มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
Mahachulalongkornrajavidyalaya University
หลกั สูตรพุทธศาสตรบณั ฑติ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า
หมวดวิชาแกนพระพุทธศาสนา รหสั ๐๐๐ ๑๔๕
วรรณคดบี าลี
Pali Literature
โครงการผลิตและพฒั นาเทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ การเรยี นร้พู ระพทุ ธศาสนา
สานักหอสมุดและเทคโนโลยสี ารสนเทศ และกองวิชาการ
๒
๐๐๐ ๑๔๕
วรรณคดีบาลี (Pali Literature)
ผแู้ ต่ง คณาจารย์มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บรรณาธิการ ไกรวุฒิ มะโนรตั น์
ศลิ ปะและรปู เล่ม เกษม แสงนนท์, ประเสรฐิ คํานวล
ฝา่ ยคอมพิวเตอรเ์ พอื่ การศกึ ษา ส่วนเทคโนโลยสี ารสนเทศ
ออกแบบปก ปสทิ ธิ์ บุตรบูรณเ์ ส่ง
รายละเอยี ดการผลติ ขนาดรูปเล่ม B5 (JIS)
พิมพ์ด้วยระบบดิจิตอล แบบ Print On Demand
พมิ พค์ รั้งที่ ๑ :
ลขิ สิทธ์ิ
ลขิ สทิ ธ์ขิ องมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย
หา้ มการลอกเลียนไมว่ า่ ส่วนใดๆ ของหนงั สือเล่มน้ี
นอกจากจะไดร้ ับอนญุ าตเปน็ ลายลักษณ์อกั ษรเทา่ นัน้
ข้อมลู ทางบรรณานกุ รม
คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั .
วรรณคดีบาลี.—กรงุ เทพฯ: มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๐.
ISBN:
จดั พมิ พโ์ ดย
กองวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย
วัดมหาธาตุ แขวงพระบรมมหาราชวงั เขตพระนคร กรุงเทพ ๑๐๒๐๐
โทร ๐-๒๖๒๓–๖๓๒๔, ๐-๒๒๒๑-๔๘๕๙ ต่อ ๑๐๗ โทรสาร ๐-๒๖๒๓-๙๖๐๘
พิมพท์ ี่
โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั
๑๑ – ๑๗ ถนนมหาราช เขตพระนคร กรงุ เทพฯ ๑๐๒๐๐
โทรศพั ท์ ๐-๒๒๒๑–๘๘๙๒, ๐-๒๒๒๔-๘๒๑๔, ๐-๒๖๒๓-๖๔๑๔ โทรสาร ๐-๒๖๒๓–๖๔๑๗
www.mcuprint.com, e-mail : [email protected]
๓
คานา
เอกสารเล่มนี้ ได้พฒั นาข้ึนตามโครงการผลติ และพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
เพื่อการเรยี นรูพ้ ระพุทธศาสนา ปงี บประมาณ พ .ศ.๒๕๕๑ ของสาํ นักหอสมุดและ
เทคโนโลยีสารสนเทศ รว่ มกบั กองวิชาการ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณร าชวทิ ยาลยั
โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (๑) เพ่ือพฒั นาเน้อื หารายวชิ าในหมวดวิชาศกึ ษาท่ัวไปและ
หมวดวชิ าแกนพระพทุ ธศาสนา หลักสูตรพทุ ธศาสตรบณั ฑติ ใหเ้ ป็นที่ยอมรับและใช้
ร่วมกันไดท้ กุ คณะ วิทยาเขต วทิ ยาลยั สงฆ์ หอ้ งเรียน หน่วยวิทยบริการ และสถาบนั
สมทบ (๒) เพื่อพฒั นารูปแบบเอกสารประกอบการสอน หนงั สือ ตาํ รา ให้มเี อกลกั ษณ์
รว่ มกัน ทง้ั มคี วามคงทน สวยงาม น่าสนใจตอ่ การศกึ ษาค้นคว้า (๓) เพอ่ื นาํ เน้อื หาสาระ
ไปพฒั นาสื่อการศกึ ษาและเผยแพรใ่ นรูปแบบต่างๆ ทง้ั สอ่ื สิ่งพมิ พ์ ส่ืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ และ
ระบบคลงั ข้อสอบ (๔) เพื่อเสริมสรา้ งทกั ษะคณาจารย์ในการสรา้ งผลงานทางวชิ าการ
อย่างมคี ุณภาพ รองรบั การประกันคุณภาพการศกึ ษาของมหาวิทยาลัย และเปน็ ทีย่ อมรบั
ท่วั ไปในประเทศและระดับสากล
วรรณคดบี าลี เป็นวชิ าหนง่ึ ในหมวดวชิ าแกนพระพทุ ธศาสนา ท่ีกําหนดใหศ้ กึ ษา
ประวัติ ความหมาย ประเภท และพัฒนาการของคัมภรี พ์ ระไตรปิฎก อรรถกถ า อนุฎีกา
โยชนา และปกรณ์วิเสส วรรณกรรมบาลใี นประเทศไทย และคุณค่าของวรรณกรรมบาลี
ตอ่ สงั คมไทย ซ่งึ มรี ายละเอยี ดที่คณะผเู้ ขยี นได้นําเสนอไว้แลว้ ในบทต่างๆ
คณะผเู้ ขียนหวังวา่ เอกสารเล่มนีจ้ ะยังประโยชนต์ า่ งๆ ให้เกิดขน้ึ กบั ผู้เกีย่ วขอ้ ง
ตามวตั ถุประสงค์ของโครงการพอสมควร จึงขอขอบคุณทกุ ทา่ นท่ีไดม้ ีสว่ นร่วมทาํ เอกสาร
เล่มนีใ้ หส้ ําเรจ็ สมบูรณ์เป็นรปู เลม่ อน่งึ หากมขี ้อบกพรอ่ งผดิ พลาดประการใดเกดิ ขึ้นใน
สว่ นตา่ งๆ ของเอกสาร ตอ้ งขออภัยมา ณ โอกาสน้ีด้วย
คณะกรรมการพฒั นาเน้ือหารายวิชา
๔
โครงการผลติ และพัฒนาเทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื การเรยี นรพู้ ระพุทธศาสนา
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย ปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๑
คณะกรรมการดาเนินโครงการ คณะกรรมการผลิตและบริหารรายวชิ า
ทปี่ รกึ ษา “วรรณคดบี าล”ี
พระธรรมโกศาจารย์ ประธานกรรมการ
ประธานกรรมการ
พระศรีวสิ ุทธิคณุ
พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ
รองประธาน รองประธานกรรมการ
พระมหาเจมิ สุวโจ ผศ.โสวทิ ย์ บํารงุ ภักดิ์
กรรมการ
บรรณาธกิ าร
พระครบู วรสิกขการ
พระมหาวรชัย ตสิ ฺสเทโว นายไกรวฒุ ิ มะโนรัตน์
พระมหาสหัส ฐิตสาโร
พระมหาประยรู ธรี วํโส กรรมการ
พระครปู ริยตั ิกติ ตธิ ํารง
พระมหาสทุ ศั น์ ติสฺสรวาที พระมหาโกมล กมโล
พระเทวา รตนโชโต
พระมหาชํานาญ มหาชาโน พระมหาไพโรจน์ กนโก
พระมหาศรี ปญฺญาสริ ิ
พระมหาบุญมา ฐิตธมฺโม นายเสรมิ ศลิ ป์ สภุ เมธสี กลุ
พระมหาสาธิต สาธโิ ต
นายสุทน ติสันเทยี ะ
นายบญุ ส่ง ธรรมศิวานนท์
นายวัฒนะ กลั ยาณพ์ ฒั นกุล
นายประเพียร ภลู าด
นายบญุ ส่ง ธนะจนั ทร์
เลขานุการ
นายคําพันธ์ วงศเ์ สน่ห์ นายอภริ มย์ สีดาคํา
นายธนาชัย บรู ณะวฒั นากลู ผรู้ ว่ มผลิต
นายรัฐพล เยน็ ใจมา รองศาสตราจารย์ชษุ ณะ รุ่งปัจฉิม
นายประสทิ ธ์ิ กลอ่ กระโทก นายนิทศั น์ วีระโพธปิ์ ระสทิ ธ์ิ
เลขานกุ ารและผูช้ ว่ ย ผศ.ทวีศักดิ์ ทองทิพย์
นางสาวพลอย ธรรมา
พระมหาศรที นต์ สมจาโร
พระมหาวรี ะพงษ์ วรี วํโส
พระสงดั ชยาภินนโฺ ท
นายเกษม แสงนนท์
นายกติ ติศกั ดิ์ ณ สงขลา
นายประเสริฐ คาํ นวล
นายวิชิต มงคลวีระขจร
นางสาวอโนทัย บญุ ทนั
สารบัญ ๕
บทที่ ๑ ความรู้เบอื้ งตน้ เกีย่ วกบั วรรณคดีบาลี ๑
๑.๑ ความนาํ ๒
๑.๒ ความหมายของวรรณคดีบาลี ๒
๓
๑.๒.๑ ความหมายตามหลกั วชิ าการฝา่ ยบาลี ๔
๑.๒.๒ ความหมายตามหลักวิชาการของอนิ เดยี ๗
๑.๓ ลักษณะของวรรณคดีบาลี ๙ ๑.๓
๑.๓.๑ นักปราชญ์ และกวภี าษาบาลี ๑๔
๑.๔ ประเภทของวรรณคดี ๑๔
๑.๔.๑ ประเภทของบทประพนั ธ์ ๑๗
๑.๔.๒ ประเภทของหลกั คําสอน ๑๘
สรปุ ท้ายบท ๒๐
คาํ ถามทา้ ยบท ๒๑
เอกสารอา้ งองิ ประจําบท
๒๒
บทที่ ๒ พระไตรปิฎก
๒๓
๒.๑ ความนาํ ๒๓
๒.๒ ความหมายของพระไตรปฎิ ก ๒๓
๒.๓ ความสําคัญของพระไตรปฎิ ก ๒๕
๒.๔ สาระสําคัญของพระไตรปฎิ ก ๒๗
๒.๕ กําเนดิ และพัฒนาการของพระไตรปฎิ ก ๔๑
สรุปทา้ ยบท ๔๒
คาํ ถามท้ายบท ๔๓
เอกสารอ้างองิ ประจาํ บท
๔๖
บทที่ ๓ อรรถกถา
๓.๑ ความนํา ๖
๓.๒ ความหมายของอรรถกถา
๓.๓ ประเภทของอรรถกถา ๔๖
๓.๔ ความสาํ คญั ของอรรถกถา ๔๖
๓.๕ กาํ เนิดและพฒั นาการของอรรถกถา ๔๗
สรุปทา้ ยบท ๕๙
คําถามทา้ ยบท ๖๑
เอกสารอ้างองิ ประจําบท ๖๕
๖๗
บทท่ี ๔ ฎีกา อนฎุ กี า และโยชนา ๖๘
๔.๑ ความนาํ ๗๐
๔.๒ ความหมายของฎีกา อนุฎกี า และโยชนา
๔.๓ ความสําคญั ของฎกี า อนฎุ ีกา และโยชนา ๗๑
๔.๔ ประเภทของฎีกา อนุฎีกา และโยชนา ๗๒
๔.๕ กาํ เนิดและพฒั นาการของฎกี า อนุฎีกา และโยชนา ๗๕
สรุปทา้ ยบท ๗๙
คําถามทา้ ยบท ๘๗
เอกสารอ้างองิ ประจําบท ๙๐
๙๒
บทท่ี ๕ ปกรณ์วิเสส ๙๓
๕.๑ ความนาํ ๙๔
๕.๒ ความหมายของปกรณว์ ิเสส
๕.๓ ความสําคญั ของปกรณ์วิเสส ๙๕
๕.๔ ประเภทของปกรณว์ ิเสส ๙๘
๕.๕ กําเนดิ และพฒั นาการของปกรณ์วเิ สส ๙๘
สรุปทา้ ยบท ๑๐๐
คาํ ถามทา้ ยบท ๑๐๒
เอกสารอ้างอิงประจําบท ๑๑๔
๑๑๙
๑๒๐
บทท่ี ๖ วรรณกรรมบาลใี นประเทศไทย ๗
๖.๑ ความนาํ ๑๒๑
๖.๒ วรรณกรรมบาลีกอ่ นยุคสโุ ขทยั
๖.๓ วรรณกรรมบาลียคุ สโุ ขทยั ๑๒๒
๖.๔ วรรณกรรมบาลียคุ ล้านนา ๑๒๖
๖.๕ วรรณกรรมบาลยี ุคอยุธยา ๑๒๘
๖.๖ วรรณกรรมบาลยี ุครัตนโกสินทร์ ๑๓๑
สรปุ ทา้ ยบท ๑๔๐
คาํ ถามทา้ ยบท ๑๔๑
เอกสารอา้ งอิงประจาํ บท ๑๔๕
๑๔๖
บทท่ี ๗ คุณคา่ ของวรรณกรรมบาลตี ่อสงั คมไทย ๑๔๗
๗.๑ ความนาํ ๑๔๙
๗.๒ คุณคา่ ด้านหลกั คาํ สอน
๗.๓ คุณค่าด้านประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ๑๕๐
๗.๔ คุณค่าดา้ นภาษาไทย ๑๕๐
๗.๕ คณุ คา่ ด้านวรรณกรรมไทย ๑๖๐
๗.๖ คณุ คา่ ด้านศิลปะและวัฒนธรรมไทย ๑๖๒
๗.๗ คุณค่าด้านคติความเชือ่ ของสังคมไทย ๑๖๔
สรปุ ท้ายบท ๑๖๗
คําถามท้ายบท ๑๖๘
เอกสารอา้ งอิงประจาํ บท ๑๖๙
๑๗๑
บรรณานกุ รม ๑๗๒
ภาคผนวก : ประมวลรายวิชาและแผนการสอน
แนะนําคณะกรรมการผู้พัฒนาเน้อื หารายวิชา ๑๗๔
๑๗๘
ประมวลรายวชิ า (Course Syllabus) ๑๘๓
๘
๑. หลักสตู ร พทุ ธศาสตรบัณฑติ
๒. หมวดวิชา
๓. รหัสวชิ า แกนพระพุทธศาสนา
๔. ชอ่ื วชิ า
๐๐๐ ๑๔๕ หน่วยกิต ๒ (๒-๐-๔)
วรรณคดีบาลี (Pali Literature)
๕. คาอธิบายรายวิชา
ศกึ ษาประวตั ิ ความหมาย ประเภท และพฒั นาก ารของคัมภีรพ์ ระไตรปิฎก อรรถ -กถา อนุ
ฎกี า โยชนาและปกรณ์วิเสส วรรณกรรมบาลใี นประเทศไทยและคณุ คา่ ของวรรณกรรมบาลีต่อ
สังคมไทย
๖. วัตถุประสงค์รายวชิ า
๖.๑ เพือ่ ให้นสิ ิตเขา้ ใจประวัตแิ ละพฒั นาการของวรรณคดบี าลี
๖.๒ เพื่อใหน้ สิ ิตร้แู ละเข้าใจวรรณกรรมบาลใี นประเทศไทย
๖.๓ เพื่อใหน้ สิ ิตมเี จตคติทดี่ ีต่อคุณคา่ ของวรรณคดบี าลแี ละช่วยกนั อนรุ กั ษ์ไว้
๗. ขอบขา่ ยรายวิชา
๗.๑ ความร้เู บอ้ื งตน้ เกีย่ วกบั วรรณคดบี าลี
๗.๒ พระไตรปฎิ ก
๗.๓ อรรถกถา
๗.๔ ฎีกา อนุฎีกา และโยชนา
๗.๕ ปกรณ์วิเสส
๗.๖ วรรณกรรมบาลใี นประเทศไทย
๗.๗ คุณคา่ ของวรรณกรรมบาลีต่อสังคมไทย
๘. กจิ กรรมการเรยี นการสอน
การบรรยาย การอภิปราย การศกึ ษาคน้ คว้ารายบุคคลหรอื กลุ่ม นาํ เสนอหน้าชัน้ การใช้ส่อื
ประกอบการสอน
๙
๙. สือ่ การศึกษา และการใช้สอ่ื
เอกสารประกอบการสอน หนงั สอื อา่ นประกอบ สไลดป์ ระกอบการสอน
ประกอบการสอน
๑๐. การประเมินผล ร้อยละ ๑๐
รอ้ ยละ ๑๐
จติ พสิ ัย (ความตง้ั ใจ ร่วมมอื มารยาท มนุษยสมั พันธ์ ซอ่ื สตั ย์ รบั ผิดชอบ) รอ้ ยละ ๒๐
พทุ ธิพิสยั (ความรู้ ความเข้าใจ การประยกุ ตใ์ ช้ เอกสาร รายงาน สอบกลางภาค) รอ้ ยละ ๖๐
ทกั ษะพิสัย (ความพรอ้ ม ความเชี่ยวชาญในการนําเสนอหรือแสดงออกในวิชาการ)
สอบปลายภาค รอ้ ยละ ๑๐๐
รวม
๑๑. เกณฑก์ ารประเมินผลและระดับคะแนน
เกณฑ์คะแนน ความหมาย ระดับ ค่าระดบั
๙๐ ข้ึนไป ดเี ยี่ยม A ๔.๐
B+ ๓.๕
๘๕-๘๙ ดมี าก B ๓.๐
C+ ๒.๕
๘๐-๘๔ ดี C ๒.๐
D+ ๑.๕
๗๕-๗๙ คอ่ นขา้ งดี D ๑.๐
F ๐
๗๐-๗๔ พอใช้
๖๕-๖๙ คอ่ นขา้ งพอใช้
๖๐-๖๔ อ่อน
ตํากวา่ ๖๐ ตก
๑๒. เอกสารอ่านประกอบ และแหลง่ เรียนรู้
ไกรวฒุ ิ มะโนรตั น.์ วรรณคดบี าลี ๑. กรุงเทพฯ : จริญสนทิ วงศก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๔๙
ฉลาด บญุ ลอย. ประวตั วิ รรณคดตี อนที่ ๑-๒. พระนคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย, ๒๕๐๕.
บาลไี วยากรณ.์ พระนคร : โรงพิมพป์ ระยูรวงศ,์ ๒๕๐๔.
พัฒน์ เพง็ ผลา. ประวัติวรรณคดีบาล.ี กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั รามคําแหง.
๒๕๑๗.
สุภาพรรณ ณ บางชา้ ง. ประวัตวิ รรณคดบี าลใี นอินเดยี และลงั กา. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์
จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, 2526.
เสนาะ ผดงุ ฉัตร. ความรูเ้ บ้อื งตน้ เก่ียวกับวรรณคดบี าล.ี กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลง
กรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๒.
๑๓. แผนการสอน
สัปดาหท์ ี่ เน้อื หา ๑๐
๑-๒
บทท๑ี่ ความรูเ้ บ้ืองต้นเกี่ยวกับวรรณคดีบาลี กิจกรรม
๓-๔ - แนะนํารายวชิ า
๕ ๑.๑ ความนาํ และแผนการสอน
๑.๒ ความหมายของวรรณคดบี าลี - แนะนํา วัตถปุ ระสงค์
๖-๗ ประจําบท
๑.๒.๑ ตามหลักวิชาการฝ่ายบาลี - การบรรยาย
๑.๒.๒ ตามหลกั วิชาการของอินเดีย ประกอบสอ่ื
๑.๓ ลักษณะของวรรณคดบี าลี - ถามตอบ
๑.๓.๑ นกั ปราชญ์ และกวีภาษาบาลี - กิจกรรมประจาํ
๑.๓.๒ ทศั นะต่างๆ ในวรรณคดบี าลี สปั ดาห์
๑.๔ ประเภทของวรรณคดบี าลี
๑.๔.๑ ประเภทของบทประพันธ์ - การบรรยาย
๑.๔.๒ ประเภทของหลักคําสอน ประกอบสือ่
สรปุ ท้ายบท - ถามตอบ
บทที่๒ พระไตรปิฎก - กจิ กรรมประจาํ
สปั ดาห์
๒.๑ ความนาํ - คาํ ถามทา้ ยบท
๒.๒ ความหมายของพระไตรปฎิ ก
๒.๓ ความสําคัญของพระไตรปิฎก - การบรรยาย
๒.๔ สาระสาํ คัญของพระไตรปฎิ ก ประกอบสอื่
๒.๕ กําเนิดและพฒั นาการของพระไตรปฎิ ก - ถามตอบ
สรปุ ทา้ ยบท - กจิ กรรมประจํา
บทท่ี๓ อรรถกถา สปั ดาห์
๓.๑ ความนํา - การบรรยาย
๓.๒ ความหมายของอรรถกถา ประกอบสื่อ
๓.๓ ประเภทของอรรถกถา - ถามตอบ
๓.๔ ความสําคญั ของอรรถกถา - กิจกรรมประจาํ
๓.๕ กาํ เนดิ และพัฒนาการของอรรถกถา สปั ดาห์
สรุปทา้ ยบท
บทที่๔ ฎกี า อนฎุ กี า และโยชนา
๔.๑ ความนาํ
๔.๒ ความหมายของฎกี า อนฎุ กี าและโยชนา
๔.๓ ความสําคัญของฎีกา อนุฎกี าและโยชนา
๔.๔ ประเภทของฎีกา อนฎุ ีกาและโยชนา
๔.๕ กําเนดิ และพฒั นาการของฎีกา อนฎุ ีกา
๑๑
สปั ดาหท์ ่ี เนือ้ หา กจิ กรรม
๘
และโยชนา - การบรรยาย
๙ สรปุ ท้ายบท ประกอบส่อื
๑๐ - ๑๒ บทที่๕ ปกรณ์วิเสส - ถามตอบ
- กิจกรรมประจาํ
๑๓ - ๑๔ ๕.๑ ความนาํ สปั ดาห์
๕.๒ ความหมายของปกรณว์ ิเสส
๑๕ ๕.๓ ความสาํ คัญของปกรณ์วเิ สส นิสติ สอบกลางภาค
๕.๔ ประเภทของปกรณว์ เิ สส - การบรรยาย
๕.๕ กําเนิดและพฒั นาการของปกรณว์ ิเสส ประกอบสื่อ
สรปุ ท้ายบท - ถามตอบ
- กจิ กรรมประจํา
สอบวัดผลกลางภาค สปั ดาห์
บทที่๖ วรรณกรรมบาลใี นประเทศไทย
- การบรรยาย
๖.๑ ความนาํ ประกอบสือ่
๖.๒ วรรณกรรมบาลกี อ่ นยคุ สโุ ขทัย - ถามตอบ
๖.๓ วรรณกรรมบาลสี มัยสโุ ขทัย - กิจกรรมประจาํ
๖.๔ วรรณกรรมบาลีสมยั ล้านนา สัปดาห์
๖.๕ วรรณกรรมบาลสี มยั อยธุ ยา
๖.๖ วรรณกรรมบาลสี มัยรัตนโกสินทร์ นสิ ติ สอบกลางภาค
สรปุ ท้ายบท
บทท๗ี่ คุณคา่ ของวรรณกรรมบาลีตอ่ สังคมไทย
๗.๑ ความนํา
๗.๒ คุณคา่ ดา้ นหลกั คาํ สอน
๗.๓ คณุ คา่ ด้านประวตั ิศาสตร์
พระพุทธศาสนา
๗.๔ คุณคา่ ดา้ นภาษาไทย
๗.๕ คุณคา่ ดา้ นวรรณกรรมไทย
๗.๖ คุณคา่ ดา้ นศิลปวฒั นธรรมไทย
๗.๗ คุณค่าดา้ นคตคิ วามเช่ือของสงั คมไทย
สรุปทา้ ยบท
สอบปลายภาค
แนะนาคณะกรรมการผพู้ ฒั นาเนอ้ื หารายวชิ า
๑๒
“วรรณคดบี าล”ี
พระศรวี ิสุทธคิ ุณ
ป.ธ.๙, ปว.ค. (มสธ.), พธ.บ., อ.ม. (บาลี สันสกฤต)
มจร. วิทยาเขตสรุ ินทร์ โทร. ๐๘๑ - ๔๗๐๕๐๑๒ e-mail – [email protected]
บทที่ ๑ ความร้เู บอื้ งต้นเกย่ี วกับวรรณคดบี าลี
อาจารยไ์ กรวฒุ ิ มะโนรตั น์
ป.ธ.๙, พธ.บ. (การบรหิ ารรัฐกิจ), อ.ม., (ศาสนาเปรียบเทยี บ)
มจร. คณะพทุ ธศาสตร์ โทร. ๐๘๑ – ๙๗๒๖๓๙๖ [email protected]
บทที่ ๑ ความรู้เบื้องต้นเกย่ี วกับวรรณคดบี าลี และ บทที่ ๓ อรรถกถา
พระมหาไพโรจน์ กนโก
ป.ธ.๖, ศษ.บ. (ภาษาไทย) ,พธ.บ., (การบรหิ ารการศึกษา), ค.ม. (การบริหารการศึกษา)
มจร. วทิ ยาเขตนครราชสีมา โทร. ๐๘๙ - ๒๘๒๓๔๐๒
บทท่ี ๒ พระไตรปฎิ ก
อาจารย์วฒั นะ กัลยาณ์พฒั นกุล
ป.ธ.๙, กศ.ม. (การบรหิ ารการศกึ ษา)
มจร. วิทยาลัยสงฆน์ ครสวรรค์ โทร. ๐๘๙ - ๗๐๗๙๐๖๔
e–mail [email protected]
บทท่ี ๒ พระไตรปฎิ ก
อาจารยส์ ทุ น ตสิ ันเทยี ะ
ป.ธ.๘, พธ.บ, (ภาษาอังกฤษ) , M.A. (วรรณคดอี งั กฤษ)
มจร. วทิ ยาเขตอบุ ลราชธานี โทร. ๐๘๕ - ๔๙๘๗๐๔๕
บทท่ี ๓ อรรถกถา
พระมหาโกมล กมโล
ป.ธ.๘, พธ.บ, (บาลีพทุ ธศาสตร)์ , ศศ.ม. (สันสกฤต)
มจร. วทิ ยาเขตบาฬศี กึ ษาพุทธโฆส นครปฐม โทร. ๐๘๗ - ๐๖๗๙๑๘๔
บทท่ี ๔ ฎกี า อนฎุ ีกา และโยชนา
๑๓
อาจารย์บุญส่ง ธนะจันทร์
ป.ธ.๕, พ.กศ., B.A. (Palyachary), M.A. (A.I&A.S)
มจร. คณะครศุ าสตร์ โทร. ๐๘๙ - ๕๑๒๖๓๒๗
บทท่ี ๔ ฎีกา อนุฎกี า และโยชนา
ผศ.โสวทิ ย์ บารุงภักด์ิ
ป.ธ.๗, พ.ม., พธ.บ., M.A.
มจร. วทิ ยาเขตขอนแก่น โทร. ๐๘๙ - ๖๒๐๙๕๔๗
บทที่ ๕ ปกรณว์ ิเสส และ บทท่ี ๗ คณุ คา่ ของวรรณกรรมบาลีตอ่ สังคมไทย
อาจารยป์ ระเพยี ร ภลู าด
ป.ธ.๔, พธ.บ.
มจร. วิทยาเขตหนองคาย โทร. ๐๔๒ - ๔๒๑๓๒๘
บทที่ ๕ ปกรณ์วเิ สส
อาจารยเ์ สรมิ ศลิ ป์ สภุ เมธีกุล
ป.ธ.๔, พ.กศ., พ.ม., คบ., (การบริหารการศกึ ษา) กศ.ม. (จติ วิทยาการแนะแนว)
มจร. วิทยาเขตแพร่ โทร. ๐๕๔ - ๕๒๒๒๗๕, ๐๕๔ - ๖๔๖๕๘๕, ๐๘๖ - ๙๑๑๐๐๒๗
บทที่ ๖ วรรณกรรมบาลีในประเทศไทย
อาจารยอ์ ภิรมย์ สดี าคา
น.ธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., M.A. (Sociology)
มจร. วิทยาเขตเชยี งใหม่ โทร. ๐๘๖ - ๑๙๕๒๗๕๑ e – mail
[email protected]
บทที่ ๖ วรรณกรรมบาลีในประเทศไทย
อาจารยบ์ ุญส่ง ธรรมศิวานนท์
น.ธ.เอก, ป.ธ.๔, พ.กศ., คบ., (การบรหิ ารการศึกษา) กศ.ม. (การบรหิ ารการศกึ ษา)
มจร. วทิ ยาลัยสงฆพ์ ุทธชินราช จังหวัดพษิ ณโุ ลก โทร. ๐๘๙ - ๘๖๐๖๐๕๑
บทที่ ๗ คุณคา่ ของวรรณกรรมบาลตี ่อสังคมไทย
บรรณานกุ รม
๑๔
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปฎิ กภาษาบาลอี ักษรไทย ฉบับมหาจุฬา
เตปิฏก. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๐๐.
กรมศิลปกร. ตานานพระแกว้ มรกต. พระนคร : โรงพมิ พ์พระจันทร์, ๒๕๑๙.
ไกรวุฒิ มะโนรตั น์. วรรณคดีบาลี ๑. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพจ์ รญั สนิทวงศ์การพมิ พ์
, ๒๕๔๙.
จําเนยี ร แก้วกู่. หลกั วรรณคดีบาลีวิจารณ์. กรุงเทพมหานคร : สํานกั พิมพโ์ อเดียนส
โตร,์ ๒๕๓๙.
จํารญู ธรรมดา. เนตตฏิ ปิ ปนี. กรงุ เทพมหานค : โรงพิมพ์ หจก.ไทยรายวันการพิมพ์
,๒๕๔๖.
จิรภทั ร แก้วกู่. วรรณคดบี าลี. เอกสารคาํ สอน. ๒๕๔๒. (อัดสาํ เนา)
________. วรรณคดบี าลี : คัมภีร์ปกรณ์วเิ สสภาษาบาลี. เอกสารตาํ รา.
________. หลักวรรณคดีวิจารณ์. กรงุ เทพมหานคร : โอเด้ยี นสโตร์,๒๕๓๙.
ทรงวทิ ย์ แก้วศรี. คัมภรี ์พระพุทธศาสนา. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณ
ราชวิทยาลัย,๒๕๓๖.
บรรจบ บรรณรจุ ิ. “ผลงานงานของพระพุทธโฆสะและพระเถราจารย์รว่ มสมยั : ศึกษา
เฉพาะกรณีท่ศี ึกษาในเมอื งไทย”, รวมบทความทางวิชาการพระพทุ ธศาสนา.
กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ,๒๕๔๐.
ปรมานชุ ติ ชิโนรส, สมเดจ็ กรมพระ. พระปฐมสมโพธิกถา. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์
หจก. รงุ่ เรืองสาส์นการพิมพ์, ๒๕๓๖.
ประภาศรี สีหอาํ ไพ . วฒั นธรรมทางภาษา. กรุเทพมหานคร : โรงพมิ พจ์ ุฬาลงกรณ
มหาวทิ ยาลัย. ๒๕๓๔.
ประมวล เพ็งจันทร์, ชชั วาล ปนุ ปัน. สังขยาปกรณ์และสงั ขยาปกาสกฎีกา.
มหาวทิ ยาลยั เที่ยงคนื , มหาวิทยาลยั เชียงใหม่, ๒๕๔๓.
ปรชี า ทิชนิ พงษ์ . บาล-ี สันสกฤตทีเ่ กยี่ วกับภาษาไทย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์
โอ.เอส. พร้นิ ตงิ้ เฮาส์, ๒๕๓๔.
เปลื้อง ณ นคร. ประวตั ิวรรณคดีไทย. กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานชิ , ๒๕๔๕.
พรพรรณ ธารานมุ าศ. วรรณคดที ีเ่ ก่ยี วกับพระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : มหา
๑๕
มกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๔๒.
พระตปิ ฎิ กจูฬาภยเถระ. มิลินทปญั หาปกรณ์. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพว์ ิญญาณ,
๒๕๔๐.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต). พจนานกุ รมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศพั ท์. พมิ พ์คร้งั ท่ี
๑๐. กรงุ เทพมหานคร : พมิ พท์ ี่ บริษทั เอส . อาร.์ พรนิ้ ติ้ง แมส โปรดกั ส์ จํากั ด,
๒๕๔๖.
________. พระไตรปฎิ ก : สง่ิ ทชี่ าวพุทธควรรู้. กรงุ เทพมหานคร : พิมพท์ ี่ บรษิ ทั เอส.
อาร.์ พริน้ ต้งิ แมสโปรดักส์ จํากดั , ๒๕๔๗.
________. รู้จกั พระไตรปฎิ กเพื่อเปน็ ชาวพทุ ธทีแ่ ท้. พิมพ์ครงั้ ๒. กรุงเทพมหานคร
: พมิ พ์ท่ี เอดสิ นั เพรส์ โปรดักส์, ๒๕๔๓.
พระมหามงั คลเถระ. พทุ ธโฆสนิทาน. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พพ์ ระจันทร์. ๒๔๗๐.
พระมหาสงั เวย ธมมฺ เนตฺตโิ ก. ความอัศจรรย์ในพระธรรมวนิ ยั . กรุงเทพมหานคร :
สาํ นกั พมิ พป์ ระดพิ ทั ธ์, ๒๕๓๖.
พระมหาอดิศร ถริ สีโล. ประวัติคมั ภีร์บาลี. กรงุ เทพมหานคร : มหามกุฏราชวทิ ยาลัย,
๒๕๔๓.
พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยรู ธมฺมจติ โฺ ต). “ความเปน็ มาของพระไตรปิฎก” ใน;
พระไตรปฎิ ก : ประวัติและความสาคัญ. กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณ-
ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕.
พระเมธรี ตั นดลิ ก.(จรรยา ชินวํโส). “ประวตั กิ ารสงั คายนาพระไตรปฎิ ก” ใน;
พระไตรปิฎก : ประวตั แิ ละความสาคัญ.กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจฬุ า
ลงกรณราชวทิ ยาลยั ,๒๕๓๕.
พระรัตนปญั ญาเถระ. ชินกาลมาลีปกรณ์. กรงุ เทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราช
วทิ ยาลัย, ๒๕๔๐.
พระราชกวี (เกษม สญฺ โต). พระไตรปฎิ กวจิ ารณ์. (กรุงเทพมหานคร) : บรษิ ัท
คอมแพคทพ์ ริน้ ท์ จาํ กดั , ๒๕๔๓.
พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ต าโณ). ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. พิมพ์ครั้งที่
๓. กรงุ เทพมหานคร : มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๖.
๑๖
พระวิสุทธาจารมหาเถระ. ธาตวัตถสงั คหปาฐนสิ สยะ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหา
จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕.
พระสริ มิ งั คลาจารย์. จกั รวาลทปี นี. กรงุ เทพมหานคร : พมิ พท์ ่ี หจก . เซ็นทรัลเอ็กซ์
เพรสศึกษาการพิมพ์, ๒๕๒๓.
พระอมรมุนี (จบั ตธมฺโม). นาเทย่ี วพระไตรปฎิ ก. พิมพ์คร้ังท่ี ๗. กรงุ เทพมหานคร :
โรงพมิ พ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
พระอัคควงั สเถระ. สัททนตี ิ ธาตมุ าลา. ตรวจชําระ โดยพระธรรมโมลี (สมศกั ดิ์ อุปสโม)
แปลโดย พระมหานิมติ ธมฺมสาโร และนายจาํ รญู ธรรมดา. กรงุ เทพมหานคร :
โรงพมิ พ์ หจก.ไทยรายวันการพมิ พ์, ๒๕๔๖
พระอุดรคณาธกิ าร (ชวินทร์ สระคาํ ). ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย. พิมพ์
คร้ังที่ ๒ กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๔.
________.ประวัตศิ าสตรพ์ ทุ ธศาสนาในอนิ เดีย.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจฬุ า
ลงกรณราชวิทยาลยั ,๒๕๓๔.
พฑิ ูรย์ มะลวิ ัลย์ และไสว มาลาทอง . ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธสาสนา, พมิ พค์ ร้งั ที่ ๒.
กรงุ เทพเทพมหานคร : โรงพมิ พก์ ารศาสนา,๒๕๓๓.
มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . วนิ ยสงคฺ หฏฺ กถา. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์วิญญาณ
, ๒๕๔๐.
มหามกุฎราชวิทยาลัย. ธมมฺ ปทฏฺ กถา (ป โม ภาโค). กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์
มหามกฏุ ราชวิทยาลั,๒๕๔๗.
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . งานวิจัยและวรรณกรรมทาง
พระพุทธศาสนา. กรงุ เทพมหานคร : วรสาสน์การพิมพ์, ๒๕๕๑.
สมเดจ็ พระวันรตั น์, (ในรัชกาลที่ ๑). สงั คตี ิวงศ์. แปลโดย พระยาปรยิ ัติธรรมธาดา
(แพ ตาลลกั ษณ์). กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พศ์ ิวพร, ๒๕๒๑.
สนทิ ต้งั ทวี. วรรณคดีและวรรณกรรมศาสนา. กรงุ เทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พโ์ อเดียน
สโตร,์ ๒๕๒๗.
สมเดจ็ พระวนรัตน์ วดั พระเชตุพน ในรัชกาลท่ี ๑, สังคตี ิวงศ์. แปลโดย พระยาปรยิ ัติ
ธรรมธาดา (แพ ตาลลกั ษณ). กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ศวิ พร, ๒๕๒๑.
สริ ิวฒั น์ คําวันสา . ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒.
๑๗
กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์บรษิ ัทสหธรรมิก จาํ กดั , ๒๕๔๑.
สชุ พี ปญุ ญานภุ าพ.พระไตรปิฎกฉบบั ประชาชน.กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ
ราชวิทยาลยั ,๒๕๓๖.
สุภาพรรณ ณ บางช้าง. ไวยากรณบ์ าลี. กรุงเทมหานคร : โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลยั
รามคําแหง, ๒๕๓๘.
สภุ าพร มากแจ้ง. ภาษาบาล-ี สันสกฤตในภาษาไทย. พิมพ์ครัง้ ที่ ๒. กรุงเทพมหานคร
: สํานกั พิมพโ์ อเดยี นสโตร์, ๒๕๓๕.
________.ววิ ฒั นาการงานเขยี นภาษาบาลีในประเทศไทย : จารกึ ตานาน
พงศาวดาร สาสน์ ประกาศ. กรุงเทพมหานคร : มหามกฏุ ราชวิทยาลยั ,
๒๕๒๙.
________. ประวตั วิ รรณคดบี าลีในอนิ เดยี และลงั กา. กรงุ เทพมหานคร : สํานักพิมพ์
จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๒๖.
เสถียร โพธินนั ทะ. ประวัตศิ าสตร์พระพุทธศาสนา. พิมพ์ครั้งท่ี ๓ กรุงเทพมหานคร :
ห้างหุ้นส่วนจาํ กัด สอื่ การคา้ (แผนกการพมิ พ์), ๒๕๒๒.
________. ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนา. พิมพ์ครง้ั ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : มหา
มกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐.
________. ประวตั ิศาสตร์พระพทุ ธศาสนาฉบับมขุ ปาฐะภาค ๒. กรงุ เทพมหานคร :
มหามกฎุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
เสถยี รโกเศส. นิรกุ ติศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร : คลงั วทิ ยา. ๒๕๒๒.
เสฐยี รพงษ์ วรรณปก. “วธิ ศี ึกษาคน้ คว้าพระไตรปฎิ ก” ใน ; เกบ็ เพชรจากคมั ภีร์
พระไตรปิฎก. กรุงเทพมหาคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๒.
________. คาอธิบายพระไตรปฎิ ก. กรงุ เทพมหานคร : หอรัตนชยั การพมิ พ์, ๒๕๔๐.
แสง มนวทิ รู (ผแู้ ปล). ชินกาลมาลีปกรณ์. พิมพค์ รง้ั ท่ี ๒ กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐.
Natavarlal Joshi. Poetry, Creative and Aesthetic Experience. (Sanskrit Poetics
and Literature Criticism). Eastern Book Linkers. New Delhi : India, 1994.
Wilhem Geiger. Pali Literature and Language. 3rd Reprinted. Oriental Books
Reprint Corporation, New Delhi : India, 1978.
๑๘
บทท่ี ๑
ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกี่ยวกับวรรณคดบี าลี
พระศรวี สิ ทุ ธิคณุ
ผศ. ไกรวฒุ ิ มะโนรตั น์
วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนประจาบท
เมือ่ ได้ศกึ ษาเนอ้ื หาในบทนีแ้ ลว้ นิสิตสามารถ
๑. บอกความหมายของวรรณคดีบาลีได้
๒. อธบิ ายลักษณะของวรรณคดบี าลไี ด้
๓. จาํ แนกประเภทของวรรณคดีบาลีได้
ขอบข่ายเนอื้ หา
ความนาํ
ความหมายของวรรณคดบี าลี
ลกั ษณะของวรรณคดีบาลี
ประเภทของวรรณคดีบาลี
๑๙
๑.๑ ความนา
วรรณคดีบาลีทจ่ี ะกล่าวถึงต่อไปน้ี หมายถึง พร ะไตรปฎิ ก อรรถกถา ฎกี า อนฎุ กี า
โยชนา และปกรณ์วเิ สส รวมถงึ วรรณกรรมพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทอน่ื ๆ ท่ีเขยี น
ดว้ ยภาษาบาลที พ่ี ระมหาเถระทงั้ หลายมีพระมหากัสสปเถระ เปน็ ต้น ได้ยกพระธรรมและ
พระวนิ ัยอนั เป็นพุทธวจนะดง้ั เดมิ สู่ “มหาสงั คตี ิ” แลว้ ทรงจําถา่ ยทอดสืบต่อกนั มาด้วยวิธี
มขุ ปาฐะ คอื ท่องจําปากเปลา่ และไดจ้ ารจารกึ เปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษรลงบนใบลานเป็นครงั้
แรกดว้ ย “อักษรสงิ หล” เม่ือคราวสงั คายนาครั้งที่ ๕ ประมาณปี พ.ศ.๔๓๓ ณ ประเทศศรี
ลงั กา ในรัชสมยั ของพระเจา้ วัฏฏคามิณอี ภัย ๑ จากน้นั ประเทศทีน่ บั ถอื พุทธศาสนานกิ าย
เถรวาทกไ็ ด้คดั ลอกเปน็ อกั ษรแห่งชาตขิ องตนสืบตอ่ กันมา แม้ประเทศไทยก็ไดบ้ นั ทึก
วรรณคดีบาลีดังกลา่ วเป็นอกั ษรไทย โดยเนอ้ื หาสาระในบทนี้ จะกลา่ วถึงความหมาย
ลักษณะและประเภทของวรรณคดบี าลีตอ่ ไป
๑.๒ ความหมายของวรรณคดีบาล๒ี
คาํ วา่ “วรรณคดี” ในภาษาไทย เป็นคําทคี่ นไทยบัญญตั ิข้นึ โดยเทยี บเคยี งรูปศัพท์
“วรณฺ คติ” ในภาษาสนั สกฤต เพ่ือใชแ้ ทนคําวา่ “Literature” ในภาษาอังกฤษปรากฏเป็น
หลักฐานทางราชการเปน็ คร้ังแรกในพระราชกฤษฎกี าวรรณคดสี โมสรเมือ่ วันที่ ๒๓
กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๕๗ แต่มิไดก้ าํ หนดวา่ “วรรณคดคี ืออะไร” เพียงแต่กาํ หนดหนังสือที่มี
ลกั ษณะ ๕ ประเภทต่อไปน้ี คือ
๑) กวีนิพนธ์
๒) บทละครไทย
๓) ละครปัจจบุ ัน
๔) นิทาน
๑ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , พระไตรปิฎกภาษาไทย, (กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณ
ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙), คาํ ปรารภ
๒ ไกรวุฒิ มะโนรัตน์ , วรรณคดีบาลี ๑, (กรงุ เทพมหานคร : จรัญสนทิ วงศก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๔๙),
หน้า ๑๒.
๒๐
๕) คําอธบิ าย
ว่าควรพิจารณาใหไ้ ดร้ บั การยกย่องว่าเปน็ วรรคดไี ด้ (มารตรา ๗) ถ้า
๑) เปน็ หนังที่ดีที่สาธารณชนอ่านแลว้ ไดป้ ระโยชน์
๒) เป็นหนังสือทเ่ี รียบเรียงดว้ ยภาษาไทยอนั ดี (มาตรา ๘)๓
ดว้ ยเหตนุ ี้เองท่ตี ่อมาจงึ มผี ู้รู้ได้พยายามให้คําจํากดั ความไวต้ า่ งๆ มากมาย แต่
สว่ นใหญ่ความหมายมักจะลงรอยกันวา่ “วรรณคดี คือหนงั สือท่กี ่อให้เกดิ ความรสู้ ึกนกึ คิด
แก่มนุษยท์ ั่วไปในด้านอารมณม์ ากกวา่ การให้ขอ้ เทจ็ จริง”๔ อยา่ งไรก็ตามวรรณคดบี าลี
อาจแบง่ ความหมายได้ ๒ อยา่ ง คอื ความหมายตามหลักวิ ชาการฝ่ายบาลี และ
ความหมายตามหลักวิชาการของอนิ เดีย
๑.๒.๑ ความหมายตามหลักวชิ าการฝา่ ยบาลี๕
คาํ ว่า “วรรณคดี” ทห่ี มายถึงหนงั สอื ทก่ี ่อใหเ้ กดิ ความรู้สึกนกึ คดิ แกม่ นุษย์ท่ัวไป
ในดา้ นอารมณม์ ากกว่าการใหข้ ้อเท็จจริงนั้น แม้จะเป็นคาํ ท่มี าจากภาษาสันสกฤตก็ตาม
แตเ่ จ้าของภาษาเดิมก็มไิ ดใ้ ช้ศพั ท์สมาสเป็นรูปดงั ที่ไทยเรานํามาใช้ หากแตใ่ ชร้ ูปศพั ทว์ า่
“สาหิตฺย” ท่ีแปลวา่ กาพย์ ซง่ึ รปู ศพั ท์น้ใี กลเ้ คยี งกับรูปศพั ท์ว่า “สํหติ ” ในฝ่ายบาลี ทีแ่ ปล
กนั วา่ พุทธพจน์บ้าง ตําราบ้าง ๖ สว่ นในภาษาบาลี คาํ ว่า “วรรณคดี” ใชร้ ูปศัพทว์ ่า
“สาหิจฺจ” หรอื “คนถฺ มหู ” หมายถึง “คมั ภรี ์” ดงั น้นั ความหมายของวรรณคดีบาลี เมอ่ื
กล่าวตามหลักวชิ าการฝ่ายบาลี จงึ หมายถึง "คมั ภีรต์ ่างๆที่เขยี นดว้ ยภาษาบาลที ั้งหมด”
ยกเว้นคัมภรี ์ประเภทสัตถะหรอื ศาสตร์ ๔ ประเภทตอ่ ไปน้ี คือ๗
๓ เสถยี รโกเศศ (พระยาอนมุ านราชธน), การศกึ ษาวรรณคดแี ง่วรรณศลิ ป,์ (กรงุ เทพมหานคร:
บรรณาคาร ๒๕๑๕), หนา้ ๖.
๔ กตัญญู ชชู ่ืน, ประวัตวิ รรณคดีไทย, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์ทพิ ย์อักษร, ๒๕๓๗), หน้า
๑.
๕ ไกรวฒุ ิ มะโนรัตน์ , วรรณคดบี าลี ๑, (กรุงเทพมหานคร : จรญั สนิทวงศก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๔๙),
หนา้ ๑๓.
๖ ฉลาด บญุ ลอย, ประวัตวิ รรณคดบี าลี ตอนที่ ๑, (ธนบุร:ี โรงพิมพ์ประยูรวงศ,์ ๒๕๐๔), หนา้
๒๐.
๗ สภุ าพรรณ ณ บางชา้ ง ,ประวตั ิวรรณคดีบาลใี นอินเดียและลงั กา. ( กรุงเทพมหานคร :
ศักดโิ สภาการพิมพ,์ ๒๕๒๖). หนา้ ๗.
๒๑
๑) สทั ทสัตถะ (ศพั ทศาสตร์) คอื คัมภีรป์ ระเภทไวยากรณ์
๒) อภิธานสตั ถะ (อภิธานศาสตร์) คือคัมภีรอ์ ภิธานศพั ท์ หรอื พจนานุกรม
๓) ฉันทสัตถะ (ฉนั ทศาสตร)์ คือคมั ภีรอ์ ธบิ ายฉันทลักษณ์
๔) อลงั การสตั ถะ (อลงั การศาสตร์) คือคัมภรี ์อธิบายวธิ กี ารประพนั ธ์
ทั้งน้ี เพราะคมั ภีร์ ๔ ประเภทนี้แมจ้ ะแตง่ ดว้ ยสาํ นวนภาษา มลี ีลาโวหารดี เลิศ
อยา่ งไร นักปราชญ์ฝ่ายบาลีไม่ยอมรับวา่ เปน็ วรรณคดบี าลี ถือเปน็ เพียงหนงั สือทช่ี ว่ ยให้
เขา้ ใจวรรณคดี หรอื ช่วยให้สามารถแต่งวรรณคดีไดเ้ ทา่ นัน้
ความหมายของวรรณคดีบาลี ท่ีเหน็ ว่าครอบคลมุ ทุกดา้ นเหน็ จะเป็นความหมาย
ทพี่ ระเทพเมธาจารย์ ท่ีกล่าวไวใ้ นหนังสือชอ่ื “แบบเรยี นวรรณคดีประเภทคมั ภรี ์บาลี
ไวยากรณ์” คอื ๘
วรรณคดบี าลี หมายถงึ ผลติ ผลเกยี่ วกบั อักษรศาสตรบ์ าลี
วรรณคดีบาลี หมายถึง ผลติ ผลแห่งความคดิ ของนกั ปราชญบ์ าลีทีเ่ ขยี น จาร
จารึกไว้ หรือพมิ พไ์ ว้
วรรณคดบี าลี หมายถึง อกั ษรศาสตร์บาลี
วรรณคดบี าลี หมายถึง เรือ่ งท่บี อกไว้ดว้ ยหนงั สอื เอกสารบาลี หรอื ตําราบาลี
วรรณคดีบาลี หมายถึง อาณาจกั รของอักขระบาลีท้ังหลาย
วรรณคดีบาลี หมายถึง บทประพันธบ์ าลีอนั มีคณุ คา่ ทางความงามของแบบคาํ พูด
หรอื บทประพันธอ์ ันมคี ุณค่าทางความงามของผลทางอารมณ์
วรรณคดบี าลี หมายถงึ ความเรยี งบาลอี นั เก่ียวกบั วจิ ารณ์
วรรณคดีบาลี หมายถงึ คาถาภาษาบาลี
วรรณคดบี าลี หมายถงึ วรรณกรรมบาลี เก่ียวกบั การประพนั ธ์
วรรณคดบี าลี หมายถงึ กจิ กรรมหรอื อาชพี ของคนเก่ยี วกบั อักษรศาสตร์บาลี
วรรณคดีบาลี หมายถึง อาชีพหรอื วชิ าชีพเก่ียวกับอกั ษรศาสตรบ์ าลี
วรรณคดีบาลี หมายถึง ศิลาจารึกบาลี
วรรณคดีบาลี หมายถึง หนงั สอื บาลีที่ไดร้ บั ยกย่องว่าแต่งดี
๘ พระเทพเมธาจารย์ (เชา้ ฐติ ปญโฺ ญ ). แบบเรยี นวรรณคดีประเภทคมั ภรี บ์ าลไี วยากรณ.์
(กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพป์ ระยรุ วงศ,์ ๒๕๐๕.) หนา้ ๓-๑๘.
๒๒
๑.๒.๒ ความหมายตามหลกั วิชาการของอินเดีย
วรรณคดีของอนิ เดยี หมายถงึ วรรณคดีสันกฤต ๔ ประเภท คอื ๙
๑) อาคม คัมภรี ์ทางศาสนา
๒) อติ หิ าสะ คัมภรี ท์ างประวตั ิศาสตรแ์ ละประเพณที ส่ี บื ทอดกนั มา
๓) ศาสตร์ คมั ภรี ว์ ิชาการตา่ งๆ
๔) กาวยะ กวนี ิพนธ์หรอื บทประพนั ธ์ที่อยใู่ นรปู ของศลิ ปะ
ชาวอนิ เดยี คิดวา่ วรรณคดีเหลา่ นมี้ ที ้ังรา่ งกายและวญิ ญาณเชน่ เดียวกันกับ
มนุษย์ นัน่ คือ โครงสรา้ งของกวีนพิ นธบ์ ทหนึ่งๆไมต่ า่ งจากสรรี ะของมนษุ ย์ “สรีระของ
วรรณคดกี ็คือเสียง (สทั ทาลังการ) และความหมาย (อรรถาลังการ) ส่วนวญิ ญาณของ
วรรณคดคี อื รส๑๐ ดังนนั้ ความหมายของวรรณคดตี ามหลักวิชาของอินเดยี จึงหมายถึง
หนงั สือท่ีประกอบด้วย “รส” ของวรรณคดี ดังท่ีอาจารยก์ ุสุมา รกั ษมณี กลา่ ววา่ นัก
วรรณคดีสันสกฤตถือวา่ “วรรณคดีกค็ ือถอ้ ยคาํ ทีม่ ี รส เปน็ วญิ ญาณ”๑๑
อย่างไรก็ตาม มใิ ช่แต่วรรรคดีสนั สกฤตเท่านน้ั ท่ีกาํ หนด “รส” เปน็ ความหมาย
หลกั ของวรรณคดี แมใ้ นวรรณคดีบาลีสมัยหลัง เช่น คมั ภรี ์สโุ พธาลังการซง่ึ แตง่ โดยอาศัย
ตาํ ราของฝ่ายสนั สกฤตเปน็ หลกั และอรรถาธบิ ายโดยคัมภรี ์สโุ พธาลังการมญั ชรี ก็เนน้
ความหมายท่ี “รส” เชน่ เดยี วกนั ซง่ึ รสของวรรณคดีนนั้ มอี ยู่ ๙ รส คอื ๑๒
๑) สิงคารรส รสรัก หมายถงึ ความรกั ระหว่างชายกับหญงิ ซ่ึงจาํ แนกเป็น ๓
แบบคือ
(๑) อโยคะ ความรักของชายหญงิ ท่ไี มเ่ คยพบกนั มาก่อน ปรารถนาที่จะ
ติดต่อกนั ดว้ ยกลวิธีตา่ งๆ เพือ่ แสดงความรักใครต่ อ่ กัน
(๒) วิปโยคะ ความรักที่ชายหญิงมีต่อกัน ติ ดต่อใกลช้ ดิ กนั จนเกิดความสนทิ
สนมกนั แลว้ แต่มเี หตใุ หต้ อ้ งพลัดพรากจากกนั
๙ สําเนียง เลื่อมใส , มหากาพย์พทุ ธจรติ , (กรงุ เทพมหานคร: มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๔๗), บทนํา. , การวิเคราะหว์ รรณคดไี ทยตามทฤษฎีวรรณคดีสนั สกฤต,
๑๐ กุสุมา รกั ษมณี
(กรุงเทพมหานคร, มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร, ๒๕๓๔), หนา้ ๒๑
๑๑ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๖.
๑๒ พระคันธสาราภวิ งศ,์ สุโพธาลังการมัญชร,ี (พระธรรมโมลี (สมศกั ด์ิ อุปสโม )และพระมหา
นิมิต ธมฺมสาโร, ผตู้ รวจชําระ), (กรุงเทพมหานคร: หจก.ไทยรายวันการพิมพ,์ ๒๕๔๖), หนา้ ๖๙๔.
๒๓
(๓) สัมโภคะ ความรักทสี่ มหวงั ชน่ื อกชน่ื ใจของชายหญงิ ที่ตา่ งฝา่ ยต่างก็มี
ความปรารถนาซ่งึ กนั และกัน ต่างแสดงกริยาต่อกันไปตามอารมณใ์ คร่
๒) หสั สรส รสขาํ ขนั หรือรสขบขัน ซ่งึ จาํ แนกตามความขบขันม ากน้อยออกเป็น
๖ ลกั ษณะคอื
(๑) สิตะ เป็นความขําทมี่ ีลักษณะหวั เราะมีนัยนต์ าบาน
(๒) หสติ ะ เป็นความขําทม่ี ลี กั ษณะหวั เราะมฟี นั ปรากฏนิดหนอ่ ย
(๓) วหิ สิตะ เปน็ ความขําท่ีมลี กั ษณะหวั เราะมีเสยี งไพเราะน่มุ นวล
(๔) อุปหสติ ะ เป็นความขําทม่ี ลี กั ษณะหัวเราะมไี หล่และศีรษะหวน่ั ไหว
(๕) อวหสิตะ เป็นความขาํ ท่ีมลี ักษณะหวั เราะถึงขนาดนํา้ ตาไหล
(๖) อตหิ สติ ะ เป็นความขาํ ทีม่ ีลกั ษณะหวั เราะตัวโยกโคลงเคลงไปทง้ั ตัว
๓) กรณุ ารส รสสงสาร ซง่ึ รสสงสารนจ้ี ะเกิดจากสาเหตุ ๒ ประการคือ
(๑) อนิฏฐปั ปตั ติ รสสงสารทเี่ กิดจากการประสบกบั สงิ่ ทไี่ ม่น่าปรารถนา
(๒) อฏิ นาส รสสงสารท่ีเกดิ จากความสญู ส้นิ ไปแหง่ ส่งิ ท่ีน่าปรารถนา
๔) รุทธรส รสโกรธ ซึง่ รวมไปถึงการเย้ยหยันดถู ูก กา้ วรา้ ว แค้นเคอื ง ตําหนิ
๕) วรี รส รสกลา้ หาญ, รสกลา้ หาญนจี้ าํ แนกออกเปน็ ๓ แบบคือ
(๑) รณวีระ ความกลา้ หาญในการรบ การตอ่ สู้
(๒) ทานวรี ะ ความกล้าหาญในการให้ การบริจาค
(๓) ทยาวีระ ความกล้าหาญในการใหค้ วามชว่ ยเหลอื ความเอื้อเฟอ้ื
๖) ภยานกรส รสที่นา่ สะพึงกลัว หมายความวา่ มีบทประพันธ์บางประเภทที่
ก่อให้เกิดความน่าสะพึงกลัวแกผ่ ้อู า่ น เชน่ วรรณคดหี รอื วรรณกรรมท่กี ลา่ วพรรณาถึง
นรก เป็นตน้
๗) วภิ ัจฉรส รสเกลียด ดูเหมอื นจะเป็นรสเดียวกันกับรทุ ธรส (รสโกรธ) แต่วิ
ภจั ฉรสนี้เปน็ รสท่ีเกดิ จากความร้สู กึ ขยะแขยง ความรู้สึกนา่ รงั เกยี จ ซงึ่ ไมป่ ระกอบดว้ ย
ความโกรธ ดังนนั้ จงึ เป็นคนละรสกัน รสเกลียดนแี้ บ่งเป็น ๓ ประเภทคือ
(๑) วัตถทุ ่มี ีเลอื ดเนอ้ื เช่น ไสน้ อ้ ย ไสใ้ หญ่ เป็นต้น
(๒) ของเน่าเปล่ือย ท่ีมีหมหู่ นอนซอนไซ รวมทงั้ สง่ิ ทีม่ กี ล่ินเหม็นดว้ ย
(๓) ความจดื จาง หมายถงึ ความจดื จางที่เกิดจากสิ่งของทีเ่ คยตอ้ งใจ ชอบใจ
มีความสดใส สวยงาม แตภ่ ายหลัง ความสวยงาม สดใสของสิ่งนนั้ ได้เปล่ยี นแปลงไปก็
เกดิ ความรู้สึกรงั เกียจ
๒๔
๘) อัพภูตรส รสอศั จรรย์ ตน่ื เต้น ประหลาดใจ
๙) สันตรส รสสงบ
รสของวรรณคดีเปน็ ความรู้สึกทางมโนวญิ ญาณ คือรู้ด้วยใจและในหนงั สือสุโพธา
ลงั การได้แสดงทต่ี ้ังแห่งรสท่เี รยี กว่า “ ายี” ไว้ ๙ ประการ คือ๑๓
๑) รติ ายี ความยนิ ดี
๒) หาส ายี ความสนกุ สนานรน่ื เรงิ
๓) โสก ายี ความโศก
๔) โกธ ายี ความโกรธ
๕) อุสฺสาห ายี ความบากบัน่ บึกบึน
๖) ภย ายี ความกลวั ความหวาดหว่ัน
๗) ชคิ ุจฺฉา ายี ความขยะแขยง
๘) วิมฺหย ายี ความหลากใจ
๙) สม ายี ความสงบ
จากท่กี ลา่ วมาท้ังหมดน้ี สามารถสรุปความหมายของวรรณคดบี าลที ้งั ตามหลกั
วชิ าการฝ่ายบาลแี ละตามหลกั วิชาการฝา่ ยอินเดียไดท้ ั้งในดา้ นรปู แบบและด้านเนอ้ื หาว่า
ในดา้ นรปู แบบ ความหมายตามหลกั วิชาการฝา่ ยบาลี หมายถงึ คัมภรี ต์ ่างๆ ทีเ่ ขยี นดว้ ย
ภาษาบาลที ั้งหมด ยกเวน้ คัมภีร์ประเภทสตั ถะหรอื ศาสตร์ ๔ ประการ คือ สัททสัตถะ
อภิธานสัตถะ ฉันทสตั ถะ และอลงั การสัตถะ และความ หมายตามหลักการฝ่ายอนิ เดีย
หมายถงึ คมั ภีร์ทุกชนิดรวมท้ังคัมภรี ์ประเภทสตั ถะหรอื ศาสตร์ ๔ ประการนั้นด้วย สว่ นใน
ดา้ นเน้ือหา ท้ังความหมายตามหลักการฝ่ายบาลแี ละความหมายตามหลกั วชิ าการของ
อินเดีย หมายเอารสของวรรณคดที ั้งหมดเชน่ เดยี วกัน
๑.๓ ลักษณะของวรรณคดบี าลี
วรรณคดบี าลี เปน็ หนงั สอื หรือเรื่องราวท่วี างอยบู่ นพื้นฐานของความจรงิ ความ
งาม และความดี อันมีคําอธบิ ายทปี่ ระกอบดว้ ยเหตุผลและข้อเทจ็ จรงิ และสว่ นหน่งึ อาจ
แสดงอารมณ์ ความรสู้ กึ นึกคิด ความบนั ดาลใจ และจนิ ตนาการทส่ี ะท้อนถ่ายความ
๑๓ เรือ่ งเดียวกัน, หน้า ๖๙๔.
๒๕
ชัดเจนของชีวติ และโลก หลักคําสอนหรือหลักพทุ ธธร รม จึงเปน็ เนอ้ื หาสาระโดยเปิดเผย
หรอื ท่ีพงึ ประสงค์ในการรวบรวมและเรยี บเรียงเป็นคมั ภรี ต์ ่างๆ เปน็ ประมวลหลกั บญั ญตั ิ
ธรรม คาํ วเิ คราะห์ แจกแจงให้ปรากฏ
ในสมัยพุทธกาล พระอานนท์รวบรวมไว้แลว้ นาํ เสนอในท่ปี ระชมุ สังคีติกาจารยใ์ น
คราวทําปฐมสังคายนาหลงั จากพุทธปรินิพพาน ซงึ่ ในครั้งแรกและคร้งั ที่ ๒ น้นั ยงั ใชค้ า
วา่ “ธรรมวนิ ัย” พอถงึ คราวสังคายนาครัง้ ที่ ๓ จงึ ปรากฏวา่ คาํ วา่ ตปิ ิฏก หรือ
ปฏิ กตฺตย เปน็ พระไตรปิฎก การสังคายนาครง้ั น้ีเกิดเหตกุ ารณ์ทีส่ ําคญั คอื พระเจา้ อโศก
มหาราชได้สง่ พระธรรมทตู ออกประกาศพระพุทธศาสนา ๙ สาย สงั คายนาคร้ังท่ี ๔ – ๕
ก็ยังใช้คาํ พระไตรปิฎก แต่คร้ังที่ ๕ เกดิ ปรากฏการณท์ ีส่ าํ คัญคือมกี ารจารกึ ลงในใบลาน
ดังนน้ั จงึ เห็นลงตวั ว่า การสงั คายนา คร้ังที่ ๑-๔ ยังใชภ้ าษาพดู คร้ังที่ ๕ จึงมภี าษา
อักษร ซ่งึ ทาํ ให้นกั การศกึ ษาบางท่านเห็นว่าพระไตรปิฎกเร่ิมตน้ ท่ีเกาะลงั กา เพราะ
หลกั ฐานปรากฏว่า การสงั คายนาครง้ั ที่ ๑-๓ ทาํ ท่ชี มพูทวปี ครง้ั ท่ี ๔ และ ๕ ทําท่ี
ประเทศศรลี ังกา สรุปแลว้ วรรณคดบี าลีมีลกั ษณะพเิ ศษจําเพาะตวั ดงั นี้
๑) ลกั ษณะท่ีเปน็ คําสงั่ คอื วินยั คาํ สอนคือธรรม และเปน็ วิชาการล้วนๆ คอื พระ
อภธิ รรม
๒) ลักษณะจําเพาะในด้านพัฒนาการจากยุคสูย่ ุค เน้อื หาสาร ะจะผดิ หรอื ถกู อยทู่ ี่
มตขิ องสังคตี กิ าจารยโ์ ดยวธิ กี ารสังคายนา
๓) ลกั ษณะจาํ เพาะดา้ นการสบื ต่อ
แตโ่ ดยลกั ษณะทัว่ ไปตามหลักวิชาการปัจจบุ นั บนพื้นฐานทีว่ า่ หนังสอื ทไ่ี ด้รบั การ
ยอมรับว่าเปน็ วรรณคดีไดต้ ้องประกอบดว้ ยรสแห่งวรรณคดี นน้ั ในหนังสอื สโุ พธาลังการ
ซง่ึ เป็นตําราฝ่ายบาลีว่าดว้ ยการประพนั ธห์ นังสือปกรณฝ์ ่ายบาลไี ด้แสดงถึงลักษณะของ
การประพันธ์ทดี่ ไี ว้ ๑๐ ประการ๑๔ คือ
๑) ปสาทคณุ มีความชัดเจน แจม่ แจ้ง กระจ่าง ชวนให้เลือ่ มใส
๒) โอชาคุณ มีโอชะคือ ใหค้ วามสวา่ งและกําลังแกจ่ ติ
๓) มธรุ คณุ มีความอ่อนหวาน ไพเราะ
๔) สมคุณ ความสงบ สมํ่าเสมอ เที่ยงธรรม
๑๔ Natavarlal Joshi. Poetry, Creative and Aesthetic Experience. (Sanskrit Poetics and
Literature Criticism). Eastern Book Linkers. New Delhi : India, 1994. p 77 – 78.
๒๖
๕) สุขุมาลคณุ มีความละเอยี ดอ่อน ประณีต สขุ ุม
๖) สิเลสคณุ มคี วามสมั พนั ธ์กนั เชื่อมความได้สนิท
๗) โอฬารคณุ มคี วามกวา้ งขวางโอฬาร
๘) กนตฺ ิคุณ มคี วามสนุกสนานบนั เทิง เรา้ อารมณ์ ประทับใจ หรอื กินใจ
๙) อตถฺ พยฺ ตฺตคิ ุณ มีความแหลมลึก คมคาย
๑๐)สมาธคิ ณุ มีความพุ่งสู่จดุ ใดจดุ หนง่ึ ทสี่ ําคัญ (มีเปา้ หมายในการนาํ เสนอ)
วรรณคดบี าลมี ีเนือ้ หาสาระมากมายมหาศาล ตา่ งที่มา ต่างกาลเทศะและตา่ ง
บคุ คลที่เป็นผู้สรา้ งบทละครในวรรณคดนี น้ั เอง ดังนน้ั จึงมีรสทางวรรณคดีทุกรส
๒๗
๑.๓.๑ นักปราชญแ์ ละกวภี าษาบาลี
ในวรรณคดบี าลี ได้จําแนกนักปราชญอ์ อกเป็น ๖ ประเภท ตามพัฒนาการแห่ง
ความรู้แจง้ เหน็ จรงิ เรยี กนักปราชญ์เหล่านวี้ า่ “มนุ ี” คอื ๑๕
๑) อาคารยมุนี นักปราชญค์ ฤหัสถ์
๒) อนาคารยมุนี นกั ปราชญ์บรรพชติ
๓) เสขมนุ ี นักปราชญ์จําพวกเสขบคุ คล
๔) อเสขมุนี นักปราชญ์จาํ พวกอเสขบุคคล
๕) ปัจเจกมุนี นักปราชญค์ อื พระปจั เจกพุทธเจ้า
๖) มุนมิ ุนี นกั ปราชญค์ ือพระสมั มาสมั พุทธเจา้
สว่ น “กว”ี ทห่ี มายถึงผเู้ ช่ยี วชาญในศลิ ปะการประพันธ์ ในวรรณคดบี าลจี ําแนก
ออกเปน็ ๔ ประเภท คือ๑๖
๑) จนิ ตกวี ผูเ้ ช่ยี วชาญในศลิ ปะการประพนั ธ์ตามแนวคิดของตนเอง
๒) สตุ กวี ผู้เชีย่ วชาญในศลิ ปะการประพนั ธ์ตามเรือ่ งทฟ่ี งั มา
๓) อตั ถกวี ผ้เู ชีย่ วชาญในศลิ ปะการประพนั ธ์โดยอาศยั ความย่อ
๔) ปฏภิ าณกวี ผเู้ ช่ยี วชาญในศิลปะการประพันธ์โดยอาศยั ปฏภิ าณไหวพริบ
เชน่ พระวงั คสี ะ เปน็ ตน้
เร่ืองในสมยั พุทธกาล ไดบ้ อกนัยถงึ ผูท้ ีใ่ ชภ้ าษาบาลีในการสอื่ สารคําสอนเปน็
ชว่ งๆ เริ่มตั้งแต่พระบรมศาสดาสมั มาสัมพุทธเจา้ โดยมพี ระสาวก สาวิกาเป็นผู้ทรงจาํ
แล้วถ่ายทอดเปน็ ลําดบั สืบมาจนถึงปจั จบุ นั น้ี ซ่งึ สามารถสรปุ เป็นช่วงๆ ดังนี้
ภาษาบาลีในพระไตรปิฎก มพี ระพทุ ธเจ้า พระอานนทเถระ พระสารีบตุ รเถระ
พระเถระ พระเถรี เปน็ ตน้ ได้ใช้ภาษาบาลที ้งั รอ้ ยแกว้ และหรอื รอ้ ยกรองมาแล้วทง้ั สิน้
ชว่ งหลังพุทธกาลเล็กนอ้ ย พระมหากสั สปเถระ พระอานนทเถระ พระอบุ าลีเถระ
และพระสังคีตกิ าจารย์ ได้ใชภ้ าษาบาลีเปน็ ภาษารวบรวมพระธรรมวนิ ยั แล้วมกี ารเรยี น
ทอ่ งจําสืบต่อพระธรรมวนิ ยั กระท่ังถงึ คราวสงั คายนาคร้ังท่ี ๒ และครัง้ สดุ ท้ายคือครั้งท่ี ๕
ก็มีพระเถระผู้เปน็ ประธานและการกสงฆ์มากนอ้ ยไม่เท่ากนั ในแตล่ ะครัง้ ไดใ้ ชภ้ าษาบาลี
๑๕ ไกรวฒุ ิ มะโนรัตน,์ วรรณคดีบาลี ๑, หน้า ๑๘.
๑๖ เรอื่ งเดียวกนั , หนา้ เดียวกนั .
๒๘
ในการสื่อสารพระธรรมวนิ ัยจัดหมวดหม่เู ปน็ พระไตรปฎิ ก ลา่ สุดมีการบันทึกลงในใบลาน
จึงเกดิ เปน็ วฒั นธรรมใหม่ขึ้นคือใช้อกั ษรบนั ทึกความจาํ ท่ีสือ่ กันด้วยเสียงพดู
ต่อมา มีพระอร รถกถาจารย์ใชภ้ าษาบาลอี ธิบายความในพระไตรปิฎกอย่างลึกซง้ึ
ซง่ึ แสดงถึงความเปน็ ปราชญใ์ นภาษาบาลีอยา่ งดยี ง่ิ เชน่ พระพุทธโฆสาจารย์ พระธรรม
ปาละ พระอุปเสนะ พระมหานาม และพระพุทธทตั ตะ ทา่ นเหลา่ น้ีใช้ภาษาบาลีได้อยา่ ง
หลากหลายทั้งในแงข่ องภาษาและลีลาชน้ั เชงิ ในการอธิบายพระไตรปฎิ ก หลังจากยคุ นี้
แลว้ ยงั มีนักปราชญอ์ กี รุน่ หนึง่ คือพระฏกี าจารย์และพระอนฎุ กี าจารย์ กล่มุ นีไ้ มร่ ะบุนาม
ตรงๆ เหมอื นพระอรรถกถาจารย์ เรยี กรวมๆ วา่ พระฎกี าจารยห์ รอื อนุฎกี าจารย์ ได้
แสดงภาวะความเปน็ ปราชญใ์ นทางภาษาบาลีอธิบายความของคัมภรี ์อรรถกถา ฎกี าเปน็
ลําดับ อี กท่านหน่งึ คือพระนาคเสนใชภ้ าษาบาลโี ต้ตอบธรรมะกับพระยามิลินท์ ฝ่ายพระ
ยามิลนิ ท์เองก็เปน็ ปราชญ์ทางภาษาบาลีไม่น้อยทส่ี ามารถฟงั วสิ ชั นาธรรมจากพระนาค
เสนเข้าใจได้ดี
ในปัจจุบันนี้ มีปราชญแ์ ละกวภี าษาบาลอี ยู่บ้าง แต่เป็นภาษาประดษิ ฐ์รุ่นหลังๆ
เชน่ ในประเทศพมา่ ศรีลัง กา และไทย ในประเทศพม่ามกี ารเรยี นไวยากรณแ์ ละเรยี น
พระไตรปิฎก ในประเทศศรลี ังกามีการเรยี นภาษาบาลีถึงระดับปริญญาเอก ในประเทศ
ไทยโดยเฉพาะคณะสงฆไ์ ทยไดม้ ีการเรียนการสอนภาษาบาลตี ้งั แตช่ ้ันประโยค ๑-๒ ถงึ
เปรียญธรรม ๙ ประโยค
๑.๓.๒ ทัศนะตา่ งๆ ในวรรณคดบี าลี
คําว่า “ทศั นะ” หมายถึงความเห็น การเห็น เครื่องรเู้ หน็ สิ่งที่เห็น ถ้าพิจารณา
จากประเภทของนกั ปราชญแ์ ละประเภทของกวีภาษาบาลแี ล้ว อาจแบง่ ทัศนะในวรรณคดี
บาลีได้ ๒ ประเภท คือ
๑) สมั พทั ธทัศนะ ไดแ้ ก่ วรรณคดีบาลที ปี่ ระพนั ธ์ข้นึ จากแนวคิดเหน็ หรอื จาก
การค้นคว้ารวบรวมจากคัมภีร์ต่างๆ ตามแนวคดิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ เองอย่างเปน็ อสิ ระ เชน่ คัมภีรม์ ิ
ลินทปัญหา คมั ภรี ์วมิ ุตติมรรค คัมภรี ว์ สิ ุทธมิ รรค คมั ภีรเ์ นติปกรณ์ คมั ภรี ์เนตติอรรถกถา
หนงั สือพทุ ธธรรม หนังสือกรรมทปี นี หนงั สือโลกทีปนี เปน็ ตน้
๒๙
๒) วสิ ทุ ธทิ ศั นะ หรอื ญาณทศั นะ ไดแ้ ก่ วรรณคดบี าลที ป่ี ระพันธ์ ข้ึนจากความรู้
จริงเหน็ แจ้งตามสภาวะทเี่ ป็นจรงิ หรอื จากการตรัสรู้ เชน่ คมั ภีร์พระไตรปฎิ ก ๑๗
วรรณคดีบาลแี มเ้ ป็นที่ยอมรับในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท คอื
พม่า ศรลี งั กา ไทย กมั พูชาและลาวว่าเปน็ พระพทุ ธพจน์ในพระไตรปิฎกและคมั ภรี ท์ ี่
เกีย่ วข้องกันทงั้ หมด แ ต่ดว้ ยเหตุทใี่ นยุคปัจจุบนั วรรณคดบี าลไี ด้เผยแพรไ่ ปท่ัวโลก
โดยเฉพาะในประเทศทน่ี บั ถือพระพุทธศาสนา มกี ารเรยี นการสอนวรรณคดีบาลกี นั อย่าง
กวา้ งขวาง ดังนัน้ จึงมนี ักการศึกษาหลายคนได้แสดงทัศนะในวรรณคดบี าลที ั้งในด้าน
ภาษาและแหล่งกาํ เนิดของภาษา ดงั ท่ี Wilhem Geiger รวบรวมไว้ดังน้ี๑๘
H. Kern มที ัศนะว่า ภาษาบาลไี มใ่ ช่ภาษาเอกพนั ธ์ุ แตเ่ ปน็ ภาษาทีเ่ กดิ จากการ
ประสมประสานจากหลายๆ ภาษาในยุคและสถานท่ีใกลเ้ คียงกนั โดยแสดงความเหน็ ว่า
“ภาษาบาลแี สดงลักษณะเฉพาะที่แน่นอน กลา่ วคอื เปน็ ภาษาท่ผี สมปนเปของภาษาถนิ่ ที่
หลากหลายภาษา
ตามธรรมเนยี มที่ยอมรับกันในประเทศศรีลงั กา ภาษาบาลี กค็ ือภาษามาคธี,
มาคธนิรตุ ตฺ ิ, มาคธกิ ภาษา กล่าวคอื เป็นภาษาทใ่ี ชพ้ ดู กนั เปน็ ภาษาของประชาชนใน
ดนิ แดนทพี่ ระพุทธเจ้าทรงอุบตั ิขน้ึ คาํ นไ้ี ดร้ บั การยืนยนั ว่าพระบาลีในพระไตรปฎิ กบันทึก
ดว้ ยภาษาที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ประกาศพระศาสนา ภาษาบาลีในพระไตรปฎิ กยังแสดงให้
เหน็ คมั ภีรด์ ง้ั เดิมอีกด้วย เหตุผลทวี่ ่า มาคธี เรยี กว่ามลู ภาษาคอื ภาษาดั้งเดิม กเ็ พราะเปน็
ภาษาทพี่ ระพุทธเจา้ ใช้ตรัสเทศนาสั่งสอนประชาชน
ดงั นน้ั จึงมเี หตผุ ลทเ่ี ป็นไปไดว้ ่า ภาษาบาลีคอื รูปแบบภาษาท้องถิ่นของภาษา
มาคธี หรือภาษาบาลตี งั้ อย่บู นพน้ื ฐานของภาษามาคธี มภี าษามาคธเี ปน็ ฐาน ภาษาบาลมี ี
ภาษามาคธเี ป็นต้นเคา้ การแบง่ รูปลกั ษณข์ องภาษามาคธีตามที่เราไดท้ ราบจากนกั
ไวยากรณก์ ็ดี จากจารีตประเพณีกด็ ี และจากบทละครกด็ ี ภาษามาคธไี ม่ใชภ่ าษาบาลี
อยา่ งทเี่ ราทราบ จุดเดน่ ทีพ่ บกค็ ือ ภาษามาคธจี ะมลี ักษณะเด่น พเิ ศษคอื การออกเสียง
จาก ร เปน็ ล ทุกแห่ง และออกเสียง ส เปน็ ศ ทกุ แหง่ , เอ วิภตั ตนิ าม ปฐมาวิภตั ติ
๑๗ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๑๙.
๑๘ Wilhem Geiger ทศั นะทัง้ หมดนถ้ี อดความจาก Pali Literature and Language. 3rd
Reprinted. Oriental Books Reprint Corporation, New Delhi : India, 1978. p 2-7.
ในภาษาบาลีใช้ ส ออกเสยี ง ศ ไมไ่ ด้ แต่มาคธีใช้ ศ ได้ ออกเสยี ง ส ไม่ได.้ ในภาษาไทยเรา
๓๐
เอกวจนะ ปงุ ลิงค์และนปุงสกลงิ คข์ อง อ การันต์ และรากศัพท์ท่เี ป็นพยัญชนะการนั ต์ผัน
คาํ เหมอื นกัน. จะอย่างไรกต็ าม ภาษาบาลียังมี ร ให้เหน็ แต่ในบาลีไม่มี ศ โดยประการ
ท้ังปวง คงใช้แต่ ส เทา่ น้นั รูปศพั ท์ที่เปน็ คํานามถูกกลา่ วถงึ ในตอนท้ายพรอ้ มกับ โอ
หรอื อ เช่น ราชาโน, ราชานํ.
Westergaard กบั E. Kuhn มที ศั นะว่า ภาษาบาลเี ปน็ ภาษาพูดในแควน้ อุชเชนี
เพราะเป็นภาษาทใ่ี กลเ้ คยี งท่สี ุดกบั ภาษาทพ่ี ระเจา้ อโศกมหาราชใชจ้ ารึกหลักศิลา และ
เพราะเหตุผลวา่ ภาษาพูดของชาวเมืองอชุ เชนีไดร้ บั การกลา่ วขานวา่ เป็นภาษาแม่ของ
พระมหนิ ทเถระผูน้ าํ พระพทุ ธศาสนาไปเผยแผใ่ นเกาะลงั กาอกี ด้วย
R.O. Franke เชอ่ื วา่ พ้นื เพดัง้ เดิมของบาลีเป็นอาณาเขตทีไ่ มน่ ่าจะแคบเกินไป
เพราะอาจจะต้งั อยแู่ ถบบรเิ วณจากอนิ เดียตอนกลางถงึ เทือกเขาวนิ ธยั ฝ่ังตะวนั ตก ดังนนั้
จึงไม่ใช่เร่อื งทจ่ี ะเกิดขน้ึ ไมไ่ ด้ว่าอุชเชนีเปน็ ศนู ย์กลางของแหลง่ กาํ เนดิ ภาษาบาลี
Sten Konow สนับสนุนว่าแถบเทือกเขาวินธัยเปน็ แผน่ ดนิ เกิดของภาษาบาลี เขา
มีทศั นะชัดเจนว่าภาษาบาลีกบั ภาษาไปศาจมี ีความสมั พนั ธ์กันอย่างใกล้ชิด
Oldenberg มที ศั นะว่า บาลเี ปน็ ภาษาของแควน้ กาลิงคะ
E. Muller เช่ือมนั่ วา่ แคว้นกาลิงคะเปน็ ภูมลิ าํ เนาของภาษาบาลี ท้งั น้ีตามขอ้ สรุป
บนขอ้ สมมตฐิ านว่า ทอ่ี ยอู่ าศยั ทเ่ี กา่ แก่ที่สุดในเกาะลงั กาสามารถต้ังหลกั ปักฐานจาก
ตรงกนั ขา้ มกับแผน่ ดินใหญเ่ ท่านน้ั และไม่ใช่การตงั้ รกรากโดยประชาชนจากอ่าวเบงกอล
หรือจากคนแถบๆ อ่าวเบงกอลน้นั ด้วยเลย
Geiger เชอ่ื วา่ ภาษาบาลไี มใ่ ช่ภาษาเอกพันธ์ุอยา่ งแนน่ อน แตเ่ ปน็ เพยี งรูปแบบ
ของภาษาพดู อันเปน็ ที่นิยม ซึ่งมฐี านมาจากภาษามาคธี เปน็ ภาษาท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงใช้
ประกาศพระศาสนา และเปน็ ภาษาที่ใช้ในแควน้ มคธสมัยพทุ ธกาล จากนนั้ จึงได้แสดง
ทศั นะในวรรณคดีทงั้ ในดา้ นถ่ินกาํ เนดิ และอน่ื ๆ เช่น เนือ้ หารสาระของวรรณคดบี าลี หรอื
คมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ ก ดงั ต่อไปนี้
นาํ คาํ ว่า โศลก มาจากภาษาสนั สกฤต บางแห่งใช้ ศ บางแห่งใช้ ฉ แตต่ ่างความหมาย ทัง้ ทม่ี าจาก
คําเดยี วกนั . ในลกั ษณะนี้ ภาษาของชาวกูยในแถบอี สานตอนลา่ ง บางถิน่ ออกเสยี ง ส เปน็ ฉ กม็ ี
เพราะฉะนนั้ ประเดน็ น้อี ยา่ งเดยี วไมน่ ่าจะถือเป็นสาระสาํ คัญว่า “ภาษามาคธกี บั อรรธมาคธีไมใ่ ช่ภาษา
เดยี วกนั ” : พระศรวี ิสทุ ธคิ ณุ (มานพ ป.ธ.๙)
๓๑
คัมภรี ์บาลเี ป็นทร่ี จู้ กั กนั อยา่ งแพรห่ ลายโดยนามว่า พระไตรปฎิ ก แปลวา่ ตะกรา้
สามใบ เพราะประกอบด้วยสว่ นใหญ่ๆ ๓ ส่วน คอื พระวนิ ยปิฎก พระสตุ ตปิฎก และ
พระอภิธรรมปิฎก รวมทง้ั สามน้เี รยี กว่าพระไตรปฎิ กของนิกายเถรวาท ซง่ึ เรยี กกลุ่มของ
ตนวา่ วิภัชชวาที การรวบรวมพระไตรปฎิ กเรม่ิ ต้นหลงั จากพระพุทธเจา้ ปรนิ ิพพาน ตั้ง
๔๘๓ ปี ก่อนคริสตศักราช ในคราวสงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ ท่กี รงุ ราชคฤห์พระไตรปฎิ กได้
พฒั นาการยาวนานถึง ๑๐๐ ปี ตอ่ มาในคราวท่ีสังคายนาทเ่ี มอื งไพศาลี มลู เหตุหลักของ
การสงั คายนากค็ ือการถอื ทัศนะทผ่ี ิดซึ่งเป็นลางรา้ ยท่ีจะขุดรากถอนโคนสาวกสงฆ์ ใน
คราวสังคายนาครง้ั ที่ ๓ ภายใตก้ ารอุปถัมภข์ องพระเจ้าอโศกมหาราช พระคมั ภีรใ์ นสว่ นที่
จาํ เป็นทสี่ ุดดเู หมอื นจะถูกบรรจุให้เปน็ ผลสําเรจ็ ตามรูปแบบแลว้ การสงั คายนาคร้ังนี้
เก่ียวขอ้ งอยา่ งมากกบั การจดั รูปแบบพระอภธิ รรม โดยฝีมือของพระโมคคัลลบี ตุ รติสส
เถระ วา่ กันว่า ทา่ นรจนากถาวัตถปุ กรณล์ งในอภิธรรมปฎิ กด้วย กถาวตั ถุปกรณ์
ประกอบดว้ ยทัศนะ ๒๕๒ ประเดน็ หักล้างคําสอนผดิ ๆ และได้รบั การบรรจุลงในพระ
อภิธรรมปิฎก การสงั คายนาครง้ั ที่ ๓ นี้มีเหตกุ ารณ์สาํ คญั เกดิ ข้นึ คอื การทีพ่ ระเจ้าอโศก
มหาราชทรงส่งคณะสมณทตู ออกไปเผยแผ่พระศาสนาในประเทศใกล้เคียง พระมหินท
เถระผ้เู ป็นราชบุตรของพระเจ้าอโศกมหาราชเดนิ ทางไปยังเกาะลงั กาในฐานะทีเ่ ปน็ พระ
ธรรมทตู ผู้นําพระพุทธศาสนาเข้าไป เผยแผ่ กลา่ วคอื ท่านนาํ พระคัมภีรใ์ นรปู แบบของเถร
วาทเข้าไปยังเกาะลังกา
จากทีไ่ ด้กล่าวมาแลว้ ขา้ งต้นนี้ สามารถสรุปประเดน็ ไดด้ ังน้ี
๑) ภาษาบาลเี กดิ จากการผสมผสานหลายภาษา โดยมีภาษาอรรธมาคธเี ปน็ เค้า
มลู มไี วยากรณจ์ ดั ระเบยี บภาษาแลว้ ขนานนามว่า “ภาษามคธ” เพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั
สถานที่และบริเวณท่พี ระพุทธเจา้ แสดงธรรมเป็นสว่ นใหญ่ และเปน็ สถานท่ที ท่ี ําการ
สงั คายนาจัดรปู แบบพระธรรมวนิ ยั เป็นพระไตรปฎิ ก
๒) ตวั เนื้อหาสาระในพระไตรปิฎกและคมั ภีรท์ ี่เกยี่ วขอ้ ง สามารถแยกประเดน็ ได้
๒ คือพระไตรปฎิ กเปน็ ผลงานของมหาชนคือพระสงั คตี กิ าจารย์ เพราะสาํ เร็จลงโดยอนุมตั ิ
นกั การศกึ ษาภาษาบาลชี าวตะวันตกมกั ใช้คาํ นเี้ สมอๆ เพราะเทยี บเคียงกบั คํา “วนิ ยั และ
อภธิ รรม” ไมม่ ี “อนตฺ ” ปัจจัยต่อท้ายเป็นวินยันตปฎิ ก, อภิธมั มันตปิฎก จึงใช้ วนิ ย, สุตต และอภธิ รรม
และในนวังคสตั ถศุ าสน์จะพบคาํ ว่า “สตุ ตฺ ํ .. ไม่ใช่ สตุ ฺตนฺตํ
๓๒
จากการกสงฆ์ โดยวิธกี ารสังฆกรรม , สว่ นคัมภรี ์ท่เี ก่ยี วขอ้ งเป็นผลงานของเอกชนคอื พระ
อรรถกถาจารย์ เชน่ พระพทุ ธโฆสาจารย์ เปน็ ต้น ถงึ แม้ความเห็นอนื่ ใดท่เี ห็นว่า พระ
พุทธโฆสาจารย์เปน็ บรรณาธิการคมั ภรี ์อรรถกถาสําคัญๆ โดยมีคณะทํางานร่วมโดยไม่
ปรากฏนามกต็ าม แม้กระนน้ั กถ็ อื วา่ คมั ภรี ์อรรถกถาเป็นผลงานของเอกชน เพราะไมผ่ า่ น
กระบวนการทางสงั ฆกรรม ไม่ตอ้ งให้การกสงฆ์ลงมติอนมุ ัติ
๑.๔ ประเภทของวรรณคดบี าล๑ี ๙
วรรณคดบี าลีมีเนอ้ื หาสาระมากมายมหาศาลซึง่ เป็นทีต่ กลงกันแลว้ โดยทว่ั ไปวา่
หมายถงึ พระไตรปิฎก และคมั ภรี ท์ ี่เกี่ยว ขอ้ งกับพระไตรปฎิ กนนั้ ดว้ ย ในเชงิ ทฤษฎี เรา
สามารถแบ่งประเภทตามลกั ษณะทีป่ รากฏเปน็ ๒ ประเภท คือ ลกั ษณะของบท
ประพันธก์ บั ลกั ษณะของหลักคาสอน ซ่งึ ในแตล่ กั ษณะมรี ายละเอยี ดดังนี้
๑.๔.๑ ลกั ษณะของบทประพนั ธ์
พนโฺ ธ จ นาม สททฺ ตถฺ า สหิตา โทสวชชฺ ิตา
ปชฺชคชฺชวิมสิ ฺสานํ เภเทนายํ ตธิ า ภเว.
คาํ แปล : ศัพท์และอรรถท่ีกลมกลืนกนั ปราศจากโทษ (ความไม่ไพเราะทาง
ภาษา) ช่อื วา่ พนั ธะ กล่าวโดยประเภท มี ๓ ประเภท คือ ปัชชะ คัชชะ วิมสิ สะ
จากบทประพันธ์เป็นคาถาปัฐยาวัตรขา้ งต้นนจ้ี ะเห็นได้ว่า ท่านแบ่งวรรณคดบี าลี
ออกเปน็ ๓ ประเภท ตามลกั ษณะของบทประพนั ธ์ คือ
๑) ปัชชะ ร้อยกรอง
๒) คัชชะ รอ้ ยแก้ว
๓) วมิ สิ สะ ผสมกนั ระหว่างรอ้ ยกรองกบั ร้อยแก้ว
๑๙ ดดั แปลงมาจาก “วรรณคดบี าลี ๑”. ของไกรวุฒิ มะโนรตั น์ .(กรงุ เทพมหานคร: จรัญสนทิ
วงศ์การพมิ พ,์ ๒๕๔๙), หนา้ ๔๘-๖๒.
๓๓
แต่ละประเภทมีกฎเกณฑ์และแบบวธิ ีแสดงเนือ้ หาตามลกั ษณะของแม่บทของบท
ประพันธ์ ดงั น้ี
๑) ปัชชะ ร้อยกรอง คือ วรรณคดีบาลีประเภทเรียบเรียงถอ้ ยคาํ ให้เป็นระเบี ยบ
ตามบญั ญตั ิแห่งฉันทลักษณ์ ตามคมั ภีรส์ ทั ทนีติ และคัมภรี พ์ าลาวตารได้แบ่งปัชชะ
ออกเป็น ๒ ประเภท เรียกวา่ ฉันท์ คอื
(๑) วณฺณวุตตฺ ิ ฉันท์วรรณพฤติ ไดแ้ กฉ่ ันทท์ ี่กําหนดจํานวนอักษรหรือจาํ นวนคํา
ในบาทหนงึ่ ๆ
(๒) มตตฺ าวตุ ตฺ ิ ฉันท์มาตราพฤติ ได้แก่ฉนั ท์ท่กี ําหนดอตั ราคือจํา นวนครุ และลหุ
ในบาทหนึ่งๆ
อยา่ งไรก็ดี ผู้ท่ีจะประพนั ธ์วรรณคดบี าลอี ย่าง “ปัชชะ” ได้ดียิง่ นัน้ คมั ภรี ส์ โุ พธา
ลงั การ กลา่ ววา่ จะตอ้ งเป็นผู้เช่ยี วชาญในคมั ภีร์ ๔ อย่าง คอื
(๑) คมั ภรี ศ์ พั ทศาสตร์ ว่าด้วยเรือ่ งไวยากรณแ์ ละศัพท์ต่างๆ
(๒) คมั ภีร์นฆิ ัณฑศุ าสตร์ ว่าด้ว ยเรอ่ื งความหมายของศัพท์ ได้แก่ คัมภีร์อภิธาน
หรอื พจนานกุ รมบาลี
(๓) คมั ภีรฉ์ นั ทศาสตร์ ว่าด้วยเรอ่ื งราวของฉนั ท์ เช่น คัมภรี ว์ ตุ โตทยั และคมั ภีร์
ฉนั โทมัญชรี เปน็ ต้น
(๔) คัมภรี ์อลังการศาสตร์ วา่ ดว้ ยกระบวนการแต่งบาลี ลลี าการแตง่ ฉันท์ เชน่
คัมภีร์สโุ พธาลงั การ เ ปน็ ตน้ ซึง่ ศาสตรเ์ หลา่ นี้ไมใ่ ช่วรรณคดีบาลี แต่เปน็ ศาสตรภ์ าษา
บาลที ่เี ป็นอุปกรณ์ในการประพนั ธว์ รรณคดีบาลีเท่าน้นั
๒) คชั ชะ ร้อยแก้ว ความเรยี งท่สี ละสลวยไพเราะเหมาะเจาะดว้ ยเสียงและ
ความหมาย
วรรณคดปี ระเภทคชั ชะหรอื จุณณิยบท เปน็ งานประพนั ธ์ทเี่ ขยี นโดยวธิ เี ขียน
เรยี บๆ แสดงความคิดอยา่ งงดงาม ประณีตบรรจง พิถพี ถิ นั ในเรือ่ งกฎเกณฑ์ทาง
ไวยากรณ์ มงุ่ เนน้ ศพั ท์และอรรถเปน็ สําคัญ และกฎเกณฑท์ างไวยากรณ์ท่เี ปน็ กรอบ
แสดงเนอ้ื หาของวรรณคดบี าลีท่แี ต่งอยา่ งคัชชะ ก็คอื การเรียงประโยคและโครงสร้างของ
ประโยค ซง่ึ ประโยคในภาษาบาลอี าจแบง่ ได้ ๖ ประโยค คือ
(๑) ประโยคลิงคตั ถะ
๓๔
(๒) ประโยคกัตตวุ าจก
(๓) ประโยคกัมมวาจก
(๔) ประโยคภาววาจก
(๕) ประโยคเหตกุ ัตตวุ าจก และ
(๖) ประโยคเหตุกัมมวาจก
ประโยคเหล่าน้ีมีโครงสรา้ งเฉพาะ ในแต่ละประโยคมีองคป์ ระกอบของประโยค
มากบ้างนอ้ ยบ้าง ไมเ่ ทา่ กัน ท้งั นี้ ขนึ้ อยู่กับเนื้ อความน้นั ๆ เป็นสาํ คัญ โดยเฉพาะใน
ประโยคลิงคตั ถะ จะมีอยู่ ๒ ส่วน คือ บทประธานกับบทขยายประธาน ในประโยคภาว
วาจกกม็ ี ๒ ส่วน คอื บทประธานกับบทกิริยา ในประโยคนอกน้ันจะมีโครงสร้างใหญๆ่
สามสว่ นเป็นหลัก คือบทประธาน บทกรรม และบทกิรยิ า และในบางประโยคอาจมี
สว่ นย่อยอืน่ ๆ เ พิม่ อกี คอื บทขยายประธาน บทขยายกรรม และบทขยายกริ ยิ า รวมท้ัง
อาจมศี ัพท์ อาลปนะ และนบิ าตต่างๆ ในทน่ี จ้ี ะขอข้ามไป ไมข่ ยายความ
๓) วมิ สิ สะ ผสมกนั
บทประพนั ธบ์ ทหนง่ึ ๆ จะมีชีวิตชวี านนั้ ข้นึ อยกู่ ับปัจจยั หลายอย่างดว้ ยกัน
อารมณ์ ความรู้สกึ และเนอื้ เรื่อง เป็นปัจจัยที่มคี วามสาํ คัญอย่ไู ม่นอ้ ย
ปัชชะและคัชชะทง้ั ๒ น้มี ขี อ้ แตกตา่ งทส่ี ําคญั จนถอื ได้ว่าเป็นขอ้ ดีและข้อด้อย
ของแต่ละฝา่ ยตามลักษณะ ดงั นี้
ลกั ษณะแหง่ ปชั ชะ เปน็ การสร้างสรรค์ความงามข้ึนด้วยตวั อักษร เสียงและจงั หวะ
อันกอ่ ให้ผอู้ ่านมจี ินตนาการที่กว้างไกล มีความร้สู ึกส ะเทือนใจท่ีลกึ ซึง้ และเขม้ ขน้ แต่การ
สร้างงานลักษณะนี้จะตอ้ งอาศยั ความสนั ทดั และศิลปะในการเลอื กใช้ถอ้ ยคาํ เพ่อื จะสร้าง
ภาพและเสยี ง ให้มอี ิทธพิ ลจงู ใจผอู้ า่ นให้ร้สู กึ นึกเหน็ แล้วคิดคล้อยตามได้
ลักษณะแห่งคชั ชะ เป็นการสรา้ งสรรคค์ วามจรงิ ขึน้ จงึ เนน้ ความแจม่ ชัด ความ
ง่ายและรดั กมุ แม้มีสาํ นวนโวหารกเ็ ปน็ สาํ นวนโวหารทเ่ี ข้าใจได้ชดั เจนทนั ที
ปชั ชะและคัชชะ ๒ ประการนี้ นอกจากจะมรี ูปแบบการประพนั ธ์ที่แตกตา่ งกัน
แลว้ เนอ้ื หาซึง่ เปน็ สารตั ถะทน่ี ําเสนอกแ็ ตกตา่ งกนั ด้วย
สําหรับผทู้ ยี่ งั มิได้สันทัดฉันทลกั ษณ์แล้ว จัดวา่ เปน็ การสกัดก้ันวิธเี ลื อกใชค้ าํ ให้
ตรงกับความหมายหรอื อารมณ์ของตน และผู้ประพันธ์เองจะเพลิดเพลนิ อย่กู ับการเล่นคํา
และเสยี ง จนลืมหรอื มองขา้ มความสําเร็จของเนอ้ื หากลายเป็นทศั นะ “รปู แบบนิยม” ท่ถี ือ
๓๕
วา่ รปู แบบคอื ส่ิงทก่ี าํ หนดเนอื้ หา การคัดเนื้อหาก็เพอื่ จะนาํ มาเสรมิ ความมศี ิลปข์ อง
รปู แบบเทา่ นนั้ แตห่ ากเน้นเนอ้ื หาสาระและมองข้ามความสาํ คัญของรูปแบบอันเป็นทศั นะ
“วตั ถนุ ยิ มสามานย์” ทถี่ ือว่ารปู แบบเปน็ เพยี งการตกแต่งรปู ภายนอกของเนอ้ื หาทาง
ประวตั ิศาสตรท์ ีส่ ลับซบั ซอ้ นเท่านนั้ บทประพนั ธ์นั้นก็ไม่มีชีวติ และอารมณท์ ี่แสดงออกมา
กจ็ ะตายดา้ น นี้เปน็ ปญั หาระหว่าง “รปู แบบ” และเน้อื หา ทไ่ี ดร้ บั การยกขึ้นสเู่ วทีอภิปราย
มาหลายทศวรรษแล้ว
ดังนั้น วมิ สิ สะจึงเปน็ ตัวเลอื กระหวา่ งรปู แบบและเน้อื หาท่ีผูป้ ระพนั ธจ์ ะส่งสาร
ไปสูผ่ ู้อา่ นอกี วธิ หี น่งึ
๑.๔.๒ ลักษณะของหลกั คาสอน
“พหุ โข ภกิ ขฺ เว มยา ธมฺมา เทสติ า สุตตฺ ํ เคยฺยํ เวยยฺ ากรณํ
คาถา อทุ านํ อติ ิวตุ ฺตกํ ชาตกํ อพฺภูตธมฺมํ เวทลฺลนฺติ
คาํ แปล : ภกิ ษทุ ้งั หลาย ธรรมท้ังหลายมากแลอันเราแสดงแลว้ คือสุตตะ เคยยะ
เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อพั ภูตธรรม เวทัลละ”
จากพุทธพจน์ข้างตน้ นี้ทาํ ให้ทราบว่า มแี บบวิธแี สดงเน้ื อหาตามลักษณะของคาํ
สอน ๙ ประการ เรยี กว่า นวงั คสัตถุศาสน์ คําน้พี ระธรรมปฎิ กอธบิ ายความไวด้ ังนี้
นวังคสตั ถศุ าสน์ หมายถงึ คาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ มีลักษณะ ๙ รูปแบบคือ
๑) สุตตฺ ํ ไดแ้ ก่ อภุ โตวิภังค์ นทิ เทส ขนั ธกะ ปรวิ าร พระสตู รในสตุ ตนบิ าต และ
พทุ ธวจนะอน่ื ๆ ท่มี ีชอื่ ว่ าสตุ ตะ หรือสุตตนั ตะ กลา่ วงา่ ยๆ คือวนิ ยั ปิฎก คัมภีร์นทิ เทสท้ัง
สอง และพระสตู รทงั้ หลาย
๒) เคยฺยํ ได้แก่ ความที่มีรอ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรองผสมกนั หมายเอาพระสตู รท่มี ี
คาถาท้ังหมด โดยเฉพาะสคาถวรรคในสังยุตตนกิ าย
๓) เวยยฺ ากรณํ ไดแ้ ก่ ความรอ้ ยแกว้ ลว้ น หมายเอาพระอภิธรรม ปฎิ กทัง้ หมด
พระสตู รท่ไี ม่มคี าถา และพทุ ธพจน์อน่ื ใดทีไ่ ม่จดั เข้าในองค์ ๘ ข้อทเี่ หลอื
๔) คาถา ไดแ้ ก่ ความร้อยกรองลว้ น หมายเอาพระธรรมบท เถรคาถา เถรคี าถา
และคาถาล้วนในสุตตนบิ าตทีไ่ มม่ ชี ือ่ วา่ เปน็ สตู ร
๕) อทุ านํ ไดแ้ ก่ พระคาถาทที่ รงเปล่งด้วยพระหฤทยั สหรคตดว้ ยโสม นัสสัมปยุต
ด้วยญาณ พร้อมทง้ั ขอ้ ความอันประกอบอยดู่ ว้ ย รวมเป็นพระสูตร ๘๒ สตู ร
๖) อิตวิ ตุ ตฺ กํ ไดแ้ ก่ พระสตู ร ๑๑๐ สตู รซง่ึ ตรัสโดยนยั ทขี่ นึ้ ต้นว่า วตุ ตฺ ํ เหตํ ภคว
ตา หรอื วุตตฺ ญเฺ หตํ ภควตา
๓๖
๗) ชาตกํ ได้แก่ ชาดก ๕๕๐ เรอื่ งมอี ปัณณกชาดก เป็นตน้
๘) อพภฺ ตู ธมมฺ ํ คือเรื่องอศั จรรย์ ได้แก่พระสูตรท่ีว่าด้วยข้ออศั จรรย์ ไมเ่ คยมี ทุก
สตู ร เช่นทตี่ รสั วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย ขอ้ อัศจรรยไ์ ม่เคยมี ๔ อยา่ งน้ี หาไดใ้ นอานนท์ ” ดงั น้ี
เปน็ ต้น
๙) เวทลลฺ ํ ได้แก่ พระสตู รแบบถามตอบ ซึง่ ผู้ถามได้ทัง้ ความรูแ้ ละความพอใจ
ถามต่อๆ ไป เชน่ จฬู เวทลั ลสู ตร มหาเวทัลลสตู ร สมั มาทฏิ ฐสิ ูตร สักกปัญหสตู ร สังขาร
ภาชนียสูตร และมหาปณุ ณมสตู ร เปน็ ตน้
คาํ ว่านวังคสตั ถุสาสนน์ ี้ เปน็ คําใหมร่ ุน่ คมั ภรี อ์ ปทาน พุทธวงศแ์ ละอรรถกถา
ทั้งหลาย บางทเี รยี กว่าชินสาสนบ์ า้ ง พทุ ธวจนะบา้ ง สว่ นในบาลที ่ีมาทง้ั หลาย เรยี กวา่
ธรรมบ้าง เรยี กว่าสตุ ะบ้าง
แตเ่ ม่อื ยอมรับกนั มาวา่ คัมภีรต์ า่ งๆ ท่แี ต่งด้วยภาษาบาลีหรือภาษามคธเรียกวา่
วรรณคดีบาลีแล้ว วรรณคดีบาลจี ึงสามารถแยกประเภทไดอ้ กี ๒ ประเภท คือ
๑) ประเภทเปน็ พระไตรปฎิ ก
๒) ประเภททไ่ี มเ่ ปน็ พระไตรปิฎก
ซึง่ แต่ละประเภทน้จี ะได้กลา่ วถงึ ในบทต่อๆ ไป
สรปุ ทา้ ยบท
วรรณคดีบาลี หมายถึง พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา โยชนา และปกรณ์
วิเสส รวมถงึ วรรณกรรมพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทอ่นื ๆ ที่เขียนด้วยภาษาบาลที ี่พระมหา
เถระทั้งหลายมีพระมหากัสสปเถระ เป็นต้น ไดย้ กพระธรรมและพระวนิ ยั อนั เป็นพุทธ
วจนะด้งั เดมิ สู่ “มหาสังคีติ” แล้วถา่ ยทอดสืบต่อกันมาดว้ ยวธิ มี ุขปาฐะ คอื ทอ่ งจาํ ปากเปล่า
และได้จารจารกึ เปน็ ลายลักษณ์อักษรลงบนใบลานเป็นครง้ั แรกด้วย “อกั ษรสิงหล” เม่ือ
คราวสังคายนาครงั้ ท่ี ๕ ประมาณปี พ.ศ.๔๓๓ ณ ประเทศศรลี งั กา ในรัชสมยั ของพระเจา้
วัฏฏคามิณีอภยั จากน้นั ประเทศพทุ ธศาสนานิกายเถรวาทจงึ ไดค้ ดั ลอกเ ป็นอกั ษร
แห่งชาตขิ องตนสืบต่อกันมา
วรรณคดีบาลี เปน็ หนงั สือหรอื เรือ่ งราวทีว่ างอยบู่ นพืน้ ฐานของความจรงิ ความ
งาม และความดี อันมคี ําอธบิ ายที่ประกอบดว้ ยเหตุผลและขอ้ เท็จจริง และส่วนหน่งึ อาจ
แสดงอารมณ์ ความรสู้ กึ นึกคดิ ความบันดาลใจ และจนิ ตนาการทสี่ ะท้อนถ่ายความ
๓๗
ชดั เจนของชีวิตและโลก วรรณคดบี าลมี ี ๒ ประเภท คือ วรรณคดีบาลีทเี่ ปน็ พระไตรปฎิ ก
ไดแ้ ก่ คัมภรี ์พระไตรปฎิ ก กบั วรรณคดีบาลีทม่ี ใิ ช่พระไตรปิฎก ได้แก่ คมั ภรี อ์ รรถกถา
ฎีกา อนฎุ ีกา โยชนา ปกรณว์ ิเสส และวรรณกรรมพุทธศาสนานิกายเถรวาทอื่นๆ
๓๘
คาถามท้ายบท
๑. วรรณคดีบาลคี ืออะไร จงอธิบาย
๒. ตามหลักวิชากรฝา่ ยบาลไี ดใ้ หค้ วามหมายของวรรณคดีบาลไี วอ้ ยา่ งไร จงบอก
ความหมาย
๓. ตามหลักวิชาการของอินเดียไดใ้ ห้ความหมายของบาลีไว้อย่างไร จงบอกความหมาย
๔. ลกั ษณะของวรรณคดีบาลคี ืออะไร จงอธิบาย
๕. นกั ปราชญ์และกวีภาษาบาลีไดใ้ หท้ ัศนะเกี่ยวกับลักษณะวรรณคดีอยา่ งไรบ้าง จง
อธิบาย
๖. ทัศนะต่างๆ ในวรรณคดบี าลมี ีอยา่ งไรบ้าง จงอธิบาย
๗. ประเภทของวรรณคดีบาลจี าํ แนกได้อยา่ งไร จงจาํ แนกประเภท
๘. วรรณคดบี าลีประเภทบทประพนั ธ์ จาํ แนกได้อย่างไรบา้ ง
๙. วรรณคดีบาลีประเภทหลักคําสอน จําแนกไวอ้ ยา่ งไรบา้ ง
๓๙
เอกสารอ้างอิงประจาบท
ไกรวุฒิ มะโนรัตน์ . วรรณคดีบาลี ๑. เอกสารโรเนียวเย็บเลม่ . กรุงเทพ : มหาจฬุ า
บรรณา คาร, ๒๕๔๕
พระศรวี สิ ุทธพิ งศแ์ ละวชิ านนท์. ความรเู้ รือ่ งภาษาบาลี. พิมพเ์ ปน็ มุทิตาสกั การะเน่อื งในวโรกาส สม
โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๑.
พระอดุ รคณาธกิ าร (ชวนิ ทร์ สระคาํ ). ประวตั ิศาสตร์พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย. พิมพ์
ครงั้ ที่ ๒ กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๔.
สนทิ ตง้ั ทวี . วรรณคดีและวรรณกรรมศาสนา. กรงุ เทพมหานคร : สํานกั พมิ พ์โอ
เดียนส โตร,์ ๒๕๒๗.
สภุ าพรรณ ณ บางชา้ ง. ประวตั วิ รรณคดีบาลใี นอนิ เดียและลังกา. กรงุ เทพมหานคร :
ศักดิโสภาการพมิ พ์, ๒๕๒๖.
เสถยี ร โพธนิ นั ทะ. ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. พมิ พ์ครั้งท่ี ๓ กรงุ เทพมหานคร :
หา้ งหุน้ ส่วนจํากดั สอ่ื การคา้ (แผนกการพิมพ์), ๒๕๒๒.
เสนาะ ผดงุ ฉัตร. ความรู้เบอื้ งต้นเก่ียวกับวรรณคดีบาลี. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์
มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๒.
แสง มนวทิ รู (ผู้แปล). ชินกาลมาลีปกรณ์. พิมพค์ รั้งที่ ๒ กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์
มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐.
Natavarlal Joshi. Poetry, Creative and Aesthetic Experience. (Sanskrit Poetics and Literatu
Wilhem Geiger. Pali Literature and Language. 3rd Reprinted. Oriental Books Reprint Corporati
บทท่ี ๒
พระไตรปิฎก
พระมหาไพโรจน์ กนโก
อาจารย์วัฒนะ กลั ยาณพ์ ัฒนกลุ
๔๐
วัตถุประสงค์การเรยี นประจาบท
เม่อื ได้ศกึ ษาเน้อื หาในบทน้แี ล้ว นสิ ติ สามารถ
๑. อธบิ ายความหมายของพระไตรปฎิ กได้
๒. วิเคราะห์ความสาํ คญั ของพระไตรปฎิ กได้
๓. สรุปสาระสําคัญของพระไตรปฎิ กได้
๔. อธิบายกาํ เนดิ และพัฒนาการของพระไตรปิฎกได้
ขอบข่ายเนื้อหา
ความนาํ
ความหมายของพระไตรปิฎก
ความสําคญั ของพระไตรปิฎก
สาระสาํ คญั ของพระไตรปิฎก
กาํ เนิดและพฒั นาการของพระไตรปฎิ ก
๔๑
๒.๑ ความนา
วรรณคดีบาลที หี่ มายถงึ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา โยชนา และปกรณ์
วิเสส รวมถึงวรรณกรรมพุทธศาสนานกิ ายเถรวาทอืน่ ๆ เปน็ คมั ภรี ์หรอื เรือ่ งราวทว่ี างอยู่
บนพืน้ ฐานของความจริง ความงาม และความดี อันมคี าํ อธบิ ายทีป่ ระกอบด้วยเหตผุ ลและ
ขอ้ เทจ็ จริง อกี ส่วนหนงึ่ อาจแสดงอารมณ์ ความรสู้ กึ นกึ คิด แรงบันดาลใจ และจนิ ตนาการ
ท่ีสะทอ้ นถ่ายความชดั เจนของชวี ิตและโลก คัมภรี ์ซึ่งประมวลลักษณะทางเน้ือหาดงั กล่าว
น้ี ไดแ้ ก่ วรรณคดบี าลีประเภทพระไตรปฎิ ก และวรรณคดบี าลีประเภททมี่ ิใช่
พระไตรปฎิ ก ซึ่งในบทที่ ๒ น้ี จะไดก้ ลา่ วถงึ วรรณคดีประเภทพระไตรปิฎกต่อไป
๒.๒ ความหมายของพระไตรปฎิ ก
พระไตรปิฎก มีความหมายตามรูปศพั ท์วา่ กระจาดหรือตะกร้า ๓ ใบ คําวา่ ไตร
แปลว่า ๓ และคาํ วา่ ปิฎก แปลว่า ก ระจาด ตะกร้า เม่ือรวมกันเขา้ จึงแปลว่า ตะกรา้ ๓
ใบ คือ
ตะกรา้ ใบท่ี ๑ บรรจุพระวินัย เรียกวา่ พระวินยั ปฎิ ก
ตะกรา้ ใบท่ี ๒ บรรจพุ ระสูตร เรยี กวา่ พระสตุ ตนั ตปิฎก
ตะกรา้ ใบที่ ๓ บรรจพุ ระอภิธรรม เรียกวา่ พระอภธิ รรมปฎิ ก
พระไตรปิฎก มคี วามหมายตามเน้อื หา หมายถงึ คั มภีรท์ ี่บรรจพุ ทุ ธพจน์และ
เรือ่ งราวชนั้ เดมิ ของพระพทุ ธศาสนา ๓ ชดุ หรือ ประมวลแหง่ คมั ภีรท์ ่รี วบรวมพระธรรม
วินัย ๓ หมวด กล่าวคือ พระวนิ ัยปฎิ ก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก”๒๐
๒๐ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศพั ท์ , พมิ พค์ รั้งที่
๑๐, (กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั เอส. อาร์. พร้นิ ตง้ิ แมส โปรดักส์ จาํ กัด, ๒๕๔๖), หน้า ๖๐.
๔๒
๒.๓ ความสาคัญของพระไตรปฎิ ก
พระไตรปิฎกเปน็ คัมภีรท์ างพทุ ธศาสนาท่ีเกา่ แกท่ ่ีสดุ ถา้ หากจะนับอายขุ องคัมภรี ์
กนั แล้วกม็ อี ายไุ มน่ อ้ ยกว่า ๒,๓๐๐ ปี พระไตรปิฎก คอื คัมภีร์ทป่ี ระมวลเอาคาํ ส่ังสอน
ของพระสมั มาสัมพุทธเจา้ มาจารึกไว้ มีความสําคญั กลา่ วโดยย่อ ดงั นี้
๑) พระไตรปิฎกเปน็ ทรี่ วมไวซ้ ึ่งพระพุทธพจน์ อันเป็นคําสัง่ สอนของ
พระพทุ ธเจา้ ทพ่ี ระองคไ์ ด้ตรัสไว้เองซ่ึงตกทอดมาถึงสมัยปจั จบุ นั ทาํ ให้ชาวพุทธรูจ้ กั คํา
สอนของพระพทุ ธเจ้าจากพระไตรปิฎกเปน็ สําคัญ
๒) พระไตรปฎิ กเป็นท่ีสถิตของพระศาสดาของพุทธศาสนกิ ชน เพราะเปน็ ที่
บรรจพุ ระธรรมวินยั ท่พี ระพทุ ธเจ้าตรสั ไวใ้ ห้เปน็ ศาสดาแทนพระองค์ ชาวพทุ ธจะเฝา้ หรือ
รจู้ ักพระพุทธเจา้ ไดจ้ ากพระดํารสั ของพระองค์ทที่ า่ นรกั ษากันไว้ในพระไตรปฎิ ก
๓) พระไตรปิฎกเปน็ แหลง่ ตน้ เดมิ ของคาํ สอนในพระพทุ ธศาสนา คาํ สอน
คําอธิบาย คมั ภรี ์ หนงั สอื ตําราทอี่ าจารยแ์ ละนักปราชญ์ท้งั หลายพูด กล่าวหรอื เรียบเรยี ง
ไว้ที่จดั ว่าเป็นของในพระพุทธศาสนา จะต้องสบื ขยายออกมาและเป็นไปตามคาํ สอน
แมบ่ ทในพระไตรปฎิ ก ทเ่ี ปน็ ฐานหรอื เป็นแหลง่ ต้นเดิม
๔) พระไตรปฎิ กเป็นหลกั ฐานอา้ งองิ ในการแสดงหรอื ยนื ยันหลกั การทีก่ ล่าวว่า
เป็นพระพทุ ธศาสนาจะเปน็ ท่นี ่าเช่ือถือหรือยอมรบั ได้ด้วยดี เมอื่ อ้างอิงหลกั ฐานใน
พระไตรปฎิ ก ซง่ึ ถือว่าเปน็ หลกั ฐานอ้างอิงขน้ั สงู สดุ หรือปฐมภูมิ
๕) พระไตรปฎิ กเปน็ มาตรฐานตรวจสอบคาํ สอนในพระพุทธศาสนา คาํ สอนหรอื
คํากลา่ วใดๆ ทีจ่ ะถือว่าเปน็ คําสอนในพระพุทธศาสนาได้ จะต้องสอดคล้องกบั พระธรรม
วินยั ซ่งึ มีมาในพระไตรปฎิ ก (แม้แต่คําหรือข้อความในพระไตรปิฎกเอง ถ้าสว่ นใดถกู
สงสยั ว่าจะแปลกปลอม กต็ รวจสอบด้วยคําสอนทั่วไปในพระไตรปิฎก)
๖) พระไตรปิฎกเปน็ มาตรฐานตรวจสอบความเชื่อถือและข้อปฏิบัติใน
พระพุทธศาสนา ความเชื่อถอื หรือข้อปฏิบัติตลอดจนพฤติกรรมใดๆ จะวนิ ิจฉยั วา่ ถูกต้อง
หรอื ผิดพลาดเป็นพระพทุ ธศาสนาหรอื ไม่ กโ็ ดยอาศยั พระธรรมวนิ ยั ท่มี ีมาในพระไตรปฎิ ก
เปน็ เคร่อื งตดั สนิ
ดว้ ยเหตุดังกลา่ วมาน้ี การศกึ ษาค้นควา้ พระไตรปิฎกจงึ เปน็ กจิ สําคัญย่งิ ของชาว
พทุ ธ ถอื ว่าเปน็ การสืบตอ่ อายพุ ระพุทธศาสนา หรือเป็นความดํารงอยู่ของ
๔๓
พระพทุ ธศาสนากลา่ วคอื ถา้ ยังมีการศึกษาค้นควา้ พระไตรปฎิ กเพือ่ นาํ ไปใช้ปฏบิ ัติ
พระพุทธศาสนากย็ ังดาํ รงอยู่ แตถ่ า้ ไมม่ ีการศึกษาคน้ คว้าพระไตรปฎิ ก แม้จะมกี ารปฏิบตั ิ
ก็จะไม่เป็นไปตามหลักการของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาก็จะไมด่ าํ รงอย่คู ือจะ
เสอ่ื มสญู ไป
นอกจากความสาํ คัญในทางพระพทุ ธศาสนาโดยตรงแล้วพระไตรปิฎกยังมคี ณุ คา่
ท่ีสําคัญในด้านอืน่ ๆ อีกมาก โดยเฉพาะ
๑) เปน็ ทีบ่ นั ทึกหลักฐานเก่ียวกับลัทธิ ความเชอ่ื ถอื ศาสนา ปรัชญา วฒั นธรรม
ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราว เหตกุ ารณ์และถ่นิ ฐาน เช่น แวน่ แควน้ ตา่ งๆ ในยุค
อดตี ไว้เปน็ อนั มาก
๒) เปน็ แหลง่ ท่ีสําหรับสืบคน้ แนวความคิดทส่ี ัมพนั ธ์กับวิชาการตา่ งๆ เนอ่ื งจาก
คาํ สอนในพระธรรมวนิ ัยมเี นอ้ื หาสาระเกย่ี วโยง หรอื ครอบคลุมถงึ วิชาการหลายอย่าง เชน่
จติ วิทยา กฎหมาย การปกครอง เศรษฐกิจ เปน็ ต้น
๓) เปน็ แหล่งเดิมของคาํ ศพั ทบ์ าลีที่นํามาใชใ้ นภาษาไทย เน่อื งจากภาษาบาลี
เป็นรากฐานสาํ คัญสว่ นหนึ่งของภาษาไทย การศึกษาค้นคว้าพระไตรปฎิ กจึงมีอุปการะ
พเิ ศษแก่การศกึ ษาภาษาไทย
รวมความว่า การศกึ ษาคน้ คว้าพระไตรปฎิ กมีคุณค่าสาคญั ไม่เฉพาะแตใ่ น
การศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาเทา่ น้นั แตอ่ านวยประโยชน์ทางวิชาการในด้านตา่ งๆ
มากมาย เช่น ภาษาไทย ภูมิศาสตร์ ประวัตศิ าสตร์ สงั คมวทิ ยา มานุษยวทิ ยา
โบราณคดี รฐั ศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ นิตศิ าสตร์ ศึกษาศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา และ
จิตวิทยา เป็นต้น๒๑
ดังนนั้ คัมภีรพ์ ระไตรปิฎกจึงเป็นที่รวมของศาสตรท์ ้งั หลาย ไมว่ า่ จะเป็นศาสน
ศาสตร์ สงั คมศาสตร์ ภาษาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ จิตศาสตร์ จรยิ ศาสตร์ จกั วาลวิทยา
ตรรกวทิ ยา โลกวิทยา มานุษยวิทยา เราสามารถศกึ ษาหาความรไู้ ด้จากพระไตรปิฎก ๒๒
๒๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต), รู้จกั พระไตรปิฎกเพอ่ื เป็นชาวพุทธท่แี ท,้ พิมพ์ครงั้ ที่ ๒,
(กรุงเทพมหานคร : พิมพท์ ี่ เอดิสัน เพรส์ โปรดกั ส,์ ๒๕๔๓), หน้า ๒๘.
๒๒ พระราชกวี (เกษม สญฺ โต), พระไตรปิฎกวจิ ารณ,์ (กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัท คอมแพคท์
พรน้ิ ท์ จํากัด, ๒๕๔๓), หนา้ ๒.
๔๔
๒.๔ สาระสาคญั ของพระไตรปิฎก
สาระสาํ คญั ของพระไตรปิฎกแต่ละปฎิ กมดี งั นี้
๑) พระวนิ ัยปฎิ ก ประมวลพุทธพจน์หมวดพระวินยั คือพทุ ธบัญญัติเกย่ี วกับ
ความประพฤติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและการดาํ เนินกิจการต่างๆ ของภิกษสุ งฆ์
และภิกษุณีสงฆ์
๒) พระสตุ ตันตปิฎก ประมวลพุทธพจนห์ มวดพระสูตร คอื พระธรรมเทศนา คาํ
บรรยายหรอื อธบิ ายธรรมต่างๆ ท่ตี รสั ยักเย้ืองใหเ้ หมาะกบั บุคคลและโอกาส ตลอดจนบท
ประพันธ์ เร่อื งเลา่ และเร่อื งราวทง้ั หลายท่เี ปน็ ช้ันเดมิ ในพระพุทธศาสนา
๓) พระอภธิ รรมปฎิ ก ประมวลพทุ ธพจน์หมวดพระอภธิ รรม คอื หลักธรรมและ
คําอธบิ ายทเี่ ป็นเนื้อหาธรรมะลว้ นๆ ไม่เกีย่ วด้วยบคุ คลหรือเหตุการณ์
ในคมั ภีร์สมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวนิ ัยปิฎกไดอ้ ธบิ ายสรปุ สาระสาํ คญั ของ
พระไตรปฎิ กท่ีเป็นลกั ษณะสําคัญของพระพทุ ธศาสนาไว้ ๕ นยั ดังน้ี
นัยท่ี ๑
๑) พระวนิ ยั ปิฎก เปน็ อาณาเทศนา คือการแสดงธรรมในลักษณะต้ังเป็น
ข้อบังคับโดยส่วนใหญ่
๒) พระสุตตันตปิฎก เป็นโวหา รเทศนา คอื การแสดงธรรมยักยา้ ยสาํ นวนให้
เหมาะสมแกจ่ ริตอธั ยาศยั ของผู้ฟัง
๓) พระอภิธรรมปฎิ ก เป็นปรมัตถเทศนา คือการแสดงธรรมเจาะจงเฉพาะ
ประโยชนอ์ ยา่ งย่ิง คอื มงุ่ ชสี้ ภาวะคือความจรงิ เป็นใหญ่
นัยที่ ๒
๑) พระวินยั ปิฎก เป็นยถาปราธสาธนะ คอื การสอนธรรมตามความผดิ หรอื
โทษานโุ ทษท่พี งึ งดเวน้
๒) พระสุตตนั ตปฎิ ก เป็นยถานโุ ลมสาธนะ คือ การสอนโดยอนุโลมแก่จรติ
อัธยาศัยของผฟู้ ังซ่ึงมีต่างๆ กนั
๓) พระอภธิ รรมปิฎก เป็นยถาธัมมสาธนะ คอื การสอนตามเนื้อหาแท้ๆ ของ
ธรรมะ
๔๕
นัยที่ ๓
๑) พระวนิ ัยปฎิ ก เป็นสงั วราวรกถา คอื ถ้อยคาํ ท่วี ่าด้วยความสําร วมและไม่
สาํ รวม
๒) พระสตุ ตนั ตปิฎก เป็นทิฏฐินิเวฐนกถา คอื ถอ้ ยคําทส่ี อนให้ผ่อนคลาย “ทิฏฐิ”
คอื ความเหน็ ผิด
๓) พระอภิธรรมปฎิ ก เปน็ นามรปู ปริจเฉทกถา คอื ถ้อยคาํ ทส่ี อนให้กําหนดนาม
และรูป คอื รา่ งกายและจติ ใจ
นยั ที่ ๔
๑) พระวนิ ัยปฎิ ก เปน็ อธิศลี สิกขา คือ ข้อศึกษาเกยี่ วกับศีลชนั้ สูง
๒) พระสตุ ตนั ตปิฎก เปน็ อธิจิตตสกิ ขา คอื ขอ้ ศึกษาเกีย่ วกับสมาธิช้นั สูง
๓) พระอภธิ รรมปฎิ ก เป็นอธิปญั ญาสกิ ขา คอื ข้อศกึ ษาเก่ียวกับปัญญาชั้นสูง
นยั ท่ี ๕
๑) พระวินยั ปิฎก เปน็ วตี กิ มปหาน คอื เครอื่ งละกเิ ลสอย่างหยาบทเี่ ปน็ เหตุให้
ลว่ งละเมิดศลี
๒) พระสุตตันตปฎิ ก เปน็ ปรยิ ฏุ ฐานปหาน คือ เครอ่ื งละกเิ ลสอย่างกลาง อนั รึง
รดั จิต ได้แก่ นวิ รณค์ ือกเิ ลสอันก้นั จิตไม่ไดเ้ ป็นสมาธิ
๓) พระอภธิ รรมปิฎก เป็นอนุสยปหาน คอื เคร่ืองละกิเลสอยา่ งละเอยี ด อันไดแ้ ก่
กิเลสท่ีนอนอย่ใู นสันดานเหมอื นตะกอนนอนก้นตุม่
สรุปสาระสาํ คญั ทงั้ ๕ นัยข้างตน้ นี้ ไดด้ ังน้ี
๑) พระวนิ ยั ปฎิ ก ได้แก่ พุทธพจน์ที่ทรงสอนให้มีศลี สมบตั ิ
๒) พระสตุ ตันตปิฎก ได้แก่ พุทธพจน์ทที่ รงสอนใหม้ สี มาธิสมบัติ
๓) พระอภิธรรมปฎิ ก ได้แก่ พุทธพจน์ที่ทรงสอนให้มีปญั ญาสมบตั ิ๒๓
๒๓ ไกรวฒุ ิ มะโนรัตน์, วรรณคดีบาลี ๑, (กรงุ เทพมหานคร : จรญั สนิทวงษ์การพมิ พ,์ ๒๕๔๙),
หน้า ๗๑-๗๒.
๔๖
๒.๕ กาเนิดและพฒั นาการของพระไตรปฎิ ก
พระไตรปิฎก มีกาํ เนดิ และพฒั นาการมาจากหลักธรรมคําสอนของพระพุทธเจา้ ที่
เรียกว่า “พทุ ธพจน์” ซง่ึ แบ่งเป็น ๓ ตอน คือ ปฐมพทุ ธพจน์ มชั ฌมิ พุทธพจน์ และ
ปัจฉิมพทุ ธพจน์๒๔ พระอทุ านทีพ่ ระพุทธองค์ตรัสเปลง่ ออกครง้ั แรกเมือ่ แรกตรัสรู้ ณ
มหาโพธบิ ัลลังกว์ ่า
“เมอ่ื ใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแกพ่ ราหมณ์ผ้มู คี วามเพยี รเพง่ อยู่ เม่ือน้นั ความ
สงสัยท้ังปวงของพราหมณน์ ้นั ย่อมดบั ไปเพราะมารธู้ รรม (โพธปิ กั ขยิ ธรรม ) พร้อมทั้ง
เหตุ”
“เมื่อใดแล ธรรมท้ังหลายปรากฏแกพ่ ราหมณ์ ผมู้ ีความเพียร เพง่ อยู่ เมื่อนัน้
ความสงสยั ทงั้ ปวงของพราหมณน์ ัน้ ยอ่ มส้ินไปเพราะไดร้ ู้ความสิน้ ไปแหง่ ปจั จยั ทง้ั หลาย”
“เมอื่ ใดแล ธรรมท้ังหลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มคี วามเพียร เพ่งอยู่ เมื่อนัน้
พราหมณน์ ้นั ยอ่ มกาํ จดั มารและเสนามาร (กาม) เสยี ได้ ดุจพระอาทติ ยอ์ ทุ ยั ข้นึ สอ่ ง
ทอ้ งฟา้ ให้สวา่ งไสว ฉะน้ัน” จัดเปน็ ปฐมพุทธพจน์
คําสอนทพี่ ระพทุ ธองคต์ รสั เตือนเหล่าภกิ ษุในพรรษาท่ี ๔๕ ซึ่งเปน็ พรรษาสดุ ทา้ ย
แหง่ พระชนมช์ ีพขณะทรงประชวรอย่างหนกั ก่อนพุทธปรินิพพานว่า “ภิกษุทั้งหลาย
บดั น้ี เราขอเตือนเธอทง้ั หลายว่า สังขารท้งั หลาย มีความเส่อื มไปเป็นธรรมดา เธอ
ท้ังหลายจงทาํ หน้าที่ให้สาํ เร็จดว้ ยความไม่ประมาทเถิด” จดั เป็น ปจั ฉิมพทุ ธพจน์ พระ
สทั ธรรมอันประกาศอมตธรรมท่ีพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ตลอด ๔๕ พรรษา ซึ่งอยู่
ระหวา่ งปฐมพุทธพจน์และปัจฉมิ พทุ ธพจน์นั้น จดั เป็น “มชั ฌิมพุทธพจน์”
พุทธพจนเ์ หล่าน้ีไดร้ ับการรวบรวมและรักษาสบื ทอดกันมาในสงิ่ ที่เรียกว่า
“คมั ภรี ์” ซงึ่ ในพระพทุ ธศาสนา เรียกคมั ภรี ์ทร่ี กั ษาคํา สอนของพระพุทธเจา้ ซ่ึงเปน็ พระ
ศาสดาของพระพุทธศาสนาวา่ “พระไตรปิฎก” คัมภรี ์พระไตรปิฎกมปี ระวตั ิความเปน็ มา
โดยสงั เขป ดงั น้ี
สมยั ท่ีพระพุทธเจ้ายงั ทรงพระชนม์อยูน่ ้ัน พระองคท์ รงเทศนาโปรดเวไนยสัตว์
และทรงบัญญตั สิ ิกขาบทต่างๆ ตามเวลาและสถานทีท่ ่ีแตกตา่ งกัน คําสัง่ สอน เหลา่ นน้ั
๒๔ เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ ๗๒.
๔๗
ในช่วงตน้ พทุ ธกาลเรียกวา่ “พรหมจรรย์” ซึง่ พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่า ไดแ้ ก่ “ศาส
นพรหมจรรย์” คอื คําสอนในพระพุทธศาสนาท้ังหมดที่รวมลงในไตรสกิ ขา ดงั พระวาจาที่
ตรสั ในคร้งั ที่จะส่งพระอรหันตสาวก ๖๐ องคเ์ พื่อไปประกาศ “พรหมจรรย์” ว่า
“ จรถ ภิกฺขเว จารกิ พหุ ชนหติ าย พหชุ นสุขาย โลกานกุ มฺปาย อตถฺ าย หิ
ตาย สขุ าย เทวมนุสฺสาน เทเสถ ธมมฺ อาทิกลยฺ าณ มชฺเฌกลยฺ าณ ปริโยสานกลฺ
ยาณ สาตฺถ สพยฺ ญชฺ น เกวลปรปิ ณุ ณฺ ปรสิ ทุ ธฺ พฺรหฺมจรยิ ปกาเสถ ” อา้ ง วิ.ม.
(บาล)ี ๔
ภกิ ษทุ ั้งหลาย เธอทั้งหลายจงจาริกไปเพ่อื ประโยชน์สขุ แก่ มหาชน เพอ่ื
อนุเคราะห์ชาวโลก เพ่ือประโยชนเ์ กอ้ื กลู และความสขุ แกเ่ ทวดาและมนุษย์ทง้ั หลาย จง
แสดงธรรม มีความงามในเบ้อื งต้น (งามดว้ ยอธศิ ีลสกิ ขา) งามในทามกลาง (งามด้วยอธิ
จิตสิกขา) และงามในทีส่ ุด (งามดว้ ยปญั ญาสิกขา) จงประกาศ พรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ
และพยัญชนะบรสิ ุทธิบ์ ริบูรณ์”๒๕
ชว่ งกลางก็มใี ช้เรียกขานคาํ สอนดังกล่าวข้างตน้ วา่ “ธรรมและวินัย” ดงั มีพุทธ
วจนะตรสั ตอบพระอานนท์พทุ ธอนชุ าก่อนจะเสดจ็ ดับขันธปรนิ พิ พานในพรรษาที่ ๔๕ อนั
เปน็ พรรษาสุดทา้ ยแห่งการเสด็จประกาศพระพทุ ธศาสนาของพระองค์วา่
“อานนท์ โดยท่เี ราลว่ งลบั ไปแล้ว ธรรมและวินัยใด ท่ีเราแสดงแลว้ บัญญตั แิ ล้ว
ธรรมและวินยั น้ัน จกั เป็นศาสดาของเธอทง้ั หลาย” อา้ ง ที.ม.๑๐ มหาปรนิ พิ พานสตู ร
ตอ่ มาสมัยหลงั พุทธกาล คาํ สัง่ สอนของพระพทุ ธเจ้าซง่ึ เรียกวา่ “ธรรมและวนิ ยั ”
นัน้ พระอรหนั ตส์ าวกทง้ั หลายได้รวบรวมรักษาไว้ดว้ ย “การสังคายนา”หมายถึง การ
ประชุมสงฆ์จัดระเบยี บหมวดหมพู่ ระธรรมวินัยทพ่ี ระพุทธเจ้าแสดงไว้จนสรปุ เป็นมตทิ ี่
ประชุมว่า พระพทุ ธองค์ทรงสอนไวอ้ ยา่ งน้ีแล้วกม็ ีการท่องจําถา่ ยทอดต่อกนั มาเป็น
อันหนึ่งอันเดยี วกนั ๒๖
การสงั คายนาพระธรรมและวนิ ัยมขี ึ้นหลายครั้งและจํานวนการนบั การสงั คายนาก็
แตกตา่ งกันไปในแต่ละประเทศที่นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา การสงั คายนาท่ีทกุ ฝา่ ยยอมรบั
ตรงกนั ได้แกก่ ารสงั คายนา ๓ ครั้งแรกในประเทศอินเดีย และในการสงั คายนา ๓ ครัง้ นั้น
๒๕ เรื่องเดียวกัน, หนา้ ๗๔.
๒๖ พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยรู ธมฺมจติ ฺโต), “ความเป็นมาของพระไตรปฎิ ก” ในพระไตรปิฎก
: ประวตั ิและความสาคญั , (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕), หนา้ ๑๓๒.
๔๘
คร้ังที่ ๑-๒ มบี ันทกึ อยูใ่ นพระไตรปิฎก แต่ไม่ได้พดู ถึง “พระไตรปิฎก” หากใช้คาํ วา่ “ธมมฺ
วินยสงฺคตี ิ” แปลว่า การสงั คายน าพระธรรมและวนิ ยั แสดงวา่ พระพทุ ธพจนน์ ั้นยังไมม่ ี
การจัดแบง่ เปน็ “ปิฎก” หากเรียกรวมๆ วา่ “ธรรมและวินัย” ตอ่ มาในชว่ งระหวา่ ง
สงั คายนาครัง้ ท่ี ๒ กบั ครงั้ ท่ี ๓ นเี้ องทมี่ ีผสู้ นั นษิ ฐานวา่ “ธรรมและวินยั ” ไดแ้ ตกแขนง
ออกเปน็ ๓ หมวด เรียกวา่ “ติปฎิ ก หรอื เตปิฎก ” คือ พร ะธรรม ได้แตกออกเปน็ พระ
สุตตนั ตปิฎก กบั พระอภธิ รรมปิฎก สว่ นพระวินัย คงเปน็ พระวินยั ปิฎก ๒๗ แมใ้ นพระ
อภิธรรมปฎิ กเอง คมั ภรี ส์ มันตปาสาทกิ าอรรถกถาพระวินยั ปิฎก ก็กล่าวว่า พระโมคคัลลี
บตุ รตสิ สเถระประธานสงฆใ์ นการสงั คายนาคร้ังท่ี ๓ ไดแ้ ตง่ คัมภรี ก์ ถาวตั ถุ๒๘ และผนวก
เข้าเป็นหนง่ึ คมั ภีรใ์ นพระอภธิ รรมปิฎก ๗ คัมภีร์ แสดงว่าพระไตรปฎิ กครบสมบูรณ์ทง้ั ๓
ปฎิ กก่อนการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ และก่อนสมยั พระเจ้าอโศกมหาราช เพราะใน
พระไตรปฎิ กไม่มีขอ้ ความใดกลา่ วถงึ พระเจ้าอโศกเลย๒๙ จงึ กล่าวได้ว่าพระไตรปฎิ กมี
ระยะแห่งการพฒั นาการมาจนสาํ เร็จเป็นรปู รา่ งสมบรู ณ์ ในสมัยหลงั พุทธกาล คือ ในพุทธ
ศตวรรษที่ ๓ นเ้ี อง โดยเป็นผลงานท่ีเกดิ จากการสงั คายนาพระธรรมและพระวินยั ของ
เหล่าสาวก ของพระพุทธเจ้าหลังจากพระองคเ์ สดจ็ ดบั ขนั ธ-ปรินิพพานนานแล้ว
การสงั คายนาพระไตรปิฎก หมายถงึ การทบทวนตรวจสอบ ซักซอ้ มกนั ในการที่
จะรักษาพระไตรปิฎกของเดมิ ทพี่ ระมหากัสสปเถระได้สังคายนาไว้ในการสงั คายนาครั้งที่
๑ เมอ่ื ๓ เดอื น ภายหลังพทุ ธปรนิ พิ พาน๓๐
การสังคายนาครง้ั น้ัน เร่มิ มีตั้งแตพ่ ระพุทธเจา้ ยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ ดงั ในปรากฏปา
สาทิกสูตร ทรงเคยปรารภกับพระจุนทะวา่ “ธรรมทัง้ หลายทีเ่ ราแสดงไวแ้ ล้วเพือ่ ความรู้ยิง่
บรษิ ทั ทง้ั หลายพงึ พรอ้ มเพรยี งกนั ประชมุ สอบทานอรรถะกับอรรถะ พยัญชนะกับ
๒๗ เสฐียรพงษ์ วรรณปก, “วธิ ีศึกษาค้นคว้าพระไตรปฎิ ก” ในเกบ็ เพชรจากคัมภีรพ์ ระไตรปฎิ ก,
(กรงุ เทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๒), หนา้ ที่ ๒๕๕.
๒๘ พระพทุ ธโฆสาจารย,์ สมนตฺ ปาสาทกิ าย นาม วินยฏฺ กถาย ป โม ภาโค , พิมพ์คร้ังท่ี ๖,
(กรงุ เทพมหานคร : มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๕), หน้า ๖๑.
๒๙ เสฐียรพงษ์ วรรณปก , คาอธิบายพระไตรปฎิ ก. (กรงุ เทพมหานคร : หอรตั นชัยการพมิ พ,์
๒๕๔๐), หน้า ๑๔.
๓๐ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), ร้จู กั พระไตรปฎิ กเพอื่ เป็นชาวพุทธท่แี ท,้ หน้า ๔๕.
๔๙
พยัญชนะในธรรมนัน้ แลว้ พงึ สงั คายนากันเพ่ือให้พรหมจรรยต์ ้ังอย่ไู ดน้ านเพื่อประโยชน์
สุขแก่เทวดาและมนษุ ยท์ งั้ หลาย”๓๑
ก่อนพทุ ธปรินิพพาน พระสารีบตุ รเถระไดท้ าํ สงั คายนาเปน็ ตัวอย่างได้ ดังปรากฏ
ในสังคตี สิ ูตร๓๒ ซึง่ ทา่ นแสดงวธิ กี ารสังคายนา โดยประมวลหลกั ธรรมทง้ั หลายทมี่ จี ํานวน
ขอ้ เทา่ กนั รวมไว้เปน็ หมวดเดยี วกนั เชน่ ประมวลหลักธรรมจํานวน ๑ ประการ เขา้ เปน็
หมวดหนงึ่ เรยี กวา่ ธรรมหมวดละ ๑ เป็นต้นไปจนถงึ หมวดละ ๑๐ การสงั คายนาพระ
ธรรมและวินยั ได้มกี ารรเิ ร่มิ และดําเนินการจดั ทําอยา่ งจริงจังหลงั พทุ ธปรินิพพาน ๓
เดือน โดยมพี ระมหากสั สปเถระเป็นประธานดาํ เนนิ การ
การสังคายนาพระไตรปิฎกหรือการสงั คายนาพระธรรมและพระวนิ ัยของ
พระพุทธเจา้ ในอดีตเป็นต้นมาทค่ี วรทราบมี ๙ ครง้ั ๓ ครัง้ แรกกระทําในประเทศอนิ เดีย
๔ ครงั้ ถัดมากระทําในประเทศศรีลงั กา และ ๒ ครัง้ สุดท้ายกระทําในประเทศไทย การ
สงั คายนาทั้ง ๙ ครง้ั มีรายละเอียดพอสรปุ ได้ ดังนี้
การสงั คายนาคร้งั ท่ี ๑ ปรารภเรอื่ งพระสุภทั ทะผูบ้ วชตอนแก่ กลา่ วจว้ งจาบ
พระธรรมวนิ ัยท้ังท่พี ุทธปรนิ ิพพานไดเ้ พียง ๗ วันว่า “พอทีเถิด พวกท่านอย่าโศกเศร้า
อย่าครา่ํ ครวญเลย พ วกเรารอดพน้ ดแี ลว้ จากพระมหาสมณะรูปนัน้ ท่คี อยจํ้าจจ้ี าํ้ ไชพวก
เราอยวู่ ่า ส่ิงนค้ี วรแกพ่ วกเธอ ส่ิงนไ้ี มค่ วรแกพ่ วกเธอ บัดนี้ พวกเราปรารถนาสง่ิ ใดกจ็ ัก
ทาํ สงิ่ น้นั ไมป่ รารถนาส่งิ ใด ก็จักไมท่ าํ ส่ิงน้นั ”๓๓
การสังคายนาครงั้ น้มี วี ตั ถุประสงค์เพ่ือจะทาํ ให้ธรรมรุ่งเรืองสบื ไป ดงั คําเชิญชวน
ให้ทาํ สงั คายนาของพระมหากัสสปเถระวา่ “พวกเราจะทําสงั คายนาพระธรรมและพระ
วนิ ัยกนั ก่อนทอี่ ธรรมจะรงุ่ เรอื ง ธรรมจะถกู คัดคา้ น ส่ิงทม่ี ิใช่วนิ ัยจะรุง่ เรือง วนิ ยั จะถูก
คดั คา้ น กอ่ นทพี่ วกอธรรมวาทีจะมกี ําลงั พวกธรรมวาทีจะอ่อนกาํ ลงั พวกอวินยวาทจี ะมี
กําลงั พวกวินยวาทจี ะอ่อนกาํ ลงั ”๓๔
การสงั คายนาครง้ั นี้มกี ารกสงฆ์ คือพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป มพี ระมหากัสสปเถระ
เป็นประธานและเป็นผูถ้ าม พระอบุ าลเี ปน็ ผวู้ สิ ัชนาเรอื่ งวินัย พระอานนทเ์ ปน็ ผวู้ สิ ัชนา
๓๑ ท.ี ปา. (บาลี) ๑๑/๑๗๗/๑๓๘.
๓๒ ท.ี ปา. (บาลี) ๑๑/๓๐๓-๓๔๙/๒๕๐-๓๖๖.
๓๓ วิ.จูฬ. (ไทย) ๗/๔๓๗/๓๗๖.
๓๔ วิ.จูฬ. (ไทย) ๗/๔๔๒/๓๘๓.
๕๐
เรือ่ งธรรม ประชมุ สังคายนาท่ถี ้าํ สัตตบรรณคหู าขา้ งภเู ขาเวภารบรรพต เมืองราชคฤห์
แคว้นมคธ หลังพุทธปรินิพพาน ๓ เดอื น โดยมพี ระเจา้ อชาตศัตรูเปน็ องคศ์ าสนูปถัมภ์ ใช้
เวลาในการทํา ๗ เดอื นจงึ แลว้ เสรจ็
ผลจากการสงั คายนาครง้ั น้ี ทีส่ าํ คญั มี ๕ ประการ คอื ๓๕
๑) มกี ารรอ้ ยกรองพระวนิ ยั เปน็ หมวดหมูโ่ ดยการนาํ ของพระอบุ าลี
๒) มกี ารรวบรวมพระธรรมเปน็ หมวดหม่โู ดยการนาํ ของพระอานนท์
๓) ปรับอาบัติพระอานนทต์ อ่ ปัญหาทวี่ ่า อะไรคอื อาบตั เิ ล็กน้อย ที่พระองคต์ รัส
อนญุ าตว่า “ถา้ สงฆ์หวงั อยู่ก็พึงถอนสิกขาบทเลก็ น้อยได้”
๔) ลงพรหมทัณฑ์พระฉนั นะ
๕) มีการยอมรับมตขิ องพระมหากสั สปเถระที่เสนอญัตติใหค้ งเถรวาทท่วี า่ “สงฆ์
ไมพ่ งึ บญั ญตั สิ ง่ิ ทม่ี ิไดบ้ ัญญตั ิ ไม่พึงถอนพระบัญญตั ิท่ที รงบัญญตั ไิ ว้ พงึ สมาทาน
ประพฤตติ ามสิกขาบททที่ รงบัญญตั ไิ ว้แลว้ ” อา้ งและควรนําขอ้ ความมาให้ครบ
สรปุ การทาํ สงั คายนา ครงั้ ท่ี ๑
พ.ศ. ทีท่ ํา - ๓ เดอื นหลังจากพุทธะปรนิ ิพพาน
มลู เหตุ - เกดิ จากพระสุภทั ทะ วุฑฒบรรพชิตกล่าวจ้วงจาบ พระ
ธรรมวนิ ยั
พระธรรมวินัย - ต้องการรวบรวมพระธรรมวนิ ยั ให้เป็นหมวดหมู่
สถานท่ี - ถ้ําสตั บรรณคูหา ข้างภเู ขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์
ประธานสงฆ์ - พระมหากสั สปะ และเปน็ ผู้สอบถาม
ผู้วิสัชชนา - พระอุบาลผี ู้ตอบข้อซักถามพระวนิ ยั
ผูว้ สิ ัชชนา - พระอานนท์ผู้ตอบขอ้ ซกั ถามพระธรรม
การกสงฆ์ - พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์
ระยะเวลาทํา - ๗ เดอื น
ผู้อปุ ถัมภ์ - พระเจา้ อชาตศัตรู และชาวเมือง
ผลที่ได้ - มกี ารร้อยกรองพระวินยั เป็นหมวดหมู่ โดยการนําของ
พระอบุ าลี
๓๕ วิ.จฬู . (ไทย) ๗/๔๔๑/๓๘๒.