พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๙๑
๒. คําจารึกบน ๘ แทน หนิ
คซู าย แผน ที่ ๒–๓* (คําอธิบาย “สีส่ งิ ห ทนู ธรรมจกั ร”)
…………………………………………………………………………
สี่สิงห ทูนธรรมจักร
พระเจาอโศกมหาราช กษัตริยพระองคท่ี ๓ แหง ราชวงศโมริ
ยะ ครองราชสมบัติ ณ พระนครปาฏลีบุตร ในชมพูทวีป เม่อื
พ.ศ.๒๑๘-๒๖๐ (ตําราฝา ยตะวันตกมกั วา พ.ศ.๒๗๐-๓๑๒) ทรง
เปนพระมหากษัตริยท่ีย่ิงใหญที่สุดในประวัติศาสตรของชมพูทวีป
ครองอาณาจักรกวางใหญที่สุดในประวัติศาสตรชาติอินเดีย เปน
องคเอกอัครศาสนูปถัมภกสําคัญที่สุดในประวัติศาสตรแหงพระ
พทุ ธศาสนา และเปน อคั รมหาบรุ ษุ ผหู นง่ึ ในประวตั ศิ าสตรโ ลก
เม่อื ครองราชยไ ด ๘ พรรษา ทรงกรีฑาทพั ไปปราบแควน
กลิงคะ แมจะมีชัยชนะ แตทรงสลดพระทัยในความโหดรา ยของ
สงคราม เปนเหตุใหทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนา และทรง
ดําเนินนโยบายธรรมวิชัย มุงทํานุบํารุงพระพุทธศาสนา ปกครอง
แผนดินโดยธรรม สรางสรรคป ระโยชนส ุขของประชาชน สงเสรมิ
ความเจริญรุงเรืองของประเทศในทางสันติ พระนามที่เคยเลาลือ
กันวาเปน จัณฑาโศก (อโศกผูโหดราย) ก็เปลี่ยนใหมมาเปน
* คาํ จารกึ บน ๘ แทน่ หิน แผนท่ี ๑ ไมนํามาพมิ พไว เพราะซํา้ กบั คําจารึกบนเสา ในขอ ๑.
๑๙๒ จารึกอโศก
ธรรมาโศก (อโศกผูทรงธรรม) ชาวพุทธไทยแตเดิมมามักเรยี กพระ
องคว า พระเจา ศรีธรรมาโศกราช
พระเจาอโศกมหาราช ไดทรงสรางวิหาร (วัด) ๘๔,๐๐๐
แหง เปน ศนู ยกลางการศกึ ษา ทสี่ ัง่ สอนประชาชน ทรงอปุ ถัมภก าร
สงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ และการสงศาสนทตู ไปเผยแพรพ ระพุทธศาสนา
ในนานาประเทศ เชน พระมหนิ ทเถระไปยังลงั กาทวีป และพระ
โสณะ-พระอุตตระมายงั สวุ รรณภมู ิ เปนตน
พระเจาอโศกมหาราช โปรดใหเขียนสลกั ศิลาจารึก (เรียกวา
“ธรรมลิป” คือ ลายสอื ธรรม หรือธรรมโองการ) ไวในท่ตี า งๆ ทว่ั
มหาอาณาจกั ร เพอ่ื สอ่ื พระราชกรณยี กจิ ตามหลกั ธรรมวชิ ยั เชน การ
จดั บรกิ ารสาธารณะ ไมว า จะเปน บอ นาํ้ ทพี่ กั คนเดนิ ทาง สวนปา
โอสถศาลา สถานพยาบาลเพ่อื คนและเพอ่ื สัตว ยกเลิกประเพณี
เสด็จเท่ียวลาสัตวหาความสําราญ เปล่ียนมาเปนธรรมยาตรา
เสดจ็ ไปนมัสการปูชนียสถาน เยีย่ มเยยี นชาวชนบท ยํ้าการปฏบิ ัติ
ธรรมในสังคม เชน การเชื่อฟงบิดามารดา การเคารพนับถือครู
อาจารย การปฏิบตั ิชอบตอ ทาสกรรมกร เปน ตน ใหเสรภี าพในการ
นับถือศาสนา โดยมีความสามัคคีเอ้ือเฟอกันระหวางชนตางลัทธิ
ศาสนา และเจรญิ พระราชธรรมไมตรกี บั นานาประเทศ (ที่ระบุใน
จารกึ โดยมากเปนอาณาจักรกรกี ถงึ อียิปต และทางใตล งมาถงึ ศรี
ลงั กา สว นทางสวุ รรณภูมิ มศี าสนทูตมา แตไมปรากฏการตดิ ตอ
กันเปนทางการ)
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๙๓
ธรรมลิปที่โปรดใหจ ารกึ ไว ทัง้ บนแผนศิลา และบนเสาศลิ า
เทาทพ่ี บมี ๒๘ ฉบับ แตล ะฉบับมกั จารกึ ไวหลายแหง บางฉบับขุด
คนพบแลวถึง ๑๒ แหง
โดยเฉพาะเสาศิลาจารึกท่ีสารนาถ คือที่ปาอิสิปตน
มฤคทายวนั อนั เปนทแ่ี สดงปฐมเทศนาของพระพุทธเจา ซึ่งจาํ ลอง
ไว ณ ท่นี ี้ ถือกนั วาสงา งาม สําคัญ และเปนที่รูจักกนั มากทส่ี ุด
เม่ืออินเดียเปนเอกราชพนจากการปกครองของอังกฤษใน
พ.ศ.๒๔๙๐ ไดน าํ เอารูปพระธรรมจักร ซ่งึ ทูนอยูบนหวั สิงหย อด
เสาศิลาจารึกของพระเจาอโศกมหาราช ที่สารนาถ มาเปนตรา
สัญลกั ษณทกี่ ลางผืนธงชาติ และใชรปู สิงหทงั้ สท่ี ีท่ ูนพระธรรมจกั ร
น้นั เปนตราแผน ดินสบื มา
สงิ หท้ังสี่ หมายถงึ พระราชอาํ นาจท่แี ผไ ปทั่วทั้งส่ีทิศ
สิงหเทินธรรมจักร ส่ือความวา อํานาจรัฐนั้น ถือธรรมเปน
ใหญ เชดิ ชบู ชู าธรรม และหนนุ การแผข ยายธรรมไปทว่ั ทศิ ทง้ั ส่ี
— •—
ขอ พงึ ศึกษา:
ธรรมวชิ ยั [จกั กวตั ติสูตร/จกั กวัตตสิ ีหนาทสูตร, พระไตรปฎ ก ๑๑/๓๓/๖๒]
ธรรมจกั ร, จกั รรตั นะ[ธมั มจักกปั ปวตั ตนสตู ร, ๔/๑๓/๑๗ และจักกวัตตสิ ูตร]
สงิ ห [ราชสีห, สีหะ, สหี นาท]
สารนาถ Å สารงฺคนาถ [อสิ ิปตน-มคิ ทายวัน]
๑๙๔ จารึกอโศก
๒. คําจารกึ บน ๘ แทน หิน
คกู ลาง แผน ท่ี ๔–๕ (ตัวอยา งขอความจาก “จารกึ อโศก”)
…………………………………………………………………………
ศลิ าจารึก
ของ
พระเจา อโศกมหาราช
จารึกศิลา ฉบบั ท่ี ๑๓
ชัยชนะน้ีแล อันพระผูเปนที่รักแหงทวยเทพ ทรงถือวาย่ิง
ใหญที่สดุ ไดแก ธรรมวิชยั (ชยั ชนะโดยธรรม) และธรรมวชิ ัยนนั้
พระผูเปนที่รักแหงทวยเทพไดทรงกระทาํ สาํ เร็จแลว ทั้ง ณ ที่น้ี
และในดินแดนขา งเคียงท้งั ปวง ไกลออกไป ๖๐๐ โยชน … เปนชัย
ชนะอันมีปติเปนรส พร่ังพรอมดว ยความเอบิ อ่ิมใจ เปน ปต ิที่ไดม า
ดว ยธรรมวิชัย
แตกระนนั้ ปตินี้ยงั นับวา เปน เพยี งสิ่งเล็กนอย พระผเู ปนที่รกั
แหงทวยเทพ ยอ มทรงพจิ ารณาเหน็ วา ประโยชนอันเปนไปเบื้อง
หนา เทาน้ัน เปน สง่ิ มผี ลมาก เพอื่ ประโยชนน้ี จงึ โปรดใหจารกึ ธรรม
โองการนีข้ ้นึ ไว ดว ยมงุ หมายวา ขอใหลูกหลานของขาฯ ไมว า จะ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๙๕
เปน ผใู ดกต็ าม จงอยา ไดค ิดถงึ (การแสวงหา) ชยั ชนะเพม่ิ ข้นึ ใหม
อีกเลย ถาหากวาเขาแสวงหาชัยชนะมาเปนของตนเพิ่มข้ึนใหม
แลว ก็ขอใหเขาพอใจในการใหอภัย และการใชอาชญาแตเพียง
เลก็ นอย และขอใหเขายึดถือวา ชัยชนะอนั แทจ ริงนั้น จะตอ งเปน
ธรรมวชิ ยั เทา นน้ั ดว ยวาธรรมวชิ ัยน้ันเปน ไปได ท้ังในโลกบดั น้ี
และในโลกเบ้อื งหนา
ขอปวงความยินดแี หงสัตวทั้งหลาย จงเปนความยินดีในการ
พากเพยี รปฏิบตั ิธรรม เพราะวาความยนิ ดนี ัน้ ยอมอาํ นวยผลทงั้ ใน
โลกบดั นี้ และในโลกเบ้ืองหนา .
จารกึ ศลิ า ฉบับที่ ๙ และ ๑๑
อนึ่ง มีคําที่กลาวไววา การใหท านเปนความดี กแ็ ตวาทาน
หรือการอนุเคราะหท่ีเสมอดวยธรรมทาน หรือธรรมานุเคราะห
ยอ มไมมี ฉะน้นั จึงควรทีม่ ติ ร เพื่อนรัก ญาติ หรือสหาย จะพึง
กลา วแนะนํากันในโอกาสตางๆ วา นเ้ี ปนกจิ ควรทาํ นีเ้ ปน สิง่ ดีงาม
แท ดวยธรรมทานหรอื ธรรมานุเคราะหน ี้ ยอ มสามารถทําสวรรค
ใหสาํ เร็จได และจะมีอะไรอื่นอีกเลาที่ควรกระทาํ ใหส าํ เรจ็ ย่งิ ไป
กวาการลถุ งึ ซึ่งสวรรค.
๑๙๖ จารึกอโศก
สมเดจ็ พระเจา อยหู ัวปริยทรรศี ผูเปน ทีร่ ักแหงทวยเทพ ตรสั
ไว ดงั น้ี:-
ไมมีทานใดเสมอดวยการใหธรรม (ธรรมทาน) ความสนิท
สนมกันโดยธรรม (ธรรมสันถวะ, ตวั อกั ษรเลือนไป อาจเปน ธรรม
สันถาร? คือการตอนรับดวยธรรม) การแจกจายธรรม (ธรรมสัง
วิภาค) และความสัมพันธกันโดยธรรม (ธรรมสัมพันธ) อาศัย
(ธรรมทาน เปน ตน )นนั้ ยอ มบงั เกิดมีสิ่งตอ ไปน้ี คือ
- การปฏิบัตชิ อบตอคนรบั ใชและคนงาน
- การเชอ่ื ฟง มารดาบดิ า
- การเผื่อแผแบง ปน แกมิตร คนคนุ เคย และญาตทิ ้งั หลาย
- การถวายทานแกส มณพราหมณ
- การไมฆ า สัตวเ พอื่ บูชายัญ
บิดากด็ ี บตุ รกด็ ี พี่นองชายกด็ ี นายกด็ ี มิตรและคนคนุ เคยก็
ดี ตลอดถงึ เพื่อนบาน พึงกลาวคาํ น้ี (แกก นั ) วา “น่ีเปน สง่ิ ดงี ามแท
น่ีเปน กิจควรทาํ ” สําหรบั บคุ คลผปู ฏิบัตเิ ชนนี้ ความสุขอนั เปน ไป
ในโลกนี้ยอ มสําเร็จดว ย และในโลกเบื้องหนา บุญหาทสี่ ดุ มิไดย อม
บงั เกิดมี เพราะอาศยั ธรรมทานนั้นดว ย.
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๙๗
๒. คําจารึกบน ๘ แทน หิน
คูขวา แผนที่ ๖–๗ (พทุ ธพจน/ พระไตรปฎ ก เพื่อสืบที่มาของธรรมในจารึกอโศก)
…………………………………………………………………………
พทุ ธพจนใ นพระไตรปฎ ก
จกั กวตั ตสิ ูตร
ภกิ ษทุ ้งั หลาย … ราชา ผจู ักรพรรดิ ทรงธรรม เปน ธรรมราชา
… ทรงมีชัยชนะโดยธรรม (ธมฺเมน อภวิ ิชิย) มติ อ งใชอ าชญา มิ
ตอ งใชศ สั ตรา จกั ปกครองแผนดนิ น้ี มสี าครเปน ขอบเขต …
(ท.ีปา. ๑๑/๔๘/๘๒)
หลายสตู รในทานวรรคและสนั ถารวรรค
[๓๘๖] ภิกษทุ ้งั หลาย ทาน ๒ อยางนี้ คือ อามสิ ทาน ๑ ธรรม
ทาน ๑ บรรดาทาน ๒ อยางน้ี ธรรมทาน เปนเลิศสงู สดุ …
[๓๙๒] ภิกษุทงั้ หลาย สังวภิ าค (การแจกจา ย) ๒ อยางน้ี คือ
อามิสสังวิภาค ๑ ธรรมสังวภิ าค ๑ บรรดาสังวภิ าค ๒ อยางน้ี
ธรรมสังวิภาค เปนเลศิ สงู สุด …
[๓๙๔] ภิกษุทั้งหลาย การอนุเคราะห ๒ อยางนี้ คือ อามสิ
อนุเคราะห ๑ ธรรมานุเคราะห ๑ บรรดาการอนุเคราะห ๒ อยา งน้ี
ธรรมานเุ คราะห เปน เลศิ สงู สดุ …
๑๙๘ จารึกอโศก
[๓๙๖] ภกิ ษุท้ังหลาย สันถาร (การตอ นรับ) ๒ อยา งนี้ คอื
อามิสสันถาร ๑ ธรรมสนั ถาร ๑ บรรดาสันถาร ๒ อยา งน้ี ธรรม-
สันถาร เปน เลศิ สูงสดุ
(อง.ฺจตุกฺก. ๒๑/๓๘๖–๓๙๖/๑๑๔-๖; และดู ขุ.อติ ิ. ๒๕/๒๘๐/๓๐๘)
สงิ คาลกสูตร
[๑๙๘] ดูกรคฤหบดีบุตร อริยสาวกเปนผูปกแผทิศทั้ง ๖
อยา งไร ทา นพงึ ทราบทศิ ๖ เหลานี้ คอื
- มารดาบดิ า เปน ทศิ เบ้อื งหนา
- อาจารย เปน ทิศเบอื้ งขวา
- บุตรภรรยา เปน ทิศเบอื้ งหลัง
- มติ รสหายและคนใกลช ิดผชู วยกจิ การ เปนทิศเบื้องซา ย
- คนรับใชและคนงาน เปน ทศิ เบือ้ งลา ง
- สมณพราหมณ เปน ทศิ เบื้องบน …
(ที.ปา. ๑๑/๑๙๘/๒๐๒)
สัปปุรสิ สตู ร
[๔๒] สปั ปุรสิ ชน (คนดีท่ีแท) เกิดในพงศเผาเหลา ใด ยอม
ชว ยใหเกิดประโยชนเกอื้ กูลและความสุข แกช นเปน อนั มาก ทง้ั
- แกม ารดาบดิ า
- แกบตุ รภรรยา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๙๙
- แกคนรบั ใชแ ละคนงาน
- แกม ติ รสหายและคนใกลชิดผูชว ยกิจการ
- แกเหลาสมณพราหมณ
[ใน “สัปปรุ สิ สูตร” อกี แหงหนงึ่ (องฺ.อฏก. ๒๓/๑๒๘/๒๔๘) เพมิ่ คนอกี ๓ กลมุ คือ
แกบ รรพชน แดอ งคร าชาหรือราชการ และแดทวยเทพเทวา]
อุชชยสตู ร
[๓๙] การบชู ายัญอันย่ิงใหญ มกี ารสังหารเบยี ดเบยี นมาก
คอื อัศวเมธ (ฆา มา บชู ายัญ) ปรุ สิ เมธ (ฆา คนบชู ายัญ) สมั มาบาส
(มหายัญอันลุลอดบวงบาศ) วาชเปยะ (มหายัญเฉลิมชยั ) และ
นริ คั คฬะ (คือ สรรพเมธ อันฆาครบทกุ อยา งบูชายัญ) มหายัญ
เหลา น้ัน จะมผี ลมากกห็ าไม ในยญั อนั มกี ารฆาแพะ แกะ โค และ
สตั วต างๆ นนั้ ทา นผูดําเนนิ ในทางชอบธรรม ผใู ฝแ สวงคณุ ความดี
ที่ยงิ่ ใหญ หาเขา ไปของแวะไม
(ส.ํส. ๑๕/๓๔๙/๑๐๙)
๒๐๐ จารกึ อโศก
๒. คําจารกึ บน ๘ แทน หนิ
แผน ที่ ๘ (บอกหลกั เขตท่ีวดั เปน ท่ตี งั้ เสาอโศก)
…………………………………………………………………………
เสาศลิ าจารึกอโศก แหง สารนาถ
(จาํ ลอง)
ประดษิ ฐาน ณ ทตี่ ง้ั หลกั เขต
จดุ ตอ ทด่ี นิ ทต่ี งั้ วดั ญาณเวศกวนั ๓ แปลง:
— •—
๑. แปลงท่ีขออนญุ าตสรางวดั (เสาอยูมมุ ต.ตก ฉ.ใต; ทวี่ ดั แปลง
แรก ๑๑ ไร ๒๔ ตร.วา ซ่ึงนายยงยทุ ธ ธนะปรุ ะ และนางชตุ มิ า
ธนะปุระ (สุวรรณกุล) ถวาย เพ่ือดําเนินการสรางวัด ตามใบ
อนญุ าตสรา งวดั ลว. ๓๐ ธ.ค. ๒๕๓๑ และถวายเปน ของวัด ตาม
หนังสือสัญญาใหท ่ดี นิ ซงึ่ ไดท าํ เม่ือ ๒๖ ธ.ค. ๒๕๔๐)
๒. แปลงท่ตี ้ังอโุ บสถ (เสาอยูมุม ต.ออก ฉ.ใต; ที่วัดแปลงที่สอง ๘
ไร ๙๓ ตร.วา ซงึ่ ญาตโิ ยมรวมใจซอ้ื ถวาย เซน็ สญั ญา ๒ ม.ี ค.
๒๕๔๐ มลู คา ๑๙,๗๕๘,๐๐๐.๐๐ บาท)
๓. แปลงลานเสาศิลาจารึกอโศก (เสาอยูมุม ต.ออก ฉ.เหนอื ; ทีว่ ดั
แปลงทห่ี า ๔ ไร ๓ งาน ๑๕ ตร.วา ซ่งึ พีน่ องตระกลู “สุจรติ ” รวมใจ
อุทศิ บรรพบุรษุ บุรพการี ถวายเม่ือ ๒๒ ส.ค. ๒๕๔๗)
ทายเลม: ตนเร่ือง
เรือ่ งบงั เอิญใหญ รอไวก อน
เสาศิลาจารกึ อโศกแหงสารนาถ (จําลอง) ทว่ี ัดญาณเวศก-
วนั น้ี มกี ารเกดิ ขึ้นท่ีเปนความบงั เอญิ สาํ คัญ ๒ ประการ คือ
๑. เสาจารึกนเ้ี อง เกดิ ขึ้นโดยบงั เอิญเปนเรือ่ งบานปลายมา
๒. เสาจารกึ นีเ้ สร็จ บังเอญิ ครบ ๒๐ ป วดั ญาณเวศกวัน
ทีจ่ รงิ แมกระทง่ั เสาจะเสร็จอยแู ลว กย็ งั ไมไ ดนึกถงึ เร่ืองกาล
เวลา แลว กบ็ งั เอิญอีกนัน่ แหละวา ไดมีการพูดกันถงึ วันทาํ บญุ ประ
จําปอ ุทศิ แกคณุ สายใจ หลมิ สุนทร ผูส รางสถานพาํ นกั สงฆส ายใจ
ธรรม(ท่ีเขาดงยาง)วา ปนี้ สถานพํานกั สงฆส ายใจธรรมครบ ๒๐ ป
จึงทําใหนึกไดวา วัดญาณเวศกวันก็เรมิ่ ในปเดียวกบั สายใจธรรม
เพราะฉะนนั้ วดั ญาณเวศกวนั กค็ รบ ๒๐ ปด ว ย
แลว จงึ นกึ ตอ มาถงึ เสาจารกึ อโศกทกี่ าํ ลงั จะเสรจ็ กเ็ ลยกลาย
เปนวามาบรรจบเวลาที่เสาเสร็จประจวบกับวัดญาณเวศกวันมี
อายุครบ ๒๐ ป
เม่ือเร่ืองมาบรรจบกันในเวลาที่ถือไดวาสําคัญอยางนี้ ก็จึง
นึกวา ถงึ เวลาตองทําประวตั ิวัดญาณเวศกวันใหเสร็จเสยี ที
เรื่องความเปนมาของวัดญาณเวศกวันน้ี นึกไวนานนกั แลว
วาจะทําหนงั สือเลาประวตั ไิ ว แตย งั ไมมที างเปนไปได เพราะชอง
๒๐๒ จารกึ อโศก
วา งไมม ี และเหตจุ ําเปน ทบ่ี งั คบั ก็ยังไมเกดิ ขึ้น ถา ทาํ จริง จะตอ ง
คนเอกสาร เฉพาะอยา งย่งิ ยอนดบู ันทกึ กองใหญทเี ดียว
คร้นั มาบัดน้ี เกดิ เหตบุ งั คบั วาเสาจารึกเสร็จ จะตองเลาเรอื่ ง
ทไ่ี ปที่มาไว และเสากม็ าเสรจ็ ในวาระทวี่ ดั มอี ายคุ รบ ๒๐ ป เสาเกดิ
ขน้ึ กเ็ ปน เรอ่ื งท่อี ยใู นประวัติของวัด ถาเลาประวตั ิวดั ก็เทากบั เลา
ประวัตขิ องเสานน้ั ดวย
กะวาจะนําเรื่องประวัติวัดลงไวเปนสวนทายของหนังสือเสา
จารึกอโศก ดังน้นั พอทําเนือ้ เรื่องเสาจารึกอโศกเสร็จ ก็จงึ หนั ไป
เรม่ิ เขียนประวตั วิ ัด
ตอนแรก ทางดานญาติโยมบอกวางานสรา งเสาจะเสรจ็ ทัน
วันวสิ าขบชู า ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ถา อยา งน้ี กย็ งั ไมครบ ๒๐ ป
แท ไดแคเ ปนปที่ ๒๐ ของวัด
แตตอ มา ญาติโยมแจงวา งานสรางไมท นั วันวสิ าขบูชา ตอง
เลื่อนไปเสรจ็ ทันวนั เขาพรรษา คอื ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ พอเล่ือน
อยา งน้ี กลบั กลายเปน พอดีวา ครบเตม็ ๒๐ พรรษา เพราะพระ ๓
รูปแรกมาเขาอยทู วี่ ัดนีใ้ นวนั เขาพรรษา ท่ี ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๓๒
อยา งไรก็ตาม เรื่องไมเ ปนไปดังคาด เหตุติดขดั หลายอยาง
ทาํ ใหการเขยี นไมร าบร่ืน และเร่ืองราวที่จะเขยี นก็มากมาย ตอ งใช
เวลายาวนาน
ในท่สี ดุ เนอื้ เรือ่ งทยี่ ืดยาว กบ็ งั คบั ใหต อ งยกแยกออกไปเปน
หนังสือประวัติวัดเลมหน่ึงตางหาก และตีกลับใหตองหันมาเขียน
ไวในเลมน้ี เฉพาะเรื่องความเปนมาของเสาจารกึ อโศกอยา งเดียว
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒๐๓
เรื่องบังเอญิ ยอย ปลอ ยใหเสร็จ
ความบังเอิญท่ีเสาอโศกจะเกิดข้ึนน้ัน โยงกันกับเรื่องการ
สรา งโบสถ ตามเร่อื งท่เี ปนมาวา วัดญาณเวศกวันมพี ระมาอยูจํา
พรรษา ดงั ทวี่ า ตงั้ แต ๑๘ ก.ค. ๒๕๓๒๑ เวลาผา นมาๆ งานการตา งๆ
กเ็ ดนิ หนา เสรจ็ ไปๆ จนกระทัง่ มปี ระกาศตงั้ เปนวัดตามกฎหมายใน
วันท่ี ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๗ นบั วาวดั มีหลักฐานมนั่ คงแลว
เมอื่ เร่ืองทตี่ องจัดตองทาํ ลลุ วงไปตามลําดับ พอใกลถึง พ.ศ.
๒๕๔๐ พทุ ธบริษัทก็มุงมาคดิ กันในเรื่องทีว่ า นาจะมโี บสถ มีพทั ธ-
สีมา จะไดเ ปนวดั ทสี่ มบูรณอยางบริบรู ณ ใหโ ปรง โลง ไมตองมี
ภาระอะไรคางคาอีกตอ ไป
จาํ ไดว า เรอ่ื งสรา งโบสถน ้ี โยมคณุ หญงิ กระจา งศรี รกั ตะกนษิ ฐ
เปนผูเ ร่ิมแรก ไดต ้ังทุนบริจาคเปนประเดมิ ไว ๑ ลานบาท ในความ
จํานั้นกร็ ะลึกไดว าตั้งไวน านแลว แตเ จาะชัดลงไปไมไ ด คิดเอาวา ก็
คงอยใู นชว งใกล พ.ศ. ๒๕๔๐ น่นั แหละ แตเม่ือจะพูดถึง ก็ควรให
ชดั จึงพยายามสบื คน ไมพบ จนแทบตอ งยอมเลกิ ความพยายาม
แตแลวก็เจอในบันทึกเกา บอกวา โยมคุณหญิงกระจางศรี
รักตะกนิษฐ ถวายทุน ๑ ลานบาทเปด บัญชีสาํ หรบั สรางอโุ บสถ
ตง้ั แตป ๒๕๓๒ ประมาณวนั ท่ี ๒๔ เมษายน เลยกลายเปนวา โยม
ไดต ง้ั ทนุ บริจาคถวายสรางโบสถต ง้ั แตก อ นท่พี ระ ๓ รูปแรกจะเขา
ไปอยูจําพรรษา ณ ท่กี อ สรางวดั ญาณเวศกวันดว ยซ้ําไป คอื เตรียม
๑ พระ ๓ รปู แรกนน้ั ไดแ ก พระเทพเวที (ประยทุ ธ ปยุตฺโต) ซงึ่ ปจ จบุ นั มสี มณศกั ดิ์ที่ พระ
พรหมคุณาภรณ, พระมหาอนิ ศร จนิ ตฺ าปฺโ ซึ่งบดั นค้ี อื พระครูปลัดสุวฒั นพรหมคณุ
และพระฉาย ปฺ าปทีโป คือ พระครสู ังฆรกั ษ ฉาย ในปจ จุบัน
๒๐๔ จารึกอโศก
สรางโบสถตั้งแตกอนวดั เกิด หรือจะวาพรอมกับสรางวดั ก็ได
บนั ทกึ บอกดว ยวา เมอ่ื ทราบแลว กไ็ ดแ ตอ นโุ มทนา พรอ มทง้ั
ไดพูดยาํ้ กับโยมขอใหสรางโบสถเพียงขนาดเล็กๆ เพียงแคพอแก
ประโยชนใชสอย และวานาจะกําหนดต้ังลงไปเลยวาจะสรางโดย
ใชเงินเพยี ง ๑ ลานบาททโ่ี ยมคุณหญิงถวายน้ี ไมรบั บริจาคเพิ่มอกี
ตอนนน้ั หลวงลงุ พระครสู งั ฆรกั ษฉ าย ไดแ สดงความเหน็ วา
จะสรา งเลก็ คงไมไ ด ทา นมปี ระสบการณต อนรบั นมิ นตไ ปจาํ พรรษา
เพอื่ สอนพระปรยิ ัตธิ รรม ทวี่ ดั สระศรเี จริญ (ใน อ.ดอนเจดยี จ.
สุพรรณบุร)ี ไดเห็นโบสถที่นนั่ ไมพอใชก าร ปรากฏวา หลวงลุงวา ไว
ถูกตอง โบสถว ัดญาณเวศกวนั ทีส่ รางไวน ้ี ขนาดใชเ งินหลายลา น
เวลาน้ี ในหลายโอกาสกก็ ลายเปน จะเลก็ เกินไป
เมอ่ื ญาตโิ ยมจะสรางโบสถ ท้ังโยมทัง้ พระก็มองหาจุดเหมาะ
ซงึ่ จะเปน ท่ตี ้ังของโบสถ แตไมมที ่วี า งพอควรบนพืน้ ดิน จึงมุงไปท่ี
กลางสระนาํ้ และคิดหาทางกันวาจะสรา งอยา งไรจึงจะดี แตไมวา
จะสรางอยางไหน นอกจากทําใหวัดคับแคบ ก็เกิดขอไมสะดวก
หลายอยา ง หลายทานจงึ ไมป ลงใจ
ความจรงิ ทวี่ ดั ก็ไมใ ชเ ลก็ นอ ย คุณยงยทุ ธ ธนะปรุ ะ และคุณ
ชุติมา ธนะปรุ ะ (สวุ รรณกลุ ) ขายท่ดี ิน ๒๕ ไร ซึ่งไดถ วาย ทว่ี งั นอย
อยธุ ยา แตพ ระทดลองไปพักอยแู ลวไมเหมาะ จงึ นาํ เงนิ ไดจ ากขาย
ทที่ ่ีน่นั มาซื้อท่ีหลงั พุทธมณฑล ที่ญาติโยมมีมตเิ หน็ ชอบพรอมกัน
น้ี ไดท ด่ี ิน ๑๑ ไร ๒๔ ตร.วา ก็นับวา กวา งขวาง แตท ําไมจึงวาไมพอ
เหตุก็คือ ท่ีวัดแปลงน้ีมีคลองสาธารณะ ช่ือวาคลองใหม
เจรญิ สุข ผา นเขาตน ทางดา นใตตรงมุมทที่ ศิ ตะวนั ตก ไหลผาทแยง
เกือบตลอดที่ตั้งวัด แลนทะลุไปทางตะวันออก (ปจจุบันถือเปน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๒๐๕
เสนแบงเขตระหวางพุทธาวาส กบั สงั ฆาวาส) และมสี ระนาํ้ ขนาด
คอนขางใหญอ ยางทป่ี รากฏเหน็ กนั อยู รวมแลว ท่วี ดั จึงมสี วนทเี่ ปน
นํา้ มาก พ้นื ดนิ เหลือพอสรา งเขตสงฆ กับสวนบํารงุ เลย้ี ง และท่ที ํา
กิจวัตรบําเพ็ญกุศลกลุมยอย ไมพอแกงานท่ีมีการชุมนุมของ
ประชาชนเนอ่ื งดวยสังฆกรรมสาํ คญั หรือในคราวเทศกาล
เปน อันวา พอคิดจะสรา งโบสถก ันข้นึ มา เรอ่ื งทุนรอนไมเปน
ปญหา เพราะโยมเรมิ่ เตรียมทนุ ไวน านแลว และจากทุนประเดมิ ที่
ต้งั เรมิ่ ไว ถึงเวลานั้นก็ไดม ีเขา มาทบเพิม่ ขยายจํานวนมาก ซึ่งทาง
พระกไ็ มไ ดส ังเกต ไมไ ดจ ดจาํ กลายเปนกองทุนใหญ ทนุ ท่ีจะสราง
ไมเ ปน ไร แตท่จี ะสรางกลบั ติดขดั เปน ปญหาวา เอาตรงไหน
เมอื่ คดิ พจิ ารณา พดู จากนั ไป พอขนึ้ ปใ หม พ.ศ. ๒๕๔๐ ได ๑๒
วัน ญาติโยมทั้งหลายก็เห็นชอบตกลงตามคําชักชวนของคุณหมอ
กาญจนา เกษสอาด วาจะซ้อื ทีด่ ินขางวดั ดานตะวนั ตก ๘ ไรเศษ
(ทแ่ี ปลงขา วเจา ของใหช าวบา นเชา ทาํ นา)ถวายวดั เปน ทส่ี รา งโบสถ
ตอ จากนนั้ ญาตโิ ยมกเ็ ดนิ หนา ในเรอื่ งการสรา งโบสถม าตาม
ลาํ ดบั จนกระท่ังนําพระประธานขึ้นประดษิ ฐานในโบสถใ นวนั ท่ี ๗
มกราคม ๒๕๔๒ และปด ทองพระประธานจนเสรจ็ ณ ๑๒ ม.ค.
แลวตอนค่าํ ก็ไดทาํ วัตรสวดมนต-อธบิ ายธรรมในโบสถ เปน คร้งั
แรก เปนเครื่องหมายวาการกอ สรา งอาคารอุโบสถเสร็จแลว
ตอมาก็ไดร ับพระราชทานวสิ งุ คามสมี า ตามประกาศสาํ นกั
นายกรฐั มนตรี ลงวันที่ ๒๐ กนั ยายน ๒๕๔๒ (วดั ไดรบั ประกาศ
นัน้ ๑๗ พ.ย. ๔๒) และครบถว นสมบรู ณเมือ่ มกี ารฝงลกู นิมิตท่เี รม่ิ
งานในวนั ที่ ๖ มกราคม จบลงดวยสังฆกรรมผูกสมี าในวันที่ ๑๔
มกราคม ๒๕๔๔
๒๐๖ จารึกอโศก
บงั เอิญบานปลาย เสากลายเปน หลกั ใหญโต
ถงึ ตอนน้ี อาจมคี ําทว งวา เลาเร่ืองมาจนสรา งโบสถเสร็จ ก็
ยังไมเหน็ วาจะโยงกับเรือ่ งเสาอโศกท่ีตรงไหน
ตรงนี้แหละคือถงึ ตอนทจี่ ะชีว้ า โยงอยา งไร - โบสถเ กิดขน้ึ ได
เริ่มดวยมีทท่ี ีจ่ ะสรางโบสถ และบอกแลววา ญาตโิ ยมตกลงซื้อที่
ดินขางวัดดานตะวนั ตก ๘ ไรเศษ ถวายวัดเปนที่สรางโบสถ
พอมที แี่ ปลงใหมม าตอ ใหท วี่ ดั ขยาย เขตวดั กเ็ ลอื่ นออกไป เสา
หลกั ปก เขตเกาในแถบที่ที่ตอกันน้ันก็หมดความหมาย หลักเขตก็
จะทยอยจมหลดุ แตกหักพลัดหายไป จนในท่สี ดุ กจ็ ะไมรูวา ทีว่ ดั ได
เตบิ โตขยายจากเดิมทีเ่ คยเปนอยางไร
ผเู ลานี้ คํานงึ ถึงสภาพทีว่ า นนั้ จงึ บอกแกพระและโยมขอให
ชว ยหาทางรักษาหลักเขตตรงหัวมมุ ดา นใต ซงึ่ เปนจดุ ตอระหวางที่
แปลงเกากับท่แี ปลงใหมไว (จากหลกั เขตตรงนั้น ตเี สนข้ึนเหนอื ไป
ตามแนวขอบสระน้าํ จนถงึ กําแพงหนา วดั กจ็ ะรูเ ขตท่ีแปลงเกา และ
แปลงใหม) ถา จะใหด ี นา จะทาํ เปนหลักที่ม่นั คงดวยวสั ดุที่ถาวร
เวลาน้ัน ตรงหลักเขตมเี สาปนู เกาต้ังซอ นตอ สงู ข้ึนมา เปน
สวนของรัว้ ท่กี ัน้ เขตของเดิม เมื่อเวลาผานไป เสาปนู น้นั กห็ ักแลวก็
พลดั หายไปจากที่ตงั้ ตอมา คุณสนั ติ ตนั ติวรี สตุ จงึ จัดทาํ หลกั หนิ
แกรนิตอยา งดีมาต้ัง สงู สกั ครึง่ เมตร พรอ มทงั้ จารกึ ขอความบอกไว
(ของจรงิ จัดวางรปู แบบไวดี ในท่ีนี้ รกั ษาไวแ ตถ อ ยคาํ ) ดงั นี้
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๒๐๗
“หลกั เขต (มมุ ตะวนั ออกเฉยี งใต) ท่ีวดั แปลงทส่ี อง – ท่ีต้งั
อุโบสถ ๘ ไร ๙๓ วา ญาติโยมรวมใจซือ้ ถวาย เซน็ สญั ญา ๒ มี.ค.
๒๕๔๐ ชาํ ระงวดสุดทาย ๒ ต.ค. ๒๕๔๑ ๙,๗๕๘,๐๐๐.๐๐ บาท”
หลักหินอันม่ันคงน้ีตั้งมั่นอยูหลายป แตเพราะเปนวัสดุที่มี
นาํ้ หนักอยางยิง่ ตอมาจงึ ทรดุ ตัวคอยๆ เอยี งลงไป ประจวบพอดี
วา ในป ๒๕๔๗ คณุ นยิ ม สุจรติ พรอมดวยนองสาว ๒ คน ซง่ึ มี
คณุ อาทีเ่ คารพนับถอื คอื คุณประมวล สจุ ริต อยใู นถ่ินนี้ ไดพ รอ ม
ใจกันถวายท่ีดินแปลงใหญซ่ึงอยูตอจากแปลงที่สรางโบสถลงไป
ทางใต เสาหนิ หลักเขตน้ันจงึ กลายเปน จดุ ตอของทีด่ ินวดั ๓ แปลง
รวมท้ังแปลงใหมที่คุณนิยมและนองไดถวายน้ีดวย ดังน้ัน ขอ
ความท่ีจารกึ ไวบ นหลกั หินจึงกลายเปน ไมสมบูรณ
ตอนนี้จึงมาคิดกันวาจะทําหลักเขตท่ีจุดน้ันใหม ผูเลาน้ีได
เสนอแนะวา ไหนๆ จะทาํ สง่ิ ทเ่ี ปน หลกั เปน ฐาน กน็ า จะทาํ ใหเ ปน สง่ิ ท่ี
มีความหมาย เปนที่ระลึกทางประวัตศิ าสตรพระพุทธศาสนา หรือ
เปน ส่ือทางการศึกษา เชน จําลองหลักศิลาจารึกมีเศียรสส่ี งิ หท่ี
สารนาถของพระเจาอโศกมหาราช (ไมไดจําเพาะเจาะจง)
ทีแ่ นะไปนน้ั ก็มงุ แคว า จะใหเปน เครือ่ งหมายท่มี คี วามหมาย
เทานั้น มิใชจะใหเปนวตั ถุสถานสาํ คญั อะไร ทีม่ ีความหมายเปน
สวนตัวของมันเอง และผูทีร่ เู รื่องตอนน้ัน กค็ อื ไมกี่คนทผ่ี านและดู
แลทแ่ี ถวนัน้ อยูเ สมอๆ
แลวก็ปรากฏวา คุณหมอกฤษณา โรหติ รัตนะ ซง่ึ มาชวยดู
แลปลกู และบาํ รงุ ตนไมใหว ดั อยูเ ปนประจําตลอดมา รเู หน็ สภาพน้ี
อยา งดี ไดจับเรอื่ งนไ้ี ปดาํ เนินการ
๒๐๘ จารกึ อโศก
คุณหมอกฤษณาไดเอาจริงเอาจังกับเรื่องเสาอโศกอยูนาน
จนเปน รปู เปน รางขน้ึ มา ในทส่ี ดุ กไ็ ดเศยี รส่สี ิงหข นาดยอ มๆ ทจ่ี ะ
เปนหวั เสา แลว กค็ ิดการในเรอ่ื งท่ีจะตั้งตน เสา
ตอนนก้ี ม็ กี ารคดิ พจิ ารณาปรกึ ษาหารอื กนั ในหมญู าตโิ ยม คณุ
ประพัฒน เกษสอาด ไวยาวจั กรของวดั เปนสถาปนกิ รเู ขา ใจอยกู บั
งานประเภทนโ้ี ดยตรง และมหี วั สงิ หอ ยแู ลว จงึ รว มกนั คดิ หาทางจะ
ทาํ ตอ โดยคาดวา จะลงทนุ อกี เพยี งเลก็ นอ ย แตไ ดข องทด่ี จู รงิ จงั มคี ณุ
คา เรอื่ งกข็ ยายและเดนิ หนา โดยคณุ หมอกาญจนา เกษสอาด เปน
แกนขบั เคลอ่ื นและประสานตดิ ตามเรอื่ งตลอดมาจนเสรจ็ สนิ้
ระหวา งนี้ ในทางศลิ ป และสถาปต ยกรรม กไ็ ดอ าจารยป ระชา
แสงสายณั ห มาชว ยช้แี นะ สวนทางพระสงฆ พระชยั ยศ พุทธฺ วิ โร
ไดเปนผูรบั ภาระ และพระอิสรา านิสสฺ โร ก็มารว มดูแล
พรอ มกนั นน้ั คณุ สทิ ธศิ กั ด์ิ ทยานวุ ฒั น นอกจากชว ยประสาน
งานกบั ทางบริษัท รัชดาหินออ น จาํ กัด แลว กไ็ ดด ําเนินการใหแ ผน
หินจารึกเพ่อื การศกึ ษาสาํ เร็จออกมาพรอมท่ีจะผนกึ บนแทน ทัง้ ๘
งานศิลปสําคัญอันเปนหัวใจของการสรา งเสาจารกึ คอื การ
ปน หนุ เศยี รสสี่ ิงห พรอ มท้งั แทน ท่ีสถิต เปน ผลสัมฤทธแ์ิ หง ฝมอื ทาํ
บุญของคุณวัชระ ประยูรคํา แลวออกมาเปนของจริงดวย
สมรรถนะอนั ประณีตของบริษทั รัชดาหินออน จาํ กดั
เรื่องราวในขั้นตอนเหลาน้ี ผูเลาแคดูฟงอยูหางๆ เพียงรับ
ทราบเปนคร้ังคราว และชวยดูชวยระวังใหส่ิงท่ีทําอยูในหลักแหง
พระธรรมวินยั ไมเสยี ธรรม ไมผ ิดวินัย ไมไดเขาไปรใู นรายละเอียด
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒๐๙
ทงั้ นี้ เปนไปตามแนวทางดงั ไดบ อกกนั ไววา ทว่ี ดั น้แี ตต นสบื
มา ดา นวตั ถสุ ถานและการกอสรา ง เปนเรื่องของญาตโิ ยม ทม่ี า
เกื้อหนุนใหพระมีกําลังและสะดวกที่จะปฏิบัติสมณกิจไดเต็มท่ี
โยมอุปถัมภดวยปจจัยสพ่ี รอมดแี ลว พระก็มงุ หนา เลาเรยี นศึกษา
ปริยัติปฏิบัติและเผยแผสั่งสอนธรรมวินัยไดอยางอุทิศตัว ไมตอง
มวั มาเปนดงั สุครีพท่ีเอาเรี่ยวแรงมากมายไปถอนตนรัง
เพราะฉะน้ัน บรรดาวตั ถสุ ถานที่เกดิ มใี นวัดน้ี จงึ เปน ผลแหง
ศรัทธา ความเสียสละ และอิทธบิ าทธรรมของญาตโิ ยมทั้งหลาย
ซ่ึงควรแกการอนุโมทนาเปนอยางสูง และพึงเปนเคร่ืองเจริญปติ
ปราโมทยน าํ มาซึ่งความสุขทแ่ี ทจรงิ และยง่ั ยืนสืบไป
เปนอันวา เรอ่ื งราวทีเ่ ปนรายละเอยี ดของงานสรา งเสาจารึก
อโศก เปนสวนที่พึงทราบไดจากดานญาติโยมผูมาอทุ ศิ เวลาอุทิศ
เร่ยี วแรงกําลงั และความสามคั คีถวายใหแ กวดั และพระศาสนา
ในทน่ี ี้ ขอเลา รวบรดั วา เมื่องานขยายออกไป เศยี รสี่สงิ หหวั
แรกท่ีคณุ หมอกฤษณา โรหิตรตั นะ และคณุ ประพัฒน เกษสอาด ได
เตรียมไวเดมิ กย็ ตุ โิ ดยไปตง้ั อยบู นหวั เสาสงู ประมาณเทาศีรษะคน
บนฝง สระน้ํา ใกลท างขน้ึ ขางหนาหอญาณเวศกธ รรมสมุจย
สวนงานสรางเสาจารึก ตรงจุดที่ต้ังหลกั เขตเดิม แมจ ะขยาย
บานปลายออกไป กย็ งั มีความหมายเปน เครือ่ งแสดงเขตท่ดี นิ ของ
วัด พรอมท้งั มีคาํ จารึกบอกเขตที่ดนิ ดงั กลา ว แตแผอ อกไปครอบ
คลมุ สาระอยา งอื่นเพม่ิ เขามาดว ย ดงั ปรากฏอยู ณ ทีน่ น้ั ในบัดนี้
๒๑๐ จารึกอโศก
สวนหนังสอื เลม นกี้ ็เกิดข้ึน โดยมงุ ใหเสรจ็ พรอ มเขา คกู ับเสา
จารึกน้ัน ตามวตั ถปุ ระสงคทวี่ า เสาทีเ่ สร็จ ควรมคี วามหมายเปน
เครอื่ งสอื่ การศกึ ษา ดงั ไดก ลาวในคาํ ปรารภตนเลม แลว
เสาหรือหลักศิลาจารึกอโศกท่ีเปนเรื่องบานปลายมานี้ ตน
เรื่องท่ีแทไมใชอยูแคท่ีวัดน้ี แตมาจากพระเจาอโศกมหาราชใน
ชมพูทวปี แลว สืบลงไปอีก ก็คอื จากคาํ สอนของพระพทุ ธเจาท่ี
พระเจา อโศกนั้นนับถอื ซึง่ ปรากฏออกมาในศลิ าจารกึ ของพระองค
และคําแปลศิลาจารึกนั้น กม็ าเปน แกนของเร่ืองอยูใ นหนงั สอื นี้
เม่ือจับเอาตรงนี้ จุดเริ่มก็มาอยูที่หนังสือ Ashokan
Inscriptions ของ R. Basak ทท่ี า นอาจารย ศาสตราจารยพิเศษ
จาํ นงค ทองประเสรฐิ ไดหยบิ ยกใหแ ปล และผเู ลา น้ีไดแปลไวเ มอื่
พ.ศ. ๒๕๐๖ แลว มกี ารพมิ พแ จกกนั มาถงึ คราวนเี้ ปน ครง้ั ที่ ๖ จงึ ขอ
อนุโมทนาทานอาจารยจ ํานงค ทองประเสรฐิ ไว ณ ท่นี อ้ี กี ครั้งหน่ึง