๒.นามกณั ฑ์ : ๒.๑๐.อพั ยยศัพท์ : ๓.นบิ าต : นิบาตหลายอรรถ ๙๑
อถ ศัพท์ มีอรรถ ๓ อยา่ ง
ปญฺหา คำ�ถาม อนนตฺ ริย ไม่มรี ะหว่าง, ตอ่ ไป อธิกาล ก�ำ หนดกาล
ขลุ ศพั ท์ มีอรรถ ๓ อย่าง
ปฏเิ สธ ปฏิเสธ อวธารณ หา้ ม ปสทิ ฺธิ ส�ำ เร็จ
วต ศพั ท์ มีอรรถ ๔ อยา่ ง
เอกสํ อยา่ งเดียว เขท ลำ�บาก, เหน็ดเหน่อื ย
อนุกมปฺ อนเุ คราะห์ สงฺกปปฺ คิด, ดำ�ริ, ร�ำ พึง
หิ ศพั ท์ มอี รรถ ๒ อยา่ ง
เหตุ เหตุ อวธารณ หา้ ม, จ�ำ กัด
ตุ ศพั ท์ มอี รรถ ๓ อยา่ ง
วิเสส แตกต่าง, พเิ ศษ เหตุ เหตุ นิวตตฺ น หา้ ม
หํ ศัพท์ มอี รรถ ๒ อยา่ ง
วิสาท เหน็ดเหน่ือย สมฺภม ตกใจ
อติ ิ ศัพท์ มีอรรถ ๓ อย่าง
วากฺยปรสิ มตฺติ มเี ทา่ น,ี้ ด้วยประการฉะนี้
เหต ุ เพราะเหตนุ ้ัน นทิ สสฺ น แสดง, วา่
ยถา ศพั ท์ มอี รรถ ๔ อยา่ ง
โยคคฺ ตา ความสมควร วจิ ฉฺ า ค�ำ ซ�ำ้
ปทตถฺ านติวตฺต กล่าวเทา่ อรรถของบท นิทสสฺ น แสดง
๙๒ ๒.นามกณั ฑ์ : ๒.๑๐.อัพยยศพั ท์ : ๓.นิบาต : นบิ าตอรรถตา่ งๆ
อปเทส เอวํ ศพั ท์ มีอรรถ ๓ อย่าง
แนะนำ� ปญหฺ า ค�ำ ถาม นิทสฺสน แสดง
อโห ศพั ท์ มีอรรถ ๓ อยา่ ง
ครห ต�ำ หนิ, นินทา ปสํสน สรรเสรญิ , ชืน่ ชม ปตฺถน ปรารถนา
นาม ศัพท์ มีอรรถ ๔ อย่าง
ครห ต�ำ หนิ ปสํสน สรรเสริญ ชื่นชม สญฺ า ชือ่ ปญฺหา ถาม
สาธุ ศพั ท์ มีอรรถ ๒ อยา่ ง
ปสํสน สรรเสริญ อนโุ มทนา ยาจน ขอ ออ้ นวอน
กิร ศัพท์ มีอรรถ ๒ อยา่ ง
อนุสฺสวน ได้ยินมา อสสฺ ทเฺ ธยฺย ไม่เชอื่ ถอื
นูน ศัพท์ มีอรรถ ๓ อยา่ ง
อนมุ าน คาดคะเน อนุสสฺ รณ คลอ้ ยตาม ปรวิ ติ กฺก คดิ กังวล
ถิร มนั่ คง ธุวํ ศัพท์ มีอรรถ ๒ อยา่ ง
อวธารณ หา้ ม จ�ำ กัด
อาว ี กล่มุ ท่ี ๓ นบิ าตอรรถตา่ งๆ
อโถ
อทฺธา แจ้ง อญฺทตฺถุ โดยแท้
อวสสฺ ํ อนง่ึ อจุ จฺ ํ สงู
แน่แท้ แนน่ อน อารา ไกล
แนแ่ ท้ สจฉฺ ิ แจ้ง
๒.นามกณั ฑ์ : ๒.๑๐.อัพยยศพั ท์ : ๓.นบิ าต : นบิ าตอรรถตา่ งๆ ๙๓
ปนุ อีก กิญฺจาปิ แม้น้อย แม้ก็จรงิ
สาม,ํ สยํ เอง อโห โอ อือ
กฺวจิ บา้ ง นจี ํ ต�ำ่ เต้ยี
มิจฉฺ า ผดิ นูน แน่ แน่นอน
มุธา เปลา่ นานา ตา่ งๆ นานา
มสุ า เทจ็ ภยิ โฺ ย, ภยิ โฺ ยโส โดยยิ่ง มาก
สกึ คราวเดียว สตกขฺ ตตฺ ุํ ร้อยครั้ง
ปจฺฉา ภายหลงั ปฏฺ€าย จ�ำ เดิม เรม่ิ ตน้ ต้ังแต ่
สห, สทธฺ ึ พร้อม กบั ปภตู ิ จ�ำ เดมิ เรม่ิ ตน้ เป็นตน้
สณิกํ ค่อยๆ เบาๆ ปนุ ปปฺ นุ ํ บ่อยๆ หลายคร้งั ซ�ำ้ ๆ
ปฏิกจเฺ จว ก่อนเทยี ว เสยยฺ ถทิ ํ อะไรบ้าง
วินา, ริเต เวน้ วสิ ํุ ต่างหาก แผนกหนงึ่
ทฏุ ฺ€,ุ กุ น่าเกลยี ด ปนุ อีก
อสี กํ น้อย จิรํ, จริ สฺสํ กาลนาน
ปุถุ มาก ต่างหาก หา หา โอไมน่ ่าเลย
ตณุ หฺ ี นง่ิ อลิกํ หลอกลวง เหลาะแหละ
อิติ เพราะเหตุนน้ั , ปเคว จะปว่ ยกลา่ วไปไย
ว่า....ดังน้ี, ชอื่ , กล่าวใหป้ ว่ ยกาล กอ่ นเทยี ว
ด้วยประการฉะน้ี สุวตถฺ ิ สวัสดี ความสบาย
จบ นามกัณฑ์ท่ี ๒
๙๔
๓. สมาสกัณฑ์
สมาส = นาม+นาม+วิภัตตนิ าม
สมาส คือ วิธีย่อนามศัพทต์ ัง้ แต่ ๒ ศัพทข์ น้ึ ไป ใหเ้ ข้าเป็นบทเดียวกนั
โดยใชว้ ธิ ีในสนธิและวธิ ใี นนามมาทำ�การย่อ เม่ือยอ่ ตามวธิ ีถกู ต้องดแี ลว้ จะได้
สมาส ๒ อยา่ ง ลักษณะ ๓ อยา่ ง และชือ่ ๖ อยา่ ง ดงั น้ี
สมาส ๒ ประเภท
๑. ลตุ ตฺ สมาส สมาสทีล่ บวภิ ตั ตขิ องศพั ทห์ นา้
เชน่ ก€ินสสฺ ทสุ ฺสํ ก€นิ ทุสสฺ .ํ
ผ้าเพอ่ื กฐนิ ช่ือวา่ กฐินทุสสะ
๒. อลตุ ตฺ สมาส สมาสที่ไมล่ บวิภัตติของศัพท์หนา้
เช่น ปรสสฺ ปทํ ปรสสฺ ปทํ.
บทเพื่อผอู้ ่ืน ชื่อว่า ปรัสสปทะ
ลกั ษณะของสมาส ๓ อยา่ ง
๑. ประกอบเข้าเปน็ บทเดยี วกัน
๒. มวี ภิ ัตตติ ัวเดยี วกนั
๓. สวดใหเ้ ปน็ บทเดียวกัน (ไมเ่ ว้นวรรคกลางสมาส)
สมาส ๖
สมาส ว่าโดยช่ือมี ๖ คือ อัพยยีภาวะ กัมมธารยะ ทิคุ ตัปปุริสะ
พหุพพหี ิ และทวันทะ (ยอ่ จำ�วา่ อพยฺ -กมมฺ -ทคิ -ุ ตปฺปุ พหทุ วฺ นฺทา สมาสกา)
ตอ่ ไป จะแสดงวิธีการยอ่ ตามลำ�ดับสมาส ๖ ดังนี้
๓.สมาสกัณฑ์ : ๓.๑.อัพยยีภาวสมาส : ๓.๒.กัมมธารยสมาส ๙๕
๓.๑. อพั ยยีภาวสมาส
อัพยยีภาวสมาส คือสมาสท่ีมีอุปสัคหรือนิบาตเป็นบทหน้าและเป็น
ประธาน บทสำ�เร็จเป็นนป ุงสกลิงค์เอกพจน์ มี ๒ อย่าง คอื
๑. อปุ สัคคปพุ พกะ มีอปุ สคั เป็นบทหนา้ และเปน็ ประธาน
เช่น นครสสฺ สมปี ํ อปุ นคร.ํ
ทีใ่ กลแ้ ห่งเมอื ง ชอื่ ว่า อปุ นคระ
๒. นปิ าตปพุ พกะ มนี ิบาตเป็นบทหนา้ และเปน็ ประธาน
เช่น ชีวสฺส ยตตฺ โก ปริจฺเฉโท ยาวชวี .ํ
ก�ำ หนดเพยี งใดแหง่ ชวี ิต ช่อื วา่ ยาวชวี ะ
๓.๒. กมั มธารยสมาส
กัมมธารยสมาส คือสมาสท่ีย่อสุทธนามกับสุทธนาม สุทธนามกับ
คุณนาม หรือคุณนามกับคุณนาม ที่มีวิภัตติและวจนะเหมือนกันเข้าด้วยกัน
เหมอื นกรรมทรงไวซ้ งึ่ กัตตาและกิริยา มี ๙ อย่าง คือ
๑. วิเสสนปพุ พปทะ มีบทวิเสสนะอยูห่ น้า
เช่น มหนโฺ ต จ โส ปรุ ิโส จาติ มหาปรุ โิ ส.
บรุ ษุ ผู้ประเสรฐิ ช่ือว่า มหาปรุ ิสะ
๒. วิเสสนุตตรปทะ มีบทวิเสสนะอย่หู ลัง
เชน่ สารปิ ตุ โฺ ต จ โส เถโร จาติ สาริปุตฺตตเฺ ถโร.
พระสารบี ตุ รผูเ้ ถระ ช่ือวา่ สารปิ ุตตัตเถระ
๓. วิเสสโนภยปทะ มีบททัง้ ๒ เป็นวิเสสนะ
เช่น สีตํ จ อณุ หฺ ํ จาติ สตี ุณห.ํ
เย็นและร้อน ช่อื วา่ สีตุณหะ
๙๖ ๓.สมาสกณั ฑ์ : ๓.๑.อัพยยภี าวสมาส : ๓.๒.กมั มธารยสมาส
๔. อปุ มานุตตรปทะ มีบทหลังเปน็ อปุ มา
เช่น มุนิ จ โส สีโห จาติ มนุ ิสโี ห.
พระมนุ ีเพยี งดังสหี ะ ชือ่ วา่ มุนสิ หี ะ
๕. สัมภ าวนาป ุพพปทะ มบี ทหนา้ ประกอบด้วย อติิ ศัพท์ ในอรรถ
ยกขึ้นแสดง
เช่น ธมฺโม อิติ พทุ ธฺ ิ ธมฺมพ ุทฺธิ.
ความรู้วา่ ธรรม ช่ือว่า ธมั มพทุ ธิ
๖. อวธารณปุพพปท ะ มีบทหน้าป ระกอบด้วย เอว ศัพทเ์พื่อห้าม
เนื้อความอ่ืน
เช่น สทธฺ า เอว ธนํ สทธฺ าธน.ํ
ศรทั ธาเทา่ นั้นเป็นทรพั ย์ ชือ่ ว่า สทั ธาธนะ
๗. นนิป าตป พุ พปทะ มี น นบิ าตเปน็ บ ทห น้าเพ่ือป ฏเิ สธบทหลงั
เชน่ น มนสุโฺ ส อมนสุ โฺ ส.
ไมใ่ ช่มนษุ ย์ ชอ่ื ว่า อมนสุ สะ
๘. กุปพุ พปทะ มี กุ นิบาตเปน็ บ ทหนา้ ในอรรถน่ารังเกียจ
เชน่ กจุ ฉฺ ิโต ปุรโิ ส กาปุรโิ ส.
บุรษุ ผูน้ า่ รงั เกียจ ชื่อว่า กาปุริสะ
๙. ปาทิปุพพปท ะ มี ป อุปสคั เป็นต้นเป็นบ ทห นา้
เช่น ปธานํ วจนํ ปาวจน.ํ
คำ�ท เ่ี ป็นประธาน ช่ือวา่ ปาวจนะ
อโสภณํ กตํ ทกุ ฺกฏ.ํ
กรรมทที่ �ำ ไมด่ี ช่ือวา่ ทกุ กฺ ฏะ
๓.สมาสกัณฑ์ : ๓.๓.ทคิ ุสมาส : ๓.๔.ตัปปุรสิ สมาส ๙๗
๓.๓. ทคิ สุ มาส
ทิคุสมาส คือกัมมธารยสมาสที่มีสังขยาเป็นบทหน้า เหมือนคำ�ว่า
“วัว ๒ ตัว” มี ๒ อย่าง คอื
๑. สมาห ารทิค ุ ทิคุสมาสท่ีย่อสงั ขยาเข้ากับนามศัพทใ์ นลงิ ค์ตา่ งๆ ท่ี
เป็นพหวุจนะ ส�ำ เรจ็ เปน็ นปุงสกลงิ คเ์ อกวจนะ
เช่น ตโย โลกา ตโิ ลกํ.
โลกท้ัง ๓ ชอ่ื ว่า ติโลกะ
๒. อสมาห ารท คิ ุ ทคิ สุ มาสท ยี่ อ่ สงั ขยาเขา้ กบั นามศพั ท์ ส�ำ เรจ็ เปน็ ลงิ ค์
และวจนะตามบทหลงั
เช่น จตสฺโส ทิสา จตุททฺ สิ า.
ทิศทั้ง ๔ ชื่อวา่ จตทุ ทิสา
๓.๔. ตัปปุรสิ สมาส
ตปั ปรุ ิสสมาส คือสมาสทยี่อ่ นาม ๒ บททีม่ ีวิภตั ตติา่ งกนั เข้าเป็น
บทเดียวกนั เหมอื นค�ำ ว่า “บรุ ษุ ของเขา” มี ๖ อยา่ ง ตามลำ�ดบั ต้งั แตท่ ตุิยา
วภิ ตั ตถิ งึ สตั ตมวี ิภัตติ ดังนี้
๑. ทตุ ยิ าตัปปรุ สิ ะ บทหน้าประกอบดว้ ยทุตยิ าวิภตั ติ
เชน่ สรณํ คโต สรณคโต.
ผถู้ งึ (ซง่ึ พระพทุ ธเจา้ วา่ เปน็ ) สรณะ ชอ่ื วา่ สรณคตะ
๒. ตติยาตปั ปรุ ิสะ บทหน้าประกอบด้วยตตยิ าวิภัตติ
เชน่ พุทเฺ ธน ภาสิโต พุทธฺ ภาสโิ ต.
(พระธรรม) อนั พระพทุ ธเจา้ ทรงภาษติ แลว้ ชอ่ื วา่
พทุ ธภาสติ ะ
๓. จตตุ ถตี ปั ปุริสะ บทหนา้ ประกอบดว้ ยจตตุ ถีวิภตั ติ
๙๘ ๓.สมาสกณั ฑ์ : ๓.๕.พหุพพีหิสมาส
เชน่ ก€ินสสฺ ทุสสฺ ํ ก€ินทสุ ฺส.ํ
ผา้ เพอื่ กฐนิ ชอ่ื ว่า กฐนิ ทสุ สะ
๔. ปญั จมตี ปั ปรุ ิสะ บทหนา้ ประกอบดว้ ยปัญจมวี ิภตั ติ
เชน่ โจรมฺหา ภยํ โจรภย.ํ
ภัยจากโจร ช่อื ว่า โจรภยะ
๕. ฉฏั ฐตี ปั ปรุ ิสะ บทหน้าประกอบด้วยฉัฏฐวี ภิ ัตติ
เช่น พุทฺธสสฺ สาวโก พทุ ธฺ สาวโก.
สาวกของพระพุทธเจ้า ชอื่ ว่า พทุ ธสาวกะ
๖. สตั ตมตี ปั ปุรสิ ะ บทหนา้ ประกอบดว้ ยสตั ตมวี ิภัตติ
เช่น วเน ปุปผฺ ํ วนปุปฺผ.ํ
ดอกไม้ในปา่ ชื่อวา่ วนปปุ ผะ
๓.๕. พหุพพหี สิ มาส
พหุพพีหิสมาส คือสมาสท่ีมีบทอื่นเป็นประธาน เหมือนคำ�ว่า “ผู้มี
ข้าวเปลอื กมาก” มี ๙ อย่าง คือ
๑. ทวฺ ิปทตุลยฺ าธกิ รณะ บทท ้ัง ๒ มีเน้อื ความเขา้ เป็นอนั เดียวกันใน
อรรถวิภัตติท ง้ั ๖ มที ตุิยาวิภัตติ เปน็ ตน้
เช่น อาคตา สมณา อมิ ํ สฆํ ารามนตฺ ิ อาคตสมโณ. (สฆํ าราโม)
สมณะมาส่อู ารามนี้ ฉะน้ัน อารามนจ้ี ึงชอื่ ว่า อาคตสมณะ
ทิฏ€ฺ า ธมมฺ า เยน สมเณน โสยํ ทิฏ€ฺ ธมโฺม. (สมโณ)
ธรรมอนั สมณะใดเห็นแลว้ สมณะน้นั ช่อื วา่ ทฏิ ฐธมั มะ
ทินฺโน สงุ โฺก ยสสฺ รญโฺ โสยํ ทินนฺ สงุ ฺโก. (ราชา)
ภาษอี นั เขาใหแ้ ลว้ แกพ่ ระราชาใด พระราชานน้ั ชอ่ื วา่ ทนิ นสงุ กะ
นิคฺคตา ชนา อสมฺ า คาม า โสยํ นคิ คฺ ตชโน. (คาโม)
คนออกไปแลว้ จากหมู่บา้ นนน้ั หมู่บ้านนัน้ ชอื่ วา่ นคิ คตชนะ
๓.สมาสกณั ฑ์ : ๓.๕.พหพุ พีห ิ ๙๙
ขีณา อาสวา ยสสฺ ภกิ ขฺ สุ ฺส โสยํ ขีณาสโว. (ภกิ ขฺ ุ)
อาสวะของภ ิกษุใดสนิ้ แล้ว ภิกษนุน้ั ชือ่ วา่ ขีณาสวะ
สมฺปนนฺ านิ สสสฺ านิ ยสฺมึ ชนปเท โสยํ สมปฺ นนฺ สสฺโส.
ขา้ วกลา้ ในชนบทใดอดุ มสมบรู ณ์ ชนบทนน้ั ชอ่ื วา่ สมั ปนั นสสั สะ
๒. ทฺวิปทภนิ นาธกิ รณะ บททั้ง ๒ มเี นือ้ ความของวภิ ตั ติตา่ งกัน
เชน่ ฉตฺตํ ปาณิมหฺ ิ อสฺสาติ ฉตฺตปาณิ. (ปุรโิ ส)
บุรษุ ผู้มรี ่มในมือ ชื่อวา่ ฉัตตปาณิ
๓. ติปทะ บททั้ง ๓ มเี นือ้ ความวภิ ตั ตเิ ดียวกัน
เช่น มตตฺ า พหโว มาตงคฺ า อสฺมนิ ตฺ ิ มตตฺ พหมุ าตงคฺ .ํ (วนํ)
ปา่ ที่มีช้างตกมนั มาก ช่ือวา่ มัตตพหมุ าตังคะ
๔. นนปิ าตปุพพปทะ บทหนา้ เป็น น นิบาตปฏเิ สธ
เช่น นตถฺ ิ เอตสฺส สโมติ อสโม. (ภควา)
พระพุทธเจ้าไม่มีผเู้ สมอเหมือน ชอ่ื ว่า อสมะ
๕. สหปพุ พปทะ บทหนา้ เปน็ สห นิบาต
เช่น สห เหตนุ า โย วตฺตเตติ สเหตโุ ก. (ธมโฺ ม)
ธรรมท่ีเป็นไปพร้อมด้วยเหตุ ชอ่ื วา่ สเหตุกะ
๖. อุปมาปุพพปทะ บทหนา้ เปน็ อปุ มา
เช่น กาโก วยิ สูโร อยนฺติ กากสโู ร. (ปุรโิ ส)
บรุ ุษผ้กู ล้าเหมือนกา ชื่อว่า กากสรู ะ
๗. สังขฺโยภยปทะ บททั้ง ๒ เปน็ สังขยา
เช่น ฉ วา ปญฺจ วา วาจา ฉปฺปญจฺ วาจา.
วาจา ๕-๖ คำ� ช่ือวา่ ฉปั ปญั จวาจา
๘. ทสิ นั ตราฬตั ถะ ไดเ้ นอื้ ความระหวา่ งทิศ หรือทิศเฉยี ง
๑๐๐ ๓.สมาสกณั ฑ์ : ๓.๖.ทวนั ทสมาส
เช่น ปุพฺพสสฺ า จ ทกขฺ ณิ สฺสา จ ทสิ าย ยทนตฺ ราฬํ
สายํ ปุพฺพทกขฺ ณิ า. (วิทิสา)
ระหว่างทศิ ตะวันออกกับทศิ ใต้ ช่อื ว่า ปพุ พทักขิณา
๙. พฺยตหิ ารลกั ขณะ ไดล้ ักษณะทำ�กิริยาตอ่ สู้ (ฝา่ ยตรงขา้ ม)
เช่น เกเสสุ จ เกเสสุ จ คเหตฺวา อิทํ ยุทฺธํ ปวตฺตตีติ
เกสาเกส.ิ
การดึงทผี่ มต่อสู้กันไป ช่อื ว่า เกสาเกสิ
๓.๖. ทวนั ทสมาส
ทวันทสมาส คือสมาสทย่ี อ่ บททีเ่ ปน็ คู่กัน มีวภิ ตั ตเิ หมือนกนั ตั้งแต่
๒ บทขน้ึ ไป เขา้ เปน็ บทเดยี วกนั มี ๒ อยา่ ง คือ
๑. สมาหาระ ยอ่ นามท่มี ีลงิ คแ์ ละวจนะตา่ งกันบ้าง เหมือนกันบ้าง มี
รปู ส�ำ เร็จเปน็ นปุงสกลิงค์เอกวจนะ
เชน่ ปตฺโต จ จวี รํ จ ปตตฺ จีวรํ.
บาตรและจวี ร ชอ่ื ว่า ปตั ตจีวระ
สมโถ จ วปิ สสฺ นา จ สมถวปิ สฺสน.ํ
สมถะและวิปัสสนา ชอ่ื ว่า สมถวปิ ัสสนะ
๒. อสมาหาระ ย่อนามท ม่ี วีจนะเหมอื นกนั ส�ำ เรจ็ แลว้ มลีงิ คต์ ามบ ท
หลงั และเป็นพ หวุจนะ
เช่น มาตา จ ปิตา จ มาตาปติ โร.
มารดาและบดิ า ชือ่ ว่า มาตาปิตุ
สุโร จ อสโุ ร จ นโร จ อรุ โค จ นาโค จ ยกโฺ ข จ
สรุ าสุรนโรรคนาคยกขฺ า.
เทวดา อสรู คน งู นาค และยกั ษ์ ชอื่ ว่า
สรุ าสุรนโรรคนาคยกั ขะ
จบ สมาสกณั ฑ์ท่ี ๓
๑๐๑
๔. ตทั ธติ กัณฑ์
ตทั ธิต = นาม+ปัจจัย+วภิ ตั ตนิ าม
ตทั ธติ คือ ปัจจัยท่เี กื้อกลู แกน่ าม ๓ เพราะประกอบอยู่หลงั นาม ๓
ได้แก่ สมาสนาม ตัทธตินาม และกิตกนาม (หรอื สทุ ธนาม)
ตัทธิต ถูกแบง่ ออกตามอรรถของปจั จยั แลว้ เรียกชอื่ มี ๗ หมวด คอื
อปจั จตัทธิต อเนกตัถตทั ธิต ภาวตัทธติ วิเสสตัทธติ อสั สตั ถติ ทั ธติ สงั ขฺยา
ตัทธติ และ อัพยฺ ยตทั ธติ
อปัจจตัทธิต (หรือโคตตตัทธิต) อเนกัตถตัทธิต อัสสัตถิตัทธิต และ
สังขยฺ าตัทธติ ท้งั ๔ น้ี รวมเข้ากนั เรยี กว่า “สามญั ญตทั ธติ ” และมักใช้เปน็ บ ท
วิเสสนะ (หรือคุณนาม)
ตัทธติ ๗
๔.๑. อปัจจตทั ธิต
อปจั จตัทธติ คอื ตทั ธิตทมี่ อี รรถว่า “เหลา่ กอ ลูก หลาน” ลงปัจจัย ๙
ตวั คอื ณ ณายน ณาน เณยยฺ ณิ ณกิ ณยฺ ณว เณร แทนศัพท์เหล่านี้
แทน อปจฺจ ศพั ท์ เรียกว่า “อปัจจตทั ธิต” กไ็ ด้
แทน โคตฺต ศัพท์ เรียกว่า “โคตตตทั ธิต” กไ็ ด้
แทน ปตุ ตฺ ศพั ท์ เรียกว่า “ปุตตตทั ธติ ” กไ็ ด้
เช่น วสฏิ €ฺ สสฺ อปจจฺ ํ วาสิฏฺโ€. (ณ)
เหล่ากอของวสิฏฐะ ชื่อวา่ วาสิฏฐะ
กจจฺ สสฺ อปจจฺ ํ กจฺจายโน, กจจฺ าโน. (ณายน, ณาน)
เหล่ากอของกจั จะ ชือ่ วา่ กจั จายนะ, กจั จานะ
๑๐๒ ๔.ตัทธติ กัณฑ์ : ๔.๒.อเนกัตถตัทธติ
กตตฺ กิ าย ปุตโฺ ต กตตฺ เิ กยโฺ ย. (เณยฺย)
ลกู ของนางกัตติกา ชอื่ ว่า กตั ติเกยยะ
สกยฺ ปุตฺตสสฺ อปจจฺ ํ สกฺยปตุ ตฺ .ิ (ณิ)
ลกู หลานของสักยบตุ ร ชื่อว่า สักยปุตติ
สกฺยปุตตฺ สฺส อปจจฺ ํ สกฺยปตุ ตโิ ก. (ณกิ )
ลูกหลานของศกั ยบุตร ชอื่ วา่ สักยปุตติกะ
อทติ ยิ า อปจฺจํ อาทิจโฺ จ. (ณยฺ )
ลูกหลานของนางอทติ ิ ช่อื วา่ อาทิจจะ
มนโุ น อปจฺจํ มานโว. (ณว)
ลูกหลานของนายมนุ ชือ่ วา่ มานวะ
สมณสฺส อปจฺจํ สามเณโร. (เณร)
ลูกหลานของสมณะ ชื่อว่า สามเณระ
๔.๒. อเนกัตถตัทธิต
อเนกัตถตทั ธติ คอื ตัทธิตที่มอี รรถมาก ลงปัจจยั ๑๔ ตวั คือ ณกิ
ณ เณยยฺ อิม อยิ กิย ย ณยฺ กณฺ ตา อายติ ตตฺ ล อาลุ มย
แทน สํสฏ€ฺ ศพั ท์ เรยี กวา่ “สงั สฏั ฐตทั ธติ ” แปลวา่ “ผสม เจอื คลกุ ”
แทน ตรติ ศัพท์ เรียกว่า “ตรตติ ทั ธิต” แปลว่า “ขา้ ม”
แทน จรติ ศัพท์ เรยี กว่า “จรตติ ทั ธิต” แปลวา่ “เทยี่ วไป”
แทน วหติ ศพั ท์ เรยี กว่า “วหตติ ัทธติ ” แปลวา่ “น�ำ ไป” เปน็ ต้น
เช่น ตเิ ลน สสํ ฏ€ฺ ํ เตลิก.ํ (ณิก)
ขา้ วผสมงา ช่อื ว่า เตลิกะ
นาวาย ตรตตี ิ นาวโิ ก. (ณิก)
ผู้ข้ามด้วยเรือ ชือ่ วา่ นาวกิ ะ
๔.ตัทธติ กัณฑ์ : ๔.๒.อเนกตั ถตัทธิต ๑๐๓
ปาเทน จรตีติ ปาทโิ ก. (ณิก)
ผเู้ ที่ยวไปดว้ ยเทา้ ชือ่ ว่า ปาทกิ ะ
อเํ สน วหตีติ อํสโิ ก. (ณิก)
ผู้นำ�ไปด้วยบ่า ชือ่ ว่า อังสิกะ
กสาเวน รตตฺ ํ กาสาว,ํ กาสาย.ํ (ณ)
ผา้ ย้อมด้วยนำ�้ ฝาด ช่ือวา่ กาสาวะ, กาสายะ
วเน ชาตํ วาเนยฺย.ํ (เณยยฺ )
ดอกไม้เกิดในป่า ชื่อว่า วาเนยยะ
ปจฺฉา ชาโต ปจฺฉโิ ม. (อิม)
ผ้เู กิดภายหลัง ชอื่ วา่ ปจฺฉิม
มนุสฺสชาติยา ชาโต มนุสสฺ ชาติโย. (อยิ )
ผเู้ กิดดว้ ยชาติมนษุ ย์ ชือ่ ว่า มนุสสชาติยะ
ชาตยิ า นิยุตฺโต ชาตกิ โิ ย. (กยิ )
ประกอบด้วยชาติ ชือ่ วา่ ชาติกิยะ
สภายํ สาธุ สพฺภ.ํ (ย)
ดีในสภา ชือ่ วา่ สัพภะ
สมณานํ หติ า สามญฺ า. (ณฺย)
เก้ือกลู สมณะ ชื่อวา่ สามญั ญะ
ราชปตุ ฺตานํ สมโู ห ราชปตุ ฺตโก. (กณ)ฺ
หมู่แหง่ ราชบุตร ชอ่ื ว่า ราชปุตตกะ
คามานํ สมโู ห คามตา. (ตา)
หม่แู ห่งชาวบ้าน ชอ่ื ว่า คามตา
ธโู ม วยิ ทสิ ฺสตีติ ธมู ายิตตฺตํ. (อายติ ตฺต)
ปรากฏเหมอื นควนั ไฟ ชอื่ ว่า ธมู ายิตตั ตะ
๑๐๔ ๔.ตทั ธติ กัณฑ์ : ๔.๓.ภาวตัทธติ
ทฏุ €ฺ ุ €านํ ทฏุ ฺ€ลุ ลฺ .ํ (ล)
ฐานะอันไม่ดี ชอื่ วา่ ทุฏ€ลุ ละ
อภิชฺฌา อสฺส ปกตีติ อภชิ ฌฺ าล.ุ (อาลุ)
ผมู้ ีอภชิ ฌาเปน็ ปกติ ช่อื ว่า อภิชฌาลุ
สวุ ณเฺ ณน ปกตนฺติ สุวณฺณมโย. (มย)
ท�ำ ดว้ ยทอง ช่ือว่า สวุ ัณณมยะ
๔.๓. ภาวตัทธิต
ภาวตทั ธิต คอื ตทั ธติ ท่มี ีอรรถว่า “มี เป็น” ลงปจั จัย ๗ ตัว คอื ณฺย
ตตฺ ตา ตฺตน เณยฺย ณ กณฺ แทน ภาว ศพั ท์ เรยี กวา่ “ภาวตัทธติ ” แปล
วา่ “ความมี ความเปน็ ” รูปส�ำ เร็จสว่ นมากเป็นนปุงสกลิงคเ์ อกพจน์
เชน่ อโรคสฺส ภาโว อาโรคฺย.ํ (ณฺย)
ความเปน็ ผไู้ มม่ โี รค ช่อื วา่ อาโรคฺยะ
ปสํ กุ ลู กิ สสฺ ภาโว ปสํ กุ ลู กิ ตตฺ ,ํ ปสํ กุ ลู กิ ตา. (ตต,ฺ ตา)
ความเปน็ ผทู้ รงผา้ บงั สกุ ลุ เปน็ วตั ร ชอ่ื วา่ ปงั สกุ ลู กิ ตั ตะ,
ปงั สกุ ลู กิ ตา
ปุถุชชฺ นสสฺ ภาโว ปุถุชฺชนตฺตนํ. (ตฺตน)
ความเป็นปุถุชน ชอื่ ว่า ปุถุชชนัตตนะ
อธปิ ตสิ ฺส ภาโว อาธิปเตยฺย.ํ (เณยยฺ )
ความเป็นใหญ่ ช่ือวา่ อาธิปเตยยะ
วิสมสสฺ ภาโว เวสม.ํ (ณ)
ความเป็นทีไ่ มส่ ม่ำ�เสมอ ชือ่ ว่า เวสมะ
รมณียสฺส ภาโว รามณยี ก.ํ (กณ)ฺ
ความเป็นท่นี า่ ยินดี ช่ือวา่ รามณียกะ
๔.ตทั ธิตกณั ฑ์ : ๔.๔.วเิ สสตัทธติ : ๔.๕.อสั สัตถิตทั ธิต ๑๐๕
๔.๔. วเิ สสตทั ธิต
วิเสสตัทธติ คือ ตัทธติ ที่มอี รรถวา่ “พิเศษ” ลงปัจจยั ๕ ตวั คอื
ตร ตม อสิ ิก อิย อฏิ ฺ€ แทน วเิ สส ศพั ท์ เรียกว่า “วเิ สสตทั ธิต” แปลว่า
“พิเศษ, มากกวา่ ”
เชน่ สพฺเพ อเิ ม ปาปา,
อยมเิ มสํ วเิ สเสน ปาโปติ ปาปตโร. (ตร)
คนเหล่าน้ีท้งั หมดเป็นคนเลว,
บุคคลน้ีเปน็ คนเลวมากกว่าคนเหล่าน้ี ชอื่ วา่ ปาปตระ
ตโตปิ อธิโก ปาปตโม, ปาปิสโิ ก, ปาปิโย, ปาปิฏฺโ€.
(อิสกิ , อิย, อฏิ ฺ€)
คนเลวยง่ิ กวา่ คนนน้ั อกี ชอ่ื วา่ ปาปตมะ, ปาปสิ กิ ะ, ปาปยิ ะ, ปาปฏิ ฐะ
สพเฺ พ อเิ ม วุฑฺฒา,
อยมเิ มสํ วเิ สเสน วฑุ โฺ ฒติ เชยโฺ ย, เชฏโฺ €. (อยิ , อฏิ €ฺ )
คนเหล่านีท้ ั้งหมดเปน็ ผูเ้ จริญ,
คนนเ้ี ป็นผู้เจริญพเิ ศษ กวา่ คนเหลา่ นี้ ชอื่ ว่า เชยยะ, เชฏฐะ
สพฺเพ อเิ ม ปสตฺถา,
อยมเิ มสํ วเิ สเสน ปสตโฺ ถติ เสยโฺ ย, เสฏโฺ €. (อยิ , อฏิ €ฺ )
คนเหล่านี้ทง้ั หมดเปน็ ผปู้ ระเสรฐิ ,
คนนีเ้ ปน็ ผู้ประเสริฐพิเศษ กวา่ คนเหลา่ น้ี ชอื่ วา่ เสยยะ, เสฏฐะ
๔.๕. อสั สัตถิตัทธติ
อสั สัตถิตัทธิต คือ ตทั ธิตท่ีมีอรรถว่า “ผมู้ ี” ลงปัจจัย ๑๒ ตวั คือ วี
โส อลิ ว อาล สี อิก อี ร วนฺตุ มนตฺ ุ ณ แทน อสฺสตฺถิ (อสสฺ +อตถฺ )ิ ศพั ท์
๑๐๖ ๔.ตัทธิตกัณฑ์ : ๔.๕.อสั สตั ถติ ัทธติ
เรยี กวา “อัสสตั ถติ ัทธิต” แปลว่า “ของเขามีอย,ู่ ผมู้ ี”
เชน่ เมธา อสฺส อตถฺ ตี ิ เมธาว.ี (วี)
ผมู้ ีปญั ญา ชื่อวา่ เมธาวี
สุเมธา อสฺส อตฺถตี ิ สุเมธโส. (โส)
ผมู้ ปี ัญญาดี ชื่อว่า สุเมธโส
ชฏา อสฺส อตฺถตี ิ ชฏโิ ล. (อลิ )
ผมู้ ีชฎา (ผู้มตี ัณหา) ชอ่ื วา่ ชฏลิ ะ
เกสา อสสฺ อตฺถตี ิ เกสโว. (ว)
ผู้มผี มดกด�ำ ชือ่ ว่า เกสวะ
วาจา อสฺส อตถฺ ีติ วาจาโล. (อาล)
ผมู้ ีวาจาไพเราะ ช่ือว่า วาจาล
ตโป อสฺส อตถฺ ีติ ตปสฺส.ี (ส)ี
ผมู้ ีตบะ ช่ือว่า ตปัสสี
ทณโฺ ฑ อสฺส อตถฺ ตี ิ ทณฺฑโิ ก, ทณฺฑี. (อกิ ,อ)ี
ผู้มไี มเ้ ทา้ ช่อื วา่ ทัณฑกิ ะ, ทณั ฑี
มธุ อสฺส อตฺถตี ิ มธโุ ร. (ร)
ผมู้ คี วามหวาน (ไพเราะ) ชอ่ื วา่ มธรุ ะ
คโุ ณ อสฺส อตถฺ ีติ คุณวา. (วนฺต)ุ
ผู้มีคณุ ช่อื วา่ คณุ วันตุ
สติ อสสฺ อตฺถตี ิ สตมิ า. (มนตฺ ุ)
ผมู้ ีสติ ชอ่ื วา่ สติมันตุ
สทธฺ า อสฺส อตฺถีติ สทโฺ ธ. (ณ)
ผู้มีศรัทธา ชื่อว่า สัทธะ
๔.ตทั ธติ กัณฑ์ : ๔.๖.สงั ขยาตัทธิต : ๔.๗.อพั ยยตทั ธติ ๑๐๗
๔.๖. สงั ขยาตทั ธติ
สังขยาตัทธิต คือ ตัทธติ ท่มี อี รรถว่า “เต็ม” ลงปจั จยั ๖ ตวั คอื ตยิ
ถ ม € อี ก หลังจากปกติสงั ขยา แทน ปูรณ ศัพท์ จงึ เรยี กว่า “สงั ขยา
ตัทธติ ” ส�ำ เรจ็ เป็นปรู ณสังขยา แปลว่า “เตม็ , ลำ�ดบั ที”่ และแทน ปริมาณ
ศัพท์ ทอ่ี รรถวา่ “เตม็ ” เหมอื นปรู ณศพั ท์ เป็นตน้
เชน่ ทวฺ ินนฺ ํ ปรู โณ ทุตโิ ย. (ติย)
เตม็ ๒ ชอื่ วา่ ทุติยะ (ที่ ๒)
ตณิ ฺณํ ปูรโณ ตติโย. (ตยิ )
เต็ม ๓ ช่ือวา่ ตติยะ (ท่ี ๓)
จตนุ ฺนํ ปูรโณ จตตุ ฺโถ. (ถ)
เต็ม ๔ ช่อื ว่า จตตุ ถะ (ท่ี ๔)
ปญจฺ นนฺ ํ ปูรโณ ปญฺจโม. (ม)
เตม็ ๕ ชอ่ื วา่ ปัญจมะ (ท่ี ๕)
ฉนนฺ ํ ปูรโณ ฉฏโฺ €. (โฐ)
เต็ม ๖ ช่ือวา่ ฉัฏฐะ (ที่ ๖)
เอกาทสนนฺ ํ ปูรณี เอกาทส.ี (อี)
เต็ม ๑๑ ชอ่ื ว่า เอกาทส ี (ที่ ๑๑)
เทฺว ปรมิ าณานิ เอตสฺสาติ ทวฺ ิโก. (ก)
หมวดมปี ริมาณ ๒ ชื่อว่า ทฺวกิ ะ (หมวด ๒)
๔.๗. อพั ยยตทั ธติ
อัพยยตัทธิต คือ ตัทธิตทเี่ ป็นอพั ยยศัพท์ มรี ูปคงท่ี ลงปจั จยั ๕ ตัว
คือ กฺขตตฺ ํุ ธา โส ถา ถํ หลังจากนามและสพั พนาม
แทน วาร ศัพท์ แปลวา่ “คร้งั คราว วาระ”
๑๐๘ ๔.ตทั ธิตกณั ฑ์ : ๔.๗.อัพยยตทั ธติ
แทน วิภาค ศพั ท์ แปลวา่ “แบง่ แจก จำ�แนก”
แทน ปการ ศพั ท์ แปลว่า “ประการ” เป็นต้น
เช่น เอกสฺมึ วาเร ภญุ ชฺ ตตี ิ เอกกขฺ ตตฺ ํุ. (กขฺ ตตฺ ุํ)
กนิ ครัง้ เดยี ว ชือ่ ว่า เอกกั ขัตตุง
ทฺวหี ิ วิภาเคหิ ทวฺ ิธา. (ธา)
โดยแบง่ ๒ ส่วน ชอื่ ว่า ทฺวิธา
อปุ าเยน วิภาเคน อปุ ายโส. (โส)
โดยจำ�แนกดว้ ยอุบาย ช่ือวา่ อุปายโส
โส ปกาโร ตถา. (ถา)
ประการนัน้ ชือ่ ว่า ตถา
โก ปกาโร กถํ. (ถ)ํ
ประการไร ชื่อวา่ กถํ
จบ ตัทธิตกัณฑ์ท่ี ๔
๑๐๙
๕. อาขฺยาตกัณฑ์
อาขยาต = ธาต+ุ ปัจจยั +วิภตั ติอาขยาต
อาขยาต คือ กริ ิยาศัพท์ทแี่ สดงกริ ิยาท่าทาง ยนื เดนิ น่ัง นอน ด่มื
กนิ ท�ำ พูด คิด เป็นต้น มักเรียกวา่ กริ ยิ าอาขยาต
กิริยาอาขยาต มสี ่วนประกอบ ๓ อย่าง คอื ธาตุ ปัจจัย และ วิภตั ติ
ธาตุ ๘ คณะ
ธาตุ คอื ค�ำ ทท่ี รงไว้ซงึ่ อรรถกริ ยิ า มอี รรถเปน็ กริ ิยา เป็นรากของศัพท์
อาขยาตและกิตก์
ธาตทุ ี่มีอรรถเปน็ กริ ิยาอาการทางกายและวาจา ให้แปลอรรถว่า “การ”
เชน่ “สิ สเย ในการนอน, วจ วิยตตฺ ิยํ วาจายํ ในการกลา่ ว” เปน็ ต้น
ธาตุทม่ี อี รรถเปน็ ภาวะหรือสภาวธรรม ใหแ้ ปลอรรถว่า “ความ” เช่น
“ภู สตตฺ ายํ ในความมี ความเป็น, จินฺต จินฺตายํ ในความคิด” เปน็ ตน้
ในไวยากรณ์ ทา่ นลงวกิ รณปัจจยั ๑๓ ตัว แบง่ ธาตุเปน็ ๘ คณะ ดงั นี้
๑. ภวู าทิคณะ
ภู ธาตเุ ป็นต้น ลง อ วกิ รณปัจจัย
ธาตุ อรรถ แปลอรรถของธาตุ อาขยาต แปลไทย
ภู สตตฺ ายํ ในความมี ความเปน็ ภวติ ยอ่ มมี ยอ่ มเป็น
หู สตฺตายํ ในความมี ความเป็น โหติ ยอ่ มมี ย่อมเป็น
สิ สเย ในการนอน เสติ สยติ ยอ่ มนอน
๑๑๐ ๕.อาขฺยาตกณั ฑ์ : ๒.รุธาทิคณะ : ๓.ทวิ าทคิ ณะ
มร มรเณ ในความตาย มรติ ย่อมตาย
ปจติ ยอ่ มหงุ ย่อมตม้
ปจ ปาเก ในการหุง ตม้ แกง ลภติ ย่อมได้
คจฉฺ ติ ย่อมไป, ยอ่ มถงึ
ลภ ลาเภ ในการได้ วจติ ย่อมกล่าว
วสติ ย่อมอยู่
คมุ คตมิ ฺหิ ในการไป
วจ วยิ ตตฺ ยิ ํ วาจายํ ในการพดู ชัดเจน
วส นวิ าเส ในการอยู่
๒. รุธาทคิ ณะ
รุธ ธาตุเปน็ ตน้ ลงนิคคหิตอาคมหลงั สระตวั แรก และลง อ วกิ รณ
ปจั จยั
ธาตุ อรรถ แปลอรรถของธาตุ อาขยาต แปลไทย
รุธ อาวรเณ ในการปดิ กน้ั รนุ ธฺ ติ รุนฺเธติ ยอ่ มปดิ -ก้นั
มุจ โมจเน ในการปล่อย มญุ จฺ ติ ยอ่ มปลอ่ ย
ภชุ พยฺ วหรเณ ในการกนิ ภญุ ชฺ ติ ย่อมกนิ -บริโภค
ภิทิ วทิ ารเณ ในการผ่า ทำ�ลาย ภนิ ทฺ ติ ยอ่ มผา่ -ท�ำ ลาย
ฉิทิ ทวฺ ธิ ากรเณ ในการตดั ฉินฺทติ ยอ่ มตัด
ยุช โยเค ในการประกอบ ยุญฺชติ ย่อมประกอบ
๓. ทวิ าทิคณะ
ทิวุ ธาตเุ ปน็ ต้น ลง ย วิกรณปจั จัย
ธาตุ อรรถ แปลอรรถของธาตุ อาขยาต แปลไทย
ทวิ ุ กีฬายํ ในการเล่น ทิพพฺ ติ ย่อมเล่น
ปท คติมหฺ ิ ในการไป อปุ ปชฺชติ ยอ่ มเข้าไป
๕.อาขยฺ าตกณั ฑ์ : ๔.สวฺ าทคิ ณะ : ๕.กิยาทคิ ณะ ๑๑๑
พธุ อวคมเน ในการตรัสรู้ พชุ ฺฌติ ย่อมตรสั รู้
กธุ โกเป ในความโกรธ กุชฌฺ ติ ยอ่ มโกรธ
มน าเณ ในความรู้ มญฺ ติ ย่อมรู้
สมุ อปุ สเม ในความสงบ สมมฺ ติ ยอ่ มสงบ
ชน ชนเน ในการเกิด ชายติ ยอ่ มเกดิ
๔. สวฺ าทคิ ณะ
สุ ธาตุเปน็ ต้น ลง ณุ ณา อณุ า วิกรณปจั จัย
ธาตุ อรรถ แปลอรรถของธาตุ อาขยาต แปลไทย
สุ สวเน ในการฟงั สโุ ณติ สุณาติ ยอ่ มฟงั
หิ คติมฺหิ ในการไป ปหิณาติ ย่อมส่งไป
อป ปาปุณเน ในการถึง บรรลุ ปาปุณาติ ย่อมถึง บรรลุ
สก สตตฺ ิมฺหิ ในความสามารถ สกกฺ ณุ าติ ยอ่ มอาจ สามารถ
๕. กยิ าทิคณะ
กี ธาตุเปน็ ตน้ ลง นา วิกรณปัจจยั
ธาตุ อรรถ แปลอรรถของธาตุ อาขยาต แปลไทย
ย่อมซอ้ื
กี ทพพฺ วนิ มิ เย ในการซือ้ -ขาย กิณาติ ย่อมชนะ
ยอ่ มสะสม
ชิ ชเย ในการชนะ ชินาติ ยอ่ มรู้
ย่อมตัด
จิ จเย ในการสะสม จนิ าติ
า อวโพธเน ในความรู้ ชานาติ
ลู เฉทเน ในการตัด ลนุ าติ
๑๑๒ ๕.อาขยฺ าตกณั ฑ์ : ๖.คหาทคิ ณะ : ๗.ตนาทคิ ณะ : ๘.จรุ าทคิ ณะ
๖. คหาทคิ ณะ
คห ธาตุเปน็ ตน้ ลง ปฺป ณหฺ า วกิ รณปจั จยั
ธาตุ อรรถ แปลอรรถของธาตุ อาขยาต แปลไทย
คห อุปาทาเน ในการถอื เอา คณหฺ าติ เฆปฺปติ ย่อมถอื เอา
๗. ตนาทคิ ณะ
ตนุ ธาตเุ ปน็ ต้น ลง โอ ยิร วิกรณปัจจยั
ธาตุ อรรถ แปลอรรถของธาตุ อาขยาต แปลไทย
ตนุ วิตถฺ าเร ในความแผ่ไป ตโนติ ย่อมแผ่ไป
กร กรเณ ในการกระท�ำ กโรติ กยริ ติ ยอ่ มกระทำ�
สก สตตฺ มิ หฺ ิ ในความสามารถ สกฺโกติ ยอ่ มสามารถ
อป ปาปุณเน ในการถึง บรรลุ ปปโฺ ปติ ย่อมถึง บรรลุ
๘. จุราทิคณะ
จรุ ธาตุเป็นต้น ลง เณ ณย วกิ รณปจั จยั
ธาตุ อรรถ แปลอรรถของธาตุ อาขยาต แปลไทย
จรุ เถยเฺ ย ในการลัก ขโมย โจเรติ โจรยติ ย่อมลกั ขโมย
มนฺต คตุ ฺตภาสเน ในการปรกึ ษา มนเฺ ตติ มนฺตยติ ยอ่ มปรกึ ษา
ปาล รกฺขเน ในการดแู ล รักษา ปาเลติ ปาลยติ ยอ่ มดแู ล รกั ษา
ฆฏ ฆฏเน ในการสืบต่อ ฆาเฏติ ฆาฏยติ ย่อมสบื ตอ่
วทิ าเณ ในความรู้ เวเทติ เวทยติ ย่อมรู้
คณ สงฺขยฺ าเน ในการนับ คเณติ คณยติ ย่อมนบั
ตกกฺ จินฺตายํ ในความคดิ ตกเฺ กติ ตกฺกยติ ย่อมคดิ ตรกึ
จินฺต จนิ ตฺ ายํ ในความคดิ จินฺเตติ จนิ ตฺ ยติ ยอ่ มคิด
๕.อาขฺยาตกัณฑ์ : ธาตุ ๒ กลมุ่ : ปจั จัยในอาขยาต ๑๑๓
ธาตุ ๒ กลุ่ม
ธาตุท้งั ๘ หมวดน้ัน จัดเปน็ ๒ กลุ่ม คอื
๑. อกมั ม กธาตุ ธาตทุ ีไ่ มม่ ีกรรม (คอื ไม่มองหาอรรถกรรม แตม่องห า
อรรถของวิภัตติอน่ื ที่ไม่ใชท่ ุตยิ า)
เชน่ ภิกฺขุ สยเน เสต.ิ ภิกษุนอนบนที่นอน
โส เคเห วสต.ิ เขาอย่ใู นบา้ น
๒. สกมั มกธาตุ ธาตทุ มี่ กี รรม (คือมองห ากรรมอนั เปน็ อรรถของทตุ ยิ า
วภิ ตั ตเิ ป็นต้น) แบง่ เป็น ๒ อยา่ ง คอื ธาตุทมี่ ี ๑ กรรม และธาตทุ ี่มี ๒ กรรม
เชน่ ปุริโส กมฺมํ กโรติ. บรุ ษุ ก�ำ ลังทำ�ซึง่ งาน
โส คาโว คามํ เนต.ิ เขาน�ำ วัวท้งั หลายไปสู่บ้าน
วิธีเพิ่มกรรมใหธ้ าตุ
เม่อื ลงอปุ สคั หนา้ ธาตุ จะทำ�ให้ธาตทุ ี่ไมม่ ีกรรม กลายเปน็ ธาตมุ ีกรรม
เมือ่ ลงการิตปจั จยั ในอรรถเหตุ ๔ ตวั คอื เณ ณย ณาเป ณาปย
ข้างหลังธาตุ จะเปน็ การเพมิ่ การติ กรรมใหแ้ ก่ธาตุ ซงึ่ จะได้ผลดังนี้
ทำ�ใหธ้ าตุทไ่ี มม่ ีกรรม กลายเป็นธาตุมี ๑ กรรม
ท�ำ ใหธ้ าตุมี ๑ กรรม กลายเป็นธาตมุ ี ๒ กรรม
ท�ำ ใหธ้ าตมุ ี ๒ กรรม กลายเป็นธาตมุ ี ๓ กรรม
ปจั จยั ในอาขยาต
ปัจจัย คือ ศัพท์สำ�หรับประกอบหลังธาตุ เพ่ือกำ�หนดวาจก มี ๕
หมวด คือ
๑. หมวดกัตตุวาจก ไดแ้ ก่ วกิ รณปจั จยั ประจ�ำ หมวดธาตุ ๑๓ ตวั คอื
อ, -ํ อ (เอ), ย, ณุ ณา อุณา, นา, ปปฺ ณหฺ า, โอ ยิร, เณ ณย
๑๑๔ ๕.อาขยฺ าตกัณฑ์ : ธาตุปัจจยั ๓ กลุ่ม
๒. หมวดกัมมวาจก ได้แก่ ย ปัจจยั หรอื ย ปัจจยั ทม่ี ี อิ อี อาคม
ข้างหนา้ (รวมกันเป็น อิย, อีย)
๓. หมวดเหตุกตั ตวุ าจก ไดแ้ ก่ การติ ปจั จยั ๔ ตวั คอื เณ ณย
ณาเป ณาปย
๔. หมวดเหตุกมั มวาจก ได้แก่ การิตปัจจยั ๔ ตวั คือ เณ ณย
ณาเป ณาปย และ ย ปจั จยั ทม่ี ี อิ อี อาคมขา้ งหนา้ (รวมกนั เป็น ณีย,
ณยีย, ณาปีย, ณาปยยี )
๕. หมวดภาววาจก ได้แก่ ย ปัจจัย และวิภัตติฝ่ายอัตตโนบท
ปฐมบรุ ุษ เอกวจนะ ท้ัง ๘ หมวด (รวมกนั เปน็ ยเต ยตํ เยถ ยตถฺ ยติ ฺถ
ยา ยสิ สฺ เต ยสิ ฺสถ) รปู ยเต ในวตั ตมานาวิภตั ติ จะมใี ชม้ ากกวา่
ธาตปุ ัจจัย ๓ กลุม่
ธาตปุ จั จยั คอื ป จั จัยพ ิเศษ ๕ ตัว ท่รี วมเข้ากับธาตุและนาม
๑. ปัจจยั ๓ ตัว คือ ข ฉ ส ประกอบหลัง ติช คปุ กิต มาน ธาตุ
เปน็ อันเดยี วกนั กับธาตุ และมกี ารซ้อนพยัญชนะต้นธาตุพรอ้ มสระ
เช่น ตติ ิกฺขต ิ ย่อมอดทน
ชิคจุ ฺฉติ ยอ่ มต�ำ หนิ
ตกิ จิ ฺฉติ ยอ่ มเยยี วยา
วีมํสต ิ ยอ่ มทดลอง
๒. ปัจจยั ๓ ตัวเดิม คอื ข ฉ ส ประกอบหลัง ภชุ ฆส หร สุ ปา
ธาตุเปน็ ตน้ ปน็ อันเดียวกันกบั ธาตุ และมีการซ้อนพยญั ชนะต้นธาตพุ ร้อมสระ
ในอรรถ “ปรารถนาเพื่อ” หรอื “อยาก”
เช่น พภกุ ฺขติ ย่อมปรารถนาเพอ่ื กนิ (อยากกิน, หิว)
ชฆิ จฺฉติ ย่อมปรารถนาเพื่อกิน (อยากด่มื , กระหาย)
๕.อาขยฺ าตกัณฑ์ : วภิ ัตตอิ าขยาต ๑๑๕
ชิคีสต ิ ย่อมปรารถนาเพื่อน�ำ ไป (อยากน�ำ ไป)
สุสสฺ ูสต ิ ยอ่ มปรารถนาเพ่อื ฟัง (อยากฟงั )
ปิวาสต ิ ยอ่ มปรารถนาเพือ่ ด่มื (อยากดืม่ )
๓. ปัจจยั ๒ ตวั คือ อาย อิย ประกอบห ลงั นามให้เป็นเหมอื นธาตุ
ในอรรถป ระพฤตเิ พียงดงั หรอื เหมอื น
เชน่ จิรายติ ย่อมประพฤตเิ หมอื นช้าอยู่
ปุตตฺ ิยติ ยอ่ มประพฤตเิ พียงดังบตุ ร
วิภตั ติอาขยาต
กาลาทิวเสน เอกตตฺ าทวิ เสน จ ธาตฺวตถฺ ํ วิภชนฺตตี ิ วภิ ตตฺ ิโย.
วิภัตติ คือ คำ�ศัพท์ท่ีประกอบอยู่หลังปกติธาตุต่อจากปัจจัย เพ่ือทำ�
หน้าทจ่ี �ำ แนกธาตุใหม้ รี ปู ศัพท์และความหมายตา่ งกนั โดย กาล บท บรุ ษุ วจนะ
มี ๙๖ ตวั แบ่งเป็น ๘ หมวด หมวดละ ๑๒ ตวั ดังน้ี
ตารางวิภตั ตอิ าขยาต ๘ หมวด ๙๖ ตัว
บท ๒ ปรัสสบท อัตตโนบท
บรุ ษุ ๓ ปฐมบุรษุ มชั ฌิมบุรษุ อตุ ตมบรุ ษุ ปฐมบุรษุ มัชฌิมบรุ ษุ อุตตมบรุ ุษ
วจนะ ๒ เอก. พหุ. เอก. พหุ. เอก. พหุ. เอก. พหุ. เอก. พหุ. เอก. พหุ.
วตฺตมานา ติ อนฺติ สิ ถ มิ ม เต อนเฺ ต เส วเฺ ห เอ มฺเห
ปญฺจมี ตุ อนฺตุ หิ ถ มิ ม ตํ อนฺตํ สสฺ ุ วโฺ ห เอ อามเส
สตฺตมี เอยยฺ เอยยฺ ุํ เอยยฺ าสิ เอยยฺ าถ เอยยฺ ามิ เอยยฺ าม เอถ เอรํ เอโถ เอยยฺ าวโฺ ห เอยยฺ ํ เอยยฺ ามเฺ ห
ปโรกฺขา อ อุ เอ ตฺถ อํ มฺห ตฺถ เร ตโฺ ถ วโฺ ห อึ มฺเห
หียยฺ ตฺตนี อา อู โอ ตฺถ อํ มฺหา ตฺถ ตฺถุํ เส วฺหํ อึ มฺหเส
อชชฺ ตนี อี อํุ โอ ตฺถ อึ มหฺ า อา อู เส วหฺ ํ อํ มฺเห
ภวสิ ฺสนฺตี สสฺ ติ สสฺ นตฺ ิ สฺสสิ สสฺ ถ สสฺ ามิ สฺสาม สสฺ เต สสฺ นเฺ ต สสฺ เส สฺสวฺเห สฺสํ สฺสามเฺ ห
กาลาตปิ ตตฺ ิ สสฺ า สสฺ สํ ุ สเฺ ส สฺสถ สสฺ ํ สสฺ ามหฺ า สฺสถ สฺสสิ ุ สสฺ เส สฺสวเฺ ห สฺสึ สสฺ ามหฺ เส
๑๑๖ ๕.อาขยฺ าตกณั ฑ์ : วิภตั ติอาขยาต
วภิ ตั ติอาขยาตและคำ�แปล
๑. วตั ตมานา ติ อนตฺ ิ สิ ถ มิ ม,
เต อนฺเต เส วเฺ ห เอ มฺเห.
แปลวา่ “อยู่ ย่อม จะ กำ�ลงั ”
๒. ปญั จมี ตุ อนตฺ ุ หิ ถ มิ ม,
ตํ อนตฺ ํ สสฺ ุ วฺโห เอ อามเส.
แปลวา่ “จง ขอจง ชว่ ย กรณุ า โปรด...เถิด, เทอญ”
๓. สัตตมี เอยฺย เอยฺยุํ เอยฺยาสิ เอยฺยาถ เอยฺยามิ เอยฺยาม,
เอถ เอรํ เอโถ เอยฺยาวโฺ ห เอยยฺ ํ เอยฺยามเฺ ห.
แปลว่า “พึง ควร อาจ สามารถ นา่ จะ”
๔. ปโรกขา อ อุ เอ ตถฺ อํ มฺห,
ตถฺ เร ตโฺ ถ วฺโห อึ มฺเห
แปลวา่ “แลว้ ” (อดีต ๓ วันขน้ึ ไป)
๕. หยี ยตั ตนี อา อู โอ ตถฺ อํ มหฺ า,
ตฺถ ตฺถุํ เส วหฺ ํ อึ มหฺ เส.
แปลว่า “แลว้ ” “ได.้ ..แลว้ ” (อดีตเมื่อวาน)
๖. อัชชตนี อี อุํ โอ ตฺถ อึ มฺหา,
อา อู เส วฺหํ อํ มฺเห.
แปลวา่ “แลว้ ” “ได.้ ..แลว้ ” (อดตี วันนี)้
๗. ภวิสสนั ตี สสฺ ติ สฺสนฺติ สสฺ สิ สสฺ ถ สฺสามิ สสฺ าม,
สฺสเต สฺสนฺเต สสฺ เส สสฺ วเฺ ห สฺสํ สฺสามฺเห.
แปลวา่ “จกั จะ” (อนาคตไม่จำ�กัด)
๘. กาลาติปัตติ สสฺ า สฺสสํ ุ สเฺ ส สฺสถ สสฺ ํ สสฺ ามฺหา,
สฺสถ สฺสิสุ สฺสเส สสฺ วเฺ ห สฺสึ สฺสามฺหเส.
แปลว่า “จกั ...แลว้ ” “จกั ได้...แลว้ ” (อดีตลว่ งเลยไปเปลา่ )
๕.อาขยฺ าตกณั ฑ์ : วภิ ัตติอาขยาต ๑๑๗
จำ�แนกวภิ ตั ติ ๘ หมวด โดยกาล ๓
กาล คือ ช่วงเวลาทีท่ �ำ กิริยา มี ๓ กาล คอื ปจั จบุ ัน อดีต และ อนาคต
วิภตั ติทง้ั ๘ หมวดนัน้ แบ่งออกเป็น ๓ กาล ดงั น้ี
วตั ตมานา
ปญั จมี เป็นปจั จุบนั กาล (กำ�ลงั ท�ำ )
สัตตมี
ปโรกขา
หยี ยตั นี เป็นอดตี กาล (ทำ�เสรจ็ แลว้ )
อชั ชตนี
ภวสิ สันต ี เป็นอนาคตกาล (ยงั ไมท่ ำ�)
กาลาติปัตติ เป็นอนาคตกาลล่วงเลยไปกบั อดตี (ไม่ได้ทำ�)
ปจั จุบันกาล ๓
๑. ปจั จบุ ันใกล้จะเปน็ อดีต ใช้วัตตมานาวิภัตติ แปลวา่ “ย่อม” (หรอื
ไมแ่ปลวภิ ตั ติ)
เช่น กโุ ต นุ ตฺวํ อาคจฉฺ ส.ิ
ทา่ นมาจากท่ีไหนหนอ
เทวมหานครโต อาคจฺฉาม.ิ
มาจากกรุงเทพมหานคร
๒. ปจั จบุ ันแท้ ใชว้ ัตตมานาวภิ ตั ติ แปลวา่ “อย,ู่ ก�ำ ลงั ”, ปญั จมี
วิภตั ติ แปลวา่ “จง ขอจง จงช่วย กรณุ า โปรด...เถิด”, และสัตตมีวภิ ัตติ แปล
วา่ “พงึ ควร อาจ สามารถ นา่ จะ”
เช่น ภกิ ฺขุ ธมฺมํ เทเสติ.
ภกิ ษุแสดงอยู่ซง่ึ ธรรม, ภกิ ษกุ ำ�ลังแสดงธรรม
๑๑๘ ๕.อาขฺยาตกณั ฑ์ : วภิ ตั ติอาขยาต
ตวฺ ํ ปุญฺ ํ กโรหิ.
ทา่ นจงท�ำ ซงึ่ บุญ, เชิญทา่ นทำ�บญุ
อหํ สมาธึ ภาเวยยฺ าม.ิ
เราสามารถเจริญสมาธ,ิ เราควรเจรญิ สมาธิ
๓. ปัจจบุ นั ใกล้อนาคต ใช้วตั ตมานาวิภัตติ แปลว่า “จะ”
เช่น กุหึ คจฺฉส.ิ จะไปท่ไี หน
อตุ ฺตรนครํ คจฺฉามิ. จะไปอุดรธานี
อดีตกาล ๓
๑. อดีตท่ีลว่ งแล้วต้ังแต่ ๓ วันขน้ึ ไปโดยไม่มีกำ�หนด ใชป้ โรกขา
วิภัตติ แปลว่า “แลว้ ”
เชน่ โส กริ ราชา พภูว.
ไดย้ นิ ว่า เขาเป็นพระราชาแลว้
เตนาห ภควา.
เพราะเหตนุ ัน้ พระผู้มพี ระภาคจึงตรสั แลว้
๒. อดตี ทเ่ี พิง่ ล่วงไปเมือ่ วาน ใชห้ ยี ยัตตนวี ิภัตติ แปลว่า “แล้ว”, ถา้
มี อ อาคมน�ำ หน้า นยิ มแปลว่า “ได.้ ..แล้ว”
เช่น โส โอทนํ ปจา. เขาหุงข้าวแลว้
โส คามํ อคจฺฉา. เขาไดไ้ ปบา้ นแล้ว
๓. อดีตที่เพ่ิงล่วงไปในวันนี้ ใชอ้ ชั ชตนีวภิ ตั ติ แปลว่า “แล้ว”, ถ้ามี
อ อาคมนำ�หน้า นยิ มแปลว่า “ได.้ ..แลว้ ”
เช่น มยํ ทานาทนี ิ ปญุ ฺ านิ กริมหฺ า.
พวกเราท�ำ แล้วซึง่ บุญมที านเปน็ ตน้
๕.อาขยฺ าตกณั ฑ์ : ตารางแสดงวภิ ัตติ กาล บท บรุ ุษ วจนะ โยคะ ๑๑๙
ภิกขฺ ุ ปิณฺฑาย คามํ ปาวสิ .ิ
ภกิ ษุไดเ้ ข้าไปแลว้ ส่หู มู่บ้านเพ่ือบิณฑบาต
อนาคตกาล ๒
๑. อนาคตของปจั จุบนั ใชภ้ วสิ สนั ตวี ภิ ัตติ นยิ มแปลว่า “จกั , จะ”
เช่น มยํ ธมมฺ ํ สุณสิ ฺสาม.
พวกเราจักฟังธรรม
กทา ปญฺจ สลี านิ สมาทยิ สิ ฺสถ.
เมื่อไรพวกทา่ นจกั สมาทานศลี ๕
๒. อนาคตของอดตี คอื ในอดตี ไม่ไดท้ �ำ เหตไุ ว้ ในอนาคตจงึ ไมส่ ามารถ
มีได้ ใช้กาลาติปตั ติภัตติ นิยมแปลวา่ “จัก...แลว้ ”, ถา้ มี อ อาคมนำ�หนา้ แปล
วา่ “จักได.้ ..แล้ว”
เช่น โส เจ ป€มวเย ปพฺพชชฺ ํ อลภิสฺสา,
อรหา ภวสิ สฺ า.
หากว่าเขาจกั ได้บวชในปฐมวัยแลว้ ไซร,้
จักเปน็ พระอรหันตแ์ ลว้
ตารางแสดงวภิ ัตติ กาล บท บรุ ษุ วจนะ โยคะ
วัตตมานา เป็นปจั จุบัน แปลว่า อยู่ ยอ่ ม จะ กำ�ลัง
ฝ่าย ปรัสสบท อัตตโนบท
วจนะ เอก. พห.ุ เอก. พห.ุ
ปฐมบรุ ุษ : นาม โส - ติ เต - อนตฺ ิ โส - เต เต - อนเฺ ต
มชั ฌมิ บรุ ษุ : ตมุ หฺ ตวฺ ํ - สิ ตุมฺเห - ถ ตฺวํ - เส ตมุ เฺ ห - วเฺ ห
อุตตมบรุ ุษ : อมหฺ อหํ - มิ มยํ - ม อหํ - เอ มยํ - มฺเห
๑๒๐ ๕.อาขฺยาตกณั ฑ์ : สัททปทมาลา วัตตมานาวิภตั ติ
ปรสั สบทนยิ มเปน็ กัตตรุ ปู อัตตโนบทนยิ มเปน็ กัมมรปู
กิรยิ าท่ีเป็นปฐมบรุ ุษ ใช้ สทุ ธนาม ปฐมาวภิ ัตติ เปน็ ประธาน
กิริยาที่เปน็ มชั ฌิมบรุ ุษ ใช้ ตมุ ฺห ศัพท์ ปฐมาวิภัตติ เป็นประธาน
กิริยาทเ่ี ปน็ อุตตมบรุ ุษ ใช้ อมหฺ ศพั ท์ ปฐมาวภิ ตั ติ ศพั ทเ์ ปน็ ประธาน
วิภตั ติ ๗ หมวดทเ่ี หลอื นักศกึ ษาสามารถจำ�แนกไดด้ ว้ ยวิธเี ดยี วกันน้ี
สัททปทมาลา
วัตตมานาวภิ ตั ติ
ภธู าตุ กัตตวุ าจก (ยอ่ มมี ย่อมเปน็ )
ฝา่ ย ปรสั สบท อัตตโนบท
วจนะ เอก. พห.ุ เอก. พห.ุ
ปฐมบรุ ุษ : นาม ภวติ ภวนฺติ ภวเต ภวนฺเต
มัชฌิมบรุ ุษ : ตุมฺห ภวสิ ภวถ ภวเส ภววเฺ ห
อุตตมบุรษุ : อมฺห ภวามิ ภวาม ภเว ภวามฺเห
ภูธาตุ เหตกุ ตั ตุวาจก (ย่อมใหม้ ี ให้เป็น เจรญิ )
ฝ่าย ปรสั สบท อัตตโนบท
วจนะ เอก. พห.ุ เอก. พห.ุ
ปฐมบรุ ุษ : นาม ภาเวติ ภาเวนตฺ ิ ภาวยติ ภาวยนตฺ ิ
มัชฌิมบรุ ษุ : ตมุ หฺ ภาเวสิ ภาเวถ ภาวยสิ ภาวยถ
อุตตมบรุ ุษ : อมฺห ภาเวมิ ภาเวม ภาวยามิ ภาวยาม
๕.อาขยฺ าตกัณฑ์ : สัททปทมาลา วตั ตมานาวภิ ตั ติ ๑๒๑
อนปุ ุพพะ ภูธาตุ กัมมวาจก (เสวย)
ฝ่าย ปรสั สบท อัตตโนบท
วจนะ เอก. พหุ. เอก. พห.ุ
ปฐมบุรุษ : นาม อนุภูยติ อนภุ ูยนฺติ อนุภูยเต อนุภยู นฺเต
มัชฌมิ บรุ ษุ : ตมุ หฺ อนุภูยสิ อนุภูยถ อนภุ ูยเส อนุภูยวเฺ ห
อตุ ตมบรุ ษุ : อมฺห อนุภูยามิ อนภุ ยู าม อนภุ ูเย อนุภยู ามเฺ ห
ภธู าตุ เหตกุ ัมมวาจก (ใหม้ ี ใหเ้ ปน็ ใหเ้ จรญิ )
ฝา่ ย ปรัสสบท อัตตโนบท
วจนะ เอก. พห.ุ เอก. พห.ุ
ปฐมบุรษุ : นาม ภาวยี ติ ภาวียนฺติ ภาวียเต ภาวยี นฺเต
มชั ฌิมบรุ ุษ : ตุมฺห ภาวยี สิ ภาวยี ถ ภาวยี เส ภาวียวเฺ ห
อุตตมบรุ ุษ : อมฺห ภาวยี ามิ ภาวยี าม ภาวเี ย ภาวียามเฺ ห
ตัวอย่างประโยควาจก ๕
๑. โส ปณฺฑิโต ภวติ, เต ปณฑฺ ิตา ภวนฺต.ิ
๒. ตวฺ ํ ปณฺฑโิ ต ภวส,ิ ตมุ ฺเห ปณฑฺ ติ า ภวถ.
๓. อหํ ปณฺฑโิ ต ภวามิ, มยํ ปณฺฑติ า ภวาม.
๔. โส สมาธึ ภาเวติ, เต สมาธึ ภาเวนฺต.ิ
๕. ตฺวํ สทฺธํ ภาเวสิ, ตุมเฺ ห ปญฺํ ภาเวถ.
๖. อหํ กสุ ลํ ภาเวม,ิ มยํ เมตตฺ ํ ภาเวม.
๗. เตน เวทนา อนุภูยต,ิ เตน เวทนาโย อนภุ ูยนตฺ .ิ
๘. ตยา ทกุ ฺขํ อนภุ ูยต,ิ ตุมฺเหหิ โสมนสฺสา อนุภยู นตฺ ิ.
๙. มยา สุขํ อนุภยู ต,ิ อมเฺ หหิ โทมนสฺสเวทนาโย อนุภูยนตฺ ิ.
๑๐. ปคุ ฺคเลน สมาธิ ภาวยี ติ,
ปคุ คฺ เลน สมาธโย ภาวยี นตฺ ิ
๑๒๒ ๕.อาขยฺ าตกัณฑ์ : สทั ทปทมาลา ปญั จมวี ภิ ตั ติ
๑๑. ตยา สมาธิ ภาวยี ต,ิ
ตุมเฺ หหิ สมาธโย ภาวยี นฺติ
๑๒. มยา สมาธิ ภาวียติ,
อมเฺ หหิ สมาธโย ภาวยี นตฺ .ิ
ปัญจมวี ิภตั ติ
ปจธาตุ กตั ตุวาจก (จงหงุ จงตม้ )
ฝา่ ย ปรัสสบท อัตตโนบท
วจนะ เอก. พหุ. เอก. พหุ.
ปฐมบรุ ษุ : นาม ปจตุ ปจนฺตุ ปจตํ ปจนตฺ ํ
มชั ฌมิ บรุ ุษ : ตุมฺห ปจ ปจาหิ ปจถ ปจสฺสุ ปจวโฺ ห
อุตตมบรุ ษุ : อมหฺ ปจามิ ปจาม ปเจ ปจามเส
ปจธาตุ เหตกุ ตั ตุวาจก (จงให้หงุ จงใหต้ ม้ )
ฝ่าย ปรัสสบท อตั ตโนบท
วจนะ เอก. พห.ุ เอก. พหุ.
ปฐมบรุ ษุ : นาม ปาเจตุ ปาเจนตฺ ุ ปาจยตํ ปาจยนตฺ ํ
มชั ฌิมบรุ ษุ : ตุมหฺ ปาเจหิ ปาเจถ ปาจยสสฺ ุ ปาจยวโฺ ห
อุตตมบุรษุ : อมฺห ปาเจมิ ปาเจม ปาจเย ปาจยามเส
ปจธาตุ กมั มวาจก (จงหงุ จงต้ม)
ฝ่าย ปรสั สบท อตั ตโนบท
วจนะ เอก. พห.ุ เอก. พหุ.
ปฐมบุรษุ : นาม ปจจฺ ตุ ปจฺจนฺตุ ปจียตํ ปจียนตฺ ํ
มชั ฌมิ บรุ ุษ : ตมุ หฺ ปจจฺ ปจจฺ าหิ ปจจฺ ถ ปจยี สสฺ ปจียวโฺ ห
อุตตมบุรุษ : อมฺห ปจฺจามิ ปจจฺ าม ปจเี ย ปจยี ามเส
๕.อาขฺยาตกณั ฑ์ : สัททปทมาลา ปญั จมวี ภิ ัตติ ๑๒๓
ปจธาตุ เหตกุ ัมมวาจก (จงให้หุง จงใหต้ ม้ )
ฝา่ ย ปรสั สบท อัตตโนบท
วจนะ เอก. พหุ. เอก. พหุ.
ปฐมบุรุษ : นาม ปาจยี ตุ ปาจยี นฺตุ ปาจียตํ ปาจยี นฺตํ
มัชฌิมบุรุษ : ตมุ หฺ ปาจียาหิ ปาจยี ถ ปาจยี สสฺ ุ ปาจยี วโฺ ห
อุตตมบรุ ษุ : อมฺห ปาจยี ามิ ปาจียาม ปาจีเย ปาจียามเส
ประโยคทดลองแปล
๑. สูโท โอทนํ ปจตุ, ปจตํ.
ปาจกา โอทนํ ปจนตฺ ,ุ ปจนตฺ .ํ
๒. ตวฺ ํ โอทนํ ปจ, ปจาหิ, ปจสฺส.ุ
ตุมเฺ ห โอทนํ ปจถ, ปจวฺโห.
๓. อหํ โอทนํ ปจาม,ิ ปเจ. มยํ โอทนํ ปจาม, ปจามเส.
๔. อิมสฺมึ ทิเน ตฺวํ มุทุกํ โอทนํ ปจ.
๕. ตฺวํ เสฺว เตสํ ภตฺตํ ปจาหิ.
๖. สาธุ ภนฺเต อธิวาเสถ, ยาคํุ เต ปาจาเปม.ิ
๗. มยํ โอทนญจฺ พฺยญชฺ นญฺจ สปู ญฺจ เอกโตว ปาจาปยาม.
๘. ทายกา อารามิกภิกขฺ สุ สฺ อาคนฺตุกภกิ ฺขุสสฺ จ ภกิ ขฺ ํ ปาจยนฺตุ.
๙. สเู ทน โอทโน ปจียต,ุ ยาคุ สูทกิ าย ปจจฺ ตํ.
๑๐. สามิเกน สูทํ ปหูโต โอทโน ปาจาปยี ต.ุ
๑๑. น ปจามิ น ปาเจมิ น ฉินทฺ ามิ น เฉทเย
ตํ มํ อกิญจฺ นํ ตฺวา สพพฺ ปาเปหิ อารตํ
(ข.ุ ชา. ๒๗/๒๘๕)
๑๒๔ ๕.อาขฺยาตกัณฑ์ : สัททปทมาลา สตั ตมวี ภิ ตั ติ
สัตตมวี ภิ ตั ติ
คมธุ าตุ กัตตวุ าจก (พึงไป ควรไป)
ฝา่ ย ปรัสสบท
วจนะ เอก. พหุ.
ปฐมบรุ ุษ : นาม คจเฺ ฉ คจเฺ ฉยยฺ คจฺฉุํ คจเฺ ฉยยฺ ํุ
มชั ฌิมบุรุษ : ตุมฺห คจเฺ ฉ คจเฺ ฉยยฺ าสิ คจฺเฉยยฺ าถ
อุตตมบุรษุ : อมหฺ คจฺเฉ คจฺเฉยฺยามิ คจเฺ ฉยยฺ าม
ฝ่าย อตั ตโนบท
วจนะ
ปฐมบุรุษ : นาม เอก. พหุ.
มัชฌมิ บุรุษ : ตุมฺห
อตุ ตมบรุ ุษ : อมฺห คจเฺ ฉถ คจฺเฉรํ
คจฺเฉโถ คจฺเฉยฺยาวฺโห
คจเฺ ฉ คจเฺ ฉยยฺ ํ คจฺเฉยฺยามฺเห
คมุธาตุ เหตกุ ตั ตวุ าจก (พึงให้ไป ควรให้ไป)
ฝ่าย ปรสั สบท
วจนะ เอก. พห.ุ
ปฐมบรุ ษุ : นาม คจฉฺ าเปยฺย คจฉฺ าเปยฺยํุ
มชั ฌมิ บุรษุ : ตุมหฺ คจฺฉาเปยฺยาสิ คจฺฉาเปยยฺ าถ
อุตตมบรุ ษุ : อมหฺ คจฉฺ าเปยยฺ ามิ คจฉฺ าเปยฺยาม
๕.อาขฺยาตกณั ฑ์ : สทั ทปทมาลา สัตตมวี ภิ ัตต ิ ๑๒๕
คมุธาตุ กมั มวาจก (พงึ ไป ควรไป)
ฝ่าย อตั ตโนบท
วจนะ เอก. พหุ.
ปฐมบุรษุ : นาม คจฺฉเี ยถ คจฺฉีเยรํ
มัชฌิมบุรษุ : ตมุ ฺห คจฺฉีเยโถ คจฉฺ เี ยยยฺ าวโฺ ห
อุตตมบรุ ษุ : อมฺห คจฺฉีเยยยฺ ํ คจฺฉเี ยยฺยามเฺ ห
คมุธาตุ เหตกุ ัมมวาจก (พงึ ให้ไป ควรใหไ้ ป)
ฝา่ ย อาเทศอตั ตโนบท เป็นปรสั สบท
วจนะ เอก. พหุ.
ปฐมบรุ ุษ : นาม คจฉฺ าปีเยยยฺ คจฉฺ าปเี ยยยฺ ุํ
มัชฌิมบุรุษ : ตมุ ฺห คจฺฉาปเี ยยฺยาสิ คจฉฺ าปีเยยยฺ าถ
อุตตมบุรุษ : อมฺห คจฉฺ าปเี ยยยฺ ามิ คจฉฺ าปเี ยยยฺ าม
ประโยคทดลองแปล
๑. โส คามํ คจฺเฉยยฺ ,
เต คามํ คจเฺ ฉยฺย.ํุ
๒. ตฺวํ อตตฺ โน คามํ คจเฺ ฉยฺยาส,ิ
ตุมเฺ ห อตตฺ โน คามํ คจฺเฉยยฺ าถ.
๓. อหํ อรญฺ ํ วา นทึ วา คจเฺ ฉยยฺ าม,ิ
มยํ อรญฺํ วา นทึ วา คจฺเฉยยฺ าม.
๔. น หิ เอเตหิ ยาเนหิ คจเฺ ฉยยฺ อคตํ ทิสํ
ยถาตฺตนา สทุ นฺเตน ทนโฺ ต ทนเฺ ตน คจฺฉติ.
(ขุ.ธ. ๒๕/๓๒๓/๗๒)
๑๒๖ ๕.อาขฺยาตกณั ฑ์ : สทั ทปทมาลา ปโรกขาวภิ ัตติ หิยยัตตนีวภิ ัตติ
ปโรกขาวิภตั ติ
พรฺ ูธาตุ กตั ตุวาจก (กล่าวแล้ว, พูดแล้ว)
ฝา่ ย ปรสั สบท
วจนะ เอก. พห.ุ
ปฐมบุรษุ : นาม อาห อาหุ อาหํสุ
มัชฌมิ บุรุษ : ตุมฺห อาเห อาหติ ฺถ
อตุ ตมบุรษุ : อมหฺ อาหํ อาหิมหฺ
ปโรกขาวิภัตติ มีใช้นอ้ ย จงึ แสดงไวเ้ ทา่ นี้
ประโยคทดลองแปล
๑. เย ธมฺมา เหตปุ ปฺ ภวา เตสํ เหตํุ ตถาคโต อาห
เตสญจฺ โย นโิ รโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ. (ขุ.อป. ๓๒/๒๘๖)
๒. มาตาเปตตฺ ภิ รํ ชนฺตํุ กเุ ล เชฏฺ€าปจายนิ ํ.
สณหฺ ํ สขิลสมภฺ าสํ เปสเุ ณยฺยปปฺ หายินํ.
มจเฺ ฉรวนิ เย ยุตฺตํ สจฺจํ โกธาภิภุํ นรํ.
ตํ เว เทวา ตาวตสึ า อาหุ สปฺปุรโิ ส อติ ิ. (ส.ํ ส. ๑๕/๒๕๗)
หยิ ยัตตนวี ภิ ตั ติ
วจธาตุ กัตตวุ าจก (กลา่ วแลว้ , พดู แลว้ )
ฝ่าย ปรสั สบท
วจนะ เอก. พห.ุ
ปฐมบุรุษ : นาม อวจา อวจู
มัชฌิมบุรุษ : ตุมหฺ อวจ อวโจ อวจุตฺถ
อุตตมบุรษุ : อมฺห อวจ อวจํ อวจมหฺ า
หยิ ยตั ตนีวภิ ตั ติ มีใช้น้อย จงึ แสดงไว้เท่านี้
๕.อาขยฺ าตกัณฑ์ : สทั ทปทมาลา หิยยตั ตนวี ิภัตต ิ ๑๒๗
อชั ชตนีวิภัตติ
กรธาตุ กัตตุวาจก (ทำ�แลว้ ได้ทำ�แลว้ )
ฝา่ ย ปรสั สบท
วจนะ เอก. พหุ.
ปฐมบรุ ษุ : นาม อกาสิ อกริ กริ อกรึสุ อกสํ ุ อกรุํ อกาสํุ กรึสุ
มัชฌิมบรุ ุษ : ตุมหฺ อกาสิ อกริ กริ อกาสิตถฺ อกรติ ถฺ กริตถฺ
อุตตมบรุ ุษ : อมหฺ อกาสึ อกรึ กรึ อกาสิมหฺ อกริมฺห กรมิ หฺ
กรธาตุ กัมมวาจก (ทำ�แล้ว, ไดท้ ำ�แลว้ )
ฝา่ ย ปรสั สบท
วจนะ เอก. พหุ.
ปฐมบุรุษ : นาม อกรียิ อกรียึสุ
มัชฌิมบุรุษ : ตุมฺห อกรยี ิ อกรยี ิตฺถ
อตุ ตมบรุ ษุ : อมหฺ อกรียึ อกรยี มิ ฺห
ประโยคทดลองแปล
๑. โส โรทิตวฺ า ปริเทวติ ฺวา ปิตุ สรีรกิจฺจํ อกาส.ิ
๒. ปณฺฑิตา จิตตฺ มตตฺ โน อชุ กุ ํ อกสํ .ุ
๓. อกาสึ สตถฺ ุ วจนํ ยถา มํ โอวที ชโิ น.
(ข.ุ เถร. ๒๖/๖๒๖)
๔. ฉนฺทราควริ ตฺโต โส ภกิ ฺขุ ปญฺาณวา อิธ.
อชฺฌคา อมตํ สนฺตึ นิพพฺ านํ ปทมจจฺ ตุ ํ.
(ข.ุ สุ. ๒๕/๒๐๖)
๑๒๘ ๕.อาขฺยาตกัณฑ์ : สัททปทมาลา ภวิสสนั ตีวภิ ัตติ กาลาติปัตติวิภตั ติ
ภวิสสนั ตีวิภตั ติ
สธุ าตุ กตั ตุวาจก (จกั ฟงั )
ฝา่ ย ปรสั สบท อตั ตโนบท
วจนะ เอก. พหุ. เอก. พห.ุ
ปฐมบุรุษ : นาม สุณิสสฺ ติ สุณสิ สฺ นฺติ สณุ สิ สฺ เต สุณสิ ฺสนฺเต
มัชฌิมบุรุษ : ตุมหฺ สณุ ิสสฺ สิ สุณิสสฺ ถ สุณสิ ฺสเส สุณสิ ฺสวฺเห
อตุ ตมบุรุษ : อมหฺ สุณิสสฺ ามิ สณุ ิสสฺ าม สุณสิ ฺสํ สุณสิ สฺ ามฺเห
กาลาติปัตตวิ ิภตั ติ
กรธาตุ กตั ตุวาจก (จกั ได้ทำ�แล้ว)
ฝา่ ย ปรัสสบท อตั ตโนบท
วจนะ เอก. พห.ุ เอก. พหุ.
ปฐมบรุ ุษ : นาม อกรสิ ฺส อกรสิ สฺ ํสุ อกริสสฺ ถ อกรสิ สฺ สิ ุ
มัชฌมิ บรุ ุษ : ตุมหฺ อกรสิ เฺ ส อกริสสฺ ถ อกรสิ สฺ เส อกริสสฺ วฺเห
อตุ ตมบุรุษ : อมหฺ อกรสิ สฺ ํ อกรสิ สฺ ามหฺ อกริสฺสึ อกรสิ สฺ ามหฺ เส
ประโยคทดลองแปล
๑. สททฺ ํ อนิทสสฺ นํ สปฺปฏิฆํ สุณิ วา สณุ าติ วา สณุ ิสสฺ ติ วา.
๒. โส เจ หยิ ฺโย กมมฺ นตฺ ํ อกริสฺส, อชชฺ กหาปณานิ อลภิสสฺ .
๓. สเจ อิทานิ อเนสนํ กริสสฺ ํ, อายตมิ ฺปิ ทลุ ฺลภสุโข ภวสิ สฺ ามิ.
ธาตคุ ณะอน่ื จากภวู าทคิ ณะ นกั ศกึ ษาสามารถจ�ำ แนกตามวธิ เี ชน่ นี้ จะตา่ ง
กนั บ า้ ง เพยี งการลงปจั จยั ป ระจ�ำ ห มวดธาตแุ ตล่ ะห มวด และการเปลยี่ นแปลงรปู
ของธาตุตวั นัน้ ๆ เทา่ น้นั
๕.อาขฺยาตกัณฑ์ : กิรยิ าอาขยาตทีม่ ใี ชม้ าก ๑๒๙
กิรยิ าอาขยาตทีม่ ใี ช้มาก
ภวู าทิคณะ
ภวติ ภวนตฺ ิ ย่อมม-ี เป็น พฺรหู ิ พรฺ ถู จงบอก-กลา่ ว
โหติ โหนฺติ ย่อมมี-เปน็ อิจฺฉติ เอสติ ย่อมปรารถนา
ภวตุ ภวนฺตุ จงม-ี เป็น สญฺมติ ย่อมส�ำ รวม
โหตุ โหนตฺ ุ จงมี-เปน็ อจฉฺ ติ อปุ าสติ ยอ่ มเขา้ อยู่
อโหสิ อเหสุํ ได้มี-เปน็ แล้ว อนุโภติ ย่อมเสวย
ภเว ภเวยยฺ พึงมี-เป็น ลภติ ลภนฺติ ยอ่ มได้
สยิ า สิยุํ พึงมี-เป็น อลภิ อลภสึ ุ ย่อมได้
ลภสิ ฺสติ จกั ได้ วจติ วจนตฺ ิ ยอ่ มกล่าว
วุจฺจติ วุจจฺ เต ย่อมถูกกลา่ ว อโวจ ไดก้ ลา่ วแล้ว
วสติ วสนตฺ ิ ย่อมอยู่ วจฉฺ ติ วจฺฉามิ ยอ่ มอยู่
โรทติ โรทนฺติ ยอ่ มรอ้ งไห้ คจฺฉติ คจฉฺ นตฺ ิ ยอ่ มไป
คจฉฺ คจฉฺ าหิ จงไป วหติ วหนฺติ ยอ่ มนำ�ไป
อคมาสิ ไดไ้ ปแลว้ อชฺฌคา บรรลแุ ล้ว
ชีรติ ชีรนฺติ ยอ่ มแก่ อกฺโกสติ ย่อมดา่
อกโฺ กจฉฺ ิ ได้ดา่ แลว้ อกโฺ กสิ ด่าแลว้
อธวิ าเสตุ จงรับ มรติ มียยฺ ติ ย่อมตาย
เทเสตุ จงแสดง ปสฺสติ ปสสฺ นฺติ ยอ่ มดู-เห็น
นสิ ีทติ ยอ่ มนั่ง ทกขฺ ติ ทกขฺ นตฺ ิ ย่อมด-ู เห็น
นิสที ิ นสิ ที สึ ุ นง่ั แลว้ ยชติ ยชนตฺ ิ ย่อมบูชา
วชฺเชติ วชฺชติ ยอ่ มกล่าว วเทติ วทติ ยอ่ มกลา่ ว
วเทมิ วทามิ ย่อมกลา่ ว จลติ จญฺจลติ ยอ่ มหว่ันไหว
๑๓๐ ๕.อาขยฺ าตกณั ฑ์ : กริ ยิ าอาขยาตทมี่ ีใชม้ าก
ตุทติ ตทุ นตฺ ิ ย่อมทม่ิ แทง ฌายติ ฌายนฺติ ย่อมคดิ -เพง่
อทุ ฺทิสติ ยอ่ มสวด ปวสิ ติ ปวสิ นตฺ ิ ย่อมเขา้ ไป
ลขิ ติ ลิขนฺติ ยอ่ มขีดเขยี น ผุสติ ผสุ นฺติ ย่อมสัมผัส
เสติ เสนฺติ ย่อมนอน ปิวติ ปิวนฺติ ย่อมดื่ม
สยติ สยนฺติ ย่อมนอน ติฏ€ฺ ติ ติฏ€ฺ นฺติ ย่อมต้งั ไว้
อตฺถิ สนฺติ ย่อมมี อตฺถุ สนตฺ ุ จงมี
อสสฺ อสสฺ ุ พึงมี-เป็น หนตฺ ิ หนติ ยอ่ มเบยี ดเบียน
อาห อาหุ กลา่ วแล้ว หญฺติ หญฺเต ย่อมถูกฆ่า
ชหาติ ชหนฺติ ยอ่ มสละ ททาติ ททนฺติ ยอ่ มให้
เทติ เทนตฺ ิ ยอ่ มให้ ทชชฺ า ทชชฺ ํ พึงให้ ควรให้
อทาสิ อทํสุ ไดใ้ ห้แล้ว นิเธติ นเิ ธนตฺ ิ ย่อมฝงั ไว้
รธุ าทคิ ณะ
รนุ ธฺ ติ รุนฺธนตฺ ิ ยอ่ มปิด-ก้ัน ฉนิ ฺทติ ฉนิ ฺทนฺติ ย่อมตดั
ยุญฺชติ ยุญชฺ นฺติ ยอ่ มประกอบ ภุญฺชติ ภุญชฺ นตฺ ิ ย่อมกิน
มุญจฺ ติ มุญฺจนตฺ ิ ยอ่ มปลอ่ ย-พน้ สิญจฺ ติ สญิ ฺจนฺติ ย่อมรด
ทิวาทคิ ณะ
ทิพฺพติ ทิพพฺ นตฺ ิ ยอ่ มร่งุ เรือง สิพพฺ ติ สพิ ฺพนฺติ ย่อมเยบ็
อปุ ปฺ ชฺชติ ย่อมอบุ ัติ-เกดิ พุชฌฺ ติ พุชฌฺ นฺติ ยอ่ มตรสั รู้
ยุชฌฺ ติ ยุชฌฺ นฺติ ยอ่ มต่อสู้ กชุ ฺฌติ กุชฺฌนฺติ ยอ่ มโกรธ
สนฺนยฺหติ ย่อมผกู รัด มญฺติ มญฺ นฺติ ย่อมรู้
สมาทยิ ติ ยอ่ มสมาทาน สมมฺ ติ สมฺมนฺติ ย่อมสงบ
กุปปฺ ติ กปุ ปฺ นฺติ ย่อมโกรธ ชายติ ชายนฺติ ย่อมเกิด
๕.อาขยฺ าตกัณฑ์ : กิริยาอาขยาตท่ีมีใชม้ าก ๑๓๑
สวฺ าทิคณะ ยอ่ มส่งไป
ยอ่ มใสไ่ ว้
สณุ าติ สโุ ณติ ยอ่ มฟงั ปหณิ าติ ย่อมสามารถ
อาวุณาติ ย่อมสำ�รวม มโิ นติ มนิ นตฺ ิ
ปาปณุ าติ ยอ่ มบรรลุ สกฺกุณาติ
กิยาทิคณะ
วิกฺกิณาติ ย่อมขาย ชนิ าติ ชินนฺติ ยอ่ มชนะ
จนิ าติ จินนตฺ ิ ยอ่ มก่อ-สะสม ชานาติ ชานนฺติ ย่อมรู้
วชิ านาติ ยอ่ มรู้แจ้ง วชิ านยิ า วชิ ญฺ า พงึ รูแ้ จง้
สมชานิ สญชฺ านิ รูด้ ีแลว้ อญฺาสิ ได้รแู้ ลว้
มินาติ มินนตฺ ิ ย่อมนับถอื ลนุ าติ ลนุ นตฺ ิ ย่อมตัด-เด็ด
ธนุ าติ ธุนนตฺ ิ ย่อมหวั่นไหว คณฺหติ คณฺหาติ ยอ่ มถือเอา
คยฺหติ คยฺหนฺติ ยอ่ มถกู ถอื เอา คณหฺ ิ คณหฺ ึสุ ถอื เอาแล้ว
อคฺคเหสิ ไดถ้ อื เอาแล้ว อคุ ฺคณฺหาติ ยอ่ มถือเอา
ตนาทิคณะ
ตโนติ ตโนนตฺ ิ ยอ่ มแผไ่ ป กโรติ กโรนตฺ ิ ย่อมท�ำ
กพุ พฺ นตฺ ิ ย่อมท�ำ กรุ ุเต ยอ่ มทำ�
กเร กเรยยฺ พึงท�ำ ควรท�ำ กยริ า กยิราถ พงึ ท�ำ ควรท�ำ
อกาสิ อกาสุํ ได้ท�ำ แล้ว อกริ อกรสึ ุ ได้ท�ำ แล้ว
กรึสุ อกํสุ ได้ทำ�แลว้ กาหติ กาหนฺติ จกั ท�ำ
กรสิ สฺ ติ กรสิ สฺ ํ จักท�ำ อภสิ งฺขโรติ ยอ่ มปรุงแตง่
ปปโฺ ปติ ปปโฺ ปนฺติ ย่อมบรรลุ สกโฺ กติ สกโฺ กนตฺ ิ ย่อมสามารถ
๑๓๒ ๕.อาขยฺ าตกณั ฑ์ : กิริยาอาขยาตทมี่ ีใช้มาก
จรุ าทิคณะ
โจเรติ โจเรนตฺ ิ ยอ่ มลัก-ขโมย โจรยติ โจรยนตฺ ิ ย่อมลกั -ขโมย
จินเฺ ตติ จนิ ฺตยติ ย่อมคิด จินเฺ ตสิ จนิ ฺตยิ คิดแลว้
มนเฺ ตติ มนตฺ ยติ ย่อมปรกึ ษา ปาเลติ ปาลยติ ยอ่ มรักษาไว้
ฆาเฏติ ฆาฏยติ ยอ่ มสืบตอ่ เวเทติ เวทยติ ย่อมรู้
คเณติ คณยติ ยอ่ มนบั คเณติ คณยติ ย่อมนับ
ธาตปุ ัจจยันตคณะ
ตติ ิกฺขติ ยอ่ มอดกลน้ั ชิคุจฺฉติ ย่อมคุน้ ครอง
ตกิ จิ ฺฉติ ย่อมเยียวยา วิจิกิจฺฉติ ย่อมเยียวยา
วีมํสติ ย่อมทดลอง พภุ ุกฺขติ ย่อมปรารถนาเพอ่ื กนิ
ชิฆจฺฉติ ย่อมปรารถนาเพื่อกนิ ชคิ สี ติ ย่อมปรารถนาเพ่อื กนิ
สุสฺสูสติ ย่อมปรารถนาเพื่อฟงั ปวิ าสติ ยอ่ มปรารถนาเพอ่ื ดม่ื
วชิ ิคีสติ ยอ่ มปรารถนาเพือ่ ชนะ
นามปจั จยนั ตคณะ
สมทุ ทฺ ายติ ทำ�ตัวดจุ สมทุ ร ปพฺพตายติ ท�ำ ตวั เช่นภูเขา
ธมู ายติ ทำ�เหมอื นรม่
ปุตฺตียติ ท�ำ เหมอื นควัน ฉตฺตียติ ต้องการบาตร
วตถฺ ียติ ต้องการบริขาร
จวี รียติ ท�ำ เหมอื นบตุ ร ปตฺตยี ติ ตอ้ งการผา้
ธนยี ติ ตอ้ งการบุตร
จิรายติ ต้องการผา้ ปรกิ ขฺ ารียติ
ตอ้ งการจีวร ปฏยี ติ
ตอ้ งการทรพั ย์ ปุตตฺ ยี ติ
ประพฤติชา้ อยู่
๕.อาขยฺ าตกณั ฑ์ : กริ ิยาอาขยาตทมี่ ีใช้มาก ๑๓๓
คำ�แปลภาษาไทยนั้น นักศึกษาสามารถใช้สำ�นวนการแปลได้หลายนัย
แมจ้ ะแปลตา่ งกนั กค็ วรใหไ้ ดค้ วามห มายเดยี วกนั เวลาแปลพ ระไตรปฎิ กจะไดไ้ ม่
ตดิ อยู่เพยี งส�ำ นวนเดียว ซงึ่ จะเป็นประโยชน์ตอ่ คนผูม้ อี ัธยาศยั ต่างกัน
กิริยาบทอื่นนอกจากนี้ สามารถหาอุทาหรณ์ได้จากหนงั สือว่าด้วยเรอ่ื ง
ธาตุและกิรยิ าท ่วั ไป เช่น คัมภรี ์ธาตฺวตั ถสังคหะ หนังสือรวมบทกิริยาอาขยาต
และอาขยฺ าตกัณฑใ์นไวยากรณ์อ่ืนๆ เป็นต้น
โปรดจ�ำ ไว้ว่า บทกิรยิ าอาขยาตในประโยคบาลี จะมี บรุ ษุ และ วจนะ
ตรงกับบทประธานท ี่เปน็ นามศัพท์ ตมุ ฺหศพั ท์ และ อมฺหศัพท์เสมอ
จบ อาขยาตกัณฑ์ที่ ๕
๑๓๔
๖. กติ กกัณฑ์
กติ ก์ = ธาต+ุ ปัจจยั +วิภตั ตินาม
กิตก์ คอื วธิ สี รา้ งค�ำ ศัพท์เพ่ือบ รรเทาความสงสัย๕ เร่ืองสำ�คัญ คือ
๑. บรรเทาความสงสยั เรื่อง ปกตธิ าตุ
๒. บรรเทาความสงสยั เรื่อง ปกตลิ ิงค์
๓. บรรเทาความสงสัยเรอ่ื ง ปจั จัย ท่ีประกอบหลงั จากปกติธาตุ
๔. บรรเทาความสงสยั เรอ่ื ง วภิ ตั ติ ทป่ี ระกอบหลงั จากธาตตุ อ่ จากปจั จยั
๕. บรรเทาความสงสยั เรอ่ื ง การกะ อนั เปน็ วธิ ีสร้างค�ำ ศพั ทจ์ าก ธาตุ
ไปสู่ อาขยาตและกิตก์ แล้วส�ำ เร็จบทอยา่ งสมบรู ณ์ด้วยวธิ ขี องนาม
กติ ก์ มีส่วนประกอบ ๓ อย่าง คอื ธาต+ุ ปจั จัย+วิภัตตินาม
ธาตุ
ธาตใุ นกติ ก์ กค็ อื ปกตธิ าตทุ งั้ ๘ หมวด อยา่ งเดยี วกนั กบั ธาตใุ นอาขยาต
(กรณุ ายอ้ นไปดูอาขยาตกณั ฑ์ หน้า ๑๐๙-๑๑๓)
ปัจจัย
ปจั จยั ในกติ ก์สามารถบ่งกาลและวาจกได้ มี ๒ หมวด คือ กจิ จป ัจจัย
และ กติปจั จัย
๑. กจิ จปจั จยั คอื ปัจจยั ทีแ่ สดงกมั มวาจกและภาววาจก กลา่ วอรรถ
อรหะ (พงึ ควร) และ สักกะ (อาจ สามารถ) ใน ๓ กาล มี ๕ ตวั คอื ณฺย
รจิ จฺ (รปู ส�ำ เรจ็ เปน็ นามกติ ก)์ และ ตพพฺ อนยี เตยยฺ (รปู ส�ำ เรจ็ เปน็ กริ ยิ ากติ ก)์
๒. กติ ปจั จยั คือ ปัจจยั ที่แสดงกัตตุวาจก มี ๗๕ ตวั คือ ณ อ ณวฺ ุ
ตุ อาวี ยุ รตฺถุ รติ ุ ราตุ กฺวิ รมมฺ ณี รู ณกุ ร อิ ต ติ รริ ยิ อิน ข กตฺ
๖.ตทั ธติ กณั ฑ์ : วิภัตติ : กติ ก์ ๒ ประเภท : กติ ก์ ๓ ข้ันตอน ๑๓๕
ตุก อกิ ณี ฆิณฺ นตฺ ุ มาน อาน ณุ มิ มนฺ ถ ม ล ย ยาณ ลาณ ล ถุ
ตฺตมิ ณิม อานิ ตรฺ ณฺ ณิตตฺ ตตฺ ิ ฒ € ธ ท อทิ ทฺ ก อร อล อม ตุ ทุ
อวี ร อรู ณุ นุ อสุ สฺ นสุ อิส การ (รูปสำ�เร็จเป็นนามกติ ก์) เปน็ ตน้ , และ
ต ตวนตฺ ุ ตาวี ตเว ตุํ ตนุ ตฺวาน ตวฺ า มาน อนตฺ (รปู ส�ำ เร็จเป็นกริ ยิ ากิตก์)
วภิ ตั ติ
วภิ ตั ติ กเ็ ปน็ วภิ ัตติ ๑๔ ตัว ทีบ่ ่งการกะ ๖ และวจนะ ๒ อยา่ งเดยี วกนั
ทง้ั ใน นาม สมาส ตัทธิต และ กติ ก์ น่นั เอง
กติ ก์ ๒ ประเภท
กติ ก์ เมื่ออาศัยกลมุ่ ป จั จัยเปน็ ตัวแบ่ง และผ่านวธิ กี ารปรบั เปลีย่ นครบ
ถว้ นทุกขน้ั ตอนแล้ว มีบทส�ำ เร็จเป็น ๒ ประเภท คอื นามกติ ก์ และ กิริยากิตก์
๑. นามกติ ก์ คอื ศพั ทก์ ติ กท์ ี่มีรปู ส�ำ เร็จเป็นสทุ ธนามบ้าง คุณนามบ้าง
๒. กิริยากติ ก์ คอื ศัพท์กิตก์ทมี่ รี ปู สำ�เรจ็ เปน็ กิรยิ า
นามกิตก์และกิริยากติ กท์ ั้ง ๒ เมื่อผ่านสาธนะ ๗ อันเปน็ กระบวนการ
สร้างค�ำ ศพั ท์ให้ส�ำ เร็จ โดยผสมผสานอรรถของธาตุ อรรถของปจั จยั และอรรถ
ของวิภตั ติ ให้เข้ากันอย่างลงตวั ตามขนั้ ตอน ๓ ขน้ั ดงั น้ี
กติ ก์ ๓ ขน้ั ตอน
ข้ันตอนท ี่ ๑ เร่มิ จากนำ�ป กตธิาตุทม่ี อีรรถเป็นกริ ยิ าท ้งั ๘ หมวด มา
ตั้งไวแ้ ล้ว นำ�ป จั จัยท ี่กำ�หนดวาจก ๕ หมวด มาประกอบเข้ากนั ลงท้ายด้วย
วภิ ัตตอิาขยาตที่ก�ำ หนด กาล บท บรุ ุษ และวจนะ
เชน่ พุธ+ย+ติ = พชุ ฺฌติ ยอ่ มตรสั รู้
ข้ันตอนที่ ๒ นำ�ป กติธาตุเดียวกันกับกิริยาอาขยาตมาตั้งไว้แล้ว นำ�
ปจั จยั ทก่ี �ำ หนดกาล รวมกนั เขา้ โดยการประกอบอรรถวภิ ตั ตใิ นนามใหส้ �ำ เรจ็ เปน็
๑๓๖ ๖.ตทั ธติ กัณฑ์ : สาธนะ ๗
สาธนะ ๗ มีกตั ตสุ าธนะเปน็ ต้น อันเปน็ ขน้ั ตอนของกติ ก์
เชน่ พุธ+ต = พุทฺธ ผตู้ รัสรู้
ขนั้ ตอนที่ ๓ นำ�เอา พุทธฺ ทีส่ �ำ เรจ็ มาจากวิธขี องกิตก์ สง่ ไปเป็นนาม
เพ่อื เตรียมประกอบวภิ ตั ติในนาม
เช่น พทุ ธฺ +สิ = พุทโฺ ธ พระพุทธเจา้
วิธีการสร้างค�ำ ศพั ท์ทง้ั ๓ ขน้ั ตอนน้ัน จะปรากฏสาธนะท่เี ปน็ ฐานะของ
บทส�ำ เรจ็ ตามอรรถของวภิ ัตตินาม ๗ อยา่ ง ดงั น้ี
สาธนะ ๗
สาธนะ คือ วธิ ีสรา้ งค�ำ ศพั ท์ทถี่ ูกก�ำ หนดดว้ ยอรรถของวิภตั ตนิ าม มี ๗
อยา่ ง คอื กตั ตสุ าธนะ กมั มสาธนะ ภาวสาธนะ กรณสาธนะ สมั ปทานสาธนะ
อปาทานสาธนะ และ อธิกรณสาธนะ
๑. กัตตุสาธนะ ผูท้ ำ�กิรยิ าดว้ ยตนเองหรือให้ผ้อู ่ืนทำ� รปู สำ�เรจ็ จัดเป็น
กัตตุและเหตุกัตตุ แปลว่า “ผู้” เปน็ ต้น
เช่น พุชฌฺ ตตี ิ พทุ โฺ ธ
ผู้ตรสั รู้ ชื่อว่า พระพุทธเจ้า
ททตตี ิ ทายโก
ผู้ให้ ช่ือวา่ ทายก
๒. กัมมสาธนะ ผู้ท่ีถูกกระทำ� รูปสำ�เร็จจัดเป็นกัมมะและเหตุกัมมะ
แปลว่า “ผู้ถกู , ผู้อันเขา, ผ้ทู เ่ี ขา” เป็นตน้
เช่น มาตาปติ หู ิ ธรยี ตีติ ธีตา.
ผทู้ ี่มารดาบดิ าคุ้มครอง ช่ือวา่ ธิดา
สยี เต พนฺธียตีติ สีส.ํ
อวยั วะอันคอผูกไว้ ชอื่ วา่ ศีรษะ
๖.ตทั ธติ กณั ฑ์ : วิภัตติ : กิตก์ ๒ ประเภท : กิตก์ ๓ ขั้นตอน ๑๓๗
๓. ภาวสาธนะ ส่ิงท่ีสักว่าเป็นกิริยาอาการหรือสภาวะตามปกติ รูป
ส�ำ เร็จเป็นภาวะ แปลวา่ “การ, ความ” เปน็ ตน้
เชน่ จชชฺ เต จชนํ วา จาโค.
การสละ ช่อื วา่ จาคะ
รชชฺ เต รชนํ วา ราโค.
ความกำ�หนด ช่ือว่า ราคะ
๔. กรณสาธนะ อุปกรณ์ช่วยทำ�กิริยา รูปสำ�เร็จเป็นกรณะ แปลว่า
“เปน็ เครอื่ ง, เปน็ เหตุ” เปน็ ตน้
เช่น วเิ นติ เอเตนาติ วนิ โย.
ธรรมเป็นเครอ่ื งแนะน�ำ จงึ ชือ่ ว่า วินยั
ปชชฺ เต อเนนาติ ปาโท.
เท้าเป็นเครอื่ งช่วยไป จึงชอื่ วา่ บาท
๕. สมั ปทานสาธนะ ผ้รู บั จากกริ ิยา รปู สำ�เร็จเปน็ สัมปทานะ แปลวา่
“ผู้ทเ่ี ขาให้, ผรู้ ับ” เป็นต้น
เชน่ สมมฺ า ปกาเรน ททาติ อสสฺ าติ สมปฺ ทาน.ํ
ผู้รบั สิ่งที่เขาให้ทกุ ประการ ชื่อว่า สมั ปทาน
๖. อปาทานสาธนะ เขตทถ่ี ูกละทิง้ ไป รูปส�ำ เรจ็ เป็นอปาทานะ แปลว่า
“สถานท,ี่ เขต, แดน” เป็นต้น
เชน่ ปภวติ เอตสฺมาติ ปภโว.
สถานทีเ่ ร่มิ ตน้ ชอ่ื ว่า ปภวะ (เขตเร่ิมต้น)
๗. อธิกรณสาธนะ สถานท่ีหรือกาลเวลาของกิริยา รูปสำ�เร็จเป็น
โอกาสะ (ทีว่ า่ ง) ภุมมะ (ทีอ่ ยู่ประจ�ำ ) อธกิ รณะ (ที่ต้งั ) อาธาระ (ที่รองรบั ) แปล
วา่ “เป็นสถานท่ี, เป็นเวลา” เป็นต้น
เช่น สยติ เอตถฺ าติ สยน.ํ
ท่ีเป็นทนี่ อน จงึ ชือ่ ว่า สยนะ (เป็นทน่ี อน)
๑๓๘ ๖.ตัทธิตกัณฑ์ : ตัวอยา่ งนามกติ ก์
รมติ เอตถฺ าติ รตฺต.ิ
เวลาที่เขายินดี จงึ ช่ือว่า ราตรี (เปน็ เวลายนิ ด)ี
ตัวอย่างนามกิตก์
นามกิตก์ ธาตุ+ปัจจยั +วิภัตติ คำ�แปล
สิสฺโส
กิจจฺ ํ สาส+ณยฺ +สิ ศษิ ย์
มาลากาโร
ธมฺมธโร กร+ริจฺจ+สิ กจิ
การโก
กตตฺ า มาลา+กร+ณ+สิ นายมาลาการ ชา่ งดอกไม้
ภยทสสฺ าวี
สตถฺ า ธมฺม+ธร+อ+สิ ผทู้ รงธรรม
ปิตา
มาตา กร+ณวฺ +ุ สิ ผู้กระท�ำ , นายชา่ ง
สยมภฺ ู
ธมโฺ ม กร+ต+ุ สิ ผ้กู ระท�ำ
พฺรหมฺ จารี
โฆสนา ภย+ทิส+อาวี+สิ ผเู้ หน็ ภัย, ผ้เู หน็ ว่าเป็นภยั
ภวปารคู
ภีรุโก สาส+รตฺถุ+สิ พระศาสดา, ผพู้ รำ่�สอน
สํโฆ
อทุ ธิ ปา+ริต+ุ สิ บดิ า
สตุ ิ
มาน+ราต+ุ สิ มารดา
สยํ+ภู+กวฺ ิ+สิ พระสยัมภู
ธร+รมฺม+สิ ธรรมะ, ทรงไว้ซงึ่ สภาวะน้นั ๆ
พรฺ หฺม+จร+ณ+ี สิ ผ้ปู ระพฤตพิ รหมจรรย์
ฆสุ +ย+ุ อา+สิ การประกาศ
ภวปาร+คมุ+ร+ู สิ ผู้ถงึ ฝ่งั แหง่ ภพ
ภ+ี รฺอาคม+ณกุ +สิ ผขู้ ลาดกลวั
ส+ํ หน+ร+สิ พระสงฆ์, ผู้พร้อมเพรียงกัน
อุท+ธา+อิ+สิ มหาสมุทร, สถนท่ีทรงไวซ้ ่งึ น�้ำ
ส+ุ ต+ิ สิ การฟงั , เสียง
๖.ตัทธติ กณั ฑ์ : ตัวอย่างกริ ยิ ากติ ก ์ ๑๓๙
กิริยา กร+ริริย+อา+สิ กริ ิยา, อาการที่กระท�ำ
ชโิ น ชิ+อนิ +สิ ผู้ชนะมาร ๕
ทกุ กฺ รํ ท+ุ กร+ข+สิ อันใครๆท�ำ ไดย้ าก
พทุ ฺโธ พุธ+ต+สิ ผู้ตรัสร,ู้ ผ้ใู ห้ตรสั รู้
อาคนตฺ โุ ก อา+คม+ุ ตุก+สิ อาคนั ตกุ ะ, ผมู้ าเยือน
คมโิ ก คมุ+อิก+สิ ผู้ควรไป, คนเดินทาง
อกาโร อ+การ+สิ ออกั ษร
ตัวอย่างกริ ยิ ากติ ก์
กริ ยิ ากติ ก์ ธาต+ุ ปจั จยั +วภิ ตั ติ คำ�แปล
ทาตพฺพํ
ทานียํ ทา+ตพพฺ +สิ พึงให,้ ควรให้
าเตยฺยํ
คโต ทา+อนีย+สิ พึงให,้ ควรให้
หุตวา
หตุ าวี า+เตยยฺ +สิ พึงร,ู้ ควรรู้
กาตเว
กาตํุ คม+ุ ต+สิ ไปแล้ว
กาตนุ
กตฺวาน ห+ุ ตวนตฺ ุ+สิ บชู าแลว้
กตฺวา
คจฉฺ มาโน หุ+ตาวี+สิ บชู าแลว้
คจฺฉนฺโต
กร+ตเว+สิ เพอ่ื ท�ำ
กร+ต+ุํ สิ เพอ่ื ท�ำ
กร+ตุน+สิ เพอ่ื ทำ�
กร+ตฺวาน+สิ ท�ำ แล้ว
กร+ตฺวา+สิ ทำ�แลว้
คม+ุ มาน+สิ ไปอย,ู่ เมอ่ื ไป
คมุ+อนตฺ +สิ ไปอยู่, เมอ่ื ไป
๑๔๐ ๖.ตัทธิตกณั ฑ์ : ศัพทก์ ิตกท์ มี่ ีใช้มาก
ศพั ท์กติ ก์ทมี่ ีใช้มาก
เตกาลิกะ กิจจคณะ
ภวิตพฺพํ พึงมี พึงเปน็
พึงมี พงึ เป็น ภวนยี ํ
อภิภวติ พโฺ พ พงึ ครอบงำ� อภภิ วนโี ย พึงครอบงำ�
อาสติ พพฺ ํ พงึ เขา้ ไป อาสนยี ํ พงึ เขา้ ไป
สยติ พพฺ ํ พงึ นอน สยนียํ พงึ นอน
อติสยติ พฺโพ ควรนอนให้มาก อติสยนีโย พงึ นอนให้มาก
ปฏิปชฺชิตพฺโพ พึงปฏบิ ตั ิ ปฏิปชฺชนโี ย พงึ ปฏิบัติ
พชุ ฺฌติ พโฺ พ พึงตรสั รู้ พุชฌฺ นีโย พึงตรสั รู้
โสตพโฺ พ สณุ ติ พโฺ พ พึงฟัง สวณโี ย พงึ ฟัง
กตตฺ พพฺ ํ กาตพพฺ ํ พงึ ทำ� กรณโี ย กรณยี ํ พงึ ทำ�
ภริตพโฺ พ พงึ เลีย้ ง ภรณโี ย พึงเลี้ยง
คเหตพโฺ พ พึงถือเอา คหณโี ย พงึ ถอื เอา
รมติ พฺโพ น่ารื่นรมย์ รมณโี ย นา่ ร่ืนรมย์
ปตฺตพฺโพ พงึ บรรลุ ปาปณีโย พงึ บรรลุ
คนตฺ พฺโพ พึงไป คมนยี ํ ควรไป
หนตฺ พพฺ ํ พงึ เบียดเบียน หนนยี ํ พงึ เบยี ดเบยี น
มนตฺ พโฺ พ พงึ รู้ มญฺ นยี ํ พงึ รู้
ปูชยิตพฺโพ พึงบชู า ปูชนีโย ผู้ควรบชู า
หรติ พฺพํ พงึ น�ำ ไป หารยิ ํ พงึ น�ำ ไป
ลภติ พพฺ ํ ลพฺภํ พึงได้ สาสติ พโฺ พ พึงพร่�ำ สอน
วจนียํ วากยฺ ํ พงึ กล่าว ภชนยี ํ ภาคยฺ ํ พงึ คบหา
เนตพพฺ ํ เนยฺโย พงึ น�ำ ไป ภวติ พโฺ พ ภพโฺ พ พึงมี พึงเป็น
วชฺชํ วทนียํ พงึ กล่าว มชฺชํ มทนียํ พงึ มวั เมา