วิบากกรรมของคนเชยี งดาว
ในปที คี่ ณะของหลวงปมู่ นั่ ไปจำ� พรรษาทถ่ี ำ้� เชยี งดาว คอื ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ นนั้ ไดเ้ กดิ
โรคระบาดแก่ชาวบ้านอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกันก็มีพวกท่ีประกอบมิจฉาชีพกัน
อยา่ งไมเ่ กรงกลวั บาปกรรม และไมเ่ กรงกลวั กฎหมายบา้ นเมอื ง มกี ารลกั ขโมย ปลน้
ฆา่ แทบไมเ่ วน้ แตล่ ะวนั โดยเฉพาะการลกั โคกระบอื ของชาวบา้ นเอามาฆา่ จะมเี ปน็ ประจำ�
ทางดา้ นโรคระบาดกม็ ผี ตู้ อ้ งลม้ ตายทกุ วนั วนั ละ ๒-๓ ศพ ชาวบา้ นตอ้ งเดอื ดรอ้ นและ
ระทมทกุ ข์กันมาก
เมอ่ื ชาวบา้ นขาดทพี่ งึ่ กพ็ ากนั มาพง่ึ พระ ทา่ นพระอาจารยใ์ หญบ่ อกใหพ้ ระชว่ ยกนั
แผ่เมตตาช่วยชาวบ้านใหม้ ากๆ ซ่งึ ต่างองคต์ ่างกส็ ง่ กระแสจิตแผ่เมตตาจากทพ่ี ำ� นัก
ของตนเพอื่ ใหเ้ หตกุ ารณต์ า่ งๆ ไดค้ ลค่ี ลายไปในทางทด่ี ี แตเ่ ปน็ ทนี่ า่ ประหลาด คอื ยงิ่
แผเ่ มตตาชว่ ยมากเทา่ ไร ความวบิ ตั ิของชาวบา้ นกลบั ย่ิงมากขึ้นเป็นทวคี ณู
หลวงปู่มั่นได้นั่งพิจารณาทราบว่า กรรมที่พวกเขาเคยก่อไว้หนักเหลือเกิน
แผเ่ มตตาเทา่ ไรกช็ ว่ ยไมไ่ ด้ เปน็ กรรมของเขาเอง แตห่ ลวงปมู่ น่ั กบ็ อกพระใหท้ ำ� ตอ่ ไป
อย่าได้ลดละ โรคระบาดครัง้ นั้นเกดิ อยู่เปน็ เดือนจึงค่อยสงบลง คร่าชีวติ ชาวบ้านไป
หลายสบิ คน สำ� หรบั เรอ่ื งการปลน้ การลกั ขโมยนน้ั พระอาจารยใ์ หญท่ า่ นพยายามเทศน์
แนะน�ำส่ังสอนประชาชนให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ให้ประกอบอาชีพสุจริตเพื่อจะได้
อย่กู นั อย่างสงบสุข
144
แตเ่ หตกุ ารณก์ ไ็ มด่ ขี นึ้ คอื ถงึ ทา่ นจะแนะนำ� สง่ั สอนอยา่ งไร กเ็ ทา่ กบั เอานำ้� ไปรด
ตอไม้ พวกเขาหาเช่อื ฟงั ไม่ ยังคงประกอบมจิ ฉาชีพกันอยู่อย่างเปน็ ล�ำ่ เปน็ สนั ตอ่ ไป
ตอ่ มาทางการไดท้ ำ� การปราบปรามอย่างหนกั บรรดามจิ ฉาชพี จึงหมดไป แลว้ ความ
สงบสขุ จงึ กลับมาสูเ่ ชียงดาวอกี ครง้ั หน่งึ
ท้ังหมดน้ีคือเหตุการณ์ท่ีเชียงดาวในช่วงที่คณะพระธุดงค์ไปพ�ำนักอยู่ใน
ระยะแรก
145
พญานาคในถำ�้ เชียงดาว
หลวงปแู่ หวน สจุ ณิ โฺ ณ เลา่ ถงึ พญานาคในถ�้ำเชยี งดาว
ภายในถ้�ำหลวงที่ถ้�ำเชียงดาว มีพญานาคอยู่ ถ้ำ� ดังกลา่ วนตี้ อ้ งแยกขน้ึ ไปทาง
ซา้ ยมอื อยเู่ หนอื ถำ�้ หลวงเลก็ นอ้ ย พน้ื ถำ้� มกี อ้ นหนิ เปน็ รปู กงจกั รกบั ดอกบวั มพี ญานาค
เฝ้าอยู่ภายใต้แผ่นหินนี้ เวลามีพระเข้าไปภาวนาอยู่ภายในถ้�ำน้ัน ท่านแทบกระดุก
กระดิกตัวไม่ได้เลย เป็นต้องถูกพญานาคกล่าวโทษทันทีว่า “สมณะอะไร ช่างไม่
สำ� รวม คะนองกายเหมอื นเดก็ ๆ” ถา้ เดนิ ไปสะดดุ เอากอ้ นหนิ ดงั กรอกแกรก เขากจ็ ะ
กลา่ วโทษวา่ “สมณะอะไร จะเดินจะเหนิ ไม่สำ� รวมระวงั รบี ไปรีบมาเหมือนมา้ แขง่ ”
ไม่ว่าพระจะทำ� อะไรต้องสำ� รวมทุกอิรยิ าบถ ถึงอยา่ งน้ันกไ็ ม่วายจะถูกต�ำหนิติเตียน
พญานาคนี้มีอัธยาศัยชอบพอกันกับพระมหาบุญ ถ้าพระมหาบุญเข้าไปอยู่ใน
ถำ�้ นนั้ ไมว่ า่ ทา่ นจะทำ� อะไร เชน่ ทำ� เสยี งกระแอมกระไอ เดนิ เสยี งดงั ทำ� กอ้ นหนิ หลน่
เธอก็เฉย ไม่แสดงกิริยาอะไรต่อต้าน เพราะมีจริตเหมือนกัน อย่างไรก็ตามไม่มี
พระองคใ์ ดเข้าไปอยใู่ นถำ้� น้นั ไดน้ าน เพราะในถำ้� มชี อ่ งให้อากาศเข้าไปทางเดียว คือ
ทางปากถำ้� เมอื่ พระเขา้ ไปอยขู่ า้ งในแลว้ ปดิ ประตู อากาศภายนอกแทบเขา้ ไปไมไ่ ดเ้ ลย
ทำ� ใหอ้ ดึ อดั หายใจไมส่ ะดวก ยกเวน้ หลวงปมู่ นั่ องคเ์ ดยี ว ทท่ี า่ นเขา้ ไปอยใู่ นถำ้� นนั้ ได้
นานเปน็ วันๆ
146
หลวงปมู่ น่ั เคยเทศนแ์ นะนำ� พญานาค แตเ่ ธอไมย่ อมรบั คำ� แนะนำ� เพราะยงั อาลยั
อตั ภาพปจั จบุ นั ของตนอยู่ ในทสี่ ดุ ทา่ นเหน็ วา่ เขา้ ไปทำ� ความรำ� คาญใหแ้ กเ่ ธอ จงึ ไมเ่ ขา้
ไปในถ้�ำน้นั อกี เลย
ทถี่ ำ้� พญานาคน้ี หลวงปแู่ หวนเขา้ ไปอยู่ ๑ วนั หลวงปตู่ อ้ื เขา้ ไปอยู่ ๓ วนั แตล่ ะองค์
ทเี่ ขา้ ไปอยตู่ า่ งถกู พญานาคตำ� หนกิ ลา่ วโทษเอาทง้ั สนิ้ พระทา่ นอยไู่ มไ่ ดเ้ พราะสง่ จติ ออก
ไปดูทีไร เห็นพญานาคคอยจ้องหาเรอ่ื งต�ำหนพิ ระอยู่ตลอดเวลา
เมื่อพระต่างองค์ต่างเห็นว่าถ้าเข้าไปแล้วจะท�ำให้พญานาคสร้างบาปกรรมหนัก
เขา้ ไปอกี จงึ ไดช้ ว่ ยเหลอื เธอโดยการไมเ่ ขา้ ไปรบกวนในทีอ่ ยู่ของเธออกี ต่อไป
147
พบเปรตสมัยใหม่
ประสบการณ์สว่ นหนงึ่ ของหลวงปแู่ หวนขณะอยู่ท่ีถ�้ำเชยี งดาว มดี ังน้ี
ในระหวา่ งพรรษา วนั หนง่ึ ประมาณ ๕ โมงเยน็ หลวงปแู่ หวนกำ� ลงั เดนิ จงกรมอยู่
กม็ เี สยี งดงั โครมครามเหมอื นกงิ่ ไมใ้ หญห่ กั ลงมาจงึ เหลยี วไปดู กลายเปน็ สตั วร์ า่ งใหญ่
รา่ งหนงึ่ เอาเทา้ เกาะอยบู่ นกงิ่ ไม้ หอ้ ยหวั ลงมา มผี มยาวรงุ รงั เสยี งรอ้ งโหยหวน หลวงปู่
บอกวา่ ทา่ นไมไ่ ดน้ กึ กลวั และไมไ่ ดใ้ หค้ วามสนใจ ยงั คงเดนิ จงกรมตอ่ ไป เมอ่ื รา่ งนน้ั
เหน็ ว่าหลวงปู่ไมส่ นใจกห็ นีหายไป
สองสามวนั ตอ่ มากม็ าปรากฏอกี แตห่ ลวงปกู่ เ็ ดนิ จงกรมโดยไมส่ นใจ หลงั จากนนั้
จงึ มาปรากฏตวั ใหเ้ หน็ ทกุ เยน็ แตไ่ มไ่ ดเ้ ขา้ มาใกลห้ ลวงปู่ คงแสดงอาการเหมอื นเดมิ
ทกุ ครงั้ วนั หนงึ่ หลวงปไู่ ดก้ ำ� หนดจติ ถามไปวา่ ทม่ี านน้ั เขาตอ้ งการอะไร ทแี รกเขาทำ� เฉย
เหมือนไมเ่ ขา้ ใจ หลวงปจู่ ึงกำ� หนดจติ ถามอีก เขาจงึ บอกว่าต้องการมาขอสว่ นบุญ
หลวงปจู่ งึ กำ� หนดจติ ถามตอ่ ไปวา่ เขาเคยทำ� กรรมอะไรมา จงึ ตอ้ งมาทกุ ขท์ รมาน
อยใู่ นสภาพเช่นนี้ รา่ งน้ันได้เลา่ ถึงบพุ กรรมของเขาว่า เขาเคยเป็นคนอย่ทู เ่ี ชยี งดาวนี้
มีอาชีพลักขโมยและปล้นเขากิน ก่อนไปปล้น เขาจะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอพร
และขอความคุ้มครองกับพระพุทธรูปองค์หน่ึงในถ้�ำ เขาท�ำอย่างน้ันทุกครั้งและก็
แคลว้ คลาดตลอดมา
148
อยมู่ าวนั หนง่ึ เขาไปขอพรพระพทุ ธรปู แลว้ ออกไปปลน้ เชน่ เคย บงั เอญิ เจา้ ของบา้ น
รตู้ วั กอ่ นจงึ เตรยี มตอ่ สู้ เขาถกู เจา้ ของบา้ นฟนั บาดเจบ็ สาหสั จงึ หนตี ายเอาตวั รอดมาได้
ดว้ ยความโมโหวา่ พระไมค่ มุ้ ครอง เขาจงึ กลบั ไปทถี่ ำ้� แลว้ เอาขวานทบุ เศยี รพระพทุ ธรปู
จนคอหัก ขณะเดยี วกันกย็ งั คุมแคน้ อยู่ ต้ังใจว่าบาดแผลหายแล้วจะกลับไปแกแ้ ค้น
เจา้ ของบา้ นให้ได้
เผอญิ บาดแผลทถ่ี กู ฟนั นน้ั สาหสั มาก เขาจงึ ตอ้ งตายในเวลาตอ่ มา วญิ ญาณเขา
จึงตอ้ งมาเป็นเปรตทนทุกข์ทรมานอยู่ทเ่ี ชียงดาวแห่งนี้ จึงได้พยายามมาขอสว่ นบุญ
เพือ่ ให้พระท่านช่วยแผใ่ ห้ จะได้คลายความทกุ ขท์ รมานลงไปได้บ้าง
หลวงปแู่ หวนทา่ นเลา่ ว่า บพุ กรรมของเปรตตนนัน้ หนกั มากเหลือเกนิ ทา่ นได้
รวบรวมจติ อทุ ศิ บญุ กศุ ลไปให้ ตง้ั แตน่ นั้ มา รา่ งนน้ั กไ็ มป่ รากฏใหเ้ หน็ อกี แตจ่ ะไดร้ บั
บุญกุศลเพยี งใดขึน้ อยกู่ บั ตวั เขาเอง
หลวงปบู่ อกวา่ เปรตตนนน้ั เปน็ เปรตสมยั ใหม่ เพราะใชค้ ำ� แทนตวั เองวา่ “ผม”
แตเ่ ปรตตนอนื่ ๆ ทห่ี ลวงปเู่ คยพบมา จะใชค้ ำ� แทนตนวา่ “เรา” หรอื “ขา้ พเจา้ ” จงึ นบั วา่
เปรตตนนเี้ ปน็ เปรตสมัยใหม่
149
ธรรมะที่สืบเนือ่ งจากเปรตตนนัน้
หลวงป่แู หวนท่านพูดถึงธรรมะหลังจากเล่าเรือ่ งเปรตตนนน้ั ดังต่อไปน้ี
“...บรรดาสตั วท์ งั้ หลายนน้ั เมอื่ ไมม่ ที กุ ขม์ าถงึ ตวั มกั จะไมเ่ หน็ คณุ ของพระศาสนา
มวั เมา ประมาท ปลอ่ ยกายปลอ่ ยใจใหป้ ระพฤตทิ จุ รติ ผดิ ศลี ผดิ ธรรมอยเู่ ปน็ ประจำ� นสิ ยั
เห็นผิดเปน็ ถกู เหน็ กงจักรเป็นดอกบวั
ตอ่ เมอื่ ไดร้ บั ทกุ ขเ์ ขา้ ทพ่ี ง่ึ อน่ื ไมม่ ี นน่ั แหละจงึ ไดค้ ดิ ถงึ พระคดิ ถงึ ศาสนา แตเ่ ปน็
เวลาทส่ี ายไปเสยี แลว้ เรอื่ งความดนี นั้ เราตอ้ งทำ� อยเู่ สมอ ใหเ้ ปน็ ทอ่ี ยขู่ องจติ เปน็ อารมณ์
ของจติ ใหเ้ ปน็ มรรค คอื ทางดำ� เนนิ ไปของจติ มนั จงึ จะเหน็ ผลของความดี ไมใ่ ชเ่ วลา
ใกลจ้ ะตายจงึ นมิ นตพ์ ระไปใหศ้ ลี ใหไ้ ปบอกพทุ โธ หรอื ตายไปแลว้ ญาตจิ งึ เคาะโลง
บอกให้รบั ศลี เช่นนี้เป็นการกระทำ� ทีผ่ ิดหมด
เพราะเหตุว่า คนเจ็บนน้ั จิตมัวติดอย่กู บั เวทนา ไฉนจะมาสนใจใยดกี บั ศีลได้
เว้นไว้แต่ผู้ที่รักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้นจึงจะสามารถระลึกถึงศีลของตัวได้ เพราะ
ตนเองเคยทำ� มาจนเปน็ อารมณข์ องจติ แลว้ เทา่ นน้ั แตส่ ว่ นมากพอใกลจ้ ะตายแลว้ จงึ มี
ผเู้ ตอื นใหร้ บั ศลี ยง่ิ คนตายแลว้ ยง่ิ ไมต่ อ้ งพดู ถงึ เพราะคนตายนน้ั รา่ งกายกบั จติ ใจไม่
รับรใู้ ดๆ แล้ว แตท่ ท่ี ำ� มากย็ ังถือวา่ เปน็ เรอื่ งดี ตัวอยา่ งเชน่ พระเทวทัต ท�ำกรรมมา
จนสดุ ทา้ ยถกู แผน่ ดนิ สบู เมอื่ รา่ งลงไปถงึ คาง จงึ ระลกึ ถงึ ความดขี องพระพทุ ธเจา้ ได้
แล้วขอถวายคางเป็นพุทธบชู า
150
พระเทวทัตยังมีสติระลึกได้ จึงพอมีผลดีอยู่บ้างในอนาคต แม้เปรตตนน้ัน
กเ็ หมอื นกนั ตายไปแล้วจงึ ส�ำนกึ ได้มาขอสว่ นบุญ เมื่อตอนยงั มีชีวติ อยเู่ คยทำ� ลาย
แมก้ ระทง่ั พระพทุ ธรปู ทต่ี นเคารพนบั ถอื การทพ่ี ระแผเ่ มตตาใหเ้ ขาจะไดร้ บั หรอื เปลา่
กไ็ มร่ ู้ สเู้ ราทำ� เอาเองไมไ่ ด้ เราทำ� ใหต้ วั เราเอง จะไดม้ ากนอ้ ยเทา่ ไรกม็ คี วามปตี เิ อบิ อมิ่ ใจ
มากเทา่ นั้น...”
151
ทางบญุ ...ทางบาป
หลวงปู่ได้เทศนใ์ ห้ฟังต่อไปดงั นี้
“...ธรรมท้งั หลายไหลมาจากเหตุ กายกเ็ ปน็ เหตุอันหนึ่ง วาจากเ็ ป็นเหตุอนั หน่งึ
ใจกเ็ ปน็ เหตอุ นั หนงึ่ กายทจุ รติ เปน็ เหตแุ หง่ บาปอยา่ งหนง่ึ วจที จุ รติ กเ็ ปน็ เหตแุ หง่ บาป
อยา่ งหนง่ึ มโนทจุ รติ กเ็ ปน็ เหตแุ หง่ บาปอยา่ งหนง่ึ การละกายทจุ รติ กเ็ ปน็ เหตแุ หง่ บญุ
อย่างหน่ึง การละวจีทุจริตก็เป็นเหตุแห่งบุญอย่างหนึ่ง การละมโนทุจริตก็เป็นเหตุ
แหง่ บญุ อยา่ งหน่ึง
ทางของบญุ ของบาปเหลา่ น้มี ีอยูใ่ นตัวของเรานีเ้ อง ไมไ่ ด้อยูท่ ไ่ี หน เราก็ท�ำเอา
สรา้ งสมเอา อยา่ มวั เมาเปน็ อดตี เปน็ อนาคต อดตี กเ็ ปน็ ธรรมเมา อนาคตกเ็ ปน็ ธรรมเมา
มีแตป่ ัจจบุ ันเทา่ นนั้ ที่เปน็ ธรรมา
สง่ิ ใดทมี่ นั ลว่ งมาแลว้ เลยมาแลว้ เราไมส่ ามารถจะไปดดั ไปแปลงมนั ไดอ้ กี แลว้
สงิ่ ทเ่ี ราทำ� ไปนนั้ ถา้ มนั ดมี นั กด็ ไี ปแลว้ ผา่ นไปแลว้ พน้ ไปแลว้ ถา้ มนั ชวั่ มนั กช็ ว่ั ไปแลว้
ผา่ นไปแลว้ พน้ ไปแลว้ เชน่ กนั อนาคตกย็ งั ไมม่ าถงึ สงิ่ ทยี่ งั ไมม่ าถงึ เรากย็ งั ไมร่ ไู้ มเ่ หน็ วา่
มนั จะเปน็ อยา่ งไร อยา่ งมากกเ็ ปน็ แตเ่ พยี งการเดา การคาดคะเนเอาวา่ ควรเปน็ อยา่ งนน้ั
อย่างน้ี ซ่งึ มนั อาจจะไม่เป็นอย่างทีเ่ ราคาดคะเนก็ได้
152
ปจั จบุ นั คอื สงิ่ ทม่ี นั เกดิ ขนึ้ จรงิ เราไดเ้ หน็ จรงิ ไดส้ มั ผสั จรงิ เพราะฉะนน้ั ความดี
ต้องท�ำในปัจจุบนั
ทานกด็ ี ศลี กด็ ี ภาวนากด็ ี ตอ้ งทำ� เสยี ในปจั จบุ นั ทเ่ี รายงั มชี วี ติ อยนู่ ้ี เราตอ้ งการ
ความดีก็ต้องท�ำให้เป็นความดีในปัจจุบันนี้ ต้องการความสุข ต้องการความเจริญ
กต็ ้องทำ� ให้เปน็ ในปัจจุบนั นี้
ธรรมทั้งหลายไหลมาจากเหตุอย่างน้ี ถ้าเหตเุ ราท�ำไว้ดีแล้ว ผลมันก็ดีตามเหตุ
ถา้ เหตเุ ราทำ� ไวไ้ มด่ แี ลว้ ผลกไ็ มด่ ตี ามเหตุ เหตแุ ละผลตอ้ งสมั พนั ธก์ นั เสมอ เปน็ แตว่ า่
คนเราจะยอมรับหรอื ไม่ยอมรบั เทา่ นัน้
เราไมค่ วรปลอ่ ยเวลาใหเ้ สยี ไปกบั อดตี กบั อนาคต เพราะทงั้ อดตี และอนาคตตา่ งก็
เปน็ ธรรมเมาดว้ ยกนั ทง้ั นนั้ สง่ิ ทผ่ี า่ นไปแลว้ กใ็ หเ้ ขาผา่ นไป สง่ิ ใดทยี่ งั ไมม่ าถงึ กเ็ ปน็ สงิ่
ท่ียังไม่มยี ังไมเ่ กิด
ถา้ ปจั จุบันดี อดตี มนั กด็ ี อนาคตมนั กด็ ี เพราะปัจจุบันเม่อื ผา่ นไป มันกก็ ลาย
เปน็ อดีต ถา้ มนั ยังไม่ผ่านไป มันกเ็ ปน็ ทางด�ำเนินไปสู่อนาคต เปน็ เขม็ ช้ีบอกอนาคต
ดังน้ัน เราตอ้ งท�ำเหตใุ หส้ มบรู ณ์บริบูรณ์ เราจงึ จะได้ส่ิงท่ีเราปรารถนา...”
153
หลวงปูม่ ั่นไมอ่ อกจากถ�ำ้ ๙ วนั ๙ คนื
หลวงปู่แหวนไดเ้ ลา่ ถึงหลวงป่มู น่ั
เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านอาจารย์ใหญ่ให้โยมน�ำไม้เข้าไปท�ำแคร่ให้ท่านอีก
แหง่ หนง่ึ ทถ่ี ำ้� เจดยี ์ อยลู่ กึ เขา้ ไปขา้ งในถำ้� หลวง แลว้ ทา่ นกเ็ ขา้ ไปอยภู่ ายในถำ้� นนั้ ๙ วนั
๙ คืน โดยไมอ่ อกมาเลย
ในวนั ที่ ๑๐ หลวงปมู่ น่ั จงึ ออกมา หลงั จากกลบั จากบณิ ฑบาตและฉนั เสรจ็ แลว้
ทา่ นจงึ เลา่ ใหค้ ณะศษิ ยฟ์ งั วา่ ทา่ นเขา้ ไปชว่ ยเจา้ ของผสู้ รา้ งเจดยี ์ เขาหว่ งเจดยี ข์ องเขา
เขาไปไหนไมไ่ ด้ ทา่ นจงึ ไปช่วยแนะน�ำเขา เวลานเี้ ขาไปแลว้
หลวงปแู่ หวนบอกว่า ทพ่ี ระอาจารยใ์ หญ่พดู วา่ เขาไปแลว้ นน้ั ทา่ นเองก็ไมร่ ู้วา่
ใครไปไหน ไดก้ ราบเรียนถาม แตท่ ่านกไ็ ม่ไดอ้ ธบิ าย หยุดไว้แค่น้นั
จากค�ำบอกเล่าของครูบาอาจารย์องค์อื่นความว่า ได้มีวิญญาณหญิงสาวกับ
สามเณรท่ีเป็นน้องชายมาวนเวียนอยู่บริเวณที่หลวงปู่มั่นพักนั้นหลายคืน ท่านจึง
ถามว่า “มาเดนิ อย่ทู �ำไม” วญิ ญาณกเ็ ลา่ ให้ฟังวา่ “พวกเขาสร้างเจดยี ์ไว้ยงั ไมเ่ สร็จ
ก็ตอ้ งมาตายเสยี กอ่ น เขาจึงกงั วลกบั เรอื่ งนี้ ยงั ไปไหนไมไ่ ด”้
หลวงปมู่ นั่ จงึ เทศนใ์ หส้ ตวิ ญิ ญาณสองพน่ี อ้ งใจความวา่ “สงิ่ ทลี่ ว่ งไปแลว้ ไมค่ วร
ไปทำ� ความผกู พัน เพราะไม่สามารถเอากลับมาใหเ้ ป็นปัจจบุ นั ได้ มแี ต่จะท�ำใหก้ งั วล
154
และเป็นทุกข์ ส่วนอนาคตก็ไม่ควรไปห่วงไปเก่ียวข้อง อดีตควรปล่อยไว้ตามอดีต
อนาคตก็ควรปลอ่ ยไวต้ ามกาลของมนั ปัจจุบันเท่านัน้ จึงจะทำ� ให้สำ� เรจ็ ประโยชน์ได้
เพราะอยูใ่ นฐานะท่ีเขาสามารถทำ� ได้
การสรา้ งพระเจดยี ์ เราสรา้ งดว้ ยหวงั บญุ หวงั กศุ ล ไมไ่ ดส้ รา้ งเพอ่ื หวงั เอากอ้ นอฐิ
ก้อนหินปูนทรายในองค์พระเจดีย์ติดตัวไปด้วย ส่ิงท่ีเป็นสมบัติของเราในการสร้าง
พระเจดยี ก์ ค็ อื บญุ ทเี่ ราจะเอาตดิ ตวั ไปได้ เราไมไ่ ดเ้ อาสง่ิ กอ่ สรา้ งวตั ถทุ านตา่ งๆ ทสี่ ละ
แลว้ นน้ั เอาตดิ ตวั ไปดว้ ย เราเอาไปไดเ้ ฉพาะสว่ นนามธรรมทเี่ กดิ จากการสละวตั ถทุ าน
เหล่านน้ั น่นั คอื ตวั บุญกศุ ล
เจ้าของผู้คิดเป็นกุศลเจตนาขึ้นมาให้ส�ำเร็จเป็นวัตถุไทยทานต่างๆ น้ันคือใจ
ใจนแี่ หละเปน็ ผทู้ รงบญุ ทรงกศุ ล ทรงมรรค ทรงผล ทรงสวรรค์ นพิ พาน และใจนแ่ี ล
เปน็ ผู้ไปสู่สวรรค์นพิ พาน นอกจากใจไมม่ ีอะไรไป
ถ้าคุณทั้งสองยินดีเฉพาะกุศลผลบุญที่ท�ำได้จากการสร้างพระเจดีย์ไปเท่าน้ัน
ไมม่ งุ่ จะแบกหามพระเจดยี ไ์ ปสวรรคน์ พิ พานดว้ ย คณุ ทงั้ สองกไ็ ปอยา่ งสคุ โต หายหว่ ง
ไปนานแลว้ เพราะบญุ เปน็ เครอ่ื งสนบั สนนุ บญุ จงึ ไมเ่ ปลย่ี นแปลงเปน็ บาปตลอดกาล
คณุ ทง้ั สองสรา้ งบญุ ญาภสิ มภารมาเพอื่ ยงั ตนไปสสู่ คุ ติ แตก่ ลบั มาตดิ กงั วลในอฐิ ในปนู
เพยี งเทา่ นนั้ จนเปน็ อปุ สรรคตอ่ ทางเดนิ ของตนซง่ึ ทำ� ใหเ้ สยี เวลาไปนาน ถา้ คณุ ทงั้ สอง
พยายามตัดความขัดขอ้ งหว่ งใยท่ีกำ� ลังเปน็ อยู่ออกจากใจ ชัว่ เวลาไมน่ านเลยจะเป็น
ผหู้ มดภาระผกู พนั คณุ มจี ติ มงุ่ มน่ั ในภพใด จะสมหวงั ในภพนน้ั เพราะแรงกศุ ลทไี่ ด้
พากันสร้างมาพร้อมอยแู่ ล้ว”
หลังจากน้ัน หลวงปู่ม่ันก็สอนดวงวิญญาณให้รักษาศีลห้า สอนอานิสงส์ของ
ทาน ศลี ภาวนา และหลกั ธรรมอน่ื ๆ จนดวงวญิ ญาณคลายการตดิ ยดึ แลว้ ไปเกดิ ใน
สวรรคช์ ้ันดาวดงึ สภ์ ภิ พในลำ� ดับตอ่ มา
155
จ�ำพรรษาท่ีนาหนานปวนกบั แม่มา
ในพรรษาตอ่ ไป หลวงปแู่ หวนไปพกั จำ� พรรษาในบรเิ วณทนี่ าของสองสามภี รรยา
ช่อื วา่ หนานปวน กบั แมม่ า สถานท่ีน้ียงั คงอยู่ในอ�ำเภอพร้าว จงั หวดั เชียงใหม่
ในบันทกึ ประวัตขิ องหลวงปู่แหวนเขยี นไว้ ดังตอ่ ไปนี้
หา่ งจากแมป่ ง๋ั ไปประมาณ ๓ กม. ขา้ มดอยแมป่ ง๋ั ไป มที งุ่ นาระหวา่ งเขาอยแู่ หง่ หนงึ่
ทงุ่ นานยี้ าวไปตามภเู ขา มธี ารนำ้� ไหลตลอดปี ขา้ งธารนำ�้ ไหลนนั้ มถี ำ้� อยแู่ หง่ หนงึ่ ลกั ษณะ
ของถำ�้ เกดิ จากการไหลเซาะของนำ้� กดั รมิ ตลง่ิ นานๆ ไปทำ� ใหข้ า้ งรมิ ตลง่ิ ตรงบรเิ วณนนั้
เกิดเป็นถ�ำ้ ขึ้น
ลักษณะของถ้�ำแห่งน้ีจึงค่อนข้างลึกลับ คือถ้ามองดูด้านบนจะไม่รู้ว่ามีถ�้ำอยู่
บรเิ วณนัน้ ถา้ ลงไปเดินทีล่ �ำธาร จึงจะมองเหน็ ถ�ำ้ ซ่ึงมีขนาดกวา้ งยาว ๕-๖ เมตร
นบั เป็นถำ้� ใหญ่พอพักอาศยั ได้ น�้ำไดพ้ ัดเอาทรายและกอ้ นหินเล็กๆ เข้าไปอุดในถ�้ำ
เหลอื ความลกึ จากปากถำ้� เขา้ ไป ๑๐ เมตรเศษ ในฤดแู ลง้ สามารถอาศยั อยใู่ นถำ�้ แหง่ นี้
ไดส้ บาย แตใ่ นฤดฝู น เมอ่ื นำ�้ จากภเู ขาไหลมามาก ทำ� ใหธ้ ารนำ�้ ไหลเขา้ ไปในถำ�้ พกั อยู่
ไมไ่ ด้
เจา้ ของทีน่ าแหง่ นี้ ชอ่ื หนานปาน กบั แม่มา ตามทกี่ ล่าวมาแล้ว สามภี รรยาคูน่ ้ี
เปน็ ชา่ งตเี หลก็ นอกเหนอื จากการทำ� นา ในฤดแู ลง้ หลวงปไู่ ดเ้ ขา้ ไปแสวงวเิ วกตามปา่ เขา
156
ได้พบถ�ำ้ แห่งนเ้ี ข้าจึงเขา้ ไปพักภาวนา เหน็ ว่าบรเิ วณแหง่ นัน้ มคี วามสงบดี จงึ แจ้งให้
เจ้าของทนี่ าทราบวา่ ท่านประสงค์จะอยจู่ �ำพรรษา ณ สถานทีน่ น้ั
เจา้ ของทนี่ าสดุ แสนจะยนิ ดี ไดจ้ ดั แจงทำ� ทพี่ กั บนหลงั ถำ้� ใหเ้ ปน็ กฏุ ชิ ว่ั คราวของ
หลวงปู่ ไดย้ กพนื้ สงู จากพนื้ ดนิ หลวงปบู่ อกใหท้ ำ� พนื้ สงู พอพน้ ดนิ กพ็ อ เพราะสะดวก
ในการขนึ้ ลง แตเ่ จา้ ของไมย่ อม เพราะกลวั เสอื จะมารบกวนทำ� อนั ตรายทา่ น ซงึ่ สมยั นนั้
แถบน้นั มเี สืออยู่มาก เพราะพื้นที่ยังเป็นปา่ ดงดิบอยู่
หลวงปจู่ ำ� ตอ้ งอนโุ ลมตาม ยอมใหป้ ลกู กฏุ ยิ กพนื้ สงู ตามความปรารถนาดขี องเขา
หลวงป่จู งึ ไดจ้ �ำพรรษาอยูใ่ นสถานท่ีนนั้ และนับตง้ั แต่ปีนนั้ เปน็ ต้นมา ทงั้ หนานปวน
และแมม่ า ตา่ งกร็ กั ษาอโุ บสถศลี ตลอดพรรษา และคงรกั ษาทกุ พรรษาตอ่ มาจนตลอด
ชีวติ
157
รบั นมิ นตไ์ ปป่าเม่ียงแม่สาย
ชว่ งทพี่ ำ� นกั ทนี่ าหนานปวน-แมม่ าในพรรษานนั้ ในเวลากลางคนื หลวงปแู่ หวน
ได้เดินเท่ียวไปมาตามป่าเขาแถวนั้นบ่อยๆ โดยเฉพาะในคืนท่ีอากาศโปร่งไม่มีเมฆ
แสงจนั ทร์เจดิ จา้ เดินทอ่ งป่าให้ความเพลนิ ใจดี และไมป่ รากฏวา่ มีสตั วร์ า้ ยอะไรมา
แผว้ พานเลย เวลากลางวนั บางวนั กข็ น้ึ ไปภาวนาอยตู่ ามเนนิ หนิ สงู ๆ บนภเู ขา มพี วกเดก็ ๆ
ทม่ี าเลี้ยงควายแถวนน้ั ข้ึนเอาน้ำ� ใส่กระบอกไม้ไผไ่ ปถวายทกุ วนั
ในกลางพรรษา มีคณะศรัทธาจากป่าเม่ียงแม่สาย น�ำโดยแม่สมมานิมนต์ว่า
ออกพรรษาแลว้ ขอนิมนต์พระคณุ ท่านไปโปรดทางปา่ เมยี่ งแม่สายบา้ ง หลังจากออก
พรรษาไมน่ านนกั คณะศรทั ธาปา่ เมยี่ งแมส่ ายกม็ ารบั หลวงปขู่ น้ึ ไปตามทเ่ี คยนมิ นตไ์ ว้
ทา่ นจงึ ลาหนานปวนกบั แมม่ า เจา้ ของสถานที่ เดนิ ทางขนึ้ ปา่ เมยี่ งแมส่ ายพรอ้ มกบั คณะ
ศรัทธาท่มี ารับ
หลวงปเู่ ลา่ วา่ การไปปา่ เมยี่ งแมส่ ายนน้ั ตอ้ งเดนิ ทางขนึ้ เขาลงหว้ ยไปหลายแหง่
กว่าจะถึงใชเ้ วลาเดนิ ทางขาขึน้ ๖ ช่วั โมง และขาลงอกี ๔ ชัว่ โมง ถ้าเดนิ ไม่แข็ง
ตอ้ งใช้เวลานานกวา่ นี้
158
เร่ืองของแมส่ ม อดตี หมอผแี หง่ ป่าเม่ียงแมส่ าย
ป่าเม่ียงแม่สาย เป็นหมู่บ้านต้ังอยู่กลางหุบเขา มีล�ำธารน�้ำไหลผ่านตลอดปี
ชาวบ้านมอี าชพี ท�ำสวนเมีย่ งเปน็ อาชีพหลัก (ตน้ เม่ียง เปน็ ชาชนิดหนง่ึ ชาวบา้ นเก็บ
เอาใบมาหมกั เปน็ เมย่ี งของชาวเหนอื ) เดมิ ชาวบา้ นนบั ถอื ผี ถึงปีต้องทำ� พธิ ีเลี้ยงผี
ไม่เช่นน้ันจะมีการเจ็บป่วยล้มตายกัน หัวหน้าหมู่บ้านคือแม่สมที่น�ำคณะไปนิมนต์
หลวงปนู่ น่ั เอง นอกจากเปน็ หวั หนา้ หมบู่ า้ นแลว้ แมส่ มแกเปน็ หมอผปี ระจำ� หมบู่ า้ นดว้ ย
เคยมพี ระธดุ งคกรรมฐานไปพักอาศัยใกล้หมูบ่ ้าน ไดเ้ ทศนส์ ่ังสอนใหช้ าวบา้ น
เลกิ การถอื ผี ใหน้ บั ถอื พระรตั นตรยั แทน ซง่ึ กม็ พี วกเลกิ ถอื ผตี ามพระไมก่ ค่ี น แมส่ ม
เป็นคนหนึง่ ท่ีเชื่อพระ ตัวแกเองได้ปฏิญาณกบั พระเลิกถอื ผโี ดยเดด็ ขาด
พอถงึ เวลาเลย้ี งผคี รบรอบปี ในหมบู่ า้ นไมไ่ ดท้ ำ� พธิ เี ซน่ สรวงผเี หมอื นอยา่ งเคย
ผกี แ็ สดงเดชออกมาทนั ที โดยเขา้ สงิ ผคู้ นในหมบู่ า้ นวนุ่ วายไปหมด ทสี่ ำ� คญั มาเขา้ สงิ
ลกู ของแมส่ มเอง พรอ้ มขวู่ า่ ถา้ แมส่ มไมอ่ อกจากพระรตั นตรยั แลว้ กลบั มาเซน่ สรวงผี
อย่างเดิม จะหักคอลูกของแกให้ตายเสีย เม่ือหัวหนา้ หมู่บ้านและอดีตหมอผีเจอดี
เชน่ นนั้ กท็ ำ� ใหค้ รอบครวั ของแกเดอื ดรอ้ นวนุ่ วายไปหมด บางวนั ตวั แมส่ มเองยงั ถกู ผี
เขา้ สงิ ลงดนิ้ พราดๆ ไปเหมือนกนั แมส่ มแกเป็นคนถอื สัจจะ จงึ ไมย่ อมเลิกนบั ถือ
พระรตั นตรัย
ในทสี่ ดุ ลกู คนหนงึ่ ของแกกต็ ายลง คนทสี่ องกเ็ รม่ิ ปว่ ย ผมี าเขา้ สงิ อกี พรอ้ มทงั้ ขวู่ า่
จะเอาให้ตายหมดท้ังหม่บู ้าน รวมทง้ั ตัวแมส่ มเองด้วย ท�ำให้พวกชาวบ้านเดือดร้อน
159
และหวาดกลวั มาก ไดพ้ ากนั ขอรอ้ งใหแ้ มส่ มเลกิ นบั ถอื พระรตั นตรยั แตแ่ มส่ มใจเดด็
ยนื ยนั ขอยอมตาย พวกลกู หลานและชาวบา้ นมาขอรอ้ งออ้ นวอนทกุ วนั แกทนการรบเรา้
ไม่ไดจ้ งึ ไปปรกึ ษาพระ
พระไดแ้ นะนำ� ใหเ้ รยี กชาวบา้ นมาพรอ้ มกนั ใหท้ กุ คนรบั พระไตรสรณคมน์ และ
รบั ศลี แลว้ พระกส็ อนใหเ้ ขา้ ใจเรอ่ื งพระรตั นตรยั พรอ้ มทงั้ อานสิ งสข์ องศลี นอกจากน้ี
ใหช้ าวบา้ นสวดมนตแ์ ละฝึกภาวนาทกุ เยน็ ในท่สี ุดการเจบ็ ปว่ ยในหมบู่ า้ นเนือ่ งจาก
การกระทำ� ของผกี ห็ มดไป ไมเ่ คยปรากฏอกี เลย โดยเฉพาะตวั ของแมส่ มเองนนั้ ถา้ เกดิ วา่
ผเี ขา้ ใคร เพียงแต่มีคนพดู ว่า “แม่สมมา” ผีจะรบี ลนลานออกทนั ที
ผีเคยเขา้ สงิ ชาวบ้านบอกวา่ ที่บ้านแม่สมน้นั เข้าไปใกล้ไม่ได้ มแี สงแพรวพราว
อย่ตู ลอดเวลา แมช้ ือ่ ของแมส่ ม ถา้ ได้ยนิ แลว้ ไมร่ ีบออกหัวก็จะแตก นับแตน่ ้ันมา
ชาวปา่ เมย่ี งแมส่ ายกเ็ ลกิ นบั ถอื ผี หนั เขา้ หาพระ ตวั แมส่ มเองกช็ กั ชวนชาวบา้ นสรา้ งวดั
ประจำ� หมบู่ า้ นขนึ้ เปน็ วดั ฝา่ ยกรรมฐาน แกเปน็ ผบู้ ำ� รงุ วดั อยา่ งเขม้ แขง็ วดั นนั้ กเ็ ปน็ วดั
กรรมฐานมาจนทุกวนั น้ี
160
การจำ� พรรษาทป่ี า่ เมีย่ งแมส่ าย
ในพรรษานน้ั หลวงปแู่ หวนไดจ้ ำ� พรรษาทปี่ ่าเมย่ี งแม่สาย ภายใต้การอปุ ฏั ฐาก
ของแม่สม หัวหนา้ หมู่บา้ น และชาวบา้ นที่นัน่ ซง่ึ ให้ความดแู ลหลวงปู่เป็นอย่างดี
หลวงปเู่ ลา่ ถงึ บา้ นปา่ เมยี่ งแมส่ ายวา่ ทน่ี นั่ อากาศหนาวมากในฤดหู นาว ฝนตกชกุ
ในฤดฝู น สำ� หรบั องคห์ ลวงปูน่ น้ั อากาศถกู กับธาตขุ ันธด์ ี ฉนั อาหารไดม้ าก แตไ่ ม่มี
อาการอดึ อัดงว่ งซมึ เวลาภาวนา จติ ก็รวมลงส่ฐู านสมาธิไดเ้ ร็ว
ทางดา้ นจติ ภาวนาหลวงปบู่ อกวา่ การภาวนาทนี่ ไี่ ดผ้ ลดมี าก นบั วา่ เปน็ สปั ปายะ
อกี ที่หนง่ึ
หลวงปูม่ น่ั ทา่ นเคยจำ� พรรษาอยู่ท่นี ี่ ๑ พรรษา นอกจากนคี้ รูบาอาจารยส์ าย
กรรมฐานองค์อน่ื ๆ กเ็ คยพ�ำนกั อยู่ทีป่ ่าเม่ยี งแม่สายน้ีอยหู่ ลายองคเ์ หมือนกนั
161
จำ� พรรษาทว่ี ดั ป่าบา้ นปง อ.แมแ่ ตง
หลวงปู่แหวน สุจิณโฺ ณ ไดท้ ่องธุดงคแ์ ละจำ� พรรษาอย่ทู างภาคเหนอื หลายแหง่
ตอ่ เนือ่ งกันเปน็ เวลาหลายปี โดยไมไ่ ดไ้ ปทภ่ี าคอื่นอกี เลย เพราะอากาศในภาคเหนอื
ถูกกับอธั ยาศัยและถกู กับธาตขุ นั ธ์ของทา่ น ทเี่ รยี กว่าเปน็ สปั ปายะส�ำหรับท่าน
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ หลวงปแู่ หวนพกั จำ� พรรษาอยอู่ งคเ์ ดยี วทว่ี ดั ปา่ บา้ นปง (ปจั จบุ นั
คอื วัดอรญั ญวเิ วก) ตำ� บลอนิ ทขิล อ�ำเภอแมแ่ ตง เชยี งใหม่ ในพรรษานั้นหลวงปู่
เกดิ อาพาธเนอ่ื งจากแผลทข่ี าอกั เสบ ไดร้ บั ความทรมานมาก ไปบณิ ฑบาตไมไ่ ด้ ภกิ ษุ
สามเณรอน่ื กไ็ มม่ ี ชว่ งนนั้ เปน็ ชว่ งหลงั สงครามโลกครงั้ ทส่ี องใหมๆ่ เกดิ ภาวะขา้ วยาก
หมากแพง ชาวบ้านกไ็ มไ่ ด้มาดูแลเอาใจใส่หลวงปู่
ช่วงนั้นหลวงปหู่ นู สุจิตโฺ ต (ชาวจงั หวดั ยโสธร) พกั จำ� พรรษาอย่ทู ี่ดอยแม่ป๋งั
อ�ำเภอพรา้ ว อย่หู า่ งจากที่หลวงป่แู หวนอยมู่ ากกว่า ๕๐ กม. ไดเ้ กดิ นมิ ิตในขณะ
นั่งภาวนาในเวลากลางคืน เห็นหลวงปู่แหวนนอนอยู่บนพื้นดิน เมื่อออกจากสมาธิ
หลวงปหู่ นจู งึ นำ� นมิ ติ มาใครค่ รวญดู แนใ่ จวา่ คงมอี ะไรบางอยา่ งเกดิ ขน้ึ กบั หลวงปแู่ หวน
อยา่ งแน่นอน เมื่อฉนั เช้าเสรจ็ หลวงปหู่ นูก็รีบเดนิ ทางไปวดั ปา่ บ้านปงทันที
หลวงป่หู นพู บวา่ หลวงปูแ่ หวนก�ำลังอาพาธหนกั ดว้ ยแผลอักเสบ จึงใหช้ าวบา้ น
ไปตามหมอมา ชอื่ หมอจี้ อดตี เคยเปน็ ทหารเสนารกั ษ์ หมอมาถงึ ประมาณ ๕ โมงเยน็
(๑๗.๐๐ น.) กบ็ อกว่าตอ้ งผ่าตดั แผลหลวงปู่อย่างไม่รอชา้ โดยตัดเอาเนือ้ ตายออก
ใหห้ มด การผ่าไมม่ กี ารฉีดยาชาหรอื ใชย้ าระงับความปวดแตอ่ ย่างใด
162
กอ่ นลงมอื ผา่ แผล หลวงปหู่ นไู ดข้ อโอกาสทา่ นวา่ “ตอนนห้ี มอเขาจะผา่ เอาความ
เจบ็ ปวดออก ผา่ เอาโรครา้ ยออก เขาไมไ่ ดผ้ า่ ทา่ นอาจารยน์ ะ เขาผา่ ดนิ นำ้� ลมไฟตา่ งหาก”
หลวงปู่พูดค�ำเดียว่า “เออ” แล้วท่านกก็ ำ� หนดจิตเขา้ ส่สู มาธิทนั ที
หมอลงมอื ตดั เนอ้ื บรเิ วณปากแผลออกจนหมด ใชเ้ วลาเกอื บ ๑ ชว่ั โมง หลวงปู่
คงนอนสงบนง่ิ เหมอื นคนนอนหลบั ไมม่ อี าการเคลอ่ื นไหวใดๆ เมอ่ื หมอทำ� การผา่ ตดั
เยบ็ บาดแผล และพนั ผา้ เสรจ็ แลว้ หลงั จากนน้ั อกี สกั ๕ นาที หลวงปจู่ งึ ออกจากสมาธิ
ลมื ตาขน้ึ หลวงปู่หนูถามว่า “พระอาจารย์เจ็บไหม” หลวงปูพ่ ูดวา่ “พอสมควร” ไมม่ ี
ยาแกป้ วดใดๆ ถวายหลวงปเู่ ลย เพราะชว่ งหลงั สงครามในถนิ่ หา่ งไกลเชน่ นนั้ ไมต่ อ้ ง
พดู ถึงหยูกยากนั
รงุ่ ขน้ึ อกี วนั หมอจก้ี ม็ าลา้ งแผลให้ หลวงปพู่ ดู วา่ “วนั นเ้ี บาๆ หนอ่ ยนะ เมอื่ วานน้ี
มอื หนกั ไปหนอ่ ย” แลว้ ทา่ นกไ็ มไ่ ดพ้ ดู อะไรอกี ทา่ นยงั คงอยสู่ งบเยน็ ตามปกติ เวน้ ไว้
แตย่ ังลุกเดินไมไ่ ดเ้ ทา่ น้ัน
หลวงปหู่ นอู ยเู่ ฝา้ พยาบาล ๗ วนั ทา่ นตอ้ งกลบั ดอยแมป่ ง๋ั ตามพระวนิ ยั เพราะ
อยใู่ นชว่ งเขา้ พรรษา กอ่ นกลบั ไดก้ ำ� ชบั ชาวบา้ นใหด้ แู ลและอยา่ ทอดทงิ้ หลวงปเู่ หมอื น
ทผี่ า่ นมา หลวงปอู่ าพาธอยนู่ าน จนถงึ เดอื นเมษายนปตี อ่ มา (รว่ ม ๑๐ เดอื น) อาการ
เจบ็ ปวดบาดแผลจึงทเุ ลาลงมาก แต่แผลยังไม่หายสนทิ ยังเดินไปไหนไกลๆ ไมไ่ ด้
163
ดำ� รขิ องหลวงป่หู นู
คนทร่ี จู้ กั หลวงปแู่ หวน สจุ ณิ โฺ ณ จะตอ้ งรจู้ กั หรอื เคยไดย้ นิ ชอื่ หลวงปหู่ นู สจุ ติ โฺ ต
แน่นอน เพราะหลวงปู่หนูเป็นเจ้าอาวาสวัดดอยแม่ปั๋ง เป็นลูกศิษย์ท่ีอุปัฏฐากและ
ดแู ลหลวงปแู่ หวนในทกุ เรอ่ื งจนถงึ วาระสดุ ทา้ ยของหลวงปู่ ถา้ พดู ใหช้ ดั ลงไปกต็ อ้ งวา่
“ถา้ ไมม่ ีหลวงปูห่ นู พวกเราก็คงไม่ได้รจู้ ักหลวงปู่แหวนอยา่ งแนน่ อน”
หลวงปหู่ นทู า่ นเปน็ พระจากจงั หวดั ยโสธร เปน็ พระธดุ งคส์ ายหลวงปมู่ นั่ ภรู ทิ ตโฺ ต
ท่านมีความเคารพศรัทธาหลวงปู่แหวนในฐานะเป็นครูอาจารย์กรรมฐานของท่าน
นับต้ังแต่หลวงปู่หนูไปรักษาพยาบาลหลวงปู่แหวนท่ีวัดป่าบ้านปงคร้ังแรกแล้ว
หลังจากนั้นท่านกแ็ วะเวียนไปเยย่ี มหลวงปู่อยบู่ ่อยๆ
หลวงปหู่ นทู า่ นคดิ จะนมิ นตห์ ลวงปแู่ หวนไปอยทู่ ว่ี ดั ดอยแมป่ ง๋ั ดว้ ย เพราะหลวงปู่
อายมุ ากแลว้ ตอ้ งอยอู่ งคเ์ ดยี ว พระเณรทจี่ ะอปุ ฏั ฐากกไ็ มม่ ี อาศยั ศรทั ธาชาวบา้ นคอย
ดูแลก็ไม่สม�ำ่ เสมอ ถ้าหลวงป่มู าอยู่ทด่ี อยแมป่ ัง๋ ดว้ ย ก็จะไดด้ ูแลอปุ ัฏฐากไดง้ ่ายขน้ึ
ทา่ นเองกไ็ มต่ อ้ งเทยี วไปๆ มาๆ เพราะเดนิ ดว้ ยเทา้ ไปกลบั เทย่ี วละ ๕๐ กม. ไมใ่ ชเ่ รอ่ื ง
ทส่ี นกุ แน่ แตส่ มยั นน้ั ทวี่ ดั ดอยแมป่ ง๋ั ยงั ไมม่ อี ะไร กฏุ สิ กั หลงั กไ็ มม่ ี ศรทั ธาญาตโิ ยม
กม็ ไี มก่ ีค่ นท่ีรู้จักหลวงปูแ่ หวน
ดงั นน้ั หลวงปหู่ นจู งึ ตอ้ งคดิ และเตรยี มการใหร้ อบคอบ ตอ้ งปรกึ ษาคณะศรทั ธา
ญาติโยมท่ีวัดดอยแม่ปั๋งด้วย เม่ือยังไม่ตัดสินใจ หลวงปู่แหวนก็ยังคงพ�ำนักอยู่ที่
วดั ปา่ บา้ นปงเพยี งองคเ์ ดยี วเรอ่ื ยมา ดา้ นหลวงปหู่ นกู เ็ ทยี วไปเทยี วมาเยย่ี มเยยี นทา่ น
อย่างสม่ำ� เสมอ
164
นิมนต์หลวงปู่มาอยวู่ ัดดอยแม่ป๋งั
หลวงปแู่ หวน สจุ ิณฺโณ ยงั คงพ�ำนักอยทู่ ่ีวัดปา่ บ้านปง อำ� เภอแม่แตง จนถงึ ปี
พ.ศ. ๒๕๐๕ ขณะนนั้ ทา่ นอายุได้ ๗๕ ปี
คนื หนง่ึ หลวงปหู่ นกู ำ� ลงั นง่ั ภาวนากไ็ ดน้ มิ ติ เปน็ เสยี งหลวงปแู่ หวนวา่ “จะมาอยู่
ด้วยนะ” หลวงป่หู นูยงั ไม่ไดค้ ิดอะไร คิดวา่ อาจเป็นเพราะท่านคดิ ถงึ หลวงปู่ จติ จงึ
สร้างเป็นเสียงพูดของหลวงปู่ขน้ึ มากก็ได้ ต่อจากนนั้ อกี ๓ วัน ก็มศี รทั ธาจากวัดปา่
บ้านปงขน้ึ มานิมนตห์ ลวงปหู่ นใู ห้ไปรบั ไทยทานที่วดั บ้านปง
หลวงปู่หนูจึงน�ำความคิดที่จะนิมนต์หลวงปู่แหวนปรึกษากับคณะศรัทธาว่า
จะเหน็ เปน็ อย่างไร คณะศรัทธาบ้านแมป่ ัง๋ ไมข่ ัดข้อง และยินดถี ้าหลวงปู่หนสู ามารถ
นมิ นต์หลวงป่มู าได้
พอถงึ วนั นมิ นตใ์ หไ้ ปรบั ไทยทานทวี่ ดั ปา่ บา้ นปง หลวงปหู่ นไู ดพ้ าศรทั ธาจากบา้ น
แมป่ ง๋ั ไปดว้ ย พอไปถงึ หลวงปแู่ หวนถามวา่ “มศี รทั ธามาดว้ ยกคี่ น” หลวงปหู่ นตู อบวา่
“มมี า ๒ คนครับ” หลวงปไู่ ด้พดู วา่ “ดีแลว้ วันน้ีรบั ไทยทานเสรจ็ แล้วใหเ้ อาบรขิ าร
ของอาตมาไปด้วย จะไปอยูแ่ ม่ปั๋งด้วย”
หลวงปหู่ นแู ละโยม ๒ คนทไี่ ปดว้ ยสดุ แสนดใี จทหี่ ลวงปแู่ หวนทา่ นออกปากเอง
โดยไมต่ อ้ งนมิ นต์
165
หลวงปอู่ อกเดนิ ทาง
เมอื่ เสรจ็ พธิ รี บั ไทยทานทว่ี ดั ปา่ บา้ นปงแลว้ หลวงปแู่ หวน หลวงปหู่ นู และศรทั ธา
จากบา้ นแมป่ ั๋งสองคน ก็ออกเดนิ ทางทนั ที คณะของหลวงป่มู าหยดุ พกั ทว่ี ัดป่าบ้าน
ชอ่ แล อ�ำเภอแมแ่ ตง หนงึ่ คนื
วนั รุ่งขึน้ เมื่อรับไทยทานและฉันภัตตาหารเสรจ็ แลว้ เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น.
ก็ออกเดินทางจากบา้ นชอ่ แล ผ่านมาตามเสน้ ทางบ้านใหม่ บา้ นแม่วะ เดนิ ลดั เขา้ ปา่
ขา้ มเขาขา้ มล�ำหว้ ยมาบา้ นแม่ตอง บา้ นแม่แพง จนถึงบ้านแม่ป๋ัง
เส้นทางเดินของคณะหลวงปู่ตามที่กล่าวมาในสมัยนั้นยังไม่มีถนน บางแห่ง
เปน็ ทางรถลากไม้ บางแห่งเปน็ ทางเดนิ ปา่ แตล่ ะชว่ งต้องเดนิ ขึน้ เขา ลงห้วย บุกปา่
ลดั เลาะมาตามไหลเ่ ขา แมห้ ลวงปแู่ หวนจะอายถุ งึ ๗๕ ปี อยใู่ นวยั ชราและสขุ ภาพรา่ งกาย
ไมส่ มบรู ณ์ การเดินทางมาตามเส้นทางดงั กล่าว จงึ นับว่าหลวงปู่ท่านมคี วามอดทน
เปน็ อยา่ งมาก
คณะของหลวงปู่เดินทางมาถึงดอยแม่ปั๋งในวันนั้นเอง คือถึงวัดดอยแม่ปั๋ง
ประมาณ ๑๙.๐๐ น. ใชเ้ วลาในการเดนิ ทางจากบา้ นชอ่ แลมา ๙ ชว่ั โมง ถา้ วดั ระยะทาง
ตามเสน้ ทางถนนในปจั จบุ นั จากชอ่ แลถงึ แมป่ ง๋ั กป็ ระมาณ ๔๐ กโิ ลเมตร หลวงปแู่ หวน
ในวยั ๗๕ ปี เดนิ ทางไกลเชน่ นนั้ มาถงึ ภายในวนั เดยี วโดยไมต่ อ้ งพกั คา้ งคนื ระหวา่ งทาง
จึงนับวา่ ท่านมคี วามทรหดอดทนอย่างมากทีเดยี ว
166
หลวงปแู่ หวน สจุ ิณโฺ ณ พำ� นักทวี่ ดั ป่าบา้ นปง ๒ ช่วง รวมระยะเวลาทั้งหมด
๑๑ ปี กฏุ ขิ องทา่ นนน้ั ทางหลวงพอ่ เปลี่ยน ปญฺ าปทีโป เจ้าอาวาสองค์ปัจจบุ นั
ยังคงเก็บรักษาไวเ้ ปน็ อนุสรณ์ใหร้ �ำลกึ ถึงหลวงปมู่ าจนทุกวันน้ี
เมือ่ หลวงปมู่ าถงึ วดั ดอยแมป่ ๋ัง ต�ำบลแมป่ ๋ัง อ�ำเภอพรา้ ว ทา่ นได้พ�ำนักที่กุฏิไม้
หลงั นอ้ ย พน้ื อย่ตู ดิ พน้ื ดิน มคี วามกวา้ ง ๓.๒๔ เมตร และยาว ๕.๒๓ เมตร เท่านัน้
อยู่ท่ามกลางดงไม้สักอันเป็นสถานสงบตามธรรมชาติ เหมาะแก่การปฏิบัติภาวนา
ส�ำหรบั ผ้แู สวงหาความวิเวกยิ่งนัก
167
ขอ้ ตกลงและสจั จะอธษิ ฐาน
เมอื่ หลวงปแู่ หวน สจุ ณิ โฺ ณ ไดม้ าอยทู่ วี่ ดั ดอยแมป่ ง๋ั และเขา้ พกั ทกี่ ฏุ ไิ มห้ ลงั นอ้ ย
เป็นท่เี รียบรอ้ ยแลว้ หลวงปูจ่ ึงไดม้ ีขอ้ ตกลงกบั หลวงปหู่ นู ดังนี้
“หนา้ ทต่ี า่ งๆ เชน่ การดแู ลรกั ษาเสนาสนะกด็ ี การปกครองพระภกิ ษสุ ามเณรกด็ ี
การต้อนรบั แขกก็ดี การเทศนาสง่ั สอนอบรมประชาชนกด็ ี และกิจอ่นื ๆ บรรดามที ่ี
จะเกิดขนึ้ ภายในวดั และนอกวดั ให้ตกเป็นภาระของพระอาจารยห์ นูผเู้ ดียว”
สำ� หรบั ตวั ของหลวงปแู่ หวนเอง ทา่ นขออยใู่ นฐานะพระผเู้ ฒา่ ผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรม จะไม่
รับภาระใดๆ ทัง้ สิน้ นอกจากการปฏบิ ัติธรรมอยา่ งเดียว
นอกจากการปล่อยวางภาระทุกอย่างแล้ว หลวงปู่ยังไดต้ ง้ั สัจจะอธิษฐานว่า
“ตอ่ ไปนี้ จะไมร่ บั นมิ นตไ์ ปทไี่ หนๆ ไมว่ า่ ใครจะมานมิ นต์ ไมข่ นึ้ รถ ลงเรอื แมท้ ส่ี ดุ
ถงึ จะเกดิ อาพาธป่วยไข้หนกั เพียงใดกต็ าม จะไมย่ อมเขา้ รบั การรกั ษาในโรงพยาบาล
ถึงธาตุขันธ์จะทรงตัวอยู่ต่อไปไม่ได้ ก็จะให้สิ้นไปในป่าอันเป็นท่ีอยู่ตามอริยโคตร
อรยิ วงศ์ ซ่ึงบรู พาจารยท์ า่ นเคยปฏิบัตแิ ล้วในกาลก่อน”
168
กฏุ ิยา่ งกเิ ลส
หลงั จากทห่ี ลวงปแู่ หวนมาพำ� นกั ทว่ี ดั ดอยแมป่ ง๋ั ไมน่ านนกั ทา่ นกเ็ รม่ิ อาพาธอกี
คร้ังหนึ่ง ตอนน้ีเกดิ เปน็ ต่มุ คันไปทั้งตวั นบั วนั แตจ่ ะเป็นมากขนึ้ ปกตริ ่างกายของ
หลวงปู่นั้นผ่ายผอมอยู่แล้ว พอเกิดตุ่มคันท้ังตัวเช่นน้ัน ก็ท�ำให้ท่านฉันไม่ได้
นอนไม่หลบั รา่ งกายท่านกย็ ง่ิ ทรุดโทรมจนแทบจะวา่ มแี ตห่ นังหุ้มกระดกู
หลวงปหู่ นตู อ้ งเปน็ ผขู้ วนขวายในการรกั ษาพยาบาลทา่ นอยา่ งสดุ ความสามารถ
ซงึ่ เปน็ เรอื่ งทลี่ ำ� บากมากในสมยั นน้ั เพราะทางวดั ขาดแคลนไปเสยี ทกุ อยา่ ง เมอ่ื อาการ
ของโรคกำ� เรบิ มากขนึ้ การรกั ษาดว้ ยการฉดี ยา ฉนั ยา กไ็ มช่ ว่ ยใหด้ ขี นึ้ แตเ่ ปน็ เพยี ง
ทเุ ลาลงบา้ งเล็กน้อย
เมื่อเหน็ วา่ การรกั ษาดว้ ยยาไมม่ ที างหาย หลวงปจู่ ึงบอกใหห้ ลวงปหู่ นชู ่วยสรา้ ง
เตาผงิ ไวใ้ นกฏุ สิ ำ� หรบั อบตวั ของทา่ น หลวงปหู่ นจู งึ บอกใหช้ าวบา้ นมาชว่ ยกนั สรา้ งเปน็
กฏุ โิ รงไฟข้ึน ซ่ึงมีที่กอ่ ไฟอยู่กบั พื้นดนิ แลว้ ยกพ้นื อกี ดา้ นหนึง่ ให้สูงขนึ้ ส�ำหรบั เปน็
ทน่ี อนของหลวงปู่
กฏุ โิ รงไฟหลงั น้ี ไมว่ า่ ไมพ้ นื้ ฝา และประตู ลว้ นทำ� จากไมโ้ ลงผที ช่ี าวบา้ นเผาศพ
แล้วเอาโลงมาไว้ที่วัด กุฏิหลังนี้อยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ เก็บไว้ให้เห็นเป็นอนุสรณ์มา
จนปจั จบุ นั ลกู ศษิ ยล์ กู หาเรยี กวา่ “กฏุ โิ รงไฟ” แตห่ ลวงปทู่ า่ นเรยี กวา่ “กฏุ ยิ า่ งกเิ ลส”
ภายในกฏุ จิ ะมไี ฟกอ่ ดว้ ยฟนื ลกุ โชนอยตู่ ลอด ๒๔ ชวั่ โมง หลวงปกู่ จ็ ะอยภู่ ายใน
กฏุ นิ ต้ี ลอดเวลา จะออกมานอกกฏุ บิ า้ งเฉพาะเวลาฉนั อาหาร เวลาสรงนำ้� และออกมา
เดนิ จงกรมเปลยี่ นอริ ยิ าบถบา้ งเทา่ นนั้ เวลานอกจากนน้ั ทา่ นจะอยใู่ นกฏุ นิ ตี้ ลอดตดิ ตอ่
กนั หลายปี ไม่ว่าหน้าแล้ง หนา้ ฝน หรอื หน้าหนาว
169
รักษาโรคต่มุ คนั หายขาด
การอาพาธดว้ ยโรคตมุ่ คนั ของหลวงปนู่ น้ั ตอ้ งรกั ษากนั อยหู่ ลายปี ใชท้ งั้ วธิ ยี า่ งไฟ
การฉีดยา การฉันยา แตก่ ็ยงั ไมห่ าย ภาระนต้ี กอย่กู บั หลวงปหู่ นูทงั้ หมด
ต่อมาได้มีโยมชื่อคุณแม่บู่ทอง กิติบุตร ได้มีจิตศรัทธาให้ความอุปถัมภ์วัด
ใหค้ วามอปุ ถมั ภห์ ลวงปู่ ไดม้ ารบั ภาระในการจดั หายาและปจั จยั จำ� เปน็ อน่ื ๆ มาถวาย
ท�ำใหภ้ าระหนกั ของหลวงปูห่ นูผ่อนคลายลงไปบา้ ง
ขณะทก่ี ารอาพาธจากตมุ่ คนั ตามรา่ งกายของหลวงปไู่ มด่ ขี น้ึ วนั หนง่ึ มเี จา้ หนา้ ที่
กองปราบโรคเรอื้ นของกระทรวงสาธารณสขุ ขนึ้ ไปกราบหลวงปทู่ ว่ี ดั หลวงปหู่ นไู ดเ้ ลา่
อาการอาพาธของหลวงปใู่ หเ้ จา้ หนา้ ทกี่ ลมุ่ นน้ั ฟงั กอ่ นลากลบั เจา้ หนา้ ทก่ี ลมุ่ ดงั กลา่ ว
ไดถ้ วายยาไวใ้ หห้ ลวงปฉู่ นั จำ� นวนหนงึ่ หลวงปฉู่ นั ยานแ้ี ลว้ ปรากฏวา่ อาการคนั ทเุ ลาลง
ตามลำ� ดบั เมอ่ื ยาใกลห้ มด หลวงป่หู นไู ดไ้ ปจัดหามาเพ่มิ ปรากฏวา่ หลวงป่ฉู นั ยานน้ั
ไมน่ าน โรคตมุ่ คนั กห็ ายสนทิ ผวิ หนงั ของทา่ นดดู ำ� ไปทงั้ ตวั ตอ่ มาหนงั กล็ อกออกเปน็
แผน่ ๆ เหมอื นงูลอกคราบ
หลังจากนน้ั ผวิ หนังของหลวงปูก่ ็ดสู ดใสเป็นปกติ จึงกล่าวไดว้ า่ อาพาธเกอื บ
เอาชวี ติ ไมร่ อดของหลวงปใู่ นครงั้ นน้ั รกั ษาหายดว้ ยยาของเจา้ หนา้ ทชี่ ดุ ปราบโรคเรอ้ื น
ของกระทรวงสาธารณสขุ ชดุ น้ันโดยแท้
170
ยา้ ยไปอยกู่ ฏุ หิ ลังใหม่
แม้วา่ หลวงปู่จะหายจากโรคร้ายนั้นแล้วก็ตาม ท่านก็ยังคงพักอยู่ในกุฏิโรงไฟ
หรอื กฏุ ิย่างกเิ ลสของท่านเหมอื นที่เคยอย่มู า คอื กอ่ ไฟตลอด ๒๔ ชว่ั โมง และออก
จากกุฏิเฉพาะตอนฉัน ตอนสรงน้�ำ และออกมาเดินจงกรมเปล่ียนอิริยาบถเท่านั้น
ทา่ นอยูอ่ ย่างนัน้ ทกุ ฤดูกาลทุกวนั ไมเ่ ปลีย่ นแปลง
หลวงปู่หนูเห็นว่าเม่ือโรคร้ายของหลวงปู่หายแล้วก็ควรจะหยุดก่อไฟได้แล้ว
จึงไปกราบเรียนหลวงปู่ ซง่ึ ทา่ นก็อนุญาตใหเ้ ลกิ กองไฟนน้ั ได้
ต่อมามีผู้มีจิตศรัทธาสร้างกุฏิถวายหลวงปู่หลังหน่ึง ตอนแรกๆ หลวงปู่ก็ไป
พักฉลองศรัทธาให้เฉพาะเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนทา่ นก็ลงมาพักจ�ำวัดท่ีกุฏิ
โรงไฟของท่านอย่างเดิม เม่ือท่านหายจากอาพาธจนมีก�ำลังแข็งแรงเป็นปกติแล้ว
ในฤดูแล้งเวลากลางวันบางวัน ท่านก็จะข้ึนไปพักภาวนาอยู่ในกุฏิหอเย็นตลอดวัน
จะลงมาเมื่อถงึ เวลาสรงน�้ำ เปน็ อนั ว่าหลวงป่มู กี ุฏิท่ีพักอยู่ ๓ หลงั กลางคนื พักท่ีกุฏิ
โรงไฟ กลางวนั ไปพักภาวนาที่กฏุ ิหลงั ใหม่บ้าง ที่กฏุ ิหอเยน็ บา้ ง
ตอ่ มาภายหลงั โยมอปุ ฏั ฐากคอื คณุ แมบ่ ทู่ อง กติ บิ ตุ ร ไดส้ รา้ งกฏุ ถิ วายหลวงปู่
หลงั หน่ึง หลวงปกู่ ็ได้มาพำ� นกั ฉลองศรทั ธาตราบจนมรณภาพ
171
รุกขเทพบนต้นไทรใหญ่
หลวงปแู่ หวนเลา่ วา่ ในสมยั ทที่ า่ นอาพาธพกั ยา่ งไฟอยทู่ กี่ ฏุ โิ รงไฟนน้ั บนตน้ ไทรใหญ่
เหนือกุฏเิ ปน็ วมิ านทีอ่ ยู่อาศยั ของบรรดารุกขเทพ เมื่อหลวงป่เู ข้าไปอยู่ในกฏุ หิ ลงั นั้น
พวกรุกขเทพทั้งหลายต้องลงมาอยู่บนพ้ืนดิน ท�ำให้พวกเขาได้รับความล�ำบากกัน
เมื่อหลวงปู่เห็นเช่นนั้น จึงได้บอกให้พวกเขาย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ในป่าลึกเข้าไปอีก
พวกเขาก็ปฏบิ ตั ติ ามโดยความเคารพ
หลวงปู่เลา่ วา่ พวกเทพน้ันไม่วา่ จะเป็นเทพชัน้ ตำ่� หรอื ชั้นสงู ความเคารพทเี่ ขามี
ตอ่ พระนนั้ เสมอกนั เขาจะไมย่ อมลว่ งคารวธรรมเปน็ อนั ขาด การเขา้ การออกเวลาเขามา
เขาไปดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูแล้วงามตาช่ืนใจ ไม่เหมือนมนุษย์เรา ซ่ึงแล้วแต่
ความพอใจ อยากจะแสดงอย่างไรกท็ ำ� ไป ไม่คำ� นึงถึงความเหมาะความควรไม่ควร
การแสดงออกของมนุษย์ไม่ค�ำนึงถึงว่าผู้อื่นจะได้รับความเสียหายอย่างไรหรือไม่
ขอใหไ้ ดแ้ สดงออกตามความเหน็ ตามความพอใจของตนนน้ั แหละเปน็ การดี บางครง้ั
การแสดงออกเช่นนั้นไม่ถูกกาลถูกเวลา แต่ก็แสดงออกมาจนได้ โดยไม่มีความ
ละอายแกใ่ จบ้างเลย
ผู้เขียนน�ำค�ำกล่าวตรงนี้ของหลวงปู่ไปพิจารณาดูแล้วก็พยายามทบทวนดูว่า
เวลาเราไปวดั ดอยแมป่ ง๋ั รวมทงั้ ไปกราบครบู าอาจารยอ์ งคอ์ น่ื ๆ เราเปน็ เหมอื นทหี่ ลวงปู่
ท่านว่าบ้างหรือเปล่าหนอ ลองน้อมน�ำมาพิจารณาดูตนเองก็จะได้ประโยชน์ไม่น้อย
สมกับท่โี บราณท่านสอนวา่ เวลาไปวดั เรา ต้องรูจ้ ักวดั จติ วัดใจ วดั ความดคี วามชว่ั
ของเราด้วย
172
หลวงปเู่ รมิ่ เปน็ ทีร่ ้จู กั
หลวงปูแ่ หวน สุจณิ ฺโณ มาอยู่ทีว่ ัดดอยแมป่ ๋งั ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ และทา่ นเร่ิม
เปน็ ทรี่ จู้ กั ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๔
กล่าวกันวา่ หลวงปแู่ หวนไดเ้ ปน็ ทีร่ ู้จักภายหลังทท่ี า่ นเจา้ คณุ นรรัตนร์ าชมานติ
(ธมฺมวิตกโฺ ก) วัดเทพศิรินทราวาส กรงุ เทพฯ สน้ิ ชพี ิตักษยั เม่อื ๑๐ มกราคม พ.ศ.
๒๕๑๔ ในชว่ งทปี่ ระชาชนกำ� ลงั พดู ถงึ เรอ่ื งทา่ นเจา้ คณุ นรฯ อยนู่ น้ั กม็ ขี า่ วแพรอ่ อกมา
วา่ “ทา่ นเจา้ คณุ นรฯ กลา่ ววา่ มพี ระอรยิ ะอกี องคห์ นงึ่ อยทู่ างภาคเหนอื ” ไมท่ ราบวา่ ขา่ วนี้
มาจากไหน และใครไดย้ นิ ทา่ นเจา้ คณุ นรฯ พดู ทำ� ใหห้ ลายคนพากนั เสาะหาพระอรยิ ะ
องค์นัน้ ตอ่ มาก็มขี ่าววา่ พระอริยะองคท์ ที่ า่ นเจ้าคุณนรฯ กลา่ วถึง คอื หลวงปแู่ หวน
สุจิณโฺ ณ แหง่ ดอยแม่ปงั๋ นัน้ เอง
และในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ปเี ดยี วกันนั้นเอง ก็มีคณะทหารอากาศชดุ ของนาวา
อากาศเอก เกษม งามเอก ไดม้ าขออนญุ าตสรา้ งเหรยี ญหลวงปขู่ นึ้ บางเสยี งกบ็ อกวา่
เป็นเหรียญรุ่นแรก และบางเสยี งก็วา่ เปน็ เหรียญรนุ่ ทสี่ องของหลวงปู่ เอาไวใ้ ห้พวก
นักนยิ มเหรียญเขาถกเถยี งกันก็แล้วกัน
ตอ่ จากนนั้ ก็มีขา่ วอีกว่า “หลวงป่แู หวนลอยอยบู่ นเมฆ เครื่องบินจะชน” เรือ่ ง
เกรียวกราวกนั พกั ใหญ่ ท�ำให้ชื่อเสียงหลวงปูโ่ ดง่ ดงั ข้นึ มา จนใครต่อใครก็พากนั แห่
ไปชมบารมหี ลวงป่อู ย่างเนอื งแนน่ ทุกวนั คณะทวั รท์ กุ คณะที่ไปเชียงใหม่ จะตอ้ งมี
รายการชมดอยสเุ ทพ พระตำ� หนกั ภพู งิ คราชนเิ วศน์ แลมวี ดั ดอยแมป่ ง๋ั อยดู่ ว้ ยเสมอ
นบั เปน็ สถานทย่ี อดนยิ มในสมยั น้นั
173
หลวงปเู่ ป็นพระดังแหง่ ยคุ
หลวงปู่แหวนท่านท่องเที่ยวธุดงค์อยู่ตามป่าเขาล�ำเนาไพรอยู่นานกว่า ๕๐ ปี
ประชาชนทวั่ ไปจึงไมร่ จู้ ักท่าน เพ่ิงจะมาได้ขา่ วคราวและรู้จกั หลวงปู่ก็ประมาณปลาย
ปี ๒๕๑๖ เม่อื หนังสือพิมพน์ �ำประวตั แิ ละเรือ่ งราวอภนิ ิหารต่างๆ ของหลวงปอู่ อก
เผยแพร่
ในหนงั สอื พระธาตปุ าฏหิ ารยิ ข์ องนติ ยสารโลกทพิ ย์ ไดน้ ำ� ลงเรอื่ งคำ� บอกเลา่ ของ
หลวงพ่อฤๅษีลิงด�ำ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เก่ียวกับเรื่องราวของหลวงปู่แหวน
ตอนทท่ี ่านเริ่มดงั ผู้เขยี นขอคดั ลอกน�ำมาเสนอดงั ต่อไปน้ี
“...หลวงพอ่ ฤๅษลี งิ ดำ� เลา่ วา่ มที หารอากาศขบั เครอ่ื งบนิ เหาะขา้ มวดั ดอยแมป่ ง๋ั ไป
นกั บนิ คนนนั้ ตกใจจนหตู าเหลอื ก เพราะพบหลวงปผู่ เู้ ฒา่ นงั่ อยบู่ นกอ้ นเมฆขวางทาง
บนิ อยู่ ตอ้ งรบี บงั คบั เครอื่ งหลบตาลตี าเหลอื ก ขาบนิ กลบั กพ็ บหลวงปอู่ งคเ์ ดมิ อยบู่ น
กอ้ นเมฆอกี เม่อื น�ำเคร่อื งบินร่อนลงสนามแล้ว นกั บนิ นายนน้ั ไดไ้ ปกราบนมัสการ
เจา้ คณะเชยี งใหม่ เรยี นถามว่า “ท่ีเชยี งใหมม่ พี ระองคไ์ หนดบี า้ งทมี่ ปี าฏหิ ารยิ พ์ ิเศษ”
เจา้ คณะจงั หวดั บอกวา่ “เหน็ มอี ยอู่ งคห์ นงึ่ คอื หลวงปแู่ หวน วดั ดอยแมป่ ง๋ั หรอื
ดอยสมี ว่ ง” (ปง๋ั ภาษาเหนอื แปลวา่ สมี ว่ ง) เพอ่ื จะพสิ จู นด์ ใู หเ้ หน็ กบั ตา เมอื่ ไปถงึ วดั
กพ็ บว่ามีผูค้ นมากมายจากสารทิศต่างๆ มารอพบหลวงปแู่ หวนเตม็ วัดไปหมด
174
ปกตหิ ลวงปแู่ หวนไมย่ อมออกมาพบปะผใู้ ดงา่ ยๆ แมแ้ ตง่ านฉลองอายคุ รบรอบ
ของทา่ น ทค่ี ณะศษิ ยานศุ ษิ ยต์ ลอดจนผทู้ เ่ี คารพเลอ่ื มใสจากทว่ั ทกุ สารทศิ หลงั่ ไหลไป
จดั งานขน้ึ ผคู้ นแนน่ วดั มดื ฟา้ มวั ดนิ รถราจอดเตม็ ดอยไปหมด หลวงปแู่ หวนกไ็ มย่ อม
ออกมาจากห้องให้สรงน้�ำ หรือให้กราบสักการะ แจกของช�ำร่วย อย่างงานวันเกิด
ของพระเถระอ่ืนๆ หลวงปู่แหวนยังคงเก็บตัวอยู่แต่ในห้องและหนีคนอย่างอุปนิสัย
แตเ่ ดมิ ของทา่ น ทา่ นจะออกมาจากหอ้ งเปน็ ปกตกิ เ็ ฉพาะเวลาฉนั จงั หนั เชา้ และเจรญิ
พระพุทธมนต์คำ่� เท่านัน้
ทหารอากาศนายคนนี้ไปตอนเช้า พอได้เวลาหลวงปู่แหวนออกจากห้องมาฉัน
อาหารเชา้ กจ็ อ้ งมองดว้ ยความตะลงึ จำ� ไดท้ นั ทวี า่ พระผเู้ ฒา่ องคน์ จี้ รงิ ๆ ทเี่ ขาพบบน
ก้อนเมฆขณะขับเคร่ืองบินผ่านดอยแม่ปั๋งไป เขาจึงแหวกผู้คนเข้าไปกราบนมัสการ
แทบเท้าหลวงปูแ่ หวนด้วยความเคารพเลือ่ มใสอยา่ งสูดสดุ น้�ำตาไหล ปลาบปลื้มใจ
ต้ืนตันใจท่ีตนได้มบี ญุ ได้พบเห็นตัวจริงของหลวงปู่แหวน...”
นี่แหละครับ เป็นเหตุการณ์หน่ึงที่ท�ำให้ผู้คนท่ัวทุกสารทิศหล่ังไหลมากราบ
หลวงปแู่ หวน แห่งวัดดอยแม่ปัง๋ ท�ำใหท้ ่านเปน็ พระดังแหง่ ยุค
175
พระมหากรุณาธคิ ุณ
นบั แตโ่ บราณกาลมาจนถงึ ยคุ ปจั จบุ นั อาจกลา่ วไดว้ า่ ยงั ไมม่ พี ระคณาจารยร์ ปู ใด
ทไี่ ดร้ บั พระมหากรณุ าธคิ ณุ เทา่ หลวงปแู่ หวนในระหวา่ งทที่ า่ นยงั มชี วี ติ อยู่ นอกเหนอื
จากการเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ถงึ วดั ดอยแมป่ ง๋ั เพอ่ื นมสั การและสนทนาธรรมกบั หลวงปู่
หลายครงั้ หลายคราแลว้ ยงั ไดร้ บั พระมหากรณุ าธคิ ณุ จดั สรา้ งสงิ่ มงคลโดยใชร้ ปู ของ
หลวงปู่นำ� มาแจกในพระราชพิธีสำ� คัญ
หลวงปแู่ หวนจงึ เปน็ พระสงฆอ์ งคแ์ รกในประเทศไทยทไ่ี ดร้ บั พระมหากรณุ าธคิ ณุ
อยา่ งสงู สง่ และนอกจากลน้ เกลา้ ฯ ทงั้ สองพระองคแ์ ลว้ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯ
สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า สยามบรมราชกมุ ารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจา้ ฟา้ -
จฬุ าภรณ์ฯ ได้ทรงพระกรณุ าเสดจ็ เย่ียมหลวงปูอ่ ยเู่ นืองๆ
ข้าราชบริพารผู้หนึ่ง ได้เปิดเผยถึงหลวงปู่กับล้นเกล้าฯ พระบาทสมเด็จ
พระเจา้ อยหู่ วั ฯ วา่ ภายหลงั จากทข่ี า่ วพระองคท์ รงประชวรและประทบั ทเี่ ชยี งใหมแ่ ลว้
หลังจากน้ันก็เสด็จดอยแม่ปั๋ง หลวงปู่แหวนได้ทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ตอนหนง่ึ วา่ “พระองคน์ นั้ มวั แตห่ ว่ งคนอน่ื ไมห่ ว่ งพระองคเ์ องเลย” เมอ่ื ไดฟ้ งั หลวงปู่
กลา่ วเชน่ น้ัน ล้นเกลา้ ฯ ทรงพระสรวลด้วยความพอพระทัย
มีข่าวอีกคร้ังหน่ึงว่า สมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระประชวร
และประทบั รกั ษาพระองค์ทเี่ ชยี งใหม่น้ัน ขา้ ราชบรพิ ารได้น�ำเฮลิคอปเตอรม์ านมิ นต์
176
หลวงปู่ให้ไปท่ีพระต�ำหนักเพื่อแผ่พลังจิตช่วยรักษาอาการประชวรของพระองค์ท่าน
หลวงปู่ท่านปฏเิ สธการนมิ นต์ และไดบ้ อกวา่ “อย่ทู ไ่ี หน เฮากส็ ง่ ใจไปถึงพระองคไ์ ด้
ก็สง่ ไปทกุ วนั อย่แู ลว้ ”
หลวงปแู่ หวนทา่ นต้งั สจั จะอธิษฐานว่า แม้ทา่ นจะเจ็บป่วย กไ็ ม่ยอมไปรักษาที่
โรงพยาบาล แตใ่ นชว่ งทา้ ยของชวี ติ เมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ฯ อาราธนา ทา่ นจงึ
ยอมท�ำตาม และบอกวา่ ในฐานะประชาชน หลวงปจู่ งึ ไมก่ ลา้ ขดั พระราชประสงค์ได้
177
ความศรัทธาของประชาชน
หลวงปู่แหวน สจุ ณิ โฺ ณ ทา่ นเปน็ ตวั อย่างสมณะท่ีเจรญิ ตามรอยแหง่ เบ้ืองพระ
ยคุ ลบาทขององคพ์ ระศาสดาอยา่ งมงุ่ มนั่ มอบชวี ติ ถวายจติ ใจเพอื่ รบั ใชพ้ ระสทั ธรรม
ทา่ นบำ� เพญ็ เพยี รทางวปิ สั สนากรรมฐานอยา่ งเดด็ เดยี่ วแนว่ แนเ่ พอื่ ความหลดุ พน้ จาก
โลกยี ภมู ิเข้าสโู่ ลกุตรภูมเิ ปน็ แดนพน้ ทกุ ข์อย่างแทจ้ รงิ
หลวงปแู่ หวนทา่ นสละสนิ้ ทกุ อยา่ งมงุ่ บำ� เพญ็ สมณธรรมอยา่ งเดยี ว ทา่ นหลกี เรน้
ตนเองออกสทู่ างสนั โดษตลอดระยะยาวนานกวา่ ๕๐ ปี ตอ้ งฝา่ ฟนั อปุ สรรคและความ
ทารุณนานาประการ ไม่วา่ ความทรุ กนั ดาร โรคภยั ไขเ้ จ็บ และความอดอยากหิวโหย
แมร้ า่ งกายจะหนจี ากธรรมชาตเิ หลา่ นไี้ มพ่ น้ แตจ่ ติ ทา่ นไมต่ ดิ อยใู่ นสภาพทกุ ขเ์ หลา่ นน้ั
ทา่ นละวางทุกอยา่ งไดอ้ ย่างแท้จรงิ ดกี ไ็ มต่ ดิ ไมด่ ีกไ็ ม่ตดิ
หลวงปู่ขณะดำ� รงชีวติ อยู่ ท่านอยดู่ ้วยความเมตตาเพ่ือการสงเคราะห์สัตวโ์ ลก
อยา่ งแท้จริง ใครจะเอาประโยชน์อะไรจากท่านได้ ทา่ นไม่เคยขัดข้อง ตราบใดที่ไม่
ผดิ วินัย ท่านอนโุ ลมตามเสมอ
ดว้ ยเหตนุ ี้ สาธชุ นทศ่ี รทั ธาในหลวงปจู่ งึ ไดห้ ลง่ั ไหลไปทวี่ ดั ดอยแมป่ ง๋ั จดุ ประสงค์
อย่างอ่ืนที่นอกเหนือจากการได้กราบได้เห็นได้ท�ำบุญกับองค์ท่านแล้ว ส่วนใหญ่
ต้องการใหห้ ลวงปเู่ ปา่ หัวให้บ้าง ตอ้ งการไดน้ ้�ำมนต์บา้ ง ต้องการได้ของดเี พือ่ ความมี
โชคลาภ ความเปน็ สริ มิ งคล รวมทงั้ ตอ้ งการให้หลวงปู่แผ่พลังจิตเพ่ือปลุกเสกวตั ถุ
178
มงคลต่างๆ เพ่ือความขลัง ความศักด์ิสิทธ์ิ ท่านก็อนุโลมท�ำให้ด้วยความเมตตา
ใครจะรบั อะไรได้เพยี งไรขึน้ อยู่กบั ผู้น้ันเอง
สง่ิ ของทม่ี ผี ขู้ อกนั มาก ไดแ้ ก่ กน้ ยาขโ้ี ย จวี ร ไมเ้ ทา้ แมแ้ ตเ่ สน้ เกศา เลบ็ ตลอดจน
ขไี้ คลในตวั ทา่ น และทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งทเี่ กยี่ วกบั ตวั ทา่ น กถ็ อื เปน็ สริ มิ งคลทงั้ นน้ั หลวงปู่
ทา่ นถงึ กบั ออกปากวา่ “เฮาโกนหวั แลว้ เปน้ิ กย็ งั ฮอ้ื โกน แถมจะเอาผมเฮาไปสรา้ งพระ
อะหยงั เฮาเจบ็ หวั ” หลวงปทู่ า่ นพดู สำ� เนยี งเหนอื ปนอสิ าน หมายความวา่ เราโกนหวั แลว้
เขากย็ งั มาใหโ้ กนอกี บอกวา่ จะเอาไปสรา้ งพระอะไรนน่ั เราเจบ็ หวั แมแ้ ตน่ ำ้� ทท่ี า่ นอาบ
กม็ ผี ตู้ อ้ งการขอไปเพอื่ เปน็ สริ มิ งคล แมท้ า่ นสรงนำ้� เสรจ็ แลว้ ยงั มาขอใหท้ า่ นสรงซำ�้ อกี
ท่านถึงกบั พดู ว่า “เฮาหนาวจะต๋าย เป้ินกจ็ ะฮือ้ เฮาอาบนำ�้ อกี ”
นอกจากน้ี ยงั มคี นไปรมุ ขดั ถกู ขไี้ คลตามเนอ้ื ตามตวั ท่าน ขดั แล้วขัดอกี หรอื
ตดั เลบ็ ของทา่ น ตดั แลว้ ตดั เลา่ เพอ่ื จะเอาไปทำ� พระเครอื่ ง ทำ� วตั ถมุ งคลตา่ งๆ จนหลวงปู่
บอกวา่ ทา่ นแสบไปทง้ั เนอ้ื ทงั้ ตวั ดงั นเี้ ปน็ ตน้ เอาเปน็ วา่ ใครมโี อกาสหยบิ ฉวยยอื้ แยง่
อะไรจากทา่ น เอาประโยชนอ์ ะไรไดจ้ ากทา่ น ตา่ งกเ็ อากนั ไป หลวงปทู่ า่ นปลอ่ ยวางเฉย
ใครจะทำ� อะไรกต็ ามใจ
ดงั นน้ั ภาระหนกั ในการดแู ลหลวงปู่ ถนอมหลวงปใู่ หอ้ ยกู่ บั พวกเราใหน้ านทส่ี ดุ
จึงตกอยทู่ หี่ ลวงปหู่ นู สุจติ โฺ ต เจ้าอาวาส
179
ของดีที่หลวงปมู่ อบให้
เมื่อมีผู้ไปขอของดีจากหลวงปู่แหวน ท่านจะถามกลับและให้ธรรมะเพื่อเป็น
ขอ้ คิดเตอื นสติเตอื นใจ ดังนี้
“ของดอี ะไร อะไรคอื ของดี ของดกี ม็ อี ยดู่ ว้ ยกนั ทกุ คนแลว้ การทร่ี า่ งกายแขง็ แรง
ไมเ่ จบ็ ไขไ้ ดพ้ ยาธนิ น้ั กม็ ขี องดแี ลว้ การมรี า่ งกายแขง็ แรง มอี วยั วะครบถว้ น ไมบ่ กพรอ่ ง
วกิ ลวกิ าร อนั นก้ี เ็ ปน็ ของดแี ลว้ ของดมี อี ยใู่ นตน ไมร่ จู้ ะไปเอาของดที ไี่ หนอกี สมบตั ิ
ของดจี ากเจา้ พอ่ เจา้ แมใ่ หม้ ากเ็ ปน็ ของดอี ยแู่ ลว้ มอี ยแู่ ลว้ ทกุ คน จะไปเอาของดที ไ่ี หนอกี
ของดกี ต็ อ้ งท�ำใหม้ นั เกดิ มนั มีขนึ้ ในจติ ใจของตน ความดอี นั ใดทย่ี ังไม่มกี ็ต้องเพยี ร
พยายามทำ� ใหเ้ กดิ ใหม้ ขี น้ึ นแ่ี หละของดี ของดมี อี ยแู่ ลว้ ในตวั ของเราทกุ ๆ คน มองให้
มันเหน็ หาใหม้ ันเหน็ ภายในตนของตนนแี่ หละจงึ ใช้ได้ ถ้าไปมองหาแสวงหาของดี
ภายนอกแล้วใชไ้ มไ่ ด้
ศลี ธรรม นแ่ี หละคอื ของดี ศลี คอื การนำ� ความผดิ ความชว่ั ออกจากกาย ออกจาก
วาจา ธรรม กค็ อื ความดที ปี่ อ้ งกนั ไมใ่ หค้ วามผดิ ความชวั่ เกดิ ขนึ้ ในกาย วาจา ใจ ทง้ั ศลี
ทง้ั ธรรม กอ็ นั เดยี วกนั นนั่ แหละ แตเ่ ราไปแยกสมมตเิ รยี กไปตา่ งหาก กาย วาจา ใจ
ของเราน้ีเป็นทีต่ ัง้ ของธรรม เปน็ ที่เกิดของธรรม เปน็ ทดี่ บั ของธรรม ความดีกเ็ กิด
จากทน่ี ี่ ความชวั่ กเ็ กดิ จากทน่ี ่ี สวรรคก์ เ็ กดิ จากทน่ี ี่ นรกกเ็ กดิ จากทนี่ ี่ เราจะรกั ษาศลี
ภาวนา ใหท้ าน กต็ อ้ งอาศยั กาย วาจา ใจ นเ้ี ปน็ เหตุ เราจะทำ� ความผดิ ความชวั่ ไปนรกอเวจี
ก็ตอ้ งอาศยั กาย วาจา ใจ นี้เปน็ เหตุ เราจะรักษาศลี ท�ำสมาธิ ภาวนา ให้เกดิ ปัญญา
ท�ำมรรค ผล นพิ พาน ใหแ้ จง้ ให้เกดิ ข้นึ กต็ ้องอาศยั กาย วาจา ใจ นี้ เป็นเหต”ุ
นแ่ี หละครบั ของดที หี่ ลวงปแู่ หวน สจุ ณิ โฺ ณ มอบไวใ้ หแ้ กพ่ วกเราไดน้ ำ� ไปพจิ ารณา
ไตร่ตรองดู
180
เรอ่ื งเคร่อื งรางของขลงั
เรอื่ งเครอื่ งรางของขลงั หรอื วตั ถมุ งคล ทพี่ วกเราเสาะแสวงหามาไวค้ รอบครองนนั้
หลวงปแู่ หวน สุจณิ โฺ ณ ท่านให้ความเหน็ ดังนี้
หลวงปพู่ ดู อยเู่ สมอวา่ “คนเรานแี้ ปลก เอาของจรงิ คอื ธรรมะใหไ้ มช่ อบ ไปชอบเอา
วัตถุภายนอกกนั เสยี หมด ท่พี ึ่งทีป่ ระเสรฐิ คือพระรตั นตรัยนั้นประเสริฐอยแู่ ลว้ แต่
กลบั ไมส่ นใจ พากนั ไปสนใจแตว่ ตั ถภุ ายนอก จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ เมอ่ื คนเราไมส่ ามารถ
จะเอาคณุ พระรตั นตรยั มาเปน็ ทพี่ งึ่ ของตนได้ เพราะอนิ ทรยี ย์ งั ออ่ นอบรมมา ยงั ไมเ่ ขา้
ถึงเหตุผล จะถือเอาวตั ถุภายนอก เชน่ พระเหรียญ ซึง่ เป็นรปู เหรยี ญ รปู แทนของ
พระพทุ ธเจา้ นั้นกด็ ีเหมือนกนั ถา้ ผนู้ นั้ รคู้ วามหมายของวัตถุนั้นๆ”
หลวงปทู่ า่ นใหข้ อ้ คดิ ในทางธรรมะวา่ “วตั ถมุ งคลเหลา่ นนั้ หากจะนำ� ไปปอ้ งกนั ตวั
ถา้ กรรมมาตัดรอนแลว้ ปอ้ งกันไมไ่ ด้ ไม่วา่ สิง่ ไหนจะไปตา้ นทานอ�ำนาจของกรรมน้นั
ไมม่ ี แตถ่ า้ ผนู้ นั้ รคู้ วามหมายในวตั ถนุ น้ั ๆ วา่ เขาสรา้ งขน้ึ มาสว่ นมาก เขาใชส้ ญั ลกั ษณ์
ของผู้ที่ท�ำแต่ความดี การมีวัตถุมงคลไว้ติดตัวก็มีไว้เป็นเคร่ืองเตือนสติปัญญาของ
ตนเองไมใ่ หป้ ระมาทในการกระทำ� ของตน ตอ้ งทำ� แตค่ วามดเี สมอ เพราะโลกเขาบชู า
นบั ถอื แต่คนดี เรามีของดอี ยู่กับตัวกต็ ้องท�ำแต่ความดอี ย่างนี้แลว้ ก็นับวา่ ผนู้ นั้ ได้
ประโยชนจ์ ากวัตถุมงคลน้นั ๆ”
181
คาถาปลกุ เสก
เมอื่ ลกู ศษิ ยม์ คี วามสงสยั และถามหลวงปวู่ า่ “พระกด็ ี เหรยี ญกด็ ี ทห่ี ลวงปทู่ ำ� พธิ ี
แผ่เมตตาให้ มคี นนิยมกันว่าดีอยา่ งนั้น ดีอย่างนี้หลวงป่ปู ลุกเสกดว้ ยคาถาอะไร”
หลวงปแู่ หวน สจุ ณิ โฺ ณ จะตอบขอ้ สงสยั เชน่ นวี้ า่ ทกี่ ลา่ ววา่ แผเ่ มตตาวตั ถมุ งคลนน้ั
ทา่ นไมเ่ คยปลกุ เสกพระอะไรเลย เคยแตส่ วดสรรเสรญิ คณุ พระรตั นตรยั เทา่ นนั้ แลว้
ต้ังสจั จะอธิษฐานใหเ้ กิดสริ มิ งคลแกผ่ ทู้ ี่นับถือกราบไหว้บูชา จะอธษิ ฐานเพียงเท่าน้ัน
ไม่มคี าถาสำ� หรับเสกให้ขลงั อยา่ งนั้นอยา่ งน้ีแตอ่ ยา่ งใด
182
ความเห็นเก่ียวกับพิธพี ุทธาภเิ ษก
เก่ียวกบั การจัดพธิ ีปลกุ เสกพระท่เี รยี กวา่ พุทธาภเิ ษก ทจี่ ดั กันอยทู่ วั่ ไปทงั้ เปน็
การราษฎร์ ทั้งเป็นการหลวง นน้ั หลวงปแู่ หวน สุจิณโฺ ณ ใหค้ วามเห็นในพธิ กี ารน้ีว่า
ถ้าเราเข้าใจว่าพิธีพุทธาภิเษกเป็นการปลุกเสกวัตถุที่เราสร้างขึ้นให้เป็นเครื่องหมาย
แทนองคพ์ ระพุทธเจา้ นนั้ ถอื วา่ เป็นการเข้าใจทีไ่ ม่ถูกตอ้ ง ไมต่ รงตามความเปน็ จริง
หลวงปู่ให้เหตผุ ลวา่ พระพุทธเจา้ ทา่ นเป็นพระตง้ั แต่เรายงั ไมเ่ กดิ พระองคเ์ ป็น
พระพทุ ธะมากอ่ นเราเปน็ พนั ๆ ปแี ลว้ ถา้ ใครไปปลกุ เสกวตั ถใุ หเ้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ แลว้
นบั วา่ ผดิ ดงั นนั้ วตั ถนุ นั้ ๆ จงึ เปน็ พระโดยสมบรู ณแ์ ลว้ ตง้ั แตเ่ ขาสรา้ งเสรจ็ จะไปปลกุ เสก
ให้เป็นพระอีกไม่ได้ หลวงปทู่ า่ นเรยี กพระพทุ ธรูปวา่ “พระบรมรปู ”
ท่านกลา่ วว่า พระบรมรปู ของพระพุทธเจา้ นัน้ แมจ้ ะท�ำส�ำเร็จข้ึนจากวตั ถุใดๆ
ท่านกส็ �ำเรจ็ เปน็ พระพุทธะในความหมายแลว้ อย่างสมบรู ณ์ เพราะวตั ถุนน้ั เขาสมมติ
เปน็ สญั ลกั ษณแ์ ทนองคข์ องพระพทุ ธเจา้ แมจ้ ะเปน็ เพยี งวตั ถุ เรากก็ ราบไหวบ้ ชู าไดด้ ว้ ย
ความสนทิ ใจ ไมม่ วี ชิ าคาถาอาคมใดๆ ทจี่ ะมาปลกุ เสกพระพทุ ธเจา้ ได้ เพราะวตั ถนุ น้ั
สำ� เรจ็ เป็นพทุ ธะตามความหมายที่เราได้สร้างขนึ้ แล้ว
หลวงปใู่ หค้ วามเหน็ วา่ ทเ่ี รยี กกนั วา่ พทุ ธาภเิ ษก นน้ั ควรจะเรยี กวา่ พธิ สี มโภชพระ
หรอื พธิ ีนมัสการพระ จึงจะถกู ตอ้ งตามความเปน็ จรงิ
183
หลวงปู่ผ้ไู ม่มีอดีตและเร่อื งหทู พิ ย์ตาทิพย์
มคี ำ� ถามวา่ “เมอ่ื หลวงปแู่ หวน ทา่ นมาอยทู่ เี่ ชยี งใหมแ่ ลว้ ไมม่ ใี ครมานมิ นตท์ า่ น
กลบั ไปจังหวดั เลย บ้านเกดิ ของท่านบ้างหรอื ”
มเี ขียนอยู่ในหนังสอื ลานโพธ์ิ วา่
“...คณะญาติโยมทางจังหวัดเลยก็ต้องการนิมนต์ให้หลวงปู่กลับไปพ�ำนักท่ี
จงั หวดั เลย คณะทไ่ี ปนมิ นตม์ พี ระอาจารยซ์ ามา หลวงปตู่ อื้ หลวงปสู่ มิ แตห่ ลวงปแู่ หวน
ตอบปฏเิ สธ โดยทา่ นขอยดึ เอาจงั หวดั เชยี งใหมเ่ ปน็ ทปี่ ฏบิ ตั ธิ รรมจวบจนวาระสดุ ทา้ ย
ของชวี ติ ...”
และอกี ตอนหน่ึงว่า
“...แต่หลวงปู่เป็นผู้ซึ่งได้สละแล้วทุกอย่าง ไม่อาลัยอาวรณ์ในส่ิงใดๆ ทั้งสิ้น
แม้อดีตที่ผ่านมา หลวงปู่เคยบอกกับผู้ท่ีเคยไปอ้อนวอนนิมนต์กลับจังหวัดเลยว่า
ทา่ นเปน็ ผไู้ มม่ บี า้ น ไมม่ ญี าติ ทา่ นมแี ตว่ ดั ชวี ติ ของทา่ นไดถ้ วายเพอื่ พระพทุ ธศาสนา
โดยสน้ิ แลว้ ท่านไมม่ อี ดตี ไม่มีอนาคต นอกจากปจั จุบนั หลวงปู่มกั จะสอนให้คน
รจู้ กั คดิ วา่ ไมค่ วรจะอาวรณแ์ ตใ่ นอดตี ควรจะนกึ ถงึ แตป่ จั จบุ นั และวางแผนงานใน
อนาคต ชวี ิตจะได้ก้าวหน้าและรุ่งเรอื ง...”
อกี คำ� ถามหนง่ึ มวี า่ “ถา้ เชน่ นน้ั หมายความวา่ หลวงปแู่ หวนทา่ นตดั ขาดจากญาติ
พน่ี อ้ งโดยสิน้ เชิงใช่ไหม”
184
ขอให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาเอาเองจากบทความต่อไปนี้ ซ่ึงเป็นจดหมายของ
คุณมนตรี รามศิริ ลกู หลานหลวงปู่แหวน เขยี นในขณะมตี �ำแหนง่ เป็นเกษตรอำ� เภอ
เชยี งคาน ได้นำ� ลงในนติ ยสารโพธิญาณฉบบั ท่ี ๒๓
“...ในจดหมายบอกว่า มลี ูกหลานของหลวงปู่ที่จงั หวดั เลย ไดพ้ ากันไปกราบ
หลวงปู่ท่ีวัดดอยแม่ปั๋ง เป็นการเดินทางมาเชียงใหม่ครั้งแรก ต้องถามเส้นทางคน
เชียงใหม่ไปเรอ่ื ยจงึ ดน้ ดั้นไปถูก
คณะลกู หลานทา่ นนบั วา่ โชคดเี ปน็ โอกาสเหมาะจงึ ไดเ้ ขา้ กราบหลวงปพู่ อดี สมดงั
ใจปรารถนา เมื่อหลวงปู่รู้ว่าเป็นลูกหลานมาจากจังหวัดเลย ท่านก็เอ่ยปากถามว่า
“แมแ่ กถกู ตะขาบกดั เจบ็ มากหรอื ” ทำ� เอาเหลนๆ ทงั้ สามคนงนุ งงยง่ิ เพราะกอ่ นเดนิ ทาง
มากราบหลวงปู่ แม่ของพวกเขาถกู ตะขาบกัดเอาเจบ็ ปวดมาก ถึงกับรอ้ งครวญคราง
ทัง้ คืน ไม่ไดห้ ลับไดน้ อน...”
185
สติปัญญาท่านแหลมคมย่งิ นัก กับเร่อื งของหลวงปู่หนู
เรือ่ งนี้ ทา่ นพระครูวิบูลศลี วงศ์ วดั สัมพนั ธวงศ์ กรุงเทพฯ ได้เลา่ ใหล้ ูกศษิ ย์
คณะโพธญิ าณฟงั ดังน้ี
“...เมอื่ กอ่ นนส้ี มยั ทท่ี า่ น (พระครฯู ) เดนิ ทางไปหาหลวงปแู่ หวนทวี่ ดั ดอยแมป่ ง๋ั
ใหมๆ่ ระยะแรกๆ นนั้ ทา่ นเองกม็ คี วามรสู้ กึ ตนื่ เตน้ ในวตั ถมุ งคลหลวงปแู่ หวนมาก แตม่ า
ภายหลังเมือ่ มโี อกาสไดส้ นทนาธรรมกบั หลวงปบู่ อ่ ยเขา้ ท่านกล่าวว่าสติปญั ญาของ
หลวงปแู่ หวนนนั้ แหลมคมยงิ่ นกั ถา้ ใครไปถามทา่ นในเรอื่ งทไี่ มเ่ ปน็ เรอ่ื ง กอ็ าจจะโดน
ทา่ นยอ้ นจนพูดไมอ่ อกบอกไมไ่ ด้ทเี ดยี ว
ท่านพระครฯู เอง กเ็ คยโดยหลวงปู่ท่านยอ้ นเอาบอ่ ยๆ หรอื แม้แตห่ ลวงปู่หนู
สจุ ติ โฺ ต เอง กโ็ ดนหลวงปยู่ อ้ นเอาบอ่ ยๆ เหมอื นกนั แตท่ งั้ หลวงปแู่ หวนและหลวงปหู่ นนู ี้
เหมือนดังกบั จะร้ทู ีกนั อย่ใู นเชิงสตปิ ัญญา ถ้อยทถี อ้ ยยอ้ นกันไปยอ้ นกันมา
ก่อนหน้าที่หลวงปู่หนูจะไปรับหลวงปู่แหวนจากบ้านปงมาอยู่ท่ีวัดดอยแม่ปั๋ง
หลวงปแู่ หวนทา่ นบอกเอาไวว้ า่ ทา่ นจะขออยภู่ าวนาเงยี บๆ องคเ์ ดยี ว โดยไมย่ งุ่ เกย่ี วกบั
ใครทัง้ ส้ิน และภาระตา่ งๆ อยา่ เอามาให้ท่าน เม่อื ตกลงกนั ดังนแ้ี ล้ว หลวงปผู่ เู้ ฒา่
ท่านจึงยินยอมมาอยู่พ�ำนักภาวนาท่ีวัดดอยแม่ปั๋งแห่งนี้ เวลาล่วงผ่านไป ชื่อเสียง
186
เกยี รตคิ ณุ ของหลวงปผู่ เู้ ฒ่าโด่งดังออกไป ผู้คนทั้งใกล้และไกลพากันเดินทางไปหา
หลวงปทู่ วี่ ดั ดอยแมป่ ง๋ั อยา่ งเนอื งแนน่ หลวงปผู่ เู้ ฒา่ นนั้ แมว้ า่ สงั ขารรา่ งกายของทา่ น
จะไม่แข็งแรงดีนัก แต่ท่านก็อุตส่าห์เดินจากกุฏิออกมาให้สาธุชนได้พบได้นมัสการ
ทุกวันทง้ั เชา้ และกลางวนั แต่ก็ยงั ไม่เพยี งพอ
หลวงปู่แหวนน้ัน ท่านมีข้อตกลงกับหลวงปู่หนูอยู่ว่า ท่านจะขออยู่อย่างพระ
ผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรม แตเ่ มอ่ื เวลาคณะศรทั ธาทไี่ ปพบทา่ นตา่ งกว็ นุ่ วายจะตอ้ งขอไปกราบบน
หลงั เทา้ ของทา่ นบา้ ง คนโนน้ กจ็ ะจบั จวี รของทา่ นมาเชด็ หนา้ บา้ ง คนนกี้ จ็ ะดงึ มอื ทา่ นมา
ลบู ศรี ษะของตวั เองบา้ ง ทำ� ใหเ้ กดิ ความโกลาหล จนหลวงปทู่ า่ นเซลม้ กห็ ลายครงั้ หลายหน
เวลาหลวงปู่แผเ่ มตตาใหแ้ ลว้ ไปรับเอาของคนื ก็แย่งชงิ กันจนขา้ วของหายกม็ ี
ลักษณะเช่นน้ีเป็นความวุ่นวายท่ีหลวงปู่ท่านปรารภอยู่เสมอ หลวงปู่จึงจ�ำกัด
ตัวเอง พอเสร็จกิจที่ต้องท�ำข้างนอกแล้ว ก็ปิดประตูใส่กลอน ห้ามใครเข้าไปอีก
ชาวคณะทตี่ า่ งกเ็ ดนิ ทางไปหาทา่ นถงึ วดั ดอยแมป่ ง๋ั เมอ่ื ไมไ่ ดพ้ บทา่ น กว็ นุ่ วายทะเลาะ
กันเอง แล้วก็ต้องไปหาหลวงปู่หนูให้กราบนิมนต์หลวงปู่ออกมาจากุฏิ ระยะแรกๆ
หลวงปกู่ อ็ อกมาทกุ ครงั้ แตเ่ มอ่ื ทา่ นตอ้ งออกมาทง้ั วนั เดย๋ี วออก เดยี๋ วออก โดยไมม่ ี
เวลาภาวนาทำ� กจิ ของทา่ นเลย หลวงปแู่ หวนจงึ ทวงคำ� พดู เอากบั หลวงปหู่ นวู า่ “ทส่ี ญั ญา
กันไว้น้ัน เราจะมาอยู่ภาวนาปฏิบัติธรรมนะ ไม่ได้มาอยู่เพื่อวุ่นวายอย่างน้ี” แล้ว
หลวงปผู่ ูเ้ ฒ่าก็เข้าหอ้ งปิดประตใู ส่กลอน ไมต่ ้อนรับใครๆ แมแ้ ต่หลวงป่หู นู เพราะ
ผิดสญั ญา
ชาวคณะที่ไปถึงวัดดอยแม่ปั๋งติดต่อหลวงปู่หนูแล้ว แต่หลวงปู่ท่านไม่ยอม
ออกมาใหพ้ บกโ็ กรธจดั บรภิ าษกนั ทนั ทวี า่ หลวงปหู่ นเู ปน็ ทศกณั ฐ์ เปน็ ยกั ษเ์ ปน็ มาร
อย่างนั้นอย่างนี้บ้าง บางรายถึงขนาดพกมีดพกปืนพกอาวุธข้ึนไปบนดอยจะท�ำร้าย
หลวงปหู่ นทู า่ น อยา่ งนก้ี ม็ ี เปน็ อยเู่ ชน่ นบี้ อ่ ยครงั้ เขา้ ผทู้ เี่ ขา้ ใจเรอ่ื งนดี้ ตี า่ งกพ็ ยายาม
ช่วยอธิบาย ชว่ ยตักเตอื น ช่วยแกไ้ ข ไม่ใหเ้ กดิ เป็นบาปเป็นกรรมกับผู้ที่ปากไวใจไว
ทง้ั หลาย แตไ่ มไ่ ดผ้ ล เพราะคนเรามกั จะคดิ ถงึ ประโยชนข์ องตวั เอง เขา้ ขา้ งตวั เองโดย
187
ไมม่ องความเดอื ดรอ้ นของคนอน่ื บางคน บางคณะ แมว้ า่ จะมบี ญุ ไดพ้ บไดก้ ราบหลวงปู่
แล้วก็ยงั อุตสา่ หท์ ำ� ใหเ้ กดิ กรรมให้เป็นรอยดา่ งในดวงใจของตวั เองเสยี อกี
โดยสรปุ หลวงปหู่ นทู า่ นโดนเรอ่ื งการถกู ดา่ ถกู วา่ ถกู โจมตี จนชาชนิ ทา่ นโดนมาก
ชนดิ ท่ียากทใ่ี ครจะทนทานได้ นบั วา่ หลวงปหู่ นไู ดบ้ ำ� เพญ็ ขนั ตบิ ารมมี ากเกนิ กวา่ ทจ่ี ะ
มีใครสรา้ งได้อย่างท่านทีเดียว...”
188
รายงานการอาพาธและมรณภาพของหลวงปู่
สรปุ ย่อมาจากรายงานของแพทย์ทถี่ วายการรกั ษาหลวงปู่ มีดงั น้ี
หลวงปแู่ หวน สจุ ณิ โฺ ณ เรมิ่ อาพาธในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เมอื่ ทา่ นมอี ายุ ๙๐ ปี ซง่ึ อยู่
ในวัยชราภาพมากแลว้ เรม่ิ ตน้ เมอ่ื วันท่ี ๒ พฤษภาคม เวลา ๓ นาฬิกา หลวงปู่
ไหวพ้ ระสวดมนตต์ ามปกติ ตอนลกุ ขน้ึ ทา่ นเสยี การทรงตวั เซไปแลว้ ลม้ ลง เกดิ รอยชำ้�
ทีแ่ ขนและไหล่ซ้าย เปน็ ผลใหส้ ขุ ภาพของทา่ นทรดุ ลงเรือ่ ยมา
๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ท่านท้องร่วงอยา่ งแรง มไี ข้ รา่ งกายอ่อนเพลยี
๗ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๒๐ เวลา ๑๖.๔๐ น. หลวงปลู่ ม้ ขณะทลี่ กุ ขน้ึ จะไปหอ้ งนำ�้
สีข้างด้านซา้ ยไปถูกโคมตะเกยี งนำ้� มนั ก๊าด มรี อยแผลถลอกและรอยช�้ำของผวิ หนัง
ดา้ นซ้าย แขนซา้ ยได้รบั บาดเจบ็ มีอาการแทรกซอ้ นตามมา คอื ปสั สาวะไม่ออก ถา่ ย
อุจจาระล�ำบาก
ขณะหลวงปู่อาพาธอยู่นั้น ท่านมักจะสงบจิตเข้าอยู่ภายในเกือบตลอดวัน
ตลอดคนื ดอู าการภายนอกของทา่ นจงึ ดเู หมอื นวา่ จะหมดหวงั เอาทเี ดยี ว บางครงั้ ทา่ น
ไมย่ อมพดู ไมย่ อมฉนั เลยเปน็ เวลาหลายๆ วนั ถงึ เวลาฉนั อาหาร ฉนั ยา ฉนั นำ�้ ปลกุ ทา่ น
ข้ึนมา ทา่ นลกุ ขน้ึ นัง่ แตจ่ ิตท่านยงั อยใู่ นความสงบ เวลาปอ้ นอาหารใสป่ าก อาหาร
กค็ า้ งอยใู่ นปากเชน่ นนั้ เองเพราะทา่ นไมเ่ คย้ี ว เอานำ้� ใหด้ ม่ื เอายาใหฉ้ นั กเ็ หมอื นกนั
189
ตาของทา่ นลมื คา้ งอยไู่ มก่ ระพรบิ ดเู หมอื นไมม่ ชี วี ติ ชวี า ทงั้ นเ้ี พราะทา่ นยงั ไมถ่ อนจติ
จากความสงบภายในออกมารับอารมณภ์ ายนอก
ลม้ ครง้ั ทส่ี อง เมอื่ ๒๖ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ทางวดั จดั ใหม้ งี านผกู พทั ธสมี า
พระอุโบสถ เวลา ๑๐.๐๐ น. ขณะยืนครองผ้า พอเอ้ยี วตวั จะเดิน ขาของหลวงปไู่ ป
สะดดุ ชายจวี ร สดุ วสิ ยั ทคี่ ณะศษิ ยจ์ ะรบั ไวท้ นั ทา่ นลม้ ลงทำ� ใหเ้ จบ็ ซโ่ี ครง เจบ็ บน้ั เอว
เจบ็ กระดกู สนั หลงั ลกุ ขนึ้ ไมไ่ ด้ หมอตอ้ งใสเ่ ฝอื กใหห้ ลวงปตู่ อ้ งนอนอยกู่ บั ที่ ๑ เดอื น
จึงหายเป็นปกติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จเย่ียมหลวงปู่เป็นการส่วน
พระองค์
อาพาธหนกั ในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ อายุ ๙๖ หลวงปลู่ ม้ ครง้ั ทส่ี าม เมอื่ ๑๓ กนั ยายน
พ.ศ. ๒๕๒๖ ประสบอุบัตเิ หตุล้มฟาดพ้ืนหอ้ งน้�ำในกุฏิ เปน็ เหตใุ หก้ ระดกู บริเวณ
ตะโพกซ้ายร้าว มีอาการน่าวิตก แพทย์จึงน�ำท่านเข้ารักษาท่ีโรงพยาบาลมหาราช
นครเชยี งใหม่ ดว้ ยการผา่ ตดั ดว่ น ดว้ ยการเปลยี่ นกระดกู ตะโพกขวาซงึ่ แตก ๓-๔ เสย่ี ง
ตอ้ งใชห้ ัวกระดูกเหล็กใส่แทน อยโู่ รงพยาบาล ๒ สปั ดาห์ แล้วกลบั วดั
๔ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๒๖ อาการของหลวงปทู่ รดุ หนกั มอี าการออ่ นเพลยี มาก
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวฯ พร้อมด้วยสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯ เสดจ็ เย่ียม
อาการท่ีวดั
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ หลวงปมู่ อี าการขาดโลหติ ไปเลย้ี งทส่ี มอง คณะแพทยไ์ ดน้ มิ นต์
หลวงปเู่ ขา้ รกั ษาอาการทโ่ี รงพยาบาลมหาราช นครเชยี งใหม่ ตงั้ แตว่ นั ท่ี ๒๖ มนี าคม
โดยหลวงปู่เป็นคนไข้ประเดิมตึกสุจิณโณ จากการตรวจสมองด้วยเคร่ืองเอ็กซเรย์
คอมพวิ เตอร์ พบเนอื้ สมองดา้ นขวาสว่ นหนง่ึ ไมท่ ำ� งาน เนอ่ื งจากโลหติ ไมไ่ ปหลอ่ เลยี้ ง
สมองส่วนนัน้ แพทย์ใหก้ ารรักษาจนอาการดีข้นึ และได้กลับวดั วนั ที่ ๑๑ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๒๗ อาพาธหนักอกี เมอื่ ปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๗ วนั ท่ี ๒๗ ธนั วาคม หลวงปู่
มอี าการไขแ้ ละทอ้ งเดนิ แพทยต์ อ้ งใหน้ ำ้� เกลอื ทางเสน้ เลอื ด แตต่ อ้ งเจาะใหมห่ ลายครงั้
เพราะเส้นเลือดแตก
190
วนั ที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๘ เวลา ๑๖.๓๐ น. พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ฯ
สมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกฎุ ราช-
กุมาร สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามมกฎุ ราชกมุ ารี และสมเด็จพระเจา้ ลูกเธอ
เจ้าฟา้ จฬุ าภรณว์ ลยั ลักษณ์ เสด็จเยย่ี มหลวงปูท่ ่วี ดั ดอยแมป่ ๋งั
วันที่ ๒๔ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๒๘ เวลา ๑๖.๒๐ น. สมเดจ็ พระนางเจ้าฯ
พระบรมราชนิ นี าถ พรอ้ มดว้ ยสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกฎุ ราชกมุ าร เสดจ็
เยยี่ มหลวงป่ทู วี่ ดั
เขา้ โรงพยาบาลครง้ั สดุ ทา้ ย วนั ท่ี ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘ หลวงปมู่ อี าการไขส้ งู
อจุ จาระสดี ำ� เขา้ ใจวา่ เปน็ เพราะโลหติ ออกในทางเดนิ อาหาร คณะแพทยน์ ำ� หลวงปเู่ ขา้ รบั
การรกั ษาท่ีโรงพยาบาลมหาราช นครเชยี งใหม่
วนั ท่ี ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘ เวลา ๑๖.๓๐ น. พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ฯ
สมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินนี าถ พรอ้ มด้วยสมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟา้ -
จฬุ าภรณว์ ลยั ลักษณ์ ทรงเยี่ยมอาการอาพาธของหลวงปู่
วนั ที่ ๔ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๒๘ หลวงปมู่ อี าการอาเจยี นขณะฉนั อาหาร ไอและหอบ
ต้องให้อ๊อกซิเจนช่วยหายใจ แพทย์ได้ผ่าตัดท้องใช้สายยางสอดเข้าไปในกระเพาะ
เพ่ือให้อาหาร ใชเ้ วลาผ่าตัด ๒ ช่ัวโมง หลังจากนน้ั หลวงปู่ได้อาพาธตลอดมา และ
ถึงมรณภาพในที่สดุ เมอ่ื วันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ เวลา ๒๑.๕๓ น. ณ
โรงพยาบาลมหาราช นครเชยี งใหม่ สริ ริ วมอายขุ องหลวงปไู่ ด้ ๙๘ ปี ๕ เดอื น ๑๖ วนั
สำ� หรบั พธิ ีศพทท่ี างราชการจดั ถวายหลวงปู่นนั้ เบ้ืองตน้ ในชว่ งเช้าของวันที่ ๓
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ ไดจ้ ดั ใหป้ ระชาชนทวั่ ไปเขา้ รดนำ้� ศพทศี่ าลาอา่ งแกว้ บรเิ วณ
มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ในชว่ งบา่ ย พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ฯ สมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ
พระบรมราชินีนาถ และ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสดจ็
พระราชดำ� เนนิ พระราชทานอาบน้�ำศพ หลังจากน้ัน ไดอ้ ัญเชิญศพหลวงปู่ไปตั้งเพือ่
บำ� เพ็ญกุศลที่วัดดอยแมป่ ๋ัง เพ่ือรอพระราชทานเพลงิ ศพตอ่ ไป
191
พระธรรมเทศนา
พระสุจิณฺโณ หลวงป่แู หวน
193