๑๕๐
ไม่ได้ท้ังท่ีปากยังคาบไม้ให้หงส์สองตัวพาบินไป พระราชาทรงสดับแล้วทรงสารวมในวาจา
อามาตย์ทูลว่า
นรชนผเู้ ป็นบณั ฑิตเห็นเหตนุ ้แี ล้ว
ควรพูดให้ดี ไม่ควรพูดใหเ้ กนิ เวลา
ทรงทอดพระเนตรเถดิ พระเจ้าข้า
เตา่ ถึงความพนิ าศเพราะการพดู มาก๒๘๕
๕) สุราเมรยมัชชปมาทฏั ฐานาเวรมณี คือเว้นจากการดื่มนา้ เมา คือสุราและเมรยั
อนั เปน็ ที่ตั้งแหง่ ความประมาท มีในวาโลทกชาดก และสรุ าปานชาดก ดังนี้
(๑) วาโลทกชาดก ว่าด้วยลากินน้าหาง มีเร่ืองโดยย่อว่า พระโพธิสัตว์
เสวยพระชาติเป็นอามาตย์ พระราชาทรงยกทัพไปรบมีชยั ชนะให้ม้าสินธพด่ืมน้าผลจันทรท์ ี่คัน้
แลว้ ส่วนกากทีเ่ หลือให้ลากินแล้วมนึ เมาเท่ียวร้องเดนิ เพ่นพา่ น พระราชาทรงสงสัยว่าทาไมม้า
สินธพดื่มแลว้ มีอาการสงบ แต่ลากนิ แลว้ มึนเมา พระโพธิสตั วท์ ลู ว่า
เพราะลาน้นั มชี าตเิ ลวทราม ด่มื นา้ มีรสนอ้ ย
อนั รสนั้นถูกตอ้ งแลว้ ยอ่ มเมา สว่ นมา้ สนิ ธพเกิดในตระกูล
มีปกตนิ าพาธุระ ดืม่ น้ามีรสอนั เลศิ แล้ว กไ็ ม่เมา๒๘๖
(๒) สุราปานชาดก ว่าด้วยโทษของการด่ืมสุรา มีเร่ืองโดยย่อวา่ พระโพธิสัตว์
เสวยพระชาติเป็นพราหมณ์ออกบวชเป็นฤาษี ติเตียนศิษย์ที่พากันไปเมาสุราในเมืองพาราณสี
แลว้ พากันฟ้อนราขับร้อง เมื่อดาบสถกู พระโพธสิ ัตวซ์ ึ่งเป็นอาจารย์ถามจึงตอบว่า
พวกกระผมไดพ้ ากนั ดืม่ พากนั ฟ้อนรา พากันขับรอ้ งแล้ว
กพ็ ากันรอ้ งไห้ เพราะดืม่ สรุ าทท่ี าให้สญั ญาวปิ รติ
แต่ยังดีท่ีไม่ได้กลายเปน็ ลงิ ให้เห็น๒๘๗
๒๘๕ข.ุ ชา.ทุก. (ไทย) ๒๗/๑๓๐/๑๙๙.
๒๘๖ขุ.ชา.ทุก. (ไทย) ๒๗/๖๕-๖๖/๘๑.
๒๘๗สญั ญาวิปริตคือความจาแปรปรวนจนลืมนึกถึงกิริยาอาการของตน, (ขุ.ชา.เอกก. (ไทย) ๒๗/
๘๑/๓๔).
๑๕๑
๖.๕ สรปุ
คติธรรมในนิทานชาดก
เป็นคติธรรมท่ีพระพุทธเจ้าทรงยกข้ึนแสดงเป็นข้อเปรียบเทียบเรื่องปัจจุบัน ซึ่ง
เกิดขึ้นในขณะนั้น โดยยกเรื่องราวชาดกในอดีตมา ประกอบคาสอน โดยจะนามาเล่า
เหตุการณ์ของชาดกนน้ั ๆ เช่น
เร่ืองพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ฝ่ายเถรวาท คือ บุคคลท่ีปรารถนาเพื่อจะเป็น
พระพุทธเจ้าในอนาคต พระโพธิสัตว์ที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนารุ่นแรกในประวัติของ
พระโคดมพทุ ธเจา้ (พระสิทธัตถะ) ตั้งแต่ครง้ั ยังไม่ไดต้ รัสรู้
พระโพธสิ ตั วข์ องฝ่ายมหายาน หมายถึง ผูท้ ่ีขอ้ งอยู่ในความรู้ หรอื โพธญิ าณหรอื ผ้มู ุ่ง
บรรลพุ ทุ ธภูมิไปส่คู วามเปน็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าในอนาคต ตง้ั ปณิธานว่าจะช่วยสรรพสัตว์ให้
ข้ามพ้นจากโอฆสงสารก่อนแล้ว ตนเองจึงจะบรรลุธรรมเป็นคนสุดท้าย ทุกคนสามารถจะ
เป็นพระโพธิสัตว์ได้และพระโพธิสัตวม์ หายานนัน้ มจี านวนมากมาย
เรื่องบารมี บารมี ในหลักธรรมแหง่ พุทธศาสนา ผจู้ ะเป็นพระพทุ ธเจ้าจะต้องบาเพ็ญ
บารมี ๓๐ ประการให้ครบบริบูรณ์คือบารมี ๑๐ประการได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา
วิรยิ ะ ขันติ สจั จะ อธิษฐาน เมตตาและ อเุ บกขา แตล่ ะประการต้องบาเพ็ญบารมี ๓ ขน้ั คอื ๑)
ขน้ั บารมี ๒) ขนั้ อปุ บารมี ๓) ขัน้ ปรมตั ถบารมี
บารมี ในหลักธรรมแห่งพุทธศาสนามหายานคือ ทานบารมี ศีลบารมี ขันติบารมี วิ
ริยบารมี ฌานบารมี ปัญญาบารมี อุปายบารมี ปณิธานบารมี พลบารมี และ ชญาณบารมี
เร่ืองจรยิ ธรรม แปลวา่ ธรรมอนั ควรนาไปประพฤติปฏิบัติ เปน็ จุดมุ่งหมายของการ
ส่ังสอนด้วยนิทานชาดก คือต้องการให้ผู้ฟังสามารถนาเอาหลักธรรมะที่มีอยู่ในชาดกไป
ประพฤติปฏิบัติ จริยธรรมในพระพุทธศาสนา คือ เรื่องหลักธรรมท่ีเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา
เรอื่ งกรรม เร่ืองอริยสัจ ๔ และ เรอ่ื งการรกั ษาศีล
เรอื่ งการรกั ษาศีล
๑) ปาณาติปาตาเวรมณี คือเว้นจากการฆ่า เบียดเบียนสัตว์ มีปรากฎใน
ตโยธัมมชาดก อายาจติ ภัตตชาดก
๑๕๒
๒) อทินนาทานาเวรมณี คือ การเว้นจากลักทรัพย์ มีปรากฎในโลลชาดก
รุจริ ชาดก และกโปตกชาดก
๓) กาเมสมุ ิจฉาจาราเวรมณี คอื การเว้นจากการประพฤติผิดในกาม มปี รากฏ
ในจูฬธนคุ คหชาดก อุมมาทันตีชาดก
๔) มุสาวาทาเวรมณี คือ เว้นจากการพดู เท็จ เป็นวจีกรรม (การทาทางวาจา)
มีในสนั ธเิ ภทชาดก นนั ทิวสิ าลชาดก กจั ฉปชาดก
๕) สุราเมรยมชั ชปมาทัฏฐานาเวรมณี คอื เว้นจากการดืม่ น้าเมา สุราและเมรัย
อนั เป็นที่ต้ังแหง่ ความประมาท มีในวาโลทกชาดก และสรุ าปานชาดก
๑๕๓
บทที่ ๗
ชาดกกบั วรรณคดีไทย
วัตถุประสงคก์ ารเรียนประจาบท
เมอื่ ได้ศกึ ษาเนื้อหาในบทน้ีแล้ว ผ้ศู กึ ษาสามารถ
๑. อธิบายอทิ ธิพลของชาดกทีม่ ีตอ่ วรรณคดีไทยได้
๒. อธิบายอทิ ธิพลของชาดกที่มีตอ่ วรรณคดเี รอื่ งมหาชาตคิ าหลวงได้
๓. อธิบายอิทธพิ ลของชาดกท่ีมตี อ่ วรรณคดสี มทุ รโฆษคาฉันทไ์ ด้
๔. อธิบายอิทธิพลของชาดกทม่ี ีต่อวรรณคดีเร่อื งกาพย์มหาชาตไิ ด้
๕. อธิบายอิทธิพลของชาดกทม่ี ีต่อวรรณคดีเรอ่ื งเวสสนั ดรชาดกได้
ขอบขา่ ยเนือ้ หา
ความนา
มหาชาติคาหลวง
สมุทรโฆษคาฉันท์
กาพย์มหาชาติ
เวสสันดรชาดก
๑๕๔
บทที่ ๗
ชาดกกบั วรรณคดีไทย
ชาดกเป็นวรรณคดีที่พระอรรถกถาจารย์แต่งรายละเอียด ขยายความจาก
พระไตรปิฎกเป็นอรรถกถา เพ่ือให้เรื่องราวการเสวยพระชาติในอดีตของพระโพธิสัตว์มีความ
สมบูรณย์ ง่ิ ขึ้น
วรรณคดีชาดกแบบฉบับ หรือ วรรณคดีชาดกราชสานัก หมายถึง วรรณคดีชาดกที่
พระมหากษัตรยิ ์ทรงพระราชนิพนธ์ หรือรับส่ังประชุมกวีเพ่ือแตง่ ข้ึน หรือกวีราชสานักแต่งขน้ึ
เพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย โดยมุ่งประโยชน์ท่ีจะเกิดข้ึนแก่สังคม วรรณคดีชาดกกลุ่มนี้จะมีความ
พิถีพิถันในการแต่งท้ังในด้านการใช้ภาษาและรูปแบบฉันทลักษณ์ ท่ีสาคัญคือผู้แต่งเป็นผู้ทรง
คุณความรู้อย่างยิ่ง ดังน้ัน ผลงานที่ออกมาจึงเป็นแบบอย่างในการแต่งวรรณคดีของชนรุ่นหลงั
วรรณคดีชาดกกลุ่มนี้มีมาในสมัยโบราณ ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกสมัยกรุงสุโขทัยตาม
ข้อความท่ีปรากฏในหลักศิลาจารึกไม่พบว่ามีวรรณคดีชาดกที่เป็นลายลักษณ์มีข้อความขนาด
ยาวหลงเหลืออยู่เลย วรรณคดีชาดกที่เปน็ ลายลักษณม์ ีหลกั ฐานเก่าท่ีสุดคอื วรรณคดีชาดกสมัย
อยุธยา เร่ือง "มหาชาติคาหลวง" และหลังจากนั้นก็มีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนากันหลายครั้ง
หลายคราวทั้งสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ จึงทาให้เกิดวรรณคดีชาดกหลายเรื่อง
วรรณคดีชาดกแบบฉบับไทยมี มหาชาติคาหลวง สมุทรโฆษคาฉันท์ กาพย์มหาชาติ มหา
เวสสันดรชาดก ดังนี้
๗.๑ มหาชาติคาหลวง
มหาชาติคาหลวง เป็นวรรณคดีชาดกที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงรับส่ังให้
ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งขึ้น เม่ือ พ.ศ. ๒๐๒๕ (จ.ศ. ๘๔๔) แต่งโดยแปลจากฉบับ
ภาษามคธ เอาภาษามคธตั้งแล้วตามด้วยภาษาไทยสลับกันไป คาประพันธ์ท่ีใช้มีท้ังร่าย กาพย์
๑๕๕
โคลง และฉันท์ เนื้อเร่ืองมี ๑๓ กัณฑ์ เรื่องมหาชาติที่เป็นภาษาไทยคงจะมีมาก่อนแล้ว แต่ไม่
พบหลักฐานต้นฉบับ จึงถือว่ามหาชาติคาหลวงฉบับนี้เป็นชาดกฉบับภาษาไทยที่เก่าท่ีสุดท่ีมี
อยู่ มหาชาติคาหลวง มีการแต่งซ่อมเรื่อยมา เพราะบางกัณฑ์สูญหายไป เนื่องจากเกิดสงคราม
ในสมัยอยุธยาต้นฉบับมหาชาติคาหลวงท่ีสูญหายไป ๖ กัณฑ์ คือ หิมพานต์ ทานกัณฑ์ จุลพน
มัทรี สักกบรรพ และฉกษัตริย์ สมัยกรุงรัตนโกสินทรต์ อนต้น พ.ศ. ๒๓๕๘ รัชกาลที่ ๒ โปรดฯ
ให้แต่งซ่อมจึงมี มหาชาติคาหลวงฉบับสมบูรณ์ ๑๓ กัณฑ์ ได้แก่ ทศพร หิมพานต์ ทานกัณฑ์
วนประเวศน์ ชชู ก จลุ พน มหาพน กุมาร มัทรี สกั กบรรพ มหาราช ฉกษัตรยิ ์ และนครกัณฑ์
๗.๑.๑ คาประพนั ธ์ทใี่ ชแ้ ตง่
ผู้แต่งใช้ภาบาลีเดิมตั้งบาท ๑ แปลเป็นกาพย์ภาษาไทยวรรค ๑ สลับกันไป
ภาษาไทยแต่งเป็นฉันท์บ้าง โคลงบ้าง ส่วนมากเป็นร่าย ตามความถนัดของปราชญ์ แต่งเพ่ือ
ประกวดความไพเราะและความใกล้เคียงกับต้นฉบับภาษาบาลีมากท่ีสุด ถือได้ว่ามหาชาติคา
หลวงแต่งไดด้ ีอยา่ งเอกมาตงั้ แตส่ มัยกรุงเก่า๒๘๘
มหาชาติคาหลวงใช้คาประพันธ์ร้อยกรองหลายอย่างเช่น ร่ายโบราณโคลง สอง
สุภาพ โคลงสามสุภาพ โคลงสี่สุถาพ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ กาพย์สุรางคนางค์
๒๘ ดังนี้
รา่ ยโบราณ
สตฺถา อันว่าพระสรรเพ็ชญ์พุทธอยู่เกล้า อุปนิสฺสาย เจ้ากูธ เสด็จอาศรัยกปิลวัตถุ!
แก่พชิ ัยกบลิ พัสดุ บุรรี ัตนพิศาล วหิ รนฺโต ธ เสดจ็ สิงสาราญนสารทิ ธ์ิ นิโครรฺ าราเม ในพจิ ติ ร นิ
โครธาราม อารพฺภ พระผู้ผจญเบญจกามพิสัยต้ังหทัยเสด็จเฉพาะโปกฺขรวสฺส อนุเคราะห์แก่
โบกขรพรรษธารา อทิ ธมมฺ เทสน ยงงพระธรรมเทศนามาธรู คาถาสหสฺสปฏิมณฺฑิติ บรบิ รู ณ์ประดับ
ด้วยคาถาถงึ สหสั อักษรอรรถบเอฯ
ตฺว รูปวตี โฉมแม่มล่ืนตาบ่าว เนื้อนงถ่าวถนิมกาย ปุริสานภิปตฺถิ ตายามาม ใจเลง
โลกย ใครย่ วนโยคสสอง ววง่ งไส้ คจฺฉา ญาตกิ ุเล อจฉฺ แม่อย่าครองเถา้ ถึกเพอ่ื น เร่งไปหาเพ่ือน
พ้องมึงเรว็ ดว้ ยดว่ น เทอญ๒๘๙
๒๘๘กรมศิลปากร, มหาชาตคิ าหลวง, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์เจรญิ ธรรม, ๒๕๑๖), หน้า ๓.
๒๘๙เรอื่ งเดยี วกัน, หน้า ๑-๒, ๑๒๔.
๑๕๖
คาประพนั ธ์ประเภทรา่ ยโบราณ เปน็ ตอนปัจจบุ นั วตั ถมุ หาชาติคาหลวง ตอนนี้แตง่ มี
ลักษณะใกล้เคียงกับร่ายสุภาพ แต่คาในวรรคยืดหยุ่นเกิน ๕ คาได้ การจบก็ไม่ต้องจบอย่าง
โคลงสองสุภาพ ดงั ตัวอยา่ งท่กี ลา่ วมา
โคลงสองสภุ าพ
นฤโทษท้าวลูกเจ้า เจ้าเมอื งหมู่ขา้ เค้า
ขบั ได้ดงงฤๅ เลา่ แลฯ๒๙๐
โคลงสามสภุ าพ
ลูกกูอยยู่ งั นยร ทูรโทษทยรเท่าเฝา้
การณฤๅแรงเมอื งเรา้ ลูกกฯู ๒๙๑
โคลงสี่สุภาพ
สาปิ วาเฬสุ อปุ คเตสุ อสฺสม อคมาสิ
ปางไตรเทพทา้ ว จรลี
กลบั จากมรรคาวิถี เร่งเรา้
โฉมนาฏราชมัทรี ปราโมทย์
เกบ็ ผลรบี ไตเ่ ตา้ จ่เข้าอาศรมฯ๒๙๒
กาพยย์ านี ๑๑
สาลีนโมทน ภุตฺวา
อาสูรสองหลานเออย ย่อมเสวอยเคยเขา้ สาลี
สจุ มิ สปู เสจน
เน้ืออว่ วคว่ วแกงดี มีรศยง่ิ ส่ิงกับบาย
รกุ ขฺ ผลานิ ภญุ ฺชนตฺ า
ปางไฉนครึมครุ กินลกู ชุลุเพรางาย
กถ กาหนตฺ ิ ทารกา
๒๙๐อ้างแล้ว, หนา้ ๕๗.
๒๙๑อา้ งแล้ว, หนา้ ๕๐.
๒๙๒อา้ งแล้ว, หนา้ ๒๓๙-๒๔๐.
๑๕๗
สองราทารกชาย หญงิ จะจาทากลใด
ภตุ ตฺ วาสตฺปเล กเส ภาชนพานรองทองร้อยบรรล
ลว้ นสวุ รรณพรรณไพรฯ๒๙๓
อาสูรสองเคยครอง
โสวณเฺ ณสตราชิเก บานชว่ งโชตทิ ้งั ไพรพน
ดากลคาดดว้ ยดวงดาว
ลวดหลายลายกณิกนนั ต์ ไมม้ กู โสดตระศกั ด์ิสาว
กาพย์ฉบงั ๑๖ แคฝอยขาวแข่งแบง่ บาน๒๙๔
นานาวณเฺ ณหิ ปปุ ฺเผหิ ชายป่าเตา้ ไปหาชาย
ดอกไมห้ ลายแสงโสด จางายราชอดยืน แม่ฮา
อยู่จรหลา่ ต่อกลางคืน
นภ ตาราจติ ามวิ แลดูแคลนกกู ลใด ด่งงน้ีฯ๒๙๕
พยงฟื้นในนภดล
กฏุ ชี กฏฺฐตครา
กฤษณาแลกอโกศ
ปาฏลิโย จ ปุปผิตา
แคแจรเจอรอญจราว
ปาโต คตาสิ อจุ ฉฺ าย
คร้นั เชา้ กห้วิ กรนนเชา้ ฎ
ลกู ไม้บทนนงาย
กมิ ิท สายมาคตา
คดิ ใดคนื มาคา่
เพราะเหน็ กูโหดหืน
๒๙๓อ้างแลว้ , หน้า ๘๐-๗๑.
๒๙๔กรมศิลปากร, มหาชาติคาหลวง, พิมพ์คร้ังท่ี ๖, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เจริญธรรม,
๒๕๑๖), หนา้ ๑๔๔.
๒๙๕เรื่องเดยี วกัน, หน้า ๒๔๖.
๑๕๘
กาพยฉ์ บงั ๑๖
โกกลิ า มญฺชุภาณกิ า
โกกลิ าเรือ่ ยร้องสยงหวาน ถอ้ ถ้อบบนั สาร
เสนาะสโนควังเวง
อภนิ าเทนฺติ ต วน
พนั ภกกึกก้องอลเวง ป่าเปนบรรเลง
แลฟงั บันลงุ ลาญทรวง
อตุ สุ มปฺ ุปผฺ ิเต ทุเม
ไม้ไหล้หลายพรรณเพลจพวง เพยยี บุษปบานดวง
เมอื่ กาลระดดู ดู ฯี ๒๙๖
กาพยส์ รุ างคนางค์ ๒๘
ห สาว
ดจุ หงษโปฎก กระเหว่าเหลา่ นก พลัดแม่สูญหาย
อปุ ริปลฺลเล
ตกตา่ ตดิ ตม อดนมปางตาย ดุจแก้วแมห่ าย ไมค่ อยมารดา
เต มคิ า วยิ อุกกฺ ณณฺ า
หนึง่ บตุ รเน้อื ทราย ขโิ รทกบวาย ทรามรกั ษเสนหา
สมนฺตาภธิ าวิโน
ยกหชู คู อ คอยถา้ มารดา เห็นแม่กลบั มา ว่งิ เข้าเชอยชม
อนนฺทิโน ปมทุ ติ า
วง่ิ ซ้ายวิ่งขวา ชมรอบมารดา แลว้ เข้ากนิ นม
วคคฺ มานาว กมปฺ เร
ลองเชองเรองไป ใหแ้ มช่ น่ื ชม ใหล้ ืมอารมณ์ ดจุ สองพงงงาฯ๒๙๗
๒๙๖อ้างแลว้ , หน้า ๑๔๕.
๒๙๗อา้ งแล้ว, หนา้ ๒๔๑.
๑๕๙
ร้อยกรองในมหาชาติคาหลวง มีการใช้ร้อยกรองหลายอย่างในการแต่งก็ด้วย
จุดประสงค์ให้มีความหลากหลายด้านการใช้ฉันทลักษณ์ อีกท้ังเป็นการแสดงความสามารถของ
กวีในสมัยนั้นด้วย ลักษณะฉันทลักษณ์ในสมัยอยุธยาเป็นรากฐานของฉันทลักษณ์ในสมัย
ปัจจบุ นั อาจจะมีความตา่ งออกไปบ้างตรงท่ีไมเ่ ครง่ ครดั อย่างปัจจบุ ัน
๗.๑.๒ เน้ือเรอ่ื งยอ่
เรอ่ื งมหาชาตคิ าหลวง คอื มหาเวสสนั ดรชาดก ในนบิ าตชาดกแห่งพระสุตตันตปิฎก
นัน่ เอง เนือ้ เรื่องยอ่ มีดงั น้ี
พระพทุ ธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพสั ดุ์เพ่อื ทรงเทศนาโปรดพระบดิ า พระญาติ พระญาตจิ ดั
ให้โอรสธิดารุ่นเยาว์อยู่หน้ากราบไหว้พระพุทธเจ้า ให้ญาติวงศ์ผู้ใหญ่อยู่ด้านหลัง ไม่ยอมถวาย
นมัสการ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปาฏหิ ารยิ ์เหาะข้นึ ไปเดินจงกรมอยู่เหนือศีรษะพระญาตทิ ้ังปวง
พระเจ้าสทุ โธทนะและพระญาดจิ ึงพร้อมกนั นมัสการ ฝนโบกขรพรรษตกลงมา พทุ ธสาวกสงสัย
ทลู ถาม พระพุทธเจา้ จงึ ตรสั เล่าอดีตชาติว่า
ในอดีตกาลพระองค์ประสูติเป็นพระเวสสันดร พระมารดาพระนามว่า ผุสดี ก่อน
พระนางผุสดีจะจุติจากเทวโลกพระนางเป็นพระชายาของพระอินทร์ทูลขอพร ๑๐ ประการ
จากพระสวามี ประการสาคัญคือ ขอให้มีโอรสเป็นผู้มีพระทัยให้ทาน เม่ือพระนางได้พร ๑๐
ประการแล้ว ก็ประสูติเป็นพระธิดา กษัตริย์มัทราช เจริญวัยข้ึนเป็นพระมเหสีพระเจ้ากรงุ สญ
ชัยแห่งสีพีรัฐ ต่อมาประสูติพระโอรสพระนามวา่ เวสสันดร ตั้งพระนามตามสถานที่ที่ประสูติ
คือ ตรอกพ่อค้า พระโพธิสัตว์เริ่มให้ทานตั้งแต่ประสูติ ได้อภิเษกสมรสกับพระนางมัทรี มี
พระโอรสพระธิดา คือชาลีและกันหา ทรงบริจาคทานมิได้ขาด ต่อมาพระราชทานช้างปัจจัย
นาเคนทร์คู่บ้านเมืองท่ีบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูแก่พราหมณ์เมืองกลิงคราษฎร์ เป็นเหตุให้
ชาวเมืองไม่พอใจ พระราชบิดาทรงเนรเทศพระเวสสันดรออกจากเมืองมีพระนางมัทรีและชา
ลีกัณหาตามเสดจ็ ดว้ ย กอ่ นเสด็จทรงบริจาคสัตสตกมหาทาน ระหว่างทางเสด็จมีผูท้ ลู ขอส่ิงต่าง
ๆ ทรงบริจาคทุกอย่างแม้กระทั่งม้า ราชรถพระเวสสันดร พระนางมัทรี ทรงอุ้มพระโอรส
พระธิดา เสด็จต่อไปเข้าสู่เขตแดนพระเจ้าเจตราช พระราชาถวายพระนครให้ปกครองกง่ึ หนงึ่
พระเวสสันดรทรงปฏิเสธเสด็จต่อไปยังเขาวงกต พระราชาให้พรานเจตบุตรเป็นผู้อารักขา
๑๖๐
พระอินทร์ให้พระวิสสุกรรมนิรมิตอาศรมให้ประทับ พระเวสสันดรครองเพศผู้ทรงพรต พระ
นางมัทรีทรงปฏบิ ตั ติ ่อพระสวามีและพระโอรสธิดา
ชูชก เป็นพราหมณ์ชรามีลักษณะบุรุษโทษ ๑๘ ประการแห่งหมู่บ้านทุนวิฐ ได้นาง
อมิตตตาเปน็ ภรรยา หนุ่มทัง้ หลายต่างอิจฉาท่ีชูชกได้ภรรยาสวยและขยนั นางอมติ ตตาให้ชูชก
ไปขอสองกมุ ารที่เขาวงกต ชชู กใชเ้ ลห่ ์เพทุบายต่าง ๆ จนขอพระชาลีและกัณหาได้ เมื่อพาสอง
กมุ ารถงึ ทางสามแพรง่ กไ็ ปยังกรุงสีพรี ฐั พระเจ้ากรงุ สญชยั ขอไถต่ ัวพระเจ้าหลานทง้ั สอง ทรงจดั
เล้ียงอาหาร ชูชกกนิ อาหารมากเกนิ ไปจงึ สน้ิ ชีวติ เมื่อเสด็จกลับจากป่าไม่พบพระโอรสพระธิดา
และยงั ถกู พระเวสสนั ดรทรงแกล้งวา่ ไปพบผู้ชายในป่า พระนางมัทรเี สยี พระทยั จนสลบเมื่อพระ
เวสสันดรทรงแก้ไขจนฟื้น แล้วเล่าความจริงให้ทรงทราบ พระนางก็อนุโมทนาสาธุ พระอินทร์
ทรงเกรงว่าจะมีผู้มาขอพระนางมัทรี จึงแปลงเป็นพราหมณ์ชราทูลขอพระนางมัทรี เม่ือได้รับ
พระราชทานแลว้ กน็ ้อมถวายกลบั และขอคาสญั ญาวา่ จะไมพ่ ระราชทานแกผ่ ใู้ ด
พระเจ้ากรุงสญชัยให้จัดกาลังเสด็จออกไปรับพระเวสสันดรและพระนางมัทรีท่ีเขา
วงกต มีพระนางผสุ ดี พระชาลีและกัณหาโดยเสดจ็ ดว้ ย เมือ่ กษตั รยิ ์ทั้ง ๖ พระองคพ์ บกันก็ทรง
ปล้ืมปตี ิกนั แสงจนสลบ เปน็ เหตุใหฝ้ นโบกขรพรรษตกทาให้พระองคฟ์ ื้นแล้วเสด็จกลับสนู่ ครสีพี
และทรงดารงพระชนม์ร่วมกันด้วยความปกติสุข ตลอดพระชนมายุพระเวสสันดรทรงบริจาค
ทานมไิ ดข้ าด ประชาราษฎร์มคี วามสขุ โดยทั่วหนา้ กนั
ประชุมชาดกมีว่า ชูชกเกิดเป็นเทวทัต นางอมิตตตาเป็นนางจิญจมาณวิกา พราน
เจตบุตรเป็นนายฉันนะ อัตจุตดาบสเป็นพระสารีบุตร พระอินทร์เป็นพระอนุรุทธะ พระ
วิสสุกรรมเป็นพระโมคคัลลานะ เทวดาช่วยปฏิบัติพระชาลีเป็นพระกัจจายนะ เทพธิดา
ชว่ ยปฏบิ ัติรักษาพระชาลแี ละพระกณั หาเปน็ นางวสิ าขา ชา้ งปจั จยั นาเคนทรงเปน็ พระมหากัสส
ปะ มหาอามาตยเฝา้ ใกลช้ ิดเป็นพระอานนท์ พระเจา้ กรงุ สญชยั เป็นพระเจ้าสุทโธทนะ พระนาง
ผุสดีเป็นพระนางสิริมหามายา พระนางมัทรีเป็นพระนางยโสธรา พระชาลีเป็นพระราหุล
พระธิดากัณหาเป็นนางอุบลวรรณาเถรี บริวารท้ังหลายเป็นพุทธบริษัท พระเวสสันดรเป็น
พระพทุ ธเจา้
๑๖๑
๗.๑.๓ คณุ ค่าทไี่ ด้รับ
คุณค่าของวรรณคดชี าดกเรื่องน้ี คอื
๑) คณุ ค่าดา้ นอักษรศาสตร์
มหาชาติคาหลวงเป็นวรรณคดีอยุธยาสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ที่ทา
ให้คนไทยรุ่นหลังได้รู้อักขรวิธีและการใช้คาไทยสมัยก่อนว่าเป็นอย่างไร เป็นการแต่งบทร้อย
กรองทีไ่ พเราะงดงามมีความหมายดเี พียบพรอ้ มด้วยวรรณศิลป์
๒) คุณคา่ ดา้ นคติธรรม
วรรณคดีเร่ืองมหาชาติคาหลวง คตธิ รรมหลกั คือ การให้ทานเปน็ สงิ่ ประเสริฐ
ในเรอื่ งมหาชาตคิ าหลวง พระเวสสนั ดรทรงบาเพ็ญทานบารมตี ้งั แตป่ ระสตู ิจนกระทัง่ ปจั ฉมิ วัย
การใหท้ านหรอื การบริจาคซ่ึงเปน็ ๑ ในทศบารมที ี่พระโพธิสัตวต์ ้องบาเพ็ญเพื่อการ
เป็นพระพุทธเจ้าในชาติต่อมา ด้วยการบริจาคหรือการทาให้จิตใจของผู้ไห้สงบสุขและเป็นการ
กาจัดกเิ ลสออกไปได้ เป็นสิ่งทช่ี ่วยปอ้ งกนั ปญั หาสังคมไดท้ างหน่ึง พระพุทธเจ้าจงึ ทรงเน้นในเร่ือง
ทานมาก โดยเฉพาะในชาดกเร่ืองนี้ทรงบริจาคทุกอย่าง ตั้งแต่สิ่งของ เงินทองทรัพย์สิน
แม้กระทั่งบุตรและภริยา หากบุคคลมีจิตใจท่ีเอ้ือเฟ้ือต่อผู้อื่นด้วยการให้แล้ว ความผาสุกย่อม
เกดิ ข้นึ ในสงั คมนัน้ ๆ
๗.๑.๔ ลักษณะสาคัญในมหาชาติคาหลวง
๑) ใชค้ าภาษาบาลีมาก แปลเป็นภาษาไทยน้อยทาให้เขา้ ใจเรือ่ งไดย้ าก
๒) ใช้ตัวสะกดคาไทยแบบโบราณ อ่านแลว้ เขา้ ใจยาก
๓) มีคาเขมร พม่า ปะปนอยดู่ ้วย
๔) มีคาประพันธท์ กุ ชนิดคอื โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และรา่ ย
๕) สะท้อนภาพชวี ติ ความเป็นอยู่ของชาวกรุงศรอี ยธุ ยาตอนตน้ ได้เป็นอยา่ งดี
๗.๒ สมทุ รโฆษคาฉนั ท์
สมุทรโฆษคาฉันท์ เป็นวรรณคดีสโมสรอยุธยาที่แต่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช ถือกันว่าเป็นยุคทองของวรรณคดีไทย เพราะสมัยนี้ได้เกิดวรรณคดีหลายเร่ืองและ
นิยมแต่งรอ้ ยกรองกันมาก ท้งั ในลกั ษณะของปฏภิ าณและบันทกึ เป็นอกั ษร สมเด็จพระนารายณ์
๑๖๒
มหาราช โปรดฯ ใหพ้ ระมหาราชครูแต่งขน้ึ ในวโรกาสพระชนมายคุ รบเบญจเพส แตแ่ ต่งไม่จบ
ถึงแก่กรรมเสียก่อน พระองค์ทรงพระราชนพิ นธ์ต่อก็ไม่จบเพราะเสด็จสวรรคตเสียก่อน จนถึง
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมเด็จฯ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (ใน
รัชกาลที่ ๓) ทรงนิพนธ์ต่อจนจบเรื่อง ด้วยทรงมีความเห็นว่าหากปล่อยค้างไว้ไม่จบจะถูก
ต่างชาติดูแคลนได้ว่าชาติไทยไม่มีกวีมีความรู้ความสามารถ ด้วยความวิริยะของบรรพชน
สมุทรโฆษคาฉันท์วรรณคดีชาดกจงึ มผี ู้แตง่ ๓ สานวน คือ สานวนพระมหาราชครู สานวน
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสานวนสมเด็จฯ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิต
ชิโนรส ไดต้ กทอดมาเป็นมรดกวรรณคดีของชาติจนบัดน้ี
สมทุ รโฆษคาฉันท์ เป็นวรรณคดีทแ่ี ปลและแตง่ จากสมุทรโฆษชาดก ชาดกเรือ่ งที่ ๑
ในปญั ูญาสชาดก เนื้อเรอ่ื งบางตอนในสมุทรโฆษคาฉนั ท์ โดยเฉพาะในตอนของพระมหาราชครู
แตกตา่ งไปจากเรื่องสมุทรโฆษชาดก๒๙๘
๗.๒.๑ คาประพันธท์ ใ่ี ช้แต่ง
คาประพันธ์ที่ใช้ในการแต่งมีท้ังกาพย์และฉันท์ กาพย์ ได้แก่ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์
ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ฉันท์ เช่น อินทรวิเชียรฉันท์ วสันตดิลกฉันท์ และสัท
ทลุ วกิ กีฬติ ฉันท์ เปน็ ต้น
ตวั อยา่ งคาประพันธ์
กาพย์ฉบงั ๑๖
พระบาทกรงุ ไท้ธรณี รามาธบิ ดี
ประเสริฐเดโชชยั
เดชะอาจผโอนทา้ วไท ทวั่ ทงั้ ภพไตร
ตระดกดว้ ยเดโชพลฯ๒๙๙
๒๙๘ร.ศ. พฒั น์ เพ็งผลา, ชาดกกับวรรณกรรมไทย, พมิ พ์ครั้งท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั รามคาแหง, ๒๕๓๕), หนา้ ๑๗๑.
๒๙๙องค์การค้าของคุรุสภา, สมุทรโฆษคาฉันท์, (กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์คุรุสภา
ลาดพรา้ ว), ๒๕๒๙), หน้า ๑.
๑๖๓
กาพย์สรุ างคนางค์ ๒๘
จะเลน่ แถลงปาง เมื่อพระพบนาง แลพระตระกอง
ถกลเมือ้ เมอื ง ก็คืนมาครอง บุรีทง้ั สอง สรนกุ เสวยรมย์
จะตัง้ ตานาน ตาเนียรพสิ ดาร บใช่นิยม
มีแต่ธรรมเนยี ม บรุ าณคม จะเล่นโดยกรม พิไสยมนมทฯ๓๐๐
อนิ ทรวเิ ชียรฉนั ท์
เบ้อื งทกั ษิณาศาล มหิมานบรุ ีศรี
จรรโจษประชามี พลพริ ียชาญชม
มหามหรศพ พศิ าลสนกุ นสิ ม
สมฤทธิเรืองรม- ยบรุ อี นั อาเกยี รณ์ฯ๓๐๑
สทั ทลุ วกิ กฬี ิตฉนั ท์
ห่ืนหอมสร้อยสุวคนธลว้ นบุษปกาจร
อบองคองค์อร ภริ มย์
ชมเฌอชมชลแลชมชมพนพนม
ชืน่ ขมแลชมสระ สโรชา๓๐๒
๗.๒.๒ เน้อื เรอื่ งยอ่
พระสมทุ รโฆษ เป็นโอรสกษัตรยิ ์พินทุทัตและพระนางเทพยธิดาแหง่ พรหมปุระนคร
(พรหมบรุ )ี อีกเมืองหนึง่ ชื่อรมยปุระนคร (รมยนคร) มีพระเจ้าสหี นรคุปต์ และพระนางกนกวดี
ราชธิดาพระนามว่า พินทุมดี พระสมุทรโฆษเสด็จประพาสป่า ขณะบรรทมหลับใต้ต้นไม้
เทพารกั ษ์อุ้มเหาะไปปราสาทพระนางพินทุมดีในรมยปุระนคร ใกล้ร่งุ จงึ นากลับมาสง่ คืนท่ีราช
รถทรง เม่ือต่ืนบรรทมทรงค้นหานางเมื่อไม่พบก็เศร้าเสียพระทัยเสด็จคืนนคร ส่วนพระนาง
พินทุมดีตื่นจากบรรทมไม่พบพระสมุทรโฆษ ให้พี่เล้ียงวาดรูปให้ดูจึงรู้ว่าคือพระสมุทรโฆษ
๓๐๐เรอื่ งเดียวกัน, หน้า ๘.
๓๐๑อ้างแลว้ , หนา้ ๘.
๓๐๒เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๘.
๑๖๔
ตอ่ มาพระสมุทรโฆษได้สยุมพรกับพระนางพินทุมดหี ลงั จากทรงแสดงศลิ ปะศาสตร์และยกธนูได้
พระสมุทรโฆษเสดจ็ ประพาสปา่ พร้อมพระนางพินทมุ ดีทรงช่วยพิทยาธรชือ่ รณาภิมขุ ท่ีบาดเจ็บ
เพราะรบกับพิทยาธร รณบุตร พิทยาธร รณาภิมุข ถวายพระขรรค์วเิ ศษ พระสมุทรโฆษทรงใช้
พระขรรค์พาพระนางพนิ ทุมดเี หาะประพาสไปในที่ตา่ ง ๆ เม่อื ทรงเหนื่อยก็หยดุ บรรทมใต้ต้นไม้
พิทยาธรตนหน่ึงผ่านมาได้ลักเอาพระขรรค์ไป พระสมุทรโฆษกับพระนางพินทุมดีจึงเสด็จ
ดาเนินด้วยพระบาทไปในปา่ ได้รับความยากลาบาก คร้ันเสด็จถึงแม่น้าทรงเกาะขอนไม้งิ้วใหญ่
ขา้ มแม่นา้ ขณะนัน้ เกิดพายุพัดกระหน่าทาใหข้ อนไม้ขาด ท้ังสองพระองค์ตอ้ งแยกจากกนั พระ
นางพินทุมดีถูกคลื่นซัดไปขึ้นฝ่ังที่เมืองมัทราช พระนางทรงเพศเปน็ นกั บวชสรา้ งศาลาโรงทาน
และให้วาดภาพเรื่องพระสมุทรโฆษและพระนางบนผนงั พระสมุทรโฆษทรงเกาะขอนไมอ้ ย่ใู น
แม่น้า ๗ วัน นางเมขลาผู้รักษาน่านน้าก็ช่วยเหลืออุ้มพระสมุทรโฆษข้ึนฝั่งตามพระบัญชาพระ
อินทร์ พระอินทร์ทรงบังคับให้พิทยาธรให้นาพระขรรค์มาคืน เมื่อได้พระขรรค์ก็เสด็จออก
ติดตามพระชายาจนมาถึงศาลาโรงทาน ทรงทอดพระเนตรภาพท่ีฝาผนงั แล้วเศร้าพระทัย ผู้
ทเ่ี ฝ้าศาลานาความไปแจง้ ตามท่ีพระนางส่งั ให้คอยสังเกตผู้ที่เขา้ มาในโรงทาน เม่อื สองพระองค์
พบกันกท็ รงทราบเร่อื งทงั้ หมดแล้วเสดจ็ กลับเมืองรมยบรุ ี พระเจ้าพินททุ ตั ทรงทราบว่าพระโอรส
และพระสุณิสาคนื สู่รมยปุระนครแล้วก็สง่ ราชทูตขอให้สองพระองค์เสด็จไปพรหมปุระนคร ครั้น
ถงึ ก็อภเิ ษกใหค้ รองราชสมบัตแิ ทนพระองค์
ประชุมชาดกว่า พิทยาธร รณบุตร คือ เทวทัต พระเจ้าพินทุทัต คือพระเจ้าสุทโธท
นะพระมารดาเทพธิดา คือพระนางสิริมหามายา พระสหายและอามาตย์ คือพระสงฆ์สาวก
ทงั้ หลาย ปุโรหิต คือพระอานนท์ พระอนิ ทร์ คือพระอนุรทุ ธะ นางเมขลา คอื อุบลวรรณาเถรี
พระนางพินทุมดี คือพระนางยโสธรา และพระสมุทรโฆษ คือ พระพทุ ธเจา้
๗.๒.๓ คุณคา่ ทไ่ี ดร้ ับ
วรรณคดชี าดกเรือ่ งนี้ สรุปคณุ คา่ ได้ คือ
๑) คุณค่าด้านอักษรศาสตร์
สมุทรโฆษคาฉันท์เป็นเรื่องที่แต่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่ง
กรุงศรีอยุธยา และแต่งต่อในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น การใช้ถ้อยคาในวรรณคดีเรื่องน้ี ทาให้
๑๖๕
ผู้อ่านได้รู้ว่าการใช้ภาษาในสมัยน้ันเป็นอย่างไร และเม่ือเทียบกับการใช้ภาษาในปัจจุบันจะมี
ความเหมอื นหรอื ต่างกนั อย่างไร ดงั ตวั อยา่ งจากเรอ่ื ง ดังน้ี
รอ่ นร้องก้องเสยี งสวนสม ดุจดุรยิ รงม
สรรเสริญสระศรีบมิคลา
โพธิ์ทองทรลอ่ งสาขา ร่มรกปรกมา
ในรมิ สระศรีทรสาย
พวกพรรคพหิ กเหลือหลาย เหริ จับเรยี งราย
บรรสานสาเนียงเอียงอรฯ
กาพย์ฉบัง ๓ บทน้ี แสดงให้เห็นถึงการใช้ถ้อยคาของกวีไทยสมัยอยธุ ยาว่า มี
ความพถิ ีพิถันคดั สรรเอาคาทีไ่ พเราะ มีความหมายเหมาะสมนาเอามาเรียงเข้าดว้ ยกันได้อย่างดี
และยังมีการสัมผัสอักษรและสระโดยทั่วไปในแต่ละวรรคแต่ละบท นอกจากนี้ยังมีการใช้
ภาษาต่างประเทศบางคาในการแตง่ เชน่ บรรสาน เปน็ คาท่มี ีพืน้ ฐานจากภาษาเขมร เปน็ ต้น
๒) คณุ คา่ ดา้ นคตธิ รรม เรอ่ื งสมทุ รโฆษคาฉนั ทม์ ีคญุ ค่าตอ่ ผูอ้ า่ นในด้านตา่ งๆ ดังน้ี
สมุทรโฆษคาฉันท์ให้ข้อคิดแก่ผู้อ่านในเร่อื ง "กรรม" ใครประกอบกรรมดียอ่ ม
ได้รบั ผลดตี อบสนอง พระสมทุ รโฆษเปน็ ผูป้ ระกอบความดี ความดจี ึงสนองตอบตลอดพระชนม์
ชีพ คือพระองค์ช่วยเหลือพิทยาธรที่บาดเจ็บ จึงได้รับพระขรรค์วิเศษ เม่ืออยู่ในแม่น้า พระ
อินทร์ก็บัญชาให้นางเมขลาช่วย พระขรรค์ท่ีถูกพิทยาธรขโมยไปก็ได้กลับคืน เพราะพระอนิ ทร์
บงั คบั ให้นามาคนื ภายหลังได้ขึ้นเสวยราชย์เป็นกษตั รยิ ์
สมุทรโฆษคาฉันท์ มีลักษณะการแต่งภาษาเขมร เเละภาษาบาลีสันสกฤต
ปะปนอย่มู ากจดุ มุ่งหมายของวรรณคดีเรื่องน้ี นอกจากเพื่อสอนธรรมะ เพอ่ื อ่านนทิ านชาดกให้
สนุกสนานเเล้ว ยังแต่งเพ่ือเฉลิมพระชนมายุครบ ๒๕ พรรษาของสมเด็จพระนาราย์มหาราช
ดว้ ย
ความแตกต่างระหว่างสมุทรโฆษชาดกกบั สมุทรโฆษคาฉนั ท์
๑) ในคัมภีร์ปัญญาสชาดก พระสมุทรโฆษไม่มีชายาช่ือสุรสุดา ก่อนท่ีจะทรง
ไดพ้ ระนางพนิ ทมุ วดีเป็นมเหสี แตใ่ นสมทุ รโฆษคาฉนั ทพ์ ระองค์ทรงมีมเหสี ศรีสรุ สดุ ามา
๑๖๖
๒) ในคมั ภีรป์ ัญญาสชาดก ไม่ได้กล่าวถึงการเสด็จไปคลอ้ งชา้ ง ไม่มีเทพารักษ์
อุ้มสม ไม่มีนางรัตนาธารีวาดรูป ไม่มีการยกศรและประลองศิลป์ ไม่มีกษัตริย์ชิงนางและไม่มี
อามาตยช์ อื่ สุสังกัลป์ หากมแี ตป่ รุ หิตและลูกอามาตย์ซึ่งเปน็ คนสนิทของพระสมุทรโฆษ
๓) พิทยาธรสองตนซึ่งรบกันในอากาศ ตนท่ีเสียไม่มีชื่อว่า รณาภิมุข ตนท่ีชิง
นางได้ไปไม่มีชอ่ื รณบุตร เพยี งแต่กล่าวว่าพทิ ยาธรตนหนึ่งเท่าน้ัน
๔) พระนางพนิ ทุมดเี ม่อื พลัดพรากพระสวามีไปอยู่เมืองมัทราษฎร์ ไมไ่ ดบ้ วชชี
๕) ทา้ ววินททตั สมุทรโฆษคาฉันท์เรยี กวา่ พินทุทัต ทา้ วสิริสหี นรคุต สมุทรโฆษ
คาฉันท์เรียกว่า สีหนรคุปต์ พระนางพินทุมดี สมุทรโฆษชาดก เรียกพินทุมดี หรือ พินทุมบดี
พรหมบุรนคร สมทุ รโฆษคาฉนั ท์เรยี กพรหมบุรี หรอื พรหมนคร รมมบุรนคร สมุทรโฆษคาฉันท์
เรียก รมยบรุ ี หรือ รมยนคร สุวรรณนคร สมทุ รโฆษคาฉันท์ เรียก กนกนคร
๖) สมเด็จ ฯ กรมพระปรมานุชิตชิ โนรส ทรงนิพนธ์เรื่องดาเนินตามสมุทร
โฆษชาดก ส่วนพระมหาราชครแู ละสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไม่ได้ทรงพระราชนพิ นธ์เรอ่ื ง
ดาเนนิ ตามสมุทรโฆษชาดก
๗.๓ กาพยม์ หาชาติ
กาพย์มหาชาติ แตง่ สมยั พระเจ้าทรงธรรมแหง่ กรุงศรอี ยุธยา ใน พ.ศ. ๒๑๔๕ การท่ี
โปรดเกล้าฯ ให้แต่งมหาชาติขน้ึ ใหม่ เพราะตอ้ งการใหฟ้ ังจบภายในวันเดียว ดว้ ยเช่ือกนั วา่ การ
ได้ฟังมหาชาติติดต่อกันจบในวันเดยี วจะได้อานิสงส์สูง มหาชาติคาหลวงท่ีแต่งสมัยสมเด็จพระ
บรมไตรโลกนาถ สวดให้จบติดต่อกันในวันเดียวไม่ได้ เพราะนอกจากจะมีความยาวด้วย คา
ประพันธ์แล้ว ถ้อยคาที่ใช้ก็เข้าใจยาก เหมาะแก่ผู้มีการศึกษา กาพย์มหาชาตติ า่ งออกไปคอื
ใช้ถ้อยคาง่าย ๆ ในการแต่งและใช้คาประพันธ์ประเภทร่าย สมเด็จฯกรมพระยาดารงราชานุ
ภาพ ทรงให้ความเห็นเกี่ยวกับการแตง่ กาพยม์ หาชาตไิ ว้ว่า
ข้าพเจ้าเข้าใจว่าประชุมนักปราชญร์ าชบัณฑิตแต่งข้ึนเม่ือในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้า
ทรงธรรมระหว่าง พ.ศ. ๒๑๔๕ จน พ.ศ. ๒๑๗๐ ด้วยมีเนื้อความในหนังสือพระราชพงศาวดาร
กลา่ วไวว้ ่า ในแผน่ ดินน้ันไดแ้ ต่งมหาชาตคิ าหลังอกี คร้งั หนง่ึ กาพยม์ หาชาติฉบับนเ้ี ดมิ เห็นจะสูญ
หายมากกว่ามหาชาติคาหลวง ได้พบสานวนคร้ังกรุงเก่าท่ีแน่ใจ แต่กัณฑ์กาพย์ กุมารบรรพท่ี
๑๖๗
พิมพแ์ ล้วน้นั กาพย์วนประเวศน์ทีพ่ ิมพ์ในเล่มนี้หอพระสมุดได้ตน้ ฉบับหลวง ครง้ั รัชกาลที่ ๑ มี
บานแผนกเขียนไว้ว่า “วัน ๔ ฯ ๓ ค่าจุลศักราช ๑๑๑๔ ปีขาล จัตวาศก ข้าพระพุทธเจ้าพระ
อาลักษณ์แต่งข้าพระพุทธเจ้านายชานาญอักษรเขียน” ดังน้ี สันนิษฐาน ความตามบานแผนก
เข้าใจว่า เหน็ จะมีรับสง่ั ให้พระอาลักษณ์แต่งเพิ่มเติมกัณฑท์ ่ีขาด พระอาลกั ษณ์คนน้ีแต่งในทาง
ข้างศาสนาไว้หลายเรอ่ื งทง้ั ท่เี ป็นบทกลอนและเป็นความเรยี งได้ ความว่าช่อื ตัว ชื่อบุญ สังเกตดู
สานวนท่แี ต่งกณั ฑว์ นประเวศน์นแี้ ตง่ ดีถงึ สานวนครง้ั กรงุ เกา่ พอเข้ากันได้ฯ
กาพย์มหาชาติทพี่ บต้นฉบับแล้วมเี พียง ๓ กัณฑ์ คือ กัณฑ์วนประเวศน์ กัณฑ์กุมาร
และกัณฑ์สกั กบรรพ ในสมยั รัชกาลท่ี ๑ มกี ารแต่งเติมกาพย์มหาชาติ ดังทีส่ มเดจ็ ฯ กรมพระยา
ดารงราชานุภาพได้ทรงให้ความเห็นไว้ กาพย์มหาชาติกัณฑ์อื่น ๆ อาจจะมีอยู่ในหอสมุด
แห่งชาตแิ ตย่ งั ตรวจสอบไมพ่ บ
๗.๓.๑ คาประพันธ์ท่ีใช้แต่ง
กาพย์มหาชาติแต่งด้วยร่ายยาว ร้อยกรอง บางตอนเป็นดงั นี้ “เต จตตฺ าโร ขตฺตยิ า
อันว่าพระบรมกษัตริย์ทั้งส่ีศรีสุริยวงศ์เมื่อเสด็จบทจร ประสงค์สู่เขาคิริยวงกฎ มิได้แจ้งทางที่
กาหนดดาเนินไพร ด้วยความเข็ญใจก็จาเป็น ปติปเถ ทอดพระเนตรเห็นมหาชน อันเดินทวน
ทางถนนนั้นมากต็ รัสถามถึงมรคาเขาคันธมาทวา่ ดูกรฝูงญาติเราท้ังหลายเหล่าประชาชน ยังรู้
แห่งตาบลบรรพต วงกฎคิรีมีอยู่ท่ีแห่งใด ใกล้ฤๅไกลประการน้ีจงช่วยชี้ให้เราไป ฝูงประชาชน
ชวนกันร้องไห้กราบทูลว่า ข้าแต่พระบรมนารถนเรนทร์สูรผู้ทรงศักดิ์ เป็นท่ีพึ่งพานักนิทุกฝูง
สัตว์ กรรมแต่ก่อนไฉน จึงพลัดพระเวียงวังนิเวศน์ พระพุทธเจ้าข้า หนทางนี้ยังทะเรศไกลกวา่
ไกลนกั ฯ”๓๐๓
๗.๓.๒ เนื้อเรือ่ งยอ่
มีเน้ือเรอื่ งเหมือนกับมหาชาติคาหลวงต่างทส่ี านวนการแตง่ และมเี พียง ๓ กัณฑ์ คอื
วนประเวศน์ กมุ ารบรรพ และสักกบรรพ กณั ฑ์อ่ืน ๆ ยังไมพ่ มิ พ์เผยแพร่
๗.๓.๓ คณุ ค่าที่ได้รบั
คุณค่าของกาพยม์ หาชาติ ได้ดังน้ี
๓๐๓กรมศลิ ปากร, กาพย์มหาชาติ, (พระนคร : คลงั วทิ ยา, ๒๕๐๗), หน้า ๒-๕.
๑๖๘
๑) คุณค่าด้านอักษรศาสตร์
กาพย์มหาชาติ เป็นหลักฐานทางอักษรศาสตร์ท่ีสาคัญเรื่องหนง่ึ แสดงถึงการ
ใช้ถอ้ ยคาในลกั ษณะต่าง ๆ ไดเ้ ป็นอย่างดี คาบางคาทีใ่ ชใ้ นกาพย์มหาชาติไมม่ ีใช้แลว้ ในปัจจุบัน
แตก่ ย็ ังมใี ชอ้ ยบู่ ้างเปน็ ส่วนมาก ผ้แู ต่งใช้สรา้ งสรรค์คาให้เกดิ ความไพเราะงดงาม เกิดภาพพจน์
ไดร้ สวรรณคดี ดงั ตวั อย่างร้อยกรอง ดังนี้
พระสหายท้ังปวงเอยอย่าน้อยพระทัย ย ทินฺน พระประสงค์ส่ิงใดเอ็นดูเราจะ
ให้ส่ังสอนสูที่เจ้าเจตราช ในประภูศักดิอานาจอาณาจักร ก็เห็นจริงแจ้งอยู่ว่ารักบารุงเรา
ขอบคุณพระสหายเจา้ จงจาเริญ น เม ฉนฺโท แต่เราน้ีไมร่ ักเร่ง ผเอญิ ละอายบาป หนึง่ ตัว ก็ยงั ไม่
เสธสุภาพพ้นภัย เราจะเซซังไปใหส้ ิ้นกรรม ในเกณฑ์พิกัดทา่ นขับนาตาแหน่งโทษพระสหายทง้ั
ปวง โปรดได้ปรานี ชวนกันช่วยชี้ช่องมรรคา อันจะไปสู่มหาหิมเวศวงกฏ จะได้บวชเป็นดาบส
บาเพญ็ ธรรม์ จะได้บญุ โกฏฐาศชว่ ยกนั ในครั้งน้ี ท่านจงชว่ ยชี้ให้เราไป ในกาลบดั นีเ้ ถิดฯ
กาพยม์ หาชาตกิ ณั ฑ์วนประเวศน์ที่ยกมาน้ีมคี วามไพเราะงดงาม เน่ืองจากการ
ใช้คาสมั ผสั ทง้ั อกั ษรและสระ เชน่ สั่งสอนสู เจ้าเจต เจา้ จงจาเรญิ นาตา เป็นตน้ รสวรรณคดีใน
รอ้ ยกรองตอนนี้ คอื กรุณารส และภาพพจน์เกิดข้ึน อนั เนื่องมาจากการใชค้ าบรรยายเนื้อความ
บ้างโจนจับจกิ พฤกษาไซร้ปีกหางหกห้อยหัว เหน็ แตต่ ัวบ้างบนิ หนี จบั ต้นนี้
บนิ ไปตน้ โนน้ บา้ งกโ็ ผโผนผนั รอ้ งซะซร้องเชง็ แซ่ฯ
ร้อยกรองตอนนี้มีความเด่นในด้านอักษรสัมผัสมาก เช่น โจนจับจิกพฤกษา
ไซรป้ ีกหางหกห้อยหวั โผโผนผันรอ้ งซะซรอ้ งเซ็งแซ่ เป็นต้น
ภิกฺขเว ดูกรภิกษุสงฆผ์ ู้ทรงไตรสิกขา กุมารา ฝ่ายพระชาลีกณั หาเม่ือหนีเฒา่
ชราโบยรัน พระกายระริกสั่นหวั่นไหว ปานประหน่ึงว่า ใบไม้อ่อนอันต้องลม ยกพระกรกราบ
ประนมน้อมอภิวาทกับพระบาทพระบิดา พระชาลีเธอทูลทเุ ลาลาพิลาปร่าไรว่า พระพุทธเจ้าข้า
ถงึ พระบาทจะเลอ่ื มใสศรัทธาทีจ่ ะทาทานแก่อาจารย์ผ้นู ้ี กระหมอ่ มฉนั ชาลมี ิได้ขัดอัชฌาศัย แต่
ลูกนี้มาอาลัยระลึกถึงพระแม่เจ้า มิได้แจ้งว่าพระป่ินเกล้าบาเพ็ญทานให้กระหม่อมฉานแก่ทชี
ของดท่าพระชนนหี นอ่ ยหนึง่ ก่อนฯ
บทร้อยกรองรา่ ยยาวจากกณั ฑก์ มุ ารตอนนี้ ผูแ้ ต่งใชค้ าสมั ผสั อกั ษร สัมผสั สระ
ก่อใหเ้ กิดความไพเราะ เช่น ระริก ส่ันหวั่น กรกราบ ประนมน้อม ทลู ทุเลา ลาพลิ าป และชนนี
๑๖๙
หน่อยหนึ่ง เป็นต้น ใช้การยืดเสียง เช่น ฉัน เป็นฉาน เป็นต้น รสวรรณคดีในตอนนี้คือ
กรุณารส ทาให้ผู้อ่านเกิดความสงสารพระชาลีและกัณหาที่กาลังจะถูกยกให้เป็นทานแก่ชูชก
พระชาลีก็ทูลวิงวอนอย่างน่าสงสารว่า ขอให้ได้พบพระมารดาก่อน ร้อยกรอง ๓-๔ วรรคหลัง
แสดงใหเ้ หน็ ถึงความผกู พนั ของลูกกับแม่ไดอ้ ยา่ งดี
๒) คณุ คา่ ด้านคตธิ รรม
กาพย์มหาชาติมีคติธรรมเหมือนมหาชาติคาหลวง คือ การให้ทานเป็นส่ิง
ประเสริฐ อานิสงส์ที่เกิดจากการให้มากน้อยตามทานท่ีปฏิบัติ พระเวสสันดรบริจาคทานท้ัง
ทรพั ยส์ นิ เงินทอง ชา้ ง ม้า ขา้ ทาสบริวารชายหญงิ และทีบ่ ริจาคสงู สุด คือ ภรยิ าทาน และบุตร
ทาน การบริจาคทานอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ส่งผลให้ทศบารมีของพระโพธิสัตว์ครบบริบูรณ์ ทาให้ได้
เป็นพระพทุ ธเจา้ ในชาติตอ่ มา ดงั บทร้อยกรองในกณั ฑก์ มุ ารวา่
บิดาจะข้ามซงึ่ เวไนยนรากร ใหพ้ น้ แก่งกนั ดารดอรอาดรู ภยั ชาติปารถงึ ฝั่งฟาก
เกษมสยั สุดโสด ส่ศู วิ โมกขมารวมิ ุติ ให้สน้ิ สุดสงสารชาติ ชราพยาธิม้วยมรณ์ ลุลาภพระโลกุดร
ได้ ดังน้ี เพราะพระชาลีผู้ลูกอันเลิศล้า เป็นพระยานสาเภาธรรมแท้เท่ียว ส่งพระบิดาให้แล่น
เล่ยี งหลกี กันดารอกุศลสาธารณท์ ง้ั สบิ สี่ ไดโ้ ปรดสัตวใ์ ห้สน้ิ ซง่ึ ราคขี นั ธมารฯ๓๐๔
พระเวสสันดรเสด็จไปท่ีสระบวั ตรสั เรยี กโอรสและธิดาเพอ่ื ไปบริจาคให้แก่ชูชก
ทรงอธบิ ายถงึ ความจาเป็นในทานครัง้ น้ีว่าเพ่อื ความหลดุ พน้ จากวัฏสงสารและได้ชว่ ยเวไนยสัตว์
ในอนาคตกาลในฐานะพระพุทธเจ้า การให้ทานสูงสุดเช่นนี้ ถือว่าเป็นการขจัดกิเลสได้หมดส้นิ
เพราะสามารถเสียสละบุคคลทีร่ ักหวงทีส่ ุดในชีวติ ได้
การบริจาคทานของพระเวสสันดร เกิดอานิสงส์คือได้รับพร ๖ ประการจาก
พระอินทร์กลา่ วได้ว่า "เมอ่ื ให้ยอ่ มไดร้ บั " พร ๖ ประการ กลา่ วไว้ในกัณฑส์ กั บรรพวา่ “สกั ก์ ขา้
แต่ท้าวโกสีย์สุรินทรา เจ ทโท ถ้าพระองค์จะทรงพระกรุณาอานวยพรให้ พูนผลบวรแก่ข้าพระ
บาท ขอให้พระปิตุราชเรืองยศ หย่อนพระทัย ท้าวเธอออมอด อนุโมทนาทรงพระโสมนัสฯ
เสดจ็ ลลี าศดว้ ยจัตุรงค์ราชเสนาออกมานิมนตไ์ ปครอบครอง ประชาชนชาวพิไชยเชตุดร ปฐเมต
วร เปน็ ปฐมพระจงพูนพพิ ฒั น์ หน่ึงเม่อื ถงึ บรุ ีรตั น ราไชย ขอให้ได้ปลอ่ ยนกั โทษทั้งหลาย บรรดา
๓๐๔เร่อื งเดยี วกัน, หนา้ ๕๙.
๑๗๐
โทษถึงตายต้องพันธนาให้พ้นจากอาชญาราชทัณฑ์ ทุติเยต เป็นคารบสองส่ิงสรรพสิทธ์ิแก่ข้า
ฯ”๓๐๕
หนังสือกาพย์มหาชาติ ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม คงมีครบทั้ง ๑๓ กัณฑ์
ปัจจุบันในหอสมุดแห่งชาติมิเพียง ๓ กัณฑ์ สันนิษฐานว่าคงสูญหายไปเม่ือคร้ังกรุงศรีอยุธยา
แตก ต่อมามผี ูแ้ ต่งมหาชาตกิ ลอนเทศน์มากขนึ้ จนครบ ๑๓ กัณฑ์
อน่ึง จุดมุ่งหมายของการแต่งกาพย์มหาชาติ คือ เพื่อให้พระเทศนใ์ ห้สัปบรุษ
ฟัง สัปบุรุษเม่ือฟังแล้วเข้าใจเนื้อเร่ืองง่ายข้ึน ไม่ได้แต่งเพ่ือใช้สวดอย่างมหาชาติคาหลวง
ลักษณะการแต่งกาพย์มหาชาติ คือ แปลคาถาพันออกเป็นภาษาไทย โดยยกเอาคาถามาตอน
หนง่ึ แลว้ แปลเปน็ ภาษาไทยตอนหนึ่ง ใช้ภาษามคธน้อย เปน็ กาพยภ์ าษาไทยมาก ด้วยลกั ษณะ
คาประพนั ธท์ ี่เรียกวา่ "รา่ ยยาว"
กาพย์มหาชาติมีสานวนและการใช้คาใหม่ ๆ สั้น กระทัดรัด ใช้คาบาลีน้อย
แปลเป็นกาพย์ภาษาไทยมาก ทาให้ฟังไพเราะและเข้าใจเรื่องราวได้ ซ่ึงแตกต่างจากหนังสือ
มหาชาติคาหลวงท่ีใช้สานวนภาษาและคาโบราณเกา่ แก่ ใช้ภาษาบาลีมาก แปลเป็นภาษาไทย
นอ้ ย อา่ นแล้วเข้าใจเรื่องราวได้ยาก
ลกั ษณะทัว่ ๆ ไปของกาพย์มหาชาติ
๑) กาพย์มหาชาติ ใช้คางา่ ย กระทดั รดั อา่ นเข้าใจง่าย
๒) กาพย์มหาชาติ ใช้ภาษาบาลีน้อย แปลเป็นภาษาไทยมาก อ่านเข้าใจ
ง่าย
๓) กาพย์มหาชาติ มกี ารใช้อุปมาอปุ ไมย ทาให้เข้าใจงา่ ยข้นึ
๗.๔ มหาเวสสันดรชาดก
มหาเวสสนั ดรชาดกเป็นผลงานของกวสี มยั รตั นโกสนิ ทรต์ อนต้น มหี ลายท่านร่วมกัน
แต่ง โดยแต่ละท่านแต่งตามความร้แู ละความถนัดในกณั ฑ์น้ัน ๆ องค์กวีและกวีท่ีแต่งวรรณคดี
ชาดกเร่อื งมหาเวสสนั ดรชาดก แบ่งตามกัณฑ์ ดงั นี้
๑. ทศพร สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชติ ชโิ นรส
๓๐๕อา้ งแล้ว, หนา้ ๑๐๘-๑๐๙.
๑๗๑
๒. หมิ พานต์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชติ ชิโนรส
๓. ทานกณั ฑ์ สานกั วดั ถนน
๔. วนประเวศน์ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว
๕. ชชู ก สานักวดั สังขก์ ระจาย
๖. จลุ พน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั
๗. มหาพน พระเทพโมฬี (กลิ่น)
๘. กุมาร เจา้ พระยาพระคลัง (หน)
๙. มัทรี เจา้ พระยาพระคลัง (หน)
๑๐. สกั กบรรพ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว
๑๑. มหาราช สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชิโนรส
๑๒. ฉกษตั ริย์ สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชติ ชโิ นรส
๑๓. นครกณั ฑ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ติ ชิโนรส
มหาเวสสนั ดรชาดกมีท้งั หมด ๑๓ กัณฑ์ เปน็ พระนิพนธใ์ นสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรสถึง ๕ กัณฑ์ รองลงมาเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระ
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๓ กัณฑ์ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ๒ กัณฑ์ และสานักวัดท่ีมีกวียอดเยี่ยม
อีกท่านละ ๑ กณั ฑ์ ผลงานวรรณคดีชาดกเร่อื งมหาเวสสันดรชาดก เกดิ จากกวผี มู้ คี วามเป็นเลิศ
ทางกวีพจน์ท้ังส้ิน ดังนั้นจึงมีความไพเราะงดงามอย่างยิ่ง ทาให้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย
ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เน้ือเรื่องที่นามาแต่งตรงกับเรอื่ งเวสสันดรชาดกในนบิ าตชาดกและอรรถ
กถาชาดก
๗.๔.๑ คาประพันธ์ทีใ่ ช้แตง่
มหาเวสสนั ดรชาดกแตง่ ดว้ ยคาประพนั ธร์ อ้ ยกรอง ร่ายยาวทงั้ หมด แมว้ า่ กวจี ะมชี ีวิต
อยู่ตา่ งสมัยกนั ก็ตาม แตด่ ้วยเจตนาที่จะสร้างสรรค์วรรณคดีชาดกเร่อื งนี้ให้สมบรู ณ์ จงึ พยายาม
แตง่ ดว้ ยคาประพนั ธ์รอ้ ยกรองรา่ ยยาว เห็นไดว้ า่ สานวนและฝีมอื ในการแต่งมคี วามใกลเ้ คียงกัน
มาก ท้งั นีเ้ พราะกวีแต่ละท่านมีความสามารถในการกวีอย่างยิ่ง และล้วนแต่เป็นผู้มชี ่ือเสียงโด่ง
ดังทางการประพนั ธ์ในสมยั นั้น ตัวอยา่ งรา่ ยยาวจากเรอ่ื งมหาเวสสันดรชาดก
๑๗๒
ปางเม่อื พระมทั รศี รีสมร ไดส้ ดับสารสุนทรพระปิตุรงค์ นางน้อมพระเกศเกลา้ ลงแล้ว
ทลู ความว่า พระพทุ ธเจ้าข้าฝา่ พระบาทตรสั หา้ มเกล้ากระหม่อมฉนั มัทรี ทัง้ นีก้ ็เพราะทรง พระ
ปรานเี ป็นท่ยี ิง่ พระคุณเอ๋ย เห็นวา่ ลูกนเี้ ป็นหญงิ ย่อมทรงพระอาลัย คร้นั ลูกจะไมไ่ ป กใ็ ช่ที่ ด้วย
พระราชสามีสิตกไร้ไครเขาจะอินัง ลูกจะนอนลอยนวลอยู่ในวังมิบังควร ประชาชนมันจะชวน
กันสรวลแซ่ มัทรีไม่รู้ที่จะแลดูหน้าใครให้เต็มเนตรจะสู้จนทนเทวษไป ในราวป่า มญฺชบพฺพช
อุรสาลูกจะเอาพระกรพางค์ต่างพร้ามีด กรีดทางฟันแฝกคาในป่า พระหิมะวาส มิให้ระคาย
เคืองเบ้ืองบาทพระเจ้าผัว คร้ันจะอยู่เล่าก็กลัวตวั จนเป็นม่าย พระคุณเอ๋ย เป็นหญิงนีย้ ากที่จะ
ไวจ้ ะวางตัว คร้ันจะทาขมุกขมวั มอมแมม ชายเห็นจะ เยอ้ื นแย้ม บรภิ าษใหบ้ าดจิต ฯลฯ
โอพ้ ระทูลเกลา้ ของลูกเอ๋ย มัทรนี ี้จะนานเห็น ลูกจะตายหรือจะเป็นไมร่ ทู้ ี่ ขอพระมง่ิ
โมฬี จงอวยชยั จงประสาทพระพรให้แก่ขา้ มัทรแี ตใ่ นกาลครงั้ เดียวน้เี ถิดฯ๓๐๖
จานวนคาในวรรคร่ายยาวไม่กาหนด มีต้ังแต่ ๕ คาข้ึนไป บางทีวรรคหน่ึงมีมากถึง
๑๐ คากม็ ี ข้อกาหนดของรา่ ยยาว คือ ต้องให้คาสุดทา้ ยสมั ผัสกับคาใดคาหนงึ่ ในวรรคถัดไป คา
ที่สัมผัสกันก็มิได้บังคับว่าต้องมีรูปวรรณยุกต์เดียวกันอย่างร่ายสุภาพ และไม่มีกาหนดการจบ
บทด้วย พระยาอุปกิตศลิ ปสาร กล่าวเกยี่ วกบั ร่ายยาวเอาไว้วา่
ร่ายยาว คือร่ายที่ซ่ึงท่านนิยมสัมผัสส่งท้ายวรรคและรับต้นวรรคคาใด ๆ ก็ได้เป็น
สัมผัสเช่อื มกนั เป็นเช่นนี้จนจบ ส่วนวรรณยกุ ตเ์ ชน่ เอกรับเอก โทรบั โท ฯลฯ นนั้ ทา่ นก็นิยมดว้ ย
แตไ่ มเ่ คร่งครดั อย่างร่ายอนื่ ๆ และรา่ ยยาวน้มี ีลักษณะคล้ายคลงึ กับร่ายโบราณมากตา่ งแต่ร่าย
โบราณน้ัน ท่านแต่งเข้ากับโคลงสุภาพท้ังหลายมีกาหนดคาในวรรคหนึ่ง ๆ ไว้ชัดเจนและมี
สมั ผัสและวรรณยกุ ตถ์ ูกตอ้ งดังแผนทไี่ วข้ า้ งบน ส่วนร่ายยาวน้ันเป็นคากานท์ ซึ่งท่านใช้ร้องและ
แตง่ เป็นคาสวดเรอื่ งต่าง ๆ เพือ่ อา่ นสู่กันฟังอย่างคาร้องเพลง หรือคา กลอ่ มลูกของเรา เปน็ ต้น
แต่เพราะเขาใชส้ ัมผัสแบบงา่ ยดังกล่าวมาแลว้ จึงต้องนับเข้าใน ร่ายยาว ส่วนคาในวรรคหนง่ึ ๆ
๓๐๖องค์การค้าของคุรุสภา, มหาเวสสันดรชาดก, (พระนคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว,
๒๕๑๗), หน้า ๗๓-๗๔.
๑๗๓
จะใช้ ๕-๖ คา หรือ ๖-๗ คา หรือมากกว่านี้ก็ได้ แล้วแต่จะเหมาะ แต่ส่งกับรับจะเป็นคาเดียว
รว่ มกันไมไ่ ดฯ้ ๓๐๗
การแต่งร่ายยาวอิสระ ทาให้การถ่ายทอดเนื้อหาและความคิดเป็นไปอย่างอิสระ
อยา่ งเต็มที่ ไม่ถูกข้อกาหนดทางฉนั ทล์ กั ษณเ์ บยี ดบงั ไป โดยมแี ผนผงั ของรา่ ยยาว ดงั นี้
(แต่ละวรรคเกิน ๕ คาได)้
๗.๔.๒ เนอ้ื เร่อื งยอ่
มีเน้ือเรื่องเหมือนกบั มหาชาตคิ าหลวง
๗.๔.๓ คุณคา่ ที่ได้รับ
คุณค่าวรรณคดีชาดกเรอื่ งน้ี คอื
๑) คณุ ค่าดา้ นอกั ษรศาสตร์
ผู้แต่งได้บันทึกถ้อยคาแห่งยุคสมัยเอาไว้ คาหลายคาท่มี ีใช้ไนสมยั โนน้ แตไ่ ม่มี
ใช้ไนสมัยนแี้ ละวรรณคดีเรอ่ื งนี้ยงั ให้ความไพเราะงดงามอนั เน่อื งมาจากการใช้คา ทงั้ ก่อให้เกิด
ภาพพจน์ลักษณะตา่ ง ๆ เชน่ อปุ มา อปุ ลักษณ์ สญั ลักษณ์และเลียนเสียง เป็นต้น นอกจากนย้ี งั
มีรสวรรณคดีต่าง ๆ อันทาให้ผู้อ่าน ผู้ฟัง เกิดความสะเทือนอารมณ์ตามไปด้วยคุณค่าดังกลา่ ว
ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี
พระหลานเอย๋ เคยเสวยข้าวสาลีมีรสหอม พร้อมดว้ ยสูปพยญั ชนะถ้วนถี่ พระ
พ่เี ล้ียงน่งั ช้เี ชญิ ใหเ้ สวย อนิจจานจิ จาพระหลานเอ๋ย จะไปเสวยแต่มลู มนั อันขนื่ ขม ฯ๓๐๘
“สูปพยัญชนะ” เป็นคาที่ไม่พบว่ามีใช้ไนปัจจุบัน สมัยก่อนมีใช้ มักพบใน
วรรณคดีเก่าหลายเรื่อง คาน้ีแยกได้เป็น ๒ คา คือ สูป หมายถึง ของกินที่เป็นน้าแกง ต้ม
พยญั ชนะ หมายถึง กับขา้ วทีไ่ มใ่ ช่แกง (ประเภทไม่มีน้า) ดงั นน้ั คานีจ้ ึงหมายถึงกบั ขา้ ว
“มูลมนั ” เป็นคาท่ีไม่พบว่ามใี ช้ในปจั จบุ นั คานห้ี มายถึง หวั มนั
๓๐๗พระยาอุปกิตศิลปะสาร, หลักภาษาไทย, (กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช,
๒๕๒๒), หนา้ ๔๒๒.
๓๐๘องค์การค้าของคุรสุ ภา, มหาเวสสนั ดรชาดก, หน้า ๘๐.
๑๗๔
แต่อ้ายปากนั้นกล้าว่าไม่กลัว แต่อ้ายใจนั้นระรวั ๆ ตัวก็ส่ันอยู่จริง ๆ อ้ายตีน
พาว่ิงร้ังไม่อยู่ เข่าก็คอยคะเนดูเดินขวะไขว่เขวีย คะเนได้คะเนเสียพอหมายมั่น เม่าก็วิ่งพลาด
ผละ พล้าผลันผละผลุนผลุดออกวงนอก ผนิ หนา้ มาแลว้ ก็แลบลิน้ หลอกบอกวา่ กขู ้ีคร้านอยู่ เขา
กแ็ ลน่ ไลส่ ะพรัง่ พรพู รวดเดยี วกเ็ ขา้ ป่าฯ๓๐๙
ร้อยกรองตอนชูชกว่ิงหนีชาวเมืองเพราะจะถูกรุมประชาทัณฑ์ตอนนี้ กวีใช้
การสัมผัสสระและอักษรก่อให้เกิดความไพเราะงดงามในด้านเสียงสระ เช่น กล่าว-ว่า รัว ๆ-
ตัว หลอก-บอก อกั ษร เช่น กล้า-กลวั คอย-คะเน ด-ู เดิน ขวะ-ไขว่-เขวยี หมาย-มัน่ พลาด-ผละ-
พลา้ -ผลัน-ผลนุ -ผลดุ แล้ว-แลบ-ล้ิน-หลอก แล่น-ไล่ พรัง่ -พร-ู พรวด เป็นตน้
วันนน้ั นางอมิตตดาสาวศรี เมื่อจะตกแต่งเสบยี งให้แก่ธชไี ปทางไกล ออเฒา่ สัง่
ส่ิงใดเข้าก็ ทาได้สิง่ นัน้ ทุกสิ่งสรรพ์เสร็จสรรพสาหรับจะเดินทาง ทั้งลูกเดือยข้าวฟ่างต่าง ๆ ไม่
อย่างเดียว ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ข้าวเม่า เป็นของเดินทาง ถั่ว งา สาคู ข้าวตู ข้าวตาก หลาก ๆ
ไมน่ อ้ ย ทใี่ ส่น้าออ้ ยอรอ่ ยดีลา้ นา้ ผึ้งหวานฉ่า นา้ ตาลหวานเฉอื่ ย เหนือ่ ย ๆ แก้ร้อนผ่อนลงถงุ ไถ้
ฯ๓๑๐
อาหารการกินเป็นของแห้ง พกพาเดินทางไกลและรับประทานได้หลายวนั ไม่
บูดเน่า ได้แก่ ลูกเดือย ข้าวฟ่าง ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ถั่ว งา สาคู ข้าวตู และข้าวตาก
นอกจากน้ีก็มีอาหารที่เป็นนา้ ท่ีรับประทานได้เลยไม่ต้องปรุง คือ น้าผึ้ง และนา้ ตาล อาหาร
หวาน ๒ อย่างนี้ ทาให้มีกาลังดี กวีจึงให้ชูชกเอาไปด้วยเพื่อจะได้เป็นกาลังในการเดินทางไป
และกลับภเู ขาวงกต
๒) คุณค่าด้านคติธรรม คติธรรมท่ีได้จากวรรณคดีเรอ่ื งน้ี เช่นเป็นสตรีต้องอยู่
กับเหย้าเฝ้ากับเรือน การร้จู ักสังเกตพฤติกรรมคน การทาอะไรต้องมคี วามรอบคอบและอดทน
เพราะเปน็ การนาไปสู่ความสขุ ความสาเรจ็ เป็นตน้ คตธิ รรมนี้มีในบทรอ้ ยกรองจากในเรอื่ ง ดังน้ี
แม่เอ้ยต้ังแต่นี้พ่ีจะห่างเหินไปจากเจ้า แม่จงอยู่กับเหย้าเฝ้าอยู่กับเรือน อย่า
เท่ียวพูด คบเพ่ือนจะเสียตัว ชาติเช้ือช่ัวมันจะหยอกเอิน ถ้ามันจะกรีดกรายเกริ่นเข้ามาเกี้ยว
๓๐๙เร่ืองเดยี วกัน, หนา้ ๑๘๐.
๓๑๐อา้ งแล้ว, หนา้ ๑๕๓.
๑๗๕
พาน แม่อย่าได้สามานย์ด้วยวาจา มันจะตามถ้อยคาเข้ามาประสมประสาน เกลือกว่าเหยือ่ มนั
สาธารณ์แมจ่ ะอดสู ค่อยก้มหนา้ ก้มตาอยู่แต่ในเคหา ฯ
ชูชกสอนอมิตตตาภรรยาสาวว่า ต้องอยู่กับเหย้าเฝ้าเรือน อย่าเท่ียวคบเพ่อื น
ไมเ่ ลือกหนา้ และอย่าได้พดู เล่นกับผู้ชายหากไม่ทาตามท่ีบอกความเสยี หายจะเกิดข้ึนได้คาสอน
ของชูชกคือ การปฏิบัติของหญิงท่ีมีสามีแล้วในสมัยก่อนน่ันเอง ทั้งนี้เพื่อช่ือเสียงของตนและ
สามี
อ้ายเสือเฒ่าจาศีลใครจะรู้เล่ห์ พโก มจฺฉมิโวทเก ทาเสแสร้งซนซอก ด่ังว่า
นกยางกรอกซอกซึมเซา เท้าเทยี่ วแหยย่ ่องสบั ปลาฯ
ชูชกเป็นคนมเี ลหเ์ หล่ียม ท่าทางดูหงอยเหงาเหมือนนกกระยางท่ีหาปลาในนา
ทาเอาเท้าแหย่เล่นพอได้จังหวะก็จับปลากิน ชูชกเป็นคนไว้ใจไม่ได้ เผลอเม่ือใรเป็นต้องสร้าง
ความเดือดร้อนให้ผู้อ่ืน คติธรรมเปรียบตอนน้ี กวีได้มาจาก พกชาดก นิบาตชาดกในพระ
สุตตันตปิฎก ซ่ึงกล่าวถึงนกกระยางหาปลาในหนองน้าแห้งมาบอกปลาว่าจะช่วยพาไปที่หนอง
นา้ ใหม่ที่มีน้า ครนั้ ปลายินยอมไปด้วย นกกระยางก็พาปลาไปทีละตัว ระหว่างทางก็กินปลาทุก
ทีไปเมื่อปลาหมดเหลอื แต่ปู นกกระยางก็บอกเช่นเดียวกัน ครัน้ ใกล้ถึงหนองน้าแหง่ ใหม่ ปูเห็น
ก้างปลาเตม็ ไปหมด ปูกห็ นบี คอนกกระยางไวด้ ้วยร้ทู นั เลห่ ์เหลีย่ ม นกกระยางจงึ ยอมปล่อยปไู ป
ดังนั้น ในการคบคน กวจี งึ ใหข้ ้อคิดวา่ จะตอ้ งพจิ ารณาเสยี กอ่ น อนึ่ง คาโบราณทา่ นวา่ ชา้ ๆ จะ
ได้พร้าสองเลม่ งาม ด่วนได้ด้วยสามผลามมักพลิกแพลง๓๑๑
“ช้า ๆ ได้พร้าสองเล่ม” เป็นคติธรรมสงั คมที่สืบทอดกันมานานแลว้ หมายถึง
การทาอะไรต้องอดทนแล้วจะประสบความสาเรจ็ ถา้ ใจร้อนจะเสยี การ
เวสฺสนฺตโร ราชา อันว่าสมเด็จบรมขัติยาธิบดินทร์อสัมภินวงค์ เวสสันดร
มหาราช สปญฺโญ อันประกอบด้วยพระปรีชาฉลาดในท่ีจะบาเพ็ญทาน ทาน ทตฺวาน ทรงสืบ
สร้าง พระกฤดาภนิ หิ ารบริจาค อันมากบริบูรณ์แก่พระอัซฌาสัย ตราบเท่ากาหนดพระชนม์ชีพ
ได้ร้อยย่ีสิบพระวรรษา กายสฺส เภทา ก็ทาลายปัญจุปาทานขันธ์สวรรคตข้ึนไปอุบัติปรากฏ
เป็นสนั ตุสิตเทวราช เสวยทิพยสมบตั ใิ นรตั นพิมานมาศเมืองสวรรค์ชัน้ ดุสติ เทวภภิ พฯ๓๑๒
๓๑๑อา้ งแล้ว, หนา้ ๒๑๖.
๓๑๒อ้างแล้ว, หน้า ๓๙๓.
๑๗๖
พระเวสสันดรทรงบาเพ็ญทานบารมี เป็นทานที่ย่ิงใหญ่ส่งผลให้สาเร็จพระ
โพธิญาณ คือ สตั สตกมหาทาน บตุ รทาน และภรยิ าทาน ครั้นสิ้นพระชนม์จากมนษุ ยโ์ ลกก็ทรง
กาเนิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดุสิต ต่อมาจุติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะในพระครรภ์พระนางสิริมหา
มายาแห่งกรุงกบลิ พัสด์ุ และเสดจ็ ออกบาเพ็ญศีลแสวงหาสัจธรรมจนได้ตรสั รูเ้ ป็นพระพทุ ธเจ้า
๗.๕ สรุป
๗.๕.๑ ชาดกกับวรรณคดไี ทย
วรรณคดีไทยเป็นชาดกแบบฉบับ หรือวรรณคดีชาดกราชสานัก หมายถึง วรรณคดี
ชาดกท่ีพระมหากษัตริย์ทรงพระราชนิพนธ์หรือรับส่ังประชุมกวี แต่งข้ึนอย่างพิถีพิถันในด้าน
การใชภ้ าษาและรูปแบบฉนั ทลักษณ์ ผแู้ ตง่ เปน็ ผูท้ รงคณุ ความรู้อย่างย่ิงจงึ เป็นแบบอย่างในการ
แต่งวรรณคดีของชนรุ่นหลัง วรรณคดีชาดกท่ีเก่าท่ีสุดคือวรรณคดีชาดกสมัยอยุธยาเรื่อง
"มหาชาติคาหลวง" วรรณคดีชาดกแบบฉบับไทยมี สมุทรโฆษคาฉันท์ กาพย์มหาชาติ มหา
เวสสนั ดรชาดก
๗.๕.๒ มหาชาติคาหลวง
เป็นวรรณคดีชาดกท่ีสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงรับสั่งให้ประชมุ นกั ปราชญ์
ราชบัณฑิตแต่งข้ึนโดยแปลจากฉบับภาษามคธ เอาภาษามคธต้ังตามด้วยภาษาไทยสลับกันไป
คาประพันธ์ท่ีใช้มีท้ังร่าย กาพย์ โคลง และฉันท์ เน้ือเรื่องมี ๑๓ กัณฑ์ ถือว่ามหาชาติคาหลวง
ฉบบั นี้เป็นชาดกฉบบั ภาษาไทยทเ่ี ก่าที่สุด
คาประพันธท์ ่ใี ชแ้ ตง่ ผู้แตง่ ใช้ภาบาลีเดมิ ต้งั บาท ๑ แปลเปน็ กาพยภ์ าษาไทยวรรค ๑
สลับกันไป ภาษาไทยแต่งเป็นฉันทบ์ ้าง โคลงบ้าง ส่วนมากเปน็ ร่าย ตามความถนดั ของปราชญ์
แต่งเพ่ือประกวดความไพเราะและความใกลเ้ คียงกบั ตน้ ฉบบั ภาษาบาลีมากทีส่ ดุ
๗.๕.๓ สมุทรโฆษคาฉันท์
เป็นวรรณคดีสโมสรอยุธยาที่แต่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ถือกันว่า
เปน็ ยุคทองของวรรณคดไี ทย สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช โปรดฯ ใหพ้ ระมหาราชครูแต่งขนึ้ ใน
วโรกาสพระชนมายุครบเบญจเพส แต่แต่งไม่จบ ถึงแก่กรรมเสียก่อน พระองค์ทรงพระราช
๑๗๗
นิพนธต์ ่อก็ไมจ่ บเพราะเสด็จสวรรคตเสียกอ่ น จนถึงสมัยกรงุ รัตนโกสินทร์ตอนตน้ สมเดจ็ ฯ พระ
มหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ิตชิโนรสทรงนิพนธ์ตอ่ จนจบเร่อื ง
คาประพันธ์ท่ีใช้ในการแต่งมีท้ังกาพยแ์ ละฉันท์ กาพย์ ได้แก่ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์
ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ฉันท์ เช่น อินทรวิเชียรฉันท์ วสันตดิลกฉันท์ และสัท
ทลุ วกิ กฬี ิตฉนั ท์
๗.๕.๔ กาพย์มหาชาติ
แตง่ สมัยพระเจ้าทรงธรรมแหง่ กรงุ ศรีอยุธยา โปรดฯ ใหแ้ ต่งมหาชาติขึน้ ใหม่ เพราะ
ตอ้ งการใหฟ้ ังจบภายในวันเดียว
คาประพนั ธ์ท่ีใช้แตง่ กาพยม์ หาชาติแตง่ ดว้ ยรา่ ยยาว ร้อยกรองบางตอน
๗.๕.๕ มหาเวสสันดรชาดก
เป็นผลงานของกวีสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีหลายท่านร่วมกันแต่ง มีทั้งหมด
๑๓ กัณฑ์ เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรสถึง ๕ กัณฑ์
รองลงมาเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ๓ กณั ฑ์ เจา้ พระยา
พระคลัง (หน) ๒ กณั ฑ์ และสานกั วดั ทมี่ กี วยี อดเยีย่ มอีกท่านละ ๑ กัณฑ์
คาประพันธ์ที่ใช้แต่ง มหาเวสสันดรชาดกแต่งด้วยคาประพันธ์ร้อยกรอง ร่ายยาว
ทั้งหมด ดว้ ยคาประพนั ธร์ ้อยกรองรา่ ยยาว
๑๗๘
บทท่ี ๘
สุภาษติ จากชาดก
วัตถปุ ระสงค์การเรียนประจาบท
เม่ือไดศ้ ึกษาเนื้อหาในบทน้ีแล้ว ผู้ศึกษาสามารถ
๑. อธบิ ายความหมายของสภุ าษิตได้
๒. อธบิ ายความเปน็ มาของสภุ าษิตได้
๓. อธบิ ายสภุ าษิตไทยทีม่ าจากชาดกได้
๔. อธิบายพทุ ธศาสนสุภาษติ ในนทิ านชาดกได้
ขอบขา่ ยเน้อื หา
ความนา
ความหมายและความเปน็ มาของสุภาษติ
สภุ าษิตไทยท่มี าจากชาดก
พทุ ธศาสนสุภาษติ ในชาดก
๑๗๙
บทท่ี ๘
สุภาษติ จากชาดก
๘.๑ ความหมายและความเป็นมาของสุภาษติ
๘.๑.๑ ความหมายของสุภาษิต
ภาษิต เป็นภาษาสันสกฤต เป็นคานาม บาลีเขียนว่า ภาสิต กิริยากิตก์ (ภา+อ+ิ
ต)แปลวา่ กลา่ วแลว้ เปน็ คานาม แปลวา่ คาพูดที่มคี ต๓ิ ๑๓
ภาษิต เป็นคานาม แปลว่า ถ้อยคาหรือข้อความท่ีกล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้วมี
ความหมายเปน็ คติ เช่น กงกากงเกวยี น เป็นภาษาสนั สกฤต บาลเี ขยี นว่า ภาสิต๓๑๔
สุภาษิต คานาม เป็นถ้อยคาหรือข้อความท่ีกล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้วมี
ความหมายเป็นคติสอนใจ เช่นรักยาวให้บ่ัน รักส้ันให้ต่อ น้าเช่ียวอย่าขวางเรือ เป็นต้น ภาษา
บาลเี ขียนวา่ สุภาสิต แปลวา่ ถ้อยคาทก่ี ล่าวดแี ลว้ ๓๑๕
๘.๑.๒ ความเปน็ มาของสุภาษติ
ในมงคล ๓๘ ประการ๓๑๖ สุภาษติ ปรากฏในมงคลข้อท่ี ๑๐ ว่า
สุภาสิตา จ ยา วาจา แปลว่า วาจาสุภาษิต หมายความว่า การกล่าววาจาที่ดีงาม
ไพเราะอ่อนหวาน ไม่หยาบคาย ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “การพูดวาจาสุภาษิตนั้น เป็น
มงคลอนั สูงสดุ ”
ประเดน็ สาคญั ของสุภาษติ กค็ อื หลกั ธรรมเกีย่ วกับเร่อื งการพูดหรอื วาจาทป่ี รากฏใน
ทตี่ ่าง ๆ น้นั พระพุทธองคไ์ ด้วางหลักเกณฑโ์ ดยสรุปไว้ในมงคล ๓๘ ประการ ข้อท่ี ๑๐ นี้
๓๑๓แปลก สนธิรักษ์, พจนานุกรม บาลี-ไทย, พิมพ์ครั้งท่ี ๔, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท
อมรินทร์ พร้นิ ตงิ้ กรุพ๊ จากัด, ๒๕๓๒), หนา้ ๒๔๙.
๓๑๔ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔, พิมพ์ครั้งที่ ๒,
(กรงุ เทพมหานคร : นานมีบ๊คุ ส์ จากดั , ๒๕๕๗), หน้า ๘๗๐.
๓๑๕เรือ่ งเดียวกนั , หนา้ ๑๒๔๕.
๓๑๖ขุ.ข.ุ (ไทย) ๒๕/๕/๖.
๑๘๐
ฉะนั้น จะเป็นบรรพชิตหรอื คฤหัสถ์พดู ก็ตาม ถ้าใครพูดไม่ดี ก็อาจทาให้เกิดโทษทง้ั
แก่ตนเองและผู้อื่น ตลอดถึงสังคมโดยสว่ นรวมได้ ดงั นนั้ พระพุทธองคจ์ งึ ได้ตรัสแสดงให้เห็นถึง
ส่วนประกอบของวาจาสภุ าษิต ท่ีบุคคลใดพูดแลว้ จะไม่มีโทษและวญิ ญูชนทั้งหลายตเิ ตียนไมไ่ ด้
ดังที่ปรากฏในสภุ าสติ สูตรว่า
ภิกษทุ ั้งหลาย วาจาประกอบดว้ ยองค์ ๔ เป็นสภุ าษิต ไมเ่ ป็นทพุ ภาษิต ไม่มีโทษ แล
วิญญูชนทั้งหลายไม่ตเิ ตียน วาจาประกอบดว้ ยองค์ ๔ อะไรบา้ ง คอื
๑. กล่าวแตว่ าจาสภุ าษติ อยา่ งเดียว ไมก่ ลา่ ววาจาทุพภาษิต
๒. กลา่ วแต่วาจาทีเ่ ปน็ ธรรมอย่างเดียว ไมก่ ลา่ ววาจาท่ไี มเ่ ป็นธรรม
๓. กลา่ วแต่วาจาอนั เปน็ ทร่ี ักอยา่ งเดยี ว ไม่กลา่ ววาจาอนั ไม่เป็นทร่ี กั
๔. กลา่ วแตว่ าจาจริงอยา่ งเดียว ไม่กลา่ ววาจาเหลาะแหละ
ภิกษุท้ังหลาย วาจาประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่าน้ีแล เป็นสุภาษิต ไม่เป็นทพุ ภาษติ
ไม่มโี ทษ และวญิ ญชู นทั้งหลายไม่ตเิ ตยี น๓๑๗
พระพทุ ธองคต์ รสั แก่ภิกษุทงั้ หลายในวาจาสตู ร ถึงองคป์ ระกอบของวาจาสุภาษติ ว่า
ภกิ ษทุ ้งั หลาย วาจาประกอบดว้ ยองค์ ๕ ประการ เป็นวาจาสภุ าษิต ไมเ่ ปน็ วาจาทุพ
ภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และท่านผู้รู้ไม่ติเตียน วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ อะไรบ้าง
คอื
๑. พูดถูกกาล
๒. พดู คาจริง
๓. พูดคาออ่ นหวาน
๔. พดู คาประกอบดว้ ยประโยชน์
๕. พูดดว้ ยเมตตาจิต
ภิกษุทั้งหลาย วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการน้ีแล เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็น
วาจาทพุ ภาษติ เป็นวาจาไม่มโี ทษ และทา่ นผรู้ ู้ไม่ติเตียน๓๑๘
๓๑๗ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๑๓/๓๐๘.
๓๑๘องฺ.ปญจฺ ก. (ไทย) ๒๒/๑๙๘/๓๓๘.
๑๘๑
พระพทุ ธองค์ไมท่ รงสรรเสรญิ วาจาท่ไี ม่จริง วาจาท่กี ่อให้เกิดโทษแก่ผู้อืน่ แม้ผู้พูดจะ
พดู ไดไ้ พเราะออ่ นหวานโดยอุบายอนั แยบคายมากมายจนทาให้คนอนื่ เช่อื ในถ้อยคาของตนได้ก็
ตาม ก็สู้คาพูดเพียงคาเดียวท่ีประกอบด้วยประโยชน์ ทาให้จิตใจของผู้สดับสงบไม่ได้ ดังท่ี
ปรากฏใน ขุททกนิกาย ธรรมบทว่า “คาพูดท่ีเหลวไหลไร้ประโยชน์ต้ังพันคา ก็สู้คาพูดที่มี
ประโยชน์เพียงคาเดียวไม่ได้ เพราะฟงั แลว้ ทาให้จิตใจสงบ”๓๑๙
การพูดนัน้ เมอ่ื พดู ใหถ้ กู กาล พูดคาจรงิ พูดสภุ าพออ่ นหวาน พูดสิ่งท่เี ปน็ ประโยชน์
พูดด้วยจติ เมตตา ยอ่ มทาให้สิ่งทผ่ี ้พู ดู ปรารถนาประสบผลสาเร็จได้ ทัง้ ทาให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์
ด้วย ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า “เปล่งวาจางามทาให้ประโยชน์สาเร็จได้”๓๒๐ เพราะคาพูดท่ี
ประกอบด้วยองค์ ๕ ประการนั้น ย่อมเป็นท่ีประทับใจของผู้ได้ยินได้ฟัง ทาให้อยากจะฟัง
อยากจะเข้าไปนั่งใกล้ เม่ือได้ฟังแล้วย่อมได้รับประโยชน์จากการฟังด้วย จากพระพุทธพจน์ท่ี
ปรากฏในชาดก ทาให้เห็นว่าการพูดถึงแม้จะเป็นวาจาสุภาษิตก็ตาม ถ้าไม่เลือกกาลเทศะก็จะ
ทาใหเ้ กดิ โทษกบั ผู้พูดได้ หรือทาใหผ้ ้ฟู ังไมไ่ ด้รบั ประโยชน์ในสง่ิ ทพี่ ูดเลย
พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “การส่ือภาษาเพื่อ
เข้าถึงสัจธรรม” สรุปใจความได้ว่า ภาษาหรือคาพูดน้ันมีประโยชน์มากเพราะสามารถส่ือ
ความหมายให้ผู้ฟังเข้าใจถึงสภาวะต่าง ๆ ได้ตั้งแต่ขั้นสมมติจนถึงขั้นปรมัตถ์ ภาษาที่คนเราใช้
สว่ นใหญ่อยใู่ นระดับสมมติ แต่ในการสื่อความหมายที่จะเข้าถงึ สัจธรรมน้ัน ถ้าต้องการสจั ธรรม
โดยสมบูรณ์จะต้องเข้าถึงปรมัตถ์ด้วย ภาษาในระดับสมมติก็อาจจะมาบังความจริงในระดับ
ปรมัตถ์ได้ ในเม่ือคนเราใช้ภาษากันไปแล้วก็มคี วามยึดติดในภาษาตามท่ีตนมีอยู่ ฉะนั้น คนจึง
ไมส่ ามารถเข้าถึงความจริงได้ เพราะไปติดอย่แู ค่ภาษา คนท่ีเขา้ ใจความจริงก็คือรูว้ ่าภาษาน้ีเป็น
เพยี งสื่อสาหรบั ให้เราเข้าถึงสัจธรรมเท่านน้ั ภาษาน้ันเปน็ ส่อื เพอ่ื เข้าถึงสัจธรรม แตไ่ ม่ใช่ ส่อื สัจ
ธรรม หมายความว่าเม่ือพูดอย่างเคร่งครัดเราไม่พูดว่าภาษาเป็นส่ือสัจธรรม เพราะว่าภาษา
แสดงสัจธรรมออกมาไม่ได้ แต่ภาษาเป็นสื่อเพื่อเข้าถึงสัจธรรม คือภาษาสามารถทาให้คนที่
๓๑๙ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๑๐๑/๖๑.
๓๒๐ขุ.ชา.เอกก. (ไทย) ๒๗/๘๘/๓๗.
๑๘๒
ฉลาดใช้ความคิดพิจารณาเชื่อมโยงเพื่อจะเข้าถึงความจริงได้ต่อไป ซ่ึงในแง่น้ีแหละภาษามี
ประโยชนม์ าก๓๒๑
๘.๒ สุภาษิตไทยทีม่ าจากชาดก
จุดมุ่งหมายสาคัญของนิทานชาดกก็เพ่ือใช้ในการอบรมส่ังสอนคุณธรรมและ
จริยธรรม ดังนั้น จึงมีการสอดแทรกสุภาษิตในนิทานชาดก ดังความตอนหนึ่ง ในพระบรม
ราชาธิบายเร่ืองนบิ าตชาดกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัววา่
นิทานทมี่ าในพระพุทธศาสนาก็มักจะเปน็ นิทานเปรียบเทียบสาหรับให้ผู้ศึกษาเข้าใจ
ธรรมง่าย ไม่เบ่ือหน่ายในการที่จะเล่าเรียน สังเกตดูนิทานข้างล่างนี้ มีคติธรรมหรือสุภาษิตที่
เปน็ ความมุ่งหมายอยา่ งใดอย่างหน่ึง พระพุทธเจ้าได้ตรสั ส่งั สอน ไดแ้ ก่๓๒๒
สุภาษิตในชาดกในนิทานเร่ืองหน่ึงอาจจะมุ่งแสดงสุภาษิตมากกว่าหนึ่งบทก็ได้
โดยเฉพาะนิทานชาดกที่มีคาถามาก สุภาษิตในชาดกก็จะมีมากขึ้น ถึงแม้คติธรรมคาสอนใน
ชาดกจะมีมากมาย แต่ก็อาจประมวลเป็นธรรมสุภาษิตในส่วนสัจธรรม และจรยิ ธรรม
สัจธรรม หมายถึง คาสอนทีเ่ กี่ยวกบั สภาวะของสิง่ ท้งั หลาย หรอื ธรรมชาตแิ ละความ
เปน็ ไปของสิ่งธรรมดาทง้ั หลาย สว่ นใหญจ่ ะสัมพนั ธ์กบั ตัวละครและบทบาทสาคัญในเร่ืองว่าตัว
ละครประพฤตเิ ช่นน้ันแล้วได้รบั ผลเปน็ อยา่ งไร
จริยธรรม หมายถึง การถือเอาประโยชน์จากความรคู้ วามเข้าใจในสภาพและความ
เป็นไปของส่ิงทั้งหลาย หรือการรู้กฎธรรมชาติแล้วนาไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ ส่วนใหญ่จะ
เป็นการแนะนาให้ประพฤติปฏิบัติหรือห้ามไม่ให้กระทาอย่างใดอย่างหน่ึง สุภาษิตในนิทาน
ชาดกสามารถแบง่ ออกเปน็ ๓ ประเภท คอื สภุ าษติ หา้ มประพฤติชว่ั สภุ าษิตสอนใหป้ ระพฤติดี
และสภุ าษติ แสดงสัจธรรมและสภาวธรรม ดังนี้
๓๒๑พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), การส่ือภาษาเพ่ือเข้าถึงสัจธรรม, (กรุงเทพมหานคร :
ธรรมสภา, ๒๕๓๙), หนา้ ๔๕.
๓๒๒พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, “พระบรมราชาธิบายเรื่องนิบาตชาดก”, พระ
คัมภีร์ชาดกแปลฉบบั ส.อ.ส. เล่ม ๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พแ์ ม้นศร,ี ๒๔๙๓), หนา้ ๑๑.
๑๘๓
๘.๒.๑ สุภาษติ ห้ามประพฤตชิ วั่
สุภาษิตห้ามประพฤติชั่ว คือนิทานชาดกท่ีมุ่งแสดงสุภาษิตที่เป็นข้อห้าม งดเว้น
ไม่ใหป้ ระพฤตปิ ฏบิ ัติในทางท่ผี ดิ มิชอบ
ลาดับที่ สภุ าษิตห้ามประพฤติชว่ั นิทานชาดกเร่อื งท่ี
๑ อย่าโลภมาก สุวรรณหงสชาดก (เรอื่ งที่ ๑๓๖)
โลลชาดก (เรือ่ งที่ ๒๗๔)
๒ อย่าโกง กโปตชาดก (เรอ่ื งท่ี ๓๗๕)
๓ อยา่ พยาบาทปองรา้ ย มณิชาดก (เรื่องที่ ๓๙๕)
๔ อยา่ อาฆาตจองเวร สงิ คาลชาดก (เร่อื งท่ี ๑๔๘)
อนสุ สสกิ ชาดก (เรอ่ื งท่ี ๑๑๕)
๕ อย่าเปน็ ศัตรตู อ่ กัน กัณหชาดก (เรื่องท่ี ๒๙)
๖ อย่ารงั แกผู้น้อย กูฏวาณิชชาดก (เรื่องท่ี ๑๙๖)
๗ อย่าอิจฉาผอู้ ่ืน กากชาดก (เรอ่ื งที่ ๑๔๐)
๘ อยา่ หลอกลวงผอู้ นื่ ฉัททนั ตชาดก (เร่อื งท่ี ๕๑๔)
กาสาวชาดก (เรอ่ื งท่ี ๒๒๑)
กปชิ าดก (เรือ่ งท่ี ๔๐๔)
ผนั ทนชาดก (เร่อื งท่ี ๔๗๕)
นกลุ ชาดก (เรอ่ื งที่ ๑๖๕)
อรุคชาดก (เรื่องที่ ๑๕๔)
ลฏกุ กิ ชาดก (เรื่องที่ ๓๕๗)
มุณกิ ชาดก (เรอื่ งที่ ๓๐)
สาลูกชาดก (เรอื่ งที่ ๑๙๖)
มหากปชิ าดก (เรื่องที่ ๕๑๖)
อพั ภนั ตรชาดก (เรือ่ งที่ ๒๘๑)
พกชาดก (เร่ืองที่ ๓๘)
๑๘๔
มสุ ิกชาดก (เรอ่ื งที่ ๑๒๘)
อคั คกิ ภารัทวาชชาดก (เรื่อง ๑๒๙)
ธมั มธชชาดก (เรอื่ งที่ ๓๘๔)
๙ อย่าทาอุบายหลอกลวงในคราบผู้ทรง พกชาดก (เร่ืองท่ี ๓๐๐)
ศลี โคธชาดก (เรื่องที่ ๓๒๕)
มักกฏชาดก (เรื่องท่ี ๑๗๓)
อาทิจจปุ ัฏฐานชาดก (เร่อื งที่ ๑๗๕)
๑๐ อย่าทามารยาจนเกนิ งาม วาตคั คสนิ ธวาชาดก (เร่ืองท่ี ๒๖๖)
๑๑ อยา่ อวดดี ชมั พุกชาดก (เรื่องที่ ๕๓๕)
สกณุ ชาดก (เร่ืองท่ี ๓๖)
คถู ปาณกชาดก (เรอื่ งที่ ๒๒๗)
วิโรจนชาดก (เรอื่ งท่ี ๑๔๓)
๑๒ อยา่ ลืมตน อวดดี เยอ่ หยงิ่ กกณั ฏกชาดก (เร่อื งที่ ๑๗๐)
๑๓ (ศษิ ย์) อยา่ คิดส้คู รู อุปาหนชาดก (เรื่องที่ ๒๓๑)
๑๔ อยา่ ด้อื ดงึ ไมเ่ ช่อื ฟงั คาผใู้ หญ่ ขราทยิ ชาดก (เร่ืองท่ี ๑๕)
๑๕ อยา่ แก่งแยง่ ววิ าทกัน สัมโมทมานชาดก (เรื่องท่ี ๓๓)
ทพั พบุปผชาดก (เรื่องท่ี ๔๐๐)
๑๖ อยา่ ฆ่าสัตว์ มตกภัตตชาดก (เรือ่ งท่ี ๑๘)
๑๗ อย่าประพฤตผิ ดิ ในกาม จุลลธนคุ คหชาดก (เรื่องที่ ๓๗๔)
กากาติชาดก (เรอ่ื งท่ี ๓๒๗)
สุสนั ธชี าดก (เรอ่ื งท่ี ๓๖๐)
กุณาลชาดก (เรือ่ งท่ี ๕๓๖)
๑๘ อย่ามัวเมาในกาม มัจฉชาดก (เร่ืองที่ ๓๔)
วสิ าสโภชนชาดก (เรอื่ งที่ ๙๓)
มจั ฉชาดก (เร่อื งท่ี ๒๑๖)
๑๙ อย่าอาลัยในรกั จนเกินไป อสั สกชาดก (เรอื่ งที่ ๒๐๗)
๑๘๕
๒๐ อยา่ พูดเท็จ กกั การชุ าดก (เร่อื งท่ี ๓๒๖)
๒๑ อยา่ พูดสอ่ เสียด ยยุ งเขา วณั ณาโรหชาดก (เรอ่ื งท่ี ๓๖๑)
๒๒ อย่าพูดเพอ้ เจอ้ กจั ฉปชาดก (เรอ่ื งที่ ๒๑๕)
สาลติ ชาดก (เร่ืองที่ ๑๐๗)
๒๓ อยา่ กลา่ ววาจาหยาบคาย สุชาตชาดก (เรอื่ งท่ี ๒๖๙)
นนั ทวิ สิ าลชาดก (เร่ืองท่ี ๒๘)
๒๔ อยา่ พูดสอด จตมุ ัตถชาดก (เรือ่ งที่ ๑๘๒)
๒๕ อย่ากล่าวยกยอคุณทไี่ มม่ ใี นตน ชมั พขุ าทกชาดก (เรือ่ งท่ี ๒๙๔)
อนนั ตตชาดก (เรือ่ งที่ ๒๙๕)
๒๖ อยา่ พดู โดยไมร่ ้กู าลเทศะ ติตติรชาดก (เรอื่ งท่ี ๑๑๗)
อกาลราวชี าดก (เรือ่ งท่ี ๑๑๙)
โกกาลกิ ชาดก (เรือ่ งที่ ๓๓๑)
๒๗ อยา่ ดีใจจนขาดสติ โมรนัจจชาดก (เรือ่ งที่ ๓๒)
๒๘ อย่าเป็นคนขลาดเขลา ทพุ พลกฏั ฐชาดก (เร่อื งที่ ๑๐๕)
๒๙ อย่าทาในสิง่ ผิดวิสัย กากชาดก (เรอ่ื งท่ี ๑๔๖)
วิรกชาดก (เร่ืองที่ ๒๐๔)
กันทคลกชาดก (เรอื่ งท่ี ๒๑๐)
๓๐ อยา่ ต่ืนขา่ วลอื (กระต่ายตน่ื ตมู ) ทัทธภายชาดก (เร่อื งที่ ๓๒๒)ฃ
๓๑ อยา่ เคารพสิ่งทไ่ี มค่ วรเคารพบูชา จัมมสาฏกชาดก (เรือ่ งที่ ๓๒๔)
สันชีวกชาดก (เรื่องที่ ๑๕๐)
๓๒ อย่ากลัวตาย ตุณฑลิ ชาดก (เรื่องที่ ๓๘๘)
๓๓ อยา่ อาลยั ในท่อี ย่จู นตัวตาย กัจฉปชาดก (เร่ืองท่ี ๑๗๕)
๓๔ อย่าเสพอาหารสาสอ่ น วฏั ฏกชาดก (เร่อื งที่ ๓๗๔)
๓๕ อย่าบอกความลับแก่ผใู้ ด ปณั ฑรกชาดก (เร่อื งที่ ๕๑๘)
๓๖ อย่ารับใช้เจ้านายไม่รู้ความดีท่ีลูกน้อง ทุมเมธชาดก (เร่อื งท่ี ๑๒๒)
กระทา
๑๘๖
๓๗ อย่าเข้าใกล้ผู้อวดดีที่ฉลาดในอุบาย สูกรชาดก (เร่อื งท่ี ๑๕๓)
สกปรก
๓๘ อยา่ ทาทรุ าจารในทส่ี าธารณะ อุทปานทูนสกชาดก (เรือ่ งท่ี ๒๗๑)
๓๙ อย่าหูเบาเช่อื ฟังคาคนงา่ ย สนั ธิเภทชาดก (เร่อื งที่ ๓๑๙)
๔๐ อย่าทาคณุ แก่สตั ว์รา้ ย (คนพาล) เวฬกุ ชาดก (เร่อื งที่ ๔๓)
อินทสมานโคตตชาดก (เรอ่ื งที่๑๖๑)
ชวสกุณชาดก (เรือ่ งท่ี ๓๐๖)
ทพุ นยิ มักกฏชาดก (เร่อื งที่ ๑๗๓)
๔๑ อยา่ คบคนพาล โคธชาดก (เร่ืองท่ี ๑๔๑)
สันติคุมพชาดก (เรอ่ื งที่ ๕๐๓)
๔๒ อย่าฉลาดในอุบายนอกรีต อารามทูสกชาดก (เรื่องที่ ๔๖)
๔๓ อยา่ ทาความชัว่ มหากณั หชาดก (เร่อื งท่ี ๔๖๙)
๘.๒.๒ สุภาษิตสอนใหป้ ระพฤติดี
สภุ าษติ สอนให้ประพฤติดี คอื นทิ านชาดกทม่ี งุ่ แนะนาสั่งสอนใหน้ าไปประพฤติปฏิบัติ
ในทางทดี่ ีท่ีชอบ
ลาดับที่ สุภาษิตสอนให้ประพฤติดี นทิ านชาดกเรอื่ งที่
๑ จงมีความเมตตากรุณา วลาหกัสสราชชาดก (เร่ืองที่ ๑๙๖)
๒ จงมคี วามรกั ในพีน่ ้อง โรหนมคิ ชาดก (เรือ่ งที่ ๑๙๖)
๓ จงมีความรักในสามี (ภรรยา) ภลั ลาตกิ ชาดก (เรอ่ื งท่ี ๕๐๔)
จนั ทกนิ นรชาดก (เร่อื งที่ ๔๘๕)
๔ จงมีความกตัญญู คุณชาดก (เร่อื งท่ี ๑๕๗)
คิชฌชาดก (เรอื่ งท่ี ๑๙๖)
๕ จงรจู้ กั คณุ มารดาบิดา (เลยี้ งดูมารดาบิดา) มาตโุ ปสกชาดก (เรือ่ งท่ี ๔๕๕)
สาลเิ กชาดก (เรื่องที่ ๔๘๔)
๖ จงช่วยเหลือพ่ึงพาอาศัยกนั ๑๘๗
๗ จงเปน็ ผ้สู ันโดษมกั นอ้ ย พยคั ฆชาดก (เรอ่ื งท่ี ๒๗๒)
๘ จงมคี วามสตั ย์ กุรุงคชาดก (เร่ืองท่ี ๒๐๖)
๙ จงมีวาจาออ่ นหวาน สวุ รรณกักฏกชาดก (เร่อื งท่ี ๓๘๙)
๑๐ จงมสี ติ รอบคอบ ไม่ตนื่ เตน้ มหาสวุ ราชชาดก (เร่อื งท่ี ๔๒๙)
๑๑ จงมคี วามรอบคอบ จลุ สุวราชชาดก (เรอ่ื งท่ี ๔๓๐)
วฏั ฏกชาดก (เร่อื งที่ ๓๕)
๑๒ จงมคี วามเคารพซงึ่ กนั และกัน จลุ หังสชาดก (เร่ืองท่ี ๕๓๓)
๑๓ จงมีความเช่ือฟงั มหาหงั สชาดก (เรอื่ งที่ ๓๔)
ตณิ ฑุกชาดก (เรือ่ งท่ี ๑๗๗)
๑๔ จงมีความกลา้ หาญและอดทน กุรุงคมคิ ชาดก (เร่ืองท่ี ๒๑)
๑๕ จงมีความกล้าหาญและเสียสละ ททั ธภายชาดก (เร่อื งท่ี ๓๒๒)
กาฬพาหชุ าดก (เรื่องท่ี ๓๒๙)
๑๖ จงมีความอดทนวางเฉย ติตติรชาดก (เรือ่ งที่ ๓๗)
คชิ ฌชาดก (เร่ืองที่ ๔๒๗)
ปลาสชาดก (เรื่องท่ี ๓๗๐)
สกุ ชาดก (เรื่องที่ ๒๕๕)
โภชาชนียชาดก (เรือ่ งที่ ๒๓๖)
อาชัญญชาดก (เรื่องที่ ๒๔)
มหากปิชาดก (เร่อื งท่ี ๔๐๗)
นนั ทยิ มคิ ราชชาดก (เร่ืองท่ี ๓๖๕)
สวุ ัณณมคิ ชาดก (เร่ืองที่ ๓๕๙)
จูฬนนั ทิยชาดก (เรอื่ งที่ ๒๒๒)
สุปัตตชาดก (เรื่องท่ี ๒๙๒)
สสปัณฑติ ชาดก (เรอ่ื งท่ี ๓๑๖)
หงั สชาดก (เร่อื งที่ ๕๐๒)
กัจฉปชาดก (เรอื่ งที่ ๒๗๓)
๑๘๘
ททั ทรชาดก (เรื่องท่ี ๓๐๔)
มหสิ ชาดก (เร่ืองที่ ๒๗๘)
๑๗ จงเปน็ ผูน้ าที่ดี ลักขณชาดก (เรื่องท่ี ๑๑)
๑๘ จงมกี ิรยิ าเรียบร้อย โกมาริยปุตตชาดก (เรอื่ งท่ี ๒๖๙)
๑๙ จงรังเกยี จสิง่ ทคี่ วรรงั เกยี จ โกฏสมิ พลิชาดก (เรอื่ งท่ี ๔๑๒)
๒๐ จงมคี วามอตุ สาหะในการเล่าเรยี น ตปิ ัลลตั ถมิคชาดก (เร่อื งที่ ๑๖)
๒๑ จงมคี วามพยายาม อลนี จิตตชาดก (เรอ่ื งท่ี ๑๕๖)
๒๒ จงฉลาดในอบุ ายร้เู ทา่ ทันผู้อืน่ ปูตมิ ังสชาดก (เรื่องท่ี ๔๓๗)
กกุ กฏุ ชาดก (เร่อื งท่ี ๔๔๘)
๒๓ รับผิดชอบครอบครัวผู้น้อยเม่ือใช้ไป กนุ ตนิ ชี าดก (เรือ่ งที่ ๓๔๓)
ราชการ
๒๔ จงหลกี เลี่ยงคนพาล ทปี ชิ าดก (เร่อื งที่ ๔๒๖)
๒๕ จงคบบณั ฑติ สตั ติคุมพชาดก (เร่ืองที่ ๕๐๓๓)
จุลหังสชาดก (เร่ืองท่ี ๕๓๓)
๒๖ จงมคี วามสามัคคี ตัจฉกชาดก (เร่ืองท่ี ๔๙๒)
วฑั ฒกีสกุ รชาดก (เรื่องที่ ๒๙๓)
๒๗ จงทาใจให้บรสิ ทุ ธ์ิ ติตตริ ชาดก (เรื่องที่ ๓๑๙)
๒๘ จงรักษาศีล ปัญจอุโบสถชาดก (เร่อื งท่ี ๔๙๐)
จัมเปยยชาดก (เรือ่ งท่ี ๕๐๖)
๘.๒.๓ สภุ าษติ แสดงสจั ธรรมและสภาวธรรม
สุภาษิตแสดงสัจธรรมและสภาวธรรม คือเป็นคากล่าวที่เป็นคติธรรมไม่เชิงแนะนา
ให้ประพฤติปฏิบตั ิหรอื หา้ มไม่ให้กระทา แต่มงุ่ แสดงในความจรงิ ทเ่ี ปน็ คตสิ อนใจ
ลาดับท่ี สุภาษิตแสดงสจั ธรรมและสภาวธรรม นิทานชาดกเรอื่ งท่ี
๑ การเศร้าโศกเมือ่ พลัดพรากจากสิ่งทีร่ ัก มิคโปตกชาคก (เรอื่ งท่ี ๓๗๒)
๑๘๙
๒ ชีวติ มนษุ ย์เร็วกวา่ การโคจรของดวงอาทติ ย์ ชวนหงั สชาดก (เรอ่ื งท่ี ๔๗๖)
๓ คนโงม่ กั กระทาเสยี หายโดยรเู้ ท่าไม่ถงึ การณ์ มกสชาดก (เรือ่ งท่ี ๔๔)
โรหณิ ชี าดก (เรอื่ งท่ี ๔๕)
อารามทสู กชาดก (เรื่องท่ี ๔๖)
๔ แบบอยา่ งครทู ่ดี ี คิริทตั ตชาดก (เรอื่ งท่ี ๑๘๔)
๕ ลักษณะสตรี กณุ าลชาดก (เร่ืองท่ี ๔๖)
๖ ใช้ความจริงใจต้ังสัตยาธิษฐานขอให้พ้น วฏั ฏกชาดก (เรอ่ื งที่ ๓๕)
อนั ตราย มัจฉชาดก (เรื่องที่ ๗๕)
สาหรับสุภาษิตที่สอนไว้ในนิทานชาดกมีหลายด้าน จัดเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๒
ดา้ น คือ ดา้ นสัจธรรมและจรยิ ธรรม
สภุ าษติ ในนทิ านชาดกมีหลายระดับ ตั้งแต่สุภาษติ ทีเ่ ป็นธรรมดาพืน้ ฐานไปจนถึงข้ัน
สูง สุขุมลุ่มลึก ละเอียดประณีต เป็นอุคมคติอย่างสูงส่ง เช่นเดียวกับคติสอนพุทธธรรมจาก
แหลง่ อืน่ ๆ ดังคากล่าวของพระพรหมคุณาภรณท์ ีว่ ่า
มีคาสอนหลายระดบั ทงั้ สาหรับผู้ครองเรือน ผดู้ ารงชีวิตอยู่ในสงั คม ผู้สละเรอื นแล้ว
ทัง้ คาสอนเพอื่ ประโยชน์ทางวัตถุ และเพ่ือประโยชน์ลกึ ซง้ึ ทางจิตใจ๓๒๓
ในการศึกษาสุภาษิตในนิทานชาดกเรื่องต่าง ๆ สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการ
ดาเนนิ ชีวิตในสงั คมได้จริง ๆ
สภุ าษติ ในนิทานชาดก เปน็ ท่รี จู้ กั กันอยา่ งแพร่หลาย เชน่ ผทู้ ากรรมดยี อ่ มไดร้ ับผลดี
ผทู้ ากรรมชัว่ ย่อมได้รับผลช่ัว สภุ าษติ บางบททาให้เกดิ โคลงสภุ าษิต โดยเฉพาะทปี่ รากฏในโคลง
โลกนิติของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร และสุภาษติ โคลงโลกนิตสิ านวนเก่า เช่น
๑) สุภาษิตจากเรอื่ งสูกรชาดก (ชาดกเรอื่ งท่ี ๑๕๓)
จตุปฺปโท อห สมฺม ตวมปฺ ิ สมมฺ จตปุ ปฺ โท
เอหึ สมฺม นวิ ตฺตสสฺ กนิ นุ ภีโต ปลายสิ
แปลวา่ แน่ะสหาย เรากส็ ี่เทา้ แมท้ ่านกส็ เี่ ท้า มาเถดิ สหาย จงกลบั มา
๓๒๓พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, (กรงุ เทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๔), หนา้ ๙.
๑๙๐
ไฉนจึงกลัว หนไี ปเลา่ ๓๒๔
โคลงโลกนติ ิ ความว่า
หมเู ห็นสีหราชท้า ชวนรบ
กสู ่ตี นี กูพบ ท่านไซร้
อย่ากลัวทา่ นอย่าหลบ หลกี จาก กนู า
ทา่ นสตี่ ีนอย่าได้ วากเวว้ างหนี๓๒๕
ส่วนอีกบทหน่งึ ราชสหี ์ตอบว่า
อสุจิ ปตู โิ ลโมสิ ทุคฺคนฺโธ วายสิ สกู ร
สเจ ยุชฺฌติ กุ าโมสิ ชย สมมฺ ททามิ เต
แปลวา่ แนะ่ สุกร ทา่ นไมส่ ะอาด มขี นเหมน็ เนา่ มีกล่ินเหมน็ คล้งุ ไป
ถา้ ทา่ นประสงค์จะตอ่ สู้ เราก็ยอมให้ชยั ชนะแก่ท่าน สหาย๓๒๖
โคลงโลกนิติ ความวา่
สหี ราชรอ้ งว่าโอ้ พาลหมู
ทรชาติครนั้ เหน็ กู เกลยี ดใกล้
ฤามงึ ใคร่รบดนู มงึ นาศ เองนา
กูเกลยี ดมึงกใู ห้ พา่ ยเเพ้ ภัยตวั ๓๒๗
๒) สุภาษิตพึงชนะความโกรธด้วยการไม่โกรธตอบจากเรื่องราโชวาทชาดก (ชาดก
เรื่องที่ ๑๕๓) คาถาว่า
อกฺโกเธน ชเิ น โกธ อสาธ สาธนุ าชเิ น
ชิเน กทฺริย ทาเนน สจเฺ จนาลกิ วาทิน
๓๒๔ส.อ.ส.(สานักอบรมครูวัดสามพระยา, พระคัมภีร์ชาดกแปล เล่ม ๔, (กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พ์ยิ้มศรี, ๒๔๙๓), หน้า ๙๔.
๓๒๕สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดิศร, ประชมุ โคลงโลกนิติ, (พระนคร : ๒๕๐๕),
หน้า ๑๑.
๓๒๖ส.อ.ส. (สานกั อบรมครวู ัดสามพระยา), พระคมั ภีรช์ าดกแปล เลม่ ๔, หน้า ๙๕.
๓๒๗สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดศิ ร, ประชมุ โคลงโลกนติ ิ, หนา้ ๑๑.
๑๙๑
แปลว่า ชานะผู้โกรธด้วยไม่โกรธตอบ ชนะผู้ท่ีไม่ดีด้วยความดี ชนะผู้ตระหน่ีด้วย
ทาน ชนะผูม้ กั พูดพลอ่ ย ๆ ด้วยความจรงิ ๓๒๘
โคลงโลกนติ ิ ความว่า
ผจญคนมักโกรธด้วย ไมตรี
ผจญหมู่ทรชนดี ต่อตั้ง
ผจญคนจติ โลภมี ทรัพยเ์ ผอื่ แผน่ า
ผจญอสัตยใ์ หย้ งั้ หยดุ ดว้ ยสัตยา๓๒๙
๓) สภุ าษติ ทาดีไดด้ ที าชวั่ ไดช้ ั่วจากเร่ืองจุลลนนั ทิยชาดก (ชาดกเรื่องท่ี ๑๕๓) คาถา
ว่า
กลฺยาณการี กลยฺ าณ ปาปการี จ ปาปก
ยาทสิ วปเต พีช ตาทิส หรเต ผล
แปลว่า ผู้ทากรรมดีย่อมได้รับผลดี ส่วนผู้ทากรรมช่ัวย่อมได้รับผลช่ัว หว่านพืช
เชน่ ใดไว้ ยอ่ มเก็บได้ซ่ึงผลเช่นนั้น๓๓๐
โคลงโลกนิติ ความวา่
ฟกั แฟงแตงเต้าถัว่ งายล
หว่านส่ิงใดใหผ้ ล ส่ิงนัน้
ทาทานหว่านกุศล ผลเพ่ิม พูนนา
ทาบาปบาปช้นั ขั้น ไลเ่ ลี้ยว ตามตน๓๓๑
๔) สภุ าษิตเกีย่ วกับโลภมากลาภหายจากเรอื่ งสวุ รรณหงสชาดก (ชาดกเรอื่ งท่ี ๑๕๓)
คาถาว่า
ย ลทธฺ เตน ตจฐพพฺ อติโลโภ หิ ปาปโก
หสราช คเหตฺวาน สวุ ณณฺ า ปริหายติ
๓๒๘เรอ่ื งเดยี วกัน, หน้า ๙๕.
๓๒๙อ้างแลว้ , หนา้ ๗๓.
๓๓๐ส.อ.ส. (สานกั อบรมครูวดั สามพระยา), พระคัมภีร์ชาดกแปล เลม่ ๔, หนา้ ๙๕.
๓๓๑สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดศิ ร, ประชุมโคลงโลกนติ ิ, หนา้ ๙๑.
๑๙๒
แปลวา่ ไดส้ ิง่ ใดพึงพอใจสิง่ นั้น เพราะความโลภจัดชั่วนกั พราหมณีจับพญาหงส์เสีย
แล้ว จงึ ชวดใหท้ อง
โคลงโลกนิติ ความว่า
ได้สินทรัพยเ์ พือ่ คา้ ขนหงส์
เลี้ยงชพี ช้ายนื ยง อย่แู ลว้
ภายหลังโลภไป่ตรง ใจต่อ
ถอนท่ัวตัวหงสแ์ คล้ว คลาดส้นิ เสื่อมทอง๓๓๒
๕) สุภาษิตที่ว่าอย่าเลียนแบบหรือสิ่งท่ีผิดวิสัยของตนจากเร่ือง วีรกชาดก (ชาดก
เรอื่ งท่ี ๒๐๔) คาถาว่า
อุทกถลจรสฺส ปกฺขิโน นจิ จฺ อามกมจฺฉโภชิโน
คสฺสานุกร สวฏิ ฺฐโก เสวาเลหิ ปลคิ ุณฐโิ ต มโต
แปลวา่ นกสวฏิ ฐกะ กระทาตามอย่างปักษี ผูเ้ ทย่ี วไปได้ทงั้ ทางน้าและทางบกกินปลา
ดิบเปน็ นิจ เลยถูกสาหรา่ ยพนั ตายเสยี แลว้ ๓๓๓
โคลงโลกนติ ิ ความวา่
กานา้ ดาดง่ิ คอน เอาปลา
กาบกคดิ ใครห่ า เสพบา้ ง
ลงดาฉ่ามัจฉา ชลชาติ
สวะปะคอคา้ ง คร่ึงนา้ จาตาย๓๓๔
๖) สุภาษิตเก่ยี วกบั คนรกั และคนชัง ในเรือ่ ง ชวนหงสชาดก (ชาดกเรื่องที่ ๔๗๖)
คาถาวา่
สวสนตฺ า สวสนฺติ เย ทสิ า เต รถสภ
อารา ฐิตา สวสนฺติ มนสา รฏฐฺ วฑฺฒน
๓๓๒เรอื่ งเดยี วกัน, หนา้ ๒๑๘.
๓๓๓ส.อ.ส. (สานกั อบรมครูวัดสามพระยา), พระคมั ภีร์ชาดกแปล เล่ม ๔, หนา้ ๑๗.
๓๓๔สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร, ประชุมโคลงโลกนติ ิ, หนา้ ๑๗๒.
๑๙๓
แปลว่า ข้าแต่พระจอมพลรถ คนท่ีเกลียดกันอยู่ร่วมกัน ก็คงอยู่แยกกัน ข้าแต่
พระองค์ผเู้ ปน็ จอมม่งิ ขวัญแหง่ แควน้ คนท่ีรกั กันถงึ อย่ไู กลกัน ก็คงอยู่ร่วมกันด้วยหัวใจ๓๓๕
โคลงโลกนติ ิ ความวา่
รักกนั อยู่ขอบฟ้า เขาเขยี ว
เสมออยูห่ อแห่งเดยี ว ร่วมห้อง
ชงั กนั บแ่ ลเหลียว ตาต่อ กันนา
เหมือนขอบฟา้ มาป้อง ปา่ ไม้ มาบงั ๓๓๖
๘.๓ พทุ ธศาสนสุภาษิตในชาดก
พุทธศาสนสภาษิตจากนิบาตชาดก ในเร่ืองกรรม เร่ืองกิเลส เรื่องความโกรธ เรื่อง
ขนั ติ เรอื่ งปญั ญา เรอื่ งบาป เรอ่ื งบุคคล เรอ่ื งเพื่อน ดังนี้
๘.๓.๑ เรื่องกรรม
กมฺมสสฺ กา เส ปุถุ สพพฺ สตฺตา
แปลวา่ สตั ว์ทง้ั ปวงลว้ นมกี รรมเป็นของตนเอง๓๓๗
กมมฺ อสเมกขฺ กต สาธุ
แปลวา่ กรรมใดทีไ่ มไ่ ดพ้ ิจารณาแลว้ กระทาลงไป เป็นกรรมไม่ชอบ๓๓๘
กลยฺ าณี กลยฺ าณ ปาปการี จ ปาปก
แปลวา่ คนทากรรมดี ย่อมไดร้ บั ผลดี คนทากรรมช่ัว ยอ่ มไดร้ บั ผลชั่ว๓๓๙
กลฺยาณ ยทิ วา ปาปํ น ทิ กมมฺ วินสสฺ ติ
๓๓๕ส.อ.ส. (สานักอบรมครวู ัดสามพระยา), พระคัมภีร์ชาดกแปล เล่ม ๑๒, หน้า ๓๓.
๓๓๖สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดศิ ร, ประชมุ โคลงโลกนิต,ิ หน้า ๖๒.
๓๓๗ขุ.ชา.ม. (บาลี) ๒๘/๑๒๘๗/๒๕๙, ขุ.ชา.ม. (ไทย) ๒๘/๑๒๘๗/๓๘๑, (มหานารทกัสสปชาดก
เรื่องท่ี ๕๔๕).
๓๓๘ขุ.ชา.ปญฺญาส.(บาลี) ๒๘/๑๐๓/๒๕๙, ขุ.ชา.ปญฺญาส.(ไทย) ๒๘/๑๐๓/๓๘๑,(อุมมาทันตี
ชาดกเรอื่ งท่ี๕๒๗).
๓๓๙ขุ.ชา.ปญฺจก.(บาลี) ๒๗/๑๕/๖๓, ขุ.ชาปญฺจก.(ไทย) ๒๗/๑๕/๒๐๑, (เวนสาขชาดกเรื่องท่ี
๓๕๓).
๑๙๔
แปลว่า ด้วยวา่ กรรมจะดีหรอื ชัว่ กต็ ามย่อมไมพ่ ินาศไป๓๔๐
ยานิ กโรติ ปุรโิ ส ตานิ อตฺตนิ ปสสฺ ติ
แปลว่า คนทากรรมใดไว้ยอ่ มเห็นกรรมนน้ั ในตน๓๔๑
๘.๓.๒ เรือ่ งกเิ ลส
อตโิ ลโภ หิ ปาปโก
แปลวา่ เพราะความโลภเกินไปเป็นความชั่วแท้๓๔๒
นตฺถิ กามา ปร ทุกขฺ
แปลว่า ทกุ ขย์ งิ่ กว่ากามไม่มี๓๔๓
๘.๓.๓ เรอื่ งความโกรธ
อคคฺ ีว ตณิ กฏฐฺ สฺมึ โกโธ ยสสฺ ปวฑฺฒติ
นิหยี ติ ตสสฺ ยโส ................
แปลว่า ความโกรธย่อมเพิ่มพูนแก่ผู้ใดเหมือนดังไฟท่ีกองหญ้าและไม้แห้ง ผู้
นนั้ ย่อม เส่อื มยศ๓๔๔
อนนโฺ ท ธมุ เกตวู ยสฺสปู สมมฺ ติ
อาปู ยสสฺ ยโส ................
๓๔๐ขุ.ชา.ม. (บาลี) ๒๘/๑๒๘๒/๒๕๙, ขุ.ชา.ม. (ไทย) ๒๘/๑๒๘๒/๓๘๑, (มหานารทกัสสปชาดก
เรอื่ งที่ ๕๔๕).
๓๔๑ขุ.ชา.ปญฺจก.(บาลี) ๒๗/๑๕/๖๓, ขุ.ชาปญฺจก.(ไทย) ๒๗/๑๕/๒๐๑, (เวนสาขชาดกเร่ืองที่
๓๕๓).
๓๔๒ขุ.ชา.เอกก. (บาลี) ๒๗/๑๒๘๗/๒๕๙, ขุ.ชา.เอกก. (ไทย) ๒๗/๑๒๘๗/๓๘๑, (โคธชาดกเรือ่ งท่ี
๑๓๘).
๓๔๓ขุ.ชา.เอกก. (บาลี) ๒๗/๖๙/๒๔๖, ขุ.ชา.เอกก. (ไทย) ๒๗/๖๙/๓๖๕, (ปานียชาดกเรื่องที่
๔๕๙).
๓๔๔ข.ุ ชา.ทสก. (บาล)ี ๒๗/๖๐/๒๑๙, ข.ุ ชา.ทสก. (ไทย) ๒๗/๖๐/๓๓๑, (จฬู โพธิชาดกเร่อื งท่ี ๔๔๓).
๑๙๕
แปลว่า ผู้ใดระงับความโกรธเสียได้เหมือนไฟที่ปราศจากเชื้อ ผู้นั้นยศย่อม
บริบรู ณ์๓๔๕
อปโฺ ป หุตฺวา โหตุ วฑฺฒเต โส อชนตฺ ิโช
แปลว่า ความโกรธนน้ั เกิดขน้ึ จากความไมอ่ ดทน ถงึ น้อยก็จะมากได้๓๔๖
เยนาภภิ โู ต กุสล ชหาติ
แปลว่า คนถูกความโกรธใดครอบงา ย่อมละท้งิ กุศลธรรม๓๔๗
โกโธ ทมุ ฺเมติ โคจโร
แปลว่า ความโกรธเปน็ อารมณ์ของคนโง่ ๓๔๘
โกธ วิธิตฺวา น กทาจิ โสจติ
แปลว่า ในกาลบางคราว บคุ คลฆ่าความโกรธเสยี ไดจ้ ึงไม่โศกเศรา้ ๓๔๙
โทโส โกธสมุฏฺฐาโน
แปลว่า โทสะ มคี วามโกรธเปน็ สมฏุ ฐาน (ท่ีตั้ง)๓๕๐
นตถฺ ิ ทฏุ ฺเฐ สุภาสติ
แปลว่า ไมม่ ถี ้อยคาเปน็ สภุ าษติ ในคนโหดร้าย๓๕๑
น หิ สาธุ โกโธ
๓๔๕ขุ.ชา.ทสก. (บาลี) ๒๗/๖๑/๒๑๙, ขุ.ชา.ทสก. (ไทย) ๒๗/๖๑/๓๓๑, (จูฬโพธิชาดกเรื่องท่ี
๔๔๓).
๓๔๖ขุ.ชา.ทสก. (บาลี) ๒๗/๑๖/๒๐๒, ขุ.ชา.ทสก (ไทย) ๒๗/๑๖/๓๒๓, (กณั หชาดกเรอื่ งท่ี ๒๙).
๓๔๗ขุ.ชา.ทสก. (บาลี) ๒๗/๕๗/๒๑๘, ขุ.ชา.ทสก. (ไทย) ๒๗/๕๗/๓๓๑, (จูฬโพธิชาดกเร่ืองที่
๔๔๓).
๓๔๘ขุ.ชา.ทสก. (บาลี) ๒๗/๕๖/๒๑๘, ขุ.ชา.ทสก. (ไทย) ๒๗/๕๖/๓๓๑, (จูฬโพธิชาดกเร่ืองที่
๔๔๓).
๓๔๙ขุ.ชา.จตฺตารีส. (บาลี) ๒๗/๖๔/๔๓๔, ขุ.ชา.จตฺตารีส. (ไทย) ๒๗/๖๔/๖๐๕, (สรภังคชาดก
เร่อื งท่ี ๕๒๒).
๓๕๐ข.ุ ชา.ทสก. (บาล)ี ๒๗/๑๗/๒๐๒, ขุ.ชา.ทสก. (ไทย) ๒๗/๑๗/๓๒๓, (กัณหชาดกเรอื่ งท่ี ๒๙).
๓๕๑ขุ.ชา.อฏฺฐก. (บาลี) ๒๗/๙๕/๑๙๕, ขุ.ชา.อฏฺฐก. (ไทย) ๒๗/๙๕/๓๐๐. (ทีปิชาดกเรื่องท่ี
๔๒๖).
๑๙๖
แปลวา่ ความโกรธไมด่ ีเลย๓๕๒
เนว ทฏุ เฺ ฐ นโย อตถฺ ิ น ธมโฺ ม น สภุ าสิต
แปลวา่ ในคนโหดร้ายไมม่ เี หตไุ ม่มีผล ไมม่ ีถ้อยคาเปน็ สุภาษิต๓๕๓
๘.๓.๔ เร่ืองขันติ
ปทุฏฐฺ สจิตตฺ สสฺ น ผาติ โหติ
แปลว่า ผมู้ ีจติ ชั่วรา้ ย ยอ่ มไม่มีความเจริญ๓๕๔
ววิ าเทน ธนกฺขยา
แปลว่า เพราะการทะเลาะกัน ทรพั ยจ์ ึงสน้ิ ไป๓๕๕
สารมฺภา ชายเต โกโธ
แปลว่า ความโกรธย่อมเกดิ ข้นึ เพราะการแขง่ ดี๓๕๖
ขนฺตพิ ลสสฺ ูปสมฺมนตฺ ิ เวรา
แปลวา่ เวรทง้ั หลายยอ่ มระงบั ได้ดว้ ยกาลังแห่งขนั ติ๓๕๗
โย จธี หีนสสฺ วโจ ขเมถ เอต ทนตฺ ึ อุตตฺ มมาหุ สนฺโต
๓๕๒ข.ุ ชา.ฉกฺก. (บาล)ี ๒๗/๘/๑๔๔, ขุ.ชา.ฉกกฺ . (ไทย) ๒๗/๘/๒๒๙. (เสตเกตุชาดกเร่ือง ๓๗๗).
๓๕๓ขุ.ชา.อฏฺฐก. (บาลี) ๒๗/๙๕/๑๙๕, ขุ.ชา.อฏฺฐก. (ไทย) ๒๗/๙๕/๓๐๐. (ทีปิชาดกเร่ืองที่
๔๒๖).
๓๕๔ขุ.ชา.ติก. (บาลี) ๒๗/๑๑๔/๙๐, ขุ.ชา.ติก (ไทย) ๒๗/๑๑๔/๑๔๖, (สีลวีมังสกชาดก เร่ืองท่ี
๒๙๐).
๓๕๕ขุ.ชา.สตตฺ ก. (บาล)ี ๒๗/๓๗/๑๖๖, ข.ุ ชา.สตฺตก. (ไทย) ๒๗/๓๗/๒๖๑, (ทสณั ณกชาดก เรื่อง
ท่ี ๔๐๑).
๓๕๖ขุ.ชา.ทสก. (บาลี) ๒๗/๕๙/๒๑๙, ขุ.ชา.ทสก. (ไทย) ๒๗/๕๙/๓๒๑, (จูฬโพธิชาดก เร่ืองที่
๔๔๓).
๓๕๗ขุ.ชา.จตฺตารีส. (บาลี) ๒๗/๖๘/๔๓๔, ขุ.ชา.จตฺตารีส. (ไทย) ๒๗/๖๘/๖๐๖, (สรภังคชาดก
เร่ืองท่ี ๕๒๒).
๑๙๗
แปลวา่ ผใู้ ดพึงอดทนถ้อยคาของคนท่ีเลวกว่าในโลกนไ้ี ด้ ความอดทนนั้นของ
บุคคล น้นั สัตบุรุษกลา่ วว่ายอดเยย่ี ม๓๕๘
สพพฺ นฺต ขมเต ธีโร
แปลวา่ บัณฑิตผฉู้ ลาดยอ่ มอดทนอดกล้นั ๓๕๙
สพเฺ พส วตุ ต ผรุส ขเมถ เอต ขนตฺ ิ อุตฺตมมาหุ สนฺโต
แปลว่า บุคคลพึงอดทนคาหยาบท่ีทุกคนกล่าว สัตบุรุษท้ังหลายกล่าวความ
อดทน นัน้ วา่ ยอดเยยี่ ม๓๖๐
๘.๓.๕ เรอ่ื งปัญญา
อคคฺ ปญฺญาพล วร
แปลว่า กาลงั ปญั ญา เปน็ กาลงั ประเสรฐิ สดุ เปน็ ยอดกว่ากาลงั ท้ังหลาย๓๖๑
ปญฺญาย ติตตฺ ีน เสฏฐ
แปลวา่ บณั ฑิตผู้มกี าลงั ปญั ญาสนบั สนนุ ยอ่ มประสบประโยชน์๓๖๒
ปญญฺ า สตุ วินิจฉฺ ินี
แปลว่า ปญั ญาเท่านนั้ เป็นเคร่อื งวนิ จิ ฉัยเรือ่ งท่ีไดฟ้ ังมา๓๖๓
ปญฺญา หิ เสฏฺฐา กุสลา วทนฺติ
๓๕๘ขุ.ชา.จตฺตารีส. (บาลี) ๒๗/๖๖/๔๓๔, ขุ.ชา.จตฺตารีส. (ไทย) ๒๗/๖๖/๖๐๕, (สรภังคชาดก
เรื่องท่ี ๕๒๒).
๓๕๙ขุ.ชา.จตุกก. (บาลี) ๒๗/๔๕/๑๐๒, ขุ.ชา.จตุกก. (ไทย) ๒๗/๔๕/๑๖๖, (กัสสปมันทิยชาดก
เรอื่ งท่ี ๓๑๒).
๓๖๐ขุ.ชา.จตฺตารีส. (บาลี) ๒๗/๖๔/๔๓๔, ขุ.ชา.จตฺตารีส. (ไทย) ๒๗/๖๔/๖๐๕, (สรภังคชาดก
เรอ่ื งท่ี ๕๒๒).
๓๖๑ขุ.ชา.จตฺตารีส. (บาลี) ๒๗/๓๐/๔๒๙, ขุ.ชา.จตฺตารีส. (ไทย) ๒๗/๓๐/๕๙๙, (เตสกุณชาดก
เร่อื งท่ี ๕๒๑).
๓๖๒ขุ.ชา.จตฺตารีส. (บาลี) ๒๗/๓๐/๔๒๙, ขุ.ชา.จตฺตารีส. (ไทย) ๒๗/๓๐/๕๙๙, (เตสกุณชาดก
เรื่องที่ ๕๒๑).
๓๖๓ขุ.ชา.จตฺตารีส. (บาลี) ๒๗/๓๓/๔๓๐, ขุ.ชา.จตฺตารีส. (ไทย) ๒๗/๓๓/๕๙๙, (เตสกุณชาดก
เรอ่ื งที่ ๕๒๑).
๑๙๘
แปลวา่ ทา่ นผู้ฉลาดทง้ั หลายกล่าววา่ ปัญญาประเสริฐทส่ี ุด๓๖๔
๘.๓.๖ เร่อื งบาป
น ฆาสเหตปุ ิ กเรยฺย ปาปํ
แปลว่า ไม่ควรทาชว่ั เพราะเหตุแห่งอาหาร๓๖๕
ปาปํ ปาเปน จินตฺ ติ
แปลว่า คนช่วั จงึ คิดแต่เหตทุ ่ีชวั่ ๓๖๖
๘.๓.๗ เรอ่ื งบคุ คล
อตติ ิกฺโข จ เวรวา
แปลว่า ผแู้ ขง็ กรา้ วกอ็ าจจะมีศตั รู๓๖๗
อนย นยติ ทุมฺเมโธ
แปลวา่ คนพาลมปี ญั ญาทราม ย่อมแนะนาสิง่ ทไี่ มค่ วรแนะนา๓๖๘
นย นยติ เมธาวี
แปลวา่ ผู้มปี ญั ญายอ่ มแนะนาสงิ่ ที่ควรแนะนา๓๖๙
อสญญฺ โต ปพฺพชโิ ต น สาธุ
๓๖๔ขุ.ชา.จตฺตารีส. (บาลี) ๒๗/๘๑/๔๓๖, ขุ.ชา.จตฺตารีส. (ไทย) ๒๗/๘๑/๖๐๘, (สรภังคชาดก
เรื่องที่ ๕๒๒).
๓๖๕ขุ.ชา.นวก. (บาลี) ๒๗/๗๒/๒๐๔, ขุ.ชา.นวก. (ไทย) ๒๗/๗๒/๓๑๒, (จักกวากชาดกเร่ืองที่
๔๓๔).
๓๖๖ขุ.ชา.ตึงสติ. (บาลี) ๒๗/๒๑๑/๔๐๘, ขุ.ชา.ตึงสต.ิ (ไทย) ๒๗/๒๑๑/๕๗๐, (มหากปิชาดก
เร่ืองท่ี ๕๑๖).
๓๖๗ขุ.ชา.ทฺวาสก. (บาลี) ๒๗/๑๑๑/๒๖๗, ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๑๑๑/๓๙๑, (มหาปทุมชาดกเร่ืองท่ี
๔๗๒).
๓๖๘ขุ.ชา.เตรสก.(บาลี) ๒๗/๙๒/๒๘๑, ขุ.ชา.เตรสก. (ไทย) ๒๗/๙๒/๔๑๑, (อกิตติชาดกเรือ่ งที่
๔๘๐).
๓๖๙ขุ.ชา.เตรสก. (บาลี) ๒๗/๙๖/๒๘๑, ขุ.ชา.เตรสก. (ไทย) ๒๗/๙๖/๔๑๒, (ตักการิยชาดก
เร่ืองท่ี ๔๘๑).
๑๙๙
แปลวา่ บรรพชิตไม่สารวม ไม่ดี๓๗๐
ทฏุ โฐปิ พหุ ภาสติ
แปลว่า ถึงคนมีความโกรธก็พูดมาก๓๗๑
ทพุ ภฺ ี กโรติ ทมุ เฺ มโธ
แปลวา่ คนโง่ ทาลายมติ ร๓๗๒
ทุลฺลโภ องคฺ สมฺปนโฺ น
แปลวา่ คนทพี่ ร้อมด้วยองค์คณุ ทกุ อย่างหาได้ยาก๓๗๓
น อุชุภูตา วติ ถ ภณนตฺ ิ
แปลวา่ คนซือ่ ตรงยอ่ มไม่พูดเทจ็ ๓๗๔
น สาธุ พลวา พาโล ยูถสสฺ ปรหิ ารโก
แปลว่า สตั ว์โงม่ ีแต่กาลงั เป็นผู้นาฝงู ไม่ดี๓๗๕
ธโี ร จ พลวา สาธุ ยูถสสฺ ปริหารโก
แปลว่าสัตว์ฉลาดมกี าลังเป็นผู้นาฝูงดี๓๗๖
ปูชโก ลภเต ปูช
๓๗๐ขุ.ชา.จตุกฺก.(บาลี) ๒๗/๑๒๗/๑๑๒, ขุ.ชา.จตุกฺก. (ไทย) ๒๗/๑๒๗/๑๘๒, (รถลัฏฐิชาดก
เรื่องที่ ๓๓๒).
๓๗๑ขุ.ชา.ทฺวาสก. (บาลี) ๒๗/๑๑๒/๒๖๗, ขุ.ชา.ทฺวาสก.(ไทย) ๒๗/๑๑๒/๓๙๑, (มหาปทุมชาดก
เรอ่ื งที่ ๔๗๒).
๓๗๒ขุ.ชา.ทฺสก. (บาลี) ๒๗/๑๑๐/๒๒๗, ขุ.ชา.ทฺสก.(ไทย) ๒๗/๑๑๐/๓๔๐, (กุกกุฏชาดกเรอื่ งท่ี
๔๔๘).
๓๗๓ขุ.ชา.ทุก. (บาลี) ๒๗/๑๕๐/๖๔, ขุ.ชา.ทุก. (ไทย) ๒๗/๑๕๐/๑๐๔, (ขันติวัณณนชาดกเรื่องที่
๒๒๕).
๓๗๔ข.ุ ชา.จตุกกฺ . (บาลี) ๒๗/๒/๙๖, ขุ.ชา. จตกุ กฺ . (ไทย) ๒๗/๒/๑๕๖, (จูฬกาลงิ คชาดก เรื่องที่
๓๐๑).
๓๗๕ขุ.ชา.สตฺตก. (บาลี) ๒๗/๖๔/๑๗๐, ขุ.ชา.สตฺตก. (ไทย) ๒๗/๖๔/๒๖๖, (กปิชาดก เร่ืองที่
๔๐๔).
๓๗๖ขุ.ชา.สตฺตก. (บาลี) ๒๗/๖๕/๑๗๐, ขุ.ชา.สตฺตก. (ไทย) ๒๗/๖๕/๒๖๖, (กปิชาดก เรื่องที่
๔๐๔).