พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๙๑
เจา จะตรสั ทาํ นองนว้ี า “เอาละ ทา่ นพราหมณ์ เรือ่ งที่คน ๒ ฝ่ายนีพ้ ูด
อ้างความรกู้ นั มวี าทะขดั แยง้ กัน ใครจรงิ ใครเทจ็ นัน้ พักไวเ้ ถิด เราจัก
แสดงธรรมแก่ท่าน” (องฺ.นวก.๒๓/๒๔๒) แลวตรัสไปตามหลัก ตาม
สภาวะ ใหเ ขาพิจารณาเอาเอง
ทีน้ีก็มาถึงคําถามวา ทําไมในพระสูตรที่แสดงแกคฤหัสถ
ท่ัวๆ ไป พระพทุ ธเจาจงึ ไมตรัสออกชอ่ื หลกั ธรรม หรอื ช่อื หวั ขอ
ธรรมสาํ คญั ๆ เชน อรยิ สจั และปฏจิ จสมปุ บาท เปน ตน
แลว กเ็ ชน เดียวกัน ทาํ ไมพระจักรพรรดิธรรมราชา เมอ่ื ทรง
สอนธรรมแกประชาชนท่ัวไป จึงไมตรัสออกชื่อหลักธรรมสําคัญ
เหลาน้ัน
คาํ ถามนส้ี ว นหนง่ึ ไดต อบไปแลว ในแงท วี่ า ชอ่ื นน้ั เขาใชส อ่ื กบั
คนทร่ี อู ยบู า งแลว เปน ตน
ตอนนจี้ ะตอบเนนในแงการทําหนา ท่ขี องพระจกั รพรรดริ าช
พระราชาทรงปกครองคนทง้ั แผน ดิน คนเหลา น้นั มีระดบั การ
พฒั นาตา งๆ กัน แตคนสวนใหญตองถือวา เปนระดับพ้นื ฐาน คน
เหลา นน้ั ยงั ไมไ ดค ดิ มงุ คดิ หมายทจี่ ะเดนิ หนา ไปในธรรม (คอื ในการที่
จะศึกษาพัฒนาตนหรือแสวงหาคณุ คาท่ีสงู ข้ึนไปแกชีวติ ) มิใชเปน
อยา งคนท่จี ะบวช ซ่งึ มีเปา หมายท่ตี งั้ ไวว า จะเดินหนา ไปแลว
งานของผูป กครองท่มี องอยางครอบคลุมกอ น ก็คอื จะทาํ ให
คนทัว่ ไปทีเ่ ปนมวลรวมน้ี อยูกันดีมสี ุขสงบเรียบรอยในความหมาย
เพียงระดับพื้นฐาน ต้ังแตอยางนอยท่ีจะไมเบียดเบียนกนั หรอื เขว
ออกไปนอกลูน อกทาง ใหเปนความพรอมขัน้ ตนของสงั คม
๙๒ หลกั ศิลาจารึกอโศก
แลวก็บริหารจัดการใหประชาชนเขาถึงและกาวไปพรั่งพรอ ม
ในทิฏฐธมั มกิ ัตถ ไมว า จะเปนดา นเศรษฐกิจและอาชวี ะ ดานบรกิ าร
ทางสังคมตั้งแตเรื่องครอบครัว ดานสุขภาพอนามัย ดา นการสอ่ื
สารเผยแพรค วามรู ฯลฯ น่คี อื งานทีธ่ รรมราชาฝายบา นเมืองตอง
ทาํ ใหดใี หได แตก็ไมใ ชหยดุ แคน ี้ ไมใชปลอยใหกลายเปนวา พอม่ัง
ค่ังพร่ังพรอมแลว ก็ลุมหลงมัวเมาเอาแตเสพบริโภค ตกอยูใต
ความประมาท แลวกเ็ ขา วงจรความเสื่อม
แตพรอมกันน้ันเอง ทานผูปกครองก็จัดสรรสภาพแวดลอม
และระบบการตา งๆ ทีจ่ ะเอือ้ อาํ นวยบรกิ าร เปน ตน ขยายโอกาส
เพ่ือสนองและสงเสริมความตอ งการของคนใหเขาพฒั นาสงู ขน้ึ ไป
ถงึ ขั้นตอนน้แี หละ อยา งในมหาอาณาจกั รของพระเจา อโศก
มหาราช วหิ ารคอื วดั มากมาย พระองคก ไ็ ดส รา งไว และทรงอปุ ถมั ภ
บาํ รงุ พระสงฆ แถมยงั ทรงเก้อื หนุนไปถงึ นกั บวชในลัทธอิ นื่ ๆ ดว ย
วดั และพระสงฆเ ปน ตน น้ี มองในแงน ้ี กเ็ หมอื นเปน บรกิ ารของ
ระบบแหง สงั คมทดี่ ี ทจ่ี ะมากระตนุ และมาสนองความตอ งการของ
คนหลากหลาย ทีจ่ ะกาวขึน้ ไปสกู ารพฒั นาชวี ิตในระดับทป่ี ระณีต
สงู ตอ ๆ กันตามลําดับไป
พดู งายๆ วา รัฐจัดสภาพเอื้อพ้ืนฐานไวใหแลว วดั ก็มาดู มา
ใช มารับชว งตอไปสิ วา ใครจะรบั ธรรมขัน้ ไหนอยา งใดได
ตอนนกี้ พ็ ระนแี่ หละ ทจี่ ะดูในแตละกรณีหรือสถานการณวา
จะพดู จะเอย ถงึ ธรรมชื่อใดๆ ตามทเี่ ขาตอ งการ หรือท่จี ะเหมาะสม
เปนประโยชนแกเ ขา เหมอื นกับแบง หนา ทีแ่ ละขัน้ ตอนการทาํ งาน
กนั ระหวางรฐั กับวัด
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๙๓
ดงั นั้น จึงเหน็ ไดวา แมแ ตใ นพทุ ธกาล ถึงพระพุทธเจา และ
พระสาวกท้ังหลาย ตามปกติจะไมไดส อนขอธรรมลึกๆ แกคฤหัสถ
ทว่ั ไป เหมือนอยางทสี่ อนแกพ ระสงฆทมี่ ุง เขามาศึกษาโดยตรง แต
ในหมูมหาชนนอกภิกขุสังฆะนั้น ก็มีบางคนบางสวนที่สนใจและ
กาวไปมากในการศึกษาอยางเปนเร่ืองเฉพาะตัวเฉพาะกลุมท่ีจะ
แสวงหา
ดังที่บางทาน อยางจติ รคฤหบดีผเู ปนอนาคามี กม็ ีภูมิธรรม
สงู ไดร บั ยกยอ งเปน เอตทคั คะดานเปน อบุ าสกธรรมกถึก สามารถ
อธิบายชวยแกความติดขัดในธรรมแกภิกษุท้ังหลายแมแตที่เปน
เถระได (องฺ.เอก.๒๐/๑๕๑; ส.ํ สฬ.๑๘/๕๓๙–๕๔๐) หรอื อยา งอุบาสกิ าสําคัญ
ขุชชุตตรา พระพทุ ธเจากท็ รงยกยองเปนเอตทคั คะดา นเปน พหสู ูต
(องฺ.เอก.๒๐/๑๕๒)
แตเมือ่ พดู กวางๆ ทวั่ ๆ ไป ในสงั คมคฤหสั ถโดยรวม ธรรมที่
สอนตามปกติกเ็ ปน ดงั ท่ีพดู มาแลว
หลักฐานยืนยันที่ชัดเจนมาก ไมตองหาที่ไหนไกล ขนาด
อนาถบิณฑิกเศรษฐีที่ใกลชิดพระพุทธเจาและภิกษุสงฆ ได
อปุ ถมั ภพ ระศาสนา กลาวไดว า มากที่สดุ และเปนโสดาบัน
ขนาดเปน โสดาบนั กวาจะไดฟงธรรมหลกั ใหญอยา งทอี่ อก
ชื่อกนั มานนั้ ก็ตอนเจ็บหนักนอนอยบู นเตียงจวนจะส้นิ ชีพ
เรอื่ งมีวา คราวนน้ั พระสารีบตุ ร พรอมดวยพระอานนทต ดิ
ตาม (เรียกวาเปนปจฉาสมณะ) ไดไปเย่ียมอนาถบิณฑิกเศรษฐี
และไดใหโอวาทแกทานเศรษฐี โดยมีสาระสําคัญวา ไมควรเอา
อปุ าทานไปยดึ ติดถือมน่ั ตอสงิ่ ทั้งหลาย ดังคาํ สรปุ ทา ยโอวาทวา
๙๔ หลกั ศิลาจารกึ อโศก
ดกู รคฤหบดี เพราะฉะนนั้ แล ท่านพงึ ศึกษาอย่างนีว้ า่
อารมณ์ใดก็ตาม ทเ่ี ราได้เห็น ไดย้ ิน ได้ทราบ ได้แจ้งแก่ใจ
ได้แสวงหา ได้คุ้นใจ เราจักไมย่ ดึ ติดถอื มน่ั อารมณน์ ้นั และ
วิญญาณท่อี าศัยอารมณน์ ้ันจักไม่มีแก่เรา ดกู รคฤหบดี ทา่ น
พึงศกึ ษาอยา่ งน้ีเถดิ
อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐฟี ง โอวาทจบแลว ถงึ กบั ราํ่ ไห และได
กลา ววา
…กระผมได้เข้ามาใกล้ชิดองค์พระศาสดาและพระภิกษุ
ท้ังหลายผู้เป็นท่ีเจริญใจมาเป็นเวลายาวนาน แตก่ ระน้นั ก็
ไมเ่ คยไดส้ ดบั ธรรมีกถาอยา่ งน้ีเลย
พระอานนทตอบชี้แจงวา
ดูกรคฤหบดี ธรรมกี ถาอยา่ งนี้ ไมส่ าํ แดงแก่คนนงุ่ ขาว
ชาวคฤหสั ถ์ จะสําแดงแตแ่ กบ่ รรพชิต
อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐที ราบอยา งนนั้ แลว ไดก ลา วขอรอ งวา
ข้าแต่พระสารีบตุ รผูเ้ จริญ ถ้าอย่างน้นั ขอธรรมกี ถา
อยา่ งนี้ จงสําแดงแกค่ นนุง่ ขาวชาวคฤหัสถ์บ้างเถดิ เพราะ
ว่า กุลบุตรจําพวกมีกิเลสธุลีในดวงตาน้อยก็มีอยู่ (แต่)
เพราะมไิ ดส้ ดับธรรม ก็จะเส่อื มไป คนที่จะรเู้ ขา้ ใจธรรม จกั มี
(ม.อุ.๑๔/๗๒๐–๗๔๐)
หลังจากพระสารีบุตรและพระอานนทกลับออกมาไมนาน
ทานเศรษฐกี ถ็ งึ แกก รรม และเขา ถงึ ดสุ ติ ภพ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๙๕
เสรภี าพ เพอ่ื เขาถึงโอกาสแหงธรรมบริการ
หันกลบั มาพดู ถงึ บทบาทของรฐั กับบทบาทของวัด ในการ
สอนธรรมใหก ารศึกษาแกประชาชน
อยา งทีว่ า แลว รัฐจะเนน การทาํ หนาท่ีขั้นพน้ื ฐาน เพ่อื ใหค น
ท่ัวไปในสังคมมีความพรอมที่จะกาวสูการพัฒนาชีวิตของตน
พรอ มทงั้ จดั สรรโอกาสและจัดการใหค นเขา ถึงโอกาสนั้น ดวยการ
ประสานเสรภี าพ เขากบั ระบบแหงบริการ
ในสงั คมชมพทู วปี แตยุคโบราณมา เทาทพี่ อทราบกัน คนถึง
จะนบั ถอื ตางกนั แตก ารเปนอยกู ็ไมค อยไดแบง แยกกัน มีประเพณี
ทางปญญาท่จี ะรับฟง คาํ สอนของลัทธศิ าสนาตางๆ นบั ไดวา เสรี
ในศลิ าจารกึ อโศกก็เนนเร่อื งนี้ไวด ว ย ดังความใน จารกึ ศลิ า
ฉบบั ท่ี ๑๒ วา
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวย
เทพ ยอ่ มทรงยกยอ่ งนับถอื ศาสนิกชนแหง่ ลัทธิศาสนาท้งั
ปวง ทัง้ ทีเ่ ปน็ บรรพชติ และคฤหสั ถ์ ด้วยการพระราชทานสิ่ง
ของ และการแสดงความยกย่องนับถืออย่างอนื่ ๆ
แต่พระผู้เป็นท่ีรักแห่งทวยเทพ ยอ่ มไมท่ รงพิจารณา
เหน็ ทานหรือการบูชาอันใด ท่ีจะเทียบได้กับสง่ิ นี้เลย ส่ิงน้ี
คอื อะไร? ส่ิงนน้ั กค็ อื การท่ีจะพึงมีความเจรญิ งอกงามแหง่
สารธรรมในลทั ธศิ าสนาทัง้ ปวง
ก็ความเจริญงอกงามแห่งสารธรรมน้ี มีอยู่มากมาย
หลายประการ แต่ส่วนท่ีเป็นรากฐานแห่งความเจริญงอก
๙๖ หลกั ศิลาจารึกอโศก
งามนน้ั ไดแ้ กส่ งิ่ นคี้ อื การสาํ รวมระวงั วาจา (วจคี ปุ ต)ิ์ ระวงั
อย่างไร? คือ ไมพ่ ึงมีการยกย่องลัทธิศาสนาของตน และ
การตาํ หนิลัทธศิ าสนาของผอู้ นื่ ในเมือ่ มใิ ชโ่ อกาสอนั ควร …
การสงั สรรคก์ ลมเกลยี วกนั นน่ั แล เปน็ สงิ่ ดงี ามแท้ จะ
ทาํ อยา่ งไร? คือ จะตอ้ งรบั ฟงั และยนิ ดีรับฟงั ธรรมของกนั
และกนั
จริงดงั น้ัน พระผเู้ ปน็ ท่ีรักแห่งทวยเทพ ทรงมคี วาม
ปรารถนาว่า เหลา่ ศาสนิกชนในลัทธิศาสนาทงั้ ปวง พึงเป็น
ผมู้ คี วามรอบรู้ (เปน็ พหสู ตู ) และมหี ลกั ศาสนธรรมทด่ี งี าม
(กลั ยาณาคม)
ชนเหล่าใดก็ตาม ซ่ึงมีศรัทธาเล่ือมใสในลัทธิศาสนา
ตา่ งๆ กนั ชนเหลา่ น้นั พงึ กล่าว (ใหร้ ้กู ันทว่ั ไป) วา่ พระผู้
เปน็ ทร่ี กั แห่งทวยเทพ ไมท่ รงถอื ว่าทานหรอื การบชู าอนั ใด
จะทดั เทียมกบั สงิ่ นีเ้ ลย สิ่งน้คี อื อะไร? สง่ิ น้ไี ดแ้ ก่การท่จี ะพงึ
มีความเจริญงอกงามแห่งสารธรรมในลัทธิศาสนาท้ังปวง
และ (ความเจริญงอกงามน)ี้ พึงมีเปน็ อนั มากด้วย
นค้ี ือเสรีภาพทางศาสนาท่ีแทจริง ทจ่ี ะเอ้ือตอการพฒั นาจิต
ปญญาอยางสงู ซง่ึ มนุษยยคุ ปจจบุ ัน ทีว่ ามอี ารยธรรมสูงเดน และ
พูดกันนักถงึ tolerance แตกย็ งั คอ นขา งหางไกล ขึ้นไมค อ ยจะถึง
เมื่อวาใหถูกตามน้ี ถามนุษยพัฒนาถึงข้ันเปนอารยะจริง
ศาสนาไมใ ชเ ปน เรอ่ื งสว นตวั อยา งทฝี่ รงั่ ตดิ ตนั กลนื ไมเ ขา แลว คาย
ออกมาไดแคน้ัน แตเปนเรื่องที่ควรเอามาพูดจาศกึ ษาเอ้ือปญ ญา
แกก นั ศาสนาจะเปน เร่อื งสวนตวั กเ็ ฉพาะในข้นั ทว่ี าใครกา วไปถึง
ไหน ก็เปน สวนของคนนน้ั
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๙๗
คนออ นแอเกนิ ไป จงึ รกั ษาสันติไมไ หว
เรือ่ งไมจบแคน้ัน ยังตอ งยอ นกลับไปทวงตงิ มตขิ องผรู ทู ั้งฝร่ัง
และอินเดียเพิ่มอีกแงหนึ่ง คือท่ีทานผูรูเหลาน้ันบอกวา พระเจา
อโศกสอนธรรมที่เปน กลาง ซึ่งทุกศาสนายอมรับไดนัน้ จริงหรอื
ในการพิจารณาแนวพระราชดําริของพระเจาอโศกมหาราช
น้ัน นอกจากองคประกอบสําคัญขอ ที่ ๑ คอื สถานะแหง ความเปน ผู
ปกครองทย่ี งิ่ ใหญแ ลว องคป ระกอบขอที่ ๒ ก็สําคัญไมน อ ยกวา
โดยเฉพาะในแงท่เี ปน ตวั กาํ หนดทศิ ทาง
ขอ ที่ ๒ นน้ั ก็คือ จดุ เปลีย่ นในพระชนมชีพของพระองค เมือ่
สงครามพิชิตแควนกลิงคะ ทําใหทรงสลดพระทัยตอความทุกข
ยากเดือดรอ นของประชาชนน้ัน มนั ไมเ พียงทําใหท รงละเลิกการรุก
รานทําสงครามเทาน้ัน แตกลายเปนแรงเหว่ียงพระองคไปในทาง
ตรงขามแทบจะสุดทาง คือทําใหทรงละเลิกการเบียดเบียนทุก
อยา ง แมก ระทัง่ การทําลายชวี ิตสตั วเ ล็กสัตวน อ ย และหันมามงุ ใน
การชวยเหลอื เออื้ ประโยชน
ขอ ที่ ๒ นี้ กลายเปน ตัวกาํ กบั ขอ ที่ ๑ ดวย โดยทําใหห ลกั
การปกครองอาณาจกั ร (หรอื เรยี กใหเ ขา กบั คาํ ฝรงั่ คอื Empire วา
จกั รวรรด)ิ เปลีย่ นจากอรรถศาสตร ของพราหมณจ าณักยะ ทีน่ ํา
ทางนโยบายของพระอัยกาจันทรคุปต มาสูจักกวัตติสูตรเปนตน
ของพระพทุ ธเจา
จากวชิ ัยท่เี ปนการชนะดว ยสงคราม ซึง่ อยางดีท่ีสุดคือธรรม
วิชัยตามความหมายของอรรถศาสตร อันหมายถึงการรบชนะ
๙๘ หลกั ศิลาจารกึ อโศก
อยางมธี รรม ทว่ี า เมือ่ ชนะแลว ไมท ําการทารณุ โหดรา ย เพยี งให
ยอมอยใู ตอาํ นาจ พระเจาอโศกเปล่ยี นมาหาธรรมวิชัยตามความ
หมายของจกั กวัตติสตู ร อันหมายถงึ ชัยชนะดว ยธรรม คือการทํา
ความดสี รา งสรรคประโยชนส ุข
อยางไรก็ดี แมวานโยบายธรรมวิชัยจะนําทางการปกครอง
อยางครอบคลุม แตเห็นไดวามีจุดเนนอยูท่ีความสัมพันธระหวาง
ประเทศ จงึ ตอ งถามวา หลกั การใดนาํ ทางการปกครองภายในของ
พระเจาอโศก
ไมต อ งพดู ถงึ หลกั การและประเพณตี า งๆ แมก ระทง่ั เรอ่ื งปลกี
ยอ ยทพ่ี ระเจา อโศกทรงเลกิ และเปลย่ี นจากหลกั ในอรรถศาสตร เชน
จากวิหารยาตรา ท่ีราชาเสด็จไปทรงพักผอนหาความสนุก
สาํ ราญและลา สตั ว เปลย่ี นมาเปนธรรมยาตรา ท่อี งคราชาเสด็จไป
ทรงนมัสการพระสงฆ ถวายทาน เย่ียมเยียนทานผูเฒาชราและ
ราษฎรในชนบท สง่ั สอนสนทนาธรรม พรอมทงั้ พระราชทานความ
ชว ยเหลอื
จากสมาช๑ ทเ่ี ปน งานชมุ นมุ ของราษฎรเพอ่ื ความสนกุ สนาน
๑ นเ่ี ปน ตวั อยา งหนง่ึ ของคาํ และความทคี่ วรเทยี บ: “สมาช” ตรงกบั ทใี่ นพระไตรปฎ กใชว า
“สมชั ชา” ในคําวา สมัชชาจรณะ ซ่ึงแปลกนั มาวา “เที่ยวดูการเลน” อนั เปนขอ ที่ ๓ แหง
อบายมขุ ๖ ในสงิ คาลกสูตร อันเปน วินัยของคฤหัสถ (ท.ี ปา.๑๑/๑๘๑) และทรงแสดงตวั
อยา งไว ดังที่ทานแปลใหเ ขา กับเร่อื งของไทยวา ฟอ นราํ ขับรอง ดนตรี เสภา เพลง
เถิดเทิง (เวลานี้ อาจจะตองแปลใหมใหเขากับสภาพปจ จบุ นั )
พึงสงั เกตวา รามายณะ กด็ ี อรรถศาสตร ก็ดี ใหสง เสรมิ สมาช น้ีแกราษฎร โดย
ถอื วา จะชวยใหราษฎรเกดิ ความนยิ มชมชอบตอ รฐั (ทาํ ใหพลเมืองของรัฐที่แพห ันมาชอบ
ผชู นะ อยา งนอ ยกต็ ดิ มวั เพลนิ ลมื แคน คงคลา ยทฝ่ี รง่ั เศสเคยทาํ กบั อาณานคิ มบางแหง )พูด
งายๆวาใชกลอ ม แตพ ระเจาอโศกไมเ หน็ แกป ระโยชนตนแบบน้ี กลับใหเลกิ เสยี
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๙๙
ดว ยการเสพสรุ ายาเมา เอาสตั วต า งๆ มาแขง ขนั และตอ สกู นั เปน ตน
เปลย่ี นมาเปน วมิ านทรรศน เปน ตน คอื นทิ รรศการสง่ิ ทดี่ งี ามสวยงาม
งดงามประณตี มีศิลปะท่ีชักนําจิตใจในทางแหงคุณธรรมและเจริญ
จติ เจรญิ ปญ ญา
จากพิธีมงคล ท่ีคนมวั ยงุ กบั พธิ กี รรมจกุ จิกทางโชคลาง มา
เปน ธรรมมงคล ใหเปน มงคลจรงิ จากการปฏิบตั ิตอกนั ใหถ ูกตอ ง
จากเภรโี ฆษ คือเสียงกลองศกึ มาเปน ธรรมโฆษ คือเสียงนดั
หมายเชญิ ชวนมาฟงธรรมหรอื ทํากิจกรรมท่ดี งี าม
พระเจา อโศกทรงดาํ เนนิ ไปไกลทจ่ี ะไมใ หม กี ารเบยี ดเบยี นชวี ติ
ใดๆ เลย ถงึ กบั ทรงทาํ เปน ตวั อยา งในการเลกิ เสวยเนอ้ื สตั ว อนั อาจ
เปน ทมี่ าของอาหารมงั สวริ ตั ขิ องคนรนุ หลงั
ดงั ความใน จารกึ ศลิ า ฉบบั ที่ ๑ วา
ธรรมโองการนี้ สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ปริยทรรศี ผเู้ ปน็ ท่รี กั
แหง่ ทวยเทพ ได้โปรดให้จารกึ ไว้
ณ ถนิ่ นี้ บุคคลไมพ่ งึ ฆ่าสตั วม์ ีชวี ติ ใดๆ เพ่อื การบชู ายญั
ไม่พึงจัดงานชมุ นุมเพือ่ การเลยี้ งรน่ื เริง (สมาช) ใดๆ เพราะวา่
สมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ปรยิ ทรรศี ผ้เู ป็นท่ีรกั แห่งทวยเทพ ทรง
มองเห็นโทษเป็นอนั มากในการชมุ นุมเชน่ นนั้ ก็แลการชมุ นุม
บางอยา่ งที่สมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวปริยทรรศี ผูเ้ ปน็ ที่รักแหง่ ทวย
เทพ ทรงเห็นชอบว่าเปน็ สิง่ ท่ดี ี มอี ยอู่ ีกสว่ นหน่งึ (ต่างหาก)
แต่กอ่ นน้ี ในโรงครัวหลวงของพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้
เปน็ ทีร่ ักแหง่ ทวยเทพ สตั วไ์ ดถ้ ูกฆา่ เพอ่ื ทําเปน็ อาหาร วนั ละ
หลายแสนตวั ครน้ั มาในบดั น้ี เมอื่ ธรรมโองการนอี้ นั พระองค์
๑๐๐ หลักศิลาจารึกอโศก
โปรดใหจ้ ารกึ แลว้ สัตว์เพยี ง ๓ ตัวเท่านน้ั ท่ถี กู ฆ่า คือ นกยงู
๒ ตวั และเนื้อ ๑ ตัว ถึงแมเ้ น้อื น้นั ก็มิไดถ้ กู ฆา่ เป็นประจํา ก็
แลสตั ว์ทั้งสามนี้ (ในกาลภายหนา้ ) กจ็ กั ไม่ถกู ฆ่าอกี เลย
ในที่นี้ จะไมพูดถึงเร่ืองซ่ึงในระดับการแผนดินถือไดวาเปน
ขอปลีกยอยหรือเฉพาะอยา ง ท่ไี ดเ อยอา งมาเหลา น้ี
แตพอดีวา หลกั การสําคัญทน่ี าํ ทางการปกครองภายในของ
พระเจา อโศก ก็ปรากฏอยูใน จารกึ ศลิ า ฉบบั ท่ี ๑ นด้ี ว ย
เรอ่ื งนค้ี นทวั่ ไปอาจจะนกึ ไมถ งึ นน่ั กค็ อื เรอื่ งการบชู ายญั
ทที่ า นผรู หู ลายทา น ทงั้ ฝรง่ั และอนิ เดยี บอกวา พระเจา อโศก
สอนธรรมทเี่ ปน กลาง ซง่ึ ทกุ ศาสนายอมรบั ไดน น้ั ทจี่ รงิ กร็ กู นั อยวู า ใน
ชมพทู วปี ตั้งแตกอนมานานจนบัดน้ัน ถึงจะมีศาสดาเจาลัทธิมาก
มาย แตศ าสนาท่ีครอบงําสงั คมอนิ เดยี ดวยระบบวรรณะ และการ
บูชายัญเซน สรวงแดม วลเทพ ตามกําหนดแหง พระเวท เปน ใหญอ ยู
ก็คือศาสนาพราหมณ
เรอื่ งนี้จงึ ไมตองพูดวา ทุกศาสนายอมรบั ได แตควรจะถามวา
พราหมณรบั ไดไหม
สิ่งท่ีพระเจาอโศกทําอยางสําคัญ ก็คือ การหามฆาสัตว
บูชายัญ แลวอยางน้ี ศาสนาพราหมณจะยอมรับไดอยางไร
การหามฆาสัตวบูชายัญ น้ี พระเจาอโศกมหาราชทรงสอน
และประกาศไวในศิลาจารึกหลายวาระหลายฉบบั (เชน จารึกศลิ า
ฉบบั ท่ี ๑ ที่ ๔ และที่ ๑๑) เปนหลักการใหญข องพระองค พดู ไดว า
ทรงเอาจรงิ เพราะเปนจุดเปล่ยี นของพระองคเ องทจี่ ะเนน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๐๑
น่ีคือการตีแสกหนาของพราหมณ เปนการหักลางไมเพียง
ลัทธคิ วามเชื่อของเขาเทานั้น แตส ่นั สะเทอื นสถานะและทาํ ลายผล
ประโยชนของพราหมณโดยตรง ดังท่ีพวกพราหมณไดเก็บอัด
ความคั่งแคน ไว
ในท่ีสุด พราหมณปุษยมิตรก็โคนราชวงศโมริยะลง ตั้ง
ราชวงศศ ุงคะของพราหมณข้ึนแทน
แลวท่ีชัดก็คือ พราหมณปุษยมิตรท่ีข้ึนเปนกษัตริยองคแรก
ของราชวงศพราหมณน น้ั นอกจากห้ําหน่ั บีฑาชาวพุทธแลว กไ็ ดรือ้
ฟนพิธีบูชายัญอันย่ิงใหญคืออัศวเมธข้ึนมา เพ่ือประกาศศักดานุ-
ภาพ การบูชายัญทีเ่ งยี บหายไปหลายรอ ยป กก็ ลับเฟอ งฟขู ้นึ มาอีก
ดังเปนท่ีทราบกันดีวา กอนที่ฝร่ังอังกฤษผูเขามายึดอินเดีย
เปนอาณานิคมปกครองไว จะเปดเผยเร่อื งพระเจาอโศกข้ึนมานัน้
คนอินเดียไมรูจักพระเจาอโศกเลย แมแตพระนามก็ไมเคยไดยิน
พระเจาอโศกถูกอินเดียลืมสนิท เร่ืองพระเจา อโศกเหลืออยูเพยี งใน
คัมภีรพ ทุ ธศาสนา
การที่เร่ืองพระเจาอโศกหายไปน้ัน คงไมใชเพียงเพราะการ
รุกรานทําลายของกองทัพมุสลิมเทานั้น แตไดถูกพราหมณ
พยายามทาํ ใหสลายมากอน
ทั้งที่พระเจาอโศกไมเพียงยกยองพราหมณใหรับราชการมี
ตําแหนงสาํ คัญในการแผนดนิ เทา นั้น แตยงั ไดเ นน ไวเสมอในศิลา
จารกึ ใหปฏิบตั ชิ อบและถวายทานแกสมณพราหมณ เชน เดยี วกับ
ที่พระพุทธเจาตรัสไวในพระไตรปฎก แตพราหมณก็อดเคียดแคน
ไมได ในเม่ือพระเจาอโศกไมยอมรับอภิสิทธิ์ของพราหมณตาม
๑๐๒ หลักศลิ าจารึกอโศก
ระบบวรรณะ และที่สําคัญท่ีสุดคือไดทรงหามฆาสัตวบูชายัญ
(เทา กับเลกิ ลมพธิ บี ชู ายญั )
ดงั นน้ั เรอื่ งจงึ เปน มาอยา งทผี่ รู ขู องอนิ เดยี เองเขยี นไว (R.K.
Mookerjee, Asoka, 105, 108-9)วา แมแ ตพ ระนาม “เทวานามปรยิ ะ”
ก็ไดถูกนักไวยากรณพราหมณในสมัยตอ มา พยายามอธบิ ายใหม ี
ความหมายเปน คนโงเ ขลา เนอื่ งจากอคตขิ องพราหมณต อ พระมหา
กษตั รยิ ช าวพทุ ธทโ่ี ดดเดน ทสี่ ดุ
เสมอื นวา พราหมณไ มเ พยี งขดุ โคน พระเจา อโศกเทา นนั้ แต
อนิ เดยี ไดขุดหลุมฝงพระเจาอโศก และกลบใหลับหายสนิท จน
กระทั่งอังกฤษขุดคุยหลุมน้ันออกใหเห็นพระเจาอโศกในเวลา
ประมาณ ๑,๕๐๐ ปตอ มา
จงึ กลายเปน วา ปฏิบตั กิ ารทเ่ี ปน ความกลาหาญในทางสันติ
ของพระเจาอโศกดังวามาน้ี เปนส่ิงท่ียากจะรักษาไวใหคงอยูได
ยั่งยืน
เลิกบูชายัญ หนั ไปแบงปน
ยอนกลับไปถามวา การเลิกบูชายัญหรือไมบูชายัญ เปน
หลักการปกครองบา นเมอื งไดอยา งไร
เมื่อการบูชายัญเปนหลักการย่ิงใหญยอดสําคัญของสังคม
พราหมณ ทางพระพุทธศาสนาก็จงึ ยกการเลิกบชู ายญั หรือไมบูชา
ยัญขึ้นมาเปนหลักการสําคัญของสังคมแทน โดยมีความหมายท่ี
จะตองทําความเขาใจตามที่พระพุทธเจาไดท รงแสดงไว
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๐๓
ในการบาํ เพ็ญพทุ ธกิจ มีหลายคร้งั หลายคราวที่พระพทุ ธเจา
เสด็จไปพบกับพราหมณท่ีกําลังเตรียมการบูชายัญบาง กําลัง
ประกอบพิธีบูชายัญบาง และมีท้ังพิธีบูชายัญขนาดยอมสวน
บุคคล และพธิ ีระดับผูปกครองบา นเมอื ง
ถาเปนพิธีใหญ จะมีการฆาสัตวบูชายัญจํานวนมาก และ
ทาสกรรมกรทง้ั หลายมกั เดอื ดรอ นมาก เมอ่ื พระพทุ ธเจา เสดจ็ ไปพบ
และสนทนากบั เจาพิธี ในท่สี ุดเรื่องก็จะจบลงโดยทเ่ี ขาเองใหปลอ ย
สัตวลมเลิกพิธี พรอมทงั้ รบั หลกั การและวธิ ปี ฏบิ ตั อิ ยา งใหมท พ่ี ระ
องคส อนไปดาํ เนนิ การ
สาระสาํ คัญของหลักการท่ีพระพุทธเจาตรัสสอน โดยท่วั ไป
จะใหป ระกอบยญั กรรมในความหมายใหม (หรือเปนการฟน ความ
หมายดั้งเดิมกอนที่พวกพราหมณจะทําใหเพี้ยนไป) ซึ่งเนนที่ทาน
และตอ งไมมกี ารเบียดเบียนชีวติ
ถาเปนยัญพิธีใหญมากของผูปกครองบานเมือง คําสอนใน
เร่ืองยัญของพระพุทธเจา จะรวมถึงการจัดการบานเมืองใหสงบ
เรียบรอยและใหราษฎรเปนอยูผาสุกกอน แลว จึงทาํ ยัญพธิ ี และ
บาํ เพญ็ ทาน
ดงั เชน ในกูฏทันตสูตร (ที.สี.๙/๑๙๙-๒๓๘) ทีต่ รัสกับกฏู ทนั ต
พราหมณ ผูป กครองพราหมณคาม ช่ือวา ขานุมตั ต ซึ่งไดใ หเ อาโค
ผู ๗๐๐ ลกู โคผู ๗๐๐ ลูกโคเมีย ๗๐๐ แพะ ๗๐๐ และแกะ ๗๐๐
ผกู ไวทห่ี ลัก เตรยี มพรอมทจ่ี ะบูชามหายญั พราหมณน ้ันไดส นทนา
สอบถามพระพุทธเจา ถึงวธิ บี ชู ายญั ใหญใ หไ ดผ ลมาก พระพทุ ธเจา
ทรงยกเรอ่ื งตวั อยา งในอดตี มาใหเ ปน แบบ
๑๐๔ หลักศิลาจารึกอโศก
สาระสําคัญ คอื ใหจัดการบานเมืองใหสงบเรยี บรอยและให
ราษฎรเปน อยผู าสกุ ถา บา นเมืองยังมีโจรผรู ายเปนตน ไมใ หเอาแต
ใชวิธีปราบปรามรุนแรง แตใหราษฎรท่ีประกอบเกษตรกรรม
พาณิชยกรรม และขาราชการ ผูท่ตี ง้ั ใจหมัน่ ขยนั พึงไดร บั การสง
เสรมิ ใหต รงจุด จนบา นเมอื งมัง่ คง่ั ราษฎรชนื่ ชมยนิ ดี อยปู ลอดภัย
“บา นเรอื นไมตอ งลงกลอน ใหลกู ฟอนบนอก”๑
เม่ือบานเมืองดีแลว ผูปกครองนั้นก็เรียกพบปรึกษาคนทุก
หมูเ หลาในแผน ดนิ ท้ังอาํ มาตยจ นถึงชาวนคิ มชนบท ขอความรวม
มือในการท่ีจะบูชายัญ ซึ่งไมมีการฆาสัตวและไมทําใหคนใดๆ
เดือดรอน มแี ตก ารมอบใหของงา ยๆ เลก็ ๆ นอยๆ และราษฎรกพ็ า
กันรวมทําตามดว ย แลวตอ จากนัน้ ก็มีการบาํ เพ็ญทานแกบรรพชติ
ผูมีศลี การสรา งสรรคประโยชน และพัฒนาชวี ติ สูงขึ้นไปจนลจุ ดุ
หมายแหง ชวี ติ ทดี่ ี
ผลของการฟงวิธีบูชายัญแบบน้ี คือ กูฏทันตพราหมณ
ประกาศตนเปนอบุ าสก พรอ มท้งั ไดก ราบทลู วา
๑ หลกั การนี้ คอื ธรรมชุดท่ีในคัมภีรบ างแหงเรียกวา ราชสงั คหวัตถุ ๔ ไดแก
1.สสั สเมธะ (ฉลาดบาํ รงุ ธญั ญาหาร) 2.ปรุ ิสเมธะ (ฉลาดบํารงุ ขา ราชการ)
3.สมั มาปาสะ (ผสานใจประชาดว ยอาชีพ) 4.วาชเปยะ (มีวาจาดูดดมื่ ใจ)
(5) เกดิ ผล คือ นิรคั คฬะ (เกษมสุข) บา นเรอื นไมต อ งลงกลอน
หลักนเ้ี ปนนัยพทุ ธ จาก มหายัญ 5 ของพราหมณ คือ
1.อสั สเมธะ (อศั วเมธ/ฆา มาบชู ายญั ) 2.ปรุ สิ เมธะ (ฆาคนบชู ายญั )
3.สมั มาปาสะ (ยญั ลอดบว ง) 4.วาชเปยะ (ยญั ดม่ื เพอ่ื ชยั )
5.นริ ัคคฬะ หรือ สรรพเมธะ (ยญั ฆา ครบทกุ อยาง)
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๐๕
ขา้ แต่พระโคดมผูเ้ จริญ ข้าพเจ้าขอปลอ่ ยโคผู้ ๗๐๐ ลูก
โคผู้ ๗๐๐ ลกู โคเมยี ๗๐๐ แพะ ๗๐๐ แกะ ๗๐๐ ขา้ พเจา้
ใหช้ ีวิตแกส่ ตั ว์เหล่านั้น ขอใหส้ ัตว์เหล่านน้ั ไดก้ นิ หญ้าเขียว
สด จงดมื่ นา้ํ เย็น จงรับลมสดชื่นทพ่ี ัดโชยมาใหส้ บายเถดิ
เห็นไดชัดวา การหามหรือใหเลิกบูชายัญ และการเผื่อแผ
แบงปนชวยเหลือกันคือทานน้ี เปนหลักการใหญท่ยี า้ํ เนนของพระ
เจาอโศก จนเรยี กไดวาเปน บรรยากาศแหง ศิลาจารึกของพระองค
แบง ปน ใหอยกู ันดี พรอมทจ่ี ะพฒั นาในธรรม
ย่งิ กวา น้ัน พระเจา อโศกยงั ทรงกาวตอ ขึน้ ไปอกี สงู านในข้ัน
ท่ีเปน เปา หมายแทข องพระองค คอื การสอนธรรมเพอ่ื ใหประชาชน
ประพฤตธิ รรม
เหมอื นกบั วา ทานนนั้ เปน ฐาน เพอ่ื เตรยี มวตั ถแุ ละสงั คมใหเ ออื้
ตอการที่คนจะพัฒนาสูงขึ้นไป และถึงตรงน้ีจึงทรงเนนธรรมทาน
เพราะธรรมทานน้นั จะเสรมิ ยา้ํ เปน หลกั ประกันใหท านคอื การใหปน
วัตถุดําเนินอยูตอไป และใหคนกาวไปสูการอยูรวมกันดวยดี ไม
เบยี ดเบยี นกนั ปฏบิ ตั ชิ อบตอ กนั ชว ยเหลอื เกอ้ื กลู กนั และเจรญิ ใน
ธรรมยง่ิ ขน้ึ ไป
ขอยกคําในศิลาจารึกตอนนมี้ ายํ้าอีกคร้งั วา
ไมม่ ที านใดเสมอด้วยการให้ธรรม (ธรรมทาน) การ
แจกจา่ ยธรรม (ธรรมสังวิภาค) และความสมั พันธ์กันโดย
ธรรม (ธรรมสมั พนั ธ์) อาศยั ธรรม (ธรรมทาน เป็นตน้ ) นี้
ยอ่ มบังเกิดมีสิ่งต่อไปนี้ คือ
๑๐๖ หลักศลิ าจารกึ อโศก
- การปฏบิ ัตชิ อบต่อคนรบั ใช้และคนงาน
- การเชอ่ื ฟงั มารดาบิดา
- การเผื่อแผแ่ บง่ ปันแกม่ ิตร คนค้นุ เคย ญาติ และแก่สมณ
พราหมณ์
- การไม่ฆ่าสัตว์เพื่อบูชายัญ
น่ีคือหลักการใหญที่เปนแกนกลางแหงแนวคิดภาคปฏิบัติ
ของพระเจา อโศก
บนฐานแหงการมีวัตถุเครื่องยังชีพที่จัดอํานวยชวยไมใหมี
ใครตองยากไรขัดสน และใหคนอยูรวมกันดวยดี เอาใจใสดูแล
เก้ือกูลกัน ปฏิบัติหนาท่ีตอกันถูกตอง ใหสังคมอบอุนปลอดภัย
อยา งน้ี บคุ คลกท็ ํามาหาเล้ยี งชพี เปนอยูพัฒนาชีวติ ของตน และ
สังคมก็ดาํ เนนิ กจิ การทัง้ หลายกาวตอ ไปไดดวยดี
การทําศิลาจารกึ สง่ั สอนธรรมกส็ นองหลักการนี้ คือ ใหล ะ
เลิกการบูชายัญ หันมาหาทาน และใหทุกคนทุกหมูเหลาเกื้อกูล
ปฏิบัตชิ อบตอ กัน มารวมศนู ยตัง้ ฐานกันที่น่ี
พอถึงตรงน้ี ก็คือจดุ รวมท่อี โศกธรรมมาบรรจบกบั แหลงเดิม
ของอโศกธรรมน้ันเอง ที่พระพุทธเจาไดตรสั ไว ขอใหด ูพทุ ธพจนใ น
พระสูตรตอไปนี้
ภิกษุท้ังหลาย เราเปน็ พราหมณ์ ผูค้ วรแก่การขอ มมี ือ
อันล้างแล้ว (=พรอมที่จะประกอบยัญพิธี[แบบใหม]แหงการ
บรจิ าคธรรม) ทกุ เวลา …
ภกิ ษุทง้ั หลาย ทานมี ๒ อย่างน้ี คอื อามิสทาน ๑
ธรรมทาน ๑ บรรดาทาน ๒ อยา่ งน้ี ธรรมทานเปน็ เลศิ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๐๗
ภกิ ษุท้งั หลาย การแจกจา่ ยมี ๒ อยา่ งนี้ คอื การแจก
จา่ ยอามิส ๑ การแจกจา่ ยธรรม ๑ บรรดาการแจกจา่ ย ๒
อยา่ งนี้ การแจกจ่ายธรรม (ธรรมสงั วภิ าค) เป็นเลิศ
ภิกษทุ ้งั หลาย การอนเุ คราะห์มี ๒ อย่างน้ี คือ การ
อนุเคราะห์ด้วยอามิส ๑ การอนุเคราะห์ด้วยธรรม ๑
บรรดาการอนเุ คราะห์ ๒ อย่างนี้ การอนุเคราะหด์ ว้ ยธรรม
(ธรรมานุเคราะห์) เป็นเลิศ
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ยญั บชู า (ยาคะ) มี ๒ อยา่ งนี้ คอื ยญั บชู า
ดว้ ยอามสิ ๑ ยญั บชู าดว้ ยธรรม ๑ บรรดายญั บชู า ๒ อยา่ งน้ี
ยัญบชู าด้วยธรรม (ธรรมยาคะ) เป็นเลศิ ฯ
(ข.ุ อติ .ิ ๒๕/๒๘๐)
เรอื่ งนี้ วาจะพูดพอเหน็ แนว แตกลายเปนยาว ควรจบเสียที
ขอตงั้ ขอ สงั เกตไวอีกหนอ ยเดียว
งานทางธรรมทพ่ี ระเจา อโศกทรงเอาพระทยั ใสจ รงิ จงั และยา้ํ
อยูเสมอ คือการที่จะใหค นผูรวมสังคม เอาใจใสกัน และปฏบิ ัตติ อ
กนั โดยชอบ แตไมใ ชแ คค น ทรงเอาพระทัยใสต อ สัตวท วั่ ไปทงั้ หมด
นอกจากหามฆาสัตวบูชายัญ และใหสํารวมตนตอสัตวท้ัง
หลาย คือ ทัง้ ไมเ บียดเบียนและเอือ้ อาทรตอ สตั วทกุ ชนดิ แลว ยงั
ถึงกับตั้งโรงพยาบาลสัตว และใหปลูกสมุนไพรท่ีเปนยาสําหรับ
สตั ว เชน เดียวกบั ทีไ่ ดจดั ไวสาํ หรบั คน แลว ย่ิงกวา นน้ั ยังมีประกาศ
เกีย่ วกับอภยั ทานและการสงวนพันธุสัตวอ ีกดวย
การท่ีพระเจาอโศกทรงปฏิบัติในเรื่องน้ีถึงขนาดน้ี นอกจาก
เพราะจดุ เนน ในการหนั มาสูธรรมของพระองค ไดแ กก ารมอี วหิ งิ สา
๑๐๘ หลกั ศิลาจารึกอโศก
เมตตาการุณยตอสัตวอยางที่กลาวแลว บางทีจะเปนดวยทรง
พยายามปฏบิ ตั ิใหค รบตามหลักจกั รวรรดวิ ัตร ในจกั กวตั ติสตู ร ซึง่
กําหนดใหพระเจาจักรพรรดิจัดการคุมครองอันชอบธรรม แก
มนษุ ยสตั วทุกหมเู หลา โดยแยกไวเปน ๘ กลุม อันมีมคิ ปก ษี (เน้ือ
และนก คอื ทงั้ สัตวบ กและสัตวบ นิ ท่ไี มม ีภยั ) เปนกลุม สุดทาย
ขอใหด บู างตอนใน จารึกหลกั ศิลา ฉบบั ท่ี ๒ ดงั นี้
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวย
เทพ ตรัสไวด้ ังน้ี :-
… ข้าฯ ได้กระทําการอนุเคราะห์แลว้ ดว้ ยประการต่างๆ
แกเ่ หลา่ สัตวท์ วิบาท สัตว์จตบุ าท ปกั ษณิ ชาติ และสตั ว์นํา้
ท้งั หลาย ตลอดถึงการให้ชวี ติ ทาน …
ตอดวยอีกบางตอนใน จารึกหลักศิลา ฉบบั ที่ ๕ ดงั น้ี
ขา้ ฯ เมอ่ื อภเิ ษกแลว้ ได้ ๒๖ พรรษา ไดอ้ อกประกาศ ให้
สตั วท์ ง้ั หลายตอ่ ไปน้ี ปลอดภยั จากการถกู ฆา่ กลา่ วคอื นกแกว้
นกสาลกิ า นกจากพราก หงส์ … เตา่ และกบ กระรอก กวางเรว็
… แรด นกพริ าบขาว นกพิราบบา้ น และบรรดาสตั ว์สี่เทา้ ทง้ั
ปวงทีม่ ิใชส่ ัตวส์ าํ หรบั ปฏโิ ภค (ใชห้ นงั ใชก้ ระดกู ฯลฯ) และมใิ ช่
สตั วส์ าํ หรบั บรโิ ภค
แม่แพะ แมแ่ กะ และแมห่ มู ทกี่ ําลังมีทอ้ งกด็ ี กําลังให้
นมอยู่กด็ ี ย่อมเปน็ สตั วท์ ี่ไมพ่ งึ ฆา่ และแมล้ ูกออ่ นของสตั ว์
เหลา่ นน้ั ทอ่ี ายยุ งั ไมถ่ งึ ๖ เดอื น กไ็ ม่พึงถูกฆา่ เช่นกนั ไม่
พงึ ทาํ การตอนไก่ ไมพ่ งึ เผาแกลบทมี่ สี ตั วม์ ชี วี ติ อาศยั อยู่ ไม่
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๐๙
พงึ เผาปา่ เพอื่ การอนั หาประโยชน์มิได้ หรือเพื่อการทําลาย
สัตว์ ไมพ่ ึงเลี้ยงชวี ิตดว้ ยชวี ิต
ไม่พึงฆ่าและขายปลา ในวันเพ็ญที่คํารบจาตุรมาสทั้ง
๓ และในวันเพญ็ แห่งเดือนตษิ ยะ คราวละ ๓ วนั คอื ใน
วันขน้ึ ๑๔ คํา่ ขึน้ ๑๕ คา่ํ แรม ๑ คา่ํ และทกุ วนั อโุ บสถ
เปน็ การเสมอไป
อน่งึ ในวนั ดงั กลา่ วมาน้ี ไมพ่ งึ ฆา่ แมเ้ หล่าสตั ว์ชนิด
อื่นๆ ในป่าชา้ งและในเขตสงวนปลาของชาวประมง
… ตราบถงึ บดั น้ี เมือ่ อภเิ ษกแลว้ ได้ ๒๖ พรรษา ข้าฯ
ได้สั่งให้มีการพระราชทานอภัยโทษแลว้ รวม ๒๕ ครัง้ .
สรุปอีกคร้ังหนึ่งวา จารึกธรรมของพระเจาอโศกมหาราช
เนน ใหล ะเวน การเบยี ดเบยี น ตง้ั แตไ มใหฆาสัตวบชู ายัญ แตใ หห ัน
มาใสใ จในทาน ใหเ ผ่อื แผแ บงปน เอาใจใสด ูแลคนที่เก่ยี วของ ทํา
หนาทตี่ อกนั ประพฤติชอบทาํ ประโยชนแ กก นั
ทาน คอื วตั ถทุ านนน้ั เมอ่ื ชว ยใหค นอยกู นั ดแี ลว กจ็ ะเปน ฐาน
ใหก า วขน้ึ ไปสธู รรมทาน ซงึ่ จะเจรญิ ธรรมเจรญิ ปญ ญา ใหร จู ักทํา
ความดีกาวหนาไปไดอยางกวางขวางและสูงย่ิงขึ้นไป อํานวยผล
เปน ความสขุ ในโลกบัดนี้และความเจริญบญุ ในโลกเบ้ืองหนา
วัตถุทานและธรรมทานของผูปกครองบานเมอื งที่ทรงธรรมน้ี
จะสมั ฤทธผิ์ ลใหเ กดิ ความพรงั่ พรอ มทเ่ี ปน ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถ อนั พงึ จดั
ใหเอ้ือโอกาสที่ประชาราษฎรจะกาวไปกับธรรมทานท่ีมาจากพระ
สงฆ เพอื่ พฒั นาในสมั ปรายกิ ตั ถจ นสมบรู ณส งู สดุ ตอ ไป
๑๑๐ หลกั ศลิ าจารกึ อโศก
ขอจบเรื่องน้ี ดวยการมาดกู ันวา จากการบาํ เพญ็ ธรรมทานท่ี
ทรงยา้ํ เนนไว พระเจา อโศกไดท รงประสบผลานสิ งสอ ยา งไร ซ่ึงคง
บอกไดดวยพระดาํ รสั ของพระองคเองใน จารกึ ศิลา ฉบับท่ี ๔ ดงั นี้
กาลยาวนานลว่ งแล้ว ตลอดเวลาหลายร้อยปี การฆ่า
สตั ว์เพอ่ื บูชายัญ การเบยี ดเบยี นสัตวท์ ง้ั หลาย การไม่ปฏบิ ตั ิ
ชอบต่อหมู่ญาติ การไม่ปฏิบัติชอบต่อสมณพราหมณ์ท้ัง
หลาย ไดพ้ อกพนู ขึน้ ถา่ ยเดียว
แต่มาบัดนี้ ด้วยการประพฤตปิ ฏิบัตจิ ดั ดาํ เนนิ การทาง
ธรรม (ธรรมจรณะ) ของพระเจา้ อยหู่ วั ปรยิ ทรรศี ผเู้ ปน็ ทรี่ กั
แห่งทวยเทพ เสียงกลองรบ (เภรีโฆษ) ได้กลายเป็นเสียง
ประกาศธรรม (ธรรมโฆษ) แลทง้ั การแสดงแก่ประชาชน
ซึ่งวมิ านทรรศน์ หัสดิทรรศน์ อัคนีขันธ์ และทิพยรปู อ่นื ๆ
ก็ไดม้ ีข้ึนด้วย
-การไมฆ่ า่ สัตว์เพ่อื บูชายัญ
- การไมเ่ บยี ดเบียนสตั วท์ งั้ หลาย
- การปฏิบัติชอบต่อหมู่ญาติ
- การปฏิบัตชิ อบตอ่ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย
- การเชอื่ ฟงั มารดาบิดา
- การเช่ือฟงั ท่านผ้เู ฒา่ ผใู้ หญ่
ซง่ึ ไมเ่ คยมมี ากอ่ นตลอดเวลาหลายรอ้ ยปี ไดเ้ จรญิ งอกงามขนึ้
แล้วในบัดน้ี เพราะการส่ังสอนธรรมของพระเจ้าอยู่หัว
ปริยทรรศี ผู้เปน็ ทร่ี ักแห่งทวยเทพ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๑๑
ความดงี ามน้ี และการปฏบิ ัตธิ รรมอยา่ งอืน่ ๆ อีกหลาย
ประการ ไดเ้ จรญิ งอกงามขนึ้ แลว้ พระเจา้ อยหู่ วั ปรยิ ทรรศี ผู้
เปน็ ทร่ี กั แหง่ ทวยเทพ จกั ทาํ ใหก้ ารปฏบิ ตั ธิ รรมนเ้ี จรญิ ยงิ่ ขน้ึ
ไปอกี และพระราชโอรส พระราชนดั ดา พระราชปนดั ดาของ
พระเจา้ อยู่หวั ปริยทรรศี ผูเ้ ปน็ ทรี่ กั แหง่ ทวยเทพ กจ็ ักสง่
เสรมิ การปฏบิ ตั ธิ รรมนี้ ใหเ้ จริญยิง่ ขน้ึ ต่อไปจนตลอดกลั ป์
ทงั้ จักสงั่ สอนธรรม ดว้ ยการตั้งมัน่ อยู่ในธรรมและในศีล
ด้วยตนเอง เพราะวา่ การสงั่ สอนธรรมน้ีแล เปน็ การกระทาํ
อันประเสรฐิ สุด และการประพฤติธรรมย่อมไม่มแี กผ่ ไู้ รศ้ ีล
ก็แลความเจริญงอกงาม และความไมเ่ ส่ือมถอยในการ
ปฏบิ ัตธิ รรมน้ี ย่อมเป็นส่งิ ท่ีดี
เพือ่ ประโยชนน์ ้ี จึงไดจ้ ารึกธรรมโองการนีข้ ึ้นไว้ ขอชน
ทั้งหลายจงช่วยกันประกอบกิจ เพื่อความเจริญงอกงาม
แห่งประโยชนน์ ี้ และจงอยา่ ได้มวี ันกลา่ วถงึ ความเส่อื มเลย
ธรรมโองการนี้ สมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัวปรยิ ทรรศี ผ้เู ป็น
ทีร่ กั แหง่ ทวยเทพ โปรดให้จารกึ ไวแ้ ล้ว เม่ืออภิเษกได้ ๑๒
พรรษา.
ภาค ๒
ตวั บท จารึกอโศก
จารึกอโศก
งานแปล พ.ศ. ๒๕๐๖
พิมพคร้ังแรก มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๕ ธนั วาคม ๒๕๑๖
พิมพครั้งท่ี ๒ สํานักพิมพมูลนิธิโกมลคีมทอง (พิมพรวมกับเร่ืองอื่นๆ ใน
ลักษณะสงั คมพทุ ธ) พฤษภาคม ๒๕๒๗
พมิ พค รั้งท่ี ๓ ศนู ยไทย-ธเิ บต (พมิ พเ ปน ภาคผนวกของหนังสือ “อโศกาวทาน”
ของ ส.ศวิ รักษ) ตุลาคม ๒๕๓๔
พิมพค ร้งั ท่ี ๔ สํานักพมิ พธ รรมสภา ตน ป พ.ศ. ๒๕๔๐
พมิ พครง้ั ที่ ๕ ที่ระลึกคลา ยวันเกิดอายุ ๘๐ ป คุณแมจนิ ตา มัลลกิ ะมาลย, เนอ่ื ง
ในวาระดถิ วี นั เกดิ อายคุ รบ ๖๑ ป ศาสตราจารยพ ิเศษ เสฐยี รพงษ วรรณปก,
และผูศรทั ธาหลายทาน บําเพ็ญธรรมทาน มกราคม ๒๕๔๔
พมิ พค รง้ั ท่ี ๖ วดั ญาณเวศกวนั (จดั ปรบั ขอ มลู เขา สรู ะบบ PC, พมิ พใ นโอกาสทเี่ สา
ศลิ าจารกึ อโศกจาํ ลองพรอ มใหพ ทุ ธบรษิ ทั มาชม)เขา พรรษา ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒
บัญชศี ิลาจารกึ
ความนาํ ๑๑๖
หมวด ก: ศิลาจารกึ ฉบบั จาํ เพาะ และเบ็ดเตล็ด ๑๒๑
(รวมทั้งจารกึ พิเศษแหง กลงิ คะ) ๑๒๓
๑๒๕
ศิลาจารึกแหงไพรัต ๑๒๖
ศลิ าจารึกฉบับนอย จารกึ ฉบับเหนอื ๑๒๙
ศลิ าจารกึ ฉบับนอย จารึกฉบบั ใต ๑๓๐
จารกึ หลกั ศลิ าเบด็ เตลด็ ๑๓๑
จารกึ หลกั ศลิ าทลี่ มุ พนิ ี ๑๓๑
จารกึ หลกั ศลิ านคิ ลวิ ะ (นคิ ลี สาคร) ๑๓๒
จารกึ หลกั ศลิ า แหง พระราชเทวี (อลั ลาหะบาด) ๑๓๓
จารกึ ถาํ้ แหง เขาบาราบาร ๑๓๗
ศลิ าจารกึ พเิ ศษแหง กลงิ คะ แหง ที่ ๑
ศลิ าจารกึ พเิ ศษแหง กลงิ คะ แหง ที่ ๒
หมวด ข: จารึกศลิ า ๑๔ ฉบับ ฉบับท่ี ๒ ๑๔๔ ๑๔๑
ฉบับที่ ๕ ๑๔๘
จารกึ ศลิ า ฉบับที่ ๑ ๑๔๓ ฉบบั ที่ ๘ ๑๕๓ ฉบบั ที่ ๓ ๑๔๕
ฉบบั ท่ี ๔ ๑๔๖ ฉบับท่ี ๑๑ ๑๕๗ ฉบบั ท่ี ๖ ๑๕๐
ฉบบั ที่ ๗ ๑๕๒ ฉบบั ที่ ๑๔ ๑๖๕ ฉบบั ท่ี ๙ ๑๕๔
ฉบับที่ ๑๐ ๑๕๖ ฉบบั ที่ ๑๒ ๑๕๘
ฉบับที่ ๑๓ ๑๖๐
หมวด ค: จารึกหลกั ศลิ า ๗ ฉบับ ๑๖๗
จารกึ หลกั ศลิ า ฉบับท่ี ๑ ๑๖๙ ฉบับท่ี ๒ ๑๗๑ ฉบบั ท่ี ๓ ๑๗๒
ฉบับที่ ๔ ๑๗๓ ฉบบั ที่ ๕ ๑๗๖ ฉบบั ท่ี ๖ ๑๗๘
ฉบบั ท่ี ๗ ๑๗๙
ความนาํ
พระเจา อโศกมหาราช กษตั รยิ พ ระองคท ี่ ๓ แหง ราชวงศโ มรยิ ะ ครอง
ราชสมบตั ิ ณ พระนครปาฏลบี ตุ ร ตั้งแต พ.ศ. ๒๑๘ ถงึ พ.ศ. ๒๖๐
(หรือตามหลักฐานของนักประวัติศาสตรสมัยปจจุบันสวนมากวา พ.ศ.
๒๗๐ ถึง พ.ศ. ๓๑๒) ทรงเปน พระมหากษตั รยิ ทย่ี ง่ิ ใหญท ีส่ ดุ ในประวัติ
ศาสตรข องชมพทู วีป และเปนองคเ อกอคั รศาสนปู ถัมภก ท่ีสาํ คัญทสี่ ุดใน
ประวตั ศิ าสตรแ หงพระพทุ ธศาสนา
เมอื่ ขนึ้ ครองราชยไ ด ๘ พรรษา ไดท รงกรฑี าทพั ไปปราบแควน กลงิ คะ
ซ่ึงเปน ชาติที่เขมแข็ง แมจะทรงมีชยั ขยายดินแดนแหง แวน แควน ของพระ
องคออกไป จนมีอาณาเขตกวางใหญท่ีสุดในประวัติศาสตรชาติอินเดีย
เทยี บไดก ับประเทศอนิ เดีย ปากีสถาน และบังคลาเทศปจ จุบันรวมกนั แต
ก็ทรงสลดพระทัยในความโหดรายทารณุ ของสงคราม เปนเหตใุ หทรงหัน
มานับถอื พระพุทธศาสนา และทรงดาํ เนินนโยบายทะนบุ ํารุงพระราชอาณา
จกั ร และเจริญพระราชไมตรกี บั นานาประเทศโดยทางสันติ ตามนโยบาย
ธรรมวิชยั กอ นทรงหันมานบั ถอื พระพุทธศาสนา ทรงปรากฏพระนามวา
จัณฑาโศก คอื อโศกผดู รุ าย ครน้ั หนั มาทรงนับถือพระพุทธศาสนาและ
ดําเนินนโยบายธรรมวิชยั แลว ไดรับขนานพระนามใหมว า ธรรมาโศก คอื
อโศกผทู รงธรรม
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๑๗
พระราชกรณียกิจของพระเจาอโศกมหาราชในการทํานุบํารุงพระ
พุทธศาสนา กลา วเฉพาะที่สาํ คญั ไดแก การทรงสรา งมหาวหิ าร ๘๔,๐๐๐
แหง เปนแหลง ทีพ่ ระภกิ ษสุ งฆศกึ ษาเลา เรยี นพระธรรมวินยั บําเพ็ญสมณ
ธรรม และสง่ั สอนประชาชน ทรงอุปถัมภการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ และทรง
สงพระเถรานุเถระไปประกาศพระศาสนาในแวนแควนตางๆ เปนเหตุให
พระพุทธศาสนาเจริญรุงเรืองแพรหลายไปในนานาประเทศ และทําให
ประเทศทง้ั หลายในเอเชียตะวันออกมีอารยธรรมเนอ่ื งกนั มาจนถึงปจ จบุ ัน
ในดานรัฐประศาสโนบาย ทรงถอื หลักธรรมวิชยั มุงชนะจติ ใจของ
ประชาชน ดวยการปกครองแผนดินโดยธรรม ยึดเอาประโยชนสุขของ
ประชาชนเปน ทต่ี ้ัง สงเสรมิ กจิ การสาธารณูปการ ประชาสงเคราะห สวัสด-ิ
การสงั คม และทํานบุ าํ รุงศลิ ปวัฒนธรรมอยางกวางขวาง ทําใหช มพูทวปี ใน
รัชสมัยของพระองค เปนบอเกิดสาํ คัญแหงอารยธรรมทแ่ี ผไพศาลมนั่ คง
พระนามของพระองคดํารงอยูยั่งยืนนาน และอนุชนเรียกขานดวยความ
เคารพเทดิ ทูน เหนอื กวา ปวงมหาราช ผูทรงเดชานภุ าพพชิ ติ แวนแควน ทั้ง
หลายไดดว ยชัยชนะในสงคราม
พระราชจริยาวัตรของพระเจาอโศกมหาราช เปนกัลยาณจารีตอัน
มหากษัตรยิ ผ ยู ง่ิ ใหญสมัยตอๆ มา ทีน่ ิยมทางสันติ และไดร ับสมัญญาวา
เปน มหาราช ทรงนับถือเปนแบบอยา งดาํ เนินตามโดยท่ัวไป เชน พระเจา
กนษิ กะมหาราช (พ.ศ. ๖๒๑-๖๔๔) พระเจา หรรษวรรธนะ (พ.ศ. ๑๑๔๙-
๑๑๙๑) พระเจา ธรรมบาล (พ.ศ ๑๓๒๓-๑๓๗๓) แหงชมพทู วปี พระเจา
ชัยวรมันท่ี ๗ (พ.ศ ๑๗๒๔-๑๗๖๑) แหงอาณาจักรขอมโบราณ และพอ
ขนุ รามคาํ แหงมหาราช(พ.ศ.๑๘๒๐-๑๘๖๐)แหง ราชอาณาจกั รไทยเปน ตน
๑๑๘ จารึกอโศก
แมนักประวัติศาสตรสมัยใหมก็ถวายพระเกียรติแกพระองคเปน
อยางสูง เชน H.G. Wells นักประวัติศาสตรคนสาํ คัญผูหน่ึงในฝาย
ตะวนั ตก ยกยอ งพระเจา อโศกมหาราชในหนังสอื Outline of History วา
ทรงเปนอัครมหาบรุ ุษทา นหนึ่งในบรรดาอคั รมหาบรุ ษุ ท้ัง ๖ แหง ประวัติ
ศาสตรโลก คือ พระพุทธเจา โสเครติส อริสโตเตลิ พระเจาอโศกมหาราช
โรเจอร เบคอน และอับราฮัม ลินคอลน (The Six Greatest Men of
History: Buddha, Socrates, Aristotle, Asoka, Roger Bacon,
and Abraham Lincoln)
พระเจาอโศกมหาราชเปนกษัตริยพระองคเดียวในประวัติศาสตร
โลก ที่นาย C.E.M. Joad นกั เขียนทางปรัชญาผูมีชอื่ เสียง ยอมยกพระ
นามมากลาวอางในหนังสือของเขาช่อื The Story of Civilization
พระราชจรยิ าวัตร และพระราชกรณียกิจของพระเจาอโศกมหาราช
ปรากฏเปน หลกั ฐานอยใู นศลิ าจารึก ซึ่งพระองคไ ดโ ปรดใหเขยี นสลักไว ณ
สถานท่ตี า งๆ ทว่ั จกั รวรรดิอันไพศาลของพระองค ความที่จารึกไวเ รยี กวา
ธรรมลิป แปลวา ลายสอื ธรรม หรือขอความทเ่ี ขยี นไวเพ่ือสอนธรรม ถือ
เอาความหมายเขากบั เร่อื งวา “ธรรมโองการ”
ธรรมลปิ ทโี่ ปรดใหจารึกไว เทาท่พี บมจี าํ นวน ๒๘ ฉบับ แตล ะฉบบั
มกั จารึกไวใ นทห่ี ลายแหง บางฉบับขุดคนพบแลว ถึง ๑๒ แหงก็มี๑
ความในธรรมลิปน้ัน แสดงพระราชประสงคของพระองคที่มีตอ
ประชาชนบาง หลักธรรมทีท่ รงแนะนาํ ส่งั สอนประชาชนและขาราชการบา ง
พระราชกรณยี กิจที่ไดทรงบาํ เพ็ญแลวบาง กลา วโดยสรปุ อาจวางเปนหัว
ขอได ดงั น้ี
๑ ฉบับทีค่ น พบมากท่สี ุดถงึ ๑๒ แหง คือ ฉบับที่วา ดว ยการทรงเปนอบุ าสกและเขาสสู งฆ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๑๙
ก. การปกครอง
๑. การปกครองแบบบิดากับบุตร โดยมีขาราชการเปนพี่เล้ียงของ
ประชาชน
๒. การถือประโยชนสุขของประชาชนเปน หนาทสี่ ําคัญทส่ี ุด เนน ความยตุ ิ
ธรรมและความฉับไวในการปฏบิ ัตหิ นาที่ราชการ
๓. การจัดใหมีเจาหนาท่ีเกี่ยวกับการสั่งสอนธรรม คอยดูแลแนะนํา
ประชาชนในทางความประพฤติและการดํารงชีวิตอยางทั่วถึง และวาง
ระบบขาราชการควบคมุ กนั เปนชั้นๆ
๔. การจัดบรกิ ารสาธารณประโยชน และสังคมสงเคราะห เชน บอ น้ํา ที่
พกั คนเดินทาง ปลูกสวน สงวนปา ต้ังโอสถศาลา สถานพยาบาล สาํ หรบั
คนและสัตว
ข. การปฏบิ ัติธรรม
๑. เนนทาน คือ การชว ยเหลือเออื้ เฟอกนั ดว ยทรัพย และสง่ิ ของ แตยาํ้
ธรรมทาน คือ การชวยเหลอื ดวยการแนะนําในทางความประพฤติ และ
การดาํ เนนิ ชวี ิตท่ีถกู ตอ ง วาเปนกจิ สาํ คญั ท่ีสดุ
๒. การคุมครองสัตว งดเวนการเบยี ดเบยี นสัตว โดยเฉพาะใหเลิกการ
ฆา สตั วบชู ายัญอยางเดด็ ขาด
๓. ใหร ะงับการสนกุ สนานบนั เทิงแบบมวั เมา ม่วั สุมรน่ื เริง หันมาใฝใน
กิจกรรมทางการปฏิบตั ธิ รรมและเจรญิ ปญ ญา เร่ิมแตอ งคพ ระมหากษตั รยิ
เอง เลิกเสดจ็ เทีย่ วหาความสําราญโดยการลาสตั ว เปนตน เปลี่ยนมาเปน
ธรรมยาตรา เสด็จไปนมัสการปูชนียสถาน เยี่ยมเยียนชาวชนบท และแนะ
นาํ ประชาชนใหปฏบิ ัติธรรม แทนการประกอบพธิ มี งคลตางๆ
๑๒๐ จารึกอโศก
๔. ยํ้าการปฏิบัติธรรรม ทเี่ กีย่ วกบั ความสมั พันธระหวา งบคุ คลในสังคม
เชน การเชอื่ ฟง บิดามารดา การเคารพนับถือครูอาจารย การปฏิบตั ิชอบตอ
ทาส กรรมกร เปนตน
๕. เสรภี าพในการนับถอื ศาสนา และความสามัคคปี รองดอง เอือ้ เฟอ นับ
ถือกัน ระหวา งชนตา งลทั ธศิ าสนา
คาํ แปลจารกึ ทงั้ ๒๘ ในหนงั สือน้ี ผแู ปลไดแ ปลไวใน พ.ศ. ๒๕๐๖
คือเมือ่ ๑๐ ปล วงแลว แตไ มเ คยจัดพิมพ เพราะหวังไววาจะตรวจชําระให
เรยี บรอยอีกครั้งหนึ่งกอ น แตครัน้ เวลาลวงไปนาน ก็หาโอกาสทาํ ตามทหี่ วัง
ไมไ ด บดั นี้ ถงึ คราวจะพิมพจ ึงตองปลอ ยผา นไปกอ น แตไ ดแ กไ ขบา งบาง
สวนเทาทจี่ ะทาํ ไดเฉพาะหนา คําแปลเดมิ ยึดเอาฉบบั ของนาย R. Basak
เปนหลกั แตไดสอบกับฉบบั อ่นื ๆ อีกสองฉบบั พรอมท้ังตนฉบบั เดิมท่ีเปน
ภาษาปรากฤต จึงมที ่ีแปลกกันหลายแหง หากมีโอกาสเมอื่ ใดจะไดตรวจ
ชําระโดยตลอดอีกครัง้ หน่งึ
อยางไรก็ตาม แมวาคําแปลทัง้ นี้ จะมติ องการใหถ ือเปนยตุ ิทั้งหมด
แตก็คงชวยใหเกิดความเขาใจในสาระสําคญั ของอโศกธรรมได จงึ หวังวา
จะเปนประโยชนแกผ สู นใจในประวัติศาสตร และพุทธศาสนาพอสมควร
พรอ มน้ขี ออนุโมทนาขอบคุณ อาจารยจ าํ นงค ทองประเสริฐ ผูม อบ
ตนฉบับของนาย R. Basak ท่ใี ชเปน หลักในการแปลไวด วย
พระศรีวิสุทธโิ มลี๑
(ประยุทธ ปยตุ โฺ ต)
๒๐ พ.ย. ๒๕๑๖
_______________________________________________
๑ ปจ จุบัน (พ.ศ.๒๕๕๒) ดํารงสมณศกั ด์ิที่ พระพรหมคุณาภรณ
หมวด ก
ศลิ าจารกึ ฉบับจาํ เพาะ และเบ็ดเตล็ด
(รวมทงั้ จารกึ พิเศษแหง กลงิ คะ)
ศลิ าจารกึ ฉบบั จาํ เพาะ และเบด็ เตลด็
ศลิ าจารกึ แหง ไพรัต
สมเด็จพระเจาอยูหัวปริยทรรศีแหงมคธ ไดทรงอภิวาทพระ
ภกิ ษุสงฆแลว ตรัสปราศรยั กับพระภกิ ษุสงฆ จํานงความไรอาพาธ
และความอยูสําราญ
ขาแตพระผูเปนเจาท้ังหลาย พระผูเปนเจาท้ังหลายยอม
ทราบวา โยมมีความเคารพและเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธเจา
พระธรรม และพระสงฆ มากเพยี งใด
ขาแตพระผูเปนเจาผูเจริญ ส่ิงใดก็ตามท่ีพระผูมีพระภาค
พทุ ธเจา ตรสั ไวแ ลว ส่ิงน้ันๆ ท้งั ปวงลวนเปนสุภาษิต
ขา แตพระผูเปนเจา ผูเ จรญิ ก็ขอท่โี ยมควรจะช้แี จงนน้ั คือขอ
ทีว่ า “พระสทั ธรรมจักดํารงอยไู ดต ลอดกาลนาน ดว ยอาการอยา ง
น้ีๆ” โยมสมควรจะกลาวความขอ นัน้
ขา แตพระผูเปน เจาผูเจรญิ มธี รรมบรรยายอยูดงั ตอไปน้ี คือ:
๑. วนิ ยสมุกฺกํส - หลักธรรมดีเดนในพระวนิ ยั ๑
๑ หมายถึง ปฐมเทศนาธัมมจกั กปั ปวตั ตนสตู ร ซึ่งเปน พระธรรมเทศนาครง้ั แรก และแหลง
ท่ีปรากฏแหง แรกอยูในพระวินัยปฎก (วนิ ย.๔/๑๓/๑๗; ส.ํ ม.๑๙/๑๖๖๔/๕๒๘)
๑๒๔ จารึกอโศก
๒. อรยิ วาส - ความเปนอยอู ยา งพระอริยะ๑
๓. อนาคตภย - ภัยอันจะมีในอนาคต๒
๔. มนุ คิ าถา - คาถาของพระจอมมนุ ๓ี
๕. โมเนยฺยสตุ ฺต - พระสตู รวาดว ยโมไนยปฏปิ ทา๔
๖. อปุ ตสิ สฺ ปฺหา - ปญ หาของอปุ ตสิ สะ๕ และ
๗. ขอความทพี่ ระผมู พี ระภาคพุทธเจา ตรสั ไวในราหโุ ลวาท๖ อัน
วาดวยเรือ่ งมสุ าวาท
ขาแตพระผูเปนเจาผูเจริญ โยมมีความปรารถนาในสวนที่
เก่ียวกับธรรมบรรยายเหลานี้วา ขอพระภิกษุผูเปนที่เคารพ และ
พระภกิ ษุณที งั้ หลายเปนอนั มาก พงึ สดบั และพจิ ารณาใครครวญ
ในธรรมบรรยายเหลานี้อยูโดยสมํ่าเสมอเปนประจํา แมอุบาสก
และอุบาสิกาทั้งหลายก็ (พงึ สดบั และนาํ มาพิจารณาใครครวญอยู
เสมอๆ) เชน กัน
ขาแตพระผูเปนเจาท้ังหลาย ดวยเหตุน้ีแล โยมจึงใหเ ขยี น
จารึกนข้ี ้นึ ไว เพ่อื ประชาชนทั้งหลายจกั ไดรูเ ขา ใจถงึ ความมงุ หมาย
ในใจของโยม.
๑ หมายถงึ อรยิ วาส ๑๐ ทม่ี าในสงั คตี สิ ตู ร และทสตุ ตรสตู ร (ท.ี ปา.๑๑/๓๖๑/๒๘๔; ๔๗๒/๓๓๗
๒ ไดแ ก อนาคตภยั ๕ (อง.ฺ ปจฺ ก.๒๒/๗๗-๘๐/๑๑๕-๑๒๖)
๓ ไดแก มนุ ิสูตร ในสุตตนิบาต (ขุ.ส.ุ ๒๕/๓๑๓/๓๖๓)
๔ ไดแก โมไนยสูตร (อง.ฺ ติก.๒๐/๕๖๒/๓๕๒)
๕ หมายถงึ สารีปตุ ตสูตร ในสตุ ตนบิ าต (ขุ.สุ.๒๕/๔๒๓/๕๒๐)
๖ ไดแก จูฬราหุโลวาทสูตร (ม.ม.๑๓/๑๒๕/๑๒๓
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๒๕
ศิลาจารึกฉบับนอย
จารกึ ฉบบั เหนือ
พระผเู ปนทร่ี ักแหง ทวยเทพ ไดต รสั ไว ดังน้:ี -
นับเปนเวลานานกวาสองปค รึ่งแลว ทข่ี า ฯ ไดเปนอบุ าสก แต
กระนน้ั ขา ฯ กม็ ไิ ดก ระทําความพากเพยี รจรงิ จงั เลย และนับเปน
เวลาไดอีก ๑ ปเศษแลว ท่ขี าฯ ไดเ ขา สสู งฆ และไดกระทาํ ความ
พากเพียรอยางจรงิ จงั
แตก อ นมาจนถึงบัดนี้ ทวยเทพท้ังหลายในชมพทู วีป ยังไมม ี
ความสนทิ สนมกลมกลนื กบั มนษุ ยท งั้ หลาย แตบ ดั นี้ ทวยเทพเหลา นี้
(อันขาฯ) ไดกระทําใหมาสนิทสนมกลมกลืนกับมนุษยท้ังหลาย
แลว ก็ขอนี้ยอมเปน ผลแหง ความพากเพียร และผลนอ้ี นั บุคคลผู
เปนใหญเทา นัน้ จะพงึ บรรลถุ ึง ก็หามไิ ด แมแตบ ุคคลเลก็ นอยต่ํา
ตอ ย เม่ือพากเพยี รอยู กส็ ามารถประสบสวรรคอ ันไพบลู ยได
เพ่ือประโยชนอนั นี้ ขา ฯ จงึ ไดทําประกาศนขี้ ึ้นไว ขอชนทง้ั
หลาย ทง้ั คนต่าํ ตอยเล็กนอ ย และคนผเู ปนใหญ จงพากันกระทาํ
ความพากเพียรเถิด แมชนชาวเขตแดนขางเคียงท้ังหลายก็จงพา
กันทราบความขอน้ี และขอความพากเพียรน้ีจงดํารงอยูชั่วกาล
นาน เพราะวาประโยชนที่มงุ หมาย จักเพ่มิ พูนข้นึ อีกมากมาย และ
จักเจริญไพบลู ยข ึ้นอยา งนอ ยที่สดุ ถงึ หน่ึงเทา ครง่ึ
๑๒๖ จารกึ อโศก
อนึง่ ทานทง้ั หลายจงจารึกความขอ นข้ี น้ึ ไวต ามภผู า โขดหิน
ทัง้ หลายในเม่ือมีโอกาส และ ณ ท่ีน้ี (ภายในแวน แควน ของขา ฯ) มี
หลักศิลาอยู ณ สถานท่ีใดกต็ าม พงึ ใหเขยี นจารึกไวท ่หี ลกั ศลิ านน้ั
พึงกระจายขอความน้ี ใหแพรหลายออกไปทั่วทุกหนทุกแหงท่ี
อํานาจปกครองของทานทั้งหลายแผไปถึง โดยใหเปนไปตามขอ
แนะนาํ อนั นี้
ประกาศนี้ ขาฯ ไดก ระทําแลว เมอ่ื เดินทางอยนู อกพระนคร
หลวง การเดินทางน้ี ขาฯ ไดดาํ เนินมาแลว ๒๕๖ ราตรี.
จารึกฉบบั ใต๑
ตอนท่ี ๑
พระผูเปน ทรี่ ักแหงทวยเทพ ไดต รสั ไว ดังนี้ :-
นบั เปนเวลานานเกินกวาสองปคร่งึ แลว ท่ีขา ฯไดเ ปน อุบาสก
แตต ลอดเวลา ๑ ป ขาฯ มไิ ดกระทาํ ความพากเพียรใดๆ อยา งจรงิ
จังเลย และนับเปนเวลา ๑ ปเศษแลวทขี่ า ฯ ไดเ ขาหาสงฆ ขาฯจึง
ไดลงมอื ทําความพากเพยี รอยางจริงจัง (นบั แตน้นั มา)
ตลอดระยะเวลา (ทีผ่ า นมา) น้ี มนุษยท ้งั หลายยงั มิไดคลกุ
คลีสนทิ สนมกนั กบั เทวดาทัง้ หลายเลย แตม าบัดนี้ มนษุ ยท้ังหลาย
๑ ฉบับเดียวกับจารกึ ฉบบั เหนือ แตจารกึ ไวต า งสถานที่ มีขอ ความตอนทายตางออกไป จงึ
นาํ มาลงไวดว ย
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๒๗
ไดค ลุกคลสี นิทสนม (กบั ทวยเทพท้ังหลาย) แลว ก็ขอนีย้ อมเปนผล
แหงความพากเพียร (ในการทําความดี) (สวรรคน น้ั ) มใิ ชว า มหา
บรุ ุษเทาน้นั จงึ จะบรรลถุ งึ ได แมคนเล็กนอ ยตา่ํ ตอ ย เมือ่ พากเพยี ร
อยู กส็ ามารถประสบสวรรคอ ันไพบูลยไดเ ชน กัน
เพื่อประโยชนนีน้ ่ันแล ขาฯ จงึ ไดใ หท าํ คาํ ประกาศน้ขี น้ึ ไว ขอ
ชนท้ังหลาย ทั้งท่ียากจนและม่ังมี จงกระทําความพากเพียรใน
เรื่องน้ี และชนชาวเขตแดนขางเคียงทั้งหลายจงทราบความขอนี้
ดวย ขอใหความพากเพียรน้ีดํารงอยูช่ัวกาลนาน ประโยชนอัน
ไพบลู ยก ็จกั เจริญเพ่มิ พูน และจกั งอกงามขน้ึ อกี อยา งนอ ยทีส่ ดุ ถึง
หนง่ึ เทา ครงึ่
คําประกาศนี้ ขาฯไดกระทําแลวในระหวางการเสด็จ
ประพาสนอกพระนครหลวง ครั้งที่ ๒๕๖
ตอนท่ี ๒
พระผเู ปน ที่รกั แหง ทวยเทพ ไดต รัสไว ดังน:้ี -
ทานทั้งหลายพึงประพฤติปฏิบัติตามที่พระผูเปนท่ีรักแหง
ทวยเทพตรัสสอนไว เจาหนาที่รัชชูกะท้ังหลายจักตองไดรับคําส่ัง
แลวเขาจักส่ังตอไปแกชนชาวชนบทและเจาหนาท่ีราษฎริกะทั้ง
หลายวา
๑๒๘ จารกึ อโศก
- พึงต้ังใจฟง มารดาบิดา
- พึงตั้งใจฟง ครูท้งั หลายเชนเดียวกนั
- พงึ มีความเมตตาตอ สัตวทง้ั หลาย
- พึงกลา วคาํ สัตย
พงึ เผยแผค ณุ ธรรมเหลา น้ีใหแ พรหลายโดยทว่ั
ขอทานท้ังหลายจงสั่งการตามพระดํารัสของพระผูเปนท่ีรัก
แหงทวยเทพ ดว ยประการฉะน้ี
อน่ึง ทานท้งั หลายพงึ ส่งั ความอยางเดยี วกันนแี้ กครทู งั้ หลาย
ผเู ดนิ ทางดวยชาง และแกพราหมณท ัง้ หลาย ผูเ ดินทางดว ยรถ ใน
ทาํ นองเดียวกันน้ี ทานทั้งหลายจงประกาศแกศิษยในปกครองท้ัง
หลาย ใหทราบวาโบราณประเพณมี อี ยอู ยางไร พึงต้งั ใจฟง ตามคํา
สอนวา ดังนี้
ใหมีความเคารพยําเกรงอยางจริงจัง ตอทานอาจารยของ
ขา ฯ ท่เี ปน ผูประพฤตปิ ฏบิ ัติตนเหมาะสม พึงแนะนําญาตทิ ัง้ หลาย
ใหปฏบิ ัติตอญาตติ ามท่ีเหมาะท่คี วร ประชาชนทั้งหลายเหลา น้พี งึ
ไดรับคําแนะนาํ ใหปฏิบัติตอศิษยในปกครองท้ังหลายตามท่ีเหมาะ
ท่คี วร ตามเยี่ยงอยางโบราณประเพณที ่ีมมี า
ขอใหคาํ ประกาศนจ้ี งเปนส่งิ ท่ที รงไวซึง่ ความสาํ คัญ ขอทาน
ทงั้ หลายจงสง่ั ความและประกาศแกศ ษิ ยใ นปกครองทงั้ หลายตามนี้
พระผูเปนท่ีรักแหงทวยเทพ ไดมีพระราชโองการดาํ รสั ส่ังไว
ดวยประการฉะน้.ี
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๒๙
จารึกหลกั ศลิ าเบด็ เตล็ด
สมเดจ็ พระเจาอยหู วั ปรยิ ทรรศี ผูเ ปน ทรี่ ักแหงทวยเทพ ไดม ี
พระบรมราชโองการใหป ระกาศแกม หาอาํ มาตยท้ังหลาย ณ พระ
นครปาฏลบี ุตร และ ณ นครอื่นๆ วา
สงฆ (อนั ขา ฯ) ไดทาํ ใหส ามัคคีเปน อนั เดยี วกันแลว บคุ คล
ใดๆ จะเปนภิกษหุ รอื ภิกษุณกี ็ตาม ไมอ าจทาํ ลายสงฆได
ก็แล หากบุคคลผใู ด จะเปนภกิ ษุหรอื ภกิ ษณุ ีก็ตาม จักทํา
สงฆใ หแตกกัน บุคคลผูนน้ั จกั ตองถกู บงั คบั ใหน ุงหม ผาขาว และ
ไปอยู ณ สถานทีอ่ ันมใิ ชว ัด
พึงแจงสาสนพระบรมราชโองการน้ีใหทราบทั่วกัน ทั้งใน
ภิกษสุ งฆและในภกิ ษณุ สี งฆ ดว ยประการฉะนี้
พระผเู ปนทีร่ ักแหงทวยเทพไดต รัสไว ดงั น้:ี -
ก็ประกาศพระบรมราชโองการเชนนี้ ทานท้งั หลายพึงนาํ ไป
ติดไว ณ ทางสัญจรภายในเขตใกลเคียงของทานท้ังหลายฉบับ
หน่ึง และจงเก็บรักษาประกาศพระบรมราชโองการอันเดียวกันนี้
แล ไวในเขตใกลเ คียงของอุบาสกทั้งหลายอกี ฉบบั หนง่ึ
ทกุ ๆ วนั อุโบสถ บรรดาอุบาสกเหลานั้น พงึ ทําตนใหม คี วาม
รคู วามเขา ใจแนบแนนในประกาศพระบรมราชโองการน้ี และทกุ ๆ
วันอุโบสถ มหาอํามาตยทุกๆ คนพึงไปรวมในการรักษาอุโบสถ
ดว ยเปน ประจาํ เพื่อจกั ไดเ กิดความคุนเคยแนบสนทิ และรูเขาใจ
๑๓๐ จารกึ อโศก
ทว่ั ถึง ซง่ึ ประกาศพระบรมราชโองการน้นั แล
ทั่วทุกหนทุกแหงที่อํานาจบริหารราชการของทานทั้งหลาย
แผไปถึง ทานทัง้ หลายพึงขับไล (บคุ คลผูทําลายสงฆ) ออกไปเสีย
และในทาํ นองเดยี วกันน้นั ทานท้งั หลายพึงขบั ไล (บคุ คลทท่ี าํ ลาย
สงฆ) ในเมอื งดา น และในทอ งถน่ิ ทงั้ หลายออกไปเสยี โดยใหเ ปน
ไปตามขอความในประกาศน้ี.
จารึกหลกั ศิลาท่ีลมุ พนิ ี
สมเด็จพระเจา อยหู วั ปริยทรรศี ผเู ปน ทร่ี กั แหงทวยเทพ เม่ือ
ทรงอภเิ ษกแลว ได ๒๐ พรรษา ไดเสดจ็ มาดวยพระองคเองแลว
ทรงกระทําการบชู า (ณ สถานทน่ี )ี้ เพราะวา “พระพทุ ธศากยมนุ ีได
ประสตู แิ ลว ณ ท่นี ้ี” และ (พระองค) ไดโ ปรดใหส รา งรั้วศลิ า และ
โปรดใหประดิษฐานหลักศลิ าข้นึ ไว
โดยเหตุท่ีพระผูมพี ระภาคเจา ไดป ระสตู แิ ลว ณ สถานที่น้ี
จงึ โปรดใหหมบู า นตาํ บลลุมพนิ เี ปน เขตปลอดภาษี และใหเสยี สละ
(ผลิตผลจากแผนดินเปน ทรพั ยแ ผน ดิน เพียงหน่ึงในแปดสวน).
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๓๑
จารกึ หลกั ศลิ านคิ ลวิ ะ
(นิคลี สาคร)
สมเด็จพระเจาอยูหัวปรยิ ทรรศี ผเู ปนท่ีรักแหงทวยเทพ เม่ือ
อภเิ ษกแลวได ๑๔ พรรษา ไดโ ปรดใหข ยายพระสถปู แหง พระพทุ ธ
เจา กนกมุนี๑ ใหญโตขนึ้ อกี เปนสองเทา และเม่อื อภเิ ษกแลวได ๒๐
พรรษา ก็ไดเ สดจ็ มาดวยพระองคเ อง ทรงกระทําการบชู าแลวโปรด
ใหป ระดษิ ฐานหลกั ศิลาจารกึ ไว.
จารึกหลักศิลา แหงพระราชเทวี
(อลั ลาหะบาด)
มหาอํามาตยท ้ังหลายท่ัวทกุ สถาน พงึ ไดรับแจงตามกระแส
พระราชดํารัส แหงพระผูเปน ที่รกั แหงทวยเทพวา
“ส่งิ ใดๆ ก็ตาม ทีเ่ ปน ของอันพระทตุ ิยราชเทวี พระราชทาน
แลว ณ ทน่ี ้ี จะเปนปา มะมวงก็ดี เปนสวนก็ดี เปน โรงทานกด็ ี หรือ
แมสิง่ อนื่ ๆ ส่ิงใดสิง่ หนง่ึ อนั พอจะนับได (วาเปนของทพ่ี ระนางพระ
ราชทาน) สงิ่ นน้ั ๆ ยอ มเปน สมบตั ิของพระนางน้ันเอง”
โดยอาการอยา งนี้ ใหพ ึงถอื วา สิง่ เหลา น้นั เปน ของอันพระ
ทุติยราชเทวี พระนามวา การวุ ากี ผเู ปนชนนีของตีวระ พระราช
ทานแลว.
๑ สนั นษิ ฐานวา หมายถงึ พระโกนาคมนพทุ ธเจา
๑๓๒ จารกึ อโศก
จารึกถ้ําแหงเขาบาราบาร
ก. ถ้ําไทรนี้ อันสมเด็จพระเจาอยูหัวปริยทรรศีพระราชทานแลว
แกเหลา อาชีวิกะทงั้ หลาย เม่ือทรงอภเิ ษกแลวได ๑๒ พรรษา
ข. ถ้ําแหงนี้ (ซ่ึงอยู) ในเขาขลติกะ อันสมเด็จพระเจาอยูหัว
ปริยทรรศี พระราชทานแลวแกเ หลาอาชวี กิ ะท้ังหลาย เมอ่ื อภิเษก
แลวได ๑๒ พรรษา
ค. (บดั น้)ี สมเด็จพระเจา อยหู วั ปริยทรรศี ทรงอภเิ ษกแลว ได ๑๙
พรรษา “ถ้าํ ในเขตขลตกิ ะแหง น้ี ซง่ึ เปน ท่ีโปรดปรานย่ิง อนั ขาฯ
พระราชทานแลว เพ่ือเปน ท่พี กั พิงแหงเหลาบรรพชติ ท้งั หลาย ให
พน จากอทุ กภัยในฤดฝู น”
ศลิ าจารกึ พิเศษแหงกลิงคะ
แหงท่ี ๑
มหาอํามาตยท้ังหลายผูมีหนาที่ดําเนินงานตุลาการในเมือง
โตสลี พงึ ไดร บั แจง ตามพระดาํ รสั ของพระผเู ปนท่รี กั แหงทวยเทพวา:-
ขา ฯ พจิ ารณาเหน็ สง่ิ ใดก็ตาม ขาฯ ยอ มมคี วามปรารถนาใน
สง่ิ นัน้ วา ขอขา ฯ พึงดําเนนิ การในสง่ิ นน้ั ๆ ใหส าํ เรจ็ ลุลวงไปดวย
การลงมือกระทาํ และขอขาฯ พึงริเร่ิมทาํ ส่ิงน้ันดวยวิธกี าร (อนั
เหมาะสม)
ในเร่ืองนี้ ขา ฯ ถือวา คําสั่งสอนของขา ฯ แกท า นทง้ั หลายน่นั
แล เปน วธิ ีการอนั สาํ คญั ยิ่ง เพราะทา นท้งั หลายไดร ับการแตงต้งั ให
มหี นาทีด่ แู ลชวี ติ จํานวนมากมายหลายพัน ดว ยความหวังวา พวก
ทานคงจะถนอมความรกั ของมนษุ ยท ั่วทุกคนไวโดยแนแท
ประชาชนทุกคนเปนลกู ของขา ฯ ขาฯ มีความปรารถนาตอ
ลูกของขาฯ วา ขอลูกท้ังหลายของขาฯ จงประสบแตสิ่งที่เปน
ประโยชนเ ก้ือกูลและความสขุ ทุกสงิ่ ทกุ ประการ ทง้ั ที่เปน ไปในโลก
นี้และโลกหนา ฉันใด ขาฯ ก็มีความปรารถนาแมตอมนุษยทั้ง
หลายทว่ั ทกุ คน ฉันน้ัน
๑๓๔ จารกึ อโศก
แตทานท้งั หลายอาจไมร ซู ง้ึ วา ความประสงคของขา ฯ ขอน้ี
มีความหมายกวางขวางเพียงใด อาจมบี คุ คลผูใดผหู นึง่ ในบรรดา
พวกทา นน้ี ท่ีเขาใจถงึ ความหมายอนั น้ี แตก ระน้นั บุคคลผูนั้น ก็คง
รูคงเขา ใจเพียงสว นหน่ึงสวนเดยี ว หาไดเ ขา ใจโดยส้นิ เชิงไม ถึงแม
ทานท้ังหลายจะไดรับการแตงตั้งใหมีตําแหนงสูงเพียงใดก็ตาม
ทานท้ังหลายก็จะตองใสใจทําความเขาใจในเรื่องน้ี หลักการขอ น้ี
เปนส่ิงทจ่ี ดั วางไวเปนอยางดแี ลว
อาจมบี คุ คลผใู ดผหู นง่ึ ตองไดรบั การจองจํา หรอื การลงโทษ
ดวยการทรมาน และในกรณนี ี้ ผลอาจปรากฏวา เปน การจบั กมุ ลง
โทษโดยปราศจากมูลเหตุอันสมควร เน่ืองจากเหตุน้ี ประชาชน
อน่ื ๆ อกี จํานวนมาก กจ็ ะพลอยไดร ับความทุกขดวยเปนอยา งย่ิง
เพราะฉะนน้ั ทา นทงั้ หลายควรต้งั ใจแนว แนว า “เราจะวางตนเปน
กลาง (ใหเกิดความเท่ียงธรรม)” แตกระนน้ั ก็ยงั อาจไมป ระสบ
ความสําเรจ็ ก็ได โดยเนอื่ งมาจากขอ บกพรอ งบางประการ อันได
แก ความรษิ ยา ความพลั้งจิต ความเกรี้ยวกราด ความหนุ หนั พลนั
แลน การขาดความใสใจอยางจริงจัง (หรือขาดความรอบคอบ)
ความเกียจครา น และความเหน่อื ยหนา ย ฉะนัน้ ทา นทั้งหลายพึง
ตัง้ ใจวา “ขอขอบกพรอ งเหลา นี้ อยา พงึ เกดิ มแี กเ ราเลย”
รากฐานแหง(ความสําเรจ็ ) ทั้งมวลน้ี อยูท ก่ี ารไมมคี วามพลัง้
จิต และการไมมีความหุนหันเรงรอนในการนําหลักการแหงความ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๓๕
ยุติธรรมมาใช บุคคลท่ีเหนื่อยหนายยอมไมสามารถลกุ ข้ึนทาํ งาน
ไดโดยกระฉบั กระเฉง แตทานท้งั หลายจะตองเคลื่อนไหวกาวหนา
และดําเนินไป (เพอ่ื ใหถงึ จดุ หมาย) ทานทง้ั หลายจะตอ งพจิ ารณา
ใสใ จในเร่อื งน้ดี งั กลา วมาฉะน้ี
ดวยเหตุนี้ จึงขอใหทานท้ังหลายพึงไดรับถือเปนคําส่ังวา
“ทา นท้ังหลายจะตองคอยเอาใจใสด แู ล (ตกั เตือน) ซึ่งกันและกนั
วา คําส่งั สอนของพระผเู ปนท่รี กั แหง ทวยเทพมีอยอู ยางนีๆ้ ”
การประพฤติปฏิบัติตามคําส่ังสอนน้ีโดยเพียบพรอม ยอม
อาํ นวยผลมาก แตก ารไมประพฤตปิ ฏบิ ัติตามโดยชอบ ยอ มนาํ มา
ซง่ึ ความเสื่อมเสยี เปน อันมาก ผไู มป ระพฤติปฏิบตั ิตาม ยอมไมไ ด
ประสบสวรรค และไมท าํ ใหพ ระเจาอยหู ัวพอพระทัยได เพราะขาฯ
ถือวา การฝกใฝสนใจอยางจริงจังตอกิจเชนนั้น ยอมมีผลสอง
ประการ คือ ในการประพฤติปฏบิ ัติตามคําสงั่ สอนของขา ฯ โดย
เพยี บพรอ มน้ี ทานทงั้ หลายจกั ไดประสบสวรรคสมบัตดิ วย และจกั
ไดป ลดเปล้อื งหนต้ี อ ขา ฯ ดว ย
จารึกน้ี พึงใหมีการสดับในวันติษยนักษัตร และในบาง
โอกาสในระหวา งแหง วันตษิ ยะ ถึงจะมีบคุ คลอยคู นเดียวก็พงึ สดับ
ฟง เมือ่ กระทําไดเชนนนี้ น่ั แล ทานท้ังหลาย จงึ จกั ชอ่ื วา สามารถ
กระทําตามคําส่ังสอนของขา ฯ ไดเพยี บพรอ มสมบูรณ
เพ่อื ประโยชนน้ี จงึ ไดใหเ ขียนจารึกนข้ี ึ้นไว เพื่อใหเจา หนาที่
๑๓๖ จารกึ อโศก
ตลุ าการนครไดพ ยายาม โดยสม่าํ เสมอทกุ เวลา (ท่จี ะปฏิบตั กิ าร
ดวยความมงุ มน่ั ในใจ) วาจะมใิ หเกดิ มกี ารบบี บงั คบั หรือการลง
โทษทัณฑแ กช าวเมอื ง โดยไรเหตอุ นั ควร
เพอ่ื ประโยชนน้ี ขาฯ จกั สงมหาอาํ มาตยทัง้ หลาย ซงึ่ จะไมเ ปน
ผูหยาบคาย ไมดรุ า ย และซอ่ื สัตยใ นการปฏิบัตงิ าน ออกเดินทาง
ตรวจตราราชการทุกๆ ๕ ป มหาอาํ มาตยเหลานั้น เมื่อทราบความ
ประสงคอ นั น้ี (ของขา ฯ) แลว ก็จกั ปฏิบัติตามคาํ ส่ังสอนของขา ฯ
แมจ ากนครอุชเชนีกเ็ ชน กัน องคอ ุปราชราชโอรส จักสง กลมุ
เจาหนาท่ีอยางเดียวกัน ใหออกเดินทางตรวจตราราชการ เพ่ือ
ความมงุ หมายอนั เดียวกันนแ้ี ล (ในการสง ออกแตละคราวนี้) จกั ไม
ปลอ ยใหเวลาลวงไปเกิน ๓ ป
แมจากนครตกั สลิ าก็เชน เดยี วกัน (องคอปุ ราชราชโอรส จัก
สงกลมุ เจา หนา ที่ออกเดินทางตรวจราชการอยางน้)ี
เม่ือมหาอํามาตยเหลาน้ี ยังคงออกเดินทางตรวจตราราช
การอยู ไมทอดทิ้งหนาที่ของตน เขาก็จักเขาใจในคําส่ังสอน
ของขาฯ และดวยเหตุนั้น ก็จักปฏิบัติงานไดตามคําสั่งสอนของ
พระเจาอยูหัว.
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๓๗
ศิลาจารกึ พิเศษแหงกลงิ คะ
แหงท่ี ๒๑
พระผูเปน ท่รี ักแหง ทวยเทพ ไดตรสั ไว ดังน้ี :-
มหาอาํ มาตยท ง้ั หลาย ณ สมาปา๒ พงึ ไดรบั แจงตามกระแส
พระราชดาํ รสั วา เมอ่ื ขา ฯ พจิ ารณาเหน็ สง่ิ หนง่ึ สงิ่ ใดกต็ าม ขา ฯ ยอ ม
มคี วามปรารถนาวา ขอขา ฯ จงจดั ทาํ สง่ิ นน้ั ๆ ใหส าํ เรจ็ ลลุ ว งไปดว ย
การลงมือกระทาํ (จริงๆ) และขอขาฯ จงริเร่ิมทาํ สิ่งน้ันดวยวิธีการ
อยา งใดอยา งหนง่ึ ขา ฯ ถอื วา คาํ สง่ั สอนของขา ฯ แกท า นทง้ั หลายนน่ั
แล เปน วธิ กี ารอนั สาํ คญั ยง่ิ เพอ่ื ใหบ รรลถุ งึ จดุ ประสงคอ นั นี้
ประชาชนทกุ คนเปน ลูกของขาฯ ขาฯ ยอมปรารถนาเพื่อลกู
ชายหญงิ ของขา ฯ วา ขอเขาท้งั หลายพึงประสบสง่ิ ท่เี ปนประโยชน
เกื้อกูลและความสุข ทั้งท่ีเปนไปในโลกนี้และโลกหนาทุกประการ
ฉนั ใด ความปรารถนาของขา ฯ ตอประชาชนทั้งปวงยอ มเปน ฉันนน้ั
เหมอื นกนั
ประชาชนชาวเขตแดนขา งเคยี งทงั้ หลาย ซ่ึงขาฯ มไิ ดพ ิชิต
อาจเกิดมีความคิดขน้ึ อยางนวี้ า “พวกเราใครท ราบวา พระราชา
ทรงมีความมุงประสงคตอพวกเราเปนประการใด” ขาฯ มีความ
๑ ศิลาจารึกพเิ ศษแหงกลงิ คะ แหงที่ ๒ นี้ กับแหงที่ ๑ กอ นน้ี ถือไดว า เปน ฉบบั เดยี วกัน
เพราะมีสาระสําคัญอยา งเดยี วกัน แตม ีเนอื้ ความบางสวนตางกนั บาง คงจะตามสภาพถน่ิ
โดยเฉพาะแหงท่ี ๒ นี้ มขี อ ความเพ่ิมเตมิ เกย่ี วกับประชาชนชาวเขตแดนขางเคียง
๒ สมาปา เปนที่ปฏบิ ัตกิ ารของมหาอํามาตยใ นกลิงคะภาคใต
๑๓๘ จารึกอโศก
ปรารถนาตอประชาชนชาวเขตแดนขางเคียงอยูเพียงวา ขอให
ประชาชนเหลาน้นั พึงเขา ใจเถิดวา “พระราชาทรงมีความปรารถนา
วา ประชาชนเหลานน้ั ไมพ ึงมีความครนั่ ครา มหวาดระแวงตอ ขาฯ
และพึงมีความเชือ่ มั่นวางใจในตัวขา ฯ พึงหวงั ไดร ับความสขุ เพยี ง
อยา งเดยี วจากขาฯ หาไดร ับความทุกขมไิ ดเ ลย และพงึ มคี วามเขา
ใจ (ตอไป) อกี วา พระองคจ กั ทรงพระราชทานอภัยโทษแกเราทงั้
หลายเทาท่ีจะทรงอภัยใหได และเพื่อเห็นแกขาฯ ขอประชาชน
เหลา นั้นพึงประพฤตปิ ฏบิ ัติธรรม และพึงไดประสบ (ประโยชนสขุ )
ท้งั ในโลกน้แี ละโลกหนา ”
เพ่ือประโยชนนี้ ขาฯ จึงพรํ่าสอนทานท้ังหลาย ดวยการ
กระทาํ เพยี งนี้ ขา ฯ ยอมเปนอนั พนจากหน้ี (ทบี่ ง แจงตอประชาชน)
ปณิธานและปฏญิ ญาใดๆ ของขา ฯ ทบ่ี ง แจง ในการส่ังสอนทานทั้ง
หลาย และในการประกาศเจตจํานง ปณิธานและปฏิญญาน้ันๆ
เปนส่ิงท่ีม่นั คงแนน อนไมแปรผนั
ทานทั้งหลายพึงปฏิบัติหนาที่การงานดวยการกระทําตาม
เชน นัน้ เถิด และประชาชนเหลา นัน้ พึงไดร บั การปลุกปลอบใจใหม ี
ความเช่อื มั่นวางใจในตวั ขาฯ จนทาํ ใหเ ขาเขาใจวา สมเดจ็ พระเจา
อยูหัวเปนเหมือนบิดาของพวกเรา พระองคทรงมีความรักใคร
ปรารถนาดีในเราทง้ั หลาย เหมือนดังท่ีทรงรักใครป รารถนาดตี อ ตัว
พระองคเอง พวกเราเปนเหมือนลูกของพระเจาอยูหวั
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๓๙
โดยเหตุท่ีปณิธานและปฏิญญาของขาฯ อันบงแจงในการ
แนะนําพรํ่าสอนพวกทาน และในการประกาศใหพวกทานทราบ
เจตจํานงของขาฯ เปน ส่งิ ม่นั คงแนน อนไมแปรผัน ฉะน้ัน ในกรณี
เชน น้ี ขาฯ จงึ จดั ใหมีทานทง้ั หลายผเู ปนเจา พนกั งานประจาํ ทอง
ถ่ิน เพราะวา ทานทงั้ หลายยอมเปนผมู ีความสามารถ(แทท ีเดียว)
ในการปลุกปลอบใจประชาชนเหลานั้น ชวยนําใหเกิดประโยชน
เกอ้ื กูลและความสขุ ทง้ั ท่เี ปนไปในโลกนี้และโลกหนาแกประชาชน
ท้ังหลายเหลานั้น เมอ่ื ปฏบิ ัติไดเ ชน นี้ ทานทง้ั หลายจกั ไดป ระสบ
สวรรคส มบัติดว ย และจักเปนผูไดปลดเปลอื้ งหนี้ทมี่ ตี อขา ฯ ดว ย
เพอื่ ประโยชนนี้ จึงไดใ หเขยี นจารึกน้ีข้นึ ไว ณ สถานทนี่ ี้ เพอื่
ใหบรรดามหาอํามาตยทั้งหลายเอาใจใสอยูโดยสมํ่าเสมอตลอด
กาลตอไปเบ้ืองหนา ในอันท่ีจะทําการแนะนําชักจูงพลเมืองชาย
แดนทั้งหลาย ใหเกิดมคี วามเช่ือม่นั วางใจ (ในตัวขาฯ) และทาํ ให
การประพฤตปิ ฏิบตั ิธรรมเกิดมีข้ึน
พงึ ใหมีการสดับตรับฟงจารึกนใี้ นวนั ตษิ ยะ๑ ในระหวางทกุ ๆ
จาตรุ มาส๒ พึงใหม กี ารสดบั ฟง แมใ นระยะเวลาระหวางนั้น และ
เมอ่ื มโี อกาสพิเศษ แมจ ะมบี คุ คลผูเดียวกพ็ ึงใหสดบั ฟง เมื่อปฏบิ ัติ
ไดเชนนีน้ ั่นแล ทา นทั้งหลาย จงึ จักช่ือวาสามารถปฏบิ ัติไดเพียบ
พรอ มตามคาํ สัง่ สอนของขา ฯ.
๑ และ ๒ ดู เชิงอรรถ หนา ๖๕