พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๔๑
เขา มา ทาํ ความยากลาํ บากใหเ ปน อนั มาก จนกระทง่ั ถงึ ป 275 BC
แอนไทโอคัสใชชางอินเดียรบเอาชนะพวกกอลสได ทําใหประดา
นครรัฐโยนกท่ีปลอดพน จากการรงั ควาญของพวกกอลส พากันช่นื
ชมนับถือพระองคดุจเปนเทพเจา แอนไทโอคัสจึงไดพระสมัญญา
วา เปน Antiochus I Soter (แอนไทโอคัสท่ี ๑ พระผูมาโปรด)
สําหรบั พระเจา Seleucus ที่ ๑ นัน้ เอง เมอื่ ยอมตกลงสละดิน
แดนแกมคธอยางน้นั แลว ก็เลยเปน ไมตรกี นั กับพระเจา จันทรคุปต
สบื ตอมา ทําใหเ กิดผลดีทางประวตั ิศาสตรอีกอยา งหน่งึ ดวย คอื มี
การแลกเปลี่ยนราชทูตกัน โดยเฉพาะราชทูตกรีกชาวโยนก
(Ionian) ชอ่ื เมคาสธนี สี (Megasthenes) ทม่ี าประจาํ ราชสาํ นกั มคธ
สมัยนนั้ ไดเ ขยี นหนังสอื ช่ือ Indica (มี ๔ เลม ) เลา เร่ืองชมพทู วีปไว
ทําใหทางตะวันตกคือกรีกสมัยนั้นไดรูเขาใจเรื่องอินเดียมากท่ีสุด
ต้งั แตติดตอ กันมา (ฉบับเดมิ สญู ไปแลว แตเ น้ือหายังอยูใ นหนงั สอื
ของนักเขยี นกรกี รุนตอมาท่ีเอาไปอางไปเลาตอ มากมาย)
[เร่ืองเมคาสธนี สี นี้ ซงึ่ อยใู นราว พ.ศ.๑๗๘ ขอใหน ึกเทยี บกับ
เรื่องราวดานจนี ที่ตอ มามีนกั เดนิ ทางชาวเมืองเวนสี แหง อติ าลี ชอื่
มารโ ค โปโล (Marco Polo) เขามาถึงใน พ.ศ.๑๘๐๘ (ค.ศ. 1265)
และเปนที่โปรดปรานของจักรพรรดิกุบไลขาน ซึ่งไดเขียนบันทึก
เรอื่ งราวไว ทางตะวันตกจงึ รเู ร่ืองดา นจีน เทากับหลงั ดานอินเดีย
นานนกั หนา]
พระเจา จันทรคปุ ตท ํามคธใหย ิง่ ใหญไ พศาล ชมพทู วีปเจรญิ
มนั่ คง และหลังจากครองราชยได ๒๔ ป ก็สวรรคตใน พ.ศ.๑๘๖
๔๒ หลักศิลาจารึกอโศก
อโศกมหาราช: ตอ เม่อื ดี จงึ ยิ่งใหญจริง
เมื่อพระเจาจันทรคุปตสวรรคตแลว โอรสซึ่งมีพระนามวา
พนิ ทสุ าร ครองราชยต อ มาอกี ๒๘ ป ส้นิ รชั กาลแลว จึงถงึ ยคุ ของ
พระเจา อโศกมหาราช เรม่ิ ตงั้ แต พ.ศ.๒๑๔
พระเจาอโศกมหาราชเปนโอรสของพระเจาพินทุสาร เมื่อ
พระราชบิดายังครองราชยอ ยู ไดสงอโศกกมุ ารไปเปนอปุ ราชครอง
แควน อวันตี อยทู ี่กรงุ อุชเชนี
เวลาน้นั อุชเชนีเปน เมอื งหลวงของแควน อวนั ตี ซ่งึ ไดก ลาย
เปนสวนหนึ่งของแควนมคธมานานแลว
พอพระเจาพินทุสาร พระราชบิดาสวรรคต อโศกกุมารตอน
นนั้ ดรุ า ยมาก กเ็ ขา มาจดั การเขน ฆา พน่ี อ งหมดประมาณ ๑๐๐ องค
เหลือไวแตอนชุ ารวมพระมารดาองคเดียว ขึ้นครองราชยแ ตผเู ดยี ว
แลวทาํ สงครามขยายดนิ แดนออกไปอกี
พระเจาอโศกไดแผอํานาจรุกรานตีลงไปจนกระทั่งถึงแควน
กลงิ คะ ซง่ึ เปน อาณาจักรทไี่ ดช อื่ วา มนี กั รบเกง กาจ มีกองทพั ทเ่ี ขม
แข็ง มคี วามสามารถอยา งยงิ่ ไดร บกันอยูเปนเวลานาน เกดิ ความ
เสียหายมากมายดวยกันท้ังสองฝาย ในท่ีสุดพระเจาอโศกก็ชนะ
แควน กลงิ คะกแ็ ตกไป
แตก ารรบคร้งั น้ี เปน ภัยพบิ ตั ทิ ่รี ายแรงมาก คนตายเปน แสน
สญู หายเปน แสน ถกู จบั เปน เชลยกเ็ ปน แสน ถงึ ตอนนน้ี แ่ี หละทพี่ ระ
เจา อโศกทรงสลดพระทยั แลวหนั มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา นบั วา
เปนเหตุการณท่ีสาํ คญั มาก ถึงขนั้ เปลี่ยนประวตั ศิ าสตรเลยทเี ดียว
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๔๓
เรื่องตอนน้ี มีคัมภรี เลาเหตุการณทีพ่ ระเจาอโศกทรงหันมา
นับถือพระพุทธศาสนาวา๑ วันหนึ่ง พระองคทอดพระเนตรเห็น
สามเณรนามวานิโครธ ผมู ลี ักษณะอาการสาํ รวมสงบ มอี ิริยาบถ
งดงาม ทรงชื่นชมเล่ือมใส จึงโปรดใหอํามาตยน ิมนตส ามเณรเขา
มา ณ ทีป่ ระทบั ทรงถวายภัตตาหาร แลวตรัสถามวา สามเณร
ทราบคําตรัสสอนของพระพุทธเจาไหม สามเณรนิโครธน้ันท่ีจริง
เปนพระอรหันต ไดถวายพระพรตอบวาพอทราบอยูบาง และได
ถวายอนุโมทนาดวยคาถาธรรมบทอันแสดงหลักความไมประมาท
ทําใหพระเจาอโศกทรงเลื่อมใสย่ิงขึ้น ทรงอุปถัมภบํารุงพระภิกษุ
จาํ นวนมาก และไดต ้งั อยูในสรณะและศลี
คัมภีรเ ลาภมู ิหลังวา แทจริง สามเณรนิโครธนั้น คอื โอรสของ
เจาชายสุมนะ ซึ่งเปนพระราชโอรสองคใหญข องพระเจาพินทุสาร
เมื่อพระเจา พินทสุ ารจะสวรรคต เจา ชายอโศกเขา มายดึ อํานาจ จับ
เจาชายสุมนะสงั หารเสยี ชายาของเจาชายสุมนะซึ่งมคี รรภแก ได
หลบหนีไปจนถึงหมูบ า นคนจัณฑาลแหง หน่ึง และประสูตเิ จา ชาย
นโิ ครธท่ีน่ัน แลว ไดร บั การดูแลจากหัวหนาคนจณั ฑาลจนอายุ ๗
ขวบ จงึ ไดบ รรพชาเปน สามเณร และตอมาไดพ บกบั พระเจา อโศก
ดังที่เลา ขางตน
อยางไรก็ตาม เร่ืองและชื่อของนิโครธสามเณรไมป รากฏใน
เอกสารหลักฐานอื่นเทาที่ไดพบ นอกจากคัมภีรร ุน ตอมาภายหลัง
อรรถกถาน้นั
๑ สมันตปาสาทิกา อรรถกถาแหง วนิ ัยปฎก, วนิ ย.อ.๑/๔๓
๔๔ หลักศลิ าจารกึ อโศก
แมว า จะหยดุ ขยายอาํ นาจแคน ้ี อาณาจกั รมคธในสมยั พระเจา
อโศกมหาราชกย็ ังใหญก วา งยิ่งกวา ประเทศอินเดยี ในปจ จบุ นั เปน
อินเดียยคุ ที่มดี นิ แดนกวา งใหญท ส่ี ุดในประวัติศาสตรของประเทศ
แตก ใ็ หญอ อกไปทางสองปก คือทางทิศตะวันออก และทาง
ทิศตะวันตกเฉยี งเหนอื ออกไปทางปากสี ถาน และอัฟกานสิ ถาน
สวนทางใตครอบคลุมไปไมหมด เพราะพระเจาอโศกทรง
หยุดแผขยายอาณาจักรหลังจากทําสงครามชนะแควนกลิงคะ
(บางทีเขียน กาลิงคะ) คือถึงถ่ินที่ปจจุบันเรียกวาแควนโอริสสา
(Orissa) แลวก็หยดุ แคนน้ั เพราะทรงหนั มายดึ หลักธรรมวชิ ัยของ
พระพุทธศาสนา
เปนอันวา เม่ือพระเจาอโศกมหาราชหันมานับถือพระพุทธ
ศาสนาแลว ก็ไดเ ปลย่ี นนโยบายใหม จากสังคามวชิ ยั คือเอาชนะ
ดว ยสงคราม๑ มาสูธรรมวิชยั แปลวาชนะดว ยธรรม คือเอาชนะใจ
กันดว ยความดี ก็ไดสรา งสมความดเี ปนการใหญ มีการทํางานเพื่อ
สรางสรรคป ระโยชนส ขุ แกประชาชนอยางมากมาย
พระราชกรณียกิจที่พระเจาอโศกมหาราชทรงบําเพ็ญเพ่ือ
ประโยชนสขุ ของประชาชน มอี ยางไรบาง ปรากฏอยใู นศิลาจารึก
ของพระองค ซงึ่ จะไดพดู ถงึ ตอ ไป
ในทน่ี ้ี เพียงแตต้งั ขอ สังเกตอยา งหนงึ่ คือ ในเรอื่ งการปฏบิ ตั ิ
ตอทรพั ยสนิ เงนิ ทอง เราควรจะไดคติตอไปนจ้ี ากเรื่องพระเจา อโศก
๑ การเอาชนะดว ยสงครามน้ี ในจารกึ (พบในจารกึ ศิลา ฉบบั ที่ ๑๓) เรยี กวา สายกวชิ ยั
หรือสรสกวชิ ัย
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๔๕
ตามปกติพระเจาอโศกนี้ ก็เชนเดียวกับกษัตรยิ ส มยั โบราณ
จํานวนมาก ท่ีมุงจะแสวงหาความยิ่งใหญใหแกตนเอง และ
ตองการบํารุงบําเรอความสุขสวนตน อยางที่เรียกวา แสวงหา
โภคะและยศ หรือแสวงหาทรัพยและอาํ นาจ เพอ่ื บํารุงบําเรอตัว
เอง และเพื่อแสดงความยิง่ ใหญข องตน
ทรัพยแ ละอํานาจ โดยท่ัวไปมักจะมีความหมายอยา งน้ี
ทีนี้ เม่ือพระเจาอโศกมหาราชหันมานับถอื พระพทุ ธศาสนา
แลว ทางธรรมสอนวา ทรพั ยส นิ เงนิ ทองและความยงิ่ ใหญ ทกุ อยา ง
ลว นเปน อนจิ จงั เปน สงิ่ ที่ไมเทยี่ ง เกิดขน้ึ ต้งั อยู แลวก็ดับไป ไมม ี
สาระท่แี ทจ รงิ ไมควรจะเอาชวี ติ ไปฝากไวกบั ส่ิงเหลาน้ี ไมค วรหวงั
ความสขุ หรือความประเสริฐจากทรพั ยสินเงนิ ทองและอาํ นาจ
ฉะน้ัน ทรัพยส นิ เงนิ ทองกไ็ มมคี วามหมายทแี่ ทจริง
เม่อื ทรพั ยสนิ เงินทองไมม ีความหมายแลว มองในแงหนง่ึ ก็
จะทําใหเกิดความเบื่อหนาย เพราะวาเมื่อมองเห็นทรัพยสินเงิน
ทองเปน เพยี งของนอกกาย เกิดขน้ึ แลว กด็ บั ไป เปนอนิจจงั ไมม ี
คุณคาทแี่ ทจ ริง ถา เปน อยา งน้ีเราก็ไมควรเอาใจใส นี่คอื ทาทีอยา ง
หนง่ึ ตอ ทรัพยสมบตั ิ
ถาพระเจาอโศกทรงมองเหน็ อยา งนน้ั พระองคก ค็ งจะไมเ อา
พระทยั ใสก บั พระราชทรพั ยแ ละอาํ นาจตอไป ซึง่ กจ็ ะตอ งตง้ั คําถาม
วา จะเปนการปฏิบัติที่ถกู ตองหรือไม
ปรากฏวา พระเจา อโศกไดท าํ สง่ิ หนงึ่ ทถ่ี อื ไดว า เปน แบบอยา ง
แกชาวพุทธที่สาํ คัญคือ พระเจาอโศกนั้น ไมไดทรงทิ้งทรัพยและ
๔๖ หลักศิลาจารกึ อโศก
อาํ นาจ แตไ ดท รงเปล่ยี นความหมายของทรพั ยและอํานาจเสียใหม
อยางที่ไดกลาวไวเมื่อก้ีวา ทรัพยและอํานาจน้ัน มีความ
หมายสาํ หรบั ปุถุชนจํานวนมาก คือเปน เครอื่ งบาํ รงุ บาํ เรอความสขุ
ของตน และแสดงความยงิ่ ใหญ
แตพระเจาอโศกไดทรงเปลี่ยนความหมายของทรัพยและ
อํานาจใหมเปนวา ทรัพยและอาํ นาจนนั้ สามารถใชเ ปนเคร่ืองมอื
ของธรรมได คือใชเปนเครือ่ งมอื ในการสรา งสรรค ทําความดีงาม
และประโยชนส ุขใหแ กประชาชน
ดวยความคิดเชนน้ี พระเจาอโศกก็ทรงนําเอาทรัพยและ
อํานาจท่พี ระองคเคยมนี น่ั แหละมาใช แตเ ปล่ยี นใหม คือแทนทจ่ี ะ
เอามาบํารุงบาํ เรอตนเอง ก็เอามาใชสรางสรรคความดีงามและ
ประโยชนส ขุ อยา งทว่ี า
จงึ ไดท รงสรา งโรงพยาบาลคน โรงพยาบาลสตั ว ทว่ั พระราช
อาณาจกั ร สรา งถนนหนทางเชอ่ื มตอ ใหก วา งขวางทว่ั ถงึ ปลกู ตน ไม
ขดุ บอ นา้ํ สรา งทพี่ กั คนเดนิ ทาง และสรา งอา งเกบ็ นา้ํ ใหก ารศกึ ษา
แกป ระชาชน ทาํ ศลิ าจารกึ ประกาศธรรม แถลงเรอื่ งท่เี ปน นโยบาย
ของรัฐในทางธรรม ที่จะใหผูบริหารปกครองทองถ่ินนําไปส่ังสอน
ประชาชน ตลอดจนอปุ ถัมภพ ระศาสนาอยางมากมาย
พระเจาอโศกมหาราชไดทรงสรางวัดขึ้นท้ังหมด เรียกวา
“วิหาร” จาํ นวน ๘๔,๐๐๐ วดั ทว่ั มหาอาณาจกั รของพระองค คง
จะใหเทากับพระธรรมวินัยของพระพุทธเจาท่ีมีทั้งหมด ๘๔,๐๐๐
พระธรรมขนั ธ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๔๗
ในแควน มคธน้ี มวี ัดจาํ นวนมากมาย วัด ภาษาบาลเี รยี กวา
วหิ าร มหาวิหารก็คอื วดั ใหญ
คําวา “วิหาร” นี้ ถา แผลง ว. เปน พ. ก็จะเปน พหิ าร เหมอื น
อยา งในประเทศไทยเรานยิ มแปลง ว. เปน พ. เยอะแยะไป วหิ ารก็
กลายเปนพิหาร แปลวา “วดั ”
ตอมา เม่ืออาณาจักรของพระเจาอโศกมหาราชไดเส่ือม
สลายลงไป กม็ ซี ากวดั วาอารามเหลืออยมู ากมาย เนือ่ งจากแควน
มคธน้ีเปน ดินแดนทีเ่ ต็มไปดว ยซากของวดั คือวิหาร หรอื พหิ าร
ฉะนั้น ตอมาก็เลยเรียกช่ือดินแดนแถบน้ี ตั้งชื่อเปนแควน
หรอื รัฐวา แควนพิหาร หรอื รฐั วหิ าร (State of Bihar) อยางท่เี รารจู ัก
กนั เปน ชื่อทางการในปจจุบัน ทเี่ ปน อยางนีก้ เ็ พราะมวี ัดมากมาย
เหลอื เกิน ซ่งึ พระเจา อโศกสรางไว ยงั มีซากเหลืออยู
พระเจาอโศกสรางวิหารทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ แหง ทั่วราช
อาณาจักร และวดั เหลานัน้ กไ็ ดเ ปน ศูนยกลางทางการศึกษา
บางแหงไดเจริญเติบโตจนเปนมหาวิทยาลยั เชน นาลนั ทา
ซึง่ เดมิ ก็เปน วิหารหนึ่ง แลว ไดขยายเปน มหาวหิ าร คอื วัดใหญ โดย
เกิดจากการรวมกันของวัดเล็กวัดนอยท่ีเปนศูนยการศึกษา แลว
พัฒนาขน้ึ มาจนเปน มหาวิทยาลยั นาลันทา
ชื่อในภาษาบาลี เรียกวา นาลันทามหาวหิ าร ก็คือวดั ใหญน ัน่
เอง หลายทา นทไ่ี ปอนิ เดยี มา ไดเหน็ แมเ พียงซาก ก็มองเห็นไดถ งึ
ความยง่ิ ใหญข องมหาวิทยาลัยนาลนั ทาวา เปน อยางไร
๔๘ หลักศิลาจารกึ อโศก
ทรัพยแ ละอาํ นาจตองรับใชธ รรม
พระเจาอโศกมหาราชไดท รงใหค วามหมายใหมแ กท รพั ยแ ละ
อาํ นาจ แลวก็ทรงใหบ ันทกึ ไวใ นศิลาจารกึ ของพระองค
ศิลาจารึกของพระเจาอโศกแหงหนึ่ง มีขอความจารึกไววา
ยศ คือความยงิ่ ใหญของพระองคน ั้น จะไมม ีความหมายเลย ถาไม
เปน ไปเพอ่ื ชว ยใหประชาชนไดป ระพฤติธรรม
หมายความวา พระเจาอโศกไดท รงใชท รัพยและอาํ นาจ เปน
เคร่ืองมือแหงธรรม เพือ่ เผยแพรธรรมหรอื สรา งสรรคธ รรม ทําให
ความดีงามหรือธรรมนี้แผขยายไปในหมูมนษุ ย เพ่ือสรางสรรคใ ห
เกดิ ประโยชนส ุขอนั แทจรงิ อันนีเ้ ปน คติทส่ี าํ คญั มาก
ขอยกขอ ความในศลิ าจารกึ คอื ธรรมโองการ ในจารกึ ศลิ า
ฉบบั ท่ี ๑๐ มาใหดู ดังนี้
สมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวปยิ ทัสสี ผเู้ ป็นที่รกั แห่งทวยเทพ
ไม่ทรงถอื ว่า ยศหรอื เกียรตจิ ะเปน็ สง่ิ มีประโยชน์มาก เวน้
แตจ่ ะทรงปรารถนายศหรือเกียรตเิ พือ่ ความม่งุ หมายนี้ว่า
“ทั้งในบัดน้ี และในเบ้ืองหน้ า ขอประชาชนทั้ง
หลายจงตั้งใจสดับฟังคําสอนธรรมของข้าฯ และจงปฏิบัติ
ตามหลกั ความประพฤตทิ างธรรม”
คาํ วา “ยศ” ในภาษาบาลีน้นั แปลงายๆ วา ความย่ิงใหญ มี
๓ อยาง คือ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๔๙
๑. เกยี รตยิ ศ ยศ คอื เกยี รติ ไดแ กค วามมชี อื่ เสยี ง มเี กยี รตคิ ณุ
๒. อสิ สริยยศ ยศ คือ ความยิ่งใหญ
๓. บรวิ ารยศ ยศ คือ บรวิ าร
คนทม่ี คี วามคดิ ดๆี มเี จตนาดี มสี ตปิ ญ ญาดี แตถ า ไมม ที รพั ย
ไมมีอํานาจ ไมมียศ ก็ไมสามารถสรางสรรคความดีงามหรือ
ประโยชนส ขุ ไดม าก เราคิดขึ้นมาวา จะทาํ การท่ีดเี ปน ประโยชนสัก
อยางหนง่ึ แตไมมเี งนิ ไมม บี ริวาร ไมมอี าํ นาจ จะทาํ ไดแคไ หน ทํา
ไดนิดเดียวกจ็ บ แตถ า มที รัพย มอี าํ นาจ มีบรวิ ารแลว พอมีสติ
ปญญาดี มคี วามคดิ ดีๆ ขน้ึ มา ก็สามารถทาํ ไดใ หเกดิ ผลกระจาย
ขยายออกไปไดกวา งขวาง เหมอื นดังพระเจา อโศกมหาราช
เร่ืองพระเจาอโศกมหาราชนี้ จงึ เปน คตเิ ปน แบบอยา งทด่ี ี ที่
ใหห ลกั แกเ ราในการปฏบิ ตั ติ อ ทรพั ยและอํานาจอยา งทีก่ ลาวมาน้ี
ชาวพทุ ธมคี ตวิ า เราไดเ รยี นรธู รรมแลว วา ทรพั ยส นิ เงนิ ทอง
และอาํ นาจน้ี เปน ของนอกกาย ไมเ ทยี่ งแทย ั่งยืน และไมเปนแกน
สารแทจ รงิ จึงไมควรยดึ ถอื เปน จุดหมายของชีวติ
ขอนห้ี มายความวา เราไมไดเ ห็นความหมายของทรพั ยและ
อาํ นาจในแงทีเ่ ปน เรือ่ งของความเหน็ แกต วั หรือเปน ประโยชนสวน
ตน และไมยึดตดิ ตกเปนทาสของมนั ใหเ กดิ กอ ทกุ ขภ ยั ทง้ั แกต นและ
ผอู น่ื แตเ รามองอยา งพระเจา อโศก คือ คดิ ทจี่ ะใชมันเปนเคร่ืองมือ
ของธรรม
ไมใชหมายความวา ทรัพยและอํานาจเปนอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา แลว ก็เลยไมเ อาใจใส ไมบริหาร ไมใ ชอ ยา งน้นั เราตอ งรู
จักเอามันมาใชเ ปน เครือ่ งมอื สรางสรรคสิง่ ที่ดงี ามและประโยชนส ุข
๕๐ หลักศลิ าจารกึ อโศก
อนั น้ีถือวา เปนวธิ ีปฏบิ ัตอิ ยางถูกตอ งของชาวพุทธทีเ่ ปน คฤหัสถ
แตถาไมอยากเกี่ยวของกับทรัพยและอาํ นาจ ก็ออกบวชไป
เลย จะไดไปทาํ หนาที่ทางธรรมอีกแบบหน่ึง คือ นําธรรมที่เปน
สาระทางนามธรรม ไดแ กส ติปญ ญา ไปแจกจาย เพือ่ ใหป ระชาชน
ดาํ เนนิ ชีวติ ใหถ ูกตอ งเกดิ ประโยชนสขุ แกช ีวติ และสังคมของเขา
ฉะน้นั จงึ มีคติ ๒ อยา ง คอื
• ถาอยูเปนคฤหสั ถ ก็ใหใ ชทรพั ยและอํานาจเปนเครื่องมือ
ของธรรม ใหเปนประโยชนใ นการสรา งสรรคความดีงาม
หรอื
• ถาเบื่อหนายไมอยากเกี่ยวของกับทรัพยและอํานาจ ก็
ออกบวชไปเผยแพรธ รรมใหเ ปนประโยชนแ กประชาชน
ถามฉิ ะนั้น จะกลายเปนคนครง่ึ ๆ กลางๆ มีทรัพยม ีอาํ นาจ
แลว บอกวา เบอ่ื หนา ย ไมเ อาเรอ่ื งเอาราว จะทาํ อยา งไรกไ็ มท าํ ไม
รบั ผิดชอบ ทรัพยและอาํ นาจน้นั เมอ่ื ไมไดรบั การบริหาร ไมมีคน
รบั ผดิ ชอบ กเ็ สียหายหมด ไมเกิดประโยชนทง้ั แกตนเองและสงั คม
และชวี ิตของคนผูนั้นเองก็ไมไ ดเ จริญงอกงามอะไรขึ้นมา
ดเู ร่ืองพระเจา อโศก กใ็ หไ ดคตอิ ยา งนอยสักอยา งหน่งึ น้ี
๒
อโศกธรรม - ธรรมวิชยั
- -
อโศกมหาราช - อโศกธรรม
เรื่องหนึ่งท่ีนาสนใจมาก เก่ยี วกบั ศิลาจารึกของพระเจา อโศก
คือ นักปราชญเมืองฝร่ังและในอินเดียสวนมาก อานหรือศึกษา
ศลิ าจารึกนั้นแลว มักลงความเหน็ วา พระเจา อโศกมหาราช แมจะ
ทรงเปนพุทธมามกะท่ีมีศรัทธาแรงกลาและเอาพระทัยใสในการดู
แลรักษาพระพุทธศาสนาอยางย่ิง แตในเวลาที่ทรงเผยแผส่ังสอน
ธรรมในศิลาจารกึ ไดท รงพยายามวางพระองคเ ปน กลางๆ ไมต รสั
ถึงหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเลย แตทรงสอนธรรมท่ีเปนหลัก
ความประพฤติทั่วไปอนั มหี รอื เปน ท่ียอมรบั ในทกุ ๆ ศาสนา
ยกตวั อยา ง T. W. Rhys Davids ซงึ่ เปน นักปราชญสําคัญ
ทางพระพุทธศาสนา เชี่ยวชาญภาษาบาลี (ผูตั้ง Pali Text
Society ท่ี London) กลาววา (ในศิลาจารึกนนั้ )
“ไมมีสักคําที่พูดถงึ พระพทุ ธเจา หรอื พทุ ธศาสนา …
อรยิ สจั ๔ ปฏจิ จสมปุ บาท นพิ พาน และหลกั ธรรมสําคญั
ขออืน่ ๆ ของพุทธศาสนา ไมป รากฏในศิลาจารกึ เลย”
๕๒ หลักศลิ าจารึกอโศก
หนงั สือ The Cambridge History of India (5 volmes, 1922-
37) เขยี นวา
“เราไมไดฟงพระเจาอโศกตรัสถึงธรรมที่ลึกซึ้งหรือ
หลักพื้นฐานของพุทธศาสนาเลย ไมมีการกลาวถึง
อริยสจั ๔ มรรคมอี งค ๘ ปฏจิ จสมุปบาท พระอจั ฉริย
คณุ ของพระพทุ ธเจา (อีกท้ัง) ไมม คี ํากลา วถึงหรือแสดง
หลกั แหง นพิ พานเลย”
R.K. Mookerjee กลาวไวใ นหนงั สือ Asoka วา
“ธรรมท่ีนําเสนออยางนั้น ในธรรมโองการเหลานี้
เปนเพียงอีกช่ือหน่ึงสําหรับเรียกชีวิตที่ดีงามมีศีลธรรม
และต้ังอยูบนฐานรวมของทุกศาสนา…สามารถนําไปใช
ไดและยอมรับไดท่ัวกันวาเปนสาระของทุกศาสนา…ดัง
นั้น พระเจาอโศกจึงนับวาไดทรงวางฐานแหงศาสนา
สากล (universal religion) และนา จะทรงเปนบคุ คล
แรกทท่ี ําการนใี้ นประวัติศาสตร”
คําทป่ี ราชญแ ละทา นผูรเู หลานีว้ ามากน็ า ฟง และดูคลายจะ
นาเชือ่ แตพ อพเิ คราะหใ หชดั ลงไป กลายเปน ตองแยกวา
ในสวนของขอ มลู ดานศิลาจารกึ เอง ตอ งช่นื ชมทาน และเรา
ไดอ าศยั ทานเหลา น้ีมาก
แตในข้ันแสดงความเห็น สรุปความคิดเกี่ยวกับเน้ือหาหลัก
ธรรม หรอื ลงมตโิ ยงมาถงึ พระพทุ ธศาสนานนั้ ความคดิ ความเขา ใจ
ของทา นเหลา นย้ี งั ไมเ พยี งพอ ทาํ ใหจ บั จดุ ไมถ กู มองหลกั ไมต รง ทงั้ นี้
นา จะเกดิ จากเหตสุ าํ คญั ๒ ประการ คอื
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๕๓
๑) บางทานคงแสดงความเห็นอยางน้ันในเวลาท่กี ารขดุ คน
กาํ ลงั ดาํ เนนิ ไป ยงั พบศลิ าจารกึ ไมม ากนกั จงึ พดู ไปตามหลกั ฐาน
เทา ทพี่ บแลว ซง่ึ ยงั ไมพ อ (อยา ง Rhys Davids ท่ีพูดวา “ไมมสี ักคํา
ทีพ่ ดู ถงึ พระพทุ ธเจา หรอื พทุ ธศาสนา…” แตเ สาจารกึ ทลี่ มุ พนิ เี ขยี นวา
“พระพทุ ธศากยมนุ ไี ดป ระสตู แิ ลว ณ ทนี่ ”้ี และจารกึ ทเี่ ปน เรอ่ื งของ
พทุ ธศาสนาโดยตรงมไี มน อ ย)
๒) ตอ งยอมรบั ความจรงิ วา คนทวั่ ไป แมแ ตผ ทู ร่ี เู รอื่ งพระพทุ ธ
ศาสนาคอ นขา งมาก สว นใหญไ มร หู ลกั การทถี่ อื ไดว า เปน แบบแผน
จนถึงเปนประเพณีของพุทธบริษัท ที่แบง ขัน้ ตอนหรอื ระดบั ในการ
สอนธรรมระหวา งจกั รพรรดธิ รรมราชา กบั สมั มาสมั พทุ ธธรรมราชา
หรอื อาจพดู อยา งงา ยๆ วา ระหวา งผปู กครองบา นเมอื ง กบั พระสงฆ
หรอื ระหวา งอาณาจกั ร กบั พทุ ธจกั ร ทวี่ า ฝา ยแรกสอนในเรอ่ื งทฏิ ฐ-
ธมั มกิ ตั ถะ และฝา ยหลงั สอนตอ ออกไปในเรอ่ื งสมั ปรายกิ ตั ถะ
สาํ หรบั ขอ ๑) ไมต อ งอธบิ าย เพราะคาํ ตอบอยทู ก่ี ารขดุ คน
ศลิ าจารกึ ใหพ บจนครบเทา ทจ่ี ะทาํ ได (จนบดั นกี้ ค็ งยงั ไมอ าจยนื ยนั
วา พบทง้ั หมดแลว )
แตข อ ๒) เปน เรอ่ื งทจี่ ะตอ งทาํ ความเขา ใจใหช ดั ซงึ่ มหี ลกั มี
ตวั อยา งทชี่ ดั อยแู ลว เมอ่ื ทาํ ความเขา ใจชดั แลว กจ็ ะเหน็ วา ทศั นะ
ของทานเหลานี้ ท่ีวาพระเจาอโศกจะสอนหลักธรรมทางพุทธตอ ง
พูดถึงอริยสจั สมาธิ นพิ พาน เปน ตน น้ัน เปนเร่ืองทีผ่ ดิ พลาดมาก
การสอนธรรมทีเ่ ปนกลางๆ นน้ั เปน เร่ืองธรรมดาอยแู ลว ใน
ทางพุทธศาสนา ท่จี ะไมไ ปกระทบกระทั่ง หรอื ใหรังเกยี จเดยี ดฉันท
ยดึ ถอื แบงแยกอะไรกบั ใคร
๕๔ หลกั ศิลาจารกึ อโศก
ในเรื่องน้ี จะใหช ัด ควรแยกเปน ๒ ดาน คอื
๑. ในแงห ลักการ ใชวิธกี ารทางปญ ญา คอื จะไมตเิ ตยี นวา
รายใคร รับฟง ไดท้ังนน้ั แตก ็ไมใ ชเ ปน การยอมรบั อะไรไปหมดแบบ
เอามารวมคลกุ คละกัน จนกลายเปน ไมมหี ลัก ไมเปน ระบบ คอื มี
หลกั การท่ีชดั เจน ในเวลาท่ีจะแสดงออก ก็พูดหลักการออกไปตาม
ท่ีมนั เปน อยา งท่ที านใชค าํ วา แสดงธรรม ใหเ ขาพิจารณาเอาเอง
ดวยปญ ญาทเ่ี ปน เสรขี องเขา แบบท่เี หน็ ในกาลามสูตร แตถาเปน
กาละท่จี ะถกเถยี ง ก็ใชว าจาสภุ าพแสดงเหตุผลกนั ไดเ ตม็ ที่ โดยไม
ตอ งวารา ย ไมทาํ รา ยกัน
๒. ในแงป ฏิบัติการ โดยเฉพาะในการอยูร ว มกนั ใชวิธกี าร
แหง เมตตา (จะใชคาํ วา อหิงสา ก็แลว แตชอบ) ดงั เหน็ ไดชดั วา ถึงแม
ทางปญ ญา ในแงหลกั การ พทุ ธศาสนาคดั คา นอยางเต็มทต่ี อลทั ธิ
ของพราหมณในเร่ืองการฆาสัตวบูชายัญและการแบงแยกวรรณะ
เปนตน และคัดคานลัทธิปฏิเสธกรรมของสมณะบางพวก แตใน
ทางสงั คม นอกจากแสดงออกดวยวจีไมตรีแลว ทานยงั ใหชาวพุทธ
เอ้ืออาํ นวยปจจยั สแี่ กส มณพราหมณเหลา น้ันดว ย (แมแตพระสงฆ
เองตั้งแตพุทธกาล เม่ือมีของมากเหลือฉัน ก็จัดแจกใหแกคนท้ัง
หลาย รวมทงั้ นกั บวชลัทธิภายนอกดวย, เชน วินย.๒/๕๒๗/๓๔๘)
เพือ่ รวบรัด ขอยกตวั อยา งใหเห็นแงมุมตา งๆ ดงั น้ี
- อยา งในหลกั ทศิ ๖ ทา นสอนชาวพทุ ธใหป ฏบิ ตั ติ อ สมณพราหมณ
คอื บคุ คลทางศาสนาทกุ พวก ไมว า จะเปนนกั บวชหรือไม (ทั้ง
ประเภทสมณะ และประเภทพราหมณ กค็ ือรวมทงั้ หมด) ดว ย
เมตตาทั้งทางกาย วาจา และใจ ตอนรับ และอาํ นวยปจจยั ส่ี
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๕๕
- เจาลัทธิอื่นสงคนมาโดยวางแผนใหหักลางพุทธศาสนา แตมา
แลว พดู จากนั เขาเลิกลัทธิเดมิ หันมาบอกขอนับถือพทุ ธ พระ
พทุ ธเจาตรัสบอกเขาวา อยา ตัดสมั พันธก ับลัทธเิ ดมิ แตข อใหเขา
อปุ ถมั ภนักบวชลทั ธนิ น้ั ตอ ไป (ดู วินย.๕/๘๐/๑๐๔)
- ชาวพุทธท่ีเปลี่ยนมาจากลัทธอิ อ นวอนเทวดา หรอื อยูในสงั คมที่
มีคนอ่ืนนับถือเทพเทวา ทานก็ใหนับถือใหเกียรติแกเทวดา
เพียงแตใหม ที า ทที ่ถี กู ตองตามหลักการ คือ ไมใหออ นวอนหวงั
ผลดลบนั ดาล แตใ หอ ยูรว มกับเทวดาดว ยเมตตาโดยเปน มติ รมี
ไมตรตี อ กัน (เชน การอทุ ิศบุญแกเทวดา และการทาํ เทวตาพลี,
เชน ท.ี ม.๑๐/๘๔/๑๐๕; อง.ปจฺ ก.๒๒/๔๑/๔๙)
ทนี ก้ี จ็ ะแสดงหลกั การแบง ระดบั ในการสอนธรรม ทวี่ า รฐั สอน
ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถ สว นวดั สอนสมั ปรายกิ ตั ถ
แตกอนไปถึงน่นั ก็ขอใหทราบดว ยวา นักปราชญห รือนักคน
ควาผูเ หน็ วาธรรมในศลิ าจารกึ อโศกเปนหลกั พทุ ธศาสนา กม็ ีไม
นอย เชน ผูเขยี นหัวขอ “Inscriptions as historical source
material. Ancient India.” ใน Encyclopeadia Britannica ซง่ึ ไดก ลา ววา
“คาํ จารกึ โองการของพระเจา อโศก เปน ประกาศและ
ขอ กําหนดตามสารตั ถะแหง พทุ ธศาสนา”
นักวิชาการสมัยใหมท่ีมองแบบนี้ คือเห็นวาธรรมในศิลา
จารกึ มาจากพุทธดํารสั ยงั มีอีก เชน E. Senart และ Hultzsch
ทางฝายตะวันออก ทา นที่มน่ั ใจวา ธรรมในศิลาจารกึ เปน
หลักในพระพทุ ธศาสนา กเ็ ชน D. R. Bhandarkar และ H. C.
Ray Chaudhuri โดยที่สองทา นนถ้ี ือวาเปนไปตามอุดมคตแิ หง
๕๖ หลกั ศลิ าจารกึ อโศก
จักกวตั ติธรรมราชา รวมทั้ง B. M. Barua ที่เขียนไวในหนังสือ
Asoka and His Inscriptions, Part I, p. 225 วา
“ธรรมของพระเจา อโศก สอดคลองกบั หลกั พทุ ธคิหิ
ปฏบิ ัตทิ ั้งหมดทงั้ ส้ิน”
กอนจะพูดอะไรอ่ืนตอไป ก็มาดูหลักการแบงระดับในการ
สอนธรรม ระหวา งธรรมราชาฝา ยอาณาจกั ร กับธรรมราชาทเี่ ปน
สัมมาสัมพุทธะกันสักหนอ ย
มาดเู ร่อื งจากแหลง หลกั คอื เลา ไปตามพระไตรปฎกกันเลย
ราชาสอนทิฏฐธรรม - พระสอนล้าํ เลยตอไป
สมัยนัน้ พระผมู พี ระภาคพทุ ธเจา ประทบั อยู ณ ภูเขาคิชฌ-
กูฏ เขตพระนครราชคฤห
คร้ังน้ัน พระเจาพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐ เสวยราชสมบัติ
เปนอสิ ราธบิ ดี ปกครองหมบู านจาํ นวนแปดหม่นื
สมัยนั้น ในเมอื งจมั ปา มเี ศรษฐีบุตรช่อื โสณะ ตระกูลโกฬวิ สิ
เปน สขุ มุ าลชาติ มีขนออนงอกข้ึนทฝ่ี าเทา ทงั้ สอง
คราวหน่ึง พระเจาพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐ มีรับสั่งให
กุลบุตรชาวแปดหม่ืนหมบู านนั้นประชมุ กัน แลว ดวยพระราชกิจสกั
อยา งหนงึ่ ทรงสง ราชทตู ไปพบเศรษฐีบุตรโสณะโกฬิวิส โดยมีรับ
สง่ั วา เจาโสณะจงมา เราตองการใหเจา โสณะมาหา
ครง้ั นน้ั มารดาบดิ าของโสณะโกฬวิ สิ ไดก ลา วกะโสณะโกฬวิ สิ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๕๗
วา “พอ โสณะ พระเจา อยหู วั มพี ระราชประสงคจ ะทอดพระเนตรเทา
ทั้งสองของเจา เจาไมค วรเหยียดเทา ท้ังสองไปทางท่ีพระเจาอยหู ัว
ประทับอยู จงน่งั ขัดสมาธติ รงพระพักตรของพระองค เมอื่ เจานั่งลง
แลว พระเจา อยูหัวก็จักทอดพระเนตรเทาท้ังสองได”
ตอ มา พวกบริวารชนไดน าํ โสณะโกฬวิ สิ ขึน้ เสล่ียงไป โสณะ
โกฬิวิสก็ไดเขาเฝาพระเจาพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐ ถวายบังคม
แลวนงั่ ขดั สมาธิตรงพระพักตรข องพระราชา พระเจาพิมพิสารจอม
ทพั มคธรฐั กไ็ ดท อดพระเนตรเห็นโลมชาติท่ีฝาเทาทง้ั สองของเขา
คร้ันแลว พระเจาพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐไดทรงแนะนาํ สั่ง
สอนกุลบุตรชาวแปดหมื่นหมูบานน้ัน ในเร่ืองประโยชนปจจุบัน
(ทฏิ ฐธัมมิกัตถะ) แลว มพี ระราชดํารัสตรัสสงพวกเขาวา
ท่านทั้งหลายก็เป็นอันได้รับคําแนะนําสั่งสอนจากเรา
แล้วในเร่ืองประโยชนปจจุบัน (ทิฏฐธัมมิกัตถะ) นี่แน่ะ
พวกท่านจงไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าของเราทั้งหลายพระองคน์ ้นั จกั ทรงแนะนาํ ส่ังสอน
พวกทา่ น ในเรอ่ื งประโยชนเ บ้อื งหนา (สัมปรายิกัตถะ)
ครงั้ นน้ั พวกกลุ บตุ รชาวแปดหมน่ื หมบู า น กพ็ ากนั ไปยงั ภเู ขา
คชิ ฌกฏู …
ตอมา พระผูม ีพระภาคเสดจ็ ออกจากพระวิหาร ประทบั น่ัง
เหนือพระพทุ ธอาสน ท่จี ดั ไว ณ รม เงาหลังพระวหิ าร ครัน้ แลว
พวกกุลบุตรชาวแปดหมื่นหมูบานก็เขาไปเฝาพระผูมีพระภาค
ถวายอภิวาทแลวน่ัง ณ ทคี่ วรสวนขางหนง่ึ …
๕๘ หลักศิลาจารกึ อโศก
กุลบตุ รชาวแปดหมน่ื หมบู า นไดธรรมจกั ษุ
ลาํ ดบั นน้ั พระผมู พี ระภาคทรงทราบดว ยพระทยั ถงึ ความนกึ
คดิ ในใจของพวกกลุ บุตรชาวแปดหมน่ื หมบู า นแลว จงึ ตรสั อนุปพุ พิ
กถา คือ ทรงประกาศ ทานกถา (เรือ่ งทาน) สีลกถา (เร่ืองศีล) สัคค
กถา (เรอื่ งสวรรค คอื ความสขุ ความดเี ลศิ พรง่ั พรอ มของกาม) โทษ
ขอ ดอ ย สวนเสียของกาม และอานิสงสในความปลอดเปนอิสระ
จากกาม
เม่อื ทรงทราบวา พวกเขามจี ิตเหมาะ มใี จออนโยน ปลอด
จากนิวรณ ชื่นบาน ผองใสแลว จึงทรงประกาศสามุกกังสิกธรรม
เทศนา (พระธรรมเทศนาท่ีพระพุทธเจาไดตรัสรูและทรงยกขึ้น
แสดงดว ยพระองคเอง) คอื ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค
เปรียบเหมือนผาท่สี ะอาด ปราศจากมลทนิ ควรรบั นาํ้ ยอม
ไดเปนอยางดี ฉันใด ก็ฉันน้ัน ธรรมจักษุ อันปราศจากธุลี
ปราศจากมลทิน ไดเ กดิ ขน้ึ แกป ระดากลุ บตุ รชาวแปดหมนื่ หมบู า น
ณ ที่น่ังนนั้ เองวา “สงิ่ ใดสงิ่ หนงึ่ มคี วามเกดิ ขนึ้ เปน ธรรมดา สง่ิ นน้ั ทงั้
ปวงกม็ คี วามดบั ไปเปน ธรรมดา”
พวกเขาไดเห็นธรรมแลว ไดบรรลุธรรมแลว ไดรูแจงธรรม
แลว หยั่งถึงธรรมแลว ขามพน ความสงสัย ปราศจากขอ เคลอื บ
แคลง ถึงความเปนผูแ กลวกลา ไมตอ งเชือ่ ผูอ ื่นในคําสอนของพระ
ศาสดา ไดก ราบทูลพระผมู ีพระภาควา “พระองคผ ูเจรญิ ภาษติ
ของพระองคแจมแจงยิ่งนัก พระองคผูเจริญ ภาษิตของพระองค
แจมแจงยิ่งแลว พระองคทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๕๙
เปรียบเหมอื นบุคคลหงายของทคี่ วา่ํ เปดของทป่ี ด บอกทางแกคน
หลงทาง หรอื สอ งประทปี ในที่มืดดวยต้ังใจวา คนมีจกั ษุ จักมอง
เห็นรูป ขาพระองคทง้ั หลายนี้ ขอถึงพระผูม ีพระภาค พระธรรม
และพระภิกษุสงฆ วา เปนสรณะ ขอพระผมู พี ระภาคจงทรงจาํ ขา
พระองคท ัง้ หลาย วา เปน อบุ าสกผถู ึงสรณะ ตัง้ แตว นั น้เี ปน ตน ไป
ตราบเทา ชวี ิต”
เศรษฐีบุตรโสณะโกฬวิ ิสออกบวช
ครัง้ นัน้ โสณะโกฬวิ ิสไดมคี วามคิดดงั น้วี า เทาที่เราเขาใจถงึ
ธรรมทพ่ี ระผูมีพระภาคไดท รงแสดงไว การท่ีบุคคลผอู ยคู รองเรอื น
จะประพฤติพรหมจรรยนี้ใหบริสุทธิ์บริบูรณเต็มท่ีอยางสังขที่ขัดดี
แลว มใิ ชจะทาํ ไดงา ย ถา กระไร เราพงึ ปลงผมและหนวด ครองผา
กาสายะ ออกจากเรอื นบวชเปน บรรพชติ
ครานนั้ พวกกลุ บตุ รชาวแปดหมน่ื หมบู า น ช่นื ชมภาษติ ของ
พระผูมีพระภาคแลว ลุกจากท่ีน่ัง ถวายอภิวาทพระผูมีพระภาค
ทําประทักษณิ แลว หลกี ไป
ลาํ ดับนัน้ หลังจากพวกกลุ บตุ รชาวแปดหมนื่ หมบู า นนน้ั หลีก
ไปแลวไมนาน โสณะโกฬิวิสไดเขาเฝาพระผูมีพระภาค ถวาย
อภวิ าทพระผูม พี ระภาคแลว น่ัง ณ ทค่ี วรขางหน่งึ
โสณะโกฬวิ ิสนั่ง ณ ท่ีควรแลว ไดกราบทูลคาํ นแ้ี ดพระผมู ี
พระภาควา “พระพุทธเจาขา เทา ท่ีขา พระองคเขาใจถงึ ธรรมทพ่ี ระ
ผูมีพระภาคไดทรงแสดงไว การที่บุคคลผูอยูครองเรือน จะ
ประพฤติพรหมจรรยนี้ใหบริสุทธ์ิบริบูรณเต็มที่อยางสังขที่ขัดดแี ลว
๖๐ หลกั ศิลาจารึกอโศก
มใิ ชจะทําไดง า ย ขาพระองคปรารถนาจะปลงผมและหนวด ครอง
ผากาสายะออกจากเรือนบวชเปนบรรพชิต ขอพระผูมีพระภาค
โปรดใหขา พระองคบรรพชาเถิด”
เศรษฐีบุตรโสณะโกฬิวิสไดรับบรรพชาอุปสมบทแลวใน
สาํ นักของพระผูมพี ระภาค
โสณะโกฬิวิสบวชแลว จนกระทั่งเปนพระอรหันต เปน
มหาสาวก มีเรื่องราวตอไปอยางไร จะไมตามไปดู เพราะเลย
ขอบเขตของประเดน็ ทก่ี ําลงั พจิ ารณา
หัวใจของเร่ืองอยูที่คําสอนของพระเจาพิมพิสารแกพสกนิกร
ซงึ่ จะโยงมายังคาํ สอนของพระเจาอโศกมหาราชในศิลาจารึก
พระพัฒนาคน - รฐั พฒั นาพลเมือง
ในเร่ืองจากพระไตรปฎกท่ียกมาเลาน้ี จุดท่ีตองการต้ังเปน
ขอสงั เกต คอื ตอนทพ่ี วกกุลบุตรชาวแปดหมน่ื หมบู า นเขาเฝา พระ
เจาพิมพสิ าร เมอ่ื จบภารกิจแลว พระราชาตรสั วา พระองคไ ดท รง
แนะนาํ สงั่ สอนพวกเขาแลว ในเรอื่ งประโยชนป จ จบุ นั (ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ)
ตอ จากนน้ั ขอใหพ วกเขาไปเฝา พระพทุ ธเจา พระองคจ ะทรงแนะนาํ
สง่ั สอนพวกเขาในเรื่องประโยชนเบื้องหนา (สมั ปรายิกตั ถะ)
อะไรคือ ทิฏฐธัมมกิ ตั ถะ ทีแ่ ปลวา ประโยชนปจ จุบนั อะไรคอื
สมั ปรายิกัตถะ ท่ีแปลวา ประโยชนเ บื้องหนา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๖๑
ทิฏฐธมั มกิ ัตถะ แปลตามตัวอักษรวา ประโยชนหรอื จุดหมาย
ทเ่ี ปน ไปในทฏิ ฐธรรม แลว ทฏิ ฐธรรมคืออะไร?
“ทฏิ ฐธรรม” แปลวา สภาวะ สภาพ สงิ่ หรอื เรอื่ งราว ทมี่ องเหน็
ทนั ตาเหน็ หรอื เหน็ ๆ กนั อยู จบั สาระแลว กไ็ ดค วามหมาย๒อยา งคอื
ก) เวลาปจ จุบนั ชีวิตปจจบุ ัน ทันตาเหน็ ชาติน้ี
ข) เรื่องของชีวิตประจาํ วัน ชีวิตดานนอก ทางวัตถุ เร่ือง
รปู ธรรม
เพราะฉะนั้น ทิฏฐธัมมิกัตถะ นี้ จึงแปลกันวา ประโยชน
ปจจุบัน จุดหมายของชีวิตในชาติน้ี ประโยชนดานนอกทาง
รูปธรรมหรือจุดหมายพ้ืนฐานของชวี ติ ไดแ ก เรอ่ื งทรัพยส ินเงินทอง
เร่อื งยศ เกียรติ ไมตรี ความมฐี านะในสงั คม เรอื่ งคคู รอง ครอบครวั
และเรอื่ งกําลังรางกาย ความแขง็ แรง การดูแลรักษาสขุ ภาพ เชน ท่ี
เราไดยนิ บอ ยๆ เก่ยี วกบั หลกั ธรรมหัวใจเศรษฐวี า “อุ อา กะ สะ”
(อุฏฐานสัมปทา ขยันหม่ันหาทรัพย อารักขสัมปทา รูจักเก็บรักษา
กัลยาณมติ ตตา คบหาคนดี สมชีวิตา เปนอยพู อสม) หรืออยา งที่พระ
พุทธเจา ตรสั ใหพ ระสตแิ กพระเจา ปเสนทโิ กศล ใหเ สวยแตพ อดี จะ
ไดม พี ระวรกายทคี่ ลอ งแคลว แขง็ แรง
สวน สมั ปรายกิ ัตถะ แปลตามตัวอกั ษรวา ประโยชนหรอื จุด
หมายท่ีเปน ไปในสมั ปรายะ แลว สัมปรายะคอื อะไร?
“สัมปรายะ” แปลวา เลยตอ ไป เลยตาเห็น หรอื จะไปจะถึง
ขา งหนา จับสาระแลวกไ็ ดความหมาย ๒ อยา ง คือ
ก) เวลาขา งหนา ชีวิตเบอื้ งหนา ชาตหิ นา ปรโลก พน โลกน้ี
๖๒ หลกั ศลิ าจารึกอโศก
ข) เรอ่ื งทลี่ า้ํ เลยจากชวี ติ ประจาํ วนั ชวี ติ ดา นใน เรอื่ งทล่ี กึ ซงึ้
ทางจติ ใจ เรอื่ งนามธรรม
เพราะฉะนนั้ สมั ปรายกิ ตั ถะ จงึ แปลกนั วา ประโยชนเ บอ้ื งหนา
จดุ หมายของชวี ติ ในชาติหนา จนถงึ พนเลยชาตภิ พ๑ ประโยชนด า น
ในทางนามธรรมหรือจดุ หมายทส่ี ูงขนึ้ ไปของชวี ิต ไดแก การไปเกดิ
ในภพทดี่ ี เรอื่ งของศรทั ธา ความมศี ลี ความสุจริต การทํากรรมดี
งาม การทําบุญเจรญิ กุศล การเสียสละบาํ เพญ็ ประโยชน ตลอดถึง
การพัฒนาปญญา และความหลดุ พน เปนอิสระ
ก็เปน อนั ไดความวา พระเจา พิมพสิ ารตรสั วา พระองค ใน
ฐานะผูปกครองบานเมือง ทรงแนะนําส่ังสอนบอกวิธีการในเรื่อง
การทํามาหาเล้ียงชีพวา ในการประกอบกสิกรรม พาณิชยกรรม
รับราชการ จะเปน ทหาร หรือเปนขา ราชการพลเรอื นก็ตาม ประชา
ชนพลเมืองของพระองคค วรมีความขยนั หมัน่ เพียร ซือ่ สตั ย มคี ณุ
สมบัติ มีความสามารถ และทํางานดําเนินกิจการกันอยางไร
พรอ มกนั นัน้ เมอ่ื อยรู ว มในสังคม ควรมคี วามรบั ผดิ ชอบตามสถาน
ภาพของตน โดยทําหนาที่ใหถูกตองตามสถานะน้ันๆ และชวย
เหลือเก้ือกลู กนั เชน ควรดูแลอบรมเลยี้ งลกู อยา งไร ควรเอาใจใส
บํารงุ เลยี้ งดูบดิ ามารดาอยา งไร เปนตน
อรรถกถาที่อธิบายพระไตรปฎกตรงนี้ คืออธิบายพระราช
ดาํ รสั ของพระเจา พิมพิสาร กไ็ ขความบอกวา พระเจา พมิ พิสารทรง
๑ คมั ภรี ท อ่ี ธบิ ายขยายความ อยา งมหานทิ เทส แยก “อตั ถะ” คอื ประโยชน หรอื จดุ หมายน้ี
เปน ๓ ขน้ั คอื ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ สมั ปรายกิ ตั ถะ และปรมตั ถะ แตใ นพระสตู รทว่ั ไป พระ
พทุ ธเจา ตรสั แยกเพยี ง ๒ คอื ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ และสมั ปรายกิ ตั ถะ โดยสมั ปรายกิ ตั ถะมี
ความหมายครอบคลมุ รวมถงึ ปรมตั ถะดว ย
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๖๓
สอนประโยชนโลกนี้ เชนวา ควรทํากสิกรรมและพาณิชยกรรม
เปน ตน โดยธรรม ควรเลีย้ งดมู ารดาบิดาโดยธรรม ดงั น้เี ปน ตน
แลว พระเจาพิมพิสารกต็ รสั สรปุ วา พระองคทรงสอนในเร่อื ง
ทิฏฐธมั มิกัตถะแคน ี้ สวนเร่อื งท่ีล้ําลึกเลยจากนั้นไป ซง่ึ เปนขั้นของ
สัมปรายิกตั ถะ ใหพวกเขาไปฟง จากพระพุทธเจา แลว พระองคกท็ รง
สง คนเหลา น้ันใหไปเฝาพระพทุ ธเจา
จากคําเลาเร่ืองในพระไตรปฎกตอจากนั้น เราก็เห็นไดวา
พระพุทธเจาทรงสอนเรอ่ื งสมั ปรายกิ ตั ถะ ซึง่ ครอบคลมุ ตลอด คือ
ก. ธรรมทว่ั ไปที่ลึกซ้งึ สูงข้นึ ไปตามลาํ ดับ เพอ่ื เตรยี มผฟู ง ให
กา วขนึ้ ไปทลี ะขน้ั จนพรอ มทจี่ ะรบั จะเขา ใจเขา ถงึ สจั จธรรม
ไดแ ก ทาน ศลี สวรรคค อื ภาวะทมี่ กี ามอยา งเลศิ หรอื ชนั้
ยอด แลว กข็ อ เสยี สว นดอ ยของกาม จนถงึ ผลดขี องความ
เปน อสิ ระจากกาม
ข. เมอ่ื ผูฟ ง พรอมแลว กท็ รงแสดงอริยสัจจ ๔ (ซงึ่ โยงไปรวม
ถงึ ขนั ธ ๕ ไตรลกั ษณ ปฏจิ จสมปุ บาท เปน ตน จนถงึ
นพิ พาน)
เรื่องพระเจาพิมพิสารสอนราษฎรชาวหมูบานเสร็จแลวสง
ตอใหไปฟงธรรมจากพระพุทธเจาน้ี บอกใหทราบถงึ คตพิ ทุ ธเกีย่ ว
กับบทบาทหนาท่ีที่ตางกันของรัฐหรืออาณาจักร กับของพทุ ธจักร
จะวาเปนการแบงงานกนั ก็ไมเชิง แตนา จะบอกวาเปนการแบงขนั้
ตอนการทํางานในลักษณะท่เี ปน การสงตอ กนั ไปตามลําดับ
ทั้งนี้ก็สอดคลองกับหลักการของพระพุทธศาสนา ท่ีมอง
๖๔ หลักศิลาจารกึ อโศก
มนุษยวาเปนสัตวท่ีตอ งฝก ตอ งศึกษาตองพัฒนา และมนุษยนั้นก็
อยูในระดับของการพฒั นาทีต่ างกนั
รัฐหรือฝายบานเมืองทํางานกับพลเมืองทั่วทั้งหมดไมเวน
ใคร ไมยอมใหเขาเลือก ทําหนาท่ีพัฒนามนุษยตั้งแตข้ันพ้ืนฐาน
โดยเหน่ียวร้ังดงึ คนต้งั แตระดบั ตํ่าสดุ ใหพน จากการทาํ ช่ัวรายเบียด
เบยี นดว ยวธิ ีการตง้ั แตอ ยา งหยาบทส่ี ุด ใหบ า นเมืองสงบเรยี บรอย
มสี ังคมซ่งึ เปน สภาพทเี่ ออื้ ตอการพัฒนาตนของมนษุ ยแ ตละคน๑
พึงสงั เกตดวยวา ในสวนพระองคน ้นั พระเจาพิมพิสารเปน
อรยิ สาวก เปนถึงพระโสดาบัน เขา ถึงธรรมขน้ั โลกตุ ตระ ขน้ึ เหนือ
โลกยี ไ ดแ ลว แตตอนนี้ พระองคทําหนา ทใ่ี นฐานะผูป กครองบาน
เมือง เรียกวา ปฏบิ ตั ิใหถกู ตองตามบทบาท
สว นทางพทุ ธจักรหรอื ฝายพระสงฆ ซง่ึ ไมมแี ละไมใชอ ํานาจ
อาชญา มงุ เนนการพฒั นาคนในระดบั ทีส่ ูงขนึ้ มา ซึ่งตอ งการความ
พรอมมากขึ้น แมจะสอนครอบคลุมต้ังแตพื้นฐาน แตก็ทําใน
ลักษณะท่ีเปนการเตรียมคนใหพรอมสําหรับการพัฒนาที่สูงขึ้นไป
และในลักษณะท่ใี หเ ขาเลือกหรือสมคั รใจทจี่ ะทํา
ขอใหสังเกตละเอียดลงไปอีกหนอยดวยวา ตอนที่ชาวบาน
ฟงพระเจาพิมพิสารน้ัน เปนการปฏิบัติระดับเดียวแกพลเมืองทุก
คน แตพอมาฟงพระพุทธเจา จะเหน็ ความตางแหง ผลการพัฒนา
ในตอนมาท่ีพระพุทธเจานี้ ผูฟงสวนใหญบรรลุผลสูงถึงกับ
๑ ท่ีวา นี้ เปน เร่อื งของการปฏบิ ตั ใิ นระดบั สถาบัน เรื่องของบทบาททางสังคม มใิ ชหมายถงึ
การปฏิบตั สิ ว นบคุ คล หรือกจิ กรรมรายเรือ่ งรายกรณี เชน จติ ตคฤหบดีอธบิ ายธรรม
ระดับสมั ปรายิกัตถะใหหมพู ระฟง เปนตน
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๖๕
ไดธรรมจกั ษุคือไดเปน อริยบคุ คลชัน้ โสดาบนั ขึน้ ไป แตกย็ ังกลับไป
บานดําเนินชีวิตมีครอบครัวประกอบอาชีพทํามาหากินตามปกติ
โดยเปนคนดีงามสุจริตทําประโยชนมีความสุขมากข้ึนในสภาพ
แวดลอมแบบเกา
แตมีคนหนง่ึ (คือสวนนอย) ถึงกับสละบานเรอื นขอบวชเขา
มาอยูร ว มในภิกขุสงั ฆะ
นี่คอื เปนไปตามระดบั การพฒั นาของคน
คติในการทํางานพัฒนาประชากรแบบแบงข้ันตอนการ
ทาํ งานและสง ตอกนั นี้ พดู ไดว าเปน แบบแผนที่ปฏบิ ัติกนั มา ดังที่
ในสมัยพระเจาอโศกมหาราช ซ่ึงทรงเอาพระทัยใสจริงจังมากใน
งานพัฒนาประชากรถึงกบั ทาํ ศิลาจารกึ สอนธรรมแกประชาชน คติ
นก้ี ป็ รากฏออกมาชัดเจน ดังทธี่ รรมทพี่ ระเจาอโศกทรงสอนราษฎร
ในศลิ าจารึกนนั้ ก็เปนเรอื่ งของทฏิ ฐธัมมิกัตถะอยางชดั เจน
เรอ่ื งเปน อยางน้ี จึงทําใหนกั วิชาการสมัยใหมท ไ่ี มรไู มเ ขาใจ
คติพุทธที่กลาวมา เกิดความสับสนถึงกับพูดวาพระเจาอโศกเปน
ชาวพุทธกจ็ ริง แตไมไ ดสอนธรรมในพุทธศาสนา
จึงควรชวยกนั สรางความรคู วามเขาใจทถี่ ูกตอ ง ใหค นเขา ถงึ
หลักการท่ีวามานั้น อันสอดคลองกับหลักความจริงในการพัฒนา
มนุษย อกี ทง้ั ทาํ ใหเกิดระบบสังคมทีป่ ระสานเกอ้ื กูลและกลมกลืน
กนั เปน อนั หนึ่งอันเดียว ไมเ กดิ การขัดแยงแทรกแซงแยงชิงอาํ นาจ
กันระหวางรัฐกบั ศาสนจกั ร และการใชอํานาจบงั คับกําจัดบฑี ากนั
ดวยเรื่องความเชื่อทางศาสนา อยางในประวัติศาสตรของอารย-
ธรรมตะวนั ตก
๖๖ หลกั ศลิ าจารกึ อโศก
ธรรมราชา - ธรรมวชิ ัย
ทีนี้ก็มาดูวา จุดและหลักที่ตองจับและแยกแยะใหได เพ่ือ
เขาใจธรรมในศลิ าจารกึ นน้ั คอื อะไร
เริ่มแรก ควรมองภาพท่ัวไปกอ นวา
๑) พระเจาอโศกมหาราช เปน พุทธศาสนกิ แตท รงดาํ รง
สถานะเปน ราชา คอื เปนผปู กครองบา นเมือง และเปนราชาทย่ี งิ่
ใหญม ากดว ย (แมจ ะมไิ ดเปน โสดาบัน ไมเ ปน อรยิ บุคคลอยา งพระ
เจาพิมพสิ าร)
๒) ทรงมขี อ พเิ ศษเฉพาะพระองค คอื ทรงหนั มาหาธรรมเพราะ
สลดพระทยั จากการทําสงคราม เปนจดุ เปล่ยี นอยา งพลิกกลับ
๓) การใชธรรมในระดับกวางใหญน้ี จะตองมองทหี่ ลกั การ
ทัว่ ไป ซ่ึงจะใหเ หน็ บรรยากาศทงั้ หมด ไมมัวมองหัวขอยอยหรือ
รายละเอยี ด
จากขอ ๑) ในฐานะมหาราชผเู ปน ชาวพทุ ธ ผูมีสถานะสูงสุด
ในฝา ยบานเมือง หรอื ในสังคมของชาวโลก เมื่อจะปกครองมหา
อาณาจกั รใหป ระชาราษฎรเ ขา ถงึ ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ และสง เสรมิ ให
พฒั นายง่ิ ขนึ้ ตอ ไปในสมั ปรายกิ ตั ถะ จะใชห ลกั การปกครองอยา งไร
และพระพทุ ธศาสนาวางหลกั การอะไรไวใ ห
โดยเฉพาะประสานกบั ขอ ๒) ที่ทรงละเลิกสงครามแลว จะ
ดํารงความเปน มหาราชไวใหเหมาะสมและเปนคณุ แกการปกครอง
นั้นไดอยา งไร
ถงึ ตอนน้ี หลกั คําสอนของพระพทุ ธเจา ท่ีเปน คตใิ หญ กม็ า
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๖๗
ไดท ันที เร่ิมดวยพุทธพจนวา
ภิกษุทั้งหลาย บคุ คล ๒ น้ี เม่อื เกดิ ข้ึนในโลก ยอ่ ม
เกดิ ขนึ้ เพอ่ื เกื้อกลู แกพ่ หชู น เพ่อื ความสุขของพหูชน เพื่อ
ประโยชน์ เพ่ือเก้ือกูล แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุข
แก่เทวะและมนษุ ย์ทงั้ หลาย บุคคล ๒ เป็นไฉน คือ
พระตถาคตอรหนั ตสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ๑
พระราชา ผจู้ กั รพรรดิ ๑
(องฺ.ทกุ .๒๐/๒๙๗)
นค่ี อื ไดบ คุ คลท่มี สี ถานะสูงสุดในโลก เทยี บคูก บั องคพ ระ
ศาสดา โดยมาเปนผูสนองธรรมฝายคฤหสั ถ หรือฝายบานเมือง
เรยี กงา ยๆ วา คตจิ กั กวัตตริ าชา หรือคตพิ ระเจาจักรพรรดิราช
พอจบั จุดไดแลว หลักคําสอนในคตนิ ี้กต็ ามมา ซงึ่ หาไดม าก
มาย เฉพาะอยา งยง่ิ หลกั การท่เี ปนความหมาย หรือเปน คําจํากัด
ความของการเปน จกั รวรรตริ าชานนั้ ซงึ่ ปรากฏในพระไตรปฎ กมาก
มายหลายแหง คอื เปน ธรรมราชา “ผมู ชี ยั ชนะดว ยธรรม” (ธมเฺ มน
อภิวิชิย Æ ธรรมวชิ ยั ) โดยไมตอ งใชศ สั ตรา
ยกบาลีมาดูเปน ตวั อยา ง
มา ภกิ ขฺ เว ปญุ ญฺ านํ ภายติ ถฺ สขุ สเฺ สตํ ภกิ ขฺ เว อธวิ จนํ
ยททิ ํ ปุญญฺ านิ …
ราชา อโหสึ จกฺกวตฺตี ธมมฺ ิโก ธมฺมราชา จาตรุ นโฺ ต
วชิ ติ าวี ชนปทตถฺ าวรยิ ปปฺ ตโฺ ต สตตฺ รตนสมนนฺ าคโต ... โส อมิ ํ
ปฐวึ สาครปริยนตฺ ํ อทณฺเฑน อสตเฺ ถน ธมเฺ มน อภิวิชยิ
อชฺฌาวสินฺติ
๖๘ หลักศลิ าจารกึ อโศก
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอทง้ั หลายอยา่ กลวั ต่อบุญเลย คําวา่
บุญน้ี เป็นชือ่ ของความสุข…
เราไดเ้ ป็นจกั รพรรดิราช ผูท้ รงธรรม เป็นธรรมราชา
ครองแผน่ ดนิ มีมหาสมุทรทง้ั ๔ เปน็ ขอบเขต ผ้มู ชี ัยชาํ นะ
มถี น่ิ แควน้ ถงึ ความมน่ั คงสถาพร พรอ้ มดว้ ยรตั นะ ๗ ประการ
เรามชี ยั โดยธรรม ไมต่ ้องใชอ้ าชญา ไม่ตอ้ งใช้ศาสตรา
ครอบครองปฐพมี ณฑลน้ี อนั มสี าครเปน็ ขอบเขตฯ
(องฺ.สตฺตก.๒๓/๕๙/๙๐)
พทุ ธพจนทีม่ ขี อความอยา งน้ี คอื ท่มี าแหง หลกั การหรอื
นโยบายการปกครองอยา งใหม ทเี่ รยี กวา “ธรรมวชิ ยั ” ของพระเจา
อโศกมหาราช
ขอความสาํ คญั ที่วา เปน ดังคําจํากดั ความของ ธรรมวชิ ยั คือ
ตอนท่วี า “มชี ยั โดยธรรม ไมตองใชอาชญา ไมตอ งใชศ าสตรา”
ธรรมวชิ ยั นี้ คอื ชยั ชนะทเี่ ปน ความสาํ เรจ็ ของพระเจา จกั รพรรดิ
ผเู ปน ธรรมราชา จงึ อาจเรยี กใหเ ตม็ วา คติจักกวตั ติธรรมราชา
อยา งทก่ี ลา วแลว พทุ ธพจนส ว นนต้ี รสั ในโอกาสตา งๆ เปน อนั
มาก แตท ยี่ กมาใหด ขู า งบนน้ี ตรสั โยงกบั เรอื่ งบญุ ซงึ่ เปน หลกั สาํ คญั
ในศลิ าจารกึ อโศกนน้ั ดว ย
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๖๙
ธรรมวิชัย: จากหลกั การมาเปน นโยบาย
ทนี ีก้ ็มาดูขอความแสดงนโยบายธรรมวชิ ยั ที่พระเจา อโศก
มหาราช ทรงนาํ ออกมาสปู ฏิบัตกิ ารจรงิ ดงั ที่พระองคป ระกาศไว
ในจารกึ ศิลา ฉบบั ท่ี ๑๓ ซง่ึ คัดตัดมาพอเปนตวั อยาง
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นท่ีรักแห่งทวย
เทพ เมอื่ อภเิ ษกแลว้ ได้ ๘ พรรษา ทรงมีชัยปราบแคว้น
กลิงคะลงได้ จากแคว้นกลิงคะน้ัน ประชาชนจาํ นวนหนึ่ง
แสนหา้ หมื่นคนไดถ้ ูกจบั ไปเป็นเชลย จํานวนประมาณหนึง่
แสนคนถกู ฆ่า และอีกหลายเทา่ ของจํานวนนนั้ ไดล้ ้มตายไป
นับแตก่ าลนั้นมาจนบัดน้ี อนั เปน็ เวลาที่แควน้ กลิงคะ
ไดถ้ กู ยึดครองแล้ว การทรงประพฤตปิ ฏิบัติธรรม ความมี
พระทัยใฝธ่ รรม และการทรงอบรมส่ังสอนธรรม กไ็ ด้เกิดมี
ขึน้ แล้วแก่พระผู้เปน็ ท่ีรกั แหง่ ทวยเทพ
การที่ได้ทรงปราบปรามแควน้ กลงิ คะลงนัน้ ทาํ ให้พระ
ผ้เู ป็นท่รี ักแหง่ ทวยเทพ ทรงมคี วามสํานึกสลดพระทยั …
ในคราวยดึ ครองแควน้ กลิงคะนี้ จะมีประชาชนท่ถี กู ฆา่
ลม้ ตายลง และถกู จับเปน็ เชลยเปน็ จํานวนเท่าใดกต็ าม แม้
เพียงหน่ึงในร้อยส่วน หรือหน่ึงในพันสว่ น (ของจํานวนที่
กลาวน้ัน) พระผู้เป็นท่ีรักแห่งทวยเทพย่อมทรงสํานึกว่า
เป็นกรรมอนั รา้ ยแรงย่งิ …
สําหรับพระผู้เป็นท่ีรักแห่งทวยเทพ ชยั ชนะที่ทรงถือ
วา่ ยง่ิ ใหญท่ ่สี ุด ไดแ้ ก่ ธรรมวิชัย (ชัยชนะโดยธรรม) และ
๗๐ หลักศิลาจารึกอโศก
ธรรมวิชัยน้ัน พระผู้เป็นท่ีรักแห่งทวยเทพได้ทรงกระทํา
สาํ เรจ็ แลว้ ทั้ง ณ ทนี่ ้ี (ในพระราชอาณาเขตของพระองค
เอง) และในดินแดนขา้ งเคยี งทัง้ ปวง ไกลออกไป ๖๐๐
โยชน์ …๑
ทุกหนทุกแห่ง (ประชาชนเหล่าน้ี) พากันประพฤติ
ปฏบิ ัติตามคาํ สอนธรรมของพระผูเ้ ปน็ ทีร่ กั แหง่ ทวยเทพ …
ด้วยเหตเุ พียงน้ี ชัยชนะนีเ้ ป็นอันได้กระทาํ สําเร็จแลว้
ในทท่ี กุ สถาน เป็นชัยชนะอนั มีปีตเิ ป็นรส พรั่งพร้อมดว้ ย
ความเอบิ อิม่ ใจ เป็นปีตทิ ไี่ ดม้ าด้วยธรรมวิชยั …
ชัยชนะอันแท้จริงน้ัน จะต้องเป็นธรรมวิชัยเท่านั้น
ดว้ ยวา่ ธรรมวชิ ยั น้ันเป็นไปได้ทั้งในโลกบดั นี้ และโลกเบือ้ ง
หน้า
ขอปวงความยนิ ดแี ห่งสตั ว์ทงั้ หลาย จงเปน็ ความยินดี
ในความพากเพยี รปฏิบัติธรรม เพราะว่าความยินดีนนั้ ย่อม
อํานวยผลทั้งในโลกบดั นี้ และในโลกเบ้อื งหน้า.
แมวา ธรรมวิชัยอยางนจี้ ะเปน หลักการและนโยบายใหม แต
คาํ วา “ธรรมวชิ ยั ” มใิ ชเปนคาํ ใหม และมิใชมใี นพระไตรปฎกเทา
๑ ดนิ แดนทางตะวนั ตกทร่ี ะบใุ นศลิ าจารกึ น้ี คอื แวน แควน ของกษตั รยิ โ ยนก (Ionian หรอื
Greek) พระนามวา อนั ตโิ ยคะ (Antiochus II Theos of Syria) พระเจา ตลุ มยะ (Ptolemy
II Philadelphus of Egypt) พระเจา อนั เตกนิ ะ (Antigonus II Gonatas of Macedonia)
พระเจา มคะ (Magas of Cyrene) และพระเจา อลกิ สนุ ทระ (Alexander of Epirus หรอื
Alexander of Corinth)
ปราชญต ะวนั ตกไดอ าศยั ศลิ าจารกึ นช้ี ว ยอยา งมาก ในการเทยี บกาลเวลาในประวตั ศิ าสตร
แหง อารยธรรม ตะวนั ตก-ตะวนั ออก
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๗๑
นน้ั แตมีในหลกั รฐั ศาสตรโบราณของชมพูทวปี ดว ย จึงควรเขาใจ
ความตางใหช ัด
ในตาํ ราอรรถศาสตร ของพราหมณจ าณกั ยะ (เรยี ก เกาฏลิ ยะ
บา ง วษิ ณคุ ปุ ตะ บา ง กม็ )ี ผเู ปน ทป่ี รกึ ษาและมหาเสนาบดขี องพระเจา
จนั ทรคปุ ต (พระอยั กาของพระเจา อโศกเอง, พ.ศ.๑๖๑) จัดแบงผู
ชนะสงคราม คอื ผูพ ิชติ หรือผูมีชยั เปน ๓ ประเภท ดงั นี้
๑. ธรรมวชิ ยี ผมู ธี รรมวชิ ยั คอื ผชู นะทพี่ อใจเพยี งใหผ แู พย อม
จงรกั ภกั ดี โดยไมขมเหงทาํ รา ยราชวงศและราษฎรของฝา ยทแ่ี พ
๒. โลภวิชยี ผมู ีโลภวิชัย คอื ผูชนะทมี่ ุง แยง ชงิ เอาดินแดน
และทรัพยส ินของผูแพ
๒. อสุรวิชยี ผมู ีอสรู วิชัย คือ ผชู นะทโี่ หดรา ย ยดึ เอาทุก
อยา ง ท้งั ทรัพยสนิ ดนิ แดน บุตรภรรยา และแมแ ตช วี ติ ของผูแพ
จะเหน็ ชัดวา ธรรมวิชัยของพราหมณจาณักยะ กค็ อื การชนะ
ดวยสงครามน่นั เอง เพยี งแตป ฏบิ ัตติ อ ผแู พอยา งไมโหดรา ย ดังนนั้
ชัยชนะทงั้ ๓ อยางนี้ ยงั ไมเปนธรรมวิชยั ในพระพทุ ธศาสนาเลย
พระเจาอโศกไดละเลิกชัยชนะท่ีสอนกันมาแตเดิมใน
ประเพณกี ารปกครองของสังคมพราหมณ โดยหนั มารบั หลกั การ
ธรรมวชิ ยั อนั เปน ชัยในทางสนั ติ ซงึ่ ไมตอ งใชอ าชญา ไมตอ งใช
ศสั ตรา ตามคตจิ ักกวตั ติธรรมราชาของพระพุทธศาสนา
คติจักกวตั ติธรรมราชา หรอื เรยี กสั้นๆ วา คตจิ กั รวตั ตริ าชา
หรือคตธิ รรมราชาน้ี แมจะมาหลายแหง ในพระไตรปฎ ก แตมพี ระ
สตู รท่วี าดวยเรอื่ งน้โี ดยตรง คอื จักกวตั ตสิ ูตร ซึง่ มชี ่อื ซา้ํ กนั ๓ สูตร
เฉพาะอยา งย่งิ ทีย่ าวที่สุด รูจ ักกนั มากท่ีสดุ และใชเ ปน หลัก
๗๒ หลกั ศิลาจารกึ อโศก
คือสูตรทม่ี าในทฆี นิกาย (ที.ปา.๑๑/๓๓–๕๐) อนั เปน ท่ีมาของหลกั
จกั รวรรดิวตั ร ๑๒ ประการ
ณ ทน่ี ้ี จะไมเ ขา ไปในเน้ือหาของพระสูตรนน้ั โดยตรง แตจ ะ
พดู ใหไดขอสังเกตทัว่ ๆ ไป อยา งกวา งๆ เกยี่ วกับเร่อื งนี้ท้ังหมด
หลกั ธรรมวชิ ัยตามคติจักกวัตติธรรมราชาน้ี เปนตัวอยางคาํ
สอนท่ีพระพทุ ธเจา ทรงแนะนาํ ไวส ําหรับผูนําของสังคมคฤหสั ถ ที่
พระองคไมไ ดทรงจดั ดาํ เนนิ การ ซ่งึ เปน สว นทช่ี าวบานจะตอ งรับ
ผิดชอบกันเอง
หลักการในการนําทางสังคมคฤหัสถน้นั ยอมตางจากสังฆะ
ท่พี ระองคจ ัดตงั้ บริหารตามหลกั การแหงธรรมวนิ ยั
อโศกธรรม - โพธิสัตวธรรม
หลกั ธรรมทีต่ รสั สอนหรอื แสดงสําหรับสงั คมคฤหัสถน ้ี ไม
วาจะเปนองคจกั รพรรดิราช หัวหนา หมูชน หรอื หัวหนาครอบครัว
ทวั่ ไป รวมทัง้ พระโพธสิ ัตว มรี ะดับและลักษณะท่ีพึงสังเกต ดังนี้
ก) โดยทว่ั ไป กลา วถงึ ประเภทของบคุ คลทพ่ี งึ ชว ยเหลอื เกอื้ กลู
หรอื ปฏบิ ตั ใิ นการสมั พนั ธต อ กนั ใหถ กู ตอ ง เชน มารดา
บดิ า คนงาน ฯลฯ ไมค อ ยกลา วถงึ หวั ขอธรรม หรือหลกั ที่
เปนนามธรรม
ข) หลกั การทางธรรม วธิ ปี ฏบิ ตั ิ และจดุ หมายของการปฏบิ ตั ิ
อยใู นขอบเขตแหงบญุ ทาน และการลุถึงสวรรค (รวมท้ัง
พรหมโลก)
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๗๓
ขอยกคาํ สอนระดับน้ีมาใหด เู ปน ตัวอยาง เชน คร้งั หนึ่ง
ตรัสแกพระเจาปเสนทโิ กศล เกี่ยวกบั การเปน อยูค รอบครองทรพั ย
สมบตั ขิ องคฤหบดีวา
ดกู รมหาบพติ ร ในถน่ิ ของอมนษุ ย์ มีสระโบกขรณี ซงึ่
มนี ํา้ ใส เยน็ จืดสนทิ สะอาด มีท่าท่ีขึ้นลงเรยี บร้อย น่ารื่น
รมย์ (แต)่ นาํ้ น้นั คนจะตกั เอาไปกไ็ มไ่ ด้ จะด่ืมก็ไมไ่ ด้ จะอาบ
ก็ไม่ได้ หรอื จะทําการใดตามตอ้ งการกไ็ ม่ได้ มหาบพิตร เมอื่
เปน็ เช่นน้ี นา้ํ ทม่ี ไิ ดก้ ินใช้โดยชอบน้นั พงึ ถงึ ความหมดสนิ้
ไปเปลา่ โดยไมถ่ งึ การบรโิ ภค แม้ฉนั ใด
ดกู รมหาบพิตร อสัตบุรุษได้โภคะอนั โอฬารแลว้ ไม่ทํา
ตนให้เป็นสขุ ฯลฯ โภคะเหลา่ นัน้ ของเขา อันมิได้กนิ ใช้โดย
ชอบ ย่อมถึงความหมดส้ินไปเปล่า โดยไม่ถึงการบริโภค
ฉนั นนั้ เหมือนกนั
ดูกรมหาบพิตร สว่ นสัตบุรษุ ไดโ้ ภคะอันโอฬารแลว้
ย่อมทําตนให้เปน็ สุข ให้เอบิ อิ่ม ยอ่ มทํามารดาบิดา…บุตร
ภรรยา…คนรับใช้กรรมกรและคนสนองงาน…มิตร
สหายเพ่ือนร่วมกิจการ ให้เป็นสุข ให้เอิบอิ่ม ย่อม
ประดิษฐานไวใ้ นสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ซึง่ ทกั ษณิ าอนั มี
ผลสูงข้ึนไป มีจุดทค่ี ํานึงหมายอันดี มีวิบากเป็นสขุ เป็นไป
เพื่อสวรรค์
โภคะเหล่าน้ันของเขา ท่ีบริโภคอยู่โดยชอบอย่างน้ี
ราชาท้ังหลายก็มิได้รบิ เอาไป โจรทงั้ หลายกม็ ิไดล้ กั ไป ไฟก็มิ
ไดไ้ หมห้ มดไป นํ้าก็มิได้พัดพาไป อัปริยทายาททง้ั หลายก็มิ
๗๔ หลักศลิ าจารกึ อโศก
ไดข้ นเอาไป เมือ่ เปน็ เช่นนี้ โภคะเหล่านน้ั ของเขา ทกี่ ินใช้
อยโู่ ดยชอบ ย่อมถงึ การบรโิ ภค ไม่ถึงความหมดส้ินไปเปลา่
ดกู รมหาบพิตร เหมือนดงั วา่ ในทไ่ี ม่ไกลคามหรอื นคิ ม
มีสระโบกขรณี ซง่ึ มีน้ําใส เย็น จดื สนทิ สอาด มีทา่ ทข่ี น้ึ ลง
เรียบร้อย น่ารื่นรมย์ น้าํ นั้นคนจะตักเอาไปกไ็ ด้ จะด่ืมกไ็ ด้
จะอาบกไ็ ด้ หรอื จะทําการใดตามตอ้ งการก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้
นาํ้ ทีก่ นิ ใช้อย่โู ดยชอบน้นั พงึ ถงึ การบริโภค ไมถ่ งึ ความหมด
สิ้นไปเปลา่ แมฉ้ ันใด สตั บรุ ุษไดโ้ ภคะอันโอฬารแล้ว ย่อม
ทาํ ตนให้เป็นสุข ฯลฯ ฉนั นั้นเหมอื นกนั
พระผู้มีพระภาคองค์พระสุคตศาสดา ครั้นตรัส
ไวยากรณ์ภาษติ นี้จบแลว้ ได้ตรัสคาถาประพนั ธต์ ่อไปอกี ว่า
น้ํามีในถิ่นท่ขี องอมนษุ ย์ คนย่อมอดนาํ้ น้นั อันจะดม่ื
มไิ ด้ คนทรามไดท้ รพั ย์แลว้ ตนเองกไ็ ม่บริโภค ทั้งกไ็ มใ่ ห้
ปันแกใ่ คร ฉนั ใดก็ฉันน้ัน สว่ นวิญญชู น มีปญั ญา ไดโ้ ภคะ
แลว้ ยอ่ มบริโภค และใช้ทาํ กิจการ เลย้ี งดหู มูญ่ าติ เปน็ คน
อาจหาญ ใครกไ็ มต่ ิเตียน ยอ่ มเขา้ ถงึ แดนสวรรค์ ฯ
(ส.ํ ส.๑๕/๓๘๗)
พระโพธิสัตวก็มีจริยาแหงการประพฤตธิ รรมทาํ นองเดียวกนั
น้ี ดงั มพี ุทธดาํ รัสวา
ภิกษุทง้ั หลาย ตถาคต ในปรุ ิมชาติ ในปุรมิ ภพ ในถ่ิน
กําเนดิ ก่อน เม่ือเปน็ มนษุ ย์ในบพุ สมยั เป็นผู้มีสมาทานมน่ั
ในกศุ ลธรรมทง้ั หลาย ถือปฏบิ ัตไิ ม่ถอยหลงั ในกายสจุ รติ
ในวจีสุจริต ในมโนสจุ รติ ในการแจกจ่ายบําเพญ็ ทาน ในการ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๗๕
สมาทานศีล ในการรักษาอุโบสถ ในการปฏิบัติชอบต่อ
มารดา ในการปฏิบัติชอบต่อบิดา ในการปฏิบัติชอบต่อ
สมณะ ในการปฏิบัติชอบต่อพราหมณ์ ในความเป็นผู้
เคารพต่อผู้ใหญใ่ นสกลุ และในธรรมอันเปน็ อธกิ ศุ ลอยา่ ง
อ่นื ๆ เพราะกรรมนั้น อนั ได้ทํา ไดส้ ่งั สม ได้พอกพนู เปน็
กรรมอันไพบูลย์ เบ้ืองหน้าแต่กายแตกทําลายตายไป
ตถาคตกเ็ ขา้ ถึงสคุ ตโิ ลกสวรรค…์
(ท.ี ปา.๑๑/๑๓๑)
ความเปน คนดี ทมี่ ีคาํ เรยี กวา “สัตบุรษุ ” มคี วามหมาย
สัมพันธกับความดีงามและประโยชนสุขของตระกูลวงศและชุมชน
หรือหมชู น ดงั พุทธพจนว า
ภกิ ษุทั้งหลาย คนดี (สัตบรุ ุษ) เกิดมาในหมู่ชน๑ ย่อม
เป็นไปเพ่ือประโยชน์ เพ่ือเก้ือกูล เพื่อความสุข แก่ชน
จํานวนมาก (คอื ) ยอ่ มเปน็ ไปเพ่อื ประโยชน์ เพือ่ เกื้อกูล
เพ่ือความสุข แก่มารดาบิดา...แก่บุตรภรรยา...แก่คนรบั
ใช้กรรมกรและคนสนองงาน...แก่มิตรสหายเพื่อนร่วม
กิจการ...แก่สมณพราหมณ์ เปรยี บเหมือนมหาเมฆ ช่วย
ให้ขา้ วกล้าเจรญิ งอกงาม เป็นไปเพอ่ื ประโยชน์ เพือ่ เกือ้ กลู
เพ่ือความสขุ แก่ชนจํานวนมาก
(อง.ฺ ปจฺ ก.๒๒/๔๒)
๑ คาํ บาลีคอื “กลุ ” ตามปกติแปลกันวา ตระกลู หรอื สกุล แตคาํ น้ีทจี่ ริงมคี วามหมายกวา ง
หมายถึงหมชู น หรอื ชมุ ชน กไ็ ด เชน ในสมัยของมหาวิทยาลยั นาลันทา มีตาํ แหนง
กลุ บดี หมายถึงหัวหนาผูบริหารงาน แมในภาษาฮินดปี จจุบัน ก็ยังมีคําน้ี ซึ่งใชใ นความ
หมาย ตง้ั แตค รอบครวั หมูชน ไปจนถึงเผา ชน
๗๖ หลกั ศิลาจารึกอโศก
อกี พระสตู รหน่งึ (องฺ.อฏ ก.๒๓/๑๒๘) เน้ือความเหมอื นกบั พระ
สตู รขา งบนนี้ แตมีบคุ คลทจ่ี ะไดร ับประโยชนเพ่ิมเขา มา ๓ พวก
คอื “แกบ่ รรพชนผลู้ ่วงลบั ...แกพ่ ระราชา...แก่เทวดาทง้ั หลาย...”
พระสูตรทแี่ สดงธรรมสาํ หรบั สังคมคฤหสั ถอ ยา งนี้ มีมากพอ
สมควร แตย กมาเปนตวั อยา งเทาน้ีคิดวา เพยี งพอแลว เพราะสาระ
ก็ทาํ นองเดียวกัน
สาระน้นั กค็ ือ
- การอยรู วมอยา งเก้อื กลู กนั ในครอบครวั ในชุมชน ในสังคม
โดยเอาใจใสด ูแลคนทีต่ นเกี่ยวขอ ง ประพฤติปฏิบัตดิ ี ทํา
หนา ท่ตี อกนั ทาํ ประโยชนแ กกัน
- ดวยทาน คือรูจักให เผื่อแผแบงปน โดยไมมัวหวงแหน
ทรัพยสมบัติ แตนําออกมาใชทําประโยชน ในการบํารุง
เลย้ี งชว ยเหลือกนั ตามวธิ ีปฏบิ ัตขิ า งตนนั้น
- จงึ เปน การนาํ ชวี ติ ไปในทางแหงสวรรค
รวมทั้งขอเนนที่จะใหผลดีเกิดข้ึนเปนประโยชนท้ังในโลกนี้
และโลกหนา ตามคติอิธโลก-ปรโลก ซงึ่ พบไดทวั่ ในพระไตรปฎก
หลักธรรมสําหรับสังคมคฤหัสถตามคําสอนในพระไตรปฎก
ทว่ี ามาน้เี อง คือแหลง แหง ธรรมท่ีพระเจาอโศกมหาราชทรงสอนใน
ศิลาจารึกของพระองค ที่บางทานมองวาเปนคําสอนที่พระเจา
อโศกทรงคิดข้นึ มา แลวตง้ั ชอ่ื ใหวา อโศกธรรม
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๗๗
จักรพรรดิ-ธรรมราชา
พระสูตรใหญที่เหมือนกับประมวลธรรมสําหรับชีวิตและ
สังคมคฤหัสถไ ว กค็ อื สิงคาลกสตู ร (บางทีเรยี กวา สิคาโลวาทสูตร,
ท.ี ปา.๑๑/๑๗๒) ท่ที า นใหถ อื เปนวินัยของคฤหัสถ (คิหวิ นิ ยั )
ในสิงคาลกสูตรนัน้ แมจ ะตรัสธรรมท่ีเปนขอ ปฏิบัตไิ วหลาย
ดาน แตหลักใหญท ่เี ปน เปา หมายของพระสูตรนนั้ กค็ ือหลกั ทศิ ๖
ที่รูจักกันดี อันแสดงธรรมหรือหนาท่ีที่พึงปฏิบัติตอกัน ระหวาง
มารดาบิดา-บุตรธดิ า อาจารย-ศษิ ย สาม-ี ภรรยา มติ ร-มิตร นายงาน-
คนงาน สมณพราหมณ-กลุ บตุ ร (พระสงฆ- ชาวบาน)
ในสิงคาลกสูตร นี้ ตลอดทงั้ หมด กเ็ ชน เดยี วกบั พระสตู รทัง้
หลายท่ยี กมาเปน ตวั อยา งขา งบนน้ัน ไมกลาวถงึ หลักธรรมสําคญั
อยา งอรยิ สจั ปฏจิ จสมปุ บาท ฌาน นพิ พาน ใดๆ ทพ่ี วกนกั ปราชญ
ฝร่ังและอินเดียหลายทานน้ันคาดหวังเลย แมแตศีล ๕ ก็ยังไม
ปรากฏชือ่ ออกมาในสิงคาลกสูตร นคี่ อื เรื่องธรรมดาทีพ่ งึ เขาใจ
ชื่อเรียกน้ันเปนสื่อสําหรับลัดความเขาใจ คนท่ีรูเรื่องน้ันอยู
แลว พอออกชอ่ื มา เขาก็มองเห็นเน้ือหาทะลตุ ลอดหมด ไมต อ งมา
แจกแจงกนั อีก ชอ่ื เรียกหลกั ธรรมตา งๆ จงึ มไี วใชใหส ะดวกสําหรับ
การสอนและการศึกษาย่ิงข้ึนไป จุดสําคัญอยูที่เอยชื่อใหตรงกับ
สภาวะท่ีจะสื่อ ไมใชเ รือ่ งสําหรบั มายึดวา เปน ของใครๆ
ดว ยเหตุน้ี เม่อื พระพทุ ธเจา ทรงสอนคฤหสั ถหรอื คนใหมภาย
นอก ท่ีชื่อเรียกจะไมชวยในการส่ือแกเขา พระองคก็ตรัสเน้ือหา
ของธรรมนนั้ ๆ ไป แมจ ะตอ งใชเ วลามากหนอ ย การทค่ี นผมู าอา นที
๗๘ หลักศลิ าจารกึ อโศก
หลังไมพบชอื่ ของธรรมนัน้ ๆ กเ็ ปน เรือ่ งธรรมดาอยางท่ีวาแลว
แมแตในจักกวัตติสูตร ท่ีเปนแหลงของหลักธรรมวิชัยและ
คตจิ กั กวตั ตริ าชานเี้ อง ในตอนเดนิ เรอ่ื ง ถงึ จะตรสั เนอ้ื หาของศลี ๕ ก็
ทรงแสดงไปตามสาระ แตไ มอ อกช่อื มาวา “ศลี ๕”
รวมท้ังช่ือวา “กุสลกรรมบถ-อกุสลกรรมบถ” ก็ทรงเอย
เฉพาะตอนทีต่ รสั แบบสรปุ ความแกพระสงฆ
นีค่ ือ แมแ ตพระพุทธเจา ตรัสเอง และอยใู นพระไตรปฎก ใน
กรณีอยา งน้ี ก็ไมไดอ อกชอื่ ของหลกั ธรรมน้นั ๆ
ในขอปฏิบัติขององคพระจักรพรรดิธรรมราชา ก็เนนท่ีการ
คมุ ครองประชาราษฎร คอื เนน ทค่ี น โดยจาํ แนกประชาชนทจี่ ะพงึ ดู
แลเปน หมเู หลา ตา งๆ ๘ พวก (ขอใหนกึ ถงึ สิงคาลกสูตร ท่ีจัดคน
เปน กลมุ ๆ ในหลกั ทศิ ๖)
ในจกั กวตั ตสิ ตู ร ทวี่ า ชอ่ื ซาํ้ กนั อีกสูตรหนง่ึ (องฺ.ติก.๒๐/๔๕๓) พระ
พทุ ธเจา และพระเจาจักรพรรดิ มีคาํ เรยี กพระนามท่ตี รงกันวา ทรง
เปน “ธรรมราชา” เพราะฉะนั้นจึงมีธรรมราชา ๒ อยาง คือ
๑. จกั รพรรดิธรรมราชา
๒. สัมมาสัมพุทธธรรมราชา
ความแตกตา งระหวา งธรรมราชา ๒ อยา งน้ี คอื ระหวา งพระ
พุทธเจา กบั พระเจา จกั รพรรดิ ท่ีเปน จุดสังเกตสําคัญ กค็ อื
พระเจาจกั รพรรดิ จัดสรรการดูแลรักษาคุมครองปองกันอนั
เปน ธรรม แกป ระชาชนหมเู หลา ตา งๆ (ทรงจาํ แนกไว ๘ ประเภท คอื
อนั โตชน ขัตติยะ อนุยนต พลกาย พราหมณคหบดี ชาวนคิ มชนบท
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๗๙
สมณพราหมณ มิคปกษ)ี ยงั จักรใหห มุนไปโดยธรรม ซ่งึ คนสตั วท ี่
มงุ รายใดๆ ไมอาจทําใหหมุนกลบั ได แต
พระสัมมาสัมพุทธเจา จดั สรรการดแู ลรักษาคมุ ครองปอ งกัน
อันเปนธรรม ใหแกกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม โดยใหร ูวา
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อยางไหนควรเสพ อยางไหนไมควร
เสพ ยังธรรมจกั รใหหมนุ ไปโดยธรรม ซงึ่ สมณะ พราหมณ เทพ
มาร พรหม หรือใครก็ตามในโลก ไมอ าจทาํ ใหหมนุ กลับได
นอกจากนน้ั ในจกั กวตั ตสิ ตู ร ท่ี ๓ (ส.ํ ม.๑๙/๕๐๕) ก็ตรสั ใหเห็น
ความแตกตา งไวอ กี มใี จความวา การปรากฏของพระเจา จกั รพรรดิ
ทําใหร ตั นะ ๗ อยางทเ่ี ปนบุคคลและวัตถปุ รากฏ แตการปรากฏ
ของพระสัมมาสัมพุทธเจา ทําใหรัตนะของการพัฒนาจิตใจและ
ปญ ญาคือโพชฌงค ๗ ปรากฏ
คาํ วา “ธรรมราชา” มคี วามหมายตามท่ีพระพทุ ธเจาตรัสไว
๒ ชนั้ คอื เปน “ราชาผทู รงธรรม” และ “ผมู ธี รรมเปนราชา”
สําหรับความหมายแรกวาเปน “ราชาผทู รงธรรม” น้นั ชดั อยู
แลว แตในความหมายที่ ๒ คอื “ผูม ีธรรมเปน ราชา” พระพทุ ธเจา
ทรงอธบิ ายวา “ธรรม” เปน ราชาของพระองค และของพระเจา
จกั รพรรดิ คอื พระพุทธเจา และพระเจา จกั รพรรดิ ทรงเคารพธรรม
ยึดธรรมเปน หลักนาํ ถือธรรมเปนใหญ เปน ธรรมาธิปไตย
ทนี ี้ ถา วเิ คราะหศ พั ทแยกแยะละเอียดลึกลงไปอกี คาํ วา
“ราชา” แปลวา “ผูทําใหประชาชนชื่นชมยนิ ด”ี เพราะฉะนน้ั “ธรรม
ราชา” ก็แปลวา “ผูทําประชาชนใหช่ืนชมยินดีดวยธรรม”
๘๐ หลักศลิ าจารกึ อโศก
แลว อรรถกถาก็แยกความหมายของธรรมราชา ๒ อยางวา
๑. จกั รพรรด-ิ ธรรมราชา หมายถึง ทา นผูยังชาวโลกใหชืน่
บานสดใสดว ยธรรม คือ กุศลกรรมบถ ๑๐
๒. สัมมาสมั พุทธ-ธรรมราชา หมายถึง ทา นผูยังชาวโลกให
ชื่นบานสดใสดวยธรรม คือ โลกตุ ตรธรรม ๙
ในดานงานของธรรมราชา เริ่มจากจักรพรรดิธรรมราชา
เปน ตน ไป เมอ่ื พระพทุ ธเจา ทรงบรรยายความเสอื่ มของสงั คมมนษุ ย
ซงึ่ เปน เนอื้ หาสวนทยี่ ดื ยาวของจกั กวัตตสิ ูตรแรก กท็ รงแสดงภาวะ
เสื่อมโทรมนั้นโดยชี้ถึงการที่มนุษยไมดูแลรับผิดชอบทําหนาท่ีตอ
กัน ขอใหดตู วั อยางสกั ตอน
ภิกษุท้ังหลาย จักมีสมัยท่ีมนุษยเ์ หล่านีม้ ีบุตรอายอุ ยู่
ได้ ๑๐ ปี เมอ่ื มนุษยม์ อี ายุ ๑๐ ปี เดก็ หญิงมอี ายุ ๕ ขวบ
จักอาจมสี าม…ี
ภิกษุท้ังหลาย เมื่อมนุษยม์ อี ายุ ๑๐ ปี คนทง้ั หลาย
จกั เป็นผู้ไม่ปฏิบตั ิชอบตอ่ มารดา ไมป่ ฏิบัติชอบตอ่ บดิ า ไม่
ปฏิบัติชอบต่อสมณะ ไม่ปฏิบัติชอบต่อพราหมณ์ ไม่
ประพฤตอิ ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญใ่ นตระกูล
อกี ท้งั เขาเหล่าน้นั กจ็ กั ได้รบั การยกย่องเชิดชู และได้รบั
การสรรเสริญ เหมือนดงั ทีค่ นผู้ปฏบิ ตั ชิ อบต่อมารดา ปฏิบตั ิ
ชอบต่อบดิ า ปฏิบตั ชิ อบต่อสมณะ ปฏิบัติชอบต่อพราหมณ์
ประพฤตอิ ่อนน้อมตอ่ ทา่ นผใู้ หญ่ในตระกูล ได้รับการยกยอ่ ง
เชิดชู และไดร้ ับการสรรเสริญ ในบัดนี้
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๘๑
ภิกษุทงั้ หลาย เม่อื มนุษยม์ อี ายุ ๑๐ ปี เขาจักไมม่ จี ติ
คดิ เคารพยําเกรงวา่ นแ่ี ม่ น่ีน้า น่พี อ่ น่อี า นี่ปา้ นภ่ี รรยา
ของอาจารย์ หรือว่าน่ีภรรยาของท่านท่ีเคารพท้ังหลาย
สตั วโ์ ลกจกั ถึงความสมสปู่ ะปนกนั เหมอื นดังแพะ ไก่ สนุ ขั
บ้าน สุนขั จ้ิงจอก ฉะนัน้
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เมื่อมนษุ ยม์ ีอายุ ๑๐ ปี สัตวเ์ หล่าน้นั
ตา่ งก็จักผูกความอาฆาต ความพยาบาท ความคดิ รา้ ย ความ
คดิ จะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน
มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับมารดากด็ ี บิดากับบุตรก็ดี
บุตรกบั บิดากด็ ี พ่ชี ายกบั นอ้ งหญิงก็ดี นอ้ งหญงิ กบั พ่ชี ายก็
ดี จักมคี วามแค้นเคืองพลงุ่ ขนึ้ มา มีความพยาบาท ความ
คิดร้าย ความคดิ จะฆา่ กนั อย่างแรงกล้า เสมือนนายพราน
เน้อื เหน็ เน้อื เขา้ แล้ว เกดิ ความอาฆาตพลงุ่ ขึน้ มคี วาม
พยาบาท ความคิดรา้ ย ความคดิ จะฆ่าอย่างแรงกล้า ฉะนนั้
(ท.ี ปา.๑๑/๔๖)
๘๒ หลกั ศิลาจารกึ อโศก
จากดูพทุ ธพจน มาอานธรรมโองการ
เห็นไดช ดั วา ธรรมในศลิ าจารกึ อโศก สวนใหญ และท่กี ลาว
ถงึ บอ ย เปน เรื่องของการปฏิบตั ชิ อบตอ กนั หรือตอบุคคลประเภท
ตางๆ ท่ีแตล ะคนควรดูแลรับผดิ ชอบหรือชวยเหลือกัน ซ่งึ ใกลเคียง
กนั มากกับพระสูตรทยี่ กมาใหด ูแลว
จึงขอยกขอ ความในศลิ าจารกึ นั้นมาใหด บู าง
ขอเรม่ิ ดว ย จารกึ หลักศิลา ฉบับท่ี ๗ ซงึ่ ตรสั เลา ความเปน มา
และวตั ถปุ ระสงคข องการทาํ ศลิ าจารกึ ประกาศธรรมไวด ว ย อนั เปน
เรอ่ื งทน่ี า รู
๑. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวย
เทพ ตรสั ไว้ดังนี้ :-
ตลอดกาลยาวนานล่วงมาแล้ว ได้มีพระราชาหลายองค์
ทรงปรารถนาวา่ ทําไฉนประชาชนทง้ั หลายจะพงึ เจริญก้าวหนา้
ดว้ ยความเจรญิ ทางธรรม แต่ประชาชนกห็ าได้เจริญก้าวหนา้ ข้ึน
ด้วยความเจรญิ ทางธรรมตามสมควรไม่ … กแ็ ล ดว้ ยอุบายวธิ ี
อันใดหนอ ประชาชนทง้ั หลายจะพงึ ประพฤติปฏิบัติตาม …
๓. ในเรื่องนี้ สมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวปรยิ ทรรศี ผู้เปน็ ทรี่ กั
แห่งทวยเทพ ตรสั ไว้ดังน้ี :-
ข้าฯ ได้เกดิ มีความคดิ ขนึ้ ว่า ข้าฯ จักจดั ให้มกี ารประกาศ
ธรรม ข้าฯ จกั จัดใหม้ ีการอบรมส่ังสอนธรรม ประชาชนทง้ั
หลาย ครนั้ ไดส้ ดับธรรมนแี้ ลว้ ก็จกั พากันประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ าม
จักยกระดับตนเองสูงข้ึน และจกั มีความเจริญกา้ วหนา้ ข้นึ ด้วย
ความเจริญทางธรรมอยา่ งม่นั คง
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๘๓
เพอ่ื ประโยชน์นี้ ข้าฯ จึงจดั ใหม้ ีการประกาศธรรม และสงั่
ให้มีการอบรมสง่ั สอนธรรมขน้ึ เปน็ หลายแบบหลายอยา่ ง เพอื่ ให้
ขา้ ราชการทงั้ หลาย ท่ีขา้ ฯ ได้แตง่ ต้งั ไวด้ ูแลประชาชนจํานวน
มาก จกั ไดช้ ่วยกนั แนะนาํ สง่ั สอนบา้ ง ชว่ ยอธบิ ายขยายความให้
แจม่ แจง้ ออกไปบา้ ง แม้เจ้าหน้าทร่ี ชั ชกู ะ ข้าฯ กไ็ ดแ้ ตง่ ตง้ั ไวด้ ู
แลชีวิตหลายแสนชีวิต เจ้าหน้าท่ีรัชชูกะเหล่านั้น ก็ได้รับคําส่ัง
จากข้าฯ ว่า ท่านท้ังหลายจงอบรมสัง่ สอนประชาชนใหเ้ ปน็ ผู้
ประกอบดว้ ยธรรมอย่างนี้ๆ
๔. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นท่ีรักแห่งทวย
เทพ ตรัสไว้วา่ :-
เมอื่ ไดพ้ จิ ารณาใครค่ รวญในเรอื่ งนี้ โดยถอ่ งแทแ้ ลว้ นน่ั แล
ขา้ ฯ จงึ ใหป้ ระดษิ ฐานหลักศิลาจารกึ ธรรมขึน้ ไว้ แต่งตงั้ ธรรม
มหาอํามาตยข์ ึ้นไว้ และจัดให้มกี ารประกาศธรรม
๕. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวย
เทพ ตรัสไวด้ งั นี้ :-
แมต้ ามถนนหนทาง ขา้ ฯ ก็ได้ใหป้ ลกู ต้นไทรข้ึนไว้ เพ่ือจกั
ไดเ้ ปน็ รม่ เงาใหแ้ กส่ ตั ว์และมนุษยท์ ้ังหลาย ใหป้ ลกู สวนมะม่วง
ให้ขุดบอ่ นาํ้ ไวท้ ุกระยะก่ึงโกรศะ๑ ให้สร้างท่ีพักคนเดนิ ทางขน้ึ ไว้
และใหส้ รา้ งอา่ งเก็บนํา้ จาํ นวนมากมายขน้ึ ไวใ้ นท่ีต่างๆ เพ่ือการ
ใช้สอยแห่งสัตว์และมนษุ ยท์ ้งั หลาย
๑ คาํ อา นจากศลิ าจารกึ วา “อฒ-โกสกิ ยฺ าน”ิ สนั นษิ ฐานกนั วา = อฑฒฺ +โกส แปลวา ครง่ึ โกสะ;
เทยี บตามมาตราฝา ยบาลี คอื ครงึ่ กม.; ทางฝา ยสนั สกฤต โกสÆโกรฺ ศ = ๑ กม. บา ง = ๒
กม. บา ง, ครงึ่ โกสะ จงึ เปน ครงึ่ กม. หรอื ๑ กม. ตามลาํ ดบั
แต “อฒ” อาจจะเปน อฏ คอื ๘ จงึ เปน ๘ โกส/โกรฺ ศ ถา อยา งน้ี กจ็ ะเปน ๘ หรอื ๑๖
กม. ตามลาํ ดบั (ดู เชงิ อรรถที่ จารกึ หลกั ศลิ า ฉบบั ที่ ๗)
๘๔ หลักศิลาจารกึ อโศก
แต่การใช้ประโยชน์เช่นน้ียังจัดว่าเป็นส่ิงเล็กน้อย พระ
ราชาทัง้ หลายในกาลก่อนกด็ ี ตวั ข้าฯ กด็ ี ตา่ งก็ได้บํารงุ ประชา
ชนทง้ั หลายให้มคี วามสุขด้วยวธิ ีการบาํ รุงสขุ ประการตา่ งๆ แต่
ทข่ี า้ ฯ ไดก้ ระทาํ การเช่นนี้ กด็ ้วยความมงุ่ หมายข้อนี้ คอื เพ่ือ
ใหป้ ระชาชนทง้ั หลายประพฤตปิ ฏิบตั ิตามธรรม…
๘. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นท่ีรักแห่งทวย
เทพ ตรัสไว้ดังน้ี
กรรมดใี ดๆ ก็ตาม ทีข่ า้ ฯ ได้กระทาํ แลว้ ประชาชนทง้ั
หลายก็ได้พากันประพฤติปฏิบัติกรรมดีนั้นๆ ตามอย่างแล้ว
และยังคงดําเนินตามกรรมดีนน้ั ๆ อยู่ตอ่ ไป ดว้ ยการกระทําเช่น
นัน้ ประชาชนทงั้ หลายก็ได้มคี วามเจริญงอกงามขนึ้ แล้ว และ
ยงั จักเจริญงอกงามยง่ิ ๆ ขึ้นไปอกี ดว้ ย:
- การเช่อื ฟังมารดาบิดา
- การเช่อื ฟงั ครทู ัง้ หลาย
- การปฏิบตั ชิ อบต่อท่านผู้เฒา่ ชรา
- การปฏิบตั ิชอบตอ่ พราหมณแ์ ละสมณะ
- (การปฏิบตั ิชอบ) ต่อคนยากจน และคนตกทกุ ข์
- ตลอดถงึ คนรบั ใช้ และคนงานท้ังหลาย
จารึกศิลา ฉบับท่ี ๓ ระบธุ รรมทพ่ี งึ เผยแพร ดังนี้
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นท่ีรักแห่งทวย
เทพ ตรัสไว้ดังน้ี
ขา้ ฯ เมอ่ื อภเิ ษกแลว้ ได้ ๑๒ ปี ได้ส่งั ประกาศความข้อ
นไ้ี วว้ ่า ทกุ หนทกุ แหง่ ในแวน่ แควน้ ของขา้ ฯ เจา้ หนา้ ทยี่ กุ ตะ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๘๕
เจา้ หนา้ ทร่ี ชั ชกู ะ และเจ้าหน้าทปี่ ราเทศกิ ะ จงออกเดินทาง
(ตรวจตรา) ทกุ ๆ ๕ ปี เพือ่ ประโยชนอ์ นั น้ี คอื เพ่อื การสงั่
สอนธรรมนี้ พร้อมไปกับการปฏบิ ตั ิหน้าท่รี าชการอยา่ งอืน่
(เจา้ หนา้ ที่เหลา่ นั้นพงึ สง่ั สอน) วา่
- การเช่ือฟงั มารดาบดิ า เป็นความดี
- การใหป้ ันแกม่ ติ รสหาย ญาติ แกพ่ ราหมณ์และสมณะ
เปน็ ความดี
- การไม่ฆ่าสัตว์ เป็นความดี
- การประหยัดใช้จา่ ยแต่นอ้ ย การสะสมแตน่ อ้ ย (เล้ยี งชีวิต
แตพ อด?ี ) เปน็ ความดี
จารึกศลิ า ฉบบั ที่ ๙ กลา วถึงธรรมท่ีพงึ ปฏิบตั ดิ ังน้ี
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวย
เทพ ตรสั วา่ ประชาชนทงั้ หลาย ยอ่ มประกอบพิธีมงคล
ต่างๆ เป็นอนั มาก … อันเป็นเร่ืองหยมุ หยิมไรส้ าระ และไม่
ประกอบดว้ ยประโยชน์ … โดยนยั ตรงข้าม ยังมพี ธิ ีกรรมท่ี
เรียกว่าธรรมมงคล ซึ่งเป็นพิธีกรรมมีผลมาก ในธรรม
มงคลนน้ั ยอ่ มมกี จิ ตอ่ ไปน้ี คอื
- การปฏิบตั ชิ อบต่อคนรับใช้และคนงาน
- การแสดงความเคารพนับถือต่อครอู าจารย์
- การสาํ รวมตนตอ่ สตั วท์ ั้งหลาย
- การถวายทานแกส่ มณพราหมณ์
๘๖ หลักศิลาจารึกอโศก
ใน จารกึ ศลิ า ฉบับที่ ๑๑ นอกจากธรรมปฏบิ ัติทคี่ ลายกบั ใน
จารกึ อืน่ แลว มขี อ พงึ สงั เกตพิเศษ คอื เรอื่ ง ธรรมทาน และการบูชา
ยญั ท่จี ะพูดถึงเพม่ิ เติมอกี ขา งหนา ดังน้ี
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวย
เทพ ตรสั ไว้ ดังนี้
ไมม่ ที านใดเสมอดว้ ยการใหธ้ รรม (ธรรมทาน) การแจก
จา่ ยธรรม (ธรรมสงั วภิ าค) และความสมั พนั ธก์ นั โดยธรรม (ธรรม
สมั พนั ธ)์ อาศยั ธรรม (ธรรมทาน เปน็ ตน้ ) นี้ ย่อมบังเกิดมี
สง่ิ ต่อไปน้ี คือ
- การปฏบิ ัตชิ อบต่อคนรับใช้และคนงาน
- การเชอ่ื ฟังมารดาบิดา
- การเผอ่ื แผแ่ บง่ ปนั แกม่ ติ ร คนคนุ้ เคย ญาติ และแกส่ มณ
พราหมณ์
- การไมฆ่ า่ สตั ว์เพอื่ บูชายญั
บิดากด็ ี บตุ รกด็ ี พีน่ ้องชายก็ดี นาย (หรือ สาม)ี ก็ดี
มติ รและคนคนุ้ เคยกด็ ี ตลอดถึงเพ่อื นบา้ น พงึ กลา่ วคํานี้
(แก่กัน) วา่ ‘นี่เปน็ สิง่ ดงี ามแท้ นเ่ี ปน็ กจิ ควรทาํ ’
บุคคลผู้ปฏิบัติเช่นน้ี ย่อมทําความสุขในโลกนี้ให้
สําเรจ็ ดว้ ย และในโลกเบื้องหนา้ ยอ่ มประสพบญุ หาทส่ี ุดมิ
ไดเ้ พราะอาศยั ธรรมทานน้นั ด้วย.
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๘๗
ธรรมแบบทีเ่ ปน หวั ขอนามธรรม คอื เปน ตวั คณุ ธรรม พบใน
จารึกเพียง ๒ แหง คอื จารกึ หลกั ศลิ า ฉบับท่ี ๒ ดังน้ี
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวย
เทพตรสั ไว้ดังนี้ :-
ธรรมเปน็ สิง่ ดีงาม กส็ งิ่ ใดเลา่ ชื่อวา่ ธรรม ธรรมนนั้ ได้
แกส่ ่ิงต่อไปน้ี คือ
- การมีความเสียหายน้อย (อัปปาทีนวะ?)๑
- การมคี วามดมี าก (พหุกัลยาณะ)
- ความเมตตากรุณา (ทยา)
- การเผื่อแผ่แบ่งปัน (ทาน)
- ความสัตย์ (สัจจะ)
- ความสะอาด (โสไจย)
อีกแหง หนึง่ ทพ่ี บธรรมแบบท่เี ปน หัวขอ นามธรรม คือเปนตัว
คณุ ธรรม ไดแก จารกึ หลกั ศิลา ฉบับท่ี ๗ ดังน้ี
๗. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นท่ีรักแห่ง
ทวยเทพ ตรสั ไว้ดังนี้
เจา้ หนา้ ทช่ี ้นั ผูใ้ หญเ่ หล่านี้ และพวกอน่ื ๆ อกี จํานวน
มาก ไดร้ ับมอบหมายให้มีหน้าทที่ ําการจําแนกแจกทาน ทั้ง
ในนามของข้าฯ เอง และในนามแห่งพระราชเทวีทัง้ หลาย
ท่วั ทกุ ฝ่ายในของขา้ ฯ เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เหลา่ น้ี สามารถ
๑ คาํ ทถ่ี อดออกมาจากศลิ าจารกึ วา “อปาสนิ เว” และไดแ ปลกนั ไปตา งๆ สดุ แตจ ะโยงไปสคู าํ
ศพั ทใ ด เชน บางทานคิดวาคงเปน อัปปาสวะ ก็แปลวามีอาสวะ/กิเลสนอย ในท่ีนี้
เม่ือเทียบกับ “พหุกัลยาณะ” เหน็ วา นา จะเปน “อปั ปาทนี วะ” จงึ แปลอยา งนี้
๘๘ หลกั ศลิ าจารกึ อโศก
จดั ดาํ เนินการในกิจต่างๆ ทีม่ ุง่ หมาย จนเปน็ ท่นี ่าพอใจได้
ดว้ ยวิธกี ารมากหลาย ทงั้ ใน (พระนครหลวง) นี้ และใน
สว่ นต่างๆ (ของประเทศ)
อนง่ึ ในส่วนแหง่ โอรสของขา้ ฯ และเจ้าชายอ่นื ๆ ซง่ึ
ประสูตแิ ตพ่ ระราชเทวที ้งั หลาย ข้าฯ ก็ไดส้ ั่งใหก้ ระทาํ การ
(จําแนกแจกทาน) เชน่ นี้ โอรสของขา้ ฯ เหล่าน้ี จกั เปน็ ผู้
ฝักใฝใ่ นการจําแนกแจกทาน อันจะเปน็ การชว่ ยส่งเสรมิ หลัก
การทางธรรม และการประพฤตปิ ฏิบตั ติ ามธรรม
หลักการทางธรรม และการประพฤติปฏิบัติตามธรรม
เหล่าน้ี กลา่ วคือ
- ความเมตตากรณุ า (ทยา)
- การเผ่ือแผ่แบง่ ปัน (ทาน)
- ความสัตย์ (สจั จะ)
- ความสะอาด (โสไจย)
- ความสุภาพออ่ นโยน (มัททวะ)
- ความเป็นสาธุชน (สาธวะ)
จะพงึ เจรญิ เพ่ิมพูนขน้ึ ในหมู่ประชาชน
สวนอีกแหงหนึง่ ไมใชเปนหัวขอ ธรรมหรอื คุณธรรมทจี่ ะสอน
โดยตรง แตก ระตนุ เตอื นใหต ระหนกั วา การทจ่ี ะทาํ ใหส าํ เรจ็ ตามจดุ
หมายทต่ี ้งั ไวน ั้น จะตองทําตัวหรอื ปฏิบตั ิตนอยางไร ไดแ ก จารึก
หลกั ศิลา ฉบบั ที่ ๑ ซงึ่ มีขอ ความดงั นี้
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวย
เทพตรสั ไวด้ งั น้ี :-
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๘๙
ธรรมโองการนี้ ขา้ ฯ ได้ใหจ้ ารกึ ขน้ึ ไว้ เม่ืออภเิ ษกแล้ว
ได้ ๒๖ พรรษา ประโยชนใ์ นโลกนแี้ ละโลกหนา้ เป็นสงิ่ ทจ่ี ะ
พงึ ปฏิบตั ิใหส้ าํ เร็จได้โดยยาก หากปราศจาก
- ความเปน็ ผู้ใคร่ธรรมอยา่ งย่งิ ยวด (อคั ค-ธมั มกามตา)
- การใชป้ ญั ญาไตรต่ รองอยา่ งยงิ่ ยวด (อคั ค-ปรกิ ขา)
- การต้ังใจฟงั คําสัง่ สอนอยา่ งยง่ิ ยวด (อัคค-สุสสูสา)
- ความเกรงกลวั (ต่อบาป) อยา่ งยงิ่ ยวด (อคั ค-ภยะ)
- ความอตุ สาหะอยา่ งยิ่งยวด (อัคค-อุสสาหะ)๑
บดั น้ี ดว้ ยอาศยั คาํ สงั่ สอนของขา้ ฯ ความมงุ่ หวงั ทาง
ธรรมและความฝักใฝ่ใคร่ธรรม ได้เจริญงอกงามขึ้นแล้ว
ทุกๆ วัน และจกั เจรญิ งอกงามยง่ิ ขน้ึ เรอ่ื ยไป
ทฏิ ฐธมั มิกัตถ คือมาตรวัดนักปกครอง
จากหลกั ฐานและเร่อื งราวที่ยกมาดกู ันน้ี จะเห็นวา โดยท่ัว
ไป พระเจาอโศกทรงสอนธรรม แบบไมอ อกช่ือของหลกั ธรรมหรอื
ชอ่ื หัวขอ ธรรม
(ถาทรงเรียกชื่อหัวขอธรรมออกมา ราษฎรท่ีอยูกระจายหางกวางไกล
สวนใหญก็คงไมรูเร่ือง ไมเคยไดยิน คนท่ีจะอธิบายก็ไปไมถึง ไมวาดวยตัว
หรอื โดยรูปโดยเสียง ก็ตองใชศพั ทชาวบา น คําทีร่ กู ันคนุ หรอื ทพ่ี อเทียบได)
๑ คาํ ศพั ทใ นวงเลบ็ ทง้ั หมดนี้ พงึ ทราบวา ไมใ ชร ปู เดมิ ในศลิ าจารกึ แตเ ปน การถอดรปู ออกมา
และเขยี นเทยี บเปน คาํ บาลี เพอ่ื ใหไ ดป ระโยชนใ นการศกึ ษามากขน้ึ (เชน ขอ ๒ ทถ่ี อดเปน
“อคั ค-ปรกิ ขา” นนั้ คาํ ในจารกึ เปน “อคาย ปลขี ายา”) แตท นี่ ม่ี ใิ ชโ อกาสทจี่ ะอธบิ ายมากกวา นี้
๙๐ หลกั ศลิ าจารกึ อโศก
พระองคตรสั ออกชื่อธรรมเพยี งไมกอี่ ยา ง เม่อื จะเนน ออกมา
เฉพาะที่เปน คาํ ท่รี ูๆ กนั หรืองา ยๆ
แตที่ทรงสอนเอาจริงเอาจัง และตรัสอยูเสมอ ก็คือธรรมท่ี
เปน การปฏิบัตติ อกนั ระหวางคนในหมชู น ทาํ นองเดยี วกับพระสตู ร
ในพระไตรปฎ ก ทพี่ ระพทุ ธเจา ตรัสสอนคฤหัสถ
กลายเปนวา พระเจา อโศกน่ันแหละทรงแมนยําวา ในฐานะ
พุทธมามกะ เมื่อเปนราชาปกครองบานเมือง จะสอนธรรมสวน
ไหนอยางไร และคนท่ไี มเ ขา ใจเพราะจับจดุ จบั หลกั ไมไ ด กค็ ือทา น
ผรู ูท งั้ ชาวอนิ เดยี และฝรงั่ นน่ั เอง
คงตองพูดวา พระเจาอโศกมิใชจะทรงริเร่ิมจัดตงั้ หลกั ธรรม
สากลหรอื ศาสนาสากล ที่ใชภ าษาอังกฤษวา universal religion
แตอยางใด ท่ีแทน้ัน พระองคทรงตั้งพระทัยไวในความเปน
universal ruler หรอื universal monarch ตามคติจักกวตั ติราชา
ดังท่ีไดทรงประกาศหลักธรรมวิชัย ซ่ึงเปนตัวบงช้ีความเปน
จักรพรรดริ าชตามความในพระสูตรทั้งหลายนัน้
ความจริง พระพุทธศาสนาถือวาธรรมเปนสากลในตัวของ
มนั เองอยูแ ลว ดังทพ่ี ระพุทธเจาตรสั วา ตถาคตจะเกิดขึ้นหรอื ไมก็
ตาม ธรรมก็มีก็เปนของมันอยูอยางนั้น ตถาคตเพียงมาคนพบ
ธรรมน้ัน แลวนํามาบอกเลาประกาศใหรูกัน จึงไมมีปญหาที่จะ
ตองมาพูดในเรือ่ งนี้
เวลามคี นมาซกั ถามพระพทุ ธเจา บางทเี ขาทลู วา อาจารยค น
โนน เกง อยา งนนั้ คนนนั้ เกง อยา งน้ี คนนสี้ อนวา อยา งนนั้ คนนนั้ สอน
วา อยา งน้ี เขาเถยี งกนั นกั แลว พระองคว า ใครผดิ ใครถกู พระพทุ ธ