The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือชาดก พระมหาณัฐพันธ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หนังสือชาดก พระมหาณัฐพันธ์

หนังสือชาดก พระมหาณัฐพันธ์

๕๐

(๓) ประชุมชาดก ประมวลชาดกเปน็ เน้ือความตอนสุดท้ายของชาดก กล่าวถึง
บุคคลในชาดกวา่ ผู้ใดกลบั ชาตมิ าเกดิ เปน็ ใครบา้ งในปัจจุบัน

ชาดกเป็นเรื่องเล่าคล้ายนิทาน บางคร้ังจึงเรียกว่า นิทานชาดก แต่มีความหมาย
แตกต่างจากนิทานท่ีเล่ากันทั่วไป คือ ชาดกเป็นเรื่องที่เกิดข้ึนจริง แต่นิทานเป็นเรื่องท่ีแตง่ ข้นึ
สาหรบั ผู้อา่ นนิทานชาดกหรอื นิทานธรรมะ ควรอ่านเนื้อหาอย่างพิจารณา และนาหลกั ธรรมไป
ใช้ให้เกิดคุณประโยชน์ ส่วนความเพลิดเพลินน้ัน ให้ถือเป็นเพียงผลพลอยได้ที่เกดิ จากการอ่าน
เพ่ือให้ไดร้ ับประโยชน์จากนิทานชาดกหรอื นทิ านธรรมะที่พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงไว้อยา่ งแทจ้ ริง

๒.๓.๒ โครงสรา้ งอรรถกถาชาดก ๕ ส่วน
นิทานชาดกนั้นประกอบด้วยคัมภีร์หลักอยู่ ๒ คัมภีร์ คือ คัมภีร์พระสุตตันตปิฎก ขุ
ททกนิกาย และคัมภีร์อรรถกถาชาดก ขยายความเร่อื งชาดกอีก ๑๐ เล่ม นอกนั้น อาจปรากฏ
ในพระวินัยปิฎกและพระสูตรส่วนอื่น ๆ หรือมีปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบทบ้าง ส่วน
เนือ้ หานิทานชาดกในอรรถกถาชาดกมโี ครงสร้างประกอบดว้ ย ๕ ส่วน คอื

๑) ปัจจุบันวัตถุ (The Stories of the Present) กล่าวถึงเร่ืองปัจจุบัน สมัย
พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เป็นการปรารภว่าประทับอยู่ ณ ท่ีไหน ทรงปรารภเรื่องอะไร
จงึ ได้ตรสั ชาดกนี้

๒) อดีตนิทาน (The Stories of the Part) เป็นเรื่องชาดกในอดีตท่ีเคยมีมา
ในอดีต บางเรื่องเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ของชนชาติต่าง ๆ ในชมพูทวีป กล่าวถึงพระ
โพธิสัตว์บาเพ็ญบารมี ในตอนน้ีจึงมีคาว่า อตีเต (ในอดีตกาล) ภูตปุพฺพ (เร่ืองเคยมีมาแล้ว) อยู่
ด้วย

๓) คาถา (Verses) เปน็ พทุ ธพจนท์ ี่ปรากฏในพระไตรปฎิ ก บางเร่ืองเป็นพุทธ
พจน์โดยตรง บางเรื่องเป็นฤาษีภาษิต บางเร่ืองเป็นเทวดาภาษิต นิทานชาดกทุกเร่ืองจะตอ้ งมี
คาถา อาจจะมีตั้งแต่หนึ่งคาถา หรือมากกว่าน้ัน ท่ีพระพุทธเจ้าในปจั จุบันหรือพระโพธิสัตว์ใน
ชาดกเร่อื งนั้น ๆ เปน็ ผู้ตรัส

๔) เวยยากรณะ (Commentary) เป็นการอธิบายคาถาท่ีปรากฏในนิบาต
ชาดกนั้น ๆ ที่ยกมาแทรกไว้ในแต่ละตอน เป็นคาหรือวลีในคาถาท่ีเข้าใจยาก พระอรรถกถา
จารย์ ผู้แตง่ กน็ าคาหรอื วลีน้ันมาอรรถาธบิ ายเพ่ือให้เข้าใจงา่ ยข้ึน

๕๑

๕) สโมธาน (Conclusion) เป็นการสรุปเรื่องราวของบุคคล สัตว์ หรือตัว
ละครสาคัญในเรื่องได้กลับชาติมาเกิดอีกเป็นใครในสมัยพระพุทธเจ้า รวมทั้งผู้ที่ได้ฟังชาดก
เรือ่ งนีไ้ ด้บรรลุธรรม หรอื ไดม้ รรคผลอยา่ งไรด้วย๗๖

๒.๓.๓ โครงสร้างนทิ านชาดก ๔ ตอน
การกาหนดโครงสรา้ งนิทานชาดกสามารถสรุปเป็น ๔ ตอนคอื

ตอนท่ี ๑ เป็นบทนาเรื่อง ทาให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ท่ีใด ปรารภ
ใคร ถึงไดต้ รัสเลา่ นทิ านเร่ืองน้ี

ตอนท่ี ๒ เปน็ อดตี นิทานชาดกที่พระพทุ ธองคท์ รงนามาสาธก
ตอนที่ ๓ เป็นคาถาประจาเรื่องน้ัน ๆ ซึ่งมีท้ังเป็นคาถาของพระพทุ ธเจ้าบ้าง
ของเทวดาบา้ ง ของบณั ฑิตบ้าง ของพระโพธสิ ตั วบ์ า้ ง และของสัตว์ในเรือ่ งนัน้ บ้าง
ตอนที่ ๔ ตอนสดุ ท้าย เปน็ คติประจาใจทไี่ มม่ ีในอรรถกถา ซึ่งผู้เขยี นหรือผู้เล่า
มักจัดทาข้ึนมาใหม่ เพ่ือให้ครบองค์ของนิทาน โดยสรุปคาลงท้ายว่า นิทานเร่ืองน้ีสอนให้รู้ว่า
อะไร กบั ตวั ละครสาคญั ในเน้อื เร่อื งกลับชาตมิ าเกิดเป็นใครในสมยั พุทธกาลเสมอ

๒.๔ สรุป
๒.๔.๑ ความม่งุ หมายของชาดก
ชาดกที่ปรากฏในพระสุตตันตปิฎก ขุทททกนิกาย คือชาดกในพระไตรปิฎกเล่มท่ี

๒๗ ปฐมภาค หรือชาดกภาค ๑ และพระไตรปฎิ กเล่มท่ี ๒๘ ทตุ ยิ ภาค หรอื ชาดกภาค ๒ และ
อรรถกถาชาดก ไมไ่ ดก้ ล่าวถงึ ความมงุ่ หมายของชาดกไวโ้ ดยตรง เมือ่ อา่ นชาดกดว้ ยความพินิจ
พิจารณา กจ็ ะเข้าใจความมุง่ หมายของการแต่งชาดกได้ ๓ ประการ คอื

๑. เพื่อใช้สอนธรรมะ พระพุทธเจ้าทรงทราบถงึ อุปนิสยั ของสรรพสัตว์ทงั้ หลายในโลก
ว่า มีกิเลสมากน้อยแตกต่างกันจึงทรงคิดหาวิธีการสอนธรรมะเพ่ือให้เข้าใจได้ง่าย วิธีการสอน
คอื การเล่านิทานพร้อมกบั ยกอทุ าหรณ์อุปมาอุปไมย มาเปน็ ตวั นา เปน็ สือ่ กลาง เปน็ อุปกรณ์ และ
เปน็ อุทาหรณ์ เพือ่ ทาให้พุทธศาสนิกชนเขา้ ใจในธรรมไดแ้ จม่ แจ้งขนึ้

๗๖ร.ศ. พัฒน์ เพ็งผลา, ชาดกกบั วรรณกรรมไทย, พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์
สานักพิมพม์ หาวิทยาลยั รามคาแหง, ๒๕๓๕), หน้า ๓๒-๓๓.

๕๒

๒. เพ่ือศึกษาธรรมะด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่ลึกซ้ึงยากที่จะเข้าใจ ธรรมะถึงแม้จะดีและมี
ประโยชน์ แตเ่ มือ่ ทาความเข้าใจยาก เรียนไปแล้วไม่เขา้ ใจก็ไร้ประโยชน์ พระพทุ ธเจ้าจึงทรงแสดง
ชาดกในพระไตรปฎิ กมลี ักษณะเป็นคาถา ต่อมาพระพุทธโฆสาจารยไ์ ดแ้ ต่งอรรถกถาชาดก โดย
นาคาถาชาดกในพระไตรปิฎกมาเป็นบทต้ัง หรือบทนาแล้วยกนิทานมาเล่าเป็นอุทาหรณ์และ
เปรียบเทียบกับธรรมะ ซึ่งผูป้ ระพันธ์ได้แทรกหัวข้อธรรมะไว้ในนิทานเรอื่ งน้ัน ๆ เปน็ การศึกษา
ธรรมะด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลินและการเข้าใจธรรมะถูกต้อง ย่อมให้ประโยชน์แก่ผู้
ศึกษาเล่าเรียน ผู้ศึกษาก็พอใจและยินดีในการศึกษาธรรมะ และพระพุทธศาสนามั่นคงสถิต
สถาพรตลอดไป
๓. เพ่ือแก้ความสงสัยของพทุ ธสาวก ดงั นี้
นิทานชาดกเริ่มต้นเร่ืองด้วยพระสาวกมีความสงสัย มีคาถามได้ถามข้ึนมาใน
ธรรมสภา พระพทุ ธเจ้าแทนทีจ่ ะทรงแก้ปญั หาโดยตรง พระพทุ ธองค์ทรงแก้ความสงสยั โดยทรง
เล่านทิ านเปรยี บเทียบใหพ้ ุทธสาวกทงั้ หลายให้เหน็ ปัญหานน้ั ๆ ทาให้หมดความสงสัยในธรรมะ
เข้าใจในเรอ่ื งราวนน้ั ๆ
๒.๔.๒ เหตเุ กิดการเลา่ นิทานชาดก ๔ ลกั ษณะ
เปน็ จุดเริม่ ตน้ ให้เกิดการเลา่ นิทานชาดกมี ๔ ลกั ษณะ คอื

๑) อตั ตัชฌาสยะ คือเกิดข้นึ แต่พระอัธยาศยั แห่งพระพุทธเจ้าเอง
๒) ปรชั ญาสยะ ทรงแสดงธรรมเพราะอัธยาศยั ของผู้ฟัง
๓) อัตถุปัตติกะ ถือเอาประโยชน์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุ หรือมีเร่ืองใดเรื่องหน่ึง
เกิดข้นึ
๔) ปุจฉาวสิกา เกิดจากคาถามคือมีปัญหาเกดิ ขึ้นผู้ถามใคร่จะทราบจึงไปเฝา้
ทลู ถาม
๒.๔.๓ เหตุเกิดนิทานชาดก ๔ ทาง
นิทานชาดกมีท้ังหมด ๕๔๗ เร่ืองท่ีมีอยู่ในพระไตรปฎิ ก และอรรถกถาชาดกนน้ั มี
เหตุเกดิ นิทานชาดกจาก ๔ ทาง คอื
๑) พระพทุ ธเจา้ ทรงระลกึ ชาติได้

๕๓

๒) พระพุทธเจ้าทรงนานทิ านเก่ามาดดั แปลงส่ังสอนพทุ ธศาสนกิ ชน
๓) ผ้รู ู้ทางพระพทุ ธศาสนานาเรอ่ื งเดิมจากแหลง่ ตา่ ง ๆ มาแตง่ ใหม่
๔) ผู้รทู้ างพระพุทธศาสนาผูกเร่อื งแตง่ ชาดกขึ้นมาเอง
๒.๔.๔ นิทานชาดกมที ม่ี าจาก ๔ ทาง คือ
๑) นทิ านชาดกมาจากคมั ภีร์ท่เี ก่าแกก่ วา่ คมั ภีรช์ าดก
๒) นทิ านชาดกมาจากนิทานชาวบา้ น
๓) นทิ านชาดกมาจากเรอ่ื งราวยุคโบราณ
๔) นิทานเปรยี บเทียบเชิงสั่งสอน
๒.๔.๕ องคป์ ระกอบชาดก ๓ ประการ
ชาดกทุกเรือ่ งจะมีองคป์ ระกอบ ๓ ประการ คอื
๑) ปรารภเร่อื ง คอื บทนา จะกล่าวถึงมลู เหตหุ รอื ที่มาของชาดก
๒) อดีตนิทาน หรือชาดกหมายถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าเม่ือพระสาวก
ทูลถาม
๓) ประชุมชาดก ประมวลชาดกเป็นเนื้อความตอนสุดท้ายของชาดก กลา่ วถึง
บคุ คลในชาดกว่าผู้ใดกลบั ชาตมิ าเกดิ เป็นใครบา้ งในปัจจุบัน
๒.๔.๖ โครงสรา้ งเร่อื งอรรถกถาชาดก ๕ ส่วน คือ
๑) ปัจจบุ นั วัตถุ (The Stories of the Present) กล่าวถึงเร่ืองปจั จบุ ัน
๒) อดตี นทิ าน (The Stories of the Part) เป็นเรือ่ งชาดกในอดีต
๓) คาถา (Verses) เปน็ พุทธพจน์ทีป่ รากฏในพระไตรปฎิ ก
๔) เวยยากรณะ (Commentary) เป็นการอธิบายคาถาทปี่ รากฏในนบิ าตชาดก
๕) สโมธาน (Conclusion) เป็นการสรุปเรื่องราวของบุคคล สัตว์ หรือตัว
ละครสาคัญในเรื่องได้กลับชาติมาเกิดอีกเป็นใครในสมัยพระพุทธเจ้า รวมทั้งผู้ที่ได้ฟังชาดก
เรอ่ื งน้ีไดบ้ รรลธุ รรม หรอื ไดม้ รรคผลอย่างไรด้วย
๒.๔.๗ โครงสร้างนิทานชาดก ๔ ตอน
การกาหนดโครงสร้างนิทานชาดกสามารถสรปุ เปน็ ๔ ตอนคอื

๕๔

ตอนที่ ๑ เป็นบทนาเรื่อง ทาใหท้ ราบว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ท่ีใด ปรารภใคร ถึง
ไดต้ รสั เล่านทิ านเรื่องนี้

ตอนที่ ๒ เปน็ อดตี นทิ านชาดกท่ีพระพุทธองค์ทรงนามาสาธก
ตอนที่ ๓ เป็นคาถาประจาเร่ืองน้ันๆ ซึ่งมีท้ังเป็นคาถาของพระพุทธเจ้าบ้าง ของ
เทวดาบ้าง ของบัณฑิตบ้าง ของพระโพธิสัตว์บา้ ง และของสัตว์ในเร่ืองน้ันบา้ ง
ตอนท่ี ๔ ตอนสุดท้าย เป็นคติประจาใจท่ีไม่มีในอรรถกถา ซ่ึงผู้เขียนหรือผู้เล่ามัก
จัดทาขึน้ มาใหม่ เพื่อให้ครบองค์ของนิทาน โดยสรุปคาลงทา้ ยว่า นิทานเรือ่ งน้สี อนให้รวู้ า่ อะไร
กบั ตัวละครสาคญั ในเน้ือเร่อื งกลับชาตมิ าเกดิ เป็นใครในสมัยพุทธกาลเสมอ

๕๕

บทท่ี ๓
ความเปน็ มาของชาดกในประเทศไทย

วตั ถุประสงค์การเรียนประจาบท
เม่ือได้ศึกษาเนือ้ หาในบทนี้แลว้ ผศู้ ึกษาสามารถ
๑. อธบิ ายความเป็นมาของชาดกในประเทศไทยได้
๒. อธิบายความเปน็ มาของชาดกก่อนสมัยสุโขทยั ได้
๓. อธบิ ายความเปน็ มาของชาดกสมัยสุโขทยั ได้
๔. อธบิ ายความเป็นมาของชาดกสมยั อยุธยาได้
๕. อธบิ ายความเป็นมาของชาดกสมยั กรุงธนบรุ ีได้
๖. อธิบายความเป็นมาของชาดกสมัยกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ได้
๗. อธบิ ายประวัตคิ วามเป็นมาของการพิมพช์ าดกในประเทศไทยได้

ขอบข่ายเน้ือหา

 ความนา
 ชาดกสมยั ก่อนสโขทัย
 ชาดกสมัยสุโขทัย
 ชาดกสมัยอยุธยา
 ชาดกสมยั กรงุ ธนบุรี
 ชาดกสมยั กรงุ รัตนโกสนิ ทร์
 การพิมพ์ชาดก

๕๖

บทที่ ๓

ความเปน็ มาของชาดกในประเทศไทย

๓.๑ ชาดกกอ่ นสมัยสโุ ขทัย
ในคมั ภรี ์มหาวงศ์๗๗ ของลังกามหี ลักฐานที่กล่าววา่ พระพุทธศาสนาไดเ้ ผยแผ่เข้ามา

ในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดียในราวพุทธศตวรรษที่
๓๗๘ แต่จากหลักฐานทางโบราณคดีแล้วพบว่า พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิมอี ายุ
สงู สุดราว พุทธศตวรรษท่ี ๘-๙ เทา่ นั้น๗๙ อาณาจกั รทม่ี ีอทิ ธพิ ลในดินแดนแถบนไ้ี ด้แก่ ทวารวดี
ซ่ึงมีร่องรอยแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-
๑๖๘๐

ก่อนท่ีอาณาจักรสุโขทัยจะตั้งข้ึนน้ัน ดินแดนรอบๆ สุโขทัยก็มีพระพุทธศาสนา
เจริญรุ่งเรืองแต่เดิมอยู่แล้ว ทางตอนเหนือ ได้แก่ อาณาจักรหริภุญไชย (ลาพูน) และทางตอนใต้
ได้แก่ อาณาจักรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) และในลุ่มน้าเจ้าพระยาก็มีร่องรอยอิทธิพลของ
ทวารวดีเป็นส่วนใหญ่ มีข้อความในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคาแหง (พ.ศ. ๑๘๒๒-๑๘๔๑)
กล่าวถึงความเจริญรุง่ เรืองของพระพทุ ธศาสนาในนครศรีธรรมราชวา่ “สังฆราชปราชญเ์ รียนจบ
ปิฎกไตร หลวกกวา่ ปู่ครูในเมอื งนี้ ทุกคนลุกแตเ่ มืองศรีธรรมราชมา”๘๑

๗๗เป็นพงศาวดารเก่าแก่ท่ีสุดของลังกา ตรงกับคัมภีร์ทีปวงศก์ ลา่ วถึงประวัติศาสตรล์ ังกาตั้งแต่
พระพุทธเจ้าเสด็จมาลงั กา ๓ คร้ังจนเริ่มราชวงศ์ลังกา, สุภาพรรณ ณ บางช้าง, ประวัติวรรณคดีในอินเดีย
และลังกา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๖), หน้า ๔๐๑-๔๐๒.

๗๘สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ, ตานานพระพุทธเจดีย์, (พระนคร : ศิวพรการพิมพ์,
๒๕๐๓), หนา้ ๗๘.

๗๙ม.จ.สุภัทรดิศ ดิสกุล, ท่องอารยธรรม การค้นคว้าเกี่ยวกับโบราณคดีในประเทศไทย,
(กรุงเทพมหานคร : ธรุ กจิ กา้ วหนา้ , ๒๕๓๘), หน้า ๒.

๘๐เรือ่ งเดยี วกนั , หน้า ๔.
๘๑กรมศิลปากร, ประชุมศิลาจารกึ ภาค ๑, จารกึ กรงุ สุโขทยั , (กรุงเทพมหานคร : กรมศลิ ปากร
, ๒๕๒๗), หนา้ ๑๓-๑๔.

๕๗

จากการพบศิลาจารึกภาษาบาลีอกั ษรมอญหลายหลกั เกีย่ วกบั พทุ ธศาสนาในลาพูน
ซึง่ กล่าวถึงความเจริญร่งุ เรืองของพระพุทธศาสนาสมัยพระเจา้ สรรพสทิ ธ์ิ ผ้คู รองอาณาจักร หริ
ภุญไชยระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๘ และการที่พระมหาธรรมราชาลิไท (พ.ศ. ๑๘๙๐-
๑๙๑๑) ทรงพระราชนิพนธ์เตภูมิกถาก่อน ขึ้นครองราชย์นั้น พระองค์ได้ศึกษา
พระพทุ ธศาสนามาจากพระเถระแหง่ เมอื งหรภิ ญุ ไชย ดงั มขี ้อความวา่

“พระธรรมฝูงนี้เอาออกแต่ละอันละน้อยมาผสมกัน จึงช่ือเตภูมิกถา พระธรรมนี้
พระเจ้าลิทัย เป็นกษัตริยพงษ์ หากเป็นครูเรียนในสานักนี้ พระมหาเถรอโนมทัสสีเรียนใน
พระมหาเถระธรรมบาล เรียนในพระมหาเถรสิทธัตถะ เรียนในมหาเถรมณีวงษ์ เรียนใน
ปรัชญาณทัสสเถร เรียนในอุปเสนราชบัณฑิต เรียนแต่ไกลด้วยสารพิสัยในมหาเถรพุทธโฆสา
จารย์ ผอู้ ยใู่ นเมืองหริภุญไชย”๘๒

ในเตภูมิกถาระบุว่า เน้ือหาในหนังสือเล่มนี้บางตอนนามาจาก “พระธรรมชาดก
บา้ ง”๘๓ เป็นการยนื ยนั วา่ เร่ืองชาดกแพรห่ ลายเปน็ ทร่ี จู้ ักกันดีในสมัยสโุ ขทัยแลว้ เนอ้ื หาในศิลา
จารกึ ในสมยั ทวารวดไี ม่ปรากฏเร่อื งราวเก่ียวกับพระโพธสิ ัตว์ แต่มีภาพนนู ตา่ ดนิ เผาและปูนปั้น
เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ ค้นพบท่ีเจดีย์จุลปะโทน อาเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ซ่ึงมีอายุ
ในระหว่างพุทธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๓๘๔ เนื้อหาของภาพนูนต่าดินเผาและปูนป้ันเหล่านี้มาจาก
นยิ ายอวทาน๘๕ ซงึ่ เป็นพระพุทธศาสนนิทานของฝ่ายสรวาสติวาท อันเป็นพระพทุ ธศาสนาลัทธิ

๘๒พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ พญาลิไทย, ไตรภูมิกถาหรือไตรภูมพิ ระร่วง ฉบับตรวจสอบชาระ
ใหม่, พมิ พค์ รง้ั ที่ ๓, (กรงุ เทพมหานคร : กรมศลิ ปากร, ๒๕๒๖), หน้า ๑๕๖.

๘๓พระราชนิพนธ์ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ พญาลิไทย, ไตรภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วงฉบับ
ตรวจสอบชาระใหม่, พิมพค์ ร้ังท่ี ๓, (กรงุ เทพมหานคร : กรมศลิ ปากร, ๒๕๒๖), หนา้ ๑๕๖.

๘๔พิริยะ ไกรฤกษ์, พุทธศาสนนิทานที่เจดีย์จุลปะโทน แปลโดย มจ. สุภัทร ดิศดิศกุล,
(กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พพ์ ระจนั ทร,์ ๒๕๑๗), หนา้ ๓.

๘๕อวทาน เป็นคัมภีร์พระพุทธศาสนาฝ่ายหินยาน ประเภทชีวประวัติ ตานานเร่ืองของพระ
โพธิสตั ว์ อวทานมหี ลายเร่อื งและมเี น้อื ความไม่สอดคลอ้ งกัน เน่อื งจากมที ีม่ าต่างกนั แตเ่ ดมิ คงกระจดั กระจาย
อยู่ในท่ีต่าง ๆ ต่อมาได้มีการรวบรวมไว้จัดกลุ่มตามลักษณะของเรื่อง อวทานที่รู้จักกันแพร่หลาย เช่น อว
ทานศตกะ ทิพยาวทาน อวทานกัลปลดา อโศกาวทาน ฯลฯ, วินัย ภู่ระหงษ์ “พระสุธน-นางมโนราห์ :

๕๘

หินยานที่ใช้ภาษาสันสกฤต การตีความหมายของเร่ืองชาดกในภาพนูนต่าดินเผาและปูนปั้นท่ี
ฐานเจดยี ์ จลุ ปะโทน เม่ือเปรยี บเทยี บกับอทุ านของสรวาสติวาทินแล้ว มีความหมายดงั นี้

๑. ภาพจากฐานลานทกั ษิณด้านตะวนั ออกเฉียงเหนือของเจดียจ์ ุลปะโทน เป็นภาพ
ผู้หญิงสวมเคร่ืองอาภรณ์กาลังคุกเข่า มือสวมกอดขาของผู้ชายซึ่งกาลังยืนอยู่และเง้ือมือขึ้น
เป็นภาพคล้ายคลึงกับภาพสลักท่ีบุโรพุทโธ บนเกาะชวา อินโดนีเซียและภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ถา้ กลาสี ที่กิซลิ (Kizil) เป็นภาพเกีย่ วกับเรือ่ งพระโพธิสตั วไ์ มตระกันยกะ อยใู่ นคัมภีร์อวทานศต
กะ ทิวยาวทาน อวทานกัลปลดาและภัทรกัลปอวทาน เร่ืองนี้ตรงกับชาดกภาษาบาลีลาดับที่
๔๓๙เร่ือง จตทุ วารชาดก ว่าด้วยเมืองมี ๔ ประตู ตัวเอกของเรอื่ งชื่อ มติ ตวนิ ทกะ เป็นผู้ที่หลง
ผดิ และเหน็ กงจกั รเป็นดอกบัว ขณะท่ีมติ ตวนิ ทกะกาลังทนู กงจักรบนศีรษะอยนู่ ้นั พระโพธสิ ตั ว์
เสด็จผ่านนรก มิตตวินทกะได้ทูลถามพระโพธิสัตว์ถึงสาเหตุที่เขาต้องถูกลงโทษ พระโพธิสัตว์
ตรัสตอบว่าเพราะเหตุที่เขาเป็นคนมกั ได้จึงต้องทูนกงจักร ความแตกต่างของเร่ืองมิตตวนิ ทกะ
กับเรอ่ื งไมตระกนั ยกะ กค็ ือ บาปของไมตระกนั ยกะแสดงบาปที่ทาร้ายมารดา แต่เร่อื งมิตตวนิ ท
กะแสดงบาปท่เี กิดจากความมักได้

๒. ภาพจากฐานลานทกั ษิณด้านทิศตะวนั ออกเฉียงใต้ เปน็ ภาพชาย ๒ คนอยู่ในเรือ
คนหน่งึ อยทู่ ห่ี ัวเรือทา่ ทางสงา่ ใบหน้าสงบ ส่วนอกี คนอยูท่ ้ายเรือท่าทางท้อแท้ ดหู มดหวงั เป็น
ภาพที่มีเน้ือหาเช่นเดียวกับที่ภารหุต๘๖ ในอินเดีย ท่ีบุโรพุทโธบนเกาะชวา อินโดนีเซียและที่
พุกามในพมา่ ภาพดังกล่าวเปน็ เร่อื งสุปารคะ จากคัมภีรช์ าดกมาลา๘๗ เรื่องน้ีตรงกับชาดกภาษา
บาลีลาดับที่ ๔๖๓ เรื่องสุปารกชาดก ว่าด้วยพ่อค้าชื่อสุปปารกะ เป็นต้นหนเรือ (หัวหน้าเรือ)
เป็นคนตาบอดได้ทาสัตยป์ ฏญิ าณพาลูกเรือใหพ้ ้นภยั จากท้องทะเลได้

การศึกษาเปรียบเทียบที่มาและความสัมพันธ์ระหว่างฉบับต่าง ๆ”, วทิ ยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรม
หาบณั ฑติ , (บัณฑติ วทิ ยาลยั : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๒๐), หนา้ ๓๓๙-๓๔๐.

๘๖เปน็ สถปู ทีพ่ ระเจา้ อโศกมหาราชทรงสร้างในวิหารแหง่ หนึ่งในจานวน ๘๔,๐๐๐ แหง่ ทร่ี ั้วรอบ
สถปู แกะสลักแผ่นหินแสดงพทุ ธประวัติและชาดก, รงั ษี สทุ นต,์ “เรียนพระไตรปิฎกจากพุทธศลิ ป์ ตอน ๖”,
พุทธจักร, ปที ่ี ๖๓ (ฉบับท่ี ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒) : ๖๖.

๘๗ อวทานศตกะ เป็นอวทานเก่าแก่ที่สุดในบรรดาอวทานท้ังหลาย มีท้ังหมด ๑๐๐ เร่ืองแบ่ง
ออกเปน็ ๑๐ บท ๆ ละ ๑๐ เรือ่ ง กล่าวถงึ กษตั ริย์ พ่อคา้ เด็กหญงิ ฯลฯ, เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๓๔๐.

๕๙

๓. ภาพพญาวานร พบที่ฐานเจดีย์จุลปะโทน เป็นภาพชายสวมต่างหูใหญ่สะพาย
ลูกศรกาลงั คุกเข่า มอื ทั้งสองวางอยู่เหนอื หน้าอก ด้านขวาเปน็ ภาพลงิ กาลงั แยกเข้ียว เปน็ ภาพ
เรื่องเดียวกับท่ีปรากฏที่ถ้าอชันตาท่ี ๑๗ ตรงกับชาดกภาษาบาลีลาดับท่ี ๕๑๖ เรื่องมหา กปิ
ชาดก วา่ ด้วยพญาวานร

๔. ภาพด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นภาพช้างใช้งวงถืองาของตน เป็นภาพเร่ือง
เดียวกบั ท่ีปรากฏทถี่ ้าอชันตาท่ี ๑๗ เปน็ เรอ่ื งษัฑทันตะ (ฉัททนั ต์) ซึ่งปรากฏอยู่ในคัมภีร์ สูตรา
ลงั การ๘๘ ตรงกับชาดกภาษาบาลลี าดบั ที่ ๕๑๔ เรื่องฉทั ทนั ตชาดก วา่ ดว้ ยพญาชา้ งฉทั ทันต์

อนึ่ง ภาพชาดกที่ปรากฎเป็นภาพสลักหรือภาพวาดน้ัน ปรากฏครั้งแรกในศิลปะ
อมราวดีของอินเดียราวพุทธศตวรรษที่ ๘-๙ ได้แก่ภาพสลักหินเล่าเรื่องขาดกที่สถูปภารหุต
(Bharahut) ที่นาคารชุนโกณฑา (Nagarjunakonda ) เเละที่โกลิ (Goli) เรื่องราวของชาดก
เหล่านมี้ าจากคัมภรี ม์ หาวสั ตขุ องฝา่ ยสรวาสติวาท๘๙

ภาพเล่าเรื่องชาดกที่มีอิทธิพ ลต่อประเทศใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปร ากฎ ใน
อาณาจกั รมอญ พม่า ไทย และเขมร สาหรบั ศลิ ปะมอญมกั ทาดว้ ยดนิ เผาตดิ ไว้ตามฐานเจดีย์นับ
ร้อยเร่ือง เช่น ท่ีเจดีย์เวชายัน เจดียถัดยา และภาพใบเสมาที่โบสถ์กัลยาณี ที่เมืองสะเทิม ใน
อาณาจักรพุกาม ศิลปะพม่านิยมทาในสมัยพระเจ้าอนิรุทธิ์ (พ.ศ. ๑๕๘๗-๑๖๒๐) ตามแบบ
ศิลปะมอญ มีหลักฐานมากมายที่เมืองพุกาม เช่นที่วิหารอานันทะ มงคลเจดีย์ เป็นต้น ส่วน
ที่กัมพูชาพบใบเสมาสลักภาพเร่ืองชาดกที่ตูนมาส ใกล้เมืองเสียมเรยี บ๙๐

สาหรับประเทศไทย ภาพเลา่ เรือ่ งชาดกนิยมสลกั ในสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษท่ี ๑๒-
๑๖) ซึ่งนอกจากจะปรากฎบรเิ วณเจดียจ์ ุลปะโทน จังหวัดนครปฐม แล้วยังค้นพบแผ่นภาพปนู
ป้ันที่เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี ที่ฐานเจดีย์เลขที่ ๑ และเลขที่ ๓ ท่ีตาบลโคกไม้เดน จังหวัด
นครสวรรค์ ส่วนภาพเล่าเรื่องพุทธศาสนนิทานที่สลักบนใบเสมาหิน เมืองฟ้าแดดสงยาง

๘๘คัมภีร์สูตราลังการ หรือมหายานสูตราลังการ กล่าวถึงเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ใน
พระพุทธศาสนาฝา่ ยมหายาน, อ้างแล้ว.

๘๙สินชัย กระบวนแสง, ประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย, (กรุงเทพมหานคร : ศูนย์สุโขทัยศึกษา
มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒพษิ ณโุ ลก, ๒๕๒๐), หน้า ๑๑๙.

๙๐เรื่องเดยี วกนั , หน้า ๑๒๐.

๖๐

จัง หวัดกาฬสินธุ์นั้นได้รับอิทธิพลมาจากประเพณีทางวัฒนธรรมของ อาณาจักรทวารวดี๙๑
ภาพสลักบนใบเสมาหินท่ีมีลักษณะใกล้เคียงกัน มีการค้นพบที่อาเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัด
ชัยภูมิ ภาพหนึ่งเป็นรูปช้างสองเชือก เชือกหนึ่งนอนอีกเชือกหนึ่งยืนพ่นน้าให้ช้างเชือกท่ี
นอน ตรงกับชาดกภาษาบาลีลาดับที่ ๔๕๕ เรื่องมาตุโปสกชาดก และสีลวนาค ในจริยา
ปฎิ ก๙๒ เช่ือกันวา่ เปน็ ภาพเลา่ เรอ่ื งทีม่ อี ิทธพิ ลมาจากชาดกในภาษาบาลี

นอกจากนี้ ยงั มกี ารค้นพบภาพเล่าเรื่องชาดกบนใบเสมาที่บ้านกุดโงง้ จงั หวดั ชัยภูมิ
อีกหลายเรื่อง ได้แก่ เตมิยชาดก (ลาดับที่ ๕๓๘) มโหสถชาดก (ลาดับที่ ๕๔๒) ภรู ิทตั ตชาดก
(ลาดับที่ ๕๔๓) พรหมนารทชาดก (ลาดับท่ี ๕๔๕) และ วธิ รุ บัณฑิตชาดก (ลาดบั ที่ ๕๔๖)๙๓

พระพุทธศาสนาในลังกาฟ้ืนฟูข้ึนในสมัยปรักมพาหุ พระองค์สามารถปราบพวก
ทมิฬได้ ทรงทานุบารุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ทรงให้การสนับสนุนการสังคายนา
พระไตรปิฎก โดยมีพระมหากัสสปเถระ เป็นประธาน นับเป็นครั้งท่ี ๗ ของฝ่ายเถรวาท แต่ใน
ตานานการสังคายนาระบุวา่ กระทาข้ึนใน พ.ศ. ๑๕๘๗ เร็วกว่าท่ีปรากฏในพงศาวดารลงั กา๙๔
หลังการสังคายนาพระไตรปิฏกพระพุทธศาสนาจากลังกาไดเ้ ผยแผเ่ ข้ามาในไทย พมา่ และมอญ
ผลของการสังคายนาครั้งน้ี ทาใหพ้ ระพุทธศาสนาในลังกาเจริญรงุ่ รอื งขนึ้ มาก ทงั้ ดา้ นการเรียน
และการปฏิบตั ิ จึงมีพระสงฆจ์ ากนานาประเทศ เชน่ พมา่ ไทย เขมร ลาวฯ เดินทางไปศึกษาที่
ลังกาจานวนมาก แต่ทางลังกาไม่แน่ใจว่าพระสงฆ์ต่างชาติจะบริสุทธ์ิจึงขอให้บวชใหม่ตาม
แบบลงั กา เม่อื เลา่ เรียนจบแล้ว ก็กลับส่บู า้ นเมอื งของตน พระสงฆ์ไทยกเ็ ดนิ ทางกลับเมอื งนคร
ศรีธรรรมราช ซ่ึงครั้งนั้นเรยี กว่า นครตามพรลิงค์ พร้อมกันมีพระสงฆช์ าวลังกาเข้ามาด้วย คือ

๙๑พิรยิ ะ ไกรฤกษ,์ พทุ ธศาสนนิทานทเี่ จดียจ์ ลุ ปะโทน แปลโดย มจ. สุภัทร ดิศดศิ กุล, หนา้ ๔.
๙๒จริยาปิฎก เป็นคัมภีร์ว่าด้วยพุทธจริยา ในพระไตรปิฎกเล่มท่ี ๓๓ ขุททกนิกาย แห่ง
สุตตันตปิฎก, สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปิฎก ฉบับสาหรับประชาชน , พิมพ์ครั้งที่ ๑๖,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกฎุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙), หน้า ๖๓๑.
๙๓สุรัสวดี อิฐรัตน์, ประติมาณวิทยาบนเสมาบ้านกุดโง้ง จังหวัดชัยภูมิ, (สารนิพนธ์
ประกอบการศึกษาตามระเบียบปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต (โบราณคดี) มหาวิทยาลัยศิลปากร,
๒๕๒๑), หนา้ ๓๖๑.
๙๔สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ, ตานานพระพุทธเจดีย์, (กรุงเทพมหานคร : ศิวพร
การพิมพ์, ๒๕๐๓, หน้า ๘๖.

๖๑

สังฆปาโมกข์ (หัวหน้าของสงฆ)์ ลังกาชื่อว่าพระราหุล เหตุการณ์ตอนท่ีท่านเข้ามานน้ั ก่อนสมัย
สุโขทัยราวร้อยปี สาหรบั ในไทยนั้นอิทธพิ ลของพระพุทธศาสนาจากลงั กาเผยแพร่เข้ามาในราว
ปี พ.ศ. ๑๘๐๐ จากหลกั ฐานทางโบราณคดีท่ีกล่าวมาน้ี ทาใหเ้ หน็ รอ่ งรอยของพระพุทธศาสนาที่
เจริญรุ่งเรืองในดินแดนสุวรรณภมู ทิ ัง้ มหายานและเถรวาทต้งั แต่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕
จากน้ันก็นับถือเถรวาทแล้วกลับมานับถือพุทธศาสนาแบบมหายานอีกครั้งหน่ึง แต่
พระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทยังคงได้รับการปฏิบัติอยู่ทั่วไป จนกระท่ังปลายพุทธศตวรรษ
ที่ ๑๘ พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทจากลังกาก็เผยแผ่เข้ามาสู่อาณาบริเวณเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้น้ี๙๕

ปี พ.ศ. ๑๑๕๐ (ราว ค.ศ. ๖๐๐) อาณาจักรทวารวดีของชนชาติมอญได้รงุ่ เรือง
เด่นข้ึนในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน ตั้งเมืองหลวงที่นครปฐม เป็นแหล่งรับอารย
ธรรมจากชมพทู วีปรวมท้ังพระพทุ ธศาสนาแลว้ เผยแพรไ่ ปในเขมร พม่า อยนู่ านจนเลอื นหายไป
ในอาณาจกั รสุโขทัยแห่งพุทธศตวรรษท่ี ๑๘-๑๙๙๖

วรรณคดชี าดกได้แพร่เขา้ มาในราชอาณาจักรไทยเปน็ เวลานานมาแลว้ โดยมาพร้อม
กับพระไตรปฎิ กบาลี มีหลักฐานเมือ่ ๒,๐๐๐ กว่าปีทผี่ า่ นมา คอื พระพุทธศาสนาเถรวาทซ่ึงมีคา
สอนที่ประมวลอยู่ในพระไตรปิฎกบาลีและได้เข้ามาด้วยวิธีการปัญญานาศรัทธา สร้าง
สัมมาทิฏฐิแก่ประชาชน ให้เห็นคุณค่าของพุทธธรรมท่ีมีผลต่อการดับทุกข์ของบุคคลและ
ส่วนรวม ดว้ ยการนาคาสอนมาปฏิบัติในชวี ิตประจาวนั ใหเ้ กดิ เปน็ ความผาสุกทวั่ กนั ในสงั คม๙๗

๙๕ธดิ า สาระยา, “ธรรมราชาสมยั สโุ ขทยั ”, รัฐโบราณ, (กรุงเทพมหานคร : เมอื งโบราณ, ๒๕๓๗),
หน้า ๒๗.

๙๖พระพรหมคุณาภรณ์, กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก, (กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัท
ด่านสุทธาการพิมพ์ จากดั , ๒๕๕๒), หนา้ ๖๙.

๙๗รองศาสตราจารย์ ดร.สุภาพรรณ ณ บางช้าง, พุทธธรรมท่ีเปน็ รากฐานสงั คมไทยก่อนสมัย
สุโขทัยถึงการเปล่ียนแปลงการปกครอง, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
๒๕๓๕), หนา้ ๑๗.

๖๒

๓.๒ ชาดกสมัยสโุ ขทยั
นิบาตชาดก ขุททกนิกาย แห่งพระสุตตันตปิฎก เรื่องที่เป็นท่ีรู้จักกันแพร่หลายคือ

ทศชาดก และหน่ึงในสิบเร่ืองคือ เวสสันดรชาดก เป็นเร่ืองที่นิยมมากท่ีสุด มีการนามาแต่งเป็น
วรรณกรรมชาดกไทยตง้ั แต่สมยั สุโขทัยเปน็ ตน้ มา ทมี่ ีหลกั ฐานเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกคือ
“มหาชาติคาหลวง” ซ่ึงแต่งข้ึนในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ หลังจากนั้นก็มีการแต่งอีกหลาย
สานวน ทั้งแบบฉบับและท้องถิ่น วรรณกรรมเรื่องเวสสันดรชาดกที่พุทธศาสนิกชนได้ให้
ความสาคัญมาก นอกจากจะแต่งเป็นรูปลายลักษณ์แล้ว ยังนิยมใช้เทศนาโดยท่ัวไป ในดนิ แดน
ไทยเรียกการเทศนาเรื่องเวสสันดรชาดกว่า “เทศน์มหาชาต”ิ มหี ลกั ฐานวา่ มกี ารเทศน์มหาชาติ
มาต้งั แตส่ มยั สโุ ขทยั ดังขอ้ ความในศลิ าจารึกว่า

“อันหนึ่งโสดนบั แตป่ สี ถาปนาพระมหาธาตุน้ีไป เมือ่ ได้เก้าสบิ เก้าปี ถงึ ในปีกนุ อนั ว่า
พระปิฎกไตรยนี้จักหาย แลหาคนรู้จักแท้รู้แท้มิได้เลย ยังมีคนรู้ค่ันเล็กสน้อยไซร้ ธรรมเทศนา
เป็นต้นว่า พระมหาชาติหาคนสวดมิได้เลย ธรรมชาดกอันอ่ืนไซร้ มีต้นหาปลายมิได้มีปลายหา
ตน้ มิได้เลย”๙๘

การรับพระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทจากลงั กามาเป็นศาสนาในอาณาจักรสุโขทัยนั้น
ได้มีการรวมความเชื่อเรื่องภูตผีมาเข้ากบั หลกั พุทธศาสนา และมีความคิดเร่ืองไตรภูมิเขา้ มาจัด
ระเบียบ รวมท้ังประมวลความเช่ือต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ความเชื่อด้ังเดิมแ ล ะ ห ลัก
พระพุทธศาสนาได้กลายเป็น "ธรรม" สาหรับประพฤติปฏิบัติในสังคม ดังที่ปรากฏ
แนวความคิดเก่ยี วกับกษัตริย์ ผมู้ ธี รรม ผ้รู ้ธู รรม และเปน็ ผู้อุปถัมภพ์ ระพทุ ธศาสนาเปน็ หลักฐาน
ในศลิ าจารึกสมัยสุโขทยั ๙๙

คติความเชอ่ื เร่ืองการบาเพ็ญบารมีของพระโพธิสตั วก์ ็เป็นความเช่ือหนง่ึ ที่ปรากฏใน
ศิลาจารึกสมัยสุโขทัย ซึ่งมีข้อความกล่าวถึงคติความเชื่อ การส่ังสมบุญบารมีของพระโพธสิ ัตว์
โดยเฉพาะเร่อื งราวของพระเวสสนั ดรและเรื่องเกีย่ วกบั ชาดกหา้ รอ้ ยพระชาติ ดังนี้

๙๘สานักนายกรัฐมนตรี, จารึกสุโขทัย ประชุมจารึกภาคที่ ๑ นครชุม (หลักที่ ๓),
(กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพส์ านักเลขาธกิ ารคณะรัฐมนตรี, ๒๕๒๑), หนา้ ๖๓.

๙๙ธิดา สาระยา, “ธรรมราชาสมยั สโุ ขทัย รัฐโบราณ” (กรงุ เทพมหานคร : เมอื งโบราณ, ๒๕๓๗),
หนา้ ๒๔.

๖๓

ศิลาจารึกหลักที่ ๒ จารึกวัดศรีชุม (พ.ศ. ๑๘๘๔-๑๙๑๐) เป็นคาสรรเสริญสมเด็จ
พระมหาเถรศรศี รัทธาราชจุฬามณศี รรี ตั นลังกาทปี มหาสามีเปน็ เจ้า มขี ้อความแสดงว่าเรือ่ งราว
พระเจ้าห้าร้อยชาติเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในสมัยสุโขทัยแล้ว ประกอบกับมีภาพจาหลัก
ลายเส้นเล่าเรื่องอรรถกถาชาดกในอโุ มงค์วหิ ารวดั ศรชี มุ เมอื งเกา่ สุโขทยั เปน็ ภาพเล่าเรือ่ ง พระ
โพธิสัตวห์ า้ รอ้ ยพระชาติ แต่เดมิ พบ ๘๖ แผ่น ปจั จุบนั เหลือเพียง ๔๐ แผ่นเทา่ น้นั ภาพจาหลัก
ลายเหล่านี้เป็นการจับเร่ืองบางตอน มิได้เล่าเร่ืองต้ังแต่ต้นจนจบ ภาพจาหลักได้วาดรูปบุคคล
สัตว์และองค์ประกอบอ่ืน ๆ ให้เข้าใจได้ว่าเป็นตอนใดของชาดกเรื่องนั้น นอกจากนี้ยังมีจารึก
อักษรข้อความอธิบายภาพซึ่งเกย่ี วเนื่องกับอดีตชาติของพระพุทธเจ้าเม่ือครง้ั เสวยพระชาตนิ นั้ ๆ
เป็นการสรปุ เรอื่ ง มีการบอกชอื่ เรอื่ งชาดก และในตอนทา้ ยบอกลาดับเร่อื งไว้ดว้ ย๑๐๐

ศลิ าจารึกวดั นครชุม หลกั ที่ ๓ (พ.ศ. ๑๙๐๐) ของพระมหาธรรมราชาลไิ ทว่า ธรรม
เทศนาอันเป็นต้นว่าพระมหาชาติ หาคนสวดแลมิได้เลย ธรรมเทศนาอันอื่นไซร้ มีต้นหาปลาย
มิได้ มีปลายหาตน้ มิได้๑๐๑

ศิลาจารึกหลักที่ ๖ จารึกวัดป่ามะม่วง (พ.ศ. ๑๙๐๕) กล่าวถึงการออกผนวชของ
พระมหาธรรมราชาลิไท มีข้อความอ้างถึงชาดกวา่ มีการกระทาอนั เป็นฤกษ์งามยามดี ในทาน
บารมีก็เหมือนพระเวสสันดร ในปัญญาบารมี (ก็เหมือนพระมโหสถ) ในศีลบารมี ก็เหมอื นพระ
ศลี วราช อนั ท่านผรู้ คู้ วรสรรเสรญิ ”๑๐๒

ศิลาจารึกหลักท่ี ๙๐ จารึกฐานพระพุทธรูปศิลาเขียวที่วัดข้าวสาร ( พ.ศ. ๑๙๐๐) มี
ข้อความกล่าวถึงพระเวสสันดรว่า “สิทธิการ นโม รตนตฺตยวราน ชีผ้าขาวเวพสสันดรนี้ พระ
เทพาธิ (ราช) หากให้ (บนั ดาล) มีแล”๑๐๓

ต่อมาในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท (พ.ศ. ๑๘๙๐-๑๙๑๑) ได้ทรงส่งเสริม
พระพุทธศาสนาและสนับสนุนให้พระภิกษุเดินทางออกไปแสวงหาความรู้ในดินแดนที่ไกล

๑๐๐กรมศลิ ปากร, ประชมุ ศิลาจารึก ภาค ๑, จารึกกรุงสุโขทัย, หนา้ ๓๙๑-๔๔๐.
๑๐๑เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๓๑.
๑๐๒กรมศิลปากร, “ศิลาจารึกภาพชาดกวัดศรีชุม”, จารีกสมัยสุโขทัย, (กรุงเทพมหานคร : กรม
ศลิ ปากร, ๒๕๒๖), หน้า ๒๔๕.
๑๐๓เร่ืองเดยี วกนั , หน้า ๒๐๔.

๖๔

ออกไป เช่น เมืองอโยธยา เมืองพัน (เมาะตะมะ) อย่างไรก็ตามก่อนสมัยพระมหาธรรมราชาลิ
ไท ผู้ครองนครองค์อ่ืน ๆ ก็สนใจพระพุทธศาสนาในต่างเมือง เช่น สมัยพ่อขุนรามคาแหงรบั
เอาพระพทุ ธศาสนามาจากเมอื งนครศรีธรรมราช นอกจากนี้ยังมเี รือ่ งราวเกย่ี วกบั พระมหาเถร
ศรีศรัทธาราชจุฬามณีฯ หลานพ่อขุนผาเมืองเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาในอินเดีย
และลังกา พระเถระจากเมืองหริภุญไชย (ลาพูน) ได้เป็นที่ปรึกษาในการพระราชนิพนธ์ เตภูมิ
กถา

ใน พ.ศ. ๑๘๗๔ พระสงฆ์มอญจากเมืองพัน (เมาะตะมะ) จานวน ๑๒ รูป นาโดย
พระมหาเถระเดินทางไปศึกษาท่ีลังกา ได้บวชแปลงและศึกษาธรรมทว่ี ัดอทุ ุมพรคีรี สานักมหา
วิหารลังกา เดินทางกลับมาเมืองเมาะตะมะแล้วพระมหาเถระได้รับการแต่งต้ังให้เป็น พระ
อุทุมพรบปุ ผามหาสวามี ประชาชนเล่ือมใสมาก พระสงฆ์ตา่ งเมอื งกเ็ ขา้ มาศกึ ษาปฏิบัติในสานัก
นีร้ วมทั้งพระสงฆ์ ๒ รปู จากสุโขทยั คอื พระอโนมทสั สแี ละพระสมุ นเถระภายหลังไดน้ าพระสงฆ์
จากเมืองสโุ ขทัยอกี ๘ รูป ไปบวชแปลงเป็นพระสงฆ์นิกายอรัญวาสีครบทัง้ สิบรปู ทาให้สามารถ
บวชภิกษุใหม่ได้เพราะมีพระสงฆ์ครบองค์ประชุม และในที่สุดพญาลิไทก็ทรงออกผนวชในปี
พ.ศ. ๑๙๐๔ ท้ังได้นิมนต์พระอุทุมพรบุปผาสวามีจากเมืองพัน มาเป็นพระอุปัชฌาย์ในครั้งนี้
ด้วย นับเป็นการสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่พระพุทธศาสนาในสุโขทัย ซึ่งสามารถพัฒนาให้
เป็นศูนย์กลางการศึกษาด้านศาสนา และเป็นแนวทางท่ีจะส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่ศาสนายงั
เมืองต่าง ๆ ซงึ่ เป็นรัฐอิสระ เช่น พระปิยทัสสีไปเผยแผ่ที่เมืองอโยธยา พระสวุ รรณครี ไี ปเผยแผ่
ศาสนาที่เมืองหลวงพระบาง พระเวสสภไู ปเผยแผท่ ่เี มืองน่าน๑๐๔

สาหรับนครเชียงใหม่ชึ่งเป็นรัฐใหญ่ พระเจ้ากือนา (พ.ศ. ๑๘๙๘-๑๙๒๘) ทรง
ปรารถนาจะนับถือพระพุทธศาสนาแบบท่ีมีในสุโขทัยบ้างจึงส่งสมณทูตไปเมืองพนั เพ่ือนิมนต์
พระอุทุมพรบุปผาสวามี แต่ไดร้ ับการปฏิเสธ แตเ่ มอื งพนั ส่งพระอานนท์ไปแทน ชึ่งกไ็ ม่สามารถ
ทาสังฆกรรมได้ พระอุทมุ พรฯ แนะนาให้พระเจา้ กือนาไปนิมนต์พระสมุ นเถระจากเมอื งสุโขทัย
แตท่ างสโุ ขทัยกลับส่งพระสัทธาตสิ สะไปแทน ซ่งึ ไม่สามารถบวชพระภิกษุใหมไ่ ด้เนื่องจากไม่ได้
รับแตง่ ตัง้ ใหเ้ ป็นพระอปุ ชั ฌาย์ ดงั น้นั พระเจา้ กอื นาจึงสง่ ราชทูตไปยังพระมหาธรรมราชาลไิ ท ก็

๑๐๔พระพุทธพุกามและพระพุทธญาณ, ตานานมูลศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
พระจันทร์ ๒๕๑๘), ๒๒๕-๒๒๙.

๖๕

ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี พระสุมนเถระจึงได้รับพระบรมราชานุญาตให้เดินทางไปเผยแผ่
พระพุทธศาสนาในล้านนาได้ ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ พระสุมนเถระพรอ้ มพระสงฆ์สุโขทัยอีก
๕ รูปจึงเดินทางไปเชียงใหมเ่ พอื่ บวชให้กุลบุตร พระสุมนเถระขึ้นไปจาพรรษาที่เมืองหริภุญ
ไชย ต่อมาพระเจ้ากือนาศรัทธาต่อพระสมุ นเถระมากไดอ้ าราธนาพระภิกษุในล้านนาออกบวช
แปลงแบบลังกาวงศ์ ถึง ๘๔,๐๐๐ รูป๑๐๕ และในคร้ังนี้พระสุมนเถระได้อัญเชิญพระบรม
สารรี ิกธาตุจากสโุ ขทัยไปดว้ ย พระพุทธศาสนาแบบลงั กาวงศจ์ ากสุโขทัยจึงไดฝ้ งั รากอย่างมั่นคง
ในล้านนาต้ังแต่นั้นมา โดยมี วัดสวนดอกเป็นศูนย์กลาง๑๐๖ ชาวล้านนามีความตื่นตัวต่อ
พระพุทธศาสนามาก ไดพ้ ยายามสบื เสาะหาความบรสิ ทุ ธใ์ิ นพระวินัยมากขึน้ จนมีคณะภิกษุชาว
ล้านนาบางกลุ่มเห็นว่าพระพทุ ธศาสนาลังกาวงศ์ที่พระสุมนเถระนาข้ึนมานนั้ ไม่บริสุทธิ์เพราะ
เป็นพระพุทธศาสนาท่ีมาจากสานักสงฆ์พระอุทุมพรบุปผามหาสวามี ชาวรามัญในเมืองพัน
(เมาะตะมะ) อีกทั้งการบวชก็ถือว่าไม่ครบตามพระวินยั สงฆ์ ดังน้นั ได้มีพระสงฆจ์ ากล้านนารูป
หนึ่งคือ พระมหาธรรมคัมภรี ์ (ญาณคัมภีร์) เดินทางไปลังกาและบวชแปลงใหม่ท่ีลังกาใน พ.ศ.
๑๙๖๗ กลับมาจาพรรษาที่วัดป่าแดง เมืองเชียงใหม่ มีผู้เลื่อมใสศรัทธาเข้ามาบวชเป็นอันมาก
เรียกกลุ่มน้วี ่า ลงั กาใหม่ แตก่ ลมุ่ น้เี รียกตนเองวา่ คณะสงิ หล และเรียกกลมุ่ เดิมท่ีพระสุมนเถระ
นาเขา้ มาว่า คณะรามญั วงศ์

ในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน (พ.ศ. ๑๙๔๕-๑๙๘๔) ความขัดแย้ง ขอ ง
พระพุทธศาสนาเดน่ ชัดข้ึน โดยเฉพาะคณะสงฆร์ ามญั วงศท์ ่มี าจากสุโขทัยกับคณะสงฆ์ลงั กาใหม่
แต่พระมหากษัตริย์ก็เข้าข้างฝ่ายคณะสงฆ์นิกายรามัญ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ได้เปลี่ยนไปเม่ือ
ท้าวลก โอรสลาดับที่ ๖ ของพระเจ้าสามฝ่ังแกนเข้ายึดอานาจจากพระบิดา และข้ึนครองราช
สมบัติแทน มีพระนามว่า พระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๔-๒๐๓๐) ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จ
พระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ทรงสนับสนุนคณะสงฆ์นกิ ายสงิ หลได้อาราธนาพระมหาเมธังกร
ภิกษุนิกายสิงหลจากเมืองหริภุญไชยมาจาพรรษาที่วัดราชมนเทียรในเมืองเชียงใหม่ และ

๑๐๕ตานานมูลศาสนา ฉบับวัดป่าแดง, (เชียงใหม่ : คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,
๒๕๑๙), หน้า ๙-๑๐.

๑๐๖ตานานพระธาตุดอยสุเทพ, ประชุมตานานพระธาตุ ภาคที่ ๒, (พระนคร : โรงพิมพ์พระจันทร์,
๒๕๑๐), พมิ พ์ในงานพระราชทานเพลงิ ศพ พ.ท.สลบั เกียรติสุด, ๗ ธันวาคม ๒๕๑๐), หนา้ ๔๙.

๖๖

ทรงแต่งต้ังให้เป็นพระมหาสวามี พระเจ้าติโลกราชออกผนวชท่วี ดั ป่าแดงมหาวหิ าร ในปี พ.ศ.
๑๙๙๐ ทรงสร้างวัดอีกหลายวัด เช่น วัดมหาโพธาราม (วัดเจดีย์เจ็ดยอด) สาหรับใช้เป็นท่ี
สงั คายนาพระไตรปฎิ ก

การสง่ เสรมิ พุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าติโลกราชเปน็ ไปอยา่ งต่อเน่ืองและสนับสนุน
พระสงฆ์ให้เดินทางไปศึกษาที่ลังกา รวมทั้งพระเถระจากลังกาก็เดินทางเข้ามาด้วย ทาให้
การศึกษาเลา่ เรยี นของพระสงฆ์เจริญรุ่งเรอื งเชยี่ วชาญในภาษาบาลีและแตกฉานในพระไตรปิฎก
ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๐๒๐ พระเจ้าติโลกราชได้อาราธนาพระเถระชั้นผู้ใหญ่มาประชุมที่วัด
มหาโพธารามจานวน ๑๐๐ รูป โดยมีพระธรรมทินมหาเถร เจ้าอาวาสวัดป่าตาลเป็น
ประธาน กระทาการสังคายนาพระไตรปิฏกใช้เวลา ๑ ปีจึงสาเร็จ นับเป็นการสังคายนา
พระไตรปิฎกคร้ังที่ ๘ ของโลก๑๐๗ หลังการสังคายนาพระไตรปิฎกในล้านนา ไม่ปรากฏคณะ
สงฆ์ทัง้ สองทะเลาะวิวาทกนั อกี และตา่ งก็ยดึ ตามพระไตรปฎิ กฉบบั ทีช่ าระแล้ว

จากที่กล่าวมาจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนาในสุโขทัยกับล้านนา
นอกจากจะแสดงถงึ ความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาลงั กาวงศ์ในสุโขทยั และล้านนาแล้ว
ยังแสดงถึงการศึกษาภาษาบาลีอย่างแตกฉาน ดังท่ีมีพระสงฆ์ชาวสุโขทัยและล้านนาได้แต่ง
หนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาหลายเร่ืองที่สาคัญได้แก่ พระราชนิพนธ์เรื่อง เตภูมิกถา ที่
พระมหาธรรมราชาลิไททรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเม่ือปี พ.ศ. ๑๘๘๘ ได้อ้างถึงคัมภีร์ที่สาคัญกว่า
๓๐ คมั ภรี ์รวมทงั้ อรรถกถาชาดก (ชาตกฏั ฐกถา) นอกจากน้ี ยังมคี มั ภีรท์ ีแ่ ต่งเปน็ ภาษาบาลีอีก
หลายเล่ม เช่น คัมภีร์สัทธัมมสังคหะ แต่งโดยพระธรรมกิตติมหาสามี ราวปี พ.ศ. ๑๙๑๓-
๑๙๔๑ นับเป็นคมั ภีรท์ ่เี ก่าแก่ที่สุดในบรรดาวรรณคดบี าลีท่ีรจนาในประเทศไทย๑๐๘

เวสสันตรทีปนี พระสิริมังคลาจารย์แต่งขึ้นเม่ือปี พ.ศ. ๒๐๒๖ เป็นหนังสืออธิบาย
ขอ้ ความเบด็ เตลด็ และเกรด็ ตา่ ง ๆ ท่มี ีในเรอื่ งเวสสนั ดรชาดกและในอรรถกถาใหเ้ ข้าใจยงิ่ ขึ้น

๑๐๗พระรัตนปัญญาเถระ, ชินกาลมาลีปกรณ์ แปลโดย ร.ต.ท.แสง มนวิทูร, (พระนคร : กรม
ศลิ ปากร ๒๕๐๑), หนา้ ๑๑๔-๑๑๕.

๑๐๘ลิขิต ลิขิตานนท์, “วรรณคดีพระพุทธศาสนาของไทย” วารสารไทย-ภารตะ, ๙
(๒๕๑๘) : ๓๙.

๖๗

ชินกาลมาลีปกรณ์ พระรัตนปัญญาแต่งเสร็จบริบูรณ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๖๐ เนื้อเรื่อง
กลา่ วถึงพุทธประวัติ แบง่ ออกเป็นปรจิ เฉท มมี โนปณิธานกถา กล่าวถึงพระโพธิสัตว์ ๓ จาพวก
มีมหานิทานกถากล่าวถึงการบาเพ็ญเพียรและการตั้งความปรารถนาเป็น พระพุทธเจ้า
นอกจากน้ีกล่าวถึงทูเรนิทาน ทูเรนิทาน อวิทูเรนิทาน สันติเกนิทาน เป็นต้น และในตอนท้าย
กลา่ วถงึ การสร้างเมืองหริภญุ ไชย

จักรวาลทีปนี พระสิริมังคลาจารย์แต่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๐๖๓ เป็นหนังสือที่ให้ความรู้
เกี่ยวกับการกาเนิดจักรวาล และสรรพส่ิงท่ีมีอยู่ในจักรวาลซึ่งประกอบด้วยโลกวิหารและโลก
สัณฐาน

มังคลัตถทีปนี พระสิริมังคลาจารย์แต่งเม่ือปี พ.ศ. ๒๐๖๗ มีเนื้อความอธบิ ายมงคล
สูตรอย่างละเอยี ด เปน็ หนงั สอื ท่ีนบั เป็นงานช้ินเอกของพระสริ ิมงั คลาจารย์ ซงึ่ กลา่ วกันในหมู่ผรู้ ู้
ภาษากวีวา่ แตง่ ไดด้ ถี งึ ขนาด โดยเฉพาะในดา้ นสานวนภาษาทเี่ ป็นสานวนกวีอยา่ งแทจ้ ริง๑๐๙

ชาดกเป็นวรรณคดีในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ท่ีได้แพร่หลายและมีอทิ ธพิ ล
ต่อราชอาณาจักรไทย ปรากฏในหลักศิลาจารึกและเอกสารทางประวัติศาสตร์สุโขทัยส่วนมาก
เป็นจารึกเรื่องธรรมะในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ทรงนิมนต์พระเถระสังฆราชนิกายลังกา
วงศ์จากนครศรีธรรมราชมาประดิษฐานพระพุทธศาสนาในราชธานีสุโขทัย จนทาให้ หลักฐาน
ทางพระพุทธศาสนาระบุว่า สมัยพ่อขุนรามคาแหงเป็นยุคท่ีพระมหากษัตริย์ คณะสงฆ์และ
ประชาชนร่วมกันบุกเบิกพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ สถิตสถาพรอย่างม่ันคงในสมัยพ่อขุน
รามคาแหงมหาราชผูเ้ ปน็ ปู่ และรงุ่ เรอื งถึงขีดสดุ ในสมัยพญาลิไทยผู้เป็นหลาน

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าราชอาณาจักรสุโขทัยเป็นที่สืบอายุพระพุทธศาสนานิกายเถร
วาทจากลังกาทวีป เพราะในเวลาต่อมาในปี พ.ศ. ๒๒๙๓๑๑๐ พระพุทธศาสนาในลังกาทวีปถูก
ทาลายล้างจนหมดส้ิน แม้พระสงฆ์ท่ีจะเป็นพระอุปัชฌาย์บวชสืบทอดพระพุทธศาสนาก็ไม่มี
พระเจา้ กตี สิ ริ ิราชสงิ หจ์ ึงสง่ คณะทตู มายังราชอาณาจกั รสยามเข้ามาทลู ขอสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

๑๐๙สุภาพรรณ ณ บางช้าง, วิวัฒนาการวรรณคดีบาลีสายพระสุตตันตปิฎกที่แต่งใน
ประเทศไทย, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพจ์ ฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลยั , ๒๕๓๓), หนา้ ๔๒๔.

๑๑๐พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก,
(กรงุ เทพมหานคร : บริษัท ดา่ นสทุ ธาการพิมพ์ จากดั , ๒๕๓๕), หน้า ๑๓๙.

๖๘

บรมโกศแห่งกรงุ ศรอี ยุธยาซึ่งทรงสืบพระศาสนาต่อมาจากสุโขทยั เพ่ือทลู ขออาราธนาพระมหา
เถระไปเป็นพระอุปัชฌาย์จารย์ ได้พระอุบาลีเถระเป็นหัวหน้าคณะเดินทางไปประดิษฐาน
พระพทุ ธศาสนานิกายสยามวงศ์กลับสลู่ ังกาทวีป ในปี พ.ศ. ๒๒๙๖ พานักทวี่ ดั บพุ พาราม เมือง
แคนดี (Kandy) ประกอบพิธีผูกสีมาแล้วอุปสมบทกุลบุตร ฟื้นสังฆะในลังกาทวีปขึ้นใหม่ เป็น
เหตุให้จนถึงปัจจุบันน้ีประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยสังคมนิยมศรีลังกา มีคณะสงฆ์นิกาย
สยามวงศ์และรามัญวงศ์สืบสายเถรวาทเป็นคณะ ทาให้ไทยกับศรลี ังกามีสายสัมพันธท์ างธรรม
ทใ่ี กล้ชิดกัน
๓.๓ ชาดกสมยั อยธุ ยา

ในสมัยอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๓๑๐) นยิ มนาเรอ่ื งทศชาติมาแต่งและนามาแสดงใน
ประเพณีเทศนม์ หาชาติ ดงั ท่มี หี ลักฐานในศลิ าจารกึ หลายหลัก ต่อไปน้ี

ศิลาจารึกหลักท่ี ๙๐ เป็นจารึกท่ีฐานพระพุทธรูปศิลาเขียววัดข้าวสาร มีขอ้ ความ
ท่ีฐานพระพุทธรปู เปน็ อักษรรุ่นพ.ศ. ๑๙๐๐ วา่

สิทธิการ นโม รตนตฺต ยวราน ชีผ้าขาวเพสสันดรน้ีพระเทพาธิ (ราช) หากให้
(บันดาล) มีแล๑๑๑

ศิลาจารึกวัดหนิ ต้งั หลกั ที่ ๙๕ อายุราวปี พ.ศ. ๑๙๐๑-๒๐๐๐ มีขอ้ ความวา่ จึงฉลอง
กลวงเรือนฉลองลูกดว้ ยกลอย สดับพระมหาชาตแิ ล้ว ผเู้ ปน็ ผัวจงึ จกั ตายจาก๑๑๒

ศิลาจารึกภูเขาไกรลาสหลักที่ ๑๐๒ (พ.ศ. ๑๙๒๒) สมัยสมเด็จพระบรม
ราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพะง่ัว) กล่าวถึงการฟังธรรมเร่ืองทศชาติว่า “ปา้ นางคาเยยี กระทา
พิหารในปีมะแม มหาศักราชได้ ๑๓๐๑ ปี จุลศักราชได้ ๗๔๑ ปี เดือน ๑๑ แรม ๒ ค่า หนขอม
วนั พุธ หนไทวันเปกิ สันอนั ดีหนักหนา กาลไดฤ้ กษด์ ี ให้ ลงุ ขนุ แลป้านางคามีใจศรัทธาหนักหนา
ยอศาสนาในพระเป็นเจ้า ท้ังภิกษุสงฆ์ทรงจังหนั แหง่ ทา่ น ช่อื เถรธรรมวิสาร สักวัน แล้วจึงหา

๑๑๑กรมศิลปากร, ประชุมศิลาจารึก ภาค ๑, จารึกกรุงสุโขทัย, (กรุงเทพมหานคร : กรม
ศิลปากร, ๒๕๒๗), หนา้ ๒๐๔.

๑๑๒เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๑๙๒.

๖๙

ภิกษุสงฆ์ เถรานุเถรท้ังเมืองหน้าคนมาไหว้ วันหน่ึง ในอาวาสอังคาสจังหนั ฉลอง โอยทานไตร
จวี รแลองคบ์ รขิ าร ถ้วนสรรพสดับพระธรรมท้งั ทสชาติ อนั ไพเราะหนักหนา”๑๑๓

ในพงศาวดารเร่ือง พระเจ้าประทุมสุริยวงศ์ กล่าวว่า ในจุลศักราช ๘๔๔ ปีขาล
จัตวาศก สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถให้ประชุมนักปราชญ์ทั้งปวงแต่งมหาชาติคาหลวงทั้ง
๑๓ กัณฑ์ ดว้ ยคาถาพนั บรบิ รู ณ์๑๑๔

ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ มีข้อความกล่าว
ว่า ทรงพระราชนพิ นธ์ มหาชาตคิ าหลวง เมื่อปขี าล พ.ศ. ๒๐๒๕๑๑๕

ในตอนทา้ ยพระนิพนธ์เรอ่ื ง นันโทปนนั ทสูตรคาหลวง เจ้าฟา้ ธรรมธเิ บศร์ทรงอ้างถึง
ปีทแี่ ต่งมหาชาติคาหลวง วา่ เป็นปีจลุ ศกั ราช ๘๔๔๑๑๖

สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑) ได้มีรับสั่งให้ประชุม
นักปราชญ์ราชบัณฑิตในกรงุ ศรีอยุธยา แปล แต่งมหาชาติคาหลวง เม่ือปีขาล จุลศักราช ๘๔๔
ตรงกับปี พ.ศ. ๒๐๒๕ โดยมีวิธีแต่งด้วยการยกภาษาบาลีข้ึนหนึ่งบาทแล้วแปลแต่งเป็น
ภาษาไทยวรรคหน่ึงสลับกันไปจนจบ และยังมีการสร้างรูปพระโพธิสัตว์ ๕๐๐ พระชาตขิ ้นึ
เม่อื ปี พ.ศ.๒๐๐๑๑๑๗

นอกจากจะมีการแปลและแต่ง มหาชาติคาหลวงข้ึนในสมัยน้ีแล้ว ด้วยความนิยม
แต่งเรอ่ื งมหาชาติ จึงไดเ้ กิดมหาชาติสานวนอนื่ ๆ ข้นึ อีก ได้แก่ กาพยม์ หาชาติ ซึง่ เชือ่ กนั ว่าแต่ง
ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๔๕-๒๑๗๐ ในปัจจุบันคงเหลือเพียง ๒ กัณฑ์ คือ
กาพย์กุมารบรรพ (แต่งด้วยร่ายยาว) และกาพย์สักกบรรพ เมื่อพิจารณาถึงวิธีแต่งกาพย์

๑๑๓อ้างแลว้ , หน้า ๓๑๓.
๑๑๔สุภาพรรณ ณ บางช้าง, “มหาชาติเเละประเพณีการเทศน์มหาชาติ”, มหาชาติ,
(เอกสารประกอบการประชมุ วิชาการและการเทศนม์ หาชาติ), หน้า ๓๐
๑๑๕กรมศิลปากร, ประชุมพงศาวดารเล่ม ๑, (กรุงเทพมหานคร : คุรุสภา, ๒๕๐๕), หน้า
๑๓๘.
๑๑๖กรมศิลปากร, “นันโทปนันทสูตรคาหลวง”, วรรณกรรมสมัยอยุธยา, (กรุงเทพมหานคร :
อมรนิ ทร์ พรนิ้ ตง้ิ กรพุ๊ จากดั , ๒๕๓๑), หนา้ ๑๔๔.
๑๑๗คาให้การชาวกรุงเก่า, คาให้การขุนหลวงหาวัด และพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับ
หลวงประเสริฐ อักษรนิติ, (กรงุ เทพมหานคร : คลังวทิ ยา, ๒๕๑๕), หน้า ๔๔๘.

๗๐

มหาชาติ ที่ยกคาถาหรือข้อความภาษาบาลีขึ้นตั้งนาอย่างสั้น ๆ แล้วพรรณนาขยายความ
เป็นภาษาไทยตามแต่ผู้แต่งจะเห็นเหมาะสม ไม่ใช่แปลภาษาบาลีเป็นภาษาไทยวรรคต่อวรรค
อยา่ งมหาชาติคาหลวง ใชค้ าประพนั ธป์ ระเภทรา่ ยยาว ต่อมาก็มีผแู้ ต่งมหาชาติในลักษณะคล้าย
กาพยม์ หาชาตขิ นึ้ อีก แตม่ ขี นาดสน้ั กว่า คือใช้คาหรอื ความบาลีต้งั นาเพยี งสนั้ ๆ แล้วขยายความ
ด้วยภาษาไทยท่ีแต่งด้วยร่ายยาว แต่ตัดส่วนภาษาไทยให้ส้ันลง มีความกระชับพอที่จะสามารถ
นาไปใช้เทศนไ์ ด้ภายในวนั เดยี วจบตามคตินิยม ฉะนั้น หนงั สือ “มหาชาติ” ทแี่ ต่งสมัยหลงั จงึ มงุ่
ประโยขน์ ๓ ประการ คือ

๑. ให้ได้ฟงั คาถาภาษามคธ ซงึ่ ถือกันวา่ ศกั ดส์ิ ิทธ์ิ
๒. ให้ไดฟ้ ังภาษาไทย เพ่ือเขา้ ใจความท้งั หมด และ
๓. ใหใ้ ชเ้ ทศน์ได้จบภายในวันเดยี ว
จากสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมจนถึงปลายสมัยกรงุ ศรีอยุธยา ไม่ปรากฏว่ามีการ
แตง่ มหาชาติฉบับหลวงอีก แตม่ ีการแต่งฉบับราษฎร์ท่ีแตง่ สาหรับใช้เทศน์ตามวัดวาอารามต่าง
ๆ มีหลกั ฐานท่ีเด่นชัดเก่ยี วกับชาดกในสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยาอกี ประการหนง่ึ ได้แก่ ภาพจิตรกรรม
ฝาผนัง ช่างอยุธยาได้ถ่ายทอดเรื่องราวชาดกลง จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถหรือพระ
วิหาร หรือภาพพระบฏ นิยมวาดเรื่องราวในทศชาติ โดยเฉพาะเรื่อง เวสสันดรชาดก(ลาดับที่
๕๔๗) เป็นเรอ่ื งทนี่ ยิ มวาดกนั มาก ภาพจติ รกรรมที่มอี ายุสูงสุดได้แก่ ภาพจิตรกรรมฝาผนงั ในกรุ
พระปรางค์ วัดราชบูรณะ จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา ซึง่ มอี ายใุ นราวปี พ.ศ. ๑๙๖๗๑๑๘
นอกจากน้ี ยังมีภาพจิตรกรรมเรื่องชาดกอีกหลายเร่ือง ในพระอุโบสถ และพระ
วิหารหรือในศาสนสถานสมัยอยุธยา กล่าวได้ว่าเป็นธรรมเนียมในการเล่าเร่ืองชาดกในสมัย
อยุธยา๑๑๙ เช่น ภาพจิตรกรรมฝาผนังในกรุปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
มีภาพด้านบนเป็นพุทธประวัติ ส่วนภาพด้านล่างเป็นเรื่องราวนิทานชาดก๑๒๐ และภาพ

๑๑๘Silpa Bhirasri, The Origin and Evolution of Thai Murals, (Bangkok : 1959),
p. 33.

๑๑๙สนธวิ รรณ อินทรลิบ แปล, ทศชาติ (EIizabeth wray, Clase Rosenfield, Dorothy Balley,
Ten Lives of the Buddha), (คณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร, ๒๕๒๔), หนา้ ๑๐.

๑๒๐น. ณ ปากน้า, ศิลปกรรมแห่งอาณาจักรศรีอยุธยา, (กรุงเทพมหานคร : ธเนศวรการพิมพ,์
๒๕๑๙),หนา้ ๖๗.

๗๑

จิตรกรรมภายในพระอุโบสถวัดปราสาท จังหวัดนนทบุรี ภายในพระอุโบสถมีภาพทศชาติทั้ง
สองผนงั ด้านข้างแตล่ ะเร่อื งจะมภี าพเทพพนมคั่นแบง่ ชาดกแต่ละเรื่องออกเป็นช่อง ๆ๑๒๑

ชาดกที่ได้รับความนิยมในสมัยอยุธยานี้ คือ เวสสันดรชาดก และทศชาติ เรื่อง
อื่น ๆ ปรากฎทั้งในวรรณคดีและภาพจิตรกรรมฝาผนัง ชาดกที่ได้รับความนิยมสูงสุดและมี
ความสาคญั ในประเพณีเทศน์มหาชาติ คือ เวสสนั ดรชาดก ซ่งึ เปน็ วรรณคดที ่มี ีบทบาทลาคัญใน
การสร้างคติความเช่ือเร่ืองการให้ทาน เหตุที่คนไทยให้ความสาคัญกับเวสสันดรชาดก และยก
เปน็ “มหาชาติ” นา่ จะเปน็ เพราะเหตวุ า่

๑) เร่อื ง เวสสันดรชาดก มีความสาคัญกว่าชาดกเร่ืองอน่ื เพราะพระโพธิสัตว์
ได้บาเพญ็ บารมีครบถว้ น ๑๐ ประการ โดยเฉพาะการบาเพ็ญทาน ซึ่งเป็นการสงั่ สมความดี ขัน้
พื้นฐานที่ชาวบ้านทุกคนสามารถกระทาได้ไปจนถงึ การบาเพ็ญบารมีในระดับอุดมคติของ พระ
โพธสิ ตั วท์ ่ีได้สละแล้วซงึ่ ความเปน็ เจา้ ของทกุ ส่ิงแม้แตบ่ ตุ ร ธดิ า และภรรยา

๒) เร่ืองเวสสันดรชาดก เป็นพระชาติสุดท้ายก่อนท่ีจะประสูติเป็นเจ้าชาย
สิทธัตถะ จึงนับเป็นพระชาติท่ีได้สั่งสมบุญบารมีคร้ังสุดท้ายก่อนจะมาเป็นพระพุทธเจ้า คติ
ความเช่ือเรื่องการสร้างสมบุญบารมีจึงได้รับการเน้นย้าเป็นการชักชวนให้คนหม่ันทาความดี
เพื่อประโยชน์สุขในชาติหน้า และเสริมต่อด้วยคติความเชื่อที่ว่า ถ้าฟังเทศน์มหาชาติครบ
๑๓ กัณฑ์ภายในวันเดียวจะได้ไปอยู่บนสวรรค์เพื่อรอไปเกิดในยุคพระศรีอาริยเมตไตรย เร่ือง
เวสสันดรชาดกจงึ ไดร้ ับความแพรห่ ลายในสงั คมไทยมากกว่าชาดกเรือ่ งอน่ื ทัง้ หมด

๓.๔ ชาดกสมัยกรงุ ธนบุรี
เมอื่ เสยี กรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ และตอ่ มาภายหลังสมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบุรี

ทรงกอบกู้อิสรภาพ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้จารพระไตรปิฏกจาลองจากฉบับที่ได้มาจาก หัว
เมืองต่าง ๆ เม่ือคราวเสด็จไปปราบเจ้าเมืองนครศรธี รรมราชก็ได้ทรงพระกรุณาให้ราชบัณฑิต
จดั พระไตรปฏิ กบรรทุกเรอื อัญเชิญเข้ามายงั กรงุ ธนบรุ ี ดารสั ใหจ้ ้างช่างจารพระไตรปิฎกจน จบ
ส้ินที่มีอยู่ ส้ินพระราชทรัพย์เป็นจานวนมาก เมื่อจาลองได้ทุกพระคัมภีร์แล้ว จึงอัญเชิญออกไป

๑๒๑น. ณ ปากน้า, ศิลปะแห่งอาณาจักรไทยโบราณ, (กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์,
๒๕๒๐),หน้า ๑๔๓.

๗๒

ส่งคืนไว้ตามเดิมที่นครศรีธรรมราช๑๒๒ ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงกรีฑาทัพไปปราบชุมนุม เจ้า
พระฝางที่เมืองสวางคบุรี พระองค์ก็ได้ทรงอัญเชิญพระไตรปฎิ กจากเมืองสวางคบรุ ีมาไว้เป็น
ตน้ ฉบบั ท่กี รงุ ธนบุรีด้วย๑๒๓

การที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระวิริยะอุตสาหะรวบรวมพระไตรปิฎกกฉบับ
หลวงในรัชสมัยของพระองค์น้ัน เป็นผลดีอย่างย่ิงต่อการสังคายนาพระไตรปิฎกในรัชสมัยของ
กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ปี พ.ศ. ๒๓๓๑ ในส่วนท่เี ปน็ อรรถกถาชาดกนั้น มีการแตง่ เร่อื งมหาชาติโดย
หลวงสรวิชิต (หน) ได้แต่งร่ายยาวมหาชาติ กัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรีขึ้น และได้ใช้มาจนส้ิน
สมัยกรุงธนบุรี๑๒๔ นอกจากนี้ ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในสมัยกรุง
ธนบุรี ได้แก่ ภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดปราสาท นนทบุรี วัดช่องนนทรี เขตยาน
นาวา วัดโบสถ์สามเสน เขตดุสิต และวัดราชสิทธารามเขตบางกอกใหญ่ ซึ่งเป็นเร่ืองราว
เก่ยี วกบั ทศชาตชิ าดก๑๒๕

๓.๕ ชาดกสมยั กรงุ รัตนโกสนิ ทร์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ทรงพระราชราพงึ

ถึงพระไตรปิฎกธรรมอันเป็นมูลรากแห่งพระปริยตั ิศาสนาทรงพระราชทานพระราชทรัพย์เป็น
อนั มากใหเ้ ปน็ คา่ จา้ งชา่ งจารจารึกพระไตรปฎิ กลงใบลาน ในฉบับท่เี ปน็ อักษรลาวอกั ษรรามัญก็
ให้ชาระแปลเป็นอักษรขอม สร้างข้ึนไว้ในหอพระมนเทียรธรรมและสร้างพระไตรปิฎกถวาย
พระสงฆ์ให้เล่าเรียนทุก ๆ พระอารามหลวงตามความปรารถนา ทรงมีพระราชปรารภถึง
พระไตรปิฎกว่า

๑๒๒ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์, งานวิจัยเรื่องพระพทุ ธศาสนาสมัยกรุงธนบรี, (กรุงเทพมหานคร : เรือน
แก้วการพมิ พ์, ๒๕๔๐), หนา้ ๒๕๙.

๑๒๓เสนีย์ วลิ าวรรณ, ประวัติวรรณคดี, (กรงุ เทพมหานคร : วฒั นาพานิช, ๒๕๓๐), หน้า ๓.
๑๒๔สมพันธ์ุ เลขะพันธุ์, วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง, ๒๕๒๒), หน้า ๒๗.
๑๒๕ประทีป ชุมพล, จิตรกรรมฝาผนังภาคกลาง : ศึกษากรณีความสัมพันธ์กับวรรณคดีและ
อิทธิพลท่ีมีต่อความเชื่อ ประเพณีและวัฒนธรรม, (สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, ๒๕๓๙),
หน้า ๒๑-๒๒.

๗๓

“พระบาลีและอรรถกถาฎีกาพระไตรปิฎกทุกวันนี้ เมื่อและผิดเพี้ยนวิปลาสอยู่ป็น
อันมากฉะน้ี จะเป็นเค้ามูลพระปฏิปัตติศาสนา ปฏิเวธศาสนาน้ันมิได้ อน่ึง ที่ผู้รักษ า
พระไตรปิฎกทุกวันนี้ก็น้อยนัก ถ้าสิ้นท่านเหล่านี้แล้ว เห็นว่าพระปริยัติศาสนา และ ปฏิ
ปัตติศาสนาและ ปฏิเวธศาสนา จะเส่ือมสูญเป็นอันเร็วนัก สัตว์โลกทั้งปวงจะหาที่พ่ึงบมิไดใ้ น
อนาคตกาลเบ้ืองหน้า ควรจะทานุบารุงบวรพทุ ธศาสนาไว้ให้ถาวรวัฒนาการเป็นประโยชนแ์ ก่
เทพา มนุษย์ทงั้ ปวง จงึ จะเป็นทางพระบรมโพธญิ าณบารมี”๑๒๖

พระพทุ ธศาสนาในระยะเริ่มกอ่ ต้งั กรุงรัตนโกสนิ ทรท์ ไ่ี ด้รับความเสียหายจากการถูก
เผาทาลายบา้ นเมืองโดยเฉพาะวดั ซงึ่ เป็นแหลง่ เก็บพระไตรปิฎกจาเป็นตอ้ งสังคายนาพระไตรปิฎก
ขึน้ ในสังคตี ยิ วงศบ์ รรยายถึงมูลเหตขุ องการสังคายนาพระไตรปิฎกวา่

“สมเดจ็ พระเจ้าแผ่นดนิ ทง้ั ๒ พระองค์นั้น ทรงทราบวา่ พระไตรปฎิ ก คือ พระพทุ ธ
วจนะท้ังหลายมีอักษรอันวิปลาสฉิบหายแล้วก็มีพระหฤไทยไหวหวั่นด้วยความรักพระศาสนา
อยา่ งยง่ิ จงึ ทรงดาริห์ว่า ควรเราทั้งหลายจะทาพระพุทธวจนะให้เจริญ พระพทุ ธวจนะเป็นของ
หาทีเ่ ปรยี บมิได้ มอี กั ษรพิรธุ ฉบับเสยี หายแลว้ กจ็ ะไม่มที ี่พ่ึงแล”๑๒๗

การนาเรื่องชาดกกมาเทศนา ดังมีข้อความในพระราชปุจฉาในชั้นกรุง
รตั นโกสนิ ทรว์ ่า “พระพุทธโฆษาจารย์ ซ่ึงดารงสมณศักดิ์ที่ถือวา่ มีเกียรติคุณสูงสุดในทางคันถ
ธุระ ได้ถวายพระธรรมเทศนาเรื่องพระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นเดียรฉานเนื้อความไม่ต้องกับพระ
พุทธฎีกา เพราะถือแต่วารพระบาลี มิได้ทันพิจารณาในอรรถาธบิ ายอันเป็นสาคร อรรถคัมภีร
ภาพ จงึ เขา้ ใจไปโดยอรรถอันผดิ ฉะนี้”๑๒๘

นอกจากน้ยี งั มขี ้อความอา้ งถึงชาดก ในพระราชปจุ ฉาวา่ มีพระราชปุจฉาเรื่องที่เป็น
ชาดก เชน่ เรอ่ื งปลาวา่ ยนา้ ตามฟังธรรมและนกแขกเต้าภาวนาอัฐิกรรมฐานนั้น พระราชาคณะ
ไม่สามารถประยุกต์เน้ือความเพื่อสอนธรรมะอย่างจะแจ้งบริบูรณ์ ก็ทรงมีพระราชดาริว่าหาก

๑๒๖กรมศิลปากร, พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาเล่ม ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พ์องคก์ ารคา้ ครุ สุ ภา, ๒๕๔๘), หนา้ ๒๖๗-๒๖๘.

๑๒๗สมเด็จพระวันรัตน วัดพระเชตุพน ในรัชกาลท่ี ๑, สังคีติยวงศ์, (กรุงเทพมหานคร : ห้าง
หุ้นสว่ นจากัด ศิวพร, ๒๕๒๑), หนา้ ๔๔๕.

๑๒๘พระราชปุจฉาในชั้นกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑-รัชกาลที่ ๕ เล่ม ๑,
(กรุงเทพมหานคร : องคก์ ารค้าครุ ุสภา, ๒๕๑๓), หนา้ ๙๔.

๗๔

เป็นเช่นน้ีจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่า เพียงฟังพระธรรมเทศนาหรือบริกรรมกรรมฐานก็จะ
บรรลุอรหัตผลได้ ด้วยเหตุน้ีจึง ได้โปรดให้โอวาทส่ังสอนพระสงฆ์ธรรมกถึกทั้งปวง จะสาแดง
ธรรมเทศนาในพระราชสถานกด็ ี นอกพระราชสถานก็ดี ขอใหว้ สิ ชั นาจงแจง้ ให้วติ ถารกวา้ งขวาง
อยา่ ให้คา้ งเนื้อความไวอ้ ยา่ งนี้ ผู้มปี ัญญานอ้ ยจะถอื มั่นสาคัญผิด๑๒๙

ในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั มีการแตง่ ช่อมมหาชาติคาหลวง
ในปี พ.ศ. ๒๓๕๘ แทนกัณฑ์หายไป ๖ กัณฑ์ คือ กัณฑ์หิมพานต์ ทานกัณฑ์ จุลพน มัทรี สกั
กบรรพ ฉกษัตริย์๑๓๐ และมีการนามหาชาติมาสวดในพระอุโบสถวัดพระศรีรตั นศาสดาราม ใน
งานนักขัตฤกษ์ ผู้สวดเป็นคฤหัสถ์ มีขุนทินบรรณาการ ขุนธารกานลั กับผู้ช่วยอีกสองคน แสดง
ให้เห็นว่าเร่ืองเวสสันดรชาดกเป็นที่แพรห่ ลายและได้รับความนิยมใช้สวดของพระสงฆใ์ ช้เทศน์
และการสวดของคฤหัสถ์ด้วย

นอกจากน้ี ยงั มีการนาเร่ืองมหาชาตมิ าแต่งเป็นกลอนเทศน์ เรียกวา่ มหาชาตกิ ลอน
เทศน์ คือเอาคาบาลีท่ีเปน็ คาถาและอรรถกถามาลงไว้ แล้วแตง่ เนอื้ ความภาษาไทยเป็นร่ายยาว
ต่อเข้าเป็นตอน ๆ มีหลายสานวน โดยกวีสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่มีช่ือเสียงหลายท่าน เช่น
พระเทพโมลี (กล่ิน) แต่งกณั ฑม์ หาพน เจา้ พระยาพระคลัง (หน) แต่งกัณฑก์ มุ ารและกัณฑ์มัทรี
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงพระนิพนธ์กัณฑ์ทศพร กัณฑ์หิม
พานต์ กัณฑ์มหาราช กัณฑ์ฉกษัตริย์ และนครกัณฑ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชนพิ นธก์ ณั ฑ์วนปเวสน์ กัณฑจ์ ุลพน และกณั ฑ์สกั กบรรพ นอกจากกวีหลวงแล้ว ยงั
มีสานกั วดั ต่าง ๆ เลอื กแต่งเพยี งบางกณั ฑ์ตามความนิยม เช่น สานักวดั สังขก์ ระจายเเตง่ กณั ฑ์ชู
ชก และสานกั วัดถนนแตง่ ทานกัณฑ์ เป็นต้น๑๓๑

แม้ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นจะไม่ปรากฏหลักฐานทางวรรณคดีชาดกเรื่องอืน่ ๆ
แตภ่ าพจติ รกรรมฝาผนังสมัยรตั นโกสินทร์มกี ารเขียนภาพทศชาติในพระอโุ บสถหลายวัด ไดแ้ ก่

๑๒๙เรื่องเดียวกัน, หน้า ๙๔. ๑๐๘.
๑๓๐กรมศิลปากร, มหาชาติคาหลวง, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เจริญธรรม, ๒๕๑๖), หน้า
(๔).
๑๓๑กรมศิลปากร, มหาเวสสันดรชาดก ฉบับ ๑๓ กัณฑ์, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา
๒๕๓๑), หนา้ คานา (๘)-(๑๐).

๗๕

พระอุโบสถวัดบวรสถานสุธาวาส พระนคร และที่พระอุโบสถวัดใหญ่อินทาราม จังหวัด
ชลบรุ ๑ี ๓๒

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มีการสร้างจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง
ทศชาติหลายวัดทม่ี ีช่อื เสียงไดแ้ ก่ ภาพจติ รกรรมฝาผนังในพระอโุ บสถวัดดุสิตาราม วดั สวุ รรณา
ราม กรุงเทพมหานคร ท่ีแปลกออกไปได้แก่ ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดเครือวัลย์วรวิหาร เขต
บางกอกใหญ่ มีเร่ืองราวเก่ียวกบั นบิ าตชาดกทงั้ หมดครบทั้ง ๕๔๗ เรื่อง๑๓๓

ภาพจิตรกรรมฝาผนังเก่ียวกับนิทานชาดกทาให้เห็นว่า เรื่องชาดกยังคงเป็นท่ีนิยม
แพร่หลายโดยเฉพาะภาพทศชาติ ดังนัน้ เรอื่ งในนบิ าตชาดกหรืออรรถกถาชาดกเปน็ ทรี่ จู้ ักกันดี
โดยทั่วไปและถ่ายทอดต่อมาในวรรณคดีมุขปาฐะ แต่ท่ีเป็นลายลักษณ์ยังไม่ปรากฏเป็น
หลักฐานชัดเจน จนกระท่ังการพิมพ์เจริญก้าวหน้าข้ึน และได้มีการจัดให้แปลเรื่องชาดกพิมพ์
ออกเปน็ หนังสือชาร่วยในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว รัชกาลที่ ๕
๓.๖ การพมิ พช์ าดก

พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หัว ทรงมพี ระราชปรารภถึงมลู เหตุที่จะแปล
และพมิ พ์นบิ าตชาดก เม่ือครงั้ พิมพ์หนังสอื แจกในงานพระราชทานเพลงิ ศพพระเจ้าลูกเธอ ศรี
วิไลยลักษณ์ กรมขุนสุพรรณภาควดีว่า

“มีคนเป็นอันมากคิดจะให้เป็นประโยชน์ยืนยาวหรือแพรห่ ลาย จึงได้เลือกหนังสือ
ตา่ ง ๆ ป็นสวดมนต์บา้ ง เทศนบ์ ้าง ตีพมิ พข์ ้นึ ถวายพระและแจกเมื่อมีผใู้ ดไปช่วย จงึ เหน็ ด้วยว่า
ควรจะตีพิมพ์นิบาตชาดก แต่จะแปลเสียใหม่ให้พอจุเน้ือความและเป็นสานวนที่อ่านเข้าใจ ได้
ง่าย ข้อซึ่งจะดีมากน้อยเท่าใดน้ัน ได้กาหนดไว้ว่าหนังสือเอกนิบาตชาดกน้ีจะแบ่งเป็น ๕ เล่ม
สมดุ พมิ พ์ จะได้ทาให้สาเร็จเล่ม ๑ ก่อนในงานศพคราวนี้”๑๓๔

๑๓๒ประทีป ชุมพล, จิตรกรรมฝาผนังภาคกลาง : ศึกษากรณีความสัมพันธ์กับวรรณคดีและ
อิทธพิ ลทม่ี ตี อ่ ความเช่อื ประเพณีและวัฒนธรรม, หน้า ๒๓-๒๔.

๑๓๓กรมศิลปากร, โครงการอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังเร่งด่วนในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๖, (กรงุ เทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๙), หนา้ ๓๓.

๑๓๔นิบาตชาดก เลม่ ๒๓, ภาคผนวก, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พโ์ สภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๔),
หนา้ ๗.

๗๖

พระราชปรารภคร้ังน้นั นับเป็นมลู เหตุของการเร่มิ แปลและจัดพิมพ์อรรถกถาชาดก
ขึ้นเป็นฉบับหลวงตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ โปรดฯให้ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหม่ืน วชริ ญาณวโร
รส และพระเถระท้ังหลายช่วยกันชาระพระไตรปิฎกโดยคัดลอกตัวอักษรขอมในคัมภีร์ใบลาน
เป็นตัวอักษรไทย ชาระแก้ไขและพิมพ์ขึ้นเป็นเล่มหนังสือรวม ๓๙ เล่ม เร่ิมชาระเมื่อปี พ.ศ.
๒๔๓๑ สาเร็จเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๓๖ จานวน ๑,๐๐๐ ชุด พระราชทานแก่หอสมุดนานาประเทศ
และพระอารามหลวงทุกแห่ง นับว่าไทยเป็นชาติแรกที่พิมพ์พระไตรปิฏกบาลีขึ้นเป็นเล่ม
พิมพ์คร้ังแรก ๓๙ เล่ม และนิบาตชาดกอยู่ในเล่มที่ ๒๗ และ ๒๘๑๓๕

พระไตรปิฏกและอรรถกถาชาดกได้จัดพิมพ์เพ่ิมเติมจนครบสมบูรณ์ในรัชกาลที่ ๗
มีทั้งชุด ๔๕ เล่มในปี พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๗๓ การพิมพ์คร้ังนี้ใช้เครื่องหมายและอักขรวิธีตาม
แบบของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งทรงคิดขึ้นใหม่และเป็นการ
พิมพ์เพ่ิมเติมส่วนท่ียังขาดอยู่ให้สมบูรณ์ โดยใช้ฉบับใบลานของหลวงคัดลอกได้ทาอนุกรมตา่ ง
ๆ ไว้ทา้ ยเลม่ เพ่ือสะดวกในการคน้ แม้ไม่สมบรู ณน์ ักแตก่ น็ บั วา่ มปี ระโยชนม์ าก

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ สมัยรัชกาลที่ ๘ ได้จัดให้มีการแปลพระไตรปฎิ กจากภาษา
บาลีเป็นภาษาไทย มีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธาน ทรงแต่งตั้งพระเถระเป็นกรรมการ
แปล เร่ิมดาเนินการต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๒ จึงแล้วเสร็จ ต่อมาในปี พ.ศ.
๒๔๙๕ รัฐบาลได้จัดต้ังงบประมาณข้ึนอุปถัมภ์เพ่ือสร้างพระไตรปิฎกให้ทันพิธีฉลองย่ีสิบห้า
พทุ ธศตวรรษในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ และเป็นการจดั พมิ พ์พระไตรปิฎกและอรรถกถาขึ้นเป็นรูปเล่ม
คร้ังแรกจานวน ๒,๕๐๐ ชุด ชุดละ ๘๐ เล่ม ซ่ึงรวมอรรถกถาชาดกอย่ดู ว้ ย

ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้ดาเนินการชาระ ตีพิมพ์
พระไตรปิฎกภาษาบาลีฉบับ “มหาจุฬาเตปิฏก” เพื่อเป็นอนุสรณ์ในมหามงคลสมัย ๒๕ พุทธ
ศตวรรษ แล้วแปลและจัดพมิ พ์พระไตรปฎิ กฉบับมหาจุฬาเตปิฏก เปน็ ภาษาไทยทงั้ ๔๕ เล่ม มี
ลักษณะพิเศษกว่าพระไตรปิฎกฉบับอ่ืน ๆ คือในคัมภีร์แต่ละเล่มจะมีบทนา แนะนาและสรุป
สาระสาคัญของคัมภีร์เล่มนั้น ๆ ในเนื้อหาตอนใดมีศัพท์ที่ยากแก่การเข้าใจก็จะมีเชิงอรรถ
อธิบายความเพิ่มเติม พร้อมข้อเสนอแนะควรอ่านทาความเข้าใจเพิ่มเติมได้จากคัมภีร์เล่ม

๑๓๕กรมการศาสนา, ประวัติศาสตร์พุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา,
๒๕๒๗), หนา้ ๑๖๙-๑๘๐.

๗๗

ใดบ้าง ยุคสมัยเทคโนโลยีก้าวหน้ามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้พัฒนาโปรแกรม
พระไตรปิฎกภาษาไทย ๔๕ เล่มเป็นแผ่นซีดี-รอม (MCUTRAI) สามารถสืบค้นหาคา
ข้อความ วลี ว่าพระสูตรหรือชาดกเร่ืองนอ้ี ยู่หน้าใด ข้อใด หรือสืบค้นแบบเช่ือมโยงจากเล่มที่
๑- ๔๕ คน้ จากท้ัง ๓ หมวด พระวนิ ยั ปิฎก พระสุตตนั ตปิฎก พระอภิธรรมปิฎกได้ ถือเป็นการ
สืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงสถาปนา
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยมพี ระราชประสงค์ที่จะทรงให้มหาวิทยาลัยสงฆ์
แห่งนี้เป็นที่ศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาพระพุทธศาสนาชั้นสูง พระไตรปิฎกฉบับ “มหาจุฬา
เตปิฏก” และพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นคู่มือการศึกษา
พระพทุ ธศาสนาอนั ทรงคณุ ค่ายิง่ ด้วยเปน็ แหลง่ อา้ งอิงหลกั วิชาการพระพุทธศาสนาที่สาคัญ๑๓๖

๓.๗ สรปุ
๓.๗.๑ ความเปน็ มาของชาดกในประเทศไทย
ชาดกที่ปรากฏในประเทศไทย เผยแพร่มาพร้อมกับพระไตรปิฎกบาลี คือ

พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ซ่ึงมคี าสอนทีป่ ระมวลอยใู่ นพระไตรปฎิ กบาลีและเข้ามาโดยวิธศี รัทธา
เล่ือมใสในหลักคาสอน เห็นคุณค่าของพุทธธรรมท่ีมีผลต่อการดับทุกข์ของบุคคลและส่วนรวม
ในหลักคาสอนน้นั จะมีนิทานชาดกเปรียบเทียบให้เห็นผลแหง่ การกระทาดีและทาชัว่ ไปดว้ ย คน
ไทยจึงนิยมนานิทานชาดกท่ีมีในพระไตรปิฎกมาเป็นอุทาหรณ์ในการใช้ชีวิตประจาวันทุกยุกต์
สมยั ดังมีปรากฏในประเทศไทยสมยั ตา่ งๆ ดงั น้ี

๓.๗.๒ ชาดกกอ่ นสมยั สุโขทยั
ก่อนท่ีอาณาจักรสุโขทัยจะต้ังข้ึนนั้นดินแดนรอบๆ สุโขทัยก็มีพระพุทธศาสนา
เจรญิ ร่งุ เรอื งแต่เดิมอยู่แล้ว ทางตอนเหนือ ได้แก่ อาณาจกั รหรภิ ุญไชย (ลาพนู ) และทางตอนใต้
ไดแ้ ก่ อาณาจักรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) และในลุ่มน้าเจ้าพระยาก็มีร่องรอยอิทธิพลของ
ทวารวดีเป็นส่วนใหญ่ จากภาพเล่าเร่ืองชาดกนิยมสลักในสมัยทวารวดี ที่นครปฐม ราชบุรี
นครสวรรค์ กาฬสินธุ์ ชยั ภูมิ

๑๓๖คณะกรรมการมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พระผู้ทรงเป็นปราชญ์แห่ง
พระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั ๒๑ เซ็นจรู ี่ จากัด, ๒๕๔๕), หน้า ๔๖-๕๕.

๗๘

๓.๗.๓ ชาดกสมยั สุโขทยั
ชาดกต้ังแต่สมัยสุโขทัยมีหลักฐานคือ “มหาชาติคาหลวง” แต่งขึ้นในสมัยพระบรม
ไตรโลกนาถ หลังจากน้ันก็มีการแต่งอีกหลายสานวน ทั้งแบบฉบับและท้องถิ่น วรรณกรรม
เร่ืองเวสสันดรชาดกท่ีพุทธศาสนิกชนได้ให้ความสาคัญมากนอกจากจะแต่งเป็นรูปลายลักษณ์
แล้ว ยงั นยิ มใช้เทศนาโดยท่ัวไปเรียกการเทศนาเรอื่ งเวสสนั ดรชาดกว่า “เทศนม์ หาชาติ”
๓.๗.๔ ชาดกสมยั อยุธยา
ในสมยั อยธุ ยานยิ มนาเร่ืองทศชาติมาแตง่ และนามาแสดงในประเพณีเทศนม์ หาชาติ
ดงั ท่ีมีหลักฐานในศิลาจารึกหลายหลัก ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยาฉบับหลวงประเสริฐ
อกั ษรนิติ ในพระนิพนธเ์ รอ่ื ง นนั โทปนันทสูตรคาหลวง เจา้ ฟา้ ธรรมธิเบศร์ และในจติ รกรรมฝา
ผนังในกรุพระปรางค์ วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในพระอุโบสถ และพระวิหาร
หรือในศาสนสถานสมยั อยุธยา
๓.๗.๕ ชาดกสมัยกรงุ ธนบรุ ี
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงกอบกู้อิสรภาพได้สาเร็จ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้จาร
พระไตรปิฏกจาลองจากฉบับท่ีได้มาจากหวั เมืองต่าง ๆ เช่น นครศรีธรรมราชและเมืองสวางค
บุรี
๓.๗.๖ ชาดกสมยั กรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์เป็นอัน
มากให้เปน็ ค่าจ้างช่างจารจารกึ พระไตรปิฎกลงใบลาน ในฉบับท่ีเป็นอกั ษรลาวอกั ษรรามัญก็ให้
ชาระแปลเป็นอกั ษรขอม สร้างขน้ึ ไว้ในหอพระมนเทียรธรรม
๓.๗.๗ การพมิ พ์ชาดก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจัดพิมพ์อรรถกถาชาดกขึ้นเป็นฉบับ
หลวงต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ โปรดฯ ให้ชาระแก้ไขและพิมพ์ข้ึนเป็นเล่มหนังสือรวม ๓๙ เล่ม พระ
ไตรปฏิ กและอรรถกถาชาดกได้จัดพิมพ์ครบสมบูรณ์ในรัชกาลท่ี ๗ มที ง้ั ชดุ ๔๕ เล่ม
พุทธศักราช ๒๕๐๐ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้ดาเนินการชาระ ตีพิมพ์
พระไตรปิฎกภาษาบาลีฉบับ “มหาจุฬาเตปิฏก” ๔๕ เล่ม และต่อมาจัดพิมพ์ฉบับภาษาไทย

๗๙

ท้ัง ๔๕ เล่ม เป็นพระไตรปิฎกท่ีสมบูรณ์ครบถ้วน ๔๕ เล่ม เป็นคู่มือการศึกษาพระพุทธศาสนา
อันทรงคุณค่าย่ิง ด้วยเป็นแหล่งอ้างอิงหลักวิชาการพระพุทธศาสนาท่ีสาคัญย่ิง

๘๐

บทท่ี ๔
ประเภทของชาดก

วตั ถุประสงค์การเรยี นประจาบท
เม่อื ได้ศกึ ษาเน้อื หาในบทนแ้ี ล้ว ผู้ศกึ ษาสามารถ
๑. อธบิ ายประเภทนิทานชาดกได้
๒. อธิบายสาระสาคญั ของนิบาตชาดกได้
๓. อธิบายสาระสาคัญของชาดกนอกนิบาตหรอื พาหริ กชาดกได้
๔. อธบิ ายสาระสาคญั ชาดกมาลาได้
๕. อธิบายประเภทนิทานในทางพระพทุ ธศาสนาได้

ขอบขา่ ยเนือ้ หา

 ความนา
 นิบาตชาดก
 ชาดกนอกนิบาตหรอื พาหิรกชาดก
 ชาดกมาลา

๘๑

บทที่ ๔

ประเภทของชาดก

ชาดกในพระพุทธศาสนา มี ๓ ประเภท คือ ๑. นิบาตชาดก ๒. ชาดกนอกนิบาต
หรือพาหริ กชาดก และ ๓. ชาดกมาลา ซ่ึงมคี าอธบิ ายชาดกแตล่ ะประเภท ดังน้ี

๔.๑ นิบาตชาดก

๔.๑.๑ ชาดกในพระไตรปิฎก

นิบาตชาดก หมายถึง ชาดกทั้ง ๕๔๗ เร่ืองท่ีมีอยู่ในคัมภีร์ขุททกนิกาย ของ พระ

สุตตันตปิฎกซึ่งเป็นหนึ่งใน ๓ หมวดแห่งพระไตรปิฎก นิบาตชาดกแต่งเป็นคาถา คือคาฉันท์

ล้วน ๆ โดยจะมีการแต่งขยายความเป็นร้อยแก้วเป็นอรรถกถาชาดก เหตุที่เรียกวา่ นิบาต

ชาดก เพราะชาดกในพระไตรปิฎก จะถูกจัดหมวดหมู่ตามจานวนคาถามีท้ังหมด ๒๒ หมวด

หรือ ๒๒ นิบาต นิบาตสุดท้าย คือ นิบาตที่ ๒๒ (มหานิบาตชาดก) ประกอบด้วยชาดก ๑๐

เรอ่ื ง หรอื ทเี่ รยี กวา่ “ทศชาติชาดก”

ในแต่ละนิบาตยังแบ่งเป็นวรรค ในแต่ละวรรคแบ่งเป็นนิทานต่าง ๆ ส่วนใหญ่มี

นิทานวรรคละ ๑๐ เร่ือง สรุปแล้วนิบาตชาดกมี ๒๒ นิบาต ๔๔ วรรค มีนิทานชาดกในนิบาต

ทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง ดงั ต่อไปน้ี

๑. เอกกนบิ าต มี ๑๕ วรรค ๆ ละ ๑๐ ชาดก รวม ๑๕๐ ชาดก ดงั น้ี

๑. อปัณณกวรรค ๑๐ ชาดก ๙. อปายมิ หวรรค ๑๐ ชาดก

๒. สีลวรรค ๑๐ ชาดก ๑๐. ลติ ตวรรค ๑๐ ชาดก

๓. กุรงุ ควรรค ๑๐ ชาดก ๑๑. ปโรสตวรรค ๑๐ ชาดก

๔. กุลาวกวรรค ๑๐ ชาดก ๑๒. หงั สวิ รรค ๑๐ ชาดก

๕. อัตถกามวรรค ๑๐ ชาดก ๑๓. กุสนาฬิวรรค ๑๐ ชาดก

๖. อาสงิ สวรรค ๑๐ ชาดก ๑๔. อสมั ปทานวรรค ๑๐ ชาดก

๗. อิตถีวรรค ๑๐ ชาดก ๑๕. กกัณฏกวรรค ๑๐ ชาดก

๘๒

๘. วรุณวรรค ๑๐ ชาดก

๒. ทกุ นิบาต มี ๑๐ วรรค ๆ ละ ๑๐ ชาดก รวม ๑๐๐ ชาดก

๓. ตกิ นิบาต มี ๕ วรรค ๆ ละ ๑๐ ชาดก รวม ๕๐ ชาดก

๔. จตกุ กนบิ าต มี ๕ วรรค ๆ ละ ๑๐ ชาดก รวม ๕๐ ชาดก

๕. ปัญจกนิบาต มี ๓ วรรค วรรคที่ ๑ และ ๒ มีวรรคละ ๑๐ ชาดก

๖. ฉักกนิบาต มี ๒ วรรค ๆ ละ ๑๐ ชาดก รวม ๒๐ ชาดก

๗. สัตตกนิบาต มี ๒ วรรค วรรคท่ี ๑ มี ๑๐ ชาดก วรรคที่ ๒ มี ๑๑ ชาดก รวม ๒๑

ชาดก ไดแ้ ก่ ๑. กุกกุวรรค ๑๐ ชาดก ๒. คันธวรรค ๑๑ ชาดก

๘. อัฏฐกนบิ าต มี ๑๐ ชาดก (ต้งั แต่นบิ าตท่ี ๘ เป็นต้นไปไมม่ ีวรรค)

๙. นวกนิบาต มี ๑๒ ชาดก

๑๐. ทสกนบิ าต มี ๑๖ ชาดก

๑๑. เอกาทสกนบิ าต มี ๙ ชาดก

๑๒. ทวาทสกนิบาต มี ๑๐ ชาดก

๑๓. เตรสนิบาต มี ๑๐ ชาดก

๑๔. ปกณิ ณกนิบาต มี ๑๓ ชาดก

๑๕. วีสตนิ ิบาต มี ๑๔ ชาดก

๑๖. ติงสตินิบาต มี ๑๐ ชาดก

๑๗. จตั ตาลีสนบิ าต มี ๕ ชาดก

๑๘. ปัญญาสนิบาต มี ๓ ชาดก

๑๙. สฏั ฐนิ ิบาต มี ๒ ชาดก

๒๐. สัตตตินิบาต มี ๒ ชาดก

๒๑. อสตี ินบิ าต มี ๕ ชาดก (รวมทง้ั หมด ๕๓๗ ชาดก)

๒๒. มหานิบาตชาดก มี ๑๐ ชาดก คือ ชาดกที่มีคาถามาก กล่าวคือ มีคาถาเกนิ

๘๐ คาถาขน้ึ ไป มหานบิ าตชาดก หรอื ทศชาตชิ าดกมี ๑๐ เรอ่ื ง ได้แก่

๑. เตมิยชาดก ๒. ชนกชาดก

๓. สวุ ัณณสามชาดก ๔. เนมิราชชาดก

๘๓

๕. มโหสถชาดก ๖. ภรู ทิ ัตชาดก

๗. จันทชาดก ๘. นารทชาดก

๙. วธิ ูรชาดก ๑๐. มหาเวสสนั ดรชาดก

(รวมทั้งหมด ๕๔๗ ชาดก)

(๑) การจัดนิบาต

ลกั ษณะการจดั นบิ าต ท่านนาชาดกที่มคี าถาเทา่ กนั มารวมไว้เป็นกลุ่มเดียวกันคือ

- ชาดกที่มี ๑ คาถาเรียก “เอกกนบิ าต”

- ชาดกท่มี ี ๒ คาถาเรียก “ทกุ นิบาต”

- ชาดกท่ีมี ๓ คาถาเรยี ก “ติกนิบาต”

- ชาดกทม่ี ี ๔ คาถาเรียก “จตกุ กนบิ าต”

- ชาดกท่มี ี ๕ คาถาเรยี ก “ปญั จกนิบาต”

- ชาดกท่ีมี ๖ คาถาเรียก “ฉักกนิบาต”

- ชาดกที่มี ๗ คาถาเรียก “สตั ตกนิบาต”

- ชาดกท่ีมี ๘ คาถาเรียก “อัฏฐกนิบาต”

- ชาดกที่มี ๙ คาถาเรยี ก “นวกนบิ าต”

- ชาดกที่มี ๑๐ คาถาเรยี ก “ทสกนบิ าต”

- ชาดกที่มี ๑๑ คาถาเรยี ก “เอกาทสกนิบาต”

- ชาดกที่มี ๑๒ คาถาเรียก “ทวาทสกนบิ าต”

- ชาดกทม่ี ี ๑๓ คาถา เรียก “เตรสกนิบาต”

- ชาดกที่มีมากกว่า ๑๓ คาถาข้ึนไปเรียก “ปกณิ ณกนิบาต”

- ชาดกที่มี ๒๐ คาถาขึน้ ไปเรียก “วีสตนิ บิ าต”

- ชาดกที่มี ๓๐ คาถาขนึ้ ไปเรียก “ติงสนบิ าต”

- ชาดกที่มี ๔๐ คาถาขน้ึ ไปเรียก “จตั ตาลีสนบิ าต”๑๓๗

๑๓๗ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/[บทนา]/๘.

๘๔

(๒) การตง้ั ช่อื วรรค
ลักษณะการต้ังช่ือวรรค ท่านจะนาชาดกแรกของแต่ละวรรคมาต้งั เป็นชื่อวรรคเป็น
ส่วนมากเช่น เสริววาณิชชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพ่อค้าชื่อเสรีวะ หรือจูฬเสฏฐิ
ชาดก พระโพธิสัตวเ์ สวยพระชาติเป็นจูฬเศรษฐี บางชาดก ใช้หัวข้อธรรมท่ีปรากฏในคาถานั้น
ๆ มาต้ังชื่อชาดกเช่นอปัณณกชาดก กล่าวถึงธรรม คือการปฏิบัติไม่ผิดและการปฏิบัติผิดบาง
ชาดกใช้สถานท่ีท่ีกล่าวถึงในคาถานนั้ ๆ มาต้ังชื่อชาดกเช่นวัณณุปถชาดก กล่าวถึงความเพียร
พยายามในการขุดหานา้ กลางทะเลทรายจนไดน้ า้ มาใชบ้ รโิ ภค เปน็ ต้น
(๓) ขอ้ แนะนาวิธกี ารอ่านชาดกในพระไตรปิฎกและอรรถกถา
ชาดกท้ังหมดเป็นอดีตนิทานที่พระพุทธเจ้าทรงยกขึ้นมาแสดงเพื่อเป็นข้อ
เปรียบเทยี บเร่ืองท่เี ป็นปัจจบุ นั ซึง่ เกิดข้นึ ในขณะนน้ั บางชาดกพระพุทธองค์ตรัสพระคาถาสรุป
ไว้ในที่สุดของเร่ือง เช่น อปัณณกชาดก วัณณุปถชาดก เสริววาณิชชาดก เป็นต้น ชาดกบาง
เร่ืองพระพุทธองค์ทรงยกคาถาของพระโพธิสัตว์ในชาดกนั้น ๆ มาตรัสไว้ซ้าอีก เช่น จูฬเสฏฐิ
ชาดก ตัณฑุลนาฬิชาดก เทวธมั มชาดก เปน็ ตน้ ในบาลพี ระไตรปฎิ กเล่มที่ ๒๗ น้เี ปน็ คาถาล้วน
หากผู้อ่านไม่ได้ศึกษาอรรถกถาชาดกน้ัน ๆ ประกอบด้วยก็จะยากต่อการเข้าใจ จึงจาเป็น
จะต้องนาอรรถกถาเสริมเข้ามาเพื่อประโยชน์แก่การเข้าใจในการอ่านชาดก โดยย่อเรื่องใน
อรรถกถามาไว้ในบทนาน้ีก่อน เพื่อให้เข้าใจว่าก่อนจะถึงคาถาชาดกนั้น ๆ ท่านได้แสดงเรื่อง
ประกอบไวอ้ ย่างไร ดงั นน้ั กอ่ นจะถึงคาถา จงึ มีคาเปดิ เรอ่ื งไว้ในวงเล็บ เพ่อื เป็นที่เข้าใจวา่ ใคร
กล่าวคาถานี้ แล้วจงึ เข้าคาถาทมี่ อี ยู่ตอ่ ไป หรอื ในกรณที ่ีมี ๒ คาถาขึ้นไป มกั มกี ารกล่าวโต้ตอบ
กัน ซ่งึ การกล่าวโต้ตอบนี้ ไดใ้ สค่ าพดู ของผูก้ ล่าวไว้ในวงเล็บซ่งึ เป็นตวั เปิดเรอ่ื งไว้ด้วย พึงทราบ
ว่า คาในวงเล็บน้ันเปน็ คาท่ีมีมาในอรรถกถา ไม่ใช่มีมาในบาลีพระไตรปิฎกหรือผู้แปลใส่เข้ามา
เอง เชน่
อปณั ณกชาดก
หมวดว่าดว้ ยการปฏิบัติไม่ผิด พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าทรงปรารภพ่อค้าเกวยี นสองคน
คนหนง่ึ ปฏิบัตผิ ดิ คนหนงึ่ ปฏบิ ัติถูก ตรสั พระคาถาว่า

คนฉลาดพวกหนึง่ กล่าวฐานะท่ีไมผ่ ิด
นกั คาดคะเนทงั้ หลายกล่าวฐานะท่ี ๒ (ทผี่ ดิ )

๘๕

ผ้มู ปี ญั ญารู้จักฐานะทไ่ี ม่ผดิ และฐานะที่ผดิ นนั้ แล้ว
ควรถอื ฐานะทไ่ี ม่ผิดไวเ้ ถิด๑๓๘
ชาดก ภาค ๑ คือ พระไตรปิฎกเล่มท่ี ๒๗ พระสุตตันตปิฎกท่ี ๑๙ ขุททกนิกาย
ชาดก เป็นภาคแรกของชาดก ได้กล่าวถงึ คาสอนทางพระพุทธศาสนา อนั มีลกั ษณะเปน็ นิทาน
สุภาษิต แต่ในพระไตรปิฎกก็ไม่ปรากฏเร่ืองไว้ มีแต่คาสุภาษิตรวมท้ังคาโต้ตอบในนิทาน ส่วน
เรื่องโดยละเอยี ดมเี ล่าไวใ้ นอรรถกถา ซึ่งเป็นหนังสือท่ีแต่งข้ึนเพือ่ อธิบายชาดกในพระไตรปิฎก
อกี ตอ่ หน่ึง
ชาดก ภาค ๒ มีโครงสร้างเช่นเดียวกับชาดก ภาค ๑ คือ ร้อยกรองในรูปคาถา
เหมอื นกัน การแปลจงึ ต้องแปลในรูปของคาถาและก่อนท่ีจะแปลเนอื้ หาของคาถาแรกในแต่ละ
ชาดกไดก้ ลา่ วเปดิ เรอื่ งไว้ด้วยขอ้ ความในวงเลบ็ ซ่งึ เป็นคาพูดของตัวละครในชาดกนน้ั ๆ หากมี
การกลา่ วโตต้ อบกนั ก็จะบอกชือ่ ผู้พูดไว้ในวงเล็บนนั้ ด้วย ในบางคาถาอาจมีคากล่าวเปิดเร่ืองไว้
ในวงเล็บวา่ (พระศาสดาเมือ่ จะทรงประกาศเนือ้ ความน้ัน จงึ ตรสั ว่า) พึงทราบวา่ เปน็ เน้ือความ
ท่ีพระศาสดาตรัสเล่าดาเนินเรอ่ื งของชาดกตอนนน้ั ๆ เท่านั้นท่ีพระอรรถกถาจารย์นามากลา่ ว
ไว้
ชาดก ภาค ๒ ส่วนมากเป็นเร่ืองยาวมตี ้งั แต่ ๕๐ คาถาขน้ึ ไป และมีผู้กลา่ วเปิดเรื่อง
ในวงเล็บหลายคน พึงทราบว่า เพื่ออานวยความสะดวกให้แก่ผู้ท่ีไม่มีโอกาสอ่านอรรถกถาได้
ทราบความเป็นมาที่แท้จริงของแต่ละชาดกเท่าน้ัน หรือแม้จะไม่ได้ใส่ข้อความเปิดเรื่องไว้ใน
วงเล็บ แต่ถ้าผู้อ่านตั้งใจอ่านจริง ๆ ก็สามารถเข้าใจเน้ือหาของชาดกน้ัน ๆ ได้เช่นกัน ดังน้ัน
การใส่ข้อความเปิดเรื่องไว้ในวงเล็บจึงมุ่งเพื่ออานวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่เพ่ิงอ่านชาดกมิให้
เกิดความสับสนเท่านั้น อนึ่ง การย่อเร่ืองในชาดกภาค ๒ ได้อาศัยรูปแบบจากชาดกภาค ๑
กล่าวคือ ได้ย่อเร่ืองทั้งท่ีมีปรากฏอยู่ในคาถาชาดก และอรรถกถาชาดกมาประมวลไว้ในบทนา
เพ่ือใหผ้ ู้อา่ นเข้าใจเน้ือหาของชาดกเรื่องน้ัน ๆ ได้งา่ ยขน้ึ ๑๓๙
อนง่ึ เปน็ ท่ที ราบกนั ว่า ชาดกทัง้ หมดมี ๕๕๐ เร่อื ง แตเ่ ทา่ ที่นบั ได้ปรากฏว่าในเล่มท่ี
๒๗ มี ๕๒๕ เร่ือง ในเล่มท่ี ๒๘ มี ๒๒ เร่ือง รวมทั้งส้ินจึงเป็น ๕๔๗ เร่ือง ขาดไป ๓ เร่ือง แต่

๑๓๘ขุ.ชา.เอกก. (ไทย) ๒๗/๑/๑.
๑๓๙ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/บทนา/๙.

๘๖

การขาดไปน้นั น่าจะเปน็ ด้วยบางเรือ่ งมีนทิ านซ้อนนิทาน และไมไ่ ดน้ บั เร่อื งซ้อนแยกออกไป ก็
เป็นได้ อย่างไรก็ตามจานวนท่ีนับได้จัดว่าใกล้เคียงมาก ในพระไตรปิฎกเล่มท่ี ๒๗ เป็นเล่มที่
รวมเรอ่ื งชาดกเลก็ ๆ น้อย ๆ รวมกันถึง ๕๒๕ เรอื่ ง แตใ่ นพระไตรปิฎกเลม่ ที่ ๒๘ นม้ี เี พียง ๒๒
เรอ่ื ง เพราะเป็นเรื่องยาว ๆ ทั้งน้ัน โดยในเลม่ ท่ี ๒๘ ที่มี ๒๒ เรื่องน้ัน ๑๒ เรอ่ื งแรกเปน็ เรื่องท่มี ี
คาฉันท์ สว่ น ๑๐ เร่ืองหลัง คอื เร่อื งทีเ่ รียกวา่ มหานบิ าตชาดก แปลวา่ ชาดกท่ีชุมนมุ เร่ืองใหญ่
หรือทีโ่ บราณเรียกว่า ทศชาติ

๔.๑.๒ อรรถกถาชาดก
อรรถกถา (อ่านว่า อัด-ถะ-กะ-ถา) คือ คัมภีร์ที่แก้เน้ือความบาลี เป็นคัมภีร์ท่ีไข
ความพระไตรปิฎก เขียนเป็นสันสกฤตว่า อรฺถกถา เขียนเป็นบาลีว่า อตฺถกถา หรือ อฏฺฐก
อรรถกถาชาดก เป็นคาสันสกฤต ภาษาบาลีใช้คาว่า ชาตกัฏฐกถา หรือ อัฏฐกถา
ชาดก หมายถงึ คัมภีรท์ พี่ ระอรรถกถาจารย์แตง่ อธบิ ายขยายความนบิ าตชาดกให้เช้าใจงา่ ยและ
พิสดารขึ้น โดยนาเอานิทานพื้นบ้านเก่าแก่มาแต่งเป็นร้อยแก้วผสมกับคาถา (ร้อยกรอง) ใน
นิบาตชาดก
อรรถกถาชาดก เกิดขึ้นมาจากภายหลังการสังคายนาครั้งที่ ๓ พระมหินทเถระได้
นาเอาพระไตรปฎิ กและอรรถกถาไปประเทศลงั กาเพ่อื เผยแผพ่ ระพุทธศาสนา ชาวลังกาเลื่อมใส
ได้พากนั ออกบวชและท่านไดแ้ ปลพระไตรปฎิ กและอรรถกถาเป็นภาษาสงิ หลของลงั กา๑๔๑
ก่อนท่ีพระพุทธโฆสาจารย์จะเดินทางไปลังกาและแปลพระไตรปิฎกและอรรถกถา
เป็นภาษาบาลีก็มีอยู่ก่อนแล้ว คือมูลอรรถกถา หรือมหาอรรถกถา อรรถกถาของชาวอุตตรวิ
หาร มหาปจั จรี กุรนุ ทอี รรถกถา อนั ธอรรถกถา และสงั เขปอรรถกถา
อนึง่ มูลอรรถกถา หรือ มหาอรรถกถานั้น เปน็ อรรถกถาแห่งพระสุตตันตปิฎก คงจะ
มีอรรถกถาชาดกดว้ ย ชาวลงั กาเช่อื วา่ นบิ าตชาดกมีเฉพาะตัวคาถาเท่านน้ั ส่วนอรรถกถาชาดก
ที่มนี ิทานโดยเขียนเปน็ ร้อยแกว้ น้นั ได้เขียนเป็นภาษาสงิ หลยคุ เก่ามาก่อน และอรรถกถาชาดก

๑๔๐ร าช บัณ ฑิตยส ถาน, พ จนา นุกร ม ฉบับร า ชบัณฑิตย ส ถา น พ .ศ. ๒๕ ๔ ๒ ,
(กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั นานมบี คุ ส์พบั ลิเคชั่นส์ จากดั , ๒๕๔๖), หน้า ๘๘๑.

๑๔๑รศ.พัฒน์ เพ็งผลา, ชาดกกับวรรณกรรมไทย, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
รามคาแหง, ๒๕๓๕), หนา้ ๓๑.

๘๗

น้ี พระพุทธโฆสาจารย์ได้แปลเป็นภาษาบาลีในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ ต่อมาต้นฉบับภาษาสิงหล
ไดส้ ญู หายไป

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชาธิบายเร่ืองชาดก มี
ความตอนหนง่ึ ว่า ส่วนชาดกท่ีได้แปลฉบับนี้ ไม่ใช่บาลี เป็นอรรถกถา กล่าวว่าได้เรียงรวบรวม
ข้ึนในเกาะลังกาในราวพระพุทธเจ้านิพพานได้ ๑๐๐๐ ปีล่วงแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดเป็นผู้
เรยี บเรียง ไม่ไดแ้ ก้ไขเพ่มิ เติมท้องนิทาน เดิมแต่เรื่องปรารภข้างตน้ และประชมุ ชาดกข้างปลาย
แต่ได้เรียบเรียงเป็นภาษาสิงหล แต่คาถาคงเป็นภาษาบาลี แล้วจึงกลับลงเป็นภาษาบาลี
ทง้ั หมด๑๔๒

อยา่ งไรก็ตาม นักวชิ าการทางพระพุทธศาสนาและนกั วิชาการบาลีต่างชาติบางท่าน
เชือ่ วา่ พระพุทธโฆสาจารย์เป็นผแู้ ต่งคมั ภีร์อรรถกถาชาดกในราวปี พ.ศ. ๙๖๕

๔.๑.๓ ฎีกาชาดก
ฎีกา หมายถึง คัมภีร์ที่แก้ หรืออธิบายคัมภีร์อรรถกถา๑๔๓ ฎีกาชาดก หมายถึง
หนังสือท่ีพระฎีกาจารย์ อาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์ฎีกา แต่งอธิบายความหรือเรื่องราวในอรรถกถา
ชาดกให้เข้าใจง่ายขึ้น โดยอธิบายความในอรรถกถาชาดกและอธบิ ายความในนิบาตชาดกดว้ ย
ในกรณที ่คี าหรือข้อความจากชาดกในพระไตรปิฎกและอรรถกถาชาดกขัดแยง้ กนั ในคัมภีรฎ์ ีกา
ชาดกไม่มเี นื้อเร่ือง เพราะมีจดุ ม่งุ หมายอธบิ ายคาหรอื ขอ้ ความเปน็ สาคัญ
คัมภีร์ฎีกาชาดกจุดมุ่งหมายเพ่ืออธิบายคาหรือความชาดกในพระไตรปิฎกและ
อรรถ-กถาชาดก โดยมีลักษณะ ดังน้ี

๑. คา ถ้าคาจากชาดกในพระไตรปิฎกแตกต่างจากอรรถกถา พระฎีกาจารย์
จะนาหลักไวยากรณ์บาลีมาเป็นหลักอธิบาย พร้อมท้ังยกตัวอย่างและหลักฐานประกอบ
คาอธบิ าย

๑๔๒พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบรมราชาธิบายเร่ืองนิบาตชาดก พระ
คมั ภีร์ชาดกแปลฉบับ ส.อ.ส. เลม่ ๒๓ ภาคผนวก, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์แม้นศร,ี ๒๔๙๓), หน้า ๙.

๑๔๓ราชบัณฑติ ยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, หน้า ๒๘๙.

๘๘

๒. ความหมาย หากความหมายจากชาดกในพระไตรปิฎกแตกต่างจากอรรถ
กถา พระฎกี าจารยจ์ ะอธิบายความ โดยยดึ ถอื ความหมายชาดกในพระไตรปฎิ กเป็นหลักสาคัญ
แล้วยกหลกั ฐานในพระไตรปิฎกมาประกอบการอธบิ ายความหมาย

คัมภรี ฎ์ ีกาชาดกทีเ่ ปน็ ภาษาบาลมี อี ยู่ ๒ เล่ม คือ
๑. ลีนัตถปกาสินี แต่งโดย พระธรรมปาละ ชาวอินเดียใต้ (ทมิฬ) ลีนัตถปกา

สินี แปลว่า หนังสือไขความล้ลี บั เป็นหนงั สืออธิบายคาหรอื ความในนบิ าตชาดกและอรรถกถา
๒. เวสสันตรทีปนี แต่งโดย พระสิริมังคลาจารย์ พระภิกษุล้านนาไทย ได้แตง่

หนังสอื บาลีไว้หลายเลม่ ท่ีมชี ือ่ เสียงมากท่ีสุด คือคมั ภีร์มงั คลตั ถทีปนี และเวสสันตรทีปนี เป็น
หนังสืออธิบายคา และความในเวสสันดรชาดกซ่ึงเป็นชาดกสุดท้ายและสาคัญยิ่งสาหรับชาว
พุทธไทย ท่านได้แต่งท่ใี นเมืองเชยี งใหมเ่ มื่อปพี .ศ. ๒๐๖๐

อนึ่ง อรรถกถาชาดก ฎกี าชาดก จัดเปน็ ชาดกในนบิ าตซ่ึงหมายถงึ ชาดกท่ีปรากฏใน
ลาดบั คัมภรี ์พระพุทธศาสนา นัน่ คอื พระไตรปิฎก อรรถกถา และฎกี า

๔.๒ ชาดกนอกนบิ าตหรือพาหิรกชาดก
ชาดกนอกนิบาต เป็นชาดกที่แต่งข้ึนใหม่นอกเหนือจากนิบาตชาดกและอรรถกถา

ชาดก ไดแ้ กช่ าดกทเี่ ปน็ วรรณกรรมแบบฉบบั และท้องถิ่นพ้นื บ้านต่าง ๆ ท่มี เี นื้อหาและรูปแบบ
ลักษณะเดียวกันกับชาดก มีวิวัฒนาการไปจากอรรถกถาชาดกทั้งความซับซ้อนของโครง
เรื่องและตัวละคร กล่าวคือ ชาดกใดท่ีไม่มีในนิบาตชาดก ขุททกนิกาย แห่งพระสุตตตันตปิฎก
ถือวา่ เป็นชาดกนอกนิบาตหรือพาหริ กชาดก ชาดกนอกนิบาตทร่ี จู้ กั อย่างแพรห่ ลายคือ ปัญญาส
ชาดกและชาดกสานวนชาวบ้าน ดงั น้ี

๔.๒.๑ ปัญญาสชาดก
คาว่า ปัญญาสชาดก หมายถึง ชาดก ๕๐ เร่ืองที่พระภิกษุชาวเชียงใหมแ่ ต่งข้ึน ซึ่งถึง
ปัจจุบันก็ยังไม่ทราบนามผู้แต่ง ได้รวบรวมเรื่องราวปรัมปราที่เป็นนิทานพ้ืนเมืองในท้องถิ่นที่
แพร่หลายยุคนั้น แล้วนามารจนาเป็นชาดกข้ึนในระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๐๐-๒๒๐๐๑๔๔ โดยเขียนไว้

๑๔๔กรมศิลปากร, ปัญญาสชาดก, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์รุ่งเรอื งรตั น์, ๒๔๙๙), หน้าคา
นา.

๘๙

ดว้ ยภาษาบาลี มที งั้ คาประพันธท์ ีเ่ ป็นร้อยแกว้ และบทคาถา หรือบทรอ้ ยกรอง มีทั้งสิน้ ๕๐ ชาดก
คาถาทเี่ กยี่ วกับเรื่องของชาดกนนั้ ผู้แต่ง แต่งขึน้ เอง ส่วนคาถาทีเ่ ก่ียวกับพุทธศาสนสภุ าษิต ผ้แู ต่ง
ปัญญาสชาดก ไดน้ าเอาคาถามาจากพระไตรปิฎก เช่น

อนิจฺจา วต สงขฺ ารา อปุ ฺปาทวยธมฺมิโน
อุปปฺ ชชฺ ิตฺวา นิรชุ ฺฌนฺติ เตส วปู สโม สุโข
แปลว่า สังขารท้ังหลายไม่เท่ียงหนอ มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา ครั้น
เกิดขึ้นแล้วก็ดบั ไป การเขา้ ไปสงบระงับสังขารเหล่าน้นั เป็นความสุข๑๔๕
ปัญญาสชาดกแต่งเลียนแบบอรรถกถาชาดกเพ่ือเป็นการใช้สอนศาสนา แต่ก็ไม่ได้
รับการยกยอ่ งมากนัก เพราะถอื วา่ ผแู้ ต่งนาเอานิทานพืน้ บ้านของไทยมาแต่งเปน็ ภาษาบาลี นา
คาถามาจากพระไตรปิฎกและแตง่ คาถาขนึ้ เอง อยา่ งไรก็ตามก่อนท่ีประเทศลาว เขมร พมา่ จะ
เปลย่ี นแปลงการปกครองมาเปน็ แบบปจั จบุ ันได้แปลปัญญาสชาดกเปน็ ภาษาตน ทาให้ปญั ญาส
ชาดกมีอทิ ธิพลต่อวรรณกรรมของชาติเพ่อื นบา้ นเหลา่ น้ีด้วย
โครงสร้างของปญั ญาสชาดกมีลกั ษณะเลียนแบบนิบาตชาดก หรืออรรถกถาชาดกที่
พระสงฆ์ชาวลังกาประพันธ์ไว้ อันประกอบด้วย ปัจจุบันวัตถุ อดีตนิทาน บทคาถา ภาษิต และ
สโมธาน หรือประชมุ ชาดก แตป่ ัญญาสชาดกไมม่ ีเวยยากรณะ
เน้อื หาสาระของปัญญาสชาดกเปน็ การพรรณนาถงึ เรื่องราวเกี่ยวกับจริยวตั รของตัว
ละครเอกในเรื่อง คือ พระพุทธเจา้ เมื่อครง้ั เสวยพระชาตเิ ปน็ พระโพธสิ ตั ว์ ซ่งึ ไดม้ ีปณธิ านมุง่ มัน่
ในการบาเพ็ญบารมีในชาติต่าง ๆ อย่างม่ันคง ไม่ย่อท้อต่อความยากเข็ญและอุปสรรคนานา
ชนิด โดยปรารถนาสงู สุดเพียงได้บรรลุพระสมั มาสมั โพธญิ าณเทา่ นนั้ ซงึ่ ทา้ ยที่สุดของแตล่ ะชาติ
พระโพธิสัตวจ์ ะสามารถบรรลุถงึ สมั มาสมั โพธิญาณดว้ ยบารมที ถ่ี งึ พรอ้ มในแตล่ ะชาติ
ปัญญาสชาดก เป็นชาดกนอกนิบาต หมายถึง ชาดกท่ี ไม่ปรากฏในคัมภีร์
พระไตรปิฎก เป็นชาดกที่ภกิ ษุชาวเชยี งใหมไ่ ด้รวบรวมเร่อื งราวมาจากนทิ านพน้ื บา้ นไทยมาแต่ง
เป็นชาดกขึ้นเม่ือราวปีพ.ศ. ๒๐๐๐-๒๒๐๐ บางเรื่องได้เค้าโครงเรื่องจากอรรถกถาชาดก บาง
เรื่องเป็นนิทานพื้นบ้านซึ่งมีรูปแบบการแต่งเหมือนกับอรรถกถาชาดกทั้งองค์ประกอบในเรอ่ื ง

๑๔๕ มหาสทุ ัสสนชาดก, ข.ุ ชา.เอกก. (ไทย) ๒๗/๙๕/๓๙.

๙๐

ได้แก่ ในส่วนปรารภเรื่องหรือปัจจุบันวัตถุ อดีตวัตถุ คาถา การกลับชาติมาเกิด หรือสโมธาน
และเน้ือหาที่วา่ ดว้ ยการบาเพ็ญบารมขี องพระโพธิสัตว์

ในส่วนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างปัญญาสชาดก และอรรถกถาชาดก คือ
คาถาในปัญญาสชาดก ไม่ได้เป็นหัวใจหรือแก่นของเรื่อง ซ่ึงจะเป็นสุภาษิต และความคิดทาง
ปรัชญาเหมือนกับในอรรถกถาชาดก แต่คาถาในปัญญาสชาดกเป็นเพียงคากล่าวของตัวละคร
ซึง่ อาจเป็นบทสนทนาโตต้ อบ หรือการราพันครา่ ครวญหรอื เป็นการอธษิ ฐานท่ีผูแ้ ตง่ ผกู คาถาขึ้น
เพ่ือความไพเราะเท่าน้นั มิได้มุ่งหวังให้เป็นสุภาษิตหรือปรัชญา แม้ว่าบางคร้ังคากล่าวในคาถา
จะมีลักษณะเชิงอุปมาก็ตาม แต่ก็มิได้เป็นข้อความท่ีมีความหมายลึกซึ้งจนเข้าใจได้ยาก ใน
ปัญญาสซาดก จึงไม่มีส่วนที่อธิบายคาและข้อความท่ีเป็นคาศัพท์ยาก ซึ่งตรงกับส่วนที่เรียกวา่
“ไวยากรณ์” ของอรรถกถาชาดก

ปัญญาสชาดก จากภาษาบาลเี ปน็ ภาษาไทยแปลเสรจ็ ส้ินก่อน พ.ศ. ๒๔๖๖ ซง่ึ เป็นปี
ทห่ี อพระสมดุ สาหรบั พระนครไดร้ วบรวมตน้ ฉบับหนงั สือนี้ได้ครบบริบรู ณแ์ ละจัดพิมพ์เผยแพร่
เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้แปลนิทานต่าง ๆ ในปัญญาสชาดกเป็น
ภาษาไทยคงจะเข้าใจเจตนาของพระภิกษุผู้รจนา ซ่ึงแต่งหนังสือปญั ญาสชาดกด้วยประสงค์
จะให้หนังสือปัญญาสชาดกมีคุณค่าในการเสริมสร้างศรัทธาใน พระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับ
อรรถกถาชาดก ทั้งนี้จะเห็นได้ลักษณะการแต่ง วิธีการดาเนินเรื่องของปัญญาสชาดกเป็นไปใน
ลักษณะเดยี วกันกบั อรรถกถาชาดก ดว้ ยเหตนุ ี้ การแปลหนังสอื ปญั ญาสซาดกเปน็ ภาษาไทยนั้น
เข้าใจว่าผู้แปลน่าจะได้ยึดถือวิธีการแปลอรรถกถาชาดกเป็นภาษาไทยเป็นแบบอย่าง ด้วย
เพราะมีการแปลอรรถกถาชาดกท่ีปรากฎเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรคร้ังแรกเม่อื ปพี .ศ. ๒๔๗๗ ในรัช
สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั มาแลว้ ๑๔๖

ปัญญาสชาดก เป็นวรรณคดีท่ีมีอิทธิพลต่อวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ ของไทยอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลทางด้านเน้ือเรื่องโดยตรง เช่น สมุททโฆสชาดก รถเสนชาดก สธุ นชาดก
สุธนูชาดก สัพพสิทธิชาดก สิริวิปุลกิตติชาดก สุวัณณสังขชาดก พหลาคาวีชาดก ในวรรณกรรม

๑๔๖นิยะดา สาริกภูติ, “ปัญญาสชาดก : ประวัติและความสาคัญที่มีต่อวรรณกรรมร้อยกรอง
ของไทย”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
๒๕๒๔), หนา้ ๓๕.

๙๑

ท้องถ่ินก็มี ปาจิตตกุมารชาดก นรชีวชาดก สังขปัตตชาดก สุปินชาดก เป็นต้น และยังได้รับ

อิทธิพลทางอ้อม ได้แก่ การอ้างถึงเรื่องราวและตัวละครในปัญญาสชาดก แทรกอยู่ในวรรณคดี

เร่อื งต่าง ๆ อรรถกถาชาดกมบี ทบาทและความสาคัญตอ่ ปัญญาสชาดกมากกว่าวรรณคดีเรื่องอื่น

ๆ กล่าวคือ มีอิทธิพลในด้านที่เป็นต้นเค้าของโครงเรื่องในปัญญาสชาดกถึง ๑๐ เรื่อง

นอกจากน้ี คาถาในปัญญาสชาดกยังเลียนแบบคาถาจากอรรถกถาชาดกอกี ดว้ ย

“ปัญญาสชาดก” มีนิทาน ๕๐ เรื่อง และรวมกับเร่ืองในปัจฉิมภาคอีก ๑๑ เรื่อง

รวมเปน็ ๖๑ เร่ือง มรี ายช่ือชาดกเรอ่ื งต่าง ๆ ดงั นี้

๑. สมุททโฆสชาดก ๒. สุธนชาดก

๓. สุธนชุ าดก ๔. รตั นปโชตชาดก

๕. สริ ิวิบุลกิตติชาดก ๖. วิบลู ราชชาดก

๗. สริ จิ ุฑามณิชาดก ๘. จันทราชชาดก

๙. สภุ มิตตชาดก ๑๐. สริ ิธรชาดก

๑๑. ทลุ กบัณฑิตชาดก ๑๒. อาทติ ชาดก

๑๓. ทกุ มั มานิกชาดก ๑๔. มหาสุรเสนชาดก

๑๕. สุวรรณกมุ ารชาดก ๑๖. กนกวรรณราชชาดก

๑๗. วริ ิยบัณฑิตชาดก ๑๘. ธรรมโสภณฑกชาดก

๑๙. สทุ สั สนชาดก ๒๐. วฏั ฏังคลุ ีราชชาดก

๒๑. โบราณกบิลราชชาดก ๒๒. ธมั มกิ บัณฑิตราชชาดก

๒๓. สจุ าคทานชาดก ๒๔. ธรรมราชชาดก

๒๕. นรชีวชาดก ๒๖. สุรูปชาดก

๒๗. มหาปทมุ ชาดก ๒๘. ภัณฑารคารชาดก

๒๙. พหลาคาวีชาดก ๓๐. เสตบัณฑติ ชาดก

๓๑. ปุปผชาดก ๓๒. พาราณสรี าชชาดก

๓๓. พรหมโฆสราชชาดก ๓๔. เทวรุกขชาดก

๓๕. สลภูชาดก ๓๖. สิทธสิ ารชาดก

๓๗. นรชวี กฐนิ ชาดก ๓๘. อตเิ ทวราชชาดก

๙๒

๓๙. ปาจติ ตกมุ ารชาดก ๔๐. สรรพสทิ ฺธชิ าดก

๔๑. สงั ขปัตถชาดก ๔๒. จนั ทเสนชาดก

๔๓. สวุ รรณกัจฉปชาดก ๔๔. สโิ สรชาดก

๔๕. วรวงสชาดก ๔๖. อรนิ ทมชาดก

๔๗. รถเสธชาดก ๔๘. สุวรรณสริ สาชาดก

๔๙. วนาวนชาดก ๕๐. พากลุ ชาดก

นทิ านชาดกในปัจฉมิ ภาค (ภาคสดุ ท้าย) ๑๑ เรื่อง ดังน้ี

๑. โสนนั ทชาดก ๒. สหี นาทชาดก

๓. สุวรรณสังขชาดก ๔. สรุ พั ภชาดก

๕. สุวรรรกัจฉปชาดก ๖. เทวันธชาดก

๗. สุบนิ ชาดก ๘. สุวรรณวงศชาดก

๙. วรนชุ ชาดก ๑๐. สริ สาชาดก

๑๑. จันทคาธชาดก

๔.๒.๒ ชาดกสานวนชาวบ้าน

ได้แก่ ชาดกวรรณคดีท้องถ่ินท่ีมีการแต่งนิทาน โดยนารูปแบบของชาดก หรือ

เร่อื งราวการบาเพ็ญบารมขี องพระโพธิสตั วม์ าใชส้ ร้างเปน็ นิทานเร่อื งใหม่ โดยเรยี กนิทานกลุ่มนี้

วา่ “ชาดกพื้นบา้ น”๑๔๗

ชาดกเหล่าน้ีเกิดจากการผสมผสานนิทานชาดกเรื่องต่าง ๆ หรืออาจนาเอา

เหตุการณ์ในนิทานพื้นบ้านมาดัดแปลงสร้างสรรค์ขึ้นเป็นนิทานเร่ืองใหม่ข้ึน หรืออาจเกิดจาก

การดัดแปลงวรรณคดีไทยให้เป็นเรื่องชาดกด้วยการแต่งเติมองค์ประกอบของชาดก เช่น การ

กลับชาติมาเกิด นาสโมธานหรือบทสรุปมาไว้ในตอนจบของเร่ือง เช่น เร่ืองพญาคันคาก เป็น

นิทานท่ีผสมผสานความเชื่อเก่าแก่ของชาวอีสานเก่ียวกับพญาแถน เข้ากับเร่ืองการบาเพ็ญ

บารมีของพระโพธสิ ัตว์ นิทานพื้นบ้านบางเรอื่ งก็เรียกช่ือเป็นชาดกด้วย เช่น อุสสาบารสชาดก

พระอภัยมณีชาดก และ ณรงคจิตรชาดก เป็นต้น นิทานพ้ืนบ้านบางเร่ืองไม่เรียกช่ือชาดกแต่

๑๔๗ศิราพร ณ ถลาง, “ชาดกพื้นบ้านในการรับรู้ของชนชาติไท”, วารสารภาษาและ
วรรณคดไี ทย, ๑๖ (ธนั วาคม ๒๕๔๒): ๒๑๗-๒๒๙.

๙๓

แสดงถงึ เน้ือเร่อื งของ พระโพธสิ ัตว์ เช่น พระวรวงศ์ ธรรมปาละไมเ้ จด็ คด ท้าวก่ากาดา เปน็ ต้น
นทิ านพ้ืนบา้ นเหลา่ นี้ นอกจากจะมตี ัวละครเอกเปน็ พระโพธิสตั วเ์ สวยพระชาตมิ าเกดิ เปน็ บคุ คล
ต่าง ๆ แล้ว บางเร่ืองยังกล่าวถึงอนุภาคคล้ายกบั ท่ีปรากฏในชาดก เช่น การทาสัจจกิริยา การ
ตั้งจิตอธิษฐาน และแสดงเนื้อหาการบาเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ นอกจากนี้นิทานพื้นบ้าน
บางเรอื่ งยังมรี ปู แบบการแตง่ เร่ืองคล้ายกับอรรถกถาชาดกด้วย กล่าวคอื แต่งด้วยคาประพันธ์ที่
ยกคาถาบาลีต้ังขึ้นแล้วขยายความเป็นร้อยแกว้ เรียกว่า “ธรรมวัตร” หรือมีการแทรกคาถาบาลี
ในเร่อื งเป็นระยะ ๆ แล้วขยายความเปน็ กลอนธรรม๑๔๘

๔.๓ ชาดกมาลา
ชาดกมาลา เป็นวรรณคดีชาดกท่ีหลวงรัชฏการโกศล แปลจากฉบับภาษาอังกฤษตั้งแต่

ปีพ.ศ. ๒๔๗๘ คร้ังแรกแปล ๑๐ เรอื่ ง ในเวลาต่อมาไดแ้ ปลจนครบ ๓๔ เรือ่ ง ชาดกมาลา เป็น
วรรณคดีชาดกที่ “อารยศูรย์” แต่งขึ้น แต่ไม่ปรากฏประวัติของอารยศูรย์ ประมาณว่ามี
อายุอยู่ในราวก่อนพ.ศ. ๙๗๗ เป็นนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาและมีช่ือเสียงไปไกลถงึ
ทิเบต ชาดกมาลาทอ่ี ารยศูรยแ์ ตง่ เป็นภาษาสนั สกฤต มีผแู้ ปลเปน็ ภาษาจนี ระหวา่ ง พ.ศ. ๑๕๐๓-
๑๖๗๐

ช า ด ก ม า ล า (Garland of Birth-Stories) แ ป ล ว่า ด อ ก ไ ม้แ ห่ง ช า ด ก มี
ความหมาย ๒ ประการ คอื

๑. หมายถึง ผู้แต่งว่าแต่งเรื่องชาดกน้ีเพื่อเป็นเสมือนดอกไม้ใช้เป็นเคร่ืองบูชา
พระพทุ ธเจ้าและพระโพธสิ ตั ว์

๒. หมายถึง วิธีการ และลีลาการประพันธ์ชาดก ว่าในทางภาษามีระเบียบงดงาม
ประณีตประหนง่ึ พวงดอกไม้ทเ่ี ขารอ้ ยไว้ดีแลว้ ฉะน้นั

ชาดกมาลา เป็นวรรณคดีพระพุทธศาสนามหายาน หรือฝ่ายอุตตรนิกาย โดยแต่ง
เป็นภาษาสันสกฤตประเภทร้อยกรอง (กาพย์) เป็นคัมภีร์พระพุทธศาสนานิกายมหายานท่ีมี

๑๔๘สายวรุณ น้อยนิมิตร, “อรรถกถาชาดก : การศึกษาในฐานะวรรณคดีคาสอนของไทยและ
ความสัมพันธ์กับวรรรคดีคาสอนเรื่องอื่น”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิต
วทิ ยาลัย จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๒), หนา้ ๔๖-๔๗.

๙๔

ต้นฉบับเป็นภาษาสันสกฤตทั้งหมด แต่งขึ้นเม่ือใด ที่ไหนยังไม่ปรากฏ ทราบเพียงนาม
ผู้ประพันธ์ คือ อารยศูรย์

ศาสตราจารย์ เจ. เอส. สเปเยอร์ (J. S. Speyer) ผู้แปลชาดกมาลามาจากต้นฉบับ
ภาษาสนั สกฤต เป็นภาษาองั กฤษ ไดก้ ล่าวไวใ้ นคานาในหนงั สือของเขาวา่

อารยศูรย์ มีช่ืออีกหลายช่ือ เช่น อัศวโฆษ มาตริเกตะ ปิริเกตะ ทุรฺทรุศะ ธรมฺ กิ สุ
ภูติ มิติกิตฺระ อารศูร ซึ่งอาจจะมีชีวิตอยู่ในสมัยพระเจ้ากนิษกะ เมื่อเขาแต่งชาดกมาลาไดค้ รบ
๓๔ เรือ่ งก็สนิ้ ชีวิต อารยศูรยอ์ าจเปน็ คนเดยี วกับอัศวโฆษ ผูแ้ ตง่ พทุ ธจริต ซง่ึ มชี วี ติ ในราวคริสต
ศตวรรษที่ ๑ (ราวพ.ศ. ๕๔๓-๖๔๓)๑๔๙

ชาดกมาลา ฉบับพิมพ์คร้ังแรกในประเทศไทยพบว่า พิมพ์ในงานศพมารดาของ
หลวงรัชฏการโกศล เมื่อวันท่ี ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ โดยแปลจากหนังสือของศาสตราจารย์
เจ. เอส. สเปเยอร์ (J. S. Speyer) ปราชญ์ทางตะวนั ตก หลวงรัชฏการโกศลแปลและเรียบเรียง
แปลเป็นภาษาไทยใช้ช่ือหนังสือว่า “ชาดกมาลา” ได้ยกย่องท่าน “อารยศูรย์” ผู้แต่ง ในคานา
ของชาดกมาลาฉบบั หลวงรัชฏการโกศล กลา่ ววา่

“ชาดกมาลา” น้ี เป็นหนังสือชาดกฝ่ายมหายาน แต่งเป็นกวีพากย์สันสกฤตอย่าง
ไพเราะย่ิงนัก อารยศูรย์ เป็นผู้ประพันธ์เมื่อประมาณก่อนปี พ.ศ. ๑๕๐๓ เพราะปรากฏว่า
หนงั สือชาดกน้ี ได้มผี ู้แปลเปน็ ภาษาจนี แลว้ ในระหว่างปี พ.ศ. ๑๕๐๓-๑๖๗๑

ท่านอารยศูรย์ ผู้น้ี กล่าวว่ามีนามเรียกหลายชื่อว่า เป็นคน ๆ เดียวกับอัศวโฆษ ผู้
รจนาหนงั สอื “พุทธจรติ ” เป็นคณาจารย์ผมู้ ีช่อื เสียงในการประพันธ์ฝ่ายมหายาน และวา่ ทา่ น
จนิ ตกวีผ้นู ท้ี รงคณุ ธรรมเชยี่ วชาญแตกฉานในพระธรรมยง่ิ นกั ท่านไดร้ จนาหนังสือต่าง ๆ หลาย
เร่ือง แต่แต่งชาดกมาลาได้ ๓๔ เร่ืองก็มรณภาพ ความพิสดารปรากฏในต้นฉบับภาษาอังกฤษ
น้นั แล้ว ท่านผู้สนใจจะขอดูได้ท่ีหอสมดุ แหง่ ชาติ๑๕๐

๑๔๙J. S. Speyer, The Jàtakamàlà, (New Delhi : Motilal Banarsidass, 1971), See
Editor”. p. 16-17.

๑๕๐อาร ยศูร , ช า ด ก มา ล า ฉ บับ แ ป ล เป็นภ า ษา ไท ย ขอ งห ล วง รัชฏ กา ร โกศล ,
(กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลยั , ๒๕๐๐), หน้า ง.

๙๕

โครงสรา้ งของชาดกมาลา มลี ักษณะดงั นี้
๑. ไม่มเี รื่องราวในปัจจุบนั (ปัจจบุ ันวัตถ)ุ และไม่ไดย้ กคาถาขน้ึ มากลา่ วเป็นประโยค
แรก (อารมั ภบท) เหมอื นกับอรรถกถาชาดก มีเพียงแต่กลา่ วถงึ หัวขอ้ ธรรมะในเรื่องใดเร่อื งหน่ึง
เท่านั้น
๒. ตัวละครในเร่ืองมีไม่มากนักและไม่พิสดารมีบางเร่ืองไม่ได้กล่าวถึงชื่อตัวละคร
ดว้ ย
๓. ภาษาที่ใช้ประพันธ์เป็นภาษาสันสกฤต แต่งร้อยแก้วประเภทกาพย์ สานวน
โวหารแตง่ ไดไ้ มค่ อ่ ยดีเท่าทคี่ วร
๔. ชาดกมาลามีเร่ืองท้ังหมด ๓๔ เร่ือง เม่ือนามาเปรียบเทียบกับนิบาตชาดก ซ่ึง
เปน็ ชาดกบาลีปรากฏวา่ ตรงกบั นิบาตชาดก ๒๗ เร่อื ง ส่วนอกี ๗ เรอื่ งไมม่ ีในชาดกบาลี
๕. ในตอนจบของเรื่องกล่าวสรุปข้อธรรม แต่ไม่มีการกล่าวถึงการกลับชาติมาเกิด
และการบรรลมุ รรคผลของพระโพธสิ ตั ว์
หลวงรัชฏการโกศลกล่าวถึงภาพสะท้อนทางสังคม วัฒนธรรม และอายุของชาดก
มาลาว่า
อนึง่ ในชาดกมาลานีก้ ็ยงั มีเรื่องท่กี ลา่ วถึงการสงั คมของคนชน้ั สงู กลาง และตา่ การ
ทามาหากนิ การแต่งกาย ความเชอ่ื และขนบธรรมเนียมประเพณี ซงึ่ มอี ยใู่ นหนังสือท่ีแต่งสมัย
น้ัน นับอยา่ งคร่าว ๆ ถึงเวลานกี้ ็กว่า ๙๐๐ ปี นับได้วา่ เป็นโบราณคดไี ดส้ ่วนหน่งึ ๑๕๑
หลวงรัชฏการโกศลกล่าวถึง ชาดกมาลาในด้านประวัติว่า ชาดกมาลาเป็นหนังสือ
วรรรคดีฝ่ายอุตตรนิกายหรือมหายาน มีการเผยแพร่ในปีพ.ศ. ๒๓๗๑ โดยนายเบรียน. เอช.
ฮอดซ์สัน แห่งมหาวิยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้รับทราบจากชาวเนปาลว่ามีหนังสือน้ีในเนปาล จึงได้
ถ่ายสาเนาไว้ท่ีห้องสมุดมหาวิทยาลัยแห่งฟอร์ดวิลเลียม ต่อมาเป็นสมาคมเอเชียแห่งเบงกอล
(The Bengal Asiatic Soiety) และอกี ฉบบั หนงึ่ สง่ ไปเก็บไวท้ ห่ี ้องสมุดกรุงปารีส ฝร่ังเศส ในพ.ศ.
๒๔๑๘ มีผู้เขียนบทความเก่ียวกับชาดกมาลาลงพิมพ์ในวารสาร Journal Asiatique ต่อมา
ศาสตราจารย์เกอร์น ได้แก้ไขส่ิงท่ีบกพร่องในฉบับถ่ายสาเนาและจัดพิมพ์ใหม่เป็นภาษา

๑๕๑หลวงรัชฏการโกศล, ชาดกมาลา, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพอ์ ักษรบริการ, ๒๕๐๔), หนา้
คานา.

๙๖

สันสกฤต เม่ือปีพ.ศ. ๒๔๓๔ ครั้นถึงพ.ศ. ๒๔๓๘ ศาสตราจารย์ เจ. เอส. สเปเยอร์ (J. S.
Speyer) ปราชญ์ทางตะวันตกได้แปลเป็นภาษาอังกฤษ จัดพิมพ์ในหนังสือชุด The Sacred
Books of the Buddhists มีศาสตราจารย์รีส เดวิด เป็นหัวหน้ารวบรวมจัดทา ในการน้ี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงพระราชทานเงินเพอ่ื การจัดพิมพ์ ๕,๐๐๐ ปอนด์
ด้วยมีพระราชประสงค์จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาและด้านการศึกษาพระพุทธศาสนาของ
ชาวตะวันตก ในบรรดาพระมหากษัตริย์ในโลกนับได้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกท่ีทรงศรัทธาจัดพิมพ์คัมภีร์พระพุทธศาสนาออก
เผยแพร่แก่ชาวตะวันตก ก่อนจะแปลเป็นภาษาอังกฤษมีการแปลเป็นภาษาจีนมาก่อน
ระหวา่ งพ.ศ. ๑๕๐๓-๑๖๗๐

ชาดกมาลาเป็นวรรณคดีชาดกท่ีเกิดข้ึนมีมานานแล้ว มีการถ่ายทอดเป็นภาษาอื่น
ๆ หลายภาษา เช่น จีน อังกฤษ และไทย เป็นต้น ต้นฉบับชาดกมาลาท่ีอารยศูรย์แต่งเป็นภาษา
สนั สกฤต ต้องมตี น้ กาเนดิ ท่อี ินเดียหรือเนปาลนัน่ เอง ชาดกมาลา ๗ เร่ืองทไี่ ม่มีในชาดกบาลี คอื
เสือแม่ลูกอ่อน พระเจ้าไมตรีพล การบูชายัญ พราหมณ์ ผู้ไร้บุตร ชาวพรหมโลก เรื่องช้าง
นอกนน้ั ตรงกบั เรอ่ื งในนทิ านชาดก

สว่ นชาดกมาลาที่เหลอื ๒๗ เรือ่ งตรงกับเรื่องในนิบาตชาดก พระสุตตันตปฎิ ก ชาดก
มาลาทั้ง ๒๗ เร่อื งทม่ี เี นอื้ หาตรงกบั นทิ านชาดกนน้ั ผู้แต่งได้ดดั แปลงให้ต่างออกไปจากเดิมบ้าง
เช่น ชื่อเรื่องและรายละเอียดของเรื่อง เป็นต้น อน่ึง ชาดกมาลาเป็นช่ือท่ีมีความหมายถึง
เรอ่ื งราวผู้เกดิ ท่ีงดงามคอื พระพุทะเจ้าน่นั เอง แมว้ า่ ชาดกมาลาจะได้มีการพมิ พ์เผยแพร่มานาน
ตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๗๘ แต่มีพุทธศาสนิกขนน้อยคนนักที่รู้จัก เพราะมีการนาออกไปเผยแพร่น้อย
และจากัดวง รู้กันเฉพาะผู้รู้ทางพระพุทธศาสนาและผู้ศึกษาเล่าเรียนวรรณคดีชาดก
ระดบั อดุ มศึกษาบางแห่งเทา่ นนั้ ๑๕๒

เมื่อเปรียบเทียบระหวา่ งชาดกมาลา ๓๔ เรอื่ งและนบิ าตชาด (ชาดกบาล)ี ได้ดังน้ี
ชาดกมาลา นิบาตชาดก
เรือ่ งที่ ๑. เสือแม่ลูกออ่ น ไม่มีในนิบาตชาดก

๑๕๒รองศาสตราจารย์ ดร. สืบพงศ์ ธรรมชาติ, วรรณคดีชาดก, (กรุงเทพมหานคร : โอ.เอส.
พรน้ิ ติ้ง เฮาส์, ๒๕๔๒), หน้า ๑๖๑-๑๖๒.

๙๗

เรื่องท่ี ๒. พระราชาแหง่ สพี ี ตรงกบั สวี ริ าชจริยา ในอกติ ติวรรค
เรื่องที่ ๓. ยาคูนอ้ ยหน่ึง ตรงกบั กมุ มาสปณิ ฑชิ าดก ในสัตตกนบิ าต
เรื่องที่ ๔. เศรษฐใี จบญุ ตรงกับขทริ งั คาร ในเอกนบิ าต
เรอื่ งที่ ๕. เศรษฐอี วศิ กยะ ตรงกบั วิสัยหะ ในจตกุ กนบิ าต
เรื่องที่ ๖. กระตา่ ย ตรงกับสีวริ าช ในวีสตินบิ าต
เรอ่ื งท่ี ๗. อกศั ตยฤษี ตรงกับสวี ิราช ในวสี ตนิ ิบาต
เรอ่ื งที่ ๘. พระเจา้ ไมตรพี ล ไมม่ ใี นนบิ าตชาดก
เรือ่ งที่ ๙. พระเวสสันดร ตรงกับสีวริ าช ในวสี ตนิ ิบาต
เรื่องที่ ๑๐. การบชู ายัญ ไม่มใี นนิบาตชาดก
เรอ่ื งท่ี ๑๑. พระอนิ ทร์ ตรงกับสีวิราช ในวสี ตินิบาต
เรอ่ื งท่ี ๑๒. พราหมณ์ ไม่มใี นนิบาตชาดก
เรื่องที่ ๑๓. อนมาทยันตี ตรงกับอมุ มาทันตีชาดก ในปญั ญาสนิบาต
เรอ่ื งท่ี ๑๔. สุปารค ตรงกับสปุ ปารกชาดก ในเอกาทสกนิบาต
เรอ่ื งท่ี ๑๕. ปลา ตรงกับมจั ฉชาดก ในเอกกนิบาต
เรอ่ื งที่ ๑๖. ลูกนกค่มุ ตรงกับวัฏฏกชาดก ในเอกกนบิ าต
เรื่องท่ี ๑๗. ไห ตรงกบั กมุ ภชาดก ในติงสตนิ บิ าต๑๕๓
เรอ่ื งท่ี ๑๘. ผ้ไู รบ้ ตุ ร ไมม่ ใี นนบิ าตชาดก
เร่ืองท่ี ๑๙. สายบวั ตรงกับภสิ ชาดก ในปกณิ ณกนิบาต๑๕๔
เรอ่ื งท่ี ๒๐. ขุนคลงั ตรงกบั กัลยาณธมั มชาดก ในทุกนบิ าต
เรื่องท่ี ๒๑. จฑุ ฑโพธิ ตรงกับจูฬโพธชิ าดก ในทสกนิบาต
เรื่องท่ี ๒๒. หงษ์ทรงธรรม ตรงกบั จฬู หงั สชาดก ในวสี ตินิบาต
เรอื่ งท่ี ๒๓. มหาโพธิ ตรงกบั มหาโพธิชาดก ในปญั ญาสนิบาต๑๕๕
เรื่องท่ี ๒๔. มหากปิ ตรงกบั มหากปชิ าดก ในตงิ สตินิบาต

๑๕๓ข.ุ ชา.ติงสติ. (ไทย) ๒๗/๓๓-๖๓/๕๔๓-๕๔๗.
๑๕๔ขุ. ชา.ปกิณฺณก. (ไทย) ๒๗/๗๘-๑๐๑/๔๓๕-๔๓๙.
๑๕๕ข.ุ ชา.ปญญฺ าส. (ไทย) ๒๘/๑๒๔-๑๘๒/๒๔-๓๔.

๙๘

เรื่องที่ ๒๕. ละมงั่ ตรงกบั สรภังคชาดก ในจตั ตาลสี นบิ าต
เรอ่ื งท่ี ๒๖. รรุ มุ ฤค ตรงกบั รุรุมคิ ราชชาดก ในเตรสกนิบาต
เรอ่ื งท่ี ๒๗. พระยาวานร ตรงกบั มหากปชิ าดก ในสตั ตกนิบาต
เรื่องที่ ๒๘. กศานตวิ าทิน ตรงกบั ขนั ตวิ าทชิ าดก ในจตกุ กนิบาต
เรอ่ื งท่ี ๒๙. ชาวพรหมโลก ไมม่ ใี นนบิ าตชาดก
เรือ่ งท่ี ๓๐. เรอื่ งชา้ ง ไม่มใี นนบิ าตชาดก
เรอ่ื งท่ี ๓๑. สุตโสม ตรงกับมหาสตุ โสมชาดก ในอสตี ินิบาต
เรอ่ื งท่ี ๓๒. อโยคฤห์ ตรงกบั อโยฆรชาดก ในวีสตินิบาต
เรื่องท่ี ๓๓. กระบอื ตรงกับมหิสชาดก ในติกนบิ าต
เรื่องท่ี ๓๔. นกหัวขวาน ตรงกับชวสกุณชาดก ในจตุกกนิบาต

๔.๔ สรุป
๔.๔.๑ ประเภทของชาดก ในพระพุทธศาสนามีชาดก ๓ ประเภท คือ นิบาตชาดก

ชาดกนอกนิบาตหรือพาหิรกชาดก และชาดกมาลา
นิบาตชาดก
๑. นิบาตชาดก หมายถึง ชาดกท้ัง ๕๔๗ เรื่องที่มีอยูใ่ นคัมภีร์ขุททกนิกาย ของพระ

สุตตันตปิฎก นิบาตชาดก แต่งเป็นคาถา คือ คาฉันท์ล้วน ๆ โดยจะมีการแต่งขยายความเป็น
ร้อยแก้วเป็นอรรถกถาชาดก เหตุท่ีเรียกว่า นิบาตชาดก เพราะชาดกในพระไตรปิฎก จะถูกจัด
หมวดหมตู่ ามจานวนคาถามที ้งั หมด ๒๒ หมวด หรือ ๒๒ นบิ าต นิบาตสดุ ท้าย คือ นบิ าตที่ ๒๒
(มหานิบาตชาดก) ประกอบดว้ ยชาดก ๑๐ เร่ือง หรอื ท่เี รียกว่า “ทศชาตชิ าดก”

๒. อรรถกถาชาดก คือ คัมภีร์ที่แก้เน้ือความบาลี เป็นคัมภีร์ท่ีไขความพระไตรปฎิ ก
เขยี นเป็นสนั สกฤตว่า อรถฺ กถา เขียนเปน็ บาลวี ่า อตฺถกถา หรอื อฏฐฺ กถา

อรรถกถาชาดก หมายถึง คัมภีร์ท่ีพระอรรถกถาจารย์แต่งอธบิ ายขยายความนิบาต
ชาดกให้เช้าใจง่ายและพิสดารข้ึน โดยนาเอานิทานพื้นบ้านเก่าแก่มาแต่งเป็นร้อยแก้วผสมกับ
คาถา (รอ้ ยกรอง) ในนิบาตชาดก เกิดข้นึ มาจากภายหลังการสังคายนาครั้งท่ี ๓ พระมหนิ ทเถระ

๙๙

ได้นาเอาพระไตรปิฎกและอรรถกถาไปประเทศลังกาเพ่ือเผยแผ่พระพุทธศาสนา ชาวลังกา
เลอื่ มใสได้พากันออกบวชและท่านไดแ้ ปลพระไตรปิฎกและอรรถกถาเป็นภาษาสิงหลของลงั

๓. ฎีกาชาดก หมายถึง หนังสือที่พระฎีกาจารย์ อาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์ฎีกา แต่ง
อธิบายความหรือเร่ืองราวในอรรถกถาชาดกให้เข้าใจง่ายข้ึน โดยอธิบายความในอรรถกถา
ชาดกและอธิบายความในนิบาตชาดกด้วยในกรณีที่คาหรือข้อความจากชาดกในพระไตรปิฎก
และอรรถกถาชาดกขัดแย้งกัน ในคัมภีร์ฎีกาชาดกไม่มีเน้ือเรอื่ ง เพราะมีจุดมุ่งหมายอธิบายคา
หรือขอ้ ความเปน็ สาคญั

ชาดกนอกนบิ าตหรอื พาหริ กชาดก
ชาดกนอกนิบาต เป็นชาดกที่แต่งขึ้นใหม่นอกเหนือจากนิบาตชาดกและอรรถกถา
ชาดก ไดแ้ กช่ าดกทีเ่ ปน็ วรรณกรรมแบบฉบับและท้องถ่ินพ้ืนบ้านตา่ ง ๆ ทมี่ ีเน้ือหาและรูปแบบ
ลักษณะเดียวกันกับชาดก มีวิวัฒนาการไปจากอรรถกถาชาดกท้ังความซับซ้อนของโครงเรื่อง
และตวั ละคร กลา่ วคอื ชาดกใดที่ไม่มีในนบิ าตชาดก ขุททกนิกาย แหง่ พระสุตตตนั ตปฎิ ก ถอื ว่า
เป็นชาดกนอกนิบาตหรือพาหิรกชาดก ชาดกนอกนิบาตที่รู้จักอย่างแพร่หลายคือ ปัญญาส
ชาดกและชาดกสานวนชาวบ้าน ดังน้ี
๑. ปัญญาสชาดก หมายถึง ชาดก ๕๐ เรื่องท่ีพระภิกษุชาวเชียงใหม่แต่งขึ้น ซึ่งถึง
ปัจจุบันก็ยังไม่ทราบนามผู้แต่ง ได้รวบรวมเร่ืองราวปรัมปราที่เป็นนิทานพื้นเมืองในท้องถ่ินท่ี
แพร่หลายยุคน้ัน แล้วนามารจนาเป็นชาดกขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๐๐-๒๒๐๐ โดยเขียนไว้
ด้วยภาษาบาลี มีทั้งคาประพันธ์ที่เป็นร้อยแก้ว และบทคาถา หรือบทร้อยกรอง “ปัญญาส
ชาดก” มีนิทาน ๕๐ เรอ่ื ง และรวมกบั เรื่องในปัจฉมิ ภาคอีก ๑๑ เร่อื ง รวมเปน็ ๖๑ เร่ือง
๒. ชาดกสานวนชาวบ้าน หมายถึง ชาดกวรรณคดที อ้ งถนิ่ ท่ีมกี ารแตง่ นิทาน โดยนา
รูปแบบของชาดก หรือเรื่องราวการบาเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์มาใช้สร้างเป็นนิทานเร่ือง
ใหม่ โดยเรียกนิทานกลุ่มนี้ว่า “ชาดกพ้ืนบ้าน” เกิดจากการผสมผสานนิทานชาดกเรื่องต่าง ๆ
หรืออาจนาเอาเหตกุ ารณ์ในนทิ านพ้นื บา้ นมาดัดแปลงสร้างสรรค์ขน้ึ เป็นนทิ านเรอ่ื งใหม่ขน้ึ
ชาดกมาลา
เป็นวรรณคดีชาดกที่หลวงรัชฏการโกศล แปลจากฉบับภาษาอังกฤษตั้งแต่ปีพ.ศ.
๒๔๗๘ ครั้งแรกแปล ๑๐ เร่ือง ในเวลาต่อมาได้แปลจนครบ ๓๔ เรือ่ ง ชาดกมาลา เปน็ วรรณคดี


Click to View FlipBook Version