The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณคดีบาลี รหัส 000 145 สอนโดย พม.โยธิน โยธิโก,รศ.ดร.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วรรณคดีบาลี

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วรรณคดีบาลี รหัส 000 145 สอนโดย พม.โยธิน โยธิโก,รศ.ดร.

Keywords: วรรณคดีบาลี

๕๑

- มีการรวบรวมพระธรรมเปน็ หมวดหมู่โดยการนาํ ของ
พระอานนท์
- ปรบั อาบัตพิ ระอานนท์
- ลงพรหมทณั ฑ์พระฉันนะ
- ยอมรับมตขิ องพระมหากัสสปเถระให้คงเถรวาทไว้
การทาสังคายนาครง้ั ที่ ๒ ปรารภภิกษุวัชชบี ุตรชาวเมืองไพสาลีแสดงวตั ถุ ๑๐
ประการ ซ่ึงวัตถุ ๑๐ ประการมปี รากฏในพระวนิ ัยปิฎก สัตตสติกขันธกะ ดังน้ี ๓๖
๑) สิงคโิ ลณกปั ปะ เก็บเกลือไวใ้ นเขนงคอื เข าสัตว์ แล้วฉันกับอาหารที่
ไมเ่ ค็มได้ ซึ่งขดั กบั พระวินยั บัญญตั ิขอ้ วา่ “ภิกษใุ ด เคย้ี วของเคยี้ วหรอื ฉนั ของฉนั ท่เี กบ็
สะสมไว้ ตอ้ งอาบัติปาจติ ตีย์
๒) ทวงั คลุ กัปปะ ฉันอาหารเมอ่ื เงาเลยเวลาเท่ยี งไป ๒ องคุลไี ด้ ซ่ึงขัด
กบั พระวนิ ัยบญั ญัตขิ ้อว่า “ภิกษุใด เคย้ี วของเคี้ย ว หรอื ฉนั ของฉนั ในเวลาวกิ าล ต้อง
อาบตั ิปาจติ ตยี ์”
๓) คามันตรกัปปะ ฉนั อาหารในบา้ นหนึ่งแลว้ เมอ่ื มอี กี บา้ นหนงึ่ นมิ นต์
ให้รบั กฉ็ ันอีกได้ ซ่ึงขัดกับพระวนิ ยั บัญญัติขอ้ วา่ “ภิกษุใด ฉนั แล้ว บอกห้ามภตั ตาหาร
แล้ว เค้ียวของเค้ยี ว หรือฉันของฉนั อีก ตอ้ งอาบัตปิ าจิตตยี ์”
๔) อาวาสกปั ปะ แยกทาํ อุโบสถในอาวาสที่มสี มี าแหง่ เดียวกนั ได้ ซง่ึ ขดั
กับพระพุทธดํารัสที่ว่า “ภิกษทุ ั้งหลาย เราอนญุ าตความพร้อมเพรยี งกัน มกี ําหนดเขต
เพยี งอาวาสเดียวเทา่ นั้น”
๕) อนมุ ติกปั ปะ ทาํ สังฆกรรมในเมอ่ื ภกิ ษทุ ้งั หลายยังไม่พรอ้ มแลว้ คอ่ ย
บอกฉนั ทปารสิ ทุ ธทิ ่หี ลงั ก็ได้ ซึง่ ขัดกบั หลักเรอื่ งบพุ พกรณแ์ ละบุพพกจิ ในโรงอุโบสถ
๖) อาจิณณกัปปะ ประพฤติตามพระอุปัชฌายอ์ าจารย์ได้ทันทีแมจ้ ะผดิ
หลักก็ตาม ซง่ึ ตามปกติเถรวาทถอื ธรรมและวินยั เปน็ เกณฑ์
๗) อมถิตกัปปะ ฉันนมสดทีแ่ ปรไปแลว้ แต่ยงั ไม่เป็นนมเปร้ยี วได้ ซง่ึ ขัด
กับพระวนิ ัยบญั ญตั ิข้อวา่ “ภกิ ษุใด ฉนั แล้ว บอกห้ามภัตตาหารแล้ว เค้ียวของเคี้ยวหรือ
ฉันของฉัน ตอ้ งอาบตั ิปาจิตตยี ์”
๘) ชโลคึ ปาตุ ดื่มสุราออ่ นๆ ได้ ซงึ่ ขัดกับพระวนิ ัยบัญญตั ิขอ้ ว่า “ภิกษุ

๓๖ ว.ิ จฬู . (ไทย) ๗/๔๔๖/๓๙๓.

๕๒

ต้องอาบตั ิ เพราะด่ืมสุราและเมรัย”
๙) อทสกนิสีทนะ ใช้ผา้ รองนงั่ ท่ไี ม่มชี ายกไ็ ด้ ซึ่งขัดกับพระวนิ ั ยบญั ญัติ

ข้อวา่ “ภิกษใุ ด นัง่ หรอื นอน บนเตยี งตงั่ อันมเี ทา้ บนกุฎีชน้ั ปลายในวหิ ารของสงฆ์ ตอ้ ง
อาบัตปิ าจิตตยี ์”

๑๐)ชาตรปู รชตะ รับเงนิ รบั ทองได้ ซง่ึ ขดั กบั พระวนิ ยั บญั ญตั ิขอ้ วา่ “ภกิ ษุ
ใด รบั เองหรอื ใช้ใหผ้ ้อู ืน่ รบั เงินและทอง หรอื ยินดที องและเงินท่เี ขาเก็บไวใ้ ห้ ต้ องอาบัติ
นสิ สัคคียปาจิตตีย์” นอกจากน้ียังขัดกบั พระพทุ ธพจน์ทว่ี า่ “ดวงจนั ทร์ดวงอาทิตยย์ ่อมมวั
หมองไมส่ อ่ งแสง ไมส่ วา่ ง ไม่ร่งุ เรือง เพราะเหตุ ๔ ประการ คอื (๑) เมฆ (๒) หมอก (๓)
ควันและฝนุ่ ละออง (๔) ราหู (ราหูอมจนั ทร์) ฉันใด สมณพราหมณ์ ย่อมมวั หมอง ไม่สง่า
ไมผ่ อ่ งใส ไมร่ ุ่งเรอื ง เพราะสิง่ ๔ ประการ คอื (๑) ดืม่ สรุ าและเมรัย (๒) เสพเมถนุ (๓)
ยินดรี บั ทองและเงนิ (๔) ดําเนนิ ชีวิตดว้ ยมจิ ฉาชพี ฉนั นั้นเหมอื นกัน”๓๗

การสงั คายนาครั้งที่ ๒ น้มี กี ารกสงฆ์ คอื พระอรหันต์ ๗๐๐ รูป โดยการชักชวน
ของพระยสกากัณฑกบตุ ร มพี ระเรวตะเป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเปน็ ผ้วู ิสชั นา ประชมุ
สังคายนาท่ี วาลิการาม เมืองไพสาลี เมื่อ พ .ศ. ๑๐๐ โดยพระเจ้ากาลาโศกราชเปน็ องค์
ศาสนปู ถัมภ์ สน้ิ เวลา ๘ เดือน จึงแล้วเสรจ็

ผลจากการสงั คายนาคร้ังที่ ๒ น้ี เป็นเหตุให้พวกภิกษวุ ัชชบี ตุ รประมาณ ๑๐,๐๐๐
รปู ได้แยกไปตง้ั นิกายใหม่ ชือ่ มหาสงั ฆกิ หรือมหาสังคีติ เน่อื งจากไม่พอใจต่อการตดั สิน
ในเร่อื งวัตถุ ๑๐ ประการ ทีพ่ วกตนประพฤตอิ ยวู่ า่ ผิดตอ่ พระวนิ ยั บญั ญัติ นิกาย
มหาสงั ฆิกหรือมหาสงั คีติน้ี เปน็ นกิ ายแห่งพระพทุ ธศาสนา ทรี่ จู้ กั กนั ตอ่ มาว่า “นิกาย
มหายาน”๓๘

สรปุ การทาํ สงั คายนา ครัง้ ท่ี ๒
พ.ศ. ท่ีทํา - ๑๐๐ ปี
มูลเหตุ - วตั ถุ ๑๐ ประการของภกิ ษวุ ชั ชบี ตุ ร
สถานท่ี - วาลกิ าราม เมอื งไพศาลี แคว้นวัชชี
ประธานสงฆ์ - พระยสกากณั ฑบตุ ร พร้อมด้วยพระเถระผู้ใหญ่
ผ้ซู กั ถาม - พระสัพพกามี

๓๗ วิ.มหา. (ไทย) ๗/๔๔๗/๓๙๕-๓๙๖.
๓๘ ไกรวฒุ ิ มะโนรัตน,์ วรรณคดีบาลี ๑, หนา้ ๗๙-๘๑.

๕๓

ผวู้ ิสัชชนา - พระเรวตะ, พระสาฬหะ, ชาวเมืองปาจีนะ และพระขุชชโสภติ ะ,
พระวาสภคามิกะ, พระสัมภตู ะ สาณวาสี พระสมุ นะ ชาวเมืองปาฐา

การกสงฆ์ - พระอรหันต์ ๗๐๐ องค์
ระยะเวลาทํา - ๘ เดอื น
ผูอ้ ปุ ถมั ภ์ - พระเจา้ กาฬาโศกราช และชาวเมอื ง
ผลทไี่ ด้ - พระธรรมวินัยม่ันคงในส่วนเถรวาทดง้ั เดิม และมีการแตกนิกาย
เปน็ เหตุให้พวกภิกษวุ ัชชบี ตุ ร ๑๐,๐๐๐ รูปได้แยกไปต้ังนกิ ายมหาสังฆิก หรอื มหาสังคตี ิ
เป็นนกิ ายท่ีรู้จักกันต่อมาว่า “นกิ ายมหายาน”
การสงั คายนาครั้งท่ี ๓ ปรารภเดียรถีย์ประมาณ ๖๐,๐๐๐ คน ปลอมบวชใน
พระพุทธศาสนาเพราะมลี าภสักการะเกดิ ขน้ึ โดยการกสงฆ์คอื พระอรหันต์ ๑,๐๐๐ รูป มี
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเปน็ ประธาน ทาํ ที่อโศการาม เมืองปาฏลบี ตุ ร เม่อื พ .ศ. ๒๓๔
(พ.ศ. ๒๑๘ เป็นปีทีพ่ ระเจา้ อโศกขนึ้ ครองราชย์) มีพระเจา้ อโศกหรือพระศรีธรรมาโศก
ราชเปน็ องคศ์ าสนูปถัมภ์ ส้นิ เวลา ๙ เดอื น จงึ แล้วเสร็จ
การสังคายนาคร้ังท่ี ๓ นี้ คมั ภรี ส์ มันตปาสาทิกาอรรถกถาวนิ ัยปฎิ กได้อธบิ ายวา่
พระสงั คตี ิภาณกาจารย์ไดจ้ ดั หมวดหมู่ “พระธรรมและพระวินัย” ออกเปน็ ๓ หมวดใหญ่
เรียกว่า “ปิฎก” คอื ๓๙

๑) พระวนิ ัยปิฎก ประมวลพระพุทธพจนส์ ่วนพระวินยั
๒) พระพทุ ธสุตตันตปิฎก ประมวลพระพุทธพจนส์ ว่ นพระสตู ร
๓) พระอภิธรรมปฎิ ก ประมวลพระพุทธพจน์สว่ นปรมัตถ์
นอกจากนี้ พระโมคคัลลบี ุตรติ สสเถระยังสง่ พระธรรมทูตไปเผยแผ่ศาสนาในสว่ นตา่ งๆ
ของทวีปเอเชีย ๙ สาย เสถียร โพธนิ ันทะ๔๐ ไดอ้ ธบิ ายเพ่ิมเตมิ ดงั นี้
๑) สายพระมัชฌันตกิ ะ ไปเผย แผพ่ ระพทุ ธศาสนา ณ แควน้ ก าศมีระ
และคนั ธาระ ปัจจุบันได้แก่ดินแดนแถบตะวนั ตกเฉียงเหนือของอินเดยี เลยเขา้ ไปถึง
บางสว่ นของอฟั กานสิ ถาน

๓๙ พระพทุ ธโฆสาจารย,์ สมนฺตปาสาทิกาย นาม วินยฏฺ กถาย ป โม ภาโค, หนา้ ๑๗.
๔๐ เสถียร โพธินันทะ, ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, พิมพค์ ร้งั ที่ ๓, (กรงุ เทพมหานคร :
มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๒๒), หน้า ๑๘๕-๒๘๘.

๕๔

๒) สายพระมหาเทวะ ไปเผย แผพ่ ระพุทธศาสนา ณ แควน้ มหิสมณฑล
ปัจจบุ นั ได้แก่แคว้นไมซอรห์ รอื มานธาตา และดินแดนแถบลุ่มแมน่ าํ้ โคธาวรี อยู่ทาง
ภาคใตข้ องอินเดีย

๓) สายพระรกั ขติ ะ ไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ณ วนวาสปี ระเทศ ได้แก่
แคว้นกนราเหนือทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดยี ในคัมภรี ม์ หาวงศ์ กลา่ วว่า ครัง้ นนั้
มอี ารามทางพระพุทธสาสนาเกดิ ขน้ึ ณ ดนิ แดนแห่งน้ัน ถงึ ๕๐๐ อาราม

๔) สายพระธรรมรักขิตะ ทา่ นผนู้ ีเ้ ป็นฝรั่งชาตกิ รกี เข้าใจว่าเปน็ ฝร่งั คน
แรกทบี่ วชในพระพุทธศาสนา ได้ไปเผยแ ผพ่ ระพทุ ธศาสนา ณ อปรันตกชนบทเขา้ ใจว่า
เปน็ แถวชายทะเลเหนอื เมอื งบอมเบย์ปัจจบุ นั

๕) สายพระมหาธรรมรกั ขิตะ ไดไ้ ปเผยแ ผ่พระพุทธศาสนา ณ แคว้น
มหาราษฎร์ ปจั จบุ นั ไดแ้ กด่ นิ แดนแถบตะวันออกเฉยี งเหนอื หา่ งจากบอมเบย์

๖) สายพระมหารกั ขติ ะ ไดไ้ ปเผยแ ผพ่ ระพทุ ธศาสนา ณ โยนกประเทศ
ได้แก่แคว้นของฝร่งั ชาติกรีกในทวีปเอเชยี ตอนกลาง เหนือประเทศอหิ รา่ นข้ึนไปจนถงึ
ตุรกี

๗) สายมิชฌมิ ะ และพระเถระอกี ๔ รปู คือ ๑. พระกสั สปโคตตะ ๒.
พระมลู กเทวะ ๓. พระทุนทภิสสระ ๔. พระเทวะ รวม ๕ รปู ไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ณ
แควน้ ดินแดนภเู ขาหมิ าลยั

๘) สายพระโสณะและพระอตุ ตระ ไดไ้ ปเผยแ ผพ่ ระพุทธศาสนา ณ
ดนิ แดนสุวรรณภมู ิ สาํ หรับสุวรรณภมู นิ ี้ นกั โบราณคดแี ตกมติเปน็ ๔ พวก พวกหน่งึ ว่า
ได้แก่แคว้นเล็กในประเทศอินเดียตะวันออกเฉียงใต้ พวกหนึง่ วา่ ไดแ้ กห่ มู่เกาะชะวา
สุมาตรา พวกหนงึ่ ว่า ได้แกต่ อนใตข้ องประเทศพมา่ และพวกหนึ่งวา่ ได้แก่ ดินแดนล่มุ
แม่นํ้าเจา้ พระยาตอนใต้ของประเทศไทย มติของสองพวกหลงั น้ีมีมากกวา่ เพ่ือน แต่
ปจั จบุ นั ดูเหมือนนาํ้ หนักจะเอนมาทางสวุ รรณภมู ิ คอื ตอนลมุ่ แมน่ ํ้าเจ้าพระยาตอนใตม้ าก

๙) สายพระมหินทเถระ พรอ้ มดว้ ยพระริษฏรยิ ะ, อทุ ริยะ, สัมพละ
และภัททสาระไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ณ เกาะลังกาในรชั สมยั ของพระเจา้ เทวานัมปิย
ตสิ สะ ผูเ้ ป็ นกษตั รยิ ์แห่งเกาะลังกา๔๑ และได้ชักนําใหพ้ ระองคเ์ ลื่อมใสในพระพทุ ธศาสนา
ยงั ผลใหพ้ ระพุทธศาสนาเจรญิ มัน่ คงในประเทศศรลี ังกาสบื มาจนทกุ วันน้ี๔๒

๔๑ พัฒน์ เพ็งผลา, ประวัติวรรณคดีบาล,ี พมิ พค์ ร้ังที่ ๔, (กรงุ เทพมหานคร : สํานักพมิ พ์

๕๕

การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตทกุ สาย เป็นการไปอย่างเป็นคณะสงฆ์ ซึ่ง

สามารถให้การอปุ สมบทแก่กลุ บตุ รผู้มศี รทั ธาได้ แตท่ ่านบ อกไว้เฉพาะหวั หนา้ กลา่ ว

เฉพาะสายพระโสณเถระกบั พระอุตตรเถระน้ัน จากหลักฐานท่ีค้นพบที่ นครปฐม บอกวา่

ทั้งสองทา่ นได้มาประดิษฐานพระพุทธศาสนาในดนิ แดนที่เรยี กว่า สุวรรณภูมิ ซ่ึงเชือ่ กัน
ว่าได้แก่ดินแดนทีเ่ ปน็ จังหวดั นครปฐมในปจั จุบัน เม่ือปี พ.ศ. ๒๗๔-๓๐๔๔๓

สรุปการทาํ สงั คายนา คร้ังที่ ๓

พ.ศ. ที่ทํา - ๒๓๔

มูลเหตุ - เดียรถยี ป์ ลอมบวช และบญั ญตั ิธรรมปฏิรปู

สถานท่ี - อโศการาม เมืองปาฏลบี ุตร

ประธานสงฆ์ - พระโมคคลั ลบี ุตรตสิ สเถระ

การกสงฆ์ - พระอรหันต์ ๑,๐๐๐ องค์

ระยะเวลาทํา - ๙ เดือน

ผ้อู ปุ ถมั ภ์ - พระเจา้ อโศกราชหรอื พระศรีธรรมาโศกราชและ

ชาวเมือง

ผลท่ไี ด้ - จดั พระธรรมวนิ ยั เป็น ๓ ปฎิ ก คือ พระวินัยปิฎก พระ

สุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก

- เปน็ เหตใุ ห้จบั พระภกิ ษุปลอมบวชสกึ เปน็ จาํ นวนมาก

- มีการจัดส่งพระสมณทตู ไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนารวม ๙ สาย

การสังคายนาคร้งั ที่ ๔ ปรารภจะให้พระศาสนาประดิษฐานมน่ั คงในลงั กาทวีป

พระสงฆ์ ๖๘,๐๐๐ รูป มีพระมหินทเถระเป็นประธานและเป็นผถู้ าม พระอรฏิ ฐะเปน็ ผู้

วิสัชนา ประชุมทําทถ่ี ปู าราม เมื่ออนุราธบรุ ี เมอื่ พ .ศ. ๒๓๖ โดยพระเจา้ เทวานัมปิยติสสะ

เป็นศาสนูปถมั ภก สนิ้ เวลา ๗ เดือน จึงแลว้ เสร็จ

สรปุ การทําสังคายนา คร้ังท่ี ๔

พ.ศ. ทที่ า - ๒๓๖

มหาวทิ ยาลัยรามคาํ แหง, ๒๕๔๒), หนา้ ๓๐-๓๑.
๔๒ ไกรวุฒิ มะโนรัตน,์ วรรณคดีบาลี ๑, หนา้ ๗๙-๘๑.
๔๓ พระราชธรรมนเิ ทศ (ระแบบ ต าโณ), ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา, พมิ พค์ รงั้ ที่ ๓.

(กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๖), หน้า ๑๓๖.

๕๖

มลู เหตุ - ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาประดษิ ฐานมนั่ คงในลงั กาทวีป

สถานท่ี - ถปู าราม เมืองอนรุ าธบรุ ี

ประธานสงฆ์ - พระมหินทเถระและเปน็ ผู้ถาม

ผู้วสิ ชั ชนา - พระอรฏิ ฐเถระ

การกสงฆ์ - พระอรหนั ต์ ๖๘,๐๐๐ องค์

ใช้เวลาทาํ - ๑๐ เดอื น

ผู้อปุ ถมั ภ์ - พระเจา้ เทวานมั ปิยติสสะ และชาวเมอื ง

ผลทไี่ ด้ - เป็นเหตุพระพุทธศาสนามั่นคงในลงั กาทวปี

การสังคายนาคร้งั ที่ ๕ ปรารภพระสงฆ์แตกกนั เป็น ๒ พวก คอื พวกมหาวิหาร

กบั พวกอภัยครี วี หิ าร และคํานึงว่า สืบไปภายหน้ากลุ บตุ รจะถอยปญั ญา ควรจารึกพระ

ธรรมและวนิ ยั ลงในใบลาน พระอรหนั ต์ ๕๐๐ รูป ประชมุ กันสวดซอ้ มแล้วจารพทุ ธ

พจน์ลงในใบลาน ณ อาโลกเลนสถานในมลยชนบท ในลงั กาทวปี เมอ่ื พ .ศ. ๔๓๓ (วา่

๔๓๖ ก็มี ๔๕๐ กม็ ี ๔๖๐ ก็ม)ี โดยพระเจ้าวฏั ฏคามณอี ภัยเป็นศาสนปู ถมั ภ์ ใช้เวลาใน

การทาํ ๑ ปี จงึ แลว้ เสรจ็ จากนน้ั จงึ ได้จารกึ เปน็ อกั ษรลงในใบลานเป็นหลกั ฐานต่อมา

การสงั คายนาคร้งั ท่ี ๕ นมี้ คี วามสําคญั คอื

๑) เปน็ คร้งั แรกที่มีบนั ทกึ พระพทุ ธพจนเ์ ปน็ ลายลกั ษณ์อักษรลงบน

ใบลานดว้ ยภาษาบาลีอักษรสิงหล

๒) พระธรรมและพระวนิ ัย ท่ีจารกึ เปน็ ลายลักษณ์อักษรครัง้ นี้ เปน็

ต้นฉบับของพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท ซง่ึ ภายหลงั ไดม้ ีผนู้ าํ ไปแปลเป็นภาษาปร ะจาํ ชาติ

และภาษาท้องถ่นิ ของพวกตน ได้ทาํ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา

สรุปการทาํ สงั คายนา ครั้งที่ ๕

พ.ศ. ทท่ี าํ - ๔๓๓ (๔๓๖, ๔๕๐, ๔๖๐ กม็ )ี

มูลเหตุ - พระสงฆ์แตกแยกเป็น ๒ พวก คือ

- พวกมหาวิหาร กบั พวกอภยั คีรีวหิ าร

- และจารึกพระธรรมวนิ ยั ลงในใบลาน

สถานท่ี - อโศกเลณสถาน ในมัณฑเลชนบท ลังกาทวปี

ประธานสงฆ์ - พระรักขติ เถระ

การกสงฆ์ - พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์

ระยะเวลาทํา - ๑ ปี

๕๗

ผู้อปุ ถมั ภ์ - พระเจา้ วฏั ฏคามณอี ภยั และชาวเมือง

ผลทีไ่ ด้ - จารกึ พระธรรมวนิ ัยลงในใบลานเปน็ ครง้ั แรก

การสังคายนาคร้ังที่ ๖ ปรารภการแปลคัมภีรภ์ าษาสงิ หลสู่ภาษามคธ เนือ่ งจาก

ภาษาสิงหลรู้จาํ กดั ในหมู่พืน้ เมือง หากไมแ่ ปลเป็นภาษากลางคอื ภาษามคธ ตอ่ ไปภาย

หน้าพระไตรปิฎกอาจสูญหายหรอื ผดิ เพยี้ นไป จงึ ไดป้ ริวรรตและแปลคมั ภรี ์จากภาษาของ

ชาวพื้นเมอื งคอื ภาษาสิงหล ลงสูภ่ าษามคธ คอื ตันติภาษาอนั เป็นภาษาแบบแผน โดยมี

พระพทุ ธโฆสาจารย์ ชาวอินเดยี เป็นประธานประชมุ ทํากนั ที่ลงั กาทวีป เม่ือ พ .ศ.๙๕๖

ภายใตพ้ ระบรมราชปู ถมั ภ์ของพระเจา้ มหานาม ใชเ้ วลาในการทํา ๑ ปี จงึ แลว้ เสร็จ

สรปุ การทําสงั คายนา ครั้งที่ ๖

พ.ศ. ทที่ ํา - ๙๕๖

มูลเหตุ - ตอ้ งการแปลคมั ภีรจ์ ากภาษาสิงหลเป็นภาษามคธ

สถานท่ี - ลงั กาทวีป ประเทศศรีลงั กา

ประธานสงฆ์ - พระพทุ ธโฆสาจารย์

การกสงฆ์ - ไมป่ รากฏจาํ นวน

ใช้เวลาทํา - ๑ ปี

ผู้อุปถัมภ์ - พระเจา้ มหานาม และชาวเมือง

ผลทไ่ี ด้ - แปลคัมภีรจ์ ากภาษาสงิ หลเป็นภาษามคธได้สาํ เร็จ

การสังคายนาครัง้ ท่ี ๗ ปรารภเรอื่ งการรจนาคมั ภรี ์ฎกี าหรอื คัมภีรอ์ รรถาธิบาย

ของคัมภรี ์อรรถกถา พระสงฆ์ผู้ทรงธรรมและพระวนิ ัยกว่า ๑,๐๐๐ รูป เปน็ การกสงฆ์ มี

พระมหากสั สปะเปน็ ประธาน ประชมุ ทาํ กันในลงั กา เมอ่ื พ .ศ. ๑๕๘๗ ภายใต้พระบรม

ราชูปถัมภ์ของพระเจา้ ปรกั กมพาหุ ใช้เวลาในการทาํ ๑ ปี จงึ แล้วเสรจ็

สรปุ การทําสังคายนา คร้งั ท่ี ๗

พ.ศ. ทท่ี าํ - ๑๕๘๗

มูลเหตุ - ตอ้ งการรจนาคัมภีรฎ์ กี าหรือคมั ภีร์อธบิ ายอรรถกถา

สถานท่ี - ลังกาทวีป ประเทศศรลี ังกา

ประธานสงฆ์ - พระมหากัสสปะ

การกสงฆ์ - ๑,๐๐๐ รูป

ใช้เวลาทํา - ๑ ปี

ผูอ้ ุปถัมภ์ - พระเจา้ ปรกั กมพาหุและชาวเมือง

๕๘

ผลทีไ่ ด้ - รจนาคมั ภีร์ฎกี าหรือคมั ภีรอ์ ธบิ ายอรรถกถาได้สําเร็จ

- เกดิ คมั ภีรีฎกี าและคมั ภีรอ์ รรถกถาเพอ่ื ใช้เปน็ แหล่ง

คน้ ควา้ และอา้ งอิงหลักธรรมคาํ สอนทางพระพุทธศาสนา

การสงั คายนาครัง้ ท่ี ๘ กระทํา ณ ณ วัดโพธาราม จงั หวัดเชยี งใหม่ ประเทศ

ไทย ในปี พ .ศ. ๒๐๒๐ พระเจ้าติโลกราชแหง่ เมอื งเชยี งใหม่ ได้อาราธนาพระสงฆ์ท่ี ทรง

พระไตรปิฎกหลายร้อยรปู ใหช้ ่วยชาํ ระอักษรพระไตรปฎิ กบนใบลาน ณ วดั โพธาราม ใช้

เวลาในการทํา ๑ ปี จงึ แล้วเสร็จ

สรปุ การทําสงั คายนา คร้ังท่ี ๘

พ.ศ. ทที่ าํ - ๒๐๒๐

มูลเหตุ - ชําระอกั ษรพระไตรปิฎกลงบนใบลาน

สถานที่ - ณ วัดโพธาราม จังหวดั เชยี งใหม่ ประเทศไทย

ประธานสงฆ์ - ไม่ปรากฏชอื่ ประธานสงฆ์

การกสงฆ์ - ไมร่ ะบุจาํ นวนทแ่ี นน่ อน

ระยะเวลาทํา - ๑ ปี

ผู้อุปถมั ภ์ - พระเจ้าติโลกราชแห่งเมอื งเชียงใหม่และชาวเมือง

ผลท่ไี ด้ - ชาํ ระอักษรพระไตรปฎิ กลงบนใบลานเสรจ็ เรยี บร้อย

- มีคัมภีร์ทีบ่ ันทึกลงบนใบลานเพอื่ ใช้ในการเผยแผ่

พระพทุ ธศาสนา

การสงั คายนาคร้งั ท่ี ๙ กระทําในประเทศไทย เมือ่ ปี พ .ศ. ๒๓๓๑ ในรชั สมยั

ของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช องคป์ ฐมกษัตรยิ ์แหง่ ราชวงศ์จกั รี

แห่งกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ทรงอาราธนาพระสงฆ์ผู้เชยี วชาญพระไตรปิฎก จํานวน ๒๑๘ รูป

ราชบณั ฑิตทีเ่ ป็นอบุ าสกอกี ๓๒ คน ช่วยกันชาํ ระพระไตรปิฎกซง่ึ กระจดั กระจายสญู หาย

ภายหลงั กรุงศรีอยธุ ยาถูกพมา่ เผาทําลาย ณ วัดมหาธาตยุ ุวราชรังสฤษฎ์ิ

สรุปการทําสังคายนา คร้ังท่ี ๙

พ.ศ. ท่ีทาํ - ๒๓๓๑

มลู เหตุ - ชําระอกั ษรพระไตรปฎิ กลงบนใบลาน

สถานที่ - ณ วัดมหาธาตุยุวราชรงั สฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร

ประเทศไทย

ประธานสงฆ์ - ไมป่ รากฏชือ่ ประธานสงฆ์

๕๙

การกสงฆ์ - ฝา่ ยสงฆ์ จํานวน ๒๑๘ รูป

- ฝ่ายฆราวาส จํานวน ๓๒ ทา่ น

ระยะเวลาทํา - ไมป่ รากฏระยะเวลาทแ่ี น่นอน

ผู้อปุ ถมั ภ์ - พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช

ผลท่ไี ด้ - มกี ารตรวจชาํ ระพระไตรปิฎก

- มคี ัมภรี พ์ ระไตรปิฎกฉบับที่สมบูรณเ์ พ่อื ใช้ในการเผย

แผพ่ ระพทุ ธศาสนา

แมป้ ระเทศท่ีนบั ถือพระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทดว้ ยกันโดยเฉพาะไทย พม่า

และศรลี งั กา ยงั นับคร้ังการสงั คายนาไม่ตรงกัน เน่อื งจากการสงั คายนาบางครัง้ ไม่เปน็ ท่ี

ยอมรบั ของประเทศอน่ื สรปุ การนับสังคายนาของประเทศต่างๆ ดังนี้

(๑) ประเทศศรลี ังกา ยอมรับการสังคายนา ๓ คร้งั ท่ปี ระเทศอนิ เดีย และ

นับจากสังคายนาท่ีประเทศของตนต่อมาอีก ๓ ครง้ั คร้ังท่ี ๖ หรือครงั้ สุดท้ายของลังกา

กระทาํ เม่ือ พ .ศ. ๒๔๐๖ ทีร่ ตั นปรุ ะ ประเทศศรีลงั กา พระภกิ ขทเุ ว สิรสิ มุ ังคละ เปน็

ประธาน กระทาํ อยู่ ๔ เดอื นจึงสําเรจ็ การสังคายนาครง้ั นเี้ ป็นที่รบั ร้กู นั เฉพาะในศรลี ังกา

เทา่ นน้ั

(๒) ประเทศพมา่ นบั สงั คายนาทีท่ ําอนิ เดีย ๓ ครั้ง แล้วนับครัง้ ที่ ๒ ที่

ทําศรลี งั กา (สงั คายนาครงั้ ท่ี ๕ พ.ศ. ๔๕๐ หรอื ๔๓๓) เป็นคร้งั ที่ ๔ และมเี พม่ิ ครง้ั ที่ ๕

และ ๖ ที่ประเทศพมา่ คอื

สังคายนาคร้ังที่ ๕ ทําให้รชั สมยั พระเจา้ มนิ ตง พระชาคราภวิ ังสะ พระนรินทาภชิ

ชะ และพระสุมงั คลสามี ผลดั กันเป็นประธาน ท่ามกลางทปี่ ระชมุ พระ และคฤหัสถ์ผู้

แตกฉานในพระไตรปิฎก ๒๔๐๐ ท่าน กระทาํ อยู่ ๕ เดือนจึงสําเร็จ สังคายนาครงั้ นมี้ ขี ้นึ

เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๑๔

สังคายนาคร้งั ที่ ๖ เนอื่ งในโอกาสฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษของพม่า รัฐบาลพมา่

ไดเ้ ชญิ ผู้นาํ ชาวพทุ ธตา่ งประเทศ โดยเฉพาะสายเถรวาท ได้แก่ พมา่ ศรีลังกา ไทย ลาว

และกัมพชู า จดุ ประสงคข์ องการสังคายนาครง้ั นี้เพ่อื พิมพ์พระไตรปฎิ ก พรอ้ มอรรถถถา

และคําแปลเปน็ ภาษาพม่า ได้ทาํ อยู่ ๒ ปี คือระหวา่ ง ๑๗ พฤษภาคม ๒๔๙๗-๒๔

พฤษภาคม ๒๔๙๙ เสรจ็ แล้วได้แจกจา่ ยพระไตรปิฎกฉบบั อักษรพม่าไปยงั ประเทศต่างๆ

ด้วย

๖๐

(๓) ประเทศไทย ยอมรบั การสงั คายนาตามลําดบั ที่ทาํ ในลงั กา ๕ คร้งั
ถอื วา่ เปน็ ประวตั ิทคี่ วรรู้เกยี่ วกบั ความเปน็ มาแหง่ พระธรรมวินัย แตห่ นงั สอื สังคีติยวงศ์
รจนาเป็นภาษาบาลี โดยสมเด็จพระวันรตั วัดพระเชตุพนฯ (รจนาเม่ือครงั้ ยังเป็นพระ
พมิ ลธรรม) ในรัชกาลที่ ๑ ได้จัดลําดบั สังคายนาไว้ ๙ ครง้ั คือ

สังคายนาครง้ั ที่ ๑-๒-๓ ทาํ ในประเทศอนิ เดียดงั กลา่ วแล้ว
สงั คายนาครั้งที่ ๔-๗ ทําในประเทศลงั กา
สงั คายนาครั้งที่ ๖ ทําในลังกา เม่อื พ .ศ. ๙๕๖ พระพุทธโฆสาจารย์ ชาว
อนิ เดยี ได้แปลและเรียบเรยี งอรรถกถาจากภาษาสิงหลเป็นภาษาบาลี ในรชั สมัยพระเจ้า
มหานาม การสงั คายนาคร้ังน้มี ไิ ดช้ ําระพระไตรปิฎก หากแต่ชาํ ระอรรถกถา ทางลังกาจึง
ไมน่ บั เปน็ การสงั คายนา
สงั คายนาคร้งั ท่ี ๗ ทําในลังกา เมื่อ พ .ศ. ๑๕๘๗ พระกสั สปเถระ เป็นประธาน
ได้รจนาและชําระคัมภีรฎ์ กี าต่างๆ ร่วมกบั ภิกษผุ ้เู ชีย่ วชาญพทุ ธธรรมกวา่ ๑,๐๐๐ รูป๔๔
สงั คายนาคร้ังที่ ๘-๙ ทําในไทย
จะเห็นวา่ การสงั คายนาพระไตรปิฎก การจารึกและการถา่ ยทอดพระไตรปิฎก
ผ่านยคุ ต่างๆ ดงั กล่าวมาข้างต้นนั้น แก่นแท้หรือสาระสดุ ท้ายของงานคือการดํารงรักษา
พระพุทธพจน์ทสี่ บื ทอดมาในรูปของพระไตรปฎิ กภาษาบาลีไว้ใหบ้ รสิ ุทธิ์บริบรู ณท์ ส่ี ุด คง
เดมิ ตามทมี่ กี ารรวบรวมพุทธพจนค์ รั้งแรกในการสังคายนาครัง้ ที่ ๑ ใหผ้ อู้ ่านเข้าถึงคํา
สอนเดิมของพระพทุ ธเจา้ โดยตรงโดยไมม่ มี ตขิ องบุคคลอืน่ ใดมากีดกัน แม้แตค่ วาม
คิดเหน็ ของพระธรรมสงั คาหกาจารย์ ซ่งึ หากจะมที ่ านก็ไดบ้ อกแจ้งหมายแยกไว้ เปน็ การ
เปดิ โล่งตอ่ การใชป้ ัญญาของผูศ้ ึกษาอยา่ งเตม็ ที่๔๕

สรปุ ท้ายบท

คาํ สอนขององค์สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าสมยั ต้นพุทธกาลเรยี กว่าพุทธพจน์
บา้ ง พรหมจรรยบ์ า้ ง ในช่วงปลายพุทธกาล เรียกวา่ ธรรมและวนิ ัย สว่ นสมยั หลงั

๔๔ เสฐยี รพงษ์ วรรณปก, คาอธิบายพระไตรปิฎก, หน้า ๑๐.
๔๕ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พระไตรปิฎก : สงิ่ ที่ชาวพุทธควรร,ู้ (กรุงเทพมหานคร: พิมพ์
ท่ี บรษิ ทั เอส.อาร์.พรน้ิ ติ้ง แมสโปรดกั ส์ จาํ กัด, ๒๕๔๗), หน้า ๒๘.

๖๑

พุทธกาลเม่ือพระอรหันตสาวกไดป้ ระชมุ กนั รวบรวมจัดระเบียบหมวดหม่คู ําสอนขององค์
สมเด็จพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ซ่ึงเรยี กว่า “ธัมมวินยสงั คีติ” คําวา่ สงั คตี ิ กค็ อื สงั คายนา ”
สังคายนากค็ ือการรวบรวมหลกั ธรรมคาํ สอนภายหลังจึงเกิดมคี ําว่า“พระไตรปฎิ ก” ข้นึ โดย
ลาํ ดับ

พระไตรปฎิ กมเี นอ้ื หารวมท้ังส้ินถงึ ๘๔,๐๐๐ ธรรมขนั ธ์ แบ่งเป็นพระวนิ ยั ปฎิ ก
๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ พระสุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และพระอภิธรรมปฎิ ก
๔๒,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ ดังเนอื้ หาโดยสรปุ สาระสาํ คญั ท่ไี ด้ศึกษามาในบทที่ ๒ นีแ้ ลว้
ดงั น้ันพุทธศาสนกิ ชนและผู้สนใจหลกั ธรรมคําสอนจากพระไตรปิฎก จึงควรคาํ นงึ ถงึ พระ
พุทธดํารัสทอี่ งคส์ มเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ไดต้ รัสไวค้ รั้งหน่ึงว่า พระธรรมวินัยจะเปน็
ศาสดาแทนพระองคภ์ ายหลังทพี่ ระองค์ล่วงลับไปแลว้ พระไตรปิฎกจึงเปรยี บเสมือน
ตัวแทนของพระพุทธองค์ และเป็นทีท่ ี่ ชาวพุทธสามารถเขา้ เฝา้ พระพทุ ธองคไ์ ด้อย่าง
ใกล้ชดิ ได้ตลอดเวลา

๖๒

คาถามทา้ ยบท

๑. ความหมายของพระไตรปฎิ กคืออะไร จงอธิบาย
๒. พระไตรปฎิ กมีความสําคัญอย่างไรบ้าง จงวเิ คราะห์ความสาํ คญั
๓. สาระสําคญั ของพระไตรปิฎกมอี ย่างไรบา้ ง จงสรุปสาระสําคัญ
๔. พระไตรปิฎกมีพฒั นาการอยา่ งไร จงอธบิ าย
๕. นิสิตมีวิธีการสบื ทอดพระไตรปิฎกอย่างไรบา้ ง จงบอกวิธีการสบื ทอด
พระไตรปิฎก

๖๓

เอกสารอ้างอิงประจาบท

ไกรวุฒิ มะโนรัตน์. วรรณคดบี าลี ๑. กรุงเทพมหานคร : จรญั สนิทวงศก์ ารพมิ พ์

, ๒๕๔๙.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต). พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ .

พิมพ์ครง้ั ที่ ๑๐. กรงุ เทพ มหานคร : พมิ พท์ ่ี บรษิ ทั เอส . อาร์. พริ้นติง้
แมส โปรดกั ส์ จาํ กดั , ๒๕๔๖.
________.รจู้ ักพระไต รปิฎกเพอ่ื เปน็ ชาวพทุ ธท่แี ท้ . พิมพค์ รงั้ ๒ .

กรุงเทพมหานคร : พมิ พท์ ี่ เอดสิ ัน เพรส์ โปรดักส์, ๒๕๔๓.
________. พระไตรปฎิ ก : สิง่ ทช่ี าวพทุ ธควรรู้ . กรงุ เทพ มหานคร : พิมพท์ ่ี

บรษิ ัท เอส.อาร.์ พร้นิ ต้ิง แมสโปรดักส์ จํากัด, ๒๕๔๗.
พระพุทธโฆสาจารย์ . สมนฺตปาสาทิกาย นาม วินยฏฺ กถาย ป โม ภาโค .

พิมพ์ครงั้ ที่ ๖. กรุงเทพมหานคร : มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๒๕.
พระมหาสงั เวย ธมฺมเนตตฺ โิ ก . ความอัศจรรยใ์ นพระธรรมวนิ ัย . กรุงเทพ-มหา

นคร : สํานักพมิ พป์ ระดิพัทธ์, ๒๕๓๖.
พระเมธธี รรมาภรณ์ (ประยรู ธมมฺ จติ โฺ ต ). “ความเปน็ มาของพระไตรปิฎก ” ใน;

พระไตรปฎิ ก : ประวัติและความสาคัญ . กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ า

ลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๕.
พระราชกวี (เกษม สญฺ โต). พระไตรปฎิ กวิจารณ์ . กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั

คอมแพคทพ์ ริ้นท์ จํากดั , ๒๕๔๓.
พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ต าโณ). ประวตั ศิ าสตร์พระพุทธศาสนา . พมิ พ์

คร้ังที่ ๓. กรงุ เทพมหานคร : มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๖.
พระอมรมุนี (จับ ตธมฺโม ). นาเทย่ี วพระไตรปฎิ ก . พิมพ์ครง้ั ที่ ๗.

กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙.
พฒั น์ เพ็งผลา . ประวัตวิ รรณคดีบาลี . พิมพค์ ร้งั ที่ ๔. กรุงเทพ มหานคร :

สาํ นักพมิ พ์มหาวิทยาลัยรามคําแหง, ๒๕๔๒.
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย . พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจฬุ าเตปิฏก .

๒๕๐๐.กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ,

๖๔

เสถยี ร โพธินนั ทะ . ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา . พมิ พ์ครงั้ ที่ ๓. กรงุ เทพ-
มหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๒๒.

เสถียรพงษ์ วรรณปก, รศ. “วิธศี กึ ษาคน้ ควา้ พระไตรปฎิ ก ” ใน ; เกบ็ เพชรจาก
คัมภรี ์พระไตรปิฎก . กรุงเทพมหาคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ,
๒๕๔๒.

________. คาอธบิ ายพระไตรปิฎก . กรงุ เทพมหานคร : หอรัตนชยั การพิมพ์ ,

๒๕๔๐.

บทท่ี ๓
อรรถกถา

อาจารยไ์ กรวุฒิ มะโนรตั น์
อาจารย์สทุ น ตสิ ันเทยี ะ

วตั ถปุ ระสงค์การเรยี นประจาบท

เมือ่ ไดศ้ กึ ษาเน้อื หาในบทนแี้ ลว้ นิสติ สามารถ
๑. อธบิ ายความหมายของอรรถกถาได้
๒. จําแนกประเภทของอรรถกถาได้
๓. สรุปความสําคัญของอรรถกถาได้
๔. อธิบายกาํ เนิดและพฒั นาการของอรรถกถาได้

ขอบข่ายเน้ือหา

 ความนํา
 ความหมายของอรรถกถา
 ประเภทของอรรถกถา
 ความสาํ คัญของอรรถกถา
 กาํ เนิดและพฒั นาการของอรรถกถา

๖๕

๓.๑ ความนา

ศาสนาทุกศาสนา ย่อมมีคัมภีร์หรือตาํ ราทางศาสนาเป็นหลกั ในการศึกษาและ
เผยแผ่คําสัง่ สอนของศาสดา หากเรายอมรับวา่ คมั ภรี ์หรอื ตาํ ราทางศาสนาเปน็ วรรณคดี
ศาสนา พระพุทธศาสนาก็มวี รรณคดีมากมายโดยเฉพาะ พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
ได้มคี ัมภีร์หรอื ตําราสําคญั ทางศาสนาเป็นจํานวนมากทเ่ี ขยี นดว้ ยภาษาบาลี เรียกในที่นี้
วา่ วรรณคดบี าลี ซ่ึงนอกจากวรรณคดพี ระไตรปฎิ กแลว้ ยังมีวรรณคดอี รรถกถา ฎีกา อนุ
ฎีกา โยชนา ปกรณว์ เิ สส และวรรณกรรมบาลอี ่นื ๆ ดว้ ย แตใ่ นทน่ี ้จี ะกล่าวถึงเฉพาะ
วรรณคดบี าลีประเภทอรรถกถา ต่อไป

๓.๒ ความหมายของอรรถกถา

อรรถกถา หมายถึง ปกรณท์ ีพ่ ระอาจารย์ทง้ั หลายในภายหลังแตง่ แกอ้ รรถแห่ง
บาลี คอื พระไตรปฎิ ก หรอื คมั ภีรอ์ ธบิ ายความในพระไตรปฎิ ก ซ่งึ มีทงั้ อรรถกถาพระ
วนิ ัยปิฎก อรรถกถาพระสุตตันตปฎิ กและอรรถกถาพระอภธิ รรมปิฎก อาจารย์ผูแ้ ตง่
อรรถกถาเหล่าน้นั เรียกวา่ “อรรถกถาจารย์”๔๖

อรรถกถา เป็นคมั ภรี อ์ ธบิ ายความในพระไตรปิฎก มกี าํ เนิดทม่ี าท้งั จากที่
พระพทุ ธเจ้าทรงอธบิ ายไวเ้ องและเหลา่ สาวกมพี ระอคั รสารบี ุตรเถระ เปน็ ต้น อธบิ ายไว้
ได้รบั การนาํ สืบตอ่ คูก่ ันมากบั พระไตรปฎิ ก และนําสเู่ กาะสิงหล (ประเทศศรีลงั กา) โดย
พระมหามหินทเถระ พระโอรสในพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งชมพูทวปี (อนิ เดีย) ภายหลัง
สงั คายนาคร้งั ที่ ๓ แล้วแปลเรียบเรยี งเปน็ ภาษาสิงหลพรอ้ มทง้ั พระไตรปิฎกไว้โดยพระ
เถระผแู้ ตกฉานในพระไตรปิฎกชาวสงิ หล ต่อมาพระพทุ ธโฆสาจารย์ ชาวชมพูทวีปได้
เดินทางจากชมพทู วีปมาแปลเรียบเรียงอรรถกถาภาษาสิงหลกลับเป็นภาษาบาลมี คธ ณ
เกาะสิงหล แลว้ รักษาสบื ตอ่ กันมาจนถึงปัจจบุ นั

๔๖ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต), พจนานุกรมพุทธศาสนฉ์ บบั ประมวลศพั ท,์ พิมพ์ครง้ั ท่ี ๑๑.
(กรุงเทพมหานคร: มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หนา้ ๓๒๕.

๖๖

๓.๓ ประเภทของอรรถกถา๔๗

อรรถกถาอธบิ ายความในพระไตรปฎิ ก แบง่ ตาม “นัยของการอธิบายความ”
ได้ ๒ ประเภท คือ๔๘

๑) อธบิ ายความตามนัยแหง่ คัมภรี เ์ กา่ ทมี่ ใิ ช่พระไตรปิฎกโดยตรง เรียกว่า “ปก
รณนยั ” เช่น มลิ ินทปญั หา เนตติปกรณ์ วมิ ุตตมิ รรค วิสทุ ธมิ รรค เป็นตน้ เรยี กคัมภีร์

ประเภทนีว้ า่ “ปกรณว์ เิ สส”
๒) อธบิ ายความตามนยั แห่งอรรถกถาโบราณ คือ มูลอรรถกถาหรอื มหาอรรถ

กถา กุรุนทีอรรถกถาและมหาปจั จรยี อ์ รรถกถา เปน็ ตน้ เรยี กวา่ “อัฏฐกถานยั ” เชน่

สมันตปาสาทกิ า สุมงั คลวิล าสินีและอัฏฐสาลินี เปน็ ต้น เรยี กวา่ “อรรถกถา” หรือ “อภนิ ว
อรรถกถา”

แบ่งตาม “กาเนิดของอรรถกถา” ได้ ๒ ประเภท คอื ๔๙
(๑) พทุ ธสงั วัณณติ อรรถกถา คือ อรรถกถาท่ีพระพุทธเจา้ ทรงอธิบายดว้ ย

พระองค์เองเม่ือมผี ู้ทูลถามหรือเพื่อให้คนรุ่นหลงั เข้าใจ เรียกอรรถกถาประเภทนวี้ ่า
“ปกณิ ณกเทศนา” ซ่ึงเหล่าสาวไดถ้ อื เป็นกถามรรค (ต้นแบบ) ในการอธิบายสบื ทอดตอ่ ๆ
กันมาในรูปของการสงั คายนา เป็นตน้ ๕๐

(๒) อนุพทุ ธสังวณั ณิตอรรถกถา หรือสาวกสังวณั ณิตอรรถกถา คือ อรรถกถา

ทีเ่ หล่าสาวกอธบิ ายไว้ นยิ มเรียกอรรถกถาประเภทน้ีว่า “สาวกภาษติ ” แปลว่า ภาษิตของ
สาวก เชน่

ก) พระสารีบตุ รเถระ กล่าวแนวทางในการสังคายนาโดยย่อไว้ในสงั คตี ิสูตร
และทสตุ ตรสูตร

๔๗ ไกรวุฒิ มโนรัตน์ . วรรณคดบี าลี ๑. (กรุงเทพมหานคร : จรญิ สนทิ วงศ์การพิมพ,์ ๒๕๔๙),

หน้า ๙๑-๑๐๐.
๔๘ จํารูญ ธรรมดา, เนตตฏิ ิปปน,ี (กรงุ เทพมหานคร: หจก.ไทยรายวนั การพมิ พ,์ ๒๕๔๖), คาํ นาํ .
๔๙ มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, วนิ ยสงฺคหฏฺ กถา, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์วิญญาณ,

๒๕๔๐), บทนาํ .
๕๐ ท.ี ฏี. (บาล)ี .๑/๑๘.

๖๗

ข) พระอานนท์เถระ แสดงอุเทศและวภิ ังค์ของภัทเทกรัตตสตู รไว้ในอานันท
ภทั เทกรัตตสูตร

ค) พระมหากจั จายนเถระ อธบิ ายภทั เทกรตั ตสตู รไวใ้ นมหากัจจายนภทั เทก
รัตตสตู ร

แบ่งตาม “ภาษา” ทใี่ ช้จารจารกึ รกั ษาสบื ทอดกนั มาได้ ๒ ประเภท
คือ

๑) มคธอรรถกถา คอื อรรถกถาที่แต่งด้วยภาษาบาลีมคธ ได้แก่
(๑) อรรถกถาทมี่ ีมาตั้งแต่สมยั พระพุทธเจ้ายงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ และ

อรรถกถาท่ีพระมหามหินทเถระนาํ มาจากชมพทู วปี มาสเู่ กาะสิงหลภายหลังสงั คายนาครัง้
ท่ี ๓

(๒) อรรถกถาทพ่ี ระพุทธโฆสาจารย์ พระพทุ ธทัตตะ พระธรรมปาละ
พระอปุ เสนและพระมหานามะ เป็นตน้ แปลเรียบเรยี งจากภาษาสงิ หลเป็นภาษาบาลมี คธ
อีกคร้งั

๒) สีหลอรรถกถา คือ อรรถกถาทีแ่ ตง่ ด้วยภาษาสงิ หล ได้แก่
(๑) มูลอรรถกถาหรือมหาอรรถกถา ซึง่ นาํ มาจากชมพทู วปี ส่เู กาะ

สิงหล โ ดยพระมหามหนิ ทเถระ แลว้ แปลเรียบเรยี งเปน็ ภาษาสิงหลไว้โดยพระเถระผู้
แตกฉานในพระไตรปิฎกชาวสงิ หล เพื่อหลีกเลี่ยงการกลืนจากลทั ธิอื่นและเพื่อสะดวกแก่
การศกึ ษาชองชาวสิงหล๕๑ และเปน็ อรรถกถาทีพ่ ระพุทธโฆสาจารย์ยึดถือเปน็ ต้นแบบใน
การแตง่ อภนิ วอรรถกถา เป็นผลงานของพระโปราณาจารย์

(๒) มหาปัจจรยี ์อรรถกถา คืออรรถกถาทแี่ ต่งบนแพบางแหง่ ใน
เกาะสงิ หล เปน็ งานของพระคันถาจารย์

(๓) กรุ นุ ทีอรรถกถา คอื อรรถกถาทแ่ี ตง่ ท่กี รุ ุนทีวหิ ารในเกาะสิงหล
เปน็ ผลงานของพระคันถาจารย์

(๔) อันธอรรถกถา คือ อรรถกถาทแ่ี ต่งด้วยอนั ธภาษา แต่งท่ีเมือง
กัญจปิ รุ ะ อินเดียใต้ ไมป่ รากฏชอ่ื ผู้แตง่

(๕) สังเขปอรรถกถา คือ อรรถกถายอ่ ความจากมหาปจั จรีย์อรรถ
กถา ไมป่ รากฏชือ่ ผแู้ ต่ง

๕๑ ที.อฏ.ฺ (บาลี).๑/๑.

๖๘

(๖) จฬู ปัจจรียอ์ รรถกถา คือ สงั เขปอรรถกถาน่ันเอง
(๗) อรยิ อรรถกถา คอื อรรถกถาภาษาอรยิ ะ ไม่ปรากฏชอ่ื ผู้แต่ง
(๘) ปนั นวาร (อรรถกถา) คอื อ รรกถาทปี่ ระมวลข้อวนิ ิจฉยั จากมลู
อรรถกถาหรอื มหาอรรถกถา
แบง่ ตาม “ยคุ ” ได้ ๒ ยคุ คือ
๑) โปราณอรรถกถา หรอื อรรถกถาเกา่ ได้แก่
(๑) พุทธสงั วณั ณิตอรรถกถาและอนพุ ุทธสงั วณั ณติ อรรถกถา ที่อธิบายบาลี
พุทธพจนด์ ว้ ยภาษาบาลีมคธ ซ่ึงพระสงั คีตกิ าจารยไ์ ดย้ กขนึ้ สสู่ ังคายนาถึ ง ๓ ครั้งและนาํ
เผยแพรย่ งั เกาะสิงหลโดยพระมหามหินทเถระชาวชมพูทวปี ภายหลังสังคายนาครง้ั ท่ี ๓
แล้วไดร้ บั การแปลเรยี บเรยี งเป็นภาษาสงิ หลเพ่ือหลกี เล่ียงจากการถกู กลืนจากลัทธิคํา
สอนอ่นื
(๒) มูลอรรถกถาหรอื มหาอรรถกถา หรอื ทน่ี ิยมเรยี กวา่ “สีหลอรรถกถา” ซง่ึ
ไดแ้ ปลเรียบเรียงเปน็ ภาษาสงิ หลไวใ้ นภายหลัง
๒) อภนิ วอรรถกถา หรอื อรรถกถาใหม่ ไดแ้ ก่ อรรถกถาทีพ่ ระพทุ ธโฆสา
จารย์ พระพุทธทัตตะ พระธรรมปาละ พระอปุ เสนและพระมหานามะ เปน็ ต้น แต่งและ
แปลเรียบเรียงจากมลู อรรถกถาหรอื มหาอรรถกถาภาษาสงิ หลซง่ึ อรรถกถาของยุคอภนิ ว
อรรถกถาเริ่มจากคัมภีรว์ ิสุทธมิ รรคเปน็ ต้นมาจดั วา่ เปน็ ยคุ ที่วงการศกึ ษาคมั ภรี ท์ าง
พระพทุ ธศาสนาแสดงมติว่าเป็น“ยคุ ทองของอรรถกถา”เพราะมีอรรถกถาเกดิ ขึ้น
มากมาย๕๒ โดยเนื้อหาของอรรถกถาเหลา่ น้นั มีความสมั พันธ์กันในลักษณะอธบิ ายความท่ี
สอ่ื ตอ่ กนั เปน็ ลําดับตามกระแสความ๕๓ ซ่งึ มที ั้งอรรถกถาพระวินยั ปิฎก อรรถกถาพระ
สุตตันตปฎิ กและอรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก ซึง่ จะได้กลา่ วต่อไป

ก. อรรถกถาพระวินัยปฎิ ก

๕๒ พฒั น์ เพง็ ผลา , ประวัติวรรณคดบี าล,ี พิมพค์ รั้งท่ี ๕. ( กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์
มหาวทิ ยาลยั รามคําแหง, ๒๕๔๖), หนา้ ๑๑๓.

๕๓ เสนาะ ผดุงฉัตร , ความรู้เบ้ืองต้นเกยี่ วกบั วรรณคดบี าล,ี (กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลง
กรณราชวทิ ยาลยั , ๑๕๓๒), หน้า ๔๔.

๖๙

อรรถกถาพระวนิ ัยปฎิ กได้แก่ สมนั ตปาสาทิกา อธบิ ายความพระวนิ ัย
ปิฎกใน ๕ คมั ภรี ์ คือ๕๔

๑) มหาวิภงั ค์ ว่าดว้ ยวินัยทีเ่ ปน็ หลกั ใหญ่ของภิกษุ
๒) ภิกขณุ วี ิภงั ค์ ว่าดว้ ยวินยั ทเ่ี ปน็ หลกั ใหญข่ องภิกษณุ ี
๓) มหาวรรค วา่ ด้วยกําเนดิ ภกิ ษุสงฆแ์ ละระเบียบความเปน็ อยแู่ ละ
กจิ การของภกิ ษุสงฆ์
๔) จุลลวรรค ว่าด้วยระเบยี บความเป็นอยู่และกจิ การของภกิ ษุสงฆ์
เรอ่ื งภกิ ษณุ ี และสงั คายนา
๕) ปริวาร วา่ ด้วยคมู่ อื ถามตอบซกั ซ้อมความรูพ้ ระวนิ ัย
สมนั ตปาสาทิกา แบง่ เป็น ๓ ภาค คอื ภาคท่ี ๑ อธิบายความในเวรญั ชกัณฑถ์ งึ
ปาราชิกกัณฑแ์ หง่ มหาวิภงั ค์ภาค ๑ ภาคที่ ๒ อธิบายความในเตรสกณั ฑถ์ งึ อนยิ ตกัณฑ์
แห่งมหาวิภังคภ์ าค ๑ และในนิสสคั คยี ์กัณฑถ์ ึงอธกิ รณสมถะแห่งมหาวภิ ังค์ภาค ๒
รวมทั้งอธบิ ายความในภิกขุนวี ภิ ังค์ และภาคที่ ๓ อธบิ ายความในมหาวรรค (ภาค ๑-๒)
จลุ ลวรรค (ภาค ๑-๒) และปริวาร
สมนั ตปาสาทิกา เป็นผลงาน ของพระพทุ ธโฆสาจารย์ แต่งตามคาํ อาราธนา
ของพระพุทธสิริ เมอื่ ประมาณ พ.ศ.๙๒๗-๙๗๓ ณ เมอื งอนุราธปรุ ะในศรีลังกาในรชั สมัย
ของพระเจ้าสริ ิปาละ โดยอาศัยอรรถกถาภาษาสิงหลชือ่ มหาปจั จรีย์แ ละกรุ ุนที ๕๕
สมันตปาสาทิกา เป็นคมั ถรี ท์ พ่ี ระพทุ ธโฆสาจารยแ์ ต่งขึน้ กอ่ นคมั ภีรเ์ ล่มอน่ื ๆ
เพราะวนิ ัยถือเปน็ รากฐานศรัทธาของชาวพุทธทง้ั หลาย ปัจจบุ ันคณะสงฆ์ไทยใช้
เปน็ หลกั สตู รการศกึ ษาภาษาบาลขี องคณะสงฆส์ าหรับชน้ั เปรียญธรรม ๖-๗
ประโยค ในรายวชิ าแปลมคธเป็นไทย และสาหรับช้ั นเปรยี ญธรรม ๘ ประโยค ใน
รายวิชาแปลไทยเปน็ มคธเนอ้ื หาของสมันตปาสาทกิ า อาจแบ่งยอ่ ๆ ออกเปน็ ๒
ส่วน คอื ๕๖
๑) สว่ นท่ีเป็นเนอ้ื หาหลักทเ่ี ก่ยี วกบั พระธรรมวินัย ไดแ้ ก่

๕๔ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต), รจู้ ักพระไตรปฎิ กเพอื่ เปน็ ชาวพทุ ธแท,้ หนา้ ๗๓.
๕๕ ว.ิ อ.(บาล)ี .๑/๓.
๕๖ อภญิ วัฒน์ โพธ์สิ าน , ชีวติ และผลงานของนักปราชญพ์ ุทธ, (มหาสารคาม, สาํ นกั พิมพ์
มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, ๒๕๔๙), หนา้ ๔๔-๔๕.

๗๐

(๑) มลู เหตุทําปฐมสงั คายนา
(๒) การคัดเลอื กพระอรหันต์ ๔๙๙ องคเ์ พอื่ เข้าร่วมทาํ สังคายนา
(๓) การทาํ สงั คายนาไม่อาจขาดพระอานนทไ์ ด้
(๔) สถานท่ที าํ สังคายนา
(๕) พระอานนทป์ ดั กวาดพระคนั ธกุฎแี ละอื่นๆ
(๖) มหาวหิ าร ๑๘ แห่งในกรุงราชคฤห์
(๗) พระราชูปถมั ภก์ จิ สงฆ์ทุกอย่าง
(๘) การประชมุ สงฆ์ การปจุ ฉาวิสัชนา การสาธยายพระวนิ ยั และพระธรรม
(๙) การรวบรวมและแบ่งพระธรรมวินยั เปน็ ๓ ปิฎก
(๑๐) การสงั คายนาครัง้ ที่ ๒,๓ และ ๔
(๑๑) การสบื สานพระธรรมวินัย
(๑๒) ชีวประวัติของพระโมคคัลลบี ตุ รติสสเถระประธานการทาํ ตตยิ สงั คายนา
(๑๓) พระราชประวตั ขิ องพระเจา้ อโศกมหาราช
(๑๔) การสง่ พระธรรมทูตไปประกาศพระศาสนายังส่วนตา่ งๆ ของโลก ๙
สาย
(๑๕) อธบิ ายเร่อื งพระพทุ ธคณุ ๙
(๑๖) ความสําคญั ของวชั ชีภมู ิและชนชาววชั ชบี ุตร
(๑๗) ประเภทของการต้งั ครรภต์ ามทศั นะของพทุ ธ
(๑๘) เร่ืองราวปา่ มหาวนั เมืองเวสาลี
(๑๙) ความสําคญั ของท่าภรกุ ัจฉะ
(๒๐) เรอื่ งราวของกูฏาคารสาลา ปา่ มหาวนั เมอื งเวสาลี
(๒๑) อธิบายเรอ่ื งสติ สมาธิ ปฏสิ ัมภิทา จิต วญิ ญาณ อินทรยี ์
(๒๒) อธิบายเรื่องอาบัติปาราชกิ สงั ฆาทเิ สส เป็นต้ น ทั้งของภกิ ษุและ
ภกิ ษุณี
๒) สว่ นที่เปน็ ขอ้ เท็จจรงิ ทางประวัตศิ าสตรแ์ ละภูมศิ าสตร์ตา่ งๆ ในสว่ นท่ี
ใหข้ ้อเท็จจริงทางประวัตศิ าสตร์ เช่น ประวัติของพระเจ้าอโศกมหาราช ประวตั พิ ระเจ้า
อชาตศตั รู ตลอดจนพระเจา้ อุทยั ภัทท์ พระเจา้ อนรุ ุทธะและพระเจ้ามณุ ฑะ ซ่งึ เป็น
กษตั รยิ ์ปกครองแคว้นมคธ ประวตั ิการเกดิ ข้าวยากหมากแพงในเมอื งเวรญั ชา เปน็ ต้น

๗๑

ในส่วนทใี่ ห้ข้อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์ เชน่ ชยั ภมู ิทตี่ ง้ั เมืองตา่ งๆ เช่น กุสินารา จัมปา สา
วตั ถี และดินแดนสุวรรณภมู ิ เป็นต้น

ข. อรรถกถาพระสตุ ตนั ตปฎิ ก
อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก เท่าท่มี หี ลักฐานปรากฏ ได้แก่
๑) สมุ งั คลวลิ าสนิ ี อธิบายความในทีฆนกิ าย ท่ีวา่ ดว้ ยชมุ นมุ พระสูตร
ขนาดยาว แบง่ เปน็ ๓ ภาค คอื ภาคท่ี ๑ อธบิ ายความในสลี ขันธวรรค ซ่งึ วา่ ด้วยพระสูตร
ขนาดยาว ๑๓ สตู ร ภาคท่ี ๒ อธบิ ายความในมหาวรรค ซ่ึงวา่ ดว้ ยพระสตู รขนาดยาว ๑๐
สตู ร และภาคท่ี ๓ อธบิ ายความในปาฏกิ วรรค ซง่ึ วา่ ดว้ ยพระสตู รขนาดยาว ๑๑ สตู ร
สุมงั คลวลิ าสินี เปน็ ผลงานของพระพุทธโฆสาจารย์แตง่ ตามคาํ
อาราธนาของพระทาฐนาคะ๕๗ เมอื่ ใกลจ้ ะถงึ พ .ศ.๑,๐๐๐ โดยอาศยั อรรถกถาภาษา
สิงหล๕๘ ซ่งึ นอกจากจะเป็นคัมภีรอ์ ธบิ ายขยายความพระสตู รทม่ี ขี นาดยาวในทีฆนิกาย
แล้ว ยงั ให้ข้ อมลู ทางประวตั ศิ าสตร์ นทิ านพื้นบา้ น และเรอ่ื งเลา่ เก่ยี วกับประวตั ิศาสตร์
อนิ เดยี ในด้านสังคม การเมอื ง ปรัชญาและศาสนาในยุคของพระพทุ ธเจา้ ภาพอนั มี
ชีวิตชีวาของการกฬี าและสันทนาการของผูค้ น ตลอดจนข้อมลู ทางภูมศิ าสตร์และอื่นๆ อัน
ทรงคุณค่าในสมัยโบราณ เชน่
(๑) ประวัติการแตง่ อรรถกถา
(๒) เหตุเกิดและประเภทของพระสูตร ๔ อยา่ ง ไดแ้ ก่ (๑) อัตตัชฌาสัย
คือพระสูตรทพ่ี ระพทุ ธเจ้าตรสั ตามอัธยาศยั ของพระองค์ (๒) ปรชั ฌาสยั คอื พระสูตรที่
พระพุทธเจ้าตรัสตามอธั ยาศัยของคนอนื่ (๓) ปจุ ฉาวสิกา คอื พระสตู รท่ีพระพุทธเจ้าตรัส
ตอบคําถามของผู้มาทูลถาม (๔) อัตถัปปตั ติกะ คอื พระสตู รที่ตรัสเมื่อมเี รอ่ื งเกดิ ขนึ้ แล้ว
พระพทุ ธเจ้าตรัสถงึ หรอื มีคนทูลให้ตรัส
(๓) ข้อปฏิบตั ใิ นชีวิตประจาํ วนั วนั ของพระภกิ ษุ

๕๗ บรรจบ บรรณรุจิ, “ผลงานของพระพุทธโฆสะและพระเถราจารย์รว่ มสมัย: ศึกษาเฉพาะกรณที ี่
ศกึ ษาในเมอื งไทย”, ใน; รวมบทความทางวชิ าการพระพทุ ธศาสนาและปรชั ญา,
(กรุงเทพมหานคร: มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐) : ๗๓.

๕๘ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ฉบบั ประมวลศัพท,์ หน้า ๒๙๔.

๗๒

(๔) เหตุผลและคาํ อธิบาย ในการเรียกพระนามของพระพทุ ธเจา้ วา่ พระ
ตถาคต

(๕) พทุ ธกจิ หรือหน้าทท่ี ต่ี อ้ งทําในแตล่ ะวันของพระพทุ ธเจา้
(๖) เหตุการณท์ ี่พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงยมกปาฏหิ าริย์
(๗) ประวตั ิบคุ คลร่วมสมยั กับพระพทุ ธเจา้ เชน่ หมอชวี กโกมารภัจจ์
ติสสามเณร พราหมณ์โปขรสาตแิ ละอัมพฏั ฐมาณพ เปน็ ต้น
(๘) ประวัติและแผนการปลงพระชนมพ์ ระบดิ าเพ่ือชิงบลั ลงั กข์ องพระเจา้
อชาตศัตรแู ละพฤตกิ รรมความรกั แท้ของพระนางเวเทหทิ ี่มีต่อพระเจา้ พมิ พิสารพระสวามี
ในคกุ
(๙) คําพรรณนาภูมศิ าสตร์ของสถานท่ีตา่ งๆ เชน่ แคว้นองั คะ ทักขณิ าป
ถะ วดั โฆสิตาราม แควน้ โกศล เมอื งราชคฤห์ เปน็ ตน้
(๑๐) คาํ นิยามศัพท์ตา่ งๆ เช่น อทนิ นาทาน มุสาวาท ราชา จุลศีล
มชั ฌิมศลี และมหาศลี เปน็ ต้น
(๑๑) ธรรมเนียมปฏบิ ัตกิ ารท่องจาํ คมั ภรี ์ทฆี นกิ าย๕๙
๒) ปปญั จสูทนี อธบิ ายความในมัชฌมิ นกิ าย ทว่ี า่ ดว้ ยชมุ นมุ พระสูตร
ขนาดกลาง แบ่งเปน็ ๔ ภาค คือ ภาคท่ี ๑ อธิบายความในมลู ปรยิ ายวรรคถงึ สี
หนาทวรรค แหง่ มูลปณั ณาสก์ ภาคท่ี ๒ อธบิ ายความในโอปมั มวรรคถึงจูฬยมกวรรคแหง่
มูลปัณณาสก์ และภาคท่ี ๓ อธบิ ายในมชั ฌมิ ปัณณาสก์ และภาคท่ี ๔ อธบิ ายในอปุ ริ
ปัณณาสก์
ปปัญจสูทนี เป็นผลงานของพระพทุ ธโฆสาจารยแ์ ตง่ ตามคาํ อาราธนา
ของพระพทุ ธมติ ตะ ซง่ึ เป็นเพอื่ นและเปน็ ศษิ ยร์ ว่ มสํานกั ท่มี ยรุ รปู ฏั ฏนะในอนิ เดียใต้ เมอ่ื
ใกลจ้ ะถึง พ .ศ.๑,๐๐๐ โดยอาศยั อรรถกถาภาษาสงิ หลชื่อมหาอรรถกถา ซึง่ นอกจากจะ
เป็นคัมภรี อ์ ธบิ ายขยายความเนื้อหาทางธรรมในพระสตู รขนาดกลางในมั ชฌมิ นกิ ายท้ัง
๑๕๒ สูตรแลว้ ยังให้ข้อมลู รายละเอยี ดทางประวัตศิ าสตร์ ภูมศิ าสตร์และอ่ืนๆ ด้วย เชน่
(๑) ประวัติของพระเจา้ มหามันธาตุในกุรุชนบทและอานุภาพแห่งจักร
รตั นะของพระองค์
(๒) ประวัติความเปน็ มาของเมืองสาวตั ถี

๕๙ อภญิ วัฒน์ โพธ์สิ าน, ชวี ิตและผลงานของนกั ปราชญพ์ ทุ ธ, หน้า ๔๖-๔๗.

๗๓

(๓) ภมู ิศาสตรข์ องเทอื กเขาหมิ าลยั เมอื งเวสาลี เมืองราชคฤห์ วัดโฆสิ
ตาราม

(๔) ข้อมูลเกีย่ วกับภาษาของคนในภาคใตข้ องอนิ เดยี ๒ ภาษา คอื
ภาษาทมฬิ ซึง่ เปน็ ภาษาพดู ของชาวทมฬิ นาฑู และภาษาอนั ธะ (ภาษาเตรุก)ุ ของชาว
อันธระในรฐั อันธรประเทศแห่งอนิ เดยี ใต้ปัจจบุ นั

(๕) ภมู ศิ าสตรข์ องแมน่ ้าํ ตา่ งๆ ในอินเดีย เชน่ คงคา ยมุนา พาหกุ า
สนุ ทรกิ า สรัสสตีและพหมุ ตี๖๐

๓) สารัตถปกาสนิ ี อธิบายความในสงั ยุตตนกิ าย ทว่ี า่ ด้วยชมุ นุมพระ
สูตรทีจ่ ดั กลุ่มตามหัวเรื่องที่เกี่ยวข้อง ซ่ึงโดยมากจะจัดตามชอื่ บุคคล เชน่ โกสลสังยตุ ต์
พระสูตรทีแ่ สดงแกพ่ ระเอรปั เสนทโิ กศล เทวตาสงั ยตุ ต์ รวม ๕๖ สงั ยุตต์ ๗,๗๖๒ สูตร
แบง่ เปน็ ๓ ภาค คือ ภาคท่ี ๑ อธบิ ายความในสคาถวรรค ภาคท่ี ๒ อธบิ ายความใน
นทิ านวรรคและขนั ธวารวรรค และภาคที่ ๓ อธบิ ายความในสฬายตนวรรคและมหาวาร
วรรค

สารตั ถปกาสินี เป็นผลงานของพระพุทธโฆสาจารย์แตง่ ตามคาํ อาราธนาของ
พระโชติปาลเถระ ซง่ึ เคยอยูร่ ่วมสํานักกนั ท่กี ัญจปิ ุระทางตอนใต้ของอนิ เดยี เมื่อใกลจ้ ะถึง
พ.ศ.๑,๐๐๐ โดยอาศยั อรรถกถาภาษาสงิ หลชื่อมหาอรรถกถา ซงึ่ นอกจากจะอธิบายธรรม
ในพระสตู รแห่งสงั ยตุ ตนิกายทงั้ หมดแลว้ ยังให้ความรดู้ ้านอื่นๆ เช่น

(๑) พทุ ธะ ๔ ประเภท คือ สพั พญั ญพู ทุ ธะ ปจั เจกพุทธะ จตสุ จั จพุทธะ
และสตุ พุทธะ

(๒) พระเวท ๕ คมั ภีร์ซง่ึ เป็นคัมภีรส์ ําคญั ของศาสนาพราหมณ์ คือ
ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท อถรรพเวทและอติ หิ าสะ๖๑

๔) มโนรถปูรณี อธิบายความในอังคุตตรนกิ า ย ท่ีว่าดว้ ยชมุ นมุ พระสตู ร
ทจี่ ัดเป็นหมวดตามจํานวนขอ้ ธรรม รวม ๑๑ หมวด (นิบาต) ๙,๕๕๗ สตู ร แบ่งเปน็ ๓
ภาค คือ ภาคท่ี ๑ อธบิ ายความในเอกนบิ าต ภาคท่ี ๒ อธิบายความในทุกนิบาตถงึ จตุกก
นบิ าต และภาคที่ ๓ อธิบายความในปัญจกนบิ าตถงึ เอกาทสกนิบาต

๖๐ เรอื่ งเดยี วกัน, หนา้ ๔๗.
๖๑ เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๔๘.

๗๔

มโนรถปูรณี เปน็ ผลงานของพระพุทธโฆสาจารยแ์ ต่งตามคาํ อาราธนาของพระ

(ภทันตะ) โชตปิ าลเถระและพระอาชีวกะซ่งึ องค์หลังนีเ้ คยอยรู่ ่วมสํานักมหาวิหารในศรี

ลงั กา ซ่งึ นอกจากจะอธบิ ายหลักธรรมสาํ คัญ เชน่ ทกุ ข์ โพชฌงค์ ๗ ปฏสิ มั ภิทา ๔ แล้ว

ยังกลา่ วถงึ ประวตั ิพระสาวกสาวิกาองค์สาํ คัญๆ เกอื บทงั้ หมด ตลอดจนสถานท่ี ท่ี
พระพุทธเจ้าเสด็จจาํ พรรษา ตั้งแต่พรรษาที่ ๑ ถึงพรรษาที่ ๔๕ ดังน๖้ี ๒

พรรษาท่ี ๑ ทรงจาํ พรรษาทป่ี า่ อสิ ปิ ตนมฤคทายวัน

พรรษาที่ ๒-๓ ทรงจําพรรษาทีเ่ มืองราชคฤห์…………………………4………….?

พรรษาท่ี ๕ ทรงจําพรรษาที่เมอื งเวสาลี

พรรษาท่ี ๖ ทรงจาํ พรรษาท่มี ังกุลบรรพรรต

พรรษาท่ี ๗ ทรงจําพรรษาที่เทวโลกช้นั ดาวดงึ ส์

พรรษาที่ ๘ ทรงจาํ พรรษาทเ่ี ภสกลาวัน ใกล้ภูเขาสุงสุมารคริ ี

พรรษาที่ ๙ ทรงจาํ พรรษาที่เมืองโกสัมพี

พรรษาท่ี ๑๐ ทรงจาํ พรรษาทีป่ า่ ปาลิไลยกะ

พรรษาที่ ๑๑ ทรงจําพรรษาทเ่ี มืองนาฬา

พรรษาท่ี ๑๒ ทรงจาํ พรรษาที่เมอื งเวรัญชา

พรรษาท่ี ๑๓ ทรงจําพรรษาที่จาลยิ บรรพต

พรรษาที่ ๑๔ ทรงจําพรรษาทีว่ ัดเชตวนั ใกลเ้ มืองสาวตั ถี

พรรษาที่ ๑๕ ทรงจําพรรษาทีเ่ มืองกบลิ พสั ดุ์

พรรษาที่ ๑๖ ทรงจําพรรษาที่เมอื งอาฬวี

พรรษาท่ี ๑๗ ทรงจําพรรษาทเ่ี มืองราชคฤห์

พรรษาท่ี ๑๘-๑๙ ทรงจาํ พรรษาที่จาลยิ บรรพต

พรรษาที่ ๒๐ ทรงจาํ พรรษาเมืองราชคฤห์

พรรษาที่ ๒๑-๔๕ ทรงจาํ พรรษาท่ีวัดเชตวัน หรือวดั บพุ พาราม ใกล้เมอื งสาวัตถี

๕) ปรมตั ถโชตกิ า อธิบายความในขุททกปาฐะ ธรรมบทและสตุ ตนิบาต

แห่งขุททกนิกายในพระสุตตนั ตปิฎก ผลงานของพระพุทธโฆสาจารยแ์ ตง่ ข้ึนเมอื่ ใกลจ้ ะถึง

พ.ศ.๑,๐๐๐ คัมภีร์เล่มนก้ี ็เหมือนกับคมั ภรี อ์ รรถกถาของพระพุทธโฆสาจารย์อนื่ ๆ ท่ี

นอกจากจะอธิบายขยายความในขทุ ทกปาฐะ ธรรมบทและสตุ ตนบิ าตแลว้ ยงั ใหข้ อ้ มูล

๖๒ เรอื่ งเดยี วกนั , หนา้ ๔๘-๔๙.

๗๕

เกีย่ วกบั ตาํ นานกาํ เนิดของชาติพันธ์ขุ องคนบางเผ่า ประวัติศาสตรอ์ นิ เดียโบราณในด้าน
การเมืองศาสนาและอืน่ ๆ เช่น

(๑) ตํานานกาํ เนิดของพวกลิจฉวี
(๒) การจําศลี ของอนาถปณิ ฑิกเศรษฐีทวี่ ดั เชตวนั มหาวหิ าร ๑๘ แหง่ ใน
เมืองราชคฤห์ ถา้ํ สตั ตบรรณคหู า คยาสีสะ แมน่ าํ้ คงคา พระอบุ าลี พระมหากสั สปะ พระ
อานันทะ นางวสิ าขา พระนางธมั มทนิ นาและพระนางมลั ลกิ า
(๓) เมืองกบลิ พสั ด์ุ เมืองเวสาลี เจ้าลิจฉวี แคว้นมคธ พระเจา้ พมิ พิสาร
มหาโควนิ ทะ๖๓
๖) ธมั มปทฏั ฐกถา หรือในชอ่ื เดมิ วา่ ปรมตั ถโชติกา อธิบายความ
ธรรมบทแห่งขุททกนิกายในพระสุตตนั ตปิฎก แบ่งเป็น ๘ ภาค คอื ภาคที่ ๑ อธบิ ายความ
ในยมกวรรค ภาคที่ ๒ อธิบายความในอปั ปมาทวรรค และจติ ตวรรค ภาคที่ ๓ อธบิ าย
ความในปุปผวรรคและพาลวรรค ภาคที่ ๔ อธิบายความในปัณฑติ วรรค อรหนั ตวรรค
และสหัสสวรรค ภาคท่ี ๕ อธบิ ายความในปาปวรรค ทัณฑวรรคและชราวรรค ภาคที่ ๖
อธิบายความในอตั ตวรรค โลกวรรค พทุ ธวรรค สุขวรรค ปิยวรรคและโกธวรรค ภาคท่ี ๗
อธบิ ายความในมลวรรค ธมั มฏั ฐวรรค มัคควรรค ปกิณณกวรรค นิรยวรรคและนาควรรค
และภาคท่ี ๘ อธิบายความในตณั หาวรรค ภิกขุวรรคและพราหมณวรรค
ธมั มปทัฏฐกถา หรือ อรรถกถาธรรมบท เป็นผลงานของพระพทุ ธโฆสาจารย์
แต่งตามคาอาราธนาของพระกมุ ารกัสสปะ๖๔ เม่ือใกล้จะถึง พ .ศ.๑,๐๐๐ โดยอาศัย
อรรถกถาภาษาสงิ หลช่อื มหาอรรถกถา ลกั ษณะการแต่งอรรถกถาธรรมบทไดร้ บั อทิ ธพิ ล
ทางเนื้อหาของพระพุทธศาสนาซงึ่ สว่ นใหญไ่ ดจ้ ากพระวินยั ปฎิ กและพระสุตตนั ตปฎิ กใน
ทีฆนกิ าย มัชฌิมนกิ าย สงั ยตุ ตนิกาย องั คุตตรนกิ าย อทุ าน วิมานวตั ถุ เปตวัตถุ สุตต
นิบาต และชาดก ตวั ละครท่ีเล่าประกอบเรอื่ งส่วนใหญ่เป็นเร่อื งพระสาวกของพระพทุ ธเจ้า
ทง้ั หมด และเร่ืองทกุ เรื่องในอรรถกถาธรรมบท ประกอบดว้ ย ๔ สว่ น คอื ๖๕

๖๓ เรอื่ งเดียวกนั , หนา้ เดยี วกนั .
๖๔ ขุ.ธ.อ. (บาลี).๑/๑.
๖๕ พฒั น์ เพง็ ผลา, ประวัติวรรณคดีบาล,ี พิมพค์ ร้งั ท่ี ๕. หน้า ๑๒๘.

๗๖

(๑) ปจั จบุ ันวัตถุ เรื่องปจั จบุ ัน เรม่ิ เร่อื งด้วยพวกภิกษสุ นทนากันในโรง
ธรรม (ธรรมสภา) ถึงบุคคลและกรรมของเขา พระพทุ ธเจ้าทรงทราบ จึงเสด็จมาตรสั
แสดงพระธรรมเทศนา

(๒) อตีตวัตถุ เร่ืองในอดตี ของบคุ คลและกรรมของเขา และพระพทุ ธเจา้
ตรัสบุพกรรมของเขาในชาตกิ อ่ นๆ ให้ภกิ ษุทงั้ หลายฟงั

(๓) คาถา เรอื่ งที่แตง่ เป็นรอ้ ยกรองซึ่งนํามาจากธรรมบท
(๔) เวยยากรณะ แปลอธบิ ายความในลกั ษณะอธิบายคาํ
๗) ปรมัตถทีปนี อธิบายความในอทุ าน อติ ิวตุ ตกะ วมิ านวตั ถุ เปตวัตถุ เถร
คาถา (เอกนบิ าตถงึ มหานิบาต) เถรคี าถา แห่งขุททกนิกายใ นพระสตุ ตนั ตปิฎก ผลงาน
ของพระธรรมปาลเถระ
๘) ชาตกฏั ฐกถา หรอื อรรถกถาชาดก เป็นผลงานของพระพทุ ธโฆสาจารย์
แตง่ ตามคําอาราธนาของพระอตั ถทสั สี พระพุทธมติ ตะและพระพุทธปยิ ะ ๖๖ เพอื่ อธิบาย
ความในชาดกแห่งขทุ ทกนิกาย ในพระสตุ ตันตปฎิ ก แบง่ เปน็ ๑๐ ภาค คอื ภาคท่ี ๑ และ
๒ อธิบายความในเอกนบิ าต ภาคที่ ๓ อธิบายความในทุกนบิ าต ภาคท่ี ๔ อธิบายความ
ในติกนบิ าต จตุกกนบิ าตและปญั จกนิบาต ภาคท่ี ๕ อธิบายความในฉักกนิบาต สัตตก
นบิ าต อัฏฐกนบิ าต นวกนิบาตและทสกนิบาต ภาคท่ี ๖ อธิบายความในเอกาทสกนิบาต
ถึงปกณิ ณกนิบาต ภาคท่ี ๗ อธิบายความในวีสตินบิ าตถึงจัตตาฬีสนิบาต ภาคที่ ๘
อธิบายความในปญั ญาสนิบาตถงึ สตั ตตนิ บิ าต ภาคท่ี ๙ และ ๑๐ อธบิ ายความในมหา
นบิ าต
อรรถกถาชาดก มีชาดกท้ังส้นิ ๕๔๗ เรอื่ ง แตล่ ะเรือ่ งประกอบดว้ ยส่วนสําคญั ๕
สว่ น คือ๖๗
(๑) ปจั จบุ ันนวตั ถุ เรื่องปัจจุบนั เริม่ ตน้ ด้วยพวกภกิ ษุสนทนากันในโรงธรรม ถึง
เร่อื งบคุ คลและกรรมของเขาในชาดก พระพทุ ธเจา้ ทรงทราบจงึ เสด็จมาตรสั พระธรรม
เทศนา

๖๖ บรรจบ บรรณรจุ ิ, “ผลงานของพระพุทธโฆสะและพระเถราจารยร์ ่วมสมัย: ศกึ ษาเฉพาะกรณีท่ี
ศึกษาในเมอื งไทย”, ใน; รวมบทความทางวิชาการพระพทุ ธศาสนาและปรัชญา,
(กรุงเทพมหานคร: มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๑๕๔๐) : ๗๕.

๖๗ พัฒน์ เพ็งผลา, ประวัติวรรณคดบี าล,ี หนา้ ๑๒๑-๑๒๒.

๗๗

(๒) อตีตวตั ถุ เร่อื งในอดตี พระพุทธเจา้ ตรสั ถึงเรือ่ งในอดีตของบุคคลนั้นๆ
(๓) คาถา จะมีทง้ั ในเร่อื งปจั จบุ ันและอดตี
(๔) เวยยากรณะ แปล อธบิ าย ขยายความของคาถาชนดิ คาํ ต่อคาํ
(๕) สโมธาน ประมวลเร่ืองหรือสรุปชื่อบคุ คลในอดตี ท่ีกลายมาเป็นชื่อบคุ คลตา่ งๆ
ในเรอื่ งปัจจุบัน รวมทง้ั พระพุทธเจ้าด้วย

เรอ่ื งราวทปี่ รากฏในอรรถกถาชาดก นอกจากได้ประมวลอรรถกถาเกา่ ๆ
ในพระพทุ ธศาสนาแล้ว ยังได้จากวรรณคดเี กา่ แก่ในศาสนาพราหมณ์ ศาสนาเชน เป็นตน้
รวมท้งั ประมวลเรอื่ งต่างๆ จากดนิ แดนหลายแห่งด้วย เชน่ กรีก และเปอเซยี ร์ เป็นตน้

อทิ ธิพลเรื่องในอรรถกถาชาดก มีความสาํ คัญไมเ่ ฉพาะแตใ่ นรูป
วรรณกรรมบาลีเท่านัน้ หากมีอทิ ธิพลถงึ ศลิ ปกรรมและสถาปัตยกรรมในอินเดยี และนานา
ประเทศทนี่ ับถอื พระพทุ ธศาสนา เชน่ รปู สลักที่กาํ แพงเมืองภารหุตะ สาญจิ ถํา้ อชนั ตา
และเอโลรา่ ในอินเดีย พระเจดีย์บุโรพทุ โธ ในอินโดนเี ซยี ปะกนั ในพม่า และสุโขทัยใน
ประเทศไทย

๙) สทั ธมั มปัชโชตกิ า อธบิ ายความในขทุ ทกนิกาย แบง่ เป็น ๒ ภาค
คือ ภาคท่ี ๑ อธิบายความในมหานิทเทส และภาคที่ ๒ อธิบายความในจูฬนทิ เทส ผลงาน
ของพระเทวะ

๑๐) สทั ธัมมปกาสนิ ี อธิบายความในขทุ ทกนกิ าย แบ่งเปน็ ๒ ภาค
อธิบายความในปฏิสัมภทิ ามรรคทงั้ หมด ผลงานของพระมหานามะแตง่ ตามคาํ อาราธนา
ของมหานามอบุ าสก ๖๘

๑๑) วสิ ทุ ธชนวลิ าสนิ ี อธิบายความในอปาทาน แหง่ ขุททกนิกาย
แบง่ เปน็ ๒ ภาค คือ ภาคท่ี ๑ อธบิ ายความในพทุ ธวรรคและสีหาสนยิ วรรคถงึ เมตเตยย-
วรรค และวรรคที่ ๒ อธบิ ายความในสีหาสนิยวรรคถงึ เมตเตยยวรรค ภทั ทาลิวรรค
ถึงภทั ทยิ วรรค และในเถริยาปทาน ผลงานของพระเถระ ๕ รปู ๖๙

๖๘ บรรจบ บรรณรจุ ิ , ผลงานของพระพุทธโฆสะและพระเถราจารย์ร่วมสมยั : ศึกษาเฉพาะกรณที ่ี
ศึกษาในเมอื งไทย”, ใน; รวมบทความทางวิชาการพระพุทธศาสนาและปรัชญา,
(กรงุ เทพมหานคร: มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๐) : ๗๕.

๖๙ เรอื่ งเดยี วกัน, หนา้ เดียวกัน.

๗๘

๑๒) มธรุ ัตถวิลาสินี อธิบายความในพุทธวงศ์ แห่งขุททกนกิ าย
ผลงานของพระพทุ ธัตตะ

ค. อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก

อรรถกถาพระอภธิ รรมปฎิ ก ได้แก่

๑) อัฏฐสาลินี อธิบายความในธัมมสงั คณี แห่งพระอภิธรรมปฎิ ก

ผลงานของพระพทุ ธโฆสาจารยแ์ ตง่ ขึน้ โดยอาศยั อรรถกถาภาษาสงิ หลชื่อมหาปจั จรีย์

ซ่ึงนอกจากจะอธบิ ายคําและศพั ทเ์ ทคนิคทางจติ วิทยา เจตสกิ รูป นพิ พาน ทาง

พระพทุ ธศาสนาในธัมมสงั คณีแล้ว ยงั ให้ข้อมูลดา้ นประวัตศิ าสตรแ์ ละภูมศิ าสตรบ์ างอย่าง

ดว้ ย เช่น

(๑) แมน่ าํ้ บางสาย เช่น อจิรวดี คงคา โคธาวารี เนรญั ชรา มหี สรภู

และอโนมา

(๒) เมืองบางเมอื ง เกาะบางเกาะและสถานทีบ่ างแห่ง เชน่ กาสิปุระ

เปนมั ปังคณะ โกศล ป่าอสิ ปิ ตนะ ชมพทู วีป เชตวนั ตัมพปัณณิ ปาตลบี ตุ ร ราชคฤห์ สา

เกต สาวตั ถี เป็นต้น

(๓) บุคคลทางประวตั ิศาสตร์บางคน เชน่ อาราฬดาบส กาลามะ พระอชิ

ตะ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ พระเจ้าทุฏฐคามณีอภยั พระมหินทะ พระนาคเสน พระทีปัง

กรพุทธเจา้ พระวปิ สั สีพุทธเจ้า นางมลั ลิกา นางสชุ าดา เป็นต้น
(๔) ประวตั ิความเป็นมาของพระอภิธรรมและการท่องจํา๗๐

๒) สมั โมหวิโนทนี อธิบายความในคมั ภีร์วภิ งั ค์ ซง่ึ เป็นคมั ภรี ท์ ่ี ๒ ใน

บรรดาพระอภิธรรมปฎิ ก ๗ คัมภรี ์ คือ ธมั มสังคณี วิภงั ค์ ธาตกุ ถา ปคุ คลบัญญตั ิ กถา

วตั ถุ ยมกและปฏั ฐาน เปน็ ผลงานของพระพทุ ธโฆสาจารย์แตง่ ข้นึ โดยอาศัยอรรถกถา

ภาษาสงิ หลช่ือมหาปัจจรีย์

๓) ปญั จัปปกรณัฏฐกถา อธบิ ายความในพระอภธิ รรมปฎิ ก ๕ คมั ภรี ์ คือ

กถาวัตถุ ปคุ คลบญั ญัติ ธาตกุ ถา ยมกและปฏั ฐาน เป็นผลงานของพระพทุ ธโฆสาจารย์

แตง่ ตามคําอาราธนาของพระจุลลพุทธโฆสะชาวลังกา ซงึ่ ในบรรดาอรรถกถาพระอภิธรรม

ปิฎก ๕ คัมภีรน์ ้ี คมั ภรี อ์ รรถกถากถาวตั ถเุ ปน็ คัมภีรท์ นี่ ่าสนใจสําหรับนกั ศึก ษา

๗๐ อภิญวัฒน์ โพธ์สิ าน, ชีวติ และผลงานของนกั ปราชญ์พทุ ธ, หน้า ๕๖.

๗๙

ประวตั ศิ าสตร์พระพทุ ธศาสนาและปรัชญาเพราะใหข้ ้อมลู เป็นพเิ ศษในเรือ่ งประวัตศิ าสตร์
พระพุทธศาสนา โดยเริม่ ตน้ ด้วยการสํารวจสํานักนกิ ายต่างๆ ของพระพทุ ธศาสนาและ
ทศั นะทางปรัชญาของสาํ นักนกิ ายพระพุทธศาสนาเหลา่ นนั้ ตลอดจนทศั นะทางปรชั ญา
นอกพระพทุ ธศาสนาอ่นื ๆ๗๑

๓.๔ ความสาคัญของอรรถกถา

อรรถกถา เป็นคมั ภีร์ท่ีเปน็ หลกั ฐานสําคญั ชัน้ ท่ี ๒ รองจากพระไตรปฎิ ก ท้ังน้ีจาก
การเรียงลาํ ดับชั้นตามความสาํ คญั ของคัมภีร์ทางพระพทุ ธศาสนา คือ๗๒

๑) บาลี คอื พระไตรปิฎก
๒) อรรถกถา คือ คัมภรี อ์ ธบิ ายบาลหี รืออธิบายความในพระไตรปฎิ ก /พระอรรถ
กถาจารย์
๓) ฎีกา คือ คัมภีรอ์ ธิบายอรรถกถาหรอื อธิบายความตอ่ จากอรรถกถา /พระฎีกา
จารย์
๔) อนุฎกี า คือ คัมภีร์อธบิ ายขยายความของฎกี าอีกทอดหนง่ึ /พระอนุฎกี าจารย์
ส่วนคัมภรี ์ทมี่ ชี ่อื อย่างอนื่ นอกจากคัมภรี ห์ ลกั ทง้ั ๔ คัมภีรน์ ซ้ี ึ่งมีมากมายหลาย
ประเภท เช่น ปกรณว์ เิ สส โยชนา คณั ฐี สัทท าวิเสสหรือตําราบาลีไวยากรณ์ พจนานุกรม
หรืออืน่ ๆ ทา่ นเรียกรวมกนั วา่ “ตัพพนิ ิมตุ ”๗๓ แปลว่า คัมภรี ท์ ี่พ้นหรอื นอกเหนอื จาก

คมั ภีร์หลักทั้ง ๔ คือ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกาและอนุฎีกา
การจัดเรยี งลําดับช้นั ของคัมภรี ์ทางพระพทุ ธศาสนา ยดึ กาลเวลาเปน็ เกณฑ์ เช่น

บาลคี อื พระไตรปฎิ ก เปน็ สิ่งทม่ี มี าก่อน คอื มีมาตั้งแตค่ รงั้ พุทธกาล จึงจดั เปน็ หลกั ฐาน
สําคญั ชัน้ ท่ีหนึ่ง อรรถกถา คอื คมั ภีรอ์ ธบิ ายบาลีหรอื อธบิ ายความในพระไตรปฎิ ก ซึง่ มามี
ขน้ึ อยา่ งเปน็ รปู ธรรมเม่ือประมาณ พ.ศ.๙๕๖ จงึ นบั เปน็ หลกั ฐานสําคัญชน้ั ท่สี อง ฎกี า

คือคัมภรี อ์ ธบิ ายอรรถกถาหรอื ขยายความต่อจากอรรถกถา ไดเ้ กดิ ข้ึนมาเมอื่ ประมาณ

๗๑ เรือ่ งเดียวกัน, หน้าเดียวกัน. พิมพค์ รง้ั ที่ ๒.
๗๒ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.), รจู้ กั พระไตรปิฎกเพ่ือเป็นชาวพทุ ธทแ่ี ท,้
(กรุงเทพมหานคร: สํานักพมิ พ์มูลนธิ ิพทุ ธธรรม, ๒๕๔๓), หน้า ๙๗.
๗๓ ขุ.ธ.อ. (บาลี) ๑/๓.

๘๐

พ.ศ.๑๕๘๗ จึงนับเป็นหลกั ฐานสําคัญช้นั ทส่ี าม และอนฎุ กี า เปน็ คมั ภรี อ์ ธิบายขยายความ
ของฎีกาอกี ทอดหน่ึง จงึ นบั เป็นหลกั ฐานสําคญั เปน็ ลาํ ดบั ท่สี ่ี๗๔

ลักษณะสําคญั ของอรรถกถา คอื เป็นคัมภีรท์ อ่ี ธิบายความในพระไตรปฎิ ก
โดยตรง หมาย ความว่า พระไตรปิฎกแตล่ ะสตู ร แต่ละสว่ น แต่ละเรอื่ ง กม็ ีอรรถกถา
อธบิ ายจําเพาะสูตร จาํ เพาะสว่ น จาํ เพาะตอน หรือจาํ เพาะเรือ่ งนั้นๆ และอธบิ ายความ
ตามลําดบั ไป โดยอธิบายทงั้ คาํ ศัพท์หรือถอ้ ยคําอธิบายข้อความ ชแี้ จงความหมาย ขยาย
ความหลักธรรม หลักวินัย เลา่ เรอื่ งประกอบ ตลอดจนแ สดงเหตปุ ัจจัยแวดล้อมหรือความ
เป็นมาของการทีพ่ ระพุทธเจา้ จะตรสั พุทธพจน์นั้นๆ หรือเกดิ เรอื่ งราวนั้นๆ ขน้ึ พร้อมทั้ง
เชอ่ื มโยง ประมวลความเป็นมาเป็นไปตา่ งๆ ท่จี ะช่วยให้เขา้ ใจพุทธพจน์หรือเรื่องราวใน
พระไตรปิฎกชัดเจนขึ้น๗๕

กลา่ วโดยสรุป อรรถกถามีความสําคัญในฐานะเปน็ คั มภรี อ์ ธบิ ายความใน
พระไตรปฎิ กโดยตรง ซึ่งมีทง้ั อรรถกถาพระวินยั ปิฎก อรรถกถาพระสุตตันตปิฎกและ
อรรถกถาพระอภิธรรมปฎิ ก ท่อี ธิบายตอ่ เน่อื งกนั ตลอดสายกม็ ี ทอ่ี ธบิ ายเฉพาะคัมภรี ๆ์ ก็
มี เชน่

๑) สมันตปาสาทกิ า อรรถาธบิ ายพระวินยั ปิฎกทงั้ หมด
๒) สมุ ังคลวลิ าสนิ ี อรรถาธบิ ายทีฆนกิ าย พระสตุ ตันตปิฎก
๓) ปปญั จสทู นี อรรถาธบิ ายมัชฌิมนิกาย พระสุตตันตปิฎก
๔) สารัตถปกาสินี อรรถาธิบายสังยตุ ตนกิ าย พระสตุ ตันตปฎิ ก
๕) มโนรถปรู ณี อรรถาธิบายองั คุตตรนิกาย พระสุตตันตปิฎก
๖) ปรมัตถโชติกา อรรถาธบิ ายขุททกนกิ าย ขุททกปาฐะ พระสตุ ตันตปฎิ ก
๗) ธมั มปทัฏฐกถา อรรถาธิบายขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท พระสุตตนั ตปฎิ ก
๘) ปรมตั ถทีปนี อรรถาธิบายขุททกนิกาย อุทาน พระสตุ ตนั ตปฎิ ก
๙) ปรมตั ถทีปนี อรรถาธิบายขทุ ทกนกิ าย อติ ิวตุ ตกะ พระสุตตนั ตปฎิ ก
๑๐) ปรมัตถโชตกิ า อรรถาธิบายขุททกนกิ าย สุตตนิบาต พระสุตตนั ตปฎิ ก

๗๔ สุชีพ ปุญญานุภาพ , พระไตรปฎิ กฉบบั สาหรบั ประชาชน, พิมพค์ ร้ังที่ ๑๖.
(กรงุ เทพมหานคร: มหามกฎุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙), หนา้ ๑.

๗๕ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตฺโต), รู้จกั พระไตรปฎิ กเพอื่ เป็นชาวพุทธทแี่ ท,้ พิมพค์ ร้ังท่ี ๒. หนา้
๙๓-๙๔.

๘๑

๑๑) ปรมตั ถทีปนี อรรถาธิบายขทุ ทกนกิ าย วมิ านวัตถุ พระสุตตนั ตปิฎก
๑๒) ปรมัตถทปี นี อรรถาธิบายขุททกนกิ าย เปตวัตถุ พระสตุ ตันตปฎิ ก
๑๓) ปรมตั ถทีปนี อรรถาธบิ ายขุททกนิกาย เถรคาถา พระสตุ ตนั ตปิฎก
๑๔) ปรมตั ถทปี นี อรรถาธบิ ายขทุ ทกนิกสย เถรคี าถา พระสุตตันตปิฎก
๑๕) ชาตกฏั ฐกถา อรรถาธบิ ายขทุ ทกนิกาย ชาดก พระสตุ ตนั ตปิฎก
๑๖) สทั ธัมมปัชโชติกา อรรถาธิบายขุททกนกิ าย นทิ เทส พระสตุ ตันตปิฎก
๑๗) สัทธัมมปกาสนิ ี อรรถาธบิ ายขุททกนิกาย ปฏิสัมภทิ ามรรค พระ
สุตตนั ตปิฎก
๑๘) วสิ ทุ ธชนวลิ าสินี อรรถาธิบายขุททกนกิ าย อปทาน พระสตุ ตนั ตปฎิ ก
๑๙) มธรุ ตั ถวิลาสนิ ี อรรถาธบิ ายขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ์ พระสตุ ตันตปฎิ ก
๒๐) ปรมตั ถทปี นี อรรถาธิบายขุททกนิกาย จริยาปฎิ ก พระสุตตันตปิฎก
๒๑) อฏั ฐสาลนิ ี อรรถาธิบายธัมมสงั คณี พระอภิธรรมปฎิ ก
๒๒) สมั โมหวโิ นทนี อรรถาธิบายวภิ ังคปกรณ์ พระอภิธรรมปิฎก
๒๓) ปญั จปกรณัฏฐกถา อรรถาธบิ าย ๕ คัมภรี ์ที่เหลือ พระอภธิ รรมปฎิ ก

๓.๕ กาเนิดและพัฒนาการของอรรถกถา

ในบทนาํ ของคมั ภรี ว์ ินยสงั คหฏั ฐกถา๗๖ ไดก้ ลา่ วถึงความหมาย ประวตั ิและ
พฒั นาการของอรรถกถาวา่ คาํ วา่ อรรถกถา หมายถงึ ถ้อยคําทเี่ รยี กวา่ กถามรรค ซ่งึ ทํา
หน้าที่อธิบายบาลพี ุทธพจน์ (พระไตรปิฎก) เรมิ่ มมี าต้งั แต่สมยั พุทธกาลแลว้ ดงั หลักฐาน
คอื คํายืนยนั ของพระธรรมปาลเถระแห่งอินเดียใต้ ซ่งึ กล่าวว่า

“ปฐมสงฺคตี ยิ ํ ยา อฏฺ กถา สงคฺ ีตาติ วจเนน สา ภควโต ธรมานกาเลปิ อฏฺ กถา สํ
วชิ ฺชติ แปลวา่ อรรถกถาท่พี ระสงั คีตกิ าจารย์รอ้ ยกรองไวเ้ มอ่ื คราวปฐมสงั คายนา คือ
อรรถกถาทม่ี มี าตัง้ แต่สมัยท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้ายงั ทรงพระชนม์อยู่”๗๗

๗๖ มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, วนิ ยสงคฺ หฏฐฺ กถา, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์วิญญาณ),
บทนํา.

๗๗ อนุฏ.ี ๑/๑๓.

๘๒

คาํ ยืนยนั ของพระธรรมปาลเถระทมี่ ตี อ่ ประวตั ิและพัฒนาการของอรรถกถา
ข้างตน้ นี้ ไดเ้ ป็นที่ยอมยอมกนั อย่างกวา้ งขวางในกาลต่อมา ดงั ที่พระธรรมปฎิ ก ๗๘ กลา่ ว
ว่า

“เมื่อพระพทุ ธเจ้าตรัสแสดงคาํ สอนคือพระธรรมวินยั แลว้ สาวกทัง้ หลายทงั้
พระสงฆ์และคฤหสั ถ์ก็นาํ หลกั พระธรรมวินัยนัน้ ไปเล่าเรยี นศกึ ษา คาํ สอนหรือพทุ ธพจน์
ส่วนใดทต่ี ้องการคาํ อธิบาย นอกจากทลู ถามจากพระพุทธเจ้าโดยตรงแลว้ ก็มพี ระสาวก
ผู้ใหญท่ เ่ี ป็นอุปัชฌาย์หรืออาจารย์คอยแนะนําชแี้ จงช่วยตอบขอ้ สงสัย

คําอธิบายและคําตอบทีส่ าํ คญั ก็ได้รับการทรงจาํ ถ่ายทอดต่ อกนั มาควบคูก่ ับหลัก
พระธรรมวินยั ท่ีเปน็ แมบ่ ทนัน้ ๆ จากสาวกรุน่ กอ่ นสูส่ าวกรุ่นหลงั ต่อมา เมือ่ มกี ารจดั
หมวดหมู่พระธรรมวนิ ยั เป็น “พระไตรปิฎก” แลว้ คําอธิบายชี้แจงเหล่าน้นั ก็เปน็ ระบบและ
มีลาํ ดบั ไปตามพระไตรปฎิ กด้วย คําอธบิ ายพุทธพจนห์ รอื หลกั พระธรรมวนิ ยั หรอื
คําอธิบายความในพระไตรปฎิ กนนั้ เรียกวา่ อรรถกถา

อรรถกถา เปน็ วรรณคดบี าลีท่มี ีความสัมพันธก์ บั ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา
ระยะหลังพุทธกาล ตามหลักฐานทมี่ ีปรากฏในคัมภรี ์สมันตปาสาทกิ า อรรถกถาพระวินัย
ปิฎกกล่าววา่ เมอื่ พระโมคคัลลบี ุตรติสสเถระไดท้ าํ สงั คายนาครั้งท่ี ๓ เมื่อปี พ .ศ. ๒๓๔
ภายใตพ้ ระบรมราชปู ถมั ภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราชเสรจ็ เรียบรอ้ ยแลว้ ได้ส่งพระสมณ
ทตู ไปเผยแพรพ่ ระพุทธศาสนายงั ส่วนต่างๆ ของโลก ๙ สาย พระมหามหินทเถระ
พระโอรสในพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งชมพทู วีป (อินเดยี ) ซึง่ เป็นพระสมณทูตสายท่ี ๙
ไดน้ าํ พระไตรปฎิ กและอรรถกถาภาษาบาลีมคธไปยงั ประเทศศรีลงั กาในรัชสมยั ของพระ
เจ้าเทวานัมปิยตสิ สะแหง่ ศรีลงั กาเพอื่ เผยแพรพ่ ระพุทธศาสนา จนชาวศรลี ังกาเล่อื มใส
และออกบวชในพระพทุ ธศาสนามากมาย ต่อมาในปี พ .ศ.๓๕๐ ในรชั สมัยของพระเจา้
วัฏฏคามนิ ีอภยั แห่งศรลี งั กา พระมหาเถระชาวศรลี ังกาผ้แู ตกฉานในพระไตรปฎิ กได้แปล
เรียบเรียงและจารึกอรรถกถา (พร้อมท้ังพระไตรปิฎก) ภาษาบาลีมคธนน้ั เป็นภาษาสิงหล
เพอื่ หลกี เลย่ี งการกลนื จากลทั ธนิ ิกายอ่ืนและเพ่ือสะดวกแกว่ งการการศึกษาของชาวศรี
ลังกา เรยี กอรรถกถาฉบบั แปลจารกึ นวี้ า่ “สหี ลฏั ฐกถา” ซึ่งมที ัง้ อรรถกถาพระวินยั ปฎิ ก
อรรถกถาพระสตุ ตนั ตปิฎกและอรรถกถาพระอภธิ รรมปฎิ ก ดังน้ี

๗๘ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), รู้จักพระไตรปฎิ กเพือ่ เปน็ ชาวพุทธทแ่ี ท,้ พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๒. หน้า
๙๒-๙๓.

๘๓

๑) อรรถกถาพระวินยั ปิฎกภาษาสงิ หลซง่ึ ตน้ ฉบับอนั ตรธานไปแลว้ มี ๖ คมั ภรี ์
คอื ๗๙

(๑) มูลอรรถกถาหรือมหาอรรถกถา ของคณะสงฆ์แห่งมหาวหิ าร เมืองอนุ
ราธปรุ ะ ประเทศศรลี งั กา

(๒) มหาปัจจรียอ์ รรถกถา หรือ อรรถกถาแพใหญ่ เพราะเหตวุ า่ คมั ภรี น์ ้แี ต่ ง
บนแพบางแห่งในเกาะลังกา จงึ ไดช้ ื่อว่ามหาปจั จรีย์

(๓) กุรนุ ทอี รรถกถา เพราะเหตวุ า่ คมั ภีร์นแี้ ต่งทก่ี รุ ุนทีเวฬวุ ิหารในประเทศศรี
ลังกา จงึ ไดช้ อื่ น้ีมา

(๔) อันธกอรรถกถา อรรถกถาภาษาอนั ธกะ แต่งที่เมืองกาญจปิ ุระหรอื เมือง
คอนเจวารามในอินเดยี ใต้

(๕) สงั เขปอรรถกถา อรรถกถาย่อ สนั นิฏฐานวา่ แตง่ ในอนิ เดยี ใต้
(๖) วินยัฏฐกถา
หลักฐานในคัมภรี ์สัทธัมมสังคหะ ซึ่งแตง่ ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ กลา่ ววา่ ใน
บรรดาอรรถกถาภาษาสงิ หล ๖ คัมภรี ์น้นั มลู อรรถกถาหรือมหาอรรถกถา เป็นอรรถกถา
แหง่ พระสตุ ตนั ตปฎิ ก มหาปจั จรีย์อรรถกถา เปน็ อรรถกถาแห่ งพระอภธิ รรมปิฎก และกุ
รุนทอี รรถกถา เป็นอรรถกถาแห่งพระวินยั ปฎิ ก๘๐
๒) อรรถกถาพระสุตตนั ตปิฎกภาษาสงิ หลซงึ่ ต้นฉบบั อันตรธานไปแล้วมี ๗
คมั ภีร์ คือ๘๑
(๑) มูลอรรถกถาหรอื มหาอรรถกถา
(๒) สตุ ตนั ตฏั ฐกถา อรรถกถาพระสตู ร
(๓) อาคมัฏฐกถา อรรถกถานิกาย ๔
(๔) ทฆี ฏั ฐกถา อรรถกถานกิ าย ๔
(๕) มัชฌิมฏั ฐกถา อรรถกถามัชฌิมนกิ าย
(๖) สงั ยุตตฏั ฐกถา อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย

๗๙ ทรงวทิ ย์ แกว้ ศรี, คมั ภีรพ์ ระพทุ ธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๓๖), หนา้ ๓.

๘๐ พัฒน์ เพ็งผลา, ประวตั ิวรรณคดีบาล,ี หน้า ๑๐๑.
๘๑ ทรงวทิ ย์ แก้วศร,ี คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๔.

๘๔

(๗) องั คตุ ตรัฏฐกถา อรรถกถาองั คตุ ตรนิกาย
๓) อรรถกถาพระอภิธรรมปฎิ กภาษาสิงหลซึ่งต้นฉบบั อันตรธานแล้วเชน่ กนั มี
๒ คัมภรี ์ คอื ๘๒

(๑) มลู อรรถกถาหรือมหาอรรถกถา อรรถกถาแก้ครบท้งั ๓ ปิฎก
(๒) อภิธมั มัฏฐกถา อรรถกถาพระอภธิ รรม

อรรถกถาเหล่านี้ เปน็ อรรถกถาท่สี บื มาแตค่ รั้งพทุ ธกาลแล้ว ดังปรากฏความตอน
หนึ่งว่า

“อตฺถปปฺ กาสนตถฺ ํ อฏฺ กถา อาทิโต วสสี เตหิ
ปญจฺ หิ ยา สงฺคีตา อนสุ งคฺ ตี า จ ปจฺฉาปิ
สีหฬทีปมปฺ น อา- ภตาถ วสินา มหามหินฺเทน
ปิตา สหี ฬภาสาย ทีปวาสนี มตถฺ าย
อรรถกถาท่อี ธบิ ายความหมาย ซง่ึ พระอรหันต์ ๕๐๐ รูป สงั คายนาไว้ครงั้ แรก
และอรรถกถาท่ีพระสาวกท้งั หลาย สงั คายนาในครง้ั ต่อๆ มานน้ั ภายหลัง พระมหามหินท
เถระไดน้ าํ มาเผยแพรแ่ ปลเป็นภาษาสงิ หลเพื่อประโยชนแ์ กช่ าวเกาะ” ๘๓

ตอ่ มา ประมา ณปี พ .ศ.๙๖๓ ในรชั สมัยของพระเจ้ามหานามะแห่งศรีลังกา พระ
พุทธโฆสาจารยแ์ หง่ อินเดียได้มาศึกษาอรรถกถาภาษาสงิ หลและอาจริยวาทต่างๆ จาก
พระสงั ฆปาลเถระแหง่ มหาวิหารในศรีลงั กาตามคําแนะนําของพระเรวตมหาเถระพระ
อุปชั ฌาย์ พร้อมท้ังแปลเรยี บเรียงอรรถกถาฉบับสหี ลฏั ฐกถา กลับเปน็ “ปาลีอฏั ฐกถา”๘๔
ณ สถานท่ีพักทาํ งานช่อื วา่ “คันถการปริเวณะ”๘๕ภายในห้องสมดุ ของวดั มหาวหิ ารแหง่
เมอื งอนุราธปรุ ะ โดยใช้เวลาแปลเรยี บเรียงเพยี ง ๓ เดอื นเทา่ นัน้ ๘๖

๘๒ ไกรวฒุ ิ มะโนรตั น,์ วรรณคดบี าลี ๑, หน้า ๒๗.
๘๓ ท.ี อ. ๑/๑, สํ.อ.๑/๑, อง.ฺ อ.๑/๑.
๘๔ พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ต าโณ), ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, พิมพ์คร้งั ที่ ๔.
(กรงุ เทพมหานคร: มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๒), หน้า ๒๘๙-๒๙๐.
๘๕ พระอุดรคณาธิการ (ชวนิ ทร์ สระคาํ ), ประวัติศาสตรพ์ ุทธสาสนาในอนิ เดยี , พิมพ์คร้ังท่ี ๒.
(กรุงเทพมหานคร: มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๑๕๓๔), หน้า ๔๐๒.
๘๖ อภิญวฒั น์ โพธิส์ าน , ชวี ติ และผลงานของนกั ปราชญพ์ ุทธ, (มหาสารคาม: สาํ นกั พิมพ์

๘๕

นอกจากผลงานด้านการแปลคัมภรี ์แล้ว พระพทุ ธโฆสาจารยย์ งั มีผลงานด้านการ
ประพันธ์อรรถกถาพระไตรปฎิ ก อันได้แก่ อรรถ กถาพระวนิ ัยปฎิ ก อรรถกถาพระ
สตุ ตนั ตปิฎกและอรรถกถาพระอภิธรรมปฎิ ก อกี ด้วย โดยใชข้ ้อมลู จากอรรถกถาภาษา
สิงหลชือ่ กรุ นุ ทอี รรถกถาแตง่ อรรถกถาแห่งพระวนิ ัยปิฎก ใช้ขอ้ มูลจากมูลอรรถกถาหรือ
มหาอรรถกถาแต่งอรรถกถาแห่งพระสุตตันตปิฎก และใชข้ อ้ มูลจากมหาปัจจ รียอ์ รรถกถา
แตง่ อรรถกถาแหง่ พระอภธิ รรมปฎิ ก๘๗ ซึ่งทั้งหมดแต่งเป็นภาคภาษาบาลีมคธอยา่ งท่มี ี
อยู่และใช้ศกึ ษากันอยู่ในปจั จบุ ัน ซงึ่ อรรถกถาแหง่ พระไตรปฎิ กดงั กลา่ วของท่านรวมทง้ั
ของพระเถราจารย์รว่ มสมัยกบั ทา่ น ได้กลา่ วไว้แลว้ ในหัวข้อ “ประเภทของอรรถกถา”

สรุปท้ายบท

อรรถกถา เป็นคัมภีรอ์ ธิบา ยความในพระไตรปิฎก มตี ้นกาํ เนดิ มาจากคาํ อธิบาย
พุทธพจนห์ รือหลกั พระธรรมวินยั ของพระพุทธเจ้าท้ังท่ที รงอธิบายไวเ้ องและทรงตอบไว้
เมื่อมผี ทู้ ูลถามและจากสาวกทง้ั หลายมีพระสารบี ุตรเถระ อคั รสาวก เป็นต้น อธิบายไว้
ได้รับการทรงจาํ ถา่ ยทอดต่อกนั มาควบคู่กับหลกั พระธรรมวินัยจากรุ่ นสู่ร่นุ จนเม่ือมกี าร
จัดหมวดหมู่พระธรรมวนิ ยั เป็นพระไตรปิฎกและจารึกพระไตรปฎิ กเปน็ ลายลักษณ์อักษรก็
ได้จารึก “อรรถกถา” อันไดแ้ ก่คาํ อธิบายและคาํ ตอบที่สาํ คัญซึ่งได้ทรงจาํ และถา่ ยทอดกนั
มานนั้ ด้วย ซึ่งมที ั้งอรรถกถาพระวินยั ปฎิ ก อรรถกถาพระสตุ ตันตปิฎกและอรรถกถาพระ
อภธิ รรมปิฎก โดยอรรถกถาพระวินยั ปิฎก ได้แกส่ มันตปาสาทิกา อรรถกถาพระ
สุตตันตปิฎก ได้แกส่ มุ งั คลวิลาสินี ปปญั จสทู นี สารตั ถปกาสนิ ี มโนรถปูรณี ปรมัตถโชติ
กา ธมั มปทัฏฐกถา ปรมตั ถทปี นี ชาตกัฏฐกถา สัทธมั มปัชโชตกิ า สัทธมั มปกาสนิ ี วิสุทธ
ชนวลิ าสินแี ละมธุรถวลิ าสินี สว่ นอรรถกถาพระอ ภิธรรมปิฎก ไดแ้ ก่อฏั ฐสาลนิ ี สมั โมหวิ
โนทนีและปญั จปกรณฏั ฐกถา

มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, ๒๕๔๙), หน้า ๓๔.
๘๗ พระเมธรี ัตนดิลก, “ประวตั ิการสงั คายนาพระไตรปิฎกบาล”ี ใน: พระไตรปิฎก: ประวตั แิ ละ

ความสาคญั , (กรงุ เทพมหานคร: มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๒) : ๑๓.

๘๖

คาถามทา้ ยบท

๑) ความหมายอรรถกถาคืออะไร จงอธิบาย
๒) อรรถกถาจาํ แนกมกี ่ปี ระเภท อะไรบา้ ง
๓) อรรถกถามีความสําคัญอยา่ งไร จงสรุปความสาํ คญั
๔) ผนู้ ําพระไตรปิฎกและอรรถกถาไปยังประเทศศรลี ังกาคนแรกคอื ใครและผู้แปล
พระไตรปฎิ กและอรรถกถาเปน็ ภาษาสิงหลคนแรกคอื ใครและมีวัตถุประสงค์การแปล
อย่างไร จงอธบิ าย
๕) สีหลฎั กถาในยคุ กอ่ นพระพุทธโฆสาจารย์ได้แกอ่ ะไรบ้าง ใครเปน็ ผู้แปลเป็นปาลี
อฏั ฐกถาและแปลในสมัยใด จงอธบิ าย
๖) สมนั ตปาสาทกิ า สัทธัมมปกาสนิ แี ละสารตั ถปกาสินี แตง่ โดยใคร โดย การ
อาราธนาของใคร
๗) อรรถกถาแบง่ เป็นยคุ ได้อย่างไร ยุคใดเปน็ ยุคทองของอรรถกถาเพราะเหตุใด จง
อธบิ าย

๘๗

เอกสารอา้ งอิงประจาบท

มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . วนิ ยสงฺคหฏฺฐกถา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์วิญญาณ

,๒๕๔๐.

มหามกุฎราชวิทยาลัย. สมนตฺ ปาสาทกิ า นาม (ปฐโม ภาโค ). กรุงเทพมหานคร : โรง

พมิ พม์ หามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘.

……… ธมมฺ ปทฏฐฺ กถา (ปฐโม ภาโค). กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวทิ ยาลั,

๒๕๔๗.

ไกรวฒุ ิ มะโนรัตน์ . วรรณคดีบาลี ๑. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์จรัญสนทิ วงศ์การ

พมิ พ์, ๒๕๔๙.

จํารญู ธรรมดา . เนตตฏิ ปิ ปนี. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ หจก.ไทยรายวันการพมิ พ์,

๒๕๔๖.

ทรงวทิ ย์ แกว้ ศรี. คัภรี พ์ ระพุทธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณ

ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๖.

บรรจบ บรรณรจุ ิ , “ผลงานงานของพระพุทธโฆสะและพระเถราจารย์รว่ มสมัย:ศึกษา

เฉพาะกรณีทศ่ี ึกษาในเมืองไทย”, รวมบทความทางวิชาการพระพุทธศาสนา.

กรงุ เทพมหานคร :โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๐.

พฒั น์ เพง็ ผลา,รศ. ประวตั ิวรรณคดบี าลี. กรงุ เทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั

รามคาํ แหง, ๒๕๔๕.

พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต).รู้จกั พระไตรปิฎกเพ่ือเป็นชาวพทุ ธที่แท้.

กรงุ เทพมหานคร : สํานักพมิ พม์ ูลนิธิพทุ ธธรรม, ๒๕๔๓.

________.พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบบั ประมวลศพั ท์. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์

มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๖.

พระเมธรี ตั นดลิ ก.(จรรยา ชนิ วโํ ส ). “ประวัตกิ ารสงั คายนาพระไตรปฎิ ก” ใน;

พระไตรปิฎก:

ประวัติและความสาคญั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราช

วทิ ยาลัย, ๒๕๓๕.

๘๘

พระอดุ รคณาธกิ าร (ชวินทร์ สระคํา ).ประวัตศิ าสตรพ์ ุทธศาสนาในอินเดีย.
กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๔.

พระราชธรรมนเิ ทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ ).ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนา.
กรุงเทพมหานคร :โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๖.

สชุ พี ปุญญานุภาพ.พระไตรปิฎกฉบับประชาชน. กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพม์ หามกฏุ
ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๖.

เสนาะ ผดงุ ฉัตร .ความร้เู บื้องตน้ เกย่ี วกบั วรรณคดีบาลี. กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๒.

บทที่ ๔
ฎีกา อนฎุ ีกา และโยชนา

พระมหาโกมล กมโล
อาจารย์บญุ ส่ง ธนะจันทร์

วตั ถุประสงคก์ ารเรียนประจาบท

เม่อื ไดศ้ กึ ษาเน้ือหาในบทน้ีแล้ว นิสติ สามารถ
๑. อธบิ ายความหมายของฎีกา อนฎุ กี าและโยชนาได้
๒. วิเคราะห์ความสําคัญของฎกี า อนฎุ กี าและโยชนาได้
๓. จําแนกประเภทของฎกี า อนุฎกี าและโยชนาได้
๔. อธิบายกาํ เนิดและพฒั นาการของฎีกา อนฎุ กี าและโยชนาได้

ขอบข่ายเนอ้ื หา
 ความนาํ
 ความหมายของฎีกา อนุฎีกา และโยชนา
 ความสาํ คญั ของฎกี า อนุฎกี า และโยชนา
 ประเภทของฎีกา อนฎุ ีกา และโยชนา
 กาํ เนดิ และพัฒนาการของฎกี า อนุฎีกา และโยชนา

๘๙

๔.๑ ความนา

พระพุทธศาสนาเป็นบ่อเกดิ ของวรรณคดีหลายๆ ประเภทด้วยกนั โดยเฉพาะ
วรรณคดีบาลี เร่ิมตง้ั แต่คัมภีร์พระไตรปฎิ ก อรรถกถา ฎกี า อนุฎกี า โยชนา และปกรณ์
วิเสส รวมถึงวรรณกรรมบาลอี ่นื ๆ ลว้ นไดร้ ับอทิ ธพิ ลมาจากคําสอนในพระพทุ ธศาสนา

พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ไดต้ ง้ั มั่นเปน็ ครงั้ แรกในสมัยสโุ ขทัย บา้ งว่าในสมยั พ่อ
ขนุ ศรีอนิ ทราทิตย์ บ้างว่าใน สมัยพอ่ ขนุ รามคาํ แหง พระพุทธศาสนาท่รี ับมาในคร้ังน้นั ได้
แบบอยา่ งมาจากประเทศลงั กา

พระพทุ ธศาสนาเถรวาททีป่ ระเทศไทยรับมาเปน็ ลักษณะของพระพุทธศาสนาท่ี
เจรญิ สืบตอ่ มาจากพระพุทธศาสนาในอนิ เดยี ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ชาวลังกา
เริม่ นบั ถือพระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทในสมัยของพระเจ้าเทวานัมปยิ ติสสะ คร้ังนั้นพระ
เจ้าอโศกมหาราชแห่งอนิ เดยี ได้ทรงโปรดให้พระมหินทเถระผู้เป็นพระราชโอรสนาํ
พระพุทธศาสนาเข้ามาตงั้ ม่นั ในลงั กา และใหพ้ ระนางสงั ฆมติ ตาเถรนี ําหนอ่ พระศรมี หา
โพธิจากพุทธคยามาปลูกท่เี มอื งอนรุ าธปรุ ะ๘๘

พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ไมร่ จู้ ักหนังสือทางฝา่ ยพระพทุ ธศาสนาของตน
อยา่ งกวา้ งขวางและลกึ ซ้ึง ทพี่ อจะรูจ้ ักกนั กเ็ หน็ จะเปน็ พระไตรปฎิ ก สว่ นคัมภรี ์นอกน้นั
อกี เป็นจาํ นวนมาก เชน่ อรรถกถา ฎีกา อนฎุ ีกา โยชนา ฯลฯ แทบจะไม่เป็นที่รจู้ กั
นอกจากในหมูน่ กั วชิ าการท่ีศึกษาเรือ่ งนโี้ ดยเฉพาะ ซ่งึ กม็ เี ปน็ จาํ นวนนอ้ ย

ดงั น้นั จากความนาํ ท่กี ล่าวมาช่วยใหท้ ราบว่าพระพทุ ธศาสนาเป็นบอ่ เกิดความรู้
และความเขา้ ใจด้านประวตั ศิ าสตร์พระพุทธศาสนา ซ่งึ เปน็ สว่ นสําคัญทเี่ กยี่ วขอ้ งกับ
พระพุทธศาสนาโดยตรงคือเป็นทงั้ พระไตรปฎิ ก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา โยชนาและ
ปกรณว์ ิเสส หรือที่เรียกว่า วรรณคดบี าลี ในบทท่ี ๔ นี้ จะกลา่ วถึงเฉพาะคัมภรี ฎ์ ีกา อนุ
ฎกี าและโยชนา มีรายละเอียดดังนี้

๘๘ สภุ าพรรณ ณ บางชา้ ง , ประวัตวิ รรณคดบี าลีในอนิ เดยี และลงั กา, (กรุงเทพมหานคร :
สาํ นักพิมพ์จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๒๖), หน้า ๑-๒.

๙๐

๔.๒ ความหมายของฎีกา อนุฎกี าและโยชนา

๔.๒.๑ ความหมายของฎกี า

ฎกี า เปน็ คัมภีร์อธิบายเนือ้ ความของอรรถกถา คอื คมั ภีรท์ ่ีเกดิ ข้ึนภายหลังคมั ภีร์
อรรถกถา ซง่ึ มีความหมายตามทมี่ หี นงั สอื กลา่ วถึง ดงั น้ี

คาํ วา่ “ฎีกา” นอกจากจะเปน็ คาํ ทมี่ ใี นวรรณคดีบาลแี ลว้ ยังปรากฏในวรรณคดี
สนั สกฤตและวรรณคดีของศาสนาเชนด้วย ในภาษาสนั สกฤตมีวิธีการอธบิ ายความหมาย
ของคาํ และความหลายรูปแบบ เชน่ แบบวฤตฺติ แบบภาษยฺ แบบปญจฺ กิ า แบบปสปฺ ศ และ
แบบฎีกา ในทน่ี ้ี จะกล่าวเฉพาะแบบของการอธบิ ายท่ี เรยี กว่า “ฎกี า” ซงึ่ เป็นการอธบิ าย
ความหมายของคําทกุ คาํ ในคมั ภีร์ คําจํากัดความของคาํ วา่ ฎกี า ในภาษาสนั สกฤต มีว่า
“ฏีกา นิรนฺตร วยฺ าขฺยา” ฎีกา คือ การอธบิ ายโดยไม่มรี ะหวา่ ง หมายถึง การอธบิ ายทุกคาํ
โดยไมม่ ีการยกเว้น และท่านเหมจันทร ได้ใหค้ าํ จํากดั ความในทาํ นองเดยี วกนั วา่ “สุคมา
นาม วิศมานาม จ นิรนตฺ รา วฺยาขยฺ า ยสยฺ าม”๘๙

ในวรรณคดขี องศาสนาเชนนั้น ก็มงี านประเภทอธบิ ายความหมายของคําและ
ความ ๔ ประเภท คือ นิชฺชตฺติ , ภาส, จุณฺณิ และฎกี า ทา่ นวนิ เตอรน์ ทิ ช์ (Winternitz)
ประมาณวา่ ฎีกา ซง่ึ มีหนังสือประเภทอธบิ ายความหมายแบบหลงั สดุ ของศาสนาเ ชน เริ่ม
มี ขนึ้ ใหมใ่ นระหวา่ งพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖-๑๗ เขียนเปน็ ภาษาสนั สกฤตล้วน ในขณะท่ี
หนังสอื อืน่ เขียนเป็นภาษาท้องถ่นิ หรือภาษาสันสกฤตปนภาษาทอ้ งถนิ่

ถงึ แม้จะมีวรรณคดฎี กี า ท้ังในฝา่ ยสนั สกฤตและศาสนาเชนอย่แู ล้ว แตก่ ารสร้าง
รปู ศัพทข์ องคาํ น้ี ยังมีที่มาหลายทัศนะด้วยกัน

ในภาษาบาลี-สันสกฤตมี ฏีก (ฏกี )ฺ ธาตุ แปลว่า ไป พจิ ารณาตามรปู ศพั ทแ์ ล้ว
นา่ จะเปน็ รากศัพท์ของคาํ ว่าฎกี ามากกว่า แตน่ กั วิชาการสว่ นใหญพ่ จิ ารณาความหมาย
ของธาตนุ ี้แล้ว เหน็ วา่ ไม่มคี วามหมายใกล้เคียงกบั ความหมายของคาํ วา่ ฎีกา อยา่ งทใ่ี ช้
กนั ดงั น้นั ฏีก (ฏกี )ฺ ธาตุ ใน ภาษาบาลี-สันสกฤต ทห่ี มายถงึ ไป จึงไมเ่ ป็นท่ียอมรับกัน
แต่ ถ้าเราได้พจิ ารณาถงึ ความหมายทท่ี า่ นไดว้ ิเคราะห์ไวใ้ ห้ดู ก็จะเขา้ ใจความหมายที่
ท่านม่งุ หมายตามหลักภาษา คาํ ว่า ฎีกา มรี ปู วเิ คราะหว์ ่า ฏีกียติ ชานิยติ อฏฺฐกถายตโฺ ถ

๘๙ เร่อื งเดยี วกัน, หน้า ๓๕๓.

๙๑

เอตายาติ ฏีกา แปลวา่ เรียกวา่ ฎกี า เพรา ะเป็นคมั ภีร์ท่ใี หร้ คู้ วามหมายของคัมภีรอ์ รรถ
กถา๙๐

ถา้ พจิ ารณาถึงความหมายของ ฏกี (ฏกี )ฺ ธาตุ ที่แปลวา่ “ไป” อาจไมต่ รงตามที่
นักวชิ าการต้องการ แต่ในหลักภาษาบาลแี ลว้ มีคําท่ีอธบิ ายถงึ ธาตุทีม่ ีความหมายวา่ “ไป”
สามารถใชแ้ ทนความหมายอ่นื ได้ ดังข้อความวา่ เยสํ ธาตูนํ คตอิ ตโฺ ถ พทุ ฺธปิ ิ เตสํ อตฺโถ
ปวตตฺ ิ ปาปณุ านิปิ ธาตทุ ี่มีความหมายว่า “ไป” ยงั มีความหมายว่า “ร,ู้ เป็นไป และ ถึง ”
ไดด้ ว้ ย๙๑

ในพจนานกุ รมของเมโหเฟอร์ (Etymological Dictionary,Mayehofer) สนั นิษฐาน
ว่าฎีกาน่าจะมาจากคาํ ว่า ฏปิ ปฺ นิ หรือ ฏปิ ปฺ นก สว่ นอเุ ฮนแบค (Uhlenbeck) สันนษิ ฐาน
ว่ามาจากคําว่า ทปี กิ า

นักภาษาช่อื วา่ วุสต์ (Wust) อธิบายวา่ ในภาษาอินโดอารยนั มตี วั อยา่ งกลาย
เสยี ง ศ (s) เปน็ ฏ (t) มาก ตัวอย่างเชน่

ศกฺวร เปน็ ฏกฺกรุ
ศากฺย เป็น ฏกฺก หรือ ฏาก
ศากล เปน็ ฏาก
ศิวิกนฺ เป็น ฏกิ ฺกกิ า
โศภ เปน็ อาโฏป และ ฏปปฺ ิกา
ศงกฺ ร เปน็ ฏงกฺ ร
หรือบางทกี ก็ ลายเสยี งเป็น ฑ (d) ตวั อย่างเชน่
ศาก เป็น ฑาก
ศากนิ ิ เปน็ ศาก
โดยอาศยั หลักฐานน้ี วุสต์ (Wust) ไดอ้ ธบิ ายว่า คาํ ว่า ฎีกา ควรมาจากคําว่า
ศกี ฺษา ทแี่ ปลวา่ ศกึ ษา เพราะ ศ ตัวหนา้ ไดเ้ ปล่ียนเป็ น ฏ ตามหลักการกลายเสยี งใน

๙๐ พระวสิ ุทธาจารมหาเถระ, ธาตวตั ถสังคหปาฐนสิ สยะ, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจฬุ า
ลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๕), หนา้ ๑๔๘.

๙๑ พระอคั ควังสเถระ, สทั ทนีติ ธาตุมาลา, (กรุงเทพมหานคร : ไทยรายวนั การพิมพ,์ ๒๕๔๖),
หนา้ ๓.

๙๒

ภาษาอินโดอารยนั ขา้ งตน้ ส่วน กษฺ มีการเปลยี่ นเสยี ง คือ กฺษ > กฺข > กฺก > ก ทาํ นอง
คล้ายกับ ฤกษฺ เปล่ียนเป็น อิกฺก

ในกันนฑะพจนานกุ รมองั กฤษ คติ ต์ (Kannada – English Dictionary, Kittel)
ได้อธิบายว่าในภาษากนั นฑะ ซึง่ เป็นภาษาหนึ่งของพวก ดราวเิ ดียนทางใต้ของอินเดีย มี
คาํ หลายคําซึง่ นา่ จะมีที่มาจากต้นศัพทเ์ ดยี วกนั กับคาํ วา่ ฎกี า เช่น

ฏีกีสุ แปลว่าอธิบาย การตคี วามหมาย การทําใหช้ ดั เจน
ฏกี ุ แปลว่าการเขยี นอธิบายในรูปแบบอรรถกถา ความถกู ต้อง ความเหมาะสม
ฏเี ก แปลว่า อรรถกถา หรือ สรอ้ ยคอ
คาํ ทัง้ หมดน้ี อาจจะมีทมี่ าจากคาํ ว่า ศกี ษฺ า ตามการสนั นษิ ฐานของ วสุ ต์ (Wust)
ก็เปน็ ได้๙๒
คาํ ว่า “ฎีกา” น้ี มจี ุดหมายสําคัญเพือ่ อธบิ ายคําในอรรถกถาให้เข้าใจได้ง่ายขึน้
และจะอธิบายเฉพาะขอ้ ความทยี่ ากหรอื ไม่ชัดเจนมากกวา่ อย่างอนื่ ถือวา่ เปน็ หนังสอื ท่ี
พยายามอธิบายความหมายใหง้ ่ายขึน้ หรือชดั เจนขนึ้ เพราะในอรรถกถาจะอธบิ าย
พระไตรปิฎกในมมุ ต่างๆ อยา่ งกวา้ งขวาง ในเรอื่ งท่ีเกี่ยวกับพฒั นาการด้านความคิด
ความเช่ือ วฒั นธรรม ประเพณี ฯลฯ
ในวรรณคดบี าลี ฎกี า หมายถึงหนงั สอื อธิบายอรรถกถาโดยเลือกคาํ หรอื ความที่
ยากในอรรถกถาขึน้ อธิบายให้เข้าใจง่าย ไมใ่ ชอ่ ธบิ ายความหมายของคาํ ทกุ คํา อยา่ งใน
วรรณคดสี นั สกฤต หรอื เขยี นเปน็ ภาษาสนั สกฤตอยา่ งในศาสนาเชน หนังสือฎกี าฝ่ายเถร
วาทในระยะแรกหมายเฉพาะถึงหนงั สือท่ีอธบิ ายอรรถกถาของพระไตรปิฎก แตภ่ ายหลัง
มีความหมายกวา้ งข้ึน คอื หมายถึงหนังสอื ทีอ่ ธิบายความหมายของหนงั สอื ใดทไ่ี ม่ใช่
อรรถกถาของพระไตรปฎิ กก็ได้ เช่น ฎีกาของพงศาวดารบาลี ฎกี าตาํ ราไวยากรณ์ และ
ฎกี าปกรณ์วิเสส มคี มั ภรี ม์ ิลนิ ทปัญหา เป็นต้น
ความหมายของฎกี า ตามที่นักปราชญไ์ ดอ้ ธิบายขยายความไวท้ าํ ใหเ้ ห็น
พัฒนาการของศพั ท์และความหมายหลายแง่มมุ แต่โดยรวมแล้ว คมั ภีร์ฎกี าเปน็ คมั ภีร์
หนึ่งท่ีเปน็ ค่มู อื หรือกุญแจในการศกึ ษาหลักธรรมคําสอนของพระพทุ ธเจ้าเพราะในยุค
ปัจจุบันคมั ภรี ์อธิบายความหมายของคมั ภรี ์ในชน้ั อรรถกถาและคมั ภีร์อ่นื ๆหายากเตม็ ทจี งึ
ทําให้คัมภรี ์ฎีกาทพี่ ระฎกี าจารยไ์ ดแ้ ต่งไวม้ คี ณุ ค่ามากขน้ึ ฉะนน้ั คัมภรี ฎ์ กี าตาม

๙๒ สุภาพรรณ ณ บางชา้ ง, ประวตั ิวรรณคดบี าลีในอินเดยี และลังกา, หนา้ ๓๕๔-๓๕๕.

๙๓

ความหมายน้ี จึงหมายถึงคมั ภีรท์ ่ีอ ธบิ ายขยายความอรรถกถา และคมั ภรี ์อน่ื ๆทีม่ ี
ความหมายซอ่ นเรน้ อยู่

๔.๒.๒ ความหมายของอนุฎีกา
คําว่า “อนฎุ กี า” ได้แก่ ฎีกาใหมท่ ีแ่ ตง่ เพ่ิมเตมิ ภายหลัง คําบาลเี รียกวา่ อภนิ วฏี
กา แปลว่า ฎีกาใหม่ อนุฎกี านั้น แต่งข้นึ มาเพอ่ื อธบิ ายเนือ้ ความในคัมภีร์ฎกี า ให้มคี วาม
ชัดเจนย่งิ ข้นึ เมือ่ เห็นวา่ พระฎีกาจารยอ์ ธบิ ายความในคมั ภรี ์ฎกี ายงั ไมแ่ จ่มแจ้ง

๔.๒.๓ ความหมายของโยชนา
คําวา่ “โยชนา” ไดแ้ ก่ คัมภีร์ทอี่ ธิบายความหมาย ของศัพทแ์ ละความสมั พันธ์
ในประโยคของภาษา ซึง่ เปน็ อปุ กรณ์ในการแปลคมั ภีร์อรรถกถาและฎกี าไดอ้ ย่างชดั เจน

๔.๓ ความสาคัญของฎีกา อนฎุ กี าและโยชนา

ฎกี า อนฎุ ีกา และโยชนา เป็นคู่มอื การศึกษาพระธรรมวนิ ัยในพระพุทธศาสนา
รองลงมาจากคัมภรี ์อรรถกา และเป็นคู่มืออธิบายคัมภรี ์อนื่ อกี มากมาย ดังนัน้ การทีจ่ ะ
เขา้ ใจคมั ภรี ์บาลใี นช้นั สงู จงึ ต้องศกึ ษาคัมภีร์ฎกี า อนุฎกี าและโยชนา ให้เขา้ ใจดว้ ยดงั จะ
กล่าวตอ่ ไป

๔.๓.๑ ความสาคญั ของฎกี า
วรรณคดีประเภทฎกี า มีความสําคัญตอ่ หลกั คําสอนของ พระพุทธศาสนาเป็น
อย่างมาก เพราะเปน็ คมั ภรี ท์ อี่ ธิบายขยายความของคมั ภีร์อรรถกถา และคมั ภรี ์อน่ื ๆ ท้งั
ในดา้ นหลักธรรมคาํ สอนและหลักเกณฑ์ทางภาษา ทัง้ น้ี มหี ลักท่ีพระธรรมปาละ อธบิ าย
ถึงความสาํ คัญหรือหน้าทีข่ องวรรณคดีประเภทฎกี า ว่า
ความแตกต่างระหวา่ งอรรถกถาและฎีกา คอื อรรถกถามลี ักษณะทเี่ รยี กว่า
“สวณณฺ นา” หมายความวา่ มีการวเิ คราะห์อธิบายความหมายของคําหรือความหมาย
อย่างละเอียดดว้ ยวิธีการหลายอย่าง เชน่ การวเิ คราะห์ไวยากรณ์ การแสดงความหมาย
แบบ พจนานุกรม การเปรียบเทยี บความคดิ ของอาจารยแ์ ละคัมภรี ต์ า่ งๆ อย่างกว้างขวาง

๙๔

การยกอุทาหรณ์อุปมาอปุ มยั เป็นต้น วธิ ีการอธบิ ายหลายแบบอย่างในเวลาเดียวกัน
ดงั กลา่ วจะทําใหอ้ รรถกถาเป็นทปี่ ระมวลความรู้ตา่ งๆ หลายแขนงนอกจากความรใู้ นเร่ือง
ความหมายของคาํ และความโดยตรงแลว้ ยงั ให้ความรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ ตาํ นาน ลักษณะ
เศรษฐกิจ สงั คม ความเชือ่ ประเพณีและวัฒนธรรมของชาวอินเดยี และลังกา ต้ังแตส่ มัย
พทุ ธกาลหรือกอ่ นหน้านั้นจนถึงสมัยของพระเจา้ วัฏฏคามนิ ีแหง่ ลังกาในพทุ ธศตวรรษที่ ๕
ส่วนฎกี าในสมัยอนุราธปรุ ะมีลกั ษณะทเ่ี รียกว่า “ลีนตั ถปกาสนา” มีลกั ษณะเปน็ การ
อธิบายความหมายของคาํ และความที่กํากวมเท่าน้ัน ไม่มีวัตถปุ ระสงคท์ ่ีจะพรรณนารวม
หลายส่งิ หลายอย่างในเวลาเดยี วกันอย่าง “สวํ ณณฺ นา”๙๓

พระฎีกาจารยท์ ี่แต่งคัมภรี ์ฎกี าอธบิ ายคมั ภีรอ์ รรถกาพระไตรปฎิ กเพราะเห็นว่า
คาํ หรอื ขอ้ ความบางตอนทพ่ี ระอรรถกถาจารย์อธิบายไวย้ งั ไม่สมบรู ณ์จงึ ได้แตง่ คัมภีร์ฎีกา
อธิบายเพิม่ เติมคาํ หรอื ขอ้ ความทพี่ ระฎีกาจารยถ์ อื วา่ มีความหมายกํากวมไม่สมบรู ณ์ มี ๘
ประการ คือ

๑) ความหมายทางไวยากรณ์ท่ียังไม่กระจา่ งชัด เช่น ในมลู ปรยิ ายสูตร
มัชฌมิ นกิ าย มีประโยคส้ันๆ วา่ “ปฐวโิ ต สญชฺ านาติ” ในอรรถกถาพระพุทธโฆษะอธิบาย
วา่ ประโยคนี้มีความหมายเหมือนกบั “ปฐวีติ สญชฺ านาติ” คาํ อธิบายน้กี าํ กวม เพราะคาํ ว่า
ปฐวโิ ต เปน็ วภิ ตั ติที่ ๕ นา่ จะแปลวา่ “แต่ จาก กว่า- ปฐวี” สว่ นคาํ วา่ ปฐวี ในอรรถกถา
เปน็ วภิ ัตติที่ ๑ ดงั น้ัน จึงน่าจะสงสยั ว่าเหตใุ ดพระพุทธโฆษะจึงอธิบายเช่นนัน้ ในคมั ภีร์
ฎกี า พ ระธรรมปาละอธิบายความมงุ่ หมายของพระพุทธโฆษะให้ชัดเจนขึ้น คือ กลา่ วว่า
พระพทุ ธโฆษะตอ้ งการอธิบายว่า ปฐวโิ ต ซง่ึ มลี กั ษณะไวยากรณ์เป็นวภิ ัตติท่ี ๕ วา่ มี
ความหมายเท่ากบั วภิ ัตติที่ ๑ ไมใ่ ชว่ ภิ ัตติที่ ๕ ตามรูปศัพท์ ฯลฯ

๒) คาํ ทใ่ี ชแ้ ทนชื่ออาจารย์บางทา่ นหรอื บางกลมุ่ โดยไมร่ ะบชุ ่อื ใหช้ ัดเจน
ตามทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแล้ววา่ มหี ลายคร้งั ท่พี ระอรรถกถาจารย์เสนอความคิดเห็นของอาจารย์
บางทา่ นหรอื บางกลุ่มโดยไมร่ ะบุชื่อให้ชดั เจน กลา่ วอา้ งถึงดว้ ยคาํ ว่า อปเร หรอื เกจิ
เทา่ น้ัน สนั นิษฐานว่า คําว่า อปเร และ เกจิ น้ี เปน็ คําทคี่ นในสมัยนนั้ เขา้ ใจกั นว่าหมายถึง
ใคร แต่พอเวลาผ่านไป คนในสมยั หลังไม่เขา้ ใจว่า คาํ เหลา่ นแี้ ทนชอื่ ใคร ในคัมภีร์ ฎกี า
พระธรรมปาละถอื วา่ คําเหลา่ น้ีเปน็ คํากํากวม ควรทีจ่ ะกลา่ วให้ชัดเจน ดงั น้ัน เม่ือไร ใน

๙๓ พระมหาอดศิ ร ถริ สโี ล , ประวัตคิ มั ภรี บ์ าล,ี (กรงุ เทพมหานคร : มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย,
๒๕๔๓), หน้า ๑๘๘-๑๘๙.

๙๕

อรรถกถามีคาํ ว่า อปเร และเกจิ พระธรรมปาละ จะอธบิ ายอย่างชัดเจน เช่น อปเรติ สาร
สมาสจริยา, เกจีติ อภยคริ ิวาสโิ น , เกจีติ อภยคิริวาสี- สารสมาสจรยิ า, เกจีติ อุตฺตรวิหาร
วาสิโน, เกจตี ิ อุตฺตรวหิ ารวาสิโน สารสมาสจรยิ า จ,

เม่อื กลา่ วโดยสรุปแล้ว คําท่ีพระอรรถกถาจารยก์ ล่าวว่า อปเร และเกจิ ทีใ่ ชแ้ ทน
ชอ่ื ในอรรถกถานน้ั หมายถงึ ความคดิ ของภิกษุสงฆ์ ๓ กลมุ่ คื อ (๑) สารสมาสอาจารย์
(๒) อภัยครี ีวหิ าร (๓) อุตตรวหิ ารวาสี

การที่ชื่อเหลา่ นจ้ี ัดรวมเขา้ ด้วยกัน เชน่ กล่าวถงึ สารสมาสกับอภัยคีรคี ู่กนั สาร
สมาสกับอุตตรวิหารวาสีคูก่ นั บ้างนน้ั อาจทําใหส้ ันนษิ ฐานไดว้ า่ อาจารยท์ ง้ั ๓ กลมุ่ นเี้ ปน็
สํานกั ในสายเดียวกัน คอื สายอภัยครี วี ิ หารซ่ึงแยกตวั ออกจากฝ่ายมหาวหิ าร และคงจะ
เปน็ ดว้ ยเหตนุ ้ีน่นั เอง ท่ีทาํ ให้พระพุทธโฆษะและพระอรรถกถาจารย์ทา่ นอ่นื ซ่ึงตกลงทํา
สญั ญากับฝ่ายมหาวหิ ารวา่ จะเขยี นอธิบายตามความคิดของฝ่ายนั้น โดยเลีย่ งไมก่ ลา่ วถงึ
ความคิดของฝ่ายท่ตี รงข้ามกบั มหาวิหารอยา่ งชดั เจน ดว้ ยการใช้คาํ วา่ อปเร และเกจิ
แทน โดยถือวา่ เป็นคาํ แทน ซ่งึ คนในครง้ั น้นั รู้กันอยู่ การที่พระธรรมปาละซึง่ เปน็ คนที่อยู่
ในสมัยอนรุ าธปุระและเปน็ ผ้เู ขียนอรรถกถาหลายเล่ม กล้านาํ ช่ือเหล่าน้ีมาเปิดเผยอย่าง
ชดั เจน แสดงวา่ ทา่ นเป็นคนตรง การบ่งชอ่ื เหลา่ นนี้ ับวา่ เปน็ ประโยชนต์ อ่ คนร่นุ หลั งอยา่ ง
มาก

๓) คําสรรพนาม ในอรรถกถา พระอรรถกถาจารย์ ไดพ้ ยายามเขียนอธบิ าย
ใหก้ ระชบั ไมร่ ุงรงั เกินไป วธิ หี น่ึงทีช่ ่วยใหง้ านไมเ่ ย่นิ เย้อ คอื การใชส้ รรพนามแทนคาํ นาม
ทเี่ หน็ ว่านา่ จะแทนได้ วิธีนี้เป็นวิธที ี่ใช้กันท่วั ไป รวมทั้งในสมัยพุทธกาลด้วย คาํ สรรพนาม
ใดในอรรถกถาทอี่ าจมคี วามหมายกาํ กวม คอื ตคี วามหมายได้หลายอยา่ งไมแ่ นน่ อน ใน
ฎกี า พระธรรมปาละจะอธบิ ายอยา่ งชดั เจนวา่ คาํ สรรพนามน้ันแทนคาํ นามอะไร เชน่ พระ
พทุ ธโฆษะอธบิ ายตอนหนง่ึ ในปปญั จสูทนวี า่

“เตนสสฺ ปริญฺญาตวาเรน วตฺถุปรญิ ญฺ ํ ทเี ปติ...”
ในฎกี า พระธรรมปาละ อธิบายคาํ สรรพนาม “อสสฺ ” ซง่ึ อยใู่ นคําสนธิ “เตนสฺส” วา่
เป็นคาํ ท่แี ทนคาํ นามวา่ “ขีณาสวสสฺ ” การอธบิ ายน้มี ปี ระโยชน์มาก เพราะตามเนอ้ื ความ
ในตอนน้นั ผศู้ ึกษาสามารถตคี วามหมายของคาํ วา่ “อสสฺ ” ในที่นี้ไดห้ ลายทาง

๔) คาํ นามที่มคี วามหมายได้หลายอยา่ ง ถ้าคํานามทีใ่ ช้ในอรรถกถา อาจ
ตีความหมายได้หลายอยา่ ง ในฎีกาจะถือเป็นคาํ กํากวมที่ตอ้ งอธิบาย เช่น คาํ ว่า “สจั จะ”
พระธรรมปาละอธบิ ายในที่แหง่ หนง่ึ ว่า พระพทุ ธโฆษะใชค้ ําวา่ สัจจะ ในความหมายถึง

๙๖

อรยิ สัจ แตใ่ นอกี ทห่ี นึง่ พระธรรมปาละอธิบายว่าพระพุทธโฆษะใช้คําวา่ สัจจะ ในที่นั้นใน
ความหมายว่า วจีสจั จะ เปน็ ต้น

๕) คาํ ทีค่ วรอธบิ ายขยายความเพิม่ เตมิ อทุ าหรณ์เช่น คาํ วา่ “คริ ิพพฺ ช” ใน
มัชฌมิ นกิ าย พระพุทธโฆษะอธบิ ายว่าหมายถึง “สมนตฺ โต ปน คริ ิปรกิ ฺเขเปน สณฺฑิตตฺตา
ทช่ี ื่อวา่ คิริพพชะ เพราะทต่ี ้งั แวดล้อมด้วยภเู ขา ” ในฎกี า พระธรรมปาละ อธิบายเพิ่มวา่
ภูเขาที่ล้อมรอบสถานทที่ ่ชี อื่ วา่ คิรพิ พชะ คอื ภูเขาคชิ ฌกฏู ปัณฑวะ อิสิคลิ ิ และเวภาระ
คําอธิบายน้ที าํ ให้ความหมายของคําวา่ คริ ิพพชะ ชดั เจนข้นึ และทําใหไ้ ม่เกิดความเขา้ ใจ
ผิดคิดว่าคําอธิบายของพระพทุ ธโฆษะเป็นเพยี งการอธบิ ายตามรูปศพั ท์เทา่ น้นั ในท่นี ี้
เห็นไดช้ ดั เจนว่ามคี วามถกู ต้องตามความเป็นจรงิ ทางภูมศิ าสตร์ด้วย

๖) คําว่า อาทิ ในการยกอทุ าหรณ์ประกอบคาํ อธิบาย บอ่ ยคร้ังท่ีพระอรรถ
กถาจารย์ไมไ่ ดใ้ ห้ตวั อยา่ งท้ังหมด แตใ่ ห้เพียงสองสามตัวอย่าง แลว้ ลงทา้ ยคาํ อธิบายว่า
อาท-ิ เป็นต้น ในกรณีเชน่ นี้ พระธรรมปาละจะเพม่ิ เติมตัวอยา่ งที่เหลอื ทั้งหมด ซง่ึ นอกจาก
จะช่วยให้คําอธบิ ายในอรรถกถาชดั เจนขน้ึ แล้ว ยงั ทาํ ใหค้ าํ อธิบายในอรรถกถานัน้
สมบูรณ์ เช่น ในปปญั จสูทนี พระธรรมปาละอธิบายความหมายเพ่ิมเติมของคาํ วา่ อาทิ
ในอรรถกถาของพระพทุ ธโฆษะวา่ ดังนี้

“อาทิ – สทฺเทน สํสารจกกฺ นวิ ตฺตนโต สทฺธมฺมจกกฺ ปปฺ วตฺตโน มิจฺฉาวาท
วิธมนโต สมมฺ วาทปติฏฐฺ านโต อกสุ ลมลู สมุทฺธรณโต กุสลมลู สงฺโกปนโต อปายทวฺ าร
ปธานโต สคคฺ มคฺคทฺวารววิ รณโต ปรยิ ุฏฺฐานวูปสมนโต อนุสยสมคุ ฆฺ าตนโตติ เอวํ อาทนี ํ
สงฺคโห เวทิตพฺโพ”

๗) คมั ภรี ์อ้างองิ ทไี่ ม่ได้ระบุช่ือ บอ่ ยครั้งที่พระอรรถกถาจารยอ์ ้างองิ หลักฐาน
ยนื ยนั คาํ อธิบายของท่านจากบางตอน ในพระไตรปฎิ กหรอื จากคัมภรี ์ปกรณ์วเิ สสต่างๆ
โดยไม่ไดร้ ะบชุ อื่ คัมภรี ห์ รือแหล่งทม่ี าของความคดิ นน้ั กลา่ วแต่เพียงวา่ “วตุ ฺตํ เหตํ –
เพราะวา่ มีคํากล่าววา่ ....” ในฎีกา พระธรรมปาละจะทําหนา้ ท่รี ะบชุ ่ือแหลง่ ท่มี านนั้ ให้
ชดั เจน เพือ่ ช่วยให้หลักฐานท่ีอ้างองิ ในอรรถกถาน้นั มีน้ําหนักมากข้นึ และชว่ ยใหผ้ ู้ศึกษา
ที่สนใจไปหาอ่านเพิ่มเติมจากต้นตอเหลา่ น้ันได้ เช่นบอกว่า

วตุ ตฺ ํ เหตํ มลิ นิ ทฺ ปญเฺ ห หรอื
ปฏสิ มภฺ ิทามคคฺ ปาฬยิ า วภิ าวิตุ เอวเมเตติ อาทิ วตุ ตฺ ํ
๘) คําท่มี คี วามหมายยาก การเลอื กคาํ อธิบายคาํ เหลา่ น้ีขึน้ อย่กู บั ดลุ ยพนิ ิจ
ของฎีกาจารย์เอง อย่างไรกต็ ามในการอธิบายความหมายของคําทีม่ คี วามหมายยากนี้

๙๗

โดยท่วั ไป ไดใ้ ชว้ ธิ กี ารอธิบายแบบตา่ งๆ เหมือนอย่างในอรรถกถา เช่น การอธบิ าย
ความหมายของไวยากรณ์ การใหค้ ําจาํ กัดความ การเปรียบเทยี บแบบอปุ มาอปุ ไมย เป็น
ต้น๙๔ คาํ อธิบายขยายความในคมั ภีรฎ์ กี าทพ่ี ระฎกี าจารย์ได้อธิบายใหเ้ หน็ น้ัน นบั วา่ มี
คณุ คา่ สําหรบั อนุชนร่นุ หลงั

๔.๓.๒ ความสาคัญของอนุฎีกา
อนุฎีกา เปน็ คมั ภรี ์ทีพ่ ระอนฎุ ีกาจารยแ์ ต่งขึน้ เพอ่ื อรรถาธิบายคัมภีรฎ์ กี าให้เขา้ ใจ
มากข้นึ เมื่อเห็นวา่ ข้อความบางตอนในคัมภรี ์ฎีกายังไม่แจ่มแจง้

๔.๓.๓ ความสาคัญของโยชนา
โยชนา เป็นคมั ภรี แ์ ต่งข้ึนเพ่อื ขยายเนอ้ื ความทีล่ ลี้ ับในเรื่องไวยากรณศ์ พั ท์
และความสัมพนั ธ์ในประโยคของภาษา อันเปน็ อุปกรณใ์ นการแปลคมั ภีร์ อรรถกา
และฎกี าไดอ้ ยา่ งชดั เจน คมั ภรี ์ฎกี า อนฎุ ีกา และโยชนา ล้วนแตเ่ ปน็ คัมภีร์ทม่ี ี
ความสําคัญตอ่ การศกึ ษาคําสอนพระพทุ ะศาสนาเพรา ะเป็นคัมภรี ท์ ีไ่ ด้อธิบายขยายความ
ใหแ้ จม่ แจง้

๔.๔ ประเภทของฎกี า อนุฎกี าและโยชนา

วรรณคดีบาลีฎกี า หมายถงึ คมั ภีรฎ์ ีกา อันเปน็ คัมภีรอ์ ธิบายความคมั ภรี ์อรรถ
กถาและบทบางบทจากพระบาลีพระไตรปิฎกที่พระอรรถกถาจารย์ยังไมไ่ ด้นํามาอธบิ าย
ความ จะมคี มั ภรี ฎ์ กี าจาํ นวนเทา่ ไรนั้ น ไม่มีการระบุจํานวนไวเ้ ป็นทชี่ ัดเจน อาจแบ่งตาม
สายพระไตรปฎิ กได้ ส่วนคัมภรี ์อนุฎีกา และโยชนา เปน็ คัมภีร์ที่อธิบายขยายความ
เพ่ิมเติมจากคัมภีร์ฎกี า ขอนาํ รายช่ือคัมภีร์ฎกี า อนุฎีกา และโยชนา ดงั น้ี ๙๕

๙๔ สุภาพรรณ ณ บางชา้ ง, ประวตั วิ รรณคดีบาลีในอนิ เดยี และลังกา, หน้า ๓๖๐-๓๖๔
๙๕ ไกรวุฒิ มโนรัตน,์ วรรณคดบี าลี ๑, หนา้ ๑๐๐-๑๐๘.

๙๘

๔.๔.๑ ประเภทของฎีกา
ฎีกา คือคัมภรี อ์ ธบิ ายความคัมภีรอ์ รรถกถาโด ยเฉพาะอรรถกถาทเี่ ป็นภาษามคธ
เป็นคัมภรี ์ลําดับที่ ๓ ต่อจาก พระไตรปฎิ ก และอรรถกถา แบ่งเป็น ๓ ประเภทตามสาย
แห่งพระไตรปิฎก คือ ฎกี าพระวนิ ยั ปิฎก ฎีกาพระสตุ ตนั ตปฎิ ก และฎีกาพระอภธิ รรม
ปฎิ ก

๔.๔.๑.๑ ฎีกาพระวนิ ัยปิฎก หมายถึงฎีกาที่อธบิ ายความอรรถกถา
พระวินัยปิฎก เท่าท่ีรวบรวมได้ประกอบดว้ ย

๑) วชิรพุทธิ หรือ วชิรพุทธิฎีกา ฎีกาวินยั เปน็ ฎีกาอธิบายศัพทแ์ ละประโยค
ในสมนั ตปาสาทิกา พระวชริ พุทธเิ ป็นผ้แู ต่ง

๒) สารตั ถทีปนี ฎีกาวินยั แบง่ เป็น ๕ คัมภีร์ เริม่ ตัง้ แตป่ ฐมสารัตถทปี นี
ทตุ ิยสารตั ถทปี นี ตติยสารัตถทีปนี จตุตถสารัตถทปี นี และปัญจมสารัตถทีปนี แก้คัมภรี ์
อรรถกถาสมันตปาสาทิกา พระสารบี ตุ ร ชาวลังกาเปน็ ผู้แต่ง ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖

๓) วมิ ติวโิ นทนี หรอื วมิ ตวิ ิโนทนีฎกี า ฎกี าวนิ ัย เปน็ ฎกี าอธบิ ายศพั ท์และ
ประโยคในสมันตปาสาทกิ า พระมหากสั สปะแห่งอทุ ุมพรครี ีวิหาร ประเทศศรลี งั กา เปน็ ผู้
แต่ง บางแหง่ เรียกว่า วนิ ยมหาฎกี า

๔) วนิ ยัตถมญั ชูสา ฎกี าปาตโิ มกข์ พระพุทธนาคะเป็นผู้แตง่
๕) สุมงั คลปกาสินี ฎีกาวนิ ยั วินจิ ฉยสงั คหะ ไมป่ รากฏชอื่ ผู้แต่ง
๖) วินยัตถสารสนั ทีปนี ฎีกาวินยั วนิ ิจฉยสงั คหะ ไมป่ รากฏชือ่ ผูแ้ ต่ง
๗) ลนี ตั ถปกาสนา ฎีกาวินยั วินิจฉยสงั ค หะ พระเรวตะแตง่ ทเี่ มอื งพุกาม ชื่อ
เกา่ เรียกว่า อรมิ ัททนะ
๘) วนิ ยวมิ ติเฉทนี นวฎีกามลู สิกขา ไม่ปรากฏชื่อผแู้ ตง่
๙) อุตตานทีปนี ฎกี าปาลมิ ุตตกวินจิ ฉยสงั คหะ ไมป่ รากฏชอื่ ผแู้ ตง่
๑๐) วินยาลงั การ ฎีกาบาลมิ ตุ ตวินยวนิ จิ ฉยสังคหะ พระติปฎิ กลังกาเถระ
แตง่ ที่ประเทศพม่า

๔.๔.๑.๒ ฎกี าพระสุตตนั ตปฎิ ก หมายถงึ ฎีกาท่ีอธบิ ายเน้ือความแห่ง
คัมภีร์อรรถกถาพระสตุ ตนั ตปฎิ ก มอี ยหู่ ลายคัมภรี ์ดว้ ยกนั ได้แก่

๙๙

๑) ทฆี นกิ ายฎีกา หมายถึง ฎกี าทท่ี ําหน้าท่อี ธบิ ายความอรรถกถาทฆี
นิกาย (สมุ ังคลวลิ าสนิ ี) มชี อ่ื เรียกว่า ลนี ตั ถปกาสนา มอี ยู่ ๓ ภาค คือ สีลักขนั ธวรรคฎกี า
มหาวรรคฎีกา ปาฏิกวรรคฎกี า รจนาโดย พระธมั มปาละ ชาวชมพูทวปี (ราวพุทธ
ศตวรรษท่ี ๑๖) ประกอบด้วย

(๑) ลีนตั ถปกาสนา ฎกี าทีฆนิกาย คอื อธิบายขอ้ ความในศีลขันธวรรค
จนถงึ ปาฏิกวรรค พระธรรมปาละ เป็นผ้แู ต่ง

(๒) ลีนัตถปกาสนา ฎกี าแหง่ มัชฌมิ นิกาย คอื อธบิ ายความในมลู
ปัณณาสกจนถงึ อุปริปัณณาสก พระธรรมปาละ เปน็ ผู้แตง่

(๓) ลนี ตั ถปกาสนา ฎกี าแหง่ สังยุตตนิกาย คอื อธบิ ายความใน
สคาถวรรคจนถึงมหาวรรค พระธรรมปาละ เปน็ ผูแ้ ต่ง

(๔) ลนี ัตถปกาสนิ ี ฎกี าแห่งนบิ าตชาดก คอื อธิบายความในนบิ าตชาดก
ไม่ปรากฏชอ่ื ผ้แู ตง่

๒) มัชฌมิ นิกายฎกี า หมายถึงฎกี าท่ีทาํ หนา้ ที่อธิบายความอรรถกถา
มชั ฌมิ นกิ าย (ปปญั จสูทนี) มีชอื่ เรยี กวา่ ลนี ัตถปกาสินี มีอยู่ ๓ ภาค คอื มลู ปัณณาสฎีกา
มชั ฌิมปณั ณาสฎีกา อปุ ริปัณณาสฎีกา แต่งโดยพระธมั มปาละ

๓) สังยุตตนิกายฎกี า หมายถงึ ฎีกาทาํ หน้าทอี่ ธิบายความแหง่ อรรถกถาสัง
ยตุ ตนิกาย (สารัตถปกาสนิ ี) มชี ื่อเรยี กวา่ ลนี ตั ถปกาสนิ ี มอี ยู่ ๒ ภาค แต่งโดยพระธัมม
ปาละ

๔) องั คุตตรนิกายฎีกา หมายถงึ ฎีกาทีท่ ําหนา้ ท่อี ธิบายความแหง่ อรรถ
กถาอังคุตตรนกิ าย (มโนรถปรู ณี) มที ้งั ฎกี าเกา่ และฎกี าใหม่ ในคมั ภรี ค์ นั ถวงศแ์ ละคัมภีร์
ปิฏกัตต่อตะไม ร ะบุว่า “องั คุตตรนิกายฎกี าเก่า มชี ่อื เรยี กว่า ลีนัตถปกาสนิ ี แต่งโดย
พระธมั มปาละ” อน่งึ ฎกี าเกา่ ท่ีวา่ นี้ยังไม่เคยปรากฏวา่ มผี ู้ใดจดั พิมพ์มาก่อนเลย ในคมั ภีร์
ปิฏกตั ตอ่ ตะไม ระบวุ า่ เฉพาะท่ีมอี ยู่ในใบลานอกั ษรพม่านน้ั มเี พียงสว่ นทอี่ ธิบายความ
อรรถกถาเอกนิบาต ทกุ นิบ าต และติกนบิ าตเท่านนั้ สว่ นนิบาตทีเ่ หลอื อกี ๘ นบิ าตไม่
ปรากฏว่ามมี าถึงประเทศพม่าเลย อังคุตตรนิกายฎีกา ท่มี ีพิมพ์ใหเ้ ห็นกันอยู่ทุกวนั น้ี เป็น
ฎกี าใหม่ มีชอื่ เรียกวา่ สารตั ถมญั ชสุ า แต่งโดยพระสารบี ุตร ผู้แตง่ สารตั ถทีปนี ฎีกานม้ี ี ๓
ภาค

๑๐๐

๕) วิสุทธมิ รรคฎกี า หมายถงึ คัมภีร์ท่ที าํ หนา้ ทอ่ี ธิบายความแหง่ วสิ ุทธิ
มรรคอรรถกถาซง่ึ เป็นอรรถกถาท่อี ธิบายความรวมของนกิ าย ๔ คือ ทีฆนิกาย มชั ฌิม
นิกาย สังยุตตนกิ าย และอังคตุ ตรนิกาย มี ๒ สาํ นวน สาํ นวนแรกเปน็ สํานวนพสิ ดารท่ี
นยิ มเรียกวา่ มหาฎีกา หรอื เรียกตามชื่อเฉพาะวา่ ปรมตั ถมญั ชูสา มี ๒ ภาค แตง่ โดย
พระธมั มปาละ สว่ นสํานวนท่ี ๒ เปน็ สาํ นวนสังเขป ท่นี ิยมเรยี กว่า จฬู ฎีกา หรือ สังเขป
ฎีกา หรอื เรียกว่าตามชื่อเฉพาะว่า สังเขปตั ถโชตนี เชือ่ กนั วา่ แตง่ โดยพระเถระชาวสิงหล
ผทู้ แี่ ตง่ มหาถูปวงศ์

๖) ขุททกนิกายฎีกา หมายถึงคมั ภีร์อรรถาธิบายความในขทุ ทกนกิ าย
ได้แก่

(๑) ปรมัตถสทู นี อธบิ ายความอรรถกถาขุททกปาฐะ (ปรมัตถโชตกิ า) มี
ชอ่ื เรยี กวา่ ปรมตั ถสทู นี แต่งโดยพระอาทจิ จวงั สเถระ สมยั พระเจ้าบะจตี ่อท่ี ๔ ครอง
รัตนาปรุ ะ ในประเทศพมา่ แตค่ ัมภรี น์ ย้ี ังอยใู่ นใบลานอกั ษรพม่า ยงั ไมเ่ คยได้รบั การ
จัดพมิ พ์

(๒) ธมั มปทตั ถทีปนี อธิบายค วามอรรถกถาธรรมบท ในคมั ภรี ป์ ิฏกัตต่อ
ตะไม ระบวุ ่า แต่งโดยพระเถระชาวสงิ หลรูปหนึ่ง ยงั ไมเ่ คยไดร้ ับการจัดพมิ พ์

(๓) ลีนตั ถปกาสินี อธบิ ายความอรรถกถาธรรมบท แตง่ โดยพระวร
สมั โพธิเถระ (พ.ศ. ๒๔๐๙) มีฉบบั พิมพอ์ ักษรไทยแล้ว เมื่อ พ .ศ. ๒๕๓๕ พมิ พ์โดยเสดจ็
พระราชกุศลในงานพระราชทานเพลิงศพพระวิสทุ ธาธิบดี เจา้ อาวาสวดั พระเชตุพนฯ
กรงุ เทพฯ

(๔) ลีนตั ถปกาสนิ ี อธิบายความชาดกอรรถกถา ในคัมภีร์คนั ถวงศ์และใน
คมั ภรี ์ปิฏกตั ต่อตะไม ระบวุ ่า คมั ภรี ์น้ี แตง่ โดยพระธัมมปาละ แต่อาจารยเ์ ลดไี ดว้ จิ ารณ์ไว้
ในหนังสือปารมีทปี นวี ่า ไม่น่าจะเปน็ งานเขยี นของพระธมั มปาละ เพราะสํานวนไม่คมคาย
เหมอื นกับคัมภีรอ์ น่ื ๆ ท่ีพระธมั มปาละรจนา

(๕) ชาตกฎกี า (ฎีกาใหม่) แต่งโดยพระปญั ญาสามเิ ถระ สมยั มัณฑเล
ประเทศพมา่

(๖) เนตติฎีกา อธบิ ายความอรรถกถาของพระบาลีเนตติ คัมภรี น์ ้ี ยังไม่
เป็นท่ที ราบชดั วา่ ผู้ใดแต่ง แตใ่ นคัมภรี ์คนั ถว งศแ์ ละคมั ภีร์ปฏิ กัตตอ่ ตะไม ระบุว่า
พระธัมมปาละเป็นผู้แต่ง


Click to View FlipBook Version