๑๐๑
(๗) เนตตวิ ิภาวินี อธิบายความพระบาลีเนตติ ความของอรรถกถาเนตติ
และฎกี าเนตติ แต่งโดยพระมหาเถระผ้ทู รงสมณศกั ดิ์ ข้นั สมเด็จท่ี “พระสัทธมั มปาลสิริ
มหาธมั มราชคุรุ” แหง่ ประเทศพมา่ เมอื่ พ.ศ. ๒๑๐๗
(๘) เปฏกาลงั การะ (เนตติมหาฎกี า) อธบิ ายความแหง่ อรรถกถาของพระ
บาลีเนตติเชน่ เดียวกนั เปน็ ฎกี าทแ่ี ตง่ ข้นึ หลังสุด ในบรรดาเนตติฎีกาทีม่ ีอยู่ โดย
พระญาณาภิวังสธมั มเสนาบดี พระสังฆราชแห่งพมา่ (พ.ศ. ๒๓๒๔) ซึง่ เปน็ องค์เดียวกนั
กบั ทแ่ี ต่งสีลักขนั ธวคั คอภนิ วฎกี า
อน่งึ ยงั มฎี ีกาสาย ขทุ ทกนกิ ายอีกหลายคัมภีร์ซึง่ ในคัมภีร์ปิฏกตั ต่อตะไมระบุว่ามี
อยใู่ นศรลี งั กา เช่น คัมภีร์ดงั ตอ่ ไปน้ี
(๙) อทุ านฎีกา ไขความอุทานอรรถกถา
(๑๐) อติ วิ ตุ ตกฎกี า ไขความอติ วิ ุตตกอรรถกถา
(๑๑) สตุ ตนิบาตฎีกา ไขความสตุ ตนบิ าตอรรถกถา
(๑๒) วมิ านวตั ถุฎีกา ไขความวมิ านวัตถุอรรถกถา
(๑๓) เปตวัตถุฎกี า ไขความเปตวตั ถุอรรถกถา
(๑๔) เถรคาถาฎีกา ไขความเถรคาถาอรรถกถา
(๑๕) เถรีคาถาฎีกา ไขความเถรีคาถาอรรถกถา
(๑๖) เถราปทานฎกี า ไขความเถรอปทานอรรถกถา
(๑๗) พทุ ธวังสฎกี า ไขความพทุ ธวงศอ์ รรถกถา
(๑๘) จรยิ าปฏิ กฎีกา ไขความจริยาปฎิ กอรรถกถา
(๑๙) มหานิทเทสฎกี า ไขความมหานทิ เทสอรรถกถา
๗) ฎีกาสจั จสังเขป พระวาจิสสระเปน็ ผู้แต่ง ท่ลี งั กา
๘) ฎีกามหาพุทธคณุ ไมป่ รากฏชอื่ ผแู้ ต่ง
๙) ฎีกาธมั มจกั กัปปวัตนสูตร ไมป่ รากฏชื่อผูแ้ ตง่
๑๐) ฎกี านโม เป็นฎีกาทอ่ี ธบิ ายคาํ นมสั การ คือ นโม ว่า มูลเหตมุ า
อย่างไร ไม่ปรากฏชอ่ื ผแู้ ต่ง
๑๑) ฎกี าพาหุ เป็นฎีกาท่ีแกช้ ยั มังคลคาถา ๘ ประการ ไม่ปรากฏชอื่ ผู้
แต่ง
๑๐๒
๑๒) ฎีกามาลยสตู ร เปน็ ฎกี าทก่ี ล่าวถึงพระโมคคัลลานะไปเทีย่ วนรก
สวรรคแ์ ล้วนําเร่ืองราวต่างๆ ท่ไี ด้พบเห็นในนรกสวรรค์ มาบอกใหม้ นุษยร์ ู้ ไมป่ รากฏชื่อผู้
แต่ง
๔.๔.๑.๓ ฎีกาพระอภธิ รรมปฎิ ก
ฎกี า เปน็ คมั ภีร์ทเี่ กิดรองจากอรรถกถา ฎกี า แปลวา่ วาจาเครอ่ื งกาํ หนดถงึ
นยั เฉพาะคาํ ทพี่ ดู ความม่งุ หมายของฎกี ากค็ อื การอธิบายคาํ ในอรรถกถาท่ยี าก ใหเ้ ขา้ ใจ
งา่ ยขึน้ เปน็ คัมภีร์อ้างเป็นหลกั ฐานชนั้ ๓ มีรายชือ่ ดงั น้ี
๑) ลนี ตั ถโชตนา มูลฎีกาธัมมสงั คณี พระอานนั ทาจารย์ แต่งที่ลงั กา
๒) ลีนตั ถโชตนา ฎกี าวิภังคปกรณ์ พระอานนั ทาจารย์ แตง่ ทลี่ งั กา
๓) ลนี ัตถโชตนา มูลฎกี าธาตกุ ถา พระอานันทาจารย์ แตง่ ท่ีลังกา
๔) ลนี ัตถโชตนา มลู ฎกี าปุคคลบัญญตั ิ พระอานนั ทาจารย์ แตง่ ทีล่ งั กา
๕) ลนี ตั ถโชตนา มูลฎกี ากถาวตั ถุ พระอานันทาจารย์ แตง่ ทลี่ งั กา
๖) ลีนตั ถโชตนา มลู ฎกี ายกม พระอานันทาจารย์ แต่งท่ลี งั กา
๗) ลีนัตถโชตนา มลู ฎกี าปัฏฐาน พระอานนั ทาจารย์ แต่งท่ีลงั กา
๘) มธสุ ารัตถทีปนี ฎีกาอภธิ รรม ทง้ั ๗ คัมภีร์ พระพุทธจุฬาภาตกิ เถระ
แตง่ ทเ่ี มืองหงสาวดี
๙) ปรมตั ถวภิ ูสนี ฎีกาธาตุกถา พระมหาตโิ ลกครุ แต่งเม่อื พ.ศ. ๒๑๕๗
๑๐) อภิธัมมตั ถวิภาวนิ ี ฎกี าอภธิ ัมมาวตาร พระสุมังคลเถระ เปน็ ผแู้ ต่ง
๑๑) อภธิ ัมมตั ถวภิ าวินี ฎีกาอภธิ ัมมัตถสงั คหะ พระสุมงั คลเถระ เป็นผแู้ ตง่
๑๒) สงั เขปวัณณนา ฎกี าอภธิ ัมมัตถสังคหะ พระโชตปิ าลเถระ เปน็ ผู้แตง่
๑๓) อผคั คุสารตั ถทปี นี จูฬฎีกาอภธิ มั มตั ถสงั คหะ พระมหาสุวรรณปทีป
แต่งท่ีเมืองเชียงใหม่
๑๔) มธุสารตั ถทปี นี ฎกี าอธบิ ายความแหง่ มูลฎีกา พระอานันทเถระ ชาว
พม่า แตง่ ที่เมืองหงสาวดี ประเทศพมา่
๑๕) มณสี ารมัญชุสา นวฎกี าอภธิ มั มตั ถสงั คหะ คัมภีร์เป็นกุ ญแจ หรอื หวั ใจ
ของอภธิ ัมมตั ถวภิ าวนิ ี พระอรยิ วงสะเมืองสกาย พม่าภาคเหนอื เปน็ ผู้แต่ง
๑๖) ฎกี าเขมาปกรณะ พระเขมกะ เป็นผู้แตง่
๑๐๓
๑๗) ปรมัตถทปี นฎี กี า เป็นคมั ภีรอ์ ธบิ ายอภธิ ัมมัตถสงั คหะ และอภิธมั มตั ถ
วภิ าวินี เป็นวรรณกรรมภาษาบาลรี ุ่นปจั จุบัน ค้านความเห็นในอภธิ มั มั ตถวภิ าวินีทุก
ปรจิ เฉท และไดร้ ะบชุ อื่ อภิธมั มตั ถวภิ าวินไี วร้ วม ๑๗๔ ครงั้ ทา่ นอาจารย์เลดี คือ อู
ญาณะหรอื ญาณธชะ ชาวพม่าตอนเหนอื เปน็ ผู้แตง่
๑๘) มขุ มัตถกถา โปราณฎกี าปรมตั ถวนิ ิจฉยั ไมป่ รากฏชอื่ ผู้แต่ง
๑๙) ฎกี าปรมตั ถวินจิ ฉยั ไม่ปรากฏชือ่ ผ้แู ต่ง
๒๐) ลนี ตั ถปกาสนิ ี โปราณฎกี านามรปู ปรจิ เฉท ไมป่ รากฏช่ือผแู้ ตง่
๒๑) โปราณฎีกาอภธิ ัมมาวตาร ไมป่ รากฏชอื่ ผ้แู ต่ง
๒๒) ฎีกาหลวง คอื แก้มาตกิ า ไม่ปรากฏชือ่ ผแู้ ตง่
๔.๔.๒ ประเภทของอนุฎกี า
อนฎุ ีกา เปน็ คัมภรี ใ์ หม่ แตง่ เพ่มิ เตมิ ภายหลงั เปน็ คมั ภีรล์ าํ ดบั ที่ ๔ ตอ่ จาก
พระไตรปิฎก อรรถกถา และฎกี า แบ่งเปน็ ๓ ประเภทตามสายแหง่ พระไตรปฎิ ก คือ อนุ
ฎีกาพระวนิ ัยปิฎก อนฎุ กี าพระสุตตนั ตปฎิ ก และอนุฎกี าพระอภิธรรมปฎิ ก
๔.๔.๒.๑ อนฎุ กี าพระวนิ ยั ปฎิ ก
อนฎุ กี า ไดแ้ ก่ ฎกี าใหมท่ แี่ ตง่ เพิม่ เติมภายหลัง คําบาลเี รียกว่า อภนิ วฎีกา
แปลว่า ฎกี าใหม่ อนุฎกี า มรี ายช่ือ ดงั นี้
๑) วนิ ยลักขาฎกี า พระมุนนิ ทโฆสะ แต่งทปี่ ระเทศพมา่
๒) ขทุ ทกสกิ ขาฎีกา เรยี กวา่ สุมังคลปสาทนีฎกี าก็ได้ พระสังฆรกั ขิต แต่งที่
เมืองวิชัยปรุ ะ
๓) มลู สิกขาฎีกา เรียกว่า วิมติจเฉทฎกี าก็ได้ พระสมนั ตคุณสาคระ แตง่ ที่
เมืองวชิ ยั ปรุ ะ
๔.๔.๒.๒ อนฎุ กี าพระสุตตนั ตปิฎก
อนุฎีกาพระสตุ ตนั ตปิฎก เป็นคัมภีร์แต่งเพิ่มเตมิ ภายหลงั เพอื่ อธิบาย
เนื้อความภายในฎกี าแหง่ สุตตันตปฎิ กให้มีความชดั เจนมากยิ่งขน้ึ ดังนี้
๑) เอกังคุตตรฎกี าคมั ภรี ใ์ หม่ พระสารบี ุตร ชาวลงั กาแตง่
๒) ทุกงั คุตตรฎีกาคัมภีรใ์ หม่ พระสารบี ตุ ร ชาวลงั กาแต่ง
๓) ติกังคุตตรฎีกาคมั ภรี ์ใหม่ พระสารีบุตร ชาวลังกาแต่ง
๑๐๔
๔) จตกุ กังคตุ ตรฎกี าคัมภีร์ใหม่ พระสารบี ตุ ร ชาวลงั กาแต่ง
๕) ปญั จกังคตุ ตรฎกี าคัมภีร์ใหม่ พระสารีบุตร ชาวลังกาแต่ง
๖) ฉักกังคุตตรฎีกาคมั ภรี ์ใหม่ พระสารบี ุตร ชาวลังกาแต่ง
๗) สัตตังคตุ ตรฎกี าคัมภีรใ์ หม่ พระสารีบุตร ชาวลังกาแตง่
๘) อัฎฐงั คตุ ตรฎกี าคมั ภรี ์ใหม่ พระสารบี ตุ ร ชาวลงั กาแตง่
๙) นวงั คุตตรฎีกาคมั ภรี ใ์ หม่ พระสารบี ตุ ร ชาวลงั กาแตง่
๑๐) ทสังคุตตรฎกี าคมั ภีร์ใหม่ พระสารบี ตุ ร ชาวลงั กาแต่ง
๑๑) เอกาทสังคุตตรฎกี าคมั ภีร์ใหม่ พระสารบี ตุ ร ชาวลังกาแต่ง
๑๒) ธัมมปทัฎฐกถาฎีกาคัมภีร์ใหม่ พระวรสมั โพธแิ ตง่
๑๓) เปฎกาลังการฎกี าคัมภรี ์ใหม่ พระสังฆราช ญาณวังสะ ธรรมเสนาบดี
แตง่
๓. อนฎุ ีกาพระอภธิ รรมปฎิ ก
อนฎุ ีกา เป็นคัมภีรท์ ่อี ธบิ ายฎีกาอกี ช้ันหนึง่ ความจริงอนฎุ กี าท้งั หลาย ทา่ น
เรยี กมูลฎีกาของอภิธรรมเท่านั้น วา่ “อนฎุ ีกา” อนุฎกี าอภิธรรมมีรายชื่อดังนี้ คอื
๑) ลนี ตั ถปกาสนิ ี อนฎุ กี าธัมมสังคณี พระอานันทะ แต่งที่ลงั กา
๒) ลนี ตั ถปกาสนิ ี อนุฎกี าวภิ งั คปกรณ์ พระอานันทะ แต่งทลี่ งั กา
๓) ลีนตั ถปกาสินี อนฎุ กี าธาตุกถา พระอานันทะ แตง่ ทลี่ งั กา
๔) ลีนตั ถปกาสินี อนฎุ ีกาปุคคลบญั ญตั ิ พระอานันทะ แต่งท่ีลังกา
๕) ลีนตั ถปกาสนิ ี อนฎุ กี ายมกปกรณ์ พระอานันทะ แตง่ ที่ลังกา
๖) ลนี ัตถปกาสินี อนุฎีกาปัฏฐาน พระอานนั ทะ แตง่ ทลี่ ังกา
๗) อภธิ ัมมตั ถวิภาวนิ ฎี ีกาคัมภีร์ใหม่ พระสมุ ังคละแตง่ ท่ีลังกา
๘) อภิธัมมาวตารฎกี า คัมภีร์ใหม่ พระสุมังคละ แตง่ ทล่ี ังกา
๙) ปรมตั ถวินจิ ฉยฎกี า คัมภีรใ์ หม่ ไมป่ รากฏชอื่ ผู้แตง่
๑๐) นามรปู ปรจิ เฉทฎีกา คัมภีรใ์ หม่ ไมป่ รากฏช่อื ผู้แต่ง
๑๑) สจั จสังเขปฎกี าคัมภรี ์ใหม่ เรียกวา่ สารตั ถสาลินฎี กี าก็ได้ ไมป่ รากฏช่อื
ผแู้ ต่ง
๑๒) ปรมตั ถมัญชสุ า อนุฎกี าอภิธมั มตั ถสังคหะ ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง
๑๓) มณิสารมัญชุสา อนุฎกี าอภิธมั มตั ถสงั คหะ ไม่ปรากฏชอื่ ผแู้ ต่ง
๑๐๕
๔.๔.๓ ประเภทของโยชนา
โยชนา คือ คัมภีร์ท่อี ธิบายความหมาย ของศพั ท์และความสมั พันธ์ในประโยค
ของภาษาชว่ ยใหก้ ารแปลคัมภีรอ์ รรถกถาและฎีกาได้ชดั เจนยง่ิ ขึน้ แบง่ เป็น ๓ ประเภท
ตามสายแห่งพระไตรปฎิ ก คอื โยชนาพระวนิ ัยปฎิ ก โยชนาพระสุตตนั ตปิฎก และ
โยชนาพระอภธิ รรมปฎิ ก
๔.๔.๓.๑ โยชนาพระวินยั ปิฎก
โยชนาพระวนิ ยั ปิฎก คือ คัมภรี ์ทอ่ี ธบิ ายความหมายของศัพทแ์ ละความสมั พนั ธ์
ในประโยคของภาษา ซึ่งเปน็ อุปกรณ์ในการแปลคมั ภีร์อรรถกถาและฎีกาวินัยอย่างแจ่ ม
ชดั คมั ภีรโ์ ยชนาวินัยเทา่ ที่ปรากฏหลักฐาน มดี ังนี้
๑) ปาจิตตยิ าทอิ รรถกถาโยชนา พระชาคราภิวงั สะ วดั ทักขณิ าราม เมือง
มณั ฑเลเป็นผู้แต่ง
๒) ขุททกสิกขาโยชนา พระเถระวนาวาสี ไม่ปรากฏนาม แต่งท่เี มืองสกาย
๓) วนิ ยวนิ ิจฉยโยชนา พระเถระวนาวาสี ไมป่ รากฏนาม แต่งทเี่ มืองสกาย
๔) โยชนาวินยวนิ จิ ฉยสงั คหะ พระมหาราชครู เปน็ ผู้แต่ง ที่เมืองพมา่
๕) สมนั ตปาสาทกิ าอรรถโยชนา เปน็ คัมภรี ์โยชนาวินยั แบ่งเป็น ๕ คัมภรี ์
คือ แกต้ ั้งแต่คมั ภีร์อาทกิ ัมมะ ไปจนถึงคมั ภรี ์บรวิ าร พระญาณกติ ตเิ ถระ เป็นผ้แู ตง่ ทเี่ มือง
เชยี งใหม่
๔.๔.๓.๒ โยชนาพระสุตตนั ตปิฎก
โยชนาพระสตุ ตันตปฎิ ก เป็นคัมภรี ท์ ่อี ธิบายอรรถกถาโดยวิธงี ่ายๆ เป็นการ
อธิบายบทและพากยท์ ่ีมวั ร้ไู ดย้ าก และเป็นทีเ่ ง่อื นงาํ สลบั ซับซ้อน รายช่อื ของคมั ภรี ์
โยชนาพระสตุ ตนั ตปิฎก คอื
๑) นธิ กิ ณั ฑสุตตอัตถโยชนา พระจารินทาละ หรอื พญาจี สยาดอ เปน็ ผูแ้ ตง่
๒) ธมั มปทัฏฐกถาคาถาโยชนา พระสิรสิ ุมังคลเถระ แต่งทีป่ ระเทศพมา่
๓) ตุลตั ถโยชนา พระอุกกงั วังสมาลา เปน็ ผูแ้ ต่ง
๔) ปจั จเวกขณโยชนา พระอกุ กงั วงั สมาลาเป็นผู้แต่ง
๑๐๖
๔.๔.๓.๓ โยชนาพระอภธิ รรมปิฎก
โยชนาพระอภธิ รรมปฎิ ก คอื คัมภรี ท์ อ่ี ธิบายอรรถกถาพระอภิธรรมปฎิ ก โดยวิ ธี
งา่ ยๆ เปน็ การอธบิ ายบทและวากยะเป็นตน้ ของอรรถกถานั้น มีรายชื่อ ดังน้ี คือ
๑) โยชนาอรรถกถาสาลินี พระญาณกิตตเิ ถระ แต่งที่เชียงใหม่
๒) โยชนาธาตุกถา พระญาณกิตตเิ ถระ แต่งทเ่ี ชยี งใหม่
๓) โยชนาสมั โมหวโิ นทนี พระญาณกิตติเถระ แตง่ ท่เี ชียงใหม่
๔) โยชนากถาวตั ถุ พระญาณกิตติเถระ แต่งทีเ่ ชยี งใหม่
๕) โยชนาปฏั ฐาน พระญาณกติ ติเถระ แต่งทเี่ ชียงใหม่
๖) โยชนาฎีกาอภธิ ัมมัตถสังคหะ พระญาณกิตติเถระ แตง่ ท่เี ชียงใหม่
๗) ธาตุกถามลู ฎกี าโยชนา พระสารทัสสี หรอื ปุพพารามสยาดอแต่ง
๘) สงั คหโยชนา พระกวิธชะ เป็นผแู้ ตง่
๙) ธาตวุ ัตถุโยชนา พระจารนิ ททาสภะ เปน็ ผู้แตง่
๑๐) โยชนาปาลอี ภธิ ัมมตั ถสงั คหะ ไม่ปรากฏชอื่ ผแู้ ต่ง
๔.๕ กาเนิดและพฒั นาการของฎีกา อนุฎกี าและโยชนา
ในพทุ ธศตวรรษที่ ๙ รัชสมัยพระเจา้ มหานามแห่งลังกา ได้มีการฟ้ืนฟวู รรณกรรม
ภาษาบาลีขน้ึ ขนานใหญ่ เป็นผลงานของคณะสงฆแ์ ห่งมหาวิ หาร ผลงานนี้ทาํ ใหค้ ณะสงฆ์
มหาวิหารรงุ่ เรอื งนําหนา้ คณะสงฆ์แห่งอภยั คริ วี ิหาร คณาจารย์ผมู้ บี ทบาทสําคญั ในการ
ทํางานดงั กล่าวนี้ คือ พระพุทธโฆษาจารย์ ซงึ่ เปน็ ผูช้ าํ ระวรรณกรรมภาษาบาลี โดย
ถ่ายทอดจากภาษาสิงหลกลบั เป็นภาษามคธ ผลงานนี้ คอื อรรถกถาทัง้ หลาย
ประวัตคิ วามเปน็ มาของคัมภีรฎ์ ีกาในพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ ในรชั สมยั พระเจา้
ปรักกมพาหุมหาราช ซ่ึงต้งั เมอื ง หลวงอยทู่ ีป่ รุ ัตถนิ คร หรอื โปโฬนนรุวะ ได้ทรงอปุ ถมั ภ์
คณะสงฆ์ ซึ่งสบื สายมาจากฝา่ ยมหาวหิ าร ประชมุ แต่งฎีกา มพี ระมหากัสสปะแหง่ อทุ ุมพร
คริ วี ิหารเป็นประมขุ ในการน้ี พระสารบี ุตร ไดเ้ ขียน สารัตถทีปนี ฎกี าพระวินยั พระอานัน
ทาจารยไ์ ด้เขียนมูลฎกี า แก้ พระอภิธรรม และมคี ณาจารยต์ อ่ มาอีกหลายรปู ได้แต่งฎีกา
๑๐๗
บา้ ง อนุฎีกาบา้ ง เปน็ เหตใุ ห้พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทสาํ นักมหาวิหาร แพรห่ ลาย
ออกไปในต่าง ประเทศมี ไทย พม่า มอญ ลาว เป็นต้น๙๖
วรรณคดฎี ีกาบาลี มชี อ่ื เรียกความหมายและลกั ษณะแตกตา่ งกันตามสมยั เปน็ ๓
แบบ
สมัยที่ ๑ (ระหว่างพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔-๑๕) ฎกี าในสมัยนมี้ ีความหมายถงึ หนังสือ
อธบิ ายความหมายของคาํ และความในอรรถกถา ฎกี าเลม่ แรก คอื อภธิ มั ม-อัฏฐกถา-
ลีนัตถวณั ณนา ซ่ึงนิยมเรยี กกันในสมยั หลังวา่ อภธิ ัมมมูลฎีกา ผู้เขยี น คือพระอานนท์
ฎีกาอีก ๓ เลม่ ท่ีมหี ลักฐานวา่ เขียนในสมัยน้ี คือ ฎกี าของสุมังคลวิลาสนิ ี ทฆี นกิ าย- อรรถ
กถา ฎกี าของปปัญจสูทนี มชั ฌมิ นิกายอรรถกถา และฎกี าของสารัตถวิลาสินี สงั ยุตต
นกิ ายอรรถกถา ทง้ั ๓ เลม่ เป็นงานของพระธรรมปาละ ผู้เขยี นอรรถกถาของขุททกนกิ าย
หลายเลม่ ขอ้ ควรสังเกต คอื ทั้งพระอานนท์และพระธรรมปาละ เรียกงานอธิบายอรรถ
กถาของท่านว่า “ลีนัตถปกาสนา” แปลตามรปู ศัพทว์ า่ การอธบิ ายความหมายที่
ลึกลับกากวม ยังไมม่ ีการใชค้ าํ ว่า ฎกี า กนั อย่างแพร่หลายในครง้ั น้นั
สมัยท่ี ๒ (ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖) สมัยนเ้ี รยี กผลงานประเภทอธิบาย
ความหมายในอรรถกถาว่า คณั ฐบิ ท ส่วนใหญ่เขียนด้วยภาษาสงิ หล ทีเ่ ขยี นดว้ ยภาษา
บาลีก็มีบา้ งแต่เป็นส่วนน้อย หนงั สอื คณั ฐบิ ทในสมยั น้ี ไดแ้ ก่หนังสือต้นฉบบั และ
แหล่งขอ้ มูลสาํ หรับฎีกาจารยใ์ นสมัยท่ี ๓ เหมือนกบั ท่ีอรรถกถาสิงหลเป็นตน้ ฉบับและ
แหล่งขอ้ มลู สําหรับอรรถกถาจารย์ในสมัยอนุราธปุระ ปจั จุบนั คมั ภรี ์คัณฐบิ ทไดห้ าย
สาบสูญเชน่ เดยี ว กับอรรถกถาสิงหล เรารู้จักคัณฐิบทได้จากงานฎกี าในสมยั ที่ ๓ เช่น ใน
คมั ภีรส์ ารัตถทีปนวี ินยฎีกาของพระสารีบตุ ร ในสมยั พระเจา้ ปรกั กมพาหุที่ ๑ ได้
กล่าวถึงคัณฐบิ ทซึง่ ทา่ นใชเ้ ปน็ หลกั ในการเขยี นงานฎีกาวา่
“มหาคณฺฐิปเทติ วา มชฌฺ ิมคณฐฺ ิปเทติ วา จูฬคณฺฐิปเทติ วา วตุ ฺเต
สงิ หลคณฺฐปเทสูติ คเหตพฺพํ เกวลํ คณฐฺ ปิ เทติ วุตเฺ ต มคธภาสาย
สิกขฺ เิ ต คณฐฺ ิปเทติ คเหตพพฺ ํ”
๙๖ เสถียร โพธนิ ันทะ , ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, พมิ พค์ รง้ั ที่ ๓. (กรงุ เทพมหานคร :
มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐), หนา้ ๕-๙.
๑๐๘
หมายความวา่ ในพระวินัยฎกี าของทา่ น ที่ชือ่ วา่ มหาคัณฐิบท มชั ฌมิ คณั ฐิ
บท และจฬู คณั ฐิบท หมายถึง คัณฐิบทฉ บบั ภาษาสงิ หล ส่วนที่ชือ่ วา่ คณั ฐบิ ทเฉยๆ
หมายถงึ คัณฐบิ ทฉบับภาษาบาลี
สมยั ท่ี ๓ (ระหว่างปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ ถึงพุทธศตวรรษท่ี ๑๘) สมยั น้ี เรียก
งานประเภทอธบิ ายอรรถกถาว่า ฎกี า เขียนเปน็ ภาษาบาลีมคี วามหมายกวา้ งกว่า
ลีนตั ถปกาสนา ในสมัยแรก คือมไิ ดห้ มายถึงเฉพาะคมั ภี รท์ ่ีอธิบายอรรถกถาของ
พระไตรปฎิ กเท่าน้ัน แต่ยงั หมายถงึ คมั ภีรอ์ ธบิ ายงานทเี่ ขยี นหลังสมัยพระไตรปฎิ ก
ทงั้ หมด ไดแ้ ก่ อรรถกถาพระไตรปฎิ ก พงศาวดาร ปกรณ์วเิ สส เปน็ ตน้ คมั ภรี ฎ์ ีกาใน
ตอนปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ ทสี่ ําคญั มี ๒ เลม่ คือ คัมภีร์วชิรพทุ ธิ และ คัมภีร์วมิ ตวิ ิ
โนทนี ทงั้ ๒ เล่มเป็นฎีกาของอรรถกถาพระวนิ ยั ปิฎก สว่ นคัมภีรฎ์ ีกาในช่วงศตวรรษ ที่
๑๒ โดยเฉพาะในสมยั ของพระเจา้ ปรกั กมพาหทุ ี่ ๑ มีจํานวนมาก ถอื ได้ว่าเปน็ ยคุ ที่
วรรณคดปี ระเภทฎีการ่งุ เรอื งทสี่ ดุ พระเถระผเู้ ป็นหวั หนา้ สําคญั ในการเขยี นฎีกาในสมยั
พระเจ้าปรกั กมพาหทุ ี่ ๑ คือ พร ะสารบี ุตร ในคํานําของคัมภีร์สารตั ถทีปนี- พระวนิ ยั ฎกี า
พระสารีบตุ รช้แี จงว่าท่านตอ้ งการเขยี นฎีกาท่ีอา่ นเข้าใจงา่ ย และมีความสมบรู ณ์พรอ้ มใน
ทุกดา้ น เพราะคมั ภรี ล์ นี ัตถปกาสนาของโบราณนน้ั มเี นือ้ ความบางตอนไมก่ ระจ่างชดั ยงั
ไม่เปน็ ทีเ่ ขา้ ใจของคนท้ังปวง สว่ นคณั ฐบิ ทก็เขยี นด้วยภาษาสงิ หล ไมเ่ ป็นงานของคน
ทวั่ ไป สว่ นที่เขียนดว้ ยภาษาบาลีแม้จะมอี ยู่บ้าง แต่กม็ กั ปนเ ปกับภาษาอืน่ เชน่ ภาษา
สิงหล เปน็ ต้น ไม่ใช่ภาษาบาลมี าตรฐาน จึงอ่านเข้าใจยากเช่นกัน ดงั น้ันเพือ่ แกป้ ัญหา
เร่อื งภาษาและปรบั ปรงุ เนอ้ื หาสาระให้ดีข้นึ ท่านจงึ จะเขียนฎกี าใหมแ่ ทนงานเหล่านัน้ ซึง่
จะมลี กั ษณะเป็นการวเิ คราะหอ์ ย่างสมบรู ณ์ ไม่มีข้อบกพรอ่ ง๙๗
“วินยฏฐฺ กถายาหํ ลีนสารตถฺ ทีปนึ กริสสฺ ามิ สวุ ญิ ฺเญยฺยํ ปริปุณณฺ ํ อนากุลํ โป
ราเณหิ กตํ ยนฺตุ ลนี ตถฺ สฺส ปกาสนํ น ตํ สพฺพตฺถ ภกิ ขฺ นู ํ อตฺถํ สาเธติ สพพฺ โส ทุวญิ ฺเญยยฺ
สภาวาย สหี ฬาย นิรตุ ตฺ ิยา คณฐฺ ิปเทสุ-เนเกสุ ลขิ ิตํ กิญจฺ ํ กตถฺ จิ มาคธกิ าย ภาสาย อรภิตฺ
วาปิ เกนจิ ภาสนตฺ เรหิ สมฺมิสฺสํ ลขิ ติ ํ กญิ จฺ เิ ทว จ ภาสนตฺ รํ ตโต หิตวฺ า สารํ อาทาย สพฺพ
โส อนากลุ ํ กรสิ ฺสามิ ปริปณุ ณฺ วินจิ ฉฺ ยํ”
ถอื วา่ คัมภรี ์ฎกี า อนุฎกี า และโยชนา เป็นสว่ นทพ่ี ระสงฆร์ ่นุ หลังไดแ้ ตง่ โดย
เลยี นแบบประเพณนี ิยมของพระสงฆช์ าวลังกา ซง่ึ เราไมอ่ าจระบุ หรอื กําหนดสมยั ไดแ้ น่
๙๗ สุภาพรรณ ณ บางช้าง, ประวัตวิ รรณคดบี าลใี นอนิ เดียและลังกา, หนา้ ๓๕๖-๓๕๘.
๑๐๙
ชัดเหมือนคัมภีร์แตง่ ขึน้ ในลงั กา แตจ่ ะอย่างไรก็ตาม ถือไวใ้ นขัน้ ตน้ ก่อนวา่ เปน็ คัมภีรท์ ่ี
แตง่ ภายหลงั จงึ เปน็ เรอ่ื งท่ีจะต้องศกึ ษาและค้นคว้าศึกษาตอ่ ไป
สรุปทา้ ยบท
คัมภีร์ฎีกา อนุฎกี า และโยชนา พทุ ธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญไ่ มร่ ูจ้ กั คัมภีร์
เหลา่ น้ี ซงึ่ เป็นคัมภีร์ทางฝ่า ยพระพทุ ธศาสนาของตนอย่างกว้างขวางและลกึ ซึ้ง ท่พี อจะ
รูจ้ ักกันกเ็ ห็นจะเป็นพระไตรปฎิ ก ส่วนคมั ภีร์นอกน้ันอกี เปน็ จํานวนมาก แทบจะไม่เปน็ ท่ี
รจู้ กั นอกจากในหมูน่ ักวิชาการทศ่ี ึกษาเรือ่ งนีโ้ ดยเฉพาะ ซงึ่ ก็มีเป็นจํานวนนอ้ ย ในบทนี้
กลา่ วถงึ คมั ภีร์ฎีกา อนฎุ ีกา และโยชนา ในสา ยของพระไตรปฎิ กและคมั ภรี ์อืน่ ทเ่ี ก่ียวกับ
วชิ าการด้านพระพุทธศาสนา โดยแบง่ เน้ือหาตามลําดับ ดังน้ี
ความหมายของฎกี า อนฎุ ีกาและโยชนา ซงึ่ ได้กล่าวถึงรากศัพท์ของคาํ ว่า ฎีกา
และสรปุ ความหมายวา่ มจี ุดหมายสําคัญเพ่อื อธิบายคําในอรรถกถาให้เข้าใจได้งา่ ยขน้ึ
และจะอธิบายเฉพาะข้อความทย่ี ากหรือไม่ชัดเจนมากกวา่ อย่างอืน่ เป็นหนงั สือที่
พยายามอธบิ ายความหมายให้งา่ ยขน้ึ หรือชัดเจนข้ึน
ในวรรณคดบี าลี “ฎีกา” หมายถงึ หนงั สืออธบิ ายอรรถกถาโดยเลือกคาํ หรอื ความ
ท่ยี ากในอรรถกถาข้ึนอธบิ ายใหเ้ ข้าใจงา่ ย ไม่ใช่อธบิ ายความหมายของคําทุกคํา อย่างใน
วรรณคดสี ันสกฤต หรอื เขียนเปน็ ภาษาสันสกฤตอย่างในศาสนาเชน และคัมภีรฎ์ กี าฝ่าย
เถรวาทในระยะแรกหมายเฉพาะถงึ คัมภรี ์ที่อธิบายอรรถกถาของพระไตรปฎิ ก แต่
ภายหลังมคี วามหมายกวา้ งข้ึน คอื หมายถงึ คัมภรี ท์ อี่ ธิบายความหมายของหนงั สือใดท่ี
ไมใ่ ช่อรรถกถาของพระไตรปิฎกกไ็ ด้ เช่น ฎกี าของพงศา วดารบาลี ฎกี าตําราไวยากรณ์
และฎกี าคมั ภรี ์วิสทุ ธมิ รรค เปน็ ตน้
“อนุฎกี า” ได้แก่ ฎีกาใหม่ทแ่ี ตง่ เพมิ่ เติมภายหลงั คําบาลีเรยี กว่า อภินวฏีกา
แปลวา่ ฎกี าใหม่ อนฎุ ีกาน้ัน แตง่ ขน้ึ มา เพ่ืออธบิ ายเน้อื ความในคมั ภีร์ฎีกา ให้มีความ
ชดั เจนยง่ิ ขึ้น เมอื่ เหน็ ว่าพระฎีกาจารย์อธิบายความในคัมภรี ฎ์ กี ายังไม่แจม่ แจง้
“โยชนา” ได้แก่ คมั ภรี ท์ ี่อธิบายความหมายของศัพทแ์ ละความสัมพันธ์ ใน
ประโยคของภาษา ซึง่ เปน็ อปุ กรณใ์ นการแปลคมั ภรี ์อรรถกถาและฎีกาไดอ้ ย่างชัดเจน
ความสาคญั ของฎีกา อนุฎกี าและโยชนา ถอื ว่าคมั ภรี ์เหลา่ น้ี ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจ
ความหมายของหลกั ธรรมคาํ สอนทางพระพทุ ธศาสนามากข้ึน เพราะเปน็ คัมภีรท์ ี่อธบิ าย
ขยายความของคัมภีร์อรรถกถาและคัมภรี อ์ ่นื ๆ ทงั้ ในด้านหลักธรรมคําสอนและ
๑๑๐
หลกั เกณฑท์ างภาษา โดยพระธรรมปาละไดก้ ําหนดวิธีอธิบายไว้ว่า ฎีกาในสมัยอนุราธปุ
ระมีลักษณะท่เี รยี กว่า “ลีนตั ถปกาสนา” มีลกั ษณะเปน็ การอธบิ ายความหมายของคาํ และ
ความทกี่ ํากวมเท่านั้น สว่ นคัมภีร์อนฎุ ีกาและโยชนามีลกั ษณะอย่างเดียวกนั คืออธบิ าย
ความเพมิ่ เติมจากคมั ภรี ฎ์ กี า ดังนน้ั พทุ ธบรษิ ัทและประชาชนท่ัวไปทศ่ี กึ ษาหลกั ธรรมคาํ
สอนในพระพทุ ธศาสนาจงึ ต้องค้นควา้ เพม่ิ เตมิ จากคมั ภีร์เหลา่ นี้
ประเภทของฎีกา อนุ ฎีกาและโยชนา คัมภีร์ฎีกา อนุฎกี าและโยชนามีจาํ นวน
เท่าไรน้นั ไมม่ กี ารระบุจาํ นวนไวเ้ ป็นที่ชัดเจน อาจแบง่ ตามสายพระไตรปฎิ กได้ ซงึ่ ได้
กลา่ วรายละเอยี ดในส่วนท่วี า่ ดว้ ยประเภทของคมั ภรี ์เหลา่ นีแ้ ล้ว
ประวตั แิ ละพัฒนาการของฎกี า อนฎุ กี าและโยชนา คมั ภรี ์ฎกี า อนุฎีกาและ
โยชนา มปี ระวตั แิ ละพฒั นาการตั้งแต่ในศตวรรษท่ี ๑๗ ในรชั สมยั พระเจ้าปรกั กมพาหุ
มหาราช ซ่งึ ตง้ั เมืองหลวงอยู่ท่ีปรุ ัตถินคร หรอื โปโฬนนรุวะ ได้ทรงอุปถมั ภ์คณะสงฆ์ ซึ่ง
สืบสายมาจากฝา่ ยมหาวิหาร ประชมุ แตง่ ฎีกา มีพระมหากสั สปะแหง่ อุทมุ พรคริ ีวหิ ารเป็น
ประมขุ ในการน้ี พระสารบี ุตร ไดเ้ ขียนสารัตถทีปนี ฎีกาพระวนิ ยั พระอานันทาจารย์ได้
เขยี นมลู ฎีกา แก้พระอภิธรรม และมีคณาจารย์ตอ่ มาอีกหลายรปู ได้แตง่ ฎีกาบ้าง อนฎุ กี า
บ้าง เป็นเหตุให้พระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทสํานกั มหาวหิ าร แพรห่ ลายออกไปในตา่ ง
ประเทศมี ไทย พมา่ มอญ ลาว เป็นต้น
๑๑๑
คาถามทา้ ยบท
๑. คําว่า ฎีกา ในภาษาสันสกฤตมีวิธกี ารอธบิ ายความหมายของคาํ และความก่ี
รูปแบบ ในแต่ละรูปแบบให้เสนอรูปวเิ คราะห์มาให้ดู
๒. คําวา่ ฎีกา มีความหมายวา่ อยา่ งไร และมจี ุดหมายสําคญั ในการเขียนเพ่อื อะไร
ขอฟังความคดิ เห็นตามทัศนะของท่าน
๓. คําวา่ อนฎุ ีกาและโยชนา มีความหมายวา่ อย่ างไร เป็นคมั ภรี ์ชั้นใด จงแสดง
แผนผงั ลําดับคัมภีรม์ าประกอบ
๔. ความสาํ คญั ของคัมภรี ์ช้นั ฎีกา อนุฎีกาและโยชนามมี าก อยากทราบว่า
ความสาํ คัญในขอ้ ใดทคี่ ดิ วา่ ควรนาํ มาเสนอให้ผศู้ กึ ษาคมั ภีร์ไดเ้ กดิ ศรัทธามากขนึ้ ใหเ้ ลือก
นําเสนอ ๒ ข้อ พร้อมอธิบาย
๕. ประเภทของฎกี า อนฎุ กี าแล ะโยชนามีการจําแนกประเภทไว้อย่างไร จงจาํ แนก
มาดพู ร้อมยกตัวอยา่ งประกอบ ๕ ตัวอยา่ ง
๖. กาํ เนิดและพฒั นาของฎีกา อนุฏีกาและโยชนามคี วามเปน็ มาอย่างไร อธบิ าย
๗. สมัยที่ ๓ (ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ ถงึ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘) มกี ําเนดิ และ
พฒั นาการของคมั ภีร์ช้นั ฎีกาอยา่ งไร และอะไรคื อจดุ เด่นของสมยั ที่ ๓ นี้ ขอทราบ
รายละเอยี ด
๑๑๒
เอกสารอา้ งองิ ประจาบท
ไกรวุฒิ มโนรตั น์. วรรณคดบี าลี ๑. กรุงเทพมหานคร : จรญั สนิทวงศก์ ารพมิ พ์, ๒๕๔๙.
พรพรรณ ธารานุมาศ, คณุ หญงิ . วรรณคดที ่ีเกีย่ วกบั พระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพมหา
นคร : มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๔๒.
พระมหาอดศิ ร ถริ สีโล. ประวัตคิ มั ภรี ์บาลี. กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวทิ ยาลัย,
๒๕๔๓.
พระวสิ ุทธาจารมหาเถระ. ธาตวัตถสงั คหปาฐนสิ สยะ. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหา
จุฬาลงกรณกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๕.
พระอัคควงั สเถระ. สัททนีติ ธาตมุ าลา. ตรวจชาํ ระ โดยพระธรรมโมลี (สมศักด์ิ อุปสโม)
แปลโดย พระมหานิมติ ธมฺมสาโร และนายจาํ รญู ธรรมดา. กรงุ เทพมหา
นคร : โรงพมิ พ์ หจก.ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๖
สภุ าพรรณ ณ บางชา้ ง, ดร., ประวตั วิ รรณคดบี าลใี นอนิ เดยี และลังกา. กรงุ เทพมหา
มหานคร : สาํ นกั พิมพจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย,๒๕๒๖.
เสถียร โพธินนั ทะ. ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา. พิมพ์คร้ังท่ี ๓. กรงุ เทพมหานคร :
มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐.
บทท่ี ๕
ปกรณว์ ิเสส
ผศ.โสวิทย์ บารงุ ภักดิ์
อาจารย์ประเพียร ภลู าด
วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนประจาบท
เมอ่ื ได้ศกึ ษาเน้อื หาในบทนี้แลว้ นสิ ติ สามารถ
๑. บอกความหมายของปกรณ์วิเสสได้
๒. วเิ คราะห์ความสําคญั ของปกรณว์ ิเสสได้
๑๑๓
๓. จาํ แนกประเภทของปกรณ์วเิ สสได้
๔. อธิบายกําเนดิ และพัฒนาการของปกรณ์วเิ สสได้
ขอบข่ายเน้อื หา
ความนาํ
ความหมายของปกรณว์ ิเสส
ความสาํ คญั ของปกรณว์ ิเสส
ประเภทของปกรณ์วิเสส
กําเนดิ และพฒั นาการของปกรณ์วิเสส
๑๑๔
๕.๑ ความนา
พระพุทธพจน์หรอื หลักคําสอนที่พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงไว้มี ๒ สว่ นคอื สจั ธรรม
และจริยธรรม สัจธรรมคอื สว่ นทว่ี า่ ดว้ ยความจรงิ ของโลกและชวี ติ ซงึ่ พระพุทธเจา้ จะ
บังเกดิ หรือไม่บังเกดิ ก็ตาม จะเป็นพระพทุ ธเจา้ ในอดตี ปัจจุบนั หรือในอนาคตกต็ าม จะ
ถกู เปดิ เผยหรือปกปิดอย่กู ็ตาม ความจรงิ ทว่ี ่าน้ันก็คงดาํ เนินไปอยู่อยา่ งนั้น คือคําสอน
ท่วี ่าด้วยหลักไตรลักษณ์ และหลกั ปฏิจจสมุปบาท สว่ นจรยิ ธรรม คือ หลกั คําสอนว่าดว้ ย
การดาํ เนินชวี ติ เปน็ ธรรมะที่ปรบั ไดค้ อื เลอื กทจี่ ะดาํ เนนิ ใหเ้ หมาะสมและสอดคลอ้ งกบั
ชีวิต สงั คม และธรรมชาติแวดล้อม หลกั คาํ สอนนี้จึงขึน้ อย่กู ับเงื่อนไข ไม่ไดเ้ ปน็ อิสระ
หรอื พูดถงึ ความจรงิ แทเ้ หมือนสัจธรรม
วรรณคดบี าลี เปน็ หนังสือหรอื เร่ืองราวทว่ี างอยูบ่ นพน้ื ฐานของความจรงิ ความ
งามและความดี อนั มีคําอธบิ ายทป่ี ระกอบดว้ ยเหตผุ ลและข้อเท็จจรงิ และส่วนหน่ึ งอาจ
แสดงอารมณค์ วามร้สู กึ นึกคิดความบนั ดาลใจ และจนิ ตนาการทส่ี ะท้อนถ่าย จากความจดั
เจนของชวี ิตและของโลก
โดยนยั ดังกลา่ วน้ี หลกั พทุ ธธรรม จึงเป็นเนอ้ื หาสาระโดยเปิดเผยหรอื ทีพ่ งึ
ประสงค์ ในการเรียบเรียงรวบรวมคัมภรี ต์ า่ งๆ ไว้ เปน็ ประมวลหลกั บัญญตั ธิ รรม คํา
วเิ คราะห์ แจกแจงให้ปรากฏ และให้รหู้ ลกั คาํ สอน (บญั ญัติ) เหล่านั้นโดยพิสดาร อีกสว่ น
หนง่ึ ทัศนะอันเป็นหลกั การและวิธกี ารเพือ่ ใหเ้ ขา้ ถงึ และวางทา่ ทตี ่อโลกและชีวิตตาม
ความเปน็ จริง อันเปน็ ประเดน็ ทีแ่ ตกตา่ งจากคัมภรี ห์ รือหนงั สือทวั่ ไป จากการที่มที ัศนะที่
แตกตา่ งออกไปจากแนวคิดเดิมดังกลา่ ว จึงเปน็ เหตใุ ห้เกดิ คัมภรี ์สําคัญที่เรยี กว่า ปกรณ์วิ
เสส และหากพิจารณาจากการจัดเรยี งลําดบั ยคุ ซงึ่ มผี ู้แบง่ เป็น ๓ ยคุ คือ ๑) ยุคกอ่ น
พระไตรปฎิ กหรอื ยุคพระธรรมวนิ ัย ๒) ยุคพระไตรปฎิ ก ๓) ยุคหลงั พระไตรปฎิ ก จะเห็น
ว่า ปกรณว์ ิเสส อยใู่ นยคุ หลังพระไตรปฎิ ก ดงั นี้
๑) ยคุ ธรรมวินยั หมายถึงยคุ พทุ ธกาล หรอื ยคุ กอ่ น พ.ศ. ๑
๒) ยคุ พระไตรปฎิ ก หมายถึงยุคทีพ่ ระสาวกองค์สาํ คญั ๆ ของพระพทุ ธเจา้ ผู้เป็น
พระอริยบุคคลช้นั พระอรหันต์ มพี ระมหากสั สปเถระ เป็นตน้
๑๑๕
๓) ยุคหลงั พระไตรปฎิ ก หมายถึงยคุ ท่พี ระสงฆ์สาวกไดแ้ ต่งคัมภีร์อธบิ ายขยาย
ความในพระไตรปฎิ กให้พิสดารออกไปเพอ่ื ความเข้าใจง่ายเป็นยุคที่ ๓๙๘ และคัมภรี ์
ปกรณว์ เิ สสกอ็ ยู่ในยคุ หลังพระไตรปิฎกนี้เอง โดยเรียงลําดับจากยคุ อรรถกถา ยคุ ฎกี า ยคุ
อนฎุ ีกา และยุคปกรณ์วเิ ศษ ซึ่งหมายถึงยคุ ท่ีมกี ารแตง่ หนังสอื เพอื่ อธบิ ายธรรมะใน
พระพทุ ธศาสนา ไมไ่ ด้อธิบายคัมภีรเ์ ล่มใดเลม่ หนง่ึ โดยเฉพาะหนังสือปกรณ์พิเศษเกดิ ขนึ้
ตา่ งยุคต่างสมยั กนั ยุคน้จี ะเรียกเปน็ ยุคหนง่ึ ต่างหากเหน็ จะไม่ชัดเจนนกั ส่วนยุคท่ตี อ่ จาก
ยคุ ปกรณพ์ เิ ศษได้แก่ ยุคโยชนา ยคุ ไวยากรณบ์ าลี ยุคพจนานุกรม ๙๙ และเมือ่ เรียง
ตามลําดับแล้วจะพบวา่ มยี ุคสาํ คญั อยู่ ๓ ยุค คือ ยคุ ก่อนพร ะไตรปฎิ ก ยุคพระไตรปิฎก
และยคุ หลังพระไตรปิฎก
ยคุ หลงั พระไตรปฎิ ก นบั เปน็ ยุคทพ่ี ระสาวกาจารย์ทงั้ หลายในภายหลัง ได้รจนา
คัมภีรอ์ รรถาธิบาย “พุทธวจนะ” ตามนัย สรปุ ได้ ๒ ประการ คอื ๑๐๐
๑) ปกรณนยั อธบิ ายพุทธพจน์ตามแนวคัมภีร์เกา่ แตไ่ มใ่ ชพ่ ระไตรปฎิ ก
โดยตรง ได้แก่ คัมภรี ์ มิลนิ ทปัญหา เนตตปิ กรณ์ วมิ ตุ ติมรรค วสิ ทุ ธมิ รรค เป็นตน้ เรยี ก
คมั ภรี เ์ หลา่ น้วี า่ ปกรณว์ เิ สส
๒) อัฏฐกถานยั อธบิ ายพุทธพจนต์ ามแนวอรรถกถาโบราณ คอื มหาอรรถกถา
กรุ ุนทอี รรถกถา และอฏั ฐสาลนิ ี เปน็ ตน้ คมั ภรี ท์ ีอ่ ธิบายพุทธพจนป์ ระเภทนี้ เรียกว่า
อรรถกถา
ส่วนการนบั ชว่ งระยะเวลาของยุคหลังพระไตรปฎิ กนั้น มีการนบั ช่วงตั้งแต่ พ .ศ.
๔๕๐ จนถึง พ .ศ. ๒๓๕๐ คือ นบั จากการทาํ สังคายนาครงั้ ที่ ๕ เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแล้ว และ
สิ้นสดุ เม่อื สงั คายนาคร้ังท่ี ๙ (พ.ศ. ๒๓๓๑) สมยั รัตนโกสนิ ทร์ตอนตน้ และในยุคน้อี าจ
แบ่งเปน็ สมยั ไดอ้ กี ๒ สมัย คือ๑๐๑
๙๘ พฒั น์ เพ็งผลา , ประวัตวิ รรณคดีบาล,ี (กรงุ เทพมหานคร : สาํ นกั พิมพ์มหาวิทยาลยั
รามคาํ แหง, ๒๕๔๒), หน้า ๑๑.
* สํานวนของ พฒั น์ เพ็งผลา ใชค้ ําวา่ ปกรณ์พิเศษ
๙๙ เรอื่ งเดยี วกัน, หน้า ๑๒.
๑๐๐ ไกรวฒุ ิ มะโนรัตน์, วรรณคดีบาลี ๑, (กรุงเทพมหานคร: จรัญสนทิ วงศ์การพมิ พ,์ ๒๕๔๙),
หน้า ๙๐.
๑๐๑ จริ ภัทร แกว้ กู่ , เอกสารคาสอนวิชาวรรณคดีบาล,ี มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราช
วิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น, ๒๕๔๒, หน้า ๑๙ – ๒๐. (อัดสาํ เนา)
๑๑๖
๑) สมัยลายลกั ษณอ์ ักษร เริม่ นับตงั้ แตส่ งั คายนาคร้งั ท่ี ๕ (พ.ศ. ๔๓๔) จนถงึ
สงั คายนาครง้ั ที่ ๗ (พ.ศ. ๑๕๘๗) อันเปน็ ระยะเวลาท่พี ระไตรปิฎกได้รบั การเขยี นเป็น
ลายลกั ษณอ์ ักษร ในใบลานภาษาบาลอี ักษรสีหล (ลงั กา) เป็นครั้งแรก แลว้ จึงแพรห่ ลาย
ไปส่สู ว่ นอ่ืนๆ ของโลก รวมทง้ั ภมู ภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้
๒) สมัยภาษาทอ้ งถน่ิ เริม่ นับตง้ั แต่ พ .ศ. ๑๖๐๐ เป็นต้นลงมา อนั เปน็ ช่วงที่
ประเทศต่างๆ ไดเ้ ก็บรวบรวมพระไตรปิฎกไวเ้ ป็นสมบัตขิ องตนๆ และไดป้ ริวรรตเป็น
อักษรตามแบบทีต่ นใช้อยูใ่ นเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบดว้ ยพระไตรปิฎกฉบับ
อกั ษรขอม อกั ษรสยาม อั กษรพม่า พรอ้ มกบั การแปลสภู่ าษาของตนๆ อีกเป็นจาํ นวน
มาก
สาํ หรบั การแบ่งเวลาสาํ หรบั ยุคหลังพระไตรปิฎกน้ัน พัฒน์ เพง็ ผลา ไดต้ งั้
ขอ้ สงั เกตวา่ การแบ่งไม่ไดเ้ ป็นไปตามลาํ ดับเวลาท่แี ท้จริงสําหรบั บางยุค เช่น ยุคปกรณ์
พเิ ศษ หรอื ยุคไวยากรณ์ หรือ ยคุ พจนานกุ รม มหี นงั สอื บางเล่ม ท่ีเกิดขนึ้ ก่อน เชน่
คมั ภีรม์ ลิ นิ ทปัญหา ทปี วงศ์ มมี ากอ่ นพระพทุ ธโฆสาจารยแ์ ตง่ อรรถกถาเสียอีก ทจี่ ดั ไวใ้ น
ยุคอรรถกถา ยคุ ฎกี า หรือ ยุคอนฎุ กี านั้น เป็นการจัดเข้ากลุม่ หนังสือตามลกั ษณะ
วชิ าการตา่ งหาก เชน่ มลิ นิ ทปญั หา แตง่ ข้ึนมาไม่ได้อธิบายขยายความคมั ภรี ใ์ ดคมั ภีร์
หนง่ึ โดยเฉพาะ หากเป็นการอธิบายธรรมะในพระพุทธศาสนาให้พสิ ดารออกไปเทา่ น้นั เอง
๑๐๒
จากท่กี ล่าวรายละเอยี ดมาท้ังหมดข้างตน้ คงชว่ ยใหผ้ ้ศู ึกษามองเห็นลําดบั ภาพ
ของการอธิบายคาํ สอนของพระพทุ ธเจ้าไดช้ ดั เจนมากข้นึ โดยเร่ิมทีพ่ ระพุทธเจ้ายังทรง
เทศนาคาํ สอนของพระองคแ์ กพ่ ระภกิ ษุและฆราวาสโดยทั่วไป และทรงบัญญัติพระวินยั
สาํ หรับพระภกิ ษุ แตห่ ลังจากพระองค์ทรงปรินพิ พานแลว้ กไ็ ดม้ ีการทอ่ งจาํ หลักธรรมคาํ
สอนและขอ้ ห้ามท่พี ระองค์ทรงบญั ญัตไิ ว้มาโดยมขุ ปาฐะ (ท่องจําสืบๆ มา ) จนถงึ การ
รวบรวมคําสอนโดยแยกเป็นปิฎกๆ จงึ เรยี กว่า พระไตรปิฎก และในยุคหลงั พระไตรปิฎ ก
ก็ไดม้ ีการอธบิ ายขอ้ ความในพระไตรปิฎกใหเ้ ข้าใจไดง้ า่ ยข้ึน จงึ เรียกวา่ อรรถกถา กาล
ตอ่ มากไ็ ด้มกี ารอธบิ ายข้อความในอรรถกถาอีก จงึ เรียกวา่ ฎีกา และแนวการยกขอ้ ความ
มาอธบิ ายให้ชดั ขึน้ มาสิน้ สุดลงท่ีอนฎุ ีกา
๑๐๒ พฒั น์ เพง็ ผลา, ประวัตวิ รรณคดบี าล,ี หนา้ ๑๓.
๑๑๗
แต่ในยคุ ต่อจากอนุฎีกาเป็นต้นไปถอื ได้ว่า เปน็ การเปล่ียนแปลงแนว การบนั ทึก
หลกั ธรรมคาํ สอนของพระพุทธเจ้า จากการแตง่ คมั ภรี ์อธบิ ายขอ้ ความในพระไตรปฎิ ก มา
เป็นการแตง่ เพ่ือแสดงภูมคิ วามรู้ ความคดิ เหน็ หรือการศึกษาคน้ ควา้ และรวบรวมจาก
คมั ภรี ์ต่างๆ มีความอิสระในการแต่ง โดยกําหนดเนอื้ หาเปน็ ของตนเองได้ ลกั ษณะการ
แต่งคมั ภีรใ์ นลักษณะทีก่ ล่าวมาจงึ เรียกว่า ปกรณว์ ิเสส
๕.๒ ความหมายของปกรณว์ ิเสส
ปกรณ์วเิ สส หมายถงึ คมั ภีรท์ ่ี.... คาํ ว่า ปกรณว์ ิเสส เรียกตรงตามศพั ทว์ ่า ปกรณ์
วิเสสบา้ ง หรอื เรียกใหต้ รงกับสถานะว่า คมั ภีรป์ กรณว์ ิเสสบา้ ง แต่ในเอกสารน้ี จะเรยี กวา่
ปกรณ์วิเสส ดงั นั้น ปกรณว์ เิ สส หมายถงึ หนงั สอื ท่ีแตง่ เพือ่ อธิบายธรรมะใน
พระพทุ ธศาสนา โดยไม่ไดอ้ ธิบายคัมภีร์เลม่ ใดเล่มหนึง่ โดยเฉพาะ ๑๐๓ หรอื
หมายถงึ หนังสอื ทที่ ่านแตง่ แสดงภูมริ ู้ ภูมิธรรมและความคดิ เห็น หรือค้นคว้าจาก
คัมภรี ต์ ่างๆ ตามแนวคิดทีเ่ กดิ ขน้ึ เองเปน็ อิสระ และกาหนดเน้อื หาเอง๑๐๔
ดงั นัน้ จึงสรุปความได้ว่า ปกรณ์วเิ สสเป็นคัมภรี ์หรอื หนงั สอื ทพี่ เิ ศษ หรือแตกตา่ ง
ไปจากคมั ภรี ท์ ้งั หลายทีม่ ีอยเู่ ดมิ ท่ีไม่ไดแ้ ต่งอธิบายธรรมะตามคมั ภีรใ์ ดคมั ภีรห์ นึง่
โดยเฉพาะอย่างอรรถกถา ฎกี าและอนฎุ กี า หากแต่เปน็ คมั ภีรห์ รอื หนังสอื ท่ที า่ นรจนาขึ้น
เพอ่ื แสดงความคดิ เห็นอนั เปน็ ภูมิรูห้ รือภูมธิ รรมของทา่ น โดยการศกึ ษาคน้ ควา้ และ
รวบรวมจากคมั ภรี ์ตา่ งๆ โดยกําหนดประเดน็ หรือเนอื้ หาได้ตามความประสงค์ของตนเอง
๕.๓ ความสาคญั ของปกรณ์วเิ สส
ความสาํ คญั ของปกรณว์ เิ สส เราสามารถศึกษาได้จากเนอื้ หาทั้งหมดของคัมภรี ์
ปกรณว์ เิ สส โดยสรุปความสาํ คัญได้ ดังนี้
๑๐๓ จริ ภทั ร แกว้ กู่ , เอกสารคาสอนวิชาวรรณคดบี าล,ี มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราช
วทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่ , ๒๕๔๒, หนา้ ๒๘. (อดั สาํ เนา)
๑๐๔ พฒั น์ เพ็งผลา , ประวัตวิ รรณคดบี าล,ี (กรุงเทพฯ : สํานกั พมิ พ์มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง,
๒๕๔๒), หน้า ๑๒.
๑๑๘
๑) เปน็ คัมภรี ์บนั ทึกคาํ สอนของพระพทุ ธเจ้าแบบโดยยน่ ยอ่ หรอื รวบยอด เพื่อให้
ผู้ศึกษาจดจาํ ได้ง่ายขน้ึ ซ่งึ จะมรี ปู แบบการเขยี นทเ่ี ป็นแบบเฉพาะ คือมคี าํ ปรารภคมั ภีร์
หมายถงึ คาํ เร่มิ แรกสําหรบั เปิดเรอื่ งราวก่อนทจ่ี ะดําเนนิ เหตุการณ์ต่อไป นิยมเขียนเปน็
ร้อยกรอง (คาถา) โดยใช้ฉนั ทลกั ษณ์ต่างๆ มีการกลา่ วเปน็ เรื่องเป็นราว จาระไนเนอื้ หา
อันเป็นคาํ อธบิ ายคาํ สอนโดยตรง มหี ลักเกณฑแ์ ละวิธีการอธิบายเปน็ แบบเฉพาะของ
ตนเอง และมีคําลงท้าย ได้แก่ คําสรุปตอนท้ายเรอ่ื ง
๒) เปน็ คมั ภีร์ที่เสนอหลักการและวิธกี ารในการอธิบายขยายความพระไตรปฎิ ก
แมค้ ัมภรี ์ปกรณ์วิเสสจะจัดชัน้ เปน็ ประเภทอรรถกถา แตม่ ิไดแ้ ต่งอธิบายความ
พระไตรปิฎกเหมอื นกับคมั ภีร์อรรถกถาท้งั ปวง แตม่ ุ่งเสนอแนะวิธีการอธบิ าย
พระไตรปฎิ ก หรอื หนงั สือแนะนาํ วิธกี ารการเขยี นอรรถกถาเท่านน้ั
๓) เป็นคมั ภีรท์ ีผ่ ู้แต่งไดแ้ ต่งข้ึนด้วยความเขา้ ใจธรรมชาตขิ องมนุษย์ น่ันคอื ผู้
แตง่ เข้าใจว่าการสรรเสรญิ และการนนิ ทาเป็นโลกิยธรรม แตค่ มั ภรี ์ปกรณ์วิเสสผู้แต่งได้
แต่งคาํ ยกยอ่ ง สรรเสรญิ และชมเชยคณุ พระรัตนตรัย โดยใช้คําทเ่ี ปน็ สุดยอดหรอื เปน็ จอม
(อาศริ วาทหรอื อาเศียรวาท) ซึ่งเปน็ คําท่กี รองดแี ลว้
๔) เป็นคมั ภรี ์ท่ีไดน้ าํ เนื้อหาทน่ี อกเหนือจากหลกั คาํ สอนในพร ะไตรปิฎก มา
เขยี นเปน็ ภาษาบาลี โดยคัมภีรท์ ่ีเขียนข้ึนเป็นคมั ภรี ์ทีว่ า่ ดว้ ยนทิ านพื้นบา้ น ตาํ นาน
วีรบุรษุ พงศาวดารและประวตั ศิ าสตร์ เปน็ ตน้
๕) เปน็ คมั ภรี ์ทก่ี ล่าวถงึ ความรูเ้ ร่อื งโลกและจักรวาล มีการอธบิ ายเนอื้ หาของ
เร่ืองแยกตามลักษณะของสตั ว์โลกและโอกาสโลก
๖) เป็นคมั ภรี ท์ ี่กลา่ วถงึ หน่วยนับ โดยเชื่อมโยงกบั มติ ทิ างนามธรรม ซงึ่
กอ่ ให้เกดิ คุณค่าและสาระเป็นอย่างมาก หากศึกษาโดยละเอียดแลว้ จะทาํ ให้พบ
ความหมายท่เี ช่อื มโยงสัมพันธ์กันระหว่างหนว่ ยนับภายในกบั ภายนอก วา่ มีความสมั พนั ธ์
และเชอ่ื มโยงกนั มากยิง่ กว่าการเปน็ เพยี ง Body Units เท่านน้ั หากแตเ่ ปน็ การก้าวไปสู่
ความ “หนว่ ยในใจ” ไดอ้ ยา่ งน่ามหัศจรรย์๑๐๕
๑๐๕ ประมวล เพง็ จันทร์ , ชัชวาล ปญุ ปัน , สงั ขยาปกาสกปกรณ์ และ สังขยาปกาสกฎกี า ,
การศกึ ษาทางไกลผา่ นระบบอนิ เตอร์เนท็ มหาวิทยาลัยเทย่ี งคืน , มหาวิทยาลัยเชยี งใหม,่ ๒๕๔๓,
หน้า ๒๔-๒๕..
๑๑๙
จากความสําคัญท่กี ลา่ วมาขา้ งตน้ ช่วยให้สรปุ ความไดว้ า่ คมั ภีรป์ กรณ์วเิ สส เป็น
คมั ภรี ท์ ่ีเปน็ ดจุ สะพาน ทีท่ อดสาระสาํ คญั ที่ปรากฏอยใู่ นพระไตรปิฎก เช่อื มโยงไปถึง
ประชาชนชาวบา้ นไดศ้ กึ ษาและทําความเขา้ ใจไดง้ า่ ยข้ึน อยา่ งเชน่ บทสวดสรรเสริญคณุ
พระรัตนตรยั เปน็ ตน้ ซึ่งการสวดสรรเสรญิ กเ็ ปน็ วิธกี ารที่ทําให้ผสู้ วดเกิดศรทั ธาในพระ
พทุ ธ พระธรรมและพระสงฆเ์ ปน็ อยา่ งมาก และเป็นวธิ กี ารท่ีชาวพุทธทวั่ โลกนยิ มปฏิบัติ
สบื กันมาตราบจนทุกวนั นี้
๕.๔ ประเภทของปกรณว์ เิ สส
คมั ภีร์ปกรณว์ เิ สส เปน็ หนงั สือทท่ี า่ นแตง่ แสดงภมู ริ ู้ ภูมิธรรม และความคดิ เห็น
หรือคน้ คว้ารวบรวมจากคมั ภรี ์ต่างๆ ตามแนวคดิ ทเ่ี กิดขนึ้ เองเปน็ อิสระ กาํ หนดตาม
เน้ือหาและแบบวิธีการเขยี นไว้ ๖ ประเภท คือ
๑) ธรรมวนิ ยั สงั เขป เป็นคมั ภรี ท์ ่อี ธิบายความบาลีในพระไตรปิฎกอยา่ งยน่ ยอ่
หรอื อธิบายแบบรวบยอดแทนการอธบิ ายเปน็ ปฎิ กๆ อยา่ งอรรถกถา เม่ือกําหนดชนั้ แลว้
คงเปน็ อรรถกถานน่ั เอง เชน่ ไดแ้ ก่
(๑) มิลนิ ทปัญหา แตง่ โดยพระจฬุ าภยมหาเถระ
(๒) วิสทุ ธิมรรค แตง่ โดยพระพทุ ธโฆสาจารย์
(๓) วมิ ุตติมรรค แตง่ โดยพระอปุ ติสสเถระ
๒) ธรรมวิภงั ค์ เป็นคมั ภีร์ทแี่ สดงหลักและวธิ วี ิเคราะห์แจกแจง พระธรรมและ
พระวินัย ไดแ้ ก่
(๑) เนตติปกรณ์ แต่งโดยพระมหากจั จายนะ
(๒) เนตตอิ รรถกถา แตง่ โดยพระธรรมปาละเถระ
(๓) เนตตวิ ภิ าวนิ ี แต่งโดยพระสทั ธธรรมปาลมหาธรรมราชคุรุ ชาวพมา่
๓) ธรรมวนิ ยั สดดุ หี รอื พทุ ธาทิภิถุติ เป็นคัมภรี ป์ ระเภทบทอศิรว าท ในปจั จุบันวา่
ดว้ ยการสรรเสริญพระรตั นตรัย คือพระพุทธคณุ ไดแ้ ก่ พระมหาปุรสิ ลักษณะ ๓๒
ประการ อนพุ ยญั ชนะ ๓๒ ประการ ไดแ้ ก่
(๑) ปชั ชมธุ พระพุทธปั ปยิ เถระแตง่ ขับสดดุ พี ระรตั นตรยั เป็นบท
ร้อยกรอง ๑๐๔ บท ทาํ นองศตกะทางสันสกฤต
๑๒๐
(๒) นมสั การปาฐะ พระโปราณาจารยแ์ ตง่
(๓) ชนิ าลงั การ พระพทุ ธรกั ขติ เถระแต่งเป็นร้อยกรอง ๒๗๑ บท
พรรณนาประวตั ขิ องพระพุทธเจ้า ตัง้ ประสตู ไิ ปจนถึงปรนิ ิพพาน
(๔) ชินจรติ พระเมธงั กรหรือนวรตั นเมธงั กรแต่งเป็นร้อยกรอง พรรณนา
ประวัตขิ องพระพุทธเจา้ คลา้ ยกับคัมภีรพ์ ุทธจริตของสนั สกฤต
๔) วังสปกรณ์ เป็นคมั ภีรท์ ี่กล่าวถึงตํานาน ประวตั ศิ าสตร์ ประวัตบิ คุ คล เปน็
ตน้ เชน่
(๑) มหาวงศ์ พงศาวดารลงั กา แต่งโดยพระมหานามเถระ
(๒) ทาฐาวงศ์ หรือทนั ตวงศ์ แต่งโดยพระธรรมกติ ตแิ ห่งประเทศศรี
ลังกา ว่าด้วยประวตั ิพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้าทม่ี าประดิษฐานในประเทศศรลี งั กา
(๓) สาสนวังสัปปทีปกิ าหรือศาสนวงศ์ ว่าดว้ ยประวตั ศิ าสตร์พุทธศาสนา แต่ง
โดยพระปญั ญาสามี ชาวพมา่ ๑๐๖ สาํ หรับประเภทท่ี ๕ รองศาสตราจารยจ์ ริ ภัทร แกว้ กู่ มี
ความเห็นทตี่ ่างออกไป กล่าวคือ หวั เหมอื นกนั แตร่ ายละเอยี ดต่างกัน (รวมท้งั ประเภทท่ี
๖ และประเภทที่ ๗ ด้วย) คือ วงั สปกรณ์ ว่าดว้ ยนิทานและตาํ นานพระพุทธศาสนา ได้แก่
สาสนวังสปั ปทีปิกา แต่งโดยพระปัญญาสามี สงั คตี ยวงส์ แต่งโดยพระวันรตั ชนิ กาลมาลี
ปกรณ์ แตง่ โดยพระรตั นปญั ญาเถระ๑๐๗
๕) โลกศาสตร์ เปน็ คัมภรี ท์ กี่ ล่าวถงึ กําเนดิ โลก ดวงดาวและจักรวาล ได้แก่
(๑) จักกวาฬทีปนี แต่งโดยพระสิริมงั คลาจารย์
(๒) โลกปั ปทีปกสาร แต่งโดยพระเมธงั กรณ์
๖) สงั ขยาปกรณ์ เปน็ คมั ภรี ท์ กี่ ล่าวถงึ การนบั ชั่ง ตวง วัด ได้แก่
(๑) สังขยาปกาสกะ แตง่ โดยพระญาณวิลาส
(๒) สงั ขยาปกาสกฎีกา แตง่ โดยพระสริ ิมงั คลาจารย์
จากประเภททกี่ ล่าวมาสอ่ื ให้ทราบวา่ ผู้แต่งมีความเข้าใจผูท้ จี่ ะรับสารคอื ธรรม ะ
ในพระไตรปฎิ กไดอ้ ยา่ งง่ายๆ โดยที่ผู้รบั ไมร่ ้สู ึกตวั โดยเริม่ ที่แตง่ แบบยน่ ยอ่ แสดงหลัก
วธิ กี ารแจกแจงหรอื วเิ คราะหธ์ รรมะ มีการสรรหาคาํ ท่เี ป็นยอดมาแต่งเปน็ คาํ ประพนั ธ์ มี
๑๐๖ ไกรวุฒิ มะโนรัตน,์ วรรณคดบี าลี ๑, หน้า ๑๐๙ - ๑๑๑.
๑๐๗ จิรภทั ร แก้วกู่ , เอกสารคาสอนวชิ าวรรณคดบี าล,ี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่ , ๒๕๔๒, หนา้ ๑๙ – ๒๐. (อดั สาํ เนา)
๑๒๑
การกล่าวถงึ นิทานพน้ื บา้ นและแฝงด้วยธรรมะ หรอื แมแ้ ต่ประวัติศาสตร์รวมท้งั เรื่องเลา่
ตา่ งๆ ดว้ ย และ สดุ ท้ายได้แต่งในส่ิงทอี่ ยู่ใกล้ตวั มนษุ ย์มากท่สี ุด น่นั คอื การนบั วตั ถสุ งิ่ ของ
ต่างๆ และเชื่อมโยงไปถึงมิตภิ ายในใจไดด้ ว้ ย ซงึ่ ถอื วา่ เปน็ ความชาญฉลาดย่ิงของ
ปราชญท์ างพระพุทธศาสนา
๕.๕ กาเนดิ และพฒั นาการของปกรณว์ ิเสส
คัมภรี ์ปกรณว์ เิ สสก็เหมอื นคัมภีร์อน่ื ๆ ทีมีการกาํ เนดิ และพัฒนาการมาตามลําดบั
สาเหตเุ พราะเม่อื พระอรรถกถาจารย์ท่านศกึ ษาคัมภีร์ชนั้ ต่างๆ แล้ว ท่านมีความร้แู ละ
ความคดิ ทเ่ี หน็ แปลกแตกต่างออกไปในลกั ษณะสรา้ งสรรค์ใหม่ ใหง้ า่ ยตอ่ การเข้าใจได้
มากข้นึ ซงึ่ สามารถศึกษาได้จากประเด็นกําเนิดและพฒั นาการปกรณว์ ิเสส ดงั นี้
๕.๕.๑ กาเนดิ ของปกรณ์วิเสส
บรรดาวรรณคดบี าลีทัง้ หลาย พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์ทสี่ าํ คญั และได้รบั การยก
ย่องในวงการศึกษาทัว่ ไป รองลงไปไดแ้ ก่อรรถกถาพระไตรปิฎก เฉพาะอยา่ งย่งิ คืองานที่
พระพทุ ธโฆสาจารย์ ได้ปริวรรตพระไตรปฎิ กและอรรถกถาจากภาษาสงั หลเป็นมคธ ดว้ ย
เป็นภมู ริ ้ภู ูมธิ รรมทีส่ ืบกันต่อๆ มาจากพระมหาเถระทั้งหลายในอดีตตัง้ แตส่ งั คายนาคร้ังท่ี
๑ จนถึงสงั คายนาครั้งที่ ๕ รวมเวลาได้ ๙๐๐ ปเี ป็นประมาณ ถดั จากนนั้ ในตน้ พทุ ธ
ศตวรรษท่ี ๑๐ (พ.ศ. ๑๐๐๐) หรือบางเร่อื งเร่ิมในพุทธศตวรรษ ๖ เปน็ ต้นมา ได้ปรากฏ
งานอรรถกถาแนวใหม่ขนึ้ ท่ไี ม่ตอ้ งอธิบายความตามสายปฎิ กซ่ึงเปน็ งานแบบแผนมี
ลกั ษณะตายตวั แต่ผแู้ ต่งกําหนดเคา้ โครงเรื่องข้ึนเองตามแนวคิดของตน และนําหลักคาํ
สอน (พระไตรปิฎก) มาเป็นแหลง่ ขอ้ มูล คัมภรี เ์ หล่านีเ้ รียกรวมว่า ปกรณ์วิเสส
๕.๕.๒ พัฒนาการของปกรณ์วิเสส
จากการศกึ ษาไดพ้ บว่าปกรณว์ ิเสสเป็นงานเขยี น เชงิ วชิ าการอกี รูปแบบหนง่ึ ซึ่งผู้
แต่งสามารถกําหนดเค้าโครงเรอ่ื งตามแนวคิดตนเอง ซ่ึงเคา้ โครงเรอ่ื งดังกล่าวสามารถนํา
หลักคําสอนในทางพระพทุ ธศาสนามาวิเคราะหว์ ิจารณส์ รุปหรือขยายความในแง่มมุ ตา่ งๆ
ในเชงิ วชิ าการได้มากมาย ซึ่งจะเห็นไดจ้ ากพัฒนาการของปกรณว์ ิเสส ดงั ตอ่ ไปนี้
๑๒๒
๑) ธรรมวินัยสังเขป หมายถึง คัมภรี ป์ กรณ์วิเสสท่มี ีการอธบิ ายพระธรรมวินัย
โดยสรปุ (สงั คหะ) หรอื รวบยอดหรือการประมวลความ (สารตั ถะ) เช่น มลิ นิ ทปญั หา วิ
สุทธมิ รรค วิมุตติมรรค เปน็ ตน้ โดยทีผ่ แู้ ตง่ กาํ หนดเค้าโครงเรือ่ งขนึ้ เองตามแนวคิดตน
และนําหลักคําสอน (พระไตรปฎิ ก) มาเป็นแหล่งข้อมลู คัมภีรเ์ หลา่ นี้เรียกรวมว่า ปกรณ์
พิเศษ แต่มชี ่ือเรยี กเฉพาะวา่ สังเขปบ้าง สงั คหะ บ้าง๑๐๘ คมั ภรี ใ์ นกลมุ่ น้แี ตง่ อธบิ าย
ความพระไตรปฎิ กอย่างย่อ ตามเค้าโครงเรอื่ ง (รูปแบบ) และแนวคิด (เนือ้ หา) ของผแู้ ต่ง
เอง โดยอาศัยพระไตรปฎิ กเปน็ ฐานขอ้ มูล
ในประเทศลังการาวปี พ.ศ.๔๓๓ ไดม้ ีการจัดทาํ สงั คายนาคร้งั ท่ี ๕ ซ่งึ มี
จุดมุ่งหมายจารึกพระไตรปฎิ กเปน็ ลายลกั ษณอ์ ักษร และเช่อื กนั วา่ จารึกเป็นภาษาสงิ หล
(Singhala Alfhabets) มากกว่าจะเป็นรปู อักษรพราหมี (Brahmi Alfhabets) ที่ใช้กัน
แพรห่ ลายในจารกึ พระเจา้ อโศกมหาราช๑๐๙ จงึ กลา่ วไดเ้ ต็มที่วา่ พระพุทธวจนะคอื
พระไตรปิฎกมสี ถานภาพมน่ั คงแลว้ ในชมพูทวปี และจากคาํ กลา่ วที่ว่าการทาํ สงั คายนา
คร้งั ที่ ๕ มจี ุดมุ่งหมายจารึกพระไตรปิฎกเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรนนั้ ถือได้ว่าเปน็
พัฒนาการครัง้ สาํ คญั ของการบนั ทกึ คาํ ส่ังสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแตเ่ ดิมมเี พยี งการจํา
ปากตอ่ ปากทีเ่ รียกวา่ มุขปาฐะ เทา่ น้ัน กาลต่อมาไดม้ ีพระมหาเถระผ้ทู รงจาํ และรอบรู้ใน
พระไตรปิฎก พจิ ารณาเหน็ วา่ การมพี ระไตรปฎิ กกเ็ ป็นการดมี ากอยแู่ ลว้ แต่เพ่อื เปน็ การ
เผยแผห่ ลกั คําสอนสาํ คญั ของพระพทุ ธเจา้ ไปสูป่ ระชาชนได้มากขนึ้ จึงเห็นควรแตง่ คัมภีร์
ทางพระพทุ ธศาสนาขน้ึ ใหม่ โดยใ หเ้ ป็นแหลง่ ประมวลหรอื ชุดคําอธบิ ายพระไตรปฎิ กท่ี
เรยี กวา่ อรรถกถาบ้าง วรรณนาบ้าง ซึง่ ส่ังสมและรวบรมกันมาต้งั แต่สมยั พระมหินทเถระ
สังคายนาคร้งั ที่ ๓) จนถึงสมัยทพ่ี ระพทุ ธโฆสาจารย์เดนิ ทางไปแปลคมั ภรี ์ พ .ศ. ๙๕๔
(สงั คายนาครั้งที่ ๗ ทล่ี งั กา) มชี ่อื ปรากฏอยู่ ๓ เลม่ คื อ คมั ภีรม์ หาอรรถกถา คมั ภรี ์
มหาปัจจรยี ์ และคัมภรี ์มหากรุ นุ ที ทงั้ หมดน้ีปรากฏอยใู่ นรูปภาษาท้องถน่ิ สงิ หล
(Singsala Dailec)๑๑๐
๑๐๘ จิรภทั ร แก้วกู่ , วรรณคดีบาล,ี เอกสารคําสอน มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั
วทิ ยาเขตขอนแกน่ , ๒๕๔๒, หนา้ ๒๘.
๑๐๙ พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยตุ ฺโต), จารึกอโศก, (กรงุ เทพมหานคร : ๒๕๓๘), หน้า .
๑๑๐ จริ ภัทร แกว้ กู่, วรรณคดบี าลี : คัมภีรป์ กรณ์วิเสสภาษาบาล,ี เอกสารตาํ รา มหาวทิ ยาลยั
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น, ๒๕๕๐, หน้า ๒๖. (อดั สาํ เนา)
๑๒๓
แต่เนื่องจากคัมภรี ์ทกี่ ล่าวมาข้างต้น เปน็ คมั ภีรท์ ี่ยากต่อการศกึ ษาและทําความ
เข้าใจ พระมหาเถระในยคุ ต่อมาจึงไดก้ ําหนดเคา้ โครงเรอ่ื งข้ึนเองต ามแนวความคดิ ของ
ตน โดยยึดพระไตรปิฎกเปน็ แหลง่ ข้อมูลในการแต่ง ซึง่ พระภิกษสุ งฆ์และประชาชนทั่วไป
สามารถศึกษาและเรยี นรูเ้ ขา้ ใจได้ เรียกรวมคมั ภรี ์เหลา่ นีว้ ่า ปกรณ์วเิ สส (ปกรณ์พเิ ศษ)
คมั ภีร์ปกรณ์วิเสสท่ีสําคัญท่ีเป็นธรรมวินัยสังเขปในที่นไี้ ด้แก่ มลิ นิ ทปัญหา วิสุทธมิ รรค
วิมุตติมรรค เป็นตน้
ดงั น้นั จงึ กล่าวสรปุ ได้ว่า คัมภรี ธ์ รรมวินัยสงั เขป มีรปู แบบทํานองเดียวกับคมั ภรี ์
อรรถกถาชุดใหญ่ อาทคิ ัมภีรส์ มันตปาสาทกิ าอรรถกถา สมุ งั คลวลิ าสนิ ี อรรถกถา และ
อัฏฐสาลินอี รรถกถา เพราะคมั ภรี เ์ หลา่ นี้โดยเน้ือแทแ้ ลว้ ก็คอื คมั ภรี ์อรรถกถาน้นั เอง แ ต่จะ
มีข้อต่างหรือลกั ษณะเฉพาะ ๒ ประการคือ (๑.) ไมไ่ ดอ้ ธบิ ายพระพระพทุ ธพจนต์ ามระบบ
พระไตรปฎิ ก คือพรรณนาความตามลาํ ดับวรรค สตู ร และบทแหง่ อักษร (๒.) อธิบายแบบ
สรุปความอย่างหนังสือวชิ าการปจั จบุ นั กลา่ วคอื อธบิ ายตามเคา้ โครงเรื่องทต่ี วั เองผกู ขึน้
เม่ือเน้อื หาเกย่ี วขอ้ ง เชอื่ มโยงกบั พระพทุ ธพจนต์ อนใด ก็จะนํามาอา้ งอิงในตอนน้ันๆ ซ่ึง
รายละเอียดสามารถศึกษาไดใ้ นคัมภรี ์มลิ นิ ทปัญหา วสิ ทุ ธมิ รรค เป็นต้น ตามทีก่ ลา่ วแลว้
๒) ธรรมวภิ งั ค์ หมายถึงคัมภีร์ที่เสนอหลักการหรอื แบบวิธีในการอธบิ ายขยาย
ความพทุ ธธรรม และเชอ่ื วา่ ตําราเหลา่ นม้ี บี ทบาทแล ะอิทธติ ่อผลงานทง้ั อรรถกถาและฎกี า
มาตัง้ แต่ตน้ พทุ ธกาลยุคต้น คัมภีร์ในกลมุ่ นี้แม้จะจดั ชน้ั เปน็ ประเภทอรรถกถา แตก่ ็มิได้
แต่งอธบิ ายความพระไตรปิฎกเหมือนกบั คมั ภรี อ์ รรถกถาทั้งปวง แต่มุง่ เสนอแนะวธิ ีการ
อธบิ ายพระไตรปฎิ ก หรือหนังสือแนะนําวิธีการเขียนอรรถกถา๑๑๑
จากความหมา ยของธรรมวิภงั ค์ทก่ี ลา่ วมาข้างต้น ช่วยส่อื ความเขา้ ใจไดว้ ่า การ
อธิบายความพทุ ธธรรมในพระไตรปิฎก ถอื เป็นธรรมเนยี มปฏบิ ัติว่าแต่ละคนมอี ิสระทจี่ ะ
ตีความไดต้ ามแนวคิดของตน ๆ แต่มเี งอ่ื นไขวา่ จะตอ้ งแยกออกเปน็ ส่วนหนึ่งต่างหาก จะ
นําไปปนกับหลักพทุ ธธรรมไม่ได้ ดังตวั อยา่ งทปี่ ร ากฏในสงั คมไทย ฝ่ายคามวาสี (คันถ
ธุระ) จะมีกรอบแนวคิดการอธบิ ายความที่ยึดติดกบั ตวั บท คอื หลกั ฐานหรอื เอกสาร ตาํ รา
คัมภีร์ สว่ นฝ่ายอรญั ญวาสี (วิปัสสนาธรุ ะ) จะอธิบายความจากประสบการณ์เฉพาะตน
แลว้ โยงเข้าสู่หลักคําสอน (คัมภรี ์) หรือบางกรณอี าจจะเปน็ การอธบิ ายประสบการณ์
ล้วนๆ จากขอ้ ปฏิบตั ิของตนๆ แล้วสรุปว่าประหน่ึงว่า นี้คอื พทุ ธธรรม
๑๑๑สุภาพรรณ ณ บางช้าง,ประวัตวิ รรณคดบี าลใี นอนิ เดียและลงั กา, หน้า ๒๔๔
๑๒๔
เม่ือมีเหตผุ ลตามทก่ี ลา่ วมา เพอ่ื เปน็ การปอ้ งกันการเกิด สทั ธรรมปฏริ ปู จึง
จําเปน็ ตอ้ งมีรูปแบบและวธิ กี ารตคี วามหมายของหลักคําสอน (พระไตรปฎิ ก) อย่างมี
หลกั เกณฑ์ มใิ ช่เปน็ การอธบิ ายความไปตามแนวคิด ความเชื่ อ หรือ ความเข้าใจของตน
เทา่ นั้น ซงึ่ จะนําไปส่กู ารแตกแยกทางความคิด สํานกั และนกิ ายในท่สี ดุ ดงั เหตุทีเ่ กิดขน้ึ
แลว้ ในประวตั ิศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา
ในสว่ นพัฒนาการจะเห็นได้ว่า มีงานเขยี นด้านธรรมวิภังคท์ ีม่ ีอายุเกา่ แก่ทสี่ ุด
และมตี น้ ฉบับสมบูรณใ์ นปัจจุบนั อยู่ ๒ เลม่ คอื คมั ภรี เ์ ปฏโกปเทสและเนตตปิ กรณ์ และ
เชื่อกันมาแต่ต้นว่าท้ังสองเล่มนเี้ ปน็ ผลงานของมหากัจจายนเถระ หนึง่ ในอสีติมหาสาวก
(พระสาวกองคใ์ หญ่ ๘๐ รูป) ทไ่ี ดร้ บั การยกย่องเป็นกรณีพเิ ศษ (เอตทคั คะ) ดงั ขอ้ ความ
วา่
ภกิ ษเุ หลา่ นั้นมีความเห็นร่วมกันวา่ ท่านพระมหากัจจายนะนี้แล พ ระศาสดา
ทรงสรรเสริญ และเพ่ือนสพรหมจารที ั้งหลายผเู้ ปน็ วิญญูยกยอ่ ง ทา่ นพระมหากัจจายนะ
คงสามารถเพื่อจาํ แนกอรรถแห่งอุทเทศ ทพี่ ระผู้มพี ระภาคทรงแสดงโดยยอ่ ไม่ทรง
จําแนกโดยพสิ ดารนี้ โดยพสิ ดารได้๑๑๒
แต่จะอยา่ งไรกต็ าม คมั ภรี ์วสิ ทุ ธมิ รรคและคัมภีรอ์ ัฎฐ สาลินีก็ยงั อา้ งถงึ แล ะยนื ยัน
ถึงความมีอยู่แหง่ คัมภีร์เปฏโกปเทสะ และเนตติปกรณ์ จึงตอ้ งถอื ว่าเปน็ คมั ภรี ์สําคญั แม้
พระพุทธโฆสะเองก็ยังใช้เปน็ แหล่งอ้างอิงดว้ ย๑๑๓ คัมภีร์ทัง้ สองเลม่ นี้ ถอื วา่ เปน็ หนงั สอื ท่ี
เสนอหลักเกณฑว์ ินจิ ฉยั ความหมายและคุณค่าพทุ ธธรรมในยุคแรก และถอื ว่าเปน็ หนงั สือ
คูม่ ือแนะแนวการเขยี นอรรถกา
ในกาลตอ่ มาทฤษฎีเหลา่ น้ไี ด้เปน็ ทย่ี อมรบั กันอยา่ งกว้างขวางท่ีลังกา พระธรรม
ปาละในฐานะทเี่ ปน็ ผ้เู ขียนท้ังอรรถกถา และฎีกา ของคัมภรี เ์ นตติปกรณ์ ทา่ นไดน้ าํ
หลักการอธิบายความหมายของคาํ และความในเนตตปิ กรณ์ ทั้ง ๑๖ หาระ และ ๕ นยะ
มาเป็นกรอบแนวคดิ ใช้อธิบายพระสตู รแรกของแตล่ ะนทิ านใหด้ เู ป็นตัวอยา่ ง
๓) ธรรมวินัยสดดุ ี คาํ วา่ สดดุ ี เป็นคําสนั สกฤตแปลว่า สรรเสรญิ ยกยอ่ ง
ชมเชย นับเป็นคาํ กลาง ๆ ทีอ่ าจใช้หรือแสดงพฤติกรรมหลายอยา่ งในการสอื่ ความหมาย
ว่า ยกย่อง แตเ่ มือ่ จะสอื่ ความหมายถึงการใช้คาํ พดู โดยตรง เรียกว่า อาศริ ว าท หรอื
๑๑๒ อง.ฺ ทสก.(ไทย) ๒๔/๑๖๑/๓๖๔.
๑๑๓ สุภาพรรณ ณ บางชา้ ง, ประวัติวรรณคดีบาลีในอิเดยี และลังกา, หน้า ๒๔๓.
๑๒๕
อาเศยี รวาท แปลว่า คําพูดทีส่ ุดยอดเปน็ จอม หรือ กรองแลว้ อยา่ งดี อันหมายถงึ คาํ
พรรณนาคณุ น้นั เอง ดังน้นั คาว่า ธรรมวนิ ัยสดดุ ี จึงหมายถึงการสรรเสรญิ การยก
ยอ่ ง หรือการชมเชยคุณของพระพทุ ธเจา้ ๑๑๔
บทร้อยกรองดั้งเดมิ ทีม่ ีลกั ษณะสรรเสริญในพระพุทธศาสนา ทถ่ี อื กันว่าเก่ าแก่
ทส่ี ุด ซง่ึ ทาํ หนา้ ท่พี รรณนาคุณพระรัตนตรยั ไดแ้ ก่ บทรอ้ ยกรองที่พรรณนาพระพุทธคณุ
๙ พระธรรมคุณ ๙ และพระสงั ฆคุณ ๙ ตวั อย่างพระพุทธคุณ ๙ ความวา่
ตํ โข ปน ภวนตฺ ํ โคตมํ เอวํ กลยฺ าโณ กติ ตฺ สิ ทฺโท อพฺภคุ คฺ โต อิตปิ ิ โส ภควา
อรหํ สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ วิชฺชาจรณสมปฺ นฺโน สคุ โต โลกวทิ ู อนุตตฺ โร ปุริสทมมฺ สารถิ
สตฺถา เทวมนสุ ฺสานํ พุทโฺ ธ ภควา…….ฯ๑๑๕
ก็เพราะกติ ติศัพท์อนั งามของท่านพระโคดมพระองค์น้ันขจรไปแล้วอย่างนี้วา่ แม้
เพราะเหตุ นี้ ๆ พระผู้มพี ระภาคพระองคน์ นั้ ทรงเป็น (๑) พระอรหันต์ (๒) ตรัสรเู้ องโดย
ชอบ (๓) ทรงถงึ พร้อมวิชชาและจรณะ (๔) เสด็จไปดีแลว้ (๕) ทรงรู้แจง้ โลก (๖) เป็น
สารถีฝกึ บุรษุ ทค่ี วรฝึกไมม่ ีผู้อืน่ ย่ิงกวา่ (๗) เป็นศาสดาของทวยเทพและมนษุ ย์ (๘) เปน็ ผู้
เบิกบานแลว้ (๙) เป็นผจู้ าํ แนกธรรมฯ พระพุทธคณุ เหลา่ นมี้ อี ายุอยใู่ นพุทธกาลยุคต้น คือ
ช่วงเวลาทพ่ี ระพทุ ธองค์ยังทรงพระชนมอ์ ยู่ และพทุ ธบริษัททง้ั หลายต่างก็ถอื เป็นภาระที่
สําคญั ประการหน่งึ ในการะประกาศพระพทุ ธคุณใหป้ รากฏเพ่ือประโยชนส์ ุขแก่ชาวโลก
ทงั้ มวล และถือเป็นธรรมเนยี มปฏบิ ัตสิ บื มาจนทกุ วนั น้ี ของพระสงฆใ์ นลงั กา อนิ เดยี พม่า
และไทย
คัมภรี ์บาลปี ระเภทน้ี ถือวา่ เป็นวรรณคดที ีส่ มบรู ณ์แบบ เพราะมไิ ดม้ ่งุ แสดงหลัก
คาํ สอนเหมอื นคัมภรี พ์ ระไตรปิฎก อรรถกถาและฎกี าท้งั หลาย แตม่ ุ่งที่จะใชภ้ าษาเปน็
ตวั แทนหรอื เป็นสญั ลักษณแ์ ทนอารมณค์ วามรสู้ ึก ความคดิ และการหยัง่ รู้ ทต่ี กกระทบ
และฝังใจ จนก่อเกดิ สนุ ทรียะทางภาษา
เพ่ือความเขา้ ใจถงึ พัฒนาการของคัมภีร์ธรรมวินัยสดดุ ี จากบทรอ้ ยกรองธรรมดา
มาเปน็ บทร้อยกรองที่ตอ้ งแต่งตามข้อบงั คับ คือการแต่งตามเสยี งหนัก เสียงเบา หรือ
เสยี งส้นั เสยี งยาว ซึง่ เรยี กว่า ฉนั ทลกั ษณ์ และคัมภีรใ์ นกลุ่มธรรมวินยั สดุดมี กั นิยมแตง่
๑๑๔ จิรภัทร แก้วก,ู่ วรรณคดบี าลี : คมั ภรี ์ปกรณว์ ิเสสภาษาบาล,ี หนา้ ๔๔.
๑๑๕ ว.ิ มหา.(บาลี) ๔/๘๖/๑๒๙.
๑๒๖
เป็นร้อยกรองหรอื คัชชะ (poety) เป็นส่วนมาก และฉนั ทลักษณะทีน่ ิยม นํามาใชแ้ ต่งมาก
ทสี่ ดุ คอื วสันตดลิ กฉันท์ ๑๔ และ สทั ธนาฉันท์ ตวั อยา่ งเชน่
พทุ ธโฆสนิทาน
สาเร สรุ า สุเร สารี รสา สารมฺ สรุ ี สาโร
รสา รสมฺ รเส สารี สรุ า สุรมฺ สรุ ี สุโร ฯ
แปล : ดูกรเทพยดาท้ังหลาย ผู้มวี ิมานทองอนั ประเสรฐิ เกดิ ดว้ ยมเหศกั ดา มี
นางฟา้ แหห่ ้อม แวดลอ้ มเปน็ ยศบรวิ ารย่อมมกี ศุ ลสมภารไดส้ รา้ งแล้วแตก่ ่อนมา ฯ
โนนานิโน นินนู านมฺ นานาโนนมฺ นุนานิโน
เนเนโนนมฺ นินานเุ น นานานิเน นโิ นนานมฺ ฯ
แปล : เทพยดาผูม้ ีอาํ นาจอนั ประเสรฐิ ทั่วโลกธาตุ ไดแ้ กส่ มเดจ็ พระสัพพญั ญู ผู้
เปน็ ครใู นไตรภพ บุคคลใดผ้มู ีจติ นอบน้อม ในพระธรรมของพระพทุ ธเจา้ พระองคย์ อ่ ม
เสด็จไปโปรดบคุ คลนนั้ ให้รจู้ กั ธรรม แล้วจักบงั เกิดในสวรรค์ ฯ๑๑๖
จากรายละเอยี ดทีก่ ลา่ วมาแสดงใหท้ ราบวา่ เดิมการพรรณนาคุณหรือการ
สรรเสริญคณุ จะนิยมแตง่ เป็นแบบความเรยี งธรรมดาเทา่ นัน้ กาลตอ่ มาจึงนิยมแตง่ แบบ
ฉนั ทลกั ษณ์ ซ่ึงจะมคี วามไพเราะและมคี วามลึกซึง้ กินใจมากกว่าความเรยี งธรรมดา
๔) วงั สปกรณ์ พระพทุ ธศาสนาเถรวาทในภาษาบาลีบันทึกหลกั คาํ สอน ไดแ้ ก่
พระพทุ ธวจนะ คอื พระไตรปิฎก รวมท้งั คาํ อธบิ ายทสี่ ืบๆ กนั มาเป็นลาํ ดบั ช้นั ทรี่ ู้จักกนั ใน
ปัจจุบันคือ คมั ภรี ์อรรถกถา ฎีกา และอนุ ฎีกา หนงั สอื อธบิ ายพระไตรปิฎกเหล่านี้ เช่อื กัน
ว่านาํ สบื ๆ กันมาแต่โบราณ ราว พ.ศ. ๒๒๘ คอื หลังสงั คายนาครงั้ ที่ ๒ สมยั ท่านพระมหิ
นทเถระเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาเขา้ ไปสลู่ ังกา จึงมีความถูกต้องและสมบูรณค์ รบความ จน
ไมอ่ าจนาํ พระพุทธวจนะไตรปฎิ กมาอธบิ ายซ้ําอกี ได้
พระสงฆผ์ ูเ้ ช่ียวชาญภาษาศาสตรภ์ าษาบาลี จงึ มุง่ ความสนใจมาสู่ภูมปิ ญั ญา
ท้องถิน่ ซึ่งเปน็ แหลง่ ข้อมูลที่ใกล้ตวั มากท่ีสดุ แลว้ ผลติ ผลงานออกมา คัมภรี ภ์ าษาบาลี
ประเภทวงศ์จงึ เป็นหนึ่งในจํานวนเหล่านนั้ อันเปน็ การเปิดประตูบาลีสู่โลกอกี โลกหน่ึงอนั
๑๑๖ พระมหามงั คลเถระ, พุทธโฆสนิทาน, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพพ์ ระจนั ทร,์ ๒๔๗๐),
หนา้ ๓๒.
๑๒๗
เปน็ เรื่องชาวบา้ น เรือ่ งตํานานบา้ นตาํ นา นเมือง ตามระยะทางแห่งประวตั ศิ าสตร์อัน
ยาวนานทภ่ี าษาบาลนี าํ ไปรับใชเ้ นื้อหาใหม่
คําว่า วังสะ มาจากคําบาลีว่า วสํ เทยี บได้กับคาํ สนั สกฤตวา่ วงศะ หรอื วงศ์
แปลว่า “เชอ้ื สาย เผ่าพนั ธ์ุ เหล่ากอ” แตน่ าํ มาใชใ้ นแงป่ ระวตั ิความเปน็ มา วงั สปกรณ์ จึง
หมายความถงึ หนังสือหรอื คมั ภรี ์ท่ีวา่ ด้วยนิทานพ้นื บา้ น, ตานานวีรบุรษุ
พงศาวดาร และ ประวตั ศิ าสตร์ ในการต้ังช่ือเร่อื งจงึ นยิ มเตมิ คําว่า วังสะ เปน็ เคร่ือง
แสดงอา้ งทุกครง้ั ไป เช่น มหาวํสปกรณ์ คมั ภีรม์ หาวงศ์ จามเทววี ํสปกรณ์ ตํานานพระ
นางจามเทวี รตนพิมพวสํ ปกรณ์ ตาํ นานพระแก้วมรกต สงั คีตยิ วงศป์ ระวตั สิ ังคายนา เปน็
ต้น๑๑๗
ในสว่ นพฒั นาการคมั ภรี ว์ งั สปกรณน์ ้นั มปี รากฏในคราวท่พี ระสงฆ์ลงั กา (ตน้
พทุ ธศตวรรษที่ ๑๐) ได้นาํ เนือ้ หาสาระอยา่ งอืน่ ท่นี อกเหนอื จากหลกั คําสอนใน
พระไตรปิฎกมาเขยี นเปน็ ภาษาบาลี โดยมีรูปแบบและวิธีการเขียน ๓ ประการคอื
(๑) พระพทุ ธจริยาวตั ร พุทธประวตั ิ และสังเวชนยี วัตถุสถานตา่ งๆ
(๒) นทิ านพน้ื บ้านพ้ืนเมือง
(๓) ตาํ นานบ้านเมอื ง และประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถ่ิน
สว่ นวิธเี ขียนมีอยู่ ๒ แบบ คือ ๑) แบบรอ้ ยกรอง เป็นรปู ลักษณ์ของการ
ประพันธแ์ บบบาลี (อินเดยี ) รูปแบบคาํ ประพันธน์ นั้ เรยี กว่าฉันทลักษณะ หรือตําราฉันท์
คมั ภีร์ท่ีมีชือ่ เสยี งคือคัมภีร์วุตโตทัย หรือวุตโตทยปกรณ์ ของทา่ นพระสงั ฆรกั ขติ มหา
สวามี ชาวลงั กา และคัมภรี ์ฉนั โทมญั ชรี ของท่านพระวิสทุ ธาจารย์ ชาวพม่า ตําราเหล่าน้ี
ไดแ้ สดงชนิดของปชั ชะไว้ ๑๐๘ แบบ แยกเป็นวรรณพฤติ ๘๐ แบบ และมาตราพฤติ ๒๘
แบบ ปัชชะแต่ละชนดิ ท่านเรียกว่ า “ฉนั ท”์ เชน่ สทั ทลุ ลวิกกีฬติ ฉนั ท์ ๑๙, วสันตดลิ ก
ฉนั ท์ ๑๔ อินทรวชริ ฉนั ท์ ๑๑ เปน็ ต้น แต่ถา้ แตง่ ครบ ๔ บาท คาํ ประพันธช์ นดิ น้ันๆ
เรียกว่า คาถา แปลว่าคําพูดอันบณั ฑิตมีพระพุทธเจา้ เปน็ ตน้ ผกู ไว้ดีแล้ว ปัชชะ -บทร้อย
กรอง (Poetry) แตล่ ะประเภทนน้ั ๆ” และ ๒) แบบวิมิสสะ แปลว่า เจอื ปน คละกัน ผสม
กัน วมิ ิสสะจงึ เป็นแบบวิธเี ขียนวรรณคดบี าลีอยา่ งหนึ่ง ทีท่ า่ นนาํ รปู แบบแหง่ ปัชชะ -รอ้ ย
กรอง และคชั ชะ -รอ้ ยแกว้ มาเขียนเปน็ เร่ืองราวเดยี วกัน เชน่ พระสูตรทัง้ หลายที่มีคาถา
๑๑๗ จิรภทั ร แก้วก,ู่ วรรณคดีบาลี : คมั ภีรป์ กรณ์วเิ สสภาษาบาล,ี หน้า ๕๑.
๑๒๘
(ปัชชะ) ในสคาถาวรรค สังยุตตนกิ าย อรรถกถาธรรมบท งานเขียนของท่านพระพุทธโฆ
สาจารย์ เปน็ ต้น
วิธีเขียนดังกล่าวน้ี จัดวา่ เป็นการเสนอทางเลือกการใช้คํา (สัทท) ใหต้ รงกบั ความ
(อรรถ) หรืออารมณ์ของผู้ประพนั ธ์ เปน็ ความสมั พนั ธ์ระหว่าง “รูปแบบ” และ “เนื้อหา”
สาํ หรบั วดั ฝมี ือของผปู้ ระพันธ์แตล่ ะคน วา่ มีความสันทดั จดั รปู แบบและเน้อื หาลงตวั ได้
งดงามเพยี งใด๑๑๘ วธิ เี ขยี นด้านนีเ้ ป็นแบบวิธใี นการกาํ หนดหลกั เกณฑใ์ นการจดั ลาํ ดับ
เนอ้ื หาของเรอื่ ง ตงั้ แตต่ อนเรม่ิ เรอ่ื ง ตอนเดินเรอื่ ง (กลางเร่ือง) และตอนจบเร่อื ง (สรปุ )
๕) โลกศาสตร์ หมายถึง คัมภีรท์ ีว่ า่ ด้วย ความรู้เรอ่ื งโลกและจักรวาล ซงึ่ อรรถ
กถาพเิ ศษประเภทหน่ึง ที่ได้รบั การถ่ายทอดมาพรอ้ มกับหลักคําสอนในพระพทุ ธศาสนา
ซึง่ เหน็ ไดช้ ัดเจนจากการอธบิ ายความหมายของคําและข้อความแห่งอัคคัญญสตู ร ในสุมัง
คลวิลาสนิ ี อรรถกถาแห่งสัตตสุริยสูตรในมโนรถปรู ณี และเร่อื งความเสื่อมและความเจรญิ
ของกปั ป์ ท่ีปรากฏในอรรถกถาวิสทุ ธิมรรค มผี รู้ ู้บางทา่ นกลา่ วว่า จกั รวาลวทิ ยาใน
พระพุทธศาสนาทม่ี เี คา้ โครงมาจากจักรวาลวิทยาในศาสนาพราหมณ์ ซ่งึ ยนื ยันว่าโลกมี
จํานวนนับไม่ถว้ น คือ เปน็ อนันตะนนั้ ในพระบาลมี ีคํา เช่น "ทสสหสฺสจกกฺ วาเลสุ" (ทะสะ
สะหัดสะจกั กะวาเลสุ) ซึง่ แปลวา่ "ในหม่ืนจกั รวาล" อย่ทู ่ัวไป แสดงให้เหน็ วา่
พระพุทธศาสนาได้ยอมรบั ว่า จักรวาลน้นั มมี ากมายจนเปน็ อนันตะ ทัง้ นเ้ี พราะ "อวกาศ"
(space) ซึ่งตรงกบั คาํ บาลวี า่ "อากาส" นนั้ เปน็ "อนนั ตะ" คือไม่มีทส่ี ิ้นสุด ดงั คําบาลีว่า
"อนนโฺ ต อากาโส" ดว้ ย๑๑๙
จากความหมายของคัมภีรโ์ ลกศาสตร์ข้างต้น ท่กี ล่าวถึงเรื่องโลกและจักรวาล
ช่วยสะทอ้ นให้มองเห็นสภาพและเหตกุ ารณ์ในสมัยทพ่ี ระพทุ ธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ นน่ั
คือเรอ่ื งราวเหล่านีจ้ ัดกลุม่ เปน็ อพั ยากตปัญหา ไดแ้ ก่เปน็ ปญั หาที่ไมท่ รงตรัสตอบ เชน่
โลกเที่ยง โลกไมเ่ ท่ียง โลกท่ีมที ส่ี ดุ หรือไม่มีท่ีสดุ ๑๒๐ แต่เรอื่ งราวเหลา่ นเี้ ปน็ ประเดน็ ที่
ถกเถียงสนทนากันในหมพู่ ระสาวก จงึ จดั เปน็ พาหิรกถา ได้แก่ เร่อื งนอกธรรมนอกวนิ ยั
และไมป่ รากฏหลักฐานวา่ ทรงปรบั อาบัตแิ ก่ภกิ ษผุ ้ปู ระพฤติเช่นน้ัน และในพระไตรปิฎกก็
๑๑๘ จาํ เนียร แก้วกู่ , หลักวรรณคดบี าลีวิจารณ,์ (กรุงเทพมหานคร : โอเด้ยี นสโตร์, ๒๕๓๙),
หน้า ๑๔.
๑๑๙ เรือ่ งเดียวกัน, หน้า ๗๑.
๑๒๐ ที่.สี.(ไทย)๕,/๒๙๒/๔๔๐.
๑๒๙
ไดก้ ล่าวถึงเรอ่ื งท่เี กยี่ วกบั โลกและจกั รวาลไวม้ าก แต่จะขอนาํ มากลา่ วเพ่ือประกอบ
การศกึ ษา เช่น การพนิ าศและการเกิดใหมข่ องโลก ใน อัคคัญญสูตร๑๒๑ เร่อื งอสรู ในจนั
ทมิ สตู ร๑๒๒ และในสุรยิ สูตร๑๒๓ เป็นตน้
แตห่ ลงั จากพระพทุ ธองค์ปรนิ ิพพานแลว้ พระสงฆส์ ่วนมากเกดิ ปริวิตกกบั
สถานภาพของสังคมสงฆ์ท่ีเปน็ อยู่ จึงมุ่งทีจ่ ะรักษาหลักคําสอนเป็นสาํ คญั ดงั จะเห็นได้วา่
หลังพระพทุ ธเจ้าปรนิ พิ พานเป็นรวม ๕๐๐ปี ภารกจิ ท่ีสาํ คัญคือการรวบรวมหลักคาํ สอน
บันทึกเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรเรยี กว่าพระไตรปฎิ ก และรว่ มกนั จัดทาํ คําอธิบายความพระ
พทุ ธวจนะคอื อรรถกถา คัมภรี เ์ หล่าน้พี ระมหาเถระทัง้ หลายได้นําสบื ๆ กนั มา และจัด
รวบรวมในลังกาทวีป พระพทุ ธโฆสาจารย์เดินทางไปเมอ่ื ราว พ.ศ.๙๕๖ เพื่อแปลและ
เรียบเรียงคัมภรี ์ภาษาสิงหล รวมเป็นหนังสือทง้ั หมด ๔๖ เล่ม และในบางเรอื่ ง เชน่ มธุ
รตั ถวลิ าสนิ ี อรรถกถาพุทธวงศ์ อาจจะเปน็ งานท่มี ีกอ่ นพระพุทธโฆสาจารยไ์ ปลงั กาดว้ ย
ซํ้า
๖) สังขยาปกรณ์ ๑๒๔ สังขยาปกาสกฎกี า หมายถึงฎีกาทีว่ ่าดว้ ยการคํานวณนับ
ในลกั ษณะตา่ งกัน ๖ ประเภทมาตรานับ คือ (๑.) อัทธาสังขยา ได้แก่ มาตราวดั
ระยะทาง (๒.) ธญั ญสังขยา ได้แก่ มาตราตวงสิง่ ของ (๓.) ปมาณสงั ขยา ได้แก่
มาตราชั่งส่ิงของ (๔.) ภัณฑสงั ขยา ได้แก่ ระบบการนบั จานวน (๕.) มลู ภณั ฑ
สงั ขยาได้แก่ มาตรานบั เงนิ ตรา (๖.) นีลกหาปณสังขยา ไดแ้ ก่ การนับมูลค่าและการ
กาหนดขนาดของ นลี กหาปณะ
การกาํ หนดนับทงั้ ๖ ประเภทน้ี พระญาณวลิ าส ประพันธ์ไวเ้ ป็นร้อยกรองกถา
ซ่ึงประดบั ประดาดว้ ยฉันทลกั ษณะแห่งตนั ตภิ าษาเขา้ ใจว่า เปน็ เจตนาของผู้ประพนั ธ์ท่ี
ตอ้ งการให้ผู้ศึกษาสังขยาปกาสกปกรณ์ ศึกษาโดยใช้วธิ ีทอ่ งจํามาตรานับตา่ งๆ เพือ่ การ
๑๒๑ ที.ปา(ไทย).๑๑/๕๑/๑๐๕.
๑๒๒ สํ.ส.(ไทย),๗/๒๔๓–๒๕๐.
๑๒๓ สํ.ส.(ไทย),๑๕/๒๔๖–๒๕๐.
๑๒๔ ประมวล เพง็ จนั ทร์ , ชัชวาล ปญุ ปนั , สงั ขยาปกาสกปกรณ์ และ สงั ขยาปกาสกฎกี า ,
การศึกษาทางไกลผ่านระบบอนิ เตอรเ์ นท็ มหาวทิ ยาลัยเท่ียงคนื , มหาวิทยาลยั เชียงใหม,่ ๒๕๔๓,
หน้า ๔. สังขยาปกาสกปกรณ์ เป็นผลงานของพระญาณวลิ าส พระภกิ ษชุ าวลาว สว่ นสงั ขยาปกาสก
ฎีกา เปน็ ผลงานของพระสริ มิ งั คลาจารย์ พระภกิ ษุชาวลา้ นนา ดังนน้ั จึงขอให้ผู้ศกึ ษาเข้าใจว่า สังขยา
ปกรณ์ ในท่ีน้ไี ด้แก่ สงั ขยาปกาสกปกรณ์ และ สังขยาปกาสกฎกี า น่ันเอง
๑๓๐
นําไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งสะดวกเหมือนการท่องสูตรคูณของนกั เรยี นในปัจจบุ ัน เพราะจุดประสงค์
ให้เกิดความสะดวกในการทอ่ งจาํ พระญาณวิลาสจึงประพนั ธง์ านชิ้นน้ี ข้ึนเป็นร้อยกรอง
หรือท่นี กั ศกึ ษาบาลรี ู้จักกนั ในชือ่ ว่า ประพนั ธเ์ ปน็ คาถา๑๒๕
สาํ หรับความเป็นมาของคมั ภรี ์สังขยาปกรณน์ ้นั เกดิ ขน้ึ เพราะคาํ นึงว่ าระยะเวลา
ผา่ นไปเกอื บศตวรรษทําให้คนคุ้นเคยกบั ระบบของฝรัง่ จนนกึ ไม่ออกว่าก่อนทีร่ ะบบ
เมตริกจะสถาปนาข้ึนในสงั คมไทยน้ันเรามรี ะบบการช่ัง ตวง วัดอยา่ งไร มคี วามเป็นมา
อยา่ งไร และโดยเฉพาะมติ ิทางนามธรรมทีเ่ ชอ่ื มโยงในหนว่ ยเหล่านน้ั กอ่ ให้เกดิ คุณค่าและ
สาระ อยา่ งทใี่ นปัจ จบุ ันอาจจะคดิ ไม่ถงึ ว่าภูมธิ รรมปัญญาไทยจากพระพุทธศาสนานั้น มี
แง่มมุ ใหพ้ จิ ารณาอยา่ งกว้างขวาง น่าทจ่ี ะไดม้ าตรวจสอบ แสวงหา และขดุ คน้ มรดกทาง
ปญั ญานี้ บางทีความเขา้ ใจโลกและธรรมชาติ ผ่านหน่วยอย่างถกู ต้องตามความเปน็ จรงิ
ของสจั ธรรมจะชว่ ยใหเ้ กิดปัญญาสรา้ งสรรค์ให้กับโลกปัจจุบันได้ และหนงึ่ ในผลงานอมตะ
ของ พระสริ มิ ังคลาจารย์ ทจี่ ะนําไปสู่คณุ ค่าและสาระดงั กลา่ ว คือ สังขยาปกาสกฎีกา ทมี่ ี
อายุเกอื บห้าร้อยปมี าแลว้
ทา่ นไดแ้ สดงมาตราการนบั โดยแต่งอธิบายขยายความจากสังขยาปกาสปกรณ์
ของ พระญาณวลิ าสกล่าวถึงมาตราวัดระยะ มาตราตวง มาตราชง่ั ระบบการนบั สิง่ ของ
มาตราเงิน และการนบั ขนาดของนลี กหาปณะท่รี วบรวมมาจากคัมภีร์บาลี เพ่อื สะดวกใน
การจดจาํ ดว้ ยถือวา่ เป็นเรือ่ งจําเป็นทางพระวินยั และเป็นสิ่งทีส่ งฆ์จะเกย่ี วข้องสัมพนั ธก์ บั
สงั คมในฐานะเครือ่ งกาํ หนดหมายรู้รว่ มกนั ผลงานเรื่องนี้ปรากฏตอ่ มาในหนว่ ยนบั ตามวธิ ี
ประเพณีของไทย ดังท่ีมรี ่องรอยหลักฐานอย่มู ากมาย คําเรยี กชือ่ หนว่ ยหลายคํา ไดก้ ลาย
มาเปน็ ภาษาทเ่ี ราใชอ้ ยใู่ นปจั จุบนั โดยไม่ทราบวา่ คําน้ันจรงิ ๆ แล้ว เปน็ คาํ เรียกจํานวน
นบั ที่มีค่าแน่นอนมาก่อน และยง่ิ ศกึ ษาลกึ ลงไปถงึ การขยายความของพระสิรมิ ังคลาจารย์
ทาํ ให้พบความหมายทเ่ี ช่ือมโยงสมั พันธ์กนั มากยิง่ กว่าการเปน็ Body units หากแต่กา้ ว
ไปสูค่ วามเปน็ "หน่วยในใจ" ได้อยา่ งน่าอศั จรรย์ ดว้ ยเหตุน้ีการศกึ ษาวเิ คราะห์ผลงาน
ของพระสริ มิ งั คลาจารย์ จงึ เป็นเรื่องสาํ คัญและจําเป็น๑๒๖
๑๒๕ เร่อื งเดยี วกัน, หน้า ๘ - ๙.
๑๒๖ ประมวล เพ็งจันทร์, ชชั วาล ปุญปนั , สงั ขยาปกาสกปกรณ์ และ สงั ขยาปกาสกฎกี า, หนา้
๑๓.
๑๓๑
สังขยาปกาสกฎกี า เปน็ ผลงานอันดับที่ ๓ ในบรรดาผลงานท้งั หมด ๔ เร่อื ง ของ
พระสิรมิ ังคลาจารย์ที่ตกทอดมาถึงพวกเราในปจั จุบนั ผลงานท้งั ๔ เรอ่ื งนน้ั คอื (๑.) เวส
สันตรทปี นี (พ.ศ. ๒๐๖๐) (๒.) จกั กวาฬทปี นี (พ.ศ. ๒๐๖๓) (๓.) สังขยาปกาสกฎีกา
(พ.ศ.๒๐๖๓) และ (๔.) มังคลัตถทีปนี (พ.ศ. ๒๐๖๗)
ในบรรดางานทัง้ ๔ ชิ้นนี้ มังคลัตถทปี นี นับเปน็ ผลงา นช้ินเอก และรู้จักกนั
แพรห่ ลายมากทีส่ ดุ โดยเฉพาะเมอื่ คณะสงฆไ์ ทย นบั ตง้ั แต่ตน้ รตั นโกสนิ ทรจ์ นถงึ ปัจจบุ นั
ไดก้ าํ หนดใหม้ งั คลัตถทปี นี เปน็ คมั ภรี ์หนงึ่ ในหลกั สตู รปรยิ ตั ิธรรม แผนกบาลที ี่พระภกิ ษุ
สามเณรตอ้ งศึกษา ทําใหผ้ ลงานช้ินน้ีไดร้ บั การเผยแพร่อย่างกว้างขวางในหมู่พทุ ธบริษทั
ความโดดเดน่ ยง่ิ ใหญ่ของมังคลตั ถทปี นี ดเู หมอื นวา่ จะทาํ ให้ผลงานชิน้ อืน่ ๆ ลด
ความยิ่งใหญ่ลง เพราะเมือ่ มีการกลา่ วถงึ ผลงานของพระสริ มิ งั คลาจารยค์ ราวใด กม็ ักจะมี
แตก่ ารกล่าวถึงมงั คลตั ถทีปนเี ทา่ นั้น เพราะผลงานชน้ิ นี้ช้นิ เดียวกพ็ อจะประจกั ษ์แจ้งใน
ความยง่ิ ใหญข่ องเจ้าของผลงานไดแ้ ลว้ แตใ่ นความเปน็ จริงนน้ั ผลงานทุกช้นิ ของพระ
สริ มิ ังคลาจารย์ ล้วนแตแ่ สดงให้เหน็ ถงึ ความย่งิ ใหญ่ในความเป็นปราชญท์ างพุทธศาสนา
ของผูร้ จนาในแง่มมุ ที่แตกตา่ งกนั ออกไป
สงั ขยาปกาสกฎีกา คือส่วนหนง่ึ แห่งผลงานทส่ี ะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงความลมุ่ ลึกแหง่
ภมู ปิ ญั ญาของพระสิริมังคลาจารย์ ทเ่ี ปน็ ผลมาจากการศึกษาและปฏบิ ัตติ ามหลักคําสอน
ในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังแลว้ แสดงออกมาใหป้ รากฏเปน็ ผลงาน อนั นับเป็นมรดก
ทางภูมิปัญญาทต่ี กทอดมาถึงพวกเราทุกๆ คนในยคุ ปัจจุบนั น้ี
อยา่ งไรก็ตาม ผลงานทปี่ รากฏแสดงให้เหน็ ว่า การจะศกึ ษาให้เขา้ ใจถึง
ความหมายแห่งความเป็นจริงของ มนษุ ย์- โลก-จกั รวาฬ นน้ั ผศู้ กึ ษาจะต้องมคี วามรู้ และ
ความเข้าใจในหน่วยการนับประเภทต่างๆ อยา่ งแจ่มแจง้ สังขยาปกาสกฎีกา จงึ ไดร้ ับการ
รจนาขึน้ เพ่ือประโยชนแ์ กผ่ ศู้ ึกษาพระพุทธศาสนา และเพ่อื ความสมบรู ณแ์ หง่ วิชาการอนั
จะเป็นคณุ ปู การ คอื ความงอกงามทางสตปิ ญั ญาของประชาชนโดยทว่ั ไป
เพ่อื ประกอบการศึกษา และเพ่อื ปลกู ศรทั ธาใหม้ มี ากข้นึ จากการศกึ ษาคมั ภีร์
สังขยาปกรณ์ จงึ ขอยกตวั อย่างการนบั ที่มีความละเอยี ดมาก ดังน้ี๑๒๗
๔ วีหิ เปน็ ๑ คญุ ชา
๑๒๗ เรอ่ื งเดียวกนั , หน้า ๑๕ – ๑๖.
๑๓๒
๒ คุญชา เป็น ๑ มาสกะ
๒.๕ มาสกะ เปน็ ๑ อกั ขะ
๘ อกั ขะ เป็น ๑ ธรณะ
๑๐ ธรณะ เปน็ ๑ ปละ
๑๐๐ ปละ เปน็ ๑ ตลุ า
๒๐ ตลุ า เป็น ๑ ภาระ
๑๐ ภาระ เป็น ๑ สกฏะ (เกวียน)
๔ ภณั ฑสงั ขยา (ระบบการนับ)
เอก = ๑
ทสะ = ๑๐
สตะ = ๑๐๐
สหัสสะ = ๑,๐๐๐
นยตุ ตะ = ๑๐,๐๐๐
ลักขะ = ๑๐๐,๐๐๐
ทสสตสหัสสะ = ๑,๑๐๐,๐๐๐
โกฏิ = ๑๐,๑๐๐,๐๐๐
ปโกฏิ = ๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
โกฏิปโกฏิ = ๑๐๐๐,๑๐๐,๐๐๐
นหุตะ = ๑๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
นนิ นหุตะ = ๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
อักโขภนิ ี = ๑,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
พนิ ทุ = ๑๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
อัพพุทะ = ๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
นริ พั พุทะ = ๑,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
อพพะ = ๑๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
อฏฏะ = ๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
อหหะ = ๑,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
กุมุทะ = ๑๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
๑๓๓
โสคันธกิ ะ = ๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
อปุ ปละ = ๑,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
ปุณฑรกี ะ = ๑๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
ปทุมะ = ๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
กถานะ = ๑,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
มหากถานะ = ๑๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
อสังเขยยะ = ๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๑๐๐,๐๐๐
สรปุ ท้ายบท
ปกรณ์วิเสสเป็นคมั ภรี ท์ ีเ่ กดิ ขน้ึ ในยคุ หลังพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นยุคทพี่ ระสงฆส์ าวก
ได้แตง่ คมั ภีร์อธบิ ายขยายความในพระไตรปฎิ กให้พสิ ดารออกไป ด้วยมีความมุง่ หมาย
เพื่อความเข้าใจงา่ ยมากขึ้น คาํ ว่า ปกรณ์วเิ สส หมายถงึ หนังสอื ทีแ่ ตง่ เพอ่ื อธบิ ายธรรมะ
ในพระพทุ ธศาสนา โดยไม่ได้อธิบายคมั ภี รเ์ ล่มใดเล่มหนงึ่ โดยเฉพาะ หรือหมายถึง
หนังสือท่ีทา่ นแต่งแสดงภมู ิรู้ ภมู ิธรรมและความคดิ เห็น หรอื คน้ ควา้ จากคัมภรี ต์ ่างๆ ตาม
แนวคิดท่เี กิดขน้ึ เองเปน็ อสิ ระ และกาํ หนดเนอ้ื หาเอง ด้วยการศกึ ษาค้นคว้าจากคมั ภรี ์
ต่างๆ โดยกาํ หนดประเด็นหรอื เนอื้ หาไดต้ ามความประสงค์ของตนเอ ง และปกรณ์วเิ สสมี
ความสําคญั คอื มีรูปแบบการเขียนเป็นของตนเอง นําเนื้อหาในทอ้ งถิ่นมานาํ เสนอได้ และ
มกี ารใชภ้ าษาทีส่ ละสลวย ประเภทของปกรณว์ เิ สสมอี ยู่ ๖ ประเภท ไดแ้ ก่ (๑.) ธรรมวินยั
สงั เขป เป็นคัมภีร์ทอ่ี ธิบายความบาลใี นพระไตรปฎิ กอยา่ งยน่ ย่อ หรอื อธิบายแบบรวบ
ยอดแทนการอธิบายเปน็ ปฎิ กๆ อย่างอรรถกถา (๒.) ธรรมวิภังค์ เปน็ คัมภีร์ท่แี สดงหลกั
และวธิ ีวิเคราะห์แจกแจงพระธรรมวินัย (๓.) ธรรมวนิ ัยสดดุ ีหรือพุทธาทภิ ิถตุ ิ เป็นคัมภีร์
ประเภทอศิรวาท ในปจั จุบนั วา่ ดว้ ยการสรรเสริญพระรตั นตรัย (๔.) วงั สปกรณ์ เปน็ คมั ภีร์
ทกี่ ล่าวถึงตาํ นาน ประวัตศิ าสตร์ ประวัตบิ ุคคล เป็นต้น (๕.) โลกศาสตร์ เปน็ คัมภรี ท์ ี่
กล่าวถงึ กําเนดิ โลก ดวงดาว และจักรวาล (๖.) สงั ขยาปกรณ์ เปน็ คมั ภรี ท์ ี่กลา่ วถงึ การนับ
ชัง่ จวง วดั
สว่ นประวตั ิและพัฒนาการของปกรณ์วิเสสมีสังเขปความยอ่ ดงั น้ี
๑๓๔
๑) ธรรมวินัยสังเขป เริม่ ตน้ ข้นึ ในประเทศลงั การาวปี พ .ศ. ๔๓๓ โดยทีป่ ระเทศ
ลงั กาได้จดั ทําสังคายนาครัง้ ที่ ๕ ซ่งึ มีจุดมงุ่ หมายจารึกพระไตรปิฎกเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษร
และเชอ่ื กันวา่ จารกึ เปน็ ภาษาสงิ หล (Singhala Alfhabets) มากกวา่ จะเป็นรูปอักษร
พราหมี (Brahmi Alfhabets) ที่ใช้กนั แพรห่ ลายในจารึกพระเจ้าอโศกมหาราช และ คมั ภรี ์
ปกรณ์วิเสสมลี ักษณะเฉพาะ ๒ ประการคอื (๑.) ไม่ไดอ้ ธบิ ายพระพระพุทธพจน์ตาม
ระบบพระไตรปฎิ ก คอื พรรณนาความตามลําดบั วรรค สูตร และบทแห่งอกั ษร (๒.)
อธบิ ายแบบสรุปความอยา่ งหนงั สอื วิชาการปจั จบุ นั กล่าวคอื อธบิ ายตามเคา้ โครงเร่อื งท่ี
ตวั เองผูกขึ้น เมือ่ เน้ือหาเกี่ยวข้อง เช่ือมโยงกบั พระพทุ ธพจนต์ อนใด ก็จะนํามาอ้างองิ ใน
ตอนนั้นๆ
๒) คมั ภรี ์วิภังค์ ถอื ว่าเปน็ งานเขียนที่มอี ายเุ กา่ แกท่ ส่ี ุด และมตี ้นฉบับสมบูรณ์ใน
ปัจจุบนั น้ี ๒ เลม่ คอื คมั ภรี ์เป ฏโกปเทสและเนตติปกรณ์ และเช่ือกันมาแต่ต้นวา่ ท้งั สอง
เลม่ น้เี ป็นผลงานของทา่ นมหากัจจายนเถระ หนึง่ ในอสีติมหาสาวก (พระสาวกองคใ์ หญ่
๘๐ รูป ) ท่ีไดร้ ับการยกยอ่ งเปน็ กรณพี ิเศษ (เอตทคั คะ) โดยทคี่ ัมภีรว์ ภิ ังคม์ กี รอบแนวคดิ
และทฤษฎีทเ่ี ป็นข้อกาํ หนดสาํ หรับการวเิ คราะห์ เรียกวา่ หาระและนยะ (๑) หาระ วธิ ขี จดั
ความเหน็ ผดิ หรือเกณฑ์วินจิ ฉัยหลักคําสอน ๑๖ วธิ ี (๒) นยะ ว่าด้วยวิธใี ห้รู้อกุศลท่ีเศร้า
หมอง และกศุ ลอันหมดจด (๓) สาสนปัฎฐาน วา่ ด้วยหลักเกณฑ์ในการหาและกําหนด
หลักคําสอนทเี่ ขา้ กันได้ ๓ วธิ ี (๔) อุปจาระ ว่าดว้ ยหลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์มีสาํ นวน
ภาษาท่ีพดู ในเนือ้ ความอืน่ จากเน้อื ความเดมิ (๕) มุขย วา่ ด้วยคําพดู ตรง ๕ ลกั ษณะ
๓) ธรรมวนิ ัยสดดุ ี เปน็ คัมภรี ์ทเ่ี กิดและพฒั นาการมาจากการสรรเสรญิ และนินทา
ซง่ึ เป็นสงิ่ ที่มีอยู่ประจําโลก (โลกธรรม) หรือเปน็ สภาวะทเี่ กิดขึน้ ในสงั คมมนษุ ยท์ กุ ยคุ ทุก
สมยั จากหลักฐานเกา่ แก่ทีส่ ุดไดแ้ ก่ ไดแ้ ก่ ฤคเวท สามเวท ยชรุ เวท และอถรรพเวท ใน
แตล่ ะหมวดจะมีเนื้อหาเก่ียวกับสดุดไี ว้ครบถ้วน และยงั มมี นตส์ ําหรับบรกิ รรม และมีบท
สวดอ้อนวอนสดดุ ีเทพเจ้าอีกด้วย
๔) วงั สปกรณ์ คมั ภีรใ์ นกลุ่มนเ้ี ลม่ ท่ีรูจ้ กั กนั แพรห่ ลายท่ีสุด ได้แก่ คัมภีร์มห าวงศ์
พงศาสดารลังกา งานเขียนของท่านพระมหานามเถระ ในตน้ พุทธศตวรรษท่ี ๑๐ ซง่ึ ถือ
ว่าเป็นแมแ่ บบในการเขยี น อาทิ ชนิ กาลมาลีปกรณ์ ของ พระรัตนปัญญาเถระ แหง่
ลา้ นนา หรอื แมแ้ ต่ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ศิลาจารึก เป็นตน้
พระพุทโฆสาจารย์เดินทางจากอนิ เดยี ใตส้ ่ลู งั กาทวปี เพ่อื แปลอรรถกถา
ภาษาสิงหลเปน็ ภาษาบาลี เมื่อประมาณ พ .ศ. ๙๕๖ และเม่ืองานเหลา่ นีเ้ สร็จสน้ิ ลง ก็
๑๓๕
เป็นอันตกลงใจได้ว่าพระสัทธรรม คือพระไตรปิฎก พรอ้ มคาํ อธิบาย (อรรถกถา) ได้ต้ังมนั่
แล้ว ภาระอันยง่ิ ใหญ่ที่พระมหาเถระทง้ั หลายได้กระทาํ สบื ทอดกันมา ไดร้ บั การปลด
เปล้ืองแลว้ ดังปรากฏว่าลงั กายกขนึ้ เปน็ งานระดบั สังคายนาครั้งที่ ๖ ของลังกา
ขอ้ เท็จจรงิ ทางประวัติศาสตร์ดงั กล่าวน้ี พระสงฆล์ ังกาในต้นพทุ ธศตวรรษที่ ๑๐ จงึ ไดน้ าํ
เน้ือหาสาระอยา่ งอน่ื ที่นอกเหนอื จากหลักคําสอนมาเขียนเปน็ ภาษาบาลี อธบิ ายได้ ๓
แนวทางคือ
(๑) พระพทุ ธจริยาวตั ร พทุ ธประวตั ิ และสังเวชนยี วัตถสุ ถานต่างๆ
(๒) นิทานพื้นบ้านพน้ื เมอื ง
(๓) ตาํ นานบ้านเมอื ง และประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถ่ิน
๕) โลกศาสตร์ ในสมยั ทพ่ี ระพทุ ธเจ้ายังทรงพระชนมอ์ ยู่ เร่อื งราวเหลา่ นี้จะจดั
กลมุ่ เป็นอัพยากตปญั หาท่ีไม่ทรงตอบ เชน่ โลกเที่ยง โลกไมเ่ ท่ียง โลกทมี่ ีที่สุด หรอื ไม่มี
ท่สี ุด แตเ่ รื่องราวเหล่านเ้ี ป็นประเด็นท่ถี กเถียงสนทนากนั ในหมู่พระสาวก จดั เป็นพาหริ
กถา คอื เรือ่ งนอกธรรมนอกวนิ ยั และไมป่ รากฏหลักฐานวา่ ทรงปรบั อาบัตแิ กภ่ กิ ษุผู้
ประพฤติเช่นนัน้
หลงั จากพระพทุ ธองคป์ รนิ ิพพานแล้ว พระสงฆส์ ่วนมากเกิดปริวติ กกบั สถานภาพ
ของสงั คมสงฆ์ท่ีเปน็ อยู่ จึงมงุ่ ที่จะรกั ษาหลักคําสอนเป็นสาํ คัญดงั จะเห็นได้ว่าหลงั
พระพทุ ธเจ้าปรินิพพานเปน็ รวม ๕๐๐ปี ภารกจิ ท่สี าํ คัญคือการรวบรวมหลักคาํ สอน
บนั ทกึ เปน็ ลายลักษณ์อักษรเรียกว่าพระไตรปฎิ ก และรว่ มกนั จดั ทาํ คําอธบิ ายความพระ
พทุ ธวจนะคืออรรถกถา คมั ภีร์เหล่านีพ้ ระมหาเถระทง้ั หลายไดน้ ําสบื ๆ กนั มา และจดั
รวบรวมในลังกาทวปี เมือ่ ราว พ.ศ.๙๕๖ พระพทุ ธโฆสาจารยเ์ ดินทางไปลังกาทวปี เพื่อ
แปลและเรียบเรยี งคมั ภรี ์ภาษาสิงหล รวมเปน็ หนงั สอื ทงั้ หมด ๔๖ เล่ม และในบางเร่ือง
เชน่ มธุรตั ถวิลาสนิ ี อรรถกถาพุทธวงศ์ อาจจะเปน็ งานท่ีมีกอ่ นพระพทุ ธโฆษาจารยไ์ ป
ลังกาด้วยซาํ้
ความรู้เร่อื งโลกและจักรวาล เรียกวา่ “คัมภีร์โลกศาสตร์” ซ่งึ อรรถกถาพเิ ศษ
ประเภทหนึง่ ได้รับการถายทอดมาพร้อมกับหลกั คาํ สอนในพระพทุ ธศาสนา ซึ่งเห็นได้
ชดั เจนจากการอธบิ ายความหมายของคําและข้อความแหง่ อคั คญั ญสูตร ในสุมงั คลวลิ าสนิ ี
อรรถกถาแหง่ สัตตสุริยสตู รในมโนรถปูรณี และเรอื่ งความเสอ่ื มและความเจริญของกปั ป์
ทป่ี รากฏในอรรถกถาวสิ ทุ ธมิ รรค มผี รู้ ูบ้ างทา่ นกลา่ วว่า จกั รวาลวิทยาในพระพุทธศาสนา
มเี คา้ โครงมาจากจักรวาลวิทยาในศาสนาพราหมณ์ ซ่ึงยืนยนั วา่ โลกมจี ํานวนนบั ไม่ถว้ น
๑๓๖
คือ เปน็ อนันตะนัน้ ในพระบาลมี ีคาํ ท่ีแสดงถึงความเชอ่ื เรือ่ งจกั รวาล เชน่ "ทสสหสสฺ จกฺ
กวาเลสุ" (ทะสะสะหดั สะจกั กะวาเลสุ) ซง่ึ แปลวา่ "ในหมน่ื จักรวาล" อยทู่ ัว่ ไป แสดงให้เห็น
วา่ พระพทุ ธศาสนาไดย้ อมรบั วา่ จกั รวาลนั้นมมี ากมายจนเป็นอนนั ตะ ท้ังนเี้ พราะ
"อวกาศ" (space) ซ่งึ ตรงกบั คาํ บาลวี ่า "อากาส" นัน้ เปน็ "อนันตะ" คือไมม่ ที ีส่ ิน้ สดุ ดังคาํ
บาลีว่า "อนนโฺ ต อากาโส" ด้วย
๖) สังขยาปกรณ์ สงั ขยาปกาสกฎี กา เปน็ ผลงานอันดับท่ี ๓ ในบรรดาผลงาน
ทั้งหมด ๔ เร่ือง ของพระสริ มิ งั คลาจารย์ที่ตกทอดมาถงึ พวกเราในปัจจุบนั ผลงานทงั้ ๔
เรอ่ื งนน้ั คอื ๑. เวสสนั ตรทปี นี (พ.ศ. ๒๐๖๐) ๒. จกั กวาฬทปี นี (พ.ศ. ๒๐๖๓) ๓.
สังขยาปกาสกฎกี า (พ.ศ.๒๐๖๓) และ ๔. มังคลัตถทีปนี (พ.ศ. ๒๐๖๗)
ในบรรดางานทั้ง ๔ ชน้ิ น้ี มังคลตั ถทีปนี นับเปน็ ผลงานชิน้ เอก และร้จู กั กนั
แพรห่ ลายมากท่สี ดุ โดยเฉพาะเม่อื คณะสงฆไ์ ทย นบั ต้ังแตต่ น้ รัตนโกสนิ ทรจ์ นถึงปัจจุบนั
ได้กําหนดให้มังคลัตถทีปนี เปน็ คมั ภรี ์หนงึ่ ในหลักสตู รปรยิ ตั ิธรรม แผนกบาลีท่พี ระภิกษุ
สามเณร ตอ้ งศึกษา ทาํ ใหผ้ ลงา นช้นิ น้ีของพระสริ มิ ังคลาจารยไ์ ด้ถูกศกึ ษา และนาํ ไป
เผยแพร่อย่างกว้างขวางในหมูพ่ ทุ ธบริษัท
ความโดดเดน่ ยง่ิ ใหญ่ของมังคลัตถทีปนี ดเู หมือนวา่ จะทาํ ให้ผลงานช้ินอืน่ ๆ ลด
ความย่งิ ใหญล่ ง เพราะเม่อื มีการกล่าวถึงผลงานของพระสริ มิ ังคลาจารย์คราวใด กม็ ักจะมี
แตก่ ารกลา่ วถงึ มงั คลตั ถทีปนเี ทา่ นั้น เพราะผลงานช้นิ นีช้ ้ินเดียวกพ็ อจะประจักษแ์ จ้งใน
ความยงิ่ ใหญข่ องเจา้ ของผลงานได้แล้ว แต่ในความเปน็ จริงนน้ั ผลงานทุกชน้ิ ของพระ
สริ มิ ังคลาจารย์ ลว้ นแตแ่ สดงใหเ้ ห็นถงึ ความย่ิงใหญใ่ นความเป็นปราชญ์ทางพทุ ธศาสนา
ของผ้รู จนาในแงม่ ุมทแ่ี ตกต่างกนั ออกไป
งานแต่ละชน้ิ ของพระสริ ิมงั คลาจารย์ ต่างสะท้อนใหเ้ หน็ ถึงความรอบรู้ทล่ี ุม่ ลกึ ที่
รวมกนั เขา้ เปน็ ภมู ิปญั ญาอนั โยงใยไปสู่การหยงั่ ถึงความเปน็ จริง (Realisation) แหง่ โลก
และมนษุ ย์เพ่ือการรูแ้ จง้ (Enlightenment) ตามคติแหง่ พทุ ธศาสนาท่เี ปา้ หมายแห่ง
กิจกรรมท้ังปวงลว้ นมุง่ ตรงไปสูก่ ารรแู้ จง้ แทงตลอดความเป็นจรงิ เพอ่ื การดับทุกข์ได้โดย
ส้นิ เชงิ
สงั ขยาปกาสกฎกี า คือสว่ นหนึ่งแหง่ ผลงานทสี่ ะท้อนให้เห็นถึงความลมุ่ ลกึ แหง่
ภูมิปัญญาของพระสริ ิมังคลาจารย์ ท่เี ป็นผลมาจากการศกึ ษาและปฏิบตั ติ ามหลักคําสอน
ในพระพทุ ธศาสนาอย่างจริงจงั แลว้ แสดงออกมาใ หป้ รากฏเป็นผลงาน อนั นับเปน็ มรดก
ทางภมู ิปญั ญาทต่ี กทอดมาถงึ พวกเราทุกๆ คนในยคุ ปัจจุบันน้ี
๑๓๗
คาถามประจาบท
๑. คมั ภีร์ปกรณ์วเิ สส มีความหมายอย่างไร จงกล่าวถงึ ลักษณะของคัมภีร์ปกรณ์วิ
เสสทีเ่ ป็นเหตใุ หแ้ ตกตา่ งจากศาสตรอ์ น่ื ๆ พอเขา้ ใจ
๒. คมั ภรี ป์ กรณว์ เิ สส มีความสําคัญอย่างไร จงเลอื กความสาํ คัญจาํ นวน ๒ ข้อมา
วิเคราะห์พอเขา้ ใจ
๓. คัมภีร์ปกรณว์ ิเสส หมายความวา่ อย่างไร มีก่ีประเภท อะไรบ้าง จงอธิบายให้
ละเอียด
๔. คัมภีรป์ กรณ์วเิ สส มีกําเนดิ และพัฒนาการอย่างไร จงอธบิ ายพอเข้าใจ
๕. ผลงานของพระสริ มิ ังคลาจารย์สะท้อนใหเ้ ห็นสภาพสงั คมไทยในสมยั ล้านนา
อย่างไรบ้าง และมอี ิทธิผลตอ่ สังคมไทยปจั จบุ นั อย่างไร จงวเิ คราะหม์ าพอเข้าใจ
๖. คัมภรี ์โลกศาสตรก์ ลา่ วถงึ เร่ืองใดบ้าง จงจําแนกรายละเอยี ดมาใหค้ รบ
๗. คมั ภรี ์ธรรมวนิ ยั สงั เขปมลี ักษณะสําคัญเฉพาะอยา่ งไร จงจําแนกลกั ษณะสําคญั
เฉพาะของคมั ภรี ม์ าดู
๘. การรจนาคัมภรี ์สังขยาปกาสกฎกี าหรือสังขยาปกรณ์ มีวัตถุประสงคส์ ําคญั อย่างไร จง
วเิ คราะหว์ ตถุประสงค์น้นั มาพอเขา้ ใจ
๑๓๘
เอกสารอา้ งอิงประจาบท
ไกรวุฒิ มะโนรัตน์, วรรณคดีบาลี ๑. กรงุ เทพมหานคร: จรญั สนิทวงศ์, ๒๕๔๙.
จริ ภัทร แกว้ กู่. วรรณคดบี าลี. เอกสารคําสอน. ๒๕๔๒. (อดั สาํ เนา)
___________ . วรรณคดีบาลี: คัมภีร์ปกรณ์วเิ สสภาษาบาลี. เอกสารตาํ รา.
๒๕๕๐. (อัดสําเนา)
___________ . หลักวรรณคดีวิจารณ์. กรงุ เทพมหานคร: โอเดีย้ นสโตร์,
๒๕๓๙.
ประมวล เพง็ จันทร์, ชชั วาล ปนุ ปัน. สังขยาปกรณ์และสังขยาปกาสกฎีกา.
มหาวิทยาลัยเท่ียงคนื , มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่, ๒๕๔๓.
พฒั น์ เพง็ ผลา. ประวัติวรรณคดี. กรุงเทพมหานคร: สาํ นกั พิมพ์มหาวิทยาลยั
รามคําแหง, ๒๕๔๒.
พระมหามังคลเถระ. พุทธโฆสนทิ าน. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พพ์ ระจันทร์.
๒๔๗๐.
เสถียรโกเศส. นริ ุกติศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: คลังวทิ ยา. ๒๕๒๒.
สภุ าพรรณ ณ บางชา้ ง. ประวตั วิ รรณคดบี าลีในอินเดยี และลงั กา.
กรงุ เทพมหานคร: ศกั ดิโ์ สภาการพมิ พ์, ๒๕๒๖.
ควรเพิ่ม ดูในเอกสาร
บทท่ี ๖
วรรณกรรมบาลีในประเทศไทย
อาจารย์อภริ มย์ สดี าคา
อาจารย์เสรมิ ศลิ ป์ สุภเมธสี กุล
วตั ถุประสงคก์ ารเรยี นประจาบท
๑๓๙
เมอ่ื ได้ศกึ ษาเนอ้ื หาในบทน้ีแล้ว นิสติ สามารถ
๑. อธิบายวรรณกรรมบาลยี คุ ก่อนสโุ ขทัยได้
๒. อธิบายวรรณกรรมบาลียุคสโุ ขทัยได้
๓. อธิบายวรรณกรรมบาลียคุ ลา้ นนาได้
๔. อธบิ ายวรรณกรรมบาลียุคอยธุ ยาได้
๕. อธบิ ายวรรณกรรมบาลียคุ รัตนโกสินทรไ์ ด้
ขอบขา่ ยเน้อื หา
ความนํา
วรรณกรรมบาลียคุ กอ่ นสุโขทัย
วรรณกรรมบาลียุคสุโขทัย
วรรณกรรมบาลยี ุคลา้ นนา
วรรณกรรมบาลยี ุคอยธุ ยา
วรรณกรรมบาลียุครตั นโกสินทร์
๑๔๐
๖.๑ ความนา
ประเทศสยามหรอื ประเทศไทยได้ถือวา่ เปน็ อาณาจักรสวุ รรณภมู ิ ที่พระโสณะกบั
พระอตุ ตระ ไดน้ ําพระพทุ ธศาสนาจากประเทศอินเดียมาเผยแผ่จนเปน็ ทร่ี ู้จกั หรอื รับรู้กนั
ท่ัวโลก โดยมหี ลักฐานปรากฏคือ “เจดีย์นครปฐม” และศาสนวตั ถอุ ีกมากมาย ยิง่ กวา่ น้ัน
คือหลกั ธรรมทีจ่ ารกึ ไวต้ ามวัดหรือสถานท่ตี า่ งๆ เป็นหลกั ฐานอกี ชั้นหน่ึง ทีท่ าํ ให้
นกั ปราชญ์ด้านศาสนาไดศ้ ึกษาค้นควา้ หาความจรงิ สบื ต่อมา
วรรณกรรมบาลใี นประเทศไทยมเี ปน็ จาํ นวนมากเริ่มต้ังแต่วรรณกรรมบาลกี อ่ น
สุโขทัย วรรณก รรมบาลยี ุคสโุ ขทยั วรรณกรรมบาลียุคลา้ นนาไทย วรรณกรรมบาลกี รงุ
ศรอี ยธุ ยาและวรรณกรรมบาลยี ุคกรุงรัตนโกสินทร์ เนือ่ งจากประเทศไทยเป็นเมืองของ
พระพทุ ธศาสนา โดยมหี ลักฐานทเ่ี ป็นถาวรวตั ถุโบราณและท่ีเป็นคมั ภีรท์ าง
พระพุทธศาสนาประจกั รต่อสงั คมโลกอย่างมากมาย จนประเทศไทยไดร้ ั บฉายาว่า
“Yellow country” (ประเทศแหง่ พระพทุ ธศาสนา) มีพระสงฆ์ ศาสนวตั ถุ ซึ่งเป็น
สัญลกั ษณ์ของพระพทุ ธศาสนาทั้งสิ้น
อดีตประเทศสยามหรือประเทศไทยในปจั จุบัน ได้รับอทิ ธพิ ลจากวรรณกรรมบาลี
อย่างปฏิเสธไม่ได้ อาจจะกล่าวไดว้ ่า อทิ ธิพลของคําสอนพระพทุ ธศาสนาทม่ี าจาก
วรรณกรรมบาลไี ดซ้ ึมทราบเข้าไปในวิถชี วี ติ ของคนไทยโดยไมร่ ูตัวเรยี บรอ้ ยแลว้ เร่ิม
ตง้ั แต่ยคุ สโุ ขทยั ยุคลา้ นนา ยคุ กรงุ ศรอี ยธุ ยาและยุครตั นโกสินทร์ คนไทยรับเอาคาํ สอน
หรือหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาทง้ั โดยตรงและโดยออ้ ม โดยตรงกค็ ือ เข้าไปศกึ ษา
และปฏิบตั พิ ระพทุ ธศาสนาในวดั โดยออ้ ม คอื การปฏิบัติตามประเพณี วฒั นธรรม ซึง่ ลว้ น
เกย่ี วขอ้ งกบั พระพุทธศาสนาทัง้ สนิ้
อาจกล่าวได้วา่ อิทธพิ ลของวรรณกรรมบาลี หรือวรรณคดีบาลขี อง
พระพุทธศาสนาเถรวาทท่เี กดิ ขนึ้ ในประเทศไทย ไดข้ ยายครอบคลุมทุกสถาบนั อาทิ
สถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ สถาบนั เศรษฐกิจ สถาบันการเมอื ง สถา บันการศกึ ษา สถาบนั
ครอบครวั ลว้ นนําหลกั ธรรมคําสอนของพระพทุ ธศาสนาในวรรณกรรมบาลีมาประยกุ ตใ์ ช้
ในสถาบนั ของตนทงั้ ส้นิ ฉะน้นั วรรณกรรมบาลที ีเ่ กดิ ข้นึ ในประเทศไทย จึงมคี วามสําคญั
และจําเปน็ ตอ่ การดาํ รงชีวติ ของคนไทยอยา่ งหลีกเล่ียงไม่ได้
๑๔๑
จากหลักฐานท่ีมีปรากฏในหนังสือประวัติศาสตรศ์ าสนา๑๒๘ และพระพทุ ธศาสนา
ในราชอาณาจักรไทย พอสรุปความได้ดงั นี้
เมอ่ื ทําสงั คายนาคร้ังที่ ๓ เสรจ็ เรยี บร้อยแลว้ พระเจ้าอโศกไดส้ ง่ สมณทตู ไปเผย
แผ่พระพทุ ธศาสนาในนานาประเทศ ๙ สาย สายหน่งึ ในจาํ นวน ๙ สายนั้น มพี ระสมณทตู
๒ รูปคอื พระโสณะและพระอตุ ตระเป็นหัวหนา้ คณะ ได้เดนิ ทางมาเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา
ที่อาณาจกั รสุวรรณภูมิ ศูนย์กลางอาณาจกั รสวุ รรณภมู คิ อื นครปฐมเดี๋ยวนี้ ซ่งึ มคี นมอญ
และคนละว้าเปน็ คนพ้ืนเมือง
พระโสณะและพระอตุ ตรเถระ เดนิ ทางมาสวุ รรณภมู ิ ไมเ่ กนิ พ .ศ.๓๐๐ แต่นัก
ประวตั ศิ าสตร์บางคนเชือ่ วา่ พระพุทธศาสนาแพรเ่ ข้ามาสู่สุว รรณภมู ิ (ประเทศไทย
ปัจจบุ นั น้ี)ประมาณพ.ศ.๕๔๔-๗๔๓ หลักฐานที่ขดุ คน้ พบได้คือสถปู โบราณ และ
โบราณสถานตา่ งๆ ซงึ่ เป็นร่นุ ราวคราวเดยี วกนั กบั สมัยพระเจ้าอโศก สถปู โบราณมีพระ
สถูปพระปฐมเจดยี อ์ งค์เดมิ ซ่ึงมปี รากฏภายในพระสถูปองคใ์ หญท่ ีเ่ หน็ อยู่ปจั จบุ ันน้ี ตาม
รปู เดมิ สรา้ งเป็นรปู ทรงโอควา่ํ อยา่ งพระสถูปสญั จใิ นประเทศอนิ เดยี และภาพอเุ ทสิกเจดยี ์
อนื่ ๆ ทท่ี ําเป็นรูปพระธรรมจกั รมีกวางหมอบอยบู่ นแท่นเปล่าๆ
องค์อปุ ถมั ภก์ ารสงั คายนาครัง้ ท่ี ๓ ได้สง่ มาเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนายงั อาณาจกั ร
สวุ รรณภูมิ ดังความปรากฏในคมั ภรี ส์ มนั ตปาสาทกิ า วา่
“สุวณฺณภมู ึ คจฉฺ นฺตฺวาน โสณตตฺ รา มหทิ ฺธกิ า
ปสิ าเจ นทิ ฺธมิตวฺ าน พรฺ หมฺ ชาลํ อเทสิสํ
พระโสณะและพระอตุ ตระผมู้ ฤี ทธมิ์ าก ไปยังสวุ รรณภมู ิ ปราบพวกปศิ าจแล้ว ได้
แสดงพรหมชาลสูตร”๑๒๙
ศนู ยก์ ลางของอาณาจักรสวุ รรณภูมิ คอื จังหวัดนครปฐมปจั จุบนั ซ่ึงเรียกขานกนั
ในสมยั นั้นว่า ทวาราวดี๑๓๐ โดยชนชาตเิ ดมิ คือพวกมอญโบราณ และละว้า ทคี่ รอง
๑๒๘ สชุ ีพ ปุญญานุภาพ. ประวัติศาสตร์ศาสนา, (กรุงเทพมหานคร: เฟื่องอกั ษร, ๒๕๐๖) หนา้
๓๑๒
๑๒๙ พัฒน์ เพ็งผลา. ประวตั ิวรรณคดบี าล,ี (มหาวทิ ยาลัยรามคาํ แหง, พ.ศ.๒๕๒๔), หน้า ๒๗๘-
๒๙๓
๑๓๐ พฑิ ูรย์ ม ะลวิ ัลย์ และไสว มาลาทอง , ประวัตศิ าสตร์พระพุทธศาสนา, พิมพ์ครงั้ ท่ี ๒.
(กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พก์ ารศาสนา, ๒๕๓๓), หนา้ ๑๒๗.
๑๔๒
ดินแดนทวาราวดี หลกั ฐานต่างๆ ทพี่ อจะสนั นิษฐานว่า ชนชาตทิ ค่ี รองดินแดนทวาราวดี
คือพวกมอญโบราณ และละวา้ โดยเฉพาะพวกมอญโบราณ คอื ๑๓๑
๑) ได้พบจารึกภาษามอญที่ลพบรุ ี จารกึ ด้วยอกั ษรท่ีเกา่ แก่ประมาณพุทธ
ศตวรรษท่ี ๑๓-๑๔ จารกึ ท่เี สา ๔ เหลย่ี ม ซึ่งมบี ัวหัวเสาเหมอื นท่ีนครปฐม
๒) พระนางจามเทวี ย้ายจากลพบรุ ีไปครองหริภุญชัย (ลาํ พูน) ในพทุ ธสตวรรษ
ที่ ๑๓ นัน้ ก็เปน็ เจา้ หญิงมอญ
๓) ยอรช์ เซเดส์ ไดอ้ ่านจารึก ของวัดโพธ์ิ ซ่งึ เปน็ วดั ร้างทีน่ ครปฐมและนําไปเผย
แผท่ ีป่ ารสี เมอ่ื พ .ศ. ๒๔๘๕ กส็ นับสนุนทวารวดี เป็นอา ณาจักรมอญ สว่ นหลักฐานท่ี
พอจะสันนษิ ฐานได้ว่า นครปฐมคือศนู ยก์ ลางของอาณาจักรสวุ รรณภมู ิ ซึง่ เรียกในสมัยนัน้
ว่า ทวาราวดี น้นั คอื ๑๓๒
๑) พระสถปู พระปฐมเจดยี ์องคเ์ ดมิ ซึ่งถูกสรา้ งครอบดว้ ยพระสถปู องค์ใหม่
ดงั ที่เราเหน็ ในปจั จุบนั และพระสถูปเจดีวดั พระ ประโทนเจดยี ์ โดยลักษณะขององค์พระ
ปฐมเจดยี อ์ งคเ์ ดมิ กับพระประโทนเจดีย์นนั้ ไดถ้ า่ ยแบบ จากสัญจสิ ถปู ของพระเจา้ อโศก
มหาราชมาสรา้ ง คือสร้างเปน็ ทรงโอคว่ําเบอ้ื งบนมบี ลั ลงั ก์ปกั ฉตั รศิลาไว้
๒) ศิลาเสมาธรรมจกั ร มกี วางมอบอยูบ่ นแทน่ เปลา่ ๆ ในภาพอุเทสกิ เจดยี ์
แสดงวา่ พระพุท ธศาสนาไดป้ ระดษิ ฐาน ในอาณาจักรสวุ รรณภูมิมากกว่า ๒,๐๐๐ ปแี ลว้
ดังจะเห็นไดจ้ ากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซง่ึ แบง่ พระพทุ ธศาสนาทีเ่ ขา้ มาในดินแดน
แถบน้ี เป็น ๔ ยุค คือ๑๓๓
(๑) พระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาท
(๒) พระพุทธศาสนานิกายมหายาน
(๓) พระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาทอยา่ งพุกาม
(๔) พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทอย่างศรีลังกา ซ่งึ รอ่ งรอยของพระพทุ ธศาสนา
ทีป่ รากฏเด่นชดั มากกไ็ ดแ้ ก่ “ศาสนวัตถุ” ทีม่ กั ปรากฏในรูป “พทุ ธศลิ ปะ” สมัยต่างๆ คอื
๑๓๑ สริ วิ ฒั น์ คาํ วนั สา, ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนาในประเทศไทย, พมิ พค์ ร้งั ที่ ๒.
(กรุงเทพมหานคร :โรงพมิ พ์บรษิ ัท สหธรรมกิ จาํ กดั , ๒๕๔๑), หน้า ๑๙. ๒,
๑๓๒ เสถียร โพธนิ ันทะ , ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาฉบบั มุขปาฐะ ภาค
(กรงุ เทพมหานคร : มหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙), หนา้ ๙๘-๙๙.
๑๓๓ สุภาพรรณ ณ บางชา้ ง , ววิ ฒั นาการงานเขยี นภาษาบาลใี นประเทศไทย จารกึ ตา นาน
พงศาวดาร สาส์น ประกาศ, (กรงุ เทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๙), คาํ นํา.
๑๔๓
สมยั ทวาราวดี สมยั ศรีวชิ ัย สมัยลพบุรี สมยั เชียงแสน สมยั สุโขทัย สมยั อยธุ ยา และสมัย
รัตนโกสินทร์
ในด้านศาสนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิง่ “ศาสนธรรมทเี่ ปน็ ผลงานทางภาษาบาลี”
ของพระเถราจารยท์ ้ังหลาย มกั ปรากฏในรูปของ “จารกึ ” ซงึ่ จารึกด้วย ”อักษรปลั ลวะ”
หรอื “อักษรคฤนถ์” ทม่ี ใี ชใ้ นรัชสมัยของพระเจ้าศิวะสกนั ทวรมนั กษัตรยิ แ์ หง่ ราชวงศป์ ัล
ลวะแห่งอนิ เดียใต้ ประมาณพทุ ธศตรวรรษที่ ๑๐-๑๑๑๓๔
จารกึ ทม่ี ขี อ้ ความภาษาบาลีอกั ษรปลั ลวะท้งั หลายทพ่ี บในระเทศไทย ตาม
ภูมิภาคตา่ งๆ ไดว้ วิ ฒั นาการตามเนือ้ หาเปน็ ๕ กลมุ่ คอื ๑๓๕
๑) จารกึ เนอ้ื ความแสดงธรรม
๒) จารึกเนอ้ื ความแสดงเหตุการณ์
๓) จารกึ เนื้อความนมสั การพระรัตนตรยั
๔) จารึกเนอื้ ความแสดงความปรารถนา
๕) จารึกเนอ้ื ความปกณิ ณกะ
ใน ๕ กลุ่มนนั้ เฉพาะจารึกเนอื้ ความแสดงธรรมกลุม่ ที่ ๑ ยังมวี ิวฒั นาการตาม
เนอ้ื หาย่อยอีกเป็น ๔ กลุม่ คอื
(๑) กล่มุ จารกึ คาถา เย ธมมฺ า
(๒) กล่มุ จารกึ สารธรรมเอกเทศ
(๓) กลมุ่ จารึกคาถาย่ออรยิ สัจ
(๔) กล่มุ จารกึ สาระนิพพาน
จารึกเหล่านี้ลว้ นจารึกคาถาภาษาบาลซี ง่ึ คดั มาจากคัมภรี ม์ หาวรรคแห่งพระวนิ ยั
ปฎิ ก วา่
“ เย ธมฺมา เหตุปปฺ ภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต (อาห)
เตสญฺจ โย นโิ รโธ จ เอวํวาที มหาสมโณ.
๑๓๔ กรมศลิ ปากร, จารึกในประเทศไทย เลม่ ๑, (กรุงเทพมหานคร :โรงพมิ พภ์ าพพิมพ,์
๒๕๒๙), หนา้ ๕.
๑๓๕ สุภาพรรณ ณ บางช้าง , ววิ ัฒนาการงานเขียนภาษาบาลีในประเทศไทย: จารึก
ตานาน พงศาวดาร สาสน์ ประกาศ, บทคดั ยอ่ .
๑๔๔
ธรรมเหลา่ ใด เกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านัน้ และเหตุแห่ ง
ความดับของธรรมเหล่านน้ั พระมหาสมณะ มีปกตติ รัสอยา่ งน้ี”๑๓๖
จารึกคาถา เย ธมฺมา นท้ี พ่ี บในประเทศไทยในภมู ภิ าคตา่ ง ๆ สภุ าพรรณ ณ บาง
ชา้ ง วเิ คราะห์ไวว้ ่า “ไดก้ ล่าว่า จารึกกลุ่มคาถา เย ธมมฺ า ไดเ้ รมิ่ ตน้ จากการรับคตินยิ มมา
จากอินเดยี ในสมยั ท่ีพระเจา้ อโศกมหาราชสง่ สมณทตู มาเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาใน
ดนิ แดนสุวรรณภูมิ และไดค้ อ่ ย ๆ ววิ ฒั นพ์ ฒั นารูปแบบ และเน้ือหาโดยมคี าถา เย ธมฺมา
เป็นแกนหลกั แล้วผนวกคําหรือความที่เก่ยี วเนอื่ งกับอริยสจั ๔ เข้าไป นับเป็นมรดกทาง
วฒั นธรรมที่มคี ุณค่าอย่างมาก เปน็ เครอื่ งแสดงถงึ การตัง้ มั่นของพระพทุ ธศาสนาท่ถี ูกตอ้ ง
ตรงตามแกน่ คาํ สอนของพระพุทธองค์ในแผ่นดินไทย ในชว่ งแรกทรี่ ับคตนิ ิยมจากอนิ เดีย
โดยตรงนั้น สะทอ้ นให้เห็นถงึ สติปัญญาของคนไทย ในการร้จู ักเลอื กรับค่านิยมท่คี วรรบั
ส่วนววิ ัฒนาการทีผ่ นวกเรอื่ งอริยสัจเขา้ ไป ซง่ึ ได้พัฒนามาจนถงึ ขน้ั แต่งเปน็ คาถาในศลิ า
จารกึ พระพทุ ธบาท วัดชมพูเวกน้นั ก็แสดงถึงความเข้าใจธรรมของคนไทย ท่ีตอ่ เน่อื งกนั
มาหลายศตวรรษรวมทง้ั แสดงถงึ ความรูค้ วามสามารถในดา้ นภาษาบาลี ในครงั้ นนั้
ดว้ ย”๑๓๗
๖.๒ วรรณกรรมบาลีในยคุ กอ่ นสุโขทัย
ระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ ๘ ถึงประมาณ พ .ศ. ๑๘๐๐ ปรากฏจารึกทม่ี ขี ้อความ
ภาษาบาลขี องไทยที่จารกึ ด้วยอกั ษรต่างกัน ๕ แบบ คอื อักษรปัลลวะ อกั ษรหลั งปลั ลวะ
อกั ษรเทวนาครี อกั ษรแบบพุกาม และอักษรขอมโบราณ๑๓๘
อกั ษรปลั ลวะ มตี ้นกาํ เนดิ มาจากประเทศอินเดียใต้ สมยั ราชวงศป์ ั ลลวะ ได้
ปรากฏใชใ้ นศลิ าจารกึ ในแหลมอินโดจนี ตง้ั แต่ราวพทุ ธศตรวรรษท่ี ๘-๑๑ ดงั ตัวอย่างใน
“คาถา เย ธมมฺ า :” ไทรบรุ ี อันเปน็ ดินแดนของไทยมากอ่ น และไดใ้ ชต้ ่อเน่อื งเรอ่ื ยมา
จนถึงประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ดงั ปรากฏหลักฐาน เชน่ “จารกึ คาถา เย ธมมฺ า จารกึ
๑๓๖ วิ.มหา,(บาลี). ๔/๖๑/๖๓.
๑๓๗ สภุ าพรรณ ณ บางชา้ ง , วิวฒั นาการงานเขียนภาษาบาลใี นประเทศไทย: จารกึ ตานาน
พงศาวดาร สาสน์ ประกาศ, หนา้ ๒๔๙.
๑๓๘ เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๒๗๘.
๑๔๕
พระธรรมจกั ร” พบทีจ่ ังหวดั สพุ รรณบุรี ราชบุรี นครปฐม ลพบุรี เพชรบรู ณ์ รวมท้งั “ศิลา
จารกึ เนนิ สระบวั ” พ.ศ. ๑๓๐๔ จงั หวัดปราจนี บุรี อกั ษรปลั ลวะนี้นอกจากจะใช้สําหรบั
จารกึ ภาษาบาลแี ลว้ ยังใชส้ ําหรับจารกึ ภาษาสนั สกฤตด้วย เช่น จารึกวดั มเหยงค์ จารกึ
เขาร้าง จารกึ เมืองศรีเทพ จารึกวดั โพร้าง จารกึ วัดภู เปน็ ต้น๑๓๙
จารกึ ภาษาบาลีก่อนยุคสุโขทัย เป็นจารกึ เนอ้ื ความนมัสการพระรตั นตรัย แล ะ
จารกึ เนื้อความแสดงเหตุการณ์ โดยเฉพาะ “จารกึ เน้อื ความนมัสการพระรัตนตรัย” น้นั
ดังตวั อยา่ งใน “จารึกเนินสระบัว จังหวดั ปราจีนบรุ ี ” ทสี่ ื่อใหท้ ราบวรรณกรรมบาลยี คุ ก่อน
สโุ ขทัย ความวา่
ศิลาจารึกหลักนี้ เป็นหนิ ทรายสเี ขยี ว เดิมอยทู่ ่เี นินสระบัวในบริเวณเมือง
พระรถ ตํา บลโคกปีบ อาํ เภอศรีมหาโพธิ จังหวดั ปราจนี บุรี ปจั จุบนั อยู่ที่วัดโพธิ์ศรีมหา
โพธิ์ ผคู้ ้นพบคือศาสตราจารย์ชนิ อย่ดู ี เม่อื วันท่ี ๒๔ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๙๖ ศิลาจารกึ
นี้ จารกึ ด้วยรปู อกั ษรปัลลวะ เป็นคําสรรเสรญิ คุณพระรตั นตรยั มี ๒๗ บรรทัด บรรทัดท่ี
๑-๓ เปน็ ภาษาเขมร บรรทดั ที่ ๔-๑๖ เป็นภาษาบาลี แตง่ เป็นฉนั ท์ ๑๔ ทํานองจะให้เปน็
วสันตดิลกฉันทแ์ ละบรรทดั ที่ ๑๗-๒๗ เปน็ ภาษาเขมร ศิลาจารึกหลักน้ี จารกึ เมอ่ื ปี พ .ศ.
๑๓๐๔ ศาสตราจารย์ พิเศษ นาวาอากาศเอกแย้ม ประพัฒน์ทอง สนั นิษฐานว่า ผ้รู จนา
ศลิ าจารึกหลักนี้ คงเปน็ พระพทุ ธสิริ เพราะท่านคือผ้ปู ระดษิ ฐานศิลาจารึกหลกั น้ี สว่ นผู้จัด
คําเขา้ ฉันทลักษณ์ แปล และทําเชิงอรรถไว้คือ ศาสตราจารย์ฉํ่า ทองคาํ วรรณ๑๔๐
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ศาสตราจารยพ์ ิเศษ แยม้ ประพฒั นท์ อง ได้วิเคราะหค์ ํา
อา่ น แล ะศิลาจารึกหลกั น้ีเฉพาะตอนที่เปน็ ภาษาบาลี ระหว่างบรรทัดท่ี ๔-๑๖ รวมทัง้ จดั
เขา้ รปู ฉันทลกั ษณใ์ หม่ และแปลไว้ ดงั น้ี๑๔๑
“โย สพพฺ โลกมหิโต กรุณาธิวาโส
โมกขฺ ํ กโรสิ อมลํ วรปณุ ฺณจนฺโท
เนยฺโยทโยนวิกุลํ สกลํ วพิ ุทฺโธ
โลกตุ ตฺ โร นมถ ตํ สริ สา มเุ นนฺทํ ฯ
๑๓๙ ก่องแก้ว วรี ะประจักษ์ และนยิ ะดา ทาสคุ นธ์ , รายงานการวจิ ัย เร่ือง การววิ ฒั น์ของ
รปู อักษรธรรมลา้ นนา, (กรุงเทพมหานคร : สภาวจิ ัยแหง่ ชาตลิ ๒๕๒๔), หนา้ ๔.
๑๔๐ เรอื่ งเดียวกนั , หน้า ๑๘๑.
๑๔๑ แยม้ ประพัฒนท์ อง, แยม้ บรรยาย, (พระนคร:รุ่งเรืองธรรม, ๒๕๒๓). หนา้ ๘๔-๘๖ (ในงาน
ฉลองปรญิ ญาอกั ษรศาสตรดุษฎบี ณั ฑติ กติ ติมศักด์ิ จุฬาลงกรณม์ หาวยิ าลยั ).
๑๔๖
โสปาณมาลมมตํ ติรณาลยสฺส
สสํ ารสาคร สมุตตฺ รณาย เสตุ
สมฺโพธตรี มปจิ ุตฺตรเขมมคฺคํ
ธมฺมํ นมสฺสถ สทา มนุ นิ า ปสฏฺ ฯ
เทยฺยํ ททนฺตยมมิยตฺตปสนนฺ จติ ตฺ า
ทตฺวา นรา ผลมลุ ํ รตนํ สรนฺติ
ตํ สพฺพทา ทสพเลนปิ สปุ ฺปสฏ
สงฆฺ ํ นมสฺสถ สทา มติ ปุญฺญเขตฺตํ ฯ
พระพุทธเจ้าพระองคใ์ ด ทรงเป็นผูท้ ่ชี าวโลกท้งั ปวงเทดิ ทูนแลว้ ท รงมี
พระกรุณาเป็นธรรมอยูป่ ระจาพระหทัย ทรงกระทาความรอดพ้นใหไ้ มม่ มี ลทนิ
ทรงเปน็ ดุจพระจันทร์เต็มดวงท่ีประเสริฐ ทรงทราบแจ้งชดั ถงึ ความเก่ยี วพนั ต่างๆ
ทั้งยิง่ ทั้งหยอ่ นของบุคคล ท่ีพระองค์ควรทรงแนะนาทง้ั สิน้ ทรงเปน็ ผู้ข้า มในโลก
ได้ เชญิ ทา่ นทัง้ หลายนอ้ มเศียรนบไหว้พระพุ ทธเจา้ พระองคน์ ้ันผเู้ ป็นจอมมุนี
เทอญ
เชิญทา่ นทง้ั หลาย นมสั การพระธรรมท่ี พระมนุ ีตรสั สรรเสริญไว้วา่ เป็น
ระเบยี บบันได สาหรบั ทอดขา้ มอาลยั ไปสูพ่ ระอมตธรรมเป็นสะพานเพอื่ การเดิ น
ข้ามไปสะดวก ซง่ึ หว้ งนา้ คือสงั สารวฏั อกี ทง้ั ยงั เป็นมรรคอนั เกษม ทโ่ี ผขึ้นฝ่ัง
แหง่ พระสัมโพธิญาณทกุ เมื่อเทอญ
คนทงั้ หลายมจี ิตเลอ่ื มใสแล้วในความที่พระสงฆ์สบื วงศ์จากพระอรหนั ต์ผู้
ไมม่ คี วามยึดถือวา่ ของเรา พากันถวายสง่ิ ท่ีควรถวาย ครัน้ ถวายแล้วตา่ งระลึกถึง
พระรัตนะอันเป็นต้นเดมิ แหง่ ผล (พระพทุ ธรัตนะ พระธรรมรตั นะ ) เชญิ ท่าน
ท้ังหลายนมสั การพระสงฆน์ ั้น ซึ่ งแมพ้ ระทศพลก็ตรัสสรรเสริญเปน็ อันดใี นกาลทง้ั
ปวงว่า เปน็ บุญเขตอันหาท่ีเปรียบมไิ ดท้ กุ เม่อื เทอญ” ฯ
๖.๓ วรรณกรรมบาลใี นยคุ สุโขทยั
ในปีพ.ศ. ๑๘๐๐ พ่อขุนบางกลางหาว ภายหลังมีชยั เหนอื พวกขอมแลว้ ได้
สถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานี พรอ้ มทั้งสถาปนาพระองค์ขึน้ เป็นปฐมกษตั ริ ยข์ องไทย
๑๔๗
ทรงพระนามวา่ “พ่อขุนศรอี ินทราทิตย์” ตอ่ มาใน พ.ศ. ๑๘๒๖ พ่อขุนรามคาํ แหง
มหาราชไดท้ รงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขน้ึ
ในดา้ นศาสนา แม้พระพุทธศาสนาเถรวาทจะ ได้เขา้ มาต้งั ม่ันในอาณาจกั รสโุ ขทัย
ตงั้ แตป่ ระมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ เปน็ ต้นมาและได้มอี ิทธพิ ลตอ่ ชาวสุโขทัยมากมายท้ัง
ในด้านการศึกษา ศาสนา ประเพณี ศลิ ปะและวฒั นธรรม เป็นตน้ ก็ตาม แต่กไ็ มป่ รากฏวา่
มวี รรณคดบี าลีให้ศกึ ษาเลยจนลถุ ึงพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ ในรชั กาลของพระมหาธรรม-ราชา
ที่ ๑ คือ พระเจา้ ลไิ ท พระราชนดั ดาของพอ่ ขนุ รามคําแหงมหาราช จงึ ปรากฏหลกั ฐาน
ทางวรรณคดบี าลขี ้นึ ไดแ้ ก่
๑) ศิลาจารึกวัดป่ามะมว่ ง จังหวัดสุโขทัย และ
๒) คมั ภีร์รัตนพิมพวงศ์
๑) ศลิ าจารกึ วดั ป่ามะม่วง จงั หวดั สโุ ขทัย
ศลิ าจารึกวัดป่ามะมว่ ง พระยารามราชภักดี (ใหญ่ ศรลมั น์) ขดุ พบทว่ี ัดปา่ มะม่วง
จงั หวดั สโุ ขทัย เมอื่ พ .ศ.๒๔๕๑ เป็นศลิ าจารกึ ท่ีจารึกเปน็ ภาษาบาลีอักษรขอม ว่ าด้วย
เรอ่ื งราวของพระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลิไท) เสด็จออกผนวชเม่ือวนั พธุ แรม ๘ ค่าํ เดอื น
๑๒ พ.ศ. ๑๙๐๕ ซง่ึ บาลอี กั ษรขอมทีป่ รากฏในหลักศิลาจารึก (ด้านที่ ๑) น้ี ถอดเปน็
ภาษาบาลีอกั ษรไทย ดงั นี้๑๔๒
“ปรนิ ิพพฺ าน (โต) วสฺส สตนู ทวฺ สิ หสฺสโต
อทุ ธฺ ํ ปญฺจ อุ (สภ)............(ทิเนก)
ตตฺ กิ มาสสฺส กาฬปกขฺ สฺส อฏฐเม
พทุ ธฺ วาเร (ส)ุ นกขฺ ตฺต
มุหุตตฺ กรณาทิ (เก)
...นตฺราทวิ ทาเน เวสฺสนตฺ โร ยถา ํ ... าว
ปญฺญาย สีเล สลี วราทวิ
ปสํสิตพโฺ พ วิญญฺ หู ิ ทกฺโข พยฺ ากรณาทเิ ก
ติปฏิ กสภาวญฺญู ราชา สเี ทยยฺ นามโก
๑๔๒ เร่อื งเดียวกัน, หนา้ ๑๒๘-๑๓๐. คาํ ที่หายไปนั้น ศาสตราจารยพ์ เิ ศษ แยม้ ประพัฒนท์ อง
อาศยั จากบทบาลวี า่ ปญฺญาย แลว้ วเิ คราะหว์ า่ ได้แก่ มโหสโถ =พระโพธิสัตวม์ โหสถ.
๑๔๘
สาสนสสฺ หติ ํ สพฺพ โลกสฺส จ หติ ญฺจรํ
รชฺเช ฐโิ ต ปิ ราชตฺเต นพิ ฺพินฺทนโฺ ต คุณากโร
นกิ ฺขมฺมนิมนโฺ น ชนโก ว ราชา
ราชหู ิ มจฺเจหิ จ นาคเรหิ
เทวงคฺ ณาภา หิ จ สุนฺทรหี ิ
มิตเฺ ตหิ ญาตีหิ นิวาริโต ปิ
สมโฺ พธิสตเฺ ตหิ ชเนหิ จณิ ณฺ ํ
สทาสทาจารมเปกขฺ มาโน
กาสาววตถฺ ํ รุทตํ ว เตสํ
อจฺฉาทยิ ฉฑิย ราชภารํ
ตํ ขณญฺเญว สงกฺ มปฺ ิ ธารตํ ุ ธรณี ตทา
อสกโฺ กนฺตวี ตสฺเสว คุณภารํ สมนตฺ โต
ปาฏิหาริยมญฺญญฺจ อาสิเนกวธนฺ ตทา
เอส ธมมฺ นิยาโม หิ โพธิสตฺตาน กมฺมนิ
ปพพฺ ชิตวฺ าน โส ราชา โอรยุ หฺ สกมนฺทิรา
สฏฐฺ ีวสฺโส มหาเถโร ยถา สนตฺ นิ ทฺ รฺ โิ ย ตถา
ยคุ มตฺตํ ว เปกฺขนโฺ ต เนกปูชาหิ ปูชโิ ต
รุทมฺมโุ ข ชโนเฆหิ วรมพฺ วนํ คโต
นานาทชิ คณากิณฺเณ รมฺเม นนทฺ นสนฺนเิ ภ
มตุ ฺตารชตวณฺณาภ วาลุการาสสิ นถฺ เต
ปวติ เฺ ตติ วิวิตฺตตถฺ ิ ชนานมาสยารเห
อปุ สมปฺ ชฺชิ โส ตตถฺ วสา อมฺพวเน วเร ลทธฺ า
พระยาปรยิ ัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) แปลไวด้ งั น.ี้ ..
พระศาสดาเจา้ เข้าสปู่ รินพิ านได้ ๑๙๐๕ พระวสา ในปีฉลู วันพธุ .เดือน ๑๒ แรม
๘ คา่ พระองค์ประกอบดว้ ยทานบารมคี ลา้ ยกบั พระเวสสันดร ด้วยปัญญาบารมี
คล้ายกบั (พระนามชารดุ และดว้ ยศลี บารมคี ล้ายกับพระสลี วราช เป็นท่ี
นักปราชญ์ทัง้ หลาย ควรจะเข้าไปสรรเสริญพระองค์ฉลาดในโหราศาสตร์ มีคมั ภรี ์
พยากรณ์ เปน็ ตน้ ทรงชานาญในสภ าวะ แหง่ พระไตรปิฎก มพี ระนามว่า สเี ทยย์
ได้ประพฤติประโยชน์เกื้อกูลแกพ่ ระศาสนาและโลกทง้ั ปวงถงึ แม้ว่าพระองค์ทรง
๑๔๙
คณุ เปน็ บ่อเกิดไดเ้ สวยราชสมบัติอยู่ ถงึ กระนนั้ ไดบ้ ังเกิดความเบือ่ หน่ายก ารเปน็
พระราชา เม่อื มีพระทยั น้อมไปในเนกขัมมบารมี ที่ พระราชามหาอามาตยญ์ าติ
มติ รชาวพระนครทง้ั หลาย กับพร ะสนมรงุ่ เรืองเหมือนหญงิ นางสวรรค์ แม้หา้ ม
(ไมใ่ ห้ทรงผนวช) แล้วพระองคก์ ็เพ่งเล็งเอาอาจาระอันพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย
ไดป้ ระพฤติแล้วในกาลทกุ เมอ่ื เมอ่ื ราชบรพิ ารยังปรเิ วทนาอยูพ่ ระองค์ทรงเปลอื้ ง
เคร่ืองกษัตรยิ แ์ ล้ว ทรงกาสาวพัสตร์ อนั ย้อมพรอ้ ม
ในขณะนัน้ พระธรณีเจา้ กบ็ ันดาลกัมปนาทหวาดไหวมิอาจที่จะดารงพระคุณอัน
หนกั ของพระองค์ไว้ไดใ้ น กาลนั้น ก็มสี าคัญประหน่งึ ว่าสาแดงพระปาฏหิ าริย์มีประการ
อเนก แท้จรงิ การเปน็ ดงั นี้ ก็เปน็ ธรรมนยิ มของพระโพธิสัตว์เจ้าทง้ั หลาย ครั้นเม่อื
พระราชาเจา้ ไดท้ รงบรรพชาเพศแลว้ เสด็จลงจากพระราชมณเฑียรของพระองค์ มพี ระ
อินทรยี ์สังวรอันสงบราวกับพระมหาเถระ มีพรรษากาลได้ ๖๐ ปี เป็นประมาณ ทอดทศั นา
คงอยู่เพียงชว่ั แอก
พระองคเ์ ปน็ ผทู้ ่ฝี งู ชนท้งั หลายคร่าครวญอยูเ่ อกิ เกริกบูชาแลว้ ดว้ ยอเนกบชู า ได้
เสด็จไปสอู่ มั พวนั อันประเสรฐิ งามราวกบั วา่ นันทนอุ ทยานเปน็ รัมยสถาน ดาษดาดว้ ย
คณานก พหิ คตา่ งๆ มพี ืน้ อันเรี่ยรายด้วยทรายงามราวกะแสงแกว้ มุกดา เงนิ ทอง อนั กอง
ไว้ เปน็ สถานอันควรแกช่ นท้งั หลาย ผ้ปู รารถนาวิเวก เม่อื พระราชานั้น เสดจ็ เขา้ ไปแลว้ ก็
พานกั อยใู่ นอัมพวัน อันประเสรฐิ ............ครน้ั พระองคไ์ ดแ้ ลว้ ..............”
๒) คัมภีรร์ ตั นพิมพวงศ์
คัมภีร์รตั นพิมพวงศ์ เรียกในภาษาบาลวี ่า “รตนพมิ พฺ วส” แตง่ โดยพระพรหม
ราชปัญญา แห่งวดั ภูเขาหลวง เมอื งสโุ ขทยั ขณะมีอายไุ ด้ ๒๓ ปี บวชได้ ๒ พรรษา แตง่
เปน็ ร้อยแก้วและร้อยกรองผสมกนั มเี นื้อหากล่าวถึงตํานานพระพทุ ธมหามณีรัตนปฏิมา
กรหรือประวัติพระแกว้ มรกตว่า เทวดาสร้างถวายพระอรหันต์นามวา่ นาคเสนเถระ ใน
เมืองปาฏลีบุตร และพระเถระไดอ้ ธษิ ฐานอาราธนาพระบรมสารรี กิ ธาตขุ องพระสัมมาสัม
พุทธเจา้ ๗ พระองค์ ประดษิ ฐานไว้ในองค์พระมหามณีรตั นปฏมิ ากร๑๔๓
๑๔๓ กรมศลิ ปากร. ตานานพระแก้วมรกต, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์พระจันทร,์ ๒๕๑๙).
หนา้ ๑๘-๒๒
๑๕๐
หนังสอื รตั นพมิ พวงศ์นีแ้ ตง่ สําเร็จเมื่อเดือน ๕ ขน้ึ ๑๐ คาํ่ ปีระกา ไมป่ รากฏ
ศักราชหนงั สอื เล่มน้ีกลา่ วในตอนจบถึงพระแก้วมรกตอยู่ท่ีเมอื งลาํ ปาง เพราะฉะนน้ั พระ
พรหมราชปัญญา แต่งรัตนพิมพวงศ์ เมื่อปจี ุลศกั ราช ๗๙๑ ในรชั สมัยสมเด็จพระบรม
ราชาธริ าชที่ ๒ ครองกรุงศรอี ยุธยา หนังสอื นมี้ ีการแปลเปน็ ภาษาไทยอยู่ ๒ ฉบับ คอื
ฉบบั แรกแปลโดยพระยาปโรหติ ในสมัยรชั กาลท่ี ๑ แปลเม่ือ พ .ศ.๒๓๓๑ ฉบับ ๒ แปล
โดยพระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษณ์) เมอื่ พ.ศ.๒๔๕๕
๖.๔ วรรณกรรมบาลใี นยคุ ล้านนา
ในประเทศไทย ตง้ั แต่คนไทยนบั ถือพระพุทธศาสนามาจนถึงปจั จุบนั เปน็ ท่ี
ยอมรับกนั โดยทว่ั ไปว่า ในสมัยลา้ นนาไทย ในชว่ งพุทธ ศตวรรษที่ ๑๙ ถงึ ๒๐ เป็นช่วงท่ี
มีการรจนาคัมภรี ์ทางพระพทุ ธศาสนาเป็นภาษาบาลีมากท่สี ดุ จนกลา่ วได้ว่า “เปน็ ยคุ ทอง
ของวรรณคดีบาลใี นไทย” ซ่งึ ยุคทองของวรรณคดีบาลใี นสมัยล้านนานแ้ี บ่งออกเปน็ ๒
ช่วง คอื
๑) ช่วงทีห่ นง่ึ เรียกว่า วรรณคดพี ระไตรปิฎก อยใู่ นสมัยของพระเจ้าติ โลกราช
(พ.ศ.๑๙๘๔-๒๐๓๐) ซึ่งมพี ระสงฆ์ที่เฉลยี วฉลาดและร้หู ลกั พระไตรปฎิ กจาํ นวนหลายรูป
จนสามารถทาํ การสงั คายนาคร้ังท่ี ๘ ท่ีเรียกวา่ “อฏั ฐมสงั คายนา” ข้นึ ทวี่ ัดโพธาราม
หรือวดั เจ็ดยอดในปี ๒๐๒๐ ตอ่ มา
๒) ช่วงทสี่ อง คือ ในสมยั พระเจา้ ติลกปนัดดาธิราช หรือพระเมืองแก้ว (พ.ศ.
๒๐๖๘-๒๐๓๘)
เนอ่ื งจากพระพทุ ธศาสนาได้รับการสง่ เสรมิ และสนบั สนุนในดา้ นศลิ ปวัฒนธรรม
เปน็ อย่างมาก โดยเฉพาะในดา้ นวรรณคดีทางพระพทุ ธศาสนาน้นั มีการส่งพระสงฆไ์ ป
ศึกษา ณ ประเทศศรีลังกา ทาํ ให้พระสงฆห์ ลายรปู ท่มี ีความรู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก
รจนาคัมภรี ส์ ําคัญทางพระพทุ ธศาสนามากมาย และคมั ภีร์ทางพระพุทธศาสนาของ
ลา้ นนาท่ีรจนาเปน็ ภาษาบาลนี ้นั มีเนือ้ หาเนน้ ทีก่ ารอธบิ ายขยายความพระสตู ร พระวนิ ยั
และพระอภธิ รรม โดยเฉพาะท่ีขยายความพระสูตร นน้ั สว่ นใหญจ่ ะเป็นประเภทอรรถกถา
ฎกี า และโยชนา มี ทั้งคมั ภีร์อธบิ ายไวยากรณ์ ภาษาบาลี พงศาวดาร ตํานาน และศาสน