ช่ือหนังสอื
บาลไี วยากรณ์เบอื้ งตน้
สำ�หรบั นักศึกษาใหม่
ISBN 974-8417-06-9
ผูเ้ รียบเรยี ง
พระมหาสมปอง มุทิโต
ศนู ยก์ ลางการศกึ ษาบาลีใหญแ่ ละพระไตรปิฎก
ศ.พ.ว.ธ. เอ็ฟเอม็ ๙๓.๕ คลน่ื ธรรมะ นำ�สาระสสู่ ังคมไทย
ศูนย์วิปัสสนากรรมฐานวิหารธรรม ๓๓๓ ม. ๖ บา้ นศรวี ิราช ต.โสมเยีย่ ม
อ.น�้ำ โสม จ.อดุ รธานี ๔๑๒๑๐ โทร. ๐๘-๑๓๖๑-๗๗๓๕
facebook พระมหาสมปอง มุทิโต, [email protected]
ครง้ั ที่ ๑ จัดพิมพ์เผยแพร่
ครง้ั ท่ี ๒
ครั้งท่ี ๓ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ จ�ำ นวน ๕๐๐ เลม่
คร้ังท่ี ๔ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๓๙ จำ�นวน ๕๐๐ เลม่
ครง้ั ท่ี ๕ ๑๔ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๒ จำ�นวน ๑,๐๐๐ เลม่
ครงั้ ที่ ๖ ๑๓ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๔๓ จ�ำ นวน ๑,๐๐๐ เล่ม
ครัง้ ท่ี ๗ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๔๕ จำ�นวน ๑,๐๐๐ เลม่
๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ จำ�นวน ๓,๐๐๐ เลม่
๓ กนั ยายน ๒๕๖๓ จำ�นวน ๓,๐๐๐ เล่ม
พิมพ์ที่
อารมั ภกถา (๓)
อารมั ภกถา
(พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๑-๒-๓-๔)
ผู้ประสงค์ศึกษาพระบาลีคือพระไตรปิฎกให้เข้าใจอย่างถูกต้องครบถ้วน
ทั้งอัตถะและพยัญชนะ ต้องเร่ิมต้นด้วยการศึกษาคัมภีร์นิรุตติหรือบาลีใหญ่ท้ัง
๔ คัมภีร์ ดงั ตอ่ ไปน้ี
๑. คัมภรี ์บาลีไวยากรณ์ ว่าดว้ ยกฏเกณฑข์องหลกั ภาษาบาลี
๒. คมั ภีร์อภธิ านัปป ทปี ิกา วา่ ดว้ ยค�ำ ศพั ทท์ ี่มคี วามหมายตา่ งๆ
๓. คัมภรี ์วตุ โตทัย ว่าดว้ ยระเบยี บฉนั ทลกั ษณ์
๔. คมั ภีร์สโุพธาลงั การะ วา่ ดว้ ยสำ�นวนโวหารนยั ต่างๆ
บรรดาคัมภีร์นิรตุ ติทัง้ ๔ น้ี คัมภรี ์ไวยากรณ์บาลีใหญท่ ี่นักปราชญ์ท่าน
นิยมเรยี นและสอนสืบทอดกนั มาแตโ่ บราณ คอื คัมภรี ์ไวยากรณ์ ๓ สาย ไดแ้ ก่
สายคัมภีร์กัจจายนะ สายคัมภีร์โมคคัลลานะ และสายคัมภรี ส์ ทั ทนีติ
คัมภีร์ปทรูปสิทธิ เป็นไวยากรณ์บาลีใหญ่สายกัจจายนะคัมภีร์หนึ่ง ที่
นิยมเรยี นกนั มาก เพราะมเี น้อื หาครบบรบิ รู ณ์ ทงั้ ไมย่ ่อไม่พสิ ดารเกนิ ไป ง่าย
ตอ่ การท�ำ ความเข้าใจ
หนังสอื “บาลไี วยากรณ์เบื้องตน้ ” ย่อเน้อื หามาจากคัมภรี ์ปท รปู สทิ ธิ
แล้วเรียเรียงขึ้นใหม่ เพ่ือใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนภาษาบาลีเบื้องต้น ให้ผู้
ศึกษาภาษาบาลีเขา้ ถึงเน้อื หาในพระไตรปิฎกตรงตามพระพุทธประสงค์ เหมาะ
ส�ำ หรบั นกั ศกึ ษาใหมท่ จี่ ะศกึ ษาคมั ภรี บ์ าลใี หญ่ ทชี่ มรมนริ ตุ ตศิ กึ ษา วดั มหาธาตุ
คณะ ๒๕ พระนคร กรงุ เทพมหานคร
ขอขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลเจตนาของทุกท่าน ที่ได้ร่วมจัดพิมพ์
หนังสือเล่มน้ีออกเผยแพร่ ขอผลานิสงส์น้ีจงอำ�นวยให้ท่านมีปัญญารู้แจ้งใน
สัจธรรมคำ�ส่ังสอนของสมเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจ้า โดยทั่วกนั เทอญ
พระมหาสมปอง มทุ โิ ต
ชมรมนิรตุ ติศกึ ษา วดั มหาธาตุ
๑๓ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๓๙
(๔) อารมั ภกถา
อารัมภกถา
(พิมพ์ครง้ั ที่ ๕-๖)
เนอ่ื งจากหนงั สอื เลม่ นี้ มเี นอ้ื หาไมย่ อ่ และไมพ่ สิ ดารเกนิ ไป เหมาะส�ำ หรบั
ผเู้ ร่ิมศึกษาบาลไี วยากรณ์ จึงมผี ้สู นใจนำ�ไปใชเ้ รียนใช้สอนบาลีสนามหลวงและ
บาลีใหญ่อย่างแพร่หลาย ทำ�ให้หนังสือท่ีพิมพ์ออกมาแต่ละคร้ังไม่เพียงพอต่อ
ความต้องการ
การจัดพิมพ์ครั้งที่ ๕ และ ๖ นี้ ได้ปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาที่บกพร่อง
ใหส้ มบรู ณย์ ่งิ ขึน้ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ กผ่ ู้เรยี นมากทสี่ ุด และจะได้มอบใหแ้ ก่
สถาบันการศึกษา ผู้ศึกษา และผู้สนใจท่วั ไป
ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของทุกท่าน ท่ีมีส่วนช่วยให้หนังสือเล่มนี้
สำ�เรจ็ ลลุ ่วงดว้ ยดี ขอให้ทา่ นจงมสี ่วนแหง่ มหาอานสิ งส์นท้ี กุ ประการเทอญ
พระมหาสมปอง มุทโิ ต
ประธานชมรมนิรตุ ตศิ กึ ษา
วัดมหาธาตุ คณะ ๒๕
พระนคร กรงุ เทพฯ
โทร. ๒๒๔๑๔๑๘, ๒๒๒๒๙๗๙
๑๔ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๓
อารมั ภกถา (๕)
อารัมภกถา
(พิมพค์ รง้ั ท่ี ๗)
โสตุชน คือบคุ คลผใู้ ฝใ่ นการศกึ ษาภาษาบาลแี ละพระไตรปฎิ ก ให้ครบ
ถ้วนทั้งอรรถและพยัญชนะ ควรเริ่มศึกษาคัมภีร์นิรุตติอันเป็นคัมภีร์บาลีใหญ่
หรอื บ าลีห ลวง ท้ัง ๔ คมั ภรี ์ คือ
๑. คมั ภรี บ์ าลีไวยากรณ์ วา่ ด้วยกฏเกณฑข์ องหลกั ภ าษาบาลี เชน่
คมั ภรี ก์ จั จายนะ ปทรปู สทิ ธิ โมคคลั ลานะ
และ สัทท นตี ิ เปน็ ต้น
๒. คัมภีร์อภิธานัปปทปี ิกา ว่าด้วยคำ�ศัพท์ในอรรถตา่ งๆ
๓. คัมภรี ์วุตโตทัย วา่ ด้วยระเบยี บฉันทลักษณ์ (รอ้ ยกรอง)
๔. คัมภีร์สุโพธาลงั การะ ว่าด้วยการใชโ้ วหารสำ�นวนทไ่ี มม่ โี ทษ ใน
การรจนาคัมภีร์ภาษาบาลี
หนงั สอื “บาลไี วยากรณเ์ บอ้ื งตน้ ” เลม่ น้ี ไดย้ อ่ สรปุ เนอื้ หามาจากคมั ภรี ์
ปทรปู สทิ ธอิ นั เปน็ สายของคมั ภรี ก์ จั จายนะ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ สอื่ การเรยี นการสอนภาษา
บาลีในเบ้ืองตน้ เหมาะกับนกั ศึกษาใหม่ เมื่อได้เรียนบ าลีไวยากรณ์เบอ้ื งตน้ แลว้
จะสามารถข้นึ ไปศกึ ษาค้นคว้าคมั ภรี ์บาลใี หญท่ ้งั ๔ นัน้ ไดด้ ี และเปน็ การเตรยี ม
ความพ รอ้ มเพอ่ื จะเพม่ิ พนู ความรขู้ องตน ใหส้ ามารถขนึ้ ไปศกึ ษาชน้ั พ ระไตรปฎิ ก
เข้าใจไดด้ ยีิง่ ข้ึน
ในการจัดพมิ พ์คร้งั ที่ ๗ นี้ ได้แก้ไขและเพ่มิ เตมิ เนื้อหาท่ีเก้อื กูลตอ่ การ
ศกึ ษาภาษาบาลดี ว้ ยตนเองใหง้ า่ ยยงิ่ ขนึ้ โดยเฉพาะกณั ฑส์ ดุ ทา้ ย คอื วากยฺ กณั ฑ์
เพ่ือแสดงการกะและวาจกะ ซึ่งเป็นโครงสรา้ งของประโยคภาษาบาลี
ขอขอบคุณและอนุโมทนา ในกุศลเจตนาท่ีทุกท่านมีส่วนร่วมในการจัด
พิมพ์ห นังสือหลักสูตรในการศึกษาบ าลีใหญแ่ ละพ ระไตรปิฎกตอ่ ไป
พระมหาสมปอง มทุ ิโต
ศูนย์กลางการศกึ ษาบาลใี หญแ่ ละพระไตรปฎิ ก
(๖) หนา้
๑
สารบัญ ๓
๔
เร่อื ง ๔
คันถารมั ภะ ๔
อกั ษรลักษณ์ ๕
๕
๑. สนธิกณั ฑ์ สัญญาวธิ าน อักขรสุติ สนั ธิวธิ าน ๖
๖
๑.๑. สญั ญาวธิ าน วิธเี รียกชอ่ื อักษร ๗
อักขร ๔๑ ตัว ๘
สระ ๘ ตวั ๘
พยญั ชนะ ๓๓ ตัว ๙
๑.๒. อกั ขรสตุ ิ วธิ อี อกเสียงอักษร ๑๐
ฐาน ๖ ๑๒
กรณ์ ๔ ๑๔
ปยตนะ ๔ ๑๔
สถิ ิละ ธนติ ะ โฆสะ อโฆสะ วิมตุ ตะ ๑๖
การอ่านและการเขียน
พยญั ชนะสงั โยค ๑๙
๑.๓. สนั ธวิ ิธาน วธิ ีการตอ่ อักษร
อักษรสนธิ ๓ ๒๑
๑.๓.๑. สรสนธิ ๒๑
๑.๓.๒. พยญั ชนสนธิ ๒๒
๑.๓.๓. นคิ คหีตสนธิ ๒๒
๒๕
๒. นามกณั ฑ์ นาม = ปกตลิ งิ ค+์ วิภตั ตนิ าม
๒.๑. สุทธนาม
๒.๒. คณุ นาม
๒.๓. สัพพนาม
๒.๔. ลงิ ค์
สารบญั (๗)
๒.๕. การันต์ ๒๗
๒.๖. วิภตั ตนิ าม ๒๘
๒.๗. วจนะหรือพจน ์ ๒๙
๒.๘. สทั ทปทมาลา ๓๐
สัททปทมาลาในปุงลิงค ์ ๓๑
สัททปทมาลาในอติ ถลี ิงค์ ๔๓
สทั ทปทมาลาในนปุงสกลิงค์ ๔๘
สัททปทมาลาในสัพพนาม ๕๓
ปรุ สิ สพั พนาม ๕๓
อลงิ คสัพพนาม ๕๔
วิเสสนสัพพนาม ๕๕
กึสทั ทปทมาลา ๖๑
๒.๙. สงั ขยา ๖๒
สทั ทปทมาลาในสังขยาสัพพนาม ๖๒
ปกตสิ งั ขยา ๖๕
คณุ ติ ปกตสิ งั ขยา ๖๖
สัททปทมาลาในปกติสังขยา ๖๘
ปูรณสงั ขยา ๖๙
๒.๑๐. อัพยยศัพท์ ๗๐
๑. ปัจจยันตะ ๗๐
๒. อปุ สคั ๗๑
๓. นบิ าต ๘๒
กลุ่มที่ ๑ นบิ าตอรรถเดียวกนั ๘๒
กลมุ่ ที่ ๒ นิบาตหลายอรรถ ๘๙
กลุม่ ที่ ๓ นิบาตอรรถตา่ งๆ ๙๒
๙๔
๓. สมาสกัณฑ์ สมาส = นาม+นาม+วภิ ตั ตนิ าม ๙๔
สมาส ๖
(๘) สารบญั
๑. อัพยยภี าวสมาส ๙๕
๒. กัมมธารยสมาส ๙๕
๓. ทิคุสมาส ๙๗
๔. ตัปปรุ สิ สมาส ๙๗
๕. พหุพพหี ิสมาส ๙๘
๖. ทวนั ทสมาส ๑๐๐
๔. ตัทธิตกัณฑ์ ตทั ธิต = นาม+ปจั จยั +วิภตั ตินาม ๑๐๑
ตทั ธติ ๗ ๑๐๑
๑. อปัจจตัทธิต ๑๐๑
๒. อเนกตั ภตทั ธติ ๑๐๒
๓. ภาวตัทธติ ๑๐๔
๔. วเิ สสตทั ธติ ๑๐๕
๕. อัสสตั ถติ ัทธติ ๑๐๕
๖. สังขยาตัทธติ ๑๐๗
๗. อัพยยตัทธติ ๑๐๗
๕. อาขยาตกณั ฑ์ อาขยาต=ธาตุ+ปจั จยั +... ๑๐๙
๑๐๙
ธาตุ ๘ คณะ ๑๐๙
๑. ภูวาทิคณะ ๑๑๐
๒. รธุ าทิคณะ ๑๑๐
๓. ทวิ าทิคณะ
๔. สวฺ าทิคณะ ๑๑๑
๕. กิยาทิคณะ ๑๑๑
๖. คหาทคิ ณะ ๑๑๒
๗. ตนาทคิ ณะ ๑๑๒
๘. จรุ าทคิ ณะ ๑๑๒
ธาตุ ๒ กลมุ่ ๑๑๓
สารบญั (๙)
ปจั จัยในอาขยาต ๑๑๓
ธาตุปปัจจยั ๓ กลุ่ม ๑๑๔
วภิ ัตตอิ าขยาต ๑๑๕
ตารางแสดงวิภตั ติ กาล บท บุรุษ วจนะ โยคะ ๑๑๙
สทั ทปทมาลา ๑๒๐
วัตตมานาวภิ ัตต ิ ๑๒๐
ปญั จมีวิภตั ต ิ ๑๒๒
สตั ตมวี ภิ ตั ติ ๑๒๔
ปโรกขาวภิ ัตต ิ ๑๒๖
หิยยัตตนีวิภตั ต ิ ๑๒๖
อัชชตนวี ิภตั ติ ๑๒๗
ภวสิ สันตวี ภิ ตั ติ ๑๒๘
กาลาติปัตติวิภตั ต ิ ๑๒๘
กริ ยิ าอาขยาตที่มีใช้มาก ๑๒๙
๑๓๔
๖. กิตกกัณฑ์ กิตก์ = ธาต+ุ ปัจจัย+วิภตั ตนิ าม ๑๓๔
ธาต ุ ๑๓๔
ปัจจยั ๑๓๕
วภิ ตั ต ิ ๑๓๕
กติ ก์ ๒ ประเภท ๑๓๕
กติ ก์ ๓ ข้ันตอน ๑๓๖
สาธนะ ๗ ๑๓๘
ตวั อยา่ งนามกิตก์ ๑๓๙
ตวั อย่างกริ ิยากติ ก์ ๑๓๙
ศัพท์กติ กท์ มี่ ใี ชม้ าก ๑๔๖
๑๔๖
๗. วากฺยกณั ฑ์ ประโยค = การกะ+วาจกะ
๗.๑. การกะ
(๑๐) สารบญั
การกะ ๒ (๑) ๑๔๖
การกะ ๒ (๑) ๑๔๗
การกะโดยย่อ ๖ ๑๔๗
การกะโดยพสิ ดาร ๒๖ ๑๔๘
กัตตุการกะ ๕ ๑๔๘
กมั มการกะ ๗ ๑๔๙
กรณการกะ ๒ ๑๕๐
สัมปทานการกะ ๓ ๑๕๐
อปาทานการกะ ๕ ๑๕๑
โอกาสการกะ ๔ ๑๕๒
๗.๒. วาจกะ ๑๕๒
วาจกะ ๕ ๑๕๓
กิริยา ๒ ๑๕๓
๗.๓. หลักการแปลบาลเี ป็นไทย ๑๕๔
ตัวอย่างประโยคบาล ี ๑๕๔
แปลเป็นไทย ๑๕๕
๑๕๘
ภาคพเิ ศษ ๑๕๘
๑๕๙
ค�ำ ทักทายดว้ ยภาษาบาลี
คนั ถนีต ิ
๑
คนั ถารัมภะ
ปาลภิ าสา ภาษาบาลี
ปาล ิ หรือ ปาฬิ แปลว่า รักษาไว,้ ภาสา แปลวา่ ถอ้ ยค�ำ ส�ำ เนียง
(ศพั ทแ์ละเสียง), เมื่อรวมเข้ากันเป็น ปาลภิ าสา จึงแปลว่า ภาษาที่รกั ษาไว้
รักษาอะไรไว้ ? รักษาพระพทุ ธพจน์คอื พระไตรปิฎกไว้
ตปิ ฏิ กํ พุทธฺ วจนํ ปาเลตีติ ปาลิ (ปาฬิ).
ภาษาทร่ี กั ษาไว้ซง่ึ พระพทุ ธพจน์คือพระไตรปิฎก ชอื่ วา่ บาลี
การศึกษาภาษาบาลี หมายถงึ การศกึ ษาภ าษาในพระไตรปิฎกอนั เปน็
คำ�สั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซ่ึงคำ�สั่งสอนเหล่าน้ัน บริสุทธ์ิบริบูรณ์
ครบถว้ นดว้ ยอัตถะและพ ยญั ชนะ
อตั ถะ คอื เน้อื ความ มี ๓ อยา่ ง
๑. โลกียตั ถะ เนื้อความท่เี ปน็ โลกียธรรม
ได้แก่ โลกียจติ ๘๑ เจตสิก ๕๒ รปู ๒๘
๒. โลกตุ ตรัตถะ เนือ้ ความทีเ่ ป็นโลกุตตรธรรม
ไดแ้ ก่ มรรค ๔ ผล ๔ นพิ พาน
๓. โวหารรัตถะ เน้อื ความท่เี ป็นโวหารบญั ญตั แิ ละปรยิ ัติ
ไดแ้ ก่ มนุษย์ ภูเขา แม่นำ�้ วัตถุ เป็นต้น
ผู้ได้ศึกษาหลักพยัญชนะคืออักษรภาษาบาลีจนเข้าใจดีแล้ว ย่อมเข้าใจ
ในอตั ถะทง้ั ๓ นไี้ ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง หากไมเ่ ขา้ ใจหลกั พยญั ชนะ จะเปน็ เหตใุ หเ้ ขา้ ใจ
อตั ถะทงั้ ๓ นนั้ ผิดพลาดได้ พระพทุ ธองค์จึงตรัสวา่
“เทฺวเม ภิกฺขเว ธมฺมา สทฺธมฺมสฺส สมฺโมสาย อนฺตรธานาย
สวํ ตฺตนตฺ .ิ กตเม เทวฺ . ทนุ นฺิกขฺ ติ ฺตญฺจ ปทพยฺ ญฺชนํ อตฺโถ จ ทนุ นฺโีต,
ทุนฺนิกฺขิตตฺ สฺส ภกิ ขฺ เว ปทพยฺ ญชฺนสฺส อตโฺถปิ ทนุ นฺ โย โหติ.
เทฺวเม ภกิ ขฺ เว ธมฺมา สทธฺมฺมสสฺ €ติ ยิา อสมฺโมสาย อนนฺตร-
ธานาย สวํ ตฺตนตฺ.ิ กตเม เทวฺ . สนุกิ ขฺ ติ ตฺ ญจฺ ปทพยฺ ญฺชนํ อตฺโถ จ
๒ คันถารมั ภะ
สุนีโต, สุนิกฺขิตฺตสฺส ภิกฺขเว ปทพฺยญฺชนสฺส อตฺโถปิ สุนโย โหติ.”
(องฺ.ทุก. ๒๐/๒๐-๒๑)
“ภิกษทุ ั้งห ลาย ธรรม ๒ อยา่ งเหลา่ น้ี ยอ่ มเป็นไปเพอ่ื ความเสอื่ มสลาย
เพื่อความอันตรธานไปแห่งพระสัทธรรม ธรรม ๒ อย่างอะไรบ้าง คือ บท
พยัญชนะท่ีนำ�มาไม่ถูกต้อง และเน้ือความที่เข้าใจไม่ถูกต้อง เม่ือบทพยัญชนะ
น�ำ มาไมถ่ กู ต้อง แม้เนอ้ื ความก็ย่อมเขา้ ใจไมถ่กู ต้องเชน่ กนั
ภิกษทุ งั้ ห ลาย ธรรม ๒ อยา่ งเหลา่ นี้ ย่อมเปน็ ไปเพื่อความต้งั มน่ั ไม่
เสื่อมสลาย ไม่อนั ตรธานไปแหง่ พระสทั ธรรม ธรรม ๒ อยา่ งอะไรบ้าง คอื บท
พยญั ชนะทนี่ำ�มาถูกตอ้ ง และเน้อื ความที่เขา้ ใจถูกต้อง เมอื่ บทพ ยญั ชนะน�ำ มา
ถูกต้อง แม้เน้ือความกย็ อ่ มเขา้ ใจถูกต้องเชน่ กัน”
เมือ่ เปน็ เชน่ น้ี จึงควรอยา่ งย่งิ ทผี่ ปู้ รารถนาความรู้ความเข้าใจเน้อื ความ
อยา่ งถกู ตอ้ งครบถว้ นทง้ั อตั ถะและพยญั ชนะ ควรศกึ ษาใหเ้ ขา้ ใจในวธิ ขี องพยญั ชนะ
อันเปน็ อักขรวธิ ี คือ วธิ ีการจ�ำ แนก การอ่าน และการเขียน อกั ษรภาษาบาลี
ให้ถกู ตอ้ งนั่นเอง เมอื่ เขา้ ใจหลักภาษาดีแลว้ ยอ่ มเขา้ ใจเนือ้ ความได้ดี และเมือ่
มคี วามเข้าใจเน้อื ความดี ยอ่ มสามารถปฏบิ ัตติ ามไดถ้ กู ตอ้ งจนถงึ ความสนิ้ ทุกข์
ได้ หากแม้หลกั ภาษาบาลียังไม่เข้าใจ จักท�ำ ให้สงสัยในเนอ้ื ความและข้อปฏบิ ตั ิ
นน้ั ๆ ถา้ ปรารถนาจะศกึ ษาคน้ ควา้ พระบาลคี อื พระไตรปฎิ กอนั เปน็ หลกั ค�ำ สง่ั สอน
กย็ ง่ิ มคี วามสงสัยแทบทุกบท ดงั นัน้ ท่านพระโมคคลั ลานมหาเถระผู้ปรีชาชาญ
ในหลกั ภาษาบาลีจงึ ได้กลา่ วไว้เปน็ คาถาวา่
โย นิรุตตฺ ึ น สกิ ฺเขยฺย สกิ ฺขนโฺ ต ปิฏกตตฺ ยํ
ปเท ปเท วกิ งฺเขยยฺ วเน อนฺธคโช ยถา.
(โมคฺคลฺลานปญจฺ ิกา)
บคุ คลใด ไมไ่ ดศ้ กึ ษาคมั ภรี น์ ริ ตุ ตอิ นั เปน็ หลกั ภาษากอ่ น บคุ คลนน้ั เมอ่ื
ศกึ ษาคน้ ควา้ พระไตรปฎิ ก ยอ่ มสงสยั ทกุ ๆบท ดจุ ชา้ งไพรตาบอดเทย่ี วไปในปา่
นริ ุตติบ่ขดี เขียน หวงั เพียงเพยี รเรียนพระไตร
ทุกบทยอ่ มสงสัย ดจุ ชา้ งไพรไร้ดวงตา
อักษรลักษณ์ ๓
อกั ษรลักษณ์
ตารางอกั ษรบาลี ๔๑ ตัว
สระ พยัญชนะ ฐาน กรณ์ ปยตนะ โฆสะ อโฆสะ สถิ ลิ ะ ธนติ ะ วมิ ุตตะ
สระ ๘ พยัญชนะ ๓๓ ๑ หรอื ๒ ฐาน
กรณก์ ระทบ ๔
รัสสะ ทฆี ะ วรรค ๒๕ อวรรค ๘
ฐานเสียง ๖
อโฆสะ โฆสะ โฆสะ อโฆ วมิ ตุ
สถิ ลิ ธนติ สถิ ลิ ธนติ วมิ ตุ กณั ฐะ สกะ เอกชะ
ตาลุ ชวิ -มชั
อ อา ก ข ค ฆ ง ห มุทธะ ชวิ -ปคั
อิ อี จ ฉ ช ฌ ย ทันตะ ชวิ หัค
ฏ € ฑฒณ ร ฬ โอฏฐะ สกะ
ตถทธนล ส กณั -ตา สกะ+
อุ อู ป ผ พ ภ ม กณั โฐฏ สกะ+
เอ ทันโตฏ สกะ+
โอ ทวฺ ิชะ เอกชะ
ว
รัสสานคุ ตะ
๑๒๓๔๕ อ ํ นาสกิ า สกะ
ลำ�ดบั พยญั ชนะวรรค
สงั วตุ วิวฏะ ผุฏฐะ อีสังผฏุ ฐะ วิวฏะ
ปยตนะ ความพยายามออกเสยี ง ๔
๔ ๑.สนธิกณั ฑ์ ๑.๑.สญั ญาวิธาน : อกั ขระ ๔๑ ตัว
๑. สนธกิ ัณฑ์
สญั ญาวธิ าน อกั ขรสตุ ิ สันธิวธิ าน
สนธิกัณฑ์ ว่าด้วยเน้ือหาท่ีควรศึกษาให้เข้าในในเบ้ืองต้น ๓ ตอน
คอื (๑) สัญญาวิธาน วธิ ีเรียกชื่ออักษร (๒) อักขรสุติ วธิ อี อกเสยี งอกั ษร
(๓) สันธิวธิ าน วธิ ตี ่ออักษร
๑.๑. สัญญาวธิ าน
วธิ ีเรียกช่อื อักษร
อกั ขระ หรือ อกั ษร แปลวา่ ไมห่ มด ไม่สน้ิ แม้มจี าํ นวนเพียง ๔๑
ตวั กใ็ ชแ้ สดงอรรถไดเ้ รื่อยไป ไมห่ มดสน้ิ จงึ เรยี กว่า “อักขระ” หรอื “อักษร”
และเรยี กวา่ “วัณณะ” “การะ” ก็มี
สัญญา แปลว่า ชื่อ เหมือนกบั ค�ำ วา่ สมญฺา อาขฺยา อภธิ าน นาม
อวฺหย นามเธยยฺ อธวิ จน เปน็ ต้น, วิธาน แปลว่า วธิ กี าร, เมือ่ รวมเข้า
กนั เปน็ สญั ญาวธิ าน จึงแปลว่า วิธีเรียกชื่อ หรือ การเรียกชือ่ ตามอักขรวธิ ี
ทจ่ี ะกล่าวตอ่ ไป
สญั ญาวิธาน วธิ กี ารต่างๆ เกย่ี วกับอักษรภาษาบาลี เช่น วิธกี ำ�หนด
จำ�นวนอกั ษร วธิ ีแบง่ ประเภทอกั ษรท่ีออกเสียงไดแ้ ละไม่ได้ วิธีออกเสยี งอักษร
วธิ เี รยี กชอ่ื อกั ษร วธิ กี ารอา่ นและการเขยี นอกั ษร วธิ ตี อ่ อกั ษร และวธิ ซี อ้ นอกั ษร
ทเี่ หมือนกนั หรอื ไม่เหมือนกัน เปน็ ต้น
อักขระ ๔๑ ตวั
อักขระ คืออกั ษรในภ าษาลี มี ๔๑ ตัว แบ่งออกเปน็ ๒ ประเภท คือ
๑. สระ คืออกั ษรท ่เีปน็ เสยี ง อา่ นออกเสียงได้ จงึ เรยี กว่า “สระ” และ
เป็นท่ีอาศัยของพยัญชนะใหอ้ า่ นออกเสียงไดด้ ว้ ย จงึ เรยี กวา่ “นสิ สยะ” มี ๘
๑.สนธิกณั ฑ์ ๑.๑.สญั ญาวธิ าน : สระ ๘ ตวั : พยัญชนะ ๓๓ ตวั ๕
ตัว หรือ ๘ เสียง ได้แก่ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
๒. พยญั ชนะ คอื อกั ษรทมี่ ีเนอื้ ความปรากฎ ทำ�เนอื้ ความทีซ่ อ่ นอยูใ่ห้
ปรากฏออกมา จึงเรยี กว่า “พยญั ชนะ” การอ่านออกเสยี งยังต้องอาศัยเสยี ง
ของสระ จงึ เรยี กว่า “นสิ สติ ะ” มี ๓๓ ตวั ไดแ้ ก่ ก ข ค ฆ ง, จ ฉ ช
ฌ , ฏ € ฑ ฒ ณ, ต ถ ท ธ น, ป ผ พ ภ ม, ย ร ล ว
ส ห ฬ อํ (พ ยญั ชนะท ้ัง ๓๓ น้ี อาศัยเสยี งสระ อ จงึ เขยี นอย่างนี้)
สระ ๘ ตวั
สระ ๘ ตวั แบง่ ออกเปน็ ๒ อย่าง คือ
๑. รสั สสระ สระทอ่ี อกเสยี งสัน้ มี ๓ ตัว คอื อ อิ อุ
๒. ทฆี สระ สระออกเสียงยาว มี ๕ ตวั คอื อา อี อู เอ โอ
พยัญชนะ ๓๓ ตัว
พยัญชนะ ๓๓ ตัว แบ่งออกเปน็ ๒ อยา่ ง คือ
๑. พยัญชนะวรรค คือพยัญชนะท่ีถูกจัดไว้ในกลุ่มเดียวกัน โดยจัด
อกั ษรท ีม่ ีการออกเสยี งอาศัยฐาน กรณ์ ปยตนะ เดยี วกัน เขา้ เป็นกลุม่ เดียวกัน
จงึ เรียกว่า “วรรค” มี ๒๕ ตวั จัดเปน็ ๕ วรรค วรรคละ ๕ ตัว ดังน้ี
ก ข ค ฆ ง เรยี กว่า กวรรค เพราะมี ก อกั ษรเปน็ หวั หนา้
จ ฉ ช ฌ เรยี กวา่ จวรรค เพราะมี จ อักษรเป็นหวั หนา้
ฏ € ฑ ฒ ณ เรียกว่า ฏวรรค เพราะมี ฏ อักษรเป็นหวั หนา้
ต ถ ท ธ น เรียกวา่ ตวรรค เพราะมี ต อกั ษรเปน็ หวั หน้า
ป ผ พ ภ ม เรยี กวา่ ปวรรค เพราะมี ป อักษรเป็นหวั หน้า
๒. พยัญชนะอวรรค คือพยัญชนะท ่ีไมถ่ กู จัดไว้ในกลมุ่ เดียวกนั เพราะ
ออกเสยี งโดยอาศยั ฐาน กรณ์ ปยตนะ แยกกนั จงึ เรียกวา่ “อวรรค” มี ๘ ตวั
คือ ย ร ล ว ส ห ฬ อ ํ (นคิ คหิตอาศัยสระ อ จึงอ่านว่า องั )
๖ ๑.สนธกิ ณั ฑ์ ๑.๒.อกั ขรสตุ ิ : ฐาน ๖
รัสสสระ ๓ อักษรบาลี ๔๑
สระ ๘ พยญั ชนะ ๓๓
ทีฆสระ ๕ พยัญชนะวรรค ๒๕ พยัญชนะอวรรค ๘
๑.๒. อักขรสุติ
วิธอี อกเสียงอกั ษร
อกั ขรสุติ แปลวา่ เสยี งของอักษรภาษาบาลี ๔๑ ตวั ผู้สวดจะเปล่ง
เสยี งออกมาได้ ต้องอาศัย ฐาน กรณ์ และ ปยตนะ ดุจเสยี งระฆงั จะดังข้นึ ได้
ต้องอาศัยฐานคือตัวระฆัง กรณ์คือลูกตุ้มหรือฆ้อนสำ�หรับตี และปยตนะคือ
ความพยายามของผู้ตี
[ ส�ำ หรบั นกั ศกึ ษาผมู้ เี วลานอ้ ย ประสงคศ์ ึกษาโดยยอ่ ใหข้ ้ามหวั ขอ้
ฐาน ๖ กรณ์ ๔ ปยตนะ ๔ สิถิละ ธนิตะ โฆสะ อโฆสะ วมิ ตุ ตะ ไปกอ่ น
และไปศึกษาต่อที่หวั ข้อ การอ่านและการเขียน ส่วนผ้ปู ระสงคศ์ กึ ษาใหค้ รบ
ถว้ นทั้งอรรถและพยัญชนะ ควรศกึ ษาทุกหวั ข้อไปตามล�ำ ดบั ]
ฐาน ๖
ฐาน คอื ที่ตัง้ ท่เี กดิ ของเสียงอกั ษร มี ๖ คอื
๑. กัณฐฐาน คอ เปน็ ท่ีต้งั ทีเ่ กิดของเสยี ง
๒. ตาลุฐาน เพดานปาก เปน็ ท่ตี ง้ั ท่ีเกดิ ของเสยี ง
๓. มทุ ธฐาน ปุ่มเหงือกบน เป็นท่ตี ง้ั ทเ่ี กิดของเสียง
๔. ทันตฐาน ฟัน เป็นทีต่ ง้ั ทเ่ี กิดของเสียง
๕. โอฏฐฐาน ริมฝปี าก เป็นทต่ี งั้ ท่เี กดิ ของเสยี ง
๖. นาสกิ าฐาน โพรงจมูก เป็นที่ต้ังท่เี กิดของเสียง
๑.สนธิกณั ฑ์ ๑.๒.อกั ขรสตุ ิ : กรณ์ ๔ ๗
จำ�แนกอักษร ๔๑ ตวั โดยฐาน ๖
อ อา ก ข ค ฆ ง ห เกดิ ท่ีกณั ฐฐาน (กล่องเสียงในล�ำ คอ)
อิ อี จ ฉ ช ฌ ย เกิดท่ีตาลฐุ าน (เพดานปาก)
ฏ € ฑ ฒ ณ ร ฬ เกิดทีม่ ุทธฐาน (ปุ่มเหงอื กบน)
อุ อู ป ผ พ ภ ม เกดิ ทีโ่ อฏฐฐาน (รมิ ฝีปาก)
เอ เกิดทีก่ ัณฐ+ตาลุฐาน (คอและเพดานปาก)
โอ เกิดท่กี ณั ฐ+โอฏฐฐาน (คอและริมฝปี าก)
ว เกดิ ท่ีทันต+โอฏฐฐาน (ฟนั และรมิ ฝีปาก)
อ ํ เกิดที่นาสกิ าฐาน (โพรงจมูก)
ง ณ น ม เกดิ ทส่ี ก+นาสกิ าฐาน (ฐานเดมิ และโพรงจมกู )
อกั ษรบางตวั เกดิ จากฐานเดียว เรยี กว่า เอกชะ
อกั ษรบางตัวเกดิ จาก ๒ ฐาน เรยี กวา่ ทวชิ ะ
กรณ์ ๔
กรณ์ คืออวัยวะทไ่ี ปกระทบกบั ฐานทำ�ใหเ้ สียงเกิด มี ๔ คือ
๑. ชวิ หามชั ฌกรณ ์ กลางลน้ิ กระทบกบั ตาลฐุ านท�ำ ใหเ้ สยี งเกดิ ขน้ึ
๒. ชวิ โหปคั คกรณ ์ ใกลป้ ลายลน้ิ กระทบกบั มทุ ธฐานท�ำ ใหเ้ สยี งเกดิ ขน้ึ
๓. ชวิ หคั คกรณ ์ ปลายลน้ิ กระทบกบั ทนั ตฐานท�ำ ใหเ้ สยี งเกดิ ขน้ึ
๔. สกฏั ฐานกรณ ์ ฐานของตน กระทบกบั ฐานของตนท�ำ ใหเ้ สยี งเกดิ ขน้ึ
จำ�แนกอักษร ๔๑ ตวั โดยกรณ์ ๔
๑. กลางลนิ้ ทำ�ให้เกดิ เสยี ง อิ อี เอ จ ฉ ช ฌ ย
๒. ใกล้ปลายลิ้น ท�ำ ให้เกิดเสียง ฏ € ฑ ฒ ณ ร ฬ
๓. ปลายลิน้ ท�ำ ใหเ้ กิดเสยี ง ต ถ ท ธ น ล ว ส
๔. ฐานของตน ทำ�ใหเ้ กดิ เสียง อ อา อุ อู เอ โอ ก ข ค ฆ ง
ป ผ พ ภ ม ว ห อํ
๘ ๑.สนธิกัณฑ์ ๑.๒.อกั ขรสุติ : ปยตนะ ๔ : สิถิละ ธนติ ะ ...
นกั ศกึ ษาควรฝกึ ออกเสยี งอกั ษรทกุ ตวั โดยพ ยายามใหก้ รณไ์ ปกระทบกบั
ฐานของอักษรนนั้ ๆ ตามท ี่จ�ำ แนกไว้ ให้ถูกต้องหรือใกล้เคยี งมากทีส่ ดุ
ปยตนะ ๔
ปยตนะ คอื ความพยายามในการเปลง่ ออกเสียง มี ๔ คือ
๑. สงั วตุ ปยตนะ ความพยายามปดิ ฐานเปลง่ เสยี ง
๒. วิวฏปยตนะ ความพยายามเปิดฐานเปลง่ เสียง
๓. ผุฏฐปยตนะ ความพยายามกระทบฐานหนักเปลง่ เสียง
๔. อีสังผฏุ ฐปยตนะ ความพยายามกระทบฐานเบาเปล่งเสียง
จำ�แนกอักษร ๔๑ ตัว โดยปยตนะ ๔
๑. ปดิ ฐาน เปล่งเสียง อ อ ํ (นิคคหติ )
๒. เปิดฐาน เปลง่ เสียง อา อิ อี อุ อู เอ โอ ส ห ํ (อึ อุ)ํ
๓. กระทบฐานหนัก เปล่งเสียงพยัญชนะวรรคท้ัง ๒๕ ตัว คือ
ก ข ค ฆ ง, จ ฉ ช ฌ , ฏ € ฑ ฒ ณ, ต ถ ท ธ น,
ปผพภม
๔. กระทบฐานเบา เปลง่ เสียง ย ร ล ว ฬ
สถิ ิละ ธนิตะ โฆสะ อโฆสะ วิมตุ ตะ
อกั ษรบาลี ๔๑ ตัวนน้ั เฉพาะพยัญชนะ ๓๓ ตวั มีการออกเสยี งตา่ งกัน
บางตัวออกเสียงออ่ น (นมุ่ ) บางตัวออกเสยี งแขง็ (กระด้าง) บางตัวออกเสยี ง
ก้องกังวาล บางตัวออกเสียงไม่ก้องกังวาล บางตัวออกเสียงทั้งอ่อนท้ังกังวาล
เป็นต้น จำ�แนกไดด้ ังน้ี
จำ�แนกพยัญชนะ ๓๓ ตวั โดยสถิ ลิ ะ ธนิตะ วิมตุ ตะ
๑. สถิ ิละ พยัญชนะทอี่ อกเสยี งอ่อน ไดแ้ ก่ พยญั ชนะตวั ที่ ๑ และ ๓
ของวรรคทงั้ ๕ คือ ก ค, จ ช, ฏ ฑ, ต ท, ป พ
๑.สนธกิ ัณฑ์ ๑.๒.อักขรสุติ : การอ่านและการเขียน ๙
๒. ธนิตะ พยญั ชนะท่อี อกเสียงแข็ง ได้แก่ พยัญชนะตัวที่ ๒ และ ๔
ของวรรคท้งั ๕ คอื ข ฆ, ฉ ฌ, € ฒ, ถ ธ, ผ ภ
๓. วิมุตตะ พยัญชนะที่ออกเสียงพ้นจากเสียงสิถิละและธนิตะ ได้แก่
พยัญชนะตัวท่ี ๕ ของวรรคท้ัง ๕ และพยญั ชนะอวรรค
ทั้งหมด คือ ง ณ น ม, ย ร ล ว ส ห ฬ อ ํ
จำ�แนกพยัญชนะ ๓๓ ตวั โดยโฆสะ อโฆสะ วิมตุ ตะ
๑. โฆสะ พยญั ชนะทอ่ี อกเสยี งกังวาล ไดแ้ ก ่ พยัญชนะตัวที่ ๓, ๔
และ ๕ ของวรรคทงั้ ๕ คือ ค ฆ ง, ช ฌ , ฑ ฒ
ณ, ท ธ น, พ ภ ม และพยญั ชนะอวรรค ๖ ตวั คือ ย
ร ล ว ห ฬ
๒. อโฆสะ พยัญชนะท่ีออกเสียงไม่กังวาล ได้แก่ พยัญชนะตัวท่ี ๑
และ ๒ ของวรรคท้ัง ๕ คอื ก ข, จ ฉ, ฏ €, ต ถ,
ป ผ และ พยญั ชนะอวรรค ๑ ตวั คอื ส
๓. วมิ ุตตะ พยัญชนะท่ีออกเสียงพ้นจากความเป็นโฆสะและอโฆสะ
ได้แก่ อ ํ (นคิ คหติ )
การอา่ นและการเขยี น
การอ่าน อกั ษรบ าลี ๔๑ ตัวนนั้ สระ ๘ ตวั อา่ นออกเสียงได้เลย
ว่า อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ, สว่ นพยัญชนะ ๓๓ ตวั อา่ นออกเสียงยงั ไมไ่ ด้
ต้องอาศยั สระจงึ อา่ นออกเสยี งไดว้ ่า ก กา กิ กี กุ กู เก โก เป็นตน้ , เฉพาะ
ํ (นิคหิค) นัน้ อาศัยรัสสระ อ อิ อ ุ ๓ ตวั เทา่ นนั้ จึงอา่ นออกเสยี งไดว้ ่า
อํ อึ อํ,ุ พยญั ชนะที่ยังไมอ่ าศัยสระจะมจี ดุ อยู่ข้างลา่ ง ให้อ่านเป็นสะกด กลำ�้
หรอื สะกดควบกลำ�้ ตามหลกั พ ยัญชนะสังโยคในบ ทท ่ี ๕ เช่น จกกฺ ํ (จักกงั )
ภกิ ขฺ ุ (ภกิ ขุ) พรฺ หมฺ า (พรฺะ-หฺมา) ตสฺมา (ตสั มฺ า) เปน็ ตน้
๑๐ ๑.สนธิกณั ฑ์ ๑.๒.อกั ขรสตุ ิ : พยญั ขนะสังโยค
การเขียน ภาษาบาลเี ป็นภาษาท ่ีเข้าได้กับทุกภาษา ประเทศท่ีรับเอา
ภาษาบาลีไปศึกษา ก็จะใช้อักษรของตนเขียนให้ออกเสยี งเหมือนหรือใกล้เคียง
กบั ภาษาบาลมี ากทส่ี ดุ แมป้ ระเทศไทยเรากเ็ ชน่ กนั เมอื่ รบั เอาภาษาบาลมี าใชใ้ น
ภาษาไทย กใ็ ชอ้ ักษรไทยแต่ละยคุ เขียนเพื่อให้อา่ นออกเสยี งตรงกับอกั ษรภ าษา
บาลี จงึ จ�ำ แนกการเขยี นได้ ดังน้ี
สระเขียนได้ ๒ แบบ
๑. สระลอย สระล้วนๆ ท่ียังไม่มีพยญั ชนะป ระกอบ คอื อ อา อิ อี
อุ อู เอ โอ
๒. สระจม สระท ่ีใชป้ ระกอบกบั พยัญชนะ คอื - -า -ิ -ี -ุ -ู เ- โ-
เวลาเขียนสระจม ตัว อ ที่อย่ใู นสระทง้ั ๘ ตัว จะไม่
ปรากฏ เหมอื นหายไป เหลอื เพยี ง - -า อยหู่ ลงั พยญั ชนะ,
-ิ -ี อยบู่ น, -ุ -ู อยลู ่าง, เ- โ- อยู่หน้า
พยญั ชนะเขียนได้ ๒ แบบ
๑. พยญั ชนะล้วนๆ ทีย่ ังไมไ่ ดป้ ระกอบกบั สระ ให้เติมจดุ (-ฺ) ไว้ข้างลา่ ง
เพ่อื แสดงความไม่มีสระ เขยี นดงั นี้ กฺ ขฺ คฺ ฆฺ งฺ เปน็ ตน้
๒. พยัญชนะทีป่ ระกอบกบั สระแล้ว ใหเ้ ขยี นดงั น้ี ก กา กิ กี กุ กู
เก โก เป็นต้น
พยญั ชนะสงั โยค
วิธซี ้อนพยัญชนะ (เทวฺ ภาวะ)
พยัญชนะสงั โยค คอื พยญั ชนะ ๒ ตัว หรอื ๓ ตัว ซ้อนกันโดยไมม่ ี
สระหรอื เวน้ วรรคคัน่ กลาง การซ้อนพยญั ชนะทา่ นเรยี กวา่ “เทฺวภาวะ” แตค่ น
๑.สนธิกณั ฑ์ ๑.๒.อักขรสุติ : หลักการซ้อนพยญั ชนะ ๑๑
ท่ัวไปมกั เรยี กวา่ ตวั สะกดบ า้ ง ตวั กลำ�้ บ ้าง และตวั สะกดควบกล�้ำ บ ้าง ซึ่งมวี ิธี
การซ้อน ๒ อย่าง คอื
๑. สทิสเทวฺ ภ าวะ ซ้อนตัวอกั ษรทเ่ี หมอื นกัน เชน่
กกฺ - จกกฺ ํ, คคฺ - อคคฺ ํ, จฺจ - กิจฺจ,ํ ชฺช - วชฺชํ,
ญฺ - ปญฺ า, ฏฏฺ - วฏฏฺ ,ํ ฑฑฺ - กฑุ ฺโฑ, ณณฺ - สุวณฺณ,ํ
ตตฺ - อตตฺ า, ททฺ - สทโฺ ท, นฺน - อนฺน,ํ ปปฺ - กปฺปํ,
พพฺ - สพฺพ,ํ มมฺ - กมมฺ ,ํ ยยฺ - อยฺโย, ลลฺ - โกสลฺลํ,
สสฺ - อสฺโส.
๒. อสทิสเทฺวภ าวะ ซอ้ นตวั อักษรท่ีไมเ่ หมือนกนั เช่น
กฺข - ภกิ ขฺ ,ุ คฆฺ - อุคฺฆต,ิ จฺฉ - ปจฺฉา, ชฌฺ - สมชิ ฌฺ ต,ุ
ฏ€ฺ - อฏ€ฺ , ฑฺฒ - วุฑฒฺ ,ิ ตถฺ - อตถฺาย, ทฺธ - สิทธฺ ,ิ
ปผฺ - ปุปฺผ,ํ พฺภ - ลพฺภติ, งฺก - สงฺกา, งขฺ - กงฺขา,
งฺค - องคฺ ํ, งฆฺ - สงโฺ ฆ, งขฺ ฺย - สงฺขยฺา, นทฺ ฺร - อินฺทรฺยิ .ํ
หลักการซ้อนพ ยัญชนะ
พยญั ชนะตวั ท ่ี ๑ ในวรรคทัง้ ๕ ซอ้ นห น้าพ ยญั ชนะตัวท ี่ ๑ และ ๒ ใน
วรรคของตน (๑ ซอ้ น ๑ ซอ้ น ๒)
พยญั ชนะตัวที่ ๓ ในวรรคทัง้ ๕ ซอ้ นหนา้ พ ยัญชนะตัวที่ ๓ และ ๔ ใน
วรรคของตน (๓ ซ้อน ๓ ซอ้ น ๔)
พยัญชนะตัวท่ี ๕ ในวรรคทงั้ ๕ เวน้ ง ซอ้ นห น้าพ ยัญชนะตัวท ่ี ๑-๒-
๓-๔ และ ๕ ในวรรคของตน (๕ ซอ้ น ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ เว้น ง)
สว่ นพยัญชนะอวรรค ซ้อนตวั เองและตัวอืน่ ได้มี ๔ ตวั คือ ย ล ว ส
ที่เหลอื ซอ้ นกับตวั อ่ืนไดท้ ว่ั ไป เชน่ อยโฺย มลฺโล นิพพฺ านํ (นิวฺวาน)ํ อสสฺ มยฺหํ
กลฺยาณํ ชวิ หฺ า อสฺมิ เปน็ ต้น
๑๒ ๑.สนธิกัณฑ์ ๑.๓.สนั ธวิ ิธาน : การตอ่ อกั ษร ๘ วิธี
๑.๓. สนั ธิวธิ าน
วิธตี ่ออักษร
สันธิวิธาน หรือ สนธิ คือวิธีการนำ�เอาอักษรของบทหรือศัพท์ ๔
ประเภท คอื นาม อาขยฺ าต อุปสัค และ นบิ าต มาตอ่ ให้ตดิ กนั อย่างถูกวธิ ี
การต่ออักษร ๘ วิธี
การต่ออักษร คอื วธิ ีการต่ออักษรของบท ๘ วิธี ดงั คาถาวา่
โลปาเทโส จ อาคโม วิกาโร ปกตปี ิ จ
ทโี ฆ รสโฺ ส สญฺโโคต ิ สนธฺ ิเภทา ปกาสิตา.
ประเภทแห่งวธิ ีการตอ่ สนธิ ทา่ นแสดงไว้ ๘ วธิ ี คอื
๑. โลปะ (โล) ลบสระ พยัญชนะ นิคคหติ
๒. อาเทสะ (อา) อาเทศ หรือแปลงสระ พยัญชนะ นคิ คหิต
๓. อาคมะ (อา) ลงอาคม หรอื ลงสระ พยัญชนะ นคิ คหิต
๔. วิการะ (วิ) วกิ าร วปิ ริต หรอื ท�ำ ใหต้ า่ งจากสระเดิม
๕. ปกติ (ป) ปรกตไิ ว้ ไมเ่ ปล่ียนแปลง
๖. ทฆี ะ (ท)ี ทำ�สระเสยี งส้ันใหย้ าว
๗. รสั สะ (ร) ทำ�สระเสยี งยาวใหส้ ัน้
๘. สัญโญคะ (ส)ํ ซ้อนพยญั ชนะ (ตามหลกั พยัญชนะสงั โยค)
ประโยชนข์ องสนธิ ๓
เมอื่ ตอ่ สนธใิ ห้ถูกตอ้ งตามวธิ ีแล้ว จะไดป้ ระโยชน์ ๓ ประการ คอื
๑. ท�ำ ให้อกั ษรและเสยี งของอักษรลดนอ้ ยลง
๒. ทำ�ใหม้ ีครแุ ละลหตุ รงตามฉนั ทลักษณ์
๓. ท�ำ ให้ค�ำ พ ดู สละสลวย อ่านง่าย สวดงา่ ย
๑.สนธกิ ัณฑ์ ๑.๓.สนั ธวิ ิธาน : บท ๔ : บทสนธิ ๒ ๑๓
วธิ เี รยี กชอื่ อกั ษร วิธอี อกเสยี งอักษร และวิธีตอ่ อกั ษร ล้วนเปน็ วิธีเกยี่ ว
กบั อักษรทม่ี อี ยใู่ นบท ๔ อยา่ ง ตอ่ ไปนี้
บท ๔
ปทํ จตุพฺพิธํ วุตฺตํ นามาขยฺ าโตปสคคฺ ญฺจ
นิปาตญจฺ าติ วิญฺญูห ิ อสฺโส ขลวฺ าภิธาวต.ิ
ผูร้ ู้กลา่ วว่า บทมี ๔ อยา่ ง คือ
๑. นาม เช่น อสโฺ ส ม้า
๒. อาขยฺ าต เชน่ ธาวติ วิ่ง
๓. อปุ สคั เชน่ อภิ เร็วยิ่ง
๔. นิบาต เชน่ ขลุ ทราบมาว่า
๑. นาม หมายถงึ บทหรอื ค�ำ ทน่ี อ้ มไปสเู่ นอื้ ความทเี่ ปน็ สภาวะ ลกั ษณะ
และอาการ มีแสดงไว้ใน (๑) นามกัณฑ์ (๒) สมาสกัณฑ์ (๓) ตทั ธิตกณั ฑ์
(๔) กิตกกณั ฑ์
๒. อาขยาต หมายถงึ คาํ กิรยิ าอาขยาต มแี สดงไวใ้ นอาขฺยาตกัณฑ์
๓. อปุ สัค หมายถงึ คําทีป่ ระกอบอยหู่ น้าคำ�นามและคำ�กิรยิ า เพอ่ื ปรงุ
นามและกริ ยิ าใหม้ ีอรรถพเิ ศษข้ึน มีแสดงไวต้ อนท้ายในนามกัณฑ์
๔. นิบาต หมายถึง คําอัพยยศัพท์ที่ไม่เปลี่ยนรูป ซึ่งตกแทรกลงใน
ระหวา่ งนามและกิริยา มีแสดงไวใ้ นนามกณั ฑ์
บทสนธิ ๒
บทสนธิ คือบททจี่ ะท�ำ การต่อสนธิ มี ๒ อยา่ ง
๑. บททมี่ ีวิภตั ติแยกกนั (นอกสมาส)
เช่น จตตฺ าโร อิเม ตอ่ เปน็ จตฺตาโรเม
เทฺว อิเม ต่อเป็น เทวฺ เม
๑๔ ๑.สนธกิ ัณฑ์ ๑.๓.สันธิวิธาน : ๑.๓.๑.อักษรสนธิ ๓ : สรสนธิ
๒. บททม่ี ีวิภตั ติรวมกนั จะลบหรือไมล่ บวิภัตติกไ็ ด้ (ในสมาส)
เชน่ นีล อุปฺปลํ ตอ่ เป็น นลี ปุ ฺปลํ
โสต อาปนโฺ น ต่อเปน็ โสตาปนฺโน
๑.๓.๑. อักษรสนธิ ๓
อกั ษรสนธิ คืออกั ษรท่ีจะนำ�มาต่อเปน็ สนธิมี ๓ อยา่ ง คอื
๑. สรสนธ ิ การตอ่ สระกับสระ
๒. พยญั ชนสนธ ิ การต่อพยญั ชนะกบั สระหรอื กับพยัญชนะ
๓. นิคคหตี สนธ ิ การตอ่ นิคคหิตกบั สระหรือกบั พยญั ชนะ
สรสนธิ
สรสนธ ิ การตอ่ สระกบั สระ มี ๗ วธิ ี คือ โลปะ อาเทสะ อาคมะ
วิการะ ปกติ ทีฆะ รัสสะ (เว้น สญั โญคะ)
๑. โลปะ ลบสระ มี ๒ วธิ ี
๑.๑. ลบสระหนา้
เช่น ยสฺส อนิ ทฺ ฺรยิ านิ เปน็ ยสฺสินฺทฺริยานิ
มาตุ อปุ ฏฺ€านํ เป็น มาตปุ ฏ€ฺ านํ
ปญฺ า อินทฺ ริยํ เป็น ปญฺ นิ ฺทฺริยํ
๑.๒. ลบสระหลงั
เช่น อิติ อปิ โส เปน็ อติ ปิ ิ โส
จกขฺ ุ อนิ ทฺ ฺรยิ ํ เปน็ จกฺขุนฺทฺรยิ ํ
จตตฺ าโร อเิ ม เป็น จตฺตาโรเม
ภควา อติ ิ เปน็ ภควาติ
๑.สนธกิ ัณฑ์ ๑.๓.สนั ธวิ ิธาน : ๑.๓.๑.อักษรสนธิ ๓ : สรสนธิ ๑๕
๒. อาเทสะ แปลงสระ มี ๒ วิธี คอื
๒.๑. อาเทศสระหน้า คือเพราะสระหลัง อาเทศ อิ เอ เป็น ย, อุ โอ
เป็น ว
เชน่ วตุ ฺติ อสฺส เป็น วุตยฺ สฺส (อิ เป็น ย)
เต อสฺส เป็น ตฺยสสฺ (เอ เป็น ย)
พหุ อาพาโธ เปน็ พหฺวาพาโธ (อุ เป็น ว)
อถ โข อสสฺ เป็น อถ ขฺวสสฺ (โอ เปน็ ว)
๒.๒. อาเทศสระหลงั คอื อาเทศ เอ ของ เอว ศัพทท์ อี่ ยหู่ ลัง ยถา ตถา
เป็น ริ บ้าง แลว้ ทำ�รัสสะสระหน้า
เช่น ยถา เอว เปน็ ยถริว
ตถา เอว เปน็ ตถรวิ
๓. อาคมะ ลงสระใหม่ มี ๒ วธิ ี คอื
๓.๑. ลงสระ อ คอื เพราะพยัญชนะหลัง ให้ลบสระ โอ หนา้ แลว้ ลง
สระ อ มาใหม่บ้าง
เช่น โส สีลวา เป็น ส สีลวา
เอโส ธมฺโม เปน็ เอส ธมโฺ ม
๓.๒. ลงสระ โอ คอื เพราะพยญั ชนะหลงั ให้ลบสระ อ หน้าแลว้ ลง
สระ โอ มาใหมบ่ า้ ง
เช่น ปร สต ํ เปน็ ปโรสตํ
ปร สหสฺส ํ เปน็ ปโรสหสสฺ ํ
๔. วกิ าระ ทำ�สระใหต้ ่างจากเดิม มี ๒ วธิ ี คือ
๔.๑. วกิ ารสระหน้า คือเมื่อลบสระหลงั แลว้ วิการสระหนา้ คือ อิ เป็น
เอ, อุ เป็น โอ
เช่น มุนิ อาลโย เปน็ มเุ นลโย
๑๖ ๑.สนธกิ ณั ฑ์ ๑.๓.สันธวิ ิธาน : ๑.๓.๑.อักษรสนธิ ๓ : พยัญชนสนธิ
สุ อตฺถิ เป็น โสตฺถิ
๔.๒. วิการสระหลัง คือเมอื่ ลบสระหน้าแล้ว วกิ ารสระหลัง คือ อิ เปน็
เอ, อุ เปน็ โอ
เช่น พนฺธุสสฺ อวิ เปน็ พนธฺ ุสฺเสว
ยถา อุทเก เป็น ยโถทเก
๕. ปกติ ปรกตสิ ระไว้ตามเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
เชน่ โก อมิ ํ คงเป็น โก อิมํ
๖. ทีฆะ ทำ�สระเสียงสัน้ ใหย้ าว มี ๒ วิธี คือ
๖.๑. ทีฆะสระหน้า คือเมื่อลบสระหลังแลว้ ท�ำ ทฆี ะสระหน้าบา้ ง
เช่น โลกสฺส อติ ิ เปน็ โลกสสฺ าติ
สาธุ อิติ เป็น สาธูติ
๖.๒. ทีฆะสระหลัง คอื เมอื่ ลบสระหน้าแล้ว ท�ำ ทีฆะสระหลังบา้ ง
เชน่ พุทธฺ อนุสสฺ ติ เป็น พุทธฺ านสุ ฺสติ
อติ อิโต เปน็ อตโี ต
๗. รสั สะ ทำ�สระเสียงยาวใหส้ ั้น มวี ธิ ดี งั น้ี
ถา้ มพี ยัญชนะหรอื เอว ศัพทอ์ ยู่หลงั ให้รสั สะสระหนา้ บา้ ง
เชน่ โภวาที นาม เปน็ โภวาทิ นาม
ยถา เอว เป็น ยถรวิ
พยัญชนสนธิ
พยัญชนสนธิ การต่อพยัญชนะกับพยัญชนะ มี ๕ วิธี คือ โลปะ
อาเทสะ อาคมะ ปกติ สญั โญคะ (เว้น วิการะ ทฆี ะ รสั สะ)
๑.สนธิกัณฑ์ ๑.๓.สนั ธวิ ธิ าน : ๑.๓.๑.อกั ษรสนธิ ๓ : พยญั ชนสนธิ ๑๗
๑. โลปะ ลบพยญั ชนะ มี ๑ อยา่ ง คือ
เมอ่ื ลบสระหลงั จากนคิ คหติ แลว้ ถา้ มพี ยญั ชนะเหมอื นกนั ซอ้ นกนั ๒ ตวั
ใหล้ บ ๑ ตวั
เชน่ เอวํ อสฺส เป็น เอวสํ
ปุปผฺ ํ อสฺสา เปน็ ปุปฺผสํ า
๒. อาเทสะ อาเทศพยญั ชนะ มี ๔ วธิ ี คือ
๒.๑. เพราะสระหลัง อาเทศ ติ เปน็ จ แลว้ ซ้อน จฺ
เชน่ อิติ เอว ํ เปน็ อิจเฺ จวํ
อิติ อาทิ เป็น อิจจฺ าทิ
เพราะสระหลัง อาเทศ อภิ เปน็ อพภฺ
เช่น อภิ อุคฺคจฉฺ ติ เปน็ อพภฺ ุคฺคจฺฉติ
อภิ อกฺขาน ํ เป็น อพฺภกขฺ านํ
เพราะสระหลงั อาเทศ อธิ เป็น อชฌฺ
เชน่ อธิ อคมา เปน็ อชฌฺ คมา
อธิ โอกาโส เป็น อชฺโฌกาโส
๒.๒. เพราะสระหลงั อาเทศ ธ ของ อิธ ทอ่ี ยูห่ ลังจาก เอกํ เปน็ ท
เช่น เอกํ อธิ อห ํ เปน็ เอกมทิ าหํ
๒.๓. เพราะสระหรือพยัญชนะข้างหลัง อาเทศพยญั ชนะได้ไมจ่ �ำ กัด
เช่น สาธุ ทสสฺ นํ เป็น สาหุ ทสสฺ นํ (ธ เปน็ ห)
ทุกกฺ ตํ เป็น ทกุ ฺกฏํ (ต เปน็ ฏ)
ปนีตํ เป็น ปณตี ํ (น เปน็ ณ)
๒.๔. เพราะพยญั ชนะหลัง อาเทศ อว เป็น โอ
เชน่ อวนทฺธา เป็น โอนทธฺ า
๑๘ ๑.สนธิกัณฑ์ ๑.๓.สันธวิ ธิ าน : ๑.๓.๑.อักษรสนธิ ๓ : พยญั ชนสนธิ
อวกาโส เปน็ โอกาโส
๓. อาคมะ ลงพยญั ชนะใหม่ ๙ ตัว คือ คฺ ยฺ วฺ มฺ ทฺ นฺ ตฺ รฺ ฬฺ (ลฺ)
คฺ อาคม เชน่ ปา เอว เป็น ปเคว
ยฺ อาคม เช่น ยถา อิท ํ เปน็ ยถยทิ ํ
ว ฺ อาคม เชน่ ติองคฺ ุล ํ เป็น ตวิ งฺคุลํ
ม ฺ อาคม เช่น ลหุ เอสฺสติ เปน็ ลหุเมสฺสติ
ทฺ อาคม เชน่ อุ อคโฺ ค เป็น อทุ คฺโค
น ฺ อาคม เช่น อิโต อายต ิ เป็น อโิ ตนายติ
ต ฺ อาคม เช่น ยสฺมา อิห เป็น ยสมฺ าติห
ร ฺ อาคม เชน่ นิ อนตฺ ร ํ เป็น นิรนฺตรํ
ฬ ฺ อาคม เช่น ฉ อภญิ ฺา เป็น ฉฬภญิ ฺา
๔. ปกติ ปรกตพิ ยญั ชนะไวต้ ามเดิม ไมเ่ ปลี่ยนแปลง
เชน่ สาธ ุ คงเปน็ สาธุ
๕. สัญโญคะ ซ้อนพยญั ชนะใหม่ มี ๒ วธิ ี คอื
๕.๑. ซ้อนพยัญชนะเหมือนกันตามหลกั พยัญชนะสงั โยค (บทที่ ๕)
เช่น อิธ ปโมทติ เป็น อิธปฺปโมทติ
อปมาโท เป็น อปปฺ มาโท
วปิ ยุตโต เปน็ วปิ ปฺ ยตุ โฺ ต
๕.๒. ซอ้ นพยญั ชนะตา่ งกันตามหลักพยญั ชนะสังโยค (บทที่ ๕)
เช่น ปฆรติ เปน็ ปคฺฆรติ
ป€มฌานํ เปน็ ป€มชฌฺ านํ
ทภุ กิ ฺขํ เปน็ ทุพภฺ ิกขฺ ํ
๑.สนธกิ ณั ฑ์ ๑.๓.สนั ธวิ ธิ าน : ๑.๓.๑.อกั ษรสนธิ ๓ : นคิ คหีตสนธิ ๑๙
นคิ คหตี สนธิ
นิคคหตี สนธ ิ การตอ่ นิคคหิตกับสระหรือพยัญชนะ มี ๔ วิธี คือ โลปะ
อาเทสะ อาคมะ ปกติ (เวน้ วกิ าระ ทีฆะ รัสสะ สญั โญคะ)
๑. โลปะ ลบนคิ คหิต มี ๑ อย่าง คอื
เพราะสระหรอื พยญั ชนะหลัง ให้ลบนคิ คหติ ข้างหนา้ บ้าง
เช่น ตาสํ อห ํ เป็น ตาสาหํ
อรยิ สจจฺ านํ ทสฺสน ํ เป็น อริยสจจฺ าน ทสฺสนํ
เอตํ พทุ ฺธานํ สาสน ํ เปน็ เอตํ พทุ ฺธาน สาสนํ
๒. อาเทสะ อาเทศนคิ คหิต มี ๕ อยา่ ง คือ
๒.๑. เพราะพยัญชนะวรรคข้างหลงั อาเทศนคิ คหติ เป็นพ ยัญชนะตวั สุด
ทา้ ยของวรรคน้นั ๆ บ้าง
เช่น เอวํ โข เปน็ เอวงฺโข
ตํ ชาตํ เป็น ตญฺชาตํ
ตํ €านํ เป็น ตณ€ฺ านํ
ตํ ตโนติ เปน็ ตนฺตโนติ
ตํ ผลํ เปน็ ตมฺผลํ
๒.๒. เพราะ เอ หรอื ห ขา้ งหลัง อาเทศนคิ คหติ เป็น ญฺ
เช่น ตํ เอว เป็น ตญเฺ ว
ตํ หิ เป็น ตญหฺ ิ
๓. เพราะ ย ขา้ งหลงั อาเทศนคิ คหิตกับ ย เป็น ญฺ แลว้ ซอ้ น ญฺ
เชน่ สโํ ยโค เปน็ สญโฺ โค
สโํ ยชนํ เป็น สญฺโชนํ
๒๐ ๑.สนธกิ ัณฑ์ ๑.๓.สันธิวธิ าน : ๑.๓.๑.อักษรสนธิ ๓ : นิคคหีตสนธิ
๔. เพราะ ล ขา้ งหลงั อาเทศนคิ คหิตเปน็ ลฺ
เชน่ ปุลํ งิ คฺ ํ เป็น ปลุ ฺลิงคฺ ํ
๕. เพราะสระขา้ งหลงั อาเทศนิคคหติ เป็น มฺ และ ทฺ
เชน่ ตํ อห ํ เป็น ตมหํ
ยํ อนิจฺจํ เป็น ยทนจิ ฺจํ
๓. อาคมะ ลงนคิ คหิตใหม่ มีวิธีดงั น้ี
เพราะสระหรือพยัญชนะข้างหลงั ลงนิคคหิตอาคมไดบ้ า้ ง
เชน่ จกขฺ ุ อทุ ปาทิ เป็น จกขฺ ํุ อุทปาทิ
อวสโิ ร เปน็ อวํสโิ ร
๔. ปกติ ปรกตนิ คิ คหิตไว้ตามเดิม ไม่เปล่ียนแปลง
เชน่ ธมมฺ ํ จเร คงเป็น ธมฺมํ จเร
เมอื่ รวู้ ธิ เี รยี กชอ่ื อกั ษร วธิ อี อกเสยี งอกั ษร และวธิ ตี อ่ อกั ษรดแี ลว้ ทง้ั หมด
ล้วนเป็นวิธเี กีย่ วกับอกั ษรท่มี ีอยูใ่ นบท ๔ อย่าง ดังกลา่ วแลว้ (ย้อนดหู น้า ๑๓)
ต่อไปจะแสดงวิธีของบทท้งั ๔ คือ นาม อปุ สัค นบิ าต และอาขยาต ไปตาม
ลำ�ดบั ให้ตรงตามพระไตรปฎิ ก
จบ สนธกิ ณั ฑ์ท่ี ๑
๒๑
๒. นามกณั ฑ์
นาม = ปกตลิ ิงค์ + วิภตั ตินาม
นาม คอื คำ�ท่ีน้อมใจผูศ้ กึ ษาไปสคู่ วามหมายทซี่ ่อนอยู่ในทพั พวัตถุอนั
เป็นตัวจรงิ และน้อมความหมายของทพั พวัตถมุ าซ่อนไว้ในคำ�นาม(บญั ญตั ิ) มี
ประโยชน์ตอ่ การเรยี กชือ่ และใหร้ จู้ กั สภาวะ ลักษณะ อาการ ซงึ่ เป็นปกติของ
คน สตั ว์ วัตถุ สง่ิ ของ สถานท ่ี ตน้ ไม้ แม่น้ำ� ภเู ขา ธรรมะ เป็นตน้ ท่านเรยี ก
วา่ “ปกติลิงค์”
นาม หรือ ปกติลิงค์ มีแหล่งที่มาจากต้นกำ�เนิด ๓ แหลง่ คือ
๑. สมาส คำ�ทย่ี ่อนามเขา้ กับนาม (นาม+นาม) สำ�เรจ็ เปน็ นาม
๒. ตัทธติ คำ�ทีร่ วมนามเขา้ กับปจั จยั (นาม+ปจั จัย) ส�ำ เรจ็ เปน็ นาม
๓. กติ ก์ คำ�ท่รี วมธาตุเข้ากับปจั จัย (ธาต+ุ ปจั จัย) ส�ำ เรจ็ เป็นนาม
ปกติลิงค์ หมายถงึ สภาวะ ลกั ษณะ อาการ ที่ซ่อนอยู่ในคำ�นามท่ีมา
จาก ๓ แหล่งน้ี แบง่ เป็น ๓ ประเภท คอื สุทธนาม คุณนาม และสัพพ นาม
คำ�นามท่ีเป็นปกติลิงค์ แม้จะมีเสียงและเน้ือความก็จริง แต่ยังไม่ตรง
ตามพระไตรปฎิ ก จึงต้องลงวภิ ัตติ (ดตู ารางหน้า ๒๙) เพือ่ จ�ำ แนกเนือ้ ความ
ของปกตลิ งิ ค์ เพอ่ื ใหไ้ ดเ้ สยี งตรงกบั อกั ษรและสอ่ื เนอ้ื ความตรงตามพระไตรปฎิ ก
๒.๑. สทุ ธนาม
สทุ ธนาม หรือ วเิ สสยนาม หรอื นามนาม คอื คำ�นามล้วนๆ เป็น
ชอ่ื ของคน สัตว์ วัตถุสิง่ ของ สถานท่ี สภาวธรรม เป็นตน้ เปน็ บทเดย่ี วหรอื บท
หลกั ท่ีควรขยายเนือ้ ความให้พิเศษขึน้ มี ๒ อยา่ ง ดงั น้ี
๑. สาธารณนาม ชอ่ื ทัว่ ไปไมเ่ จาะจงคนใด สง่ิ ใด หรอื สถานทีใ่ ด
เชน่ มนสุ ฺโส มนษุ ย์
๒๒ ๒.นามกัณฑ์ : ๒.๑.คณุ นาม : ๒.๓.สพั พนาม
ธนํ ทรัพย์
นครํ เมือง
๒. อสาธารณนาม ช่อื เฉพาะเจาะจงคน สิง่ ของ หรือสถานที่
เช่น สารปิ ุตฺโต พระสารีบตุ ร
สวุ ณ ฺณํ ทองคำ�
สาวตฺถี เมอื งสาวตั ถี
สทุ ธนาม มกั มคี �ำ คณุ นามมาขยายลกั ษณะใหพ้ เิ ศษขน้ึ ไดอ้ กี
๒.๒. คณุ นาม
คณุ นาม หรอื วเิ สสนนาม คือ คำ�ขยายลักษณะพ ิเศษของสุทธนามให้
รู้ว่า ดี ชว่ั สงู ต�่ำ ดำ� ขาว ยาว สน้ั เป็นต้น มี ๓ ระดับ ดงั น้ี
๑. ปกติ คอื คุณนามระดบั ธรรมดาไม่มีความพิเศษอะไร
เชน่ กสุ โล ภกิ ขฺ ุ ภิกษุผู้ฉลาด
ปาโป ปาปปรายโน คนชั่ว มงุ่ หาแต่กรรมช่ัว
๒. วิเศษ คือ คุณนามระดับพิเศษข้ึนกว่าปกติ จะมี ตร อิย
อิสกิ -ปจั จยั หรือมี อติ-อุปสัค เป็นเคร่ืองหมายของคุณนามนั้น
เช่น ปณฺฑิตตโร ฉลาดยิง่ ฉลาดกว่า
ปาปิโย ปาปิสิโก บาปยิง่ บาปกวา่
๓. อตวิ เิ ศษ คือ คุณนามระดับพิเศษทส่ี ดุ จะมี ตม อิฏ€ฺ -ปจั จยั หรอื
มี อติวยิ -ศพั ท์ เปน็ เครอื่ งหมายของคุณนามนน้ั
เชน่ เสยโฺ ย, เสฏโฺ € ประเสรฐิ ทส่ี ุด
อติวิย โสภมาโน งดงามเหลอื เกิน
๒.๓. สพั พนาม
สัพพนาม คือค�ำ ท ใ่ี ช้แทนสทุ ธนามท้ังป งุ ลงิ ค์ อิตถลีงิ ค์ นปุงสกลงิ ค์
เหมือนเปน็ คณุ นาม มี ๒๗ ตัว คอื
๒.นามกณั ฑ์ : ๒.๑.คณุ นาม : ๒.๓.สพั พนาม ๒๓
สพฺพ กตร กตม, อุภย อิตร อญฺ, อญฺตร อญฺตม,
ปุพฺพ ปร อปร, ทกฺขณิ อุตฺตร อธร, ย ต เอต อมิ อมุ ก,ึ เอก อภุ
ทฺวิ ติ จต,ุ ตมุ ฺห อมหฺ
สพั พนาม ๒๗ ตัว พรอ้ มคำ�แปล
ท่ี สัพพนาม คำ�แปล
๑ สพฺพ ทัง้ หมด ทง้ั ปวง ทง้ั สิ้น สรรพ
๒ กตร ไหน เปน็ อย่างไร เป็นไฉน อะไรบ้าง
๓ กตม ไหน เปน็ อยา่ งไร เปน็ ไฉน อะไรบ้าง
๔ อุภย ท้งั สอง ทงั้ คู่
๕ อติ ร อื่น อ่ืนอีก อ่ืนๆ นอกน้ี
๖ อญฺ อน่ื
๗ อญฺ ตร อนื่ บางอยา่ ง บางเวลา บางคน คนใดคนหนง่ึ
๘ อญฺ ตม อื่น บางอยา่ ง บางเวลา บางคน คนใดคนหนึ่ง
๙ ปุพพฺ ก่อน ข้างหนา้ เบื้องหนา้ ตะวันออก บูรพะ เคย
๑๐ ปร อื่น ตรงขา้ ม นอกนี้
๑๑ อปร อืน่ อีก อื่นๆ
๑๒ ทกฺขณิ เบ้ืองขวา ดา้ นขวา ใต้
๑๓ อุตตฺ ร เบ้อื งซ้าย ด้านซา้ ย เบ้อื งบน เหนอื สูง
๑๔ อธร ใต้ ภายใต้ เบอื้ งล่าง ต่�ำ
๑๕ ย ใด
๑๖ ต นัน้ (วเิ สสนะ), เขา มัน (ปรุ สิ ะ)
๑๗ เอต นน่ั นี่
๑๘ อิม น้ี
๑๙ อมุ โน้น
๒๔ ๒.นามกณั ฑ์ : ๒.๓.สัพพนาม : ปรุ สิ สพั พนาม
๒๐ กึ อะไร ใคร อย่างไร ไหน ไร
๒๑ เอก หนึ่ง เดยี ว พวกหนง่ึ บางพวก (สังขยา)
๒๒ อภุ ทงั้ สอง ทั้งคู่
๒๓ ทฺวิ สอง (สังขยา)
๒๔ ติ สาม (สังขยา)
๒๕ จตุ ส่ี (สังขยา)
๒๖ ตมุ ฺห ท่าน เธอ คุณ เจา้ (ปรุ สิ ะ)
๒๗ อมฺห เรา ข้าพเจ้า ผม ฉัน (ปุริสะ)
สพั พนามทัง้ ๒๗ ตวั น้ี แบ่งออกเป็น ๓ กล่มุ คอื (๑) ปุริสสพั พ นาม
(๒) วิเสสนสัพพ นาม (๓) สงั ขยาสัพพนาม
(๑) ปรุ ิสสัพพนาม
ปุริสสัพพนาม คือสัพพนามที่บ่งถึงบุรุษ ในการเล่าเร่ืองและสนทนา
มี ๓ บุรุษ คือ
๑. ปฐมบุรุษ ใช้ ต สัพพนาม แปลว่า เขา มัน เป็นต้น แทน
ชือ่ คนหรอื ส่ิงทเี่ ราเอ่ยถึง
เชน่ โส คามํ คจฉฺ ติ. เขาไปบา้ น
๒. มัชฌิมบรุ ษุ ใช้ ตมุ หฺ สพั พนาม แปลวา่ ทา่ น เธอ คณุ เจา้ เปน็ ตน้
แทนชือ่ คนท ี่เราพ ดู ด้วย
เชน่ ตุมเฺ ห กสุ ลํ กโรถ. ท่านทงั้ หลายจงพากนั ท �ำ กศุ ล
๓. อุตตมบรุ ษุ ใช้ อมหฺ สพั พนาม แปลวา่ เรา ขา้ พเจา้ ผม ฉนั เปน็ ตน้
แทนชอ่ื ตนเอง
เชน่ อหํ ปญจฺ สลี านิ สมาทยิ าม.ิ ขา้ พเจา้ สมาทานศลี ๕
๒.นามกณั ฑ์ : ๒.๔.ลงิ ค์ ๒๕
(๒) วิเสสนสัพพนาม
วิเสสนสัพพนาม คอื สัพพนามท่ีใชแ้ ทนและขยายสทุ ธนามเหมือนเปน็
คณุ นาม มี ๒ อย่าง
๑. อนยิ มะ คือวเิ สสนสัพพนามที่บอกความไม่แน่นอน มี ๑๓ ตัว คอื
สพพฺ ท้งั ปวง, กตร กตม คนไหน อะไรบ้าง, อุภย ทัง้ สอง, อติ ร
นอกนี้, อญฺ อนื่ , อญฺตร อญฺ ตม คนใดคนหนึง่ ส่งิ ใดสงิ่ หน่งึ , ปร อ่นื ,
อปร อืน่ อกี , ย ใด, เอก หนึง่ พวกหน่งึ , กึ ไหน ไร
๒. นิยมะ คอื วิเสสนสพั พนามทีบ่ อกความแนน่ อน มี ๘ ตวั คือ
ปุพพฺ ขา้ งหนา้ , ทกขฺ ิณ ด้านขวา, อตุ ตฺ ร ด้านซ้าย ด้านเหนอื , อธร
ดา้ นลา่ ง ภายใต้, ต น้นั , เอต น่นั , อิม น้,ี อมุ โนน้
(๓) สังขยาสพั พนาม
สงั ขยาสัพพนาม คอื สพั พนามที่ใช้นบั จ�ำ นวนสทุ ธนาม มี ๕ ตวั คอื
เอก หน่งึ , อุภ ทั้งสอง, ทฺวิ สอง, ติ สาม, จตุ สี่
โปรดทราบว่า สทุ ธนาม คุณนาม และสัพพนาม ท้ัง ๓ ต้องป ระกอบ
ดว้ ยลงิ ค์ การนั ต์ วิภัตติ และวจนะ จึงสามารถนำ�ไปป ระกอบในประโยคต่างๆ
เชน่ มนุสโฺ ส, สารปิ ตุ ฺโต, สนุ ทฺ โร, สพโฺ พ, โย, โส, ตฺว,ํ อหํ เป็นต้น
ลงิ ค์ การันต์ วภิ ตั ติ และวจนะ ทั้ง ๔ น้ี จะประกอบรวมอยู่ในสทุ ธนาม
คณุ นาม และสัพพนาม
๒.๔. ลงิ ค์
ลงิ ค์ หรือ ปกติลิงค์ คอื เนอ้ื ความทีบ่ ่งถงึ สภาวะ ลักษณะ และอาการ
อันซ่อนอยู่ในคำ�ปกติลิงค์หรือในคำ�นามที่เป็นศัพท์เดิม ซึ่งยังไม่ประกอบด้วย
วภิ ตั ติ มี ๓ อย่าง คือ
๑. ปงุ ลงิ ค์ สภาวะ ลักษณะ อาการทีซ่ ่อนอยู่ รู้ไดง้ ่ายเหมอื น
๒๖ ๒.นามกณั ฑ์ : ๒.๔.ลิงค์
ผชู้ าย เรียกว่า ปุงลงิ ค์
๒. อติ ถีลงิ ค์ สภาวะ ลักษณะ อาการทซี่ อ่ นอยู่ รไู้ ด้ยาก เหมือน
ผูห้ ญิง เรยี กวา่ อิตถีลิงค์
๓. นป งุ สกลิงค์ สภาวะ ลักษณะ อาการที่ซ่อนอยู่ รู้ได้ไม่ง่าย ไม่
ยาก เรียกวา่ นปงุ สกลิงค์
ลิงค์ ๒ ประเภท
ลิงคอ์ นั เป็นเน้ือความท่ซี อ่ นอยใู่ นค�ำ นามนนั้ มี ๒ ประเภท
๑. ลิงค์โดยชาตกิ ำ�เนิด คอื ค�ำ นามทบี่ ่งลิงค์ตามปกตขิ องตัวจริง
เช่น ปุรโิ ส ชาย เปน็ ปงุ ลงิ ค์
อติ ฺถี หญงิ เปน็ อติ ถีลิงค์
จิตฺตํ จติ เปน็ นปงุ สกลิงค์
๒. ลิงคโ์ดยสมมติ คอื ค�ำ นามทีบ่ ่งลงิ ค์ตามสมมตุ ขิ ้นึ
เชน่ ทาโร ภรรยา เปน็ ปงุ ลิงค์
ป€ว ี แผ่นดิน เป็นอิตถีลงิ ค์
จำ�แนกนาม ๓ โดยลิงค์ ๓
๑. สทุ ธนาม บางศพั ทเ์ ปน็ ลงิ คเ์ ดยี ว
เชน่ ปรุ ิโส ชาย เปน็ ปุงลิงค์อยา่ งเดียว
อิตถฺ ี หญงิ เป็นอิตถีลงิ คอ์ ย่างเดียว
จติ ตฺ ํ จติ เป็นนปุงสกลงิ ค์อย่างเดียว
บางศพั ทเ์ ป็นได้ ๒ ลงิ ค์
เชน่ ราชา พระราชา เปน็ ปงุ ลิงค์ ศัพท์เดยี วกัน
ราชินี พระราชิน ี เปน็ อิตถีลงิ ค์
โพธิ โพธกิ ุมาร เปน็ ปงุ ลงิ ค์
โพธิ โพธญิ าณ เป็นอติ ถลี ิงค ์ ศัพท์เดยี วกนั
๒.นามกัณฑ์ : ๒.๕.การนั ต ์ ๒๗
ทิวโส ทวิ ส ํ วนั เปน็ ปงุ ลงิ คแ์ ละนปงุ สกลงิ ค์
๒. คุณนามและสัพพนาม เปน็ ไดท้ ้ัง ๓ ลงิ ค์ เพราะต้องเปลย่ี นลงิ คไ์ ป
ตามสทุ ธนามท่ตี นขยายและใชแ้ ทน
เชน่ กลฺยาโณ ปุริโส บรุ ษุ ด ี เปน็ ปุงลิงค์
กลฺยาณี อิตถฺ ี หญงิ ดี เปน็ อิตถีลิงค์
กลยฺ าณํ จติ ตฺ ํ จติ ด ี เปน็ นปุงสกลงิ ค์
โส ปรุ โิ ส บุรษุ คนน้ัน เปน็ ปุงลิงค์
สา อิตฺถี หญงิ คนนน้ั เป็นอติ ถีลงิ ค์
ตํ จติ ตฺ ํ จิตดวงนั้น เป็นนปุงสกลงิ ค์
๒.๕. การันต์
การันต์ คือสระท่ีเป็นเสียงสุดท้ายของปกติลิงค์ มี ๗ การันต์ คือ
อ อา อิ อี อุ อู โอ (เว้น เอ)
จำ�แนกลงิ ค์ ๓ โดยการนั ต์ ๗
๑. ปงุ ลงิ ค์ มีการนั ต์ ๗ คือ อ อา อิ อี อุ อู โอ
เชน่ ปรุ สิ ชาย เป็นอการันต์
สา สุนขั เปน็ อาการนั ต์
อคฺค ิ ไฟ เปน็ อกิ ารันต์
ทณฺฑี ผู้มไี มเ้ ทา้ เป็นอีการนั ต์
ภกิ ฺขุ ภิกษุ เป็นอกุ ารันต์
อภิภ ู ผเู้ ป็นใหญ ่ เปน็ อกู ารันต์
โค วัว เป็นโอการันต์
๒. อติ ถีลงิ ค์ มกี ารนั ต์ ๕ คือ อา อิ อี อุ อู (เว้น อ โอ)
เชน่ กญฺา สาวนอ้ ย เปน็ อาการนั ต์
๒๘ ๒.นามกัณฑ์ : ๒.๖.วภิ ตั ตินาม
รตฺติ กลางคืน เป็นอิการันต์
อติ ถฺ ี หญิง เป็นอีการนั ต์
ยาค ุ ข้าวยาค ู เปน็ อุการันต์
ชมพฺ ู ต้นหวา้ เปน็ อกู ารนั ต์
๓. นปุงสกลงิ ค์ มีการนั ต์ ๗ คือ อ อา อิ อี อุ อู โอ
เช่น จิตฺต จติ เปน็ อการนั ต์
อสสฺ ทฺธา ไมม่ ศี รัทธา เปน็ อาการันต์
อฏฺ€ ิ กระดกู เปน็ อกิ ารนั ต์
สุขการี ทำ�ใหม้ สี ขุ เป็นอีการนั ต์
อาย ุ อายุ เป็นอุการันต์
โคตฺรภู ข้ามโคตร เป็นอกู ารันต์
จิตตฺ โค วัวดา่ ง เป็นโอการนั ต์
๒.๖. วิภตั ตินาม
กมมฺ าทวิ เสน เอกตตฺ าทวิ เสน จ ลงิ ฺคตถฺ ํ วภิ ชนฺตีติ วิภตตฺ ิโย.
ค�ำ ศพั ทท์ จ่ี �ำ แนกอรรถของลงิ ค์ (ลงิ คตั ถะ) โดยกรรมและเอกพจนเ์ ปน็ ตน้
ชื่อวา่ วภิ ัตติ
วิภตั ติ หมายถึง คำ�ศพั ท์ท่ีเปน็ เสียงประกอบต่อทา้ ยปกตลิ ิงค์ในนาม
กัณฑ์ สมาสกณั ฑ์ ตทั ธติ กัณฑ์ และกติ กกณั ฑ์ จ�ำ แนกปกตลิ งิ ค์ให้มรีูปและ
อรรถตา่ งกัน ใหเ้ ปน็ การกะ ๖ อย่าง คือ กัตตุ (อาลปนะ) กัมมะ กรณะ
สัมปทานะ อปาทานะ (สามสี มั พันธะ) และ โอกาสะ เพือ่ ใหม้ เีนอ้ื ความ
สัมพนั ธ์กบั บ ทอน่ื ในป ระโยคเดียวกัน มี ๗ ลำ�ดับ ๑๔ ตัว เป็นเอกพจน์ ๗
พหูพจน์ ๗ ตามตาราง
๒.นามกณั ฑ์ : ๒.๗.วจนะหรอื พจน ์ ๒๙
นามวิภตั ติ ๗ ลำ�ดับ ๑๔ ตวั พร้อมคำ�แปล
ล�ำ ดบั วภิ ัตติ เอก. พห.ุ คำ�แปล
ปฐมา (กัตตุ+กมั มะ) ส ิ โย อนั วา่ (หรือไม่แปล)
อาลปนะ (อาลปนะ) สิ โย แน่ะ ดกู อ่ น ขา้ แต่ นี่ (หรือไม่แปล)
ทตุ ิยา (กมั มะ) อํ โย ซึง่ สู่ ยัง ส้นิ ตลอด กะ เฉพาะ
ตติยา (กัตตุ-กรณะ) นา หิ ดว้ ย โดย อนั ตาม เพราะ มี ด้วยทง้ั
จตตุ ถ ี (สัมปทานะ) ส นํ แก่ เพอ่ื ตอ่ ส�ำ หรบั
ปัญจมี (อปาทานะ) สมฺ า หิ แต่ จาก กว่า เหตุ เพราะ
ฉฏั ฐ ี (สามีสัมพนั ธะ) ส นํ แห่ง ของ เมอื่ บรรดา
สตั ตมี (โอกาสะ) สฺมึ สุ ใน ใกล้ ท่ี ครัน้ เมื่อ ในเพราะ เหนอื บน ณ
นามวภิ ัตตเิ หล่านี้ มคี วามส�ำ คัญเปน็ อันดบั หน่ึง เพราะเป็นเคร่อื งหมาย
ของนามทัง้ หมด จงึ ควรจ�ำ ไว้ให้ขึน้ ใจ
ปฐมา กับ อาลปนะ ใชว้ ภิ ัตตเิ ดยี วกนั
คำ�แปลวภิ ัตติฝา่ ยพหพู จน์ ให้เพ่ิมค�ำ ว่า “ทั้งหลาย”
๒.๗. วจนะหรือพจน์
วจนะ หรือ พจน์ คอื วภิ ตั ตทิ ี่บ่งจ�ำ นวนสทุ ธนามใหร้ ูว้่านอ้ ยหรือมาก
มี ๒ วจนะ คือ
๑. เอกวจนะ หรือ เอกพจน์ บง่ จ�ำ นวนสุทธนามว่า หนง่ึ เดียว
เชน่ ปรุ ิโส ชายหนง่ึ คน ชายคนเดยี ว
อิตถฺ ี หญิงหน่งึ คน หญิงคนเดียว
จิตตฺ ํ จิตหนึง่ ดวง จิตดวงเดียว
๒. พหุวจนะ หรือ พหูพจน์ บ่งจ�ำ นวนของสุทธนามว่า มากกวา่ หน่งึ
๓๐ ๒.นามกัณฑ์ : ๒.๘.สัททปทมาลา
เชน่ ปุริสา ชายหลายคน (ชายท้ังหลาย)
อิตฺถโิ ย หญิงหลายคน (หญิงทั้งหลาย)
จิตฺตาน ิ จิตหลายดวง (จิตท้งั หลาย)
เมอื่ รู้รายละเอียดของค�ำ นามโดยลงิ ค์ การนั ต์ วิภตั ติ และวจนะแลว้ จะ
นำ�เอานามศัพท์ท ้งั ๓ ลงิ ค์ ๗ การันต์ ๑๔ วภิ ัตติ ๒ วจนะ มารอ้ ยรวมกันให้
เป็นระเบยี บเหมือนพวงมาลา เรยี กวา่ “นามสทั ทปทมาลา” แปลวา่ “รวม
ระเบยี บบทของนามศัพท”์ เพ่ือให้งา่ ยต่อการศกึ ษาบทตา่ งๆของคำ�นาม
๒.๘. สทั ทปทมาลา
ระเบียบบทของนามศพั ทต์ ามลำ�ดบั วิภัตติ
สทั ทปทมาลา คอื วธิ จี�ำ แนกนามศัพทอ์อกเป็นบทๆ ตามล�ำ ดบั วภิ ตั ติ
๑๔ ตวั รวมไวด้ ้วยกนั อย่างเปน็ ระเบยี บ (ถา้ นบั อาลปนะด้วยเปน็ ๑๖ ตวั ) เพอ่ื
ให้เห็นรูปศัพท์และเนื้อความท่ีแตกต่างกันอยู่ในท่ีเดียวกัน ซ่ึงจะมีป ระโยชน์ต่อ
การศึกษาเรียนรู้ และงา่ ยตอ่ การนำ�บททจ่ี ำ�แนกแลว้ ไปสมั พนั ธ์เน้ือความเข้ากับ
บทอืน่ โดยเรยี งตอ่ กันไปตามลำ�ดบั ลิงค์ การนั ต์ วภิ ตั ติ และวจนะ
นามศัพท์ท่ีเป็นลิงค์และการันต์เดียวกัน มีการจำ�แนกรูปศัพท์เป็นแบบ
เดยี วกนั ซงึ่ จะง่ายตอ่ การก�ำ หนดรู้
ศัพท์ที่สามารถนำ�มาจำ�แนกด้วยนามวิภัตติได้น้ัน มี ๓ ประเภทใหญ่
๗ ประเภทย่อย คอื สมาสนาม ตทั ธิตนาม กติ กนาม สทุ ธนาม คณุ นาม
สัพพนาม และ สงั ขยานาม
ส่วนศัพท์จำ�พวกอปุ สัคและนบิ าต แม้จะประกอบอรรถของวภิ ัตติได้ ก็
ประกอบได้เฉพาะบางอรรถ จึงจะไมน่ �ำ มาจ�ำ แนกใหเ้ ห็นเปน็ ตวั อยา่ ง เมอื่ เรียน
ไปถงึ อุปสคั และนิบาต กจ็ ะสามารถเขา้ ใจได้โดยไม่ยาก
ตอ่ ไปจะยกตวั อยา่ งการจำ�แนกนามศัพท์ทงั้ ๗ ประเภท ให้เห็นระเบียบ
บทอยา่ งครบถ้วน ตามลำ�ดับลิงค์ การันต์ วภิ ตั ติ และวจนะ
๒.นามกณั ฑ์ : ๒.๘.สทั ทปทมาลา : สัททปทมาลาในปงุ ลงิ ค์ ๓๑
สทั ทปทมาลาในปุงลงิ ค์
(๑) ปุงลิงค์ อการนั ต์ ปุริส สัททปทมาลา (บรุ ุษ, ชาย)
วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหุวจะ
ปฐมา ปุรโิ ส ปรุ ิสา
อาลปนะ ปรุ ิส ปรุ ิสา ปุรสิ า
ทตุ ิยา ปรุ สิ ํ ปรุ ิเส
ตติยา ปรุ เิ สน ปรุ ิเสหิ ปรุ เิ สภิ
จตุตถี ปรุ ิสสฺส (ปรุ ิสาย ปุรสิ ตถฺ )ํ * ปรุ ิสานํ
ปญั จมี ปุริสา ปรุ ิสมหฺ า ปุรสิ สมฺ า ปุริเสหิ ปรุ ิเสภิ
ฉัฏฐี ปุรสิ สสฺ ปุริสานํ
สัตตมี ปรุ เิ ส ปรุ ิสมหฺ ิ ปรุ สิ สมฺ ึ ปรุ ิเสสุ
*รปู วา่ ปรุ สิ าย ปรุ สิ ตถฺ ํ มใี ชใ้ นอรรถ ตํุ ปจั จยั แปลวา่ “เพอ่ื ”
ศัพท์จำ�แนกตาม
พุทฺธ พระพทุ ธเจา้ ธมฺม พระธรรม
สํฆ (สงฺฆ) พระสงฆ ์ โลก โลก
อาจรยิ อาจารย ์ มนสุ สฺ มนุษย์
ปคุ ฺคล บุคคล ชน ชน คน
นร คน นรชน วานร ลิง
สีห ราชสีห์ สิงโต สกุณ นก
ทารก เดก็ ชาย รกุ ขฺ ต้นไม้
ปมาท ความประมาท จาค การสละ
โลภ ความโลภ โทส ความโกรธ
โมห ความหลง คาม หมู่บา้ น
ชนปท ชนบท นคิ ม นคิ ม เปน็ ต้น
๓๒ ๒.นามกณั ฑ์ : ๒.๘.สทั ทปทมาลา : สัททปทมาลาในปงุ ลิงค์
(๒) ปุงลิงค์ อการนั ต์ มน สทั ทปทมาลา (ใจ)
วภิ ัตติ เอกวจนะ พหวุ จนะ
ปฐมา มโน มนา
อาลปนะ มน มนา มนา
ทุติยา มนํ มเน
ตติยา มนสา มเนน มเนหิ มเนภิ
จตตุ ถี มนโส มนสสฺ มนานํ
ปญั จมี มนา มนมฺหา มนสฺมา มเนหิ มเนภิ
ฉัฏฐี มนโส มนสสฺ มนานํ
สตั ตมี มนสิ มเน มนมฺหิ มนสฺมึ มเนสุ
ศัพทจ์ ำ�แนกตาม
มโน วโจ วโย เตโช ตโป เจโต ตโม ยโส
อโย ปโย สโิ ร ฉนฺโท สโร อุโร รโห อโห.
ใจ วาจา วยั เดช ตบะ ใจ ความมดื ยศ
เหลก็ น�ำ้ นม ศีรษะ ฉันท์ สระนำ้� อก ท่ีลับ วนั
(๓) ปุงลิงค์ อการนั ต์ คจฉฺ นตฺ สทั ทปทมาลา (ผูไ้ ปอยู่)
วภิ ัตติ เอกวจนะ พหุวจนะ
ปฐมา คจฉฺ ํ คจฺฉนโฺ ต คจฉฺ นฺโต คจฺฉนฺตา
อาลปนะ คจฺฉํ คจฺฉ คจฉฺ า คจฺฉนโฺ ต คจฺฉนตฺ า
ทุติยา คจฉฺ นฺตํ คจฉฺ นฺเต
ตติยา คจฺฉตา คจฺฉนเฺ ตน คจฉฺ นเฺ ตหิ คจฉฺ นเฺ ตภิ
จตตุ ถี คจฉฺ โต คจฉฺ นฺตสสฺ คจฉฺ ตํ คจฺฉนตฺ านํ
ปัญจมี คจฉฺ ตา คจฉฺ นตฺ า คจฉฺ นตฺ มหฺ า คจฉฺ นตฺ สมฺ า คจฉฺ นเฺ ตหิ คจฉฺ นเฺ ตภิ
ฉัฏฐี คจฺฉโต คจฉฺ นตฺ สฺส คจฺฉตํ คจฉฺ นฺตานํ
สตั ตมี คจฺฉติ คจฺฉนเฺ ต คจฉฺ นตฺ มฺหิ คจฺฉนฺตสมึ คจฺฉนฺเตสุ
๒.นามกัณฑ์ : ๒.๘.สัททปทมาลา : สทั ทปทมาลาในปุงลิงค์ ๓๓
ศพั ท์จำ�แนกตาม
คจฉฺ ํ มหํ จรํ ตฏิ ฺ€ ํ ททํ ภญุ ชฺ ํ สณุ ํ ปจํ
ชยํ ชรี ํ วจํ มยี ํ สรํ กพุ พฺ ํ ชปํ วชํ.
ผู้ไป ผู้ประเสริฐ ผู้เทย่ี วไป ผ้ยู ืน ผใู้ ห้ ผู้บรโิ ภค ผู้ฟงั ผหู้ งุ
ผู้ชนะ ผู้ชรา ผกู้ ล่าว ผ้ตู าย ผ้คู ิดถึง ผูก้ ระทำ� ผู้สวด ผไู้ ป
(๔) ปุงลิงค์ อการนั ต์ ภวนฺต สัททปทมาลา (ผู้เจรญิ )
วิภตั ติ เอกวจนะ หพุวจนะ
ปฐมา ภวํ โภนโฺ ต ภวนโฺ ต ภวนตฺ า
อาลปนะ โภ ภนฺเต โภนตฺ โภนตฺ า โภนโฺ ต ภวนโฺ ต ภวนตฺ า
ทตุ ยิ า ภวนตฺ ํ โภนเฺ ต ภวนฺเต
ตตยิ า โภตา ภวตา ภวนฺเตน ภวนฺเตหิ ภวนเฺ ตภิ
จตตุ ถี โภโต ภวโต ภวนฺตสฺส ภวตํ ภวนตฺ านํ
ปญั จมี ภวตา ภวนตฺ า ภวนตฺ มหฺ า ภวนตฺ สมฺ า ภวนเฺ ตหิ ภวนฺเตภิ
ฉฏั ฐี โภโต ภวโต ภวนตฺ สฺส ภวตํ ภวนตฺ านํ
สตั ตมี ภวติ ภวนเฺ ต ภวนตฺ มหฺ ิ ภวนตฺ สมฺ ึ ภวนเฺ ตสุ
(๕) ปงุ ลงิ ค์ อการนั ต์ สนฺต สทั ทปทมาลา (สัตบรุ ุษ)
วภิ ัตติ เอกวจนะ พหุวจนะ
ปฐมา สํ สนโฺ ต สนโฺ ต สนฺตา
อาลปนะ สํ ส สา สนโฺ ต สนฺตา
ทุตยิ า สนตฺ ํ สนเฺ ต
ตตยิ า สตา สนฺเตน สนฺเตหิ สพฺภิ
จตุตถี สโต สนฺตสฺส สตํ สนฺตานํ
ปญั จมี สตา สนตฺ า สนตฺ มฺหา สนตฺ สฺมา สนฺเตหิ สพภฺ ิ
ฉัฏฐี สโต สนฺตสฺส สตํ สนฺตานํ
สตั ตมี สติ สนเฺ ต สนฺตมฺหิ สนตฺ สฺมึ สนเฺ ตสุ
๓๔ ๒.นามกณั ฑ์ : ๒.๘.สัททปทมาลา : สทั ทปทมาลาในปงุ ลิงค์
(๖) ปงุ ลิงค์ อการนั ต์ ราช สัททปทมาลา (พระราชา)
วิภัตติ เอกวจนะ พหุวจนะ
ปฐมา ราชา ราชาโน
อาลปนะ ราช ราชาโน
ทตุ ิยา ราชานํ ราชํ ราชาโน
ตติยา รญฺา ราชหู ิ ราชูภิ ราเชหิ ราเชภิ
จตตุ ถี รญฺโ ราชิโน รญฺํ ราชูนํ ราชานํ
ปญั จมี รญฺา ราชหู ิ ราชภู ิ ราเชหิ ราเชภิ
ฉัฏฐี รญโฺ ราชโิ น รญฺ ํ ราชูนํ ราชานํ
สัตตมี รญเฺ ราชินิ ราชูสุ ราเชสุ
(๗) ปุงลงิ ค์ อการนั ต์ มหาราช สทั ทปทมาลา (พระมหาราชา)
วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหุวจนะ
ปฐมา มหาราชา มหาราชาโน
อาลปนะ มหาราช มหาราชาโน
ทุตยิ า มหาราชํ มหาราเช
ตติยา มหาราเชน มหาราเชหิ มหาราเชภิ
จตุตถี มหาราชสสฺ มหาราชานํ
ปัญจมี มหาราชา มหาราชมหฺ า มหาราชสมฺ า มหาราเชหิ มหาราเชภิ
ฉัฏฐี มหาราชสสฺ มหาราชานํ
สตั ตมี มหาราชสฺมึ มหาราเชสุ
ศัพทจ์ ำ�แนกตาม
เทวราช เทวราช, เทพเจ้า นาคราช พญานาค
มิคราช พญาเนื้อ หํสราช พญาหงส์
สหี ราช ราชสหี ์ ธมฺมราช ราชาแห่งธรรม
ศัพทเ์ หล่าน้ีสามารถจ�ำ แนกตาม ราช ศัพทไ์ ด้ดว้ ย
๒.นามกัณฑ์ : ๒.๘.สทั ทปทมาลา : สัททปทมาลาในปงุ ลิงค ์ ๓๕
(๘) ปงุ ลงิ ค์ อการนั ต์ อตตฺ สัททปทมาลา (ตน)
วิภัตติ เอกวจนะ พหวุ จนะ
ปฐมา อตตฺ า อตตฺ าโน
อาลปนะ อตตฺ อตตฺ าโน
ทุตยิ า อตฺตานํ อตฺตํ อตฺตาโน
ตติยา อตตฺ นา อตฺเตน อตตฺ เนหิ อตฺตเนภิ
จตตุ ถี อตตฺ โน อตฺตานํ
ปญั จมี อตตฺ นา อตตฺ เนหิ อตฺตเนภิ
ฉัฏฐี อตตฺ โน อตฺตานํ
สัตตมี อตตฺ นิ อตฺเตสุ
อตตฺ ศพั ท์ นยิ มใชใ้ นรูปเอกวจนะ บางคราวก็ใชเ้ อกวจนะควบกนั ๒ ตัว
แทนพหวุ จนะ เช่น อตฺตโน อตตฺ โน ของตนๆ เป็นตน้
(๙) ปุงลิงค์ อการนั ต์ พรฺ หฺม สัททปทมาลา (พรหม)
วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ
ปฐมา พรฺ หฺมา พรฺ หฺมาโน
อาลปนะ พฺรหฺเม พฺรหมฺ าโน
ทุติยา พฺรหฺมานํ พรฺ หฺมาโน
ตตยิ า พฺรหมฺ ุนา พฺรหเฺ มหิ พฺรหเฺ มภิ
จตุตถี พฺรหฺมโุ น พรฺ หมานํ
ปญั จมี พฺรหฺมุนา พรฺ หฺเมหิ พรฺ หฺเมภิ
ฉัฏฐี พรฺ หมฺ ุโน พฺรหมฺ านํ
สัตตมี พฺรหมฺ นิ พรฺ หฺเมสุ
๓๖ ๒.นามกัณฑ์ : ๒.๘.สัททปทมาลา : สทั ทปทมาลาในปงุ ลงิ ค์
ปุงลิงค์ อาการันต์ สา สัททปทมาลา (สนุ ขั )
วิภตั ติ เอกวจนะ พหุวจนะ
ปฐมา สา สา
อาลปนะ ส สา สา
ทุติยา สํ เส
ตติยา เสน สาหิ สาภิ
จตุตถี สสฺส สาย สานํ
ปัญจมี สา สสมฺ า สมหฺ า สาหิ สาภิ
ฉฏั ฐี สสสฺ สานํ
สตั ตมี เส สมฺหิ สสฺมึ สาสุ
ศพั ท์จำ�แนกตาม
ปจฺจกฺขธมฺมา ผ้มู ธี รรมประจักษ์ คาณฺฑวี ธนวฺ า ผ้มู ีธนมู ขี อ้ มาก
ปุงลิงค์ อิการนั ต์ อคฺคิ สัททปทมาลา (ไฟ)
วิภตั ติ เอกวจนะ พหุวจนะ
ปฐมา อิคคฺ ิ (อคฺคิน)ิ * อคฺคี อคคฺ โย
อาลปนะ อคฺคิ อคคฺ ี อคฺคโย
ทุติยา อคคฺ ึ อคคฺ ี อคฺคโย
ตตยิ า อคคฺ นิ า อคฺคหี ิ อคคฺ ภี ิ อคฺคหิ ิ อคฺคภิ ิ
จตตุ ถี อคคฺ ิโน อคคฺ ิสสฺ อคคฺ นี ํ อคคฺ นิ ํ
ปญั จมี อคฺคินา อคฺคิมหฺ า อคคฺ สิ ฺมา อคฺคีหิ อคคฺ ีภิ อคฺคหิ ิ อคคฺ ิภิ
ฉัฏฐี อคฺคโิ น อคฺคิสฺส อคฺคนี ํ อคฺคนิ ํ
สตั ตมี อคคฺ มิ หฺ ิ อคคฺ ิสมฺ ึ อคคฺ สี ุ อคฺคิสุ
* บทในวงเลบ็ มีเฉพาะ อคคฺ ิ ศัพท์
๒.นามกณั ฑ์ : ๒.๘.สัททปทมาลา : สัททปทมาลาในปุงลงิ ค ์ ๓๗
ศพั ทจ์ ำ�แนกตาม
มุน ิ พระมนุ ี อิส ิ ฤาษี
มณ ิ แกว้ มณ ี นิธ ิ ขุมทรพั ย์
สมาธิ สมาธิ คิริ ภูเขา
กวิ นักกว ี สารถิ นายสารถี คนขับรถ
อญชฺ ลิ พนมมือ อห ิ งู
อริ ข้าศกึ วธิ ิ วธิ ีการ
ปติ ผปู้ กครอง อธปิ ติ ผ้เู ปน็ ใหญ่
คหปต ิ คฤหบด,ี เจา้ ของเรือน อส ิ ดาบ
ปงุ ลงิ ค์ อกี ารันต์ ทณฑฺ ี สัททปทมาลา (ผมู้ ีไมเ้ ทา้ )
วภิ ัตติ เอกวจนะ พหุวจนะ
ปฐมา ทณฺฑี ทณฑฺ ี ทณฑฺ โิ น
อาลปนะ ทณฺฑิ ทณฑฺ ี ทณฑฺ โิ น
ทุตยิ า ทณฑฺ ึ (ทณฺฑนิ )ํ * ทณฑฺ ี ทณฺฑิโน
ตตยิ า ทณฑฺ ินา ทณฺฑีหิ ทณฺฑีภิ
จตตุ ถี ทณฑฺ ิโน ทณฑฺ สิ สฺ ทณฑฺ นี ํ
ปัญจมี ทณฺฑนิ า ทณฑฺ มิ ฺหา ทณฑฺ สิ ฺมา ทณฑฺ หี ิ ทณฺฑีภิ
ฉัฏฐี ทณฑฺ โิ น ทณฑฺ ิสสฺ ทณฺฑีนํ
สัตตมี ทณฑฺ ินิ ทณฺฑมิ ฺหิ ทณฺฑิสมฺ ึ ทณฺฑสี ุ
* บทในวงเล็บ มเี ฉพาะ ทณี ฑฺ ี ศัพท์
ศัพท์จำ�แนกตาม
เมธาวี ผู้มปี ญั ญา ธมฺมี ผู้มธี รรม
หตถฺ ี ช้าง, หตั ถ,ี ผู้มงี วง โยค ี ผูม้ ีความเพยี ร
าณ ี ผมู้ ีญาณ จกกฺ ี ผู้มจี ักร
ปกฺขี นก, ปักษ,ี ผมู้ ปี กี ทกุ ฺขี ผู้มคี วามทกุ ข์
๓๘ ๒.นามกัณฑ์ : ๒.๘.สัททปทมาลา : สทั ทปทมาลาในปงุ ลิงค์
ทา€ ี ผ้มู ีเข้ยี ว รฏฺ€ ี ผู้มแี วน่ แควน้
ฉตฺตี ผมู้ ีร่ม มาลี ผ้มู ดี อกไม้
ภาค ี ผู้มสี ่วน โภค ี ผู้มีทรัพย์
สาม ี สามี, เจ้าของ สส ี ดวงจนั ทร์
สุข ี ผมู้ ีความสุข ธมมฺ จารี ผู้ประพฤตธิ รรม
(๑) ปุงลิงค์ อุการันต์ ภกิ ขฺ ุ สัททปทมาลา (ภิกษ)ุ
วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหุวจนะ
ปฐมา ภิกฺขุ ภกิ ฺขู ภกิ ฺขโว
อาลปนะ ภกิ ขฺ ุ ภิกขฺ ู ภกิ ขฺ เว ภกิ ฺขโว
ทตุ ิยา ภกิ ขฺ ุํ ภกิ ฺขู ภกิ ฺขโว
ตติยา ภิกฺขนุ า ภกิ ฺขูหิ ภกิ ฺขภู ิ ภิกฺขุหิ ภิกฺขุภิ
จตตุ ถี ภิกฺขโุ น ภิกขฺ สุ สฺ ภิกขฺ ูนํ ภกิ ขฺ นุ ํ
ปัญจมี ภกิ ขฺ ุนา ภิกขฺ มุ หฺ า ภิกฺขสุ มฺ า ภกิ ขฺ ูหิ ภกิ ฺขูภิ ภิกฺขหุ ิ ภกิ ฺขภุ ิ
ฉฏั ฐี ภิกฺขโุ น ภกิ ขฺ ุสสฺ ภิกฺขนู ํ ภกิ ขฺ นุ ํ
สัตตมี ภกิ ขฺ มุ ฺหิ ภิกขฺ ุสมึ ภกิ ฺขูสุ ภิกขฺ สุ ุ
ครุ ครู ศพั ทจ์ ำ�แนกตาม
เหต ุ เหตุ
ชนฺตุ สตั ว ์ เสตุ สะพาน
เกตุ เกต,ุ ยอด ราห ุ ราหู
ภาน ุ ดวงอาทิตย,์ รัศม ี เวฬุ ไม้ไผ่
มจฺจ ุ ความตาย พนฺธ ุ เครือญาติ
เนรุ, เมร ุ ภเู ขาพระสุเมรุ อจุ ฺฉุ ออ้ ย
สินธฺ ุ แม่น�ำ้ สนิ ธ ุ สตฺตุ ศตั รู
การุ นายช่าง รรุ ุ กวางรุรุ
ปงฺคุ คนเปลี้ย ปฏุ คนฉลาด
๒.นามกัณฑ์ : ๒.๘.สทั ทปทมาลา : สัททปทมาลาในปุงลิงค์ ๓๙
(๒) ปุงลิงค์ อุการันต์ สตฺถุ สทั ทปทมาลา (พระศาสดา)
วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ
ปฐมา สตถฺ า สตฺถาโร
อาลปนะ สตฺถ สตถฺ า สตฺถาโร
ทุตยิ า สตถฺ ารํ สตฺถาเร สตฺถาโร
ตติยา สตถฺ ารา สตถฺ นุ า สตถฺ าเรหิ สตถฺ าเรภิ
จตตุ ถี สตถฺ ุ สตฺถโุ น สตฺถารานํ สตถฺ านํ
ปญั จมี สตฺถารา สตถฺ าเรหิ สตฺถาเรภิ
ฉัฏฐี สตถฺ ุ สตถฺ ุโน สตถฺ ารานํ สตฺถานํ
สัตตมี สตถฺ ริ สตฺถาเรสุ
ศัพท์จำ�แนกตาม
กตตฺ ุ ผู้กระทำ� โสตุ ผู้ฟงั , ผเู้ รยี น, นกั เรียน
เนต ุ ผูน้ �ำ ไป าตุ ผ้รู ู้
ทาตุ ผใู้ ห ้ ธาตุ ผทู้ รงไว้
นตตฺ ุ หลาน เภตฺตุ ผูท้ �ำ ลาย
เฉตตฺ ุ ผตู้ ัด วตตฺ ุ ผู้กลา่ ว
ภตฺตุ ผู้เลี้ยง, สาม ี เชตุ ผูช้ นะ
โพทฺธุ ผรู้ ้ ู วิญฺาเปตุ ผใู้ ห้รู้
กาเรตุ ผู้ใหท้ ำ� สาเวต ุ ผูใ้ หฟ้ งั , ผ้ปู ระกาศ
(๓) ปงุ ลงิ ค์ อกุ ารันต์ ปิตุ สัททปทมาลา (บดิ า)
วิภตั ติ เอกวจนะ พหุวจนะ
ปฐมา ปิตา ปติ โร
อาลปนะ ปติ ปิตา ปิตโร
ทุติยา ปติ รํ ปติ เร ปติ โร
๔๐ ๒.นามกณั ฑ์ : ๒.๘.สทั ทปทมาลา : สทั ทปทมาลาในปงุ ลิงค์
ตติยา ปิตรา ปิตนุ า ปิตเรหิ ปิตเรภิ ปิตหู ิ ปิตูภิ ปติ หุ ิ ปติ ุภิ
จตตุ ถี ปติ ุ ปิตุโน ปิตสุ สฺ ปติ รานํ ปติ านํ ปิตูนํ ปติ นุ ํ
ปญั จมี ปิตรา ปิตเรหิ ปิตเรภิ ปิตูหิ ปติ ูภิ ปิตหุ ิ ปิตภุ ิ
ฉฏั ฐี ปิตุ ปิตโุ น ปิตสุ ฺส ปติ รานํ ปติ านํ ปติ นู ํ ปติ นุ ํ
สัตตมี ปิตริ ปิตเรสุ ปิตูสุ ปิตุสุ
ศพั ท์จำ�แนกตาม
ภาตุ พี่น้องชาย
(๔) ปงุ ลิงค์ อุการนั ต์ คณุ วนฺตุ สัททปทมาลา (ผู้มคี ุณ)
วิภตั ติ เอกวจนะ พหุวจนะ
ปฐมา คณุ วา คณุ วนโฺ ต คณุ วนฺตา
อาลปนะ คณุ วํ คณุ ว คณุ วา คณุ วนโฺ ต คณุ วนตฺ า
ทตุ ิยา คุณวนตฺ ํ คุณวนเฺ ต
ตตยิ า คณุ วตา คณุ วนเฺ ตน คณุ วนฺเตหิ คุณวนฺเตภิ
จตตุ ถี คุณวโต คุณวนตฺ สสฺ คุณวตํ คุณวนฺตานํ
ปัญจมี คณุ วตา คณุ วนตฺ า คุณวนฺตมฺหา คณุ วนฺเตหิ คุณวนฺเตภิ
คณุ วนฺตสฺมา
ฉฏั ฐี คุณวโต คณุ วนฺตสฺส คุณวตํ คณุ วนฺตานํ
สตั ตมี คุณวติ คณุ วนเฺ ต คณุ วนตฺ มหฺ ิ คณุ วนเฺ ตสุ
คณุ วนตฺ สมฺ ึ
ศัพทจ์ ำ�แนกตาม
คณวนฺต ุ ผมู้ ีคณะ กลุ วนตฺ ุ ผู้มตี ระกูลดี
ผลวนตฺ ุ ต้นไม้มผี ลดก ยสวนฺต ุ ผมู้ ยี ศ
ธนวนฺต ุ ผูม้ ีทรพั ย์ สตุ วนตฺ ุ ผู้มีการศีกษา