The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณคดีบาลี รหัส 000 145 สอนโดย พม.โยธิน โยธิโก,รศ.ดร.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วรรณคดีบาลี

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณคดีบาลี รหัส 000 145 สอนโดย พม.โยธิน โยธิโก,รศ.ดร.

Keywords: วรรณคดีบาลี

๑๕๑

ประวตั ิ ตลอดจนคัมภรี ์ท่ีรจนาขึ้นเปน็ เรือ่ งราวเฉพาะเรอื่ ง ซง่ึ ชอื่ คมั ภรี ์สว่ นใหญจ่ ะลงท้าย
ด้วยคําว่า มาลีทีปนี หรือ ปกรณ์ หรือลงทา้ ยชอื่ คมั ภีรด์ ้วยคาํ วา่ โยชนา เป็นตน้

ฉัตรยุพา สวัสดิพงษ์ ได้เสนอรายชอ่ื คัมภีรแ์ ละรายนามกวี ประกอบ กับปีทร่ี จนา
ผลงานเพ่ือให้ผสู้ นใจไดส้ ังเกตและศกึ ษาคน้ คว้าไว้ ดังนี้๑๔๔

๑) จามเทวีวงศ์ รจนาโดยพระโพธิรังสี เมอ่ื พ.ศ.๑๙๕๐-๒๐๐๐
๒) สิหิงคนทิ าน รจนาโดยพระโพธริ งั สี เม่อื พ.ศ.๑๙๕๔-๒๐๐๐
๓) ปัญญาสชาดก รจนาโดยพระภิกษชุ าวเชยี งใหม่ เมือ่ พ.ศ.๒๐๐๐-๒๒๐๐
๔) ปทักกมโยชน-สัททัตถเภทจินดา พระธรรมเสนาบดเี ถระ พ.ศ.๒๐๒๐-๒๐๔๕
๕) สมนั ตปาสาทิกาอตั ถโยชนา พระญาณกิตตเิ ถระ ระหวา่ ง พ .ศ.๒๐๒๘-
๒๐๔๓
๖) ภิกขุปาฏิโมกขคัณฐิทีปนี พระญาณกติ ตเิ ถระ ระหวา่ ง พ.ศ.๒๐๒๘-๒๐๔๓
๗) สมี าสังกรวินิจฉัย พระญาณกิตตเิ ถระ ระหว่าง พ.ศ.๒๐๒๘-๒๐๔๓
๘) อัฏฐสาลินอี ัตถโยชนา พระญาณกติ ติเถระ ระหว่าง พ.ศ.๒๐๒๘-๒๐๔๓
๙) สัมโมหวิโนทนอตั ถโยชนา พระญาณกติ ติเถระ ระหวา่ ง พ.ศ.๒๐๒๘-๒๐๔๓
๑๐)ธาตกุ ถาอัตถโยชนา พระญาณกิตติเถระ ระหวา่ ง พ.ศ.๒๐๒๘-๒๐๔๓
๑๑) ปุคคลบัญญัตอิ ตั ถโยชนา พระญาณกติ ติเถระ ระหว่าง พ.ศ.๒๐๒๘-๒๐๔๓
๑๒) กถาวัตถุอตั ถโยชนา พระญาณกิตตเิ ถระ ระหว่าง พ.ศ.๒๐๒๘-๒๐๔๓
๑๓) ยมกอตั ถโยชนา พระญาณกิตติเถระ ระหวา่ ง พ.ศ.๒๐๒๘-๒๐๔๓
๑๔) ปฏั ฐานอัตถโยชนา พระญาณกิตตเิ ถระ ระหวา่ ง พ.ศ.๒๐๒๘-๒๐๔๓
๑๕) อภธิ ัมมตั ถวภิ าวณิ อี ตั ถโยชนา พระญาณกติ ติเถระ ระหว่าง พ .ศ.๒๐๒๘-
๒๐๔๓
๑๖) มลู กจั จายนอตั ถโยชนา พระญาณกติ ตเิ ถระ ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๒๘-๒๐๔๓
๑๗) สารัตถสังคหะ พระนนั ทาจารย์
๑๘) มธรุ ตั ถปกาสีนฎี กี ามลิ นิ ทปัญหา พระตปิ ิฎกจฬุ าภยเถระ
๑๙) ลัททพนิ ทุอภินวฎกี า พระสัทธัมมกติ ติมหาผสุ สเทวเถระ
๒๐) สงั ขยาปกาสก พระญาณกติ ติเถระ พ.ศ. ๒๐๕๘

๑๔๔ ฉตั รยพุ า สวสั ดพิ งษ์ อ้างใน; ลมูล จันทร์หอม , วรรณกรรมทอ้ งถ่ินลา้ นนา,
(กรงุ เทพมหานคร: โอ.เอส. พรน้ิ ติง้ เฮา้ ส์, ๒๕๓๘), หนา้ ๙-๗๐.

๑๕๒

๒๑) เวสันตรทีปนี พระสิรมิ ังคลาจารย์ พ.ศ. ๒๐๖๐
๒๒) จักวาฬทปี นี พระสิริมงั คลาจารย์ พ.ศ. ๒๐๖๓
๒๓) สังขยาปกาสกฎกี า พระสิริมงั คลาจารย์ พ.ศ. ๒๐๖๓
๒๔) มงั คลตั ถทปี นี พระสริ มิ ังคลาจารย์ พ.ศ.๒๐๖๗
๒๕) มูลศาสนา พระพุทธพกุ าม – พระพทุ ธญาณเจา้
๒๖) ชนิ กาลมาลปี กรณ์ พระรัตนปัญญาเถระ พ.ศ. ๒๐๖๐-๒๐๗๑
๒๗) มาติกตั ถสรปู อภิธรรมสังคณี พระรตั นปัญญาเถระ
๒๘) วชิรสารตั ถสังคหะ พระรัตนปัญญาเถระ พ.ศ.๒๐๗๘
๒๙) รตั นพิมพวงศ์ พระพรหมราชปัญญา
๓๐) คันถาภรณฎกี า พระสวุ ัณณรงั สเี ถระ พ.ศ.๒๑๒๘
๓๑) ปฐมสมโพธิกถา พระสวุ ณั ณรงั สีเถระ
๓๒) อุปปาตสนั ติ พระเถระชาวเชยี งใหม่
๓๓) วสิ ทุ ธมิ รรคทีปนี พระอุตตราราม
ในท่นี ี้ จะกล่าวถงึ ประวตั ิและเนอื้ หาสงั เขปของคมั ภรี ส์ ิหิงคนิทาน จามเทววี งศ์
ชินกาลมาลีปกรณ์ จกั รวาลทีปนี มงั คลั ตถทีปนี ปญั ญาสชาดก เท่าทห่ี า หลกั ฐานได้
ดงั นี้๑๔๕

๑) นิทานพระพุทธสหิ ิงค์
นิทานพทุ ธสิหิงค์ เรยี กในภาษาบาลวี า่ “สิหิงฺคนทิ านํ” วา่ ดว้ ยตํานานพระพุทธ
สหิ งิ ค์ แตง่ เป็นภาษาบาลีโดยพระโพธริ งั สี ชาวเชยี งใหม่ ในระหว่าง พ .ศ.๑๙๔๕-๑๙๘๕
ในรชั กาลพระเจ้าสามฝ่งั แกน หรือพระเจา้ วชิ ัยดิษ ครองราชยใ์ นนครเชียงใหม่๑๔๖
พระพทุ ธสหิ ิงค์น้ัน มหี ลายองคด์ ว้ ยกัน เทา่ ทเ่ี ชือ่ กนั อยูใ่ นปัจจุบันมอี ยู่ ๓ องค์
คอื
(๑) พระพทุ ธสิหงิ คซ์ ่ึงประดิษฐานอยู่ ณ พระแทน่ บุษบกในพระท่นี งั่ พทุ ไธสวรรย์
ณ พพิ ธิ ภัณฑส์ ถานแห่งชาติ กรงุ เทพฯ

๑๔๕ พฒั น์ เพ็งผลา , ประวตั ิวรรณคดีบาล,ี (กรงุ เทพมหานคร : มหาวทิ ยาลัยรามคาํ แหง,
๒๕๓๕), หนา้ ๒๕๑ - ๒๕๒

๑๔๖ กรมศลิ ปากร, นิทานพระพุทธสหิ งิ ค,์ (พระนคร : ศวิ พร ๒๕๐๖), คาํ นํา.

๑๕๓

(๒) พระพุทธสิหิงค์ ในหอพระสิหงิ คภ์ ายในบรเิ วณศาลากลาง จงั หวดั

นครศรธี รรมราช

(๓) พระพุทธสหิ งิ ค์ ในวิหารลายคาํ วดั พระสงิ ห์ จังหวัดเชยี งใหม่

แตพ่ ระองค์ไหนจะเป็นองค์จริงตามตํานานน้นั นกั โบราณคดีไดว้ นิ จิ ฉัยถกเถยี งกนั

มาแล้วเหมอื นจะยงั ไมย่ ตุ ิ

สหิ งิ คนทิ านนี้ พระปรยิ ตั ิธรรมธาดา (แพ ตาลลกั ษณ์ เปรียญ ) เมอ่ื ครั้งเปน็ หลวง

ประเสรฐิ อักษรนติ ิ แ ปลออกเป็นภาษาไทยเม่ือ พ .ศ. ๒๔๔๙ และหอพระสมุดฯ เคย

จดั พิมพ์ขนึ้ ทั้งฉบบั ภาษาบาลี และคําแปลให้ช่อื ว่ า “ตํานานพระพุทธสหิ ิงค์” เม่อื พ .ศ.

๒๔๖๑ และมีผจู้ ัดพิมพข์ ้ึนอีก แตพ่ มิ พ์เฉพาะคาํ แปลภาษาไทย ไม่ได้พมิ พภ์ าษาบาลีไว้

สหิ งิ คนิทาน เปน็ ตํานานพระพทุ ธรปู สําคญั และมีความสมั พนั ธเ์ กี่ยวกบั

ประชาชน และประวตั ศิ าสตร์ของชาติไทย กรมศลิ ปากรได้มอบให้ ศาสตราจารย์ ร .ต.ท.

แสง มนวิฑูร แปลในเทศกาลสงกรานต์ ปี พ.ศ.๒๕๐๖

นทิ านพระพทุ ธสหิ ิงค์ (สหิ งิ ฺคนทิ านํ) แบ่งออกเป็น ๘ ปรจิ เฉท เริ่มต้นดว้ ยปณาม

คาถา (คาํ นมสั การพระรตั นตรยั ) และมเี นื้อเรือ่ งยอ่ ดงั นี้

เมอื่ พระพุทธเจา้ ปรินิพพานลว่ งแลว้ ๗๐๐ ปี ครั้งนั้นในเกาะสงิ หลมพี ระราชา

เสวยราชอยู่ ๓ พระองค์ มีพระอรหนั ต์ ๒๐ องค์ พระราชาทง้ั ๓ พระองค์ ตรัสถามพระ

อรหนั ตว์ ่า “เคยเห็นพระพทุ ธเจา้ หรอื ไม่” พระอรหันต์ก็ถวายพระพรว่า “ไม่เคยเหน็ ” ครงั้

นั้น พญานาค ตนหนงึ่ ได้ฟังพระราชา กับพระอรหันต์สนทนากนั จงึ ได้พูดขึ้นวา่ “ข้าพเจ้า

เคยเหน็ ขอใหเ้ ตรยี มทเ่ี อาไว้ ” ตอ่ จากน้ัน พญานาคกไ็ ด้แสดงรูปเนรมติ พระพุทธรปู คน

ทง้ั ปวงเม่ือเหน็ พระพุทธรูปแล้วต่างก็บูชากราบไหวอ้ ยา่ งนอบน้อม เม่ือครบ ๗ วนั

พญานาคกท็ ําให้พระพทุ ธรูปนั้นหายไป และจาํ แลงเป็นชายมาบอกกําชับพระอรหันตจ์ าํ

พระพุทธลักษณะไว้

พระราชาทง้ั ๓ พระองค์ ทรงเลื่อมใสในรปู พระพทุ ธะ จึงมีพระราชประสงค์ให้

หล่อพระพทุ ธรูปขึ้น จึงตรัสเรียกช่างหลอ่ ทีม่ ีฝีมือดีเยย่ี มท่ีสุ ดให้หล่อรูปพระพุทธเจ้า พวก

เหลา่ มหาพรหมเปน็ ต้น ชว่ ยกนั ใหโ้ ลหะมที องคําเปน็ ตน้ มาชว่ ยหล่อดว้ ย เมอ่ื เสร็จแล้ว

จึงฉลองกนั ตลอด ๗ วัน ๗ คืน พระพทุ ธรปู นนั้ มลี ักษณะทา่ ทางเหมอื นราชสหี ์ จึง

เรียกวา่ พระสหิ ิงค์ เมอ่ื เสร็จการฉลองแล้ วในวนั ที่ ๘ จงึ อัญเชญิ มาประดษิ ฐานในหอ้ ง

มณฑปท่ีบรรจุพระทนั ตธาตุ

๑๕๔

พ.ศ.๑๕๐๐ มพี ระธรรมมกิ ราชองค์หนึ่งทรงพระนามวา่ ไสยรงค์ ได้แก่ พระร่วง
เจา้ ผูค้ รองเมืองสโุ ขทยั ไดเ้ สดจ็ มาถึงนครศรีธรรมราช พระเจา้ นครศรีธรราราชทรงเล่า
เรอื่ งพระพทุ ธรปู สาํ คัญถวาย พระรว่ งเจา้ มพี ระราชประสงค์ อยากได้พระพทุ ธรูปองค์นั้น
พระเจ้านครศรฯี จงึ จัดส่งทูตไปเกาะลังกาเพอื่ ขอพระพุทธรูป พระเจ้าลังกาไดป้ รึกษากบั
พวกอํามาตย์ แลว้ ตกลงมอบพระพุทธรปู ใหพ้ ระรว่ งเจา้ ทั้งนเ้ี พราะได้มพี ยากรณจ์ ากพระ
อรหนั ต์ ๒๐ องค์ ว่า พร ะพทุ ธรปู องคน์ ี้จะไปอยูช่ มพทู วีป เม่ือพระพุทธศาสนาครบ
๒,๐๐๐ ปี พระพุทธรูปองค์นีจ้ ะกลับคืนมายังลงั กาอีก พระเจ้ากรุงลังกาไดม้ อบ
พระพทุ ธรูปแก่ราชทูตกลางเรือสาํ เภา เมื่อเรือสาํ เภาแล่นมาถึงกลางทะเล เรือกระทบหนิ
แตกละเอียด ผูค้ นจมน้ําตายหมด ส่วนพระพุทธสหิ ิงค์ไมจ่ มนาํ้ ลอยอยูบ่ นผวิ นา้ํ บ่ายพระ
พักตรม์ ายังนครศรีธรรมราช พระเจา้ นครศรธี รรมราชทรงทราบขา่ วจึงเสดจ็ ไปรบั และ
อญั เชิญไปประดษิ ฐานไวบ้ นบัลลงั กใ์ นพระลานหลวง

ขณะเมื่อพระเจา้ นครศรธี รรมราชกําลังอาราธนาอยู่ พระพทุ ธสิหิงคก์ ็ลอยข้นึ สู่
อากาศเปล่งรศั มี ๖ ประการ คนท้งั ปวงไดเ้ ห็นปาฏิ หารยิ ต์ ่างกก็ ระทาํ สกั การบชู า ความ
ทราบถงึ พระร่วงเจา้ พระองค์จึงเสดจ็ ไปรบั และนาํ กลับมายงั กรงุ สุโขทัย

เมื่อพระรว่ งเจ้าสวรรคต กษตั ริยเ์ มืองสุโขทยั กป็ กครองเรอื่ ยมาจนถงึ พระยาไสย
ลือไทย (อตั ถกะลือไทย) อาณาจักรสุโขทัยจึงตกเปน็ เมืองข้นึ ของกรุงศรีอยุธยา พระ
รามาธบิ ดแี ห่งกรุงศรีอยุธยาจงึ อญั เชิญพระพุทธสหิ ิงคม์ าประดิษฐานไวใ้ นกรงุ ศรอี ยธุ ยา
ต่อมาพระพุทธสิหิงคไ์ ปประทบั อย่ทู เ่ี มืองกําแพงเพชร จากเมืองกําแพงเพชรไปอยูท่ ีเ่ มอื ง
เชยี งราย และเชยี งใหมต่ ามลาํ ดับ

๒) จามเทวีวงศ์
จามเทวีวงศ์ ว่าด้วยวงศข์ องพระนา งจามเทวี ที่ไดค้ รองเมอื งหริภุ ญชัย (ลาํ พนู )
และประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในภาคเหนอื พระโพธริ งั สีแตง่ เปน็ ภาษาบาลี เมอื่ ปี ๑๙๕๐ –
๒๐๐๐ ตามหลกั ฐานทีม่ ปี รากฏในคัมภรี ์สังคีติยวงศ์๑๔๗ และคมั ภรี ช์ นิ กาลมาลีปกรณ์๑๔๘

๑๔๗สมเด็จพระวันรัตน,์ สังคตี ิยวงศ,์ แปลโดย พระยาปริยัตธิ รรมธาดา (แพ ตาลลักษณ์ ),
(กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พศ์ ิวพร, ๒๕๒๑), หน้า ๒๗.

๑๔๘ พระรตั นปญั ญาเถระ, ชินกาลมาลีปกรณ,์ แปลโดย ศาตราจารย์ ร .ต.ท.แสง มนวฑิ ูร
(กรงุ เทพเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐), หน้า ๗๗

๑๕๕

พอสรุปความไวว้ ่า พระนางจามเทวี พระราชธดิ าของกษัตริย์มอญในอาณาจกั รทวารวดี
ไดเ้ สดจ็ ไปครองเมืองหรภิ ุญชัย ตามคําเชิญของฤาษวี าสุเทพผสู้ รา้ งเมืองหริ ิภุญชยั น้ี “เมอ่ื
พระนางจามเทวไี ปครองเมืองหรภิ ุญชยั ไดพ้ าบรวิ ารหมใู่ หญจ่ ําพวกละ ๕๐๐ พรอ้ มกับ
นมิ นต์พระมหาเถระผทู้ รงพระไตรปฎิ ก ๕๐๐ รูป ไปด้วย ลงเรือตามลาํ น้ําพงค์ ๗ เดอื น
จงึ ถงึ เมืองน้ี”

พระนางจามเทวียา้ ยจากเมอื งละโว้ (ลพบรุ ี) ไปครองเมอื งหรภิ ญุ ชยั ราว พ .ศ.
๑๒๐๕ และพระมหาเถระ ๕๐๐ รูป ท่ีนิมนต์ไปดว้ ยน้นั สืบสายมาจากสมัยพระโสณเถระ
และพระอุตตรเถระ ซง่ึ พระเจา้ อโศกมหาราชทรงสง่ มาประกาศพระพุทธศาสนาในราว
พ.ศ.๓๐๐๑๔๙

๓) ชนิ กาลมาลปี กรณ์
ชนิ กาลมาลีปกรณ์ พระรตั นปัญญาเถระ ชาวเชี ยงราย แต่งเป็นภาษาบาลีไว้เมอื่
พ.ศ.๒๐๖๐ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้
ราชบณั ฑติ ๕ ทา่ น คอื พระยาพจนาพมิ ล พระวิเชียรปรีชา หลวงอดุ มจนิ ดา หลวงราชา
ภริ มณ์ และหลวงธรรมาภมิ ณฑ์ ช่วยกันแปลเป็นภาษาไทยครัง้ แรกเมอ่ื พ .ศ.๒๓๓๗
เรียกช่ือวา่ “ชินกาลมาลนิ ี” ตอ่ มาในรชั กาลท่ี ๕ แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ได้ตีพมิ พเ์ ปน็ เล่ม
ทั้งฉบบั ภาษาบาลีและฉบับแปล เมือ่ พ .ศ.๒๔๕๑ เรยี กชือ่ วา่ “ชนิ กาลมาลินี” ตอ่ มา
พ.ศ.๒๔๖๖ ศาสตราจารย์ ยอ ร์ช เซเดส์ ไดแ้ ปลเป็นภาษาฝร่งั เศ ส และใน พ.ศ. ๒๔๖๘
ไดต้ พี ิมพท์ งั้ ฉบบั แปลเปน็ ภาษาฝรั่งเศส กบั ฉบบั ภาษาบาลี ตอ่ มาใน พ .ศ.๒๔๗๗ กรม
ศิลปากรไดม้ อบใหศ้ าสตราจารย์ ร.ต.ท. แสง มนวทิ รู แปลจากต้นฉบับภาษาบาลีของพระ
รัตนปัญญาเป็นภาษาไทยอกี ครง้ั และเรียกช่ือวา่ “ชินกาลมาลปี กรณ์” และได้มอบชนิ กาล
มาลปี กรณฉ์ บบั แปลเปน็ ภาษาไทยน้กี ับฉบบั ภาษาบาลอี กั ษรไทย ซึ่งพมิ พ์ ไว้เมอ่ื พ .ศ.
๒๔๕๑ นนั้ ใหส้ มาคมบาลีปกรณแ์ หง่ ประเทศอังกฤษ เมือ่ พ .ศ.๒๕๐๓๑๕๐ ซ่งึ ทางสมาคม
บาลปี กรณไ์ ดม้ อบหมายให้ทา่ นอัครมหาบณั ฑติ พระพทุ ธตั ตเถระชาวลงั กาชาํ ระและถอด

๑๔๙ พระติปฎิ กจูฬาภยเถระ, มลิ ินทปญั หาปกรณ,์ (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์วญิ ญาณ,
๒๕๔๐), หนา้ (๗๒).

๑๕๐ พัฒน์ เพง็ ผลา , ประวตั ิวรรณคดีบาล,ี พมิ พ์คร้ังท่ี ๓. ( กรุงเทพมหานคร : สํานักพมิ พ์
มหาวิทยาลัยรามคาํ แหง,๒๕๓๕), หนา้ ๒๕๖.

๑๕๖

เป็นอักษรโรมนั เนื่องจากพระเถระท่านนเ้ี คยนาํ ตน้ ฉบบั ภาษาบาลีอกั ษรไทยไปถอดเปน็
อกั ษรลงั กากอ่ นหนา้ น้ันแล้ว

ชินกาลมาลีปกรณ์ มเี นื้อหาว่าดว้ ยระเบียบกาลแหง่ พระพุทธเจา้ ต้ังแตเ่ รมิ่ มโน
ปณธิ าน การบําเพญ็ บารมใี นพระชาตติ ่างๆ การได้ตรสั รเู้ ปน็ พระอนตุ ตรสมั มาสัมพทุ ธ
เจ้า การบาํ เพญ็ พทุ ธกจิ กระทั่งถงึ การเสด็จดบั ขันธปรนิ พิ พาน และประวัติศาสนาทีม่ า
ประดิษฐานในประเทศลา้ นนาไทย รวม ถงึ ประวัตศิ าสตร์ของแควน้ ล้านนา มีเมือง
เชยี งใหม่ เชียงราย เชียงแสน และ ลําพนู เป็นตน้ ตลอดถงึ เรอ่ื งราวของบคุ คล สถานที่
และเหตกุ ารณ์บา้ นเมืองในสมัยนน้ั ๆ อกี ด้วย๑๕๑

๔) จกั รวาลทปี นี
จกั รวาลทีปนี ต้นฉบับเดมิ เปน็ คมั ภีรใ์ บลาน จารเป็นอักษรขอมมอี ยู่ในหอสมดุ
แหง่ ชาติ ปัจจบุ นั หอสมุดแห่งชาตไิ ดค้ ดั ถา่ ยเป็นภาษาบาลอี ักษรไทยและแปลเปน็
ภาษาไทยแลว้ สาํ หรบั เนื้อหาในคมั ภรี จ์ กั รวาลทีปนีน้ี แบ่งออกเป็น ๖ บท เรยี กวา่ กณั ฑ์
คือ๑๕๒
กณั ฑ์ที่ ๑ วา่ ดว้ ยเรอื่ งจกั รวาลโดยสรปุ
กณั ฑท์ ่ี ๒ วา่ ดว้ ยเรื่องภูเขา
กณั ฑท์ ี่ ๓ ว่าดว้ ยเรื่องมหาสมุทร
กณั ฑ์ที่ ๔ ว่าด้วยเรื่องทวปี ทง้ั ๔
กัณฑ์ที่ ๕ ว่าด้วยเรอื่ งภพภมู ิต่างๆ
กัณฑท์ ่ี ๖ วา่ ด้วยเรื่องเบด็ เตลด็
เนอื้ หาท้ัง ๖ กณั ฑ์ท่กี ล่าวมาขา้ งตน้ พระสิริมงั คลาจารย์ อาศยั หลักฐาน
อา้ งองิ จากคัมภรี พ์ ระไตรปฎิ ก อรรถกถา ฎกี า และปกรณ์พเิ ศษตา่ งๆ มาเรยี บเรยี งเปน็
โครงเร่ือง รวมทั้งแสดงมตขิ องท่านกาํ กับไว้

๑๕๑ พระรตั นปญั ญาเถระ, ชนิ กาลมาลีปกรณ,์ (แปลโดย ศาสตราจารย์ ร .ต.ท.แสง มนวิฑูร ).
(กรงุ เทพมหานคร : วดั โสธรวราราม พิมพ์ โดยเสดจ็ พระราชกุศลในการออกพระเมรุ พระราชทาน
เพลิงศพ พระพรหมคุณาภรณ์ ( เจียม จริ ปญุ โฺ ญ กลุ ละวณิชย)์ , ๒๕๔๐), หนา้ ๘-๑๐.

๑๕๒ พระสิรมิ ังคลาจารย์, จกั รวาลทีปน,ี (กรงุ เทพมหานคร : พมิ พท์ ี่ หจก. เซน็ ทรัลเอ็กซเ์ พรส
ศึกษาการพิมพ,์ ๒๕๒๓), คํานาํ .

๑๕๗

๕) มังคลัตถทปี นี

มงั คลตั ถทปี นี เปน็ คมั ภรี ์อธบิ ายมงคล ๓๘ ประการ ในมงคลสูตร พระสิริมงั คลา

จารย์ แหง่ ลา้ นนาไทยแต่งทีเ่ มอื งเชียงใหม่ เม่อื พ .ศ. ๒๐๖๗ โดยรวบรวมคําอธบิ ายจาก
อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกาตา่ งๆ เป็นอนั มาก พรอ้ มท้งั คําบรรย ายของทา่ นเอง๑๕๓ สาํ หรบั

มงคลสตู รทว่ี า่ ดว้ ยเหตุให้ได้รบั ความสาํ เรจ็ ความเจริญ และสมบัตทิ ัง้ ปวง ซงึ่ พระสริ มิ งั
คลาจารย์นาํ มาขยายความใหพ้ สิ ดารไว้ในคัมภีรม์ ังคลัตถทปี นี มี ๓๘ ประการ๑๕๔

(๑) การไมค่ บคนพาล (๒) การคบแต่บัณฑติ

(๓) การบชู าคนทีค่ วรบูชา (๔) การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม

(๕) การได้สร้างบญุ ไว้ในปางกอ่ น (๖) การตง้ั ตนไวช้ อบ

(๗) ความเปน็ พหูสตู (๘) ความเปน็ ผู้มีศิลปะ

(๙) วนิ ัยทศี่ ึกษามาดี (๑๐) วาจาสภุ าสิต

(๑๑) การบาํ รงุ มารดาบดิ า (๑๒) การสงเคราะห์บตุ ร

(๑๓) การสงเคราะหภ์ รรยา (๑๔) การงานทีไ่ ม่อากูล

(๑๕) การให้ทาน (๑๖) การประพฤติธรรม

(๑๗) การสงเคราะห์ญาติ (๑๘) การงานทไี่ ม่มโี ทษ

(๑๙) การงดเว้นจากบาป (๒๐) การเวน้ จากการดม่ื นา้ํ เมา

(๒๑) ความไม่ประมาทในธรรม (๒๒) ความเคารพ

(๒๓) ความถอ่ มตน (๒๔) ความสนั โดษ

(๒๕) ความกตญั ญู (๒๖) การฟังธรรมตามกาล

(๒๗) ความอดทน (๒๘) ความเปน็ คนว่าง่าย

(๒๙) การพบเหน็ สมณะ (๓๐) การสนทนาธรรมตามกาล

(๓๑) การเผาผลาญบาป (๓๒) การประพฤติพรหมจรรย์

(๓๓) การเหน็ อริยสัจ (๓๔) การทาํ นพิ พานให้แจ้ง

(๓๕) จติ ไมห่ ว่นั ไหวเพราะโลกธรรม (๓๖) จติ ไม่เศรา้ โศก

๑๕๓ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ฉบบั ประมวลศพั ท,์
(กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐), หน้า ๔๕๓.

๑๕๔ ขุ.ธ. (ไทย). ๒๕/๕/๗-๘.

๑๕๘

(๓๗) จิตปราศจากธลุ ี (๓๘) จิตเกษม

มงั คลตั ถทีปนี เปน็ วรรณคดที ไ่ี ด้รบั ยกยอ่ งวา่ แตง่ ดี คณะสงฆน์ าํ มาเป็นคัมภรี ์สาํ หรับ

ศกึ ษาของประโยค ป.ธ. ๔-๗

๖) ปญั ญาสชาดก

ปญั ญาสชาดก เป็นวรรณคดีบาลีทวี่ า่ ดว้ ยประชุมนทิ านเกา่ แก่ทีเ่ ลา่ กนั ใน
เมืองไทยแต่โบราณ ๕๐ เรอ่ื ง๑๕๕ นอกจากจะเปน็ ทรี่ ้จู ักของคนไทยมาตั้งแตอ่ ดตี แลว้ ยัง
แพรข่ ยายไปยังดินแดนใกลเ้ คยี ง เชน่ ลาว กมั พูชา และพมา่ อีกด้วย นิทานในปญั ญาส
ชาดกท่ีไทยเรารูจ้ กั กันและซึมซบั อยู่ในจติ ใจมีหลายเร่อื ง เชน่ เร่อื งสมุทโฆส เรือ่ งพระสุ
ธนนางมโนราห์ เรอื่ งสงั ข์ทอง เร่ืองพระรถเสน และเร่อื งคาวี เป็นต้น๑๕๖

ปญั ญาสชาดก ต้นฉบบั เดมิ เป็นคัมภรี ใ์ บลาน จํานวน ๕๐ ผูก ปัจจุบนั มเี หลืออยู่
ในประเทศไทย และกมั พชู า๑๕๗ ส่วนฉบับแปลทส่ี มบรู ณ์ทส่ี ดุ คอื ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาติ
ซ่ึงสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานภุ าพ ทรงเป็นผู้อํานวยการโปรดให้รวบรวมฉบบั ใบลาน
จากสถานทีต่ า่ งๆ และมอบหมายใหผ้ รู้ ูท้ ้งั หลายแปลเปน็ ภาษาไทย ตั้ งแตป่ ี พ .ศ.๒๔๖๖
มาสําเร็จสมบรู ณ์ ในปพี .ศ.๒๔๘๒๑๕๘ นอกจากนไี้ ดม้ ีพระภกิ ษุชาวล้านนา (เชยี งใหม่)
รวบรวมนิทานพนื้ บา้ นทางภาคเหนอื แต่งเปน็ ภาษาบาลีไว้ สนั นิษฐานวา่ แตง่ ราวปี พ .ศ.
๒๐๐๐ - ๒๒๐๐๑๕๙ สําหรับเนื้อหาในปญั ญาสชาดก ประกอบดว้ ยชาดก ๕๐ เร่ือง

๖.๕ วรรณกรรมบาลใี นยุคอยุธยา

๑๕๕ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํา รงราชานุภาพ. “พระนิพนธ์คานา” ใน: ปญั ญาสชาดก, ภาค ๑,๒,

(กรงุ เทพมหานคร : ศลิ ปาบรรณาคาร, ๒๔๙๙), หนา้ ค.
๑๕๖ เร่ืองเดยี วกัน, หน้า จ.
๑๕๗ เร่อื งเดยี วกัน, หน้า ต.
๑๕๘ นยิ ะดา เหล่าสุนทร , ปญั ญาสชาดก : ประวัติความสาคญั ท่ีมีตอ่ วรรณกรรมร้อยกรอง

ของไทย, (กรงุ เทพมหานคร :สาํ นกั พิมพแ์ มค่ ําผาง, ๒๕๓๘), หน้า ๔๗.
๑๕๙ พระมหาปรีชา มโหสโถ , “อทิ ธิพลของวรรณคดบี าลีเร่อื งปัญญาสชาดกท่มี ตี อ่

สังคมไทย”,วทิ ยานิพนธป์ ริญญาพทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ , บณั ฑติ วิทยาลัย : มหาจุฬาลงกรณราช

วิทยาลัย, ๒๕๔๑, หน้า ๑๓ – ๑๔.

๑๕๙

วรรณกรรมบาลีในยคุ อยธุ ยา เป็นแรงบนั ดาลใจของนกั ปราชญท์ ม่ี ีความรูเ้ ร่อื ง
ภาษาบาลีเป็นพ้นื ฐาน สืบต่อมาจากสมยั ล้านนา แต่วรรณกรรมบาลีในยคุ น้ีมนี ้อยมาก
คงเป็นเพราะสมัยอยธุ ยาเปน็ ราชธานี มีขา้ ศึกสงครามกนั บอ่ ยครั้ง จึงมีวรรณกรรมบาลี
เกดิ ข้ึนในสมัยนี้เพยี ง ๒ เรือ่ ง๑๖๐ คอื ๑) มูลกัจจายนคัณฐี ๒) สทั ธัมมสังคหะ

๑) มูลกัจจายนคณั ฐี
มูลกัจจายนคณั ฐี แต่งเป็นรอ้ ยกรองแกเ้ นอื้ ความในมลู กัจจายนะ ผลงานของพระ
มหาเทพกวี สมัยอยธุ ยา ทา่ นได้ศึกษาในสาํ นกั ของท่านพระมหาคง พระมหาถวิล และ
สมเด็จพระพทุ ธโฆสาจารย์ วัดพุทไธสวรรย์ สมเดจ็ พระพุทธโฆสาจารย์นเี้ ปน็ พระอาจารย์
ของพระเพทราชา ผู้ปกครองกรุงศรีอยธุ ยา ระหว่าง พ.ศ.๒๒๓๑-๒๒๔๖

๒) สทั ธมั มสังคหะ
สทั ธมั มสงั คหะ เป็นผลงานของพระธรรมกิตติมหาสามเี ถระผู้มีชวี ติ อยใู่ นพุทธ
ศตวรรษท่ี ๒๐ ในนคิ มคาถาของคัมภีร์เล่าวา่ ท่านเป็นศิษย์ของพระธรรมกิตติมหาสามี
เถระ (ช่ือพอ้ งกัน) สําเรจ็ การศึกษาจากประเทศศรีลังกา คัมภรี ์สัทธัมมะสงั คหะน้กี ลา่ วถงึ
ประวตั ิพระพุทธศาสนาสมัยต่างๆ โดยแบ่งเน้อื หาออกเป็น ๑๑ บท๑๖๑ คือ
บทที่ ๑ การทาํ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๑
บทที่ ๒ การทาํ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๒
บทท่ี ๓ การทาํ สังคายนาคร้ังท่ี ๓
บทที่ ๔ การรับฉลองเจดีย์บรรพตวหิ าร
บทท่ี ๕ การทาํ สงั คายนาครั้งท่ี ๔
บทที่ ๖ การจารึกพระไตรปิฎก
บทที่ ๗ การแปลอรรถกถาพระไตรปฎิ ก
บทที่ ๘ พรรณนาฎีกาพระไตรปิฎก

๑๖๐ ไกรวฒุ ิ มะโนรตั น,์ วรรณคดีบาลี ๑, หนา้ ๑๓๙-๑๔๖.
๑๖๑ เสนาะ ผดุงฉตั ร , ความรูเ้ บอ้ื งตน้ เก่ยี วกับวรรณคดีบาล,ี (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๒), หน้า ๑๕๐-๑๕๔

๑๖๐

บทท่ี ๙ พรรณนาพระเถระผู้แตง่ คมั ภีร์ท้ังหมด
บทท่ี ๑๐ พรรณนาอานสิ งส์การแต่งพระไตรปฎิ ก
บทท่ี ๑๑ พรรณนาอานสิ งสข์ องการฟังธรรม

๖.๖ วรรณกรรมบาลีในยคุ รัตนโกสินทร์

วรรณกรรมบาลีในยคุ รัตนโกสนิ ทร์ ในวงการศึกษาคมั ภีร์กล่าวถงึ ผลงานของ
สมเดจ็ พระวนั รัตน วัดพระเชตุพลวมิ ลมังคลาราม(วดั โพธ์ิ) ในรชั กาลท่ี ๑ แตง่ เปน็ ภาษา
มคธหรอื ภาษาบาลี ในยคุ รัตนโกสินทร์มอี ยดู่ ว้ ยกัน ๓ คัมภีร์๑๖๒ คอื

๑) จุลยุทธกาลวงศ์ พงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา
๒) มหายทุ ธกาลวงศ์ ว่าดว้ ยเรอ่ื งราชาธิราช
๓) สงั คีติยวงศ์ ว่าด้วยการทาํ สังคายนาพระไตรปฎิ ก

๑) จุลยุทธกาลวงศ์
จลุ ยุทธกาลวงศ์ เป็นผลงานของสมเด็จพระวันรตั น วดั พระเชตพุ น องค์ท่ีเป็น
อาจารย์ของสมเด็จกรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส ประมาณวา่ น่าจะแตง่ ในสมยั รชั กาลท่ี ๑
เพราะผแู้ ต่งได้ถึงมรณภาพในต้นสมยั รชั กาลท่ี ๒ สว่ นเน้อื หาสาระในจลุ ยุทธกาลวงศ์
อาจสรุปไดเ้ ปน็ ๒ ส่วน ดังน้ี
ส่วนท่ี ๑ เรม่ิ ตน้ ด้วยเจ้านครเชยี งรายยกทพั ไปปราบเจ้าเมืองสโตงค์ทป่ี ระกาศ
ตนเป็นอิสรภาพจากนครเชียงราย แต่ต้องกลบั เปน็ ฝา่ ยพา่ ยแพ้ จึงอพยพผู้คนหนมี าทาง
สยามประเทศ และสรา้ งนครใหม่ขน้ึ ชอ่ื ว่า นครไตรตรึงษ์ ณ ปา่ ใกลเ้ มอื งกําแพงเพชร
ตามคาํ แนะนาํ ของท้าวสกั กะผแู้ ปลงตนเป็นสมาดาบส ภายหลงั มกี ษตั รยิ ์สืบสันตนั ตวิ งศ์
ตอ่ มาสามสีพ่ ระองค์
ส่วนที่ ๒ วา่ ด้วยพระเจา้ อู่ทองสถาปนากรงุ ศรีอยุธยาเปน็ ราชธานพี รอ้ มทง้ั ทรง
ราชาภเิ ษกเปน็ ปฐมบรมกษตั รยิ ์ทรงพระนามว่า พระรามาธบิ ดีที่ ๑ ต่อมาพระราเมศวร
และขุนหลวงพระงวั่ (พระบรมราชาธริ าช)ไปปราบกัมพชู าท่ีไม่ยอมเป็นเมืองขึน้ ของกรุง
ศรีอยุธยา ทรงสถาปนาวัดพทุ ไธสวรรย์ แ ละวดั ปา่ แก้วเป็นวัดประจาํ รัชกาล ภายหลังมี
กษตั ริยผ์ ลดั เปลย่ี นกันครองราชย์หลายพระองค์

๑๖๒ ไกรวฒิ มโนรตั น.์ วรรรคดีบาล๑ี . หนา้ ๑๔๑

๑๖๑

๒) คัมภรี ์สังคีตยิ วงศ์
คมั ภรี ์สงั คีตยิ วงศน์ ี้ จากคาํ นาํ ของกรมศิลปกรกลา่ วว่า เสดจ็ พระวนั รัต วดั พระเช
ตุพนในรัชกาลที่ ๑ แตง่ ขน้ึ เมอ่ื ครง้ั ดาํ รงสมณศกั ดท์ิ ่ีพระพมิ ลธรรม เมือ่ พ .ศ.๒๓๓๒ เพื่อ
เป็นการเฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช เนอ่ื งในโอกาสท่ี
พระไตรปิฎกท่โี ปรดใหส้ ังคายนาเสรจ็ เรียบรอ้ ย โดยแตง่ เป็นคัมภีรใ์ บลานภาษามคธ ๗
ผูก เนื้อเรื่องเป็นพงศาวดารของบา้ นเมืองประกอบกนั
ต่อมาเมอ่ื พ .ศ.๒๔๖๖ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ า
โปรดเกลา้ ฯ ใหก้ รมการหอพระสมุดว ชริ ญาณสําหรบั พระนคร เลอื กหาหนังสือทเี่ ปน็
ประโยชนท์ างพทุ ธศาสนา และนาฏศาสตรอ์ ย่างละหนงึ่ เรอ่ื งสําหรับพระราชทานเป็นท่ี
ระลึก งานพระราชทานเพลงิ พระศพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอธุชธราดลิ ก กรมขนุ
เพชรบรู ณ์ อนิ ทราชยั กรมการหอสมุดฯ ได้เลอื กคมั ภรี ส์ งั คีตยิ วงศ์ ซ่งึ ได้ขอให้พร ะยา
ปริยตั ิธรรมธาดา (แพ ตาลลกั ษณ์ ) แปลเปน็ ไทย มีอรรถและคาํ แปลครบบริบรู ณแ์ ละได้
จกั พิมพ์เป็นครั้งแรกด้วย
คัมภรี ์สังคตี ิยวงศ์ ทว่ี า่ ด้วยการสงั คายนาพระไตรปิฎกตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิ
พาน จนถึงที่สดุ ไดท้ าํ ในกรงุ รตั นโกสินทร์ แบง่ เนอ้ื หาออกเปน็ ๙ ปริจเฉท แต่ละ
ปรเิ ฉทมีเนอ้ื หาพอสรุปไดด้ งั นี้
ปรเิ ฉทที่ ๑ ว่าด้วยสงั คายนาในชมพทู วีป ๓ ครั้ง
๑) นมสั สนกถา คํานมัสการ
๒) อารัมภกถา คําปรารภเบอ้ื งตน้
๓) สงั เขปกถา ว่าดัวยสังคตี ิกถาโดยย่อ
๔) วิตถารกถา ว่าดัวยสงั คตี ิกถาโดยพสิ ดาร
๕) ปฐมสังคตี กิ ถา วา่ ด้วยเร่อื งพระมหากัสสปเถระประชมุ พระสงฆ์ ๕๐๐ ทาํ
สงั คายนาครงั้ แรก
๖) ทตุ ยิ สงั คตี ิกถา วา่ ด้วยพระยสเถระประชุมพระอรหันต์ ๗๐๐ ทําสังคายนา
ครัง้ ที่ ๒
๗) ตติยสังคตี ิกถา ว่าด้วยพระโมคลั ลีบตุ รติสสเถระประชมุ พระอรหันต์ ๑๐๐๐
ทําสงั คายนาครงั้ ท่ี ๓
ปรเิ ฉทท่ี ๒ วา่ ด้วยสังคายนาในชมพทู วีป ๔ ครั้ง

๑๖๒

๑) จตุตถสงั คตี ิกถา ว่าด้วยพระมหินทเถระ ประชุมพระอรหันตท์ ้งั หลาย
สงั คายนาครัง้ ท่ี ๔

๒) ปญั จมสังคตี กิ ถา วา่ ด้วยพระภิกษสุ งฆ์ประชุมกนั สาธยายพระธรรมวินยั และ
ยกข้ึนสูใ่ บลาน เป็นสังคายนาคร้ังที่ ๕

๓) ปฎกิ ัตตยเลขนา ว่าดว้ ยจารพระไตรปิฎกลงในใบลาน นบั เป็นสังคายนาครง้ั
ท่ี ๖

๔) สตั ตมธมั วินยั สังเคหะว่าดว้ ยกระทาํ อตั ถวรรณนา นบั เป็นสงั คายนาครงั้ ท่ี๗
ปริเฉทที่ ๓ ลงั กาทปี ราชวงษ์ วา่ ด้วยประดิษฐานพระพุทธศาสนาในลงั กา
ทวีป
๑) พระมหินทเถระให้สามเณรสุมนะไปเชิญพระรากขวัญเบ้ืองขวาจากดาวดงึ ษ์
มาสู่ลังกาทวีป
๒) พระนางสงั ฆมิตตาเถรี เชิญพระโพธพิ ฤกษ์มาสศู่ รีลงั กา
๓) พระมหนิ ทเถระเขา้ สู่พระนิพพาน
๔) เรื่องประดิษฐานพระทันตธาตุเบ้อื งขวา
๕) เรื่องพระนลาฎธาตเุ สด็จมาศรลี งั กา
๖) เรื่องสรา้ งมหยิ ังคสถูป
๗) เรื่องสร้างพระมรจิ จเจดยี ์
๘) เรือ่ งสรา้ งโลหปราสาท
๙) เรอ่ื งสรา้ งพระสวุ รรณมาลกิ เจดีย์
๑๐) โปฎฐการุฬหสังคตี ิ วา่ ด้วยพระอรหันต์ ๗๐๐ องค์ จารพระพทุ ธวจนะขึ้นสู่
ใบลาน
๑๑) เร่ืองราชวงศกถาและประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนา
ปรเิ ฉทที่ ๔ ว่าดว้ ย พระพทุ ธทนั ตธาตุไปประดษิ ฐานในประเทศตา่ งๆ
๑) เร่ืองพระวามทนั ตธาตุไปประดษิ ฐานในลังกาทวปี
๒) เรื่องพระพุทธทตั ตเถระกบั พระพทุ ธโฆษเถระไปแปลสหี ฬภาษาทเ่ี กาะลังกา
แล้วนําพระธาตมุ าประดษิ ฐานไวใ้ นชมพูทวีป

ปรเิ ฉทท่ี ๕ ว่าดว้ ยพระราชา ๕๐๐ องค์
๑) เรื่อง แรกสร้างเมืองหริภญุ ชยั

๑๖๓

๒) เรอ่ื ง นางจามเทวีไดเ้ สวยราชในเมอื งหริภุญชัย
๓) เรื่อง กอ่ พระเจดียแ์ ข่งขนั เพอื่ ชงิ ชัยในระหวา่ งสงคราม
๔) เรอ่ื ง การผดุ ขนึ้ แหง่ พระมหาธาตุในเมอื งหรภิ ญุ ชัย
๕) เรื่อง ลาํ ดับวงศพ์ ระเจ้าอาทจิ จราช
๖) เรื่อง อานิสงสอ์ ันพระโบราณกษตั ริยไ์ ดบ้ าํ เพ็ญมา
ปริเฉทที่ ๖ ว่าด้วยราชวงศ์ในชมุ พูทวีปและลาววงศ์
๑) เร่ือง ลาํ ดบั วงพระเจ้ามังรายมหาราช
๒) เรื่อง พระสมุ นเถระได้พระธาตแุ ต่สโุ ขทยั มาไว้เมืองสชั นาลยั
๓) เรื่อง พระเจา้ กลิ นาราชส่งทตู ไปเชญิ พระสมุ นเถระมาทาํ สงั ฆกรรมทน่ี ัพพิสปิ ุ
ระ
๔) เร่อื ง พระสหี ฬปติมาเสดจ็ มาเมอื งเชียงราย
๕) เรอ่ื ง พระกิลนาราชสรา้ งบบุ ผารามวหิ าร ถวายพระสุมนเถระ
๖) เรอ่ื ง สีหฬศาสนาได้ดําเนินมาถึงเมอื งหรภั ญุ ชยั
๗) เรอ่ื ง พระสรุ สหี ไดส้ ถาปนาพระธาตเุ จดียเ์ กา่ ในเมอื งนพั พิสินคร
๘) เรื่อง พระเจ้าสริ ิธรรมจกั รพรรดริ าชาธริ าช ผกู พทธสีมาสมมติ
๙) เรื่อง พระรัตนปติมาเจ้าประดษิ ฐานในสยามประเทศ
๑๐) เร่ือง พระราชาติลกอาราธนาให้พระภิกษุสงฆ์ชําระพระธรรมวนิ ัย คือสงั คตี ิ
ครง้ั ที่ ๘
๑๑) เรื่อง บงั เกดิ ขนึ้ แห่งพระสิขพิ ุทธปติมา
๑๒) เรื่อง สร้างพระปตมิ าด้วยแกน่ ไมจ้ นั ทร์
๑๓) เรอ่ื ง ก่อกําแพงศลิ าเมืองหริภุญชยั
๑๔) เรอื่ ง ลาํ ดับลาววงศราช
ปริเฉทที่ ๗ วา่ ด้วยทสราชวงศก์ รุงศรอี ยุธยา

๑) เรอ่ื ง ทศราชวงศ์ครง้ั ที่ ๑
๒) เรื่อง ลําดับราชวงศค์ รั้งที่ ๒
๓) เรือ่ ง ลาํ ดบั ราชวงศ์ครั้งที่ ๓
๔) เรื่อง พระนครถงึ ความพนิ าศใหญ่
ปรเิ ฉทที่ ๘ ว่าด้วยการสร้างกรุงรัตนโกสินทร์
๑) ว่าด้วยเหตุการณ์ตา่ งๆ และสังคีตทิ ี่ ๙

๑๖๔

ปรเิ ฉทที่ ๙ ว่าด้วยอานิสงส์และความปรารถนา
๑) เรอ่ื ง อาสิสงสต์ า่ งๆ และพระเจดยี ต์ ่างๆ และปัญจอันตรธาน
๒) เรอื่ ง ความปรารถนาของผแู้ ต่งสงั คีติยวงศ์
จึงกล่าวได้วา่ วรรณกรรมบาลใี นประเทศไทยมีวิวฒั นาการมายาวนานมา
นบั ตง้ั แต่พระพุทธศาสนาไดเ้ ริ่มมาประดิษฐานในประเทศไทย เมื่อ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแลว้
เม่ือพระโมคคลั ลบี ตุ รและพระเจา้ โศกมหาราชส่งพระธรรมทตู อันมีพระโสณ ะกับพระอุตต
ระเป็นหวั หน้ามายังดนิ แดนสวุ รรณภมู ิ นักปราชญ์บนแผ่นดินนี้กไ็ ด้ผลิตงานเขยี นเป็น
ภาษาบาลีอยา่ งต่อเนือ่ งกันในลกั ษณะตา่ งๆ ทง้ั ประเภทเอกสารประวตั ิศาสตร์ ในรูปจารึก
พงศาวดาร ตาํ นาน ประวตั ิ สาสน์ ฯลฯ ประเภทวิเคราะห์ธรรมในรปู ทปี นี อตั ถโยชนา
สังคหะ และประเภทงานประพันธ์เบ็ดเตลด็ รวมแลว้ ไมน้ อ้ ยกวา่ รอ้ ยเรอื่ ง

สรุปทา้ ยบท

วรรณกรรมภาษาบาลี ใน ยุคกอ่ นสุโขทยั ยคุ สโุ ขทยั ยุคล้านนา และยคุ
รตั นโกสนิ ทร์ เปน็ ศลิ าจารึกบนั ทึกไวเ้ ป็นหลกั ฐานท้ังเรื่องการสรา้ งพระพุทธรปู ท่สี ําคัญ
ประวตั ิพระเถระหรือพระราชาทีป่ กครองนครในสมยั นั้นแต่งวรรณคดีบาลขี ึน้ หลายเรื่อง
เปน็ ยคุ ทองของวรรณคดีบาลที ที่ ่านได้สรา้ งผลงานไว้ ทําใหผ้ ศู้ กึ ษาสามารถคน้ หาความ
เปน็ จริงตามหลกั ฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่า มีการบนั ทกึ ไว้ในหลักศลิ าจารึก หรือพงศาวดาร
ตามโบราณสถานต่างๆ ทีไ่ ดค้ ้นพบ ทน่ี กั ปราชญร์ าชบัณฑติ ทงั้ หลายไดแ้ ปลออกมาเปน็
ภาษาไทย ใหน้ ักศกึ ษารนุ่ หลงั ได้ศึกษาเป็นแนวทางทจ่ี ะนาํ ไปสกู่ ารคน้ ควา้ อา้ งอิงได้

วรรณกรรมไทย กเ็ ปน็ อีกแบบหนงึ่ ที่นกั ปราชญท์ า่ นไดค้ น้ คว้ามาจากหลกั คาํ สอน
ทางด้านพระพุทธศาสนา เพอื่ เป็นคตสิ อนใจให้ชาวพทุ ธได้นําไปเปน็ แนวปฏบิ ตั ิ ลว้ นแต่
เป็นคาํ สอนที่เกิดประโยชน์ ให้ชาวพทุ ธได้ฉกุ คิดวา่ สามารถเป็นแม่แบบนาํ ไปปฏบิ ัติ และ
หลอ่ หลอมความเป็นไทยได้อย่างกลมกลนื

จากที่กล่าวถึงรายละเอยี ดของวรรณกรรมบาลีในประเทศไทยมาข้างต้น แสดงให้
เหน็ วา่ วรรณกรรมภาษาบาลแี ละวรรณกรรมภาษาไทยของพระพทุ ธศาสนาเถรวาท เป็น
รากฐานในการพัฒนาภูมิปญั ญาของคนในชาติ เ ปน็ บอ่ เกิดแห่งปราชญร์ าชบณั ฑิตเกิด
วรรณกรรม ฯลฯ ภูมคิ ุม้ กนั ใหพ้ ระพทุ ธศาสนามคี วามเจรญิ รุ่งเรอื งมาโดยลาํ ดับ

๑๖๕

๑๖๖

คาถามทา้ ยบท

๑. หลกั ฐานท่ีแสดงถึงความเป็นวรรณคดีบาลใี นยุคก่อนสุโขทยั ได้แกส่ ถานทแี่ ห่งใดและ
หลกั ฐานน้ันมอี ะไรทแ่ี สดงความเปน็ วรรณกรรมบาลกี ่อนสุโขทัย ขอทราบ
รายละเอยี ด

๒. ศลิ าจารึกวัดปา่ มว่ ง จงั หวดั สุโขทยั กับคมั ภรี ์รัตนพิมพวงศ์ มีความเหมือนหรอื
แตกต่างกนั อยา่ งไร อธบิ าย

๓. นิทานพุทธสิหงิ ส์ถอื ว่าเปน็ วรรณกรรมบาลสี าคญั ยุคลา้ นนา อยากทราบวา่
ลกั ษณะสาคัญท่ีแสดงความเปน็ วรรณกรรมบาลียุคน้อี ยา่ งไร อธบิ าย

๔. ปญั ญาสชาดก มีสาระสําคญั อย่างไร
๕. วรรณกรรมบาลที ่ีสําคัญในยุคอยธุ ยามีอะไรบ้าง และวรรณกรรมบาลียคุ นืม้ ลี กั ษณะ

สําคญั อย่างไร
๖. คมั ภรี ส์ ังคีติยวงศ์เปน็ วรรณกรรมบาลยี ุครัตนโกสินทรแ์ บง่ ออกเปน็ กี่ปริจเฉท แตล่ ะ

ปรเิ ฉทว่าดว้ ยเร่ืองอะไร และขอใหท้ า่ นอธบิ ายสาระสําคัญในปริจเฉทท่ี ๑ มาให้
ละเอียด

๑๖๗

เอกสารอ้างอิงประจาบท

กรมศิลปกร. ตานานพระแกว้ มรกต. พระนคร: โรงพมิ พ์พระจันทร์, ๒๕๑๙.

ไกรวฒุ ิ มะโนรัตน์. วรรณคดบี าลี ๑. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพจ์ รัญ สนทิ วงศ์

การพมิ พ์, ๒๕๔๙.

จาํ เนียร แก้วกู่ . หลักวรรณคดีบาลวี จิ ารณ์. กรงุ เทพมหานคร: สาํ นักพิมพโ์ อเดยี นส

โตร,์ ๒๕๓๙.

ปรมานุชิตชโิ นรส, สมเด็จกรมพระ. พระปฐมสมโพธกิ ถา. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์

หจก. รงุ่ เรอื งสาสน์ การพมิ พ์, ๒๕๓๖.

เปลื้อง ณ นคร. ประวัตวิ รรณคดีไทย. กรุงเทพมหานคร: ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๔๕.

พระตปิ ฎิ กจูฬาภยเถระ. มิลินทปญั หาปกรณ์. แปลโดย กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์

วิญญาณ, ๒๕๔๐.

พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยตุ โต), พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ฉบบั ประมวลศพั ท์.

กรงุ เทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐.

พระพทุ ธโฆษาจารย์. สมนตฺ ปาสาทกิ า นาม วินยฏฐกถา (ปฐโม ภาโค ).

กรงุ เทพมหานคร : มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๑.

พระรัตนปญั ญาเถระ. ชินกาลมาลีปกรณ.์ แปลโดย กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณ

ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐.

พระสิรมิ ังคลาจารย์. จักรวาลทปี นี. แปลโดย กรุงเทพมหานคร : พมิ พท์ ่ี หจก .

เซ็นทรัลเอก็ ซ์เพรส ศึกษาการพิมพ์, ๒๕๒๓.

พฒั น์ เพ็งผลา . ประวตั วิ รรณคดบี าลี. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๓. กรงุ เทพมหานคร : สํานักพิมพ์

มหาวิทยาลัยรามคําแหง,๒๕๓๕.

พฑิ รู ย์ มลิวัลย์ และไสว มาลาทอง . ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธสาสนา,พิมพ์คร้ังที่ ๒.

กรุงเทพเทพมหานคร :โรงพมิ พก์ ารศาสนา,๒๕๓๓.

วนรัตน, สมเดจ็ พระ (ในรัชกาลท่ี ๑). สงั คตี ิยวงศ์. แปลโดย พระยาปรยิ ัตธิ รรมธาดา

(แพ ตาลลกั ษณ์). กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพศ์ ิวพร, ๒๕๒๑.

สมเด็จพระวนรัตน์ วดั พระเชตพุ น ในรชั กาลท่ี ๑, สังคตี วิ งศ์. แปลโดย พระยาปริยตั ิ

ธรรมธาดา (แพ ตาลลกั ษณ์). กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พศ์ วิ พร, ๒๕๒๑.

๑๖๘

สริ วิ ัฒน์ คําวนั สา ,รศ. ประวตั ศิ าสตร์พระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย. พิมพค์ รัง้ ท่ี ๒.
กรุงเทพมหานคร :โรงพมิ พ์บริษัทสหธรรมกิ จาํ กดั , ๒๕๔๑.

สุภาพรรณ ณ บางชา้ ง , รศ.ดร. ประวตั ิวรรณคดีบาลีในอนิ เดยี และลงั กา.
กรงุ เทพมหานคร: สํานกั พิมพ์จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๒๖.

__________ . ววิ ัฒนาการงานเขยี นภาษาบาลีในประเทศไทย: จารึก ตานาน
พงศาวดาร สาส์น ประกาศ. กรุงเทพมหานคร: มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๒๙.

__________ . ไวยากรณ์บาลี. กรุงเทมหานคร: โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลยั รามคําแหง,
๒๕๓๘.

เสถยี ร โพธินนั ทะ .ประวตั ิศาสตร์พระพุทธศาสนาฉบบั มุขปาฐะภาค ๒.
กรุงเทพมหานคร : มหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙.

เสนาะ ผดุงฉตั ร. ความรู้เบอื้ งตน้ เกย่ี วกบั วรรณคดีบาลี. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๒.

บทที่ ๗
คุณคา่ ของวรรณกรรมบาลีตอ่ สังคมไทย

ผศ.ดร.ประชารัชต์ โพธิประชา
อาจารย์บญุ ส่ง ธรรมศิวานนท์

วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนประจาบท

เมือ่ ได้ศึกษาเนอ้ื หาในบทนแี้ ล้ว นิสติ สามารถ
๑. อภปิ รายคณุ ค่าวรรณคดีด้านหลกั คาํ สอนได้
๒. บอกคณุ คา่ วรรณคดีด้านภาษาไทยได้
๓. อธิบายคณุ ค่าวรรณคดีด้านประวตั ศิ าสตร์พระพุทธศาสนาได้
๔. อธิบายคณุ ค่าวรรณคดีดา้ นวรรณกรรมไทยได้
๕. เปรียบเทยี บคณุ คา่ วรรณคดีดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมไทยได้
๖. อภปิ รายคุณค่าวรรณคดีด้านคติความเชื่อของสงั คมไทยได้

๑๖๙

ขอบขา่ ยเนอื้ หา

 ความนํา
 คณุ คา่ ด้านหลกั คาํ สอน
 คณุ ค่าดา้ นประวัติศาสตร์พระพทุ ธศาสนา
 คณุ ค่าดา้ นภาษาไทย
 คณุ คา่ ดา้ นวรรณกรรมไทย
 คุณคา่ ด้านศิลปะและวัฒนธรรมไทย
 คุณค่าดา้ นคติความเช่อื ของสงั คมไทย

๑๗๐

๗.๑ ความนา

เปน็ ทที่ ราบกันว่า วรรณกรรมบาลีเปน็ หนังสือที่ทรงคุณคา่ ต่อวิถีชี วติ ของคนไทย

มาเป็นเวลานานแลว้ หากกลา่ วเฉพาะคาํ วา่ คณุ ค่าแล้วในทน่ี ้หี มายถงึ สงิ่ ทดี่ มี คี วามดีงาม

มีความสําคญั ควรแก่การยกย่องและไดร้ ับการยอมรับว่ามีในส่งิ นน้ั หรือบคุ คลนนั้ อยา่ ง

แทจ้ รงิ จนทาํ ใหม้ ีคา่ มรี าคาสูงหรือมีคา่ จนไมอ่ าจตีคา่ เปน็ ราคาได้หรอื พดู กนั วา่ หาค่ามไิ ด้

ดังนั้น คุณคา่ ของวรรณกรรมบาลี จึงมคี วามหมาย ทหี่ มายถงึ ส่งิ ที่ดี มีความดงี าม

มีความสาํ คัญควรแกก่ ารยกย่องและได้รับการยอมรับวา่ มคี า่ ราคาสงู หรือหาค่ามไิ ด้ ซง่ึ

ก่อใหเ้ กดิ ผลกระทบต่อสังคมไทยอยา่ งกวา้ งขวาง เพราะสงั คมไทยเป็นสงั คมชาวพุทธ

วัฒนธรรมประเพณีต่างๆ ทกุ ภาคข องประเทศ ถอื ได้ว่าวรรณกรรมบาลมี อี ทิ ธพิ ลตอ่

พฤตกิ รรมของคนในสังคมไทยทว่ั ประเทศ ถา้ จะเปรียบสังคมไทยเปน็ ต้นไมย้ ืนต้นขนาด

ใหญ่ มกี งิ่ ใหญ่ ๓ กง่ิ คือกิง่ ชาติ ก่งิ ศาสนาและกง่ิ พระมหากษตั รยิ ์ วรรณกรรมบาลี เป็น

แก่นของกิง่ ศาสนา พระไตรปิฎกเปน็ หลักสาํ คญั ของคาํ สอนในพระพุทธศ าสนา

วรรณกรรมบาลีคอื หลักคาํ สัง่ สอนของพระพทุ ธศาสนาท่มี ีการเรยี บเรยี งตามลาํ ดับกันมา

จนถึงชั้น อรรถกถา ฎีกา อนฎุ ีกา โยชนา ฯลฯ เหล่านเี้ ป็นต้นถือไดว้ ่ามีคุณค่าตอ่

สังคมไทยเป็นอย่างมาก

๗.๒ คุณคา่ ดา้ นหลักคาสอน

ในพทุ ธประวัติเล่าว่า เมือ่ พระพทุ ธเจ้าตรสั รแู้ ลว้ ใหมๆ่ ทรงราํ พึงถงึ สงิ่ ท่พี ระองค์
ทรงคน้ พบหรอื ตรสั รู้ว่าเปน็ คณุ ธรรมท่ลี ึกซ้งึ เหน็ ได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณตี ไม่
อาจหยั่งรู้ดว้ ยวธิ ีแหง่ ตรรกะ ละเอยี ด วสิ ัยบณั ฑิต เท่าน้นั ที่จะรไู้ ด้ ส่วนปุถชุ นผู้ยงั เรงิ รมย์
ในอาลยั ยนิ ดี ชื่นชมในอาลยั จะมาเหน็ เรื่องลึกซ้ึงอยา่ งหลั กอทิ ัปปัจจยตา คือปฏจิ จสมปุ
บาทธรรม เป็นท่ีสงบสงั ขารสละคนื อปุ ธิ สิ้นตณั หา สิน้ กําหนด บรรลุนพิ พานได้อย่างไร
ถา้ จะทรงแสดงธรรมจะพึงเหน่อื ยเปลา่ หาผตู้ ดิ ตามไม่ไดแ้ น่ จึงโนม้ พระทัยท่ีจะไม่แสดง
ธรรมโปรดเวไนยสัตว์ แต่ดว้ ยทรงมีพระมหากรุณาต่อสรรพสัตว์ท้ังยงั จาํ แนกความ
แตกต่างแห่งสรรพสัตวไ์ ด้วา่ บางพวกมกี เิ ลสธุลีน้อย มีธุลีในตามาก มีอินทรยี แ์ กก่ ลา้ มี
อนิ ทรียอ์ อ่ น มีอาการดี มีอาการทราม สอนให้รู้ไดง้ า่ ย สอนให้ร้ไู ดย้ าก บางพวกมองเห็น
ปรโลกและโทษวา่ น่ากลัวกม็ ี บางพวกมองไม่เหน็ ปรโลก ทรงเปรียบเหมอื นดอกบัวบาง

๑๗๑

ชนดิ จมอยใู่ นนาํ้ บางชนิ ดอยูเ่ สมอนํา้ บางชนิดอยพู่ น้ น้ํา จงึ ทรงแสดงธรรมโปรดเวไนย
สตั ว์ในสถานทตี่ า่ งๆ ตลอด ๔๕ พรรษาแหง่ พระชนมช์ พี ของพระองค์ พุทธธรรมทที่ รง
แสดงน้ัน มลี ักษณะทัว่ ไปสรปุ ได้ ๒ อย่าง คอื

๑) มชั เฌนธรรมเทศนา หลกั ความจริงสายกลาง เป็นคําสอนท่วี ่าด้วยความ
จรงิ ตามแนวของเหตุผลบรสิ ุทธติ์ ามกระบวนการของธรรมชาติ นํามาแสดงเพ่อื ประโยชน์
ในทางปฏิบตั ิในชวี ิตจริงเท่านน้ั ไม่สง่ เสรมิ ทจี่ ะเข้าถึงสัจธรรมดว้ ยวิถีถกเถยี งสร้างทฤษฎี
ต่างๆ ข้ึนแลว้ ยดึ มัน่ ปกป้องทฤษฎีนั้นๆ ดว้ ยการเก็งความจรงิ ทางปรัชญา

๒) มชั ฌมิ าปฏปิ ทา ข้อปฏิบัตสิ ายกลาง เปน็ หลักการครองชวี ิ ตของผู้
ฝึกอบรมตน ผูร้ เู้ ทา่ ทันชวี ติ ไมห่ ลงงมงาย ม่งุ ผลสาํ เร็จ คือ ความสขุ สะอาด สวา่ ง สงบ
เป็นอิสระ ทสี่ ามารถมองเห็นไดใ้ นชีวติ นี้ ในทางปฏิบตั ิความเปน็ ทางสายกลางนสี้ มั พนั ธ์
กับองค์ประกอบอืน่ ๆ เช่น สภาพความเปน็ จริงของบรรพชติ หรอื คฤหัสถ์ เปน็ ต้น
มัชเฌนธรรมเทศนาและมชั ฌมิ าปฏิปทา สามารถกําหนดคณุ ค่าด้านหลักคําสอนที่สาํ คญั
มากมาย ดังต่อไปน้ี๑๖๓

๑) ขนั ธ์ ๕
ขันธ์ ๕ หมายถงึ สว่ นประกอบ ๕ ประการทร่ี วมกนั เข้าเปน็ ชีวติ พระพทุ ธศาสนา
เช่ือว่าหากเรานาํ ชีวติ ของคนสักคนหนง่ึ มาแยกส่วนประกอบดู จะพบว่า ประกอบด้วย
สว่ นประกอบสําคัญ ๕ ประการน้ี คอื
(๑) รูปขนั ธ์ ส่วนท่เี ปน็ รูป ได้แกร่ า่ งกาย พฤตกิ รรม และคุณสมบัติตา่ งๆ ของ
สว่ นทเี่ ป็นรา่ งกาย ตลอดจนสภาวะทปี่ รากฏเป็นอารมณป์ ระสาทสัมผสั ท้งั ๖ รูปขนั ธ์
ประกอบขนึ้ จากมหาภตู รปู ๔ (หรือธาตุ ๔) และอปุ าทายรปู ๒๔
(๒) เวทนาขนั ธ์ สว่ นที่เป็นการเสวยอารมณ์ ได้แก่ ความรสู้ ึก สขุ ทกุ ข์ หรอื เฉยๆ
ซ่ึงเกดิ จากผสั สะทางประสาททง้ั ๖
(๓) สญั ญาขันธ์ ส่วนที่เป็นความกาํ หนดไดห้ มายรู้ ได้แก่ กาํ หนดรูอ้ าการ
เคร่อื งหมายลักษณะตา่ งๆ อันเป็นเหตใุ ห้จาํ อารมณ์นน้ั ๆ ได้

๑๖๓ ไกรวฒุ ิ มะโนรตั น์ , วรรณคดีบาลี ๑ ,(กรุงเทพมหานคร: จรัญสนิทวงศ์การพิมพ,์ ๒๕๔๙),
หนา้ ๑๔๙-๑๗๑.

๑๗๒

(๔) สงั ขารขันธ์ ส่วนท่ีเป็นความปรุงแตง่ ไดแ้ ก่ คุณสมบตั ิตา่ งๆของจิตที่ มเี จตนา
เปน็ ตัวนํา ซ่งึ แตง่ จิตให้ดี ช่วั กลางๆ

(๕) วิญญาณขันธ์ สว่ นท่ีเปน็ เครอ่ื งรู้แจง้ อารมณไ์ ด้แก่ ความรู้แจง้ อารมณท์ าง
ประสาททัง้ ๖(อาตยนะ๖) คือ การเห็น การไดย้ ิน การไดก้ ลนิ่ การรู้รส การรสู้ ัมผัสทาง
กาย และการรรอู้ ารมณ์ทางใจ

พระพทุ ธศาสนามีทศั นะว่า ชีวติ (รวมทั้งโลกและสรรพส่งิ ในโลกซงึ่ เกิดจากการ
รวมตัวกันของขันธ์ ๕ นน้ั ยอ่ มเปล่ยี นแปลงและเสื่อมสลายไปตามกฎไตรลักษณ์

๒) ไตรลกั ษณ์
ไตรลกั ษณ์ หมายถึง ลักษณะ ๓ ประการ คอื
(๑) อนจิ จา ความเป็นของไมเ่ ท่ียง
(๒) ทุกขตา ความเปน็ ทุกขห์ รอื ภาวะทนอย่ไู มไ่ ด้
(๓) อนตั ตตา ความเป็นของไมใช่ตวั ตน

๓) ปฏิจจสมปุ บาท
ปฏจิ จสมปุ บาท หมายถงึ กฎแหง่ การเกดิ ขน้ึ อยา่ งอิงอาศยั กันของสิ่งทั้งหลายใน
รปู ของเหตุและผลตา่ งๆกนั ไปไม่มีท่ีสิ้นสดุ หรือกฎปจั จัยสัมพนั ธ์พระพุทธเจ้าทรงนาํ มา
แสดงในรูปของกฎธรรมชาติทไี่ ม่เกี่ยวกบั การอุบตั ิของศาสดาท้ังหลาย ใจความหลัก
ของปฏจิ จสมปุ บาท อธบิ ายเหตปุ จั จยั ของสรรพส่งิ ท้งั ท่มี ชี วี ิตและไมม่ ชี วี ิต ทั้งรูปธรรม
และนามธรรมให้เห็นความจริงในแง่ต่างๆ
หลกั ปฏิจจสมุปบาททีพ่ ระพุทธเจา้ ทรงนาํ มาแสดงนนั้ เมอ่ื ใชก้ บั สง่ิ ทไี ม่มชี ีวิตเรา
เรยี กว่า “กฎธรรมชาติ” เป็นกฎทม่ี ีอยเู่ อง เป็นอยู่เ อง เป็นอสิ ระ ไมข่ น้ึ กบั ปัจจยั อ่ืน ไมม่ ี
ใครสร้างหรือกาํ หนดขึ้น ไมอ่ ยภู่ ายใตอ้ าณัติของใครหรืออะไรทัง้ สิ้น เรยี ก ตามภาษาบาลี
วา่ “นยิ าม” หมายถงึ ระเบียบกฎเกณฑ์อนั แนน่ อน แบง่ เป็น ๕ กลุ่มคอื
(๑) อตุ นุ ยิ าม กฎธรรมชาติ เกย่ี วกับปรากฏการณ์ทางวตั ถุ เชน่ ลมฟา้ อากาศ
ฤดูกาล
(๒) พีชนยิ าม กฎธรรมชาติ เกี่ยวกบั การสบื พันธ์ุ หรอื พนั ธุกรรม เช่น หลักความ
จรงิ ทวี่ ่า หวา่ นพืชเช่นใดยอ่ มไดผ้ ลเชน่ นั้น

๑๗๓

(๓) จติ ตนิยาม ก ฏธรรมชาติ เกี่ยว กบั การทาํ งานของจิต เช่นเม่อื อารมณก์ ระทบ
ประสาทจะมีการรบั รูข้ ้ึน กระบวนการทํางานของจิตคอื เม่อื มอี ารมณม์ ากระ ทบ ภวงั คจิต
ไหว (ภวังคจลนะ) ภวังคจิตขาดตอน(ภควังคปัจเฉท) ขน้ึ ส่วู ถิ ีรบั อารมณว์ ิง่ ไป ๑๗ ขณะ
แล้วดับลง

(๔) กรรมนยิ าม กฎธรรมชาติ เกย่ี วกับพฤตกิ รรมมนษุ ย์ คือกระบวนการกอ่ การ
กระทําและการใหผ้ ลของการกระทาํ

(๕) ธรรมนยิ าม กฎธรรมชาติ เกย่ี วกับสัมพันธแ์ ละอาการทีเ่ ป็นเหตุ เป็นผลของ
ส่ิงทัง้ หลาย เรยี กว่า ความเปน็ ไปตามธรรมดา เชน่ ส่งิ ทัง้ หลายมีความเกดิ ขึ้น ตั้งอยู่ และ
ดับไปเป็นธรรมดา กฎธรรมนยิ ามเปน็ ทร่ี วมแหง่ กฎ ๔ ขอ้ ข้างต้น

ในบรรดานยิ ามทง้ั ๕ ข้อนนั้ ในแงข่ องมนุษย์ กรรมนยิ ามนับว่าเป็ นกฎท่ีสาคญั
ที่สุด เพราะเปน็ เร่ืองของมนุษย์โดยตรง ดังพุทธพจน์ท่ีว่า “กมฺมนุ า วตฺตติ โลโก” แปลว่า
สตั ว์โลกเปน็ ไปตามกรรม หรือโลกเป็นไปเพราะกรรม ดงั น้นั กรรมจึง เนน้ เร่อื งสาํ คญั ยงิ่
เร่ืองหน่ึงในพระพุทธศาสนา

๔) กรรม
กรรม มีความหมายตามรูปศพั ทว์ า่ การกระทาํ มีความหมายตามเน้ือหาว่า การ
กระทาํ ที่ประกอบด้วย เจตนา ตามพุทธพจน์ท่วี า่ “ภิกษทุ ้งั หลาย เพราะเหตนุ ้ี เรากลา่ ว
เจตนาวา่ เป็นตวั กรรมบุคคลคิดแล้วจงึ กระทําด้วยกายวาจา ใจ คาํ ว่าเจตนา ตามพุทธ
พจน์นี้ ไดแ้ ก่ เจตจาํ นง ดังนน้ั กรรมในทางพระพทุ ธศาสนา จงึ หมายถึงกรรมท่ี
ประกอบดว้ ยเจตนาคอื เจตจํานง แบ่งกรรมประเภทต่างๆได้ดงั น้ี
(๑) จําแนกตามทางทแ่ี สดงออกมี ๓ ทาง คอื กายกรรม การกระทาํ ทางกาย
วจีกรรมการกระทําทางวาจา และมโนกรรม การกระทําทางใจ
(๒) จําแนกตามคณุ ภาพของธรรมทเ่ี ปน็ มูลเหตุ มี ๒ มลู เหตุ คื ออกุศลกรรม
การกระทําทไ่ี ม่ดี กรรมชว่ั หมายถงึ การกระทาํ ทีเ่ กดิ จากเหตุชั่ว คือ โลภะ โทสะ หรื อ
โมหะ, กุศลกรรม การกระทาํ ทด่ี ี กรรมดี หมายถึง การกระทําทเ่ี กิดจากเหตุดี คือ อโล
ภะ อโทสะ หรือ อโมหะ
(๓) จาํ แนกตามสภาพทีส่ ัมพันธก์ ับผล มี ๔ คือ กรรมดาํ มีวิบากดํา หมายถงึ
กรรมช่วั มผี ลช่ัว, กรรมขาว มีวิบากขาว หมายถึง กรรมดี มผี ลดี , กรรมท้งั ดาํ ท้งั ขาว มี
วบิ ากทั้งดาํ ทง้ั ขาว หมายถงึ กรรมดบี า้ งชัว่ บ้าง เชน่ การกระทาํ ของมนษุ ย์ทวั่ ไป , กรรมไม่

๑๗๔

ดํา ไม่ขาว มีวบิ ากไมด่ ํา ไม่ขาว หมายถงึ เจตนาเพอื่ ละกรรมทั้ง ๓ อยา่ งขา้ งตน้ โดยองค์
ธรรม หมายถงึ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘

(๔) จาแนกตามเวลาทใี่ ห้ผล มี ๔ คือ ทฏิ ฐธรรมเวทนียกรรม กรรมท่ีทํางาน
ในขณะแห่งชวนจิตดวงแรกและใหผ้ ลปจั จบุ นั คอื ชาติน้ี ถา้ ไมม่ ีโอกาสใหผ้ ลในชาติน้กี ็
กลายเป็นอโหสกิ รรมไม่มผี ลตอ่ ไป, อุปปชั ชเวทนียกรรม กรรมท่ีทําในขณะแหง่ ชวนจิต
ดวงสดุ ท้ายและจะใหผ้ ลในภพทีจ่ ะไปเกิด คือในภพหนา้ ถ้าไมม่ ีโอกาสใหใ้ นภพหนา้ ก็
กลายเป็นอโหสกิ รรม, อปราปรเวทนียกรรม กรรมทท่ี ําในขณะแหง่ ชวนจิตที่ ๒-๖ และ
จะให้ในภพต่อไป ได้โอกาสเมื่อใดไดผ้ ลเมอ่ื นั้น ไม่กลายเปน็ อโหสิกรรมตราบเทา่ ทยี่ ังอยู่
ในสงั สารวัฏ, อโหสิกรรม กรรมซ่งึ ไมไ่ ดโ้ อกาสที่จะใหผ้ ลภายในเวลาทีจ่ ะออกผลได้ เม่อื
ล่วงเวลานนั้ ไปกไ็ มใ่ หผ้ ลอีกตอ่ ไป

(๕) จาแนกโดยหน้าที่ มี ๕ คอื ชนกกรรม กรรมท่เี ปน็ ตวั นําไปเกิด, อปุ ตั ถัมภ
กกรรม กรรมทเ่ี ขา้ ช่วยสนบั สนุนชนกกรรม, อปุ ปีฬกรรม กรรมทบี่ ีบคน้ั ซง่ึ อยู่ตรงขา้ ม
กบั ชนกกรรม ใหผ้ ลบบี คัน้ ชนกกรรมและอุปปัตภกกรรม, อุปฆาตกรรม กรรมตัดรอนอยู่
ฝ่ายตรงขา้ มที่กําลงั แรงเขา้ ตัดรอนความสามารถของกรรมอ่ืนทม่ี ีกาํ ลังนอ้ ยกว่า

(๖) จาแนกตามลาดบั ความแรงในการใหผ้ ล มี ๔ คือ ครกุ รรม กรรมหนกั
ใหผ้ ลแรง ในฝา่ ยดีไดแ้ กส่ มาบตั ิ ๘ ในฝ่ายชว่ั ไดแ้ ก่อนันตริยกรรม คือ ฆา่ บิดา ฆา่ มารา
ดา ฆ่าพระอรหนั ต์ ทาํ รา้ ยพระพุทธเจา้ จนถงึ พระโลหิตห้อข้ึน (สงั ฆเภท), พหุลกรรม
หรอื อาจณิ ณกรรมกรรมที่ทํามากหรอื กรรมชินทําส่งั สมจนเคยชินเปน็ นิสยั , อาสันนกร
รม กรรมจวนเจยี น ได้แก่กรรมทที่ ําระลกึ ขึ้นได้เม่ือใกล้ตาย , กตัตตากรรม กรรมสกั วา่
ทํา กรรมทาํ ด้วยเจตนาออ่ น

๕) สงั สารวฏั ฏ์
สงั สารวัฏฏ์ คือ การเวียนวา่ ยตายเกิดอยูใ่ นโลก ๑๖๔ เรียกอีกอย่างหนง่ึ ว่า
ไตรวัฏฏ์ หมายถงึ วงจร ๓ สว่ นของปฎจิ จสมุปบาท ซ่งึ หมุนเวียนสบื ทอดต่อๆ กนั ไป ทาํ
ให้มกี ารเวียนว่ายตายเกิดหรือวงจรแห่งทุกข์ ได้แก่
(๑) กเิ ลสวัฏฏ์ ประกอบดว้ ยอวชิ ชา ตัณหา อปุ าทาน
(๒) กรรมวฎั ฎ์ ประกอบดว้ ยสังขาร ภพ

๑๖๔ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศัพท์ , )พิมพค์ รง้ั ที่
๖), (กรงุ เทพ ฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๓), หน้า ๓๑๗.

๑๗๕

(๓) วปิ ากวัฎฎ์ ประกอบด้วยวญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ชาติ
ชรามรณะ ปรเิ ทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ

เรยี กไตรวัฏฏ์โดยย่อว่า กิเลส กรรม และวปิ าก ซึ่งประกอบกันเข้าเป็นวงจร
หมุนเวียนตอ่ กันไม่มีท่สี น้ิ สดุ คือ กิเลสเปน็ เหตใุ หท้ ํากรรม เมอื่ ทํากรรมก็ได้รบั วบิ าก คอื
ผลของกรรมนั้น อันเป็นปจั จัยให้เกดิ กิเลสแล้วทํากรรมหมุนเวยี นตอ่ ไปอกี เชน่ เกดิ กเิ ลส
อยากได้ของเขา จึงทาํ กรรมดว้ ยการลกั ของเขามา ประสบวิบากคอื ได้ของนนั้ มา เสพ
เสวยสขุ เวทนา ทําให้มกี เิ ลสเหมิ ใจอยากได้รุนแรงและมากยงิ่ จงึ ย่ิงทํากรรมมา กขึน้ หรอื
ในทางตรงกนั ขา้ มถกู ขดั ขวาง ไดร้ ับทุกขเวทนาเป็นวิบาก ทาํ ให้เกิดกิเลส คือโทสะแคน้
เคือง แล้วพยายามทํากรรมคือประทุษรา้ ยเขา เมอ่ื เปน็ อย่อู ยา่ งน้ี วงจรจะหมุนเวยี นต่อไป
ไม่มีที่สน้ิ สดุ ๑๖๕

๖) อริสัจ ๔
อริยสัจ แปลว่า ความจรงิ อันประเสริฐ ความจรงิ ของพระอริยะ ความจรงิ ที่ทําให้ผู้
เข้าถงึ เปน็ พระอริยะ มี ๔ อย่าง คอื ๑๖๖
(๑) ทุกขอรยิ สจั ไดแ้ ก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย การ ประจวบกบั สิง่ อันไม่
เปน็ ทีร่ กั การพลดั พรากจากสง่ิ ท่ีรัก ความไม่สมปรารถนา โดยย่อคอื อปุ าทานขันธ์ ๕
เป็นทุกข์
(๒) ทกุ ขสมุทัยอริยสัจ ไดแ้ ก่ ตัณหา ๓ คือ กามตณั หา ภวตัณหา และ
วภิ วตณั หา
(๓) ทุกขนิโรธอริยสจั ได้แก่ การดับตณั หาได้ โดยไมม่ สี ่วนเหลือ การสละคนื
การสลัดคืน การพ้นไป การไมอ่ าลยั อีกต่อไปในตณั หาน้ัน
(๔) ทุกขนโิ รธคามินปี ฎิปทาอริยสัจ ไดแ้ ก่ มรรคมีองค์ ๘ อันเปน็ ทางปฏบิ ตั ิให้ถึง
ความดบั ทกุ ข์
อริยสัจ ๔ นม้ี ีช่อื อีกอยา่ งหน่ึงว่า สามกุ กงั สิกาธรรมเทศนา หมายถงึ พระธรรม
เทศนาทีพ่ ระพทุ ธองค์ทรงยกข้ึนแสดงเองโดยไม่ต้อง ปรารภคําถามหรอื การทลู ขอของ
ผฟู้ ังอยา่ งการแสดธรรมเรื่องอ่ืนๆ

๑๖๕ เรื่องเดียวกัน, หนา้ ๘๖-๘๗
๑๖๖ วิ.ม. (ไทย) ๔ / ท.ี ม. (บาล)ี . ๑๐/๓๘๖/๒๖๐.

๑๗๖

๗) อริยมรรคมอี งค์ ๘
มรรค คอื ทางแห่งการดับทกุ ข์ หรือขอ้ ปฏิบตั เิ พือ่ เข้าถงึ ทส่ี ดุ แหง่ ทุกข์ เรียกอกี
อยา่ งหนงึ่ วา่ มัชฌิมาปฏปิ ทา แปลว่า “ทางสายกลาง” เพราะเป็นขอ้ ปฏิบัตทิ ่ไี มเ่ อียงเขา้
หาท่สี ดุ ๒ ขา้ ง คือ กามสขุ ลั ลกิ านุโยค และอัตตกลิ มถานุโยค๑๖๗ มอี งค์ประกอบ ๘ อยา่ ง
แตล่ ะองค์ประกอบมีอธิบาย ดงั น้ี๑๖๘
(๑) สมั มาทฏิ ฐิ เห็นชอบ ได้แก่ การรเู้ ขา้ ใจอรยิ สั จ ๔ เหน็ ไตรลกั ษณ์ รอู้ กศุ ลและ
อกุศลมูล กับกศุ ลและกุศลมูล หรอื เหน็ ปฏจิ จสมุปบาท
(๒) สมั มาสงั กปั ปะ ดํารชิ อบ ได้แก่ การดําริในการออกจากกาม ในการไม่
เบียดเบียน และในการไมพ่ ยาบาท
(๓) สัมมาวาจา เจรจาชอบ ไดแ้ ก่ วจสี ุจริ ต ๔ คือ การงดเวน้ จากการพดู เท็จ พูด
ส่อเสียด พูดคาํ หยาบ และพูดเพอ้ เจ้อ
(๔) สมั มากัมมนั ตะ การะทําชอบ ไดแ้ ก่ กายสุจริต ๓ คอื การงดเวน้ การฆา่ สตั ว์
การลกั ทรพั ย์ และการประพฤติผิดในกาม
(๕) สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ ไดแ้ ก่ การเวน้ จากมิจฉาชพี ๕ ประการคือ
การค้าอาวธุ การค้ามนุษย์ การคา้ สตั ว์ทใี่ ช้เป็นอาหาร การคา้ นาํ้ เมา และการคา้ ยาพิษ
รวมทัง้ สิ่งเสพตดิ ทกุ ชนิด
(๖) สมั มาวายามะ พยายามชอบ ได้แก่ ปธาน หรือสัม มัปปธาน ๔ คือ เพยี รปดิ
กั้นบาปอกศุ ลทยี่ งั ไมเ่ กดิ มิใหเ้ กิดขน้ึ เพียรละบาปอกุศลที่เกดิ ขนึ้ แล้ว เพยี รทาํ กศุ ลทย่ี งั
ไม่เกิดให้เกิดมีขน้ึ และเพยี รรกั ษากศุ ลที่เกิดแลว้ ใหต้ ั้งมน่ั และให้เจริญยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป
(๗) สัมมาสติ ระลึกชอบ ไดแ้ ก่ สติปัฏฐาน ๔ โดยกําหนดพจิ ารณา กาย เวทนา
จิต และธรรม ใหเ้ ห็นตามความเป็นจริง
(๘) สมั มาสมาธิ ต้ังจิตมนั่ ได้แก่ ฌาน ๔
องคป์ ระกอบ ๘ อยา่ งของมรรคสามารถจดั เข้าเปน็ ประเภทต่างๆ ตามสภาวะท่ี
เป็นธรรมประเภทเดียวกนั และเจตนารมณ์ของการนาํ ไปใชด้ งั น้ีจดั เข้าในธรร มขนั ธ์

๑๖๗ วิ.ม. (บาลี) ๔/๑๓/๑๓-๑๔.
๑๖๘ ท.ี ม. (บาลี) ๑๐/๔๐๒/๒๖๖-๒๖๘.

๑๗๗

(หมวดธรรม) ๓ คือ สลี ขันธ์ สม าธขิ นั ธ์ และปัญญาขันธ์ อันเปน็ การจดั หมวดหมู่ตาม
สภาวะทเี่ ป็นธรรมประเภทเดียวกัน ไดแ้ ก่

(๑) จัด สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสงั กัปปะ เปน็ หมวดปญั ญา หรอื ปัญญาขันธ์
(๒) จัด สมั มาวาจา สัมมากมั มนั ตะ และสมั มาอาชวี ะ เป็นหมวดศลี หรือ สลี ขันธ์
(๓) จดั สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ เปน็ หม วดสมาธิ หรือ สมาธิ
ขันธ์

๘) ไตรสกิ ขา๑๖๙
ไตรสกิ ขา แปลวา่ สิกขา ๓ คาํ ว่า สกิ ขา แปลวา่ การศึกษา การสําเหนียก การ
ฝึก ฝึกปรอื ฝกึ อบรม ไดแ้ กข่ ้อปฏบิ ัตทิ ่เี ป็นหลกั สําหรบั ฝกึ อบรมกาย วาจา จิตใจ และ
ปญั ญา ใหเ้ จริญงอกงามยิ่งขนึ้ ไปจนบรรลุจดุ หมายสงู สดุ คือความหลุดพน้ หรอื นิ พพาน มี
๓ ประการ คือ
(๑) อธสิ ีลสิกขา การฝึกอบรมในด้านความประพฤติ ระเบยี บวนิ ัย ใหม้ สี ุจริตทาง
กาย วาจา และอาชวี ะ
(๒) อธิจิตตสิกขา การฝกึ อบรมทางจิต การปลูกฝงั คุณธรรม สร้างเสริมคุณภาพ
จติ และรูจ้ กั ใช้ความสามารถของกระบวนการสมาธิ
(๓) อธปิ ัญญาสิกขา การฝึกอบร มทางปัญญาขัน้ สูง ทําใหเ้ กดิ ความรแู้ จ้งท่ี
สามารถชําระจิตใจให้บรสิ ทุ ธหิ์ ลุดพน้ เป็นอิสระโดยสมบรู ณ์
ไตรสกิ ขานี้ เรยี กวา่ เป็น พหลุ ธมั มีกถา คอื คําสอนทีพ่ ระพุทธเจ้าทรงแสดงบ่อย
และมีพุทธพจน์แสดงความต่อเนอื่ งกันของกระบวนการฝึกอบรมทีเ่ รยี กว่าไตรสกิ ขา ดังนี้

“ศีลมลี ักษณะอยา่ งนี้ สมาธมิ ลี ักษณะอย่างน้ี ปัญญามี ลักษณะอยา่ งน้ี สมาธิ
อนั บุคคลอบรมโดยมีศีลเป็นฐานย่อมมผี ลมาก มอี านิสงสม์ าก ปัญญาอันบุคคลอบรมโ ดย
มสี มาธิเปน็ ฐาน ยอ่ มหลุ ดพ้นโดยสน้ิ เชิง จากอาสวะทั้งหลาย คือ กามสวะ ภวาสวะ และ
อวชิ ชาสวะ”๑๗๐

๑๖๙ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม,(พิมพค์ รั้งท่ี ๘), (กรงุ เทพมหานคร: มหาจฬุ าลง
กรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒) หนา้ ๖๐๓-๖๐๔.

๑๗๐ ท.ี ปา (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๗๒.

๑๗๘

ไตรสกิ ขานี้ บางครงั้ พระพทุ ธองค์ทรงแสดงเปน็ คําสอนภาคปฏิบัติ ดงั ปรากฏเปน็
ส่วนสําคญั อยใู่ นหลกั โอวาทปาตโิ มกข์ มี ๓ข้อ คือ๑๗๑

(๑) การละเวน้ ความชวั่ ทั้งปวง (สพฺพปาปสสฺ อกรณํ)
(๒) การบาํ เพ็ญความดใี หม้ ีพร้อม (กสุ ลสสฺ ูปสมปฺ ทา)
(๓) การชาํ ระจิตใจของตนใหบ้ ริสุทธิ์ (สจติ ฺตปรโิ ยทปนํ)
การละเว้นความช่ัวทั้งปวงตามข้อ ๑ หมายถึงการเว้นจากกรรมชั่วอันเปน็ ทาง
นําไปส่คู วามเสือ่ ม ความทกุ ข์ หรอื ทุคติ ๑๗๒ ตามหลักอกุศลกรรมบถ ๑๐ การบําเพญ็
ความดใี ห้มพี ร้อมในข้อ ๒ หมายถึงการทาํ กรรมดอี ันเป็นทางนาํ ไปสู่ความสุขความเจริญ
หรอื สุคติ๑๗๓ ตามหลกั กศุ ลกรรมบถ ๑๐ สว่ นการชาํ ระจติ ของตนใหบ้ รสิ ุทธิใ์ นขอ้ ๓
หมายถงึ การปฏบิ ัตสิ มถกัมมัฏฐานและวปิ สั สนากมั มฏั ฐาน๑๗๔ เพื่อมุง่ ขจัดกเิ ลสตา่ งๆที่
นอนเนอื่ งอย่ใู นจิตใจ (อนุสยั กเิ ลส) เช่น โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ให้หมดสนิ้ เปน็ การ
ดับกเิ ลสสิ้นทกุ ข์ หรือบรรลุพระนิพพานในทส่ี ุด๑๗๕
จากหลกั ธรรมตา่ ง ๆ บางประการข้างต้นน้ี จะเห็นวา่ มชี ือ่ ต่างกนั มากมาย แต่ไม่
ว่าจะมชี ่ือใดๆกล็ ว้ นสมั พันธเ์ ป็นอันดบั หน่งึ อันเดียวกันเพราะสบื เนอ่ื งมาจากหลักสจั ธรรม
เดยี วกนั คอื อทิ ปั ปัจจยตาและเปน็ ไปเพ่อื จดุ หมายเดียวกนั คือ จดุ มงุ่ หมายของชวี ติ ที่
เรียกว่า อัตถะ ๓ ประการ คือ๑๗๖
(๑) ทฏิ ฐธมั มิกัตถะ จดุ หม ายข้ันตาเหน็ หรอื ประโยชน์ปจั จุบนั ท่ีมุ่งหมายกนั
ในโลกนี้ ได้แก่ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ หรือทรพั ยส์ ิน ฐานะเกยี รติ ไมตรี ชีวิตคคู่ รองท่ี
เปน็ สขุ เปน็ ต้น การจะดําเนนิ ชวี ิตเพอ่ื ใหเ้ ขา้ ถึงจุดหมายระดบั นี้ได้จะตอ้ งประพฤติตาม
หลักธรรมที่เป็นไปเพ่ือไดท้ ิฏฐธมั มกิ ัตถะ คอื ประโยชยใ์ นปัจจบุ ัน

๑๗๑ ที.ม.(บาล)ี ๑๐/๑๕๙/๘๖.
๑๗๒ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๓๖๐/๔๓๑; ม.มู. (ไทย), ๑๒/๔๔๕/๔๘๒-๔๘๓.
๑๗๓ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, (พมิ พค์ รงั้ ที่
๑๒), (กรุงเทพมหานคร: มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๖), หนา้ ๒๓๔-๒๓๕.
๑๗๔ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๓๐๔/๒๕๖.
๑๗๕ พระมหาบุญชิต สดุ โปร่ง, “ศึกษาวิเคราะหค์ ณุ สมบตั ิของพระอรหนั ต์ในพระพทุ ธศาสนา
นกิ ายเถรวาท”, วทิ ยานิพนธป์ ริญญาอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต : (บณั ฑิตวทิ ยาลยั ,
มหาวิทยาลยั มหิดล, ๒๕๓๖, หนา้ ๔๗.
๑๗๖ ขุ.จู.(ไทย) ๓๐/๑๔๔/๑๖๘.

๑๗๙

(๒) สมั ปรายกิ ัตถะ จดุ หมายขนั้ เลยตาเห็น หรือประโยชนเ์ บ้ืองหนา้ ทเี่ ปน็
คุณค่าของชีวติ ดา้ นใน เปน็ หลกั ประกันภัยชวี ติ ในอนาคตและภพหน้าทีเ่ รียกวา่ ชวี ติ หลัง
ความตาย ซงึ่ การบรรลจุ ดุ มุ่งหมายถงึ ข้ันนไ้ี ด้จะต้องปฏิบตั ติ ามหลกั ธรรม สัมปรายิกัตถะ
คอื ประโยชนเ์ บ้อื งหน้า

(๓) ปรมัตถะ จดุ หมายสูงสุด คือนพิ พาน หรือประโยชนอ์ ยา่ งยิ่งใน
พระพุทธศาสนา คือการมีปัญญารเู้ ทา่ ทนั ความจรงิ เขา้ ถงึ ธรรมชาตขิ องโลกและชีวิตซง่ึ
ปรมัตถะนี้ สามารถเขา้ ถงึ ได้ดว้ ยการพัฒนาทเ่ี รียกว่า “พัฒนา” คอื กายภวานา จติ
ภาวนา และปัญญาภาวนา

ตามคติของพระพทุ ธศาสนา จุดหมายของชีวิตท้งั สามระดับนี้นนั้ บุคคลควร
ดําเนนิ ชวี ติ ใหบ้ รรลอุ ยา่ งนอ้ ย ๒ ขน้ั คอื ระดับ ทิฏฐมั มกิ ตั ถะและสัมปรายิกัตถะ ผู้ใด
ประสบจดุ ม่งุ หมายถงึ ๒ ขัน้ แลว้ ท่านยกยอ่ งผูน้ น้ั ว่าเป็นบณั ฑิต แปลว่า ผู้ดําเนนิ ชีวติ
ด้วยปญั ญา ดังพุทธพจนท์ ่ีกล่าวว่า

“บณั ฑิตไม่ประมาทจงึ ยดึ เอาไวซ้ ึง่ อตั ถะ ๒ ประการ คือ ทฏิ ฐธัมมิกัตถะ
และสัมปรายกิ ัตถะ คนที่เรยี กวา่ เปน็ ปราชญ์ เป็นบณั ฑิตเพราะบรรลุอตั ถะ”

จงึ กล่าวได้วา่ คณุ คา่ ดา้ นหลักคาํ สอนของวรรณคดบี าลนี ัน้ มีพน้ื ฐานมาจากการ
ตรสั รู้อรยิ สัจธรรมของพระพุทธเจ้า คอื มัชเฌนธรรมเทศนา และมัชฌมิ าปฏิปทา๑๗๗ โดย
เรมิ่ จากการกา้ วออกจากกระบวนการของธรรมชาติสวู่ ิธกี ารปฏิบตั ิของมนุษยท์ ีท่ าํ ให้
เกดิ ผลตามกระบวนการดับทกุ ขด์ ว้ ยการไดบ้ รรลุประโยชนส์ ขุ ในแต่ละระดบั

๑๗๗ พระมหาไกรวุฒิ มะโนรตั น์ , สงั คมอุดมคติ : ศกึ ษาเปรียบเทียบแนวความคดิ ในคมั ภรี ์
พระไตรปิฎกและคมั ภรี ์อนาคตวงศ”์ , วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาอกั ษรศาสตรมหาบณั ฑติ : บัณฑิต
วิทยาลัย, มหาวทิ ยาลัยมหิดล, ๒๕๔๔), หนา้ ๑๓.

๑๘๐

๗.๓ คุณคา่ ทางดา้ นประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา

นบั จากปัจจบุ นั มองย้อนไปเม่ือหลังกวา่ ๒,๖๐๐ ปีมาแลว้ ณ ดินแดนทางทศิ
ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื แห่งชมพูทวปี อันมนี ามวา่ มคธรฐั พระพุทธศาสนาไดอ้ ุบัติขึน้ โดย
พระสมณโคดมพุทธเจ้า ผูท้ รงมพี ระนามเดิมวา่ เจ้าชายสิทธตั ถะมกฎุ ราชกุมารในพระเจา้
สทุ โทธนะและพระนางเจา้ สริ มิ หามายาแหง่ กรงุ กบิลพัสดุ์ เปน็ ศาสดาพระพุทธองคท์ รง
คน้ พบโมกขธรรมหลังจากท่ีไดแ้ สวงหาเปน็ เวลา ๖ ปี และนับตัง้ แตบ่ ัดน้ันเป็นตน้ มา ทรง
ได้เผยแผห่ ลักคาํ สอนเพือ่ การออกจากกองทุกข์แหง่ มวลสรรพสตั ว์ ใหข้ จรขจายไปทวั่ ทุก
สารทศิ ขจัดความร้อนรมุ่ จากอํานาจของกเิ ลส โปรยปรายความฉ่ําเย็นของกระแสแหง่
ธรรมะหยงั่ ลงสู่จติ ใจของมวลมนษุ ยชาตติ ลอดท่ัวพนื้ เมทนดี ล จวบจนถึงวนั ดับขนั ธปริ
นิพพาน คงเหลือไวเ้ พียงพระธรรมคาํ สอนอนั บรสิ ทุ ธใิ์ หพ้ ทุ ธบรษิ ัทไดศ้ ึกษาปฏบิ ตั สิ ืบ
ทอดตอ่ กันมา

เมอื่ สิ้นพระบรมศาสดาแลว้ เหล่าภกิ ษสุ งฆ์สาวกไดร้ ่วมกันรวบรวมพระธรรมวนิ ยั
ซึ่งเปน็ คําสอนของพระพุทธองคเ์ มื่อคราวดํารงพระชนม์ชีพอยู่ จัด เปน็ หมวดหมใู่ ห้
ครบถ้วนบรบิ รู ณ์ และแบ่งหนา้ ท่ใี นการศกึ ษาทรงจํา เพื่อการรักษาพระพทุ ธวจนะอนั
ถูกต้องสมบูรณ์ใหค้ งอย่ตู ลอดไป ซง่ึ การรวบรวมพระธรรมคาํ สอนทก่ี ระทําขึ้นในคร้ังแรก
น้ี เรยี กว่าการทาํ ปฐมสงั คายนา

แต่เม่อื เวลาผ่านไปไมน่ าน ความคดิ เห็นทีข่ ัดแยง้ กันอนั เน่ืองมาจ ากการตีความ
พระธรรมวนิ ัยระหวา่ งหมู่สงฆส์ าวกกเ็ ริม่ เกิดขึน้ และเพยี งไมเ่ กนิ พทุ ธศตวรรษที่ ๑ ก็เกดิ
ความแตกแยกข้ึนอย่างชัดเจน จนนําไปส่กู ารทาํ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๒ ซง่ึ การทาํ สงั คายนา
ในครัง้ นม้ี ีผลทาํ ใหส้ ังฆมณฑลแบง่ ออกเป็น ๒ ฝา่ ย ฝา่ ยหนึง่ เรยี กวา่ สถวีระหรอื เถรวาท
และอีกฝ่ายหนงึ่ เรียกว่า มหาสังฆกิ ะ ยังผลใหส้ งั ฆมณฑลท้งั ๒ ฝา่ ย แตกออกเป็นนกิ าย
ยอ่ ยๆ รวมกนั ท้ังสิน้ ถงึ ๑๘ นกิ าย๑๗๘

จากหนงั สือพงศาวดาร ฉบับพระราชหตั ถเลขากลา่ ววา่
“...คร้นั พระพุทธศาสนาลว่ งมาถงึ ๒๑๘ ปี ครง้ั น้ันเหลา่ เดยี รถียเ์ ข้าปลอมบวชใน
พระพุทธศาสนา จงึ พระโมคคลั ลีบุตรติสสเถระเจ้ายงั พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชใหเ้ รียนรใู้ น
พุทธสมยั แล้วชาํ ระสึกเดยี รถยี ์เสยี ถึง ๖๐,๐๐๐ ยังพระศาสนาให้บริสทุ ธ์แิ ล้ว พระโมคคลั

๑๗๘ อา้ ง วิ.จู.๗, วิ.อ. ๑ ไกรวุฒิ มะโนรัตน,์ วรรณคดีบาลี, หน้า ๑๗๑-๑๗๓.

๑๘๑

ลบี ตุ รตสิ สเถระ จงึ เลอื กพระอรหันตอ์ นั ทรงพระปฏิสัมภทิ าญาณ ๑,๐๐๐ พระองคก์ ระทาํ
สังคายนาพระไตรปิฎกใน อโศการามวหิ าร ใกลก้ รุงปาตลี บุตรมหานคร มีพระเจา้ ศรีธรร
มาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภก ๙ เดือนจงึ สําเร็จการตติยสังคายนา

ครั้นพระพทุ ธศาสนาล่วงมาถึง ๒๓๘ ปี พระมหินทเถรเจ้าออกไปส่ลู งั กาทวปี
บวชกลุ บุตรใหเ้ ล่าเรียนพระปรยิ ัตธิ รรม คอื หยัง่ รากพระพทุ ธศาสนาลงในเกาะลงั กาแลว้
พระขีณาสพทั้ง ๓๘ องคม์ ีพระมหินทเถระ และพระอริฏฐเถระเปน็ ประธาน กับพระสงฆ์
ซงึ่ ทรงพระปรยิ ตั ธิ รรม ๑๐๐ รูป กระทําสังคายนาพระไตรปิฎก ในมณฑลถูปารามวิหาร
ในกรงุ อนุราธบรุ ี มพี ระเจ้าเทวานมั ปยิ ตสิ สะเปน็ ศาสนูปถัมภก ๑๐ เดือนจงึ สําเรจ็ การ
จตุตตถสงั คายนา...”๑๗๙

๗.๔ คณุ ค่าดา้ นภาษาไทย

คณุ ค่าทางด้านภาษาของวรรณคดบี าลที ี่มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ภาษาไทย สรุปได้ ๕
ประการ คอื ๑๘๐

๑) อิทธพิ ลตอ่ ระบบเสียงภาษาไทย แยกไดเ้ ปน็ ๒ ประการ คือ
(๑) ทําใหไ้ ทยมพี ยัญชนะควบคลา้ํ เพิ่มขึน้ อีก ๑ หนว่ ยเสยี ง คือ เสียง ทร

(เดิมมี ๑๑ หนว่ ยเสียง) เชน่ ในคําจนั ทรา ภทั รา โดยท่ีเดมิ ทร – เราออกเสยี งเป็น ซ
ท้ังสิน้ ในคาํ ไทย

(๒) ทําใหเ้ สียงไทยมพี ยญั ชนะทา้ ยคําเพิ่มขึน้ ๒ เสยี ง คือ ส และ ล (เดมิ มี ๘
เสยี ง) เชน่ ในคํากัลยา เปน็ ตน้

๒) อิทธพิ ลตอ่ การสร้างคําไทย แยกได้ ๒ ประการ คือ
(๑) ภาษาไทยสร้างคําโดยการประสมและเรียงคําขยายไว้ข้างหลงั ส่วน

ภาษาบาลี-สันสกฤตสร้างคาํ โดยการใช้หลกั การของกติ ก์ สมาส ตทั ธติ และลงอุปสรรค
และปกติจะเรยี งคาํ ขยายไวข้ า้ งหนา้ เมอ่ื ภาษาบาลี- สนั สกฤตปะปนอยู่ในภาษาไทยนาน

๑๗๙ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๑๗๕-๑๗๖.

๑๘๐ สภุ าพร มากแจ้ง , ภาษาบาลี-สนั สกฤตในภาษาไทย, พิมพค์ ร้งั ที่ ๒. (กรงุ เทพมหานคร : สานักพิมพ์โอเดียนสโตร์,
๒๕๓๕), หนา้ ๑๕๔-๑๖๐.

๑๘๒

เข้า ไทยจงึ รบั วธิ กี ารสร้างคําโดยเรยี งคาํ ขยายไวข้ า้ งหนา้ ของบาลีมาใช้โดยไมร่ ตู้ วั เช่น
เพง้ โภชนา รัตนาเฟอรน์ ิเจอร์ คงิ สภ์ ษู า พาหุหดั ราชวงั สรรพสิ่ง ฯลฯ

(๒) การสร้างคาํ โดยลงอปุ สรรค เป็นวธิ กี ารสร้างคาํ โดยนําอุปสรรคบาลีมา
เตมิ หน้าคําไทย หรือคํายืมภาษาอื่นมาใช้ เช่น พระสังฆาธกิ าร พระอธิการ อนุกาชาต อนุ
กระเบยี ด ฯลฯ

๓) อิทธิพลต่อการสรา้ งสาํ นวนไทย แยกได้ ๒ ประการ คือ
(๑) ยถา-ตถา ฉนั ใดฉันนนั้ , ตโต ปฏฺฐาย ตัง้ แต่นั้นมา , ปรโลกํ ไปส่ปู รโลก ,

ยถา กมมฺ ํ คโต ไปตามยถากรรม ฯลฯ
(๒) ไดจ้ ากวภิ ัตตินาม (บพุ บท) สาํ นวนไทยมักละบพุ บทแต่สาํ นวนบาลี

จะตอ้ งมีบุพบทอยดู่ ้วยเสมอ ดังตวั อย่างสํานวนจากปฐมาวภิ ตั ติ (อันวา่ ) ทุติยาวิภัตติ
(ซึง่ ) และฉัฏฐีวิภัตติ (แห่ง) เชน่ สาํ นวนไทยว่า อันวา่ สุคตภิ มู ทิ ่สี ําคญั ย่ิงนกั คอื มหาสระ
ปทมุ ทิพยสถาน เป็นอบุ ตั ภิ พสาํ หรับรองรบั วญิ ญาณแหง่ บรรดาสาธุชนผูป้ ระกอบกศุ ล
จรรยามีใจผ่องแผว้ สจุ รติ ใหถ้ ือเอาซึง่ ปฏสิ นธจิ ติ ”

๔) อทิ ธิพลต่อการออกเสียงคาํ ไทย แยกได้ ๒ ประการ คอื
(๑) ออกเสยี งอยา่ งคาํ สมาส การออกเสยี งเน่อื งกันในคําสมาสภาษาบาลี-

สันสกฤต เป็นเหตุใหค้ ําประสมหรือคํามากพยางคข์ องไทยออกเสียง อะ ทเี่ สียง อะ ทที่ ้าย
พยางคแ์ รกด้วย เช่น อลวน (อ่านว่า อน-ละวน) และ

(๒) ออกเสียงพยญั ชนะอสุ ุมะ (ศ,ษ.ส) พยัญชนะอุสมุ ะในภาษาบาลี-
สนั สกฤต ออกเสียงเป็นเสียงเสยี ดแทรกแมเ้ มอ่ื อยู่ ทา้ ยคํา อทิ ธิพลของการออกเสยี ง
พยญั ชนะอุสมุ ะน้ีทําให้ไทยออกเสยี ง –ส/-S ทา้ ยคําเปน็ เสียงเสียดแทรกไปดว้ ย ทง้ั ในคาํ
ทรี่ ับมาจากภาษาบาลี และคาํ ไทย ตวั อย่างเชน่ พสั ดุ , สสั ดี, มัสมน่ั , อสั ดง, หัสดนี ทร์,
พิสดาร, มสั ลิน, ตรัสรู้ ฯลฯ

๕) อิทธพิ ลตอ่ การเขยี นคาํ ไทย แยกได้ ๒ ประการ คือ
(๑) การลากข้อความโดยการเขยี นคาํ ใหม้ รี ูปคล้ายกบั รปู คําภาษาบาลี-

สนั สกฤตท้งั ท่ีเป็น คาํ ภาษาอืน่ เช่น คําเดิม คือ “พัน” ไทยเขียนเป็น “พนั ธ์” ความ
หมายถึง “ชนดิ ” เปน็ ต้น

(๒) การใช้แนวเทยี บผดิ โดยใชค้ าํ บาลเี ป็นแนวเทยี บ ทาํ ให้เขียนคาํ ไทยหรอื
คาํ บาลี-สนั สกฤตเองผิด เช่น คาํ ถูก คอื “หึง” เทยี บจาก “หงิ สา” เขยี นผิดเปน็ “หงึ ส์” เปน็
ต้น

๑๘๓

ในบรรดาอทิ ธพิ ลของภาษาบาลี-สันสกฤต จากวรรณคดบี าลี ต่อภาษาไทย ๕
ประการนี้ อิทธิพลขอ้ สาม คอื อิทธพิ ลต่อสํานวนภาษาไทยเปน็ อทิ ธพิ ลทไ่ี ทยได้รบั จาก
ภาษาบาลีโดยตรง๑๘๑

๗.๕ คุณค่าดา้ นวรรณกรรมไทย

ประเทศไทย มวี ัฒนธรรมท่แี สดงถึงความรุ่งเรอื งในประวัตศิ าสตร์ มีเอกลักษณ์

ศกั ด์ิศรีและความสามคั คี นําความเปน็ ปึกแผ่นมัน่ คง มีพระมหากษัตริย์เป็นผูป้ กครอง

และเป็นศนู ย์รวมนา้ํ ใจของชนในชาติ มีพระพุทธศาสนาเป็นธงชยั ในการดาํ เนินวิถชี ีวิต

ของสงั คมไทย กระแสวัฒนธรรมไทย สบื ทอดไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอื่ งและม่ันคง นบั ตง้ั แตก่ ่อน

ยุคสโุ ขทัยมาจนถงึ ปจั จุบัน การศึกษาวฒั นธรรมทางภาษาเปน็ ส่วนหนงึ่ ในสาขาศลิ ปะวา่

ดว้ ยเรื่อง วรรณกรรม วรรณคดี ดนตรี วจิ ิตรศิลป์ เปน็ ต้น เอกลกั ษณใ์ นทางวรรณกรรม

ของไทย มกี ารสืบตอ่ มาตามยคุ ตามสมัย มีนกั ปราชญ์ราชบณั ฑติ มากมาย ทส่ี รรคส์ รา้ ง

บทประพนั ธ์ วรรณกรรมไว้ให้อนุชนรนุ่ หลังได้ศกึ ษา ซึ่งเป็นการสืบทอดมรดกทางภาษา

อันเปน็ วัฒนธรรมท่เี ชื่อมโยงจติ ใจของคนไทย ใหซ้ าบซงึ้ ในคณุ คา่ ของรส วรรณกรรม

วรรณคดี และแนวคิดท่ีเป็นภาษิตสัง่ สอน สรา้ งสรรค์ ส่อื สาระความหมายตกทอดกันมา

จนถงึ ปจั จบุ ัน

ความเจรญิ ที่เปน็ วัฒนธรรมมีลักษณะท่ีเป็นมรดกสังคม (Social heritage) มี

องค์ประกอบที่สาํ คญั คอื ความรูท้ ีส่ ามรถถา่ ยทอดในการศกึ ษาอบรมมคี วามเป็นระเบียบ

เรยี บร้อย เปน็ ขนบธรรมเนียมประเพณีของการดาํ เนินชีวติ และสร้างลักษณะของกลุ่มชน

ท่ีบูรณาการ (Integrate) ลกั ษณะหรือวิถที างการประพฤตกิ ารปฏิบตั ิตนเปน็ ลักษณะ
เฉพาะทม่ี ีชอื่ เรยี กว่า เอกลักษณข์ องชาติ ๑๘๒ ส่งิ นั้นก็คือ “ภาษา” นนั่ เอง ภาษาเปน็ แกน

สําคัญยง่ิ ในความเจรญิ กา้ วหน้าของประเทศชาติ แต่คนจํานวนมากไมน่ ึกถึงความสําคญั

อันลึกซึ้งของภาษา ทง้ั ในสว่ นทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั วฒั นธรรม ความเจรญิ ของจติ ใจแ ละ

บ้านเมอื ง ทง้ั นเ้ี พราะเกย่ี วโยงกับความรูร้ กั สามคั คขี องชนในชาติ ในการส่ือสาร เพอื่ ใหร้ ู้

๑๘๑ ไกรวุฒิ มะโนรตั น,์ วรรณคดีบาลี ๑, หน้า ๑๙๒-๑๙๓.
๑๘๒ ประภาศรี สหี อาํ ไพ , วัฒนธรรมทางภาษา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณราช

วิทยาลัย, ๒๕๓๔), หนา้ ๕.

๑๘๔

ความหมาย ความเข้าใจ ความรู้ของการใช้ภาษา และความหมายท่ตี รงประเด็นอยา่ ง

ชดั เจน

จริงอยู่ มนษุ ยเ์ ปน็ ผู้คน้ คดิ คําข้นึ มาใช้ มคี วามหมายท่ีชัดเจน แตม่ นษุ ย์บางกลุ่ม

จะนยิ มหรือไม่นั้น ขึ้นอยูก่ บั ผลประโยชน์ท่ีจะเกิดขึ้นมา เช่น ภาษาบาลอี ันเป็นภาษาของ

พระพุทธเจ้า จะมคี า่ นิยมเก่ียวกบั ความขลงั ศกั ดสิ์ ิทธ์ิ ถา้ เปน็ ชาวพุทธกน็ ิยมตัง้ ชือ่ บุตร

ชาย-หญิง ใหเ้ ปน็ สริ มิ งคลเปน็ ดังนน้ั ภาษาจงึ เป็นเครือ่ งมอื สอ่ื สารของมนษุ ยโ์ ดยอาศยั

กริ ิยาทา่ ทางและสหี นา้ ประกอบคาํ พูด และกาํ หนดคดิ คน้ ขน้ึ มาเพือ่ เป็นส่อื ความหมาย

ระหวา่ งมนุษย์ ต่อมามนุษย์รจู้ ักใช้ภาษาลายลักษณอ์ กั ษรมาใช้เขียนเป็นลายสอื หรือ

ตวั อักษร ภาษาต่างๆ จงึ ถกู ยมื มาจากภาษาอืน่ มาใช้ แตย่ งั คงอจั ฉริยลักษณะของภาษ า

ของตนใช้ เชน่ ภาษาไทยนาํ คํามาจากภาษาบาลี สนั สกฤต เข มร เป็นต้น หรือนํา

เรื่องราววรรณกรรมต่างๆ มาจากอนิ เดยี เปน็ ตน้

ภาษาจึงเป็นเคร่อื งมือของการส่ือสาร กอ่ ให้เกดิ ความเข้าใจ ความหมายตรงกนั

เปน็ สอื่ กลางในการสบื ทอดและเปน็ หลักฐานทางวฒั นธรรม ทําใหส้ ามารถศึกษาถ่ายทอด

และนํามาอนุรักษแ์ ละสร้างสรรค์วฒั นธรรม อันเป็นมรดกทางสั งคมสืบตอ่ กนั ไปเรอ่ื ยๆ

หรือเรยี กว่าวฒั นธรรมทางวรรณกรรมสืบตอ่ กันมา ซ่ึงหมายถึงวัฒนธรรมทางวตั ถแุ ละ

วฒั นธรรมท่ไี มใ่ ช่ทางวตั ถุ อนั ได้แก่ ศาสนา ศลิ ปะ จรรยาซ่งึ ปรากฏเปน็ วัตถุหรอื กิจกรรม

พธิ ีการ โดยมคี วามมุ่งหมายในทางวรรณกรรม เพอ่ื เป็นความบันเทิงในรสและความรสู้ กึ

สะเทือนใจ เพอื่ ประโยชนท์ างวฒั นธรรมที่ได้ศึกษาลกั ษณะภาษา เนอื้ หา รวมทั้งลกั ษณะ

ของวฒั นธรรมในแตล่ ะยคุ ตามเนือ้ เรอื่ ง และเพอื่ ให้รู้จักชวี ิตจติ ใจของเพื่อนมนุษย์ได้ดีขึ้น

เพราะวรรณกรรมหรือวรรณคดมี ีความเกี่ยวพนั กบั ความร้สู ึกนึกคดิ วถิ ีชวี ิตและ
ประสบการณข์ องผูป้ ระพนั ธด์ ้วย๑๘๓

วรรณกรรมกด็ ี วรรณคดีก็ดี เปน็ ศลิ ปซ์ ่ึงแสดงดว้ ยภาษาหรือถ้อยคํา การ

แสดงออกน้นั มี ๒ ลกั ษณะ คอื

๑) นพิ จน์ (Expresion) คอื ผบู้ อกความแสดงออก โดยม่งุ แสดงถึงความรู้สกึ

นกึ คิดของตนเองออกมาเป็นสําคัญ หรอื เป็นพวกจนิ ตนิยม

๑๘๓ เร่ืองเดียวกัน. หน้า ๒๖

๑๘๕

๒) นริ ุป (Representation) คอื ผบู้ อกขอ้ ความมงุ่ แสดงภาพตามท่เี ป็นจริง
หรอื เป็นพวกสัจนิยม (Realism)๑๘๔

ดังนน้ั วรรณกรรมก็ดี วรรณคดีกด็ ที ี่เปน็ วรรณศิลป์ซ่งึ เปน็ การส่ือสาร
(Communication) ทใ่ี ห้ทง้ั นพิ จนแ์ ละนิรูปแก่ผู้อ่าน คือแสดงทง้ั ความร้สู กึ และภาพให้
ผอู้ ่านรู้สึกและเห็นตามผูป้ ระพนั ธ์ โดยเหตุนี้ วรรณกรรมก็ดี วรรณคดีก็ดี จึงถือกนั เปน็
สญั ลกั ษณ์ (Symbol) ทแี่ สดงถึงความรสู้ กึ นึกคดิ สะท้อน ส่องภาพจากจนิ ตนาการของ
ผู้ประพันธ์

วรรณกรรม จงึ ถอื ว่าเปน็ งานเขยี น งานประพนั ธท์ งั้ ทีถ่ ่ายทอดเปน็ ลายลกั ษณ์
อักษรและดว้ ยวาจา รวมทง้ั งานสรา้ งสรรคท์ างศิลปะท่ีใชภ้ าษาเป็นส่ื อ ทุกเน้ือหาและ
รปู แบบ การแบง่ ลักษณะวรรณกรรม ถ้าแบง่ ตามเนื้อเร่ืองจะมลี ักษณะเปน็ ประเภท
บนั เทงิ คดี ซ่งึ เปน็ เร่อื งที่ผู้เขียนสร้างจนิ ตนาการขน้ึ เพือ่ ความเพลิดเพลนิ และใหค้ วามคิด
ท่ีเป็นสาระประกอบไปดว้ ย และประเภทสารคดเี ปน็ เรอ่ื งจรงิ ทีไ่ ม่ใช่สมมติ โดยให้ความรู้
เปน็ หลกั แสดงความคิดเห็นประกอบดว้ ย ในรูปแบบสากลเรียกลกั ษณะของบนั เทิงคดวี ่า
เรือ่ งสมมติ (Fiction) และสารคดีวา่ ไม่ใช่เร่ืองสมมติ (Non-Fiction)

การแบง่ ตามคําประพนั ธ์ แบง่ เปน็ ร้อยแก้ว คอื ความเรียงท่ีไม่ตอ้ งมีบัญญัติคํา
ประพันธ์ ฉันทลกั ษณ์กาํ หนดไว้ กับร้อยกรอง ซ่ึงต้ องถูกตามบัญญัติฉันทลกั ษณ์ มี
ประโยชนใ์ นการใชภ้ าษา ท้ังใชส้ ั่งสอน ใชส้ ่ือสาร และใชส้ ร้างสรรค์ และรวมถงึ ความ
บันเทงิ ดว้ ย ตวั อยา่ งเชน่ วรรณคดีอินเดียมอี ิทธิพลต่อวรรณคดีไทยเป็นอยา่ งยง่ิ ทงั้ ทเี่ ป็น
วรรณคดบี าลีและวรรณคดสี ันสกฤต วรรณคดบี าลที สี่ าํ คญั คอื พระไตรปฎิ ก ม หา
เวสสันดรชาดก หรอื พระเจา้ สบิ ชาติ เปน็ ต้น ส่วนวรรณคดสี นั สกฤตมี รามายณะ มหาภา
รตะ เป็นตน้ เมื่ อวรรณคดีเหล่านี้ เขา้ มาเผยแผใ่ นประเทศไทย ก็ทําใหถ้ ้อยคําภาษาทใี่ ช้
อยู่ในวรรณคดเี หล่านนั้ แพรห่ ลายในภาษาไทยตามไปดว้ ย ท้ังที่เป็นชอ่ื ตัวละครและศัพท์
ทีใ่ ชใ้ นวงการวรรณคดี ตวั อย่างเช่น ราม ลักษณ์ สีดา ทศกัณฐ์ ครุฑ กินนร คนธรรพ์ หมิ
พานต์ พระสุเมรุ ไกรลาส อโนดาต ฉัททนั ต์ ประพนั ธ์ฉันท์ กาพย์ กวี๑๘๕

๑๘๔ เรื่องเดยี วกัน, หน้า ๒๙.
๑๘๕ ปรีชา ทิชินพงศ์, บาลี-สันสกฤตท่ีเก่ียวกับภาษาไทย , (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ โอ.
เอส.พร้ินติ้ง เฮา้ ส์, ๒๕๓๔), หน้า ๙.
๑๘๖ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , งานวจิ ัยและวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา,
(กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพน์ วสาสน์การพมิ พ,์ ๒๕๕๑), หนา้ ๓๘.

๑๘๖

๗.๖ คุณคา่ ด้านศิลปะและวฒั นธรรมไทย

จากวรรณกรรมบาลีก่อให้เกดิ คุณค่าในหลายด้านตอ่ สงั คมไทย ดังจะไดแ้ สดง
ดงั น้ี

๑) ด้านศิลปะ จะปรากฏอย่างเด่นชดั ทางศิลปะวตั ถุ ในดา้ นต่อไปนี้

(๑) พุทธศลิ ป์ คือ การก่อสรา้ งพระพทุ ธรูปในแตล่ ะยคุ แต่ละสมยั และ
พระพุทธรปู แตล่ ะปางกม็ ีลักษณะแตกตา่ งกัน เช่น ปางตรสั รู้ ปางมารวิชัย (ชนะมาร) ปาง
พทุ ธไสยาสน์ ปางแสดงปฐมเทศนา ซึ่งมเี ป็นความลาํ้ ค่าอนั เปน็ มรดกทางศาสนาและของ
โลก

(๒) สังเวชนียสถาน คอื การสร้างสถานท่ีประสูติ ตรสั รู้ ปรนิ พิ พาน และปฐม
เทศนา เกิดการสรา้ งงานทางศลิ ปะวัตถุทางพระพุทธศาสนาเปน็ อยา่ งมาก และเป็น
แบบอย่างที่ถกู ต้อง และเป็นสถานทท่ี ่ีชาวพทุ ธไปแสวงบุญ นอกจากน้ันยงั มีวัดใน
ประเทศไทยได้จําลองมาก่อสร้างทวี่ ดั หลายแหง่ เพ่ือใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนไดเ้ หน็ และน้อม
ราํ ลกึ เปน็ พทุ ธานสุ สติได้

(๓) ศิลปะการกอ่ สรา้ งเสนาสนะ จากพระวนิ ยั ปฎิ กเกย่ี วกบั การกอ่ สรา้ ง
อโุ บสถ สมี า กฏุ ิสงฆ์ และศาสนสถานต่างๆ เช่น อุโบสถ ต้องมีขนาดอยา่ งเล็กสดุ ต้องให้
พระสงฆ์ ๒๑ รูปนงั่ ได้ แต่ใหญส่ ุดไม่ไดก้ ล่าวไว้ชัดเจน และสร้างดว้ ยศิลปะอนั งดงามล้าํ
เลศิ ทําให้เกิดคณุ ค่าทางศลิ ปะเปน็ ท่ีปลกู ศรทั ธาตอ่ ผ้พู บเหน็

๒) ด้านวัฒนธรรมไทย
จากวรรณกรรมบาลมี ากมายหลายเร่ืองสง่ ผลทางคณุ ค่าดา้ นวฒั นธรรม ซ่ึง ในทีน่ ้ี
จะกล่าวถงึ เฉพาะในสว่ นท่ีเป็นวัฒนธรรมประเพณี ดังตอ่ ไปน้ี

(๑) ประเพณีการฟงั เทศน์มหาชาติ เกิดมาจากเร่อื งเวสสันดรชาดก ทาํ ให้
เกิดประเพณีการฟังเทศน์มหาชาติท่วั ประเทศไทย แต่ละภาคแตล่ ะจงั หวัดกม็ กี ารจดั อยา่ ง
หลากหลายแตจ่ ะต่างกนั ก็เพียงส่วนประกอบ แต่พิธีหลกั ๆ จะเหมือนกัน เปน็ การสบื ต่อ
วัฒนธรรมประเพณีอยา่ งย่งั ยืนไมม่ ีวนั หมดไปจากประเทศไทย และทาํ ให้ประ ชาชนได้รบั
คณุ ค่ามากมาย เช่น สร้างความรักความสามัคคีในสงั คม, อนุรักษ์วฒั นธรรมเปน็ มรดก
ของไทย, สร้างคณุ ธรรม เชน่ เมตตาธรรม , ปลูกฝังพทุ ธธรรมคาํ สอนไดอ้ ย่างต่อเน่อื ง,
ประชาชนรกั บ้านเกิด และรักสภาพแวดล้อม

๑๘๗

(๒) ประเพณีการเผาศพ มกี ารเทศนป์ ฐมสงั คตี ิกถา เกดิ มาจากการทํา ปฐม
สังคายนา คอื สงั คายนาพระธรรมคําสงั่ สอนของพระพุทธเจ้าท่ที รงประกาศพระศาสนา
เปน็ ระยะเวลา ๔๕ ปี เป็นคร้งั แรก เมือ่ พระพทุ ธเจา้ ปรินิพพานแล้ว มพี ระมหากสั สปะ
เปน็ ประธาน พระอบุ าลแี สดงพระวินยั พระอานนทแ์ สดงพระสตู รและพระอภธิ รรม มีพระ
เจา้ อชาตศตั รูเป็นผูถ้ วายความอปุ ถัมภ์ พระอริยสงฆ์ ๕๐๐ องค์เปน็ การกสงฆ์ ทําอยู่ ๗
เดือนจงึ เสร็จ ต่อมากลายเป็นพิธกี รรมการบําเพญ็ กศุ ลในการทาํ บุญงานศพ ประชาชนก็
นยิ มจัดใหม้ เี ทศน์แจง ปฐมสงั คีติกถาสมมตขิ น้ึ เพอื่ บําเพญ็ กศุ ลอทุ ิศให้บรรพชนของตน
สืบเน่ืองมาจนเปน็ ประเพณีถงึ ปัจจุบัน

(๓) การกราบไหว้ การเคารพผ้ใู หญ่
(๔) การทําบุญ ๑๒ เดือน จารีต ๑๒ ครรลอง ๑๔
(๕) การบวชเรยี น
(๖) วฒั นธรรมดา้ นการแตง่ กาย – การเข้าชุมชน สงั คม
(๗) วฒั นธรรมที่พระราชปฏิบัติ

วัฒนธรรมที่ชาวบ้านปฏิบตั ิ
วฒั นธรรมการครองเรือน แตง่ งาน
(๘) วัฒนธรรมระหวา่ งครูกบั ศิษย์ เชน่ พระ อานนทเ์ คารพพระพทุ ธเจ้า ไม่
วางบรขิ ารไวท้ ี่ประทับ พระสารีบตุ รเคารพพระอัสสชิ

๑๘๘

๗.๗ คณุ คา่ ด้านคตคิ วามเชอื่ ในสงั คมไทย

เรอื่ งของความเช่อื น้นั เป็นเรอื่ งตา่ งจติ ต่างใจ หรือความเหน็ และความเขา้ ใจที่
แตกตา่ งหลากหลาย และเกิดความเชื่อทแี่ ตกตา่ งกนั ไปอย่างไมม่ ีทส่ี ุด และห ยุดความคิด
ความเชือ่ ไม่ได้ ซ่งึ มที ้ังดแี ละไมด่ ี

ความเชื่อจากเรอ่ื งเวสสนั ดร เชอื่ วา่ ถา้ ใครไดฟ้ ังเทศนเ์ รือ่ งเวสสันดร หรอื
มหาชาติ ๑๓ กณั ฑแ์ ล้ว จะไดไ้ ปเกิดในศาสนาของพระพทุ ธเจา้ พระนามวา่ ศรอี ารยิ เมต
ไตย จะมคี วามสขุ มีความร่ํารวย มีต้นกัลปพฤกษ์ ใครอยากไดอ้ ะไร เช่น เงินและทองไป
สอยเอากจ็ ะได้สง่ิ น้ัน ซึ่งความจริงเป็นปริศนาธรรม หรอื เป็นบุคลาธษิ ฐานเพ่ือให้คนมีจิต
เมตตากนั มากๆ ขยันหมั่นเพยี รก็จะมีเงินมีทองใชม้ ากมาย แตบ่ างพวกก็เช่อื ว่าเป็นความ
จริงอย่างนน้ั เลยทเี่ ดียว คอื ไมต่ อ้ งทาํ อะไร อยากมีเงนิ มที องกไ็ ปสอยเอาได้

สรปุ แล้ว ความเช่อื ดา้ นน้ี ใครต้องการไปเกิดในอนาคตชาติ ในศาสนาพระศรี
อารยิ เมตไตย ก็ต้องประพฤติดปี ฏิบตั ิชอบ ถือศลี ฟังธรรม โดยเฉพาะอย่างย่ิงคือฟงั
เทศนม์ หาชาติ

ความเชือ่ จากเรอื่ งประวัติของพระพุทธเจา้ ที่เปน็ เรือ่ งอภินหิ าริย์บางตอน เช่น
เวลาประสูติ ทรงพระดําเนินได้ ๗ กา้ วและมีดอกบัวผดุ ขน้ึ มารองพระบาททกุ ก้าวที่ทรง
พระดาํ เนิน แลว้ กเ็ กดิ ศรัทธาความเช่อื ความเลื่อมใสในพระพทุ ธองค์ ต้ังใจประพฤติดี
ปฏิบัติชอบตามพุทธธรรมคาํ สอน

ความเชือ่ จากเรื่องประวัติของพระสารบี ุตร ซงึ่ เปน็ อัครสาวกผูม้ ีความกตญั ญู
กตเวทเี ปน็ ตน้ แบบ เม่ือทา่ นทราบว่าพระอั สสชิผ้เู ป็นอาจารย์พํานกั อย่ใู นทศิ ใด ก็จะไม่
นอนหนั ปลายเท้าไปทางทิศนนั้ จะนอนหันศีรษะไปทางทิศน้นั เพื่อเป็นการแสดงความ
เคารพ ซง่ึ นับเป็นตัวอยา่ งของอนุชนเปน็ อย่างดี

สรปุ ท้ายบท

สงั คมไทยจะมคี วามเป็นไทย จะมีเอกลกั ษณ์ จะมีวัฒนธรรมไทยเป็นที่ยอมรบั กนั
ทั่วไปไม่ไดเ้ ลยถา้ ไม่มพี ระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประจาํ ชาติ และโดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ใน
สว่ นของวรรณกรรมบาลี ซง่ึ ไดแ้ ทรกซมึ เขา้ ไปในจิตใจของคนไทยทกุ ระดบั ชนั้ อย่าง
ม่ันคงตลอดกาล เมื่อกลา่ วโดยสรุปแล้ว มีคณุ ค่าทีส่ ง่ ผลหลักๆ ๒ ดา้ น คอื

๑๘๙

๑) ดา้ นวัตถุ วรรณกรรมบาลีกอ่ ใหเ้ กดิ คณุ คา่ ทางศิลปกรร มสถาปตั ยกรรม
ประตมิ ากรรม การก่อสร้างที่มีศิลปะอันล้ําคา่ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรปู ปางตา่ งๆ
โบราณสถานทีม่ คี ณุ ค่าทางวัฒนธรรมเป็นมรดกโลก เป็นส่งิ ทีส่ รา้ งพลั งศรัทธา และความ
ภาคภมู ิใจให้แกช่ าวไทยและชาวพุทธทว่ั โลก

๒) ด้านพฤติกรรม วรรณกรรมบาลีซึง่ เปน็ แบบแผนตอ่ วรรณกรร มไทยจากการ
แปลบ้าง การนาํ เค้าโครงเร่ื องมาสร้างวรรณกรรมไทยใหม่บา้ ง จนกลายมาเป็น
วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนา วรรณกรรมของไทย หลักคาํ สอนในพระพทุ ธศาสนาซึ่งมี
อยใู่ นวรรณกรรมน้ันๆ แทรกซึมเขา้ ไปในจิตใจของคนในสงั คม ส่งผลให้มีความสงบ
ร่มเย็นเป็นสขุ ทั้งในสงั คมไทยและสังคมโลก

๑๙๐

คาถามทา้ ยบท

๑. คณุ ค่าของวรรณคดบี าลีในดา้ นหลกั คําสอนทเ่ี กย่ี วกบั เรื่องกรรม ท่านมีความคิดเหน็
อยา่ งไร ขอฟงั คาํ อธบิ าย

๒. จากการศึกษาประวตั ศิ าสตร์พระพุทธศาสนา ได้ก่อให้เกดิ คุณค่าอยา่ งไรบ้าง และ
คุณคา่ น้นั มีอทิ ธพิ ลต่อสังคมไทยอย่างไร โปรดชีแ้ จง

๓. กฎเกณฑห์ รอื วธิ ีการเขยี นวรรณคดบี าลมี ีผลต่อภาษาไทยอย่างไร ขอให้ยกตวั อย่าง
ท้งั ทเ่ี ป็นร้อยกรองและร้อยแกว้ พร้อมคาํ อธบิ ายมาพอเขา้ ใจ

๔. มรดกสังคมไทย (Thai Social Heritage) ทม่ี ผี ลมาจากคุณค่าของวรรณคดบี าลมี ี
องคป์ ระกอบอะไรบ้าง และใหท้ า่ นอธบิ ายองค์ประกอบนนั้ ๆ มาพอได้ใจความ

๕. คณุ คา่ ของวรรณคดดี ้านศิลปะจนกอ่ ใหเ้ กดิ ศิลปะต่างๆ เปน็ จํานวนมาก อยากทราบ
วา่ ศิลปะเชิงพทุ ธทีเ่ กิดจากคุณคา่ ของวรรณคดีบาลีมีอะไรบ้าง โปรดชแ้ี จง
รายละเอียด

๖. คตคิ วามเชือ่ ที่เกิดจากวรรณคดีบาลีมคี ตคิ วามเชอ่ื อะไรบ้าง และคติความเช่อื ดงั กล่าว
มีอทิ ธพิ ลตอ่ สังคมไทยในเชงิ รปู ธรรมอยา่ งไร ขอใหย้ กตัวอยา่ งประกอบ ๑ ตวั อยา่ ง

๑๙๑

เอกสารอ้างองิ ประจาบท

ไกรวฒุ ิ มะโนรตั น์ . วรรณคดบี าลี ๑. กรงุ เทพมหานคร : จรญั สนทิ วงศ์การพมิ พ์,

๒๕๔๙.
พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตโฺ ต). พระไตรปฎิ ก : สงิ่ ท่ีชาวพุทธควรรู้. กรงุ เทพ-มหานคร :

พิมพท์ ี่ บรษิ ทั เอส.อาร์.พร้ินติ้ง แมสโปรดักส์ จํากัด, ๒๕๔๗.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศพั ท์ . พิมพค์ ร้ัง

ที่ ๑๐. กรุงเทพมหานคร : พิมพ์ท่ี บรษิ ทั เอส. อาร.์ พรน้ิ ต้ิง แมส โปรดกั ส์ จาํ กดั
, ๒๕๔๖.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). ร้จู กั พระไตรปฎิ กเพื่อเป็นชาวพทุ ธที่แท้. พมิ พค์ ร้ัง ๒.

กรุงเทพมหานคร : พมิ พ์ท่ี เอดสิ นั เพรส์ โปรดักส์, ๒๕๔๓.
พระพุทธโฆสาจารย์. สมนตฺ ปาสาทกิ าย นาม วนิ ยฏฺฐกถาย ปฐโม ภาโค . พิมพ์คร้งั ที่

๖. กรงุ เทพมหานคร : มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๕.
พระมหาสงั เวย ธมมฺ เนตฺติโก . ความอศั จรรย์ในพระธรรมวินยั . กรงุ เทพ-

มหานคร : สาํ นกั พิมพป์ ระดพิ ัทธ์, ๒๕๓๖.
พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยรู ธมฺมจติ ฺโต ). “ความเปน็ มาของพระไตรปิฎก” ใน;

พระไตรปิฎก : ประวตั แิ ละความสาคญั . กรงุ เทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณ

ราชวิทยาลยั , ๒๕๓๕.
พระราชกวี (เกษม สญฺ โต). พระไตรปิฎกวิจารณ์. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั

คอมแพคทพ์ รนิ้ ท์ จํากัด, ๒๕๔๓.
พระราชธรรมนเิ ทศ (ระแบบ ต าโณ). ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา.

พิมพ์คร้งั ที่ ๓. กรงุ เทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๖.
พระอมรมุนี (จบั ตธมโฺ ม). นาเทยี่ วพระไตรปฎิ ก. พมิ พ์ครั้งที่ ๗.

กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙.
พฒั น์ เพง็ ผลา. ประวัติวรรณคดีบาลี. พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๔. กรุงเทพมหานคร :

สาํ นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง, ๒๕๔๒.
สุภาพร มากแจ้ง. ภาษาบาล-ี สนั สกฤตในภาษาไทย. พมิ พ์ครัง้ ที่ ๒.

กรุงเทพมหานคร : สํานักพมิ พ์โอเดยี นสโตร์, ๒๕๓๕.

๑๙๒

มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาบาลอี กั ษรไทย
ฉบับมหาจฬุ าเตปิฏก. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราช

วทิ ยาลยั , ๒๕๐๐.
เสถียร โพธนิ ันทะ. ประวตั ิศาสตร์พระพุทธศาสนา. พิมพ์ครง้ั ท่ี ๓.

กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๒๒.
เสฐยี รพงษ์ วรรณปก.”วิธศี ึกษาคน้ ควา้ พระไตรปฎิ ก” ใน; เกบ็ เพชรจาก

คมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก. กรงุ เทพมหาคร : มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย
๒๕๔๒.
........................... คาอธิบายพระไตรปิฎก. กรงุ เทพมหานคร : หอรตั นชัย
การพมิ พ์, ๒๕๔๐.

193

บรรณานุกรม

มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรไทย ฉบับมหาจฬุ า
เตปิฏก. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๐๐.

กรมศิลปกร. ตานานพระแกว้ มรกต. พระนคร : โรงพมิ พ์พระจนั ทร์, ๒๕๑๙.
ไกรวุฒิ มะโนรตั น์. วรรณคดีบาลี ๑. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์จรัญสนทิ วงศก์ ารพิมพ์,

๒๕๔๙.
จําเนยี ร แก้วกู่. หลกั วรรณคดบี าลีวิจารณ์. กรงุ เทพมหานคร : สํานกั พิมพ์โอเดียนสโตร์,

๒๕๓๙.
จาํ รญู ธรรมดา. เนตตฏิ ปิ ปนี. กรงุ เทพมหานค : โรงพิมพ์ หจก.ไทยรายวนั การพมิ พ์

,๒๕๔๖.
จริ ภัทร แก้วกู่. วรรณคดบี าลี. เอกสารคาํ สอน. ๒๕๔๒. (อดั สําเนา)
________. วรรณคดบี าลี : คัมภีร์ปกรณ์วิเสสภาษาบาลี. เอกสารตาํ รา.
________. หลักวรรณคดีวจิ ารณ์. กรงุ เทพมหานคร : โอเดี้ยนสโตร์,๒๕๓๙.
ทรงวทิ ย์ แกว้ ศรี. คัมภรี พ์ ระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณ

ราชวิทยาลัย,๒๕๓๖.
บรรจบ บรรณรจุ ิ. “ผลงานงานของพระพุทธโฆสะและพระเถราจารย์ร่วมสมยั : ศึกษา

เฉพาะกรณีทีศ่ กึ ษาในเมืองไทย”, รวมบทความทางวิชาการพระพทุ ธศาสนา.

กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ,๒๕๔๐.
ปรมานุชติ ชิโนรส, สมเด็จกรมพระ. พระปฐมสมโพธกิ ถา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์

หจก. รุ่งเรืองสาสน์ การพิมพ์, ๒๕๓๖.
ประภาศรี สหี อาํ ไพ . วฒั นธรรมทางภาษา. กรุเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ

มหาวิทยาลยั . ๒๕๓๔.
ประมวล เพ็งจนั ทร์, ชัชวาล ปนุ ปัน. สังขยาปกรณ์และสงั ขยาปกาสกฎกี า.

มหาวิทยาลัยเท่ียงคืน, มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่, ๒๕๔๓.
ปรชี า ทชิ ินพงษ์ . บาลี-สันสกฤตท่เี กยี่ วกับภาษาไทย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์

โอ.เอส. พริ้นตงิ้ เฮาส์, ๒๕๓๔.
เปล้อื ง ณ นคร. ประวัติวรรณคดีไทย. กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๔๕.
พรพรรณ ธารานมุ าศ. วรรณคดที เ่ี ก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนา. กรงุ เทพมหานคร : มหา

194

มกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๒.
พระตปิ ิฎกจูฬาภยเถระ. มลิ นิ ทปญั หาปกรณ์. แปลโดย กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์

วญิ ญาณ, ๒๕๔๐.
พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตฺโต). พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์. พิมพ์ครง้ั ท่ี

๑๐. กรงุ เทพมหานคร : พิมพ์ที่ บริษัท เอส . อาร.์ พริ้นต้ิง แมส โปรดกั ส์ จาํ กดั ,
๒๕๔๖.
________. พระไตรปิฎก : สง่ิ ท่ีชาวพุทธควรรู้. กรงุ เทพมหานคร : พิมพ์ท่ี บรษิ ัท เอส.
อาร.์ พรนิ้ ติง้ แมสโปรดักส์ จํากดั , ๒๕๔๗.
________. รจู้ กั พระไตรปฎิ กเพ่ือเปน็ ชาวพุทธทีแ่ ท้. พมิ พค์ รงั้ ๒. กรุงเทพมหานคร :
พิมพ์ท่ี เอดสิ ัน เพรส์ โปรดกั ส์, ๒๕๔๓.
พระมหามังคลเถระ. พุทธโฆสนทิ าน.แปลโดย กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์พระจันทร์.
๒๔๗๐.
พระมหาสังเวย ธมฺมเนตตฺ โิ ก. ความอศั จรรย์ในพระธรรมวินัย. กรุงเทพมหานคร :
สํานักพิมพป์ ระดิพัทธ์, ๒๕๓๖.
พระมหาอดิศร ถิรสีโล. ประวัติคมั ภรี บ์ าลี. กรุงเทพมหานคร : มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย,
๒๕๔๓.
พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยรู ธมมฺ จิตโฺ ต). “ความเปน็ มาของพระไตรปฎิ ก” ใน;
พระไตรปิฎก : ประวัติและความสาคัญ. กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณ-
ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕.
พระเมธีรตั นดลิ ก.(จรรยา ชนิ วโํ ส). “ประวัติการสังคายนาพระไตรปฎิ ก” ใน; พระไตรปิฎก
: ประวตั แิ ละความสาคญั .กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราช
วทิ ยาลยั ,๒๕๓๕.
พระรัตนปัญญาเถระ. ชนิ กาลมาลีปกรณ์. แปลโดย กรงุ เทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณ
ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๐.
พระราชกวี (เกษม สญฺ โต). พระไตรปิฎกวิจารณ์. (กรงุ เทพมหานคร) : บริษทั
คอมแพคท์พรนิ้ ท์ จํากดั , ๒๕๔๓.
พระราชธรรมนเิ ทศ (ระแบบ ต าโณ). ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา. พิมพค์ ร้ังท่ี ๓.
กรุงเทพมหานคร : มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๖.

195

พระวิสทุ ธาจารมหาเถระ. ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหา
จฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๕.

พระสิริมังคลาจารย์. จักรวาลทปี นี. กรุงเทพมหานคร : พมิ พท์ ี่ หจก. เซ็นทรัลเอ็กซ์เพรส
ศกึ ษาการพมิ พ์, ๒๕๒๓.

พระอมรมนุ ี (จบั ตธมโฺ ม). นาเท่ยี วพระไตรปิฎก. พิมพค์ รัง้ ท่ี ๗. กรุงเทพมหานคร :
โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.

พระอคั ควังสเถระ. สัททนีติ ธาตุมาลา. ตรวจชาํ ระ โดยพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อปุ สโม)
แปลโดย พระมหานมิ ติ ธมฺมสาโร และนายจาํ รูญ ธรรมดา. กรงุ เทพมหานคร :
โรงพิมพ์ หจก.ไทยรายวันการพมิ พ์, ๒๕๔๖

พระอุดรคณาธกิ าร (ชวนิ ทร์ สระคํา). ประวัตศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนาในอนิ เดยี . พมิ พ์
ครงั้ ที่ ๒ กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๔.

________.ประวตั ศิ าสตร์พทุ ธศาสนาในอินเดีย.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจุฬา
ลงกรณราชวทิ ยาลัย,๒๕๓๔.

พฑิ รู ย์ มะลิวัลย์ และไสว มาลาทอง . ประวตั ิศาสตร์พระพุทธสาสนา, พมิ พค์ ร้ังท่ี ๒.
กรงุ เทพเทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา,๒๕๓๓.

มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. วินยสงคฺ หฏฺ กถา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พว์ ิญญาณ,
๒๕๔๐.

มหามกฎุ ราชวิทยาลยั . ธมมฺ ปทฏฺ กถา (ป โม ภาโค). กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
มหามกุฏราชวิทยาลั,๒๕๔๗.

มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. งานวิจยั และวรรณกรรมทาง
พระพทุ ธศาสนา. กรงุ เทพมหานคร : วรสาสน์การพมิ พ์, ๒๕๕๑.

สมเดจ็ พระวันรัตน์, (ในรัชกาลที่ ๑). สงั คตี ิยวงศ์. แปลโดย พระยาปริยัติธรรมธาดา
(แพ ตาลลักษณ์). กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พศ์ ิวพร, ๒๕๒๑.

สนิท ต้งั ทวี. วรรณคดีและวรรณกรรมศาสนา. กรงุ เทพมหานคร : สาํ นกั พิมพโ์ อเดยี น
สโตร,์ ๒๕๒๗.

สมเด็จพระวนรัตน์ วดั พระเชตุพน ในรัชกาลที่ ๑, สังคตี วิ งศ์. แปลโดย พระยาปรยิ ัตธิ รรม
ธาดา (แพ ตาลลกั ษณ). กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพศ์ วิ พร, ๒๕๒๑.

สริ วิ ัฒน์ คาํ วันสา . ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย. พมิ พ์ครั้งท่ี ๒.
กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์บริษัทสหธรรมกิ จํากดั , ๒๕๔๑.

196

สุชีพ ปญุ ญานภุ าพ.พระไตรปิฎกฉบบั ประชาชน.กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ
ราชวทิ ยาลัย,๒๕๓๖.

สุภาพรรณ ณ บางชา้ ง. ไวยากรณ์บาลี. กรงุ เทมหานคร : โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลยั
รามคําแหง, ๒๕๓๘.

สภุ าพร มากแจง้ . ภาษาบาลี-สนั สกฤตในภาษาไทย. พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๒. กรงุ เทพมหานคร :
สาํ นักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๕.

________.วิวฒั นาการงานเขยี นภาษาบาลีในประเทศไทย : จารกึ ตานาน
พงศาวดาร สาส์น ประกาศ. กรงุ เทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๙.

________. ประวตั ิวรรณคดบี าลีในอนิ เดยี และลังกา. กรงุ เทพมหานคร : สํานกั พมิ พ์
จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, ๒๕๒๖.

เสถียร โพธินันทะ. ประวตั ศิ าสตร์พระพทุ ธศาสนา. พิมพค์ รง้ั ที่ ๓ กรงุ เทพมหานคร :
หา้ งหุ้นสว่ นจาํ กดั สื่อการคา้ (แผนกการพิมพ์), ๒๕๒๒.

________. ประวตั ศิ าสตร์พระพทุ ธศาสนา. พิมพ์ครงั้ ที่ ๓. กรงุ เทพมหานคร : มหา
มกฏุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๐.

________. ประวตั ิศาสตร์พระพุทธศาสนาฉบบั มขุ ปาฐะภาค ๒. กรงุ เทพมหานคร :
มหามกฎุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙.

เสถยี รโกเศส. นริ ุกติศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : คลังวทิ ยา. ๒๕๒๒.
เสฐยี รพงษ์ วรรณปก. “วธิ ศี กึ ษาคน้ คว้าพระไตรปฎิ ก” ใน ; เกบ็ เพชรจากคัมภีร์

พระไตรปฎิ ก. กรุงเทพมหาคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๒.
________. คาอธิบายพระไตรปฎิ ก. กรุงเทพมหานคร : หอรัตนชยั การพิมพ์, ๒๕๔๐.
แสง มนวิทูร (ผ้แู ปล). ชนิ กาลมาลีปกรณ์. พิมพ์คร้ังที่ ๒ กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์

มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐.
Natavarlal Joshi. Poetry, Creative and Aesthetic Experience. (Sanskrit Poetics

and Literature Criticism). Eastern Book Linkers. New Delhi : India, 1994.
Wilhem Geiger. Pali Literature and Language. 3rd Reprinted. Oriental Books

Reprint Corporation, New Delhi : India, 1978.

Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบ่งปันเป็ นธรรมทาน


Click to View FlipBook Version