The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by กิตติพงษ์ ชาธิพา, 2023-07-02 13:28:24

การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค (TGT) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์)

THE DEVELOPMENT OF ENGLISH LEARNING TO DEVELOP LISTENING
AND SPEAKING SKILLS BY USING COOPERATIVE LEARNING THROUGH
THE TGT TECHNIQUE FOR GRADE 2 STUDENTS AT CHOOMCHON

TESSABAN 3 (PINITPITTAYANUSORN) SCHOOL)

Keywords: เทคนิคTGT,การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ

38 ตาม (ยกเว้นได้คะแนนเต็มทุกคน) หรือกล่าวได้ว่า ผู้เรียนมีความก้าวหน้าในเรื่องที่เรียน คิดเป็ นร้อย ละ 100 หรือบรรลุวตัถุประสงคข์องการเรียนตามที่ตอ้งการ ถา้ผลสอบก่อนเรียนมากกว่าหลงัเรียน ค่า E.I. จะเป็ นลบ ซึ่ งต ่ากว่า 1.00 ก็ได้ลักษณะเช่นน้ีถือว่าการเรียนการสอนหลังการใช้แผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ลม้เหลว และเหตุการณ์เช่นน้ีไม่น่าจะเกิดข้ึน เพราะค่า E.I. ต ่าหรือเป็ นลบ แสดงว่า คะแนนหลงัสอนต่า หรือนอ้ยกว่าคะแนนก่อนสอน และก่อนจะหาค่า E.I. ต้องหาค่า E1/E2 มาก่อน ค่า E2คือ คะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนซึ่งเป็ นค่าเดียวกับคะแนนหลังเรียนของการหา ค่า E.I. ดงัน้ันคะแนน หลงัสอนต่า หรือมากกว่าก่อนสอน ค่า E2จะไม่ถึงเกณฑ์ การแปลความหมาย ของค่า E.I. ไม่น่าจะแปลความหมายเฉพาะค่าที่คา นวณไดว้่านักเรียนมีพฒันาการข้ึนเท่าไรหรือคิด เป็นร้อยละเท่าไรแต่ควรจะดูขอ้มูลเดิมประกอบดว้ยว่าหลงัเรียนนกัเรียนมีคะแนนเพิ่มข้ึนเท่าไรใน บางคร้ังคะแนนหลงัเรียนสอนเพิ่มข้ึนนอ้ยเป็นเพราะว่ากลุ่มน้นัมีความรู้เดิมในเรื่องน้นัมากอยแู่ลว้ซ่ึง ไม่ใช่เรื่องเสียหาย 2.8 ความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ความหมายของความพึงพอใจ ความพึงพอใจ (Satisfaction) หมายถึง สภาวะจิตที่ปราศจากความเครียดเป็ นความรู้สึกของ บุคคลในทางบวก ความชอบ ความสบายใจ ความสุขใจต่อสภาพแวดล้อมในด้านต่าง ๆ หรือเป็ น ความรู้สึกที่พอใจต่อสิ่งที่ทา ให้เกิดความชอบ ความสบายใจ และเป็นความรู้สึกที่บรรลุถึงความ ตอ้งการ ดงัน้นัความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้หมายถึง ความรู้สึก ความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครู หรือกิจกรรมทางการเรียนที่ได้รับมอบหมาย ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ Kotler and Armstrong (2002) รายงานว่า พฤติกรรมของมนุษยเ์กิดข้ึนตอ้งมีสิ่งจูงใจ (motive) หรือแรงขับดัน (drive) เป็ นความต้องการที่กดดันจนมากพอที่จะจูงใจให้บุคคลเกิดพฤติกรรมเพื่อ ตอบสนองความต้องการของตนเอง ซึ่ งความต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความต้องการ บางอย่างเป็ นความต้องการทางชีววิทยา (biological) เกิดข้ึนจากสภาวะตึงเครียด เช่น ความหิวกระหาย หรือความล าบากบางอย่าง เป็ นความต้องการทางจิตวิทยา (psychological) เกิดจากความต้องการการ ยอมรับ (recognition) การยกย่อง (esteem) หรือการเป็ นเจ้าของทรัพย์สิน (belonging) ความต้องการ


39 ส่วนใหญ่อาจไม่มากพอที่จะจูงใจให้บุคคลกระทา ในช่วงเวลาน้นัความตอ้งการกลายเป็นสิ่งจูงใจ เมื่อ ได้รับการกระตุ้นอย่างเพียงพอจนเกิดความตึงเครียด โดยทฤษฎีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มี 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีของอับราฮัม มาสโลว์ และทฤษฎีของซิกมันด์ ฟรอยด์ 1. ทฤษฎีแรงจูงใจของมาสโลว์ (Maslow’s theory motivation) อับราฮัม มาสโลว์ (A.H.Maslow) ค้นหาวิธีที่จะอธิบายว่าท าไมคนจึงถูกผลักดันโดยความ ต้องการบางอย่าง ณ เวลาหนึ่ง ท าไมคนหนึ่งจึงทุ่มเทเวลาและพลังงานอย่างมากเพื่อให้ได้มาซึ่งความ ปลอดภัยของตนเองแต่อีกคนหน่ึงกลบัทา สิ่งเหล่าน้นัเพื่อให้ไดร้ับการยกยอ่งนบัถือจากผูอ้ื่น คา ตอบ ของมาสโลว์คือความตอ้งการของมนุษยจ์ะถูกเรียงตามลา ดบัจากสิ่งที่กดดนัมากที่สุดไปถึงนอ้ยที่สุด ทฤษฎีของมาสโลว์ได้จัดล าดับความต้องการตามความส าคัญ คือ 1.1ความต้องการทางกาย (physiological needs) เป็นความตอ้งการพ้ืนฐาน คืออาหาร ที่พกั อากาศ ยารักษาโรค 1.2ความต้องการความปลอดภัย (safety needs) เป็ นความต้องการที่เหนือกว่า ความต้องการ เพื่อความอยู่รอด เป็ นความต้องการในด้านความปลอดภัยจากอันตราย 1.3ความต้องการทางสังคม (social needs) เป็ นการต้องการการยอมรับจากเพื่อน 1.4ความต้องการการยกย่อง (esteem needs) เป็ นความต้องการการยกย่องส่วนตัว ความนับ ถือและสถานะทางสังคม 1.5ความต้องการให้ตนประสบความส าเร็จ (self –actualization needs) เป็ นความต้องการสูงสุดของแต่ละบุคคล ความต้องการท าทุกสิ่งทุกอย่างไดส้ าเร็จ บุคคลพยายามที่ สร้างความพึงพอใจให้กบัความตอ้งการที่ส าคญัที่สุด เป็นอนัดบัแรกก่อนเมื่อความตอ้งการน้ันไดร้ับ ความพึงพอใจ ความตอ้งการน้นัก็จะหมดลงและเป็นตวักระตุน้ ให้บุคคลพยายามสร้างความพึงพอใจ ให้กับความต้องการที่ส าคัญที่สุดล าดับต่อไป ตัวอย่าง เช่น คนที่อดอยาก (ความต้องการทางกาย) จะ ไม่สนใจต่องานศิลปะชิ้นล่าสุด (ความตอ้งการสูงสุด) หรือไม่ตอ้งการยกยอ่งจากผูอ้ื่น หรือไม่ตอ้งการ แมแ้ต่อากาศที่บริสุทธ์ิ(ความปลอดภยั) แต่เมื่อความตอ้งการแต่ละข้นัไดร้ับความพึงพอใจแลว้ก็จะมี ความตอ้งการในข้นัลา ดบั ต่อไป


40 2. ทฤษฎีแรงจูงใจของฟรอยด์ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (S. M. Freud) ต้ังสมมุติฐานว่าบุคคลมักไม่รู้ตัวมากนักว่าพลังทาง จิตวิทยามีส่วนช่วยสร้างให้เกิดพฤติกรรม ฟรอยดพ์บว่าบุคคลเพิ่มและควบคุมสิ่งเร้าหลายอยา่ง สิ่งเร้า เหล่าน้ีอยนู่อกเหนือการควบคุมอยา่งสิ้นเชิง บุคคลจึงมีความฝัน พูดคา ที่ไม่ต้งัใจพูด มีอารมณ์อยเู่หนือ เหตุผลและมีพฤติกรรมหลอกหลอนหรือเกิดอาการวิตกจริตอย่างมาก ขณะที่ ชาริณี (2535) ได้เสนอ ทฤษฎีการแสวงหาความพึงพอใจไวว้่า บุคคลพอใจจะกระทา สิ่งใด ๆ ที่ให้มีความสุขและจะหลีกเลี่ยง ไม่กระทา ในสิ่งที่เขาจะไดร้ับความทุกข์หรือความยากลา บาก โดยอาจแบ่งประเภทความพอใจกรณีน้ี ได้ 3 ประเภท คือ 1. ความพอใจด้านจิตวิทยา (psychological hedonism) เป็ นทรรศนะของความพึงพอใจว่า มนุษย์โดยธรรมชาติจะมีความแสวงหาความสุขส่วนตัวหรือหลีกเลี่ยงจากความทุกข์ใด ๆ 2. ความพอใจเกี่ยวกับตนเอง (egoistic hedonism) เป็ นทรรศนะของความพอใจว่ามนุษย์จะ พยายามแสวงหาความสุขส่วนตัว แต่ไม่จ าเป็ นว่าการแสวงหาความสุขต้องเป็ นธรรมชาติของมนุษย์ เสมอไป 3. ความพอใจเกี่ยวกับจริยธรรม (ethical hedonism) ทรรศนะน้ีถือว่ามนุษยแ์สวงหาความสุข เพื่อผลประโยชน์ของมวลมนุษย์หรือสังคมที่ตนเป็ นสมาชิกอยู่และเป็ นผู้ได้รับผลประโยชน์ผู้หนึ่ง 3. ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ มีความเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ซ่ึงมีหลาย รูปแบบบุคคลจะมีการลองถูกลองผิด พอใจมากที่สุดเมื่อเกิดการเรียนรู้แล้ว บุคคลจะใช้รูปแบบการ ตอบสนอง ที่เหมาะสมเพียงรูปแบบเดียว และจะพยายามใช้รูปแบบน้ันเชื่อมโยงในสิ่งเร้าในการ เรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ กฎของธอร์นไดค์สรุปไดด้งัน้ี 1. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรู้จะเกิดข้ึนไดด้ีถา้ผูเ้รียน มีความ พร้อมท้งัทางร่างกายและจิตใจ 2. กฎแห่งการฝึ กหัด (Law of Exercise) การฝึ กหัดหรือกระท าบ่อย ๆ ด้วยความ เข้าใจจะ ทา ให้การเรียนรู้น้นัคงทนถาวร ถา้ไม่ไดก้ระทา ซ้า บ่อย ๆ การเรียนรู้น้นัจะไม่คงทนถาวร และในที่สุด อาจลืมได้ 3. กฎแห่งการใช้ (Law of Use and Disuse) การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยง ระหว่างสิ่ง


41 เร้ากบัการตอบสนองความมนั่คงของการเรียนจะเกิดข้ึน หากไดน้า มาใช้บ่อย ๆ หากไม่ไดน้า มาใช้ อาจจะลืมได้ 4. กฎแห่งผลที่พึงพอใจ (Law of Effect) เมื่อบุคคลได้รับผลที่พึงพอใจ ย่อมอยากจะเรียน ต่อไป ถา้ไดร้ับผลที่พึงพอใจ จะไม่อยากเรียน ดงัน้นัการไดร้ับผลที่พึงพอใจจึงเป็นปัจจยัสา คญั ในการ เรียน 1. การวัดความพึงพอใจ แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็ นเครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูล ประกอบด้วยชุดข้อค าถาม ที่ต้องการ ให้กลุ่มตัวอย่างตอบ โดยกาเครื่องหมายหรือเขียนตอบ หรือกรณีที่กลุ่มตัวอย่างอ่านหนังสือ ไม่ได้หรืออ่านยาก อาจใช้วิธีการสัมภาษณ์ตามแบบสอบถาม นิยามเกี่ยวกับข้อเท็จจริง ความคิดเห็น ของบุคคล มีรายละเอียดดงัน้ี 1. โครงสร้างแบบสอบถาม มีส่วนประกอบโครงสร้างของแบบสอบถาม 3 ส่วน คือ 1.1 ค าช้ีแจงในการตอบแบบสอบถาม เป็นส่วนแรกของการสอบถาม โดยระบุ จุดมุ่งหมายและความส าคัญที่ให้ตอบแบบสอบถาม ค าอธิบายลักษณะของแบบสอบถาม และวิธีตอบ พร้อมยกตัวอย่างประกอบและตอนสุ ดท้ายจะกล่าวขอบคุณล่วงหน้า แล้วระบุชื่อ เจ้าของ แบบสอบถาม 1.2 สถานภาพทั่วไป เป็นรายละเอียดสวนตัวของผู้ตอบแบบสอบถาม เช่น อายุ เพศ การศึกษา 1.3ข้อค าถามเกี่ยวกับพฤติกรรมที่จะวัด ซึ่งอาแยกเป็ นพฤติกรรมย่อย ๆ แล้วสร้าง ข้อ คา ถามวดัพฤติกรรมยอ่ย ๆ น้นั 2. รูปแบบของแบบสอบถาม ข้อค าถามในแบบสอบถามอาจมีลักษณะเป็ นปลายเปิ ด หรือ แบบปลายปิด แบบสอบถามฉบบัหน่ึงอาจเป็นแบบปลายเปิดท้งัหมดหรือแบบผสมก็ได้ดงัน้ี 2.1ข้อค าถามแบบปลายเปิ ด (Open - ended Form or Unstructured Questionnaire) เป็ น ค าถามที่ไม่ได้ก าหนดค าตอบได้เลือกตอบ แต่เปิ ดโอกาสให้ผู้ตอบแบบสอบถามตอบ โดยใช้ค าพูด ของตนเอง 2.2 ข้อค าถามปลายปิ ด (Closed Form or Unstructured Questionnaire)เป็ นค าถามที่มี ค าตอบให้ผู้เขียนเขียนเครื่องหมาย ลงหน้าข้อความ หรือตรงกับช่องที่เป็ นความจริงหรือความเห็นของ ตน มีหลายแบบ ไดแ้ก่


42 2.2.1แบบให้เลือกตอบค าตอบที่ตรงกับความเป็ นจริงหรือความคิดเห็นของตนเพียง ค าตอบเดียว จาก 2ค าตอบ 2.2.2แบบให้เลือกตอบค าตอบที่ตรงกับความเป็ นจริงหรือความคิดเห็นของตนเพียง ค าตอบเดียว จากหลายค าตอบ 2.2.3 แบบให้เลือกตอบค าตอบที่ตรงกับความเป็ นจริงหรือความคิดเห็นของตนได้ หลายค าตอบ 2.2.4แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยให้ผู้ตอบตอบตามระดับความ คิดเห็นของตน อาจจัดในรูปของตาราง 2.2.5แบบผสม หมายถึงมีหลายแบบอยู่ด้วยกัน 2.2.6แบบให้เรียงลา ดบัความสา คญั โดยเขียนเรียงลา ดบัความชอบต่อสิ่งน้นั 2.2.7แบบเต็มคา ส้ันๆ ลงในช่องว่างสิ่งที่เดิมมีความเฉพาะเจาะจง 3. หลกัเกณฑก์ารสร้างแบบสอบถาม มีดงัน้ี 3.1ก าหนดจุดมุ่งหมายให้แน่นอนว่าต้องการถามอะไร 3.2 สร้างคา ถามให้ตรงตามจุดมุ่งหมายที่ต้งัไว้ 3.3 เรียงข้อค าถามตามล าดับให้ต่อเนื่องสัมพันธ์กันตรงหัวข้อที่ได้วางโครงสร้างไว้ 3.4 ไม่ควรให้ผู้ตอบตอบมากเกินไป เพราะจะท าให้เบื่อหน่วยไม่ให้ความร่วมมือหรือ ตอบโดยไม่ต้งัใจ 3.5 ให้ตอบแบบสอบถามความลา บากนอ้ยที่สุดในการตอบ ดงัน้นัควรใชข้อ้คา ถามแบบ ปลายปิด ผู้ตอบแบบสอบถามเพียงแต่การตอบในแบบสอบถาม 3.6 สร้างขอ้คา ถามที่มีลกัษณะที่ดีคือมีลกัษณะดงัน้ี 3.6.1 ใช้ภาษาที่ชัดเจนเข้าใจง่ายไม่ก ากวม ไม่มีความซับซ้อน 3.6.2 ใชข้อ้ความที่ส้ันกะทดัรัด ไม่มีส่วนฟุ่มเฟือย 3.6.3 เป็ นข้อค าถามที่เหมาะสมกับผู้ตอบโดยค านึงถึงสติปัญญา ระดับการศึกษา ความสนใจของผู้ตอบ 3.6.4แต่ละข้อควรถามเพียงปัญหาเดียว 3.6.5 หลีกเลี่ยงค าถามที่จะตอบได้หลายทาง 3.6.6 หลีกเลี่ยงค าถามที่จะท าให้ผู้ตอบเบื่อหน่วย ไม่รู้เรื่อง หรือไม่สามารถตอบได้ 3.6.7 หลีกเลี่ยงค าที่ผู้ตอบตีความแตกต่างกันเช่น บ่อย ๆ เสมอๆ รวยโง่ ฉลาด


43 3.6.8 ไม่เป็ นค าถามที่จะท าให้ผู้ตอบเกิดความล าบากใจหรื ออึดอัดใจที่จะตอบ 3.6.9 ไม่ถามในสิ่งที่รู้แลว้หรือวดัดว้ยวิธีอื่นไดด้ีกว่า 3.6.10 ไม่ถามในเรื่องที่เป็ นความลับ 3.6.11ค าตอบที่ให้เลือกในข้อค าถามควรมีให้ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างทุกคน สามารถ เลือกตอบได้ตรงกับความจริงตามความเห็นของเขา 4. มาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) เป็ นมาตราวัดชนิดหนึ่งที่ใช้เป็ นเครื่องมือ ประเภท แบบสอบถาม แบบวัดด้านจิตพิสัย เช่น เจตคติ แรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธิ์ มีลักษณะส าคัญ 4 ประการ ดงัน้ี 4.1 มีระดับความเข้มข้นให้ผู้ตอบเลือกตอบตามความคิดเห็นเหตุผลสภาพความเป็ นจริง ต้งัแต่3ระดบัข้ึนไป 4.2ระดับที่เลือกอาจเป็ นชนิดที่มีด้านบวกและด้านลบในข้อเดียวกันหรือมีเฉพาะด้านใด ด้านหนึ่ง โดยที่อีกด้านหนึ่งจะเป็ นศูนย์หรือระดับน้อยมาก 4.3 บางข้อมีลักษณะเชิงนิมาน บางข้อมีลักษณะเชิงนิเสธ 4.4 สามารถแปลงผลตอบเป็ นคะแนนได้ จึงสามารถวัดความเห็นคุณลักษณะด้านจิต พิสัยออกมาในเชิงปริมาณได้ โดยใช้เกณฑ์ ตามตาราง เกณฑ์การให้คะแนนแบบสอบถามวัดความ พอใจ ตารางที่ 9 เกณฑ์การให้คะแนนแบบสอบถามวัดความพอใจ ข้อความที่กล่าวในเชิงนิมาน ข้อความที่กล่าวในเชิงนิเสธ มาก 3 คะแนน ปานกลาง 2 คะแนน น้อย 1 คะแนน มาก 3 คะแนน ปานกลาง 2 คะแนน น้อย 1 คะแนน 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.9.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศ พิมพ์ธนดา จารึกพูนผล และไพศาล สิมาเลาเต่า (2560) ได้ท าการวิจัย เรื่องการสอนแบบ TGT ดว้ยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชาภาษาองักฤษเพื่อการเรียนรู้คา ศพัท์ส าหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 3โรงเรียนทัพหลวง (หลวงพ่ออุปถัมภ์) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทเรียน


44 คอมพิวเตอร์ช่วยสอน รายวิชาภาษาอังกฤษ เพื่อการเรียนรู้คา ศพัท์สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยการสอนแบบ TGT ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยการสอนแบบ TGT ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มตวัอย่างในการวิจยัคือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่3 จ านวน 36 คน โดยวิธีเจาะจง โดยมีเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่เทคนิค TGT ร่วมกับบทเรี ยน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน รายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนรู้ค าศัพท์ ที่ผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 3คน แบบประเมินดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามกับวัตถุประสงค์ของแบบวัดผล สัมฤทธิ์ ทางการเรียน (IOC) และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน โดยผลการวิจัยพบว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนดังกล่าวได้ผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญในระดับ 4.63 และมีความ เหมาะสมในการใช้งาน2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยการสอนแบบ TGT ด้วย บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สูงกว่าอย่างมีนัยส าคัญ ที่ระดับ .05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการ เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ในระดับ 4.61 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.51 จึง สรุปได้ว่า การเรียนการสอนรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษา ด้วยเทคนิค TGT ร่วมกับบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน สามารถเพิ่มผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไดจ้ริง มัลลิกา มานันที และสุทธิพร บุญส่ง (2559) ได้ท าการวิจัย การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่จัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิคกลุ่มแข่งขัน (TGT) กับการ จดัการเรียนรู้แบบปกติส าหรับนักเรียนช้ันมธัยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีวัตถุประสงค์ 1) พัฒนาแผนการ จัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษ เรื่องวัฒนธรรมประเทศตะวันตก ที่จัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิคกลุ่มแข่งขัน (TGT) กับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ก่อนและหลงัเรียนรายวิชาภาษาองักฤษ ที่จดัการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มแข่งขนั (TGT) กับการ เรียนรู้แบบปกติส าหรับนักเรียนช้ันมธัยมศึกษาปีที่3ศูนย์อ านวยการเครือข่ายกุสุมาลย์2 ด าเนินการ ทดลองตามแบบแผนการวิจยัก่ึงทดลอง ประชากรที่ใช้ในการวิจยั ไดแ้ก่นักเรียนช้ันมธัยมศึกษาปีที่ 3/2 จ านวน 30คน กลุ่มทดลองได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มแข่งขัน (TGT) และ กลุ่มควบคุมนักเรียนมัธยมศึกษาปี ที่ 3/1 จ านวน 30คน กลุ่มควบคุมทดลอง ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบปกติ ใช้ระยะเวลา 12 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั ไดแ้ก่แผนการจดัการเรียนรู้แบบกลุ่ม ร่วมมือเทคนิคกลุ่มแข่งขัน (TGT) มีค่าประสิทธิภาพ E1/E2 =70.00/74.44 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน มีค่าความเชื่อมนั่ 0.913 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ t-test Independent Samples ในรูป ของผลต่างของคะแนน ผลการวิจยัพบว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาภาษาองักฤษของนกัเรียนช้นั


45 มัธยมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนนาเพียงสว่างนุกูล 2กลุ่ม มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ .05 เกศรา อินทนนท์ (2557) ได้ทา การวิจัย เรื่องทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปี ที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ TGT โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษา และเปรียบเทียบทกัษะการพูดภาษาองักฤษของนกัเรียน ช้นัมธัยมศึกษาปีที่2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือแบบ TGT ก่อนเรียนและหลงัเรียน 2) ศึกษา ความก้าวหน้าทักษะการพูดภาษาอังกฤษของ นกัเรียนช้นัมธัยมศึกษาปีที่2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ แบบ TGT ดา้นก่อนเรียนและหลงั เรียน 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนกัเรียนช้นัมธัยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ แบบ TGT กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่2/4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ศึกษาศาสตร์) ที่ก าลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2555จ านวน 35คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ TGT 2) แบบประเมินทักษะ การพูดภาษาองักฤษก่อนเรียนและหลงัเรียน 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน ที่มีต่อการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ TGT 4) กรอบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูลได้แก่ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ภายหลังที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ TGT นกัเรียนมีทกัษะการพูด ภาษาองักฤษ แตกต่างจากก่อนไดร้ับการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ TGT อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ 0.01 โดยที่คะแนนหลังเรียนสูงกว่า คะแนนก่อนเรียน 2) มีความกา้วหน้าในการพูดภาษาองักฤษสูงข้ึน 3) ความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ TGT โดยรวมอยู่ในระดับมาก ศศต์ภรณ์ นิติอภัยธรรม (2557) ได้ท าการวิจัย เรื่องผลการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิคการ แข่งขันร่วมกับการใช้เว็บเควสท์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและทักษะการอ่านภาษาอังกฤษใน รายวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ของนักเรียนเตรียมทหาร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบ คะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลงัเรียนโดยใช้บทเรียนพัฒนาการอ่านบูรณาการวิชา เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และ 2) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนเตรียมทหารที่เรียนด้วยบทเรียนพัฒนา ทักษะการอ่านบูรณาการวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยคร้ังน้ีเป็นนักเรียน เตรียมทหารช้ันปีที่1 จ านวน 35คน จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือใน การวิจัยคือ 1) บทเรี ยนพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษบูรณาการวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ 2) แบบทดสอบวดัผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลงัเรียน วิชา เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และ3) แบบสอบถามประเมินความคิดเห็นของนักเรียนเตรียมทหารที่มีต่อการเรียน บทเรียนพัฒนาการอ่าน


46 ภาษาองักฤษบูรณาการวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์สถิติในการวิเคราะห์ขอ้มูล ไดแ้ก่ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ t-test ผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียน เตรียมทหารที่เรียนด้วยบทเรียนพัฒนาทักษะการอ่านบูรณาการวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ด้วยการ เรียนร่วมมือแบบแข่งขนั โดยใช้เว็บเควสท์หลงัเรียนสูงกว่าก่อนเรียนที่ระดบันยัส าคญัทางสถิติ.01 และความคิดเห็นของนักเรียนเตรียมทหารที่เรียนด้วยบทเรียนพัฒนาทักษะการอ่านอยู่ในระดับเห็น ด้วยมาก พวงเพ็ญ อินทรประวัติ (2560) ได้ท าการวิจัยเรื่อง การใช้กลุ่มการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือใน ช้ันเรียน มีวตัถุประสงค์เพื่อ นา เสนอ4 หัวขอ้ดงัน้ีการเรียนรู้แบบร่วมมือ ชนิดการเรียนรู้แบบกลุ่ม ร่วมมือ บทบาทของครูในการใช้การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือในช้ันเรียน และตวัอย่างบทเรียนที่ใช้ใน การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือแบบการศึกษาค้นคว้ากลุ่ม 2.9.2 วิจัยต่างประเทศ Gholamreza Alavi, Abbas Pourhosein Gilakjani (2018 : Abstract) ได้ท าการวิจัยเรื่ อง ผล ของการใช้เกมเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้คา ศัพท์ส าหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่3 ของอิหร่าน ผลการวิจยัพบว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนการทดสอบและหลงัการทดสอบมีความแตกต่าง กันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ โดยกลุ่มทดลองท าได้ดีกว่ากลุ่มควบคุม และผลทางสถิติอยู่ใน แบบทดสอบหลังเรียน. ผลดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการใช้ค าศัพท์เกมบิงโกในการสอนค าศัพท์ และ การใช้เกมมีผลในพัฒนาความรู้ค าศัพท์ของผู้เรียน Sahar Ameer Bakhsh (2016 : Abstract) ได้ท าการวิจัยเรื่อง การใช้เกมเป็ นเครื่องมือในการ สอนคา ศพัทแ์ก่เด็กเล็กจุดประสงค์เพื่อศึกษาว่าเกมเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสอนคา ศพัท์ และช่วยให้ผู้เรี ยนมีความสามารถในการจดจา คา ศัพท์มากข้ึน ผลการวิจัยพบว่าเมื่อสอนค าศัพท์ ส าหรับเด็กเล็กโดยใช้เกม ครูจะต้องอดทนในการหาวิธีการใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเพื่อให้นักเรียนสนุกกับ การเรียนรู้ และเกมสามารถช่วยให้เด็กเรียนรู้ค าศัพท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Osha Saeed Al Neyadi (2013 : Abstract) ได้ท าการวิจัยเรื่อง ผลของการใช้เกมเพื่อเสริมสร้าง การเรียนรู้คา ศพัท์ผลการวิจยัพบว่าการใช้เกมเพื่อฝึกคา ศพัท์ช่วยเพิ่มความสามารของผูเ้รียนในการ จดจ าค าศัพท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกมให้ข้อมูลที่เข้าใจได้ในขณะที่ผู้เรียนโต้ตอบกันในกลุ่มท าให้ นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของคา ศพัท์ในบริบทดงักล่าว การใช้เกมช่วยเพิ่มแรงจูงใจของ นักเรียนในการเรียนรู้ค าศัพท์


47 Ying-Jian Wang (2011 : Abstract) ได้ท าการวิจัยเรื่ อง ผลของการใช้เกมในการสอน ภาษาอังกฤษส าหรับเด็ก โดยกลุ่มตัวอย่าง เป็ นผู้เรียน EFL จ านวน 50คน จุดมุ่งหมายของการวิจัย คือ การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการใช้เกมกับการพัฒนาความสามารถทางภาษาอังกฤษของนักเรียน ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีพัฒนาที่ส าคัญในด้านแรงจูงใจในการเรียนรู้ค าศัพท์และระดับความวิตก กังวล เนื่องจากแรงกดดันจากเพื่อนลดลงเมื่อใช้เกมประกอบการเรียนการสอน จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องท้ังในประเทศและต่างประเทศ สรุปได้ว่าการพฒันา กิจกรรมการเรี ยนรู้ภาษาอังกฤษ ต้องอาศัยเทคนิคการสอนและกิจกรรมหลากหลายรู ปแบบ นอกจากน้ันยงัมีวิธีการฝึกทักษะที่เหมาะสมกับระดับช้ันของผูเ้รียน และมีคุณภาพโดยได้รับการ ตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ มีหลกัการทฤษฎีรองรับ และจากงานวิจยัที่อา้งอิงน้ีแสดงให้เห็นว่าการสอน โดยใช้เกมและการแข่งขันประกอบการสอน ส่งผลให้ผู้เรียนมีการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดที่ดี ข้ึน ส่งเสริมให้ผูเ้รียนไดม้ีส่วนร่วมในการเรียนการสอน และมุ่งหวงัให้ผูเ้รียนสามารถฟังและพูดได้ อย่างแท้จริง


48 บทที่ 3 วิธีการด าเนินการวิจัย ในการวิจัยเรื่อง การพัฒนาการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดย ใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่ วมมือ เทคนิ ค TGT ส าหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) ผูว้ิจยัไดก้า หนดวิธีการดา เนินการวิจยัไว้ดงัน้ี 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 3.4รูปแบบการวิจัย 3.5การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.6การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.1.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในคร้ังน้ีคือ นักเรียนในระดบัช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2โรงเรียน ชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) ต าบลในเมือง อ าเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ที่ก าลัง เรียนในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 จ านวน 3 ห้องรวมท้งัหมด 101คน ข้อมูล ณ ปี การศึกษา 2565 ดังตาราง ตารางที่ 10จา นวนนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) ต าบลในเมือง อ าเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ระดบัช้นั ห้อง จ านวน (คน) ประถมศึกษาปี ที่ 2 1 33 2 33 3 34 รวมทั้งหมด 101 คน


49 3.1.2กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยในคร้ังน้ีคือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2/2 โรงเรียน ชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) ต าบลในเมือง อ าเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนมจ านวน 33 คนซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ด้วยวิธีการจับสลากโดยมีห้องเรียนเป็ น แบบการสุ่ม 3.2เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใชใ้นการวิจยัคร้ังน้ีแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ก่ 3.2.1เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองไดแ้ก่แผนการจดัการเรียนรู้วิชาภาษาองักฤษ เพื่อพัฒนา ทักษะการฟังและการพูด โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT ส าหรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) เรื่อง Myself จ านวน 4 แผน รวมเวลาเรียนท้งัหมด 4 ชวั่โมง ดงัน้ี Topic: How are you? จ านวน 1แผน เวลา 1 ชวั่โมง Topic: Goodbye. จ านวน 1 แผน เวลา 1 ชวั่โมง Topic: What’s your name? จ านวน 1 แผน เวลา 1 ชวั่โมง Topic: It’s Tom’s cat. จ านวน 1 แผน เวลา 1 ชวั่โมง 3.2.2 เครื่องมือที่ใชใ้นการเก็บรวบรวมขอ้มูลและประเมินผลการทดลองไดแ้ก่ 1. แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2 เป็ น แบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก 1 ฉบับ จ านวน 20ข้อ 2. แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แผนการจัดการ เรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค ส าหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2 เป็ นแบบวัดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 3 ระดับ จ านวน 1 ฉบับ จ านวน 20ข้อ 3.3การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 3.3.1แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยใช้การ จดัการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2จ านวน 4แผน ซึ่งท าการ สอน รวมเวลาเรียน 4 ชวั่โมง มีข้นัตอนในการสร้าง ดงัน้ี


50 ข้ันที่1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ข้นัที่2ศึกษาค าอธิบายรายวิชาและจุดมุ่งหมายของหลักสูตร มาตรฐานการเรียนรู้ตวัช้ีวดั ขอบข่ายของเน้ือหาและเวลาจากหลักสูตรสถานศึกษา ของโรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยา นุสรณ์) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ึนพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรี ยนรู้ ภาษาต่างประเทศ ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2 ประจ าภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 แล้วเลือกหน่วยการ เรียนรู้จ านวน 1 หน่วย ได้แก่หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง Myself ท าการวิเคราะห์หลักสูตร ดังน้ี ข้นัที่3 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ประจ าหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง Myselfโดยแบ่งเป็ นเรื่อง ย่อยประจ าหน่วย ดังตาราง ตารางที่ 11การวิเคราะห์หน่วยการเรียนรู้เรื่อง Myself ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ชื่อเรื่อง จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระส าคัญ จ านวน ชั่วโมง แผนที่ 1 How are you? 1. นักเรียนสามารถอ่านออกเสียง ค าศัพท์ และประโยคสนทนาง่าย ๆ ได้ 2. นักเรียนสามารถตอบโต้ใน ประโยคง่าย ๆ ในชีวิตประจ าวัน ได้ -การใช้ประโยคทักทายและ ประโยคถามทุกข์สุขของผู้อื่น ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม เป็นพ้ืนฐานที่ดีในการพูด สื่อสารกับผู้อื่นใน ชีวิตประจ าวัน 1 แผนที่ 2 Goodbye. 1. นักเรียนสามารถกล่าวค าอ าลา เมื่อจบทบทสนทนาได้ 2. นักเรียนสามารถพูดบอก ความหมายเกี่ยวกบัสิ่งที่พูดได้ 3. นักเรียนสามารถเข้าใจค าศัพท์ที่ ใช้ในการสื่อสารได้ -การกล่าวอ าลาด้วยค าว่า Goodbye. เมื่อเราทักทายและ สนทนากันจบแล้ว เป็นพ้ืนฐาน ที่ดีในการพูดสื่อสารกับผู้อื่น ในชีวิตประจ าวัน 1 แผนที่ 3 What’s your name? 1. นักเรียนสามารถตอบค าถาม เกี่ยวกับชื่อของตนเองและผู้อื่นได้ 2. นักเรียนสามารถฟังและบอก ความหมายเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังได้ -การใช้ประโยคถามและตอบ เกี่ยวกับชื่อของตนเองและผู้อื่น เป็นทกัษะพ้ืนฐานของการ สื่อสารในชีวิตประจ าวัน 1


51 ชื่อเรื่อง จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระส าคัญ จ านวน ชั่วโมง แผนที่ 4 It’s Tom’s cat. 1. นักเรียนสามารถตอบประโยค เกี่ยวกับการแสดงความเป็ น เจา้ของของสิ่งต่าง ๆ 2. นักเรียนสามารถบอก ความหมายจากเรื่องที่ฟังและพูด ได้ -การใช้ประโยคถามและตอบ เกี่ยวกับการแสดงความเป็ น เจา้ของสิ่งต่างๆ เป็นทกัษะ พ้ืนฐานของการสื่อสารใน ชีวิตประจ าวัน 1 ข้นัที่4ศึกษาข้นัตอนวิธีเขียนแผนการจดักิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนา ทักษะการฟังและการพูด โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค TGT เพื่อให้ได้แนว ทางการจัดกิจกรรมที่บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร ข้นัที่5 เขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและ การพูด โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค TGT กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) เรื่อง Myself ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2จ านวน 4แผน รวมเวลาเรียน 4 ชวั่โมง ตามกรอบ ความคิดในการสอนแบบ TGT มี 5ข้นัดงัน้ี 1) ข้นัเตรียมการหรือข้นันา เขา้สู่บทเรียน 2) ข้นการจัดกลุ่ม ั 3) ข้นั น าเสนอ 4) ข้นัการแข่งขันตอบปัญหา 5) ข้นัสรุปบทเรียนและประเมินผลการทา งานกลุ่ม ข้นัที่6 น าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการ พูด โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค TGT ที่สร้างข้ึนเสนอต่ออาจารยท์ ี่ปรึกษาการ คน้ควา้อิสระเพื่อตรวจสอบความถูกตอ้ง พิจารณาความเหมาะสม ความสอดคลอ้งของเน้ือหาสาระ การเรียนรู้กับมาตรฐานการเรียนรู้ตัวช้ีวดัการจัดการเรียนการสอน การวดัและประเมินผลเพื่อ ตรวจสอบให้ข้อเสนอแนะเพื่อน ามาปรับปรุงแก้ไข ความเป็ นไปได้ในการน าไปใช้ ข้นัที่7 น าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการ พูด โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค TGT ที่ผู้วิจัยปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ


52 ของอาจารย์ที่ปรึกษาการศึกษาค้นคว้าอิสระ แล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านเพื่อตรวจพิจารณาและ ประเมินความสอดคล้องระหว่างสาระส าคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการ เรียนรู้ และการประเมินผล แล้วน าไปแก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่องตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ก่อนนา ไปใช้ซ่ึงผูเ้ชี่ยวชาญประกอบดว้ย 1. นางอมรรัตน์ อาจแรง ครูวิทยฐานะ ครูช านาญการพิเศษ โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) สังกัดส านักการศึกษา เทศบาลเมือง นครพนม กรมการส่งเสริมการปกครอง ท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย วุฒิการศึกษา ครุศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ผูเ้ชี่ยวชาญดา้นเน้ือหา 2. นายนครินทร์เหลือบุญชู ผู้อ านวยการโรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) สังกัดส านักการศึกษา เทศบาลเมืองนครพนม กรมส่งเสริมการปกครองท้องกระทรวงมหาดไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผล 3. อาจารย์มานะชัย แก้วสี ดวง อาจารย์ประจ าสาขาภาษาอังกฤษ คณะครุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม จังหวัดนครพนม วุฒิการศึกษา การศึกษามหาบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผู้เชี่ยวชาญด้าน หลักสูตรและการสอน ข้นัที่8 น าคะแนนประเมินแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เชี่ยวชาญประเมินแล้ว มา วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยเพื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่มีคุณภาพและความเหมาะสม ตามแบบมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของ Likert ซึ่งมี 5ระดับ โดยใช้เกณฑ์ดงัน้ี ค่าเฉลี่ย ความหมาย 4.50 – 5.00 คะแนน มีคุณภาพเหมาะสมมากที่สุด 3.50 – 4.49 คะแนน มีคุณภาพเหมาะสมมาก 2.50 – 3.49 คะแนน มีคุณภาพเหมาะสมปานกลาง 1.50 – 2.49 คะแนน มีคุณภาพเหมาะสมน้อย 1.00 – 1.49 คะแนน มีคุณภาพเหมาะสมน้อยที่สุด โดยให้ค่าเฉลี่ยระดบัคุณภาพและความเหมาะสมมีค่าต้งัแต่3.51ถึง 5.00ข้ึนไปเป็นเกณฑ์ พิจารณายอมรับว่าเป็ นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สามารถน าไปใช้ได้ ข้ันที่ 9 น าแผนการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้ มาปรับปรุ งแก้ไขตามข้อเสนอแนะของ ผู้เชี่ยวชาญ แล้วน าไปทดลองใช้ (Try out) กับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2/3 จ านวน 34 คน


53 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพื่อหาคุณภาพ ความเหมาะสม ด้านเวลา สื่อการเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ และนา ขอ้บกพร่องไปแกไ้ขก่อนนา ไปทดลองจริงกบั กลุ่มตัวอย่าง ข้นัที่10 น าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มาปรับปรุงแก้ไข จัดพิมพ์แผนการจัดกิจกรรม เป็ นฉบับสมบูรณ์ เพื่อน าไปใช้ทดลองจริงกับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 3.3.2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการ พูด โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2เป็ น แบบทดสอบปรนัยแบบอิงเกณฑ์ ชนิดเลือกตอบ 3 ตวัเลือก ซ่ึงมีข้นัตอนในการสร้าง ดงัน้ี ข้ันที่1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ข้นัที่2ศึกษาคา อธิบายรายวิชาและจุดมุ่งหมายของหลกัสูตร มาตรฐานการเรียนรู้ตวัช้ีวดั ขอบข่ายของเน้ือหาและเวลาจากหลกัสูตรสถานศึกษา โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) ตามหลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้ึนพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2 ประจ าภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 แล้วเลือก หน่วยการเรียน จ านวน 1 หน่วยไดแ้ก่หน่วยการเรียนรู้ที่2 เรื่อง Myself และท าการวิเคราะห์หลักสูตร ข้ันที่ 3 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ประจ าหน่วยการเรี ยนรู้ที่ 2 เรื่ อง Myself เพื่อเป็ น แนวทางในการสร้างแบบทดสอบ ตารางที่ 12 ความสัมพนัธ์ระหว่างเน้ือหาจุดประสงคก์ารเรียนรู้และจา นวนขอ้ สอบที่ตอ้งการ เนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้ จ านวนข้อสอบ ทั้งหมด ต้องการใช้จริง แผนที่ 1 How are you? 1. นักเรียนสามารถอ่านออกเสียงค าศัพท์ และ ประโยคสนทนาง่าย ๆ ได้ 2. นักเรียนสามารถตอบโต้ในประโยคง่าย ๆ ใน ชีวิตประจ าวันได้ 8 5


54 เนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้ จ านวนข้อสอบ ทั้งหมด ต้องการใช้จริง แผนที่ 2 Goodbye. 1. นักเรียนสามารถกล่าวค าอ าลาเมื่อจบทบท สนทนาได้ 2. นักเรียนสามารถพูดบอกความหมายเกี่ยวกับ สิ่งที่พูดได้ 3. นักเรี ยนสามารถเข้าใจค าศัพท์ที่ใช้ในการ สื่อสารได้ 6 5 แผนที่ 3 What’s your name? 1. นักเรียนสามารถตอบค าถามเกี่ยวกับชื่อของ ตนเองและผู้อื่นได้ 2. นักเรี ยนสามารถฟังและบอกความหมาย เกี่ยวกับเรื่องที่ฟังได้ 6 5 แผนที่ 4 It’s Tom’s cat. 1. นักเรียนสามารถตอบประโยคเกี่ยวกับการ แสดงความเป็นเจา้ของของสิ่งต่าง ๆ 2. นักเรียนสามารถบอกความหมายจากเรื่องที่ ฟังและพูดได้ 5 5 รวมทั้งหมด 25 20 ข้นัที่4ศึกษาหลักการ วิธีสร้าง และวิเคราะห์การเขียนข้อสอบวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย (สมนึก ภัททิยธนี. 2562) เพื่อศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบ การเขียนข้อสอบ และการตรวจสอบ คุณภาพของเครื่องมือ ข้นัที่5 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูด โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT ส าหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 2 เป็ นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จ านวน 20ข้อ เพื่อใช้เป็ นแบบทดสอบ ฉบับจริงจ านวน 20ข้อ ข้นัที่6 น าข้อสอบที่สร้างเสร็จแล้วเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาการศึกษาค้นคว้าอิสระเพื่อ พิจารณาตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมแล้วน ามาปรับปรุงแก้ไข ข้นัที่7 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ที่ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องแล้วเสนอ ต่อผู้เชี่ยวชาญ ชุดเดิม เพื่อประเมินข้อสอบแต่ละขอ้ สอดคลอ้งกบัเน้ือหาและจุดประสงคก์ารเรียนรู้ดงักล่าวหรือไม่


55 โดยผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนใช้วิธี ตรวจสอบความเที่ยงตรง หรื อหาค่า (Index of Item Objective Congruence : IOC) โดยมีเกณฑก์ารให้คะแนน ดงัน้ี ให้คะแนน +1เมื่อแน่ใจว่าขอ้ สอบน้นัวดัตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าขอ้ สอบน้นัวดัตรงตามจุดประสงคก์ารเรียนรู้ ให้คะแนน -1เมื่อแน่ใจว่าขอ้ สอบน้นัวดัไม่ตรงตามจุดประสงคก์ารเรียนรู้ ข้นัที่8 น าผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน แต่ละข้อกับจุดประสงค์การเรี ยนรู้มาวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง โดยใช้สูตร IOC (สมนึก ภัททิยธนี. 2562) เลือกข้อสอบที่มีค่า IOC ต้ังแต่.50 ถึง 1.00 ซึ่ งเป็ นข้อสอบที่อยู่ในเกณฑ์ความ เที่ยงตรงเชิงเน้ือหาที่ใชไ้ด้ ข้นัที่9 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่ผ่านการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญและ ปรับปรุงแล้วมาพิมพ์เป็ นฉบับร่าง ไปทดลองใช้ (Try out) กับประชากรที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง โดยผู้วิจัย น าไปทดลองกับช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2/3 จ านวน 34 คน โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยา นุสรณ์) ซึ่งเป็ นกลุ่มเดียวกับที่ทดลองใช้ (Try out) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มาแล้ว ข้นัที่10 น ากระดาษค าตอบที่ผู้เรียนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนมาวิเคราะห์หาค่า ความยากง่าย (p) ที่มีค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง .20ถึง .80 และหาค่าอ านาจจ าแนก (q) เป็ นรายข้อ โดยใช้วิธีของ Brennan แล้วคัดเลือกข้อสอบที่มีเกณฑ์ของค่าอ านาจจ าแนก (B) ต้งัแต่.20ถึง 1.00 ไว้ (สมนึก ภัททิยธนี. 2562) ข้นัที่11 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่คัดเลือกไว้ข้อมาวิเคราะห์หาค่าความ เชื่อมั่นของแบบทดสอบท้ังฉบับ ใช้เกณฑ์ค่าความเชื่อมั่น KR-20 (Khuder-Richardson-20) ของคู เดอร์-ริชาร์ดสันโดยตอ้งมีค่าต้งัแต่.70 (สมนึก ภัททิยธนี. 2562) ข้นัที่12 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ แล้วมา จัดพิมพ์เป็ นฉบับสมบูรณ์เพื่อน าไปใช้ในการทดลองจริงกับกลุ่มตัวอย่างต่อไป


56 3.3.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 ผูว้ิจยัไดด้า เนินการตามข้นัตอนการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ ซ่ึงมีข้นัตอนใน การสร้าง ดงัน้ี ข้ันที่1ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวกับการสร้างแบบสอบถามชนิดมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scale) ข้นัที่2ก าหนดกรอบที่จะประเมิน โดยแบ่งประเด็นที่จะประเมินเป็ น 4 ดา้น ดงัน้ี 1.) ด้านครูผู้สอน 2.) ดา้นเน้ือหา 3.) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 4.) ด้านการวัดและประเมินผล ข้ันที่3 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรี ยน ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) แบบ 3ระดับ (อุเทน ปัญโญ, 2553) คือ มาก ปานกลาง น้อย ข้นัที่4 สร้างแบบสอบถามตามที่ได้ศึกษาค้นคว้า จ านวน 25ข้อ ต้องการใช้จริง 20ข้อแล้ว เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาการศึกษาค้นคว้าอิสระ เพื่อตรวจพิจารณาความถูกต้องและความเหมาะสม ของภาษาและแต่ละข้อค าถามที่แสดงถึงความพึงพอใจ แล้วน ามาปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะ ข้ันที่ 5 น าแบบสอบถามความพึงพอใจที่ปรับปรุ งแล้ว เสนอผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมเพื่อ ตรวจสอบและพิจารณาลงความเห็นและให้คะแนน โดยใช้แบบประเมินที่ผูศ้ึกษาค้นควา้สร้างข้ึน นา ไปหาค่าดชันีความสอดคลอ้งระหว่างขอ้คา ถามกบัพฤติกรรมช้ีวดัดา้นความพึงพอใจของผู้เรียน โดยมีเกณฑใ์ห้คะแนน ดงัน้ี ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าขอ้คา ถามน้นัสอดคลอ้งกบัพฤติกรรมช้ีวดัดา้นความพึงพอใจของผูเ้รียน ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าขอ้คา ถามน้นัสอดคลอ้งกบัพฤตกิรรมช้ีวดัดา้นความพึงพอใจของผูเ้รียน ให้คะแนน -1เมื่อแน่ใจว่าขอ้คา ถามน้นัไม่สอดคลอ้งกบัพฤตกิรรมช้ีวดัดา้นความพึงพอใจของผูเ้รียน ข้นัที่6 น าแบบสอบถามความพึงพอใจที่ผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ แล้วมาวิเคราะห์ ขอ้มูลค่าดชันีความสอดคลอ้งระหว่างขอ้คา ถามกบัพฤติกรรมช้ีวดัดา้นความพึงพอใจของผูเ้รียนใช้ สูตร IOC (สมนึก ภัททิยธนี. 2562) เลือกข้อค าถามที่มีค่า IOC ต้งัแต่.50ถึง 1.00 ซึ่งเป็ นข้อค าถามที่ อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้


57 ข้ันที่7 น าแบบสอบถามความพึงพอใจที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้ (Try out) กับกลุ่ม ประชากรที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง โดยผูว้ิจัยน าไปทดลองกับช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2/3 จ านวน 34คน โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) ซึ่งเป็ นกลุ่มเดียวกับที่ทดลองใช้ (Try out) แผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้มาแลว้แลว้นา แบบสอบถามมาหาคุณภาพดงัน้ี 7.1 น าผลที่ได้มาวิเคราะห์มาหาคุณภาพรายข้อของแบบสอบถามความพึงพอใจ ของ ผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค TGT โดยการหาค่าอ านาจจ าแนก (rxy) โดยใช้ ค่าสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item-total Correlation) แล้ว คดัเลือกแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีค่าอา นาจจา แนกต้งัแต่.20 –1.00 7.2 นา แบบสอบถามความพึงพอใจที่หาค่าอา นาจจา แนกแล้วมาหาค่าความเชื่อมั่นท้ัง ฉบบัจะตอ้งมีค่าต้งัแต่.70 ด้วยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์ แอลฟา (α−Coefficient) จะตอ้งมีค่าต้งัแต่ .70ของ Cronbach จึงจะจดัไดว้่าเป็นขอ้คา ถามฉบบัน้ีมีความเชื่อมนั่สามารถนา ไปเก็บไดจ้ริงกบักลุ่ม ตัวอย่าง ข้ันที่8 น าแบบสอบถามความพึงพอใจจัดพิมพ์เป็ นฉบับสมบูรณ์ เพื่อน าไปใช้ในการ ทดลองจริงกับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 3.4รูปแบบการวิจัย การวิจยัคร้ังน้ีใช้รูปแบบการทดลองแบบกลมุ่เดียวที่มีการทดสอบก่อนและหลงัการทดลอง (One Group Pretest-Posttest Design) ตามแผนการทดลอง ดงัน้ี ตารางที่ 13 แบบแผนการวิจัย One Group Pretest-Posttest Design กลุ่ม Pretest treatment Posttest ทดลอง T1 X T2 เมื่อ X คือ การจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้รูปแบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค CIRC T1 คือ การทดสอบก่อนการทดลอง T2 คือ การทดสอบหลังการทดลอง และสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน


58 3.5การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจยัคร้ังน้ีเป็ นการศึกษาค้นคว้าแบบเชิงทดลอง ซึ่งผู้วิจัยได้ทดลองการสอนด้วยตนเอง กับผูเ้รียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2/2 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓(พินิจพิทยานุสรณ์) ในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 จ านวน 33คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ ห้องเป็ นหน่วยการสุ่ม ผู้วิจัยได้ท าการสอนรวมเวลา 4 ชั่วโมง โดยดา เนินการทดลองตามล าดับ ข้นัตอน ดงัน้ี 3.5.1 ช้ีแจงข้อตกลงในการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและพร้อมที่จะศึกษา 3.5.2 ทา การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) กับผู้เรียนกลุ่มตัวอย่างด้วยการท าแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT เรื่อง Myself ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2จ านวน 20ข้อ เพื่อทดสอบ ความรู้เดิมของผู้เรียนตรวจและบันทึกผลคะแนนไว้ 3.5.3 ด าเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สร้างข้ึน 3.5.4 เมื่อสิ้นสุดการสอนครบทุกแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แล้ว จึงท าการสอบหลัง เรียน (Post-test) โดยใชแ้บบทดสอบวดัผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนชุดเดียวกนักบัที่ใชท้ดสอบก่อนเรียน แต่สลับข้อค าตอบ จ านวน 20 ข้อ ตรวจและบันทึกผลคะแนนเพื่อน าไปเปรี ยบเทียบกับคะแนน ทดสอบก่อนเรียนและนา ขอ้มูลที่ไดไ้ปวิเคราะห์ต่อไป 3.5.5 ประเมินความพึงพอใจของนักเรียน โดยใช้แบบสอบถามความพึงพอใจ ของนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วย เทคนิค TGT และน าข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ต่อไป 3.5.6 หาประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือด้วยเทคนิค TGT ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรี ยนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) 3.5.7 หาค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค TGT ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) 3.5.8 ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ผู้วิจัยท าการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 โดยใช้เวลาทดลอง 4 ชวั่โมง (ไม่รวมเวลาทดสอบก่อนเรียนและหลงัเรียน)


59 3.6การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ 3.6.1การวิเคราะห์ข้อมูล ผูว้ิจยัไดท้า การวิเคราะห์ขอ้มูล ตามข้นัตอนต่อไปน้ี 1. หาคุณภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการฟัง การพูด โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT เรื่อง Myself ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2 ดา เนินการดงัน้ี 1.1วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแผนการจดักิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สถิติพ้ืนฐาน ไดแ้ก่ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคา นวณหาประสิทธิภาพของแผนการจดักิจกรรม การเรียนรู้โดยค่าอ านาจจ าแนก ตามเกณฑ์ 75/75 โดยใช้สูตร E1/E2 1.2 วิเคราะห์หาดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT ช้ันมัธยมศึกษาปีที่1 โดยใช้สูตรค านวณหาดัชนีประสิทธิผล (E.I.) 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนภาษาองักฤษ ของนกัเรียนระหว่างก่อนและหลงัการ จัดการเรียนรู้โดยโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2โดยใช้ t-test แบบ dependent samples 3. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2เรื่อง Myselfโดยรวมคะแนนแล้ววิเคราะห์ หาค่าเฉลี่ย น าไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ ซึ่งเป็ นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 3ระดับ โดยใช้ เกณฑก์ารแปลความหมาย ดงัน้ี(อุเทน ปัญโญ, 2553) คะแนน ความหมาย ระดับ 4 2.51 – 3.00 หมายถึง ความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ระดับ 3 1.51 – 2.49 หมายถึง ความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง ระดับ 2 0.00 – 1.49 หมายถึง ความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อย


60 3.6.2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาคน้ควา้คร้ังน้ีผูศ้ึกษาคน้ควา้ไดใ้ชส้ถิติในการวิเคราะห์ขอ้มูลดงัน้ี 1. สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ 1.1 หาความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา (Validity) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนโดย ใช้สูตรดัชนีค่าความสอดคล้อง IOC (IOC: Index of item objective congruence) (สมนึก ภัททิยธนี, 2562 ) ดงัน้ี IOC = ∑ R N เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ ∑ R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จ านวนผู้เชี่ยวชาญ 1.2 หาค่าความยากง่ายของแบบทดสอบ โดยใช้สูตร (สมนึก ภัททิยธนี, 2562) P = R N เมื่อ P แทน ค่าความยากของแบบทดสอบ R แทน จา นวนคนตอบถูกท้งัหมด N แทน จา นวนนกัเรียนท้งัหมด 0.81 –1.00 เป็ นข้อสอบที่ง่ายมาก 0.61 –0.80 เป็ นข้อสอบที่ค่อนข้างง่าย 0.41 –0.60 เป็ นข้อสอบที่ง่ายพอเหมาะ 0.20 –0.40 เป็ นข้อสอบที่ค่อนข้างยาก 0.00 –0.19 เป็ นข้อสอบที่ยากมาก


61 1.3 หาค่าอ านาจจ าแนกรายข้อของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน โดยใช้สูตร ของ Brennan เรียกว่า ดัชนี B (B-Index) (สมนึก ภัททิยธนี, 2562) ดงัน้ี B = U N1 − L N2 เมื่อ B แทน ค่าอ านาจจ าแนก U แทน จ านวนผู้รอบรู้ (สอบผ่านเกณฑ์) ที่ตอบถูก L แทน จ านวนผู้ไม่รอบรู้ (สอบไม่ผ่านเกณฑ์) ที่ตอบถูก N1 แทน จา นวนผูร้อบรู้ท้งัหมด N2 แทน จา นวนผูไ้ม่รอบรู้ท้งัหมด 1.4 หาค่าความเชื่อมนั่(Reliability) ของแบบทดสอบวดัผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท้ังฉบบั โดยใช้สูตรของLovett (สมนึก ภัททิยธนี,2562) ดงัน้ี rcc = 1 − n ∑ X−∑ X 2 (n−1)∑(X−C) 2 เมื่อ rcc แทน ความเชื่อมนั่ของแบบทดสอบอิงเกณฑ์ n แทน จา นวนของแบบทดสอบท้งัฉบบั X แทน คะแนนสอบของนักเรียนแต่ละคน C แทน คะแนนจุดตัด (ควรใช้เกณฑ์การผ่าน 60% - 80%) 1.5 หาค่าอ านาจจ าแนกของแบบสอบถามความพึงพอใจเป็ นรายข้อ โดยใช้วิธี Item – total Correlation ใช้สูตรสหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน (สมนึก ภัททิยธนี, 2562) ดงัน้ี rxy = N ∑ XY − ∑ X ∑ Y √[N ∑ X 2 − (∑ X) 2 ][N ∑ Y 2 − (∑ Y) 2 ] เมื่อ rxy แทน สัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร X กับ Y ∑ X แทน ผลรวมท้งัหมดของค่าตวัแปร X


62 ∑ Y แทน ผลรวมท้งัหมดของค่าตวัแปร Y ∑ XY แทน ผลรวมท้งัหมดของค่าตวัแปร X และ Y คูณกันแต่ละคู่ ∑ X 2 แทน ผลรวมท้งัหมดของค่าตวัแปร X แต่ละตัว ยกก าลังสอง ∑ Y 2 แทน ผลรวมท้งัหมดของค่าตวัแปร Y แต่ละตัว ยกก าลังสอง N แทน จา นวนสมาชิกในกลุ่มท้งัหมด 1.6การหาความเชื่อมนั่ของแบบสอบถามความพึงพอใจท้งัฉบบัโดยใชค้ ่าสัมประสิทธ์ิแอลฟา (α −Coefficient) ของ Cronbach (ประสาท เนืองเฉลิม,2560) โดยใช้สูตร α = n n−1 [1 − ∑ Si 2 St 2 ] เมื่อ α แทน ค่าความเชื่อมนั่ของแบบสอบถาม N แทน จา นวนขอ้ของแบบสอบถามท้งัฉบบั Si 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรายข้อ St 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรายฉบับ 2. สถิติพื้นฐาน 2.1 ร้อยละ (Percentage) ใชสู้ตรดงัน้ี(ประสาท เนืองเฉลิม,2560) P = f N × 100 เมื่อ P แทน ร้อยละ f แทน ความถี่หรือจ านวนข้อมูลที่ต้องการแปลให้เป็ นร้อยละ N แทน จา นวนความถี่หรือจา นวนขอ้มูลท้งัหมด


63 2.2 ค่าเฉลี่ย (Mean) ใชสู้ตรดงัน้ี(ประสาท เนืองเฉลิม.2560) X̅ = ∑ X N เมื่อ X̅ แทน ค่าเฉลี่ย ∑ X แทน ผลรวมของคะแนนทุกตัว N แทน จ านวนสมาชิกในกลุ่มตัวอย่าง 2.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) (ประสาท เนืองเฉลิม. 2560) S.D. = √ N ∑ X 2−(∑ X) 2 N(N−1) เมื่อ S. D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนของแต่ละคน ∑ X แทน ผลรวมของคะแนน N แทน จา นวนคนท้งัหมด 3. การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามเกณฑ์ 75/75 โดยใช้สูตร E1 /E2 ดงัน้ี(ประสาท เนืองเฉลิม,2560) 3.1 ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1 ) E1 = ∑ x N A × 100 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนทุกส่วน A แทน คะแนนเต็มของทุกส่วน N แทน จ านวนผู้เรียน


64 3.2 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2 ) E2 = ∑ x N B × 100 เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของการสอบหลังเรียน N แทน จ านวนผู้เรียน 4. การหาดัชนีประสิทธิผล (E.I.)ของแผนการจดักิจกรรมการเรียนรู้ใชสู้ตรดงัน้ี (ประสาท เนืองเฉลิม. 2560) E.I. = ผลรวมคะแนนทดสอบหลังเรียน−ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรียน (จ านวนนักเรียน×คะแนนเต็ม)−ผลรวมคะแนนทดสอบกอ่นเรียน 5. สถิติที่ใชท้ดสอบสมมติฐาน ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยก่อนเรียนและหลงัเรียน โดยใชสู้ตร t-test (dependent sample) (บุญชม ศรีสะอาด และคณะ, 2553) t = ∑ D √ n ∑D2−(∑D)2 n−1 เมื่อ df = n-1 เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่ใช้ในการพิจารณาใน t-distribution D แทน ผลต่างของคะแนนแต่ละคน n แทน จ านวนกลุ่มตัวอย่าง ∑D แทน ผลรวมของผลต่างของคะแนน ∑D 2 แทน ก าลังสองของผลต่างระหว่างข้อมูลแต่ละคู่ (∑D) 2 แทน ผลรวมของผลต่างของคะแนนท้งัหมดยกกา ลงัสอง df แทน องศาหรือช้นัความเป็นอิสระ


65 ซ่ึงในการใชส้ถิติทดสอบสมมติฐานน้ีไดม้ีขอ้จา กดัอยปู่ระการหน่ึงคือจา นวนกลุ่มตวัอยา่ง ต้องมีจ านวนมากกว่าหรือเท่ากับ 30 คนข้ึนไป จึงจะใชไ้ด้ 6. การหาค่าความเชื่อมนั่(Reliability) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน โดยใช้วิธีหา KR20 ของคูเตอร์-ริชาร์ดสัน (Khunder-Richardson) (สมนึก ภัททิยธนี, 2562: 220-221) สูตร Khunder-Richardson (KR-20) KR-20: Rtt= −1 [1 ∑ 2 ] เมื่อ r แทน สัมประสิทธ์ิความเชื่อมนั่แบบวดั K แทน จ านวนข้อสอบในการวัด P แทน ความยากง่ายของข้อสอบแต่ละข้อ(สัดส่วนที่ตอบถูก) q แทน สัดส่วนที่ตอบผิด (1-p) S 2 แทน ความปรวนแปรของคะแนนรวมของแบบทดสอบ


66 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห ์ ข้อมูล การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้ การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) ส าหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 โรงเรียน ชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) ผู้ศึกษาค้นคว้า ได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามล าดับ ดงัน้ี 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.2ลา ดบัข้นัตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้มูล 4.3ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ก าหนดความหมายของสัญลักษณ์ในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้เกิด ความเข้าใจในการแปลความหมาย และน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลให้ถูกต้อง ตลอดจนการสื่อ ความหมายข้อมูลที่ตรงกัน ผูว้ิจยัไดก้า หนดสัญลกัษณ์ที่ใชใ้นการวิเคราะห์ขอ้มูล ดงัน้ี x̅ แทน ค่าเฉลี่ย % แทน ร้อยละ S.D. แทน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) n แทน จ านวนกลุ่มตัวอย่าง E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ E.I. แทน ค่าดัชนีประสิทธิผล(Effectiveness Index) 4.2 ล าดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลผลการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดโดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) ส าหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) ผู้วิจัยได้ด าเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ตามลา ดบั3ข้นัตอน ดงัน้ี


67 ตอนที่ 1 น าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาประสิทธิภาพของของแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เท ค นิ ค TGT (Teams – Games -Tournaments) ส าหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 ตอนที่ 2 น าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) ส าหรับนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 ตอนที่ 3 เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนภาษาองักฤษก่อนเรียนและหลงัเรียน โดยใช้ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 ตอนที่ 4 น าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลความพึงพอใจของนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 ที่ มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) เพื่อ พัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 น าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาประสิทธิภาพของของแผนการจัดการ เรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่ม ร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์75/75 ตารางที่ 14 ตารางแสดงผลการหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 ที่ คะแนน ก่อนเรียน คะแนนแบบฝึ กหัดระหว่างเรียน/แผน คะแนน หลังเรียน 1 2 3 4 รวม 20 10 10 10 10 40 20 1 9 8 7 7 6 28 17 2 13 10 10 5 10 35 18 3 6 9 9 9 8 35 17


68 ที่ คะแนน ก่อนเรียน คะแนนแบบฝึ กหัดระหว่างเรียน/แผน คะแนน หลังเรียน 1 2 3 4 รวม 20 10 10 10 10 40 20 4 10 10 9 8 7 34 16 5 13 10 9 8 9 36 18 6 12 9 9 7 8 33 19 7 11 9 8 6 1 24 19 8 13 10 9 8 8 35 18 9 12 10 8 5 10 33 16 10 7 10 9 5 8 32 17 11 12 8 10 8 7 33 16 12 11 8 9 9 9 35 18 13 12 8 10 5 7 30 19 14 5 9 9 6 9 33 17 15 12 10 10 5 8 33 15 16 10 10 9 7 5 31 16 17 8 9 9 4 10 32 18 18 3 10 9 8 8 35 15 19 8 10 8 5 9 32 15 20 8 10 9 5 8 32 16 21 9 8 10 8 7 33 14 22 2 8 9 9 9 35 17 23 3 8 10 5 7 30 15 24 9 9 9 6 9 33 17 25 8 10 10 5 8 33 17 26 8 9 9 9 8 35 18 27 6 10 9 8 7 34 19 28 9 10 9 8 9 36 17 29 9 9 9 7 8 33 18


69 ที่ คะแนน ก่อนเรียน คะแนนแบบฝึ กหัดระหว่างเรียน/แผน คะแนน หลังเรียน 1 2 3 4 รวม 20 10 10 10 10 40 20 30 7 8 10 5 7 30 15 31 5 9 9 6 9 33 11 32 8 10 10 5 8 33 11 33 10 10 9 7 5 31 18 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ∑X 288 305 301 221 261 1080 547 X̅ 8.72 9.24 9.12 6.70 7.90 32.73 16.58 S.D. 2.30 0.83 0.697 1.65 1.70 2.44 1.97 % 43.60 92.42 91.21 66.97 79.09 81.82 82.88 ค่าประสิทธิภาพ E1 /E2= 81.82/82.88 จากตารางที่ 14 พบว่า แผนการจัดการเรี ยนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games - Tournaments) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 81.82/82.88 ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์ ที่ก าหนดไว้คือ 75/75 ตอนที่ 2 น าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) ส าหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 ตารางที่15 ตารางแสดงดัชนีประสิทธิผลของของแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 คะแนน กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ (TGT) จ านวนนักเรียน คะแนนเต็ม ผลรวมคะแนน E.I. ก่อนเรียน 33 20 288 0.6962


70 หลังเรียน 33 20 547 สรุปค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) 0.6962 หรือคิดเป็ นร้อยละ 69.62 ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) = ผลรวมคะแนนทดสอบหลังเรียน−ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรียน (จ านวนนักเรียน×คะแนนเต็ม)−ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรียน = 547−288 (33×20)−288 = 259 372 = 0.6962 จากตารางที่15 พบว่า ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) ส าหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 มีค่า เท่ากับ 0.6962 แสดงให้เห็น การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดโดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) ส าหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 2 ท าให้นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียน คิดเป็ นร้อยละ 69.62 ตอนที่ 3 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 หลงัจากที่ไดใ้ห้กลุ่มตวัอย่างทา แบบทดสอบก่อนเรียนและเรียนรู้จนครบตามกระบวนการ จัดการเรียนรู้ตลอดจนท าแบบทดสอบหลังเรียน ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าน าผลลัพธ์ที่ได้ มาวิเคราะห์เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิก่อนเรียนและหลงัเรียน ซ่ึงสรุปไดด้งัตารางที่ 16 ตารางที่ 16 ตารางแสดงผลการเปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 2 ระหว่างเรียนกับหลังเรียน ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) คะแนน จ านวน นักเรียน คะแนนเต็ม ̅ S.D. t Sig ก่อนเรียน 33 20 8.72 2.30 1.69 1.45 หลังเรียน 33 20 16.58 1.97 *มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05


71 จากตารางที่16 พบว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2ระหว่าง เรียนกับหลังเรียน ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) หลงัเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอยา่งมีนยัสา คญัทางสถิติที่ระดบั .05 ตอนที่ 4 น าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 ที่มี ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) เพื่อ พัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยได้น าคะแนนความคิดเห็นของนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและ การพูดภาษาอังกฤษ โดยได้ท าการสอบถามหลังการทดลอง (Posttest) แล้วน าคะแนนมาค านวณและ วิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มีรายละเอียดดงัตารางต่อไปน้ี ตารางที่17 แสดงจ านวนและร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามจ าแนกเพศ เพศ จ านวน ร้อยละ ชาย 17 51.52 หญิง 16 48.48 รวม 33 100.0 ตารางที่ 18 ตารางสรุปผลวิเคราะห์ข้อมูลของแบบสอบถามความพึงพอใจหลังจากการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่ม ร่วมมือ เทคนิค TGT สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 ข้อ รายการประเมิน ระดับความพึงพอใจ ̅ S.D. แปลผล ด้านครูผู้สอน 1. ครูผูส้อนช้ีแจงกิจกรรมการเรียนรู้ไดอ้ยา่งชดัเจน 2.84 0.37 มาก 2. ครูผูส้อนให้คา ปรึกษาแนะนา ผูเ้รียนไดอ้ยา่งทวั่ถึง 2.69 0.46 มาก 3. ครูผู้สอนส่งเสริมให้นักเรียนมีความกระตือรือร้น ในการเรียนรู้ 2.63 0.49 มาก 4. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูผู้สอนมีความทันสมัย 2.78 0.42 มาก 5. รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูมีความน่าสนใจ 2.69 0.46 มาก ด้านเนื้อหา 6. เน้ือหาเรียงลา ดบัจากง่ายไปสู่ยาก 2.75 0.44 มาก


72 ข้อ รายการประเมิน ระดับความพึงพอใจ ̅ S.D. แปลผล 7. เน้ือหามีความถกูตอ้งและครอบคลมุ 2.62 0.49 มาก 8. การจดัเน้ือหาเหมาะสมกบัเวลาเรียน 2.69 0.46 มาก 9. เน้ือหา ภาษารูปแบบตรงกบัความสนใจของผูเ้รียน 2.72 0.46 มาก 10. ความยากง่ายของเน้ือหาเหมาะสมกบัความสามารถ ของผู้เรียน 2.62 0.49 มาก ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 11. การจดักิจกรรมการเรียนรู้เป็นไปตามลา ดบัข้นัตอน 2.75 0.44 มาก 12. ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการท ากิจกรรมร่วมกัน 2.66 0.48 มาก 13. ผู้เรียนได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน 2.65 0.48 มาก 14. ผู้เรียนได้ฝึ กทักษะการใช้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ 2.71 0.46 มาก 15. การการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) เพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดภาษาอังกฤษท าให้ทักษะการฟังและ การพูดภาษาองักฤษของนกัเรียนดีข้ึน 2.33 0.48 ปาน กลาง ด้านการวัดและประเมินผล 16. การวดัและประเมินผลไดค้รอบคลุมเน้ือหาที่เรียน 2.66 0.48 มาก 17. การวัดและประเมินผลมีความยุติธรรม 2.75 0.44 มาก 18. ผู้เรียนทราบผลการเรียนรู้ของตนเองและกลุ่ม 2.72 0.46 มาก ด้านการวัดและประเมินผล 19. มีการวัดและประเมินผลการเรียนของนักเรียนเป็ น รายบุคคล 2.66 0.48 มาก 20. มีการวัดและประเมินผลการเรียนของนักเรียนเป็ นรายกลุ่ม 2.69 0.46 มาก รวมเฉลี่ย 2.69 0.46 มาก จากตารางที่ 18 พบว่า พบว่าความพึงพอใจของนกัเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 ที่มีต่อการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) เพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยรวมมีความพึงพอใจ ในระดับมาก (̅ = 2.69, S.D. = 0.46) เมื่อ พิจารณาเป็ นรายการพบว่านักเรียนมีความพึงพอใจสูงสุด คือ รายการที่ 11การจัดกิจกรรมการเรียนรู้


73 เป็นไปตามลา ดบัข้นัตอน ( (̅ = 2.75, S.D. = 0.44) และรายการที่ 17 การวัดและประเมินผลมีความ ยุติธรรม (̅ = 2.75, S.D. = 0.44) หมายความว่า มีความพึงพอใจมาก และต ่าสุด คือ รายการที่ 15 การการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) เพื่อ พัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษท าให้ทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียน ดีข้ึน ( (̅ = 2.33, S.D. = 0.48) หมายความว่า มีความพึงพอปานกลาง


74 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ การศึกษาค้นควา้คร้ังน้ีเป็นศึกษาการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษเพื่อ พัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) ส าหรับ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2ผูศ้ึกษาคน้ควา้นา เสนอผลสรุปของการดา เนินการศึกษาอภิปรายผล และขอ้เสนอแนะ ตามลา ดบัต่อไปน้ี 5.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 5.2 วิธีด าเนินการวิจัย 5.3 สรุปผลการวิจัย 5.4 อภิปรายผลการวิจัย 5.5 ข้อเสนอแนะในการวิจัย 5.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games - Tournaments) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2. เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและ การพูดภาษาอังกฤษ 5.2 วิธีด าเนินการวิจัย 5.2.1 ก าหนดประชากรที่ใช้ในการวิจยัในคร้ังน้ีคือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 จ านวน 3 ห้องเรียน รวมท้งัสิ้นจา นวน 101คน ที่ก าลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 โรงเรียน ชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) สังกัดส านักการศึกษา เทศบาลเมืองนครพนม กรมส่งเสริมการ ปกครองทอ้งถิ่น กระทรวงมหาดไทย


75 5.2.2 ก าหนดกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในคร้ังน้ีคือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2/2 จ านวน 33คน ที่ก าลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 โรงเรียน ชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจ พิทยานุสรณ์) สังกัดส านักการศึกษา เทศบาลเมืองนครพนม กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ด้วยวิธีการจับ สลากโดยใช้ห้องเรียนเป็ นหน่วยการสุ่ม 5.2.3 เน้ือหาที่ใช้ในการวิจยัเป็นเน้ือหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ รายวิชา ภาษาอังกฤษ (อ12101) ตามหลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551 เรื่อง Myself จ านวน 4 แผน เวลา 4 ชวั่โมงอันประกอบด้วย 1. Lesson: 2 How are you? 2. Lesson: 3 Goodbye. 3. Lesson: 4 What’s your name? 5. Lesson: 5 It’s Tom’s cat. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใชใ้นการวิจยัคร้ังน้ีแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ก่ 1. เครื่องมือที่ใชใ้นการทดลอง ไดแ้ก่แผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและ การพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games - Tournaments) ส าหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 รายวิชาภาษาอังกฤษ (อ12101) ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เรื่อง Myself จา นวน 4 แผน เวลา 4 ชั่วโมง อัน ประกอบด้วย 1. Lesson: 2 How are you? 2. Lesson: 3 Goodbye. 3. Lesson: 4 What’s your name? 5. Lesson: 5 It’s Tom’s cat. 2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลและประเมินผลการทดลองไดแ้ก่ 2.1 แบบทดสอบวดัผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 เป็ นแบบทดสอบปรนัย 3 ตัวเลือก 1 ฉบับ จ านวน 20 ข้อ 20 คะแนนเต็ม 2.2 แบบสอบถามความพึงพอใจ ต่อการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนา ทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2แบบวัดมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 3 ระดับ จ านวน 1 ฉบับ จ านวน 20 ข้อ การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยคร้ังน้ีผูว้ิจัยได้ดา เนินการทดลองตามแผนการวิจัย แบบมีกลุ่มทดลองและกลุ่ม


76 ตวัอยา่ง มีการทดสอบก่อนและหลงัการทดลอง(Nonrandomized Control Group Post-Test Design) มี การรวบรวมขอ้มูล ดงัต่อไปน้ี 1. ทดสอบก่อนเรียนโดยการทดสอบท้งั 2 กลุ่ม ด้วยแบบวัดวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 เป็นแบบทดสอบปรนัย 3 ตัวเลือก 1 ฉบับ จา นวน 20 ข้อ 20 คะแนนเต็ม ใช้เวลา 40 นาที 2. ด าเนินการสอนตามวิธีการการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments)กับกลุ่มทดลอง ผู้วิจัยเป็ นผู้สอนด้วยตนเองตามแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อ พัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) เรื่อง Myself จ านวน 4แผน เวลา 4 ชวั่โมง อันประกอบด้วย 1. Lesson: 2 How are you? 2. Lesson: 3 Goodbye. 3. Lesson: 4 What’s your name? 5. Lesson: 5 It’s Tom’s cat. 3. ภายหลงัเสร็จสิ้นการจดัการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง Myself จ านวน 4 แผน เวลา 4 ชั่วโมง แล้วดา เนินการทดสอบภายหลังการจัดการเรียนรู้ด้วย แบบวัดวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ของนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 เป็นแบบทดสอบปรนยั3 ตวัเลือก1 ฉบบัจา นวน 20 ข้อ 20 คะแนนเต็ม ใช้เวลา 40 นาที การวิเคราะห์ข้อมูล 1. วิเคราะห์เปรียบเทียบความสามารถในการฟังและการพูดภาษาองักฤษ ก่อนและหลงัเรียน การเรี ยนรู้ โดยการใช้การจัดจัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่ วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games - Tournaments)แบบเป็ นอิสระจากกัน (t-test Dependent Sample) 2. วิเคราะห์ผลการประเมินความพึงพอใจของนกัเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัด จัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) สถิติที่ใช้ในคือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 5.3 สรุปผลการวิจัย 5.3.1 ประสิ ทธิ ภาพของแผนการจัดการเรี ยนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games - Tournaments) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 81.82/82.88 ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์ ที่ก าหนดไว้คือ 75/75


77 5.3.2 การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการ จัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) ส าหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 2 มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.6962 โดยมีผลรวมของคะแนนแบบทดสอบก่อน เรียน เท่ากับ 288 และผลรวมของคะแนนแบบทดสอบหลังเรียน เท่ากับ 547 สรุปได้ว่าการจัดการ เรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่ม ร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) ส าหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 ท าให้ ทักษะการฟังและการพูดภาษาองักฤษของนกัเรียนเพิ่มข้ึนร้อยละ69.62 5.3.3 นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 ที่ได้เรียนโดยการใช้การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ระหว่างเรียนกบัหลงัเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5.3.4 ความพึงพอใจของนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ กลุ่มร่ วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษ โดยรวมมีความพึงพอใจ ในระดับมาก (X ̅ = 2.69, S.D. = 0.46) เมื่อพิจารณาเป็ น รายการพบว่านักเรี ยนมีความพึงพอใจสูงสุด คือ รายการที่ 11 การจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้เป็ นไป ตามลา ดบัข้นัตอน ( (X ̅ = 2.75, S.D. = 0.44) และรายการที่ 17 การวัดและประเมินผลมีความยุติธรรม (X ̅ = 2.75, S.D. = 0.44) หมายความว่า มีความพึงพอใจมาก และต ่าสุด คือ รายการที่ 15 การการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) เพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดภาษาองักฤษทา ให้ทกัษะการฟังและการพูดภาษาองักฤษของนักเรียนดีข้ึน ( (X ̅= 2.33, S.D. = 0.48) หมายความว่า มีความพึงพอปานกลาง 5.4 อภิปรายผลการวิจัย จากการศึกษาการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการฟัง และการพูดโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษา ปี ที่ 2 สามารถอภิปรายผลได้ดงัน้ี 1. ประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการฟัง และการพูดโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษา ปี ที่ 2 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.82/82.88 ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์ 75/75 ที่ก าหนดไว้ หมายความว่า คะแนนเฉลี่ยจากการท าแบบฝึ กหัดของนักเรียนคิดเป็ นร้อย ละ 81.82 ของคะแนนเต็ม และผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรี ยนคิด เป็ นร้อยละ 82.88


78 ของคะแนนเต็ม แสดงว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการฟังและ การพูดโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.82/82.88 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่กา หนดไว้การที่ไดข้อ้ สรุปเช่นน้ีเนื่องมาจากแผนการจดัการเรียนรู้ที่ผูว้ิจยัสร้างข้ึนได้ผ่าน ข้นัตอนการสร้างอย่างมีระบบและถูกตอ้งตามหลกัวิธีการสร้างโดยเริ่มต้งัแต่การศึกษาเอกสารกลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เอกสารที่เกี่ยวข้องกับ การจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ การวิเคราะห์ เน้ือหาในแต่ละแผน การสอนที่ยึดผูเ้รียนเป็นส าคัญและกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาองักฤษที่ ผูว้ิจยัสร้างข้ึน มีกิจกรรมเกมที่เหมาะสมกบัวยัเน้ือหา ภาษาและการจดัรูปแบบการสอนโดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) ได้ตรงกับความสนใจ และความต้องการของนักเรียน ซึ่ งสอดคล้องกับงานวิจัยของ มัลลิกา มานันที และสุทธิพร บุญส่ง (2559) ได้ท าการวิจัย การ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่จัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิคกลุ่ม แข่งขัน (TGT) กบัการจดัการเรียนรู้แบบปกติสา หรับนกัเรียนช้นัมธัยมศึกษาปีที่3 โดยมีวัตถุประสงค์ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษ เรื่องวัฒนธรรมประเทศตะวันตก ที่จัดการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิคกลุ่มแข่งขัน (TGT) กับการจัดการเรี ยนรู้แบบปกติ 2) เพื่อเปรี ยบเทียบ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ก่อนและหลงัเรียนรายวิชาภาษาองักฤษ ที่จดัการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค กลุ่มแข่งขัน (TGT) กับการเรียนรู้แบบปกติส าหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ศูนย์อ านวยการ เครือข่ายกุสุมาลย์ 2 ด าเนินการทดลองตามแบบแผนการวิจัยกึ่งทดลอง ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ไดแ้ก่นักเรียนช้ันมธัยมศึกษาปีที่3/2 จ านวน 30 คน กลุ่มทดลองได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มแข่งขัน (TGT) และกลุ่มควบคุมนักเรียนมัธยมศึกษาปี ที่ 3/1 จ านวน 30 คน กลุ่มควบคุม ทดลอง ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ ใช้ระยะเวลา 12 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั ไดแ้ก่ แผนการจัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่ วมมือเทคนิคกลุ่มแข่งขัน ( TGT) มีค่าประสิ ทธิภาพ E1/E2 =70.00/74.44 2. ดัชนี ประสิ ทธิ ผลของแผนการจัดการเรี ยนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games - Tournaments) ส าหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 มีค่าเท่ากับ 0.6962 หรือคิดเป็ นร้อยละ 69.62 หมายความว่า แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้การ จัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) ส าหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีที่2 ทา ให้นกัเรียนมีคะแนนเพิ่มข้ึนร้อยละ 69.62 เป็ นเพราะว่าผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) มาเป็ นสื่อกลาง ซึ่งเด็กจะเรียนรู้ได้ดี น้นัจะตอ้งเป็นเรื่องที่สนุกสนาน ตื่นเตน้และไม่น่าเบื่อ พร้อมได้ท างานและเรียนรู้ไปพร้อมกับเพื่อน


79 โดยค าศัพท์และประโยคที่นา มาสอนส่วนใหญ่จะอยู่ในเน้ือหาบทเรียน ซึ่งล้วนเป็ นประโยคที่ง่าย ๆ และใช้ในชีวิตประจ าวันได้จริง เกมที่ผู้วิจัยได้เลือกมาจัดกิจกรรมก็เป็ นเรื่องที่สนุกในลักษณะที่ นักเรียนต้องเคลื่อนไหว และส่งเสริมให้นักเรียนท างานร่วมกันเป็ นทีม จากการสังเกตและจดบันทึก ของผู้วิจัยขณะท าการสอนพบว่านักเรียนมีความกระตือรือร้น มีส่วนร่วมท ากิจกรรมและเรียนด้วย ความสนุกสนานมากข้ึน ท าให้นักเรียนมีความสุขกับการเรียนอย่างมาก 3. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 ระหว่างเรียนกับหลังเรียน ด้วย การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดบั.05อาจเนื่องมากจาก การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) เป็ นกิจกรรมการเรียนรู้ ที่มีการจัดกลุ่มนักเรียนโดยการแบ่งแยกนักเรียนตามเพศ และความเก่ง ซ่ึงจะทา ให้ผูเ้รียนเกิดความ กระตือรือร้น ในการเรียนเนื่องจากมีเพื่อนที่พร้อมจะเรียนรู้และแข่งขันเกมไปพร้อมกัน เพื่อให้ได้มา ซึ่ งชัยชนะของทีม ในการส่งเสริมช่วยเหลือในการฟังและการพูดภาษาอังกฤษควบคู่กันไป เห็น ประโยชน์ของการท างานร่วมกับผู้อื่น และพัฒนาตนเอง และปฏิบัติกิจกรรมให้ประสบผลส าเร็จตาม วัตถุประสงค์ซึ่ งก็คือ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียน ทักษะทางสังคม การท างาน ร่วมกับผู้อื่น การยอมรับเพื่อร่วมงาน และลดการแข่งขัน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ พิมพ์ธนดา จารึกพูนผล และไพศาล สิมาเลาเต่า (2560) ได้ท าการศึกษาเรื่อง เรื่องการสอนแบบ TGT ด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชาภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนรู้ค าศัพท์ ส าหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่3 โรงเรียนทัพหลวง (หลวงพ่ออุปถัมภ์) โดยผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนที่ เรียนด้วยการสอนแบบ TGT ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สูงกว่าอย่างมีนัยส าคัญ ที่ระดับ .05 และยังสอดคล้องกับง่ายวิจัยของ มัลลิกา มานันที และสุทธิพร บุญส่ง (2559) ได้ท าการวิจัย การ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่จัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิคกลุ่ม แข่งขัน (TGT) กบัการจดัการเรียนรู้แบบปกติส าหรับนักเรียนช้ันมธัยมศึกษาปีที่3ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรายวิชาภาษาองักฤษของนกัเรียนช้นัมธัยมศึกษาปีที่3 โรงเรียนนาเพียงสว่าง นุกูล 2 กลุ่ม มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ .05 และ ยังมีความสอดคล้องกับงานวิจัยของ เกศรา อินทนนท์ (2557) ได้ท าการวิจัย เรื่องทักษะการพูด ภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันมธัยมศึกษาปีที่2 ที่ไดร้ับการจดัการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ TGT test ผลการวิจัยพบว่า 1) ภายหลังที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ TGT นักเรียนมีทักษะการพูด ภาษาองักฤษ แตกต่างจากก่อนไดร้ับการจดัการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ TGT อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่0.01 โดยที่คะแนนหลงัเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน 4. ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 ที่มีต่อการจดักิจกรรมการเรียนรู้แบบ กลุ่มร่ วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด


80 ภาษาอังกฤษ โดยรวมมีความพึงพอใจ ในระดับมาก (X ̅ = 2.69, S.D. = 0.46) เมื่อพิจารณาเป็ น รายการพบว่านักเรียนมีความพึงพอใจสูงสุด คือ รายการที่ 11 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็ นไป ตามลา ดบัข้นัตอน ( (X ̅ = 2.75, S.D. = 0.44) และรายการที่ 17 การวัดและประเมินผลมีความยุติธรรม (X ̅ = 2.75, S.D. = 0.44) หมายความว่า มีความพึงพอใจมาก และต ่าสุด คือ รายการที่ 15 การการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT (Teams – Games -Tournaments) เพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดภาษาองักฤษทา ให้ทกัษะการฟังและการพูดภาษาองักฤษของนักเรียนดีข้ึน ( (X ̅= 2.33, S.D. = 0.48) หมายความว่า มีความพึงพอปานกลาง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ พิมพ์ธนดา จารึกพูนผล และไพศาล สิมาเลาเต่า (2560) ได้ท าการวิจัย เรื่องการสอนแบบ TGT ด้วยบทเรี ยน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชาภาษาองักฤษเพื่อการเรียนรู้คา ศพัท์ส าหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่3 โรงเรียนทัพหลวง (หลวงพ่ออุปถัมภ์) นักเรียน โดยผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการ เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ในระดับ 4.61 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.51 ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนา ทักษะการฟังและการพูดโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) สา หรับนกัเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรี ยนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) ท าให้นักเรี ยนมีส่วนร่วมใน กิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนเกิดความกระตือรือร้น และช่วยส่งเสริมทักษะการฟังและการพูโภาษา อังกฤษได้เป็ นอย่างดี อีกท้งันักเรียนยงัสามารถนา คา ศพัท์ภาษาองักฤษไปประยุกต์ใช้ในอนาคต อนั ก่อให้เกิดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนตามที่มุ่งหวงันอกจากน้ีการใช้เกมประกอบการสอนยงัส่งเสริมให้ นักเรียนสร้างปฏิสัมพันธ์อันดีในหมู่คณะ


81 5.5 ข้อเสนอแนะในการวิจัย 1. ขอ้เสนอแนะทวั่ ไป 1.1ครูผู้สอนที่น าแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชา ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) ส าหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) ควร ศึกษากระบวนการที่ใช้ในการสอนให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อจะได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ 1.2การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการฟัง และการพูดโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) สา หรับนกัเรียนช้นั ประถมศึกษา ปีที่2สามารถใชเ้กมไดห้ลากหลายข้ึนอยกู่บัผูส้อนเพื่อเพิ่มความน่าสนใจมากยิ่งข้ึน 1.3ควรจัดบรรยากาศเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ผู้สอนควรจัดห้องเรียนให้น่าเรียนมี อุปกรณ์ที่จ าเป็ นและอ านวยความสะดวกในการจัดกิจกรรม 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยต่อไป 2.1 ควรศึกษาเปรี ยบเทียบความสามารถในการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้วิชา ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) ส าหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) กับ วิธีการสอนแบบอื่น เพื่อศึกษาว่าวิธีการสอนแบบใดที่จะช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษสูงกว่าจะทา ให้วิธีการน้นัๆ มาเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ต่อไป 2.2ควรมีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับผลการสอนการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชา ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือโดยใช้ เทคนิคอื่นที่แตกต่างกันออกไป 2.3ควรมีการศึกษาการจัดการเรียนรู้การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษโดย การใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (TGT) ประกอบการสอนกับกลุ่มตัวอย่างใน ระดบัช้นัอื่น ๆ


บรรณานุกรม


บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธืการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพมหานคร: กระทรวงศึกษาธิการ. เรียกใช้เมื่อ 5 มีนาคม 2564 เกศรา อินทะนนท์. (2556). ทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 ที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ TGT. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (EDKKUJ), บทคัดย่อ. บุญชม ศรีสะอาด. (2558). การวิจัยเบื้องต้น.กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. บุญชม ศรีสะอาด และคณะ. (ม.ป.ป.).วิธีการทางสถิติส าหรับการวิจัย.กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. ประสาท เนืองเฉลิม. (2560). วิจัยการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. พวงเพ็ญ อินทรประวัติ และคณะ. (1 มีนาคม 2563). การใช้กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือในชั้นเรียน. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ, 20(1), บทคัดย่อ. เข้าถึงได้จาก https://so02.tcithaijo.org/index.php/eduthu/article/view/227174 พิมพ์ธนดา จารึ กพูนผล และไพศาล สิ มมาลาเต่า. (2560). การสอนแบบ TGT ด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชาภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนรู้ค าศัพท์ส าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่3 โรงเรียนวัดทัพหลวง(หลวงพ่อเกิดอุปถัมภ์) The development of learn achievement Learning English Vocabulary for prathomsuksa III student. ส า ข า วิ ช า คอมพิวเตอรร์ศึกษา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม. มัลลิกา มานันที. (2558). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง วัฒนธรรมประเทศตะวันตกที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มแข่งขัน (TGT) กับการ จัดการเรียนรู้แบบปกติส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 ศูนย์อ านวยการเครือข่าย กุสุมาลย์2. บทคัดย่อ.


บรรณานุกรม (ต่อ) มัลลิกา มานันที และสุทธิพร บุญส่ง. (2559). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาอังกฤษที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มแข่งขัน (TGT)กับการจัดการเรียนรู้แบบ ปกติ สาหรั บนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3. วารสารคณะครุ ศาสตร์ อุตสาหก รรม ศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีการเรี ยนรู้ คณะครุ ศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี(2), บทน า. รัตนา บุตรอุมด. (2559). ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่าน และการเขียนภาษาไทย ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1 ทีใช้ภาษาถิ่นในชีวิตประจ าวัน. สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, ชลบุรี. ศศต์ภรณ์ นิติอภัยธรรม และคณะ. (2557). ผลการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิคการแข่งขันร่วมกับการ ใช้ เว็บเควสท์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการอ่านภาษา อังกฤษในรายวิชา เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ของนักเรียนเตรียมทหาร. วารสารรังสิตสารสนเทศ, 20(2). เรียกใช้ เมื่อ 2564 สมนึก ภัททิยธนี. (2562). การวัดผลการศึกษา.กาฬสินธิ์ : ประสานการพิมพ์. ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๗๙.กรุงเทพฯ: ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. อรรชนิดา หวานคง. (27 ธันวาคม 2559). การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 English Teaching in the 21st Century. วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฎ ร า ช วิ ท ย า ลั ย( 2 ) , บ ท คั ด ย่ อ . เ รี ย ก ใ ช้ เ มื่ อ 2 5 6 4 จ า ก https:// so04. tcithaijo.org/index.php/yri/article/view/184935 Gholamreza Alavi, Abbas Pourhosein Gilakjani. (2018). The Effectiveness of Games in Enhancing Vocabulary Learning among Iranian Third Grade High School Students. English Teaching Learning and Research Journal. Novalia Tanasy, Nuraliah Ali. (2019). Improving the Vocabulary Mastery through Word-Connection Game. English Teaching Learning and Research Journal.


บรรณานุกรม (ต่อ) Osha Saeed Al Neyadi. (2013). The Effects of Using Games to Reinforce Vocabulary Learning. Dissertation Abstracts International. Sahar Ameer Bakhsh. (2016). Using Games as a Tool in Teaching Vocabulary to Young Learners. Dissertation Abstracts International. Ying-Jian Wang. (2011). Investigating the Impact of Using Games in Teaching Children English. Dissertation Abstracts International.


86 ภาคผนวก


87 ภาคผนวก ก แผนการจัดการเรียนรู้


Click to View FlipBook Version