สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหนง่ ครผู ู้ชว่ ย สรปุ ย่ออย่างละเอยี ด เรอ่ื ง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
❖เกณฑ์การจบระดบั ประถมศึกษา
1. ผเู้ รยี นเรยี นรายวิชาพ้ืนฐานตามโครงสรา้ งเวลาเรียนทหี่ ลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐานกําหนด
และรายวิชา/กจิ กรรมเพ่มิ เติมตามที่สถานศึกษากําหนด
2. ผเู้ รยี นตอ้ งมผี ลการประเมนิ รายวิชาพนื้ ฐาน ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ตามทีส่ ถานศกึ ษากาํ หนด
3. ผ้เู รยี นมผี ลการประเมิน การอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขยี นในระดบั ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ตามทสี่ ถานศึกษากาํ หนด
4. ผ้เู รียนมีผลการประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ในระดับผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ตามที่สถานศึกษากาํ หนด
5. ผเู้ รยี นเข้าร่วมกิจกรรมพฒั นาผูเ้ รียนและมีผลการประเมนิ ผา่ นเกณฑก์ ารประเมินตามท่ีสถานศกึ ษากาํ หนด
6. ผลการเรียนของผู้เรยี นทีป่ ระเมินโดยสถานศึกษาและผลการทดสอบทางการศึกษาระดบั ชาตขิ ้นั พ้นื ฐาน
(O-NET) ในสดั ส่วน 70 : 30 (ปกี ารศกึ ษา 2558 เปน็ ต้นไป)
☺ ประถมจะผา่ น
เพม่ิ พ้นื ฐานการคดิ ต้องรอด ตลอดจนคุณลกั ษณะพัฒนาผู้เรียน
❖ เกณฑก์ ารจบระดับมธั ยมศึกษาต้น ขอ้ สอบ : : ผ้ทู ีจ่ บม.ต้น ต้องได้หนว่ ยกติ ตลอดหลักสตู รเทา่ ไหร่ ?
1. ผเู้ รียนเรียนรายวชิ าพนื้ ฐานและเพม่ิ เติม โดยเปน็ รายวิชาพ้นื ฐาน 66 หน่วยกิตและรายวชิ าเพมิ่ เติมตามท่ี
สถานศึกษากําหนด
2. ผ้เู รยี นตอ้ งไดห้ นว่ ยกติ ตลอดหลักสูตรไมน่ อ้ ยกว่า 77 หน่วยกติ โดยเป็นรายวชิ าพน้ื ฐาน 66 หน่วยกติ
และรายวชิ าเพ่มิ เตมิ ไมน่ ้อยกว่า 11 หนว่ ยกติ
3. ผ้เู รียนมีผลการประเมิน การอา่ น คดิ วิเคราะห์ และเขยี น ในระดบั ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ตามท่สี ถานศึกษากําหนด
4 ผ้เู รยี นมีผลการประเมินคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ในระดบั ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ตามทีส่ ถานศึกษากาํ หนด
5. ผเู้ รยี นเข้ารว่ มกจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รียนและมีผลการประเมนิ ผ่านเกณฑ์การประเมินตามทสี่ ถานศึกษากาํ หนด
4. ผลการเรียนของผูเ้ รยี นทปี่ ระเมินโดยสถานศึกษาและผลการทดสอบทางการศกึ ษาระดบั ชาตขิ ั้นพนื้ ฐาน
(O-NET) ในสดั ส่วน 70 : 30 (ปกี ารศกึ ษา 2558 เป็นตน้ ไป)
☺ มอตน้ เบิล้ 7 6 1
“ไมม่ ีใครไมเ่ คยไมผ่ ิดพลาด
ไม่มีใครไม่เคยขลาดมาแต่ต้น
เม่ือมีเมฆยอ่ มมคี วามมดื มน
หลงั พายุผา่ นพน้ จึงสรา่ งซา”
สรปุ เนอื้ หาสอบครผู ้ชู ว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 43
สอบบรรจุขา้ ราชการครู ตำแหน่งครูผู้ชว่ ย สรปุ ยอ่ อยา่ งละเอียด เรื่อง วิชาการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
❖ เกณฑ์การจบระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย ข้อสอบ : : ผ้ทู จ่ี บม.ปลาย ต้องไดห้ นว่ ยกติ ตลอดหลักสูตรเทา่ ไหร่ ?
1. ผ้เู รยี นเรียนรายวชิ าพน้ื ฐานและเพมิ่ เตมิ โดยเปน็ รายวิชาพนื้ ฐาน 41 หน่วยกิตและรายวิชาเพ่มิ เตมิ ตามท่ี
สถานศึกษากําหนด
2. ผ้เู รยี นตอ้ งได้หน่วยกติ ตลอดหลักสูตรไม่นอ้ ยกวา่ 77 หนว่ ยกติ โดยเปน็ รายวิชาพ้นื ฐาน 41 หนว่ ยกติ
และรายวิชาเพ่มิ เติมไม่น้อยกวา่ 36 หน่วยกติ
3. ผ้เู รยี นมผี ลการประเมิน การอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขยี น ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศกึ ษากําหนด
4. ผู้เรียนมผี ลการประเมนิ คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ในระดับผา่ นเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากาํ หนด
5. ผู้เรยี นเข้าร่วมกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี นและมผี ลการประเมนิ ผา่ นเกณฑ์การประเมินตามทสี่ ถานศึกษากําหนด
6. ผลการเรยี นของผู้เรยี นทปี่ ระเมนิ โดยสถานศกึ ษาและผลการทดสอบทางการศึกษาระดบั ชาติขัน้ พ้ืนฐาน
(O-NET) ในสัดสว่ น 70 : 30 (ปกี ารศกึ ษา 2558 เป็นตน้ ไป) ☺ มอปลายไดห้ นว่ ยกิต 77 - พื้นฐาน 41 – เพมิ่ เตมิ 36
เอกสารหลกั ฐานการศึกษา ศษธ ำ
เรยี น
ปพ. 1 ระเบียนแสดงผลการเรยี น ขขอ้ ้อสสออบบ:: จะไดป้ พ. เม่ือใด (จบป.6 ม.3 ม.6 และลาออก)
ปพ. 2 หลกั ฐานแสดงวฒุ กิ ารศกึ ษา หรอื ประกาศนยี บตั ร ขอหลงั พน้ 10 ปี ฉบบั ละ 30 บาท
ปพ. 3 แบบรายงานผูส้ าํ เร็จการศกึ ษา
ปพ. 4 แบบแสดงผลการพฒั นาคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ศษ ำ
ปพ. 5 แบบบันทกึ ผลการพฒั นาคุณภาพผู้เรยี น ขขอ้ อ้ สสออบบ:: ครูประจำชั้นควรทำเอกสารใด ?
ปพ. 6 แบบรายงานผลการพัฒนาคณุ ภาพผูเ้ รียนรายบคุ คล
ขอ้ สอบ : เอกสารใชส้ ่ือสารใหผ้ ้ปู กครองทราบผลการเรียน ?
ปพ. 7 ใบรบั รองผลการศกึ ษา (มอี ายุประมาณ 30 วัน)
ปพ. 8 ระเบียนสะสม
ปพ. 9 แบบบนั ทึกผลการเรียนรู้
ปพ. 1 จําแนกเป็น 3 แบบ คือ ปพ. 1. ป หมายถงึ ประถมศกึ ษา
ผอ.เขตสง่ั ซือ้ ปพ. 1. บ หมายถึง ภาคบงั คบั ☺ ปพ.1 ผลเรยี น เขยี น 2 วฒุ ิ
3 สุดผู้สำเรจ็ พึงเสรจ็ 4
ผอ.รร.และนายทะเบยี น ลงนาม ปพ. 1. พ หมายถงึ ข้นั พืน้ ฐาน
มีคณุ ภาพผู้เรียน 5 ว่าราย’คล 6
ปพ. 2 จาํ แนกเป็น 2 แบบ คอื ปพ. 2. บ หมายถึง จบการศึกษาภาคบงั คบั 7 ตกรบั รองผล 8 วนสะสม
ก้มบนั ทกึ ผล 9
ผอ.เขตสั่งซื้อ ปพ. 2. พ หมายถึง จบการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน
ผอ.รร.และประธานคณะกรรมการสถานศกึ ษา ลงนาม
ปพ. 3 จาํ แนกเปน็ 3 แบบ คอื ปพ. 3. ป หมายถึง ประถมศึกษา
หวั หน้าสถานศึกษาส่ังซ้ือ ปพ. 3. บ หมายถึง ภาคบังคับ ข้อสอบ : เอกสารหลกั ฐานการศกึ ษา ออกขอ้ สอบบ่อยมาก
ผอ.รร.และนายทะเบียน ลงนาม ปพ. 3. พ หมายถึง ข้นั พืน้ ฐาน
สรุปเนอ้ื หาสอบครูผชู้ ่วย ภาค ข โดย The Teacher 44
สอบบรรจุขา้ ราชการครู ตำแหนง่ ครูผ้ชู ่วย สรปุ ย่ออยา่ งละเอียด เรอ่ื ง วิชาการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
ระเบียนแสดงผลการเรยี น (ปพ.1) ➢ แสดงผลการเรียนและรบั รองผลการเรยี นรู้ตามรายวชิ า
ประกาศนยี บตั ร (ปพ.2) ➢ รับรองศักดแิ์ ละสิทธ์ิของผู้สำเร็จการศกึ ษา
แบบรายงานผู้สำเรจ็ การศึกษา (ปพ.3) ➢ เอกสารอนุมตั ิการจบหลักสูตร
การเทยี บโอนผลการเรียน ขอ้ สอบ : หนว่ ยงานใดกำหนดระเบยี บการเทียบโอนผลการเรียน ?
เรียน
ดําเนนิ การในช่วงกอ่ นเปดิ ภาคเรยี นแรก หรอื ตน้ ภาคเรยี นแรก ท้งั นี้ผู้ได้รบั การเทียบโอน
ตอ้ งศกึ ษาต่อเน่อื งในสถานศกึ ษาทีร่ บั เทยี บโอนอยา่ งนอ้ ย 1 ภาคเรยี น
การบริหารจัดการหลักสูตร ขอ้ สอบ : หน่วยงานใดจัดทำกรอบหลกั สูตรทอ้ งถ่นิ ?
คณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน จดั ทําหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สาํ นกั งานเขตพน้ื ท่ี จัดทาํ กรอบหลกั สูตรทอ้ งถนิ่ โดยความเห็นชอบของ กศจ.
สถานศกึ ษาจดั ทาํ สาระหลกั สูตรท้องถน่ิ และหลกั สูตรสถานศกึ ษา โดยความเหน็ ชอบของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พื้นฐาน ขอ้ สอบ : อยา่ สบั สนระหวา่ ง กรอบหลักสตู ร-สาระหลักสตู ร
การกําหนดรหสั วิชา ขอ้ สอบ : มักกำหนดรหัสวชิ ามาใหอ้ า่ น
ประกอบด้วยตวั อักษร และตัวเลข 6 หลัก ควรใช้เลขอารบกิ
หลักที่ 1 หลกั ท่ี 2 หลกั ท่ี 3 หลักที่ 4 หลักท่ี 5 หลักท่ี 6
กลมุ่ สาระ ระดบั การศกึ ษา ปที เ่ี รยี น ประเภทรายวิชา ลาํ ดับของรายวชิ า
ท1 1 1 01 - 99
ค2 22
ว3 3
ส
พ 4 ☺ 1 กลมุ่ 2 ระดับ รับ 3 เรยี นปีใด
ศ 5 4 ไงประเภทวิชา 6 และ 5 วา่ ลำดับ
6
ง
ใช้รหสั ตัวอกั ษรตามรายการรหสั ตวั อักษรกลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
สรปุ เนอื้ หาสอบครผู ้ชู ่วย ภาค ข โดย The Teacher 45
สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหนง่ ครผู ้ชู ่วย สรปุ ยอ่ อย่างละเอยี ด เรื่อง วิชาการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
หลกั ท่ี 1 : กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
ท หมายถึง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ค หมายถงึ กลุ่มสาระการเรียนรูค้ ณิตศาสตร์
ว หมายถึง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ส หมายถงึ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
พ หมายถึง กลุ่มสาระการเรียนรูส้ ขุ ศกึ ษาและพลศึกษา
ศ หมายถึง กล่มุ สาระการเรียนรู้ศลิ ปะ
ง หมายถึง กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพ
หมายถึง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศใหใ้ ช้รหสั ของแต่ละภาษาตามรายการ ดังนี้
ก หมายถงึ ภาษาเกาหลี ข หมายถึง ภาษาเขมร ล หมายถึง ภาษาลาว
จ หมายถงึ ภาษาจนี ซ หมายถึง ภาษารัสเซยี ร หมายถึง ภาษาอาหรบั
ญ หมายถึง ภาษาญีป่ ุน่ ต หมายถึง ภาษาเวยี ดนาม อ หมายถึง ภาษาอังกฤษ
น หมายถึง ภาษาลาติน บ หมายถึง ภาษาบาลี ฮ หมายถงึ ภาษาฮนิ ดู
ป หมายถงึ ภาษาสเปน ฝ หมายถงึ ภาษาฝรงั่ เศส
ม หมายถึง ภาษามลายู ย หมายถงึ ภาษาเยอรมัน
หลักท่ี 2 : ระดบั การศกึ ษา 3 คอื มัธยมศกึ ษาตอนปลาย
1 คือ ประถมศึกษา
2 คอื มัธยมศกึ ษาตอนตน้
หลักที่ 3 : ปที เี่ รยี น 4 คือ ป.4
5 คอื ป.5
0 คือ เรยี นในปีใดก็ได้
1 คือ ป.1 หรือ ม.1 หรอื ม.4 6 คอื ป.6
2 คอื ป.2 หรอื ม.2 หรือ ม.5
3 คอื ป.3 หรือ ม.3 หรือ ม.6
หลักท่ี 4 : ประเภทรายวชิ า
1 คือ รายวิชาพ้ืนฐาน สอนเพอ่ื พัฒนาผู้เรียนตามมาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง
2 คอื รายวชิ าเพม่ิ เติม สอนเพ่อื ให้สอดคลอ้ งกับจดุ เนน้ ความถนดั และความตอ้ งการของผูเ้ รยี นหรอื ทอ้ งถน่ิ
สรุปเน้ือหาสอบครผู ู้ชว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 46
สอบบรรจุขา้ ราชการครู ตำแหน่งครูผู้ชว่ ย สรุปยอ่ อยา่ งละเอยี ด เรื่อง วิชาการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
หลักที่ 5-6 : ลำดบั ของรายวชิ า
รายวิชาทกี่ ำหนดปีทเี่ รยี น ให้นับรหัสหลกั ที่ 5-6 ตอ่ เน่อื งในปเี ดียวกัน หากจัดรายวิชาเป็นรายภาค
ใหก้ ำหนดเรียงลำดบั รายวิชาในกล่มุ สาระการเรียนรู้เดยี วกันใหเ้ สรจ็ ในภาคเรียนแรก Ex. ท 11101 อ่านไดว้ า่
แล้วจงึ กำหนดในภาคเรยี นทส่ี อง รายวิชาท่ีไมก่ ำหนดปที ีเ่ รียน ใหน้ ับรหัสที่ 5 – 6 วิชาภาษาไทย – ช้นั ประถมศึกษา
- ปีที่ 1 – วิชาพนื้ ฐาน - ลาํ ดับที่ 1
ตอ่ เนือ่ งในระดับประถม ม.ตน้ และ ม.ปลาย
นอกจากนนั้ ม.ปลาย ในวิชาเพิ่มเติม กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มดี งั น้ี
01 – 19 คอื วิชาในกลมุ่ ฟสิ กิ ส์ 61 – 79 คือ วิชาในกลมุ่ โลกและอวกาศ
21 – 39 คือ วชิ าในกลุ่มเคมี 81 – 99 คือ วชิ าในกลมุ่ วทิ ยาศาสตรอ์ ่ืน ๆ
41 – 59 คอื วชิ าในกลุม่ ชวี วทิ ยา
หลกั สตู รระดับทอ้ งถนิ่
หลักสูตรระดับท้องถ่ินเปน็ หลักสูตรทีม่ ีบทบาทสําคญั ในการเชื่อมโยงระหวา่ งหลักสูตรแกนกลางฯ
พ.ศ. 2551 กบั ความตอ้ งการของท้องถ่นิ ผา่ นกระบวนการมีส่วนรว่ มของฝ่าย
สํานกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษา ต่าง ๆ เช่น โรงเรยี น ผู้ปกครอง ปราชญ์
เปน็ หน่วยงานมีหน้าที่รับผดิ ชอบจดั ทํากรอบหลกั สูตรระดับทอ้ งถ่ิน ในท้องถ่นิ นกั ธรุ กิจในชุมชน เพ่อื ไดแ้ นวคดิ
เพอ่ื ใชเ้ ป็นแนวทางในการจดั การเรียนการสอนทป่ี ลูกฝงั ให้ผเู้ รยี น ทีห่ ลากหลาย และครอบคลุมกับสภาพปัญหา
และความต้องการท่ีแทจ้ รงิ ของชมุ ชน
เปน็ สมาชกิ ทดี่ ีของชุมชน มคี วามรกั ภาคภูมิใจในทอ้ งถ่นิ ของตน
องค์ประกอบของหลกั สตู รระดับทอ้ งถน่ิ ☺ องค์ประกอบหลกั สตู รทอ้ งถ่นิ จงจำ
1) สว่ นนาํ นำ - หมาย – เรียน – เพยี ร
ประเมิน – เพลินพัฒนาหลกั สูตร
ความเปน็ มา และขน้ั ตอนการดาํ เนินการจดั ทําหลักสูตรระดบั ท้องถิ่น
2) เปา้ หมายและจดุ เนน้
เปา้ หมาย คือ ทิศทางการส่งเสริมการพฒั นาการศกึ ษาของท้องถ่นิ เพือ่ ใหผ้ เู้ รยี นมคี ุณภาพตามหลกั สูตร
แกนกลาง ฯ และความตอ้ งการท้องถน่ิ และจุดเน้น คือ ความรู้ ทักษะ กระบวนการ และคุณลกั ษณะท่ตี ้องการให้เกิด
กบั ผเู้ รียน
3) สาระการเรยี นรทู้ อ้ งถน่ิ
ความรู้ ทักษะ กระบวนการ และคุณลกั ษณะท่ีผู้เรียนควรรู้ ได้จากการวิเคราะห์มาตรฐานตัวชี้วัด
และสาระการเรียนรู้ตามหลกั สูตรแกนกลางฯ ในสว่ นที่เก่ยี วข้องกบั ชมุ ชนทอ้ งถ่นิ แลว้ นาํ มาสงั เคราะหจ์ ดั เป็นหมวดหมู่
สรุปเนื้อหาสอบครูผู้ช่วย ภาค ข โดย The Teacher 47
สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหน่งครผู ชู้ ่วย สรปุ ยอ่ อยา่ งละเอียด เร่อื ง วชิ าการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
องค์ประกอบของหลักสตู รระดับท้องถิ่น (ต่อ)
4) การประเมนิ คณุ ภาพผูเ้ รยี นในระดบั ทอ้ งถน่ิ
ประเมนิ คณุ ภาพผเู้ รยี นและรายงานผลการศกึ ษาระดบั ทอ้ งถ่ิน เพ่อื ตรวจสอบคณุ ภาพตามหลกั สูตร
แกนกลาง ฯ โดยวัดและประเมินผลดว้ ยวิธีการและเคร่ืองมอื ทีห่ ลากหลาย
5) การนำกรอบหลกั สูตรระดบั ทอ้ งถน่ิ สกู่ ารพฒั นาหลกั สูตรสถานศกึ ษา
(1) นาํ เป้าหมาย และจดุ เนน้ ไปกําหนดวิสยั ทัศน์
(2) นําสาระการเรยี นรูท้ ้องถ่ินไปจดั ทําหลักสูตรสถานศกึ ษาและกิจกรรมการเรยี นรู้
(3) นําแนวทางการประเมนิ คณุ ภาพท้องถน่ิ ไปกําหนดการวัดและประเมินคุณภาพผู้เรยี นระดบั ทอ้ งถ่ิน
ไปกาํ หนดการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ระดบั สถานศึกษา และชั้นเรียน
หลักสูตรสถานศึกษา
ทม่ี า
พ.ร.บ.การศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉ.2) พ.ศ.2545
ม.27 วรรคสอง สถานศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน จดั ทำสาระของหลกั สูตรเกยี่ วกบั สภาพปญั หาในชมุ ชนทอ้ งถน่ิ
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ เพ่ือเป็นสมาชกิ ทีด่ ีของครอบครัว ชุมชน สงั คม และประเทศชาติ
ความหมาย
เปน็ แผน หรอื แนวทาง หรอื ข้อกาํ หนด ของการจดั การศึกษาที่จะพัฒนาให้ผู้เรียนมคี วามรู้ ความสามารถ
โดยสง่ เสริมใหแ้ ต่ละบุคคลพฒั นาไปสูศ่ กั ยภาพสูงสุดของตน รวมถึงลาํ ดบั ขั้นของประมวลประสบการณ์ทีก่ อ่ ให้เกิด
การเรียนรู้สะสม ซงึ่ ช่วยใหผ้ ู้เรียนนำความรู้ไปสูก่ ารปฏิบตั ิได้ ประสบความสําเร็จในการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง รู้จักตนเอง
มีชีวติ อยูใ่ นโรงเรียน ชมุ ชน สังคม และโลก อยา่ งมีความสขุ
บทบาท
1. เปน็ ข้อกาํ หนดทท่ี กุ คนในสถานศกึ ษาตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามเพ่อื พฒั นาผู้เรียนใหม้ ีคุณภาพตามมาตรฐานท่ีกําหนด
และพฒั นาใหส้ อดคล้องกับผ้เู รียน สถานศึกษา และทอ้ งถน่ิ
2. เป็นเอกสารทบ่ี คุ คลภายนอก หรอื หนว่ ยงานตา่ ง ๆ ใชป้ ระโยชนใ์ นกรณตี อ้ งการศกึ ษาการจัดการศกึ ษา
ของสถานศกึ ษา
3. เป็นเอกสารใช้ประกอบการประเมนิ คณุ ภาพภายนอก
กระบวนการจัดทำ ข้อสอบ : ขอ้ ใดไมใ่ ชแ่ หล่งข้อมูลสำคัญในการวเิ คราะหเ์ พื่อทำหลักสูตร ?
1. แต่งตัง้ คณะกรรมการ/คณะทำงาน :สถคานณศกึะษการ?รมการบริหารหลกั สูตรและงานวชิ าการของสถานศึกษา
ประกอบดว้ ย ผ้บู ริหารสถานศึกษา และครูผูส้ อน ตัวอย่างขอ้ มูล หลักสูตรแกนกลาง ฯ กรอบ
2. วิเคราะหข์ อ้ มลู จากแหล่งตา่ ง ๆ : มแี หล่งข้อมูลสำคัญ
หลักสูตร ระดับท้องถิ่น ข้อมูลจากการวิเคราะห์
ท่ีเปน็ ประโยชนต์ ่อหลักสูตรสถานศกึ ษามากมาย สภาพปัญหา จุดเน้น ความต้องการของชุมชน
และของสถานศกึ ษา และความต้องการของผู้เรยี น
สรปุ เน้ือหาสอบครูผูช้ ่วย ภาค ข โดย The Teacher 48
สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหน่งครูผู้ช่วย สรปุ ยอ่ อย่างละเอียด เร่ือง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
3. จดั ทำหลักสตู รสถานศึกษา พิจารณาจัดทำหลกั สูตรสถานศกึ ษา มอี งค์ประกอบสำคญั ไดแ้ ก่
- สว่ นนำ (ความนำ วสิ ัยทศั น์ ฯลฯ)
- โครงสรา้ งเวลาเรียน / หลักสูตรโรงเรยี น ทั้งน้ีสถานศึกษาจะต้องทำเอกสารระเบียบ
การวัดผลประเมนิ ผลเพ่ือใช้คหู่ ลกั สูตรสถานศกึ ษา
- คำอธบิ ายรายวชิ า
- กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน
- เกณฑก์ ารจบการศกึ ษา ข้อสอบ : ใครเปน็ ผพู้ ิจารณาเห็นชอบหลักสูตรสถานศึกษา ?
4. นำเสนอคณะกรรมการสถานศกึ ษาใหค้ วามเห็นชอบ นำเสนอรา่ งเอกสารหลักสูตรสถานศึกษา
และระเบียบการวดั ประเมนิ ผลต่อคณะกรรมการสถานศกึ ษาเพอื่ พิจารณาให้ความเห็นชอบ หากมขี ้อเสนอ
กน็ ำไปพิจารณาปรับปรุงให้เหมาะสม โดยผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษาและประธานกรรมการสถานศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานเปน็ ผู้ลงนาม
5. ใช้หลกั สูตรสถานศึกษา (ในระดบั ชั้นเรยี น)
6. วจิ ัย ตดิ ตาม ประเมนิ ผลการใชห้ ลักสตู ร
Update! นโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
ความหมาย
ลดเวลาเรียน หมายถงึ การลดเวลาเรยี นวชิ าการ และการลดเวลาจดั กิจกรรมการเรยี นรูท้ ีเ่ ปน็ ผ้รู ับความรู้
เพิ่มเวลารู้ หมายถึง การเพมิ่ เวลาและให้ผเู้ รยี นลงมอื ปฏบิ ตั ิ มปี ระสบการณ์ตรง คิดด้วยตนเองอย่างมสี ขุ
แนวคดิ ในการจดั การเรียนรู้
(1) กิจกรรมเป็นทางเลอื ก สนองตอบความสนใจความถนัดของผูเ้ รียนอย่างหลากหลาย
(2) เรยี นรู้หลักการ สรา้ งความรูผ้ ่านกระบวนการและกจิ กรรม (Process and Content)
(3) ลงมอื ปฏิบัติและสรา้ งความรู้ในบรรยากาศท่ีอบอนุ่ อสิ ระ และปลอดภยั
(4) ปรับบทบาทครูจากการเป็นผสู้ อนเป็นผูใ้ หค้ ำปรกึ ษาชแี้ นะ (Coach & Mentor)
(5) ครูผูส้ อนควรใชว้ ิธกี ารประเมนิ ผลทหี่ ลากหลาย และเป็นการประเมินตามสภาพจรงิ
หลกั การสำคญั ของการจดั กจิ กรรม “ลดเวลาเรยี น เพิ่มเวลารู”้
มีรูปแบบการจดั กิจกรรม 2 ลกั ษณะ ข้นึ อยูก่ ับธรรมชาติของวิชา ไดแ้ ก่ กิจกรรมบูรณาการ
และเฉพาะเรอ่ื ง โดยมหี ลกั การสำคญั ของการจดั กจิ กรรม 7 ประการดังน้ี
เชอ่ื มโยงตวั ชว้ี ดั : สอดคล้องและเช่อื มโยงกบั มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชว้ี ดั ตามหลกั สูตรแกนกลาง
การศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551
เน้นจัด 4H : เน้นการจัดกิจกรรมให้บรรลุเป้าหมาย 4H ได้แก่ กจิ กรรมพัฒนาสมอง (Head)
กจิ กรรมพฒั นาจิตใจ (Heart) กิจกรรมพฒั นาทักษะการปฏิบตั ิ (Hand) และกิจกรรมพัฒนาสขุ ภาพ (Health)
สรปุ เน้ือหาสอบครผู ้ชู ่วย ภาค ข โดย The Teacher 49
สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย สรปุ ย่ออยา่ งละเอยี ด เรื่อง วชิ าการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
ผเู้ รียนเปน็ สุข : เรียนรูอ้ ย่างมคี วามสขุ โดยการใช้วธิ ีการจัดกิจกรรมทหี่ ลากหลายอยา่ งเหมาะสม
ตอบสนองความสนใจ ความถนัด ความต้องการ และความแตกตา่ งของผู้เรยี น
สนกุ การคิดข้ันสงู : เปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนไดว้ างแผน คดิ วเิ คราะห์ ค้นคว้า ถกแถลง สรา้ งความคดิ
เชงิ เหตผุ ล อภปิ ราย สรุปความรู้ นำเสนอ จุดประกายความคดิ สร้างแรงบันดาลใจ สร้างความมุ่งม่นั เพื่อแสวงหา
ความรู้ การแก้ปัญหาและสร้างสรรคน์ วตั กรรม
มุ่งทำงานเป็นกลมุ่ : จดั กิจกรรมการเรยี นรูใ้ หผ้ เู้ รียนได้เรยี นรู้ร่วมกันเป็นทีม ทำงานอย่างเป็นระบบ
แลกเปลยี่ นประสบการณ์ ชว่ ยเหลอื เก้ือกูล มคี วามสามคั คี และเป็นผนู้ ำผตู้ ามท่ดี ี
ลมุ่ ลกึ แหลง่ เรียนรู้ : ใชแ้ หล่งเรยี นรู้ ภูมิปัญญา ส่ิงแวดลอ้ ม และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือพฒั นา
คุณภาพการเรียนรู้
สกู่ ารประเมนิ P&A : ประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic Assessment) โดยใชว้ ิธกี ารท่ีหลากหลาย
เน้นการประเมนิ การปฏิบตั ิ (P : Performance Assessment) และประเมินคุณลกั ษณะ (A : Attribute Assessment)
รปู แบบ/วธิ กี ารจัดการเรียนรู้ ข้อสอบ : ลดเวลาเรียน เพมิ่ เวลารู้ ใชท้ ฤษฎกี ารเรียนรขู้ องใคร ?
กระทรวงศกึ ษาธิการใชท้ ฤษฎกี ารเรียนรูข้ องเบนจามนิ บลูม จําแนกจุดมุง่ หมายการเรยี นรู้เป็น 3 ดา้ น ดงั นี้
ดา้ นพทุ ธิพสิ ัย (Cognitive Domain) หรือสมอง ท่จี ะต้องฝกึ ใหเ้ ดก็ พัฒนาสมองของเดก็ แต่ละช่วงวัย
ด้านเจตพิสยั (Affective Domain) หรือหวั ใจ ท่ีจะตอ้ งปลกู ฝังคณุ ธรรมจริยธรรม ความมีวินัย
ความเปน็ ชาตไิ ทย รกั สถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ รู้จักสิทธิและหน้าที่ ฝกึ ให้มีทัศนคติที่ถูกท่ีควร
ด้านทกั ษะพสิ ยั (Psychomotor Domain) หรือมอื กค็ อื การฝึกใหม้ ีทกั ษะจากการปฏบิ ตั ิ
แนวทางการปรับโครงสร้างเวลาเรยี นและโครงสร้างหลักสตู รสถานศึกษาตามนโยบายลดเวลาเรียนฯ
โรงเรียนสามารถปรบั โครงสร้างเวลาเรียนและโครงสรา้ งหลักสูตรสถานศกึ ษา ได้ดงั น้ี
โครงสร้างเวลาเรยี นระดับประถมศกึ ษา (ใหม)่
ปรับเวลาเรยี นพนื้ ฐานของแต่ละกลุ่มสาระการเรยี นรูไ้ ด้ตามความเหมาะสมและบูรณาการการเรยี นรู้ ทัง้ นีต้ อ้ งมเี วลาเรยี น
รวมตามท่ีกาํ หนดไว้ในโครงสรา้ งเวลาเรยี น ดงั นี้
✓รายวชิ าพนื้ ฐาน เทา่ กบั 840 ช่ัวโมง/ปี
✓รายวชิ าเพ่มิ เตมิ ตามความพรอ้ มและจุดเนน้ เท่ากบั 40 ชว่ั โมง/ปี
✓รวมท้ังส้นิ 880 ช่วั โมง/ปี (22 ช่วั โมง/สปั ดาห)์ ขอ้ สอบ : ข้อใดถกู ต้องเก่ียวกับโครงสรา้ งเวลาเรยี นชน้ั ประถม ?
ผเู้ รียนต้องมีคุณภาพตามมาตรฐานการเรยี นรู้และตัวชวี้ ดั ทกี่ าํ หนดเวลาของการจัดกิจกรรมพฒั นาผ้เู รียน จาํ นวน
120 ชว่ั โมง/ปี (3 ช่ัวโมง/สัปดาห)์ จดั เป็นกิจกรรม “ลดเวลาเรยี น เพมิ่ เวลาร”ู้ บงั คับตามหลกั สูตร ประกอบด้วย กจิ กรรม
แนะแนว กจิ กรรมนักเรียน และกิจกรรมเพอ่ื สังคมและสาธารณประโยชน์ โดยเวลาเรยี นรวมทงั้ หมดไมเ่ กนิ 1,000 ชวั่ โมง/ปี
สรุปเนอื้ หาสอบครูผูช้ ่วย ภาค ข โดย The Teacher 50
สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหนง่ ครูผชู้ ่วย สรุปยอ่ อย่างละเอยี ด เรือ่ ง วิชาการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
โครงสรา้ งเวลาเรียนระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ (ใหม่)
จัดแบง่ จำนวนหน่วยกิตทเ่ี รียนของแตล่ ะรายวชิ าตอ่ ภาคเรยี นได้ตามความเหมาะสมและบูรณาการการเรยี นรู้ ทัง้ น้ตี อ้ ง
เปน็ ไปตามโครงสรา้ งเวลาเรียนที่หลกั สูตรแกนกลางฯ กำหนด ดงั น้ี
✓รายวิชาพน้ื ฐาน เท่ากบั 880 ชวั่ โมง/ปี
✓รายวิชาเพมิ่ เติม ตามความพรอ้ มและจดุ เน้นเทา่ กบั 200 ชัว่ โมง/ปี
✓รวมทั้งสนิ้ 1,080 ช่วั โมง/ปี (27 ช่ัวโมง/สัปดาห์) ขอ้ สอบ : ข้อใดถูกต้องเก่ียวกบั โครงสร้างเวลาเรยี นชัน้ ม.ตน้ ?
ผเู้ รียนตอ้ งมคี ณุ ภาพตามมาตรฐานการเรยี นรู้และตัวชว้ี ัดท่กี ําหนด เวลาของการจัดกิจกรรม พฒั นาผูเ้ รยี น จํานวน
120 ชัว่ โมง/ปี (3 ชว่ั โมง/สัปดาห)์ จัดเปน็ กจิ กรรม “ลดเวลาเรยี น เพมิ่ เวลาร”ู้ บังคบั ตามหลกั สูตร ประกอบดว้ ย กจิ กรรม
แนะแนว กจิ กรรมนกั เรียน และกิจกรรมเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชน์ โดยเวลาเรยี นรวมทงั้ หมดไมเ่ กนิ 1,200 ชว่ั โมง/ปี
สถานศกึ ษาทม่ี คี วามประสงคจ์ ะปรับลดเวลาเรยี นต้องคำนงึ ถึงส่ิงต่อไปนี้
1. ความพรอ้ มของสถานศกึ ษา
2. ความตอ้ งการและจดุ เน้นของสถานศึกษา ☺ พร้อม เนน้ เรยี น
3. ความต้องการของผ้เู รียน
กิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลาร้”ู แบง่ ออกเป็น 4 หมวด 16 กลุ่มกจิ กรรม
กิจกรรม “ลดเวลาเรยี น เพมิ่ เวลาร”ู้
หมวดที่ 1 กิจกรรมพฒั นาผูเ้ รยี น หมวดท่ี 2 สรา้ งเสรมิ สมรรถนะและการเรยี นรู้
1. กิจกรรมแนะแนว 4. พฒั นาความสามารถดา้ นการสือ่ สาร
2. กิจกรรมนักเรียน 5. พัฒนาความสามารถดา้ นการคิดและการพฒั นากรอบความคดิ
3. กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์
กจิ กรรมบงั คบั ตามหลกั สูตร แบบเปดิ กว้าง (Growth Mindset)
6. พฒั นาความสามารถด้านการแก้ปัญหา
หมวดท่ี 3 สรา้ งเสรมิ คณุ ลกั ษณะและคา่ นยิ ม 7. พัฒนาความสามารถด้านการใชเ้ ทคโนโลยี
8. พัฒนาทกั ษะการเรียนรู้ทส่ี ่งเสรมิ การเรยี นรู้ 8 กลุ่มสาระ ฯ
หมวดท่ี 4 สร้างเสรมิ ทกั ษะการทำงาน การดำรงชพี และทักษะชีวติ
9. ปลกู ฝังค่านยิ มและจติ สานกึ การทำประโยชน์ตอ่ 13. ตอบสนองความสนใจ ความถนดั และความตอ้ งการของผู้เรียน
สังคมมีจิตสาธารณะและให้บรกิ ารด้านตา่ ง ๆ ตามความแตกต่างระหว่างบคุ คล
ทงั้ ทเี่ ป็นประโยชนต์ ่อตนเองและต่อสว่ นรวม 14. ฝกึ การทำงาน ทักษะทางอาชีพ ทรพั ย์สินทางปัญญา
10. ปลกู ฝังความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง และมีวินยั ทางการเงนิ
11. ปลกู ฝังคณุ ธรรม จรยิ ธรรม 15. พัฒนาความสามารถดา้ นการใชท้ ักษะชีวติ
12. ปลกู ฝังความรักความภาคภูมิใจในความ 16. สรา้ งเสริมสมรรถนะทางกาย
เปน็ ไทยและหวงแหนสมบัติของชาติ
สรปุ เน้อื หาสอบครผู ชู้ ว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 51
สอบบรรจขุ า้ ราชการครู ตำแหนง่ ครูผู้ชว่ ย สรุปย่ออย่างละเอียด เรื่อง วชิ าการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
เร่ือง หลักการสอนท่เี น้นการคดิ วิเคราะห์
2 และการจัดการเรยี นรู้
ทีเ่ นน้ ผู้เรียนเป็นสำคญั
หลกั การสอนทเี่ นน้ การคดิ วิเคราะห์ และการจดั การเรยี นรู้ทเ่ี นน้ ผู้เรยี นเปน็ สำคัญ ประกอบดว้ ย
(1) หลักการสอนและการเรียนรู้
(2) ทฤษฎกี ารเรียนรู้
(3) กลุม่ ท่ี 1 ทฤษฎีเกย่ี วกับการเรียนรชู้ ว่ งกอ่ นคริสตศ์ ตวรรษท่ี 20
(4) กลุ่มที่ 2 ทฤษฎีเกย่ี วกบั การเรียนรูใ้ นชว่ งครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20
(5) กล่มุ ที่ 3 ทฤษฎีการเรียนรู้และการสอนร่วมสมัย
(6) รปู แบบการจัดการเรยี นรู้ทเี่ นน้ ผู้เรยี นเปน็ สาํ คญั
เนือ้ หาในเร่อื งท่ี 2 เรอ่ื งนอ้ี อกสอบพอสมควร ควรทำความเข้าใจ
และจำหลกั การสอน และทฤษฎีการเรยี นรรู้ ปู แบบตา่ ง ๆ
ตำแหนง่ ครูผู้ชว่ ยไม่ไกลเกนิ ฝันครบั ☺
สรปุ เนื้อหาสอบครผู ้ชู ่วย ภาค ข โดย The Teacher 52
สอบบรรจขุ า้ ราชการครู ตำแหนง่ ครผู ชู้ ่วย สรปุ ยอ่ อย่างละเอยี ด เรอ่ื ง วชิ าการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
หลกั การสอนและการเรยี นรู้
หลักการสอน ไมส่ ามารถกลา่ วไดว้ ่าวิธใี ดเปน็ วธิ สี อนทด่ี ที ส่ี ดุ เพราะขึ้นกับองค์ประกอบหลายประการ
ดังน้ัน เปน็ หน้าท่ีของครูตอ้ งเลอื กวธิ ี โดยมีแนวคิด ดังนี้
(1) สอดคล้องกบั จุดประสงค์ของบทเรยี น
(2) สอดคล้องกบั เน้ือหาสาระที่จะสอน
(3) เหมาะสมกับเวลา สถานที่ และจำนวนผ้เู รียน
พ.ร.บ.การศกึ ษาแห่งชาติ ม.22 การศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนา
ตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสําคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนา
ตามธรรมชาตแิ ละเต็มศกั ยภาพ
การจดั การเรียนรู้ทเ่ี น้นผู้เรียนเปน็ สำคัญ คือ การจัดการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนมีบทบาทสาํ คัญในการ
เป็นผู้เรียนรู้ พยายามจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนสร้างความรู้ มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล สื่อ และสิ่งแวดล้อม โดยใช้
กระบวนการเปน็ เครือ่ งมอื และนกั เรียนนำความรูไ้ ปประยกุ ต์ใช้ ข้อสอบ : การเรยี นรทู้ ีเ่ น้นผู้เรยี นเปน็ สำคญั คอื อะไร ?
รูปแบบการจดั การ การจัดการเรียนรทู้ ี่เนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคญั วธิ กี ารสอน
เรียนรู้ (5)
วธิ กี ารสอน วธิ กี ารสอน วธิ กี ารสอน วิธีการสอน
การสรา้ ง (1) (2) (3) (4) CIPPA
องคค์ วามรูด้ ว้ ยตนเอง MODEL
แบบแก้ปัญหา แบบวิทยาศาสตร์ ขนั้ ของอริยสจั 4 4 MAT Storyline
การสอน
แบบบูรณาการ ผสู้ อนคนเดียว คู่ขนาน สหวทิ ยาการ โครงการ Case study
การเรียนรูแ้ บบ Role-Playing Dramatization Simulation Game Jigsaw
เนน้ ประสบการณ์
STAD TGT TAI CIRC Virtual
การเรยี นรู้ Classroom
แบบร่วมมือ ศูนย์การเรยี น ชดุ การสอน คอมพิวเตอร์ E- Learning
ชว่ ยสอน
การเรยี นรู้
โดยใช้เทคโนโลยี
สรุปเนอ้ื หาสอบครผู ู้ชว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 53
สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหนง่ ครูผูช้ ว่ ย สรปุ ยอ่ อย่างละเอียด เร่ือง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
ทฤษฎีการเรียนรู้
ความหมาย : การเปลย่ี นพฤติกรรม เป็นผลมาจากประสบการณ์ หรือการฝึกหัด รวมท้ังการเปลีย่ นปริมาณ
ความรูข้ องผ้เู รียน แบง่ ออกเปน็ 3 กลมุ่
กลุม่ ท่ี 1 ทฤษฎเี กีย่ วกบั การเรียนรู้ช่วงกอ่ นคริสตศ์ ตวรรษที่ 20
กลมุ่ ที่ 2 ทฤษฎีเกยี่ วกบั การเรียนรูใ้ นช่วงครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20
กลุ่มท่ี 3 ทฤษฎีเกีย่ วกับการเรียนรู้รว่ มสมยั
กลมุ่ ที่ 1 ทฤษฎเี กีย่ วกับการเรยี นร้ชู ่วงกอ่ นคริสตศ์ ตวรรษที่ 20
ทฤษฎีเนน้ ฝกึ จิตหรือสมอง (Mental Discipline) โ ้ ู้ จ็ ้ ้
แนวคดิ : สติปญั ญาพฒั นาได้ดว้ ยการฝกึ
การสอน : กระต้นุ ผเู้ รยี นให้แสดงความรูอ้ อกมา ดว้ ยการสอนแบบโสเครตสิ (Socratic Method)
และ แบบบรรยาย (Didactic Method)
ทฤษฎีเนน้ พฒั นาตามธรรมชาติ (Natural Unfoldment)
แนวคิด : ธรรมชาตคิ อื แหลง่ เรยี นรู้สาํ คัญ ใช้ของจริงเป็นสื่อการสอนช่วยให้เดก็ เรยี นรู้ไดด้ ี
การเล่นเป็นการเรียนรูท้ สี่ ําคัญ และการจัดการศกึ ษาควรพิจารณาระดับอายุ
การสอน : การจดั ประสบการณเ์ รยี นรู้แก่เด็กตอ้ งแตกตา่ งจากผ้ใู หญ่ และยึดเดก็ เปน็ ศูนยก์ ลาง
ใหเ้ ดก็ ได้เรียนรู้ตามธรรมชาตแิ ละเปน็ ไปตามธรรมชาติ
ทฤษฎเี นน้ การรับรู้และเช่อื มโยงความคิด (Apperception)
แนวคดิ : การเรียนรูเ้ กดิ จากแรงกระตุ้นภายนอกหรอื สงิ่ แวดล้อม (neutral – passive)
การเรียนรู้เกดิ จากการรับประสบการณผ์ า่ นประสาทสมั ผัสท้งั 5 (sensation) และความรูส้ กึ (feeling)
การสอน : รบั ประสบการณ์ผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 และสร้างความสัมพันธร์ ะหว่างความรเู้ ดิม
กบั ความรู้ใหม่
สรุปเนือ้ หาสอบครูผ้ชู ่วย ภาค ข โดย The Teacher 54
สอบบรรจุขา้ ราชการครู ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย สรปุ ย่ออย่างละเอยี ด เรอื่ ง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
กลุ่มที่ 2 ทฤษฎีเก่ยี วกบั การเรียนรูใ้ นชว่ งคริสต์ศตวรรษที่ 20
ทฤษฎกี ลุม่ พฤตกิ รรมนยิ ม (Behaviorism)
สรุปทฤษฎี : สนใจเร่ืองพฤติกรรม เพราะพฤติกรรมเห็นไดช้ ัด วดั และทดสอบได้ มองธรรมชาติมนุษย์เปน็ กลาง
การกระทําของมนษุ ย์เกดิ จากอิทธิพลของส่งิ แวดล้อมภายนอก การเรยี นรู้เกิดจากการเชอื่ มโยงระหวา่ งสิง่ เร้าและการตอบสนอง
ทฤษฎีการเรยี นรู้มแี นวคดิ สาํ คญั 3 แนว คอื
1.1 ทฤษฎีการเช่อื มโยงของธอร์นไดค์(ClassicalConnectionism)
แนวคิด : การเรยี นรู้เกิดจากการเชอ่ื มโยงส่งิ เรา้ กบั การตอบสนอง บุคคลจะลองผิดลองถูกปรับเปล่ียนไป
เร่อื ยๆ จนกว่าจะพบรูปแบบการตอบสนองท่พี งึ พอใจ แล้วจะใช้เพยี งรูปแบบเดยี ว
การสอน : เปิดโอกาสให้ผู้เรียนลองผิดลองถูก สํารวจความพร้อม ส่ิงเร้าหรือรางวัลที่ผู้เรียนพึงพอใจ
เมอ่ื เกิดการเรยี นรู้แล้วครูควรฝกึ ให้นําไปใชบ้ ่อย ๆ
1.2 ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไข(ConditioningTheory)
ประกอบดว้ ยทฤษฎยี อ่ ย 4 ทฤษฎี ดงั นี้
ทฤษฎกี ารวางเงื่อนไขแบบอัตโนมัตขิ องพาฟลอฟ (PavlovsClassicalConditioning)
เนน้ การตอบสนองต่อสงิ่ เร้าทว่ี างเง่อื นไข
สรุป การเรยี นรูข้ องสิง่ มชี วี ิตเกิดจากการตอบสนองตอ่ ส่ิงเร้าท่วี างเงื่อนไข
ทฤษฎกี ารวางเงือ่ นไขแบบอัตโนมัติของวัตสัน (Watsom'sClassicalConditioning)
เน้น การตอบสนองตอ่ สง่ิ เรา้ ที่วางเงอ่ื นไข
สรปุ การเรยี นรูจ้ ะคงทนหากให้ส่งิ เรา้ ที่สมั พันธ์กนั ควบคู่สมำ่ เสมอ
ทฤษฎีการวางเงอื่ นไขแบบต่อเน่ืองของกัทธรี (GathriesContiguousConditioning)
เน้น หลกั การจงู ใจ
สรุป การเรียนรูเ้ มือ่ เกดิ ข้นึ แมค้ รั้งเดียวกน็ บั ว่าไดเ้ รยี นรู้
ทฤษฎีการวางเง่อื นไขแบบโอเปอรแ์ รนตข์ องสกนิ เนอร์ (SkinnersOperantConditioning)
เน้น การเสริมแรงหรอื ให้รางวลั
สรุป การกระทําถ้าไดร้ ับการเสรมิ แรงจะมีแนวโนม้ จะเกดิ ขนึ้ อกี การเสรมิ แรงท่แี ปรเปลย่ี น
ทําให้การตอบสนองคงทนกว่าการเสรมิ แรงตายตวั
การสอน : เสนอสิง่ เร้าในการเรยี น จดั กจิ กรรมต่อเนอ่ื ง เสรมิ แรงเพ่ือให้ผเู้ รยี นพงึ พอใจจะเรยี นรู้
สรุปเน้ือหาสอบครูผูช้ ่วย ภาค ข โดย The Teacher 55
สอบบรรจขุ า้ ราชการครู ตำแหนง่ ครผู ้ชู ว่ ย สรุปย่ออยา่ งละเอียด เร่ือง วิชาการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
1.3 ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ของฮลั ล์ (Hul'sSystematicBehaviorTheory)
แนวคิด : ถ้ารา่ งกายเมื่อยลา้ การเรยี นรูจ้ ะลดลง การตอบสนองต่อการเรียนรู้เกิดขนึ้ ดที ีส่ ดุ
เมือ่ ไดร้ ับแรงเสรมิ เวลาใกลบ้ รรลุเป้าหมาย
การสอน : คาํ นึงถงึ ความพรอ้ ม ความสามารถ และเวลาที่ผู้เรียนจะเรยี นได้ดที สี่ ุด
ทฤษฎกี ลมุ่ พุทธินิยม (Cognitivism)
สรุปทฤษฎี : กระบวนการทางปัญญาเปน็ กระบวนการภายในของสมอง การเรียนรูข้ องมนุษยไ์ ม่ใช่แค่การ
ตอบสนองตอ่ สงิ่ เร้า แต่เปน็ กระบวนการจากการสะสมขอ้ มูล สรา้ งความหมาย ความสมั พันธข์ องข้อมูล และดงึ ข้อมูลมาใช้
มี 5 ทฤษฎี คอื
2.1 ทฤษฎีเกสตัลท์ (GestaltTheory)
แนวคิด : การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิด บคุ คลจะเรยี นจากสงิ่ เร้าส่วนรวมไดด้ กี วา่ สว่ นยอ่ ย
การสอน : เนน้ การคดิ เสนอภาพรวมกอ่ นสว่ นยอ่ ย ให้คิดแก้ปญั หา ริเริ่ม และเรยี นรู้แบบหยัง่ เห็น
2.2 ทฤษฎสี นาม (FieldTheory)
แนวคดิ : การเรียนรู้เกดิ มแี รงจูงใจ ทำใหไ้ ปสู่จดุ หมายปลายทาง
การสอน : เข้าไปอยู่ใน “โลก” ของผูเ้ รยี น สรา้ งแรงจูงใจโดยจัดสิง่ แวดลอ้ มใหด้ ึงดูด
2.3 ทฤษฎเี คร่ืองหมายของทอลแมน (SignTheory)
แนวคดิ : การเรียนรูเ้ กิดจากการใชเ้ ครอื่ งหมายเป็นตัวช้ีทางสูจ่ ุดหมาย
การสอน : สรา้ งแรงขบั บรรลจุ ดุ มุ่งหมายโดยใชเ้ ครอื่ งหมายเปน็ เครื่องช้ีทางควบคู่
2.4 ทฤษฎีพฒั นาการทางสตปิ ัญญา (IntellectualDevelopmentTheory)
นักคิดคนสำคัญ คอื เพยี เจต์ (Piaget) และบรุนเนอร์ (Bruner)
แนวคดิ : เน้นพฒั นาการสตปิ ญั ญาตามวยั และมนษุ ย์เลือกรบั รู้สิง่ ทีส่ นใจ
การสอน : จดั ประสบการณแ์ ละคำนงึ ถงึ พฒั นาการทางสตปิ ญั ญา ให้มปี ฏิสัมพันธก์ ับสิง่ แวดลอ้ ม
คน้ พบการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ได้คดิ อสิ ระ และคิดแบบรวบยอด
2.5 ทฤษฎีการเรียนรูอ้ ยา่ งมีความหมายของออซเู บล (ATheoryofMeaningfulVerbalLearning)
แนวคดิ : การเรียนรูจ้ ะมีความหมาย หากเชอื่ มโยงกบั สงิ่ ทรี่ ู้มากอ่ น
การสอน : สอนความคดิ รวบยอดกอ่ นสอนเนื้อหา
สรปุ เนอื้ หาสอบครผู ู้ชว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 56
สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหน่งครูผูช้ ่วย สรปุ ยอ่ อยา่ งละเอียด เร่อื ง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
ทฤษฎีกลมุ่ มนุษยนิยม (Humanism)
(Cognitivism)
แนวคดิ : ใหค้ วามสําคญั กบั ความเปน็ มนษุ ย์ หากมอี ิสระและเสรภี าพ จะพฒั นาตนเปน็ มนุษย์ทสี่ มบูรณ์
มี 2 ทฤษฎีและ 5 แนวคดิ คือ
3.1 ทฤษฎกี ารเรยี นร้ขู องมาสโลว์
แนวคดิ : มนุษย์มีความตอ้ งการพนื้ ฐานเป็นลาํ ดบั และต้องการรูจ้ ักพฒั นาตน
การสอน : เขา้ ถึงและตอบสนองความตอ้ งการพน้ื ฐานของผู้เรียน ใหอ้ สิ ระในการเรียนรู้
3.2 ทฤษฎกี ารเรยี นรขู้ องรอเจอร์
แนวคิด : มนุษยพ์ ัฒนาตนได้ดใี นสภาวะผอ่ นคลายและอสิ ระ
การสอน : เนน้ การเรยี นรูก้ ระบวนการเปน็ สําคญั จัดสภาพแวดลอ้ มใหป้ ลอดภยั
3.3 แนวคดิ เก่ียวกบั การเรยี นรขู้ องโสมส์
แนวคิด : ความรสู้ กึ ของผเู้ รยี นสําคญั ตอ่ การเรียนรู้
การสอน : สรา้ งเจตคตทิ ด่ี ีตอ่ การเรียนรู้
3.4 แนวคดิ เกย่ี วกับการเรียนรขู้ องโนลส์
แนวคิด : เรียนได้ดีหากมีสว่ นรว่ ม มีอสิ ระ และไดร้ ับการสง่ เสริมการพฒั นาด้วยตนเอง
การสอน : ใหผ้ ู้เรยี นมสี ว่ นรว่ มในการเรยี น เปดิ โอกาสใหเ้ ลือกสงิ่ ทีเ่ รียน
และวธิ เี รยี นด้วยตนเอง ลงมือทาํ และยอมรับผลการตัดสินใจของตน
3.5 แนวคดิ เกยี่ วกับการเรียนรขู้ องแฟร์
แนวคดิ : ปลดปลอ่ ยผู้เรยี นจากการกดขี่ของครู ผู้เรียนมีศกั ยภาพท่ีจะทําด้วยตนเอง
การสอน : เน้นการให้อสิ รภาพและเสรีภาพในการเรยี นรูแ้ ก่ผู้เรียน
3.6 แนวคิดเกยี่ วกับการเรยี นรู้ของอลิ ลชิ
แนวคิด : ต้องเลกิ ระบบโรงเรยี น ใหเ้ ป็นการศึกษาตลอดชีวติ ตามธรรมชาติ
การสอน : จัดการศกึ ษาตอ่ เนือ่ งตลอดชวี ติ ตามธรรมชาติ
3.7 แนวคดิ เกย่ี วกับการเรียนร้ขู องนีล
แนวคดิ : มนุษย์มคี วามดโี ดยธรรมชาติ ถา้ อยูใ่ นส่ิงแวดล้อมทอี่ บอนุ่ และอสิ ระจะพฒั นาในทางที่ดี
การสอน : ใหเ้ สรภี าพ ให้เรยี นเมอื่ พรอ้ ม ชว่ ยให้พัฒนาตามธรรมชาติ
4. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มผสมผสานของกาเย่ (Gagne'seclecticism)
แนวคดิ : ความรมู้ ีหลายประเภท บางประเภทเขา้ ใจงา่ ย บางประเภทเข้าใจยาก
การสอน : การจดั การเรียนรู้เร่มิ จากง่ายไปยากมี 9 ขนั้ ดังนี้
ขน้ั ที่ 1 สร้างความสนใจ ขน้ั ที่ 6 ใหล้ งมือปฏิบตั ิ
ขนั้ ท่ี 2 แจง้ จุดประสงค์ ขน้ั ท่ี 7 ใหข้ อ้ มูลป้อนกลบั
ขน้ั ท่ี 3 กระตุ้นใหร้ ะลกึ ถึงความรู้เดมิ ขน้ั ท่ี 8 ประเมินพฤติกรรมการเรียนรูต้ ามจุดประสงค์
ขนั้ ท่ี 4 เสนอบทเรียนใหม่ ขนั้ ที่ 9 สง่ เสริมความแม่นยาํ และการถา่ ยโอนการเรยี นรู้
ขนั้ ที่ 5 ใหแ้ นวทางการเรียนรู้
สรปุ เนือ้ หาสอบครูผชู้ ว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 57
สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหน่งครูผู้ชว่ ย สรปุ ย่ออย่างละเอียด เรือ่ ง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
กลุ่มท่ี 3 ทฤษฎีการเรยี นรูแ้ ละการสอนรว่ มสมัย
ทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลขอ้ มลู (Information Processing Theory)
แนวคิด : การทำงานของสมองมนษุ ยค์ ล้ายคอมพิวเตอร์ การท่องซำ้ ๆ การทบทวน หรอื
การสอน : การนำเสนอสิ่งเร้าทีผ่ เู้ รียนรูจ้ ักจะช่วยให้ใสใ่ จ การใช้กระบวนการขยายความคดิ
และรับรูส้ ิ่งนัน้ หากตอ้ งการใหจ้ ดจำไดน้ าน จะตอ้ งเข้ารหัส (encoding) เพอ่ื นำเข้าหนว่ ยความจำระยะยาว
ทฤษฎีพหปุ ญั ญา (Theory of Multiple Inteligences)
แนวคิด :
(1) เชาวนป์ ญั ญาของบคุ คลมี 8 ประเภท
- ด้านภาษา - ด้านการเคล่อื นไหวรา่ งกายและกลา้ มเน้ือ
- ด้านคณติ ศาสตร์ - ด้านความสัมพันธ์กบั ผอู้ น่ื ประเมนิ หลายดา้ น
ประเมนิ การแกป้ ัญหาท่ี
- ด้านมติ สิ ัมพนั ธ์ - ด้านความเข้าใจตนเอง สัมพนั ธก์ บั เชาวน์ปัญญา
- ด้านดนตรี - ด้านความเขา้ ใจธรรมชาติ
(2) เชาวนป์ ญั ญาของแตล่ ะบคุ คลไมอ่ ยคู่ งที่ แตเ่ ปลยี่ นแปลงได้ หากมกี ารสง่ เสรมิ ทเี่ หมาะสม
การสอน : มีการเรียนร้หู ลากหลาย ใหค้ น้ หาและภูมิใจเอกลกั ษณข์ องตน และเคารพเอกลกั ษณ์ผู้อน่ื
ทฤษฎกี ารสรา้ งความรูด้ ้วยตนเอง (Constructivism)
แนวคดิ : ใหค้ วามสําคัญกบั กระบวนการของบุคคลในการสร้างความรู้จากประสบการณ์
ผเู้ รยี นจดั กระทำกบั ข้อมูล และเปน็ กระบวนการด้านสตปิ ัญญาและสงั คม ประเมนิ ดว้ ยวธิ ยี ืดหยุ่น
การสอน : เนน้ กระบวนการสรา้ งความรู้ (process of knowledge วัดผลต้องเสมือนจรงิ
construction) มกี ารแปลและสร้างความหมายทหี่ ลากหลาย ผ้เู รยี นเป็นผ้จู ัดกระทำกบั ข้อมลู
และสรา้ งความหมายให้สิ่งนั้นดว้ ยตนเอง โดยผ้เู รยี นอยู่ในบรบิ ทจรงิ
ทฤษฎีการสร้างความร้ดู ้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ช้ินงาน(Constructionism)
แนวคดิ : การเรยี นรู้เกิดจากการสร้างพลังความรใู้ นตน ประเมนิ ดา้ นผลงานและกระบวนการ
ถ้าได้สรา้ งชิ้นงานจะทาํ ใหค้ วามคดิ เปน็ รูปธรรม เช่น ครูและเพื่อนประเมนิ สังเกต หรอื ใช้
การสอน : ครูอำนวยความสะดวกในการเรยี น แฟม้ สะสมงาน
สรุปเนอ้ื หาสอบครูผ้ชู ่วย ภาค ข โดย The Teacher 58
สอบบรรจขุ ้าราชการครู ตำแหนง่ ครผู ้ชู ว่ ย สรุปย่ออย่างละเอียด เรอ่ื ง วิชาการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
. ทฤษฎีการเรียนรูแ้ บบร่วมมือ (Theory of Cooperative or Colaborative Learning)
แนวคิด : การเรียนกลมุ่ ยอ่ ยโดยสมาชกิ กลมุ่ มคี วามสามารถตา่ งกนั ประเมนิ ดา้ นปริมาณและคณุ ภาพ
ช่วยกันเรยี นรู้ โดยมีการแขง่ ขนั ต่างคนตา่ งเรยี น และช่วยกนั เรียนรู้ ให้วิเคราะห์การทำงานและพฤติกรรมกลมุ่
เพื่อมโี อกาสปรบั ปรุงสว่ นบกพร่อง
การสอน : ใหผ้ ู้เรยี นชว่ ยกนั เรียนรู้ ปรกึ ษาหารือกนั
ทำงานร่วมกันเป็นกลมุ่ วิเคราะห์กระบวนการของกลุ่ม และแบ่งหน้าท่ี
รูปแบบการจัดการเรยี นรทู้ เ่ี น้นผเู้ รียนเปน็ สำคัญ
หมายถึง การจดั กิจกรรมท่ีสอดคลอ้ งกบั การดํารงชีวติ เหมาะสมกับความสามารถและความสนใจของผูเ้ รียน
โดยใหผ้ ู้เรียนมสี ่วนรว่ มและลงมอื ปฏบิ ัตจิ รงิ จนเกิดการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง
หลักการจัดการเรยี นรู้ท่ีเน้นผเู้ รียนเปน็ สำคญั แปลความ สงั เคราะห์ขอ้ มูล
(1) ใหผ้ ู้เรียนเป็นผสู้ รา้ งความรูด้ ว้ ยตนเอง ดงั นี้ สรา้ งความหมายแก่ตนเอง สรุปข้อความรู้
แสวงหาข้อมูล ตคี วาม
ศึกษาทำความเข้าใจ คดิ วเิ คราะห์
(2) ให้ผู้เรยี นมบี ทบาทและมสี ว่ นรว่ มในกระบวนการเรียนรูใ้ หม้ ากทส่ี ุด
(3) ใหผ้ ูเ้ รยี นมปี ฏสิ มั พนั ธ์ซึ่งกนั และกัน
(4) ให้ผูเ้ รยี นได้เรียนรู้ "กระบวนการ" ควบคูไ่ ปกับ “ผลงาน/ขอ้ ความรทู้ ส่ี รปุ ได้"
(5) นำความรูท้ ่ีไดร้ บั ไปใชใ้ นชวี ติ ประจาํ วนั
1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความร้ดู ว้ ยตนเอง (Constructivity)
(1) วิธสี อนแบบแก้ปญั หา (Problem-SolvingMethod) 1)กำหนดปัญหา 2)วิเคราะหป์ ํญหา 3)ตง้ั สมมุตฐิ าน
ผคู้ ดิ : จอหน์ ดวิ อี้ (John Dewey) 4)รวบรวมขอ้ มูล 5)วเิ คราะหข์ อ้ มูล 6)สรุปผล
แนวคดิ : สอนใหน้ กั เรยี นคดิ แกป้ ัญหาโดยตงั้ สมมติฐาน
(2) วธิ ีสอนแบบวิทยาศาสตร์ (ScientificMethod)
แนวคดิ : สอนโดยใช้หลกั การทางวิทยาศาสตร์ ใหน้ ักเรยี นค้นพบปญั หาแล้วหาทางแกไ้ ข
ด้วยกระบวนการแกป้ ญั หาทางวทิ ยาศาสตร์ 5 ขน้ั (Scientific Method) ดงั น้ี
1) กําหนดขอบเขตของปญั หา (Location of Problem) 4) วิเคราะห์ขอ้ มูล (Analysis of Data)
2) ตง้ั สมมตฐิ าน (Setting up of Hypothesis) 5) สรุป (Conclusion) ☺ เขต-สม-ลอง-เคราะห์-สรุป
3) ทดลองและรวบรวมขอ้ มูล (Experimenting and Gathering of Data)
สรุปเนือ้ หาสอบครูผชู้ ว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 59
สอบบรรจขุ ้าราชการครู ตำแหน่งครผู ู้ชว่ ย สรปุ ยอ่ อย่างละเอียด เร่ือง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
(3) วิธีสอนตามขนั้ ทง้ั สขี่ องอริยสจั (Buddhists Method)
เปรยี บเทยี บการสอน
การสอนของอริยสัจสี่ วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์
1) ทกุ ข์ 1) กำหนดปัญหา
2) สมุทัย 2) การตง้ั สมมติฐาน
3) นิโรธ 3. การทดลองและเก็บขอ้ มูล
4) มรรค 4. วเิ คราะห์ขอ้ มูล
5. การสรุปผล
(4) การเรยี นรแู้ บบ 4 MAT หรอื การจดั กิจกรรมการเรยี นให้สอดคลอ้ งกบั การทำงานของสมอง
ผคู้ ดิ : เบอร์นสิ แมคคารธ์ ี
แนวคิด : ม่งุ พัฒนาทั้งสมองซีกซ้ายและซกี ขวา ข้อสอบ : ถามเก่ยี วกับรายลละเอยี ดของสมองสองซกี
☺ ซา้ ย จำ-วิเคราะห์- สมองซกี ซา้ ย สมองซกี ขวา
เหตุผล-ภาษา
ขวา อารมณ์ – ภาษา ความจำ รายละเอยี ด การมองภาพรวม จินตนาการ
เคล่ือน-มิติสัมพันธ์ จดั ลำดบั วิเคราะห์ เหตุผล อารมณ์ การเคลื่อนไหว มติ ิสัมพันธ์
นอกจากนั้นยงั เสนอว่า ผเู้ รียนมอี ยู่ 4 แบบ ดังน้ี
1) ผ้เู รยี นถนัดใช้จินตนาการ (Imaginative Learners) ☺ Why ทำไม ชอบใชจ้ นิ ตนา
ชอบถามเหตผุ ลวา่ “ทำไม” หรอื “Why?”
ขบคิด หาเหตผุ ล และสรา้ งความหมายเฉพาะของตนเอง What อะไร ให้พาวเิ คราะหห์ นอ
How อยา่ งไรจติ สำนกึ ให้พอ
2) ผ้เู รยี นถนดั การวเิ คราะห์ (Analytic Learners) If วา่ ต่อ ถา้ อยา่ งนน้ั ฉนั พบเอง
ชอบถามว่าข้อเท็จจริงคือ “อะไร” หรือ “What?”
ชอบเรียนรูแ้ บบดั้งเดมิ โดยอาศยั ข้อเท็จจรงิ แลว้ วเิ คราะหเ์ พอื่ นำไปสู่แนวคดิ
3) ผ้เู รียนถนัดใชส้ ามัญสำนกึ (Commonsense Learners)
ชอบถามวา่ “อยา่ งไร” หรอื “How?”
ชอบปฏิบตั ิจรงิ แกป้ ัญหาด้วยการวางแผนจากข้อมูลนามธรรมสร้างเป็นรูปธรรม
4) ผ้เู รยี นทส่ี นใจคน้ พบความรดู้ ว้ ยตนเอง (Dynamic Learners)
ชอบตง้ั เงื่อนไข “ถ้าอยา่ งนน้ั ” “ถา้ อยา่ งน้ี” หรอื “If”
ชอบสมั ผสั กบั ของจรงิ ทำส่งิ ทสี่ นใจ และคน้ พบความรูเ้ อง รบั คำแนะนำประมวลเปน็ ความรูใ้ หม่
สรุปเน้อื หาสอบครผู ู้ชว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 60
สอบบรรจขุ ้าราชการครู ตำแหน่งครผู ูช้ ่วย สรุปยอ่ อย่างละเอียด เรือ่ ง วชิ าการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
(5) การเรยี นรู้แบบซิปปา โมเดล (CIPPAMODEL) ขอ้ สอบ : ถามเก่ยี วกับความหมายของพยญั ชนะ
ผ้คู ิด : ทศิ นา แขมมณี
แนวคดิ : มี 5 องค์ประกอบนำไปใช้โดยไม่มีรูปแบบเฉพาะ ดังน้ี ☺ C คือสรา้ งเองไง
C : Construct สร้างความรูด้ ้วยตนเอง สว่ นตัว I ปฏสิ มั พนั ธ์
I : Interaction มีปฏสิ ัมพันธ์ต่อกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ P แรกเคล่อื นไหวกนั P สองน้ันกระบวนการ
และแล้วอย่าลืมพลนั A นน้ั นำไปใช้
P : Physical Participation เคล่ือนไหวรา่ งกายในกิจกรรม
P : Process Learning การเรียนรกู้ ระบวนการทจี่ ำเปน็
A : Application นำความรูป้ ระประยุกตใ์ ช้
(6) การเรียนร้ทู ใี่ ช้สมองเป็นพ้ืนฐาน BBL (Brain Based Learning)
แนวคดิ : การจดั การเรยี นรู้ท่สี อดคลอ้ งกับพัฒนาการของสมองแตล่ ะชว่ งวยั นำองคค์ วามรู้เรอ่ื งสมองมาใช้
เป็นฐานในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ โดยมีกุญแจ 5 ดอก คอื
กุญแจดอกที่ 1 สนามเด็กเล่น (Playground) ☺ กุญแจ 5 ดอก บอกสนาม
พฒั นาสมองนอ้ ยและไขสันหลงั สมอง ลองกระบวนการ ใบงาน
หนงั สอื สือ่ นวัตกรรม
Make สนามมฐี านหลากหลาย
Move เด็กเลน่ สนามวนั ละ 20-30 นาทีทกุ วนั
กญุ แจดอกท่ี 2 ห้องเรยี นเปล่ียนสมอง (Brainy Classroom)
เปลี่ยนสมองดว้ ยสิง่ แวดล้อมท่ีแปลกใหม่
Color ปรบั ปรงุ ห้องเรยี นมสี ีสนั Corner จดั มมุ อ่านในห้อง
Clean ทง้ิ ของท่ีไม่ใช้ วางให้เป็นระเบยี บ Clear รื้อบอรด์ ไร้ประโยชนท์ ง้ิ และทำบอร์ดมีประโยชน์
กญุ แจดอกที่ 3 พลกิ กระบวนการเรยี นรู้ (Learning Process)
ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ โดยเขา้ ใจสมอง
One กระตนุ้ สมองนอ้ ย ดว้ ยกิจกรรมขยับกายขยายสมองทกุ ตน้ ช่วั โมง
Two กระตุ้นสมองสองซกี ด้วยเพลงและกลอน ชว่ ยสอนภาษาและคณิตศาสตร์
Four กระตุ้นสมองสีส่ ่วน โดยไดเ้ หน็ ภาพ ไดย้ นิ เสียง ได้เคล่อื นไหว และได้สัมผสั
กญุ แจดอกท่ี 4 หนงั สือเรยี นและใบงาน (Book and worksheet)
ใช้หนังสอื และใบงานท่ีสอดคล้องกับการทำงานของสมอง
Brainy Books หาหนังสือเรียน และหนังสอื อ่านทสี่ ง่ เสริมการคิด
Brainy Worksheets ทำใบงานตามหลกั การ BBL
กุญแจดอกท่ี 5 สอื่ และนวัตกรรมการเรยี นรู้ (Innovations)
ใช้สอ่ื และนวตั กรรมแปลกใหม่ ตนื่ เตน้ มสี สี ัน และเพยี งพอ
Learning Tools สื่อและอุปกรณท์ จี่ ำเปน็
Learning Board กระดานเคลื่อนที่สำหรบั อนบุ าลและประถม
Learning Cards บัตรภาพ บัตรคำ
สรุปเน้อื หาสอบครผู ูช้ ่วย ภาค ข โดย The Teacher 61
สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหนง่ ครูผ้ชู ่วย สรุปย่ออย่างละเอียด เร่อื ง วิชาการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
2) รปู แบบการจดั การเรยี นการสอนแบบบรู ณาการ (Integration)
แนวคดิ : บรู ณาการ หมายถึง การนาํ ศาสตร์ทส่ี มั พนั ธก์ นั มาผสมผสานกนั การสอนแบบบูรณาการ เน้นองคร์ วม
ของเนอ้ื หามากกวา่ องคค์ วามรู้ของแตล่ ะรายวชิ า และเน้นท่ีการสรา้ งความรูข้ องผเู้ รยี นมากกว่าการให้เนื้อหาโดยตัวครู
1. การบูรณาการแบบผูส้ อนคนเดียว
ลกั ษณะ : เชอ่ื มโยงสาระการเรยี นรู้กับเรื่องทส่ี อดคลอ้ งกบั ชวี ติ จริง หรอื สาระท่กี ําหนดขนึ้
Ex. : ครูเช่อื มโยงเรื่องมหาเวสสันดรชาดก ม.4 เขา้ กับบญุ ผะเหวด
2. การบูรณาการแบบคูข่ นาน ขอ้ สอบ : ถามเก่ียวกับลกั ษณะการบูรณาการ
ลกั ษณะ : ครูผู้สอนต้งั แต่ 2 คนขึน้ ไป ยดึ หวั ขอ้ เรอื่ งหนง่ึ แล้วบูรณาการแบบคูข่ นาน
Ex. : ครูสังคมสอนประวตั ศิ าสตรท์ ้องถิ่น และครูภาษาไทยสอนภาษาถน่ิ
3. การบรู ณาการแบบสหวิทยาการ ☺ บรู เดยี วสอนเชื่อมโยง สองคนไม่งงสอนคขู่ นาน
ลกั ษณะ : นำเนอ้ื หาจากหลายกลมุ่ สาระมาเช่ือมโยง
สหวทิ ยาการตัง้ หัวข้อ คิดตอ่ สร้างโครงงาน
โดยสอนเรอ่ื งเดยี วกนั รว่ มกนั
Ex. : กำหนดสอนเรอื่ งวันสุนทรภู่ ครูภาษาไทยสอนวรรณคดขี องสุนทรภู่ ครูวทิ ยาศาสตร์สอนเรอื่ ง
พนั ธุกรรมในผีเสื้อสมุทรและสนิ สมทุ ร ครูสังคมศกึ ษาสอนประวัตศิ าสตร์รัตนโกสินทร์ตอนต้น ยคุ สนุ ทรภู่
4. การบูรณาการแบบโครงการ
สอนโดยบูรณาการเป็นโครงการทสี่ รา้ งรว่ มกนั โดยผเู้ รยี นและครูผสู้ อน เวลาเรียนจะรวมเวลาครูทุกคนในทมี
5. การเรียนการสอนแบบ Storyline Method
ผ้คู ิด : ดีฟ เบลล์ (Steve Bel)
แนวคิด : ผกู เรอื่ งแตล่ ะตอนใหต้ ่อเนอื่ ง เรยี งเหตกุ ารณ์ และใชค้ าํ ถามหลกั เป็นตวั นําใหน้ ักเรียนทาํ กิจกรรม
เพอื่ สรา้ งองค์ความรูด้ ว้ ยตนเอง
องค์ประกอบสำคัญมี 4 องค์ประกอบ คอื
1) ฉาก โดยระบสุ ถานทีแ่ ละเวลาโดยเฉพาะ 2) ตวั ละคร อาจเปน็ คนหรือเปน็ สตั ว์
3) วถิ กี ารดำเนนิ ชวี ติ เพ่อื ใชใ้ นการศกึ ษา 4) ปญั หา ทใ่ี ห้ผ้เู รยี นฝกึ แกไ้ ข
3) รปู แบบการจดั การเรียนรแู้ บบเน้นประสบการณ์(ExperimentalInstruction)
เปน็ วธิ ีการสง่ เสริมการรับความรูจ้ ากประสบการณ์ และการสะทอ้ นความคิดเหน็ ท่มี ตี ่อสิ่งต่าง ๆ
(1) การเรยี นรู้แบบแสดงบทบาทสมมุติ (Role-Playing)
วิธีสอนทก่ี ำหนดใหแ้ สดงบทบาทตามสมมุติขึ้น เทยี บกับสภาพจรงิ หรือแสดงออกตามทคี่ ดิ วา่ ควรจะเปน็
เพ่อื ใหเ้ ข้าใจในสงิ่ ทเี่ กิดข้ึน ต่างจากเกมจำลองสถานการณ์ เพราะไมม่ กี ารแขง่ ขัน
(2) การเรียนรแู้ บบแสดงละคร (Dramatization)
เรียนรู้โดยใช้เน้อื หาของบทละคร ไมน่ ำความรสู้ กึ นกึ คดิ ของตนเขา้ ไปใส่เหมอื นบทบาทสมมติ
สรปุ เนื้อหาสอบครผู ชู้ ่วย ภาค ข โดย The Teacher 62
สอบบรรจขุ า้ ราชการครู ตำแหนง่ ครูผ้ชู ว่ ย สรุปยอ่ อย่างละเอียด เรอ่ื ง วิชาการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
(3) การเรยี นรู้แบบสถานการณ์จำลอง (Simulation)
ให้ผู้เรยี นอยู่ในสถานการณท์ ี่สร้างขึน้ เพ่อื คิดแก้ปญั หา ตดั สินใจตามสภาพการณ์ทีก่ ำลงั เผชิญอยู่
(4) การเรียนรแู้ บบใช้เกม (Game)
ใช้เกมเพอื่ ให้เกิดการเรียนรู้ โดยเลน่ เกมตามกตกิ า แลว้ นำข้อมูลเกม พฤตกิ รรมการเล่น
วิธกี าร และผลการเล่นมาอภิปรายเพ่ือสรุปผล
(5) การเรียนร้โู ดยใชก้ รณีตัวอย่าง (Case Study)
ใชก้ รณีหรือเรอ่ื งทเ่ี กิดขึน้ จริงมาดดั แปลง เพ่ือให้ผเู้ รียนไดศ้ กึ ษา วิเคราะห์ เพอ่ื ใหเ้ กิดการเรียนรู้
(6) การเรยี นรู้โดยการจดั ประสบการณ์ (Experiential Activities Planning:EPA)
ประกอบด้วย 6 ขน้ั ตอนคือ
1) อ่นุ เครือ่ ง (Warm up) สร้างบรรยากาศการเรยี นรู้ท่ีเหมาะสม และเตรยี มความพรอ้ ม
2) แนะนําปญั หา (Problem Identification) เสนอโจทยส์ นกุ เรยี นรดู้ ูแลว้ สะเทอื นใจ
3) ไตร่ตรองทางแกเ้ ฉพาะตน (Individual Exploration) ส่งเสริมการเรียนร้ภู ายใน เขา้ ใจและหาทางแก้ปญั หา
4) ระดมสมองทางออกโดยกลุม่ (Group World) ส่งเสรมิ การเรียนร้จู ากกลุม่ และมุมมองทีห่ ลากหลาย
5) สือ่ สารหาทางออก (Communication) ฝกึ ตัดสนิ ใจ เสนอความคดิ และพฒั นาทักษะการวพิ ากษ์
6) ถอดรหัสปรับใช้ (Debriefing) เขา้ ใจกระบวนการเรยี นรูข้ องตน แตกฉานในศาสตร์ และเปล่ยี นการกระทาํ
4) รูปแบบการจดั การเรียนร้แู บบร่วมมือ (Co-operativeLearning)
การจดั การเรยี นรู้แบบรว่ มมอื หมายถงึ การจดั การเรียนการสอนท่ีแบง่ ผูเ้ รียนออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ส่งเสริมผูเ้ รยี น
ใหท้ ํางานรว่ มกันมีการปฏสิ ัมพนั ธ์ เปน็ ประชาธิปไตย และชว่ ยเหลอื กัน
(1) คิดและคยุ กัน (Think-Pairs-Share) เพ่อื นเรยี น (Partners) และผลัดกันพูด (SayandSwitch)
จับคู่กนั ตอบคำถาม
(2) กจิ กรรมโต๊ะกลม (Roundtable) หรือ (Roundorbin)
การสอนทีผ่ เู้ รียนเป็นกลุ่ม เปดิ โอกาสให้เล่าหรอื เขียนความเห็นของตน เล่าประสบการณห์ รือสงิ่ ท่ี
กำหนดใหจ้ นครบทุกคน
(3) ค่ตู รวจสอบ (PairsCheck) มุมสนทนา (Conner’s) รว่ มกนั คิด (NumberedHeadsTogether)
แบ่งผู้เรยี น เป็นกลุ่มย่อยคละเพศและความสามารถ ให้ช่วยตอบคำถาม เมือ่ ทำได้แล้วก็เปิดโอกาส
ใหต้ รวจคำตอบกับกล่มุ อ่ืน
(4) การสมั ภาษณแ์ บบสามข้ันตอน (Three-stepInterview)
นกั เรียนจับกลุ่มกัน คนท่ี 1 เป็น ผู้สัมภาษณ์ คนท่ี 2 เปน็ ผตู้ อบ คนท่ี 3 เปน็ ผแู้ สดงความคดิ เห็น
หลังจากสัมภาษณ์จบลงเรอื่ งหนึ่งจะสลับบทบาทกัน เมอ่ื สัมภาษณค์ รบ ผู้เรยี นแต่ละกลุ่มย่อยผลดั กันเล่าสิง่ ท่ีตนไดร้ ู้
(5) เทคนคิ STAD (StudentAchievementDivisions)
สอนสมาชิกในกลุ่ม 4 คน มรี ะดับสตปิ ญั ญาตา่ งกนั ครูกำหนดบทเรียนและงาน แล้วจึงสอนเน้ือหา
จากน้ันใหก้ ลุ่มทำงานช่วยกนั เด็กเกง่ ตรวจงาน สว่ นสอบต่างคนตา่ งทำ นำคะแนนทุกคนรวมเปน็ คะแนนกลมุ่
สรุปเนอ้ื หาสอบครูผูช้ ่วย ภาค ข โดย The Teacher 63
สอบบรรจุขา้ ราชการครู ตำแหนง่ ครผู ูช้ ่วย สรุปยอ่ อย่างละเอียด เรอื่ ง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
(6) เทคนิค TGT (Team-GamesTournament)
จัดกลมุ่ เหมอื น STAD ไม่สอบทกุ สปั ดาห์ ทมี ที่มีความสามารถเทา่ กันจะแข่งตอบปัญหา
จดั กลมุ่ ใหม่ทกุ สปั ดาห์ พิจารณาจากความสามารถของบุคคล
(7) เทคนคิ TAI (Team-Assisted Individualization)
สอนสมาชกิ ของกลุ่ม 4 คน ความรู้ต่างกนั ครูเรียกคนท่ีระดบั ความรูเ้ ดยี วกันของแต่ละกลุ่มมาสอน
ความยากง่ายเนอื้ หาต่างกัน ทกุ คนสอบโดยไมม่ ชี ว่ ยเหลือกัน ใหร้ างวลั ทีมทคี่ ะแนนดีกวา่ เดมิ
(8) เทคนิค CIRC (Cooperative-Integrated Readingand Composition)
สำหรับการอ่าน เขยี น และทักษะอื่นทางภาษา สมาชกิ ในกลุ่ม 4 คน มคี วามรู้เท่ากัน 2 คน
อีก 2 คน ก็เทา่ กนั แตร่ ะดบั ความรู้ตา่ งจาก 2 คนแรก ครูผู้สอนเรียกคูท่ ่ีความรูเ้ ท่ากนั ทกุ กลมุ่ มาสอนให้กลับเข้ากล่มุ
แลว้ เรียกคูถ่ ัดไปจากทกุ กลุ่มมาสอน คะแนนกลุม่ พิจารณาจากคะแนนสอบสมาชิกเปน็ รายบคุ คล
(9) เทคนคิ Jigsaw
มอบหมายใหส้ มาชิกในกลมุ่ ศกึ ษาเนอื้ หาที่ต่างกัน จากน้ันไปศกึ ษาเนื้อหาทเี่ หมือนกันจากกลุ่มอน่ื
เมื่อเข้าใจแล้วกลับเข้ากลุม่ เดมิ แล้วเล่าเรอื่ งทต่ี นศกึ ษาให้ฟังโดยเรยี งลำดบั เสรจ็ แล้วใหส้ มาชกิ คนหนึ่งสรปุ เนอ้ื หา
5) รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยี (Technology–Related Instruction)
(1) ศูนย์การเรยี น (LearningCenter)
จดั สภาพแวดลอ้ มห้องเรียนท่ีมุง่ เน้นกจิ กรรมการเรยี น
แบ่งนกั เรียนออกเป็น 4-6 กลุ่ม เรียกว่า ศนู ย์การเรียน
แต่ละกลมุ่ มีสอ่ื การเรียนท่ีใสซ่ องหรอื กลอ่ งเป็นศูนย์กิจกรรม โดยมีเนื้อหาและอปุ กรณ์ต่างกัน
การสอนจะแบ่งผูเ้ รียนออกเป็นกลมุ่ ตามจำนวนศนู ยก์ ิจกรรม แตล่ ะกลมุ่ มจี ํานวน 6 คน
เวยี นประกอบกิจกรรมท่ีละ 15-20 นาที จนครบทกุ ศูนย์ และมคี รูเปน็ ผ้ดู ูแล
(2) ชุดการสอน (InstructionPackage)
การนำระบบส่อื ประสม (Multi-media) ทีส่ อดคล้องกบั เนื้อหามาช่วยจัดการเรียนรู้ มีหลายลักษณะ เช่น
ชุดการสอนแบบกิจกรรม แบบบรรยาย หรือรายบุคคล
(3) คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน (Computer - Assisted Instruction: CM) ข้อสอบ : สอ่ื ประสมอยูใ่ นการจดั การเรียนรแู้ บบใด ?
ใช้คอมพวิ เตอร์นําเสนอสื่อประสมอนั ไดแ้ ก่ ขอ้ ความ ภาพนิ่ง กราฟิก แผนภูมิ กราฟ วดี ิทศั น์
ภาพเคลอื่ นไหว และเสียง เพ่อื ถ่ายทอดเน้ือหา จําแนกได้ 7 ประเภทได้แก่
1) แบบฝกึ ทกั ษะและแบบฝกึ หดั (dril and practice) มแี บบฝึกหัด และทวนบทเรียนได้
2) แบบเจรจา (dialogue) โต้ตอบได้ ใชเ้ รียนภาษา
3) แบบจำลองสถานการณ์ (simulation) ใช้เรยี นทเี่ รียนกบั ของจริงยาก หรอื เสี่ยงอนั ตราย
4) เกม (game) เกมท่ีทำดว้ ยคอมพิวเตอร์
5) การแกป้ ญั หา (problem solving) คอมพิวเตอร์สุ่มขอ้ มูล ใหน้ กั เรยี นแก้ปัญหา
6) การคน้ พบสงิ่ ใหม่ (investigation) จดั สถานการณ์ข้นึ แล้วใหค้ น้ หาข้อเท็จจริง
7) การทดสอบ (testing) ทดสอบความรู้โดยคอมพวิ เตอร์
สรุปเนอื้ หาสอบครผู ูช้ ว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 64
สอบบรรจขุ า้ ราชการครู ตำแหน่งครผู ชู้ ่วย สรปุ ย่ออย่างละเอียด เรือ่ ง วิชาการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
(4) E-Learning ข้อสอบ : E-Learning หมายถงึ อะไร ?
การเรยี นท่ใี ชเ้ ทคโนโลยที กี่ า้ วหนา้ เป็นสื่อกลางของการเรียนรู้ Ex. ืจ ผ บ็
้
(5) หอ้ งเรยี นเสมือนจรงิ (VirtualClassroom)
สอนผ่านระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ที่เช่ือมโยงคอมพิวเตอรข์ องผู้เรียนกับผ้ใู ห้บริการเครือข่าย
โดยเขา้ สู่เว็บไซต์ประจาํ วชิ าและเรียนตามระบบการเรียนทอี่ อกแบบไว้ในลกั ษณะห้องเรยี นเสมอื นจริง
(6) ห้องเรยี นอัจฉริยะ (SmartClassroom) ขอ้ สอบ : Smart Classroom หมายถึงอะไร ?
ห้องเรยี นหรอื แหลง่ การเรียนรู้ทจ่ี ดั ทำขน้ึ ในลกั ษณะพเิ ศษ เพ่อื สร้างเสรมิ ประสบการณ์ ดังนี้
S : Showing นำเสนอขอ้ มูลสารสนเทศผ่านสือ่ เทคโนโลยีการสอน M : Manageable การบรหิ ารจดั การส่ืออปุ กรณ์ A : Accessible
การเขา้ ถงึ แหลง่ ขอ้ มูล R : Real-time Interactive ปฏิสมั พนั ธ์ในการสร้างประสบการณ์ และ T : Testing ดา้ นการทดสอบ
(7) MOOCs (Massive Open Online Courses) ขขอ้อ้ สสออบบ :: ข้อใดคอื เครอื ข่ายทเี่ รยี นออนไลน์ทวั่ โลก ไมจ่ ำกัดจำนวน ?
ระบบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ระบบเปดิ สำหรับมหาชน เขา้ เรียนได้ไมจ่ ำกัดคน เป็นระบบเปดิ
ไมเ่ สยี ค่าใช้จ่าย ใช้เทคโนโลยีเป็นเครอ่ื งมอื ต่างจาก E-Learning คอื MOOCs มรี ะยะเวลาเปดิ ปดิ เหมอื นหอ้ งเรยี นปกติ
6) รปู แบบการจัดการเรียนรู้ หมวกความคิด 6 ใบ(SixThinkingHats)
ผ้คู ิด : เอด็ เวิร์ด เดอ บรูโน ขอ้ สอบ : มักถามเกยี่ วกับสี และคำถามของหมวก
แนวคิด : การคิดที่พฒั นาสมองใหส้ ามารถคดิ ไดห้ ลากหลาย ควบคุมความคดิ ใหเ้ ป็นระบบและเปน็ ไปใน
ทิศทางเดยี วกัน โดยเมื่อเปล่ียนสหี มวกก็จะเปลีย่ นแนวความคิดดว้ ย มีท้ังหมด 6 สี ดังนี้
หมวกสขี าว คอื คิดเกี่ยวกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ Ex.เรามขี ้อมูลอะไรบ้าง หมวกสแี ดง คอื อารมณ์ Ex.เรารู้สกึ อยา่ งไร
หมวกสดี ำ คือ เหตผุ ลด้านลบ Ex. อะไรคอื จดุ ออ่ น หมวกสเี หลอื ง คอื เหตผุ ลดา้ นบวก Ex.จุดแข็งคอื อะไร
หมวกสเี ขยี ว คือ ความคิดสรา้ งสรรค์ Ex.ทำให้ดขี นึ้ ต้องทำอย่างไร หมวกสฟี า้ คอื การจดั ระเบยี บ Ex.ขัน้ ตอ่ ไปคอื อะไร
7) รูปแบบการจดั การเรียนรแู้ บบใช้ปัญหาเปน็ ฐาน (ProblemBasedLearning: PBL)
ผเู้ รียนสรา้ งความรใู้ หม่ จากปญั หาทีเ่ กดิ ขึ้นในโลกความจริงเป็นบริบทของการเรียนรู้ เพื่อใหเ้ กิดทักษะคิดวิเคราะห์
และแก้ปัญหา และวิชาตามศาสตรข์ องตน การเรียนวิธนี ี้จงึ ตอ้ งอาศัยความเข้าใจและแก้ไขปัญหาเปน็ หลัก
ลกั ษณะทส่ี ำคญั ของ PBL คือ
- ผเู้ รียนเปน็ ศูนย์กลางของการเรียนรู้อย่างแทจ้ ริง (student-centered learning)
- การเรียนรูเ้ กดิ ขึน้ ในกลุ่มผู้เรียนท่ีมีขนาดเลก็ ข้อสอบ : การจัดการเรยี นร้ใู ด เน้นการแกป้ ญั หา ?
- ครูเปน็ ผ้อู ำนวยความสะดวก (facilitator)
- ใชป้ ญั หาเปน็ ตัวกระตุ้นให้เกดิ การเรยี นรู้
- ปญั หาท่ีใช้ตอ้ งคลุมเครอื 1 ปัญหาอาจมคี ำตอบไดห้ ลายคำตอบ (iled - structure problem)
- ผเู้ รยี นแกป้ ญั หาโดยแสวงหาข้อมลู ใหมเ่ อง (self-directed learning)
- ประเมินผลจากสถานการณ์จริง ดูจากความสามารถในการปฏบิ ัติ (authentic assessment)
สรปุ เนอื้ หาสอบครูผู้ชว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 65
สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหนง่ ครูผู้ช่วย สรุปย่ออยา่ งละเอยี ด เร่ือง วิชาการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
8) รูปแบบการจัดการเรยี นรแู้ บบโครงงาน (ProjectCenteredLearning)
ผเู้ รยี นรวมกลุ่มกนั ทาํ กิจกรรมโดยม่งุ หาความรู้ หรอื ทํากิจกรรมตามสนใจ ม่งุ ตอบสนองความสนใจ
และใฝเ่ รยี นรู้ แสวงหาข้อมลู เพอ่ื ทําโครงงานให้สําเร็จ แบ่งเปน็ 4 ประเภท ดงั น้ี
1) โครงงานสาํ รวจ สำรวจและรวบรวมขอ้ มูลมาจำแนกหมวดหมู่เพ่อื นำเสนอใหช้ ัดเจนมากขนึ้
2) โครงงานทดลอง ศึกษาวา่ ตวั แปรหนึง่ จะมผี ลตอ่ ตวั แปรทตี่ ้องการศึกษาอยา่ งไรบ้างด้วยการควบคมุ ตวั แปรอน่ื
3) โครงงานศึกษาแนวคดิ ใหม่ เสนอความคิดทไ่ี ม่เคยมีคนคดิ หรือแยง้ กับของเดมิ
4) โครงงานประดษิ ฐ์ นาํ ความรูม้ าประยกุ ต์ใช้เป็นเคร่ืองมอื
9) รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบบรู ณาการส่พู หปุ ัญญา (MultipleIntelligences)
ผ้คู ดิ : โฮเวิรด์ การ์ดเนอร์ (Howard Gardner)
แนวคิด : เกยี่ วกบั ความเกง่ ของบุคคล โดยความเก่งถกู ควบคุมโดยสมองแต่ละส่วน หากสมองส่วนที่ควบคมุ
ความเก่งถูกกระทบกระเทือนจนผิดปกติจะทำใหค้ วามเกง่ ดา้ นน้ันหมดไป หรือพฒั นาไม่เต็มท่ี โฮเวิร์ดเคยกล่าวไวว้ ่า
“คนเราทกุ คนลว้ นมคี วามฉลาด แตค่ วามฉลาดของแตล่ ะคนไมเ่ หมือนกนั เลย”
ความสามารถทางปัญญาของมนุษย์ตามทฤษฎพี หุปัญญา แบ่งออกเปน็ 8 ด้าน ไดแ้ ก่
1) ปญั ญาด้านภาษา (Linguistic Inteligence)
ใช้ภาษารูปแบบตา่ ง ๆ มักเป็น กวี นกั เขยี น นกั พูด นกั หนังสอื พมิ พ์
2) ปญั ญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical - Mathematical Inteligence)
คดิ แบบมีเหตแุ ละผล การคิดเชิงนามธรรม และการคดิ คาํ นวณ มักเปน็ นกั บญั ชี นกั สถติ ิ
3) ปัญญาดา้ นมติ ิสมั พันธ์ (Visual – Spatial Inteligence)
รับรู้ทางสายตาเห็นพ้ืนท่ี รูปทรงอยา่ งสมั พนั ธก์ นั แลว้ ถา่ ยทอดได้ มกั เป็นวศิ วกร จติ รกร
4) ปัญญาด้านร่างกายและการเคลือ่ นไหว (Bodily - Kinesthetic Inteligence)
ควบคุมและแสดงออกความคิด ความรูส้ ึก โดยใช้อวยั วะ มกั เปน็ นกั กฬี า นกั แสดง
5) ปัญญาดา้ นดนตรี (Musical Inteligence)
เข้าถึงสุนทรยี ะทางดนตรี การได้ยิน รับรู้ จดจํา แต่งเพลง มักเป็นนกั ดนตรี นกั รอ้ ง
6) ปญั ญาด้านมนุษย์สมั พนั ธ์ (Interpersonal Inteligence) ขอ้ สอบ : พหปุ ญั ญาด้านใดเหมาะเป็นครู ?
เข้าใจผอู้ นื่ ทัง้ ดา้ นความรูส้ กึ เจตนา มักจะเป็นครูบาอาจารย์ ผใู้ หค้ าํ ปรกึ ษา นกั การเมอื ง
7) ปญั ญาด้านความเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Inteligence) จำ ็ ต้ ุ ค
รูจ้ กั ตระหนกั รูใ้ นตนเอง มกั จะเปน็ นักคดิ นกั ปรชั ญา หรอื นกั วจิ ยั
8) ปัญญาดา้ นธรรมชาติวทิ ยา (Naturalist Inteligence)
รูจ้ กั และเข้าใจธรรมชาติอยา่ งลกึ ซึ้ง มักจะเปน็ นักธรณวี ทิ ยา นกั วิทยาศาสตร์ นกั วจิ ยั
☺ 8 ุ ญญ ภ ษ คณต ค ต ธ์ ค ื
จ ต ฟ ์ ( ษุ ์ ธ์) ้ จต ้ ธ ต
สรปุ เนื้อหาสอบครูผูช้ ว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 66
สอบบรรจขุ ้าราชการครู ตำแหนง่ ครผู ูช้ ่วย สรปุ ย่ออยา่ งละเอียด เรื่อง วิชาการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
9) รปู แบบการจดั การเรียนรู้แบบนิรนัย (DeductiveMethod) ้ จู ์ต จ บ ้ จ็ จ
แนวคดิ : สอนจากทฤษฎีหรอื กฎไปสูต่ วั อย่างท่ีเปน็ รายละเอียด ข้อสอบ : การสอนแบบนริ นัยคืออะไร ?
ข้นั ตอน : (1) ขน้ั กาํ หนดขอบเขตของปญั หา นาํ เขา้ สู่บทเรียนโดยเสนอปัญหา เพอ่ื ยใุ ห้ผูเ้ รียนหาคําตอบ
(2) ขนั้ แสดงและอธบิ ายทฤษฎี นําทฤษฎี มาใหผ้ ู้เรยี นเกดิ การเรียนรู้
(3) ขนั้ ใชท้ ฤษฎี ผ้เู รยี นจะเลอื กทฤษฎี มาใชใ้ นการแกป้ ัญหาทก่ี ําหนด
(4) ข้ันตรวจสอบและสรปุ ผ้เู รียนจะตรวจสอบและสรุปทฤษฎีท่ใี ช้วา่ ถูกต้อง สมเหตสุ มผลหรอื ไม่
(5) ขั้นฝกึ ปฏบิ ตั ิ ผเู้ รยี นฝกึ นาํ ความรู้มาประยุกตใ์ ชใ้ นสถานการณใ์ หม่ท่หี ลากหลาย
10) รูปแบบการจัดการเรียนร้แู บบอุปนยั (Induction Method) ☺ ญ้
ุ้ญ
แนวคดิ : สอนจากรายละเอยี ดปลีกยอ่ ย หรือจากสว่ นย่อยไปหาสว่ นใหญ่
ขน้ั ตอน : (1) ขนั้ เตรยี มการ เตรียมตวั ผูเ้ รยี น ทบทวนความรูเ้ ดมิ หรือปูพ้นื ฐานความรู้
(2) ขน้ั เสนอตวั อยา่ ง นําเสนอตัวอยา่ งขอ้ มูล ใหผ้ ู้เรียนไดส้ งั เกตลักษณะเพ่อื สรุปเปน็ หลกั การ
(3) ขนั้ เปรยี บเทยี บ ผเู้ รียนการสงั เกต คน้ คว้า รวบรวม เปรยี บเทียบความเหมือนกนั ต่างกนั
(4) ข้ันกฎเกณฑ์ ผ้เู รียนนําข้อสังเกตมาสรปุ เป็นหลกั การดว้ ยตวั เอง
(5) ขน้ั นาํ ไปใช้ ผ้เู รียนฝกึ ความรู้ ขอ้ สรุปไปใช้ หรือยกตวั อยา่ งจากประสบการณเ์ ปรียบเทียบ
11) รูปแบบการจัดการเรียนรู้แนวความคดิ ทางขวางหรือการคิดนอกกรอบ (LateralThinking)
ผ้คู ดิ : ดร.เอด็ เวิร์ด เดอ โบโน ขอ้ สอบ : เคยออกขอ้ สอบ
แนวคิด : กลุม่ ของวิธีการทไี่ ด้ระดมกันเพ่อื ที่จะคน้ คว้าวิธกี ารใหม่ที่ต่างสน้ิ เชิงจากวธิ กี ารเดมิ ในการ
แกป้ ญั หา ซง่ึ การเข้าสู่ปัญหาเพอ่ื การแก้ไขนั้น เข้าทางด้านขา้ งมากกวา่ ท่ีจะเข้าทางดา้ นหน้า
12) รูปแบบการจดั การเรียนรู้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)หรอื Inquiry process
แนวคดิ : เนน้ ให้ผเู้ รียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง โดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ข้นั ตอน : ขน้ั ที่ 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement) นําเข้าสูบ่ ทเรียน
ขน้ั ที่ 2 สาํ รวจและคน้ หา (Exploration) ทาํ ความเข้าใจในประเดน็ ค้นคว้า ทดลอง
ขนั้ ที่ 3 อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) วิเคราะห์ แปลผล สรปุ ผล และนําเสนอ
ขน้ั ท่ี 4 ขยายความรู้ (Elaboration) นำไปเช่ือมโยงกบั ความรูเ้ ดมิ หรอื เกิดความรู้ทกี่ ว้างขน้ึ
ขนั้ ที่ 5 ประเมนิ (Evaluation) เปน็ การประเมนิ การเรยี นรูแ้ ละนาํ ไปประยกุ ต์
ขอ้ สอบ : การให้ผ้เู รียนสบื ค้น สำรวจ ตรวจสอบ เป็นการสอนแบบใด ?
สรปุ เน้อื หาสอบครูผู้ชว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 67
สอบบรรจขุ า้ ราชการครู ตำแหนง่ ครผู ู้ชว่ ย สรุปย่ออย่างละเอียด เรอ่ื ง วิชาการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
3เรือ่ ง จติ วิทยาการศึกษา
และการแนะแนว
จิตวทิ ยาการศึกษาและการแนะแนว ประกอบด้วย
(1) ความรู้เก่ยี วกบั จติ วทิ ยาการศกึ ษาและการแนะแนว
(2) จติ วทิ ยาการศึกษา
(3) จิตวทิ ยาการแนะแนว
(4) 18 ข้อควรรู้ สู้จติ วทิ ยาการศึกษา
เดนิ ทางมาถงึ เรื่องที่ 3 แลว้ อยา่ ลืมทบทวนเนื้อหากบั และตรวจสอบความเขา้ ใจ
ด้วยการทำแบบทดสอบเร่ือย ๆ นะครบั
“ในโลกนี้ไมม่ อี ะไรทเี่ ปน็ ไปไมไ่ ด้ เปน็ กำลังใจใหค้ รบั ” ☺
สรุปเนอ้ื หาสอบครูผู้ชว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 68
สอบบรรจขุ ้าราชการครู ตำแหนง่ ครผู ชู้ ่วย สรุปยอ่ อยา่ งละเอียด เรอ่ื ง วิชาการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
ความร้เู ก่ียวกับจติ วทิ ยาการศึกษาและการแนะแนว
ศพั ทท์ างจิตวทิ ยา ข้อสอบ : ข้อใดเป็นความหมายปจั จุบนั ของจิตวิทยา ?
จิตวทิ ยา หรอื Psychology มรี ากศพั ทม์ าจากภาษากรกี
คือ Psyche (วิญญาณ หรือจิตใจ) + Logos (การศึกษาหรอื การค้นหาความรู้)
ความหมายเดมิ การศกึ ษาเกีย่ วกบั เร่อื งวิญญาณ
ความหมายปัจจบุ ัน วชิ าที่ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ ดว้ ยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
เพอ่ื หาสาเหตุพฤติกรรมและหาทางควบคุม พฒั นาให้ดขี ึ้น
พฤตกิ รรม (Behavior)
หมายถึง การกระทำทกุ อย่างของมนษุ ย์ ไม่วา่ จะทำโดยรู้ตัวหรอื ไม่ สังเกตได้หรือไมก่ ต็ าม มี 2 ประเภท คือ
(1) พฤตกิ รรมภายนอก (OvertBehavior) สังเกตไดว้ ัดได้อยา่ งชัดเจน มี 2 ลกั ษณะ
✓พฤตกิ รรมโมลาร์ (Molar behavior) เห็นดว้ ยตาเปล่า เช่น การยืน การย้มิ
✓พฤตกิ รรมโมเลกลุ (Molecular Behavior) อาศยั เครอื่ งมือชว่ ย เชน่ การไหลเวยี นของโลหิต
(2) พฤตกิ รรมภายใน (CovertBehavior) ไม่สามารถสังเกตหรือวัดไดโ้ ดยตรง เชน่ ความจำ
การจงู ใจ (Motivation)
ภาวะเพมิ่ พฤติกรรมของบคุ คล โดยจูงใจกระทำพฤติกรรมนนั้ เพ่ือบรรลเุ ป้าหมาย
กระบวนการจูงใจมีองค์ประกอบ 3 ประการ คอื
1) ความต้องการ (Needs) คอื ภาวะขาดบางอย่างของอนิ ทรยี ์ เชน่ ดา้ นร่างกาย หรอื จิตใจ
2) แรงขบั (Drive) ภาวะตงึ เครียดในรา่ งกาย เป็นตวั กำหนดทศิ ทางสู่การลดความตึงเครียดนั้น
3) สิ่งลอ่ ใจ (Incentive) ตวั กระตุ้นใหแ้ สดงพฤติกรรมตามทค่ี าดหวัง
การจูงใจมี 2 ประเภท ดังน้ี
1) แรงจูงใจภายใน (ค )
เปน็ ส่ิงผลกั ดนั ภายในตัวบุคคล เช่น เจตคติ ความสนใจ ความตอ้ งการ ฯลฯ
2) แรงจูงใจภายนอก ( ค ) ข้อสอบ : การแข่งขนั ในขอ้ ใดเหมาะสมท่สี ดุ ?
เปน็ สิ่งผลักดนั ภายนอกตวั บคุ คล เช่น รางวลั ชื่อเสยี ง คำชม ฯลฯ
แรงจูงใจภายนอก มดี ังนี้ การแข่งขนั ทีน่ ักจิตวิทยาสนับสนุน
2.1 บคุ ลกิ ภาพของครู 2.2 ความสำเรจ็ ในการทำงาน
2.3 เคร่อื งล่อ เชน่ มี 3 วิธี ดงั นี้
1) การแขง่ ขนั ระหวา่ งนักเรียนทงั้ หมด
ก. การให้รางวลั (Reward) 2) การแข่งขันระหวา่ งหมู่ต่อหมู่
3) การแขง่ ขนั กบั ตนเอง
ข. การลงโทษ (Punishment) ข้อ 1 และขอ้ 2 ย่อมมีทง้ั คณุ และโทษ
ค. การแข่งขนั (Competition) แต่ ขอ้ 3 เหมาะสมมากกว่า
สรุปเนื้อหาสอบครูผู้ช่วย ภาค ข โดย The Teacher 69
สอบบรรจุขา้ ราชการครู ตำแหน่งครูผู้ช่วย สรปุ ยอ่ อย่างละเอียด เรอ่ื ง วิชาการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
แนวคดิ นกั จติ วิทยา
แนวคิดของนกั จติ วทิ ยา 6 กลุ่ม
ที่ แนวคิด จุดควรจำ นกั จิตวิทยา
แมกซ์ วุ้นต์
1 กลุม่ โครงสร้างทางจติ (Structuralism) การไดส้ ัมผสั จําเปน็ สําหรบั การเรียนรู้ จอห์น ดวิ อี้/วลิ เลียม เจมส์
ซกิ มนุ ด์ ฟรอยด์
2 กลุ่มหนา้ ทที่ างจติ (Functionalism) จติ ควบคมุ กระบวนการทกุ อย่างในร่างกาย จอหน์ บ.ี วตั สนั
3 กลุม่ จิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) พฤติกรรมเกดิ จากแรงขับทางเพศ มาสโลว์
4 กลมุ่ พฤตกิ รรมนยิ ม (Behaviorism) พฤติกรรมตอ้ งมสี าเหตุมากระตุ้น คือ เกสตลั ท,์ เลวิน วีลเลอร์,
ทอลแมน, โคหเ์ ลอร์
สิ่งเร้าและสง่ ผลต่อการตอบสนอง
5 กลมุ่ มนุษยนยิ ม (Humanism) มนษุ ย์ทกุ คนพยายามปรบั ปรงุ
ตนเองเปน็ ผ้มู คี วามสมบูรณ์ที่สดุ
6 กลมุ่ ทฤษฎสี ตปิ ญั ญา สง่ เสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรค์
(Cognitive Theory)
☺ วุ้นตจ์ ติ สมั ผสั จดั หน้าท่ี (ดิว) อจ้ี ิตคมุ กาย อา้ ยฟรอยด์แรงขบั เพศ
เหตกุ ระตุ้นพฤตกิ รรมวตั สนั มาสโลวน์ ้ันมนษุ ย์สมบรู ณ์ เกสตลั ทแ์ ละสมนุ ปญั ญาสรา้ งสรรค์
1) กลุ่มโครงสร้างทางจิต (Structuralism) ขอ้ สอบ : แนวคิดนักจติ วิทยากลุ่มใด เชอื่ วา่ จติ เกิดจากจติ ธาตุ ?
นกั คดิ : วลิ เฮล์ม แมกซ์ วุ้นต์ (Wilhelm Max Wundt) บดิ าแหง่ จติ วิทยาการทดลอง
แนวคิด : จติ เปน็ โครงสร้างจากองค์ประกอบเลก็ ๆ เรยี กวา่ จิตธาตุ เมื่อรวมกันจะเกิดจติ รูปผสม
✓ มนษุ ย์ประกอบด้วยรา่ งกาย และจติ ใจ ต่างทาํ หนา้ ทข่ี องตวั เอง แต่สัมพนั ธ์กนั
✓ โครงสร้างทางจิตมี 3 ส่วนประกอบดว้ ย
1) การสมั ผสั คือ การทํางานของประสาทสัมผัสทั้ง 5 โดยตอบสนองตอ่ สง่ิ เร้า
2) การรสู้ กึ คือ ตคี วาม หรอื แปลความหมายของการสัมผัส
3) มโนภาพ คือ วเิ คราะห์ และจดจําประสบการณ์จากการสมั ผัส
2) กลุม่ หนา้ ทที่ างจิต (Fuctionalism) ข้อสอบ : จิตควบคมุ กระบวนการทกุ อยา่ งในร่างกาย คอื แนวคดิ นกั จิตวทิ ยากลุ่มใด ?
นกั คดิ : วลิ เลี่ยม เจมส์ (Wiliam James) และจอห์น ดิวอี้ (John Dewey)
แนวคิด : จิตควบคุมกระบวนการทุกอยา่ งในรา่ งกาย และปรบั เข้ากบั สิ่งแวดลอ้ มให้เหมาะสม
✓ถือวา่ วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ เปน็ วิธีการเรยี นรู้
✓ผเู้ รยี นลงมอื ปฏบิ ตั เิ อง (Learning by doing)
สรปุ เน้ือหาสอบครูผชู้ ่วย ภาค ข โดย The Teacher 70
สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหน่งครูผชู้ ่วย สรุปย่ออยา่ งละเอียด เรื่อง วิชาการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
3) กลมุ่ จติ วเิ คราะห์ (Psychoanalysis) ข้อสอบ : จิตรูส้ ำนึก กงึ่ รสู้ ำนกึ ไรส้ ำนกึ ตรงกับทฤษฎีใด ?
นักคิด : ซกิ มันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud)
แนวคิด : เน้นเรือ่ งจิตไร้สํานึก (Unconscious) คอื การกระทาํ โดยไม่ตงั้ ใจ เป็นเรื่องหาสาเหตุยาก
✓เช่ือวา่ พฤตกิ รรมคนส่วนใหญ่ เกิดจากแรงขับทางเพศ
การทำงานของจิต 3 ระดบั ื ้ ้ำ ็
(1) จติ รูส้ ำนกึ (Conscious mind) ส่วนท่ีโผล่ผวิ น้ำ คอื สภาพร้ตู ัว มีเหตผุ ล
(2) จติ กงึ่ รสู้ ำนกึ (Preconscious mind) ส่วนทใ่ี กล้ผวิ นำ้ คือ จิตสะสมขอ้ มูล
แตไ่ มร่ ตู้ ัว พรอ้ มเอามาใช้เสมอ เชน่ ความเศร้าในอดีต
(3) จติ ไรส้ ำนกึ (Unconscious mind) ส่วนท่ีอยูใ่ ต้นำ้ คือ สภาพเกบ็ กด ไม่ร้ตู ัว ทำออกมาโดยไม่รตู้ วั
✓โครงสรา้ งบุคลิกภาพ 3 ประการ
(1) Id ความต้องการพ้ืนฐานของมนษุ ย์ เ ็ บ ้ ฤต ต จ
(2) Eg0 ควบคมุ พฤติกรรมจาก ID ้
(3) Superego พฒั นาจากประสบการณ์ของ Ego ้ คุณธ บ ฐ
4) กลุ่มพฤติกรรมนยิ ม (Behaviorism) อาศัยแนวคิดการเรยี นรู้โดยมเี งื่อนไข
นกั คดิ : จอห์น บี วัตสนั (John B. Watson) (The Classical conditioning Theory) ของพาฟลอฟ
แนวคิด : พฤติกรรมตอ้ งมีสาเหตุมากระตุ้น
คอื ส่ิงเรา้ และส่งผลต่อการตอบสนอง การวางเงือ่ นไขเป็นเหตใุ หเ้ กิดพฤตกิ รรม
5) กลุม่ มนษุ ยนยิ ม (Humanism) ข้อสอบ : มักถามเก่ยี วกับลำดบั ข้ันความต้องการพนื้ ฐาน
นกั คิด : โรเจอรส์ (Rogers) และ มาสโลว์ (Maslow)
แนวคดิ : มนุษยท์ กุ คนพยายามปรับปรุงตัวให้เป็นผ้มู ีความสมบูรณ์ท่ีสุด ส่งิ ท่ีเป็นประโยชน์
ตอ่ อนาคตของผู้เรยี นมากที่สุดคอื กรรมวธิ ีแสวงหาความรู้
✓ มาสโลว์ เสนอทฤษฎลี ําดับขั้นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ 5 ลาํ ดบั
(1) ความต้องการทางดา้ นร่างกาย (Physiological Needs) ☺ ความต้องการพืน้ ฐาน
(2) ความตอ้ งการความมั่นคงปลอดภยั (Security Needs) ร่าง-คง-ตดิ -ถา้ ยอ่ ง-สำเร็จ
(3) ความต้องการตดิ ต่อสมั พนั ธ์ (Affiliation Needs)
(4) ความตอ้ งการการยกยอ่ งนบั ถือจากผ้อู ืน่ (Esteem Needs)
(5) ความต้องการความสำเรจ็ ตามท่ีตง้ั ไว้ (Self actualization Needs)
สรุปเน้ือหาสอบครผู ชู้ ่วย ภาค ข โดย The Teacher 71
สอบบรรจขุ ้าราชการครู ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย สรปุ ย่ออยา่ งละเอยี ด เร่ือง วิชาการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
6) กลุ่มทฤษฎีสติปญั ญา (CognitiveTheory)
ประกอบด้วยกลุ่มทฤษฎี 5 กลมุ่
เกสตัลท์ (GestaltPsychology)
การเรยี นรู้ คอื การแก้ปัญหา
การเรยี นรูเ้ กิดจากสว่ นรวมไปหาส่วนย่อย
การเรยี นรู้เกดิ จากการหยั่งเห็นความสัมพนั ธ์ของสิง่ ต่าง ๆ ในสถานการณ์
ทฤษฎสี นามของเลวนิ (KurtLewinSTheory)
บุคคลดำรงอยูใ่ นสนามอวกาศแห่งชีวติ เปน็ โลกทีส่ ร้างข้นึ จากความคดิ ที่สมั ผัสกบั โลกจรงิ
สงิ่ ใดทส่ี นใจจะมพี ลังเปน็ บวก (Life space)
ทฤษฎีของวลี เลอร์
ใหค้ วามสาํ คญั กับอินทรีย์มาก
ควรยกเลกิ การเรียนแบบลองผดิ ลองถกู โดยปรบั ใหเ้ หมาะกบั ผเู้ รียนแตล่ ะคน
ควรเสนอปัญหาแบบส่วนรวม และมีสว่ นยอ่ ยประกอบเสมอ
ทฤษฎีของทอลแมน (EdwardTolman)
ใหผ้ ูเ้ รยี นเลือกวิธีเรียนเอง
ทฤษฎขี องโคหเ์ ลอร์ (Kohler)
การเรยี นรู้เกิดจากการหยงั่ เห็น (Insight) โดยอาศยั ประสบการณ์
“สงิ่ ท่มี ีทา่ ว่าเปน็ ไปไม่ไดน้ ัน้ ไมไ่ ด้หมายความวา่
จะเป็นไปไมไ่ ด้ตลอดไป
หากเราคิดวา่ ทำไมไ่ ด้ เราก็จะทำส่ิง ๆ นั้นไมไ่ ด้เลย
อยา่ ตดั กำลงั ใจตัวเองด้วยคำวา่ ไม่ได้”
(มหาตมะ คานธี)
สรปุ เนื้อหาสอบครผู ชู้ ่วย ภาค ข โดย The Teacher 72
สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหนง่ ครผู ชู้ ่วย สรุปย่ออย่างละเอยี ด เร่ือง วิชาการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
จติ วิทยาการศึกษา (EducationalPsychology) ข้อสอบ : ข้อใดไม่ใชจ่ ดุ มงุ่ หมายของการศึกษาจิตวทิ ยา ?
ประกอบดว้ ย 1) จิตวิทยาการเรียนรู้ การศกึ ษาจิตวทิ ยา ม่งุ หมายเพอื่
2) จติ วทิ ยาพฒั นาการ (1) เข้าใจพฤติกรรม
3) จติ วทิ ยาบุคลิกภาพ (2) อธิบายพฤติกรรม
4) จติ วิทยาแนะแนว (3) ทำนายพฤตกิ รรม
(4) ควบคุมพฤติกรรม
จติ วิทยาการเรยี นรู้ (LearningPsychology)
ความหมาย : กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมจากเดิมสู่พฤติกรรมใหมค่ ่อนขา้ งถาวร
เปน็ ผลมาจากประสบการณ์ และการฝกึ ฝน
การเรียนรขู้ นึ้ อยู่กบั ตวั แปร 3 ประการ
1) สิ่งเร้า (Stimulus - S)
2) อินทรยี ์ (Organism - O)
3) การตอบสนอง (Response - R)
องค์ประกอบทีช่ ว่ ยส่งเสริมการเรียนรู้
1) วฒุ ภิ าวะ (Maturity)
ลำดบั ข้ันการเจรญิ เติบโตทง้ั รา่ งกาย และจิตใจ พรอ้ มทำหน้าที่โดยไม่อาศยั สงิ่ เร้า
2) ความพรอ้ ม (Readiness)
สภาวะของบคุ คลจะเรยี นรู้ส่งิ หน่งึ อย่างเกดิ ผล โดยขน้ึ อยู่กบั วุฒิภาวะ
3) แรงจูงใจ (Motivation)
ภาวะท่ีถกู กระตนุ้ โดยแรงภายใน มาเร้าให้อินทรยี ท์ ำพฤติกรรมเพือ่ ได้สง่ิ ท่ีตอ้ งการ
4) การเสรมิ แรง (Reinforcement)
ตวั กระตนุ้ ทำใหแ้ สดงพฤติกรรมซ้ำ
5) การถา่ ยโยงการเรยี นรู้ (Transfer of Learning)
การเรยี นรูใ้ นอดีตมีผลตอ่ การเรียนรู้ครง้ั ตอ่ ไป
ข้อสอบ : แรงจูงใจและแรงขบั มกั นำมาออกขอ้ สอบโดยการยกตัวอยา่ ง
สรปุ เนื้อหาสอบครูผู้ชว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 73
สอบบรรจขุ ้าราชการครู ตำแหน่งครผู ู้ชว่ ย สรุปยอ่ อย่างละเอยี ด เร่อื ง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
2. ทฤษฎีการเรียนรู้ ข้อสอบ : ทฤษฎขี องพาฟลอฟออกข้อสอบละเอยี ด
ทฤษฎีการวางเง่อื นไขแบบคลาสสิคของพาฟลอฟ (Classical conditioning)
หลกั การเรียนรู้ : การเรียนรูข้ องสง่ิ มชี ีวติ เกิดจากการวางเง่อื นไข
ควรรู้ : พาฟลอฟทดลองกับสุนขั
การทดลอง : แบง่ ออกเปน็ 3 ขน้ั ตอน ดงั นี้
1) ขน้ั กอ่ นการวางเงอ่ื นไข ศกึ ษาพฤติกรรมการเรียนรู้ของสุนขั โดยการ
- ส่ันกระด่งิ (UCS) พบว่า สนุ ัขส่ายหวั กระดิกหาง (UCR)
- ผงเนือ้ บด (UCS) พบวา่ สุนัขน้ำลายไหล (ICR)
2) ข้ันการวางเงอ่ื นไข ใส่กระบวนการเรยี นรู้ โดยการ
- สัน่ กระด่งิ (CS) และผงเน้ือบด (UCS) พบวา่ สุนัขน้ำลายไหล
- เสยี งกระดง่ิ (CS) + ผงเน้ือบด (UCS) = นำ้ ลายไหล (UCR)
3) ขนั้ การเรยี นรู้ ทดลองว่าสนุ ัขเกิดการเรียนรูห้ รือยงั โดยการ
- ตดั สิง่ เรา้ ท่ไี ม่วางเง่อื นไข (UCS) เหลอื แต่ส่ิงเรา้ ทีว่ างเง่อื นไข (CS)
- ถา้ สุนขั ยงั น้ำลายไหล แสดงวา่ สนุ ขั เกดิ การเรียนรู้
เสยี งกระด่งิ (CS) สนุ ัขน้ำลายไหล (CR)
สรุปได้ว่า UCS
ผงเนื้อ เป็นสิง่ เร้าทไี่ ม่ตอ้ งวางเง่ือนไข หรือ สงิ่ เร้าแท้ (Unconditioned Stimulus) CS
กระดง่ิ เป็นสงิ่ เรา้ ทวี่ างเง่ือนไข หรือ สงิ่ เร้าเทยี ม (Conditioned Stimulus) UCR
นำ้ ลายหลัง่ จากผงเนื้อ เปน็ การตอบสนองโดยไมต่ ้องวางเงื่อนไข (Unconditioned Response) CR
น้ำลายหลัง่ จากจากเสยี งกระดิ่ง เปน็ การตอบสนองโดยวางเง่อื นไข (Unconditioned Response)
กฎแห่งการเรียนรู้
1) กฎแห่งการลดภาวะ (Law of extinction)
ความเข้มขน้ การตอบสนองจะลด ถ้าได้รบั สิง่ เร้าที่วางเง่อื นไขเพียงอย่างเดียว
2) กฎแห่งการฟนื้ คนื สภาพ (Law of spontaneous recovery)
การตอบสนองลดลงในข้อ 1 จะเพิ่มขึน้ ถ้าอนิ ทรยี ์เรียนรู้อยา่ งแท้จรงิ
3) กฎแหง่ สรปุ กฎเกณฑโ์ ดยทวั่ ไป (Law of generalization)
ถ้าส่ิงเร้าอนื่ คลา้ ยกับสิ่งเรา้ เดิม อนิ ทรีย์จะตอบสนองเหมอื นกนั
4) กฎแหง่ ความแตกตา่ ง (Law of discrimination)
ถา้ สิ่งเรา้ อื่นคณุ สมบัติตา่ งจากสิ่งเร้าเดิม อินทรยี ์จะตอบสนองแตกต่าง
สรปุ เน้ือหาสอบครูผู้ชว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 74
สอบบรรจุขา้ ราชการครู ตำแหนง่ ครูผชู้ ่วย สรุปย่ออย่างละเอยี ด เรอื่ ง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
ทฤษฎีการวางเง่อื นไขแบบคลาสสิคของวตั สัน ข้อสอบ : มกั ถามถึงสงิ่ ท่ีใช้วางเงอื่ นไข
หลกั การเรยี นรู้ : การใชส้ ่ิงเร้าสองส่ิง คือสิง่ เรา้ ท่วี างเงื่อนไข (CS) กับส่ิงเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข (UCS)
เกดิ การตอบสนองอยา่ งเดียวกัน
ควรรู้ : วตั สันใช้คนทดลอง (ด.ช.อัลเบิรต์ อายุ 11 เดอื น) จงึ มีอารมณ์เกยี่ วข้อง และใช้หนูขาว
การทดลอง : เขาทดลองกบั อลั เบริ ต์ เพ่อื ใหก้ ลัวหนูขาว เมื่อกลัวแลว้ ก็พบพฤตกิ รรมกลวั หรือเลิกกลัวได้
ขนั้ ตอนที่ 1 ขนั้ กอ่ นวางเง่อื นไข เปน็ ขนั้ ศกึ ษาภูมิหลังเกี่ยวกบั ปฏกิ ิรยิ าทางอารมณ์ที่มตี อ่ สิ่งเหล่านี้
1) หนูขาว (UCS) ไม่ใช่ส่ิงที่อัลเบิร์ตกลวั (UCR)
2) แตไ่ ดย้ นิ เสยี งดงั (UCS) กลวั และรอ้ งไห้ (UCR)
ขนั้ ตอนท่ี 2 ขน้ั ระหวา่ งวางเง่ือนไข ใส่กระบวนการเรียนรู้ โดยนำส่งิ เรา้ ท่ไี มว่ างเง่อื นไข (CS) คือ
หนูขาวมาคู่กบั สิง่ เร้าท่ีไมว่ างเงื่อนไข (UCS) คอื เสยี งดงั เพือ่ สร้างพฤติการณ์กลัวหนู ดังน้ี
หนขู าว (CS) + เสียงดัง (UCS) = ตกใจกลัวร้องไห้ (UCR)
ขน้ั ตอนที่ 3 ขนั้ การเรยี นรู้ ทดลองวา่ เกิดการเรยี นรูจ้ ากการวางเงอื่ นไขหรือยัง โดยการตดั สง่ิ เร้าท่ี
ไมว่ างเงื่อนไข (UCS) คือเสยี งดงั เหลอื เพยี งสิง่ เรา้ วางเง่ือนไข (CS) คือหนูขาว (CS)
สรุปผล : วตั สนั สามารถสรา้ งพฤตกิ รรมการกลวั ใหเ้ กดิ ขน้ึ แกอ่ ลั เบริ ต์ ได้
ทฤษฎสี ัมพันธ์เชอื่ มโยงของธอร์นไดค์ (ลองผิดลองถกู )
หลักการเรียนรู้ : การเรียนรู้เกิดจากการเชือ่ มโยงระหว่างส่ิงเร้ากบั การตอบสนองแบบต่าง ๆ
ด้วยการลองถูกลองผดิ (Trial and Error) จนกว่าจะพบรูปแบบเหมาะสมที่สุด
การทดลอง : การทดลองจับแมวหวิ ใสก่ รง ของธอร์นไดค์ ขอ้ สอบ : มักถามถงึ กฎการเรยี นรู้ของธอรน์ ไดค์
1) จับแมวหิวใส่กรง ขา้ งนอกมีอาหารใหเ้ หน็ ในกรงมเี ชอื ก ปลายเชอื กข้างหนึง่ ผกู กบั บานประตู
ส่วนปลายอีกข้าง เมือ่ ถกู ดงึ จะทาํ ให้ประตูเปดิ
2) เขาสังเกตว่าระยะแรกแมววิ่งไปมา เผอญิ ถกู เชือกทำให้ประตูเปิด แมวออกไปกนิ อาหารได้
3) จบั แมวใสก่ รงครงั้ ต่อไป แมวดึงเชอื กเรว็ ขน้ึ จนกระทง่ั แมวดึงเชือกได้ทนั ที
กฎการเรยี นรู้
1. กฎแห่งความพรอ้ ม (Law of Readiness) หมายถึง สภาพความพรอ้ มที่ทำใหเ้ กิดการเรียนรู้
2. กฎแห่งการฝกึ หดั (Law of Exercise) หมายถึง กระทำซ้ำทำใหช้ ำนาญ
3. กฎแหง่ ความพอใจ (Law of Effect) เม่อื พึงพอใจ ย่อมอยากจะเรยี นรู้ต่อไป
สรุปเน้ือหาสอบครูผชู้ ่วย ภาค ข โดย The Teacher 75
สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย สรุปยอ่ อยา่ งละเอียด เร่อื ง วชิ าการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไขแบบการกระทาํ ของสกินเนอร์ (OperantConditioningTheory) คิดบทเรียนสำเรจ็ รปู
หลักการเรียนรู้ : เนน้ การกระทาํ ของผรู้ บั การทดลอง หรือผเู้ รียนรู้มากกว่า การสอนแบบโปรแกรม
หรอื ให้ความสำคัญกบั การตอบสนอง โดยใช้การเสรมิ แรง และเครอื่ งมือช่วยสอน
ควรรู้ : ใช้กลอ่ งสกินเนอร์ คอื มีท่ซี ่อนอาหาร คือ S2 หรือ UCS และมกี ลไกควบคุมส่งิ เร้า
การทดลอง : สกนิ เนอรท์ ดลองกับหนูสนี ำ้ ตาล 3 ขัน้ ตอน ดงั นี้
ขน้ั ที่ 1 ขน้ั เตรยี มการทดลอง ใหห้ นูคุ้นเคยกบั กลอ่ งสรา้ งแรงขบั โดยทาํ ให้หนูหิวมาก
ขน้ั ที่ 2 ขนั้ การทดลอง ปล่อยหนูหวิ เขา้ ไปในกล่องสกนิ เนอร์ หนูว่ิงไปรอบกล่อง
บังเอญิ เท้าหนูแตะลงบนคาน (S1 หรอื CS) สกินเนอร์ปลอ่ ยอาหารจากทซ่ี อ่ น
(S2 หรือ UCS) ลงในถาดอาหาร จากนั้นสงั เกตว่า ทกุ ครง้ั ท่ีหนูหิวจะใช้เท้ากดลงบนคาน
(C1 หรือ CS) เสมอ
ขน้ั ที่ 3 ขนั้ ทดลองการเรยี นรู้ จบั หนูเข้ากลอ่ งอกี หนูจะกดคานทันที แสดงวา่ หนูเกิดการเรยี นรู้
การเสรมิ แรง (Reinforcement) เสริมแรงเพือ่ ให้แสดงพฤติกรรมมากขึ้น ดังนี้
1) ตวั เสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) เช่น คำชมเชย รางวลั
2) ตัวเสรมิ แรงทางลบ (Negative Reinforcement) เช่น ถา้ ส่งงานทันเวลาจะไม่ถูกดา่
การลงโทษ (Punishment) เพม่ิ สง่ิ ท่ไี ม่ชอบลงไป ทำใหแ้ สดงพฤตกิ รรมลดลง ดังน้ี
1) การลงโทษทางบวก (Positive Punishment) เพิ่มส่งิ ทีไ่ มช่ อบ เช่น ใหท้ ำงานเพ่ิม หากไมส่ ่งงานเดิม
2) การลงโทษทางลบ (Negative Punishment) นำสิง่ ท่ีชอบออกมา เช่น ยดึ โทรศัพท์
การเสรมิ แรงทำได้ 2 ลกั ษณะ คอื ข้อสอบ : การเสรมิ แรง การลงโทษ ออกขอ้ สอบบ่อย
1) เสริมแรงต่อเน่ือง คือ เสริมแรงทกุ ครง้ั ที่ทำถกู ตอ้ ง บ ู้ ฤต
2) เสรมิ แรงเป็นบางคร้ัง คอื ไมเ่ สรมิ แรงทกุ ครัง้ บ ษ ฤต ู้ ้ ้
ทฤษฎกี ารเรยี นรู้กล่มุ ความรู้ความเข้าใจ
หลกั การเรียนรู้ : เนน้ กระบวนการคิดในบคุ คล การตอบสนองผา่ นการคิดที่มีสง่ิ เรา้ และการตอบสนอง
หมายถึง การหยง่ั เหน็ คอื ความเขา้ ใจการแก้ปญั หา โดยจัดระบบการรบั รู้เชือ่ มโยงกับประสบการณ์เดิม ดงั น้ี
1) ทฤษฎกี ลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt S Theory) ขอ้ สอบ : ทฤษฎีใดเช่อื ว่าการเรียนรเู้ กิดจากการรับรสู้ ว่ นรวมมากกว่าส่วนยอ่ ย ?
แนวคดิ : การเรยี นรู้เกิดจากการรบั รสู้ ว่ นรวมมากกว่าส่วนยอ่ ยรวมกัน เกดิ จาก 2 ลักษณะ คอื
1. การรบั รู้ (Perception) เปน็ การแปรความหมายจากอวัยวะสัมผัสทัง้ 5
ดังนั้นจงึ มกี ฎ 4 ข้อ คือ กฎแหง่ การจดั ระเบียบ ดงั นี้
1.1) กฎแหง่ ความชดั เจน (Clearness) การเรยี นรู้ที่ดีตอ้ งชดั เจนและแน่นอน
1.2) กฎแหง่ ความคลา้ ยคลงึ (Law of Similarity) การวางหลักการรบั รู้ในส่งิ คล้ายคลงึ กัน
1.3) กฎแห่งความใกลช้ ดิ (Law of Proximity) ถา้ สง่ิ ใดใกลช้ ดิ กนั จะรบั รู้สง่ิ น้ันแบบเดยี วกนั
1.4) กฎแหง่ ความตอ่ เนอื่ ง (Law of Continuity) สิ่งเรา้ มที ิศทางแนวเดยี วกัน ผู้เรยี นจะรู้ว่าเปน็ พวกเดียวกนั
1.5) กฎแหง่ ความสมบูรณ์ (Law of Closer) สงิ่ เร้าทหี่ ายไป ผเู้ รยี นทำใหส้ มบูรณ์โดยอาศัยประสบการณเ์ ดมิ
2. การหยั่งเหน็ (Insight) หมายถงึ การเกิดความคิดขึน้ มาทันทีในขณะประสบปัญหา
สรปุ เนือ้ หาสอบครผู ู้ช่วย ภาค ข โดย The Teacher 76
สอบบรรจขุ า้ ราชการครู ตำแหนง่ ครูผชู้ ว่ ย สรปุ ย่ออย่างละเอียด เร่อื ง วิชาการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
และทฤษฎขี องโคเลอร์ (Kohler) ขอ้ สอบ : การเรียนรเู้ กดิ จากการหย่ังเห็น เป็นทฤษฎีของใคร ?
แนวคดิ : การเรียนรูเ้ กิดจากการหยง่ั เหน็ และการหย่ังเหน็ ตอ้ งอาศยั ประสบการณ์เดมิ
การทดลอง : โคเลอรท์ ดลองกบั ลิงชิมแปนซี คือ เม่อื เขาไปเก็บผลไม้ในป่า จะนำลิงไปดว้ ย
และลงิ จะเหน็ โคเลอร์ใช้ไมส้ อยผลไม้ทีอ่ ยูส่ ูงได้ มีกระบวนการ ดังน้ี
ก. การหยั่งเหน็ จะเกดิ ข้ึนทันที
ข. ผ้เู รียนมองเห็นรับรูค้ วามสัมพันธ์ของเหตุการณ์ ไม่ใชต่ อบสนองส่งิ เรา้ เพียงอย่างเดยี ว
ค. ความรูเ้ ดิมมสี ว่ นชว่ ยใหเ้ กดิ การหยงั่ เห็นในเหตุการณ์และให้เกิดข้นึ เรว็
2) ทฤษฎีสนามของเลวนิ (Lewin'sFieldTheory)
แนวคิด : การเรียนรู้เกิดจากการจัดกระบวนการรบั รู้ และการคดิ เพอ่ื แก้ไขปัญหา มนุษย์แสดงออก
อยา่ งมีพลงั และทศิ ทาง (Field of Force) สิ่งทสี่ นใจจะมพี ลงั เปน็ บวก (Life space) สงิ่ ทอี่ ยนู่ อกสนใจจะมพี ลงั เปน็ ลบ
ควรรู้ : สิง่ แวดลอ้ มรอบตวั มี 2 ชนดิ คอื
1) สิง่ แวดลอ้ มทางกายภาพ (Physical environment)
2) สิ่งแวดล้อมทางจติ วิทยา (Psychological environment) โลกแหง่ การรบั รูต้ ามประสบการณ์ หรือ Life space
จติ วทิ ยาพัฒนาการ (DevelopmentalPsychology)
ความหมาย :
✓พัฒนาการ (Developmental) คอื การเปลยี่ นแปลงทกี่ า้ วหนา้ ของบคุ คล เปน็ ระบบ คาดคะเนได้
เปน็ การเปลยี่ นแปลงเปน็ ผลจากวุฒิภาวะและประสบการณ์ เกดิ ข้นึ ตอ่ เนอื่ งตลอดชวี ิต
✓ความเจรญิ งอกงาม (Growth) คือ การเปล่ยี นแปลงทางโครงสร้างของร่างกาย
องคป์ ระกอบของการพฒั นา : ขอ้ สอบ : องค์ประกอบของการพัฒนา ประกอบไปด้วย ?
1) วฒุ ภิ าวะ (Maturity) หมายถึง ความเจริญเตบิ โตทง้ั ร่างกายและจิตใจ พรอ้ มทำงานตามหน้าที่
2) การเรยี นรู้ (Learning) หมายถึง การเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมเป็นผลจากประสบการณ์
องค์ประกอบทีท่ ำให้บคุ คลแตกตา่ งกนั ข้อสอบ : ข้อใดทำใหบ้ คุ คลแตกตา่ งกัน ?
1) พนั ธกุ รรม 2) สง่ิ แวดล้อม
การแบ่งวยั การพฒั นาการของเฮอรล์ อ็ ก (Hurlock) :
1. ระยะกอ่ นคลอด หรือ ระยะอยูใ่ นครรภ์ (Prenatal Period) ไดแ้ ก่
1.1) วัยเร่ิมเกิด (germination) หรอื ไซโกท (zygote) นับแต่ไข่และอสจุ ิผสมกัน
เป็นเซลล์ปฏิสนธิ ถึงปลายสัปดาหท์ สี่ อง
1.2) วยั ตัวอ่อน (embryo) อวัยวะภายใน และภายนอกเจรญิ เติบโต
1.3) วยั เด็กอ่อน (fetus) อวยั วะปลายสุดเจริญ เชน่ เล็บ และทารกเคลื่อนไหวได้
สรุปเนอ้ื หาสอบครผู ชู้ ่วย ภาค ข โดย The Teacher 77
สอบบรรจขุ า้ ราชการครู ตำแหนง่ ครูผ้ชู ว่ ย สรปุ ยอ่ อย่างละเอยี ด เร่อื ง วิชาการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
2. ระยะหลงั คลอด (Postnatal Period)
2.1) วัยแรกเกดิ และวัยทารก (infancy) คลอดถงึ 2 ขวบ
2.2) วัยเดก็ ตอนตน้ (early childhood) 2-6 ขวบ
2.3) วยั เดก็ ตอนกลาง (middle childhood) ชาย 7-12 ปี
หญงิ 6-10 ปี
2.4) วัยเร่มิ เข้าสูว่ ยั รนุ่ (pre-adolescence) ชาย 13-15 ปี
หญิง 12-13 ปี
2.5) วยั รนุ่ (adolescence) แบง่ เป็น 2 ระยะ ดังนี้
2.5.1) วัยรุ่นตอนต้น ช/ญ 14-17 ปี
(early adolescence)
2.5.2) วยั รุ่นตอนปลาย ช/ญ 17-20 ปี
(late adolescence)
2.6) วยั ผใู้ หญ่ตอนต้น (early adulthood) 18-40 ปี
2.7) วยั ผใู้ หญต่ อนกลาง (middle adulthood) 40-60 ปี
2.8) วัยชรา (old age) 60 ปขี ้ึนไป
ทฤษฎีการพัฒนาการ ข้อสอบ : ทฤษฎขี องฟรอยด์ ออกข้อสอบบ่อย
1) ทฤษฎีจติ วเิ คราะหข์ องฟรอยด์ (Freud'sPsychosexualDevelopmentTheory)
ผคู้ ดิ : ฟรอยด์ (Sigmund Freud)
หลกั คดิ : ลำดบั ข้ันพฒั นาการทางจติ เกย่ี วกบั ความรู้สกึ ทางเพศ 5 ขน้ั ดังนี้
ขนั้ ที่ 1 ขนั้ ปาก (Oral Stage) ความสขุ อยูท่ ่รี มิ ฝีปาก (แรกเกิด – 1 ขวบครึง่ )
Ex.ทารกระยะน้ีชอบดูดนม เลน่ นำ้ ลาย
หากขดั ขวางการใชป้ าก โตไปจะชอบนนิ ทา สูบบหุ ร่ี กินอาหารบ่อย ๆ
ขน้ั ที่ 2 ขนั้ ทวาร (Anal Stage) ความสุขอยูท่ บ่ี รเิ วณทวารหนัก (2 ขวบ- 3 ขวบครึ่ง)
Ex.ความสุขกบั การขบั ถ่าย
หากหยดุ ย้งั พฒั นาการ จะเกิดบคุ ลิกภาพแบบสมบรู ณ์ และอนั ธพาลแล้วแตค่ วามเข้มขน้ ทางบคุ ลิกภาพ
ขนั้ ท่ี 3 ขน้ั อวยั วะเพศ (Phalic Stage) ความสุขอยู่ท่อี วยั วะเพศ ( 4 - 6 ขวบ)
Ex. มองเหน็ เพศตนกบั ต่างเพศชัดขึน้
- เดก็ ชายหวงแม่ (Oedipus Complex) - เด็กหญงิ หวงพอ่ (Electra Complex)
สามารถเกิดลกั เพศ Lesbian/Homosexual ไดใ้ นขน้ั นี้
ขน้ั ท่ี 4 ขนั้ เกบ็ ความรสู้ กึ /แฝง (Latency Stage) ความสนุกกับส่งิ รอบตัว (7 - 12 ขวบ)
เตบิ โตทางกายช้า แตท่ างจติ ใจเร็วมาก ถูกมองวา่ แกแ่ ดด
ขน้ั ที่ 5 ขน้ั สบื พนั ธ์ุ (Genital Stage) เขา้ สูว่ ยั ร่นุ
Ex.เรมิ่ มเี พศสัมพันธ์ และสนใจซ่ึงกันและกัน
เดก็ ชายเลิกหลงรกั แม่ เดก็ หญงิ เลิกหลงรักพ่อ เกดิ วุฒภิ าวะทางเพศ
สรปุ เนื้อหาสอบครผู ู้ช่วย ภาค ข โดย The Teacher 78
สอบบรรจขุ า้ ราชการครู ตำแหน่งครผู ชู้ ่วย สรุปยอ่ อยา่ งละเอยี ด เร่ือง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
2) ทฤษฎีลาํ ดบั ขั้นทางสตปิ ัญญาของเพยี เจต์ (Piaget's Stages of Cognitive Development)
ผ้คู ิด : เพยี เจต์ (Jean Piaget)
หลักคิด : ความสามารถใช้เหตุผลและตรรกวิทยา (logic) ในชว่ งชีวิต ดังน้ี
2.1) ขัน้ การรบั รดู้ ว้ ยการเคลอื่ นไหวและประสาทสมั ผสั (Sensorimotor Stage)
วยั ต้ังแต่เกิดจนถงึ ระยะพูดได้ (ประมาณ 2 ป)ี
- การกระทำแบบปฏกิ ริ ยิ าสะท้อน (reflex activity) อายุ 0-1 เดอื น
2.2) ขนั้ กอ่ นการคดิ แบบมเี หตผุ ล (Preoperational Stage)
เดก็ อายุ 2 ปี หรือพูดได้ถึง 7-8 ปี มพี ฒั นาการทางภาษา แต่ไม่อาจแสดงไดช้ ดั เจน
ยังไม่เขา้ ใจความคงทีข่ องสสาร การเรียงลำดบั ของสาร และการเข้าด้วยกนั ของสาร
2.3) ขนั้ การคดิ แบบมเี หตผุ ลเชงิ รปู ธรรม (Concrete Operation Stage)
เด็กอายุ 7-11 ปี คดิ แบบตรรกวทิ ยาได้ คดิ ยอ้ นกลบั ได้
2.4) ขน้ั การคดิ แบบมเี หตผุ ลเชงิ นามธรรม (Formal Operation Stage)
เดก็ อายุ 11-12 ข้นึ ไป จนตลอดชีวติ คิดและใหเ้ หตผุ ลแบบนามธรรมได้
ขอ้ สอบ : เด็กท่ใี หเ้ หตุผลคดิ ย้อนกลบั ได้ อยูใ่ นระดับใด ?
3) ทฤษฎกี ระบวนการจดั ประเภททางปญั ญาของบรูเนอร์ (Bruner'sCategorizingProcessTheory)
ผคู้ ดิ : บรูเนอร์ (Jerome S. Bruner)
แตกต่างจากเพียเจตท์ ี่เนน้
หลักคิด : เนน้ ท่ีเดก็ ได้รับโครงสร้างทางสติปัญญา การใชต้ รรกวทิ ยาของเด็กที่ตา่ งกนั
เพมิ่ เข้ามา เมอื่ จะพัฒนาจากขน้ั หน่งึ ไปสูอ่ ีกขั้น
ลักษณะการรับรู้ เรยี นรสู้ ิ่งแวดล้อมตามทฤษฎขี องบรูเนอร์ ดงั นี้
1. แบบใชก้ ารปฏบิ ตั ิ
0-2 ปี รูป้ ระสบการณ์ดว้ ยการกระทำ ยังไมม่ สี งั กัปคงตวั ในความนกึ คดิ ไดน้ าน
2. แบบใชภ้ าพความคดิ
2 ปี เร่ิมจำเป็นภาพ แต่ท่ีมุง่ อยูก่ บั ลกั ษณะภายนอก ไม่ใช่ลักษณะนามธรรม
3. แบบใชส้ ญั ลกั ษณ์
สามารถอธิบายคุณลักษณะของวัตถสุ ่งิ ของดว้ ยภาษา
4) ทฤษฎรี ะดับพัฒนาการจริยธรรมของโคหล์ เบอร์ก (Kohlberg'sLevelsofMoralDevelopmentTheory)
ผ้คู ดิ : โคหล์ เบอรก์ (Lawrence Kohlberg)
หลกั คดิ : พัฒนาการจรยิ ธรรมเปล่ียนไปทีละน้อยต่อเน่ืองกนั
สรุปเนอ้ื หาสอบครูผ้ชู ว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 79
สอบบรรจขุ า้ ราชการครู ตำแหนง่ ครผู ้ชู ว่ ย สรปุ ยอ่ อย่างละเอียด เร่อื ง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
ทฤษฎพี ฒั นาการทางจรยิ ธรรม ขอ้ สอบ : ทฤษฎพี ฒั นาการทางจรยิ ธรรม ออกละเอียด
4.1) ระดบั กอ่ นกฎเกณฑ์ (Pre - Conventional)
อายุ 2-10 ปี มงุ่ สนใจแตต่ นเอง ไม่ทำตามกฎสงั คม แต่ทำตามเพราะกลวั ดงั นี้
1) ขน้ั เช่ือฟังและหลีกเลย่ี งการลงโทษ
2) ขั้นใช้กฎเกณฑเ์ ปน็ เคร่อื งมือเพ่อื ประโยชน์ตน
4.2) ระดบั ดำเนนิ ตามกฎเกณฑ์ (Conventional)
10-16 ปี สนใจกฎเกณฑ์ การคาดหวงั จากสงั คม ยอมรบั ขอ้ ตกลงของสงั คม ดังนี้
1) ขัน้ กระทำตามความหวังและการยอมรับในสงั คม
2) ขน้ั ยึดกฎและระเบียบข้อบงั คับของสงั คม
4.3) ระดบั อยเู่ หนอื กฎเกณฑ์ (Post Conventional)
16 ปีขึ้นไป ยอมรบั กฎเกณฑส์ งั คม บนพนื้ ฐานหลกั การเชิงจรยิ ธรรมสากล ดงั นี้
1) ขนั้ กระทำตามสัญญา 2) ขน้ั มีหลกั การของจริยธรรมเชงิ สากล
5) ทฤษฎพี ัฒนาการทางจติ สงั คมของอีรกิ สนั (Erikson'sPsychosocialTheory)
ผ้คู ิด : อีริกสนั (Erick H. Erickson)
หลักคดิ : พัฒนาการของอโี ก อยูใ่ นใจของแตล่ ะคนพฒั นาเป็นลำดบั
เนน้ อทิ ธิพลของภาวะแวดล้อมทม่ี ตี ่ออารมณ์ ซ่งึ อยู่ภายในความรู้สกึ ท่ีเกิดขนึ้ ตลอดชีวติ
ลำดับขน้ั พัฒนาการทางจิตสังคม (Psychological Theory) ดงั นี้
1) ขน้ั ความไวใ้ จขดั แยง้ กบั ความไม่ไวใ้ จ หรอื ขั้นความหวงั
ทารกหรือช่วงแรกของชีวติ (0-1 ปคี รงึ่ )
2) ขน้ั ความเปน็ ตวั ของตวั เองขดั แยง้ กบั ความละอายและสงสยั หรือ ข้ันพลังจติ
อายุ 1 - 1 ปคี รง่ึ ถึง 3-4 ปี พยายามแสดงถึงความมีอสิ ระไมพ่ ง่ึ พาผูใ้ ด
3) ขนั้ มคี วามรเิ รมิ่ ในตนเองขดั แยง้ กบั ความรสู้ กึ ผดิ หรอื ขน้ั ความม่งุ ประสงค์
ลกั ษณะสดุ ท้ายที่เกดิ ในวัยก่อนเข้าเรียน เรยี กวา่ วัยเด็กซุกซน (play age)
4) ขนั้ ความขยนั หม่ันเพยี รขดั แยง้ กบั ความรสู้ กึ ตำ่ ตอ้ ย หรอื ขน้ั สมรรถภาพ
อายุ 6-11 ปี ซ่งึ เรียกวา่ เป็นวัยเข้าเรยี น (school age)
5) ขน้ั ความมเี อกลกั ษณข์ ดั แยง้ กบั ความสบั สนในบทบาทของตน หรอื ขัน้ ความถูกตอ้ งเป็นจรงิ
อายุ 11–13 ปี ถงึ 20 ปี เผชิญความต้องการของสังคมและเปล่ียนแปลงบทบาทตน
6) ขน้ั มคี วามใกลช้ ดิ กบั คนอนื่ กบั การแยกตวั โดดเดย่ี ว หรอื ขนั้ ความรกั
อายุ 20-25 ปี เริม่ ใชช้ วี ิตแบบผูใ้ หญ่
7) ขนั้ การสรา้ งสรรคใ์ หผ้ ู้อน่ื ขดั แยง้ กบั ความเฉอ่ื ยชา หรอื ขั้นเอาใจใส่
อายุ 25-65 ปี หว่ งในสวัสดิภาพของคนรุ่นหลัง และสงั คม
8) ขน้ั มบี ูรณาการขดั แยง้ กบั ความสนิ้ คดิ สน้ิ หวงั หรือ ขั้นความฉลาดรอบรู้
มภี าวะสกุ ถึงขดี เต็มท่ี ช่วงของวัยชรา ต้องปรับตนหลายด้าน
สรปุ เนือ้ หาสอบครูผู้ชว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 80
สอบบรรจุขา้ ราชการครู ตำแหนง่ ครูผู้ช่วย สรุปยอ่ อย่างละเอียด เร่ือง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
จติ วทิ ยาบุคลกิ ภาพ (personalityPsychology) ขอ้ สอบ : ออกบ่อยมาก
(
ความหมาย : บคุ ลิกภาพ (personality) หมายถึง ลักษณะอันเปน็ ของจําเพาะแต่ละบคุ คล ซ่งึ แสดงออกทางท่าทาง
ความรูส้ ึกนกึ คิด ความเฉลียวฉลาด กริ ยิ ามารยาท ลกั ษณะนสิ ัย และอุปนิสัย
ทฤษฎีบุคลกิ ภาพ Break Down เกดิ อาการคุ้มดคี ุ้มร้าย
1) ทฤษฎพี ลังบคุ ลกิ ภาพของฟรอยด์ (Freud'sPsychodynamicTheory) คุ้มดี - แสดง superego
ผ้คู ดิ : ซกิ มนั ด์ ฟรอยด์ ค้มุ รา้ ย - แสดง id
หลกั คดิ : ทฤษฎีน้ใี หค้ วามสำคัญกับพัฒนาการทางบคุ ลกิ ภาพ และพลังแห่งบคุ ลกิ ภาพ
การอธบิ ายบุคลกิ ภาพในแง่พลงั บุคลกิ ภาพ
จิตควบคมุ กำกับให้แสดงพฤติกรรม มี 3ลักษณะ คือ
1) จติ รูส้ ำนกึ (conscious) สภาพรู้ตัว ควบคุมให้แสดงพฤติกรรมตามเหตุผล ความจรงิ
2) จติ กงึ่ สำนกึ (prenconscious) สภาพไม่รูต้ วั เพราะลมื เกบ็ กด หรอื ไม่ตระหนกั วา่ มีอยู่
3) จติ ใตส้ ำนกึ /ไรส้ ำนกึ (subconscious) สภาพกงึ่ รู้สำนกึ ถ้าเข้ามาในหว้ งนกึ ก็ตระหนกั ได้
จติ ใตส้ ำนกึ มอี ิทธิพลตอ่ พฤตกิ รรมมากกวา่ บคุ ลิกภาพทพี่ ึงประสงค์ คอื ใช้พลงั อโี ก้
โครงสร้างของจติ ส่งผลต่อการแสดงพฤตกิ รรม ไดแ้ ก่ ควบคุมพลังอดิ และซปุ เปอร์อโี ก้ให้สมดุล
1) Id คอื มงุ่ ความพึงพอใจ ตอบสนองความตอ้ งการของตนผลักดนั ego ทำสงิ่ ท่ี id ตอ้ งการ
2) Eg คือ ใชห้ ลักเหตแุ ละผลตามความเปน็ จริง อยูใ่ นโครงสร้างจติ ทัง้ 3 ระดับ แขง็ แรงทส่ี ดุ
3) Superego คอื ควบคุมการแสดงออกบคุ คลดา้ นความดี ความชั่ว
กลวธิ านปอ้ งกันตวั (Defense mechanism)
ผู้คดิ : ซกิ มัน ฟรอยด์
หลกั คิด : วธิ ีลดความกงั วล โดยไม่รู้สึกว่าตนกำลังทำอยู่ มีหลายชนดิ เช่น
(1) การยกเหตผุ ลเขา้ ขา้ งตนเอง (Rationalization) หรือเรยี กวา่ องนุ่ เปรย้ี ว มะนาวหวาน
(2) การโยนความผดิ ให้ผอู้ น่ื (Project) หรอื รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง
(3) การเกบ็ กด (Repression) พยายามลืมความเจบ็ ปวด โดยเกบ็ กดความรูส้ ึกไวใ้ นจติ ไรส้ ำนึก
(4) การชดเชย (Substitution) แสดงออกเพื่อชดเชยปมดอ้ ยของตน
(5) การทดแทน (Compensation) หาทางทดแทนความรู้สึกไมส่ มหวงั ดิ้นรนใหบ้ รรลุเป้าหมาย
(6) การถดถอย (Regression) แสดงพฤตกิ รรมถอยหลังเข้าคลอง ยามเผชญิ ปญั หาไม่มีทางออก
(7) การฝนั กลางวนั (Day Dreaming) จนิ ตนาการเก่ียวกบั ส่ิงที่ตนตอ้ งการแต่เปน็ ไปไม่ได้
(8) การแยกตวั (Isolation) การแยกตัวใหพ้ ้นสภาพคบั ข้องใจ อยากอยู่เงยี บ ๆ คนเดยี ว
(9) การแทนที่ (Displacement) การระบายอารมณก์ บั ส่งิ ทีไ่ ม่ใช่ต้นเหตุ
(10) การไมย่ อมรบั ความจรงิ (Denial of Reality) ไม่ยอมเขา้ ใจในความเป็นจรงิ ท่ีเกดิ ขึ้นกับตน
(11) การแสดงความกา้ วรา้ ว (Aggression) แสดงอำนาจเม่ือถกู ขัดขวางความคิด ความต้องการ
(12) การขจดั ความรูส้ กึ (Suppression) การขจัดความรูส้ กึ นนั้ ๆ ไปจากความคิด โดยรู้ตวั
สรุปเน้ือหาสอบครผู ชู้ ่วย ภาค ข โดย The Teacher 81
สอบบรรจขุ า้ ราชการครู ตำแหน่งครผู ชู้ ่วย สรุปย่ออย่างละเอียด เรอ่ื ง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
2) ทฤษฎีการวเิ คราะหข์ องจงุ (Jung'sAnalyticTheory) ไม่ให้ความสาํ คัญกับเรอ่ื งเพศและอดีตท่ี
ผู้คดิ : จุง (Carl Gung)
ฝงั ใจ เหมือนทฤษฎีของฟรอยด์
หลกั คิด : บคุ ลิกภาพของคนสะสมตอ่ เนอื่ งมาตลอดนับแต่เริม่ มีชวี ิต เน้นความสาํ คญั ท่ี
ประสบการณ์จากการดำเนินชีวติ ของคนเรา มดี ังนี้
1) บคุ ลกิ ภาพแบบแสดงตวั (extrovert) ชอบสังคม ชอบเลน่ เป็นคนเปิดเผย
2) บคุ ลกิ ภาพแบบเกบ็ ตวั (introvert) ไม่ชอบสังสรรค์ ไม่ชอบสังคม มีหลกั การแนน่ อน
3) บคุ ลกิ ภาพแบบกลาง (ambivert) ไม่ชอบเกบ็ ตวั มากไปและไม่ชอบแสดงออกมากไป
3) ทฤษฎีของคาเรน ฮอร์นนีย์ (Karen Horney)
ผ้คู ิด : คาเรน ฮอร์นนีย์ (Karen Horney)
หลักคิด : บคุ ลิกภาพพฒั นาตง้ั แต่เด็กเรยี นร้เู อาชนะความกังวลใจ ตอนมีความสมั พันธ์กบั พอ่ แม่
การจดั ประเภทของคน มี 3 แบบ คอื
1) พวกอ่อนนอ้ มถอ่ มตน
คลอ้ ยตามผู้อื่น ไมช่ อบขดั ใจใคร ชอบเข้าหาผ้อู ่ืนเพอื่ ขอความชว่ ยเหลือ
2) พวกกา้ วร้าว
ตอ่ ตา้ นผอู้ ่นื ตอ้ งการอำนาจบารมี ไมต่ ้องการขอความชว่ ยเหลอื จากใคร
3) พวกถอื สนั โดษ
ชอบหลกี หนีจากผคู้ น ไม่ชอบยุ่งเกย่ี วกบั ใคร เปน็ ตวั ของตวั เอง ชอบมอี ิสรภาพ
4) ทฤษฎีบคุ ลิกภาพของแอคเลอร์ (Adler’sPersonalityTheory)
ผู้คดิ : อลั เฟรด แอดเลอร์ (Alfred Adler)
หลักคิด : พฤตกิ รรมของบุคคลจะเปน็ อย่างไรนั้นถกู กำหนดโดยสังคมรอบตวั
เช่อื วา่ : บคุ คลโดยพ้ืนฐานแลว้ ถูกจูงใจโดยปมดอ้ ย
จิตวทิ ยาปัจเจกชน (IndividualPsychology)
ความรสู้ ึกเปน็ ปมดอ้ ย (FeelingofInferiority) บคุ คลมีความพิการทางร่างกายพยายามท่ีหาทาง
ชดเชยความบกพรอ่ งของตนเอง
แอดเลอรก์ ลา่ วว่า โครงสรา้ งของบคุ ลิกภาพของบคุ คลเกดิ จาก 2 เปา้ หมาย คือ
1) พยายามปรับตัวให้เข้ากับสงั คม (Social Adaptation)
2) พยายามทรงไวซ้ ง่ึ อำนาจ (Attainment of Power)
สรุปเนื้อหาสอบครูผชู้ ว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 82
สอบบรรจขุ ้าราชการครู ตำแหนง่ ครผู ชู้ ่วย สรปุ ย่ออยา่ งละเอยี ด เร่อื ง วิชาการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
เชาวน์ปญั ญา (Intelligence)
ความหมาย : ความสามารถเฉพาะบุคคลในการคิดอยา่ งเปน็ นามธรรม มเี หตผุ ล ตัดสนิ ใจได้อยา่ งรวดเรว็
เรียนรู้ไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ และสามารถนำประสบการณจ์ ากการเรยี นรูม้ าแก้ปัญหาเฉพาะหนา้ ไดเ้ ปน็ อย่างดี
ประเมินสถานการณไ์ ดใ้ กล้เคยี งตามความเป็นจรงิ ทำเรือ่ งยากให้เป็นเรื่องงา่ ย รวมทั้งสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณแ์ ละ
สิง่ แวดลอ้ มได้อยา่ งเหมาะสม
วิธวี ดั เชาวนป์ ัญญา : M.A. x 100
C.A.
I.Q. = อายุสมองที่ไดจ้ ากแบบทดสอบ
M.A. =
C.A. = อายุตามปฏทิ ิน
ตวั อยา่ ง : (1) นรดลอายุ 15 ปี มอี ายสุ มอง 15 ปี
นรดลมี I.Q. เทา่ ไหร่
ตอบ I.Q. ระดบั 100 (ไอควิ ปกติ)
(2) นรลกั ษณอ์ ายุ 23 ปี มอี ายสุ มอง 20 ปี
นรลกั ษณม์ ี I.Q. เทา่ ไหร่
ตอบ I.Q. ระดบั 86 (ปญั ญาทบึ )
ระดบั สตปิ ญั ญา หรอื I.Q. (Inteligence Quotient) โดย บิเนต์ ข้อสอบ : ควรจดจำระดับสตปิ ญั ญา
140 ข้ึนไป อัจฉรยิ ะ ฉลาดมากท่ีสดุ (very Superior)
120 - 139 ฉลาดมาก (Superior)
110 - 119 ฉลาดกวา่ ระดบั ปกติ (higher average)
90 - 109 ฉลาดปานกลาง หรือระดับปกติ (average)
80 -89 ต่ำกว่าปกติ (Low average)
70 - 79 คาบเส้นปัญญาออ่ น (borderline mental retardation)
ต่ำกว่า 70 ปัญญาอ่อน (mental retardation)
สรุปเนอ้ื หาสอบครูผู้ช่วย ภาค ข โดย The Teacher 83
สอบบรรจุขา้ ราชการครู ตำแหน่งครผู ูช้ ่วย สรุปยอ่ อยา่ งละเอยี ด เรื่อง วิชาการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
จติ วทิ ยาแนะแนว (GuidancePsychology) ขอ้ สอบ : บดิ าของการแนะแนวคอื ใคร ?
(
นักคิด : แฟรงค์ พารส์ ัน (Frank Parsons) เป็น บดิ าแหง่ การแนะแนว
ความหมาย : วชิ าแนะแนวท่ีนำหลักจิตวิทยามาใช้เพือ่ แนะแนว ได้เข้าใจและชว่ ยเด็กเข้าใจตนเอง
ความสำคัญ : หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พ.ศ. 2551 ไดก้ ำหนดใหก้ จิ กรรมแนะแนว
เปน็ กจิ กรรมหน่ึงทก่ี ําหนดไว้ในกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น ส่งเสรมิ และพัฒนาความสามารถผู้เรียนให้เหมาะสมตามความ
แตกตา่ งระหว่างบุคคล สามารถค้นพบและพัฒนาศักยภาพ เสรมิ สร้างทกั ษะชวี ติ วฒุ ิภาวะ และสร้างสัมพันธภาพท่ีดี
ซ่ึงครูทกุ คนตอ้ งทำหนา้ ทแี่ นะแนว
ปรัชญาของการแนะแนว ข้อสอบ : เคยถามปรัชญาแนะแนว
(1) บุคคลแตล่ ะคนย่อมมคี วามแตกตา่ งกนั
(2) บคุ คลเปน็ ทรพั ยากรท่ีมีค่าและมีศักยภาพแฝงอยู่ในตน
(3) บุคคลมกี ารเปลย่ี นแปลงทุกด้าน
(4) พฤติกรรมทกุ อย่างของบุคคลย่อมมสี าเหตุ
(5) บคุ คลย่อมมศี กั ด์ศิ รีและความต้องการยอมรับซึ่งกันและกนั
☺ แตก คา่ เปลี่ยน เหตุ ศรี
เปา้ หมายของการแนะแนว ข้อสอบ : ข้อใดไมใ่ ช่เป้าหมายของการแนะแนว ?
(1) ปอ้ งกนั ปญั หา ☺ กนั แก้ ส่ง
(2) แก้ปญั หา
(3) สง่ เสริมและพฒั นา
ขอบขา่ ยของการแนะแนว ข้อสอบ : ขอ้ ใดเป็นขอบข่ายของการแนะแนว ?
1. การแนะแนวการศกึ ษา (Educational Guidance)
1) ผเู้ รยี นไดข้ ้อมลู การเรียนและเขา้ ใจคณุ สมบัติของบุคคลท่ีจะศึกษาตอ่
2) ผ้เู รียนปรับตนเข้ากบั การเรียนแต่ละวชิ า และวางแผนการศกึ ษา
2. การแนะแนวอาชพี (Vocational Guidance) ☺ ศกึ ษา อาชพี สังคม
1) ผเู้ รยี นมีความรูเ้ กี่ยวกบั อาชพี ในทอ้ งถิ่น
2) ให้ข้อมูลแก่ผ้เู รียนเกี่ยวกบั อาชีพทสี่ นใจและเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
3) ผเู้ รยี นรู้วธิ ีหางาน สมัครงาน ปรับตวั กับงาน และเจริญก้าวหนา้ ในการงาน
3. การแนะแนวสว่ นตวั และสงั คม (Personal-Social Guidance)
1) ผ้เู รียนวางแผนชีวติ ให้สอดคล้องกบั จุดหมายของตน อยูร่ ว่ มกับผ้อู นื่ อย่างมีความสขุ
2) ผ้เู รียนเขา้ ใจสภาพสังคม
สรปุ เนื้อหาสอบครผู ชู้ ว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 84
สอบบรรจขุ า้ ราชการครู ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย สรปุ ย่ออยา่ งละเอียด เรอ่ื ง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
การบรกิ ารแนะแนว ขอ้ สอบ : ขอ้ ใดคือบริการแนะแนว ?
1. บริการรวบรวมขอ้ มลู และศึกษานกั เรียนเป็นรายบคุ คล (Individual Inventory Service)
จุดมุ่งหมายเพื่อใหร้ ู้จกั และเข้าใจผู้เรยี นเป็นรายบคุ คล เป็นแนวทางชว่ ยเหลือด้านต่าง ๆ
ตลอดจนพัฒนาผ้เู รยี นทกุ ด้าน ข้อมูลในระเบยี นสะสมควรมีรายละเอยี ดครอบคลมุ ขอ้ มลู ดา้ นต่าง ๆ ของผเู้ รียน
Ex. - บันทกึ ประวตั นิ ักเรียนไวใ้ นระเบียนสะสม - สำรวจพฤตกิ รรมมีปญั หาของนักเรยี น
2. บรกิ ารสนเทศ (Information Service)
ใหข้ ้อมูลขา่ วสาร ความรู้ เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การพฒั นา เป็นกิจกรรมตอ่ เนื่องจากบรกิ ารรวบรวม
ขอ้ มูล ชว่ ยให้ได้รบั ข้อมูลตรงกับความตอ้ งการจะสง่ เสรมิ พัฒนา และแก้ปัญหาอยา่ งเหมาะสม
Ex.- จดั สอนให้ความรู้ในคาบแนะแนว - จดั ปา้ ยนิเทศ
- จัดทำเอกสารที่เปน็ ประโยชนแ์ ก่นกั เรียน - การจดั สปั ดาห์แนะแนวทางศกึ ษาตอ่
- การจดั ฉายสือ่ ที่เปน็ ประโยชนต์ อ่ นักเรียน - จัดปฐมนเิ ทศ และปัจฉมิ นิเทศ
- การจดั บรรยายใหค้ วามรู้ด้านการศกึ ษา อาชีพ และปรบั ตวั ในสงั คม
3. บรกิ ารใหค้ ำปรกึ ษา (Counseling Service) ขอ้ สอบ : ขอ้ ใดคือหวั ใจของการแนะแนว ?
เป็นหวั ใจของการแนะแนว เพอ่ื ให้ผู้เรยี นสำรวจและเข้าใจตนเอง ลงมือแก้ปัญหา เปลีย่ นแปลง
พฤติกรรมท่เี หมาะสม ฉลาดตัดสินใจ ใชช้ ีวติ มีประสิทธิภาพ พฒั นาตนเองเปน็ คนดี เกง่ มสี ุข และมีประโยชน์ ดังนี้
1) บรกิ ารให้คำปรึกษาด้านการศึกษา 4) บรกิ ารพัฒนานักศกึ ษา
2) บรกิ ารให้คำปรึกษาดา้ นอาชีพ 5) บรกิ ารทางวิชาการ
3) บรกิ ารให้คำปรกึ ษาด้านสว่ นตัวและสังคม
Ex.- ให้คำปรึกษานกั เรยี นที่มีปัญหาด้านส่วนตัว การเรียน และอาชพี
- ศกึ ษาและหาทางช่วยให้นกั เรยี นแก้ปญั หาของตนเองได้อยา่ งถกู ต้องและเหมาะสม
4. บริการจัดวางตัวบุคคล (Placement Service)
นักเรียนไดร้ ับประสบการณ์ตรง หรอื ฝึกฝนทกั ษะที่สนใจ การจัดบรรยากาศ กจิ กรรมให้ได้
ประสบการณ์ โดยสอดคลอ้ งกบั งานบรกิ าร การสอน ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ความสนใจ และความต้องการ
Ex.- ช่วยเหลอื นักเรยี นวางแผนการเรยี น - จัดทนุ การศึกษา
- ช่วยเหลือนักเรียนวางแผนการศกึ ษาตอ่ - อาหารกลางวัน
5. งานตดิ ตามและประเมินผล (Folow-up Service)
ประเมินผล และตดิ ตามผล เพื่อปรบั ปรุงให้มีประสทิ ธภิ าพ และเกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ
Ex.- สำรวจความคิดเห็น - การสัมภาษณ์ - การสอบถาม ฯลฯ
สรุปเนื้อหาสอบครผู ชู้ ่วย ภาค ข โดย The Teacher 85
สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหนง่ ครูผู้ชว่ ย สรปุ ย่ออย่างละเอยี ด เร่อื ง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
18 ข้อควรรู้ ส้จู ิตวทิ ยาการศึกษา
(1) บิดาแห่งจติ วิทยาโลก ➔ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud)
ซิกมนุ ด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud)
(2) บิดาแห่งจติ วิทยาวิเคราะห์ ➔ ธอร์นไดค์ (Edward L. Thorndike)
วตั สัน (John B. Watson)
(3) บิดาแหง่ จติ วิทยาการศกึ ษา ➔ วัตสนั (John B. Watson)
วลิ เฮลม แมกซ์ วุ้นท์ (Wilhelm Max Wund)
(4) บดิ าแห่งพฤตกิ รรม . ➔ พาร์สันส์ (Frank Parsons)
อลั เฟรด บิเนต (Alfred Binet)
(5) บิดาแห่งแผนใหม่ ➔ เฟอรเ์ บล
คอมนิ อิ ุส
(6) บดิ าแหง่ จิตวิทยาการทดลอง ➔ ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (ทดลองกบั สุนัข)
(7) บดิ าแห่งการแนะแนว ➔ ทฤษฎกี ารวางเงอ่ื นไขแบบคลาสสคิ ของวตั สัน (ทดลองกบั อัลเบิร์ตและหนขู าว)
(8) บดิ าแหง่ สติปญั ญา (เชาวน์ปญั ญา) ➔ ทฤษฎีสัมพนั ธ์เชอื่ มโยง (ทดลองกับแมว)
(9) บิดาแหง่ การอนุบาล ➔ ทฤษฎกี ารวางเงอ่ื นไขแบบแบบการกระทำ (ทดลองกับหนูสนี ้ำตาลกดคาน)
(10) บิดาแห่งเทคโนโลยีการศกึ ษา ➔ เรียนรูจ้ ากประสบการณ์ตรง
การเรง่ เป็นอันตรายตอ่ เด็ก
(11) พาฟลอฟ ➔ เดก็ เปรียบเสมอื นผ้าขาว
เดก็ เปรยี บเสมอื นกระดาษทวี่ ่างเปล่า
(12) วัตสัน ➔ การหยงั่ เห็น (ทดลองกับชมิ แปนซี)
ทฤษฎีพัฒนาการทางจรยิ ธรรม
(13) ธอรน์ ไดค์ ➔
(14) สกินเนอร์ ➔
(15) จอหน์ ดวิ อี้ ➔
(16) เดวดิ เอนไคว์ ➔
(17) ยัง ยคั ส์ รสุ โซ ➔
(18) จอหน์ ลอ็ ค ➔
(19) โคหเ์ ลอร์ ➔
(20) โคลหล์ เบริ ก์ ➔
“จากประวตั ิของคนทปี่ ระสบความสำเรจ็ ที่ยง่ิ ใหญ่ทุกคน...
มีหวั ใจของความสำเร็จเหมือนกัน 2 ประการคือ....
เขา...ชนะใจตนเอง....
เขา...ให้ความสำคัญเร่ืองวินยั ...เป็นอนั ดับหนง่ึ ....”
สรุปเนอ้ื หาสอบครูผู้ช่วย ภาค ข โดย The Teacher 86
สอบบรรจขุ ้าราชการครู ตำแหนง่ ครูผูช้ ่วย สรปุ ย่ออย่างละเอยี ด เร่อื ง วิชาการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
เรือ่ ง การพฒั นาผู้เรยี น
4
การพัฒนาผ้เู รียน ประกอบด้วย
(1) การพัฒนาผู้เรยี น
(2) กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน
พุทธศักราช 2551
(3) กิจกรรมแนะแนว
(4) กจิ กรรมนักเรยี น
(5) กจิ กรรมเพ่อื สงั คมและสาธารณประโยชน์
(6) ระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นักเรียน
เขา้ ส่เู นอื้ หาในเรอ่ื งที่ 4 ยังไหวกนั อยนู่ ะครบั
หมน่ั อ่าน หมนั่ จำ และทำความเข้าใจ
อนาคตอันยาวไกลยังรอเราอยคู่ รบั ☺
สรุปเนอ้ื หาสอบครูผ้ชู ่วย ภาค ข โดย The Teacher 87
สอบบรรจุขา้ ราชการครู ตำแหน่งครผู ้ชู ว่ ย สรปุ ย่ออยา่ งละเอยี ด เร่ือง วชิ าการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
การพัฒนาผเู้ รยี น (Student Development)
ความหมาย : ความสามารถดา้ นการปลกู ฝังคุณธรรม จรยิ ธรรม การพฒั นาทักษะชวี ิต สุขภาพกาย สขุ ภาพจติ
ความเป็นประชาธิปไตย ความภูมิใจในความเปน็ ไทย การจดั ระบบดูแลช่วยเหลือผเู้ รียนเพ่ือพฒั นาผู้เรยี นใหม้ คี ณุ ภาพ
จดุ หมาย :
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐานมุ่งพัฒนาผ้เู รยี นให้เปน็ คนดี มปี ัญญา มคี วามสุข มีศักยภาพ
ในการศกึ ษาต่อ และประกอบอาชพี
1) มคี ุณธรรม จริยธรรม และค่านยิ มท่พี งึ ประสงค์ เหน็ คณุ ค่าของตนเอง มีวนิ ยั
ปฏบิ ัตติ นตามหลักธรรมของพระพทุ ธศาสนา หรอื ศาสนาทต่ี นนบั ถอื ยึดหลกั ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
2) มีความรู้ความสามารถในการส่อื สาร
การคดิ การแกป้ ญั หา การใช้เทคโนโลยี และมที ักษะชีวิต (สอดคลอ้ งกับสมรรถนะสาํ คัญของผ้เู รยี น 5 ข้อ)
3) มีสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจติ ที่ดี มีสขุ นิสยั และรกั การออกกาํ ลังกาย
4) มีความรักชาติ มีจิตสํานึกในความเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ยึดมัน่ ในวถิ ีชีวิตและการปกครอง
ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ
5) มจี ติ สาํ นกึ ในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนรุ กั ษ์และพฒั นาสิ่งแวดลอ้ ม
มีจติ สาธารณะที่มุง่ ทําประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดงี ามในสังคม และอยูร่ ่วมกนั ในสงั คมอยา่ งมคี วามสุข
การพัฒนาผ้เู รียนเน้นอยู่ 2 เรอ่ื ง คือ
1) การพัฒนาผู้เรียนด้านการพัฒนาคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการ
2) การจดั ระบบดูแลช่วยเหลือผูเ้ รียน
1) การพัฒนาผ้เู รียนในดา้ นการพัฒนาคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการ
ความหมาย : คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หมายถึง ลักษณะทตี่ อ้ งการให้เกดิ ขนึ้ กบั ผเู้ รยี น อนั เปน็
คุณลักษณะทสี่ งั คมตอ้ งการในดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม จติ สำนกึ สามารถอยู่ร่วมกบั ผูอ้ ่นื ในสงั คมได้อยา่ งมี
ความสขุ ท้ังในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พ.ศ.2551 กำหนดไว้ 8 ประการ ดังนี้
1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ 5. อยูอ่ ย่างพอเพยี ง
2. ซ่ือสัตย์สจุ รติ 6. มุ่งมน่ั ในการทำงาน
3. มวี ินัย 7. รกั ความเปน็ ไทย
4. ใฝเ่ รยี นรู้ 8. มจี ิตสาธารณะ
1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ความหมาย : คุณลักษณะท่ีแสดงออกถึงการเป็นพลเมืองดขี องชาติ ธำรงไวซ้ ึง่ ความเป็นชาตไิ ทย ศรัทธา
ยดึ ม่นั ในศาสนา และเคารพเทิดทูนสถาบนั พระมหากษัตริย์ EX. ร้องเพลงชาตหิ น้าเสาธง ปลกู ตน้ ไม้เฉลิมพระเกยี รติ
กิจกรรมทำบุญ วนั สำคัญของชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์
ตัวชว้ี ัด : 4 ตวั ชวี้ ดั ไดแ้ ก่
(1) เป็นพลเมอื งดีของชาติ (2) ธำรงไว้ซงึ่ ความเป็นไทย
(3) ศรัทธา ยึดมั่นและปฏิบตั ิตนตามหลกั ศาสนา (4) เคารพเทดิ ทูนสถาบนั พระมหากษัตริย์
สรุปเน้อื หาสอบครูผชู้ ว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 88
สอบบรรจุข้าราชการครู ตำแหน่งครูผู้ชว่ ย สรปุ ยอ่ อยา่ งละเอยี ด เรอ่ื ง วิชาการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
2. ซื่อสตั ย์สจุ ริต
ความหมาย : คณุ ลักษณะที่แสดงออกถงึ การยึดม่นั ในความถกู ตอ้ ง ประพฤติตรงตามความเปน็ จริง
ต่อตนเองและผู้อื่น ทั้งกาย วาจา ใจ EX. ธนาคารความดี บันทึกความดี ค่ายคณุ ธรรม
ของหายได้คืน โรงเรยี นวถิ พี ทุ ธ คนดศี รโี รงเรียน
ตัวชีว้ ดั : 2 ตวั ช้ีวัด ได้แก่
(1) ประพฤตติ รงตามความเปน็ จริงตอ่ ตนเองทั้งกาย วาจา ใจ
(2) ประพฤติตรงตามความเป็นจรงิ ต่อผอู้ ืน่ ทั้งกาย วาจา ใจ
3. มีวนิ ยั
ความหมาย : คุณลักษณะทแ่ี สดงออกถึงการยดึ มน่ั ข้อตกลง กฎเกณฑ์ และระเบียบข้อบงั คับครอบครวั โรงเรยี นและสงั คม
ตัวช้วี ดั : 1 ตัวชี้วดั ไดแ้ ก่ EX. ค่ายประชาธิปไตย สภานกั เรยี น กจิ กรรม 5 ส
(1) ปฏบิ ัติตามขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ กจิ กรรมกลุม่ สี กฎระเบยี บในโรงเรยี น เขา้ แถวซอ้ื อาหาร
ขอ้ บังคบั ของครอบครวั โรงเรียน และสังคม
4. ใฝเ่ รยี นรู้
ความหมาย : คณุ ลกั ษณะที่แสดงออกถึงความต้ังใจ เพียรพยายามในการเรียน แสวงหาความรู้
จากแหลง่ เรียนรูท้ ้ังภายในและภายนอกโรงเรียน EX. หอ้ งสมดุ มชี วี ิต การสอนแบบโครงงาน รักการอา่ น
ตวั ช้วี ัด : 2 ตวั ช้ีวัด ไดแ้ ก่ ชมุ นมุ คอมพิวเตอร์
(1) ตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียน และเข้ารว่ มกิจกรรมการเรยี นรู้
(2) แสวงหาความรู้จากแหลง่ เรยี นรูต้ ่าง ๆ ทัง้ ภายในและภายนอกโรงเรยี น ดว้ ยการเลอื กใช้ส่ือ
อย่างเหมาะสม สรปุ เป็นองค์ความรู้ และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
5. อยอู่ ย่างพอเพยี ง
ความหมาย : คุณลักษณะท่ีแสดงออกถงึ การดำเนินชวี ติ อยา่ งพอประมาณ มเี หตผุ ล รอบคอบ
มคี ณุ ธรรม มภี ูมิคุ้มกันในตวั ทดี่ ี และปรับตวั เพ่ืออยู่ในสังคมไดอ้ ย่างมคี วามสุข EX. กจิ กรรมการงานอาชพี ประกนั
คุณภาพชีวติ บนั ทกึ รายรับ รายจ่าย
ตัวชี้วดั : 2 ตัวชวี้ ดั ไดแ้ ก่ ธนาคารขยะ สหกรณโ์ รงเรยี น
ธนาคารโรงเรยี น ใช้แหล่งภมู ปิ ัญญา
(1) ดำเนินชีวติ อยา่ งพอประมาณ มเี หตผุ ล รอบคอบ มคี ุณธรรม
(2) มภี ูมคิ ุ้มกนั ในตัวท่ดี ี ปรบั ตัวเพื่ออยู่ในสงั คมได้อย่างมีความสุข ท้องถ่นิ
6. มุ่งมั่นในการทำงาน
ความหมาย : คณุ ลกั ษณะที่แสดงออกถึงความตง้ั ใจและรบั ผิดชอบในการทำหน้าท่ีการงาน ดว้ ยความ
เพียรพยายาม อดทน เพื่อให้งานสำเร็จตามเปา้ หมาย EX. กจิ กรรมกลมุ่ สี กจิ กรรมคา้ ขาย กิจกรรมตามความถนัด
ตวั ชวี้ ดั : 2 ตวั ชี้วัด ไดแ้ ก่
(1) ตั้งใจและรับผิดชอบในหนา้ ที่การงาน
(2) ทำงานดว้ ยความเพยี รพยายาม และอดทนเพ่ือให้งานสำเร็จตามเปา้ หมาย
สรปุ เนือ้ หาสอบครูผู้ช่วย ภาค ข โดย The Teacher 89
สอบบรรจขุ า้ ราชการครู ตำแหนง่ ครผู ูช้ ว่ ย สรปุ ยอ่ อยา่ งละเอียด เร่อื ง วชิ าการศึกษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
7. รักความเป็นไทย
ความหมาย : คณุ ลกั ษณะที่แสดงออกถงึ ความภาคภูมใิ จ เหน็ คณุ คา่ รว่ มอนุรักษส์ บื ทอดภูมปิ ัญญาไทย
ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะและวัฒนธรรม ใช้ภาษาไทยในการส่อื สารได้อยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม
ตวั ชว้ี ดั : 3 ตัวช้วี ัด ไดแ้ ก่ EX. ชมุ นุมดนตรี นาฏศลิ ป์ มารยาทไทย การละเล่นไทย นุ่งผา้ ไทย ส่งเสรมิ ความเปน็ ไทย
(1) ภาคภูมใิ จในขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ วัฒนธรรมไทย และมีความกตัญญูกตเวที
(2) เห็นคณุ คา่ และใชภ้ าษาไทยในการสอื่ สารได้อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม
(3) อนรุ ักษ์ และสบื ทอดภูมปิ ัญญาไทย
8. มีจิตสาธารณะ
ความหมาย : คุณลักษณะท่ีแสดงออกถึงการมสี ว่ นรว่ มในกิจกรรม หรือสถานการณท์ กี่ อ่ ให้เกิด
ประโยชน์แก่ผอู้ ่ืน ชุมชน และสังคม ด้วยความเตม็ ใจ กระตือรือรน้ โดยไมห่ วังผลตอบแทน
ตวั ช้ีวดั : 2 ตวั ช้ีวัด ได้แก่ EX. ปลูกต้นไมใ้ นวนั สำคญั อาสาพัฒนา
(1) ช่วยเหลอื ผู้อ่ืนด้วยความเตม็ ใจโดยไมห่ วังผลตอบแทน กำจัดลูกนำ้ ยุงลาย เพื่อนช่วยเพื่อน
(2) เข้ารว่ มกจิ กรรมท่เี ปน็ ประโยชนต์ อ่ โรงเรียน ชมุ ชน และสังคม
แนวปฏิบัติในการพัฒนาผูเ้ รียนใหม้ คี ุณลักษณะอันพึงประสงค์
สามารถนำคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตัวชว้ี ัด และพฤตกิ รรมทบี่ ่งชีท้ วี่ เิ คราะห์ไปปฏิบตั ิ ดังนี้
1) บูรณาการในกลุม่ สาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ
2) จดั ในกิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น
3) จัดในโครงการเพอ่ื พฒั นาคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
4) ปลกู ฝงั คณุ ลักษณะอันพึงประสงคโ์ ดยสอดแทรกในกิจวตั รประจำวัน
กิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551
ความหมาย : เปน็ กิจกรรมที่มุง่ ใหผ้ ูเ้ รียนพัฒนาตนเองตามศกั ยภาพ พฒั นาอยา่ งรอบดา้ น 90
เพ่ือความเป็นมนษุ ย์ท่สี มบูรณ์ เสริมสรา้ งใหเ้ ปน็ ผ้มู ีศีลธรรม ระเบียบวนิ ัย ปลกู ฝังจติ สำนึกการทำประโยชน์เพอื่ สังคม
เปา้ หมาย : การจัดกจิ กรรมพฒั นาผู้เรียนมงุ่ สง่ เสรมิ และพฒั นาผเู้ รยี นใชค้ วามรู้ ทกั ษะ
และประสบการณจ์ ากการเรยี นรูไ้ ปพฒั นาตนเอง ให้เกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ อนั จะนำไปสู่คุณลกั ษณะ
อนั พึงประสงค์ 8 ประการ
หลักการ :
กำหนดเปา้ หมายกจิ กรรมชัดเจน
ผเู้ รยี นไดพ้ ฒั นาตนเองอย่างรอบด้านเต็มศกั ยภาพ
ปลกู ฝังจติ สำนึกการบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสงั คม
ยดึ หลกั การมีส่วนร่วม เปดิ โอกาสใหค้ รู พ่อแม่ ผู้ปกครอง มีสว่ นร่วมในการจดั กิจกรรม
สรปุ เนือ้ หาสอบครผู ูช้ ่วย ภาค ข โดย The Teacher
สอบบรรจขุ ้าราชการครู ตำแหนง่ ครูผู้ชว่ ย สรปุ ยอ่ อยา่ งละเอยี ด เร่อื ง วชิ าการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
แนวการจดั กิจกรรม
สถานศกึ ษาจัดให้ผเู้ รยี นทุกคนเขา้ ร่วมกจิ กรรม ดงั นี้
1) ผเู้ รยี นปฏิบตั ดิ ้วยความสมคั รใจ
2) ผเู้ รยี นปฏบิ ตั กิ ิจกรรมผ่านประสบการณ์ทหี่ ลากหลาย
3) จัดกจิ กรรมทั้ง 3 อย่างสมดลุ
4) จดั กิจกรรมให้ผูเ้ รยี นเปน็ ผดู้ ำเนนิ การ มกี ารสำรวจและใชข้ ้อมลู ประกอบการวางแผนอยา่ ง
เปน็ ระบบ เนน้ การคดิ วเิ คราะห์
5) ใชก้ ระบวนการมสี ว่ นรว่ ม เรียนรแู้ บบรว่ มมือมากกว่าแข่งขนั
ขอบข่ายกจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน ข้อสอบ : ขอ้ ใดไม่ใช่ขอบข่ายกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน ?
1) เปจ็ กิจกรรมทสี่ ่งเสริมการเรียนรู้ 8 กลมุ่ สาระฯ
2) ตอบสนองความสนใจ ความตอ้ งการ และความถนดั ของผูเ้ รียน
3) ปลกู ฝังจิตสำนกึ การทำประโยชนต์ อ่ สงั คม
4) ฝึกการทำงานและการใหบ้ รกิ ารดา้ นต่าง ๆ
กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น แบง่ เปน็ 3 ลักษณะ ดงั นี้
1) กจิ กรรมแนะแนว
2) กิจกรรมนกั เรยี น
2.1 กจิ กรรมลกู เสอื เนตรนารี ยุวกาชาด ผ้บู ำเพ็ญประโยชน์ และนักศึกษาวิชาทหาร
2.2 กิจกรรมชมุ นมุ ชมรม
3) กิจกรรมเพ่ือสงั คมและสาธารณประโยชน์
โครงสรา้ งกิจกรรมพฒั นาผู้เรียน ข้อสอบ : มักถามจำนวนเวลาจัดกิจกรรม
กจิ กรรม ประถมศกึ ษา ม.ตน้ ม.ปลาย
1.กิจกรรมแนะแนว ป.1 ป.2 ป.3 ป.4 ป.5 ป.6 ม.1 ม.2 ม.3 ม.4-6
2.กจิ กรรมนกั เรียน
3. กิจกรรมเพอ่ื สังคม 120 60 45 60
120 120 120 120 120 120 120 120 360
และสาธารณประโยชน์
รวม
*ป.1-ม.3 ปีละ 120 ชม. และช้ัน ม.4-6 จำนวน 360 ชม.
สรุปเน้ือหาสอบครผู ู้ชว่ ย ภาค ข โดย The Teacher 91
สอบบรรจุขา้ ราชการครู ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย สรุปยอ่ อย่างละเอียด เรอ่ื ง วิชาการศกึ ษา
____________________________________________________________________________________________________________________________
กิจกรรมแนะแนว ฒ ผู้ ้ ้จู ต ู้ ษ์ ้ ต จ
ค ้ญ ำ ้ ผต
ขอ้ สอบ : กิจกรรมใดท่ีทำให้ผู้เรยี นรู้จกั ตนเอง ?
หลกั การ : จัดให้สอดคลอ้ งกับสภาพปัญหา ความต้องการ ความสนใจ ธรรมชาติผเู้ รยี น และวิสยั ทศั น์
ของสถานศึกษา ที่ตอบสนองจุดมุ่งหมายหลักสูตรแกนกลางฯ ครอบคลมุ ดา้ นการศกึ ษา อาชีพ ส่วนตัว และสังคม
เน้นผเู้ รียนเป็นสำคัญ ผู้เรยี นมสี ่วนรว่ มปฏิบตั ิกจิ กรรมจนเกิดการเรยี นรู้ และทักษะชีวติ
ขอบขา่ ย : มีองคป์ ระกอบ 3 ดา้ น ดงั นี้
1) ดา้ นการศกึ ษา 2) ดา้ นอาชพี ประเมนิ เพื่อการตดั สนิ
3) ดา้ นสว่ นตวั และสงั คม ผลการเรียน มี ผา่ นและไมผ่ ่าน
การประเมนิ : มี 2 ลักษณะ คอื
1) ประเมนิ เพอ่ื พฒั นาผูเ้ รยี น 2) ประเมนิ เพอื่ ตดั สนิ ผลการเรยี น
กจิ กรรมนักเรียน ุ ฒ ค บ บ ค ็ ผู้ ำ ค บผ บ
ำ
หลกั การ : ส่งเสรมิ ใหผ้ ูเ้ รียนรว่ มกจิ กรรมตามถนดั และสนใจ เน้นเรอ่ื งคุณธรรมจริยธรรม ระเบียบวนิ ัย
ไม่เห็นแกต่ วั เปน็ ผ้นู ำผ้ตู ามท่ีดี รบั ผิดชอบ ทำงานรว่ มกัน แก้ปัญหา ตดั สินใจ มเี หตุผล ชว่ ยเหลอื แบ่งปัน
และเออื้ อาทรสมานฉนั ท์ ขอ้ สอบ : กิจกรรมใดท่ผี เู้ รียนร่วมกจิ กรรมตามถนดั และตามความสนใจ ? ประถม และม.ต้น ต้องรว่ ม
ขอบข่าย : ท้ังขอ้ 1 และ 2 ส่วนม.ปลาย
1. ลูกเสอื เนตรนารี ยวุ กาชาด ผบู้ ำเพญ็ ประโยชน์ เลือกรว่ มขอ้ 1 หรือ 2
และนกั ศกึ ษาวชิ าทหาร ให้ผเู้ รยี นเลอื กกิจกรรมตามถนดั และสนใจ
สอดคล้องกับบรบิ ทของสถานศึกษา และครบตามหลกั สูตร
2. ชมุ นมุ และชมรม ใหผ้ ู้เรยี นจดั กิจกรรมหลากหลาย และรว่ มกิจกรรมตามถนัดและสนใจ
กิจกรรมนักเรยี นประกอบไปดว้ ย 5 กจิ กรรม ดงั นี้
(2.1) กิจกรรมลกู เสือ เนตรนารี
เป็นกระบวนการพัฒนาเยาวชน เพือ่ ฝกึ อบรมใหก้ ารศกึ ษา และพัฒนาเยาวชนเปน็ พลเมอื งดี
ไมค่ ำนงึ ถึงเชอ้ื ชาติ ศาสนา เปน็ ไปตามความมุ่งประสงค์ หลกั การ และวธิ ีการ ซึ่งลกู เสอื โลกกาํ หนดไว้
หลกั การ :
1. มหี ลักศาสนาเปน็ หลกั ยดึ ทางจิตใจ จงรกั ภกั ดตี อ่ ศาสนาท่ตี นนับถือ และพึงปฏบิ ตั ิศาสนกิจดว้ ยความจรงิ ใจ
2. จงรักภักดีตอ่ พระมหากษัตริย์และประเทศชาติ ส่งเสริมสนับสนุนสนั ติสขุ และสันตภิ าพ ความเข้าใจท่ีดี
และความร่วมมอื ระดบั ทอ้ งถิ่น ชาติ และนานาชาติ
3. เขา้ รว่ มพฒั นาสังคม และเคารพเกยี รตแิ ละศักดิ์ศรีผอู้ ื่น และเพื่อนมนษุ ย์ ธรรมชาตแิ ละสรรพสง่ิ ในโลก
4. รับผดิ ชอบตอ่ การพฒั นาตนเองอย่างตอ่ เน่ือง
5. ยดึ มั่นในคำปฏิญาณและกฎของลกู เสอื
สรุปเน้อื หาสอบครูผ้ชู ่วย ภาค ข โดย The Teacher 92