ทำให้มีจิตใจเป็นอิสระ ปลอดปัญหา ไร้ ทุกข์ เข้าถึงอิสภาพโดยสมบูรณ์ หลักทั้ง ๓ ประการแห่งไตรสิกขา ที่กล่าวมานี้ เป็นการศึกษาที่ฝึกคนให้เจริญพัฒนาขึ้น ไปในองค์ประกอบทั้ง ๓ ด้านของชีวิตที่ดีงาม ที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า การฝึกศึกษาที่จะให้มีชีวิตที่ดีงาม เป็นสิกขา ชีวิตดีงามที่เกิดจากการ ฝึกศึกษานั้น เป็นมรรค สรุปท้ายบทที่ ๔ หลักธรรมทางศาสนาและคุณธรรม ประกอบด้วยคุณสมบัติที่เป็นความดีงาม ความถูกต้อง ซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจบุคคล ทำให้บุคคลนั้นพร้อมที่จะกระทำสิ่งต่าง ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง โดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น หรือทำประโยชน์ให้ผู้อื่น โดยไม่เบียดเบียนตนเอง หรือกระทำสิ่งที่เป็น ประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ดังนั้น ครูที่ประกอบด้วยคุณธรรมย่อมเป็นครูที่มีความเหมาะสม สำหรับความเป็นครู เป็นผู้ที่สมควรได้รับการยกย่องจากสังคมโดยทั่วไป จริยธรรม (Morality) เป็นคุณธรรมที่แสดงออกทางร่างกายในลักษณะที่ดีงามถูกต้อง อัน เป็นสิ่งที่ประสงค์ของสังคมและจริยธรรมจะมีได้ต้องปลูกฝัง ฝึกหัด โดยเริ่มจากการปลูกฝังคุณธรรม (Virtue) ลงในใจก่อน การปลูกฝังคุณธรรมจำต้องอาศัยหลักคำสอนทางศาสนาอันได้แก่ ศีล (Precept) อันหมายถึง หลักหรือกฎเกณฑ์การประพฤติปฏิบัติเพื่อดัด หรือฝึกหัดกายวาจาให้ เรียบร้อย ให้เป็นปกติ กล่าวคือ จะพูดหรือทำสิ่งใด ให้เป็นไปตามปกติ อย่าให้ผิดปกติ (ผิดศีล) เช่น พูดไม่ถูกต้อง ให้เป็นธรรม กระทำให้ถูกต้อง ให้เป็นธรรม เมื่อพูดหรือกระทำถูกต้องเป็นธรรม ย่อมมี ความสุข ความสบาย เยือกเย็น ไม่เดือดร้อนอันเป็นผล การมีความสุขความสบาย เยือกเย็นไม่
เดือดร้อน ดังกล่าวจึงเป็นผลของการมีศีลหรือเป็นผลแห่งการมีคุณธรรมในจิตใจ เมื่อมีคุณธรรมใน จิตใจแล้ว ก็เป็นเหตุให้ประพฤติจริยธรรมได้ถูกต้อง ดังนั้น คุณธรรมและศีล จึงเป็นโครงสร้างของ จริยธรรม การพัฒนาการทางจริยธรรมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทั้งหลายทั้งปวงของบุคคล พัฒนา ของบุคคลทุกด้านไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย สติปัญญา สังคม อารมณ์ การศึกษาและจริยธรรมล้วนแต่ ก็มีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกัน การพัฒนาจริยธรรมก็เช่นเดียวกับการพัฒนาการทางด้านอื่นๆ ของ มนุษย์ กล่าวคือ การพัฒนาด้านนี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการเตรียมการไว้อย่างเป็นระบบดูแลรักษาและ ส่งเสริมจนให้เกิดขึ้นอย่างมั่นคง และต่อเนื่องด้วยการพัฒนาจริยธรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ไม่อาจแยก ออกได้ ซึ่งจากการพัฒนาชีวิตทั้งหมดของบุคคลทำให้เกิดความสมบูรณ์ทั้งปัญญา อุดมการณ์ต่อการ พัฒนาความดีความงามและความเหมาะสมของชีวิต บทบาทในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้กับนักเรียน กลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดใน พระพุทธศาสนาการจัดหลักสูตรในการเรียนการสอนจึงนำหลักธรรม ไตรสิกขา นำมาใช้ในหลักสูตร อย่างเป็นระบบในการดำเนินชีวิต ๓ ด้าน ได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา สิกขา คือการศึกษา ที่ฝึกอบรม พัฒนาชีวิต ๓ ด้านนั้น มีดังนี้ ๑. สิกขา / การฝึกศึกษา ด้านสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม จะเป็นสิ่งแวดล้อมทางสังคม คือ เพื่อนมนุษย์ ตลอดจนสรรพสัตว์ หรือสิ่งแวดล้อมทางวัตถุก็ตาม ด้วยอินทรีย์ (เช่น ตา หู) หรือด้วย กาย วาจา ก็ตาม เรียกว่า ศีล (เรียกเต็มว่า อธิสีลสิกขา) ๒. สิกขา / การฝึกศึกษา ด้านจิตใจ เรียกว่า สมาธิ (เรียกเต็มว่า อธิจิตตสิกขา) ๓. สิกขา / การฝึกศึกษา ด้านปัญญา เรียกว่า ปัญญา (เรียกเต็มว่า อธิปัญญาสิกขา) รวมความว่า การฝึกศึกษานั้น มี ๓ อย่าง เรียกว่า สิกขา ๓ หรือ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่ง พูดด้วยถ้อยคำของคนยุคปัจจุบันว่าเป็นระบบการศึกษาที่ทำให้บุคคลพัฒนาอย่างมีบูรณาการ และให้ มนุษย์เป็นองค์รวมที่พัฒนาอย่างมีดุลยภาพ คำถามท้ายบทที่ ๔ ๑. จงวิเคราะห์แนวคิดคุณธรรมและจริยธรรมมีความสอดคล้องและจำเป็นในการบริหาร สถานศึกษาอย่างไร ๒. การพัฒนาทางจริยธรรมสามารถทำได้อย่างไร อธิบายให้เห็นภาพชัดเจน ๓. คุณธรรม และจริยธรรม มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบายให้เห็นภาพ ชัดเจน ๔. หลักธรรมในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมทางพุทธศาสนามีอะไรบ้าง อธิบายและ ยกตัวอย่างประกอบ ๕. หากท่านเป็นผู้บริหารสถานศึกษาจะมีวิธีปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างในการนำหลัก คุณธรรมและจริยธรรมไปปฏิบัติอย่างไร อธิบายเป็นขั้นตอน พร้อมยกตัวอย่างประกอบให้ชัดเจนเห็น ภาพ
เอกสารอ้างอิง ๑. ภาษาไทย ก. ข้อมูลปฐมภูมิ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.พระไตรปิฏกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๓๙. ข. ข้อมูลทุติยภูมิ (๑) หนังสือ : กชกร จินตนสถิต. “การพัฒนาคุณธรรมด้านการเสียสละที่ได้จากการอ่านวรรณกรรมสำหรับเด็กของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลบุรีรัมย์”. วิทยานิพนธ์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๔๙. กมลชนก ภิรมย์ศิริพรรณ. “คู่มือพัฒนาความเสียสละของนักเรียนช่วงชั้นที่ ๑”. สารนิพนธ์. บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ๒๕๔๙. กรมการศาสนา. หลักสูตรพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอน ปลายพุทธศักราช ๒๕๓๔. กระเทพมหานคร :โรงพิมพ์การศาสนา. ๒๕๓๗. กรมวิชาการ. หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช ๒๕๒๑ ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๓๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา. ๒๕๓๕. กรมสามัญศึกษา. แนวทางการพัฒนาวัฒนธรรมไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา. ๒๕๒๓. โกสุม ผือโย. “ศึกษาบทบาทในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารและครูโรงเรียนเอกชน ระดับการศึกษาขึ้นพื้นฐาน เขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต ๒”. ปริญญา นิพนธ์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ๒๕๔๘. คณะญาติธรรมวัดป่าโสมพนัส. ทำวัตรเช้า - เย็น และมหาสติปัฏฐานสูตร แปล. สกลนคร : สำนักพิมพ์ใยไหม. ๒๕๕๐. คณาจารย์สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง. หนังสือเรียนธรรมศึกษาชั้นตรี ฉบับมาตรฐาน บูรณาการชีวิต. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง.๒๕๕๒. จรรยา สุวรรณทัต. เอกสารการสอนชุดวิชาการแนะแนวกับคุณภาพชีวิตหน่วยที่ ๑-๘. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๓๓. จันทนะ วิไลพัฒน์. “การพัฒนาพฤติกรรมด้านความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการเสียสละของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๕ โดยการใช้กระบวนการสร้างค่านิยม”. วิทยานิพนธ์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๔๒. ชาติชาย พิทักษ์ธนาคม. จิตวิทยาการเรียนการสอน. กรุงเทพมหานคร : ๒๕๔๔. ชำนาญ นิสารัตน์. หนังสือสังคมศึกษา หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย. กรุงเทพมหานคร : ไทย วัฒนาพานิช. ๒๕๒๔.
ณรงค์ ศิลารัตน์. “ศึกษาพฤติกรรมเชิงจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญ ศึกษา จังหวัดนครศรีธรรมราช”. วิทยานิพนธ์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยทักษิณ. ๒๕๔๔.. ดวงเดือน พันธุมนาวิน และเพ็ญแข ประจนปัจจนึก. จริยธรรมของเยาวชนไทย: แผนงานวิจัยฉบับที่ ๒๑.สถาบันพฤติกรรมศาสตร์. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร. ๒๕๒๐. ดวงเดือน พันธุมนาวิน. พฤติกรรมศาสตร์ เล่ม ๒ จิตวิทยาและจิตวิทยาภาษา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช. ๒๕๒๔. ธวัชชัย ชัยจิรฉายากุล. “ผลของการใช้กลุ่มสัมพันธ์และผลของการให้คำปรึกษากลุ่มที่มีต่อความมีวินัย ในตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา”. วิทยานิพนธ์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย นเรศวร. ๒๕๓๕. นงนภัส เอี่ยมลออ. “การใช้กิจกรรม “รักบ้านมงฟอร์ต” เพื่อพัฒนาวินัยนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่”. การศึกษาค้นคว้าแบบอิสระ. บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ๒๕๔๔. นริศลักษณ์ ภักดีพงษ์. “ผลของการใช้ชุดฝึกจิตลักษณะเพื่อนพัฒนาพฤติกรรมรับผิดชอบของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาในช่วงชั้นที่ ๒”. วิทยานิพนธ์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ๒๕๔๖. บรรทม มณีโชค. “การศึกษารูปแบบของข้อคำถามวัดลักษณะนิสัยด้านความเสียสละชนิดข้อความ และชนิดสถานการณ์ที่มีผลต่อคุณภาพของแบบทดสอบ”. วิทยานิพนธ์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ๒๕๓๐. บุญมี แท่นแก้ว. จริยศาสตร์. กรุงเทพมหานคร :สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์. ๒๕๓๐. ประเสริฐ เอื้อนครินทร์. “การทดลองใช้เทคนิค “แม่บท” เพื่อพัฒนาจริยธรรมและความซื่อสัตย์” ปริญญานิพนธ์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร. ๒๕๒๔. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) . พุทธธรรม ฉบับเดิม. พิมพ์ครั้ง ๑๙. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ ธรรมสภา. ๒๕๔๕. . พุทธธรรม ฉบับเดิม . กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ธรรมสภา. ๒๕๔๕. พระสมชาย ฐานวุฑฺโฒ. มงคลชีวิต ฉบับก้าวหน้า. กรุงเทพมหานคร : ม.ป.พ.. ๒๕๔๕. พุทธทาสภิกขุ. คุณธรรมสำหรับครู. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา.๒๕๒๗. โพธิ์ทอง จิตอ่อนน้อม. “พฤติกรรมทางจริยธรรมของครูพลศึกษาในทัศนะของผู้บริหารโรงเรียน มัธยมศึกษา และนักเรียนในเขตการศึกษา ๗”. ปริญญานิพนธ์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พิษณุโลก. ๒๕๒๙. ไพฑูรย์ สินลารัตน์. ความรู้คู่คุณธรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๓ . กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ๒๕๔๔. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. เอกสารการสอนชุดวิชา จริยศึกษา หน่วยที่ ๕. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๓๙.
วิทย์ วิศทเวทย์ และ เสถียรพงษ์ วรรณปก. หนังสือเรียนสังคมศึกษารายวิชา ส.๔๐๒. กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์อักษรเจริญทัศน์. ๒๕๓๐. วิทวัฒน์ ขัตติยะมาน. เอกสารประกอบการสอนวิชาคุณลักษณะและจรรยาบรรณครู. ภาควิชา หลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ. ๒๕๔๙. ศิริพร กล่อมจันทร์. “ความรับผิดชอบ การพึ่งตนเอง และวินัยในตนเองของนักศึกษาวิทยาลัยครู”. ปริญญานิพนธ์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ๒๕๒๖. ศึกษาธิการ. กระทรวง. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ฉบับที่ ๒ แก้ไขเพิ่มเติม ๒๕๔๕. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ครุสภา ลาดพร้าว.๒๕๔๕. สมบูรณ์ สิงห์คำป้อง. “ศึกษาปัญหาการส่งเสริมวินัยนักเรียนตามทัศนะของผู้บริหารและครู ใน โรงเรียนเอกชน สังกัดกองศึกษามูลนิธิแห่งภาคริสตจักรในประเทศไทย”. การศึกษา ค้นคว้าอิสระ. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ๒๕๔๒. สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. แนวปฏิบัติกิจกรรมเสริมสร้างวินัยนักเรียน สำหรับโรงเรียนประถมศึกษา. สุพรรณบุรี : ศูนย์วิชาการสุพรรณบุรี. ๒๕๓๒. . ชุดอบรมด้วยตนเอง การพัฒนาการเรียนรู้สู่ครูมืออาชีพตามพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ ๒๕๔๒ : การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม. สำนักงานคุณธรรมจริยธรรม กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนาธรรม. ธรรมศึกษาชั้นตรี ฉบับปรับปรุง ใหม่ที่ประกาศใช้ปัจจุบัน. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทย จำกัด. ๒๕๔๙. สำนักงานคุณธรรมจริยธรรม กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนาธรรม. ธรรมศึกษาชั้นตรี ฉบับปรับปรุง ใหม่ที่ประกาศใช้ปัจจุบัน. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทย จำกัด. ๒๕๔๙. สุพัตรา สุภาพ. สังคมและวัฒนธรรมไทย: ค่านิยม สังคม ครอบครัว ประเพณี. กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช. ๒๕๒๕. อดิศักดิ์ ภูมิรัตน์. “ผลของการใช้กิจกรรมกลุ่มที่มีต่อเจตคติเชิงจริยธรรมด้านความซื่อสัตย์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาที่ ๖”. ปริญญานิพนธ์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก. ๒๕๓๕. อัญจนา ประสานชาติ. “ผลการฝึกจิตลักษณะเพื่อพัฒนาพฤติกรรมวินัยในตนเองของนักเรียนระดับ ประถมศึกษา”. วิทยานิพนธ์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ๒๕๔๕. ๒ ภาษาอังกฤษ : Bandura. Moral Education. London: Routledge and KeGen Pauk. 1979. Seglow Jonatham. The Ethics of Altruism. London: Frank Cass. 2004.
แผนบริหารการสอนประจำบทที่ ๕ การพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา ขอบเขตเนื้อหาการเรียน ๑. แนวคิดทฤษฎีการพัฒนาคุณธรรม ๒. คุณสมบัติของผู้บริหารตามหลักพุทธศาสนา ๓. แนวคิดเกี่ยวกับความเป็นมาของผู้บริหารในพระพุทธศาสนา วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว ผู้ศึกษาสามารถ ๑. อธิบายแนวคิดทฤษฎีการพัฒนาคุณธรรมได้ ๒. วิเคราะห์คุณสมบัติของผู้บริหารตามหลักพุทธศาสนาได้ ๓. อธิบายแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นมาของผู้บริหารในพระพุทธศาสนาได้ กิจกรรมการเรียนการสอน ๑. การบรรยายและร่วมสนทนาซักถามเกี่ยวกับเนื้อหาในบทเรียน ๒. ดูคลิปเกี่ยวกับมาตรฐาน การพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับผู้บริหาร สถานศึกษา ๓. การนำผลวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา ๔. สรุปประเด็นสำคัญประจำบท สื่อการเรียนการสอน ๑. เอกสารคำสอน เรื่อง “การพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับผู้บริหาร สถานศึกษา” ๒. หัวข้อของเนื้อหาที่สร้างจากโปรแกรม Power Point ๓. สื่อคอมพิวเตอร์ ภาพประกอบ ๔. วิทยานิพนธ์ หรืองานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับผู้บริหาร สถานศึกษา การวัดผลและการประเมินผล ๑. สังเกตความสนใจ การเข้าชั้นเรียนและความรับผิดชอบของนิสิตต่องานที่มอบหมาย ๒. การให้ความร่วมมือในกิจกรรมการเรียนการสอน ๓. การให้ความสนใจดูกิจกรรมประกอบการเรียนการสอน ๔. การบันทึกสรุปเนื้อหาประจำบท และสำเสนองานตามที่มอบหมาย
บทที่ ๕ การพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา ๕.๑ แนวคิดทฤษฎีการพัฒนาคุณธรรม พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)186 ได้กล่าวว่า ลักษณะทฤษฎีเช่นนี้ว่าบทบาทของ การศึกษาคือ การพัฒนาทางด้านจิตใจเพื่อเสริมสร้างกำลังคนที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ตามที่ ระบบเศรษฐกิจและสังคมต้องการ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือการศึกษาเพื่ออบรมฝึกฝนการนำสติปัญญา ไปใช้เป็นประโยชน์แก่กล้ายิ่งขึ้น พยายามแสวงหาจุดมุ่งหมายให้แก่ชีวิต คือ ความเป็นอยู่อย่างดีที่สุด หรือการมีอิสรภาพ กรศึกษาจึงเป็นกิจกรรมของชีวิต โดยชีวิต เพื่อชีวิต เป็นความสามารถเพื่อปรับตัว ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม และรู้จักเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ประภาศรี สีหอำไพ187 ได้กล่าวถึง การพัฒนาคุณธรรมของมนุษย์มีการพัฒนาเป็น ลำดับจากวัยทารกจนถึงตลอดชีวิตต้นกำเนิดของแหล่งที่ก่อให้เกิดการพัฒนาทางคุณธรรมมาจาก อิทธิพลของสังคมและพันธุกรรมคำว่า สังคม ในที่นี้คือ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กทั้งที่เป็นบุคคล และ สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติอื่นๆ ส่วนคือ ความสามารถในการรู้คิด และพัฒนาขึ้นตามลำดับขั้นอายุ วุฒิภาวะหรือประสบการณ์และการพัฒนามีลักษณะที่สำคัญแบ่งเป็น ๓ แนวทางใหญ่คือ ๑. ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory) ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของ ฟรอยด์ (Freud) เชื่อว่า คุณธรรมกับมโนธรรม เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มนุษย์อยู่ในสังคมกลุ่มใด ก็ จะเรียนรู้ความผิดชอบชั่วดีจากสิ่งแวดล้อมในสังคมนั้น จนมีลักษณะพิเศษของแต่ละสังคม ที่ เรียกว่าเอกลักษณ์ เป็นกฎเกณฑ์ให้ประพฤติปฏิบัติตามข้อกำหนดโดยอัตโนมัติ คนที่ทำชั่วแล้วรู้สึก สำนึกเกิดหิริโอตตัปปะละอายใจตนเองถือว่าได้รับการลงโทษด้วยตนเอง เมื่อสำนึกแล้วพึงละเว้นไม่ ปฏิบัติอีกโดยไม่ต้องมีสิ่งควบคุมจากภายนอก เป็นการสร้างมโนธรรมขึ้นมาโดยไม่จำเป็นต้องสนใจ องค์ประกอบของลำดับขั้นพัฒนาการทางคุณธรรม ๒. ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) เป็นกระบวนการสังคม ประกิต โดยการซึมซาบ กฎ เกณฑ์ต่าง ๆ จากสังคมที่เติบโตมา รับเอาหลักการเรียนรู้เชื่อมโยงกับ หลักการเสริมแรง และการทดแทนสิ่งเร้า รับแนวคิดของทฤษฎีจิตวิเคราะห์เป็นรูปแบบ โดยยึดถือว่า การเรียนรู้ คือ การสังเกตเลียนแบบจากผู้ใกล้ชิดเพื่อแรงจูงใจ คือ เป็นที่รักที่ยอมรับในกลุ่ม พวก เดียวกับกลุ่มต้นแบบเพื่อเป็นพวกเดียวกัน ๓. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Cognitive Theory) แนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้ เห็นว่าคุณธรรมเกิดจากแรงจูงใจในการปฏิบัติตนสัมพันธ์กับสังคม การพัฒนาคุณธรรมจึงต้องมีการ 186พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม, หน้า ๗๑. 187ประภาศรี สีหอำไพ, พื้นฐานการศึกษาทางศาสนาและจริยธรรม, หน้า ๒๙-๓๗.
พิจารณาเหตุผลเชิงคุณธรรมตามระดับสติปัญญาของแต่ละบุคคล ซึ่งมีวุฒิภาวะสูงขึ้นการรับรู้ คุณธรรมก็พัฒนาขึ้นตามลำดับ ๕.๒ คุณสมบัติของผู้บริหารตามหลักพุทธศาสนา ในทางพระพุทธศาสนานั้น คนเรานั้นเมื่อมาอยู่ร่วมกันเป็นหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นชุมชน เป็น สังคม แต่ที่เราพูดว่าอยู่รวมกันนั้น ความจริง ถ้าดูลึกลงไปจะเห็นว่าตัวคนรวมกันจริง แต่มักจะ รวมกันแค่เพียงภายนอก ส่วนข้างในนั้นค่อนข้างจะกระจัดกระจายที่ว่ากระจัดกระจาย ก็คือ มีความ แตกต่างกันหลายอย่างหลายประการ ต่างจิตต่างใจ ต่างความรูสึก ต่างความนึกคิด ต่างความต้องการ ต่างความรู้ ความสามารถ ต่างระดับของการพัฒนาเป็นต้น รวมกันอยู่และรวมกันทำเพื่อจะให้อยู่กัน ด้วยดี และทำการด้วยกันได้ผลบรรลุจุดหมายประสบความสำเร็จ บุคคลที่จะมาประสานช่วยให้คนทั้งหลายรวมกัน โดยที่ว่าจะเป็นการอยู่รวมกันก็ตาม หรือ ทำการรวมกันก็ตาม ให้พากันไปด้วยดี สู่จุดหมายที่ดีงามที่ว่าพากันไป ก็ให้พากันไปด้วยดีนั้น หมายความว่าไปโดยสวัสดี หรือโดยสวัสดิ์ภาพ ผ่านพ้นภัยอันตรายทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างเรียบร้อยและ เป็นสุข เป็นต้น แล้วก็บรรลุถึงจุดหมายที่ดีงาม “โดยถูกต้องตามธรรม” เพราะฉะนั้น จะต้องถูกต้อง ตามธรรมด้วยโดยนัยนี้ ภาวะผู้บริหาร ก็คือคุณสมบัติ เช่น สติปัญญา ความดีงาม ความรู้ ความสามารถของบุคคล ที่ชักนำให้คนทั้งหลาย มาประสานกัน และพากันไปสู่จุดหมายที่ดีงาม ดังที่กล่าวข้างต้นนั้น เมื่อพูดถึงผู้บริหารอย่างนี้ จะเห็นว่ามีองค์ประกอบหลายอย่างในความ เป็นผู้บริหารหมายความว่า คุณสมบัติของผู้บริหารมีหลายอย่างหลายด้าน แยกไปตามสิ่งที่ผู้บริหาร จะต้อง เกี่ยวข้อง คือ ผู้บริหารจะต้องมีความสามารถในการที่จะไปเกี่ยวข้องหรือปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้น ทุกอย่างให้ถูกต้องและได้ผลดี องค์ประกอบเหล่านั้น คือ ๑. ตัวผู้บริหาร จะต้องมีคุณสมบัติภายในของตนเอง เป็นจุดเริ่มและเป็นแก่นกลางไว้ ๒. ผู้ตาม โยงด้วยคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับผู้ตาม หรือเราอาจจะไม่เรียกว่า“ผู้ตาม” ใน พุทธศาสนาก็ไม้ได้นิยมใช้คำว่า ผู้ตาม เราอาจจะใช้คำว่า “ผู้รวมไปได้ด้วย” ๓. จุดหมาย โยงด้วยคุณสมบัติที่สัมพันธ์กันกับจุดหมายเช่นจะต้องมีความชัดเจน เขา ใจถ่องแท้และแน่วแน่ในจุดหมายเป็นต้น ๔. หลักการและวิธีการโยงด้วยคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับหลักการ และวิธีการที่จะทำให้ สำเร็จผลบรรจุจุดหมาย ๕. สิ่งที่จะทำ โยงด้วยคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับสิ่งที่จะทำ ๖. สถานการณ์ โยงด้วยคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม หรือสิ่งที่จะประสบ ซึ่ง อยู่ภายนอก ว่าทำอย่างไรจะผ่านไปได้ด้วยดี ในท่ามกลางสังคม สิ่งแวดล้อม หรือสิ่งที่ประสบ เช่น ปัญหาเป็นต้น นี่คือองค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวของสำหรับผู้บริหารที่จะต้องพัฒนาตนเองให้มี คุณสมบัติที่ จะทำให้เป็นผู้พร้อมที่จะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องบังเกิดผลดี188 188พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). ผู้นำ. พิมพ์ครั้งที่ ๖. (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มติชน, ๒๕๔๔) หน้า ๒-๔.
ในทัศนะของพระพุทธศาสนา ผู้จะทำหน้าที่ผู้บริหารต้องได้รับการพัฒนาทั้งกาย วาจา และใจ จนมีความสามารถยอมรับหลักการ และปฏิบัติตามคุณธรรมของผู้บริหารได้ด้วยตนเองก่อน ดังพุทธพจน์ว่า เมื่อฝูงโควายขามน้ำไป ถ้าโคจ่าฝูงไปคดเคี้ยว โคทั้งฝูงก็ไปคดเคี้ยวตามกัน ในเมื่อโคจ่าฝูงไปคดเคี้ยว ในหมูมนุษย์ก็เหมือนกัน ผู้ใดได้รับแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ถ้าผู้นั้น ประพฤติไม่เป็นธรรม ประชาชนชาวเมืองนั้นก็จะประพฤติไม่เป็นธรรม ตามไปด้วย หาก พระราชาไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อฝูงโคข้ามน้ำไป ถ้าโคจ่าฝูงไปตรงโคทั้งฝูงก็ไปตรงตามกันในเมื่อโคจ่าฝูงไปตรง ในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน ผู้ใดได้รับแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ถ้าผู้นั้นประพฤติชอบธรรมประชาชน ชาวเมืองนั้นก็จะประพฤติชอบธรรมตามไปด้วย หากพระราชาตั้งอยู่ในธรรมชาวเมืองนั้นก็ เป็นสุข189 จะเห็นว่าการเป็นผู้บริหารที่จะทำให้บุคคลอื่นตามหรือเชื่อมั่น ผู้บริหาร ต้องสามารถนำการกระทำได้หลักการดังกล่าวจึงเป็นการสอนให้คนมีภาวะผู้บริหารใน ตนเอง หรือพัฒนาตนเองให้ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้บริหาร พระพุทธศาสนาถือว่า ผู้บริหารต้อง เอาชนะใจตนเอง เมื่อชนะตนเองได้ก็ชื่อว่าชนะสิ่งอื่นได้ดังพุทธพจน์ว่าบุคคลชนะหมู่มนุษย์ ตั้งหนึ่งแสนคนในสมรภูมิ ยังไม่เชื่อว่าเป็นผู้ชนะสงคราม อย่างเด็ดขาด คนที่ชนะตนเองได้ เพียงคนเดียวนี่สิ จึงชื่อว่าเป็นผู้ชนะสงครามได้เด็ดขาด190 การสร้างลักษณะความเป็นผู้บริหารให้กับตนเองเป็นพื้นฐานเป็นสิ่งสําคัญ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งการวางตนให้เหมาะสม เอาชนะอกุศลในใจตนได้มีธรรมประจำตนก็สามารถยึดเหนี่ยวน้ำใจของ ผู้ใต้ปกครองได้จึงเป็นมรรควิธีนำไปสู่เป้าหมายการปกครอง คำสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวเกี่ยวกับลักษณะของผู้บริหาร ในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยลักษณะ ดังนี้คือ ปาปณิกธรรม ๓ ซึ่งประกอบไปด้วย ๑. จักขุมา หมายถึง ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลมีกระบวนการคิดที่รอบคอบและมี เหตุผลโดยอาจใช้ประสบการณ์ ในอดีตร่วมในการตัดสินใจและวางแผนด้วยซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษคำ ว่า Conceptual Skill คือการชำนาญในการใช้ความคิดหรือทักษะทางด้านความคิด ๒. วิธูโร หมายถึง ผู้บริหารที่มีระบบการจัดการที่ดี มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จัดการธุระ ได้ด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น นักบริหารการศึกษา ต้องมีความเชี่ยวชาญ ตาม สายงานหน้าที่ คุณลักษณะข้อสองนี้ตรงกับคำว่า Technical Skill คือ ความชำนาญด้านเทคนิคหรือ กลยุทธ์ ๓. นิสสยสัมปันโน หมายถึง ผู้บริหารที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี มีความสามารถในการติดต่อ ประสานงานให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด มีความสามารถในการสื่อสารและ ประสานงานให้ฝ่ายแต่ละฝ่ายในองค์กรดำเนินแนวทางตามกรอบทิศทางที่องค์กรต้องการบรรลุได้ 189องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๗๐/๑๑๕-๑๑๖. 190ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๐๓/๔๐.
หรือมีความสามารถในการผูกใจคนให้เป็นที่รักของคนพึ่งพาอาศัยคนอื่นได้เพราะเป็นคนมีมนุษย์ สัมพันธ์ดี เช่น นักบริหารการศึกษาไปต่างเมืองก็มีเพื่อนให้ช่วยเหลือเพราะมีเครดิตดีผู้บริหารที่ดีต้อง ผูกใจคนไว้ได้คุณลักษณะที่สามนี้สําคัญมาก ตรงกับคำว่า คุณลักษณะที่สามนี้สําคัญมาก ตรงกับคำ ว่า Human Relation Skill คือความชำนาญด้านมนุษย์สัมพันธ์191 ในพระสูตรนี้แสดงให้เห็นว่า การเป็นผู้บริหารนั้นจะต้องประกอบด้วยปัญญา คือ มีหูตาไว และกว้างไกลสามารถจำแนกบุคคลและเหตุการณ์ออกว่าเป็นอย่างไร ซึ่งจะทำให้ผู้บริหารมี ประสบการณ์ มีความชำนาญในการปกครอง เขาใจบุคคลหรือผู้ใต้บังคับบัญชาได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะ ทำให้มี ผู้สนับสนุนมากขึ้น แต่คุณสมบัติทั้งสามประการนี้ มีระดับความสำคัญมากน้อยต่างกันไปตาม ระดับ ตำแหน่งหน้าที่ขององค์กรหรือหน่วยงานว่าเล็กหรือใหญ่ขนาดไหน หรือมีความสำคัญเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วผู้ปกครองรัฐหรือผู้บริหารประเทศแล้วนับว่าเป็นองค์กรที่ใหญ่ ผู้บริหารหรือ ผู้บริหาร จึงต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน จึงจะสามารถยึดศรัทธาของผู้ใต้บังคับบัญชาไว้ได้ส่งผลให้ ผู้ร่วมงานมี ความเชื่อมั่นนั้นยอมเป็นเหตุที่จะนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารประสานคนภายในดุลยภาพแห่งธรรม หลักธรรมสําคัญ ที่ชาวพุทธรู้จักกันดีซึ่ง ผู้บริหาร แน่นอนว่าจะต้องมี แม้จะเป็นเรื่องง่าย ๆ พื้น ๆ ก็ขาดไม่ได้หลักธรรมนั้นเรารูกันดีว่า คือ พรหมวิหาร ๔ ประการ พรหมวิหารเป็นธรรมสำหรับทุกคนที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมในฐานะเป็น “พรหม” คือเป็นผู้มีศักยภาพในการที่จะสร้างสรรค์และธำรงรักษาสังคมไว้โดยเฉพาะสำหรับผู้บริหาร นั้น แน่นอนว่าจะต้องเป็นแบบอย่างที่จะต้องมีพรหมวิหาร ๔ ประการ เพราะพรหมวิหารนั้นเป็นธรรม ประจำใจของคนที่มีจิตใจยิ่งใหญ่ เป็นผู้ประเสริฐ อันแสดงถึงความเป็นบุคคลที่มีการศึกษา ได้พัฒนา ตนแล้ว พรหมวิหาร ๔ ประการเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่จะต้องให้มีอยู่ประจำในจิตใจและเป็น ท่าที ของจิตใจที่จะทำให้แสดงออกหรือปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างถูกต้องโดยสอดคลองกับสถานการณ์ทั้ง ๔ ที่ ประสบ กล่าวคือ ๑. ในสถานการณ์ที่เขาอยู่เป็นปกติ เราก็มีเมตตา คือ ความเป็นมิตรไมตรี ความมี น้ำใจปรารถนาดี ต้องการให้เขามีความสุข ซึ่งหมายถึงความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ทั้งแต่ละคนๆ ที่เรา เกี่ยวข้อง ขยายออกไปจนถึงความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์หรือต่อสังคมทั้งหมดทั่วทั้งโลก เมตตานี้ เป็นคุณธรรมพื้นใจประการแรกที่ต้องมี ซึ่งใช้ในยามปกติ คือเมื่อคนอื่นเขาอยู่กันเป็นปกติ เราก็มี เมตตาปรารถนาดี คิดหาทางสร้างสรรค์ความสุขความเจริญให้เขาเรื่อยไป ๒. ในสถานการณ์ที่เขาตกต่ำเดือดร้อน เราก็มีกรุณา คือ ความพลอยรู้สึกไหวตาม ความทุกข์ความเดือดร้อน หรือปัญหาของเขา และต้องการช่วยเหลือปลดเปลื้องให้เขาพ้นจากความ ทุกข์ ความเดือดร้อนนั้น กรุณานี้ต่างไปจากเมตตา คือเมตตาใช้ในยามปกติ แต่เมื่อเขาตกต่ำลงไป กลายเป็นเดือดร้อนเป็นทุกข์เราก็มีกรุณา ใฝ่ใจช่วยบำบัดทุกข์ให้ ๓. ในสถานการณ์ที่เขาขยับสูงขึ้นไปในความดีงาม ความสุขความสำเร็จ เราก็มี มุทิตา หมายความว่า เมื่อเขาเปลี่ยนไปในทางขึ้นสูง ได้ดีมีสุขทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ประสบความสำเร็จ เราก็ย้ายไปเป็นมุทิตา คือพลอยยินดีด้วย ช่วยส่งเสริมสนับสนุนในวงการงานตลอดจนการเป็น ผู้บริหารทั่วไปนั้น เรื่องที่สําคัญมากก็คือ เมื่อคนมีปัญหา มีทุกข์เดือดร้อน เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย หรือยาก 191องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๔๕๙/๑๔๖.
ไรขาดแคลน ก็ต้องมีกรุณาที่จะเอาใจใส่แก้ปัญหา เมื่อมีคนประสบผลสำเร็จในการทำสิ่งดีงามทำให้ อะไรต่ออะไรพัฒนาก้าวหน้าไป ก็ต้องมีมุทิตาช่วยส่งเสริมสนับสนุนแต่ในยามปกติก็ต้องไม่ ปล่อยปละ ละเลย ต้องเอาใจใส่ต่อการที่จะให้เขาอยู่ดีมีสุข เช่น มีสุขภาพดี อยู่ในวิถีทางของความสุขความเจริญ และการพัฒนาสืบต่อไป คือ ต้องมีเมตตาปรารถนาดีถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้ก็จะทำให้กิจการงาน และ ประโยชน์สุขที่มุ่งหมาย พร้อมที่จะสำเร็จผลหนึ่งก็จะเกิดขึ้นในตัวผู้บริหาร คือ “ปิโย” แปลว่า “ผู้เป็น ที่รัก” กล่าวคือผู้ร่วมงาน หรือผู้ร่วมไปด้วยกันหรือจะเรียกผู้ตามก็แล้วแต่ ก็จะมีความรัก มีความรู้สึก สนิทสนม สบายใจต่อผู้บริหาร นั้นเสริมความรู้สึกอยากร่วมไปด้วยให้หนักแน่นมากขึ้น ทั้งร่วมใจและ ร่วมมืออย่างไรก็ตาม ปิโยเท่านั้น ไม่พอปิโยนั้นได้มาจากเมตตา กรุณา มุทิตา แต่ยังต้องมีอีกข้อหนึ่ง คือ อุเบกขา ๔. ในสถานการณ์ที่เขาทำผิดหลักหรือละเมิดธรรม เราก็มีอุเบกขา หมายความว่า เมื่อใดเขาทำอะไรไม่ถูกต้อง โดยละเมิดธรรม คือ ละเมิดต่อหลักการหรือละเมิดต่อความถูกต้อง ทำให้เสียหลักเสียกฎเกณฑ์เสียความเป็นธรรม เสียความชอบธรรม ทำลายกติกา เป็นต้น ผู้บริหารจะต้องอยู่ในหลักที่เรียกว่า อุเบกขา อุเบกขาก็คือรักษาความเป็นกลาง ไม่ลำเอียง ไม่เขาข้าง หยุด การขวนขวาย ไม่ให้เกินขอบเขตไปจนกลายเป็นเสียธรรม คือการปฏิบัติต่อคน หรือช่วยเหลือคน จะต้องไม่ให้เสียความเป็นธรรม ไม่ให้เป็นการทำลายหลักการ ไม่ให้เป็นการละเมิดต่อกฎเกณฑ์กติกา ที่192 ชอบธรรม นอกจากนี้พระสารีบุตรเถระยังมีคุณลักษณะของผู้สอนอย่างที่เรียกว่า องค์คุณของ กัลยาณมิตร ซึ่งมี ๗ ประการดังตอไปนี้ ๑. ปิโย - น่ารัก (ในฐานเป็นที่วางใจและสนิทสนม) ๒. ครุ - น่าเคารพ (ในฐานให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ เป็นที่พึ่งได้และปลอดภัย) ๓. ภาวะนีโย – น่ายกย่อง (ในฐานทรงคุณคือความรู้และภูมิปัญญาแท้จริง) ๔. วะตะตา - รู้จักพูด (คอยให้คําแนะนำว่ากล่าวตักเตือน เป็นที่ปรึกษาที่ดี) ๕. วะจะนักขะโม - อดทนต่อถ้อยคำ (พร้อมที่จะรับฟังคำซักถามต่างๆ อยู่เสมอ และสามารถรับฟังคำได้ด้วยความอดทนไม่เบื่อ) ๖. คัมภีรัญจะ กะถัง กัตตา - (กล่าวชี้แจงแถลงเรื่องต่างๆ ที่ลึกซึ่งได้) ๗. โนจะฏะฐาเน นิโยชะเย - (ไมชักจูงไปในทางที่เสื่อมเสีย)193 พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า คุณสมบัติเหล่านี้มีในผู้ใด ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้ใคร่ประโยชน์คือ หวังประโยชน์เกื้อกูล หวังอนุเคราะห์อันผู้ต้องการมิตรควรคบหาสมาคมไว้เป็นมิตร พึงสังเกตด้วยว่า พระพุทธศาสนาถือว่า ความสัมพันธ์ของผู้สอนที่มีต่อผู้เรียนนั้น อยู่ใน ฐานะเป็นกัลยาณมิตร คือ เป็นผู้ช่วยเหลือแนะนำผู้เรียนให้ดำเนินก้าวหน้าไปในมรรคาแห่งการ ฝึกอบรมองค์คุณทั้ง ๗ นี้ เป็นคุณลักษณะที่ผู้สอนหรือครูผู้มีความกรุณาโดยทั่วไปจะมีได้ไม่จำกัด เฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น 192พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). ผู้นํา.อ้างแล้ว. หน้า ๔. 193พระราชวรมุนี (ประยุทธปยุตฺโต). เทคนิคการสอนของพระพุทธเจ้า. (กรุงเทพมหานคร : อมรินทรพริ้นติ้ง กรุ๊พ, ๒๕๓๐) หน้า ๒๖.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงคุณสมบัติของมิตร (ทั่วไป) ไว้๗ ประการ คือ ๑. ให้สิ่งที่ให้ได้ยาก (เช่นให้ของรักของพอใจ) ๒. ทำสิ่งที่ทำได้ยาก (เช่นทำอุปการะต่อมิตรผู้ออกปากขอความช่วยเหลือ) ๓. ทนสิ่งที่ทนได้ยาก (เช่นอดทนต่อถอยคำอันรุ่นแรงแต่รู้ว่าเขาพูดด้วยความหวังดี ตลอดถึงอดทนต่อความผิดพลาดของมิตรที่มีต่อเรา) ๔. บอกความลับของตนแก่เพื่อน ๕. ปกปิดความลับของเพื่อน ๖. ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ ๗. เมื่อเพื่อนสิ้นทรัพย์ก็ไม่ดูหมิ่น194 พูดถึงเรื่องคุณสมบัติของผู้แสดงธรรม ผู้สอนธรรมโยงเลยมาถึงคุณสมบัติของมิตร ต่อเนื่อง จาก ผู้สอนในฐานะเป็นกัลยาณมิตรของผู้เรียนหรือผู้ฟัง การสร้างบรรยากาศให้เป็นกัลยาณมิตรหรือ “ความเป็นกันเอง”แต่พอประมาณ พอสมควร ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนนั้นเป็นความสำคัญและจำเป็น เพื่อไม่ให้เครียดหรือเป็นทางการ เกินไป ผู้บริหารหรือผู้ปกครองจะต้องตระหนักเป็นอย่างยิ่งเพราะจะต้องรับผิดชอบต่อประชาชน หรือผู้ใต้ การปกครอง ในเตสกุณชาดก ได้แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติผู้บริหารและผู้ปกครองทั้งหลายซึ่ง สามารถ สรุปย่อลงได้ดังนี้ ๑. ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินปัญหา มีใจดีไม่ทอดทิ้งงานมีความ เพียรอุตสาหะในการงาน ๒. ฉลาดวางบุคคลให้เหมาะสมกับงาน รู้ประโยชน์และโทษ รักษาความลับ ไม่ดำเนิน ชีวิตในทางที่ผิด รักษาเกียรติประวัติ รักษาประโยชน์ส่วนร่วม และต้องรอบรู้ในกิจการคลัง บริหาร การคลังด้วยตนเอง ไม่ควรไว้ใจให้คนอื่นจัดการ รู้รายรับรายจ่ายของแผนดินหรือในกิจการงาน นั้น ๆ ที่รับผิดชอบ ๓. บำรุงขวัญกำลังใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ยกย่องบุคคลผู้ควรแก่การยกย่อง ข่มผู้ควร ข่มรู้ในสิ่งที่ควรทำก่อนทำหลัง ออกรับฟังปัญหาหรือพบปะราษฎรอยู่สม่ำเสมอเพื่อรับฟัง ปัญหาและ ทางแก้ไขหรือชี้แนะแนวทาง ๔. ออกติดตามผลงาน ตรวจตราดูแลความประพฤติของเจ้าหน้าที่ ไม่พึงมอบภารกิจ ที่สําคัญ ๆ แก่ผู้อื่นและใช้วิจารณญาณในการบริหาร ๕. ไม่พึงละการบำเพ็ญประกอบตนในศีลธรรมที่ดีงาม เพื่อเป็นแบบอย่างและยึดมั่น เป็นข้อปฏิบัติ ไม่สําคัญตนผิดว่ายิ่งใหญ่ในอำนาจ ๖. ไม่ลุ่มหลงในกามคุณ และโลกธรรมมีปัญญา มีกำลังแห่งสติเพราะจะเป็นเครื่องช่วย ให้ผู้บริหารหรือผู้ปกครองสามารถฟันฝ่าอุปสรรคแก้ไขปัญหาไปได้แม้ถึงคราวอับจน195 นอกจากคุณสมบัติที่มีในเตสกุณชาดกแล้ว ก็ยังมีคุณสมบัติของผู้บริหารหรือผู้ปกครองที่ดีที่ ปรากฏอยู่ใน กปิชาดก สัตตกนิบาต ขุทฺทกนิกาย กล่าวไว้ว่า 194องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๓๓/๓๔. 195ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๑-๔๙/๕๙๕-๖๐๒.
บัณฑิตไม่ควรอยู่ในสถานที่ที่คนคู่เวรกันอยู่ เพราะบุคคลเมื่ออยู่ในระหว่างคนเป็นคู่เวรกัน คืนหนึ่งหรือสองคืนก็ตาม ยอมอยู่เป็นทุกข์ลิงตัว หัวหน้ามีจิตเรรวน เพราะทำตามลิงที่มีจิตเรรวน มัน ได้ทำความพินาจให้แก่ฝูงเพราะลิงตัวเดียวเป็นเหตุ สัตว์โง่แต่สําคัญตนว่าฉลาด เป็นผู้บริหารฝูงลิง อำนาจใจของตนเอง ก็จะต้องนอนตายเหมือนอย่างลิงตัวนี้สัตว์โง่แต่มีกำลังเป็นผู้บริหารฝูงไม่ดี เพราะไม่เกื้อกูลแก่หมู่ญาติ เหมือนนกต่อไม่เกื้อกูลแก่นกทั้งหลาย ส่วนสัตว์ฉลาดมีกำลัง เป็นผู้บริหาร ฝูงดี เพราะเกื้อกูลแก่หมู่ญาติ เหมือนท้าววาสวะเกื้อกูลแก่หมูเทพชั้นดาวดึงส์ส่วนผู้ใดตรวจดูศีล ปัญญา และสุตะในตนผู้นั้นยอมประพฤติประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ทั้งตนและผู้อื่น196 หากพิจารณาข้อความที่ยกมากล่าวนี้แล้ว ชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารหรือผู้ปกครองที่ดีนั้น จะต้อง เป็นผู้มีศีลเพราะศีลเป็นของผู้มีปัญญา แต่ถ้าผู้บริหารและผู้ปกครองเป็นผู้ไม่มีศีลและปัญญาแล้วก็เป็น ผู้บริหาร หรือผู้ปกครองที่ดีไม่ได้มีแต่ความเลวลง แม้แต่ญาติพี่น้องตลอดจนเพื่อนฝูงก็พากันรังเกียจ ในทางตรงข้ามแล้ว ผู้บริหารหรือผู้ปกครอง มีทั้งศีล ปัญญา และสุตะ อยู่ในตนแล้วก็จะเป็นประโยชน์ ใน การเป็นผู้ที่ดี ญาติพี่น้องตลอดจนเพื่อนฝูงก็ให้ความเคารพด้วยความอ่อนน้อมอย่างแท้จริง และใน กูฏทันตสูตร สีลขันธวรรคทีฆนิกาย ยังได้กล่าวถึงคุณสมบัติของพระเจ้ามหาวิชิตะผู้ปกครอง นครที่ดี ๘ ประการ ดังนี้ คือ ๑. ทรงเป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายพระมารดาและพระบิดา มีพระครรภ์เป็นที่ปฏิสนธิ หมดจดดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดคานติเตียนด้วยอ้างถึงพระชาติกำเนิดได้ ๒. ทรงมีพระรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยพระฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก มีพระฉวีวรรณคล้ายพรหม มีพระรูปคล้ายพรหม น่าดู น่าชมไม่น้อย ๓. ทรงมั่งคง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องใช้สอยอันน่า ปลื้มใจมาก มีทรัพย์และธัญญาหารมาก มีพระคลังและฉางเต็มบริบูรณ์ ๔. ทรงมีกำลัง ทรงสมบูรณ์ด้วยเสนามีองค์๔ ซึ่งอยู่ในวินัย คอยปฏิบัติตามพระราช บัญชามีพระบรมเดชานุภาพดังจะเผาผลาญราชศัตรูได้ด้วยพระราชอิสริยยศ ๕. ทรงพระราชศรัทธา เป็นทายก เป็นทานบดี มิได้ปิดประตูเป็นดุจโรงทานของ สมณพราหมณ์คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจก ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ๖. ได้ทรงศึกษา ทรงสดับเรื่องนั้นๆ มาก ๗. ทรงทราบอรรถแห่งขอที่ทรงศึกษาและภาษิตนั้นๆ ว่า นี้อรรถแห่งภาษิตนี้ ๘. ทรงเป็นบัณฑิต เฉียบแหลม ทรงพระปรีชาสามารถ ทรงพระราชดำริอรรถอันเป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน197 สรุปคุณสมบัติของพระเจ้ามหาวิชิตราชได้ดังนี้ คือ ๑. ทรงมีชาติตระกูลดี ๒. ทรงมีรูปร่างงาม ๓. ทรงมีพระราชทรัพย์มาก ๔. มีกำลังรบที่พร้อมพรั่ง 196ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๖๑-๖๖/๒๖๖. 197ที.สี. (ไทย) ๙/๒๑๓-๒๑๔/๒๓๐-๒๐๔.
๕. ทรงมีพระราชศรัทธาในการบริจาคทาน ๖. ทรงมีการศึกษาอบรมมามาก ๗. ทรงมีความรู้กว้างขว้าง ละเอียดลึกซึ่งเข้าใจความหมายภาษิตต่าง ๆ สามารถ อธิบายความหมายได้ ๘. ทรงเป็นผู้ฉลาดมีปัญญา คุณสมบัติ ๘ ประการ ที่พระเจ้ามหาวิชิตะทรงมีนี้ ทำให้บ้านเมืองรุ่งเรืองได้เพราะ พระองค์ทรงปกครองแผ่นดิน โดยอาศัยพระปัญญาและการศึกษาเป็นสําคัญ นอกจากนี้พระองค์ยัง ทรงมีข้าราชบริพาร ที่มีคุณสมบัติของพราหมณ์ปุโรหิตที่ดี ๔ ประการ คือ ๑. เป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายพระมารดาและพระบิดา มีครรภ์เป็นที่ปฏิสนธิหมดจดดี ตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดคานติเตียน ด้วยอ้างถึงชาติกำเนิดได้ ๒. เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจำมนต์รู้จบไตรเภท พร้อมทั้งคัมภีรนิฆัณฑุคัมภีรเกตุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีรอิติหาสเป็นที่ ๕ เป็นผู้เข้าใจตัวบทเป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ชำนาญใน คัมภีรโลกายตะและมหาปุริสลักษณะ ๓. เป็นผู้มีศีล มีศีลจำเริญมั่นคง ๔. เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญาเป็นที่ ๑ หรือที่ ๒ ของพวกปฏิคาหกผู้รับการ บูชาด้วยกัน คุณสมบัติข้าบริพารที่ดีของพระเจ้ามหาวิชิตะราชทั้ง ๔ ประการ โดยสรุปได้แก่ ๑. ความเป็นผู้มีชาติตระกูลดี ๒. ความเป็นผู้มีการศึกษาสูง ชำนาญในหน้าที่ของตน ๓. ความเป็นผู้มีศีล ๔. ความเป็นผู้ฉลาดมีปัญญามาก คุณสมบัติ ๔ ประการ ของพราหมณ์ปุโรหิต ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองการปกครอง ต่อ พระเจ้ามหาวิชิตะ อันนับเป็นคุณสมบัติที่สําคัญที่ส่งผลต่อการถวายคำแนะนำที่ก่อคุณประโยชน์ต่อ ชาติบ้านเมือง จากที่ยกตัวอย่างมานี้จะเห็นได้ว่าลักษณะของผู้ที่จะเป็นผู้ปกครองนั้นย่อมมี ความสำคัญยิ่งเช่นเดียวกันกับพฤติกรรมที่แสดงออกมาภายนอก เพราะฉะนั้น ผู้ปกครองจึงจำเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องมีคุณสมบัติทั้งภายใน คือ จิตใจ และคุณธรรม ส่วนคุณสมบัติภายนอก คือ ความรู้ ความสามารถ และผู้ที่ให้การสนับสนุน เป็นต้น มีหลักพุทธธรรมอีกส่วน คือ สัปปุริสธรรม ในสัปปุริสสูตร อุปริปญญาสก มัชฌิมนิกาย ปรากฏพุทธโอวาทเรื่องธรรมของคนดี (สัตบุรุษ) คนที่สมบูรณ์แบบ หรือมนุษย์โดยสมบูรณ์ ซึ่งถือว่า เป็นสมาชิกที่ดี มีคุณค่าที่แท้จริงของมนุษยชาติ มีธรรมะหรือคุณสมบัติที่เรียกว่า สัปปุริสธรรม ๗ ประการ คือ ๑. ธัมมัญญุตา รู้หลักการ เมื่อดำรงตำแหน่ง มีฐานะ หรือจะทำอะไรก็ตามต้องรู้ หลักการ รู้งาน รู้หน้าที่ รู้กฎเกณฑ์กติกาที่เกี่ยวข้อง เช่น อย่างผู้ปกครองประเทศชาติก็ต้องรู้หลัก รัฐศาสตร์ และรู้กฎกติกาของรัฐ คือกฎหมายตั้งแต่รัฐธรรมนูญลงมาแล้วก็ยืนอยู่ในหลักการตั้งตนอยู่ ในหลักการให้ได้ชุมชน สังคม องค์กร หรือกิจการอะไรก็ตาม ก็ต้องมีหลักการ มีกฎ มีกติกา ที่ผู้บริหาร จะต้องรู้ชัด แล้วก็ตั้งมั่นอยู่ในหลักการนั้น
๒. อัตถัญญุตา รู้จุดหมายผู้บริหารถ้าไม่รู้จุดหมายก็ไม่รู้ว่าจะนำคนและกิจการไปไหน นอกจากรู้จุดหมาย มีความชัดเจนในจุดหมายแล้ว จะต้องมีความแน่วแน่มุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงจุดหมาย ด้วย ข้อนี้เป็นคุณสมบัติที่สําคัญมาก เมื่อใจมุ่งจุดหมาย แม้มีอะไรมากระทบกระทั่ง ก็ จะไม่หวั่นไหว อะไรไม่เกี่ยวข้อง ไม่เข้าเป้า ไม่เข้าแนวทางก็ไม่มั่ววุ่นวาย ใครจะพูดว่าด่า เหน็บแนม เมื่อไม่ตรงเรื่อง ก็ไม่มัวถือสา ไม่เก็บเป็นอารมณ์ ไม่ยุ่งกับเรื่องจุกจิกไม่เป็นเรื่อง เอาแต่เรื่องที่เข้า แนวทางสู่จุดหมาย ใจมุ่งสู่เป้าหมาย อย่างชัดเจน และมุ่งมั่นแน่วแน่ ๓. อัตตัญญุตา รู้ตน คือ ต้องรู้ว่าตนเองคือใครมีภาวะเป็นอะไร อยู่ในสถานะใด มีคุณสมบัติ มีความพร้อม มีความถนัด สติปัญญา ความสามารถอย่างไร มีกำลังแค่ไหน มีข้อยิ่งข้อ หยอน จุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร ซึ่งจะต้องสำรวจตนเอง และเตือนตนเองอยูเสมอ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ใน การพัฒนาปรับปรุงตัวเอง ให้มีคุณสมบัติความสามารถยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ใช่ว่าเป็นผู้บริหารแล้วจะเป็นคน สมบูรณ์ไม่ต้องพัฒนาตนเอง ยิ่งเป็นผู้บริหารก็ยิ่งต้องพัฒนาตนเองตลอดเวลาให้นำได้ดียิ่งขึ้นไป ๔. มัตตัญญุตา รู้ประมาณ คือ รู้จักความพอดี หมายความว่าต้องรู้จักขอบเขตขีดขั้น ความพอเหมาะที่จะจัดทำในเรื่องต่างๆ ท่านยกตัวอย่าง เช่น ผู้ปกครองบ้านเมืองรู้จักประมาณในการ ลงทัณฑ์อาญา และการเก็บภาษี เป็นต้น ไม่ใช่เอาแต่จะให้ได้อย่างใจและต้องรู้จักว่าในการกระทำ นั้นๆ หรือในเรื่องราวนั้นๆ มีองค์ประกอบหรือมีปัจจัยอะไรเกี่ยวข้องบ้าง ทำแค่ไหนองค์ประกอบของ มันจะพอดี ได้สัดสวนพอเหมาะ การทำการต่างๆ ทุกอย่างต้องพอดี ถ้าไม่พอดีก็พลาดความดีจึงจะทำ ให้เกิดความสำเร็จที่แท้จริง ฉะนั้นจะต้องรู้องค์ประกอบและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และจัดให้ลงตัว พอเหมาะพอดี ๕. กาลัญญุตา รู้กาล คือ รู้จักเวลา เช่น รู้ลำดับ ระยะ จังหวะ ปริมาณ ความเหมาะ ของเวลาว่า เรื่องนี้จะลงมือตอนไหน เวลาไหนจะทำอะไรอย่างไร จึงจะเหมาะ ดังจะเห็นว่าแม้แต่การ พูดจาก็ต้องรูจักกาลเวลา ตลอดจนรู้จักวางแผนงานในการใช้เวลา ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่เช่น วางแผนว่า สังคมมี แนวโน้มจะเป็นอย่างนี้ในเวลาข้างหน้าเท่านั้น และเหตุการณ์ทำนองนี้จะเกิดขึ้นเราจะ วางแผนรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร ๖. ปริสัญญุตา รู้ชุมชน คือ รู้สังคมตั้งแต่ในขอบเขตที่กว้างขวาง คือ รู้สังคมโลก รู้สังคมของประเทศชาติว่าอยู่ในสถานการณ์อย่างไร มีปัญหาอะไร มีความต้องการอย่างไร โดยเฉพาะ ถ้าจะช่วยเหลือเขาก็ต้องรู้ปัญหารู้ความต้องการของเขา แม้แต่ชุมชนย่อยๆ ถ้าเราจะช่วยเหลือเขา เราต้องรู้ความต้องการของเขา เพื่อสนองความต้องการได้ถูกต้อง หรือแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ๗. ปุคคลัญญุตา รู้บุคคล คือ รู้จักบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคนที่มาร่วมงานร่วมการ ร่วมไปด้วยกัน และคนที่เราไปให้บริการตามความแตกต่างเฉพาะตัว เพื่อปฏิบัติต่อเขาได้ถูกต้อง เหมาะสมและได้ผล ตลอดจนสามารถทำบริการให้ความช่วยเหลือได้ตรงตามความต้องการ รู้ว่าจะใช้ วิธีสัมพันธ์ พูดจาแนะนำติชมหรือจะให้เขายอมรับได้อย่างไร โดยเฉพาะในการใช้คน ซึ่งต้องรู้ว่าคน ไหนเป็นอย่างไร มีความถนัดอัธยาศัยความสามารถอย่างไรเพื่อใช้คนให้เหมาะกับงาน นอกจากนั้นก็รู้ ประโยชน์ที่เขาพึงได้ เพราะว่าในการทำงานนั้นไม่ใช้ว่าจะเอาเขามาเป็นเพียงเครื่องมือทำงานได้ แต่ จะต้องให้คนที่ทำงานทุกคน ได้ประโยชน์ได้พัฒนาตัวเอง ผู้บริหารควรรู้ว่าเขาควรจะได้ประโยชน์ อะไรเพื่อความเจริญงอกงามแห่งชีวิตที่แท้จริงของเขาด้วย ที่กล่าวมานี้ คือหลักธรรมที่เรียกว่า สัปปุ
ริสธรรม ๗ ประการ198 ถ้ามีคุณธรรม ๗ ประการนี้ แม้จะไม่มีคุณสมบัติขออื่นก็เป็นผู้บริหารได้ เพราะรู้องค์ประกอบและปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอที่จะจัดการให้ได้ผล สามารถจัดวาง วิธีปฏิบัติการที่เหมาะสมให้บรรลุผลสำเร็จได้ ส่วนคุณสมบัติอย่างอื่นก็มาเสริม199 ๕.๓ แนวคิดเกี่ยวกับความเป็นมาของผู้บริหารในพระพุทธศาสนา ความคิดเห็นของอินเดียโบราณแบ่งแยกออกเป็น ๒ สาย คือ สายยึดถือคัมภีร์พระเวทอีก พวกไม่ยอมรับความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์พระเวท ฝ่ายที่ยอมรับคัมภีร์พระเวทยอมรับความคิดเรื่อง พระผู้เป็นเจ้าและเทวะต่างๆ ซึ่งมีฤทธานุภาพและฐานะเหนือมนุษย์ ในสมัยที่ฐานะของกษัตริย์เริ่ม สูงขึ้น ตอนปลายสมัยพระเวทเริ่มมีความคิดกษัตริย์เป็นตัวแทนของเทพเจ้า ความคิดเรื่อง เทวราชา เจริญอย่างเห็นได้ชัดในสมัยราชวงศ์โมริยะ การกระทำของกษัตริย์ต้องยึดถือลักษณะต่างๆ ของเทพ เจาจึงจะเป็นการปกครองที่สมควร200 พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นท่ามกลางประเพณีนิยมอินเดียโบราณและเป็นยุคที่ปกครอง บ้านเมืองด้วยระบอบราชาธิปไตยและสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจเด็ดขาด และโดยที่ประเพณีนิยมถือว่า พระมหากษัตริย์เป็นนักรบมีหน้าที่ป้องกันบ้านเมือง และเป็นนัก ปกครองพระพุทธศาสนาได้แบ่งแนวความคิดเกี่ยวกับผู้บริหารมีปรากฏในประวัติศาสตร์ ๒ ลักษณะ ธรรมราชาและสมมติเทวราชา ความคิดดังกล่าวแตกต่างกับความคิดแบบเทวราชาของพราหมณ์มี รายละเอียดดังต่อไปนี้ ๑) พระธรรมราชา ในขณะที่ธรรมตามหลักพุทธธรรมแสดงความเป็นสากลที่ทุกคนพึงปฏิบัติธรรมอย่าง เดียวกันใครปฏิบัติได้มากก็อยู่ในฐานะสูง ยิ่งอยู่ในฐานะสูงก็ยิ่งหวังว่าจะต้องประพฤติให้สูงตามไปด้วย หากประพฤติตนไม่อยู่ในธรรมก็จะถูกโลกตําหนิยิ่งกว่าเมื่อคนวรรณะต่ำประพฤติผิดกษัตริย์จึงต้อง ประพฤติธรรมและเผยแพร่ธรรมซึ่งก็ต้องรวมหน้าที่เป็นพระอัครศาสนูปถัมภกไปด้วยโดยปริยาย กษัตริย์ในความหมายเช่นนี้ จึงได้ชื่อว่าเป็นธรรมราชา ศาสนาพราหมณ์ผนวกความเชื่อเรื่องเทพเจ้า เขากับลักษณะของกษัตริย์และโยงวรรณะกษัตริย์เขากับพระผู้เป็นเจ้า จึงเกิดความคิดแบบเทวราชา ดังกล่าวมาแล้ว ส่วนพระพุทธศาสนาไม่ยอมรับความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์พระเวท จึงไม่ยอมรับการเกิด วรรณะจากพระผู้เป็นเจ้า และมิได้ให้ฐานะอันสําคัญแก่เทพเจ้าทั้งหลาย หากแต่กำหนดว่าความเป็น เทพก็เกิดจากบุญอันบุคคลได้กระทำ คนธรรมดาก็อาจสูงส่งเท่าเทพและพรหมได้หากประพฤติธรรม สูงพอ ดังนั้นพระเจ้าแผ่นดินที่ดีจึงเป็นสมมติเทพคือเทียบได้กับเทพในแง่การปฏิบัติธรรม และมีสิทธิ์ ในการปกครองเพราะคุณธรรมดังกล่าว หากปราศจากคุณธรรมและสอนผู้อื่นก็มีสิทธิโค่นล้มเสียได้ ดังนั้น ธรรมราชาจึงต้องปกครองโดยเน้นการปฏิบัติตามธรรมและสอนผู้อื่นให้ประพฤติธรรม มากกว่า ปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อนแล้วใช้อำนาจปราบปรามเมื่อประชาชนทำผิด ยิ่งกว่านั้น นอกจากธรรม 198ที.สี. (ไทย) ๙/๒๑๓-๒๑๔/๒๓๐-๒๐๔. 199พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต).ผู้นํา.อ้างแล้ว. หน้า ๒๐. 200สุรศักดิ์ ม่วงทอง. “พุทธธรรมกับภาวะผู้นำที่พึ่งประสงค์ศึกษาเฉพาะกรณีกำนันและ ผู้ใหญ่บ้าน จังหวัดนครศรีธรรมราช”.วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต. (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๓). หน้า ๓๕.
ราชาไม่ถืออำนาจเป็นเครื่องมือปกครองแล้วยัง ทรงควบคุมพระองค์มิให้ลุแก่อำนาจหรือให้ ความสำคัญแก่ฐานะอันสูงสุดของพระองค์ยิ่งกว่าความสุขของประชาชนดังจะเห็นได้จาก พรหมวิหารและธรรมหลายข้อในทศพิธราชธรรม เมื่อกษัตริย์ปฏิบัติพระองค์ตามธรรมดังกล่าวนี้แล้ว ย่อมไม่ใช้อำนาจในทางที่ไม่เป็นธรรมแม้จะทรงพระราชอำนาจอยู่สักเพียงใด อาจเป็นเหตุให้พระพุทธ องค์ทรงเห็นว่าเพียงพอสำหรับนักปกครองแว่นแคว้นต่างๆ201 พระพุทธศาสนาจึงได้รับอิทธิพลเรื่องของผู้บริหารจึงได้มีการประยุกต์พัฒนาคุณภาพของ ผู้บริหาร ตามแนวพุทธธรรมในพระพุทธศาสนา โดยให้ผู้ปกครองนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนาไป ใช้ เพื่อมุ่งสร้างสรรค์สังคมมนุษย์เป็นสังคมที่มีระเบียบให้อยู่ด้วยความสงบสุข เป็นที่น่าสังเกตว่า เหตุ ใด พระพุทธศาสนา จึงต้องการให้ผู้บริหารมีคุณธรรมเป็นพิเศษ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญต่อผู้บริหารมากเพราะผู้บริหารมิใช่เป็นเพียงผู้บริหารในทางการเมือง เท่านั้น แต่เป็นศูนย์กลาง ที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเพราะเป็นผู้ที่ต้องนำ สังคมด้วย ดังนั้นถ้าผู้ปกครองมี คุณธรรมสังคมก็จะอยู่ด้วยสันติสุข ประชาชนก็จะถือเอาตัวอย่าง คุณธรรมของผู้บริหารไปปฏิบัติ เป็นที่ ประจักษ์ว่าถ้าประเทศใดมีผู้น้ำที่มีความรู้ความสามารถและมี คุณธรรม ประเทศนั้นบ้านเมืองนั้นก็จะ เจริญก้าวหน้า สังคมก็จะไม่เดือดร้อนจากการได้ศึกษา ประวัติศาสตร์สมัยการปกครองของพระเจ้า อโศกมหาราชแห่งอินเดียพระองค์ทรงการปกครอง ดำรง มั่นอยู่ในหลักธรรมของพระพุทธศาสนามี ธรรมทศพิธราชธรรม ฉะนั้นคุณธรรมของผู้บริหารจึงเป็น สิ่งที่ปรารถนาว่าผู้บริหารไม่มีคุณธรรมแล้วผู้บริหารนั้นก็ อาจจะใช้อำนาจตามความพอใจ และอาจ สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยจากคนที่มีเมตตากรุณา กลายเป็นคนที่โหดร้ายสร้างความเดือดร้อน ให้กับประชาชนประเทศชาติขาดความเป็นเอกภาพพระองค์จึงทรงนำหลักเบญจศีลและเบญจธรรมมา ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ได้แก่202 ๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์ ๒. เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้ ๓. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ๔. เว้นจาการพูดเท็จ ๕. เว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย203 ส่วนเบญจธรรมหรือเบญจกัลยาธรรมนั้น คือธรรมอันดีงาม ๕ อย่าง ได้แก่ ๑. เมตตาและกรุณา ความรักใคร่ปรารถนาให้มีความสุขความเจริญและความ สงสารคิดช่วยให้พ้นทุกข์ ๒. สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีพในทางสุจริต ๓. กามสังวร กามสังวรในกาม ความสำรวมระวังรู้จักยับยั้งควบคุมตนในทางกาม อารมณ์ไม่ให้หลงใหลไปในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส 201พระครูสิริจันทนิวิฐ. (บุญจันทร์เขมกาโม). ภาวะผู้นำเชิงพุทธ. (กรุงเทพมหานคร: นิติ ธรรมการพิมพ์, ๒๕๔๙) หน้า ๓๗-๓๘. 202ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๒๘๖/๒๔๗, องฺ.ปฺจก.(ไทย) ๒๒/๑๗๒/๒๒๗. 203ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓๕๙/๒๘๔.
๔. สัจจะ ความสัตย์ความซื่อตรง ๕. สติสัมปชัญญะ ระลึกได้และรู้ตัวอยู่เสมอคือ ฝึกตนให้รู้จักคิด รู้สึกตัวเสมอว่าสิ่งใด ควรทำ และสิ่งใดไม่ควรทำ กล่าวโดยสรุป พระพุทธศาสนาเสนอหลักธรรมให้ผู้บริหารเพื่อพัฒนาความเป็นผู้บริหาร โดยการใช้หลักพุทธธรรมถ้าผู้บริหารที่ไม่มีคุณธรรมผู้บริหารใช้อำนาจตามความพอใจ อาจ เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยจากคนที่ มีความเมตตากลายเป็นคนโหดร้ายได้ ๒) ลักษณะของเทวราชา พระพุทธศาสนายอมรับความสำคัญของกษัตริย์ในแง่ที่เป็นเทพเจ้าโดยสมมติ คือโดย การยอมรับของประชาชน ไม่ใช่เทพที่อยู่บนสวรรค์ตามความเข้าใจของลัทธิพราหมณ์เพราะ พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นท่ามกลางประเพณีนิยมอินเดียโบราณซึ่งถูกครอบงำด้วยลัทธิพราหมณ์แต่ไม่ ทั้งหมด ทั้งนี้พระพุทธศาสนายังคงมีจุดยืนมีความเป็นตัวของตัวเอง โดยให้เหตุผลอธิบายเทพไว้ ๓ ประเภท ดังนี้204 ๑. สมมติเทพ คือ (God by convention) เทพเจ้าโดยสมมติ โดยการยอมรับของ มนุษย์โลก ซึ่งหมายถึงกษัตริย์ทรงเป็นกายที่อยู่เหนือมนุษย์ด้วยธรรม ๒. อุปตติเทพ คือ (God by rebirth) เทพเจ้าโดยกำเนิด ซึ่งสถิตอยู่บนสวรรค์ ๓. วิสุทธิเทพ คือ (God by purification) เทพเจ้าโดยความบริสุทธิ์ซึ่งเกิดจากการ กระทำของตนเองอันได้แก่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ลักษณะสําคัญของผู้บริหารในฐานะเทวราชา คือ การยกอำนาจสิทธิ์ขาดให้เป็น ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ดูแลรักษาความสงบ ปราบปรามเหตุการณ์ให้อยู่ในความสงบ ดำเนินการบริหารกิจกรรมต่างๆ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม หรือสมาชิกภายใต้การดูแลบนพื้นฐานของหลักพุทธธรรม พระองค์ผู้เป็น เทวราชา มีคุณธรรมที่เป็นเอกลักษณ์สําคัญ คือมีความกล้าหาญเฉพาะในสิ่งที่เป็นธรรมตาม ทศพิธราชธรรม สิ่งที่เหมือนกันในเทวราชา และธรรมราชา มิใช่เพียงสถานสูงสุดในสังคม แต่ขึ้นกับ เงื่อนไขที่เท่าเทียมกันกับทุกๆ คนในฐานะสมาชิกอยู่รวมในสังคม คือ การประพฤติธรรม ในฐานะ ผู้บริหาร คือ พันธกรณีในการดูแลทุกข์สุขของอาณาประชาราษฎรดังนั้นกล่าวโดยสรุปประชาชนคน ธรรมดา ถ้ากระทำความดีก็อาจได้รับการยกย่องยอมรับนับถือสมมติเป็นเทพ ได้แก่กษัตริย์ในยุคนั้น เป็นการ ปฏิรูปความคิดของลัทธิพราหมณ์ที่ว่าคนธรรมดาก็อาจเป็นเทพเจ้าได้ถ้าเขาปฏิบัติตนเป็น คนดี จนเป็นที่ยอมรับนับถือของคนโดยทั่วไปในกระบวนการบริหาร เป็นที่ยอมรับกันว่าผู้บริหารหรือ ผู้บริหารมี บทบาทอันสําคัญยิ่งในการที่จะทำให้งานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย ดังนั้นบทบาทหรือ อำนาจ หน้าที่ของผู้บริหารหรือผู้ปกครองจึงได้มีผู้ศึกษา และกล่าวถึงเสนอแนะไว้มากมายดังกล่าว แล้ว ในพระพุทธศาสนาก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในพระสุตันตปิฎก เช่น มหาโคปาลสูตรและจูฬโคปาล สูตร จักรวรรดิวัตรกูฎทันตสูตรมีเนื้อความกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้จะได้ศึกษาดังนี้ 204พระครูสิริจันทนิวิฐ (บุญจันทรเขมกาโม). ภาวะผู้นําเชิงพุทธ. อ้างแล้ว. หน้า ๒๖.
๑) มหาโคปาลและจูฬโคปาลสูตร205 พระพุทธเจ้าทรงยกเป็นอุปมาเปรียบเทียบว่า ภิกษุ ผู้ที่จะเข้าถึงฝั่งนิพพาน มีความเจริญในพระธรรมวินัยได้นั้น จะต้องประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ ดังข้อความนี้ นายโคบาล เป็นผู้ควรจะครอบครองฝูงโค ควรทำฝูงโคให้เจริญได้ดูกรภิกษุทั้งหลาย นาย โคบาลในโลกนี้ รู้จักรูป ฉลาดในลักษณะเป็นผู้คอย เขี่ยไข่ขังปิดบังแผลสุมควัน ให้รู้จักท่า รู้จักให้โค ดื่มน้ำ รู้จักทาง ฉลาดในสถานที่โคเที่ยวหากิน รีดน้ำนมให้เหลือไว้บูชาโคที่เป็นพ่อฝูงเป็นผู้บริหารฝูง ด้วยการบูชาเป็นอดิเรก ดูกรภิกษุทั้งหลายนายโคบาลประกอบด้วย องค์๑๑ ประการนี้ เป็นผู้ควรจะ ครอบครองฝูงโค ควรทำฝูงโคให้เจริญ206 พุทธพจนนี้ มีคำอธิบายแนวทางบทบาทหน้าที่ของการเป็นผู้บริหารที่ถูกต้องตามหลักพุทธ ธรรมที่นำมาประยุกต์ขยายความดังนี้ ๑. การรู้จักรูป ผู้บริหารจะต้องรู้จักและเข้าใจผู้รวมงาน หรือผู้ใต้บังคับบัญชา ในฐานะ ของสมาชิกขององค์กร ความรู้นี้นอกจากจะสร้างความสนิทกันแล้ว ยังก่อให้เกิดมิตรไมตรีต่อกันเข้า ใจความต้องการประวัติพื้นเพของมวลสมาชิก ๒. ฉลาดในลักษณะ เมื่อผู้บริหารรู้จักรู้ตัวบุคคล ก็จะสามารถพิจารณาจัดสรรตำแหน่ง งานต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับบุคคล การทำงานภายใต้การแนะนำมอบหมายก็จะสัมฤทธิ์ผล ๓. คอยเขี่ยไข่ขังผู้บริหารสามารถแสดงศักยภาพของตนได้จากการแก้ไขปัญหา ข้อบกพร่องต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพื้นฐานต่อความเชื่อถือในอำนาจ ๔. คอยปิดบังแผล ผู้บริหารจะต้องมีความระมัดระวัง สำรวจตรวจตรามิให้เกิดความ เสียหาย อันเป็นการทำลายชื่อเสียงของสมาชิกในสังคม ป้องกันมิให้ปรากฏออกมาภายนอก ๕. สุ่มควันผู้บริหารจะสามารถของตนแก่ผู้อื่นอย่างถูกต้องในแง่การนิเทศงานแก่มวล สมาชิก ต้องอาศัยประสบการณ์และภาวะผู้บริหาร ๖. รู้จักท่า (น้ำ) ผู้บริหารจะต้องรู้จักแสวงหาความรู้รู้จักจัดความคิดในการทำงานมี คณะทำงานที่ดี มีคณะที่ปรึกษาในกิจกรรมต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่มวลสมาชิก ๗. รู้ว่าโคกินน้ำแล้วหรือยังผู้บริหารจะต้องรู้จักกระบวนการพัฒนาให้โอกาสแก่ ความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ของสมาชิก ด้วยการอบรม เพิ่มพูนความรู้ฝึกฝนทักษะอาชีพ ๘. การรู้ทางผู้บริหารจะต้องรู้แนวทางในการบริหารจัดการ ขณะเดียวกันก็จะต้องรู้จัก จุดรวมของชีวิตมนุษย์โดยนำพาสมาชิกของตนไปสู่จุดหมายของชีวิตรวมกัน ๙. ฉลาดในสถานที่โคจร ผู้บริหารจะต้องสามารถประเมินศักยภาพของกลุ่มด้วยการ กำหนดเป้าหมาย วางแผนการทำงานและแนวทางปฏิบัติจนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ ๑๐.รีดนมให้เหลือไว้ผู้บริหารจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของมวลสมาชิก รู้จักประสาน ประโยชน์นำเดินกิจรรมของกลุ่มด้วยความพอเหมาะพอดี รักษาสมดุลระหว่างการให้กับการรับ 205ม.มู.(ไทย) ๑๒/๓๕๘/๒๙๒. 206ม.มู.(ไทย) ๑๒/๓๘๕/๒๙๒.
๑๑. การบูชาโคที่เป็นพ่อฝูง หรือจ่าฝูง ผู้บริหารจะสามารถเสริมภาวะของตนเองให้ เด่นชัด ด้วยการรู้จักให้บำเหน็จรางวัลแก่ผู้ทำงานดี มีคุณธรรม อันเป็นการสร้างเสริมความเชื่อถือต่อ ผู้บริหาร และเป็นกำลังใจในการทำกิจกรรมต่างๆ ของกลุ่มและมวลสมาชิก207 กล่าวโดยสรุปข้อความข้างตนผู้บริหารมีความสำคัญอย่างมากทั้งในแง่การบริหารงานคือ มี การวางแผนการทำงานการนำแผนไปปฏิบัติ และการประเมินผล ขั้นตอน หรือวิธีการดังกล่าวนี้ มี ความแตกต่างกันไปตามภาวะผู้บริหารแต่ละบุคคล แต่สิ่งที่จะแสดงถึงภาวะผู้บริหารที่พึงประสงค์ตาม หลักธรรมอันนำไปประยุกต์ให้เกิดผล มิใช่เพียงสร้างความมั่นคงกับฐานอำนาจหรือตำแหน่ง สถานะ ของผู้บริหารในกลุ่มเท่านั้น แก่นแท้ของหลักธรรมได้แสดงให้เห็นภาวะของผู้บริหาร ซึ่งต้องเป็นบุคคล ที่ฉลาด รอบรู้มีความมุ่งหมายในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมและมวลสมาชิก ๒) จักรวรรดิวัตร208 คือ การบำเพ็ญกรณีจะกิจของจักรพรรดิ คือการมีบทบาทปฏิบัติ หน้าที่ของผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ เป็นหลักธรรมที่ช่วยให้ผู้ปกครองดำเนินกุศโลบายในทางการเมืองเพื่อ จะปกครองหรือบริหารบ้านเมืองให้มีความเจริญก้าวหน้ามี ๑๒ ประการ คือ ๑. ให้ยึดถือหลักธรรมเป็นธงชัยในการปกครองประเทศ เคารพยำเกรงธรรม ๒. ให้ความคุ้มครองรักษาอันเป็นธรรมแก่อันโตชน หรือ ชนภายใน เช่น พระมเหสี พระราชโอรส พระธิดาตลอดถึงผู้ปฏิบัติราชการในพระธรรมองค์ทั้งหมด โดยการอบรมสั่งสอนให้อยู่ ในความสงบเรียบร้อยดีงามเป็นต้น ๓. ให้ความคุ้มครองรักษาแก่กำลังพล เช่นทหาร ข้าราชการตำรวจ โดยเป็นธรรม ๔. ให้ความคุ้มครองแก่กษัตริย์ที่เป็นเมืองขึ้น ตลอดถึงชนชั้นผู้ปกครองและนักบริหาร ชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลาย ๕. ให้ความคุ้มครองแก่อนุโตชน หรือข้าราชการบริพารตามเสด็จ ในสมัยปัจจุบันก็คือ ข้าราชการพลเรือน ๖. ให้ความคุ้มครองแก่ชนเจาพิธี ผู้ประกอบอาชีพวิชาการ พ่อค้าเกษตรด้วยวิธีการ จัดหาทุนทรัพย์และอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ เป็นต้น ๗. ให้ความคุ้มครองแก่ราษฎรทั้งปวง ทั้งในเมือง ชนบทและชายแดน โดยเป็นธรรม เสมอเหมือนกัน ๘. ให้ความรู้คุ้มครองแก่พระสงฆ์บรรพชิต สมณะชีพราหมณ์ ๙. ให้ความคุ้มครองแก่นก และเนื้อ สัตว์ที่ควรสงวนทั้งหลาย ๑๐. ห้ามป้องกันมิให้เกิดการอันอธรรมทุกชนิดเกิดขึ้นในพระราชอาณาจักร ปราบปราม ผู้มีอิทธิพลต่างๆ มิให้มีการกระทำทุจริต ผิดกฎหมายบ้านเมืองอันจะก่อให้เกิดความ เดือดร้อนแก่ ประชาชนอยู่ในรัฐโดยเด็ดขาด ๑๑. ธนานุประธานแบ่งปันทรัพย์เฉลี่ยให้แก่ประชาชนผู้ยากไร้มิให้ขัดสนขาดแคลน อยู่ ในแว่นแคว้นโดยไม่ได้รับการเหลียวแลช่วยเหลือตามสมควรหรือการกระจายรายได้ให้แก่ประชาชน 207นันทวรรณ อิสรานุวัฒน์ชัย. “ภาวะผู้นำที่พึงประสงค์ในยุคโลกาภิวัฒน์: ศึกษาจากหลัก พุทธธรรม”. อ้างแล้ว . หน้า ๔๓. 208ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓๕/๔๕-๔๖.
สม่ำเสมอกันมากที่สุดที่จะทำได้ไม่ปล่อยให้ความเจริญกระจุกอยู่เฉพาะส่วนใดสวนหนึ่งของประเทศ เท่านั้น ๑๒. สมณะพราหมณ์ปริปุจจฉา มีความสนใจศาสนาและศีลธรรมหมั่นปรึกษาไต่ถาม สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ นักวิชาการผู้มีความรูดีความสามารถดี ต้องแสวงหาปัญญา ความรู้และคุณธรรมอยู่เสมอ มีที่ปรึกษาที่ดี บริสุทธิ์ มีคุณธรรม เพื่อให้รู้ชัดในสิ่งที่ควรกระทำและใน สิ่งที่ควรเป็น กล่าวโดยสรุปข้อธรรมข้างต้นผู้ปกครองมีบทบาทหน้าที่ในการคุ้มครองทุกสรรพสิ่งแสดง ให้ เห็นว่าผู้บริหารมีความสำคัญต่อระบบการปกครองที่ดีและได้กล่าวไว้อย่างละเอียด โดยนอกจากจะ มองที่พฤติกรรมการแสดงออกในลักษณะต่างๆ แล้วยังมองที่ลักษณะรูปร่างของบุคคลมา ประกอบด้วย เพราะถือว่าสิ่งที่ปรากฏในปัจจุบัน ก็คือผลจากการกระทำจากอคตินั้นเองฉะนั้นพื้นฐาน ของบุคคลจากอคติย่อมบ่งบอกถึงอนาคตได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่อยู่ในฐานะผู้บริหารหรือ ผู้ปกครองที่ดีตามแนวพระพุทธศาสนาจะต้องมีบทบาทหน้าที่ครบถ้วนซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าเป็น ปทัสถานในการปฏิบัติตน ดังที่ได้กล่าวมาในข้างต้นนั้น ๓) กูฎทันตสูตร209 แสดงถึงบทบาทหน้าที่ในการบริหารกิจการบ้านเมืองของผู้บริหาร ใน ฐานะผู้ปกครองรัฐ สูตรนี้ได้กล่าวถึง สาเหตุของอาชญากรรม และแนวทางแก้ไขที่จะทำให้ อาชญากรรมนั้นหมดไป จะต้องทำให้สมาชิกในฐานะประชาชนในรัฐมีความเป็นอยู่ที่ดี ชาวบ้าน จะต้องมีกิน ชาวนาจะต้องได้สิ่งที่จำเป็นแก่การทำนา พอค้าจะต้องมีทุน ลูกจ้างผู้ใช้แรงงานมีงานทำ มีเงินได้พอเลี้ยงชีพ คนเดือดร้อนควรที่จะได้รับการยกเว้นภาษี ทำให้ประชาชนมีรายได้พอเพียง วิธีการที่ผู้บริหารต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้ ๑. พลเมืองเหล่าใด ในบ้านเมืองพระองค์ขมีขมันในกสิกรรมและโครกฺกรรมของ พระองค์จงเพิ่มข้าวปลูกและข้าวกินให้แก่พลเมืองเหล่านั้นในโอกาสอันสมควร ๒. พลเมืองเหล่าใด ในบ้านเมืองของพระองค์ขะมักเขม้นในพาณิชยกรรมของ พระองค์จงเพิ่มทุนให้แก่พลเมืองเหล่านั้น ในโอกาสอันสมควร ๓. ข้าราชการเหล่าใดในบ้านเมืองของพระองค์จงพระราชทานเบี้ยเลี้ยงและเงินเดือน แก่ข้าราชการเหล่านั้น ในโอกาสอันสมควร กล่าวโดยสรุปผู้บริหารต้องดำเนินการใดๆ มีความเกี่ยวพันกับความเป็นอยู่ของมวลสมาชิก ถ้าผู้บริหารดีนั่นหมายถึงต้องสามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ บำบัดทุกข์บำรุงสุขของอาณา ประชาราษฎร์ได้นับเป็นการนำหลักพุทธธรรมมาใช้ในการบริหารประเทศและสะท้อนให้เห็นถึงภาวะ ความเป็นผู้บริหารที่พึงประสงค์ของมวลสมาชิก หลักการสําคัญของผู้บริหารในพระสุตนฺตปิฎก ได้พัฒนาวิวัฒน์กระบวนการของหมู่มนุษย์ ใน ฐานะผู้บริหารและสมาชิกของสังคมในยุคสมัยต่างๆ ที่กล่าวอ้างถึงมาทั้งหมดข้างต้น ดังนี้ ๑. เมื่อมนุษย์เหล่านั้น ดำรงชีพอยู่ด้วยปัจจัยเลี้ยงชีพพื้นฐาน คือ อาหาร ซึ่งสามารถ หาเอาได้จากพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ยังไม่รู้จักการสะสม เพราะยังไม่มีความจำเป็นต้องสะสมทรัพย์สิน ส่วนบุคคลจึงไม่มี ทรัพยากรที่มีอยู่จึงเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนรวมปัญหาความขัดแย่งต่าง ๆ จึงยังไม่เกิดขึ้น 209ที.สี.(ไทย) ๙/๑/๒๐๐.
๒. มนุษย์ยุคบรรพกาลยังมีความดีพร้อมแต่มนุษย์เหล่านั้นต้องสูญเสียความดีไปเมื่อมี ความแตกต่างกันเกิดขึ้นโดยเฉพาะ คือ ความแตกต่างทางผิวพรรณ จึงเกิดความชั่ว คือการดูหมิ่น เหยียดหยามกันมากขึ้น ความดีจึงเริ่มถูกบดบัง ๓. การสืบพันธ์เป็นสัญชาติญาณดั้งเดิม และเป็นเหตุให้เกิดครอบครัวเมื่อเกิด ครอบครัวขึ้น แล้ว ทำให้เกิดความผูกพันเฉพาะครอบครัว จึงเกิดความคิดที่จะสะสม ต้องแบ่งปันปัก เขตการทำมาหากินเป็นสัดส่วน ๔. เมื่อสังคมเติบโตขึ้น มนุษย์มีมากขึ้นภาวะที่แท้จริงของมนุษย์ตั้งแต่บรรพกาลจวบ จนปัจจุบันนี้ก็คือ มนุษย์มีดีชั่ว ความชั่วที่ปรากฏครั้งแรกในหมูมนุษย์คือความโลภ เป็นต้นเหตุให้ เกิดสังคมปั่นป่วนระส่ำระสาย ๕. แต่ความต้องการของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ก็คือความสุขสงบ ความระส่ำระสาย ในสังคมจึงเป็นสิ่งที่ขัดแย้งต่อความต้องการมนุษย์เป็นเหตุให้มนุษย์แสวงหาทางคืนสู่ความสุขสงบที่ เคยมีมาแต่เดิม โดยร่วมใจกันไปขอให้ผู้มีความสามารถ มีกำลังแข็งแรงกว่าทำหน้าที่ขจัดปัดเป่าความ ระส่ำระสายในสังคม โดยให้อำนาจลงโทษผู้ทำผิด ผู้เป็นต้นเหตุแห่งความระส่ำระสายนั้น ๖. ผู้ที่ได้รับเลือกนี้มีฐานะเป็นหัวหน้าเป็นตำแหน่งมหาชนสมมติตำแหน่งที่ได้มาจึง คล้ายๆ กับผู้แทนราษฎรซึ่งได้มาโดยการเลือกตั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างมหาชนสมมติกับคนอื่นๆ ใน สังคมมีลักษณะคลายคลึงกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้แทนราษฎรกับราษฎรผู้เลือกตั้ง แต่ต่างกันที่ ผู้แทนราษฎร ๗. มหาชนสมมติ ได้รับมอบหมายอำนาจจากมหาชนให้เป็นผู้แทนปกป้องคุ้มครอง ชีวิตและทรัพย์สิน ช่วยเป็นผู้ตัดสินในกรณีที่มีความขัดแย้งในสังคม หน้าที่หลักสําคัญที่สุดคือการ ลงโทษผู้กระทำผิด210 กล่าวโดยสรุปจากข้อความข้างต้น ความขัดแย้ง การทะเลาะวิวาท และการเอารัดเอา เปรียบกันในหมู่มนุษย์เป็นเหตุสําคัญที่ทำให้เกิดความจำเป็นต้องมีผู้บริหารและมีผู้ตาม เพราะเมื่อ มนุษย์จำนวนมาก รวมตัวกันเป็นสังคม ปัญหาที่ตามมาคือ ความขัดแย้ง แม้ในปัจจุบันนี้ก็มีลักษณะ เช่นนั้น ปรากฏอยู่ทุกสังคมมีความคิดขัดแย้งเกิดขึ้น เช่นขัดแย้งทางความคิดการเมืองหรืออาชีพ เป็น ต้น นักการเมืองมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาในระบบประชาธิปไตย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความขัดแย้ง ค่อนข้าง รุนแรงอันเกิดจากผลประโยชน์ที่ได้รับไม่เท่ากันคนมีอำนาจใช้อำนาจในการต่อรองกับ อำนาจรัฐ และยังกดข่มขี่ประชาชน จนทำให้ประชาชนต้องรวมกลุ่มออกเรียกร้องเพื่อรักษาสิทธิของ กลุ่มตนไว้ รัฐต้องมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และทำงานหนักขึ้นในการพัฒนาประเทศ ให้เจริญ ดังนั้นผู้บริหารรัฐบาลสร้างภาวะความเป็นผู้บริหารในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่สะสมมา ต่อเนื่องและเกิดขึ้นมา ใหม่เพื่อปกปองผลประโยชน์ของชาติอย่างเป็นระบอบผู้บริหารมีบทบาทหลาย ลักษณะหลายแบบ เช่นผู้บริหารแบบใช้พระเดช ผู้บริหารแบบใช้พระคุณ ผู้บริหารแบบพ่อพระ การ ใช้อำนาจของผู้บริหาร บางคนก็ใช้อำนาจ แบบอัตตนิยม ถือหลักอัตตาธิปไตย คือ เป็นผู้บริหารที่นิยม ใช้อำนาจของผู้บริหาร องค์ประกอบคุณสมบัติของ 210สุรศักดิ์ ม่วงทอง. “พุทธธรรมกับภาวะผู้นำที่พึงประสงค์ศึกษากรณีกำนันและผู้ใหญ่บ้าน จังหวัด นครศรีธรรมราช”. (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๓) หน้า ๖๕.
ผู้บริหารมีหลายอย่างหลายด้าน แยกไปตามสิ่งที่ผู้บริหารจะต้องเกี่ยวข้อง ผู้บริหารมี ความสามารถในการปฏิบัติต่อ สิ่งเหล่านั้นทุกอย่างให้ถูกต้องและได้ผลดีมีคุณสมบัติเหล่านี้211 คือ ๑. ตัวผู้บริหาร จะต้องมีคุณสมบัติภายในของตนเอง เป็นจุดเริ่มและเป็นแกนกลางไว้ ๒. ผู้ตาม โยงด้วยคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับผู้ตาม หรือเราอาจจะไม่เรียกว่าผู้ตาม ในพุทธ ศาสนาก็ไม่ได้นิยมใช้คำว่า ผู้ตามเราอาจจะใช้คำว่า “ผู้ร่วมไปด้วย” ๓. จุดหมาย โยงด้วยคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับจุดหมาย เช่นจะต้องมีความชัดเจนเข้าใจ ถ่องแท้และแน่วแน่ในจุดหมาย เป็นต้น ๔. หลักการและวิธีการ โยงด้วยคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับหลักการและวิธีการที่จะทำให้ สำเร็จผลบรรลุจุดหมาย ๕. สถานการณ์โยงด้วยคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมหรือสิ่งที่จะประสบซึ่ง อยู่ภายนอกว่าทำอย่างไรจะผ่านไปได้ด้วยดี ในท่ามกลางสังคม สิ่งแวดล้อมหรือสิ่งที่ประสบปัญหา เป็นต้น ข้อความที่กล่าวมาเป็นองค์ประกอบส่วนสําคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้บริหารที่ต้อง พัฒนา ตนเองให้มีคุณสมบัติจะทำให้ผู้บริหารพร้อมที่จะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องบังเกิด ผลดี ผู้บริหารเป็น ผู้ที่มีจุดหมายชัดเจนเป็นที่พึงพิงของผู้ใต้บังคับบัญชาได้ทั่วถึง เป็นแกนกลางใน การบริหารงานมี จุดหมายและหลักการตรงไปตรงมาไม่เอียนเอียงไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังมี หลักธรรมใน พระพุทธศาสนาที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับตัวผู้บริหารหรือผู้บริหารในการบริหารนี้มา ปฏิบัติ โดยมี หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร ดังที่ปรากฏในพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงหลักธรรม คุณธรรม ๖ ประการ ดังนี้212 ๑. มีความอดทน (ขมา) ต่อการปฏิบัติงานมีใจหนักแน่น ไม่ยอมตกในความชั่วไม่เกรง กลัวหรือมีอคติ ๔ เมื่อจะต้องตัดสินใจและไม่หวั่นไหวเพราะโลกธรรม ๘ ๒. มีความตื่นตัว (ชาคริยะ) อยู่ตลอดเวลามีความระมัดระวังไม่ประมาทในการ ปกครองชีวิตหน้าที่และการงาน ๓. มีความขยันหมั่นเพียร (อุฎฐานะ) ต่อหน้าที่การงานมีความระมัดระวังไม่ประมาท ๔. มีอัธยาศัยดีเอื้อเฟื้อเพื่อแผ่ (สังวิภาคะ) มีน้ำใจต่อผู้ร่วมงานเป็นมิตรที่ดีกับทุกคน ๕. มีจิตใจที่เอ็นดู (ทฺยา) รักใคร่ห่วงใยเอาใจใส่ดูแลผู้ร่วมงาน ๖. เอาใจใส่ตรวจตรา (อิกฺขนา) การงานและหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบได้ยกหลักธรรมมา แสดงไว้ก็เพื่อให้เห็นถึงแนวคิดหรือคำสอนเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนากับการ บริหารงานของผู้บริหารเป็นส่วนหนึ่ง ยังมีคำสอนที่พูดถึงคุณสมบัติของความเป็นผู้บริหารจะต้อง ประกอบด้วยลักษณะดังนี้คือ213 211พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต). ภาวะผู้นำ.อ้างแล้ว . หน้า ๕. 212องฺ.จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๗/ ๙-๑๐. 213ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๖๓-๖๕/๗๑-๗๓.
๑. เป็นผู้มีวิสัยทัศนที่กว้างไกล (จฺกฺขุมา) มองสภาพเหตุการณ์ออกและจะวางแผน เตรียมรับหรือรุกได้อย่างไร ๒. เป็นผู้ชำนาญในงาน (วิธูโร) รู้จักวิธีการไม่บกพรองในหน้าที่ ที่ตนได้รับผิดชอบ ๓. เป็นผู้ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี (นิสฺสยสมฺปันฺโน) และได้รับความเชื่อถือจากผู้อื่น คุณสมบัติทั้ง ๓ ประการ มีความสำคัญขึ้นอยู่กับระดับของความแตกต่างของตัวผู้บริหารถ้า เป็น ผู้บริหารระดับสูงรับผิดชอบในการวางแผนและดูแลคนจำนวนมาก ข้อที่ ๑ และข้อที่ ๓ มีความสำคัญ มาก ข้อที่ ๒ มีความสำคัญน้อยเพราะสามารถใช้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้าน ได้สำหรับผู้บริหารระดับกลางทั้งสามขอมีความสำคัญพอๆกัน คือ มีความเฉพาะด้าน มีมนุษย์ สัมพันธ์เพื่อนร่วมงานที่มองเห็นการณ์ไกล ด้วยคุณธรรมของผู้บริหารเป็นผู้ทำหมู่ให้งามมีความ กล้า หาญแกล้วกล้า เรียกว่าเวสารัชชกรณธรรม ๕ ดังนี้ คือ214 ๑. เป็นผู้มี (ศรัทธา) มีเหตุผล มั่นใจในหลักการและในการทำดี ๒. เป็นผู้มี (ศีล) มีระเบียบวินัยดีความประพฤติถูกต้องดีงามไม่ผิดศีลธรรม ๓. เป็นผู้มี (พาหุสัจจะ) ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก ๔. เป็นผู้มี (วิริยารัมภะ) มีความเพียรมั่นคงจริงจังในกิจการนั้นๆ ๕. เป็นผู้มี (ปัญญา) ความรอบรู้เข้าใจเหตุผล ดี ชั่ว รู้คิด รู้วินิจฉัย รู้หลักการคุณสมบัติ ที่กล่าวมาข้างต้นทำให้ผู้บริหารเป็นคนประพฤติตนดีมีความกล้าหาญไปอยู่ในสถานที่ใดเป็นที่เคารพ นับถือของผู้ใต้บังคับบัญชาตรงกับจุดหมายที่ว่า “ผู้บริหารที่ดีไม่มีเสื่อม” มีคุณสมบัติสรุปได้๔ ประการ ดังนี้215 ๑. แรงบันดาลใจ คือพลังปรารถนาอย่างแรงกล้าที่ส่งเสริมผลักดันให้บุคคลทำงานเชิง รุกเข้าสู่เป้าหมายชีวิต กล่าวได้ว่า แรงบันดาลใจเป็นพลังแรงที่ก่อให้เกิดความมุ่งมั่นทุมเทเพื่อให้บุคคล บรรลุถึงเป้าหมายปลายทางในชีวิต เมื่อบุคคลมีแรงบันดาลใจให้กระทำในเรื่องใดความมีสมาธิและ ความมีปัญญาที่จะไปสู่หนทางของความสำเร็จก็จะตามมา แรงบันดาลใจจึงมีส่วนสําคัญในการสร้าง ความเข้มแข็งทางจิตใจให้บุคคลที่จะก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคข้อขัดข้องแต่กลับเขาฝ่า ฟันเครื่องกีดขวางเพื่อให้เข้าถึงผลสัมฤทธิ์ ๒. ทัศนคติเชิงบวก หรือทัศนคติเชิงสร้างคือการมองโลกในแง่ดีและหลีกเลี่ยงการ มองโลกในแง่ร้ายที่อาจทำลายขวัญกำลังใจของตนเองและผู้อื่น การมีทัศนคติเชิงบวกจึงไม่ใช่ความ ประมาท แต่เป็นการทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าพึงประสงค์หรือไม่พึงประสงค์ ด้วยความปล่อยวาง ไม่เครียดไม่ทับถมให้สถานการณ์ที่เสียหายต้องหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นไปอีก เอดิสัน คือแบบอย่างที่ดีงามของการมองโลกในแง่บวก โดยไม่ว่าผลการทดลองจะสำเร็จหรือล้มเหลว เอดิสัน ก็มองว่าคือ การได้เรียนรู้ปรากฏการณ์อย่างสําคัญ ๓. ความเป็นนักสู้ผู้เสียสละ คือการทำหน้าที่ในลักษณะที่ภาษาอังกฤษใช่คำว่า “Service above self”หรืออาจแปลว่า“ให้บริการเหนือตนเอง” ถ้าจะขยายความก็คือนักสู้ผู้เสียสละ 214พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๑๒. (กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖) หน้า ๒๐๖. 215ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์. ผู้นำที่ดีไม่มีเสื่อม. (กรุงเทพมหานคร: อนิเมทกรุ๊ป, ๒๕๕๐) หน้า ๓๐๒ - ๓๐๓.
คือ นักสู้แบบถวายหัว หรือถวายชีวิตเพื่อผู้อื่น เพื่อประเทศชาติและเพื่อมวลมนุษย์ชาติ การสู้เพื่อผู้อื่น เป็นคุณธรรมที่สะท้อนความเสียสละ ริชโธเฟน, ไอเซนฮาวร, แมกไซไซ ต่างเป็นแบบอย่างของการสู้ รบในสงครามเคลเลอร์สู้เพื่อคนพิการ เอดิสันสู้เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีมาเธอร์เทเรซา เคลเลอร์สู้เพื่อ คนพิการ เอดิสันสู้เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี มาเธอร์เทซาและพุทธทาสภิกขุสู้เพื่อยกระดับจิตใจของ มนุษย์ ๔. ความมีภาวะผู้บริหาร ซึ่งหมายถึงความสามารถในการจูงใจโน้มน้าวให้บุคคลอื่น ประพฤติปฏิบัติตามในสิ่งที่ผู้บริหารวางวัตถุประสงค์ไว้ภาวะผู้บริหารจึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับความ กล้าคิด กล้าริเริ่ม กล้าตัดสินใจ กล้าทำและกล้ารับผิดชอบ บุคคลผู้มีภาวะผู้บริหารจึงมีพลัง ความสามารถในการ สร้างศรัทธาบารมีให้บุคคลอื่นมีความคิดเห็นคล้อยตามตามด้วยความสมัครใจ และเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการบังคับข่มขู่หรือใช้อำนาจ กล่าวโดยสรุป ความเป็นภาวะผู้บริหารยึดหลักธรรมมีเหตุผลในการปฏิบัติหน้าที่มีความ เข้ม แข็งทางจิตใจมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอเป็นผู้เสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวมมีความริเริ่มงาน ใหม่ๆ โดยมุ่งที่จะให้เกิดผลแก่มวลชวน สังคม และประเทศชาติอย่างมั่นคงและยั่งยืนตลอดไป สังคมทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผู้บริหารมีคุณสมบัติตามหลักการของศาสนาทำให้สังคมอยู่ เย็นเป็นสุข ซึ่งจะได้ศึกษาคุณสมบัติของพระมหากษัตริย์ในอดีตพุทธกาลและพระมหากษัตริย์ไทยองค์ ปัจจุบันมาศึกษาเป็นความรู้เพียงบางส่วน คือ ก) คุณสมบัติที่กล่าวมานั้น ได้สอดคล้องกับพระเจ้าพรหมทัตขึ้นครองราชย์สมบัติใน เมืองพาราณาสี พระองค์เป็นผู้รังเกียจความไม่ดี วันหนึ่งทรงดำริว่า “เราปกครองเมืองนี้ มีใครเดือน ร้อนและกล่าวโทษของเราหรือเปล่า” จึงทรงแสวงหาอยู่ทั้งในวังและนอกวังก็ไม่พบเห็นใครกล่าวโทษ พระองค์ทรงปลอมพระองค์ไปตามหมู่บ้านต่างๆ ก็ไม่พบเห็นจึงแวะเขาไปในป่าหิมพานต์ทำทีเป็น คน หลงทางเข้าไปสนทนาด้วยกับพระโพธิสัตว์ที่เกิดเป็นพระฤาษีบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าหิมพานต์ในสมัยนั้น มีรากไม้และผลไม้เป็นอาหารฤาษีได้ทำการต้อนรับด้วยผลไม้ป่านานาชนิด พระราชาปลอมได้เสวย ผลไม้ป่ามีรสหวานอร่อยดี ถามสาเหตุที่ทำให้ผลไม้มีรสหวาน ฤาษีทูลว่า “ท่านผู้มีบุญเป็นเพราะ พระราชาครองราชย์โดยธรรม ผลไม้มีรสหวานอร่อยดี” พระราชาปลอมสงสัยถามอีกว่า “ ถ้าพระราชาไม่ครองราชย์โดยธรรม ผลไม้จะมีรสหวานหรือไม่ พระฤาษีตอบว่า “ผลไม้ก็จะมีรสขม ฝาดหมดรสชาติไม่อร่อย”พระราชากลับเมือง ทรงทดลองคำพูดของพระฤาษีด้วยการไม่ประพฤติ ปฏิบัติธรรมเป็นปีแล้วกลับไปหาฤาษีๆ ต้อนรับด้วยผลไม้พอผลไม้เข้าปากมีรสฝาดต้องคายทิ้งลงพื้น พระฤาษี ได้แสดงธรรมว่า เป็นพระราชาไม่ครองราชย์โดยธรรมแน่เลย ธรรมดาฝูงโคว่ายขามแม่น้ำ จ่าฝูงว่ายคด ฝูงโคก็ว่ายคดตามไป เหมือนหมู่มนุษย์ถ้าผู้บริหารไม่ประพฤติดีไม่เป็นธรรม ประชาชนก็ ประพฤติไม่เป็นธรรมเช่นเดียวกัน พระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ทวยราษฎรก็เป็นทุกข์ทั่วกัน ถ้าจ่าฝูง โค ว่ายน้ำตรง ฝูงโคก็ว่ายน้ำตรงเช่นกัน เหมือนกันถ้าผู้บริหารประพฤติเป็นธรรมประชาชนต้อง ประพฤติอยู่ในธรรมเช่นกัน ข้อความข้างต้นที่ได้กล่าวถึงผู้บริหารและผู้ปกครอง เกิดการวิตกว่าผู้บริหารหรือผู้ปกครอง ไม่มี ศีลและปัญญา จะเป็นผู้บริหารหรือผู้ปกครองที่ดีไม่ได้ทำให้เกิดเสื่อมทรามเลวลง ทำให้ญาติพี่ น้อง รวมทั้ง เพื่อนฝูงก็พากันรังเกียจ แต่ในทางตรงกันข้ามแล้วผู้บริหารหรือผู้ปกครองมีทั้งศีลปัญญา และ สุตะอยู่ใน ตนแล้ว ก็จะเป็นประโยชน์ในการเป็นผู้บริหารที่ดี ญาติพี่น้องตลอดจนเพื่อนฝูงก็ให้
ความเคารพด้วยความ อ่อนน้อมอย่างแท้จริง ซึ่งจะกล่าวถึงคุณสมบัติของพระมหากษัตริย์อีกหนึ่ง ท่านในพุทธกาลที่มี ความสำคัญ เช่น พระเจ้ามหาวิชิตราชผู้ปกครองนครมี ๘ ประการดังนี้คือ216 ๑. ทรงเป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายพระมารดาและพระบิดา มีพระครรภ์เป็นที่ปฏิสนธิหมด จดดี ตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดคานติเตียนด้วยอ้างถึงพระชาติกำเนิดได้ ๒. ทรงมีพระรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยพระฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนักมีพระฉวี วรรณะคล้ายพรหม มีพระรูปคล้ายพรหมน่าดูน่าชมไม่น้อย ๓. ทรงมั่งคั่งมีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องใช้สอยอันน่า ปลื้มใจมาก มีทรัพย์และธัญญาหารมาก มีพระคลังและฉางเต็มบริบูรณ์ ๔. ทรงมีกำลัง ทรงสมบูรณ์ด้วยเสนามีองค์ ๔ ซึ่งอยู่ในวินัยคอยปฏิบัติตามพระราช บัญชามีพระบรมเดชานุภาพดังจะเผาผลาญราชศัตรูได้ด้วยพระราชอิสยยศ ๕. ทรงพระราชศรัทธาเป็นทายก เป็นท่านบดี มิได้ปิดประตูเป็นดุจโรงทานของสมณะ พราหมณ์คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจกทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ๖. ได้ทรงศึกษาทรงสดับเรื่องนั้นๆ มาก ๗. ทรงทราบอรรถแห่งข้อที่ทรงศึกษา และภาษิตนั้นๆ ว่า นี้อรรถแห่งภาษิตนี้ ๘. ทรงเป็นบัณฑิต เฉียบแหลม ทรงพระปรีชาสามารถทรงพระราชดำริอรรถอันเป็น อดีตอนาคตและปัจจุบัน กล่าวโดยสรุปประเด็นอันสําคัญคุณสมบัติของพระเจ้ามหาวิชิตราชมี ๘ ประการที่ได้ นำมาศึกษาเรียนรู้ในบทนี้ได้ดังนี้คือ ๑. ทรงมีชาติตระกูลดี ๒. ทรงมีรูปร่างงาม ๓. ทรงมีพระราชาทรัพย์มาก ๔. มีกำลังรบที่พร้อมพรั่ง ๕. ทรงมีพระราชศรัทธาในการบริจาคทาน ๖. ทรงมีการศึกษาอบรมมามาก ๗. ทรงมีความรู้กว้างขวาง ละเอียดลึกซึ่งเข้าใจความหมายภาษิตต่างๆ สามารถ อธิบายความหมายได้ ๘. ทรงเป็นผู้ฉลาดมีปัญญา คุณสมบัติทั้ง ๘ ประการนี้ที่พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงมี ทำให้บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรือง ได้เพราะพระองค์ทรงปกครองแผ่นดินโดยอาศัยพระปัญญา และการศึกษาเป็นสําคัญ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีข้าราชการบริหาร ที่มีคุณสมบัติของพราหมณ์ปุโรหิตที่ดี ๔ ประการคือ ๑. เป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายพระมารดาและพระบิดา มีครรภ์เป็นที่ปฏิสนธิหมดจด ตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไมมีใครจะคัดค้านติเตียน ด้วยอ้างถึงชาติกำเนิดได้ ๒. เป็นผู้คงเรียน ทรงจำมนต์รู้จบไตรเภท ๓. เป็นผู้มีศีล มีศีลจำเริญมั่นคง 216ที.สี.(ไทย) ๙/๒๑๓-๒๑๔/๒๐๓ -๒๐๔.
๔. เป็นบัณฑิตเฉียบแหลมมีปัญญาเป็นที่ ๑ หรือที่ ๒ ของพวกปฏิคาหกผู้รับการบูชา ด้วยกัน ข้าราชการบริพารที่ดีเป็นส่วนสําคัญทำให้เจ้านายทำงานได้ดีมีคุณภาพเป็นที่เชิญชูของ ปวงประชา ดังเช่นพระเจ้ามหาวิชิตราชมีข้าราชการบริพารถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติมี ๔ ประการโดย กล่าวพอสังเขปไว้ดังนี้ ๑. ความเป็นผู้มีชาติตระกูลดี ๒. ความเป็นผู้มีการศึกษาสูง ชำนาญในหน้าที่ของตน ๓. ความเป็นผู้มีศีล ๔. ความเป็นผู้ฉลาดมีปัญญามาก ข้าราชการบริพารผู้สนองงานทางการเมืองและการปกครองต่อพระเจ้ามหาวิชิตราชอัน เป็นคุณสําคัญที่ส่งผลต่อการถวายคำแนะนำที่ก่อประโยชน์ให้กับพระเจ้ามหาวิชิตราชในการปกครอง ชาติบ้านเมือง เช่นเดียวกันพระองค์มีพฤติกรรมที่แสดงออกมาภายนอกมีลักษณะการเป็นนักปกครอง นั้นมีลักษณะทางกายงดงาม สง่าสวยงาม องอาจกล้าหาญมาก ที่ได้กล่าวไว้ในมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ซึ่งถือว่าบุคคลใดที่มีอวัยวะครบตามลักษณะทั้ง ๓๒ ประการ ย่อมเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก มีความรู้ความสามารถในการปกครองบ้านเมืองด้วยคุณธรรมนำความเจริญและความสงบสุขสู่ บ้านเมือง ซึ่งลักษณะมหาปุริสลักษณะ ดังกล่าว นำมาศึกษาดังต่อไปนี้217 ๑. พื้นฝ่าเท้าเรียบเสมอกัน ๒. ฝ่าเท้ามีลายจักรมีซี่กำลังข้างละพันพร้อมทั้งกงและกระดุม ๓. ส้นเท้ายาวสมส่วน ๔. นิ้วมือและเท้าเรียวยาวสมส่วน ๕. ฝ่ามือและฝ่าเท้าอ่อนนุ่ม ๖. ลายฝ่ามือฝ่าเท้าดุจตาข่าย ๗. รูปเท้าดุจสังข์คว่ำ ๘. แข้งดุจแข้งเนื้อทราย ๙. แม้ยืนไม่ย่อตัวลง ก็สามารถแตะเข่าได้ด้วยมือทั้งสอง ๑๐. องคชาติตั้งอยู่ในฝัก ๑๑. สีผิวกายดุจทอง ๑๒. ผิวหนังละเอียด ธุลีละอองจึงไม่เกาะติดกาย ๑๓. ขนขุมละเส้น ๑๔. ปลายขนซ้อนขึ้น มีสีดุจดอกอัญชันขึ้นเวียนขวา ๑๕. กายตรงเหมือนกายพรม ๑๖. เนื้อเต็มในที่ ๗ แห่ง ได้แก่ ที่หลังมือ ๒ หลังเท้า ๒ บ่า ๒ และคอ ๑ ๑๗. กึ่งกายท่อนบนเหมือนกึ่งกายท่อนหน้าสีหะ ๑๘. หลังเต็มบริบูรณ์ไม่เป็นร่อง 217ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๑๓๖/๑๕๗-๑๕๙.
๑๙. รวดทรงดุจต้นไทร คือกายกับวาเท่ากัน ๒๐. คอกลมเกลี้ยง ๒๑. ประสาทรับรสอันเลิศ ๒๒. คางดุจคางราชสีห์ ๒๓. ฟัน ๔๐ ซี่บริบูรณ์ ๒๔. ฟันเรียบเสมอกัน ๒๕. ฟันไม่หาง ๒๖. เขี้ยวสีขาวงาม ๒๗. ลิ้นใหญ่ (สามารถแผ่ออกได้) ๒๘. เสียงดุจเสียงพรหม สำเนียงดังนกการเวก ๒๙. นัยน์ตาดำสนิท (ดำคม) ๓๐. ขนตางอนดุจขนตาโค ๓๑. อุณาโลมระหว่างคิ้วขาวอ่อนเปรียบดังปุยนุ่น ๓๒. ศีรษะดุจประดับด้วยกรอบหน้า (สดใสมีประกาย) สมบัติของมหาปุริสลักษณะย่อมเกิดขึ้นกับผู้มีบุญที่ได้สั่งสมบารมีมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะผู้บริหารที่มีคุณธรรมเป็นมูลเหตุเป็นกุญแจนำไปสู่ประโยชน์สุขของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ทั้งหมด พระราชาหรือผู้ปกครองประพฤติธรรม ไพรฟ้าข้าแผ่นดินก็จะประพฤติธรรมตามไปด้วยเมื่อ มนุษย์ประพฤติธรรม พระอาทิตย์พระจันทร์และหมู่ดวงดาวบนท้องฟ้าก็จะพากันโคจรไปอย่าง ถูกต้อง จากนั้นฤดูกาลทั้ง ๓ ก็จะหมุนเปลี่ยนเวียนไปอย่างถูกต้อง เมื่อฤดูกาลหมุนเวียนไปถูกต้อง ฝน ก็ตกลง อย่างดีงามตามฤดูกาลและมีปริมาณที่เหมาะสม จากนั้นพืชพันธุธัญญาหารก็เจริญงอกงาม ออกดอก ออกผล ออกเมล็ด ออกร่วง ออกราก ที่มีแร่ธาตุและสารอาหารสมบูรณ์หมู่มนุษย์เก็บเกี่ยว มาบริโภค เข้าไป ร่างกายและสุขภาพก็จะแข็งแรงและมีอายุยืนยาว218 พลเมืองของประเทศนั้นอยู่ เย็นเป็นสุขด้วยการเกิดจากผู้บริหารประพฤติธรรมไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอยู่ในธรรม ข) ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ที่ประชาชนให้ความเคารพเทิดทูนคือพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล (รัชกาลที่ ๙) พระองค์ทรงตั้งอยู่ในธรรมหลักพรหมวิหารธรรม ทรงมีพระราช อัธยาศัยประกอบด้วยความซื่อตรง ทรงสัตย์ไรมายา ทรงเจริญพระราชไมตรีกับนานาอารยประเทศ ด้วยความชื่อตรงตลอดมา ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจล้วนหลั่งมาจาก พระปรีชาสามารถไม่ประพฤติ หลอกลวงประชาชน ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมหรือสิ่งใดแอบแฝงต่อคนที่อยู่ร่วมกัน และประพฤติต่อผู้อื่นด้วย ความจริงใจในขณะที่เสด็จไปทรงศึกษาต่อในต่างประเทศ ระหว่างประทับรถพระที่นั่งเพื่อเสด็จไปขึ้น เครื่องบินนั้น ทรงมีพระราชดำรัสตอบประชาชนที่เฝ้าส่งเสด็จในวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๘๙ ว่าวันนี้ ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้วตามถนนผู้คนช่างมากเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลางราษฎรเข้ามา ใกล้ชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งขา ใครเข้าบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้ อย่างช้าที่สุดถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้างตามทางที่ผ่าน มาได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้อง ขึ้นมาดังๆ ว่าในหลวงอย่าทิ้งประชาชน อยากจะร้องบอกเขาไปว่า ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว 218ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๑๓๖/๑๕๗-๑๕๙.
ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร พระราชดำรัสในวันนั้นเป็นเหมือน การพระราชทานสัจจะ ให้แก่ พสกนิกรตลอดไป ๖๐ ปีทรงครองราชย์ชัดเจนแล้วทรงรักษาสัจจะที่ได้พระราชทานให้แก่ พสกนิกรอย่างสมบูรณ์ไม่เคยทอดทิ้งประชาชนความทุกข์เดือดร้อนของพสกนิกร เป็นความทุกข์ เดือดร้อนของพระองค์ความเดือดร้อนเกิดขึ้นในส่วนใดของประเทศ พระองค์จะเสด็จไปไม่ว่า ระยะทางจะใกล้ไกลสักเพียงใด แม้แดดจะแผดเผาหนทางจะคดเคี้ยว ถึงฝนจะตกกระหน่ำจน เหน็บหนาวน้ำจะท่วมขัง พระองค์มิได้ทรงย่อท้อเสด็จไปเป็นมิ่งขวัญของพสกนิกร เพื่อดับร้อนให้ ร่มเย็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่ทรงช่วยเหลือประชาชน และได้เสด็จพระราชดำเนินไป เองได้ทอดพระเนตรการประกอบอาชีพต่างๆ ของประชาชน ทรงมุ่งแก้ปัญหาในจุดที่ต้องการแก้ไข อย่างรีบด่วน ซึ่งประชาชนไม่สามารถที่จะรอได้ทั้งเป็นจุดที่จำเป็นต้องการแก้ไขอย่างแท้จริง พระราช กรณียกิจที่ทรงปฏิบัติด้วยความซื่อตรง ทรงยึดมั่นอยู่ในหลักธรรมโดยไม่ทรงเอนเอียงเปลี่ยนแปลง ตามสัจจะวาจาที่ตรัสไว้เป็นเหตุให้พระองค์ทรงโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ในดวงใจของพสกนิกรชาวไทยมา โดยตลอด เพราะทรงมีพระราชอัธยาศัยซื่อตรงทรงสัตย์ไม่มีมายา ทรงรักและห่วงใยพสกนิกรชาว ไทยเสมอเหมือนกัน พระองค์ทำงานอย่างหนัก กล่าวโดยสรุปว่าคุณสมบัติของคนดีมีความสำคัญสามารถก่อประโยชน์ต่อสังคมได้มีการ แบ่งบุคคลออกเป็น ๓ กลุ่มคือ ๑) ผู้ไม่มีความหวัง คือผู้ตกต่ำ ๒) ผู้มีความหวัง คือราชบุตร ผู้รอการ อภิเษก เป็นผู้มีศีล ๓) ผู้ปราศจากความหวัง คือพระราชา ผู้ได้รับการการอภิเษกแล้ว รู้แจ้งในสิ่งทั้ง ปวงแล้วปราศจากการเสาะแสวงหาใดๆ เป็นธรรมราชาอาศัยธรรม ให้การปกปกรักษา มีความ สำรวม ในการกระทำทางกาย วาจาและใจ219 มีพระสูตรกล่าวด้วยภาษาพระบาลีว่า “สพฺพํรฎฐํสุขํ เสติ ราชา เจ โหติ ธมฺมิโก แปลว่า “ถ้าผู้ปกครองประพฤติธรรมอาณาประชาราษฎร์ทั้งมวลก็อยู่เย็น เป็นสุข” 220 การบริหารงานการเมืองเป็นไปโดยสะดวก สรุปท้ายบทที่ ๕ การพัฒนาคุณธรรมของมนุษย์มีการพัฒนาเป็นลำดับจากวัยทารกจนถึงตลอดชีวิตต้น กำเนิดของแหล่งที่ก่อให้เกิดการพัฒนาทางคุณธรรมมาจากอิทธิพลของสังคมและพันธุกรรมคำว่า สังคม ในที่นี้คือ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กทั้งที่เป็นบุคคล และสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติอื่นๆ ส่วนคือ ความสามารถในการรู้คิด และพัฒนาขึ้นตามลำดับขั้นอายุ วุฒิภาวะหรือประสบการณ์และการ พัฒนาการสร้างลักษณะความเป็นผู้บริหารให้กับตนเองเป็นพื้นฐานเป็นสิ่งสําคัญ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่ง การวางตนให้เหมาะสม เอาชนะอกุศลในใจตนได้ มีธรรมประจำตนก็สามารถยึดเหนี่ยวน้ำใจของ ผู้ ใต้ปกครองได้ จึงเป็นมรรควิธีนำไปสู่เป้าหมายการปกครอง ผู้บริหารประสานคนภายในดุลยภาพแห่งธรรม หลักธรรมสําคัญ ที่ชาวพุทธรู้จักกันดีซึ่ง ผู้บริหาร แน่นอนว่าจะต้องมี แม้จะเป็นเรื่องง่าย ๆ พื้น ๆ ก็ขาดไม่ได้หลักธรรมนั้นเรารูกันดีว่า คือ พรหมวิหาร ๔ ประการ พรหมวิหารเป็นธรรมสำหรับทุกคนที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมในฐานะเป็น 219ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๑๓๖/๑๕๗-๑๕๙. 220พระศรีปริยัติโมลี (สมชัย กุสลจิตฺโต).สงฆ์ผู้นำสังคม. (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๗) หน้า ๖๑.