การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพ ื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมม ื อเทคนิค (TGT) ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) THE DEVELOPMENT OF ENGLISH LEARNING TO DEVELOP LISTENING AND SPEAKING SKILLS BY USING COOPERATIVE LEARNING THROUGH THE TGT TECHNIQUE FOR GRADE 2 STUDENTS AT CHOOMCHON TESSABAN 3 (PINITPITTAYANUSORN) SCHOOL กิตติพงษ์ ชาธิพา การศึกษาค้นคว้าวิจัยในช้ันเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยนครพนม ปี การศึกษา 2565 ลิขสิทธิ์เป็ นของมหาวิทยาลัยนครพนม
การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพ ื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมม ื อเทคนิค (TGT) ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) กิตติพงษ์ ชาธิพา การศึกษาค้นคว้าวิจัยในช้ันเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยนครพนม ปี การศึกษา 2565 ลิขสิทธิ์เป็ นของมหาวิทยาลัยนครพนม
THE DEVELOPMENT OF ENGLISH LEARNING TO DEVELOP LISTENING AND SPEAKING SKILLS BY USING COOPERATIVE LEARNING THROUGH THE TGT TECHNIQUE FOR GRADE 2 STUDENTS AT CHOOMCHON TESSABAN 3 (PINITPITTAYANUSORN) SCHOOL Kittipong Chathipa CLASSROOM ACTION RESEARCH SUBMITTED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENT FOR THE BACHELOR DEGREE OF EDUCATION IN ENGLISH NAKHON PHANOM UNIVERSITY ACADEMIC YEAR 2022 ALL RIGHT RESERVED BY NAKHON PHANOM UNIVERSITY
ได้พิจารณาวิจัยในชั้นเรียนของ นายกิตติพงษ์ ชาธิพา แล้วเห็นสมควรรับเป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยนครพนม (อาจารย์ มานะชัย แก้วสีดวง) อาจารย์ที่ปรึกษาการวิจัยในชั้นเรียน วันที่10 ตุลาคม 2565
กิตติพงษ์ ชาธิพา. 2565: การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนา ทักษะการฟังและการพูดโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) ส าหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์). การศึกษา ค้นคว้าอิสระครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยนครพนม อาจารย์ที่ ปรึกษา: อาจารย์ มะนะชัย แก้วสีดวง บทคัดย่อ การศึกษาค้นคว้าอิสระมีวัตถุประสงค์(1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์75/75 (2) เพื่อหาค่า ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT ส าหรับ นกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 (3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนภาษาองักฤษก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้เทคนิค TGT สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 (4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT กลุ่ม ตวัอยา่ง ไดแ้ก่นกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2/2 จ านวน 33 คน โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยา นุสรณ์) อ าเภอเมืองนครพนม จัวหวัดนครพนม ซึ่ งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 3 ชนิด ไดแ้ก่แผนการจัดการเรียนรู้ 4 แผน แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ จ านวน 20 ข้อ ผลการวิจัย พบว่า (1) การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนา ทักษะการฟังและการพูดโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) สา หรับนกัเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรี ยนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) มีค่าประสิ ทธิภาพเท่ากับ 81.82/82.88 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์75/75 ที่กา หนดไว้(2) นกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) มีค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.6962 ซึ่งหมายความว่า นกัเรียนมีพฒันาการเพิ่มข้ึนร้อยละ 69.62 (3)ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 ระหว่างเรียนกับหลงัเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคญัทางสถิติที่ระดบั.05 (4) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 มีความพึงพอใจต่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค (TGT) มีคะแนน ความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก ค าส าคัญ: (1) การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ (2) เทคนิค TGT (3) ทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ
Kittipong Chathipa. 2022: The Development of English Learning to Develop Listening and Speaking Skills by Using Cooperative Learning through the TGT Technique for Grade 2 Students at Choomchon Tessaban 3 (Pinitpittayanusorn) School; An Independent Study on Bachelor of Education Majoring in English, Nakhon Phanom University; Advisor: Lect. Manachai Keawseeduang ABSTRACT The purposes of study were (1) to find the efficiency of learning management plans in the development of English learning to develop listening and speaking skills by using cooperative learning through the TGT technique for grade 2 students according to the criteria 75/75, (2) to study the effectiveness index of learning on the development of English learning to develop listening and speaking skills by using cooperative learning through the TGT technique for grade 2 students (3) to compare pre- and post-study English learning achievement by using TGT technique for grade 2 students, and (4) to study the satisfaction the development in the development of English learning to develop listening and speaking skills by using cooperative learning through the TGT technique for grade 2 students. The samples consisted of 33 grade 2 students at Choomchon Tessaban 3 (Pinitpittayanusorn) School in Mueang Nakhon Phanom district, Nakhon Phanom province selected by cluster random sampling. The instruments used in this research were 4 learning plans, and an achievement test, and a five-rating scale satisfaction questionnaire. The results found that (1) learning plans of the development of English learning to develop listening and speaking skills by using cooperative learning through the TGT technique for grade 2 students developed by the researcher had efficiency at 82/82.88, which is higher than the 75/75 threshold (3) achievement of grade 2 students during and after studying, it was significantly higher than before at the .05 level, and (4) Grade 2 students had the satisfaction towards plans the development of English learning to develop listening and speaking skills by using cooperative learning through the TGT technique for grade 2 students at the high level. Keywords: (1) Cooperative Learning (2) TGT Technique (3) Listening and Speaking Skills
กิตติกรรมประกาศ การศึกษาคน้ควา้วิจยัในช้ันเรียน การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษเพื่อ พัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) ส าหรับ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 โรงเรี ยนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) ส าเร็จลุล่วงตาม วตัถุประสงค์ที่ต้งัไวด้ว้ยดีดว้ยความกรุณาและความช่วยเหลือเป็นอย่างดียิ่งจากทุก ๆ ท่าน ผูศ้ึกษา ค้นคว้ารู้สึกซาบซ้ึงและประทับใจในความกรุณาและความช่วยเหลือของท่านเป็นอย่างมาก ขอขอบพระคุณเป็นอยา่งสูงไว้ณ ที่น้ีดว้ย ขอขอบพระคุณท่านผู้อ านวยการ นายนครินทร์ เหลือบุญชู ผู้อ านวยการโรงเรียนชุมชน เทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) อ าเภอเมือง จังหวัดนครพนม ที่กรุณาให้ความช่วยเหลือ และอ านวย ความสะดวกตลอดระยะเวลาในการด าเนินการทดลองเป็ นอย่างดี ขอขอบพระคุณครูพี่เล้ียง นางอมรรัตน์ อาจแรง ผู้เชี่ยวชาญด้านเน้ือหาการสอน ภาษาอังกฤษ ครูช านาญการพิเศษ โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) ที่กรุณาให้ความ ช่วยเหลือและอ านวยความสะดวกตลอดระยะเวลาในการด าเนินการทดลองเป็ นอย่างดี ขอขอบพระคุณอาจารย์นิเทศก์ อาจารย์มานะชัย แก้วสีดวงอาจารยท์ ี่ปรึกษาการวิจยัในช้นั เรียน ที่คอยให้คา ปรึกษาในการศึกษาคน้ควา้ทุกข้นัตอน ขอขอบใจนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) อ าเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม จ านวน 101คน ที่ให้ความร่วมมือเป็ นอย่างดีในการเก็บ รวบรวมขอ้มูลในการศึกษาคน้ควา้วิจยัในช้นัเรียนคร้ังน้ี ขอขอบคุณผูอ้ยเู่บ้ืองหลงัความสา เร็จในคร้ังน้ีทุกท่าน ซ่ึงเป็ นผู้ส่งเสริมสนับสนุนให้ความ ช่วยเหลือ และให้ก าลังใจที่ดีตลอดเวลาและขอบคุณเพื่อน ๆ นักศึกษาสาขาภาษาอังกฤษ ที่ให้ความ ช่วยเหลือและให้ก าลังใจในการศึกษาค้นคว้า จนส าเร็จลุล่วงด้วยดี ท้ายที่สุด ผู้ศึกษาค้นคว้าขอกราบพระคุณบิดาและมารดา ผู้ให้ก าเนิดและให้ก าลังใจด้วยดี เสมอมาตลอดจนผูท้ี่ไม่ไดเ้อ่ยนามไว้ณ ที่น้ี กิตติพงษ์ ชาธิพา
ง สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อภาษาไทย.............................................................................................. ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ......................................................................................... ข กิตติกรรมประกาศ.............................................................................................. ค สารบัญ................................................................................................................ ช สารบัญตาราง...................................................................................................... จ สารบัญภาพ......................................................................................................... ฌ บทที่ 1 บทน า...................................................................................................... 1 1.1 ความเป็ นมาและความส าคัญของปัญหา................................................ 1 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย............................................................................. 3 1.3 สมมติฐานการวิจัย................................................................................. 3 1.4 ขอบเขตของการวิจัย.............................................................................. 4 1.4.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง......................................................... 4 1.4.2 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย............................................................... 4 1.4.3 เน้ือหาที่ใชใ้นการวิจยั................................................................ 4 1.4.4 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย........................................................... 4 1.4.5 สถานที่....................................................................................... 5 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ................................................................................... 5 1.5.1 ทักษะการฟังภาษาอังกฤษ.......................................................... 5 1.5.2 ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ......................................................... 5 1.5.3 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ................................ 5 1.5.4 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้................................................... 8 1.5.5 ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75................................................... 8 1.5.6 ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้................. 8 1.5.7 ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน............................................................. 8 1.5.8 ความพึงพอใจ............................................................................ 9 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ.................................................................. 9
จ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า 1.7 กรอบแนวคิดในการวิจัย...................................................................... 10 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.............................................................. 11 2.1 หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐานพุทธศกัราช 2551................... 11 2.2 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ.................................. 15 2.3 เทคนิคการสอนแบบกลุ่มร่วมมือ.......................................................... 20 2.3.1 การสอนแบบ (TGT; Teams Games Tournaments) .................. 30 2.4 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็ นส าคัญ............. 30 2.5 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ................ 34 2.6 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้............................................... 35 2.7 ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้.......................................... 37 2.8 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ..................................................... 38 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง................................................................................ 43 2.9.1 งานวิจัยในประเทศ..................................................................... 43 2.9.2 งานวิจัยต่างประเทศ................................................................... 46 บทที่ 3 วิธีการด าเนินการวิจัย.............................................................................. 48 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง.................................................................... 48 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย....................................................................... 49 3.3 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ......................................................... 49 3.4 รูปแบบการวิจัย..................................................................................... 57 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล.......................................................................... 58 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้........................................................... 59 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................. 66 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล................................ 66 4.1 ลา ดบัข้นัตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้มูล................................. 66 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................... 67 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ......................................................... 74 5.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย...................................................................... 74
ฉ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า 5.2 วิธีด าเนินการวิจัย.................................................................................. 74 5.3 สรุปผลการวิจัย..................................................................................... 76 5.4 อภิปรายผลการวิจัย............................................................................... 77 5.5 ข้อเสนอแนะในการวิจัย........................................................................ 81 บรรณานุกรม ....................................................................................................... 82 ภาคผนวก............................................................................................................ 86 ภาคผนวก กแผนการจัดการเรียนรู้............................................................. 87 ภาคผนวก ข แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน................................ 123 ภาคผนวก ค แบบสอบถามความพึงพอใจ ................................................... 132 ภาคผนวก งแบบประเมินเพื่อตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือของ ผู้เชี่ยวชาญ. 135 ภาคผนวก จ ภาพประกอบกิจกรรมการเรียนรู้............................................ 162 ประวัติย่อของผู้ท าวิจัย........................................................................................ 167
ช สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และ แสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล........................................................................... 18 2 มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ......................................... 18 3 มาตรฐาน ต 1.3 น าเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นเรื่อง ต่าง ๆ โดยการพูดและการเขียน............................................................................ 19 4 มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของ ภาษา และน าไปใช้ได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ................................................ 19 5 มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและ วัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับภาษาและวัฒนธรรม และน ามาใช้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม........................................................................................................ 19 6 มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการ เรียนรู้อื่น และเป็นพ้ืนฐานในการพฒันาแสวงหาความรู้และเปิดโลกทศัน์ของ ตน......................................................................................................................... 19 7 มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ท้ังในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม............................................................................................... 20 8 มาตรฐาน 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพ้ืนฐานในการศึกษาต่อ การ ประกอบอาชีพและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก........................................ 20 9 เกณฑ์การให้คะแนนแบบสอบถามวัดความพอใจ................................................ 44 10 จา นวนนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยา นุสรณ์)................................................................................................................. 48 11 การวิเคราะห์หน่วยการเรียนรู้............................................................................... 50 12 ความสัมพนัธ์ระหว่างเน้ือหาจุดประสงคก์ารเรียนรู้และจา นวนขอ้ สอบ............. 53 13 แบบแผนการวิจัย One Group Pretest-Posttest Design......................................... 57 14 ผลการหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้................................................ 67 15 ดัชนีประสิทธิผลของของแผนการจัดการเรียนรู้................................................... 69 16 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 ระหว่างเรียนกับหลังเรียน..................................................................................... 70
ซ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 17 แสดงจ านวนและร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามจ าแนกเพศ............................... 71 18 สรุปผลวิเคราะห์ข้อมูลของแบบสอบถามความพึงพอใจ...................................... 71 19 ค่าดัชนีความสอดคล้อง ( IOC ) ของแผนการจัดการเรียนรู้.................................. 149 20 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน....... 149 21 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (ต่อ).................... 150 22 ตารางแสดงค่าความยากง่าย (P) และค่าอ านาจจ าแนก (R) แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน........................................................................................ 151 23 ค่าความเชื่อมนั่แบบทดสอบวดัผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยใช้เกณฑ์ค่าความ เชื่อมนั่ KR-20 (Khuder-Richardson-20)ของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน........................... 152 24 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบสอบถามความพึงพอใจ.......................... 154 25 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบสอบถามความพึงพอใจ(ต่อ)................. 155 26 ผลการหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้................................................ 155 27 ดัชนีประสิทธิผลของของแผนการจัดการเรียนรู้................................................... 157 28 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 ระหว่างเรียนกับหลังเรียน..................................................................................... 158 29 ผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญต่อแผนการจัดการเรียนรู้...................................... 158 30 สรุปผลวิเคราะห์ข้อมูลของแบบสอบถามความพึงพอใจ...................................... 160
ฌ สารบัญภาพประกอบ ภาพที่ หน้า 1 ข้นัตอนการจดัการเรียนรู้รูปแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT(Teams – Games - Tournaments).......................................................................................................... 6 2 กรอบแนวคิดในการวิจัย.......................................................................................... 10
1 บทที่ 1 บทน ำ 1.1 ควำมเป็ นมำและควำมส ำคัญของปัญหำ ในสังคมไทยในปัจจุบนัเจริญกา้วหน้าทางดา้นภาษาและเทคโนโลยีมากข้ึน มีวิวฒันาการ และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทา ให้มนุษยน์ ้ันสามารถติดต่อสื่อสารกนั ไดอ้ย่างไร้พรมแดนซ่ึง ประเทศไทยเป็ นประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการเจริญเติบโตของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มี จา นวนมหาศาลหลงั่ ไหลเขา้สู่ประเทศไทย สังคมไทยและคนไทย ซ่ึงขอ้มูลเหล่าน้ีเป็นภาษาสากล หรือภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จึงจ าเป็ นแก่การจัดการศึกษาของประเทศไทยที่ต้องเร่งพฒันา ที่ต้อง ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพื่อพัฒนาคนในประเทศให้มีศักยภาพเพียงพอต่อการด ารงชีวิตอย่างมีคุณภาพ ซึ่ งสอดคล้องกับความมุ่งหมายและหลักการพระราชบัญญัติของแผนการพัฒนาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ภายใต้วิสัยทัศน์ “มุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้มีความรู้คู่ คุณธรรม มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขในสังคม” (แผนการพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 12, 2559) ในปัจจุบันจึงต้องมีการพัฒนาเยาวชนและคนไทยให้มีคุณภาพในด้านการใช้ภาษาอังกฤษ “ครู” ผู้ซึ่งถือเป็ นบุคคลที่นับว่าเป็ นก าลังส าคัญในการปลูกฝังเยาวชนสู่การมีทักษาในศตวรรษที่ 21 เพื่อเป็ นบุคคลที่มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ พร้อมไปด้วยความรู้ ทักษะ และคุณธรรมจริยธรรม การพฒันาสังคมให้กา้วหนา้จะตอ้งเริ่มพฒันาที่ตวับุคคลและการเป็นกา ลงัสู่การขบัเคลื่อนประเทศคอื “เยาวชน” ดังน้ันการเรียนการสอนจึงต้องมีการปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์สังคมปัจจุบัน เพื่อเป็ นบุคคลที่อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง การจัดกิจกรรมการเรียน การสอนทักษะส าคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ คือ ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ เป็ นทักษะที่ทุกคน มุ่งหวังที่จะให้ประสบความส าเร็จ เพราะการเรียนภาษาใด ๆ ก็ตาม หากสามารถสื่อสารด้วยการพูด สนทนาในชีวิตประจา วนั ได้ถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากการเรียนภาษาน้ัน ๆ ได้อย่างแท้จริง แต่ความเป็นจริงการพูดภาษาอังกฤษของคนไทยยงัประสบปัญหานั่นคือ คนไทยส่วนมากเรี ยน ภาษาอังกฤษมาเป็ นระยะเวลาหลายปี แต่ก็ยังไม่สามารถพูดหรือสนทนากับชาวต่างประเทศได้อย่าง คล่องแคล่ว ท้งัๆ ที่คร่ าเคร่งเรียนภาษาองักฤษกนัมาอยา่งหนกั (อรรชนิดา หวานคง, 2559)
2 ผู้มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษย่อมมีโอกาสในการติดต่อสื่อสารมากกว่าเสมอ ท้งัน้ีตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 2 มาตรา 6 ระบุไว้ว่าการจัดการศึกษาต้องเป็ นไปเพื่อพัฒนา คนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ท้งัร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและ วัฒนธรรมในการด ารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมี ความสุข มาตรฐานการศึกษาของชาติ ก าหนดอุดมการณ์ส าคัญในการจัดการศึกษา คือ การจัดให้มีการศึกษาตลอดชีวิตและสร้างสังคมไทย ให้เป็ นสังคมแห่งการเรียนรู้การศึกษาสร้างคุณภาพชีวิตและสังคมบูรณการอย่างสมดุลระหว่างปัญญา คุณธรรม และวฒันธรรม เป็นการศึกษาตลอดชีวิต เพื่อคนไทยท้งัปวง มุ่งสร้างพ้ืนฐานที่ดีในวยัเด็ก ปลูกฝังความเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมต้งัแต่วยัการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน และพฒันาความรู้ความสามารถ เพื่อการทา งานที่มีคุณภาพมาตรฐานการศึกษาข้นัพ้ืนฐานกา หนดหลกัการส าคญั ในการจดัการศึกษา ข้นัพ้ืนฐานเพื่อพฒันาผูเ้รียนอย่างครบถว้นสมบูรณ์ท้งัร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม เป็ นผู้ที่มีจริยธรรมในการด าเนินชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ใฝ่ รู้มีทักษะในการ แสวงหาความรู้ที่พอเพียงต่อการพัฒนางานอาชีพและคุณภาพชีวิตส่วนตน สามารถเผชิญความ เปลี่ยนแปลงได้อย่างเท่าทันและชาญฉลาด (มัลลิกา มานันที, 2558) ตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติระบุไว้ในมาตรา 6 การจัดการศึกษาต้องเป็ นไปเพื่อพัฒนาคน ไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ท้ังร่างกาย จิตใจ สติปัญญาความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและ วัฒนธรรมในการด ารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข หากแต่จากสภาพการจัดเรียน การสอนภาษาอังกฤษในปัจจุบันยังคงมีปัญหาอยู่มาก ผู้เรียนมีทัศนคติแง่ลบต่อภาษาอังกฤษ โดยให้ เหตุผลว่า อ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ไม่รู้จักความหมายของค าศัพท์แปลไม่ได้พูดไม่เป็ น เรียนไปก็ไม่ได้ น ามาใช้ในชีวิตประจ าวัน เพราะผู้เรียนคิดว่าภาษาอังกฤษแทบจะไม่ได้ใช้ในชีวิตประจ าวัน จึงไม่มี ความสนใจมากนัก โดยศึกษาได้จากผลสอบ O-NET โรงเรียนนาเพียงสว่างวิทยานุกูล ศูนย์อ านวยการ เครือข่ายกุสุมาลย์2 ปีการศึกษา 2556 จากผูเ้ข้าสอบท้ังหมด จา นวน 46 คน มีคะแนนในรายวิชา ภาษาอังกฤษเฉลี่ยระดับโรงเรียน เท่ากับ 25.87 ซึ่งสาระการเรียนรู้ที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม โรงเรียน ควรเร่งพัฒนาเนื่องจากคะแนนเฉลี่ยของโรงเรียนต ่ากว่าคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ และคะแนน ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนในปี การศึกษา 2556 ที่ผ่านมามีผู้เรียนท้ังหมด 46 คน มีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน วิชาภาษาอังกฤษเฉลี่ยร้อยละ 58 จากข้อมูลดังกล่าว เห็นได้ว่าการจัดการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษยังนับว่าไม่ประสบผลส าเร็จเท่าที่ควร จากปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจ ที่จะท าการศึกษาค้นคว้าการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษเรื่องวัฒนธรรมประเทศ ตะวันตก เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มแข่งขัน (TGT) กับ
3 การจดัการเรียนรู้แบบปกติส าหรับนักเรียนช้ันมธัยมศึกษาปีที่3ศูนยอ์า นวยการเครือข่ายกุสุมาลย์2 เพื่อให้สอดคล้องกับผลการสอบ O-NET ที่มีคะแนนเฉลี่ยของโรงเรียนในสาระการเรียนรู้ที่ 2 ภาษา และวัฒนธรรม อยู่ในระดับต ่ากว่าคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ และเพื่อให้ผู้เรียนได้รับการจัดการ เรียนรู้วิชาภาษาองักฤษที่หลากหลาย ส่งผลให้การเรียนการสอนภาษาองักฤษมีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน (มัลลิกา มานนที และสุทธิพร บุญส่ง, 2559) จากความเป็ นมาความมาและความส าคัญของการเรียนภาษาอังกฤษในปัจจุบัน ผู้ท าวิจัยจึง สนใจศึกษาค้นคว้าการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง Myself (เกี่ยวกับตัว ฉัน) ซ่ึงเป็นการเรียนในระดบัช้ันประถมศึกษาปีที่2 เพื่อพัฒนาทักษะการฟัง (Listening) และทักษะ การพูด (Speaking) โดยการบูรณาการกับการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT ส าหรับ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2และวิธีการจดัการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือน้ียงัช่วยให้ผูเ้รียนไดเ้รียนรู้ การอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นด้วยกระบวนการกลุ่ม มุ่งสู่การเรียนรู้แบบร่วมด้วยช่วยกันเรียน 1.2 วัตถุประสงค์กำรวิจัย 1. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT ส าหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2. เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้ เทคนิค TGT สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนภาษาองักฤษก่อนเรียนและหลงัเรียน โดยใช้ เทคนิค TGT สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 ที่มีต่อการจดักิจกรรมการ เรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ 1.3 สมมติฐำนกำรวิจัย 1. ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่ วมมือ เทคนิค ส าหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2. ดัชนีประสิทธิผลของแผนการการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT มีดชันีประสิทธิผลของแผนจดักิจกรรมการเรียนรู้ต้งัแต่0.5ข้ึนไป
4 3. ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 หลงัเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 4. ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 ที่มีต่อการจดักิจกรรมการเรียนรู้แบบ กลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ อยู่ในระดับมาก 1.4 ขอบเขตของกำรวิจัย 1.4.1 ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชากรที่ใช้ในการวิจยัในคร้ังน้ีคือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 จา นวน 3 ห้องเรียน รวมท้งัสิ้นจา นวน 101คน ที่ก าลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) สังกัดส านักการศึกษา เทศบาลเมืองนครพนม กรมส่งเสริมการปกครองทอ้งถิ่น กระทรวงมหาดไทย กลุ่มตวัอย่างที่ใช้ในการวิจัยในคร้ังน้ีคือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2/2 จา นวน 33คน ที่ก าลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 โรงเรียน ชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) สังกัด สา นกัการศึกษา เทศบาลเมืองนครพนม กรมส่งเสริมการปกครองทอ้งถิ่น กระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ด้วยวิธีการจับสลาก โดยใช้ห้องเรียน เป็ นหน่วยการสุ่ม 1.4.2 ตัวแปรที่ใช้ในกำรวิจัย ตัวแปรต้น (Independent Variable) คือ การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) ตัวแปรตาม (Dependent Variables) คือ ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผู้เรียน และความพึง พอใจของผู้เรียน 1.4.3 เน้ือหาที่ใช้ในการวิจยัเป็นเน้ือหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศรายวิชา ภาษาองักฤษ (อ12101) ตามหลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551 เรื่อง Myself จ านวน 4แผน เวลา 4 ชวั่โมง 1.4.4 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565
5 1.4.5 สถานที่ โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) ต าบลในเมือง อ าเภอเมือง นครพนม จังหวัดนครพนม 1.5 นิยำมศัพท์เฉพำะ 1.5.1 ทักษะการฟังภาษาอังกฤษ หมายถึง ทักษะที่ผู้เรียนสามารถฟังและเข้าใจ จากสารที่ฟัง ผ่านเสียงเกี่ยวกับประโยคพ้ืนฐานในชีวิตประจา วนัและสามารถตีความสารที่ได้ฟังอย่างง่ายได้ รวมท้งัสามารถฟังรับรู้เกี่ยวกบัคา ศพัทท์ ี่ตนเองไดฟ้ ังพร้อมบอกความหมายของคา ศพัทไ์ด้ 1.5.2 ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ หมายถึง ทักษะที่ผู้เรียนสามารถพูดตอบโต้สนทนา ใน ประโยคพ้ืนฐานในชีวิตประจา วนัและสามารถเข้าใจในสิ่งที่ตนเองพูดสื่อ รวมไปถึงการที่ผู้เรียน สามารถพูดออกเสียงคา ศัพท์ไดอ้ย่างถูกต้องและมั่นใจท้ังยงัสามารถบอกความหมายของคา ศพัท์ เหล่าน้นั ได้ 1.5.3 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้เทคนิคการสอนแบบ TGT (Teams – Games -Tournaments) หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรูปแบบหนึ่งในการสอนแบบร่วมมือและมี ลักษณะของกิจกรรมคล้ายกันกับ STAD แต่เพิ่มเกมและการแข่งขันเข้ามาด้วย เหมาะส าหรับการ จดัการเรียนการสอนในจุดประสงคท์ ี่มีคา ตอบถูกตอ้งเพียงคา ตอบเดียวโดยการสอนในรูปแบบน้ีจะ ท าให้เด็กเกิดความสนุกสนานและรักในการเรียนวิชาภาษาองักฤษมากข้ึน เพื่อพัฒนาทักษะการฟัง และการพูดภาษาอังกฤษ มีข้นัตอนการจดัการเรียนรู้ดงัน้ี ขั้นที่ 1 ขั้นน ำเข้ำสู่บทเรียน (Warm up) -ครูและนกัเรียนกล่าวคา ทกัทายดว้ยประโยคพ้ืนฐานในชีวิตประจา วนั -ครูพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเรื่องที่นักเรียนสนใจเพื่อละลายพฤติกรรมของนักเรียน -ครูแจ้งวัตถุประสงค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียน -ครูสอบถามนักเรียนเรียนเกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียนเพื่อวัดความรู้นักเรียนว่าอยู่ระดับใด ขั้นที่ 2 จัดกลุ่มแบบคละกัน (Home Team) -ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ 4-6 คนโดยคละท้งัเพศระดบัความเก่ง -ครูแจ้งนักเรียนเกี่ยวกับหน้าที่ของตนเองภายในกลุ่ม -ครูให้นกัเรียนคุยกนัเกี่ยวกบัหนา้ที่ภายในกลุ่มและการต้งัชื่อกลมุ่เพื่อสร้างความคุน้เคย
6 ขั้นที่ 3 ขั้นน ำเสนอ (Presentation) -ครูสอนเกี่ยวกับประโยคสนทนาและค าศัพท์ -ครูให้นักเรียนภายในกลุ่มพูดสนทนาสลับกันและกระตุ้นให้ช่วยเหลือกันภายในกลุ่ม -ครูส่งเสริมให้ผูเ้รียนที่เก่งช่วยสอนคนที่อ่อนเพื่อในข้นัแข่งขนัจะไดช้นะ ขั้นที่ 4 กำรแข่งขันตอบปัญหำ (Academic Games Tournament) -ครูให้นักเรียนทบทวนเรื่องที่ได้เรียนมา และแลกเปลี่ยนกันภายในกลุ่ม -ครูเนน้ย้า หนา้ที่ของแต่ละคนภายในกลมุ่เพื่อให้เห็นความสา คญัของตนเอง -ครูให้นกัเรียนแข่งขนักนั โดยใช้เกมในการแข่งขนัดงัน้ี Lesson 1: Speak Aloud for Win Lesson 2: “Goodbye” Chain Lesson 3: Magic Ball Lesson 4: Whose is it? -หลงัจากเล่นเกมแต่ละรอบครูจะตอ้งช้ีแจงคะแนนและสร้างบรรยากาศการแข่งขนั -ครูให้นักเรียนท าแบบฝึ กหัดในแบบฝึ กหัดตามแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละบท ขั้นที่ 5 ขั้นสรุป (Wrap up) -ครูสรุปผลการแข่งขันแต่ละเกมให้ผู้เรียนทราบ -ครูและนักเรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เรียนและอ่านออกเสียงค าศัพท์ -ครูแจง้นกัเรียนให้ทราบถึงเน้ือหาในการแข่งขนัคร้ังหนา้เพื่อให้นกัเรียนเตรียมตวัตาม ข้นัตอนการจดัการเรียนรู้ดงัภาพที่1 ขั้นที่ 1 ขั้นน ำเข้ำสู่บทเรียน (Warm up) -ครูและนกัเรียนกล่าวคา ทกัทายดว้ยประโยคพ้ืนฐานในชีวิตประจา วนั -ครูพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเรื่องที่นักเรียนสนใจเพื่อละลายพฤติกรรมของนักเรียน -ครูแจ้งวัตถุประสงค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียน -ครูสอบถามนักเรียนเรียนเกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียนเพื่อวัดความรู้นักเรียนว่าอยู่ระดับใด
7 ภาพที่ 1 ข้นัตอนการจดัการเรียนรู้รูปแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT(Teams – Games -Tournaments) ขั้นที่ 2 จัดกลุ่มแบบคละกัน (Home Team) -ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ 4-6คนโดยคละท้งัเพศระดบัความเก่ง -ครูแจ้งนักเรียนเกี่ยวกับหน้าที่ของตนเองภายในกลุ่ม -ครูให้นกัเรียนคุยกนัเกี่ยวกบัหนา้ที่ภายในกลุ่มและการต้งัชื่อกลมุ่เพื่อสร้างความคุน้เคย ขั้นที่ 3 ขั้นน ำเสนอ (Presentation) -ครูสอนเกี่ยวกับประโยคสนทนาและค าศัพท์ -ครูให้นักเรียนภายในกลุ่มพูดสนทนาสลับกันและกระตุ้นให้ช่วยเหลือกันภายในกลุ่ม -ครูส่งเสริมให้ผูเ้รียนที่เก่งช่วยสอนคนที่อ่อนเพื่อในข้นัแข่งขนัจะไดช้นะ ขั้นที่ 4 กำรแข่งขันตอบปัญหำ (Academic Games Tournament -ครูให้นักเรียนทบทวนเรื่องที่ได้เรียนมา และแลกเปลี่ยนกันภายในกลุ่ม -ครูเนน้ย้า หนา้ที่ของแต่ละคนภายในกลมุ่เพื่อให้เห็นความสา คญัของตนเอง -ครูให้นกัเรียนแข่งขนักนั โดยใช้เกมในการแข่งขนัดงัน้ี Lesson 1: Speak Aloud for Win Lesson 2: “Goodbye” Chain Lesson 3: Magic Ball Lesson 4: Whose is it? -หลงัจากเล่นเกมแต่ละรอบครูจะตอ้งช้ีแจงคะแนนและสร้างบรรยากาศการแข่งขนั -ครูให้นักเรียนท าแบบฝึ กหัดในแบบฝึ กหัดตามแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละบท ขั้นที่ 5 ขั้นสรุป (Wrap up) -ครูสรุปผลการแข่งขันแต่ละเกมให้ผู้เรียนทราบ -ครูและนักเรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เรียนและอ่านออกเสียงค าศัพท์ -ครูแจง้นกัเรียนให้ทราบถึงเน้ือหาในการแข่งขนัคร้ังหนา้เพื่อให้นกัเรียนเตรียมตวั
8 1.5.4 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง การออกแบบรายละเอียดเพื่อจัดกิจกรรมการ เรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ช้ันประถมศึกษาปีที่2 เรื่อง Myself เพื่อให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้เน้ือหา กิจกรรมการเรียน สื่อการเรียน และการวดั ประเมินผล ให้สอดคลอ้ง กบผลการั เรียนรู้ที่คาดหวงัของหลกัสูตร รวมท้งักา หนดคุณลกัษณะอนัพึงประสงคแ์ละสมรรถนะ ที่ตอ้งการให้ เกิดกับผู้เรียน 1.5.5 ประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 หมายถึง คุณภาพด้านกระบวนการและ ผลลัพธ์ของแผนการจัดการเรียนรู้ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ (E1/E2)คือ75/75 ดงัน้ี ประสิทธิภาพกระบวนการ (E1) หมายถึง ประเมินพฤติกรรมย่อย ๆ จากการท ากิจกรรม ของผู้เรี ยนในบทเรี ยนทุกกิจกรรมหรื อจากการที่นักเรี ยนได้มีการสื่อสารถูกมากน้อยเพียงใด ประสิทธิภาพผลลัพธ์ (E2) หมายถึง การประเมินผลลัพธ์ (Product) ของนักเรียนโดย พิจารณาจากการทดสอบหลังเรียน (Post-test) 75 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 จากการปฏิบัติการฟังและการพูดและ แบบฝึ กหัดในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 75 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 จากการสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หลังเรี ยน 1.5.6 ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้ หมายถึง ตัวเลขที่แสดงถึง ความก้าวหน้าในการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2โดยเปรียบเทียบ คะแนนที่เพิ่มข้ึนจากการทดสอบก่อนเรียน กบัคะแนนการทดสอบหลงัเรียน 1.5.7 ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากการกระท าของบุคคล ซึ่ งเป็ นการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เนื่องจากการได้รับประสบการณ์โดยการเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือจากการเรียน การสอนในช้ันเรียน และสามารถประเมินหรือวัดประมาณค่าได้จากการทดสอบ หรือการสังเกต พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง ส าหรับผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนรู้การพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษ โดยการจัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่วมมือโดยใช้เทคนิคการสอนแบบ TGT (Teams – Games -Tournaments) ส าหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2 กล่าวคือ ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ ในการพูดภาษาอังกฤษ เรื่อง Myselfโดยผู้เรียนสามารถฟังและพูดค าศัพท์ และประโยคอย่างง่าย และ สามารถน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้
9 1.5.8 ความพึงพอใจ หมายถึง สภาพของอารมณ์หรือความรู้สึกในทางบวก ที่มีต่อการ จัดการเรียนรู้ทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษโดยการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้ เทคนิคการสอนแบบ TGT (Teams – Games -Tournaments) ประกอบไปดว้ย ดา้นการจดัเน้ือหาและ เสนอเน้ือหา ที่กา หนดในกิจกรรมการเรียนรู้มีความเหมาะสมกบัผูเ้รียน มีความน่าสนใจมีรูปภาพ บัตรค า ประกอบให้ผูเ้รียนเขา้ใจโดยง่าย และมีวิธีนา เสนอเน้ือหามีความน่าสนใจและทนัสมยัดา้น แบบฝึ กหัด หรือแบบทดสอบในบทเรียน มีข้อแนะน าในการปฏิบัติกิจกรรมที่ชัดเจน อ่านเข้าใจง่าย มี ความน่าสนใจ ส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้ความคิดและช่วยให้นักเรียนมีความสามารถ และเกิดทักษะ การใช้ภาษาองักฤษ โดยแบ่งออกเป็น 4 ดา้น ดงัน้ี 1. ดา้นครูผูส้อน หมายถึงครูมีการช้ีแจงเกี่ยวกบัการจดักิจกรรมการเรียนการสอน โดย ครูผู้สอนคอยให้ค าปรึกษา และค าแนะน าในระหว่างการท ากิจกรรม มีสื่อการสอนที่ทันสมัย และ น่าสนใจเพื่อเร้าความสนใจผู้เรียน และครูผู้สอนต้องด าเนินการเรียนการสอนให้เกิดความตื่นเต้น ท า ให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานมากที่สุด 2. ดา้นเน้ือหา หมายถึง มีการจดัเน้ือหาในการเรียนการสอนเรียงลา ดบัจากง่าย ไปสู่ยาก เหมาะสมตามความสามารถของผูเ้รียน มีการจดัการเวลาที่เหมาะสม และเน้ือหาตอ้งไม่มากจนเกินไป 3. ดา้นการจดักิจกรรมการเรียนการสอน หมายถึงลา ดบัข้นัตอนในการจดักิจกรรมการ เรียนการสอนเป็ นระบบ โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ท ากิจกรรมร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นซึ่ง กนัและกนัอนัก่อให้เกิดการพฒันาทกัษะกระบวนการพูดเพื่อการสื่อสารและทกัษะการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษไปในทางที่ดีข้ึน และต้องมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดความสามัคคีในการเรียนแบบกลุ่ม 4. ดา้นการวดัและประเมินผล หมายถึง มีเน้ือหาครอบคลุม สามารถวดัระดบัทกัษะ การ สื่อสารของผู้เรียนเป็ นรายบุคคลและรายกลุ่ม เพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบถึงระดับความสามารถของตนเอง อันจะน าไปสู่การประเมินผลและสรุปผลต่อไป 1.6 ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ 1.6.1 ต่อผู้เรียน 1. ผู้เรียนสามารถพูดและฟังค าศัพท์ได้อย่างถูกต้องแม่นย า และเกิดความสนุกสนานในการ เรียนภาษาอังกฤษ และที่ส าคัญสามารถน าความรู้ไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ 2.ผูเ้รียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาองักฤษสูงข้ึน 3. ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้เทคนิคการ สอนแบบ TGT (Teams – Games -Tournaments)
10 1.6.2 ต่อผู้สอน 1. ผู้สอนได้พัฒนาตนเองและได้ศึกษาความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการสอนใหม่ ๆ 2. เป็ นแนวทางส าหรับผู้สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เพื่อการพัฒนา ทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) 1.6.3 ต่อสถำนศึกษำ 1. สามารถนา แผนการจดัการเรียนรู้ไปปรับใชก้บัระดบัช้นัเรียนอื่นได้ 2. สามารถเป็ นแนวทางในการพัฒนาทักษะการจัดการะบวนการเรี ยนการสอน ในรายวิชาภาษาอังกฤษในสถานศึกษาได้ 1.7 กรอบแนวคิดในกำรวิจัย ในการวิจัยเรื่องการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2ผูว้ิจยัไดน้า ทฤษฎีการสอนภาษาองักฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยมีกรอบแนวคิดการศึกษา ตัวแปรต้น ตัวแปรตำม ภาพที่ 2กรอบแนวคิดในการวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผู้เรียน 2. ความพึงพอใจของผู้เรียนใจของผู้เรียน การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้เทคนิค การสอนแบบแบบ TGT (Teams – Games -Tournaments)
11 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการฟัง และการพูดโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษา ปี ที่ 2 ในการวิจยัคร้ังน้ีผูว้ิจยัไดศ้ึกษาแนวคิด เอกสารและงานวิจยัที่เกี่ยวขอ้ง ซ่ึงนา เสนอสาระสา คญั โดยสรุปได้ดงัน้ี 2.1 หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551 2.2 หลักสูตรแกนกลาง 2551กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 2.3 เทคนิคการสอนแบบกลุ่มร่วมมือ 2.3.1การสอนแบบ (TGT : Teams-Games-Tournaments ) 2.4 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็ นส าคัญ 2.5 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ 2.6 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.7 ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.8 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ 2.9งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.9.1งานวิจัยในประเทศ 2.9.2 งานวิจัยต่างประเทศ 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการประกาศใช้หลกัสูตรการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 1 - 5) โดยมีรายละเอียด สรุปไดด้งัน้ี 1. วิสัยทัศน์ หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน มุ่งพฒันาผูเ้รียนทุกคน ซึ่งเป็ นก าลังของชาติ ให้ เป็นมนุษยท์ ี่มีความสมดุลท้งัดา้นร่างกายความรู้คุณธรรม มีจิตส านึกในความเป็นพลเมืองไทยและ เป็นพลโลกยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนัมีพระมหากษตัริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทกัษะพ้ืนฐาน รวมท้งัเจตคติที่จา เป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษา
12 ตลอดชีวิต โดยมุ่งเนน้ผูเ้รียนเป็นสา คญับนพ้ืนฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพฒันาตนเอง ได้ เต็มตามศักยภาพ 2. หลักการ หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน มีหลกัการที่สา คญัดงัน้ี 2.1 เป็ นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็ นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการ เรียนรู้เป็นเป้าหมายสา หรับพฒันาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ทกัษะ เจตคติและคุณธรรมบนพ้ืนฐาน ของความเป็ นไทยควบคู่กับความเป็ นสากล 2.2 เป็ นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาส ได้รับการศึกษาอย่าง เสมอภาคและมีคุณภาพ 2.3 เป็ นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอ านาจให้สังคมมีส่วนร่วม ในการจัด การศึกษาให้สอดคลอ้งกบัสภาพและความตอ้งการของทอ้งถิ่น 2.4 เป็ นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นท้ังด้านสาระการเรียนรู้เวลาและการ จัดการเรียนรู้ 2.5 เป็ นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็ นส าคัญ 2.6 เป็ นหลักสูตรการศึกษาส าหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์ 3. จุดหมาย หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน มุ่งพฒันาผูเ้รียนให้เป็นคนดีมีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงก าหนดเป็ นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบ การศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ดงัน้ี 3.1 มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติ ตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง 3.2 มีความรู้ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมี ทักษะชีวิต 3.3 มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัยและรักการออกก าลังกาย
13 3.4 มีจิตส านึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดลอ้ม มีจิตสาธารณะและมุ่งมนั่ทา สิ่งที่ดีงามในสังคมและอยรู่ ่วมกนั ในสังคมอยา่งมีความสุข 4. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน ในการพฒันาผูเ้รียนตามหลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน มุ่งเน้นพฒันาผูเ้รียนให้มี คุณภาพตามมาตรฐานที่ก าหนด ซึ่ งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะส าคัญ และคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ดงัน้ี 4.1ความสามารถในการสื่อสาร 4.2ความสามารถในการคิด 4.3ความสามารถในการแก้ปัญหา 4.4ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 4.5ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน มุ่งพฒันาผูเ้รียนให้มีคุณลกัษณะอนัพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็ นพลเมืองไทย และพลเมืองโลก ดงัน้ี 5.1รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 5.2 ซื่อสัตย์สุจริต 5.3 มีวินัย 5.4 ใฝ่ เรียนรู้ 5.5อยู่อย่างพอเพียง 5.6 มุ่งมนั่ในการทา งาน 5.7รักความเป็ นไทย 5.8 มีจิตสาธารณะ นอกจากน้ีสถานศึกษาสามารถกา หนดคุณลกัษณะอนัพึงประสงคเ์พิ่มเติมให้สอดคลอ้งตาม บริบทและจุดเน้นของตนเอง
14 6. มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุลต้องค านึงถึงหลักพัฒนาการทางสมอง และพหุปัญญา หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน จึงกา หนดให้ผูเ้รียนเรียนรู้8กลุ่มสาระการเรียนรู้ดงัน้ี 6.1 ภาษาไทย 6.2คณิตศาสตร์ 6.3วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 6.4 สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 6.5 สุขศึกษาและพลศึกษา 6.6ศิลปะ 6.7การงานอาชีพ 6.8 ภาษาต่างประเทศ 7. ตัวชี้วัด ตวัช้ีวดัระบุสิ่งที่นกัเรียนพึงรู้และปฏิบตัิได้รวมท้งัคุณลกัษณะของผูเ้รียนในแต่ละระดบัช้ัน ซึ่ งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็ นรูปธรรมน าไปใช้ในการ กา หนดเน้ือหาจัดทา หน่วยการเรียนรู้จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์ส าคญัส าหรับการวดัผล ประเมินผล เพื่อตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน 7.1 ตวัช้ีวดัช้นั ปีเป็นเป้าหมายในการพฒันาผูเ้รียนแต่ละช้นั ปี ในระดบัการศึกษาภาคบงัคบั (ประถมศึกษาปี ที่1 - มัธยมศึกษาปี ที่ 3) 7.2 ตัวช้ีวัดช่วงช้ัน เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย (มัธยมศึกษาปี ที่ 4 - 6) จากการศึกษาหลกัสูตรการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551 ท าให้ผู้ศึกษา ค้นคว้าได้ทราบวิสัยทัศน์ หลักการ จุดหมาย สมรรถนะที่ส าคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้ 8กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่จะต้องค านึงถึงหลัก พัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา เพื่อให้ผูเ้รียนเกิดความสมดุลและตวัช้ีวดัที่นักเรียนพึงรู้ และปฏิบัติได้ เพื่อน าไปใช้ในการก าหนด เน้ือหา จดัทา หน่วยการเรียนรู้จดัการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์ส าคญัส าหรับการวดั ประเมินผล เพื่อตรวจสอบคุณภาพผู้เรียนต่อไป
15 2.2 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 ให้เป็ นหลักสูตรแกนกลางของประเทศ โดยก าหนดจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็ นเป้าหมาย และกรอบทิศทางในการพัฒนาคุณภาพผู้เรี ยนให้เป็ นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีขีด ความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับโลก(กระทรวงศึกษาธิการ, 2544) พร้อมกันน้ีได้ปรับ กระบวนการพัฒนาหลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับเจตนารมณ์ แห่งพระราชบัญญัติ การศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ที่มุ่งเน้นการกระจายอ านาจ ทางการศึกษาให้ทอ้งถิ่นและสถานศึกษาไดม้ีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพฒันาหลกัสูตร เพื่อให้ สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของทอ้งถิ่น (สา นกันายกรัฐมนตรี, 2552) นอกจากน้ันแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 – 2554) ได้ช้ีให้เห็นถึงความจา เป็นในการปรับเปลี่ยน จุดเน้นในการพฒันาคุณภาพคนในสังคมไทยให้มี คุณธรรม และมีความรอบรู้อย่างเท่าทัน ให้มีความพร้อมท้ังด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และ ศีลธรรม สามารถกา้วทนัการเปลี่ยนแปลงเพื่อนา ไปสู่สังคมฐานความรู้ไดอ้ยา่งมนั่คง แนวการพฒันา คนดงักล่าว มุ่งเตรียมเด็กและเยาวชนให้มีพ้ืนฐานจิตใจที่ดีงาม มีจิต สาธารณะ พร้อมท้งัมีสมรรถนะ ทักษะ และความรู้พ้ืนฐานที่จา เป็นในการดา รงชีวิตอันจะส่งผลต่อการพฒันาประเทศแบบยงั่ยืน (สภาพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2559) ซึ่ งแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบาย ของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนของชาติ เข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่ 21 โดยมุ่งส่งเสริม ผู้เรียน มีคุณธรรม รักความเป็ นไทย ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์ มีทักษะด้านเทคโนโลยี ส า ม า ร ถ ท า ง า น ร่ ว ม กับ ผู้อื่ น แ ล ะ ส า ม า ร ถ อ ยู่ ร่ ว ม กับ ผู้อื่ น ใ น สั ง ค ม โ ล ก ไ ด้อ ย่า ง สั น ติ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 220 -243) ได้ก าหนดให้กลุ่มสาระ ภาษาต่างประเทศ มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อภาษาต่างประเทศ สามารถใช้ภาษาต่างประเทศ สื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ แสวงหาความรู้ประกอบอาชีพ และศึกษาต่อในระดบัที่สูงข้ึน รวมท้งัมี ความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก และสามารถ ถ่ายทอด ความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกไดอ้ยา่งสร้างสรรค์ประกอบดว้ยสาระสา คญัดงัน้ี
16 1. สาระส าคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 1.1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร การใช้ภาษาต่างประเทศในการฟังพูด –อ่าน - เขียน แลกเปลี่ยน ข้อมูล ข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความคิดเห็น ตีความ น าเสนอข้อมูล ความคิดรวบยอดและความ คิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่างเหมาะสม 1.2 ภาษาและวัฒนธรรม การใช้ภาษาต่างประเทศตามวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ความสัมพันธ์ ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ภาษาและ วัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับวัฒนธรรมไทย และน าไปใช้อย่างเหมาะสม 1.3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น การใช้ภาษาต่างประเทศ ในการ เชื่อมโยงความรู้กบักลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น เป็นพ้ืนฐานในการพฒันา แสวงหาความรู้และเปิดโลก ทัศน์ของตน 1.4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก การใช้ภาษาต่างประเทศ ในสถานการณ์ต่าง ๆ ท้ังในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ชุมชน และสังคมโลก เป็นเครื่องมือพ้ืนฐาน ในการศึกษาต่อ ประกอบ อาชีพ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก 2. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดง ความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารแสดง ความรู้สึกและความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ต 1.3 น าเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็น ในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูดและการเขียน สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของ ภาษาและ น าไปใช้ได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษา และวัฒนธรรมของ เจ้าของภาษากับภาษาและวัฒนธรรมไทย และน ามาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น
17 มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้ กับกลุ่มสาระการเรียนรู้ อื่น และเป็นพ้ืนฐานในการพฒันาแสวงหาความรู้และเปิดโลกทศัน์ของตน สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ท้งัในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็ นเครื่องมือพ้ืนฐานในการศึกษา ต่อการ ประกอบอาชีพและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก 3. คุณภาพผู้เรียน จบช้นั ประถมศึกษาปีที่3 1. ปฏิบตัิตามคา สั่งคา ขอร้องที่ฟังอ่านออกเสียงตวัอกัษรคา กลุ่มคา ประโยคง่าย ๆ และบท พูดเข้าจังหวะง่าย ๆ ถูกต้องตามหลักกการอ่าน บอกความหมายของค าและกลุ่มค าที่ฟังตรงตาม ความหมาย ตอบค าถามจากการฟังหรือการอ่านประโยค บทสนทนา หรือนิทานง่าย ๆ 2. พูดตอบโต้ด้วยคา ส้ัน ๆ ในการสื่อสารระหว่างบุคคลตามแบบที่ฟัง ใช้คา สั่งและค า ขอร้องง่าย ๆ ของตนเอง พูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและเพื่อน บอกความรู้สึกของตนเอง เกี่ยวกบัสิ่งต่าง ๆ ใกลต้วัหรือกิจกรรมต่าง ๆ ตามแบบที่ฟัง 3. พูดให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและเรื่องใกล้ตัว จัดหมวดหมู่ค าตามประเภทของบุคคล สัตว์ และสิ่งของตามที่ฟังหรืออ่าน 4. พูดและท าท่าทางประกอบ ตามมารยาทสังคม/วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา บอกชื่อ ค าศัพท์ง่าย ๆ เกี่ยวกับเทศกาล/วันส าคัญ/งานฉลอง และชีวิตความเป็ นอยู่ของเจ้าของภาษา เข้าร่วม กิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมที่เหมาะสมกับวัย 5. บอกความแตกต่างของเสียวตัวอักษร ค า กลุ่มค า และประโยคง่าย ๆ ของภาษาต่างประเทศ และภาษาไทย 6. บอกค าศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น 7. ฟัง/พูดในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในห้องเรียน 8. ใช้ภาษาต่างประเทศ เพื่อรวบรวมค าศัพท์ที่เกี่ยวข้องใกล้ตัว 9. มีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ (เน้นการฟังและพูด) สื่อสารตามหัวเรื่องเกี่ยวกับตนเอง ครองครัวโรงเรียน สิ่งแวดล้อมใกลต้วัอาหารเครื่องดื่ม และเวลาว่างและนันทนาการ ภายในวง
18 ค าศัพท์ประมาณ 300-450 ค า (ค าศัพท์เป็ นรูปธรรม) 10. ใช้ประโยคเดี่ยว (One Word Sentence) ประโยคเดี่ยว (Simple Sentence)ในการสนทนา โต้ตอบตามสถานการณ์ในชีวิตประจ าวัน 4. ตัวชี้วัดและสาระแกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 4.1 มาตรฐานการเรียนรู้ตวัช้ีวดัและสาระการเรียนแกนกลาง สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร ตารางที่ 1 มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความ คิดเห็นอย่างมีเหตุผล ช้นัตวัช้ีวดัสาระแกนกลาง ป.2 ต 1.1 ป.2/1 ปฏิบตัิตามคา สั่งและคา ขอร้องง่าย ๆ ที่ฟัง ต 1.1 ป.2/2 ระบุตัวอักษรและเสียง อ่านออกเสียงค า สะกดค า และอ่านประโยคง่าย ถูกต้อง ตามหลักการอ่าน ต 1.1 ป.2/3 เลือกภาพตรงตามความหมายของค า กลุ่มค า และประโยคที่ฟัง ต 1.1 ป.2/4 ตอบค าถามจากการฟังประโยคบทสนทนา หรือนิทานง่าย ๆ ที่มี ภาพประกอบ สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร ตารางที่ 2 มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารแสดง ความรู้สึกและความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ ช้นัตวัช้ีวดัสาระแกนกลาง ป.2 ต 1.2 ป.2/1 พูดโตต้อบดว้ยคา ส้ัน ๆ ง่าย ๆ ในการสื่อสารระหว่างบุคคลตามแบบที่ฟัง ต 1.2 ป.2/2 ใชค้า สั่งและคา ขอร้องง่าย ๆ ตามแบบที่ฟัง ต 1.2 ป.2/3 บอกความต้องการง่าย ๆ ของตนเองตามแบบที่ฟัง ต 1.2 ป.2/4 พูดขอและให้ข้อมูลง่าย ๆ เกี่ยวกับตนเองตามแบบที่ฟัง
19 สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร ตารางที่ 3 มาตรฐาน ต 1.3 น าเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นเรื่องต่าง ๆ โดย การพูดและการเขียน ช้นัตวัช้ีวดัสาระแกนกลาง ป.2 ต 1.3 ป.2/1 พูดให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและเรื่องใกล้ตัว สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม ตารางที่ 4 มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และ น าไปใช้ได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ ช้นัตวัช้ีวดัสาระแกนกลาง ป.2 ต 2.1 ป.2/1 พูดและท าท่าประกอบตามวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ต 2.1 ป.2/2 บอกชื่อและค าศัพท์เกี่ยวกับเทศกาลส าคัญของเจ้าของภาษา ต 2.1 ป.2/3 เข้าร่วมกิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมที่เหมาะกับวัย สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม ตารางที่ 5 มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของ เจ้าของภาษากับภาษาและวัฒนธรรม และน ามาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ช้นัตวัช้ีวดัสาระแกนกลาง ป.2 ต 2.2 ป.2/1 ระบุตัวอักษรและเสียงตัวอักษรของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ตารางที่ 6 มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และ เป็นพ้ืนฐานในการพฒันาแสวงหาความรู้และเปิดโลกทศัน์ของตน ช้นัตวัช้ีวดัสาระแกนกลาง ป.2 ต 3.1 ป.2/1 บอกค าศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้
20 สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก ตารางที่ 7 มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ท้งัในสถานศึกษา ชุมชน และ สังคม ช้นัตวัช้ีวดัสาระแกนกลาง ป.2 ต 4.1 ป.2/1 พูด/ฟัง ในสถานการณ์ง่าย ๆ ที่เกิดข้ึนในห้องเรียน สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก ตารางที่ 8 มาตรฐาน 4.2 ใชภ้าษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพ้ืนฐานในการศึกษาต่อการประกอบอาชีพ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก ช้นัตวัช้ีวดัสาระแกนกลาง ป.2 ต 4.2 ป.2/1 ใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อรวบรวมค าศัพท์ที่เกี่ยวของใกล้ตัว 2.3 เทคนิคการสอนแบบกลุ่มร่วมมือ อทิติยา สวยรูป (2557) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การจัดการเรียนการ สอนที่ผู้สอนจัดให้ผู้เรียนแบ่งเป็ นกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 4-6 คน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการท างาน ร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และร่วมกันรับผิดชอบงานในกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้เกิดเป็ น ความส าเร็จของกลุ่ม รัตนา บุตรอุดม (2559) กล่าวว่า การเรียนแบบกลุ่มร่วมมือ มีประโยชน์ต่อผู้เรียนหลาย ประการ ช่วยให้นักเรียนได้รับประสบการณ์จริงจากการที่ ได้ลงมือปฏิบัติส่วนร่วมในกิจกรรมเรียนรู้ ที่ช่วยเสริ มสร้างบรรยากาศในการเรี ยนรู้ที่ดี ส่งเสริ มให้นักเรี ยนเห็นคุณค่าของตนเอง มีความ ภาคภูมิใจในตนเองช่วยให้ทัศนคติที่ดีต่อการเรียน เกิดการยอมรับตนเอง ช่วยพัฒนาทักษะความเป็ น ผูน้ า ทักษะทางสังคมกและทักษะในการแก้ปัญหา นอกจากน้ียงัช่วยให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เพิ่มข้ึนอีกดว้ย ลักขณา สริวัฒน์ (2557) กล่าวว่า ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ดังน้ีทฤษฎีการ เรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning Theory) การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็ นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่เน้นให้ครูใช้วิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็ นส าคัญ
21 เนื่องจากมีรูปแบบการสอนให้เลือกอย่างหลากหลายตามวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้ในกลุ่ม สาระต่าง ๆ ส าหรับเน้ือหาและองค์ความรู้ที่เกี่ยวขอ้งกบัการเรียนรู้แบบร่วมมือ จา แนกเป็น 8 เรื่อง ไดแ้ก่ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือวตัถุประสงค์ของการเรียนรู้แบบร่วมมือองค์ประกอบ ของการเรียนรู้แบบร่วมมือลักษณะส าคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ ข้ันตอนการเรียนรู้แบบร่วมมือและการประยุกต์ใช้หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือในการสอน ดัง รายละเอียดต่อไปน้ี 1. ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือ การเรียนแบบกลุ่มร่วมมือ คือ การจัดการสอนที่ ประสบความส าเร็จในกลุ่มเล็กๆ กันนักเรียนที่มีระดับความสามารถแตกต่างกัน กิจกรรมการเรียนรู้จะ ส่งเสริมให้เขา้ใจประโยชน์จากเน้ือหารายวิชาที่กา หนดให้สมาชิกทุกคนในทีมไม่เพียงแต่รับผิดชอบ การเรียนของตนเองเท่าน้นัแต่จะตอ้งช่วยเหลือสมาชิกในทีมดว้ย 2. หลักการของการเรียนรู้แบบร่วมมือ จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson. 2003) ได้ให้แนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้วู้เรียนควรร่วมมือกันในการเรียนรู้มากกว่าการแข่งขัน กันเพราะการแข่งขันก่อให้เกิดสภาพการณ์ของการแพ-้ชนะ ต่างจากการร่วมมือกันซ่ึงก่อให้เกิด สภาพการณ์ของการชนะ-ชนะ อันเป็ นสภาพการณ์ที่ดีกว่าท้ังทางด้านจิตใจและสติปัญญา และ หลกัการเรียนรู้แบบร่วมมือประกอบดว้ยหลกัการที่สา คญั5 ประการไดแ้ก่ 2.1 การเรียนรู้ต้องอาศัยหลักการพึ่งพากัน (Positive Interdependence) โดยถือว่าทุกคนมี ความส าคัญเท่าเทียมกันและจะต้องพึ่งพากันเพื่อความส าเร็จร่วมกัน 2.2 การเรี ยนรู้ที่ดีต้องอาศัยการหันหน้าเข้าหากัน มีปฏิสัมพันธ์กัน (Face to Face Interaction) เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อมูล และการเรียนรู้ต่างๆ 2.3 การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม (Social Skills) โดยเฉพาะทักษะการ ท างานร่วมกัน 2.4 การเรียนรู้ร่วมกันควรมีการวิเคราะห์กระบวนการของกลุ่ม ( Group Processing) ที่ใช้ ในการท างาน 2.5การเรียนรู้ร่วมกนัจะตอ้งมีผลงานหรือผลสา ฤทธ์ิท้งัรายบุคคลและรายกลุ่มที่สามารถ ตรวจสอบและวัดประเมินได้ (Individual Accountability) หากผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบร่วมมือ กนันอกจากจะช่วยให้ผูเ้รียนเกิดการเรียนรู้ท้งัดา้นเน้ือหาสาระต่างๆไดก้วา้งข้ึนและลึกซ้ึงข้ึนและยงั สามารถพฒันาผูเ้รียนทางด้านสังคมและอารมณ์มากข้ึนดว้ยรวมท้ังมีโอกาสได้ฝึกฝนพฒันาทักษะ กระบวนการต่างๆ ที่จ าเป็ นต่อการด ารงชีวิตได้อีกมากมาย
22 3. วตัถุประสงค์ของการเรียนรู้แบบร่วมมือ การเรียนรู้แบบร่วมมือน้ีมีวตัถุประสงค์หลาย ประการไดแ้ก่(Slavin. 1990) 3.1 เพื่อช่วยให้ผูเ้รียนไดเ้รียนรู้เน้ือหาสาระต่างๆดว้ยตนเองและสามารถพฒันาไดต้าม ศักยภาพของตนเอง 3.2 เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผูเ้รียนและผูส้อน รวมท้งัผูเ้รียนและผูเ้รียน ด้วยกัน 3.3 เพื่อเกิดการร่วมมือและความช่วยเหลือระหว่างเพื่อนด้วยกันในกลุ่ม 3.4 เพื่อเกิดการพัฒนาทักษะทางสังคมต่าง ๆ 4. องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือ จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson. 1994)อธิบายว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือเกิดข้ึนไดต้อ้งมีองคป์ระกอบที่สา คญั5 ประการดงัน้ี 4.1 การพึ่งพาและช่วยเหลือกัน (Positive Interdependence) การเรี ยนรู้แบบร่ วมมือ จะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าสมาชิกกลุ่มทุกคนมีความส าคญัเท่ากนัเพราะความส าเร็จของกลุ่มข้ึนอยู่ กับสมาชิกทุกคนในกลุ่มใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ในขณะเดียวกนสมาชิกแต่ละคนจะประสบ ความส าเร็จได้เมื่อกลุ่มประสบความส าเร็จเท่าน้ัน และความส าเร็จของบุคคลรวมท้ังของกลุ่มน้ัน ข้ึนอยู่กับกันและกนัดังน้ันในแต่ละคนจึงต้องมีความรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ของตนและใน ขณะเดียวกันก็ต้องช่วยเหลือสมาชิกคนอื่นๆ ด้วยเพื่อประโยชน์ร่วมกันของกลุ่ม 4.2 การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด (Face –to-face Promotion Interaction) เป็ นการมี ปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ดว้ยการพ่ึงพากนัช่วยเหลือเก้ือกูลกนัทา ให้ผู้เรียนมีแนวทางด าเนินการให้กลุ่มบรรลุเป้าหมาย มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มี การอธิบายความรู้ให้แก่เพื่อนในกลุ่ม จนในที่สุดสมาชิกกลุ่มจะเกิดความรู้สึกไวว้างใจกนัส่งเสริม และช่วยเหลือกันและกันในการท างานต่างๆ ร่วมกันส่งผลให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกันจึงควรมีการ ให้ข้อมูลยอ้นกลับและเปิดโอกาสให้สมาชิกเสนอแนวคิดใหม่ๆเพื่อเลือกในสิ่งที่เหมาะสมที่สุด 4.3 ความรับผิดชอบของแต่ละคนที่สามารถตรวจสอบได้ (Individual Accountability) สมาชิกกลุ่มการเรียนรู้ทุกคนจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ เป็ นความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของสมาชิก แต่ละบุคคลที่จะต้องมีการช่วยเหลือส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความส าเร็จตามเป้าหมายของ กลุ่ม โดยที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีความมนั่ใจและพร้อมที่จะไดร้ับการทดสอบเป็นรายบุคคล ดงัน้ัน ทุกคนจะต้องพยายามท างานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถเพราะไม่มีใครที่จะได้รับ ประโยชน์โดยไม่ท าหน้าที่ของตน กลุ่มจ าเป็ นต้องมีระบบการตรวจสอบผลงานที่เป็ นรายบุคคลและ
23 เป็ นกลุ่ม ส าหรับวิธีการที่สามารถส่งเสริมให้ทุกคนท าหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่มีหลายวิธี เช่น การจัด กลุ่มให้เล็กเพื่อจะไดม้ีการเอาใจใส่กนัและกนัอย่างทวั่ถึงการทดสอบเป็นรายบุคคลการสุ่มเรียกชื่อ ให้รายงาน ครูสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนในกลุ่ม การจัดให้กลุ่มมีผู้สังเกตการณ์ หรือการให้ผู้เรียน สอนซึ่งกันและกัน เป็ นต้น 4.4 การใช้ทักษะปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะการท างานกลุ่มย่อย (Interpersonal and Small-group Skills) การเรียนรู้แบบร่วมมือจะประสบผลส าเร็จได้ต้องอาศัยทักษะที่ส าคัญหลาย ประการ เช่น ทักษะทางสังคม ทักษะการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทักษะการท างานกลุ่ม ทักษะการสื่อสาร และทักษะการแก้ปัญหาขัดแย้ง รวมท้งัการเคารพยอมรับและไวว้างใจกนัและกนัดงัน้ันครูตอ้งฝึก ทักษะผู้เรียนเพื่อให้เกิดทักษะต่างๆ ดังกล่าวเพราะเป็ นทักษะส าคัญที่จะช่วยให้การท างานกลุ่มประสบ ผลส าเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4.5 การใช้กระบวนการกลุ่ม (Group Processing) กระบวนการกลุ่มเป็ นกระบวนการ ท างานที่มีข้ันตอนหรือวิธีการที่จะช่วยให้มีการด าเนินงานกลุ่มเป็นไปอย่างมีงานร่วมกัน และ ดา เนินงานตามแผน ตลอดจนมีการประเมินผลและปรับปรุงงาน นอกจากน้ีจะตอ้งมีการวิเคราะห์ กระบวนการทา งานของกลุ่มเพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับปรุงการทา งานให้ดีข้ึน การ วิเคราะห์กระบวนการกลุ่มครอบคลุมการวิเคราะห์เกี่ยวกับวิธีการท างานกลุ่ม พฤติกรรมของสมาชิก กลุ่มและผลงานกลุ่ม การวิเคราะห์การเรียนรู้น้ีอาจทา ได้โดยครูหรือผูเ้รียน หรือท้ังสองฝ่ายการ วิเคราะห์กระบวนการกลุ่มน้ีเป็นยุทธวิธีหน่ึงที่ส่งเสริมให้กลุ่มต้งัใจทา งาน เพราะรู้ว่าจะได้รับข้อมูล ป้อนกลับ และช่วยฝึ กทักษะการรู้คิด (Metacognition) คือ สามารถที่จะประเมินการคิดและพฤติกรรม ของตนที่ได้ท าไป แนวคิดของจอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson) ยังคงสอดคล้องกับ แนวคิดของโอสเสน และคาแกน (Olsen and Kagan. 1992) ที่ได้อธิบายองค์ประกอบการเรียนแบบ ร่วมมือไวด้งัน้ี 1. การพึ่งพาอาศัยกันในทางที่ดี (Positive Interdependent) การพึ่งพากันในทางที่ดีจะ เกิดข้ึนเมื่อผลประโยชน์แต่ละคนที่เกี่ยวขอ้งกบัผลประโยชน์ของบุคคลอื่น ๆ กล่าวคือ เมื่อผู้เรียนคน หนึ่งได้รับผลส าเร็จ ผู้เรียนคนอื่นก็จะได้รับผลประโยชน์ไปด้วย ซึ่งจะต้องมีการจัดโครงสร้างภาระ งาน กา หนดโครงสร้างวิชาการและโครงสร้างทางผลลพัธ์ดงัน้ี 1) การพึ่งพาอาศัยโดยใช้โครงสร้างทางผลลัพธ์ อาจก าหนดให้ผู้เรียนมีเป้าหมาย เดียวกนั โดยมอบหมายภาระงานให้เพียง1ชิ้น เขียนบรรยายภาพส่ง 1ชิ้น หรืออาจก าหนดให้รางวัล กลุ่มโดยน าคะแนนของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มมาแปลเป็ นคะแนนของกลุ่มก็ได้
24 2) การพึงพาอาศัยโดยใช้โครงสร้างทางวิชาการ สมาชิกแต่ละคนจะได้รับมอบหมาย บทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกัน เช่น อธิบายหรือผู้ตรวจสอบซึ่งทุกคนจะรับผิดชอบในหน้าที่ของตนและ ปฏิบัติตามบทบาทน้ัน ครูจะใช้วัสดุอุปกรณ์หรือใบงานให้เสร็จทุกคนก่อนจะเริ่มทา งานต่อไป 2. การสร้างทีมงาน (Team Formation) การจัดลุ่มหรื อทีมงานสามารถท าได้โดยครู ก าหนดให้หรื อนักเรี ยนจัดกลุ่มกันเอง หัวหน้ากลุ่มด้วยจากการคัดเลือกของสมาชิกและมีการ ผลัดเปลี่ยนต าแหน่งกัน แต่อย่างไรก็ตามการจัดกลุ่มอย่างเป็ นทางการมีความเหมาะสมกว่าซึ่งสามารถ ทา ได้4วิธีดงัน้ี 1) การจัดกลุ่มตามความแตกต่างดา้นทางเพศ เช้ือชาติภาษา และระดบัความสามารถ 2) การจัดกลุ่มแบบกลุ่มโดยใช้เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์บางอย่าง เช่น กระดาษสี ผู้เรียนที่ได้สัญลักษณ์สีเดียวกันจะได้อยู่กลุ่มเดียวกัน 3) การจัดกลุ่มตามความแตกต่างและระดับความสามารถทางภาษา 4)การจัดกลุ่มตามความสนใจ ความชอบ และลักษณะนิสัย 3. ความรับผิดชอบ (Accountability) ความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อกลุ่มมีความส าคัญ ต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนแบบร่วมมือ และเป็นลักษณะเด่นของการเรียนแบบน้ีผูเ้รียนจะได้รับ หมอบหมายความรับผิดชอบเป็ นรายบุคคล มีการให้คะแนนในส่วนรวมที่ตนเองร่วมท างานของกลุ่ม ซึ่งสามารถตรวจสอบความรับผิดชอบได้ด้วยการทดสอบเรื่องทักษะทางสังคม และโครงสร้างการ เรียนรู้และวิธีจัดโครงสร้าง 4. ทักษะกระบวนการปฏิสัมพันธ์ของผู้เรี ยนเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็ นไปอย่างมี ประสิทธิภาพนักเรียนจ าเป็ นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคลและกลุ่มย่อย 5. การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม เพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับปรุงการท างาน ให้ดีข้ึน เช่น การวิเคราะห์เกี่ยวกบัวิธีการทา งานของกลุ่ม พฤติกรรมของสมาชิกในกลุ่ม และผลงาน ของกลุ่มเป็ นต้น สรุปได้ว่า องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือประกอบด้วย การพึ่งพาซึ่ งกัน และกัน เพื่อช่วยเหลือกันและเก้ือกูลกนัการปรึกษาหารือกนัเพื่อคอยให้คา แนะนา หรือคา ปรึกษา ระหว่างบุคคลอย่างใกล้ชิด ความรับผิดชอบของสมาชิกเพื่อให้ผลงานมีประสิทธิภาพควรมีการแบ่ง หน้าที่ความรับผิดชอบของนักเรียนแต่ละคน ทักษะกระบวนการปฏิสัมพันธ์เพื่อให้การปฏิบัติงาน เป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพนักเรียนจ าเป็ นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคลและกลุ่มย่อยและการ
25 วิเคราะห์กระบวนการกลุ่มเพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับปรุงการทา งานให้ดีข้ึน เช่น การ วิเคราะห์เกี่ยวกับวิธีการท างานของกลุ่ม พฤติกรรมของสมาชิกกลุ่ม และผลงานของกลุ่ม องค์ประกอบ ท้งั5 น้ีต่างก็มีความสัมพนัธ์ซ่ึงกนัและกนั ในการช่วยให้การเรียนแบบร่วมมือดา เนินไปไดด้ว้ยดีและ บรรลุเป้าหมายที่กลุ่มต้องการคือสมาชิกกลุ่มเกิดความรู้ ความเข้าใจ และสามารถนา ทกัษะเหล่าน้ีไป ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ 5. ลักษณะส าคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ Slavin (1990) ก าหนดลักษณะส าคัญการเรียนรู้ แบบร่วมมือไว้6 ประการ ดงัน้ี 5.1 เป้าหมายของกลุ่ม (Group Goals) หมายถึง ทุกคนในกลุ่มมีเป้าหมายร่วมกันคือ การ ยอมรับผลงานของกลุ่ม 5.2 การรับผิดชอบเป็ นรายบุคคล (Individual Accountability) หมายถึง ทุกคนที่เป็ น สมาชิกกลุ่มมีความรับผิดชอบในการด าเนินงานของกลุ่มให้ได้รับความส าเร็จ เพราะความส าเร็จของ กลุ่มข้ึนอยกู่บัผลการเรียนรู้รายบุคคลของสมาชิกในกลุ่ม 5.3 โอกาสในความส าเร็จเท่าเทียมกัน (Equal Opportunities for Success) หมายถึง การที่ นักเรียนได้รับโอกาสที่จะท าคะแนนให้กับกลุ่มของตนเองได้เท่าเทียมกันทุกคนไม่มีใครได้มากน้อย กว่ากัน 5.4 การแข่งขันเป็ นทีม (Team Competition) การเรี ยนแบบร่วมมือจะมีการแข่งขัน ระหว่างทีม ซ่ึงหมายถึงการสร้างแรงจูงใจและความสมคัรสมานสามคัคีรวมท้งัความรับผิดชอบให้ เกิดข้ึนภายในทีม 5.5 งานพิเศษ (Task Specialization) หมายถึง การออกแบบงานย่อย ๆ ของแต่ละกลุ่มให้ นักเรียนแต่ละคนรับผิดชอบ ซึ่ งนักเรียนแต่ละคนจะเกิดความภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือกลุ่มของตนให้ ประสบความส าเร็จ ลักษณะงานจะเป็ นการพึ่งพาซึ่งกันและกัน รวมถึงการตรวจสอบความถูกต้อง 5.6 ดัดแปลงความต้องการของแต่ละบุคคลให้เหมาะสม (Adaptation to Individual) หมายถึง การเรียนแบบร่วมมือแต่ละประเภทจะมีบางประเภทได้ดัดแปลงการสอนให้เหมาะสมกับ ความต้องการของแต่ละบุคคล สรุปได้ว่า ลักษณะส าคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือมีลักษณะร่วมกันหลายประการ คือ มี การจัดกลุ่มย่อยที่มีความแตกต่างกันในด้านความรู้ ความสามารถ มีการก าหนดบทบาทหน้าที่ สมาชิก ภายในกลุ่มที่หมุนเวียนกันรับผิดชอบเพื่อความเสมอภาค มีปฏิสัมพันธ์กันภายในกลุ่ม ได้แลกเปลี่ยน ความคิดเห็น ยอมรับฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีการอธิบายให้เพื่อนเกิด
26 การเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน มีการรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายและรับผิดชอบต่อเพื่อนภายใน กลุ่ม มีทักษะในการท างานกลุ่ม มีการยอมรับและสนับสนุนซึ่งกันและกัน และร่วมกันจัดท ากิจกรรม การเรียนการสอนท าให้การท างานมีประสิทธิภาพ 6. เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ การเรียนรู้แบบร่วมมือมีเทคนิคมากมายหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีวิธีการด าเนินการที่ต่างกันตามวัตถุประสงค์เฉพาะ แต่ไม่ว่าจะเป็ นรูปแบบใดต่าง ก็ใช้หลักการเดียวกันคือหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการ และมีวัตถุประสงค์ที่เป็ นไปในทิศทาง เดียวกนัคือเพื่อให้ผูเ้รียนเกิดการเรียนรู้ในเน้ือหาสาระที่ศึกษามากที่สุด โดยอาศยัการร่วมมือกนัการ ช่วยเหลือกัน และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนในกลุ่มและผู้เรียนในระหว่างกลุ่มด้วยกันความ แตกต่างของรูปแบบแต่ละรูปแบบจะอยทู่ ี่เทคนิคในการศึกษาเน้ือหาสาระและวิธีการเสริมแรงและจะ ให้รางวลัเป็นประการสา คญัทิศนาแขมมณี(2550)ไดอ้ธิบายเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือดงัต่อไปน้ี 6.1 เทคนิคการต่อเรื่องราว (Jigsaw) เป็ นเทคนิคที่ใช้ในการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ มีการร่วมมือระหว่างสมาชิกในกลุ่มและมีการถ่ายทอดความรู้กันระหว่างกลุ่ม 6.2 เทคนิคการจัดทีมแข่งขัน (TGT : Team Games Tournament) เหมาะส าหรับการ เรียนการสอนที่ต้องการให้กลุ่มผู้เรียนได้ศึกษาประเด็นหรือปัญหาที่มีค าตอบที่ถูกต้องเพียงค าตอบ เดียวซึ่งเป็ นค าตอบที่ชัดเจน เช่น คณิตศาสตร์ การใช้ภาษา สังคมศึกษา เป็ นต้น 6.3 เทคนิคแบ่งปันความส าเร็จ (STAD : Student Teams Achievement Division) เป็ น การร่วมมือกันระหว่างสมาชิกในกลุ่มโดยทุกคนจะต้องพัฒนาความรู้ของตนเองในเรื่องผู้สอนก าหนด ซ่ึงจะมีการช่วยเหลือทบทวนความรู้ให้แก่กนัมีการทดสอบเป็นรายบุคคลแทนการแข่งขนัและรวม คะแนนเป็ นกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนมากที่สุดจะเป็ นฝ่ ายชนะ เหมาะส าหรับใช้ในการเรียนการสอนใน บทเรียนที่มีเน้ือหาไม่ยากเกินไป 6.4 เทคนิคกลุ่มสืบค้น (GI : Group Investigation) เป็ นเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ ที่จดัผูเ้รียนออกเป็นกลุ่มเพื่อเตรียมทา งานหรือทา โครงงานที่ผูม้อบหมายมอบหมายให้เทคนิคน้ีเหมาะ ส าหรับฝึ กผู้เรียนรู้จักสืบค้นความรู้หรือวางแผนสืบสวนเพื่อแก้ปัญหาหรือหาค าตอบในประเด็นที่ สนใจดงัน้ันก่อนการดา เนินการดา เนินกิจกรรมทุกคร้ังผูส้อนควรฝึกทกัษะการสื่อสาร ทกัษะการคิด ตลอดจนทกัษะทางสังคมให้แก่ผูเ้รียนก่อน 6.5 เทคนิคคู่คิด (Think Pair Share) เป็ นเทคนิคที่ผู้สอนใช้คู่กับวิธีสอนแบบอื่น เรียกว่าเทคนิคคู่คิด เป็นเทคนิคที่ผูส้อนต้งัคา ถามหรือกา หนดปัญหาให้แก่ผูเ้รียน ซ่ึงอาจจะเป็นใบงาน หรือแบบฝึกหัดก็ได้และให้ผูเ้รียนแต่ละคนคิดหาคา ตอบของตนก่อน แล้วจับคู่กับเพื่อนอภิปราย
27 คา ตอบ เมื่อมนั่ใจว่าคา ตอบของคนถูกตอ้งแลว้จึงนา คา ตอบไปอธิบายให้เพื่อนท้งัช้นั ฟัง 6.6 เทคนิคเพื่อนคู่คิด 4 สหาย (Think Pair Square) เป็ นเทคนิคที่ผู้สอนตอบค าถาม หรือกา หนดปัญหาให้แก่ผูเ้รียน ซ่ึงผูส้อนอาจทา เป็นใบงานหรือแบบฝึกหัดก็ได้ให้ผูเ้รียนแต่ละคน ตอบคา ถามหรือตอบปัญหาดว้ยตนเองก่อนแลว้จบัคู่กบัเพื่อน นา คา ตอบไปผลดักนัอธิบายคา ตอบด้วย ความมนั่ใจ 6.7 เทคนิคคู่ตรวจสอบ (Pairs Check) เป็ นเทคนิคที่ผู้สอนตอบค าถามหรือก าหนด ปัญหา (โจทย์) ให้กับผู้เรียน โดยจัดท าเป็ นใบงานหรือแบบฝึ กหัดที่มีค าตอบหรือโจทย์หลายข้อ จ านวนข้อจะเป็ นเลขคู่ ผู้เรียนจะจับคู่กันเมื่อได้รับโจทย์หรือปัญหาจากผู้สอนคนหนึ่งจะท าหน้าที่ ตอบคา ถามหรือแกป้ ัญหาโจทยค์รบ 2ขอ้แลว้ให้สมาชิกท้งัคู่ (ซ่ึงจดัในกลุ่มเดียวกนั ) เปรียบเทียบ ค าตอบซึ่งกันและกันเหมาะสมกับใบงานหรือแบบฝึ กหัดที่ไม่ยากและไม่ซับซ้อน 6.8เทคนิคการสัมภาษณ์3ข้นัตอน (Three-Step Interview) เป็ นเทคนิคที่ฝึ กให้ผู้เรียน แต่ละคนได้มีประสบการณ์ในการสัมภาษณ์บุคคลและเก็บใจความส าคัญ หรืออาจจะเป็ นการสรุป ความคิดรวบยอดในเรื่องที่เรียน 6.9 เทคนิคร่วมกันคิด (Numbered Heads Together) เหมาะสมกับการทบทวนความรู้ หรือตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ ผู้สอนใช้ค าถามถามผู้เรียนและให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันคิดหา ค าตอบ แล้วผู้สอนสุ่มเรียกสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งออกมาตอบค าถาม 6.10 เทคนิคเล่าเรื่องรอบวง (Round Robin) เป็ นเทคนิคที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มได้ ผลดักนัเล่าประสบการณ์ความรู้ที่ตนเองไดศ้ึกษาตลอดจนสิ่งที่ตนประทบั ใจให้แก่เพื่อนๆในกลุ่มฟัง ทีละคน หรืออาจจะเป็ นเรื่องสมาชิกในกลุ่มต้องการจะเสนอแนะแสดงความคิดเห็น แนะน าตนเอง พูดถึงส่วนดีของเพื่อน ยกตัวอย่างการกระท าของบุคคลที่สอดคล้องกับเรื่องที่เรียนไปแล้วหรือที่ก าลัง จะเรียน เป็ นต้น โดยสมาชิกทุกคนได้ใช้เวลาในการเล่าเท่า ๆ กัน หรือใกล้เคียงกัน ซึ่งจะเป็ นการฝึ ก ให้ผู้เรียนเป็ นคนมีความรู้และเทคนิคการเล่าเรื่องเป็ นอย่างดี 7. ข้ันตอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson. 2003) ไดเ้สนอข้นัตอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ดงัน้ี 7.1 ข้นัเตรียม ประกอบด้วยครูเป็ นที่ปรึกษาให้ค าแนะน าเกี่ยวกับบทบาทของนักเรียน การแบ่งกลุ่มการเรียน แจ้งวัตถุประสงค์ของการเรียนในแต่ละบทเรียน แต่ละคาบ และฝึ กฝนทักษะ พ้ืนฐานที่จา เป็นสา หรับการทา กิจกรรมกลุ่ม
28 7.2ข้นัสอน ครูจดักิจกรรมการเรียนการสอนที่ประกอบดว้ยการเขา้สู่บทเรียน แนะน า เน้ือหา แนะนา แหล่งขอ้มูลและมอบหมายงานให้นกัเรียนในแต่ละกลุ่มไดร้ับงานเป็นชุดเพื่อฝึกความ รับผิดชอบในการคิดตัดสินใจแบ่งปันงานให้สมาชิกในกลุ่ม 7.3ข้นัทา กิจกรรมกลุ่ม นักเรียนแต่ละคนมีบทบาทหนา้ที่ในการทา กิจกรรมกลุ่มตามที่ ได้รับมอบหมาย และจะช่วยเหลือกนัเพื่อให้งานน้ันส าเร็จ เป็นการเสริมแรงและสนับสนุนกนั ให้ ก าลังใจกัน และพึ่งพาอาศัยกัน 7.4 ข้ันตรวจสอบผลงานและทดสอบเป็นการตรวจสอบว่าผู้เรียนได้ปฏิบัติหน้าที่ ครบถ้วนหรื อไม่ ผลการปฏิบัติเป็ นอย่างไร เน้นการตรวจสอบผลงานกลุ่มและรายบุคคล และ ต่อจากน้นัเป็นการทดสอบ 7.5 ข้ันสรุปบทเรียนและประเมินผลการท างานกลุ่ม ครูและนักเรียนช่วยกันสรุป บทเรียน ถา้มีสิ่งที่ผูเ้รียนยงัไม่เขา้ใจครูควรอธิบายเพิ่มเติมและช่วยกนั ประเมินผลการทา งานกลุ่มหา จุดเด่นและสิ่งที่ควรปรับปรุงแกไ้ข 8. การประยุกต์ใช้หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือในการสอน ทิศนา เขมมณี (2553) ได้กล่าวถึง การน าหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือไปใช้ว่าครูสามารถน าไปจัดการเรี ยนการสอนของตนได้โดย พยายามจัดกลุ่มการเรียนรู้ให้มีองค์ประกอบครบ 5 ประการดังกล่าวข้างต้น และใช้เทคนิควิธีการต่างๆ เพื่อช่วยให้องคป์ระกอบท้งั5 สัมฤทธ์ิผลโดยทวั่ ไปการวางแผนบทเรียนและการจดัการเรียนการสอน ให้ผูเ้รียนไดเ้รียนรู้แบบร่วมมือมีประเด็นที่สา คญัดงัน้ี 8.1 ด้านการวางแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1) กา หนดจุดมุ่งหมายของบทเรียนท้ังทางด้านความรู้และทักษะกระบวนการต่างๆ 2) ก าหนดขนาดของกลุ่ม กลุ่มควรมีขนาดเล็กประมาณ 3-6 คน กลุ่มขนาด 4 คน จะเป็ น ขนาดที่มีความเหมาะสมที่สุด 3) ก าหนดองค์ประกอบของกลุ่ม หมายถึง การจัดผู้เรียนเข้ากลุ่มซึ่งอาจท าโดยการสุ่ม หรือการเลือกให้เหมาะสมกบัวตัถุประสงค์โดยทวั่ ไปกลุ่มจะตอ้งประกอบไปดว้ยสมาชิกที่คละกนั ใน ด้านต่างๆ เช่น เพศ ความสามารถ ความถนัด เป็ นต้น 4) ก าหนดบทบาทของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กันอย่าง ใกลช้ิดและมีส่วนในการทา งานอย่างทวั่ถึงครูควรมอบหมายบทบาทหน้าที่ในการทา งานให้ทุกคน และบทบาทหนา้ที่น้นัๆ จะตอ้งเป็นส่วนหน่ึงของงานอนัเป็ นส่วนหนึ่งของจุดมุ่งหมายของกลุ่ม และ สมาชิกกลุ่มตอ้งอยใู่นลกัษณะที่ตอ้งพ่ึงพาอาศยักนัและเก้ือกูลกนับทบาทหนา้ที่ในการทา งานเพื่อการ
29 เรียนรู้มีจ านวนมาก เช่น บทบาทผู้น ากลุ่ม ผู้สังเกตการณ์ เลขานุการ ผู้เสนอผลงาน ผู้ตรวจสอบผลงาน เป็ นต้น 5) สถานที่ให้เหมาะสมในการท างานและการมีปฏิสัมพันธ์กัน ครูจ าเป็ นต้องคิด ออกแบบการจดัห้องเรียนหรือสถานที่ที่จะใช้ในการเรียนรู้ให้เอ้ือและสะดวกต่อการทา งานของกลุ่ม 6)จดัเน้ือหาสาระวสัดุอุปกรณ์หรืองานที่จะให้ผูเ้รียนทา พร้อมท้งัมีการวิเคราะห์เน้ือหา สาระ วัสดุอุปกรณ์ และงานที่จะให้ผูเ้รียนได้เกิดการเรียนรู้แล้วจัดแบ่งเน้ือหาสาระ และงานใน ลักษณะที่ให้ผู้เรียนแต่ละคนมีส่วนในการช่วยกลุ่มและพึ่งพากันในการเรียนรู้ 8.2 ดา้นการสอนครูควรมีการเตรียมกลุ่มเพื่อการเรียนรู้ร่วมกนัดงัน้ี 1)อธิบายช้ีแจงเกี่ยวกบังานของกลุ่ม ครูควรอธิบายถึงจุดมุ่งหมายของบทเรียน เหตุผล ในการดา เนินการต่างๆ รายละเอียดของงานและข้นัตอนการทา งาน 2) อธิบายเกณฑ์การประเมินผลงาน ผู้เรียนจะต้องมีความเข้าใจตรงกันว่าความส าเร็จของ งานอยู่ตรงไหน งานที่คาดหวังจะมีลักษณะอย่างไร และเกณฑ์ที่จะใช้ได้ในการวัดความส าเร็จของ งานคืออะไร 3)อธิบายถึงความสา คญัและวิธีการของการพ่ึงพาและเก้ือกูลกนัครูควรอธิบายกฎเกณฑ์ ระเบียบ กติกา บทบาทหน้าที่ และระบบการให้รางวัลหรือประโยชน์ที่กลุ่มจะได้รับในการร่วมมือกัน เรียนรู้ 4) อธิบายวิธีการช่วยเหลือกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม 5) อธิบายถึงความส าคัญและวิธีการในการตรวจสอบความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่แต่ละ คนได้รับมอบหมาย เช่น การสุ่มเรียกชื่อผู้สอนผลงาน การทดสอบ การตรวจสอบผลงาน เป็ นต้น 6) ช้ีแจงพฤติกรรมที่คาดหวงัหากครูช้ีแจงให้ผูเ้รียนไดรู้้อยา่งชดเจนว่าต้องการให้ผู้เรียน ั แสดงพฤติกรรมอะไรบ้าง ย่อมท าให้ผู้เรียนรู้ความคาดหวังที่มีต่อตนและพยายามที่จะแสดงพฤติกรรม 8.3 ดา้นการควบคุมกา กบัและช่วยเหลือกลุ่ม ไดแ้ก่ 1) ดูแลให้สมาชิกกลุ่มมีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด 2) สังเกตการณ์การท างานร่วมกันของกลุ่ม ตรวจสอบว่า สมาชิกกลุ่มมี ความเข้าใจใน งาน หรือบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายหรือไม่ สังเกตพฤติกรรมต่างๆ ของสมาชิกให้ข้อมูล ป้อนกลับ ให้แรงเสริม และบันทึกข้อมูลมีจะเป็ นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของกลุ่ม
30 2.3.1การสอนแบบ (TGT: Teams-Games-Tournaments) รัตนา บุตรอุดม (2559) กล่าวว่า เทคนิค TGT มีลักษณะที่ส าคัญคือ นักเรียนทุกคนจะได้ร่วม สนุก ตื่นเต้นและท้าทายความสามารถของนักเรียน ด้วยการเข้าร่วมเกมการแข่งขันตอบปัญหากับ นักเรียนกลุ่มอื่นที่มีความสามารถใกลเ้คียงกนัดงัน้ันนักเรียนทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการให้ คะแนน จึงทา ให้มีความภาคภูมิใจ มนั่ใจในความพยายามและความสามารถของตน และเป็นการ กระตุ้นให้นักเรียนกระตือรือร้นในการค้นคว้าความรู้ และช่วยเหลือกัน เทคนิคน้ีคลา้ยกบั STAD ยกเว้นแต่คะแนนการทดสอบ TGTใช้คะแนนที่ตัวแทนแต่ละกลุ่ม แข่งขันกบกลุ่มอื่นๆ ข้นัตอนของเทคนิคน้ีมี4ข้นัตอน คือ 1. ครูนา เสนอเน้ือหา 2.จัดนักเรียนเข้ากลุ่ม 3.แข่งขัน / ทดสอบ 4.ให้รางวัลหรือข้นัสรุป ในการสอนแบบ TGT ในข้นัการแข่งขนั/ทดสอบจะจดัให้นักเรียนที่มีระดบัความสามารถ เท่ากบัทีมต่าง ๆ แข่งขนักนัจากน้ันกลุ่มจะหยิบการ์ดหมายเลข นักเรียนแต่ละคนจะตอบคา ถามตาม บัตรที่ได้และคะแนนของกลุ่มจะได้จากคะแนนของแต่ละคนมาร่วมกัน ส่วนการให้รางวัลอาจใช้วิธี ประกาศหน้าเสาธง หน้าช้ันเรียน ในวารสารของโรงเรียน หรือเสียงตามสายของโรงเรียนก็ไดข้้ึนอยู่ กับความเหมาะสม สรุปได้ว่า การเรียนการสอนโดยวิธีการสอนแบบกลุ่มร่วมมือโดยใช้เทคนิคการสอนแบบ (TGT : Teams-Games-Tournaments ) คือการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้โดยสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ ระหว่างเรียนให้มีความสนุกสนานโดยการประยุกต์ใช้เกม เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสนุกสนาน ตื่นเต้น สามัคคีและเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง ท าให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการเรียน และเกิด ความร่วมมือกันกับสมาชิกภายในกลุ่ม 2.4 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็ นส าคัญ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็ นส าคัญ (Student- Centred Approach )การ สอนที่เน้นผู้เรียนเป็ นส าคัญ หมายถึงการสอนที่มุ่งจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับการ ด ารงชีวิตเหมาะสมกับความสามารถ และความสนใจของผู้เรียนโดยให้นักเรียนมีส่วนร่วมและลงมือ ปฏิบตัิจริงทุกข้นัตอนจนเกิดการเรียนรู้ดว้ยตนเอง
31 การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็ นส าคัญมีอยู่หลายลักษณะและหลายระดับโดยที่ ครูผูส้อนเป็นผูอ้า นวยการเรียน ช่วยเอ้ือให้ผูเ้รียนเกิดการเรียนรู้ข้ึน โดยการเตรียมดา้นเน้ือหา วสัดุ อุปกรณ์สื่อการเรียนต่างๆ ให้เหมาะสมกบัผูเ้รียน การเรียนการสอนที่มีนักเรียนเป็นศูนยก์ลางน้ีมี ความต่อเนื่องอย่างเห็นได้ชัดกับแนวโน้มในปัจจุบันเกี่ยวกับการเรียนรู้ด้วยตนเองซึ่งจะมีค าศัพท์ บัญญัติไว้หลายค า เช่น Learner Autonomy, Self-directed Learner และLearner Independence แต่ สา หรับการเรียนการสอนที่มีผูเ้รียนเป็นสา คญัน้ีมุ่งที่ผูเ้รียนเป็นกลุ่มมากกว่าเป็นรายบุคคล จะเห็นได้ ว่า การเรียนการสอนที่เนน้ผูเ้รียนเป็นสา คญัน้ีสามารถจดัในลกัษณะต่างกนัได้3รูปแบบ กล่าวคือ แบบที่ 1 Student – centred Class ผูส้อนจะเป็นผูเ้ตรียมเน้ือหา วสัดุอุปกรณ์สื่อการเรียน ผูเ้รียนเป็นผูด้า เนินกิจกรรมการเรียนตามคา สั่งหรือคา แนะนา ของผูส้อน ส่วนมากเป็นกิจกรรมกลุ่ม หรือกิจกรรมคู่กบัเพื่อนโดยเนน้ ปฏิสัมพนัธ์ในช้นัเรียนเป็นสา คญั แบบที่ 2 Learner- based Teaching ผู้สอนเป็ นผู้กระตุ้น หรือมอบหมายให้ผู้เรียนผลิตสื่อ เน้ือหาของเรื่องที่จะเรียนข้ึนมาโดยใชค้วามรู้ ประสบการณ์และความชา นาญของผูเ้รียนเป็นฐานใน การสร้างสื่อ แบบที่ 3 Learner Independence เป็ นแบบที่ผู้เรียนจะเป็ นอิสระจากการเรียนในห้องเรียน ปกติ ผู้เรียนสามารถเลือกใช้สื่อที่จัดสรรไว้ในห้องศูนย์การเรียนรู้ แล้วเลือกท างานหรือฝึ กปฏิบัติตาม ความต้องการ ความสนใจของตน ผู้เรียนอาจจะเรียนคนเดียว หรือเรียนเป็ นคู่กับเพื่อนก็ได้ท้งัน้ีตอ้ง ต้งัอยภู่ายใตเ้งื่อนไขหรือสัญญาการเรียนระหว่างผูส้อนกบัผูเ้รียน ดงัน้ันการเรียนการสอนที่เน้นผูเ้รียนเป็นส าคญัก็คือการที่ผูส้อนสามารถจดักิจกรรมการ เรียนการสอน เพื่อเปิ ดโอกาสให้นักเรียนได้ใช้ประสบการณ์ ความรู้รอบตัว ความช านาญและความ สนใจของผู้เรียนแต่ละคนมาร่วมกันท ากิจกรรม มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันมีโอกาสคิดพิจารณา แสดง ความคิดเห็นร่วมกัน โดยมีผู้สอนเป็ นผู้ให้ค าแนะน า ช่วยเหลือ เมื่อผู้เรียนมีความต้องการ ผู้สอนจะ ให้ความส าคัญต่อกระบวนการคิด กระบวนการท างานของผู้เรียนมากกว่าที่ผู้เรียนคิดหรือสิ่งที่ผูเ้รียน ผลิตข้ึนมา ซ่ึงนักการศึกษากลุ่มหน่ึงมีความเชื่อว่า การจดัการเรียนการสอนที่เน้นผูเ้รียนเป็นส าคัญ เป็นวิธีหน่ึงที่จะช่วยพฒันาคุณภาพและศกัยภาพของทรัพยากรมนุษยใ์ห้ดีข้ึนและบรรลุเป้าหมายของ การศึกษาแห่งชาติดว้ย ดงัน้ันการพฒันาศกัยภาพของผูเ้รียนจึงเขา้มามีบทบาทอย่างยิ่งต่อการจดัการ เรียนการสอน รูปแบบวิธีสอนที่เน้นผู้เรียนเป็ นส าคัญ
32 รูปแบบที่ 1 วิธีสอนแบบใช้บทบาทสมมุติ : การใช้บทบาทสมมุติ เป็ นกิจกรรมที่มีการ กา หนดสถานการณ์สมมุติและบทบาทของผูเ้รียนในสถานการณ์น้ันแลว้ให้ผูเ้รียนสวมบทบาทและ แสดงบทบาทน้นัตามความรู้สึก ประสบการณ์เจตคติที่มีต่อบทบาทน้นัวิธีการน้ีจะช่วยให้ไดม้ีโอกาส ศึกษา วิเคราะห์ถึงความรู้สึกและพฤติกรรมของตนเองไดอ้ย่างลึกซ้ึงอีกท้งัยงัสามารถช่วยให้เขา้ใจ พฤติกรรม ความรู้สึกอารมณ์และเหตุผลของบุคคลที่สวมบทบาทน้ีในชีวิตจริงได้ รูปแบบที่ 2วิธีสอนแบบใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์ เป็ นวิธีการสอนที่มีการเชื่อมโยง การกระท ากับการคิดวิเคราะห์เข้าด้วยกัน โดยให้ผู้เรียนได้เผชิญสถานการณ์ลักษณะต่าง ๆ ซึ่งเป็ น ส่วนหน่ึงของประสบการณ์ที่จะเกิดข้ึนในชีวิตจริงฝึกให้ผูเ้รียนมีความเชื่อมนั่ในคา สอนของผูส้อน ฝึ กน าขอ้มูลข่าวสารดา้นต่างๆมาสรุปประเด็นเพื่อประเมินค่าว่าสิ่งใดถูกตอ้งดีงาม เกิดประโยชน์สิ่ง ใดบกพร่อง ไม่ถูก ไม่ตรงในการตัดสินใจ รูปแบบที่ 3 วิธีสอนแบบใช้บทเรี ยนส าเร็จรูป เป็ นการล าดับประสบการณ์ที่ได้วางไว้ ส าหรับผู้เรียน น าไปสู่ความสามารถโดยอาศัยหลักความสัมพันธ์ของสิ่งเร้ากบัการตอบสนอง ซ่ึงได้ พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ บทเรียนส าเร็จรูปอยู่บนพ้ืนฐานจิตวิทยาการศึกษาและจิตวิทยาการ เรียนรู้โดยมีหลกัการและทฤษฎีการเรียนรู้เขา้มาเกี่ยวขอ้งไดแ้ก่S-R Theory และ Reinforcement ของ Skinner และ Learning Theory ของ Thorndike รูปแบบที่ 4วิธีการสอนแบบศูนย์การเรียน เป็ นการจัดระบบห้องเรียนเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ไดอ้ย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมการเรียนรู้อาศยัเน้ือหาวิชาที่จดั ออกเป็นหน่วยๆแต่ละหน่วยจะมีกิจกรรม สื่อวสัดุอุปกรณ์และเน้ือหาวิชาที่แตกต่างกัน ผู้เรียนจะ เรียนรู้โดยการประกอบกิจกรรมจากหน่วยต่างๆตามที่ก าหนดภายใต้การดูแลของผู้สอน ศูนย์การเรียน เป็นกิจกรรมที่อยู่บนพ้ืนฐานหลกัการและทฤษฎีที่เกี่ยวขอ้งกบัการใช้สื่อประสม กระบวนการกลุ่ม กฎแห่งความพร้อม และความแตกต่างระหว่างบุคคล รูปแบบที่ 5 วิธีการสอนแบบใช้ชุดการสอน เป็ นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ได้รับการออกแบบ และจดัไวเ้ป็นระบบอนั ประกอบดว้ยจุดมุ่งหมายเน้ือหาและวสัดุอุปกรณ์โดยกิจกรรมต่างๆดงักล่าว ได้รับการรวบรวมไว้อย่างเป็ นระบบเป็ นระเบียบ เพื่อจัดเตรียมไว้ให้ผู้เรียนได้ศึกษาจากประสบการณ์ ท้งัหมด ชุดการสอนเป็นกิจกรรมที่อยู่บนพ้ืนฐานหลกัการและทฤษฏีเกี่ยวกบัการใช้สื่อประสม และการใช้วิธีการวิเคราะห์ระบบ ( System Approach ) เน้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับ กิจกรรม การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน โดยมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
33 รูปแบบที่ 6วิธีการสอนแบบใช้คอมพิวเตอร์ เป็ นการสอนที่เน้นสื่อการสอนที่ใช้เทคโนโลยี ระดับสูงน ามาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับ คอมพิวเตอร์ รูปแบบที่ 7 วิธีการสอนแบบโครงการ การจัดการเรียนการสอนแบบโครงการเป็ นการจัด ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานให้ผู้เรี ยนเหมือนกับการท างานในชีวิตจริ ง เพื่อให้ผู้เรี ยนได้มี ประสบการณ์ตรง ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนจะได้ท าการทดลอง ได้พิสูจน์สิ่งต่างๆด้วยตนเอง รู้จักหาวิธีการต่างๆมาแก้ปัญหา ผูเ้รียนจะทา งานอย่างมีระบบ รู้จัก วางแผนในการท างาน ฝึ กการเป็ นผู้น าผู้ตาม ฝึ กการวิเคราะห์และการประเมินผลตนเอง รูปแบบที่ 8 วิธีสอนแบบแก้ปัญหา เป็ นวิธีสอนที่เน้นให้ผู้เรี ยนคิดแก้ปัญหาอย่างเป็ น กระบวนการโดยอาศัยแนวคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการน าเอาวิธีการสอนแบบนิรนัย คือ การสอนจากกฎ ไปหาความจริงยอ่ย การรวมกระบวนการคิดท้งั 2แบบเข้าด้วยกัน ท าให้เกิดเป็ นรูปแบบวิธีสอนแบบ แกป้ ัญหา ซ่ึงเริ่มจากการกา หนดปัญหาวางแผนแกป้ ัญหา ต้งัสมมุติฐาน การเก็บรวบรวมขอ้มูลการ พิสูจน์ การวิเคราะห์ และการสรุปผล ซึ่งเป็ นกระบวนการเรียนการสอนที่จะน าไปสู่การแก้ปัญหาใน ชีวิตประจ าวันของผู้เรียนได้เป็ นอย่างดี รูปแบบที่ 9 วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็ นกลุ่ม เป็ นการสอนที่เน้นให้ ผู้เรียนได้มี อิสระในการศึกษาหาความรู้ตามหลักประชาธิปไตย ให้ผู้เรียนรู้จักการท างานร่วมกันเป็ นกลุ่ม และ การศึกษาหาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ รูปแบบที่ 10 วิธีสอนแบบใช้กระบวนการกลุ่มสัมพนัธ์เป็นกระบวนการข้ันตอนวิธีการ หรือพฤติกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยให้การดา เนินงานเป็นกลุ่มเป็นไปอยา่งมีประสิทธิภาพคือไดท้ ้งัผลงาน ที่ดีไดท้ ้งัความรู้สึกและความสัมพนัธ์ที่ดีระหว่างผูร้่วมงาน ซ่ึงมีลกัษณะที่ส าคญัคือ การยึดผูเ้รียน เป็ นศูนย์กลาง ยึดกลุ่มเป็ นแหล่งความรู้ที่ส าคัญ ยึดการค้นพบด้วยตนเอง เน้นกระบวนการควบคู่ไป กับผลงาน เน้นการน าความรู้ไปใช้ในชีวิตประจ าวัน รู้จักใช้สิทธิและหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตย ในการท างาน ยึดมติของกลุ่มและการตัดสินใจร่วมกัน รูปแบบที่ 11 วิธีสอนแบบความคิดรวบยอด เป็ นการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้สร้างความคิด รวบยอด ซ่ึงเป็นขอ้ความแสดงประเภทของสรรพสิ่งตามลกัษณะเฉพาะดว้ยตนเองจากการรวบรวม ข้อมูล สังเกต จ าแนกประเภท และจัดหมวดหมู่ตัวอย่างที่ผู้สอนน าเสนอ
34 รูปแบบที่ 12 วิธีสอนแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็ นการจัดการเรียนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็ น กลุ่มเล็ก ๆ สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือ สนบัสนุนซ่ึงกนัและกนัและมีความรับผิดชอบร่วมกนัท้งัในส่วนตวัและส่วนรวม เพื่อให้กลุ่มไดร้ับ ความส าเร็จตามเป้าหมายที่ก าหนด สรุปได้ว่า การสอนที่เน้นผู้เรี ยนเป็ นส าคัญมีอยู่หลายลักษณะและหลายระดับโดยที่ ครูผูส้อนเป็นผูอ้า นวยการเรียน ช่วยเอ้ือให้ผูเ้รียนเกิดการเรียนรู้ข้ึน โดยการเตรียมดา้นเน้ือหา วสัดุ อุปกรณ์ สื่อการเรียนต่างๆ ให้เหมาะสมกับผู้เรียน โดยเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนและแสวงหาความรู้ ได้อย่างเต็มศักยภาพของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ที่ผู้สอนก าหนดไว้ 2.5 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ 2.5.1 ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ หมายถึง การพูดภาษาอังกฤษมิใช่เพียงความสามารถ ทางการออกเสียงให้ถูกตอ้งตามโครงสร้างทางไวยากรณ์เท่าน้นัแต่ยงัรวมถึงการสื่อสารถอ้ยคา ไปยงั ผูร้ับสารให้รับรู้ความรู้สึกนึกคิด สาระข่าวสาร ใช้น้า เสียงหรือกิริยาอาการ ผูพู้ดตอ้งมีทกัษะความรู้ ด้านการออกเสียงค าศัพท์ กฎการใช้ทางไวยากรณ์ เข้าใจวัฒนธรรมทางภาษา และผู้พูดต้องมีทักษะ การใช้กลวิธีการพูดเพื่อการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ศิริรัตน์ กลยะณี, พระมหาขวัญชัย กิตฺติปาโล (2558) กล่าวว่า การพูด หมายถึง พฤติกรรม การถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก หรือความต้องการของผู้พูดเพื่อสื่อความหมายไปยังผู้ฟังโดย ใชถ้อ้ยคา น้า เสียง สีหนา้แววตาและกิริยาท่าทาง เพื่อให้ผูฟ้ ังรับรู้เขา้ใจ และสนองตอบต่อสารที่ผูพู้ด ได้สื่อไปยังผู้ฟัง กล่าวโดยสรุป การพูด หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึก และข้อมูลข่าวสาร โดยการ ใชน้ ้า เสียง สีหนา้แววตาและกิริยาท่าทางในการสื่อสารเพื่อให้ผูฟ้ ังเกิดความเขา้ใจ 2.5.2 ทักษะการฟังภาษาอังกฤษ หมายถึง ความสามารถในการจับประเด็นใจความหลัก จาก สิ่งที่ฟังได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ซ่ึงเป็นกระบวนการที่สลับซับซ้อน เพราะผูเ้รียนต้องเข้าใจ สาระส าคัญจากสิ่งที่พูด อารมณ์และความคิดเห็น ของผูพู้ด และสามารถตอบสนองระบุความสัมพนัธ์ ระหว่างผูพู้ด หรือ บริบทของการพูดได้ทักษะการฟังภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งส าคัญที่ต้องฝึกฝนให้ ผู้เรียนเกิดความ ช านาญ และมีความสามารถในการฟังอย่างเข้าใจในสารที่ได้รับฟัง
35 กล่าวโดยสรุป การฟัง หมายถึงการจบั ประเด็นใจความส าคญัจากสิ่งที่ฟัง เพื่อรับรู้ ความรู้ ข่าวสารและสารต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ 2.6 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ประสาท เนืองเฉลิม (2560) เสนอว่า การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการ เรี ยนรู้มีกระบวนการที่ส าคัญอยู่ 2 ข้ันตอน ได้แก่ข้ันตอนการประสิทธิภาพตามวิธีการหา ประสิ ทธิภาพเชิง เหตุผล (Rational approach) และข้ันตอนการหาประสิทธิภาพตามวิธีการหา ประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ (Empirical approach) 1. วิธีการหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผลกระบวนการน้ีเป็นการหาประสิทธิภาพโดยใช้หลักของ ความรู้และเหตุผลในการตัดสินคุณค่าของนวัตกรรมการเรียนการสอน โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญเป็ นผู้ พิจารณา ตดัสินคุณค่าซ่ึงเป็นการความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา และความเหมาะสมในดา้นความถูกตอง้ ของการน าไปใช้ ผลจากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนจะน ามาหาประสิทธิภาพ ซึ่งค านวณได้ จากสูตร (ประสาท เนืองเฉลิม. 2560) CVR= 2Ne N -1 เมื่อ CVR แทน ประสิทธิภาพเชิงเหตุผล Ne แทน จ านวนผู้เชี่ยวชาญที่ยอมรับ N แทน จา นวนผูเ้ชี่ยวชาญท้งัหมด ผูเ้ชี่ยวชาญจะประเมินนวตักรรมการเรียนการสอนตามแบบประเมินที่สร้างข้ึน ในลกัษณะของ แบบ สอบถามชนิดมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) นิยมใช้มาตราส่วนประมาณค่า 5ระดับ น า ค่าเฉลี่ยที่ได้จากแบบประเมินของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนไปแทนค่าในสูตร ส าหรับค่าเฉลี่ยของ ผูเ้ชี่ยวชาญ ที่ยอมรับไดจ้ะตอ้งอยู่ในระดบัมากข้ึนไป ค่าเฉลี่ยต้งัแต่3.51 – 5.00ค่าที่ค านวณ ได้ต้อง สูงกว่าค่าที่ปรากฏในตารางตามจ านวนผู้เชี่ยวชาญจึงจะยอมรับว่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มี ประสิทธิภาพ ถ้าได้ค่าไม่ถึงเกณฑ์ที่ก าหนดจะต้องปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และ น าไปให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาใหม่
36 2. วิธีการหาประสิทธิภาพเชิงประจกัษ์วิธีการน้ีจะนา แผนการจดักิจกรรมการเรียนรู้ไปทดลอง ใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ประสิทธิภาพที่วัดส่วนใหญ่จะพิจารณาจากร้อยละ ของกระบวนการเรียนระหว่างเรียน โดยแสดงค่าเป็ นตัวเลข 2 ตัว เช่น E1/E 2 = 75/75 E1/E2 = 80/80 E1/E2 = 75/75 เป็ นต้น เกณฑ์ 75/75 หมายความว่า ตัวเลข 75 ตัวแรก (E1) คือ นักเรียนท้ังหมด ทา แบบฝึ กหัด หรือแบบทดสอบย่อยได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75ถือเป็ นประสิทธิภาพของกระบวนการ ส่วนตัวเลข 75 ตัวหลัง (E2) คือ นกัเรียนท้งัหมดที่ทา แบบทดสอบหลงัเรียนไดค้ะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 ถือว่าเป็ นประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ซึ่งค านวณได้จากสูตร สูตรที่ 1 E1 = ∑ x N A ×100 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนทุกส่วน A แทน คะแนนเต็มของทุกส่วน N แทน จ านวนผู้เรียน สูตรที่ 2 E2 = ∑ x N A ×100 เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของการสอบหลังเรียน N แทน จ านวนผู้เรียน 1. สูงกว่าเกณฑ์คือ ต้งัเกณฑ์E1/E2 ไว้แล้วได้ค่าประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ ที่ก าหนดไว้ เช่น ต้งัเกณฑม์าตรฐานไว้90/90แล้วค านวณค่าประสิทธิภาพบทเรียนส าเร็จรูปได้ 95/95 2. เท่าเกณฑ์คือ ต้งัเกณฑ์E1/E2 ไวแ้ลว้ไดค้ ่าประสิทธิภาพเท่ากบัเกณฑ์ที่ต้งัไวพ้อดีเช่น ต้งัเกณฑม์าตรฐานไว้90/90แล้วค านวณค่าประสิทธิภาพบทเรียนส าเร็จรูปได้ 90/90
37 3. ต่า กว่าเกณฑ์คือ ต้งัเกณฑ์E1/E2ไว้แล้วได้ค่าประสิทธิภาพต ่ากว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ไม่ เกิน ±2.5% การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน (E1/E2) เป็นข้นัตอน ทา การจริงกับกลุ่มตัวอย่างที่ก าหนดไว้แล้ว การที่จะสรุปได้ว่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ พฒันาข้ึนมีประสิทธิภาพหรือไม่จะตอ้งมีการกา หนดเกณฑเ์พื่อใช้ในการพิจารณาและยอมรับความ ผิดพลาดได้ไม่เกินร้อยละ 2.50โดยเลือกใช้เกณฑ์ชองชนิดที่ 3 2.7การหาดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้ การพิจารณาว่าแผนการจดักิจกรรมการเรียนรู้ที่สร้างข้ึนมีคุณภาพก็สามารถพิจารณาไดโ้ดย ดูการพฒันาการของนกัเรียน พิจารณาว่าก่อนและหลงัเรียนเรื่องใด ๆ นกัเรียนไดพ้ฒันาหรือมีความรู้ ความสามารถเพิ่มข้ึน อย่างเชื่อถือได้หรือไม่หรือเพิ่มข้ึนเท่าไหร่ซ่ึงอาจจะพิจารณาได้จากการ ค านวณหาค่า t –test (Dependent samples) หรือหาค่าดัชนีประสิทธิผล (ประสาท เนืองเฉลิม. 2560) 1. การหาพฒันาการทีเพิ่มข้ึนของผูเ้รียน โดยอาศัยการหาค่า t-test (Dependent Samples) เป็นการพิจารณาดูว่าผูเ้รียนมีพฒันาการเพิ่มข้ึนอย่างเชื่อถือไดห้รือไม่โดยทา การทดสอบผูเ้รียนทุก คนก่อนเรียน (Pretest) และหลังเรียน (Posttest) แล้วน ามาหาค่า t-test (Dependent Samples) หากมี นัยส าคัญทางสถิติ ถือว่านกัเรียนกลุ่มที่ผูว้ิจยักา ลงัศึกษามีพฒันาการเพิ่มข้ึนอยา่งเชื่อถือได้ 2. การหาพฒันาการที่เพิ่มข้ึนของผูเ้รียน โดยอาศยัการหาค่าดชันีประสิทธิผล (Effectiveness Index : E.I.) มีสูตร ดงัน้ี E. I. = P2 − P1 Total − P1 เมื่อ P1 แทน ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียนทุกคน P2 แทน ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรียนทุกคน Total แทน ผลคูณของจ านวนนักเรียนกับคะแนนเต็ม ดัชนีประสิทธิผลเป็ นเรื่องของอัตราส่วนของผลต่างจะมีค่าสูงสุดเป็ น 1.00 ส่วนค่าต ่าสุด ไม่ สามารถก าหนดได้ เพราะมีค่าต ่ากว่า -1.00ก็ได้และถา้เป็นค่าลบแสดงว่าคะแนนผลสอบก่อนเรียน มากกว่าหลังเรียน ซึ่งมีความหมายว่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการรู้ที่ใช้ไม่มีคุณภาพ ถ้าหลังเรียน นักเรียนได้คะแนนเต็มทุกคน ค่า E.I. จะเป็ น 1.00 เสมอไม่ว่าผลการสอบก่อนเรียนจะไดเ้ท่าไหร่ก็