๒๐๐
แปลวา่ บูชาผูอ้ นื่ ย่อมได้รบั การบชู าตอบ๓๗๗
ผาตึ กยิรา อวิเฐย ปร
แปลวา่ ควรทาแตค่ วามเจริญ ไมเ่ บียดเบียนผู้อืน่ ๓๗๘
พหมุ ฺปิ รตฺโต ภาเสยฺย
แปลว่า คนมีกาหนัดพึงพูดมาก๓๗๙
พาโล อปริณายโก
แปลวา่ คนโง่เขลาไมอ่ าจจะเปน็ ผู้นาได้๓๘๐
โย ปณฑฺ ิโต โกธโน ต น สาธุ
แปลวา่ การทบ่ี ณั ฑติ โกรธไมด่ ี๓๘๑
รกฺเขยยฺ านาคต ภย
แปลว่า พึงป้องกนั ภยั ทยี่ ังมาไมถ่ ึง๓๘๒
สกฺกตวฺ า สกกฺ โต โหติ
แปลว่า ผ้สู ักการะคนอ่ืนแล้วยอ่ มเปน็ ผทู้ ีค่ นอนื่ สักการะตอบ๓๘๓
วนทฺ โก ปฏวิ นทฺ น
๓๗๗ขุ.ชา.ม. (บาลี) ๒๘/๑๗/๑๒๘, ขุ.ชา.ม. (ไทย) ๒๘/๑๗/๑๘๖, (เตมิยชาดกเรอื่ งที่ ๕๓๘).
๓๗๘ขุ.ชา.สตฺตก. (บาลี) ๒๗/๕/๑๖๓, ขุ.ชา.สตฺตก. (ไทย) ๒๗/๕/๒๕๕, (กุกกุชาดก เร่ืองท่ี
๓๙๖).
๓๗๙ขุ.ชา.ทฺวาสก. (บาลี) ๒๗/๑๑๒/๒๖๗, ขุ.ชา.ทฺวาสก. (ไทย) ๒๗/๑๑๒/๓๙๑, (มหา
ปทุมชาดกเรื่องที่ ๔๗๒).
๓๘๐ขุ.ชา.ทุก. (บาลี) ๒๗/๑๖๓/๖๗, ขุ.ชา.ทุก. (ไทย) ๒๗/๑๖๓/๑๐๙, (วีณาถูณชาดก เรื่องที่
๒๓๒).
๓๘๑ขุ.ชา.จตกุ ฺก. (บาลี) ๒๗/๑๒๗/๑๑๒, ขุ.ชา.จตกุ ฺก. (ไทย) ๒๗/๑๒๗/๑๘๒, (รถลัฏฐิชาดก
เร่ืองที่ ๓๓๒).
๓๘๒ขุ.ชา.จตุกกฺ . (บาลี) ๒๗/๔๔/๑๑๐๒, ขุ.ชา.จตุกฺก. (ไทย) ๒๗/๔๔/๑๖๕, (ปุจิมันทชาดก
เรื่องที่ ๓๑๑).
๓๘๓ข.ุ ชา.ม. (บาล)ี ๒๘/๑๖/๑๒๘, ข.ุ ชา.ม. (ไทย) ๒๘/๑๖/๑๘๕, (เตมิยชาดกเรอ่ื งท่ี ๕๓๘).
๒๐๑
แปลวา่ ไหว้ผู้อ่นื ยอ่ มไดร้ ับการไหวต้ อบ๓๘๔
สกฺกตฺวา สกกฺ โต โหติ
แปลวา่ ผสู้ ักการะคนอืน่ แล้วยอ่ มเป็นผู้ทคี่ นอ่ืนสกั การะตอบ๓๘๕
สาธุ โข ปณฑฺ ิโต นาม
แปลว่า ธรรมดาบัณฑิตเปน็ คนดี๓๘๖
ทาเปติ อตถฺ ทุมฺเมโธ
แปลว่า คนมีปัญญาทรามย่อมยงั ประโยชน์ใหเ้ สยี หาย๓๘๗
หิโต ภวติ ญาตนี
แปลวา่ คนฉลาดยอ่ มเก้ือกูลหม่ญู าติ๓๘๘
๘.๓.๘ เร่ืองเพื่อน
มิตฺตทุพโฺ ภ หิ ปาปโก
แปลว่า คนผู้ประทษุ ร้ายมิตรเปน็ คนเลวทราม๓๘๙
สพพฺ ตถฺ ปูชโิ ต โหติ โย มติ ตฺ าน น ทพุ ฺภติ
แปลวา่ คนผ้ไู มป่ ระทษุ ร้ายมติ ร ย่อมมคี นบูชาไปทกุ หนแห่ง๓๙๐
เทสฺโส จ โหติ อติยาจนาย
๓๘๔ข.ุ ชา.ม. (บาลี) ๒๘/๑๗/๑๒๘, ข.ุ ชา.ม. (ไทย) ๒๘/๑๗/๑๘๖, (เตมยิ ชาดกเรื่องท่ี ๕๓๘).
๓๘๕ขุ.ชา.ม. (บาลี) ๒๘/๑๖/๑๒๘, ข.ุ ชา.ม. (ไทย) ๒๘/๑๖/๑๘๕, (เตมิยชาดกเรอ่ื งท่ี ๕๓๘).
๓๘๖ขุ.ชา.เอกก. (บาลี) ๒๗/๙๘/๒๔, ขุ.ชา.เอกก. (ไทย) ๒๗/๙๘/๔๐, (กูฏวาณิชชาดกเรื่องที่
๙๘).
๓๘๗ขุ.ชา.เอกก. (บาลี) ๒๗/๔๖/๑๒, ขุ.ชา.เอกก. (ไทย) ๒๗/๔๖/๑๙, (อารามทสู กชาดกเรื่องที่
๔๖).
๓๘๘ข.ุ ชา.สตฺตก. (บาลี) ๒๗/๑๕๑/๒๓๒, ข.ุ ชา.สตตฺ ก. (ไทย) ๒๗/๑๕๑/๓๔๗, (กปชิ าดก เรอื่ งที่
๔๐๔).
๓๘๙ข.ุ ชา.ทสก. (บาล)ี ๒๗/๑๕๑/๒๓๒, ขุ.ชา.ทสก. (ไทย) ๒๗/๑๕๑/๓๔๗, (ภูรปิ ัญญชาดก เร่ืองท่ี
๔๕๒).
๓๙๐ขุ.ชา.ม. (บาล)ี ๒๘/๑๓/๑๒๘, ข.ุ ชา.ม. (ไทย) ๒๘/๑๓/๑๘๕, (เตมยิ ชาดกเร่ืองที่ ๕๓๘).
๒๐๒
แปลว่า เพราะขอเกนิ ไปยอ่ มเปน็ ท่เี กลยี ดชัง๓๙๑
น ต ยาเจ ยสฺส ปยิ ชิคเึ ส
แปลว่า บุคคลไม่ควรขอสิ่งท่รี ้วู ่าเปน็ ทีร่ กั ของเขา๓๙๒
น เว ยาจนฺติ สปฺปญฺญา
แปลว่า ผูม้ ปี ญั ญาท้งั หลายย่อมไมข่ อเลย๓๙๓
๘.๔ สรุป
สภุ าษิตจากชาดก
ภาษิตหมายถึงถ้อยคาหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว มีความหมาย
เป็นคตสิ อนใจ เชน่ รักยาวให้บ่นั รกั ส้ันให้ต่อ น้าเชี่ยวอยา่ ขวางเรอื ภาษาบาลีเขียนว่า สภุ าสิต
แปลวา่ ถ้อยคาท่กี ล่าวดีแลว้
ความเป็นมาของสภุ าษิต มาจากการกล่าววาจาท่ีดีงาม ไพเราะออ่ นหวาน ไม่หยาบ
คาย พระพุทธเจ้าไดต้ รัสไวว้ ่า “การพูดวาจาสภุ าษิตนัน้ เป็นมงคลอันสงู สดุ ”
ประเดน็ สาคัญของสภุ าษิตก็คือ หลกั ธรรมเก่ยี วกับเรือ่ งการพูดหรอื วาจาทป่ี รากฏใน
ที่ต่าง ๆ น้ัน พระพุทธองค์ได้วางหลักเกณฑ์ไว้ในมงคล ๓๘ ประการ ข้อที่ ๑๐ บรรพชิตหรือ
คฤหสั ถ์ถา้ พูดไมด่ ี กอ็ าจทาให้เกิดโทษท้ังแกต่ นเองและผู้อืน่ ตลอดถงึ สงั คมโดยสว่ นรวมได้
วาจาประกอบดว้ ยองค์ ๔ เป็น คือ
๑. กล่าวแต่วาจาสุภาษิตอยา่ งเดยี ว ไม่กลา่ ววาจาทุพภาษติ
๒. กล่าวแตว่ าจาทเี่ ป็นธรรมอย่างเดียว ไมก่ ล่าววาจาทไี่ มเ่ ปน็ ธรรม
๓. กล่าวแต่วาจาอนั เป็นที่รักอย่างเดยี ว ไม่กล่าววาจาอนั ไม่เปน็ ทร่ี ัก
๔. กล่าวแตว่ าจาจริงอยา่ งเดยี ว ไม่กล่าววาจาเหลาะแหละ
๓๙๑ขุ.ชา.ตกิ . (บาล)ี ๒๗/๙/๗๕, ข.ุ ชา.ติก. (ไทย) ๒๗/๙/๑๒๑, (มณิกณั ฐชาดกเร่ืองที่ ๒๕๓).
๓๙๒ข.ุ ชา.ติก. (บาล)ี ๒๗/๙/๗๕, ข.ุ ชา.ติก. (ไทย) ๒๗/๙/๑๒๑, (มณกิ ัณฐชาดกเรื่องที่ ๒๕๓).
๓๙๓ขุ.ชา.สตฺตก. (บาลี) ๒๗/๕๙/๑๖๙, ขุ.ชา.สตฺตก. (ไทย) ๒๗/๕๙/๒๖๕, (อฏั ฐิเสนชาดก เรื่องท่ี
๔๐๓).
๒๐๓
วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ อะไรบ้าง คอื
๑. พดู ถกู กาล
๒. พูดคาจรงิ
๓. พูดคาออ่ นหวาน
๔. พดู คาประกอบด้วยประโยชน์
๕. พูดดว้ ยเมตตาจิต
สุภาษิตในชาดกในนิทานเร่ืองหน่ึงอาจจะมุ่งแสดงสุภาษิตมากกว่าหน่ึงบทก็ได้
โดยเฉพาะนิทานชาดกที่มีคาถามากสุภาษิตในชาดกก็จะมีมากข้ึน ถึงแม้คติธรรมคาสอนใน
ชาดกจะมีมากมาย แต่ก็อาจประมวลเป็นธรรมสุภาษิตในส่วนสัจธรรม และจริยธรรม
สุภาษิตในนิทานชาดกสามารถแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ สุภาษิตห้ามประพฤติ
ชวั่ สุภาษิตสอนให้ประพฤตดิ ี และสภุ าษิตแสดงสัจธรรมและสภาวธรรม
พุทธศาสนสภาษิตจากนิบาตชาดก ในเรื่องกรรม เร่ืองกิเลส เร่ืองความโกรธ เร่ือง
ขนั ติ เรื่องปัญญา เรอื่ งบาป เรอื่ งบคุ คล เร่อื งเพ่อื น
๒๐๔
บทท่ี ๙
พระพุทธเจ้าและพระพุทธสาวกในชาดก
วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนประจาบท
เม่ือได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว ผูศ้ กึ ษาสามารถ
๑. อธิบายความสมั พนั ธ์ของพระพทุ ธเจา้ ในชาดกได้
๒. อธบิ ายความสมั พนั ธข์ องพระพุทธสาวกในชาดกได้
๓. อธิบายสาระสาคญั เร่อื งพระพุทธเจา้ ในมหานิบาตชาดกได้
ขอบข่ายเนอื้ หา
ความนา
พระพทุ ธเจา้ ทีป่ รากฏในชาดก
ประวัตขิ องพระพุทธสาวกท่ปี รากฏในชาดก
๒๐๕
บทที่ ๙
พระพทุ ธเจา้ และพระพทุ ธสาวกในชาดก
๙.๑ พระพุทธเจ้าทีป่ รากฏในชาดก
ชาดก มีประวัติของพระพุทธเจ้า และพระพุทธสาวก กล่าวสอดแทรกไว้ในนิทาน
ชาดก ทาให้เข้าใจพุทธประวัติและประวัติของพุทธสาวกเพิ่มมากขึ้นอีก นอกเหนือจาก
ประวัติพระพุทธเจ้า และพุทธสาวกโดยตรง ท่ีปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มท่ี ๓๒ คือ พระ
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ ซ่ึงเป็นเน้ือความตอนต้นของคัมภีร์ และอปทาน
ภาค ๒ เป็นเน้อื ความตอนปลายของคมั ภรี ์
ประวัติของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะพระโคดมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน มีปรากฏใน
คัมภีร์อรรถกถา พระอรรถกถาจารย์ท่านกล่าวถึง นิทานกถา มีทูเรนิทาน (นิทานในที่ไกล)
อวิทูเรนิทาน (นิทานในที่ไม่ไกลนัก) สันติเกนิทาน (นิทานในที่ใกล้) ประวัติพระโคดมพุทธ
เจ้ามีในทเู รนทิ าน หรือนทิ านในที่ไกล เรอื่ งสุเมธกถา ดงั มีเน้ือความโดยยอ่ ดังนี้
๙.๑.๑ สเุ มธกถา
ในนครอมรวดีมีพราหมณ์ชื่อสุเมธ เป็นผู้มีกาเนิดในตระกูลสูง รูปสวยผิวพรรณ
งามน่าเล่ือมใส มีทรัพย์สมบัติมากมาย เรียนจบไตรเพทในลักขณศาสตร์ อิติหาสศาสตร์
และสัทธรรม วันหนึ่ง สุเมธบัณฑิตคิดว่าการถือปฏิสนธิ การแตกดับแห่งสรีระเป็นทุกข์ มี
การเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเร่ืองธรรมดา ควรจะแสวงหาทางพ้นทุกข์ คือพระนพิ พานทไี่ ม่มกี าร
เกิด แก่ ไม่มีความทุกข์มีแต่ความสุข มีแต่ความเยือกเย็นไม่รู้จักตาย มีทางสายเดียวท่ีพ้นจาก
ภพ คือการไปสู่พระนิพพาน จึงสละสมบัติออกจากนครอมรวดี ไปบวชเป็นฤๅษีอาศยั ที่ภูเขา
ธรรมิกะ ในป่าหิมพานต์ เมื่อบวชเจ็ดวันกไ็ ด้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ เมื่อสุเมธดาบสบรรลุ
อภิญญาขณะนั้นพระพุทธเจ้าทีปังกรเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ในการถือปฏิสนธิ การอุบัติข้นึ
การตรัสรู้และการประกาศพระธรรมจักร โลกธาตุท้ังสิ้นหว่ันไหวส่ันสะเทือนเลื่อนล่ันไปท่วั
๒๐๖
ทั้งปฐพี บุรพนิมิต ๓๒ ประการ๓๙๔ ปรากฏขึ้นแล้ว แต่สุเมธดาบสกาลังอยู่ในสมาบตั ิจึงไมไ่ ด้
ยินเสยี งสนั่ สะเทอื นและนมิ ติ ท้งั ๔ ดว้ ย๓๙๕
บุรพนิมิต ๓๒ ประการ คือ ๑) ฝ่าพระบาทราบเสมอกัน ๒) ใต้พระบาทมีจักรข้าง
ละ ๑,๐๐๐ ซี่ มีกง ดุมครบบริบูรณ์ ๓) ส้นพระบาทยาว ๔) องคุลียาว ๕) ฝ่าพระหัตถ์ฝ่าพระ
บาทอ่อนนุม่ ๖) มีลายดุจตาข่ายที่ฝ่าพระหัตถแ์ ละฝ่าพระบาท ๗) พระบาทเหมอื นสงั ข์ควา่
๘) พระชงฆ์เรียว ๙) เม่ือประทับยืน ทรงลูบพระชานุได้ด้วยพระหัตถ์โดยไม่ต้องก้ม ๑๐) พระ
คุยหฐานเร้นในฝัก ๑๑) พระฉวีวรรณงดงาม ๑๒) พระฉวีละเอียด ๑๓) พระโลมชาติเส้นเดียว
แต่ละขุม ๑๔) พระโลมชาติสีเขม้ ขดเป็นลอนเวียนขวาปลายตัง้ ขึ้น ๑๕) พระวรกายตรง ๑๖)
พระมังสะพนู เต็มในที่ ๗ แห่ง (หลังพระหัตถ์ท้ัง ๒ หลังพระบาทท้ัง ๒ พระอังสะท้ัง ๒ และลา
พระศอ) ๑๗) พระวรกายบริบูรณ์ดุจกึ่งกายท่อนหนา้ พญาราชสีห์ ๑๘) พระปฤษฎางค์เต็ม
เรียบเสมอกัน ๑๙) พระวรกายสูงเท่ากับวาของพระองค์ ๒๐) พระศอกลมงาม ๒๑) ประสาท
รับรสพระกระยาหารดี ๒๒) พระหนุดุจคางราชสีห์ ๒๓) พระทนต์ ๔๐ ซ่ี ๒๔) พระทนต์เรียบ
เสมอกัน ๒๕) พระทนต์ไม่หา่ ง ๒๖) พระเขี้ยวแกว้ ขาวงาม ๒๗) พระชิวหาใหญ่ ๒๘) พระสุ
รเสียงดุจเสียงพรหม ๒๙) พระเนตรดาสนทิ ๓๐) พระเนตรแจ่มใส ๓๑) พระอุณาโลมระหว่าง
พระโขนงสีขาวอ่อนเหมือนปุยนุ่น ๓๒) พระเศียรงามดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์
ชาวเมืองรัมมกะทราบว่า พระพุทธเจ้าทีปังกรเสด็จมาประทับอยู่ที่สุทัสน มหา
วิหาร ตา่ งพากนั ถอื เภสัช เนยใสฯ ไปเฝา้ พระพุทธองคบ์ ูชาด้วยของหอมดอกไม้น่งั ฟังพระธรรม
เทศนาแล้วทูลนมิ นตเ์ พื่อเสวยในวันรงุ่ ข้นึ คร้ันรงุ่ ขึน้ ต่างพากันเตรียมมหาทานประดับนคร แต่ง
หนทางที่จะเสด็จด้วยการถมพ้นื ดินให้ราบเรียบ โรยทราย โปรยข้าวตอกดอกไม้ ปักธงประดับ
ผ้าย้อมสีต่าง ๆ ต้ังตน้ กลว้ ย ดอกไมเ้ รียงราย สุเมธดาบสเห็นชาวเมืองร่าเริงจึงเข้าไปถาม พวก
เขาตอบว่า พระพุทธเจ้าทีปังกรเสด็จมาถึงนคร พานักที่สุทัสน มหาวิหาร พวกเรานิมนต์
พระพุทธเจ้ามา จึงตกแต่งทางที่จะเสด็จ สุเมธดาบสคิดว่า แม้เพียงคาว่า พระพุทธเจ้าก็หาได้
ยากในโลก การอุบตั ิข้นึ ย่อมยากยงิ่ กว่า เราควรจะตกแตง่ ทางเพอื่ พระพุทธองค์ด้วยจงึ กล่าวขอ
๓๙๔ขุ.อป. (ไทย) ๓๓/๖๑/๑๐).
๓๙๕นิมิต ๔ ได้แก่ (๑) คนแก่ (๒) คนเจ็บ (๓) คนตาย (๔) บรรพชิต, ขุ.พุทธ. (ไทย) ๓๓/๒๑/
๕๙๔.
๒๐๗
มีส่วนร่วมตกแต่งทาง ชาวเมืองรู้ว่าดาบสมีฤทธิ์จึงให้ปรับแต่งทางท่ีมีน้า สุเมธดาบสมีฤทธิ์แต่
ตั้งใจกระทาการด้วยกาลังกายจึงขนดินมาเทในที่ว่างนั้น ขณะที่ยังไม่ทันตกแต่งเสร็จ
พระพุทธเจ้าทีปังกรก็เสด็จดาเนินมาถึง สุเมธดาบสคิดว่าจะไม่ยอมให้พระพุทธเจ้ากับพระ
ขีณาสพสี่แสนทรงเหยียบเปือกตมแต่จงทรงย่าหลังของเราเหมือนทรงเหยียบสะพานแก้วมณี
เพอื่ ประโยชน์เพื่อความสขุ แก่เราตลอดกาลนาน จึงแก้ผมออก ลาดหนงั เสือ ชฎาและผา้ เปลือก
ไมว้ างลงบนเปอื กตมนอนควา่ หนา้ แล้วตง้ั ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจา้
พระพุทธเจ้าทีปังกรเสด็จประทับยืนเบื้องศีรษะของสุเมธดาบส ทอดพระเนตรเห็น
ดาบสนอนคว่าทรงดาริวา่ ดาบสนี้กระทาปรารถนาเพ่ือความเป็นพระพุทธเจ้าความปรารถนา
จกั สาเร็จหรอื ไม่ ทรงสง่ พระอนาคตังสญาณ๓๙๖ ทรงทราบว่าจากนีไ้ ปอีกสี่อสงไขยแสนกัปจักได้
เป็นพระพทุ ธเจา้ นามว่าโคดมทรงพยากรณ์แลว้ ตรัสกับภกิ ษุทัง้ หลายว่า พวกท่านจงดดู าบสผู้มี
ตบะสูงซึ่งนอนคว่าอยู่บนหลังเปือกตมได้กระทาความปรารถนายิ่งใหญ่เพ่ือความเป็น
พระพุทธเจ้าจักสาเร็จในสี่อสงไขยแสนกัป๓๙๗ เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามว่าโคดม มีนครก
บิลพัสดเ์ุ ปน็ ทปี่ ระทับ พระเทวที รงพระนามว่า มายา เป็นพระมารดา มพี ระเจ้าสุทโธทนะ เป็น
พระราชบิดา มีพระเถระช่อื อปุ ติสสะ เป็นอคั รสาวก พระเถระชอื่ โกลิตะ เป็นอัครสาวกที่สอง
มีพุทธอุปฐากชื่อ อานนท์ พระเถรีนามว่า เขมา เป็นอัครสาวิกา พระเถรีนามวา่ อุบลวรรณา
เปน็ อัครสาวิกาท่สี อง เมอ่ื เขามญี าณแกก่ ล้าแล้วออกมหาภิเนษกรมณ์ ต้ังความเพียรอย่างใหญ่
รับข้าวปายาสที่โคนต้นไทร เสวยที่ฝั่งเเม่น้าเนรัญชรา ขึ้นสู่โพธิมณฑล จักตรัสรู้ท่ีโคนต้น
อสั สัตถพฤกษ๓์ ๙๘
๓๙๖เป็นหน่ึงในญาณ ๓ ได้แก่ ๑. อตีตังสญาณ (ญาณหย่ังรู้ส่วนอดีต) ๒.อนาคตังสญาณ (ญาณ
หยัง่ รสู้ ่วนอนาคต) ๓. ปจั จปุ ปนั นังสญาณ (ญาณหยั่งรูส้ ว่ นปัจจบุ ัน), ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๓/๓๗๔.
๓๙๗กัปมี ๔ คือ (๑) กัปที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นองค์เดียว ชื่อว่าสารกัป (๒) กัปที่มี
พระพุทธเจ้าอุบัติข้ึน ๒ หรือ ๓ องค์ ช่ือว่าวรกัป (๓) กัปท่ีมีพระพุทธเจ้าอุบัติข้ึน ๔ องค์ ชื่อว่ามัณฑกัป (๔)
กัปท่มี พี ระพุทธเจ้าอุบตั ขิ น้ึ ๕ องค์ ช่อื วา่ ภัทรกัป ในภัทรกปั นี้มีพระพุทธเจา้ อบุ ัติข้ึน ๕ องค์ คือ พระกกสุ นั ธ
พุทธเจา้ พระโกนาคมนพทุ ธเจา้ พระกัสสปพทุ ธเจา้ พระโคดมพทุ ธเจ้า พระเมตเตยยพุทธเจ้า (ขุ.อป. (ไทย)
๓๓/๒๒๕/๓๒๑).
๓๙๘ตน้ ไม้อัตสัตตถะ หรือตน้ พระศรีมหาโพธิ ทรี่ มิ ฝัง่ แม่นา้ เนรญั ชรา ตาบลอรุ เุ วลาเสนานคิ มอนั
เป็นสถานท่ีทมี่ หาบุรษุ ไดต้ รัสรู้พระอนตุ ตรสมั มาสัมโพธิญาณ, อ้างแล้ว, หน้า ๔๐๔.
๒๐๘
สุเมธดาบสได้ฟังพุทธพยากรณ์ก็บังเกิดโสมนัสว่า ความปรารถนาของตนจักสาเรจ็
มหาชนได้ฟังพระดารัสของพระพทุ ธเจ้าทีปังกรแล้วต่างได้พากันรา่ เริงยินดีวา่ สุเมธดาบสเป็น
พืชแห่งพระพุทธเจ้า เป็นหน่อแห่งพระพุทธเจ้าในอนาคตท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า พวกเราพงึ
สามารถกระทาให้แจ้งซึ่งมรรคและผลต่อหน้าของท่าน ต่างพากันต้ังความปรารถนา๓๙๙ แม้
พระพุทธเจ้าทีปังกรก็ทรงสรรเสริญพระโพธิสัตว์ ทรงบูชาด้วยดอกไม้ ๘ กามือทรงกระทา
ประทักษิณแล้วเสด็จหลีกไป แม้พระขีณาสพนับได้สี่แสนต่างก็พากันบูชาพระโพธิสัตว์สุเมธ
ดาบส ดว้ ยของหอมและพวงดอกไม้ กระทาประทกั ษณิ แล้วหลีกไป พระโพธิสัตว์สุเมธดาบสลุก
ข้ึนเมื่อฝูงชนหลีกไปแล้วจึงน่ังขัดสมาธิบนกองดอกไม้ เทวดาในหมื่นจักรวาลพากันกล่าว
สาธุการ สรรเสริญพระโพธิสัตว์ด้วยคาสรรเสริญนานาประการ
พระโพธสิ ัตว์ได้ฟังพระดารัสของพระพุทธเจ้าทีปงั กรและถ้อยคาของเทวดาทั้งหมื่น
จักรวาล เกิดความอุตสาหะคิดว่า ถ้อยคาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีเป็นอย่างอ่ืน เราจัก
เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน สุเมธดาบสใคร่ครวญถึงธรรมที่กระทาให้เป็นพระพุทธเจ้าว่า ข้อที่
๑ ทานบารมี ข้อท่ี ๒ ศีลบารมี ข้อที่ ๓ เนกขัมมบารมี ข้อที่ ๔ ปัญญาบารมี ข้อท่ี ๕ วิริย
บารมี ขอ้ ที่ ๖ ขนั ตบิ ารมี ข้อท่ี ๗ สจั บารมี ขอ้ ที่ ๘ อธิษฐานบารมี ข้อท่ี ๙ เมตตาบารมี ข้อ
ท่ี ๑๐ อุเบกขาบารมี แล้วจึงอธิษฐานบารมีท้ังหมดกระทาให้มั่น พิจารณากลับไปมา ยึดถือ
บารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ คือ การบริจาคส่ิงของภายนอกเป็นทานบารมี การ
บรจิ าคอวยั วะเปน็ ทานอุปบารมี การบริจาคชีวิตเปน็ ทานปรมัตถบารมี ขณะที่พจิ ารณาบารมีท้ัง
๑๐ ด้วยเดชแห่งธรรม แผ่นดนิ ก็สะเทือนหว่ันไหว ชาวเมืองรัมมกะนครต่างตระหนกตกใจจึง
พากันเข้าไปเฝ้าทูลถาม พระพุทธองค์ตรัสว่าเหตุนี้เกิดเพราะสุเมธบัณฑิตไตร่ตรองอยู่ตรวจ
ตราบารมอี ยู่ เพราะเดชแห่งธรรม โลกธาตุทงั้ สนิ้ จงึ สะเทอื นเลอื่ นลั่น ฝ่ายพระโพธสิ ัตวไ์ ตร่ตรอง
บารมี กระทาความเพยี รใหม้ ั่น อธษิ ฐานแล้ว ลุกจากอาสนะที่นง่ั ไปสู่ป่าหิมพานต์๔๐๐
๓๙๙ทรงพยากรณ์เขาเหล่านั้นว่า ในวันนี้ ชนเหล่าใดมีความปรารถนา ชนเหล่านั้นจักสาเร็จ
พร้อมหนา้ กนั , (ขุ.อป. (ไทย) ๓๓/๔๖๘/๕๑๕).
๔๐๐ ข.ุ ชา.อ. (ไทย) เลม่ ที่ ๓ ภาคที่ ๑, หน้า ๒-๗๙.
๒๐๙
๙.๑.๒ มหานิบาตชาดก
มหานิบาตชาดก แปลว่า ชาดกท่ีชุมนุมเร่ืองใหญ่ คือ เร่ืองพระโพธิสัตว์ ๑๐ ชาติ
สุดท้ายท่ีเรียกว่า ทศชาติ มี เตมิยชาดก เป็นต้น พระเวสสันดรชาดก เป็นชาติสุดท้าย มีความ
โดยย่อ ดงั นี้
๑) เตมยิ ชาดก๔๐๑
ชาดกเรื่องนี้แสดงถึง การบาเพ็ญเนกขัมมบารมี คือการออกบวชหรือออกจากกาม มี
เร่ืองโดยย่อว่า เตมิยราชกุมาร เกรงการท่ีจะได้ครองราชสมบัติ เพราะทรงสลดพระหฤทัยท่ีเห็น
ราชบุรุษลงโทษโจรตามพระราชดารัสของพระราชา เช่น เฆี่ยนโจรพันคร้ังบ้าง เอาหอกแทงบ้าง
เอาหลาวเสียบบ้าง จึงใช้วิธีแสร้งทาเป็นง่อยเปล้ีย หูหนวก เป็นใบ้ ไม่พูดจากับใคร แม้จะถูก
ทดลองต่าง ๆ ก็อดกล้ันไว้ ไม่ยอมแสดงอาการพิรุธให้ปรากฏ เพ่ือเล่ียงการครองราชสมบัติ
พระราชาปรึกษาพวกพราหมณ์ให้นาราชกุมารไปฝัง พระมารดาทรงคัดค้านไม่สาเร็จก็ทูลขอให้
พระราชกุมารครองราชย์สัก ๗ วัน แต่พระราชกุมารกไ็ มย่ อมพูด ต่อเม่ือ ๗ วันแล้ว สารถีนาราช
กุมารขึ้นสู่รถไปฝังตามรับสั่งพระราชา ขณะที่ขุดหลุมราชกุมารกเ็ สด็จลงจากรถ ตรัสปราศรัยกับ
นายสารถี แจ้งความจริงให้ทราบว่ามพี ระประสงค์จะออกบวช สารถีเลอื่ มใสในคาสอน จึงขอออก
บวชด้วย จงึ ตรัสสง่ั ใหน้ ารถกลับไปคนื กอ่ น สารถนี าความไปเล่าถวายพระมารดา พระบิดาให้ทรง
ทราบทั้งสองพระองค์พร้อมด้วยอามาตย์ราชบริพารจึงเสด็จออกไปหาเชิญให้เสด็จกลับไป
ครองราชสมบัติ แตพ่ ระราชกมุ ารกลบั มาถวายหลกั ธรรมให้ยนิ ดีในเนกขมั มะ คอื การออกจากกาม
พระชนกพระชนนพี ร้อมดว้ ยบริวารทรงเล่ือมใสในคาสอนเสด็จออกผนวช บวชตามพระราชกุมาร
ภายหลงั มพี ระราชาอนื่ เปน็ อนั มากสดับพระโอวาทแล้วขอออกผนวชตาม
๒) มหาชนกชาดก๔๐๒
๔๐๑ พระพุทธเจา้ เม่ือประทับ ณ พระวหิ ารเชตวัน ทรงปรารภการเสดจ็ ออกบรรพชาอนั ย่ิงใหญ่
ในอดีต ได้ตรัสไว้ เริ่มต้นด้วยเทวดาผู้สถิตอยู่ท่ีเศวตฉัตรกล่าวสอนเตมิยกมุ ารว่า “ท่านจงอย่าเปดิ เผยตนวา่
เปน็ บณั ฑิต” (ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/๑/๑๘๓).
๔๐๒พระพทุ ธเจ้าประทบั ณ พระเชตวนั ทรงปรารภการเสด็จออกบรรพชาในอดีต ตรสั เร่ืองพระ
มหาชนกเริ่มตน้ ดว้ ยเรื่องทน่ี างเทพธิดากลา่ วกับพระมหาชนกกาลังว่ายน้าขา้ มทะเลวา่ “ใครกนั น่ี ทั้งๆ ท่ีมอง
ไมเ่ หน็ ฝง่ั ก็ยังพยายาม (วา่ ย) อยใู่ นทา่ มกลางสมทุ ร”. (ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/๑๒๓/๒๐๒).
๒๑๐
ชาดกเรื่องน้ีแสดงถึง การบาเพ็ญวิริยบารมี คือ ความพากเพียร มีเร่ืองโดยย่อว่า
พระมหาชนกราชกมุ ารเดนิ ทางไปในทะเล เกดิ เรือแตก คนทั้งหลายจมนา้ ตาย บางคนเป็นเหย่อื
ของสตั ว์นา้ แตไ่ มท่ รงละความอตุ สาหะ ทรงว่ายน้าโดยกาหนดทิศทางแห่งกรงุ มิถิลา ในที่สุดก็
ได้รอดชวี ิตกลบั ไปถงึ กรุงมิถลิ า ไดค้ รองราชสมบัติ ชาดกเรื่องนี้เป็นท่ีมาแห่งภาษิตทว่ี า่
“เป็นชายควรเพียรร่าไป อย่าเบื่อหน่าย (ความเพียร) เสีย เราเห็นตัวเองเป็น
ตัวอยา่ งท่ีได้ตามปรารถนา ขึ้นจากนา้ มาส่บู กได้”๔๐๓
๓) สวุ ัณณสามชาดก๔๐๔
ชาดกเรอื่ งนแ้ี สดงถงึ การบาเพ็ญเมตตาบารมี คือการแผ่ใมตรจี ติ คิดจะให้สัตว์ท้ังปวง
เป็นสุขทั่วหน้า มีเร่ืองโดยย่อว่า สุวรรณสามเลี้ยงมารดาบิดาตาบอดในป่า เป็นผู้มีเมตตา
ปรารถนาดีต่อผ้อู นื่ หมเู่ น้อื จึงเดินแวดล้อมไปในที่ตา่ ง ๆ วนั หน่งึ ถกู พระเจ้าปิลยักษก์ รงุ พาราณสี
ยิงด้วยธนู เพราะเข้าพระทัยผดิ เมอ่ื ทราบว่าเปน็ มาณพผู้เลีย้ งมารดาบิดาก็สลดพระทัย มารดา
บิดาของสุวรรณสามก็ต้ังสัจจกิริยาอ้างคุณความดีของสุวัณณสามขอให้พษิ ของลูกศรนนั้ หมด
ไป สุวัณณสามก็ฟ้ืนคืนสติและได้สอนพระราชา แสดงคติธรรมว่า ผู้ใดเลี้ยงมารดาบิดา แม้
เทวดาก็ย่อมรักษาผู้น้ัน ย่อมมีคนสรรเสริญในโลกนี้ ละโลกนี้ไปแล้วก็บันเทิงในสวรรค์
ต่อจากน้ันเมื่อ พระราชาขอให้สั่งสอนต่ออีกก็สอนให้ทรงปฏิบัติธรรมปฏิบัติชอบในบุคคลท้ัง
ปวง เม่อื พระองคท์ รงประพฤตธิ รรมในโลกนแ้ี ล้วจกั เสดจ็ ไปส่สู วรรค์
๔) เนมิราชชาดก
ชาดกในเรื่องนี้แสดงถึง การบาเพ็ญอธิษฐานบารมี คือความต้ังใจมั่นคง มีเร่ืองโดย
ย่อว่า เนมิราชกุมาร ได้ข้ึนครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อจากพระราชบิดา ทรงบาเพ็ญคุณงาม
๔๐๓สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปิฎกฉบับประชาชน, พิมพ์คร้ังท่ี ๑๖, (กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พ์มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙), หนา้ ๖๑๗.
๔๐๔พระพุทธเจ้าประทับ ณ พระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุเลี้ยงดูมารดารูปหน่ึง ตรัสสุวัณณ
สามชาดก เริ่มต้นว่า ใครกันหนอใช้ลูกศรยิงเราผู้ประมาทกาลังนาน้าไปอยู่. (ขุ.ชา. (ไทย) ๒๘/๒๙๖/
๒๒๙).
๒๑๑
ความดเี ปน็ ที่รกั ของมหาชน และในท่สี ุดเมือ่ ทรงพระชรา กท็ รงมอบราชสมบตั แิ ก่พระราชโอรส
เสด็จออกผนวชเช่นเดยี วกับทพ่ี ระราชบดิ าของพระองค์เคยทรงบาเพญ็ มา๔๐๕
๕) มโหสธชาดก๔๐๖
ชาดกเร่ืองน้แี สดงถงึ การบาเพญ็ ปัญญาบารมี คอื ความรทู้ ั่วถงึ ส่ิงทีค่ วรรู้ มเี รือ่ งโดย
ย่อว่า มโหสธบัณฑิต เป็นท่ีปรึกษาหนุ่มของพระเจ้าวิเทหะแห่งกรุงมิถิลา ท่านมีความฉลาดรู้
สามารถแนะนาในปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องรอบคอบ เอาชนะที่ปรึกษาอื่น ๆ ที่ริษยาใส่
ความ ด้วยความดี ไม่พยาบาทอาฆาต ภายหลังใช้อุบายป้องกันพระราชาจากราชศัตรู และจบั
ราชศตั รูซึ่งเปน็ กษตั รยิ ์พระนครอ่นื ได้
๖) ภรู ทิ ตั ตชาดก๔๐๗
ชาดกเร่ืองน้ีแสดงถึงการบาเพ็ญศีลบารมี คือ การรักษาศีล มีเร่ืองโดยย่อว่า ภู
ริทัตตนาคราชไปจาศีลอยู่ทีร่ ิมฝัง่ แมน่ ้ายมุนา ยอมอดทนใหห้ มองูจับไปทรมานต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่
สามารถจะทารา้ ยหมองูได้ดว้ ยฤทธ์ิ ดว้ ยมใี จมน่ั ตอ่ ศลี ของตน ในทา้ ยที่สุดกไ็ ด้รับอิสรภาพ
๗) จันทกมุ ารชาดก๔๐๘
ชาดกเร่ืองน้ีแสดงถึง การบาเพ็ญขันติบารมี คือ ความอดทน มีเร่ืองโดยย่อว่า จัน
ทกมารเป็นโอรสของพระเจ้าเอกราชช่วยประชาชนพ้นจากคดีที่กัณฑหาลพราหมณ์ปุโรหิตรับ
สินบนแล้วตัดสินความไม่เป็นธรรม ประชาชนก็พากันเล่ือมใสเปล่งสาธุการ ทาให้กัณฑหาล
๔๐๕พระพทุ ธเจ้าเสดจ็ เข้าไปอาศยั เมืองมิถลิ าประทบั ณ สวนมะม่วงของพระราชามฆเทพ ทรง
ปรารภการกระทาการแย้มสรวลใหป้ รากฏ ตรสั เรื่องเนมริ าชชาดก เร่มิ ต้นวา่ น่าอัศจรรยห์ นอ.ในโลก..(ขุ.ชา.
(ไทย) ๒๘/๔๒๑/๒๔๖).
๔๐๖มโหสธชาดก เป็นชาดกเร่ืองที่ ๕๔๒ ฉบับพม่าเป็นอุมังคชาดก อรรถกถาเขียนว่า มโหสถ,
พระพุทธเจา้ ประทบั ณ พระเชตะวัน ทรงปรารภปญั ญาบารมีของพระองค์ ตรสั มโหสธชาดก เร่มิ ตน้ วา่ พระ
เจ้าพรหมทัตผู้ครองแคว้นปัญจาละเสด็จยาตราทัพมาพร้อมด้วยกองทัพทุกหมู่เหล่า.. (ขุ.ชา. (ไทย) ๒๘/
๕๙๐/๒๗๔).
๔๐๗พระพุทธเจ้าประทับ ณ พระเชตวัน ทรงปรารภอุบาสก อุบาสิกา ผู้รักษาอุโบสถศีล ตรัส
ภรู ิทตั ตชาดกเริม่ ต้นว่า รัตนะอยา่ งใดอย่างหนึง่ มอี ยู่.. (ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/๗๘๔/๓๐๕).
๔๐๘พระพทุ ธเจ้าประทับท่ีภูเขาคชิ ฌกูฏ ทรงปรารภพระเทวทตั ตรสั จันทกมุ ารชาดก เริ่มต้นว่า
พระราชาผูท้ รงทากรรมหยาบชา้ . (ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/๙๘๒/๓๓๕).
๒๑๒
พราหมณ์ผูกอาฆาตในพระราชกุมาร เม่ือพระเจ้าเอกราชทรงสุบินเห็นดาวดึงสเ์ ทวโลก เมื่อ
ตรัสถามกัณฑหาลพราหมณ์ถือโอกาสแก้แค้น กราบทูลให้ตัดพระเศียรโอรสธิดาบูชายัญ
พระราชาเป็นคนเขลา จึงรับสั่งให้จับพระราชโอรส ๔ พระองค์พระราชธิดา ๔ พระองค์พระ
มเหสี ๔ พระองค์และมีคนอื่นอีกเพื่อเตรียมประหาร แม้ใครจะทูลทัดทานขอร้องก็ไม่เป็นผล
รอ้ นถงึ ทา้ วสกั กะ (พระอนิ ทร)์ ต้องมาขม่ ขแู่ ละช้ีแจงให้หายเข้าใจผิดว่า วธิ นี ีไ้ ม่ใชท่ างไปสวรรค์
มหาชนจึงรุมฆ่าพราหมณ์ปุโรหิต และเนรเทศพระเจ้าเอกราช แล้วกราบทูลเชิญจันทกุมารขน้ึ
ครองราชย์
๘) นารทชาดก (มหานารทกสั สปชาดก)
ชาดกเรื่องน้ีแสดงถึง การบาเพ็ญอุเบกขาบารมี คือการวางเฉย มีเร่ืองโดยย่อว่า
พรหมนารทะช่วยเปล้ืองพระเจ้าอังคติราชให้กลับจากความเห็นผิดมามีความเห็นชอบตามเดมิ
กล่าวคือ ความเห็นผิดน้ันเห็นว่า สุขทุกข์เกิดเองไม่มีเหตุ คนเราเวียนว่ายตายเกิดหนักเข้าก็
บรสิ ุทธ์ิได้เอง ชง่ึ เรยี กว่า สงั สารสทุ ธิ๔๐๙
๙) วธิ ุรชาดก๔๑๐
ชาดกเรื่องนี้แสดงถึง การบาเพ็ญสัจจบารมี คือความสัตย์ มีเร่ืองโดยย่อว่า วิธุร
บณั ฑิต เป็นผถู้ วายคาแนะนาประจาราชสานกั พระเจ้าธนญั ชัยโกรัพยะพระราชาท่ีประชาชนรัก
ใคร่ วันหน่ึงปุณณกยักษ์มาท้าพระราชาเล่นสกาว่าถ้าตนแพ้จักถวายมณีรัตนะวิเศษ ถ้า
พระราชาแพ้ก็จะพระราชทานทุกสิ่งที่ต้องการ พระราชาแพ้ปุณณกยักษ์ทูลขอตัววิธุรบัณฑิต
พระราชาจะไม่พระราชทานก็เกรงเสียสัตย์ พระองค์ถือว่าวิธุรบัณฑิตมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินใด
ทรงหน่วงเหนีย่ วด้วยประการต่าง ๆ วิธุรบัณฑิตให้รักษาสัตย์โดยยอมไปกับยกั ษ์ ยักษ์ต้องการ
หัวใจวิธุรบัณฑติ ไปแลกกับธิดาพญานาค เป็นอุบายภรยิ าพญานาคใคร่จะได้สดับธรรมจากวธิ ุร
บัณฑิตจึงบอกสามีว่า ถ้าปุณณกยักษ์ต้องการธิดาตนก็ให้นาหัวใจวิธุรบัณฑิตมา แม้ยักษ์จะหา
๔๐๙พระพุทธเจ้าประทับ ณ อุทยานลัฏฐิวัน ทรงปรารภการท่ีทรงทรมานอุรุเวลกัสสปะ ตรัส
มหานารทกัสสปชาดกเร่มิ ต้นว่า ได้มพี ระราชาแห่งกรุงวเิ ทหะ. (ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/๑๑๕๓/๓๖๓).
๔๑๐พระพทุ ธเจ้าประทบั ณ พระเชตวัน ทรงปรารภการบาเพญ็ ปัญญาบารมี ตรัสวธิ ุรชาดก เรม่ิ ต้น
ว่า เธอมีผวิ พรรณเหลือง ซบู ผอม มีกาลงั น้อย. (ขุ.ชา. (ไทย) ๒๘/๑๓๔๖/๓๔๑).
๒๑๓
วิธีตา่ ง ๆ ทาให้วธิ รุ บัณฑิตตายเขาก็ไม่ตาย วธิ ุรบัณฑิตกลับแสดงสาธุนรธรรม (ธรรมของคนดี)
ทาใหย้ กั ษ์เลื่อมใสและได้แสดงธรรมแกพ่ ญานาค ในที่สุดก็ได้กลับมาลกู่ รงุ อินทปตั ถ์
๑๐) พระเวสสนั ดรชาดก๔๑๑
ชาดกเร่ืองนี้เเสดงถึงการบาเพ็ญทานบารมี คือ การบริจาคทาน มีเร่ืองโดยย่อว่า
พระเวสสันดร ผู้ใจดีบริจาคทุกอย่างท่ีมีคนขอ คร้ังหน่ึงประทานช้างเผือกคู่บ้านคู่เมืองแก่
พราหมณ์ชาวกาลิงคะ ซึ่งมาขอช้างไปเพื่อทาให้หายฝนแล้ง แต่ประชาชนโกรธท่ี
พระราชทานชา้ งเผอื ก จงึ ขอให้เนรเทศพระเวสสนั ดร พระราชบิดาจงึ จาพระทยั เนรเทศ ซึง่ พระ
นางมัทรีพร้อมด้วยพระโอรส ธิดาได้ตามเสด็จไปด้วย เมื่อชูชกไปขอสองกุมาร พระเวสสันดรก็
ประทานอกี ภายหลงั พระเจา้ สญชยั พระราชบิดาทรงไถ่สองกมุ าร แลว้ เสดจ็ ไปรับกลับพระนคร
เร่ืองพระเวสสันดรชาดกน้ี ทรงบาเพ็ญบารมีชาติสุดท้ายแสดงถึงการเสียสละส่วนน้อยเพื่อ
ประโยชน์ส่วนใหญ่ คือ การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า อันจะเป็นทางให้ได้บาเพ็ญประโยชน์
สว่ นรวมไดด้ ียงิ่ มิใช่เสียสละโดยไมม่ ีจุดมุ่งหมายหรือเหตุผล
๙.๑.๓ พระพุทธเจ้า (พระโพธิสตั ว)์ ในชาดก
พระโพธิสัตว์ เป็นตัวอย่างของนกั บวช พราหมณ์ เทวดา คน สัตว์ในอุดมคติท่ีสรา้ ง
สมความดีมาหลายภพหลายชาติ การสร้างสมคุณความดีของพระโพธิสัตว์ก็คือ การบาเพ็ญ
บารมีไว้มากมายจนไดต้ รสั รเู้ ป็นพระพุทธเจ้าในพระชาตสิ ดุ ทา้ ย
พระโพธสิ ตั วก์ ็คือ เจา้ ชายสิทธัตถะ ในอดีตชาติเคยเสวยพระชาติ ตา่ ง ๆ ดงั นี้
เป็นนักบวช ๘๓ ชาติ
เปน็ พระราชา ๘๕ ชาติ
เป็นรกุ ขเทวดา ๔๓ ชาติ
เปน็ อาจารยส์ อนธรรม ๒๖ ชาติ
เป็นอมาตย์ ๒๔ ชาติ
เป็นพราหมณ์ ๒๔ ชาติ
๔๑๑พระพุทธเจ้าประทับ ณ นิโครธาราม กรุงกบิลพัสด์ุ ทรงปรารภฝนโบกขรพรรษ (ฝนดุจ
น้าตกในใบบัวมีสีแดง ผู้ต้องการให้เปียกจึงเปียก) ให้เป็นเหตุ ตรัสเวสสันดรชาดกแก่ภิกษุทั้งหลาย (ข.ุ ชา.
(ไทย) ๒๘/๑๖๕๕/๔๔๗).
๒๑๔
เป็นราชโอรส ๒๔ ชาติ
เปน็ ปโุ รหติ ๒๓ ชาติ
เปน็ ผูค้ งแก่เรียน ๒๒ ชาติ
เป็นท้าวสกั กเทวราช ๒๐ ชาติ
เป็นพญาลงิ ๑๘ ชาติ
เป็นพอ่ ค้า ๑๓ ชาติ
เปน็ คหบดีผมู้ ง่ั ค่ัง ๑๒ ชาติ
เปน็ พญากวาง ๑๑ ชาติ
เป็นสงิ โต ๑๐ ชาติ
เป็นพญาหงส์ ๘ ชาติ
เป็นพญานก ๖ ชาติ
เปน็ พญาช้าง ๖ ชาติ
เปน็ พญาไก่ ๕ ชาติ
เปน็ ทาส ๕ ชาติ
เปน็ พญาเหยย่ี ว ๕ ชาติ
เปน็ พญาสุบรรณ (ครุฑ) ๑ ชาติ
เปน็ พญานาคราช ๑ ชาติ
เป็นพญามา้ ๔ ชาติ
เป็นโคอุสภะ ๔ ชาติ
เป็นพรหม ๔ ชาติ
เป็นพญานกยูง ๔ ชาติ
เป็นพญางู ๔ ชาติ
เปน็ คนพกิ าร ๓ ชาติ
เปน็ คนจณั ฑาล ๓ ชาติ
เป็นพญาเห้ยี ๓ ชาติ
เปน็ พญาปลา ๒ ชาติ
๒๑๕
เปน็ ควาญชา้ ง ๑ ชาติ
เปน็ พญาหนู ๑ ชาติ
เป็นโจร ๑ ชาติ
เป็นพญากา ๑ ชาติ
เป็นพญานกหัวขวาน ๑ ชาติ
เปน็ ขโมย ๑ ชาติ
เปน็ สุกร ๑ ชาติ
เป็นพญาสุนัข ๑ ชาติ
เป็นหมองู ๑ ชาติ
เป็นนักเลงการพนนั ๑ ชาติ
เปน็ ชา่ งทอง ๑ ชาติ
เปน็ นกั ศกึ ษา ๑ ชาติ
เปน็ ชา่ งเงิน ๑ ชาติ
เป็นชา่ งไม้ ๑ ชาติ
เป็นสนุ ขั จ้ิงจอก ๑ ชาติ
เปน็ นกกานา้ ๑ ชาติ
เปน็ กบ ๑ ชาติ
เป็นกระต่าย ๑ ชาติ
เปน็ คนโกง ๑ ชาติ
เปน็ นกั เลงสรุ า ๑ ชาติ
เปน็ เจา้ หน้าที่รกั ษาปา่ ๑ ชาติ
เป็นเทวดา ๑ ชาติ
แต่ละชาติ พระโพธิสัตว์ได้อดทน บากบั่นฟันฝ่าอุปสรรค สู้กับความช่ัวร้าย เพื่อ
สร้างสมบารมี เม่ือคร้งั เสวยพระชาตเิ ปน็ สัตว์เชน่ เป็นนก เปน็ สนุ ขั เป็นสกุ ร หรือเปน็ ช้าง เคย
สั่งสอนศีลธรรมแก่มนุษย์ การสอนศีลธรรมในนิทานชาดกนั้น กาหนดให้สัตว์แสดงบทบาท
เหมือนมนษุ ย์ พูดภาษามนุษยไ์ ด้ เปน็ กศุ โลบายของผ้สู อน สาระมไิ ด้อยู่ทว่ี ่าสัตว์พดู ภาษามนุษย์
๒๑๖
ได้หรือไม่ได้ ส่ิงพึงสาเหนียกจดจาก็คือ คาพูดท่ีสัตว์พูดอะไรมากกว่า นิทานชาดกมักจบด้วย
สามัญสานึก หรือไมก่ ็เปน็ การช้ีโทษภยั แห่งความประพฤติทุจริต รจู้ กั การเลอื กคบมติ ร การแตก
จากมิตร ความโลภ เปน็ ตน้ ซึ่งใหแ้ ง่คิดคตธิ รรมเรื่องความดีความชว่ั คาพดู ของตัวละครต่าง ๆ
แฝงปริศนาให้ขบคิด บอกให้รู้ธรรมชาติคน เล่ห์เหล่ียม เพทุบาย มารยาทในสังคม ตลอดถึง
จารตี ประเพณตี า่ ง ๆ
๙.๒ ประวตั ิของพระพทุ ธสาวกทป่ี รากฏในชาดก
ชาดกทุกเร่ืองกล่าวถึงเรื่องราว ประวัติของพระพุทธเจ้า และพระสาวกทุกเร่ือง
เช่น กุณาลชาดก นอกจากจะกล่าวถึงประวัติของพระพุทธเจ้าแล้ว ยังบอกถึงความสัมพนั ธ์
กับพระพทุ ธสาวกในอดีตชาติ เช่น ในเรื่องกุณาลชาดก มเี รือ่ งโดยยอ่ วา่
๙.๒.๑ กุณาลชาดก
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ริมสระชื่อกุณาละ ทรงปรารภภิกษุ ๕๐๐ รูป ซึ่งถูก
ความเบอื่ หนา่ ยอยากจะสกึ บีบคั้นแลว้ จึงตรัสพระธรรมเทศนา กณุ าลชาดก ดังนี้
ระหว่างเมืองกบิลพัสด์ุกับเมืองโกลิยะมีแม่น้าโลหินี ไหลผ่าน ชาวสากิยะ และชาว
โกลิยะสร้างทานบกั้นน้าร่วมกัน ต่อมาขาดน้าชาวเมืองจึงวิวาทกันเพราะแย่งน้านั้น พระพุทธ
องค์ทรงทราบ ทรงเห็นว่าพระองค์จักแสดงชาดก ๕ เร่ือง ชาดก ๓ เร่ืองแรก เพื่อระงับการ
ทะเลาะวิวาท และแสดงชาดกอีก ๒ เรื่อง เพื่อทาให้เกิดความสามัคคี แล้วแสดงอัตตทัณฑ
สูตร ที่ทาให้กษัตริย์ทั้งสองพระนครจักให้พระราชกุมารฝ่ายละ ๒๕๐ พระองค์บรรพชา จึง
เสด็จไปประทับนงั่ ณ พุทธอาสนซ์ งึ่ พวกกษตั ริย์จัดถวาย ตรัสถามพระญาติที่กาลังจะสรู้ บกันว่า
พวกเธอเกิดทะเลาะวิวาทกันด้วยเร่ืองอะไร ตรัสตอบว่า เพราะเร่ืองน้าพระเจ้าข้า ตรัสถามว่า
น้ามรี าคาเท่าไร ทูลวา่ น้าราคาเล็กนอ้ ย พระเจา้ ข้า ก็แผน่ ดนิ ราคาเท่าไร ทูลวา่ แผน่ ดนิ มีราคา
ประมาณมิได้พระเจ้าข้า ก็กษัตริย์เล่ามีราคาเท่าไร ทูลว่า กษัตริย์มีราคาประมาณมิได้พระเจ้า
ข้า
พระพทุ ธเจ้าจึงตรสั วา่ ไฉนพวกท่านจงึ จะทาใหก้ ษตั รยิ ซ์ ึ่งหาค่ามไิ ดพ้ ินาศไป เพราะ
น้าราคาเลก็ นอ้ ยเล่า แล้วจงึ ตรัสเทศนา ผันทนชาดก ทุททภชาดก ลฏกุ กิ ชาดก รกุ ขธรรมชาดก
วัฏฏกชาดก อัตตทัณฑสูตร กณุ าลชาดก ดังน้ี
๒๑๗
๑) ผันทนชาดก๔๑๒ ว่าดว้ ยการผูกเวรของหมแี ละไมส้ ะครอ้ มีเนือ้ ความโดยยอ่ วา่
พระโพธสิ ตั ว์เสวยพระชาตเิ ปน็ รุกขเทวดาอยูใ่ นปา่ ได้ร้เู หตแุ หง่ เทวดาบนต้นตะคร้อ
และหมี มีเวรต่อแก่กันและกัน ทาให้ต้นตะคร้อและหมีพินาศด้วยกันทั้งคู่ ตรัสว่า มหาราช
ท้ังหลาย ชื่อว่า การหายใจคล่องเพราะเหตุทะเลาะวิวาทกันน้ันไม่มีเลย เพราะรุกขเทวดาตน
หนงึ่ กบั หมตี ัวอาฆาต ทะเลาะววิ าทกนั เวรนนั้ กต็ ามตลอดไป แล้วตรสั เทศนาทุททภชาดก ดังน้ี
๒) ทุททภชาดก๔๑๓ วา่ ดว้ ยกระต่ายตนื่ ตมู ความโดยยอ่ วา่
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญาราชสีห์ ช่วยเหลือสัตว์ผู้พากันแตกต่ืนเพราะ
เชอ่ื ถอื กระตา่ ยต่นื ตมู ตรัสว่า ดูกอ่ นมหาราชท้งั หลาย เกดิ มาเปน็ คนไมค่ วรหุนหนั ไปตามเหตุที่
ยังมาไมถ่ งึ ของบคุ คลอน่ื (คอื ไมค่ วรเกบ็ เอาเรื่องของคนอืน่ มาคิด) ตรสั เลา่ ถึงพวกสตั ว์จตุบทใน
ป่าหิมพานต์ยึดถือเรื่องของคนอ่ืน พากันว่ิงจะไปลงทะเล เพราะฟังคาของกระต่ายตัวหน่ึง
เพราะฉะนน้ั บุคคลจึงไมค่ วรยึดถือเอาเรื่องของคนอน่ื แล้วตรสั เทศนา ลฏุกกิ ชาดก ดงั น้ี
๓) ลฏุกิกชาดก๔๑๔ วา่ ด้วยนางนกไส้ ความโดยยอ่ วา่
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญาช้าง เที่ยวหากินกับบริวาร ๘๐,๐๐๐ ตัวไปพบ
นางนกไส้กกลกู ออ่ นทหี่ นทาง นางนกอ้อนวอนขอชวี ติ ลูก พญาช้างจึงยืนคร่อมลูกนกไว้ ปล่อย
ให้บริวารผ่านไปก่อน ต่อมามีช้างตัวหนึ่งเท่ียวหากินในที่น้ัน นางนกร้องขอชีวิตลูกแก่ช้างน้ัน
ช้างไมฟ่ ังฆา่ ลกู นกตาย นางนกจึงหาอบุ ายฆา่ ช้างนนั้ จนตาย ตรัสวา่ มหาราชทงั้ หลาย ผูม้ ีกาลัง
มากทาร้ายผมู้ ีกาลังน้อยได้ แต่บางครง้ั ผู้มกี าลงั น้อยก็สามารถทาลายผู้มกี าลงั มากได้ แมน้ างนก
ไส้ยังฆ่าพญาช้างได้ พระพุทธองค์ตรสั เทศนาชาดก ๓ เร่ือง เมื่อทรงพระประสงค์จะระงบั การ
ทะเลาะวิวาทแลว้ จงึ ตรสั เทศนาชาดกอกี ๒ เรือ่ ง เพ่อื แสดงสามคั คีธรรม แลว้ ตรัสเทศนา รุกข
ธรรมชาดก วา่
๔๑๒ ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๑๔-๒๖/๓๙๘-๔๐๐.
๔๑๓ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๘๕-๘๘/๑๗๔.
๔๑๔ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๓๙-๔๓/๒๐๖-๒๐๗.
๒๑๘
๔) รกุ ขธรรมชาดก๔๑๕ ว่าด้วยธรรมสาหรับตน้ ไม้ ความโดยย่อวา่
พระโพธสิ ตั ว์เสวยพระชาตเิ ป็นรกุ ขเทวดา บอกอบุ ายให้หมู่ญาติจองวิมานอยู่ใกล้ ๆ
กันเปน็ หม่กู ลางป่าใหญ่ พวกท่ีเหน็ ดว้ ยกร็ อดพน้ จากอันตราย พระโพธิสตั ว์แสดงธรรมแก่เหล่า
เทวดาว่า ญาติยิ่งมีมากยิ่งดี แม้ต้นไม้ที่เกิดในป่าย่ิงมีมากก็ย่ิงดี ต้นไม้ท่ียนื ต้นอยโู่ ดดเดีย่ ว ถงึ
จะใหญ่โต ลมย่อมพัดให้หักโค่นได้ ตรัสว่า มหาราชทั้งหลาย เมื่อบุคคลพร้อมเพรียงกันอยู่
แล้ว ใคร ๆ ก็ไม่อาจหาช่องทาร้ายได้ แล้วตรัสเทศนา วัฏฏกชาดก ดังน้ี
๕) วฏั ฏกชาดก๔๑๖ วา่ ด้วยนกกระจาบ ความโดยย่อว่า
พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาติเปน็ นกกระจาบ ถูกจับไปขงั ไว้ ทาอบุ ายอดอาหารจึงเอา
ตัวรอดมาได้ ตรัสวา่ เมือ่ ฝูงนกกระจาบพรอ้ มเพรียงกัน นายพรานกไ็ ม่อาจหาชอ่ งทารา้ ยได้ ต่อ
เม่ือใดฝงู นกกระจาบเกดิ แก่งแยง่ กันข้นึ เม่อื นน้ั บุตรนายพรานคนหนง่ึ จึงทาลายชีวติ นกกระจาบ
ได้ ช่ือว่า ความหายใจคล่องในการทะเลาะววิ าทย่อมไมม่ ี พระพุทธองค์ตรสั ชาดก ๕ เร่ืองแลว้
ในท่ีสุดจึงตรัสเทศนา อตั ตทณั ฑสูตร ดงั น้ี
๖) อตั ตทัณฑสตู ร ว่าดว้ ยความกลวั เกิดจากโทษของตน
พระพุทธองค์ ตรัสสอนทหารของพระญาติทั้ง ๒ ฝ่าย ที่เตรียมทาสงครามกัน ให้
เห็นโทษของการทะเลาะวิวาท ให้หยุดการเอาชนะกันด้วยกาลัง แต่ให้มุ่งทาสงครามกับข้าศึก
ภายในที่เผาไหม้สัตว์ท้ังหลาย คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ โสกะ และความสงสัย๔๑๗
พระราชาท้งั หมดทรงสดับพระธรรมเทศนาแล้วทรงเล่อื มใสถวายพระราชกุมารฝ่าย
ละ ๒๕๐ องค์ พระพุทธองคท์ รงใหพ้ ระราชกมุ ารทัง้ หมดบรรพชาแล้วเสดจ็ ไปมหาวัน วนั ร่งุ ข้ึน
เสด็จบิณฑบาตไปในพระนครทั้งสองพร้อมด้วยภิกษุราชกุมารทั้ง ๕๐๐ ภิกษุราชกุมารบวช
ด้วยความเคารพในพระพุทธองค์ไม่ได้บวชด้วยความเต็มใจจึงใคร่อยากจะสกึ พระพุทธองค์
ทรงทราบจึงทรงพาภิกษทุ ัง้ หมดไปปา่ หิมพานต์ แลว้ ตรัสเทศนา กุณาลชาดก ดงั น้ี
๔๑๕ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๗๔/๓๑.
๔๑๖ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๑๑๘/๔๘.
๔๑๗ขุ.ส.ุ (ไทย) ๒๕/บทนา/๘๘.
๒๑๙
๗) กณุ าลชาดก
ท่ีภูเขาป่าหิมพานต์ มีนกดุเหว่าชื่อ กุณาละ มีนางนกดุเหว่าบริวาร ๓,๕๐๐ ตัว นาง
นก ๒ ตัวคาบปลายท่อนไม้ท้ังสองข้างให้พญานกกุณาละจับตรงกลางไม้ พาบินไปเพ่ือไม่ให้
เหน่ือย อีก ๕๐๐ ตัวบินข้างล่างคอยรับไว้ไม่ให้ตกลงพ้ืนดิน อีก ๕๐๐ ตัวบินข้างบนเพ่ือบัง
แสงแดด บนิ ดา้ นข้าง ๆ ละ ๕๐๐ ตวั เพื่อปอ้ งกนั ความหนาว ร้อน หญา้ ละออง ลมและน้าค้าง
อีก ๕๐๐ ตัวบินไปข้างหน้า เพ่ือป้องกันเด็กเล้ียงโค เด็กเล้ียงสัตว์ คนเกี่ยวหญ้า คนหักฟืน
คนทางานในป่า ขว้างปาด้วยท่อนไม้ อีก ๕๐๐ ตัวบินไปข้างหน้าเพื่อป้องกันกอไม้ หรือนกทม่ี ี
กาลังมากกว่า อีก ๕๐๐ ตัวบินอยู่ข้างหลังคอยเจรจาไม่ให้เงียบเหงา อีก ๕๐๐ ตัวบินไปนา
ผลไม้มาให้ แม้นางนกท้ังหลายคอยดูแลพญานกกุณาละเป็นอย่างดี ครบถ้วน แต่พญานกก็ยงั
กล่าวคาหยาบ ดุดา่ พวกนางนกตา่ ง ๆ นานา
พญานกกุณาละ มีสหายนกดุเหว่าขาวปุณณมุขะ มีนางนกดุเหว่าบริวาร ๓๕๐
ตัว นางนก ๒ ตัวคาบท่อนไม้พาบินไป อีก ๕๐ ตัวบินข้างล่างคอยรับไว้ไม่ให้ตกลงพื้นดิน อีก
๕๐ ตัวบินข้างบนเพื่อบังแสงแดด อีก ๑๐๐ ตัวบินไปข้างซ้ายและข้างขวา ข้างละ ๕๐ ตัว
คอยป้องกันไม่ให้หนาวร้อน เมื่อนางนกดูแล พญานกปุณณมุขะก็กล่าวชมบริวารด้วยคา
ออ่ นหวาน นางนกบรวิ ารพญานกกุณาละขอใหช้ ่วยพูด ไมใ่ หด้ า่ ทอพวกตน ตอ่ มาพญานกปณุ ณ
มุขะป่วยจวนตาย นางนกบริวารคิดวา่ ไม่รอดจงึ พากนั เข้าไปหาขออยู่กับพญานกกุณาละ จงึ ถูก
พญานกกุณาละดุด่าขับไล่พวกบริวารของนกดุเหว่าผู้เป็นสหาย ต่อมาได้ช่วยรักษาพยาบาล
พญานกปณุ ณมขุ ะจนหาย บริวารพญานกปุณณมุขะก็พากันกลบั มา พญานกกณุ าละ ตรัสแสดง
ธรรม เรือ่ งความมกั มากในกามของผู้หญิง มเี ร่อื งนางกัณหา นางปัญจตปาวีสมณี นางกากวดี
นางกุรุงคเทวี และพระมารดาของพระเจ้าพรหมทัต วา่
นางกัณหา มีบิดา ๒ คน มีผัว ๕ คน๔๑๘ ยังมีจิตปฏิพัทธ์ผูกพันในบุรุษท่ี ๖ ซ่ึงเป็น
คนเปลี้ยหลังโกงโค้งงอ คอก้มลงมาถึงท้องเหมือนคนศีรษะขาด นางล่วงละเมิดสามี ๕ คน คือ
๔๑๘บิดา ๒ คน คือพระเจ้ากาสี และพระเจ้าโกศล พระเจ้ากาสีรบชนะพระเจ้าโกศล ได้ราช
สมบัติและมเหสีผู้ทรงครรภ์มาด้วย ทรงได้ต้ังให้เป็นอัครมเหสีของพระองค์ ต่อมาพระนางประสูติพระราช
ธดิ าชอื่ กณั หา, มผี ัว ๕ คน คอื ทา้ วอชั ชุนะ เปน็ ตน้ พระราชกุมารท้งั ๕ เป็นโอรสของพระเจ้าปณั ฑุราช จบ
๒๒๐
พระเจ้าอัชชุนะ พระเจ้านกุล พระเจ้าภีมเสน พระเจ้ายุธิษฐิล พระเจ้าสหเทพ แล้วยังทาลามก
กับบุรษุ เปล้ียเตยี้ แคระอกี เรายงั ไดเ้ คยเห็นอกี
นางปัญจตปาวีสมณี อาศัยอยู่ในท่ามกลางป่าช้าถือพรต ยอมอดอาหาร ๔ วันจึง
บรโิ ภคคร้ังหนง่ึ ได้กระทากรรมอนั ลามกกบั พวกนักเลงสุรา๔๑๙ เรายังไดเ้ คยเหน็ มาแลว้ อกี
นางกากวดี อยู่ในท่ามกลางสมุทร เป็นภรรยาของพญาครุฑ ท้าวเวนไตย๔๒๐ ได้
กระทากรรมอันลามกกับกเุ วร ผู้เจนในการฟอ้ น เราเคยเห็นมาแลว้
นางกุรุงคเทวี รักใคร่ได้เสียอยู่กินกับเอฬิกกุมาร๔๒๑ ได้กระทากรรมอันลามกกับฉ
ฬงั คกุมาร เสนาบดี และธนันเตวาสี คนใช้ของฉฬังคกุมารอีก เราไดร้ ู้มาอย่างน้ี
พระมารดาของพระเจ้าพรหมทัต ก็ได้ทรงทอดท้ิงพระเจ้าโกศล กระทากรรมอัน
ลามกกับพราหมณ์ชอื่ วา่ ปัญจาลจัณฑะ๔๒๒
จบพระธรรมเทศนา พระพุทธองค์ทรงแสดงกัมมัฏฐานในป่ามหาวัน ทาให้ภิกษุ
เหลา่ น้นั บรรลพุ ระอรหตั ๔๒๓
๙.๒.๒ พระพุทธสาวกทปี่ รากฏในชาดก
ในชาดก เป็นจริยธรรมของผู้ที่จะตรัสรู้ในอนาคต คือ พระโพธิสัตว์ สาระสาคัญอยู่ท่ี
พระโพธิสัตว์บาเพญ็ บารมีไวม้ ากมายจนได้ตรัสรู้เปน็ พระพทุ ธเจ้าในพระชาติสุดท้าย พร้อมกับ
พระพุทธสาวก มีพระสารีบุตร พระมหาโมคคลั ลานะ พระพทุ ธมารดา พระพทุ ธบิดา พระนาง
พิมพา พระราหุล พระกุมารกัสสปเถระ พระอานนท์ พระสีวลีเถระ พระภัททิยเถระ พระโล
สกติสสเถระ พระองคลุ ิมาล พระอบุ ลวรรณาเถรี ปรากฏในเร่อื งชาดก ดังนี้
การศกึ ษาจากเมอื งตักกสลิ า เดนิ ทางผา่ นมาทางเมอื งพาราณสี ถกู พระราชธิดากัณหาเสี่ยงพวงมาลัยเลอื กเป็น
พระสวามที ัง้ ๕ พระองค,์ ข.ุ ชา.ม. (ไทย) ๒๘/๒๙๐/๑๓๙.
๔๑๙นักเลงสุรา เป็นอดีตชาติของนกกุณาละ (ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/๒๙๐/๑๔๐).
๔๒๐พญาครุฑ เป็นอดีตชาติของนกกุณาละ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวกันกับกากวตีชาดก ชาดกท่ี
๓๒๗ ใน จตกุ กนบิ าต (เลม่ ๒๗/๑๐๕-๑๐๘/๑๗๘).
๔๒๑เอฬิกกมุ าร เปน็ อดตี ชาตขิ องนกกุณาละ (ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/๒๙๐/๑๔๐).
๔๒๒ปญั จาลจัณฑพราหมณ์ เป็นอดตี ชาติของนกกุณาละ (ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/๒๙๐/๑๔๐).
๔๒๓ข.ุ ชา.อ. (ไทย) เล่มที่ ๔ ภาคที่ ๑, ๕๓๖-๖๑๖ (มมร.).
๒๒๑
พระสารบี ุตร นันทชาดก วิสวนั ตชาดก ปโรสหสั สชาดก ฌานโสธนชาดก จนั ทาภ
ชาดก โคธชาดก สีลานิสังสชาดก อัสสกชาดก โรมชาดก การันทิยชาดก จูฬกาลิงคชาดก
สีลวีมังสชาดก ปุจิมันทชาดก โลหกุมภิชาดก มังสชาดก ชรูทปานชาดก เสตเกตุชาดก ขร
ปุตตชาดก โกฏสิมพลชิ าดก โลมสกสั สปชาดก มหาวาณชิ ชาดก มหามังคลชาดก
พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลานะ จตุมัฏฐชาดก วัณณาโรหชาดก ทสณั ณก
ชาดก มหาอกุ กสุ ชาดก ติตติรชาดก
พระสารบี ตุ ร พระโมคคัลลานะ พระกัสสปเถระ พระเทวทัต จมั มสาฏกชาดก
พระสารีบุตร พระมหาโมคคลั ลานะ พระกัสสปะ พลิ ารโกสิยชาดก
พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระกัสสปะ พระเทวทัต ทัททรชาดก (ติตติร
ชาดก)
พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระเทวทตั กรุ ุงคมิคชาดก
พระสารบี ุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระอานนท์ ราโชวาทชาดก ชวนหงั สชาดก
พระสารีบตุ ร พระมหาโมคคัลลานะ พระอานนท์ พระอนรุ ทุ ธ สสปณั ฑิตชาดก
พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระกัสสปะ พระกัจจายนะ พระอานนท์
พระอนุรุทธะ อนิ ทริยชาดก
พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระกัสสปเถระ พระปุณณะ๔๒๔ พระกัจจาย
นะ๔๒๕ พระอนุรุทธะ พระนันทะ พระมายาเทวี พระนางพิมพา อุบลวรรณาเถรี กุรุธัมม
ชาดก
พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระกสั สปะ พระอนุรุทธะ พระปณุ ณะ และ
พระอานนท์ ภสิ ชาดก
พระสารีบุตร พระมหาโมคคลั ลานะ พระกสั สปะ พระอนุรุทธะ ปัญจโุ ปสถกิ ชาดก
๔๒๔พระสาวกองค์หน่ึงเป็นชาวสุนาปรันตชนบท ทูลขอให้พระพุทธองค์แสดงธรรม ตรัสชมว่า
พระปณุ ณะมีความข่มใจและความสงบใจ ท่านไดบ้ รรลอุ รหัตตผลแล้วนิพพาน, ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๘๘/๘๔-
๘๘.
๔๒๕พระสาวกองค์หน่ึง เดิมเป็นปุโรหิตของพระเจ้าจญั ฑปัชโชติ ฟังพระธรรมเทศนา บรรลพุ ระ
อรหตั ตผลแล้วออกบวช ไดร้ บั ยกยอ่ งเป็นเอตทัคคะอธิบายความคายอ่ ใหพ้ สิ ดาร, อา้ งแลว้ , หน้า ๘.
๒๒๒
พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระกัสสปะ พระอนุรุทธ์ พระเจ้าสุ
ทโธทนะ พระนางมหามายา นางภัททกาปลิ านี หัตถิปาลชาดก
พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระกัสสปะ พระอนุรุทธ พระกัจจายนะ
พระอานนท์ พระปณุ ณมันตานบี ุตร สรภงั คชาดก
พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระกัสสปะ พระอานนท์ พระราหุล พระ
นางพิมพาจฬู สตุ โสมชาดก
พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระกัสสปะ พระอานนท์ พระอนุรุทธ พระ
อบุ ลวรรณาเถรี สธุ าโภชนชาดก
พระสารีบุตร พระเทวทัต สีลวนาคชาดก ธัมมัทธชชาดก สัพพทาฐิชาดก ขันติ
วาทิชาดก มหาปชาบดีโคตมีจูฬนันทิยชาดก ปัณฑรกนาคราชชาดก พระโกกาลิกะ สมุทท
วาณชิ ชาดก
พระสารีบุตร พระเทวทัต พระนางมหามายา โสมนสั สชาดก
พระสารีบตุ ร พระเทวทตั พระนางพมิ พา จมั เปยยชาดก
พระสารบี ตุ ร พระกสั สปะ พระอานนท์ สังขปาลชาดก
พระสารีบตุ ร พระอานนท์ พระอนรุ ุทธะ สาธินราชชาดก สมั ภวชาดก อัพภันตร
ชาดก สัยหชาดก เกสวชาดก ทูตชาดก สรภมิคชาดก ภกิ ขาปรัมปรชาดก
พระสารบี ุตร พระอานนท์ พระเทวทัต ทมุ เมธชาดก เสนกชาดก อฏั ฐสทั ทชาดก
ฆตปัณฑติ ชาดก รุรุมิคราชชาดก มาตุโปสกชาดก มหาปทุมชาดก
พระสารบี ุตร พระอานนท์ พระนางพมิ พา สปุ ตั ตชาดก
พระสารีบุตร พระอานนท์ โภชาชานียชาดก อาชัญญชาดก มหาสุปินชาดก
เทวธมั มชาดก โภชาชานียชาดก อาชัญญชาดก คิชฌชาดก สกุ ชาดก
พระสารีบตุ ร พระอานนท์ พระราหุล มณั ฑัพยชาดก
พระสารบี ตุ ร พระอานนท์ พระอุบลวรรณาเถรี เตสกณุ ชาดก อมุ มาทันตีชาดก
พระสารบี ุตร พระอานนท์ พระเขมาเถรี พระอบุ ลวรรณาเถรี โรหณมคิ ชาดก
พระสารบี ุตร พระอานนท์ พระฉนั นะ พระเขมาภกิ ษณุ ี จฬู หังสชาดก
พระสารีบตุ ร พระอานนท์ อสีตมิ หาเถระ และพระสาวกอ่นื ๆ โสณนันทชาดก
๒๒๓
พระสารบี ุตร พระอานนท์ พระฉนั นะ จูฬหังสชาดก
พระสารีบตุ ร พระอานนท์ พระฉันนะ พระนางเขมาเถรี มหาหงั สชาดก
พระสารีบตุ ร พระอานนท์ พระอุทายี กณุ าลชาดก
พระสารีบุตร พระกัสสปะ พระอานนท์ พระองคุลิมาล พระอนุรุทธะ มหาสุต
โสมชาดก
พระสารบี ตุ ร พระองคุลิมาล พระอุบลวรรณาเถรี พระราหุล ชยัททิสชาดก
พระมหาโมคคลั ลานะ พระอานนท์ พระเทวทตั สจั จังกริ ชาดก
พระมหาโมคคัลลานะ พระอานนท์ อลิ ลสิ ชาดก
พระอานนท์ คามณิชาดก ติตถชาดก มหิฬามุขชาดก อภิณหชาดก นันทิวิสาล
ชาดก มุนิกชาดก กุลาวกชาดก คามณิชาดก ตักกปัณฑิตชาดก ททาลชาดก มัจฉชาดก
กกากชาดก มหาสารชาดก กาฬกัณณิชาดก สีลวีมังสกชาดก สาลิตตกชาดก ราธชาดก
เอกปณั ณชาดก กุสนาฬชิ าดก คณุ ชาดก สหุ นุชาดก โมรชาดก กัลยาณธมั มชาดก กฬาย
มุฏฐิชาดก กัจฉปชาดก อสทิสชาดก วาโลทกชาดก ปัพพตูปัตถรชาดก ราธชาดก ปุณณ
นทีชาดก สังกัปปราคชาดก มณิกัณฐชาดก คามณิจันทชาดก ติรีฏวัจฉชาดก เสยยชาดก
สิริชาดก นานาฉันทชาดก มณิกุณฑลชาดก สุสันธีชาดก โกสิยชาดก กุกกุรชาดก ตจสาร
ชาดก อวาริยชาดก เนรุชาดก ปัพพชิตวิเหฐกชาดก กุกกุชาดก อัฏฐิเสนชาดก คันธาร
ชาดก ทฬั หธัมมชาดก ธูมการชิ าดก ปรนั ตปชาดก สุมงั คลชาดก อัฏฐานชาดก หริตจชาดก
ชุณหชาดก ยุธัญชยชาดก ภัททสาลชาดก มหากัณหชาดก มิตตามิตตชาดก กาลิงคโพธิ
ชาดก อุททาลกชาดก ทสพราหมณชาดก จิตตสัมภูตชาดก กุมภชาดก มหาโพธิชาดก
มหาอสั สาโรหชาดก เอกราชชาดก ปลาสชาดก ฉวชาดก พรหมทัตตชาดก ราโชวาทชาดก
ปีฐชาดก ฆฏชาดก ตจสารชาดก สสุ นั ธชี าดก
พระอานนท์ พระอุบลวรรณาเถรี มทุ ลุ กั ขณชาดก
พระอานนท์ พระราหลุ ๔๒๖ มฆเทวชาดก
พระอานนท์ พระอุบลวรรณาเถรี สารัมภชาดก
๔๒๖พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เป็นโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ, พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต),
พจนานกุ รมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศพั ท์, หนา้ ๒๕๒.
๒๒๔
พระอานนท์ นางจิณจมาณวกิ า พนั ธนโมกขชาดก
พระอานนท์ พระเทวทัต คิริทัตตชาดก สิริกาฬกัณณิชาดก กาฬพาหุชาดก
สุวณั ณกกั กฏกชาดก
พระอานนท์ พระโกกาลิกะ กัจฉปชาดก
พระอานนท์ พระเทวทตั พระอนรุ ธุ เถระ คุตติลชาดก
พระอานนท์ พระฉันนะ สาลิเกทารชาดก
พระอานนท์ พระอนรุ ทุ ธะ สวี ิราชชาดก
พระอานนท์ พระนางพมิ พา กุสชาดก
พระมหากัสสปะ๔๒๗ พระภทั ทกาปลิ านีภิกษุณี อสาตมนั ตชาดก
พระกัสสปะ พระอานนท์ ภคั คชาดก
พระกสั สปะ ปทกสุ ลมาณวชาดก
พระเทวทัต๔๒๘ อปัณณกชาดก เสริววาณิชชาดก นฬปานชาดก กุรุงคมิคชาดก
สัมโมทมานชาดก มหาสีลวชาดก วานรินทชาดก ตโยธัมมชาดก สิงคาลชาดก อุภโตภัฏฐ
ชาดก พระเทวทัต อสัมปทานชาดก โคธชาดก สิงคาลชาดก วิโรจนชาดก สกุณัคฆิชาดก
ทุพภิยมักกฎชาดก วีรกชาดก สุงสุมารชาดก กุกกุฏชาดก กันทคลกชาดก กาสาวชาดก
ทุติยปลายิตชาดก มหาปิงคลชาดก ชวสกุณชาดก ชัมพุกชาดก วานรชาดก เวนสาขชาดก
ลฏกุ ิกชาดก สาลยิ ชาดก สาลิยชาดก กปิชาดก เจติยราชชาดก กกุ กฏุ ชาดก ธัมมเทวปุตต
ชาดก ตัจฉสกู รชาดก ฉทั ทันตชาดก มหากปิชาดก
๔๒๗พระเถระ สาวกองค์หนึ่ง เดิมช่ือปิปผลิมาณพ สมรสกับนางภัททกาปิลานีแล้วไม่ยินดีการ
ครองเรือนจึงออกบวชกันเองจนได้พบกับพระพุทธเจ้า บวชได้ ๗ วันก็บรรลุพระอรหัตตผล, เรื่องเดียวกัน,
หน้า ๒๑๘.
๔๒๘ราชบุตรพระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นเชฏฐภาดา (พี่ชาย) ของพระนางพิมพาพระชายาของ
เจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าเทวทัตออกบวชพร้อมกับพระอนุรทุ ธะ พระอานนท์ และกัลบกอุบาลี, พระธรรมปิฎก
(ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์, หน้า ๑๐๒.
๒๒๕
พระเทวทัต พระนางพิมพา๔๒๙ ลกั ขณชาดก
พระเทวทัต พระกุมารกัสสปะ๔๓๐ พระอานนท์ นิโครธมิคชาดก
พระเทวทตั พระอนุรุธเถระ พระนางพิมพา มณิโจรชาดก
พระเทวทตั พระอานนท์ วนิ ลี กชาดก
พระเทวทตั พระมหาปชาบดีโคตมี จฬู ธัมมปาลชาดก
พระเทวทตั พระอบุ ลวรรณาเถรี พระเขมาภกิ ษุณี พระนางพมิ พา มโนชชาดก
พระเทวทตั พระโกกาลิกะ ชมั พุขาทกชาดก อนั ตชาดก
พระเทวทัต พระอานนท์ มหากปิชาดก นโิ ครธชาดก อมั พชาดก
พระเทวทตั พระอานนท์ สตั ตคิ มุ พชาดก
พระเทวทัต พระอนรุ ุทธะ พระนางพิมพา จันทกินนรชี าดก
พระราหุล มกั กฎชาดก ตติ ติรชาดก กปชิ าดก โสณกชาดก
พระราหุล พระอบุ ลวรรณาเถรี ตปิ ัลลตั ถมิคชาดก
พระโลฬุทายี๔๓๑ ตณั ฑุลนาฬิชาดก โสมทตั ตชาดก ปาทัญชลิชาดก
พระฉันนะ๔๓๒ สวุ ณั ณมคิ ชาดก มาตุโปสกคิชฌชาดก (คิชฌชาดก)
พระพทุ ธมารดา พระพทุ ธบิดา กฏั ฐหาริชาดก โกสัมพยิ ชาดก
๔๒๙บางแห่งเรยี ก ยโสธรา พระราชธิดาของพระเจา้ สุปปพุทธะ กรุงเทวทหะ เป็นพระชายาของ
เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระมารดาของพระราหุล ออกบวชเป็นภิกษุณีมีนามว่า ภัททากัจจานา, อ้างแล้ว, หน้า
๑๘๙.
๔๓๐พระเถระมหาสาวกองคห์ น่ึงเป็นบุตรของธิดาเศรษฐีเมอื งราชคฤห์ พระเจ้าปเสนทิทรงเล้ียง
เป็นบุตรบญุ ธรรม ออกบวชแล้วได้บรรลพุ ระอรหตั ได้รับยกย่องเป็นเอตทคั คะแสดงธรรมอันวิจติ ร, อ้างแลว้ ,
หนา้ ๒๐.
๔๓๑พระเถระชื่ออุทายีมี ๓ องค์ คือ (๑) พระโลฬุทายี (๒) พระกาฬุทายี (๓) พระมหาอุทายี
พระโลฬุทายี เป็นภิกษุผู้มักมากเป็นเหตุให้เกิดพระพุทธบัญญัติ การชักสื่อ (วิ.มหา. (ไทย) ๑/ ๒๙๙/
๓๔๒) การนั่งในท่ลี บั ตากับหญิงสองตอ่ สอง (วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๔๓/๔๗๓), เปน็ ต้น.
๔๓๒อามาตย์คนสนิท เป็นสารถีของเจ้าชายสิทธัตถะ บวชแล้วถือว่าเป็นผู้ใกล้ชิด
พระพุทธเจ้า หลังพุทธปรินิพพานถูกสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์หายพยศและได้สาเร็จเป็นพระอรหันต์, พระธรรม
ปฎิ ก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบบั ประมวลศัพท์, หน้า ๕๒.
๒๒๖
พุทธมารดา พุทธบิดา พระสารบี ตุ ร มหาธัมมปาลชาดก อลีนจติ ตชาดก
พระเจ้าสุทโธทนะ พระนางมหามายา พระมหาโมคคัลานะ พระอานนท์ สุสีม
ชาดก
พระเจ้าสทุ โธทนะ พระนางมหามายา พระนางพมิ พา พนั ธนาคารชาดก
พระเจ้าสุทโธทนะ พระมหามายา พระนางพิมพา พระอานนท์ พระสารีบุตร
ทสรถชาดก
พระภทั ทิยเถระ๔๓๓ สขุ วหิ าริชาดก
พระภัททชิเถระ๔๓๔ มหาปนาทชาดก
พระภทั ทชเิ ถระ พระอานนท์ สุรุจชิ าดก
พระนางพิมพา อนนุโสจิยชาดก วิสัยหชาดก สูจิชาดก กุมมาสปิณฑิชาดก อา
ทิตตชาดก จักกวาลชาดก อุทยชาดก ปานยี ชาดก
พระนางพมิ พา พระอานนท์ สุสีมชาดก จฬู โพธชิ าดก
พระนางพิมพา พระราหลุ มหาสุทัสสนชาดก วา่ ดว้ ยพระเจ้ามหาสทุ ศั นะ
พระอุบลวรรณาเถรี ขราทิยชาดก กัณหชาดก สิริกาฬกัณณิชาดก อุปสิงฆปุปผ
ชาดก ชาครชาดก สงั ขชาดก กิงฉันทชาดก
พระอบุ ลวรรณาเถรี พระนางมหามายา พระนางพิมพา คงั คมาลชาดก
พระอุบลวรรณาเถรี พระเขมาเถรี ขุชชุตตรา๔๓๕ พระราหลุ อุรคชาดก
พระอุบลวรรณาเถรี พระราหุล กมุ ภการชาดก
๔๓๓พระมหาสาวกองคห์ นงึ่ เดมิ เป็นกษัตรยิ ศ์ ากยวงศ์ โอรสนางกาฬโิ คธา ออกบวชพรอ้ มกบั พระ
อนรุ ทุ ธะ, เร่อื งเดยี วกนั , หน้า ๒๐๒.
๔๓๔พระสาวกองคห์ นงึ่ เดมิ เปน็ บุตรคนเดียวของภัททยิ เศรษฐี พระพุทธองคเ์ สด็จไปภัททิยนคร
ภทั ทชกิ มุ ารฟังพระธรรมเทศนา บรรลุพระอรหตั ตผลแลว้ ออกบวช, ข.ุ ชา.อ. (ไทย) เลม่ ที่ ๓ ภาคที่ ๔, ๑๑๕-
๑๒๒.
๔๓๕เขมาภกิ ษณุ ี กอ่ นบวชเคยเปน็ พระเทวีของพระเจา้ พิมพิสาร เมอื งราชคฤห์ แควน้ มคธ ได้รับ
ยกย่องจาก พระพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายทางด้านเป็นผู้มปี ัญญามาก,นางขุชชุตตราอุบาสกิ า
เป็นชาวเมืองโกสัมพี ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะกว่าอุบาสิกาท้ังหลายทางด้านเป็นพหูสูต, (ส.นิ. (ไทย)
๑๖/๑๗๓/๒๗๘).
๒๒๗
พระโลสกตสิ สเถระ๔๓๖ โลสกชาดก
พระองคุลมิ าล๔๓๗ ปัญจาวุธชาดก
พระองคลุ มี าล พระอานนท์ สตุ นชาดก
พระสีวลีเถระ อสาตรูปชาดก
พระโกกาลิกะ๔๓๘ ติตตริ ชาดก พยัคฆชาดก
พระโกกาลิกะ พระราหุล ทัททรชาดก โกกาลิชาดก ตักการิยชาดก สีหโกตถุ
ชาดก สหี จมั มชาดก
พระโลฬุทายี นงั คลสี ชาดก
ถลุ ลนนั ทาภกิ ษณุ ี สวุ ณั ณหงั สชาดก
พระอนรุ ธุ เถระ จฬู ปทมุ ชาดก
พระนันทเถระ สังคามาวจรชาดก
พระลกุณฏก ภทั ทิยเถระ เกฬิสีลชาดก
พระอปุ นันทะ สมุททชาดก
พระอนรุ ทุ ธะ อยกูฏชาดก มหาสุวราชชาดก จฬู สวุ กราชชาดก กณั หชาดก อกิตติ
ชาดก
พระอุปนันทะ ทัพภปุปผชาดก
๔๓๖พระโลสกะ เป็นพระสาวกองค์หนึ่งบวชในพระพุทธศาสนามีลาภน้อยบุญน้อย แต่สามารถ
บรรลุพระอรหัตผลแล้วปรินิพพานด้วยอนปุ าทเิ สสนพิ พานธาตุเพราะอดตี ชาติไดก้ ระทาอันตรายลาภของของ
ผอู้ ืน่ จงึ เปน็ ผมู้ ลี าภน้อย, ข.ุ ชา.อ. (ไทย) เลม่ ท่ี ๓ ภาคที่ ๒, ๑-๑๖.
๔๓๗พระสาวกองคห์ นึง่ เคยเปน็ มหาโจรผดู้ รุ า้ ยตัดน้ิวมือคนทตี่ นฆ่าตายทาพวงมาลยั คล้องคอจึง
ได้ช่ือ องคุลีมาล แปลว่า ผู้มีน้ิวเป็นมาลัย เดิมเป็นบุตรของภควพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจา้ โกศล บวชใน
พระพุทธศาสนาแล้วได้บรรลุพระอรหัตตผล, พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับ
ประมวลศพั ท์, หน้า ๓๖๐.
๔๓๘พระสาวกองค์หนงึ่ ไปเฝ้าพระพทุ ธองค์กล่าวใหร้ า้ ยพระสารบี ุตรและพระโมคคลั ลานะ แมต้ ุทิ
ปัจเจกพรหม หรอื พระตุทเิ ถระผู้เป็นอุปชั ฌายข์ องพระโกกาลกิ ะ ซง่ึ บรรลุอนาคามผิ ลแล้วไปบังเกดิ ในพรหม
โลกมากลา่ วหา้ มกไ็ ม่ฟัง จึงตกนรกเพราะมจี ิตผูกอาฆาต, องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๘๙/๒๐๐-๒๐๑.
๒๒๘
๙.๓ สรุป
พระพุทธเจ้าและพุทธสาวกท่ีปรากฏในชาดก หมายถึง ประวัติของพระพทุ ธเจ้า
และพุทธสาวกในอดีตท่ปี รากฏในชาดกต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้
๑. ประวัติของพระพทุ ธเจา้ ท่ีปรากฏในชาดก เร่ืองสุเมธกถา เรื่องทศชาติ ใน
ชาดก ๕๕๐ เรื่อง พระโพธิสัตว์ คือ พระสิทธัตถะพุทธเจ้า ในอดีตชาติเคยเสวยพระชาติเป็น
สตั ว์เดยี รัจฉาน เปน็ รุกขเทวดา เปน็ นกั บวช เปน็ พระราชา เป็นอาจารย์สอนธรรม เป็นอามาตย์
เป็นพราหมณ์ เป็นราชโอรส เป็นปุโรหิต เป็นท้าวสักกเทวราช เป็นพญาลิง เป็นพ่อค้า เป็น
คหบดีผมู้ ัง่ คัง่ เปน็ พญากวาง เป็นราชสหี ์ เป็นพญาหงส์ เปน็ พญานก เปน็ พญาชา้ ง เป็นพญาไก่
เป็นทาส เป็นพญาเหยีย่ ว เปน็ พญาสุบรรณ (ครุฑ)เปน็ พญานาคราช เป็นพญามา้ เป็นโคอุสภะ
เป็นพรหม เป็นพญานกยูง เป็นพญางู เป็นคนพิการ เป็นคนจัณฑาล เป็นพญาเหี้ย เป็นพญา
ปลา เป็นควาญช้าง เป็นพญาหนู เป็นโจร เป็นพญากา เป็นพญานกหัวขวาน เป็นขโมย เป็น
สกุ ร เปน็ พญาสุนัข เปน็ หมองู เป็นนกั เลงการพนนั เป็นช่างทอง เปน็ นักศึกษา เปน็ ช่างเงิน เป็น
ช่างไม้ เปน็ สนุ ขั จงิ้ จอก เป็นนกกานา้ เปน็ กบ เปน็ กระต่าย เป็นคนโกง เปน็ นักเลงสรุ า
๒. ประวัติของพระพทุ ธสาวกท่ีปรากฏในชาดกมี พระสารีบุตร พระมหาโมค
คัลลานะ พระพุทธมารดา พระพุทธบิดา พระเทวทัต พระนางพิมพา พระราหุล พระ
กุมารกัสสปเถระ พระอานนท์ พระสีวลีเถระ พระภัททิยเถระ พระโลสกติสสเถระ พระองคุ
ลิมาล พระภทั ทิยเถระ พระภัททชิเถระ พระโลฬุทายี พระเขมาเถรี พระอุบลวรรณาเถรี
๒๒๙
บทท่ี ๑๐
ชาดกกบั สังคมไทยปัจจุบัน
วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนประจาบท
เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเนื้อหาในบทนแ้ี ล้ว ผูศ้ กึ ษาสามารถ
๑. อธบิ ายอทิ ธพิ ลของชาดกท่ีมตี อ่ สังคมไทยในปัจจุบนั ได้
๒. อธิบายอทิ ธิพลของชาดกทม่ี ตี อ่ การแสดงพระธรรมเทศนาได้
๓. อธบิ ายอทิ ธิพลของชาดกทม่ี ตี อ่ การเทศนม์ หาชาติในภาคกลาง
ภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคใต้ได้
๔. อธิบายอิทธพิ ลของชาดกทมี่ ตี อ่ ศลิ ปะการแสดง (ละคร หนังและ
ภาพยนต)์ ได้
๕. อธิบายอทิ ธพิ ลของชาดกทม่ี ตี ่อศิลปกรรมได้
๖. อธิบายสาระสาคัญในพระราชนิพนธเ์ รอ่ื งทศบารมแี ละพระมหาชนกได้
ขอบข่ายเนื้อหา
ความนา
การแสดงพระธรรมเทศนา
การเทศนม์ หาชาติภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอสี านและภาคใต้
การแสดงละคร การแสดงหนงั และภาพยนตร์
การเขียนภาพจิตกรรมฝาผนัง
พระราชนพิ นธ์เรือ่ งทศบารมี และพระมหาชนก
๒๓๐
บทท่ี ๑๐
ชาดกกับสังคมไทยปัจจุบนั
สงั คมไทยส่วนใหญ่นบั ถอื พระพุทธศาสนา คาสอนของพระพทุ ธเจา้ ผู้เปน็ ศาสดาของ
พระพุทธศาสนา ย่อมมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของพทุ ธศาสนิกชน พระพุทธเจ้าทรงสอนประชาชน
ด้วยวิธิการต่างๆ นับได้ ๙ วิธีที่เรียกว่า นวังคสัตถุศาสน์ ชาดกเป็นวิธีสอนอย่างหน่ึงในจานวน
๙ วิธีน้ัน และเป็นคาสอนที่คนท่ัวไปนิยมชมชอบฟังกันมาก เพราะเป็นคาสอนท่ีมีนิทาน
ประกอบ นอกจากจะได้ความรู้ทางธรรมะจากคาส่ังสอนโดยตรงแล้ว ยังได้รับความสนุกสนาน
เพลิดเพลินไปด้วย ชาวพุทธไทยก็เช่นเดียวกับชาวพุทธชาติอ่ืน ๆ ท่ีนิยมฟังเร่ืองชาดกกันมาก
เร่อื งราวชาดกจงึ เข้าไปมอี ิทธพิ ลตอ่ สังคมพุทธศาสนิกชนโดยที่สงั คมได้นาเอาชาดกไปใช้ในการ
แสดงพระธรรมเทศนา การแสดงละคร การแสดงหนงั และภาพยนตร์ ดังนี้
๑๐.๑ การแสดงพระธรรมเทศนา
การเทศน์ คือ การแสดงธรรรม พระภิกษุสงฆ์เป็นผู้เทศนใ์ ห้ประชาชนฟัง ในโอกาส
สาคัญ พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่นิยมฟังเทศน์เกี่ยวกับนิทานชาดก นิทานชาดกที่นามาเทศน์มี
อยู่หลายเร่ือง ทั้งมาจากนิบาตชาดกและนอกนิบาตชาดก นิทานชาดกที่ชาวพุทธนิยมฟังกัน
มาก มที กุ ภาคของประเทศไทยคือ เรอ่ื งมหาชาติ
มหาชาติ หมายถึง เรื่องของพระเวสสันดรชาดก เป็นชาดกที่สาคัญและเป็นที่นิยม
กว่าชาดกอ่นื ๆ เพราะถือว่า พระเวสสนั ดร เป็นพระโพธิสตั วเ์ สวยพระชาติสดุ ทา้ ยทที่ รงบาเพ็ญ
บารมคี รบบรบิ ูรณท์ ง้ั ๑๐ ประการ และพระชาตติ อ่ ไปจะได้ตรสั รู้เปน็ พระสมั มาสัมพุทธเจา้
ตานานการเทศน์มหาชาติ สันนิษฐานกนั ว่า มีมาแล้วต้ังแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี
สมัยอยธุ ยาในรัชสมยั สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มกี ารแต่งหนงั สอื มหาชาติคาหลวง เพ่อื สวด
ใหอ้ ุบาสกอุบาสิกาฟงั ในเวลาไปทาบุญทีว่ ัด ไม่ไดแ้ ตง่ เพอ่ื ใช้เทศน์ ต่อมาในรัชสมยั ของพระเจ้า
ทรงธรรมไดแ้ ตง่ เป็นหนงั สอื กาพย์มหาชาติขึน้ มีจดุ มุ่งหมายในการแตง่ เพอื่ ให้พระใชเ้ ทศน์หรือ
แสดงธรรมเทศนาให้อุบาสกอบุ าสกิ าฟังทวี่ ดั ในยคุ ต่อ ๆ มาได้มีการแต่งหนงั สอื มหาชาตเิ ปน็ คา
๒๓๑
กลอนเทศนห์ ลายสานวน เพอ่ื ใช้เทศน์ใหแ้ ก่อุบาสกอุบาสกิ า ชาวพทุ ธนิยมฟงั เทศน์มหาชาติกัน
มาก เพราะมีความเช่ือว่า ถา้ ผู้ใดได้ฟังเทศน์มหาชาติจบในวนั เดียว จะไดผ้ ลานสิ งส์มาก แม้แต่
น้าทตี่ ้งั ไว้ ในมณฑลพธิ เี ทศน์มหาชาติกเ็ ปน็ น้ามนต์ สามารถจะบาบดั เสนียดจญั ไรได้๔๓๙
ในมาลัยสูตร กลา่ ววา่ ถ้าใครไดฟ้ งั คาถาพนั ทงั้ เน้อื เรอ่ื งของเวสสันดรชาดก บชู าด้วย
ดอกไม้ธูปเทียนและธง อย่างละพันได้ตลอดรวดเดียว คือในวันเดียว ถือว่าได้บุญแรง ตายไป
ชาติหนา้ จะได้พบพระศรอี ารยิ เมตไตรยซ์ ่งึ จะมาอบุ ัติเปน็ พระพทุ ธเจ้าต่อจากพระโคดมพุทธเจ้า
งานเทศน์มหาชาติ จึงเป็นงานประเพณีของพุทธศาสนิกชนชาวไทย โดยเฉพาะใน
สมัยก่อนถือว่าเป็นเรือ่ งสาคัญมากทเี ดยี ว ในบทเสภาเรอื่ งขุนชา้ งขนุ แผนตอนหนึง่ กล่าวไวว้ ่า
อยูม่ าปรี ะกาสปั ตศก
ทายกในเมืองสุพรรณน่ัน
ถึงเดือน ๑๐ จวนสารทยงั ขาดวัน
คดิ กันจะมเี ทศนด์ ว้ ยศรทั ธา
พระมหาชาติทงั้ ๑๓ กัณฑ์
วัดป่าเลไลย์นน้ั วนั พระหน้า
ตาปะขาวเฒ่าแกแ่ ห่กันมา
พรอ้ มกันน่งั ปรึกษาทวี่ ดั น้นั ฯ๔๔๐
ในสมัยโบราณทางราชการถือว่าการเทศน์มหาชาติ เป็นพระราชพิธีของ
แผน่ ดิน หนงั สือพระราชพิธสี บิ สองเดือน พระราชนิพนธ์ในรัชกาลท่ี ๕ เรยี กการเทศน์มหาชาติ
ว่า “พระราชกุศลเทศน์มหาชาติ” เป็นพระราชพิธีซึ่งมีในเดือนอ้ายและกล่าวถึงการเทศน์
มหาชาตใิ นสมัยรัชกาลท่ี ๑-๓ ว่า
การเทศน์บนพระท่นี ่งั เศวตฉตั ร มีในพระทีน่ ั่งอมรนิ ทรวิจยั ฉยั แหง่ เดยี ว แตถ่ ้ามพี ระ
บรมศพอยู่บนพระท่ีน่ังดุสิตมหาปราสาท ก็จะยกขึ้นไปเทศนาบนแท่นมุกพระที่น่ังดุสิตมหา
ปราสาท ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ น้ัน เคยยกไปเทศนาที่
๔๓๙กรมศิลปากร, มหาชาติคาหลวง, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์เจรญิ ธรรม, ๒๕๑๖), หน้า ๒.
๔๔๐เสฐียรโกเศศ, วัฒนธรรมและประเพณีต่าง ๆ ของไทย, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เจริญ
ธรรม, ๒๕๑๔), หนา้ ๓๕๐, ๓๖๒.
๒๓๒
พระท่ีน่ังอนันตสมาคม แต่เนื่องจากฝ่ายในฟังไม่ได้ยินจึงได้ย้ายเข้าไปท่ีพระที่นง่ั ทรงธรรมข้าง
ใน ข้าราชการที่เข้าไปฟังเทศน์นนั้ มีแต่เจ้านาย เจ้าพนักงาน กรมพระตารวจและมหาดเล็ก บน
พระท่ีน่ังทรงธรรมมีแต่ฝ่ายในท้ังสิ้น ครั้นถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลท่ี ๕ จึงยา้ ยกลบั ไปเทศนท์ พ่ี ระที่นัง่ อมรนิ ทรวนิ ิจฉัย และเมือ่ มีการซ่อมแซมพระทน่ี งั่ อมริ
นทรวนิ จิ ฉยั กย็ กไปเทศน์ทพ่ี ระท่ีน่งั ดสุ ติ มหาปราสาท๔๔๑
ปัจจุบันพระราชพิธีเทศน์มหาชาติ ไม่ปรากฏว่ามี คงเปล่ียนแปลงไปตามสมัยนิยม
อน่งึ ในสมัยก่อนมีเจา้ หนา้ ท่ีสวดมหาชาตถิ วายในพระอุโบสถวดั พระศรีรัตนศาสดาราม ปัจจบุ นั
ไม่ปรากฏ อย่างไรก็ดี ยังมีวัดต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดจัดงานเทศน์
มหาชาติประจาปอี ยู่ในทุกวนั น้ี ชาวพทุ ธยังนยิ มไปฟังเทศน์กันอยู่ คนทีไ่ ปฟงั เทศนส์ ่วนใหญ่มัก
เป็นผู้ใหญ่สูงอายุและคนวัยกลางคน สาหรับคนหนุ่มสาว ไม่ค่อยนิยมไปฟังเทศน์กันเท่าไรนัก
อาจเปน็ เพราะอทิ ธพิ ลจากสิ่งแวดลอ้ มในปัจจุบนั
เนอื้ เรื่องของมหาชาตนิ ั้น เหมือนกนั ทกุ ๆ ภาค ตา่ งกันก็ด้วยสานวนเทศน์ เทศกาล
ในการจัดงาน และการนาไปเทศนเ์ ท่าน้ัน การเทศน์มหาชาติของแต่ละภาค ดงั นี้
๑๐.๒ การเทศนม์ หาชาตภิ าคกลาง
การเทศน์มหาชาตินิยมเทศน์ในระหว่างเดือน ๑๒ กับเดือนอ้าย ในหนงั สอื พระราช
พิธีสิบสองเดือนของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกล่าวว่า การเทศน์มหาชาติเป็น
พระราชกุศลและเป็นพระราชพธิ ซี ึง่ มีในเดือนอา้ ย
เสฐียรโกเศศ กล่าวไว้หนังสือวัฒนธรรมและประเพณีต่าง ๆ ของไทยว่า งาน
เทศน์มหาชาติตามประเพณี มักทากันเมื่อออกพรรษาพ้นหน้ากฐินแล้ว ทากันในกลางเดือน
๑๒ หรือจะทาในวันแรม ๘ ค่าก็ได้ วันพระกลางเดือนอ้ายก็มีทากันบ้าง แต่เห็นกนั ว่าทาล่า
ไปเดือน ๑๒ เสร็จหน้านาแล้วหมดการงานที่ต้องทา เพราะปักดาเสร็จแล้วคอยเวลาข้าวจะสุก
และเกบ็ เกย่ี วเทา่ น้ัน กลางเดอื น ๑๒ ถือได้ว่าพ้นเทศกาลทอดกฐนิ ไปแลว้ ประกอบท้ังฤดกู าลใน
๔๔๑ ประคอง นิมมานเหมนิ ทร์, มหาชาติลานนา, (กรุงเทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานิช,
๒๕๒๖), หน้า ๓.
๒๓๓
เดือนนี้เป็นเวลาน้าเริ่มจะลด ถือกันว่าหน้าข้าวหน้าปลากาลังอุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารการกิน
ควรจะทาบุญทาทานสนกุ สนานรนื่ เรงิ กันเสียที
ในภาคกลางบางท้องถ่ินทาในเดือน ๕ ต่อเดือน ๖ งานเทศน์มหาชาติ นอกจาก
ท่ีกล่าวมาแล้วน้ี จะมีกาลพิเศษที่ไม่กาหนดฤดูกาลก็ทาได้ โดยมากมักจะทากันเพื่อหาเงินเข้า
วัด ท่ีจะจัดทาในเดือน ๑๐ ก็มี เห็นจะทาเนื่องด้วยเทศกาลสารท ดังท่ีปรากฏในหนังสือบท
เสภาเร่อื งขุนชา้ งขนุ แผน๔๔๒ เป็นตน้
๑๐.๓ การเทศน์มหาชาตภิ าคเหนอื
ประเพณีการเทศน์มหาชาติของภาคเหนือ จะมีขึ้นในเพ็ญเดือนย่ี ซึ่งตรงกับเดือน
๑๒ ของภาคกลาง บางที่อาจจะจัดในเดือน ๗-๘ ของภาคเหนือ ซึ่งตรงกับเดือน ๕-๖ ของ
ภาคกลาง และเทศน์ในโอกาสท่ีมีงานต่าง ๆ เช่น งานศพ งานฉลองต่าง ๆ ซึ่งภาษาท้องถิ่น
เรียกว่า ปอยหลวง งานผูกพทั ธสีมา และงานบวชนาค หรือท่เี รียกว่า ปอยนอ้ ย เปน็ ตน้ ๔๔๓
ในงานศพทางภาคเหนือนยิ มเทศนม์ หาชาติกัณฑ์ชูชก ทัง้ น้ีคงมเี จตนาท่ีจะดึงคนให้
อยู่เป็นเพื่อนเจ้าภาพ และช่วยให้จิตใจผู้อยู่ในงานศพคลายทุกข์โศก ส่วนการเทศน์กณั ฑ์กุมาร
และกัณฑ์มัทรีเน้นความซาบซึ้งในรสวรรณคดี และน้าเสียงโอดครวญเศร้าสร้อยของพระผู้
เทศน์ ทาให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ร่วมไปกับกันหา ชาลี และพระนางมัทรี เป็นการเปลี่ยนความ
สนใจของผู้ฟังที่กาลังเศร้าโศกอาลัยในผู้ตายมากเกินไป ให้หันมาเพลิดเพลินซาบซึ้งกับ
เร่ืองราวและรสของวรรณคดีมหาชาติแทน อันเป็นการได้ประโยชน์ท้ังสองประการในงาน
เดียวกัน คือ ไม่เศร้าโศกถึงผู้ตายมากนัก และได้ข้อคิดจากธรรมะ เป็นความรู้ ได้ความ
เพลิดเพลนิ ในเรอื่ งมหาชาติ
อานิสงส์การเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์และอานิสงส์การฟังเทศน์มหาชาติมีว่า ถ้าผู้ใด
เป็นเจ้าของเคร่ืองบูชาและฟังเทศน์มหาชาติครบทุกกัณฑ์ พอส้ินชีวิตก็จะได้ไปเกิดบนสวรรค์
จะไม่ไปสู่ทุคติ และคร้ันจุติจากสวรรค์แล้วมาปฏิสนธิในมนุษย์โลกอีกจะเป็นผู้บริบูรณ์ไปด้วย
๔๔๒เสฐยี รโกเศศ, วัฒนธรรมและประเพณีต่าง ๆ ของไทย, หน้า ๓๔๙-๓๕๐.
๔๔๓ประคอง นมิ มานเหมนิ ทร์, มหาชาติลานนา, หนา้ ภาคผนวก ก.
๒๓๔
สรรพส่ิงต่าง ๆ มีบุญย่ิง กว่าใคร ๆ คลาดแคล้วจากภัยทั้งปวง มีคนนับถือกราบไหว้ ท่ีสาคัญ
ที่สุดคอื จะได้พบพระศรีอารยิ เมตไตรย์
๑๐.๔ การเทศน์มหาชาตภิ าคอีสาน
ทางภาคอีสานกาหนดมีงานเทศน์มหาชาติ ท่ีชาวบ้านเรียกว่า “บุญพระเหวด”
(บุญพระเวส) ในเดือน ๔ ดังมีข้อความว่า “พอถึงเดือนสี่ค้อย เจ้าหัวคอยบุญพระเวส”
หมายความว่า พอถึงปลายเดือนสี่ สมภารเจา้ อาวาสจะคอยเทศนม์ หาชาติ
อานิสงส์ของการเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์และการฟังเทศน์มหาชาติมีว่า หากใครได้
ฟงั เทศนม์ หาชาติคาถาพนั ครบภายในวนั เดียว จะได้ไปเกดิ ในศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย์ เน้ือ
เร่ืองมหาชาติภาคอีสานเหมือนภาคกลาง ต่างกันในการเร่ิมต้นการเทศน์ คือ ทางภาคอีสาน
เร่มิ ต้นเทศนพ์ ระมาลยั ก่อน ดงั มีขน้ั ตอนดังนี้
๑) มาลัยหม่ืน กล่าวถึงพระมาลัยขึ้นไปสวรรค์ช้ันดาวดึงส์เพื่อนมัสการพระ
ธาตุจฬุ ามณแี ละไดพ้ บพระอนิ ทร์ พระศรอี าริยเมตไตรย์ ไดส้ นทนากนั ถึงเร่ืองบาปบญุ กบั พระ
ศรอี าริยเมตไตรย์ดว้ ย
๒) มาลัยแสน กล่าวถึงพระมาลัยกลับสู่มนุษยโลกและนาความมาเล่าแก่มวล
มนษุ ยถ์ งึ เรื่องบาป บุญ และสอนให้คนขยนั ในการทาบญุ และเวน้ การทาบาป
๓) สังกาส คือ การเทศน์บอกศักราช กล่าวถึงอายุกาลของพระพทุ ธศาสนาท่ี
ลว่ งมาตามลาดบั และตอนทา้ ยมลี ักษณะคล้ายกบั พระพทุ ธทานาย
๔) ทศพร เป็นการเริ่มต้นเรื่องพระเวสสันดร ติดตามด้วยกัณฑ์หิมพานต์
ทานกัณฑ์ วนประเวศน์ ชูชก จุลพน มหาพน กุมารบั้นต้น กุมารบ้ันปลาย มัทรี สักบรรพ์
มหาราช ฉกษตั ริย์ และ นครกัณฑ์
ตอนสุดท้าย คือ ฉลอง หมายถึง การเทศน์อานิสงส์ของการฟังเทศน์พระ
เวสสันดรว่า จะได้บุญมาก ใครฟังจบเรื่องในวันเดียว จะได้ไปเกิดในศาสนาพระศรีอาริยเมต
ไตรย์
๒๓๕
๑๐.๕ การเทศนม์ หาชาตภิ าคใต้
การเทศน์มหาชาติภาคใต้ ไม่ได้กาหนดเทศกาลการเทศน์ไว้แน่นอนเหมือนกับภาค
อื่น ๆ เมอ่ื มงี านสาคัญ เช่น งานประจาปี งานฉลองต่าง ๆ อาจจะจดั ใหม้ ีการเทศนม์ หาชาติขึ้น
กไ็ ด้ เน้ือเรือ่ งและลาดบั เกณฑเ์ หมือนกับมหาชาตภิ าคกลางทุกประการ
การเทศน์มหาชาติ จะมีจุดมุ่งหมายสาคัญคือให้ความรู้ทางธรรมเป็นหัวใจของการ
เทศน์มหาชาติท้ัง ๑๓ กัณฑ์แต่ละกัณฑ์ให้ข้อธรรมที่แตกต่างกัน เช่น ความรักระหว่างมารดา
บดิ ากับบุตรธิดา ความรักระหวา่ งสามีภรรยา ความอดทน ความโศกเศร้าเสียใจจากความพลัด
พรากจากกัน เป็นต้น สรุปธรรมในเร่ืองมหาเวสสันดรชาดก คือเรื่องทานบารมี เป็นพระชาติ
สุดท้ายท่ีทรงบาเพ็ญบารมีครบสมบูรณ์ท้ังสามข้ันคือบารมี อุปบารมี และปรมตั ถบารมี
๑๐.๖ การแสดงละคร
การแสดงละครมมี าพรอ้ มกับชาติไทย และได้เจรญิ ข้ึนมากจนถึงกบั มกี ารแบง่ ละคร
ออกเป็น ๒ ประเภทคือ ละครนอกและละครใน ในสมัยอยุธยารัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ
ละครในเป็นละครหลวง ตัวละครในใช้ผู้หญิงเล่นเป็นตัวละครท้ังหมด และเล่นภายใน
พระราชวงั เรอ่ื งที่เลน่ จากดั อยู่ใน ๓ เร่ือง คอื รามเกียรต์ิ อณุ รุท และอเิ หนา เทา่ นั้น ส่วนละคร
นอกเล่นได้ทุกเร่ือง เช่น เร่ืองสังข์ศิลป์ชัย สังข์ทอง สุวรรณหงส์ ไชยเชฏฐ์ จันทโครพ คาวีพหล
วิชัย การเกษ ไชยทัต มณีพิชัย มโนห์รา เป็นต้น ละครนอก ใช้ผู้ชายแสดงล้วน จะใช้ผู้หญิง
แสดงไม่ได้ เพ่ิงมายกเลิกในสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันการนานิทานชาดก
ไปแสดงละคร มีปรากฏเสมอในสถาบันนาฏศิลป์ ในสถาบัน การศึกษามหาวิทยาลัย วิทยาลัย
โรงเรียน หรือ มูลนิธิต่าง ๆ นิทานชาดกท่ีแสดงนั้น มักเป็นนิทานชาดกที่คนทั่วไปรู้จักกันเปน็
อย่างดีอยู่แล้ว ผู้ประพันธ์บทละครอาจตัดเอาตอนใดตอนหนึ่งของเร่ือง หรือ เอาท้ังหมดแล้ว
ดดั แปลง ปรับปรุงใหเ้ ขา้ กับสภาพแวดลอ้ มในสถานการณ์ปัจจุบัน เพ่อื ทีจ่ ะทาให้ผู้ชมสนใจ ไม่
เบื่อหน่าย เช่น เร่ืองเวสสันดรชาดกอาจจะตัดเอาตอนชูชกไปขอสองกมุ าร หรือ เรื่องสังขท์ อง
อาจจะตดั เอาเฉพาะตอนเขยทง้ั หกไปหาปลา ทัง้ นขี้ น้ึ อยู่กบั กาลเวลา โอกาสของการแสดง ถา้ มี
เวลาแสดงมากอยา่ งแสดงละครในสถานีวิทยุ อาจจะใช้เน้ือเรื่องทัง้ หมด โดยตดั ตอนที่ไม่สาคัญ
๒๓๖
ออกไป ถ้ามีเวลาแสดงน้อยประมาณ ๒-๓ ชั่วโมง ก็อาจตัดเอาตอนใดตอนหนึ่งมาแสดง
เพื่อให้พอเหมาะและสมควรกบั เวลาแสดง และผชู้ มจะไดไ้ มเ่ บื่อหนา่ ย
ปัจจุบันสถานี โทรทัศน์ ช่อง ๗ ได้นาเอานิทานชาดก หรือนิทานพื้นบ้านมาแสดง
เป็นบทละครทางโทรทศั น์ ปรากฏว่ามผี ู้สนใจติดตามชมเปน็ อนั มากทีเดียว โดยเฉพาะพวกเด็ก ๆ
เรื่องที่นามาแสดง เช่น ยอดสี่กุมาร สิงหไกรภพ แก้วหน้าม้า นางสิบสอง นกกระจาบ เป็น
ต้น นับว่าสถานีโทรทัศน์ช่อง ๗ ได้เห็นประโยชน์ของนิทานชาดกเหล่าน้ัน แล้วนามาเผยแพร่
เป็นมรดกของชาติด้านน้ี ทาให้เห็นว่าชาติไทยมีนิทานพื้นบ้านเก่าแก่มากมายไม่แพ้ชาติอื่น ๆ
เยาวชนไทยปัจจุบันแทนท่ีจะดู และรู้แต่เรื่องราวของชาติอื่น จะได้ดูและรู้เรื่องราวของชาติ
ตนเอง เป็นการทาให้เยาวชนไทยรักและหวงแหนมรดกวัฒนธรรมแห่งชาติของตน นับเป็น
รายการทีค่ วรได้รับคาชมเชยและสนบั สนนุ จากวงการทเ่ี กี่ยวข้องเปน็ อย่างย่งิ
อน่ึง ในภาคใต้ มกี ารเลน่ เรอ่ื งมโนหร์ า เป็นการเลน่ มหรสพอย่างหนึ่งคล้ายกับละคร
ของภาคกลาง นอกจากเล่นเร่ืองมโนห์ราแล้ว ยังเล่นเรื่องอ่ืน ๆ เช่น สังข์ทอง จันทโครพ นาง
ผมหอม แตงอ่อน ไชยเชฏฐ์ สงั ข์ศลิ ป์ชยั ลักษณาวงศ์ ดาราวงศ์ เปน็ ตน้
๑๐.๗ การแสดงหนงั และภาพยนตร์
การนานิทานชาดกมาแสดงหนังนั้น มีปรากฏท้ังในอดีตและปัจจุบัน ในอดีตสมัยที่
ยังไม่มีภาพยนตร์ การแสดงหนัง หมายถึง การแสดงหนังใหญ่ของภาคกลางนั่นเอง การแสดง
หนงั ในปัจจบุ ัน หมายถงึ การแสดงภาพยนตร์
สมัยอยุธยาในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์โปรดให้พระมหา
ราชครูแต่งสมุทรโฆษชาดกเป็นคาฉันท์ สาหรับพากษ์หนังในงานฉลองพระชนมายุครบ ๒๕
พรรษา หรือทีเ่ รยี กว่า “เบญจเพส” เป็นคาฉนั ทต์ อนหนึ่งว่า
พระใหก้ ล่าวกาพย์นพิ นธ์ จานองโดยดล
ตระการเพลงยศพระ
ใหฉ้ ลกั แสบกภาพอันชระ เปน็ บรรพบุรณะ
นเรนทรราชบรรหาร
ให้ทวยนักคนผชู้ าญ กลเลน่ โดยการ
๒๓๗
ยเปนบาเทงิ ธรณี
และตอนไหว้ครูเลน่ หนงั มคี าประพันธ์ ดงั น้ี
อนจี้ ะชน้ี ิ- ตดิ าเนียรดานานสาร
โดยบรรพเบาราณ ครคู รูอนั สั่งสอน
ไหวเ้ ทพดาอา- รกั ษท์ วั่ ทิศาดร
ขอสวัสดขิ อพร ลแุ ก่ ใจดงั ใจหวัง
ในปัจจุบันอุตสาหกรรมการสร้างภาพยนตร์ไทยได้มีการนาเรื่องชาดกมาสร้างเป็น
ภาพยนตร์ด้วย และได้รับความนิยมจากผู้ชมเป็นอันมาก เช่น เร่ืองเวสสันดรชาดก เรื่อง พระ
รถเมรี เรือ่ งสังข์ทอง เปน็ ตน้ ในภาคใตม้ ีการแสดงหนงั ตะลุง เรอ่ื งทแ่ี สดงคือเร่อื งรามเกยี รต์ิ ซง่ึ
เราได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องรามายณะของพราหมณ์ ไม่ใช่เร่ืองชาดกในพระพุทธศาสนา ใน
พระไตรปิฎกมีชาดกเรี่อง ทศรถชาดก กล่าวถึงพระรามพระลักษณ์ตรงกบั เรอ่ื งรามเกยี รติ์ แต่มี
เนอื้ เรื่องบางตอนที่แตกต่างกนั ๔๔๔
๑๐.๘ การเขยี นภาพจติ รกรรมฝาผนงั
การเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง เป็นการเขียนภาพโดยช่างผู้มีฝีมือ มีความรู้ ความ
เขา้ ใจในขอ้ ธรรม ประกอบดว้ ยศรทั ธาอยา่ งแรงกลา้ ในบวรพทุ ธศาสนา มีความเชอ่ื ในเรื่องกรรม
ความดีความช่ัว จึงถ่ายทอดเร่ืองชาดกในพระพุทธศาสนา เป็นภาพที่แฝงปรัชญา วัฒนธรรม
ประเพณีต่าง ๆ ไว้ในภาพจิตรกรรม โดยแสดงภาพให้ผู้ท่ีได้ชมสัมผัสได้ทั้งทางรูปธรรมและ
นามธรรมไปพร้อม ๆ กันในเวลาเดียวกนั
ในขณะที่วรรณกรรมเป็นหนังสือที่พรรณนาให้ผู้อ่านมองเห็นภาพตามเนื้อเรื่องได้
น้ันในทางกลับกัน จิตรกรรมเป็นภาพท่ีเขียนข้ึนเพ่ือให้ผู้ขมภาพเข้าใจในเร่ืองราวของ
วรรณกรรมนั้น ส่วนประกอบภาพอ่ืนๆ ท่ีใม่เรียงลาดับภาพเป็นเร่ืองราวนั้น อาจเป็นภาพซ่ึง
แสดงความหมายของเร่ืองต่าง ๆ เช่น ภาพลวดลายประกอบเร่ืองราวแบบต่าง ๆ ภาพเก่ยี วกับ
เทพเจ้า หรือเครื่องหมายท่ีเป็นสัญลักษณ์ เช่น ภาพดอกบัว ภาพการแสดงกริยาอาการที่บอก
๔๔๔ร.ศ.พัฒน์ เพ็งผลา, ชาดกกับวรรณกรรมไทย, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์
มหาวิทยาลัยรามคาแหง, ๒๕๓๔), หนา้ ๓๑๐-๓๑๑ .
๒๓๘
ถึงลีลาและอารมณ์ต่าง ๆ และภาพฮก ลก ซิ่ว ภาพป่าหิมพานต์ เป็นต้น เป็นภาพท่ีเขียนกนั สบื
ต่อมาจนเป็นประเพณี และมีความหมายเก่ียวข้องกับวรรณกรรมท่ีสร้างขึ้นในยุคสมัยต่าง ๆ
ของท้องถิน่ ตา่ ง ๆ ด้วย ดังมีกลอนแต่งเขยี นถึง “จิตรกรรมฝาผนงั จนิ ตนาการอนั วจิ ิตร” วา่
เรียวพูก่ ันปาดจงบรรจงศลิ ป์ ถ่ายทอดจินตนาการอันยิ่งใหญ่
ไว้ให้ยลบนถนิ่ แผน่ ดนิ ไทย บรรโลมใกลช้ ิดจติ รกรรม
ระบายสีตัดเสน้ เป็นภาพวาด เหลืองแดงชาดรงค์ทองเขียวเทา
คลา้
ผ้ลู วดลายสายรอ้ ยสร้อยทองคา เพลินพิศพรา่ เพลนิ พศิ เพลนิ จิตใจ
พร พ้นื ผนังระเบียงอุโบสถ ครูช่างไทยเทพประสิทธ์ิประสาท
ไทย๔๔๕ เปรื่องปรากฏลว่ งผ่านกาลสมยั
ท่านได้ฝากผลงานทง้ั การสอน
ครูคงแป๊ะ ครทู องอยู่ อาจารย์นาค ศรนี ครศรศี ักด์ิศิลปิน
ในยคุ ทองของครูจิตรกร ร่วมใจหว่ งอนุรักษ์รักทรพั ย์สิน
อย่าให้ส้ินเส่ือมสลายลวดลาย
จงผองเราเฝา้ แสนสดุ แหนหวง
เป็นสมบัติเลอค่าของแผ่นดนิ ทวพี ร ทองคาใบ
วดั ท้ังหลายคล้ายกันเป็นอนั มา
ไมห่ นจี ากอย่างเก่าเปน็ อวสาน
แต่วดั เครือวัลยใ์ หมอ่ าไพพาน
หนโี บราณแปลกเพือ่ นไมเ่ หมอื นใคร
เขียนชาดกยกเร่อื งโพธสิ ัตว์
ทอดประทัดตีตารางสว่างไสว
๔๔๕กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, จิตรกรรมฝาผนังนิทานชาดก (พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ),
(กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พค์ รุ ุสภาลาดพรา้ ว, ๒๕๔๐), หนา้ ๙.
๒๓๙
เป็นหอ้ งหอ้ งช่องละชาตอิ อกดาษไป
นบั ชาติได้หา้ รอ้ ยสิบชาตติ รา
นายมี มหาดเล็ก
จากหนังสือกลอนเพลงยาวสรรเสริญพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เจา้ อย่หู วั ๔๔๖
คนไทยสมัยก่อนนิยมสร้างวัด ทาให้จานวนวัดจึงมีอยู่มากมายทั้งที่เป็นวัดหลวงที่
พระมหากษัตริย์และเจ้านายโปรดให้สร้าง และวัดราษฎร์ที่ราษฎรร่วมกันสร้างขึ้นจนถึงกับมี
ตานานและคากลอนผูกไว้ล้อเลียนลูกขุนนาง หรือลูกผู้มีอันจะกินท่ีไปว่ิงเล่นในวัดของเด็กอน่ื
แล้วถูกไลร่ งั แกจึงว่ิงกลับมาฟ้องบดิ ามารดาของตนวา่
กลบั มาบอกบดิ าน้าตาไหล
พอ่ กส็ ร้างอารามให้ตามใจ
วัดจึงไดเ้ กลือ่ นกลาดดดู าษดา
ความนิยมในการสร้างวัดของคนในสมัยก่อนน้ีก็เพ่ือเป็นท่ีบรรจุอัฐิธาตุของคนท่ี
ล่วงลับในสกุลวงศ์ จึงมักจะสร้างเจดีย์ขนาดใหญ่ ๒ องค์ไว้ด้านหน้าของพระอุโบสถ ไว้สาหรบั
เป็นที่บรรจุอัฐธิ าตุของมารดาบดิ า เม่อื ถึงวันนักขัตฤกษ์ ลูกหลานกจ็ ะพากันไปทาบุญอุทิศส่วน
กุศลให้ เด็ก ๆ ลูกหลานที่ไปด้วยก็จะพากันมาว่ิงเล่นในลานวัด จึงเกิดคากลา่ วทว่ี า่ สร้างวัดให้
ลกู หลานเลน่ วดั เครือวลั ย์วรวิหารก็เป็นอีกวัดหนง่ึ ที่สร้างข้ึนเพราะเหตดุ ังกลา่ วนั้น วดั เครอื วัลย์
วรวิหาร เป็นวัดทม่ี ีความสาคัญวดั หน่งึ ในกรงุ เทพมหานคร พระอโุ บสถของวดั นีก้ รมศลิ ปากรได้
ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เนื่องจากภายในพระอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังสมัยต้น
รตั นโกสินทร์เป็นเร่ืองนิทานชาดก ๕๕๐ ชาติ ทง่ี ดงามมากซงึ่ ในปจั จบุ ันไม่มใี นทอี่ ่นื
วัดเครือวัลย์วรวิหาร มีชื่อมาจากนามของเจ้าจอมเครือวัลย์ในพระบาทสมเด็จพระ
นั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สร้างข้ึนในสมัยรัชกาลท่ี ๓ โดยเจ้าจอม
เครือวัลย์ธิดาของเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย บุณยรัดตพันธ์ุ) เป็นผู้สร้าง แต่การดาเนินการ
ก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ เจ้าจอมเครือวัลย์ถึงอสัญกรรมเลียก่อน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
๔๔๖เร่อื งเดยี วกัน, หน้า ๑๗๗.
๒๔๐
เจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อจนแล้วเสร็จและพระราชทานนามว่า วัดเครือ
วัลยว์ รวหิ าร
ภาพจิตรกรรมบนฝาผนัง๔๔๗ คนไทยนิยมเขียนภาพในจิตรกรรมบนฝาผนัง
อุโบสถ วิหาร มณฑป พระปรางค์ ระเบียงศาลาการเปรียญ ภาพที่เขียนเป็นภาพพุทธประวัติ
บ้าง ชาดกบ้างวรรณคดีบ้าง ที่นิยมเขียนกันมากที่สุดคือภาพทศชาติ โดยเฉพาะภาพพระ
เวสสันดรชาดก เช่น
๑. ภาพพระเวสสันดรชาดก ในพระอุโบสถ วัดพระศีรรัตนศาสดาราม
พระบรมมหาราชวงั พระนคร กรงุ เทพมหานคร
๒. ภาพมโหสถชาดก ในพระอโุ บสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เขตพระนคร
กรุงเทพมหานคร
๓. ภาพทศชาติชาดก ในอุโบสถ วัดช่องนนทรี ช่องนนทรี เขตยานนาวา
กรงุ เทพมหานคร
๔. ภาพทศชาตชิ าดก ในพระอุโบสถ วดั ปทมุ คงคาราชวรวิหาร เขตสมั พันธวงศ์
กรงุ เทพมหานคร
๕. ภาพทศชาติชาดก ในพระอุโบสถ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร บ้านบาตร
เขตปอ้ มปราบ กรุงเทพมหานคร
๖. ภาพทศชาติชาดก ในพระอุโบสถ วัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร
จักรวรรดิ เขตสัมพนั ธวงศ์ กรงุ เทพมหานคร
๗. ภาพทศชาติชาดก ในพระอุโบสถ วดั ดสิ านกุ าราม เทพศิรนิ ทร์ เขตป้อมปราบ
กรุงเทพมหานคร
๘. ภาพสุวรรณสามชาดก ในพระอุโบสถ วัดเทวราชกุญชร เขตดุสิต
กรุงเทพมหานคร
๙. ภาพพระเวสสันดรชาดก ในพระอุโบสถ วัดโบสถ์สามเสน เขตดุสิต
กรุงเทพมหานคร
๔๔๗กรมศิลปากร, จิตรกรรมไทยประเพณี, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท อมรินทร์ พริ้นต้ิง กรุ๊พ
จากดั , ๒๕๓๔),หน้า ๑๔๕-๑๕๐.
๒๔๑
๑๐. ภาพพระเวสสันดรชาดก ในพระอุโบสถ วัดราชาธิวาสวิหาร เขตดุสิต
กรุงเทพมหานคร
๑๑. ภาพพระเวสสันดรชาดก ในพระอุโบสถ วัดบางโพโอมาวาส เขตบางซอื่
กรงุ เทพมหานคร
๑๒. ภาพพระเวสสันดรชาดก ในพระอุโบสถ วัดมหาบุศย์ เขตบางกะปิ
กรงุ เทพมหานคร
๑๓. ภาพทศชาติชาดก ในพระอุโบสถ วัดบางนาใน เขตพระโขนง
กรุงเทพมหานคร
๑๔. ภาพพระเวสสันดรชาดก ในวิหาร ศาลา วัดดอนเมือง เขตดอนเมือง
กรุงเทพมหานคร
๑๕. ภาพทศชาติชาดก ในพระวิหาร วัดบุปผารามวรวิหาร เขตธนบุรี
กรุงเทพมหานคร
๑๖. ภาพทศชาติชาดก ในพระอโุ บสถ วดั อรณุ ราชวราราม เขตบางกอกใหญ่
กรงุ เทพมหานคร
๑๗. ภาพชาดก ๕๕๐ ชาติ ในพระอโุ บสถ วัดเครอื วัลยว์ รวิหาร เขตบางกอกใหญ่
กรุงเทพมหานคร
๑๘. ภาพพระเวสสันดรชาดก ในพระอุโบสถ วัดโมฬีโลกยารามราชวรวิหาร
เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
๑๙. ภาพทศชาติชาดก และประวัติความเป็นมาของพระแก้วมรกต (รัตน
พิมพ์วงศ์) ในหอไตร และพระอุโบสถ วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร เขตบางกอกใหญ่
กรุงเทพมหานคร
๒๐. ภาพพระเวสสนั ดรชาด ในพระอโุ บสถ วัดราชสทิ ธารามราชวรวหิ าร เขต
บางกอกใหญ่ กรงุ เทพมหานคร
๒๑. ภาพทศชาติชาดก ในพระอุโบสถ วัดระฆังโฆษิตารามราชวรวิหาร เขต
บางกอกนอ้ ย กรุงเทพมหานคร
๒๔๒
๒๒. ภาพทศชาติชาดก ในพระอุโบสถ วัดดุสิตาราม เขตบางกอกน้อย
กรุงเทพมหานคร
๒๓. ภาพสวุ รรณสามชาดก และพระมโหสถชาดก ในพระอุโบสถ วดั บางยี่ขัน
เขตบางกอกน้อย กรงุ เทพมหานคร
๒๔. ภาพทศชาติชาดก ในพระอุโบสถ วัดภาวนาภิรตาราม เขตบางกอกน้อย
กรงุ เทพมหานคร
๒๕. ภาพทศชาติชาดก ในพระอุโบสถ วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร เขต
บางกอกนอ้ ย กรงุ เทพมหานคร
๒๖. ภาพทศชาติชาดก ในพระอุโบสถ วัดชิโนรสารามราชวรวิหาร เขต
บางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
๒๗. ภาพทศชาติชาดก ในพระอุโบสถ วัดใหม่เทพนิมิตร เขตบางกอกใหญ่
กรุงเทพมหานคร
๒๘. ภาพทศชาติชาดก ในพระอุโบสถ วัดนายโรง เขตบางพลดั กรุงเทพมหานคร
๒๙. ภาพจันทกินนรีชาดก จุลลปทุมชาดก มโหสถชาด เวสสันดรชาดก ใน
พระอโุ บสถ วัดบางขนุ เทยี นใน เขตบางขุนเทยี น กรุงเทพมหานคร
๓๐. ภาพทศชาติชาดก ในพระอุโบสถ วัดอนงคารามวรวิหาร เขตคลองสาน
กรงุ เทพมหานคร
๓๑. ภาพทศชาติชาดก ในพระอโุ บสถ วดั สวุ รรณดาราราม พระนครศรีอยธุ ยา
๓๒. ภาพทศชาติชาดก ในพระอโุ บสถ วดั เขียน อา่ งทอง
๓๓. ภาพทศชาตชิ าดก ในพระอุโบสถ วัดพระปรางค์มนุ ี สิงห์บรุ ี
๓๔. ภาพทศชาติชาดกในพระอุโบสถวัดบรรหารแจ่มใส อาเภอด่านช้าง
สพุ รรณบุรี
๓๕. ภาพทศชาตชิ าดก ในพระอโุ บสถ วัดชอ่ งลม อาเภอเมือง ราชบรุ ี
๓๖. ภาพทศชาติชาดก ในพระอุโบสถ วัดมหาธาตุวรวิหาร อาเภอเมือง
เพชรบุรี
๒๔๓
๓๗. ภาพทศชาติชาดก วิหารน้าแต้ม ชาดกเรื่องนางสามาวดี ในพระวิหาร
หลวง วดั พระธาตุลาปางหลวง อาเภอเกาะคา ลาปาง
๓๘. ภาพทศชาตชิ าดก ในวหิ าร วัดหางดง อาเภอหางดง เชยี งใหม่
๓๙. ภาพพระเวสสันดรชาดก ในพระอุโบสถ วัดเจดียสถาน อาเภอแม่รมิ
เชยี งใหม่
๔๐. ภาพพระสธุ นชาดก ในพระอุโบสถ วัดศรนี วรัฐ อาเภอสนั ป่าตอง เชยี งใหม่
๔๑. ภาพทศชาติชาดก ในศาลาการเปรียญ วดั โปง่ แยง อาเภอแม่รมิ เชยี งใหม่
๔๒. ภาพพระเวสสันดรชาดก ในวหิ าร วัดแม่กวง อาเภอสนั ทราย เชียงใหม่
๔๓. ภาพพระเวสสันดรชาดก ในพระอุโบสถ วัดสันป่าค้าง อาเภอสันทราย
เชยี งใหม่
๔๔. ภาพทศชาติชาดก ในวิหาร วัดบวกครกหลวง อาเภอเมือง เชียงใหม่
๔๕. ภาพพระเวสสันดรชาดก ในพระวิหาร วัดพระสิงห์ราชวรมหาวิหาร
อาเภอเมอื ง เชียงใหม่
๑๐.๙ พระราชนพิ นธเ์ รือ่ งทศบารมฯี และพระมหาชนก
๑๐.๙.๑ ทศบารมีในพุทธศาสนาเถรวาท
สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ไดท้ รงพระราชนิพนธ์เร่อื ง "ทศ
บารมีในพุทธศาสนาเถรวาท" ทรงกล่าวถึงหลักฐานทางพระพทุ ธศาสนาและแนวความคิดเรอ่ื ง
บารมีเข้ามาสู่ประเทศไทยในยุคต้น ๆ ว่า หลักฐานดังกล่าวคือ โบราณศิลปวัตถุโบราณสถาน
ทางพุทธศาสนาท่ีนักวรรณคดีได้สันนิษฐานจากลักษณะทางประติมาวิทยาและหลักฐานท่ีเป็น
ลายลักษณ์อักษรด้านโบราณศิลปวัตถุ หรือโบราณสถานทางพุทธศาสนา มีภาพสลัก หรือภาพ
จาหลักบนเสมาหิน เป็นเรื่องชาดกทางพุทธศาสนา เช่นภาพจาหลักบนเสมาที่พบที่อาเภอ
เกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ เป็นรูปช้างสองเชือก เชือกหน่งึ นอนอีกเชอื กหนงึ่ ยนื และกาลงั
พ่นน้าให้เชือกท่ีสอง ที่อาจารย์สินชัยกระบวนแสง วินิจฉัยว่า เป็นเร่ืองจากมาตุโปสถชาดก
(พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระยาช้างเผือกเลี้ยงมารดา พระเจ้าพาราณสีทรงจับมาเป็น
๒๔๔
ช้างศรีเมือง และได้รับการปลดปล่อยเพราะอานาจแห่งความกตัญญูต่อมารดา) และคงมีอายุ
ระหวา่ งพทุ ธศตวรรษท่ี ๑-๒๔๔๘
๑๐.๙.๒ พระมหาชนก
พระราชนิพนธ์เร่ือง "พระมหาชนก" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดลุ ย
เดช ทรงมีพระราชหฤทัยรักท่ีจะทรงงานพระราชนิพนธ์โดยทรงมีพระปรีชาสามารถอันย่ิงใน
การพรรณนาเปน็ พระราชนิพนธ์ จากการท่ที รงศึกษาพระพุทธศาสนามาเป็นเวลายาวนานและ
มีพระราชหฤทัยแน่วแน่อันท่ีจะประยุกต์หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เพื่อพัฒนาสังคม
ประเทศชาติ จงึ ได้ทรงสร้างสรรคง์ านพระราชนพิ นธ์ “พระมหาชนก” ขึ้น
แหล่งข้อมูลของพระราชนิพนธ์เรื่องน้ี อยู่ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก
ภาค ๒ ตอนมหานิบาตชาดก เรื่อง "มหาชนกชาดก" ว่าด้วยพระมหาชนกบาเพ็ญ วิริยบารมี
เรื่องน้ีได้รับการพรรณนาโดยพิสดารในคัมภีร์อรรถกถา แสดงให้เห็นหลักธรรมทาง
พระพทุ ธศาสนา เชน่ สติ ความระลึกได้ สมั ปชัญญะ ความรูต้ ัว วิริยะ ความเพียร
พระราชนิพนธ์เรื่อง "พระมหาชนก" แสดงให้เห็นพระอัจฉริยภาพ พระปรีชา
สามารถในดา้ นภาษาและพระวิริยอุตสาหะในการศกึ ษาคน้ ควา้ พระพุทธศาสนา โดยแปลศัพท์
แปลความหมายและถ่ายทอดจากประโยคที่ยากซับซ้อน ออกมาเป็นประโยคที่ผู้อ่าน
สามารถเข้าใจและมคี ตเิ ตอื นใจ นอกจากนยี้ ังทรงถา่ ยทอดเป็นภาษาองั กฤษและทาเป็นหนังสือ
การต์ ูนดว้ ย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชหฤทัยท่ีจะทรงแสดง
ตัวอย่างของการบาเพ็ญธรรมและผลของการบาเพ็ญธรรม อันจะเป็นแบบอย่างให้คนทั่วไปได้
ถือปฏิบัติตามและม่ันใจในผลแห่งการปฏิบัติ ด้วยทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรและ
ประเทศชาติ จึงทรงสร้างสรรค์งานพระราชนิพนธเ์ ร่ือง "พระมหาชนก" เพื่อทรงชี้ให้เห็นการ
ปฏิบัติในเร่ือง สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว ศรัทธา ความเชื่อมั่น วิริยะ ความ
เพียร ปัญญา ความรอบรู้ ดังน้ี
๑. สติ ความระลกึ ได้ สัมปชัญญะ ความร้ตู วั ศรัทธา ความเชือ่ ม่นั
๔๔๘สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, “ทศบารมีในพุทธศาสนาเถรวาท”,
(กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๕), หนา้ ๑๑๘-๑๑๙.
๒๔๕
พระราชนิพนธ์เรื่อง “พระมหาชนก” แสดงถึงการให้สติควบคุมมิให้ต่ืนตระหนก
มีสัมปชัญญะรอบรู้ตัวอยู่เสมอว่า กาลังเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในขณะนั้น และควรจะ
ดาเนินการเฉพาะหน้าอย่างไร ในขณะเดียวกันก็มีศรัทธา คือความเชื่อมั่นในพลัง
ความสามารถของมนษุ ย์ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
เรือแล่นด้วยกาลังคล่ืนที่รา้ ยกาจ ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ แผ่นกระดานกแ็ ตกด้วยกาลงั
คล่ืน น้าเข้ามาแต่ท่ีนั้น ๆ เรอื ก็จมลงในกลางมหาสมุทร มหาชนกลัวมรณภัย รอ้ งไหค้ รา่ ครวญ
กราบไหว้เทวดาท้ังหลาย แต่พระมหาสัตว์ไม่ทรงกันแสง ไม่ทรงคร่าครวญ ไม่ไหว้เทวดา
ท้ังหลาย ทรงทราบว่าเรือจะจมจึงคลุกน้าตาลกรวดกับเนย เสียจนเต็มท้อง แล้วชุบผ้าเน้ือ
เกลีย้ งสองผืนด้วยน้ามนั จนชุม่ ทรงนุ่งใหม้ น่ั ทรงยืนเกาะเสากระโดง ขนึ้ ยอดเสากระโดง เวลา
เรือจม มหาชนเป็นภักษาแห่งปลาและเต่า น้าโดยรอบมีสีเหมือนโลหิตพระมหาสัตว์ เสด็จไป
ทรงยืนที่ยอดเสากระโดง ทรงกาหนดทศิ ว่า เมอื งมถิ ิลาอยทู่ ิศน้ฯี
ดว้ ยสตคิ วามระลึกได้ ทาให้เกิดปัญญานาพาชีวติ ให้พน้ ภัย และด้วยพลงั แหง่ ศรัทธา
เชื่อมั่นในพลังความสามารถแห่งตน เมื่อเรืออับปางในกลางมหาสมุทร พระมหาชนกไม่
ปล่อยเวลาให้เสียไปเปล่าโดยการร้องไห้ครา่ ครวญและอ้อนวอนเทวดา แตก่ ลบั ตัง้ สติเตรียมการ
แก้ปัญหาเฉพาะหน้า พระองค์เสวยให้อิ่มเพื่อจะได้มีกาลังว่ายน้า ในขณะเดียวกันก็เอาผ้าชุบ
น้ามันแล้วนุ่ง เพื่อมิให้เปียกขุ่มด้วยน้า ซึ่งจะทาให้หนักและเพ่ือป้องกันสัตว์นา้ บางชนิดเข้ามา
ทารา้ ยในขณะท่ีวา่ ยน้าอยู่
๒ วิริยะ ความเพียร
พระมหาชนกทรงวา่ ยนา้ เปน็ เวลา ๗ วันลว่ งแล้ว ขณะทก่ี าลงั ว่ายอยู่ นางมณเี มขลา
กล่าวว่า “ฝั่งมหาสมุทรลึกจนประมาณไม่ได้ ย่อมไม่ปรากฏแก่ท่าน ความพยายามอย่าง
ลกู ผูช้ ายของท่านกเ็ ปล่าประโยชน์ ทา่ นไม่ทันถึงฝัง่ ก็จักตาย” พระมหาชนกตอบว่า “บคุ คลเมื่อ
กระทาความเพียร แมจ้ ะตายกช็ ่ือว่าไม่เปน็ หน้ีในระหว่างหมู่ญาติ เทวดา และบิดามารดา อน่งึ
บคุ คลเม่อื ทากจิ อยา่ งลกู ผ้ชู าย ย่อมไม่เดอื ดร้อนในภายหลงั ”
พระมหาชนกกาลังแสดงให้เห็นว่า เม่ือมีภารกิจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะยากหรือง่ายกต็ าม
จะมองเห็นช่องทางแห่งความสาเร็จหรือไม่ก็ตาม ไม่ใช่ส่ิงท่ีบุคคลจะต้องคานึงถึง หน้าท่ีของ
บุคคลคือ ต้องพยายามทาภารกิจน้ันเต็มกาลังเต็มความสามารถ ชาวโลกไม่ตาหนิว่าเป็นคน
๒๔๖
ท้อแท้อ่อนแอ ตัวเองก็ไม่เสียใจที่ล้มเหลวก่อนที่จะพยายาม แม้นางมณีเมขลาจะกล่าวต่อว่า
“การงานอันใดยงั ไมถ่ งึ ที่สุดด้วยความพยายาม การงานอันนัน้ ไร้ผล มคี วามลาบากเกิดขน้ึ การ
ทาความพยายามในฐานะอนั ไม่สมควรใด จนความตายปรากฏขึ้น ความพยายามในฐานะอันไม่
สมควรน้ัน จะมีประโยชน์อะไร” พระมหาชนกก็ยังกล่าวยืนยันถึงความจาเป็นท่ีจะต้องเพียร
พยายามแม้จะมองไมเ่ ห็นฝ่ังแหง่ ความสาเร็จ เพราะผลแหง่ ความเพยี ร การไดท้ าตามที่ประสงค์
อาจเปน็ ความสาเร็จแห่งภารกจิ หรอื ไม่กไ็ ด้ พระมหาชนกได้กล่าวตอบนางมณเี มขลาว่า
ดูก่อนเทวดา ท่านก็เห็นผลแห่งกรรมประจักษ์แก่ตนแล้วมิใช่หรือ คนอื่น ๆ จมใน
มหาสมุทรหมด เราคนเดียวยังว่ายข้ามอยู่ และได้เห็นท่านมาสถิตอยู่ใกล้ๆ เรา เราน้ันจัก
พยายามตามสตกิ าลัง จกั ทาความเพยี รท่ีบุรุษควรทา ไปให้ถงึ ฝงั่ แห่งมหาสมทุ ร”
คาว่า "ความเพียรที่บุรุษควรทา" หมายถึง ความเพยี รพยายามเปน็ หน้าทข่ี องคน คา่
ของคนอยู่ทีก่ ารทาหนา้ ท่ี ถา้ ไม่ทาหน้าที่จะมีค่าอะไรเหลืออยู่ พระมหาชนก กลา่ วยนื ยันอย่าง
นนั้ กเ็ พราะรแู้ จ้งในนัยทแี่ ท้จรงิ ของคาน้ี เมอื่ คนได้ทาหนา้ ทอ่ี ย่างเตม็ กาลงั ดว้ ยจติ เป็นกุศลแล้ว
มหัศจรรย์ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าเกิดความท้อถอยในคราวท่ีเรืออับปาง ไม่เพียรพยายามว่าย
ข้ึนฝั่ง คงไม่ได้ครองราชสมบัติอย่างที่เป็นอยู่ พระองค์เม่ือระลึกได้อย่างนี้เกิดปีติโสมนัสเปล่ง
พระอทุ านดว้ ยความอิ่มใจว่า
“ส่งิ ท่ีมิได้คิดไว้ จะมีก็ได้ ส่ิงที่คิดไว้ จะพินาศไปก็ได้ โภคะท้ังหลายของหญงิ กต็ าม
ของชายกต็ าม มไิ ด้สาเร็จดว้ ยเพียงคดิ เทา่ น้นั ”
๓. ปญั ญา ความรอบรู้
แสดงถึงการให้ความสาคัญในการพัฒนาปัญญาให้เกิดมีข้ึนในโลกโดยการต้ัง
สถานศึกษา ก่อนที่นางมณีเมขลาจะช่วยพระมหาชนกขึ้นบกได้ถามว่า จะไปท่ีไหน” พระ
มหาชนกตอบว่า “มิถิลานคร” ซ่ึงเป็นเมืองแห่งนักปราชญ์ คร้ันแล้วนางมณีเมขลา
ประคบั ประคองพระมหาสัตว์ทีท่ รวงอก เหาะไปในอากาศ พร้อมกบั กล่าวคาถาว่า
ข้าแต่บัณฑิต วาจาอันมีปาฏิหาริย์มิบังควรหายไปในอากาศ ท่านต้องให้สาธชุ น
ได้รับพรแห่งโพธิญาณจากโอษฐ์ของท่าน ท่านถึงกาลอันสมควรตั้งสถาบันการศึกษาให้ช่ือว่า
“โพธยิ าลยั มหาวชิ ชาลัย” ในกาลน้ัน ทา่ นจงึ จะสาเร็จกจิ ทแี่ ท้”
๒๔๗
คาว่า “โพธิยาลัยมหาวิชชาลัย” แปลว่า แหล่งแห่งแสงสว่างและแหล่งแห่งความรู้
นอกจากนี้ ในสมยั ทพี่ ระเจ้าโปลชนกราช ประทบั บนแท่นบรรทมใกล้จะสวรรคต พวกอามาตย์
กราบทูลถามเกี่ยวกับบุคคลผู้เหมาะสมที่จะสืบราชสมบัติต่อไป พระเจ้าโปลชนกตรัสบอก
คุณสมบัติของบุคคลผู้เหมาะสมที่จะสืบราชสมบัติไว้หลายประการ ซึ่งหนึ่งในคุณสมบัติ
เหล่านั้นคือ ความรู้ความสามารถตอบปัญหาที่พระเจ้าโปลชนกทรงกาหนดไว้ส่ีข้อ พระ
มหาชนกทรงตอบปัญหาได้ท้ังหมด ทาให้มหาชนร่าเริงยินดีว่า “พระราชาองค์นี้เป็นบัณฑิต
จริง ๆ”๔๔๙
พระราชนิพนธ์เรื่อง “พระมหาชนก” กล่าวได้ว่าเป็นผลงานท่ีพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงรักยิ่ง ทรงมพี ระราชดารัสเก่ียวกับพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ เมื่อ
วันที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๙ ความตอนหน่ึงว่า “หนังสือน้ีเป็นที่รักของข้าพเจา้ ...
หนังสือนี้ไม่มีที่เทียม และจะเป็นที่จริงใจของผู้อ่าน....ต้องการให้เห็นว่าสาคัญท่ีสุด คนเราทา
อะไร ตอ้ งมีความเพียร
“ขอจงมีความเพยี รท่บี รสิ ุทธ์ิ ปัญญาทีเ่ ฉียบแหลม กาลงั กายที่สมบูรณ์”
๑๐.๑๐ สรปุ
ชาดกกับสงั คมไทย
สังคมไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา คาสอนของพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดา
ของพระพุทธศาสนา ย่อมมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของพทุ ธศาสนิกชนชาวพุทธไทยกเ็ ช่นเดยี วกบั
ชาวพุทธชาติอื่น ๆ ที่นิยมฟังเร่ืองชาดกกันมาก เรื่องราวชาดกจึงเข้าไปมีอิทธิพลต่อสังคม
พุทธศาสนิกชนโดยที่สังคมได้นาเอาชาดกไปใช้ในการแสดงพระธรรมเทศนา การแสดงละคร
การแสดงหนงั ภาพยนตร์ และพระราชนิพนธ์
การแสดงพระธรรมเทศนาหรือการเทศน์ พระภิกษุสงฆ์เป็นผู้เทศน์ให้
ประชาชนฟัง ในโอกาสสาคัญ พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่นิยมฟังเทศน์เก่ียวกับนิทานชาดกท่ี
๔๔๙มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พระผู้ทรงเป็นปราชญ์แห่งพระพุทธศาสนา,
(กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัท ๒๑ เซ็นจูรี่ จากดั , ๒๕๔๕), หนา้ ๘๘-๙๕.
๒๔๘
นามาเทศน์มีอยู่หลายเรอ่ื ง ทั้งมาจากนิบาตชาดกและนอกนิบาตชาดก นิทานชาดกที่ชาวพุทธ
นิยมฟงั กนั มาก มีทกุ ภาคของประเทศไทยคอื เร่ืองมหาชาติ
การเทศน์มหาชาติภาคกลาง นิยมเทศน์ในระหว่างเดือน ๑๒ กับเดือนอ้าย ใน
หนังสอื พระราชพธิ สี ิบสองเดือนของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกล่าวว่า การเทศน์
มหาชาตเิ ปน็ พระราชกศุ ลและเปน็ พระราชพธิ ีซง่ึ มีในเดือนอ้าย
การเทศน์มหาชาติของภาคเหนือ ในเพ็ญเดือนยี่ ตรงกับเดือน ๑๒ ของภาคกลาง
บางทอ่ี าจจะจัดในเดือน ๗-๘ ของภาคเหนอื ซึง่ ตรงกบั เดอื น ๕-๖ ของภาคกลาง และเทศน์ใน
โอกาสท่ีมีงานต่าง ๆ เช่น งานศพ งานฉลองต่าง ๆ ซ่ึงภาษาท้องถิ่นเรียกว่า ปอยหลวง งาน
ผกู พทั ธสมี า และงานบวชนาค หรือทเี่ รียกวา่ ปอยน้อย
การเทศน์มหาชาติภาคอีสาน ชาวบ้านเรียกว่า “บุญพระเหวด” (บุญพระเวส) เน้ือ
เรื่องมหาชาติภาคอีสานเหมือนภาคกลาง ต่างกันในการเริ่มต้นการเทศน์ คือ ทางภาคอีสาน
เร่ิมต้นเทศนพ์ ระมาลัยก่อน ตามดว้ ยมาลยั หมื่น มาลยั แสน สังกาส ทศพร เปน็ การเรม่ิ ต้นเร่ือง
พระเวสสันดรต่อดว้ ยกณั ฑห์ ิมพานต์ ทานกณั ฑ์ วนประเวศน์ ชูชก จลุ พน มหาพน กมุ ารบ้ันตน้
กุมารบ้ันปลาย มัทรี สกั กบรรพ์ มหาราช ฉกษตั รยิ ์ และ นครกณั ฑ์
การเทศนม์ หาชาติภาคใต้ ไมไ่ ด้กาหนดเทศกาลการเทศน์แนน่ อนเหมอื นกับภาคอ่ืน
เนื้อเร่ืองและลาดบั เกณฑเ์ หมือนกบั มหาชาตภิ าคกลางทุกประการ
การเทศน์มหาชาติมุ่งหมายให้ความรู้ทางธรรม การเทศน์มหาชาติทั้ง ๑๓ กัณฑ์แต่
ละกณั ฑ์ให้ข้อธรรมทแ่ี ตกต่างกนั เช่น ความรกั ระหวา่ งมารดาบิดากบั บุตรธดิ า ความรกั ระหว่าง
สามีภรรยา ความอดทน ความโศกเศร้าเสียใจจากความพลัดพรากจากกัน ธรรมในเรื่องมหา
เวสสันดรชาดก คอื เรื่องทานบารมี เปน็ พระชาติสดุ ทา้ ยที่ทรงบาเพ็ญบารมีครบสมบูรณ์ท้ังสาม
ขั้นคือบารมี อุปบารมี และปรมัตถบารมี
การแสดงละครมีมาพร้อมกับชาติไทยและได้เจริญข้ึนสืบมา ปัจจุบันการนานิทาน
ชาดกไปแสดงละครมีปรากฏเสมอในสถาบันนาฏศิลป์ ในสถาบันการศึกษามหาวิทยาลัย
วิทยาลยั โรงเรียน หรือ มลู นธิ ติ ่าง ๆ นทิ านชาดกทีแ่ สดงนั้น มกั เปน็ นทิ านชาดกท่ีคนท่ัวไปรู้จัก
กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ผู้ประพันธ์บทละครอาจตัดเอาตอนใดตอนหนึ่งของเรื่อง หรือเอาท้ัง
หมดแล้วดดั แปลงปรบั ปรุงให้เข้ากับสภาพแวดลอ้ มในสถานการณป์ ัจจุบัน สถานี โทรทศั น์ ชอ่ ง
๒๔๙
๗ ได้นาเอานิทานชาดก หรือนิทานพ้ืนบ้านมาแสดงเป็นบทละครทางโทรทัศน์ ปรากฏว่ามี
ผู้สนใจติดตามชมเป็นอันมากทีเดียว โดยเฉพาะพวกเด็ก ๆ เรื่องทนี่ ามาแสดง เช่น ยอดสี่กุมาร
สิงหไกรภพ แก้วหนา้ ม้า นางสบิ สอง นกกระจาบ ในภาคใต้ มกี ารเล่นเรือ่ งมโนห์รา เปน็ การเล่น
มหรสพอยา่ งหน่ึงคล้ายกับละครของภาคกลาง
การนานิทานชาดกมาสร้างภาพยนตร์ไทยได้รับความนิยมจากผู้ชมเป็นอันมาก เช่น
เรื่องเวสสนั ดรชาดก เรื่องพระรถเมรี เร่อื งสงั ข์ทอง
การเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง เป็นการเขียนภาพโดยช่างผู้มีฝีมือ มีความรู้ ความ
เขา้ ใจในข้อธรรม ประกอบดว้ ยศรัทธาอย่างแรงกล้าในบวรพทุ ธศาสนา มีความเชือ่ ในเรอื่ งกรรม
ความดีความชว่ั จงึ ถ่ายทอดเรื่องชาดกในพระพุทธศาสนา เปน็ ภาพจติ กรรมฝาผนังทีแ่ ฝงปรัชญา
วัฒนธรรม ประเพณีต่าง ๆ ไว้ในภาพจิตรกรรม โดยแสดงภาพให้ผู้ที่ได้ชมสัมผัสได้ทั้งทาง
รปู ธรรมและนามธรรมไปพรอ้ ม ๆ กัน
ภาพจิตรกรรมบนฝาผนัง คนไทยนิยมเขียนภาพจิตรกรรมบนฝาผนัง อุโบสถ วิหาร
มณฑป พระปรางค์ ระเบียงศาลาการเปรียญ ภาพท่ีเขียนเป็นภาพพทุ ธประวัติบ้าง ชาดกบ้าง
วรรณคดีบ้าง ท่ีนิยมเขียนกันมากท่ีสุดคือภาพทศชาติ โดยเฉพาะภาพพระเวสสนั ดรชาดก
สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ไดท้ รงพระราชนิพนธเ์ รื่อง "ทศ
บารมีในพุทธศาสนาเถรวาท" ได้ทรงกล่าวถึงหลักฐานทางพระพุทธศาสนาและแนวความคิด
เรือ่ งบารมเี ขา้ มาสปู่ ระเทศไทยในยุคตน้ ๆ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง "พระ
มหาชนก" ด้วยพระปรีชาสามารถอันย่ิงในการพรรณนาเป็นพระราชนิพนธ์ จากการที่ทรง
ศึกษาพระพุทธศาสนามาเป็นเวลายาวนานและมีพระราชหฤทัยแน่วแน่อันที่จะ ประยุกต์
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เพ่อื พัฒนาสังคมประเทศชาติ แสดงใหเ้ หน็ พระอัจฉรยิ ภาพ พระ
ปรีชาสามารถในด้านภาษาและพระวิริยะอุตสาหะในการศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนา โดย
แปลศพั ท์ แปลความหมายและถ่ายทอดจากประโยคที่ยากซับซ้อน ออกมาเปน็ ประโยคท่ีผู้อ่าน
สามารถเข้าใจและมคี ตเิ ตอื นใจนอกจากน้ียงั ทรงถ่ายทอดเปน็ ภาษาองั กฤษ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชหฤทัยท่ีจะทรงแสดง
ตัวอย่างของการบาเพ็ญธรรมและผลของการบาเพ็ญธรรม อันจะเป็นแบบอย่างให้คนท่ัวไปได้