หมวด ข
จารึกศลิ า ๑๔ ฉบบั
จารึกศลิ า ๑๔ ฉบับ
จารึกศิลา ฉบับท่ี ๑
ธรรมโองการนี้ สมเด็จพระเจาอยูหัวปริยทรรศี ผูเปนที่รัก
แหง ทวยเทพ ไดโปรดใหจ ารกึ ไว
ณ ถิ่นน้ี บุคคลไมพ งึ ฆา สัตวม ชี ีวิตใดๆ เพือ่ การบชู ายญั ไม
พงึ จัดงานชมุ นมุ เพือ่ การมว่ั สุมร่ืนเรงิ ใดๆ เพราะวา สมเด็จพระเจา
อยหู ัวปรยิ ทรรศี ผเู ปนท่รี กั แหง ทวยเทพ ทรงมองเหน็ โทษเปนอนั
มากในการชมุ นมุ เชนน้นั
ก็แลการชุมนุมบางอยางท่ีสมเด็จพระเจาอยูหัวปริยทรรศี ผู
เปน ทรี่ กั แหง ทวยเทพ ทรงเหน็ ชอบวา เปน สงิ่ ทดี่ ียอ มมอี ยอู กี สว นหนง่ึ
แตก อ นน้ี ในโรงครวั หลวงของพระเจา อยหู ัวปริยทรรศี ผูเ ปน
ทีร่ ักแหงทวยเทพ สตั วไ ดถ ูกฆา เพ่อื ทาํ เปน อาหารวนั ละหลายแสน
ตัว คร้ันมาในบัดน้ี เมื่อธรรมโองการน้ีอันพระองคโปรดใหจารึก
แลว สัตวเ พยี ง ๓ ตวั เทา น้ันที่ถูกฆา คือ นกยงู ๒ ตัว และเน้ือ ๑
ตวั ถงึ แมเนือ้ นน้ั ก็มิไดถูกฆา เปน ประจาํ ก็แลสตั วท ้ังสามน้ี (ใน
กาลภายหนา) ก็จักไมถกู ฆา อกี เลย.
๑๔๔ จารึกอโศก
จารกึ ศิลา ฉบับที่ ๒
ณ ทที่ กุ สถาน ในแวน แควนของพระเจาอยูหวั ปริยทรรศี ผู
เปน ทีร่ กั แหง ทวยเทพ และในดินแดนขางเคียงทงั้ หลาย กลาวคอื
อาณาจักรชาวโจละ ชาวปาณฑยะ กษัตริยสัตยปุตระ เจา ครอง
นครเกรลปตุ ระ ผคู รองดินแดนจดแมน ํา้ ตามรปรรณี กษัตริยโ ยนก
(กรีก) พระนามวาอันติโยคะ (Antiochus) พรอมทงั้ กษตั รยิ ทัง้
หลายอื่น ในแควนใกลเคียงแหง พระเจา อันตโิ ยคะพระองคน น้ั ใน
สถานทท่ี ้ังปวงนัน้ พระเจาอยูหวั ปริยทรรศี ผเู ปนที่รกั แหงทวยเทพ
ไดโ ปรดใหจ ัดบรกิ ารในดา นเวชกรรมไว ๒ ประการ คือ การรกั ษา
โรคของมนษุ ยประการหนง่ึ การรกั ษาโรคของปศุสัตวประการหน่งึ
เคร่ืองสมุนไพรท่ีเปนยาสาํ หรับมนุษย และที่เปนยาสําหรับ
สัตว ไมมี ณ สถานทใ่ี ด กโ็ ปรดใหน าํ เขา มา และใหปลูกข้นึ ไว ณ
สถานทีน่ ้ัน
ในทํานองเดยี วกัน ไมราก และไมผ ล ไมมี ณ สถานท่ีใดๆ ก็
โปรดใหนําเขา มา และใหป ลกู ข้ึนไว ณ สถานท่ีน้นั ๆ
ตามถนนหนทางทงั้ หลาย กโ็ ปรดใหป ลูกตนไม และขุดบอ
นํา้ ขนึ้ ไว เพ่อื ใหส ตั วแ ละมนุษยท ง้ั หลายไดอาศยั ใชบ รโิ ภค.
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๔๕
จารึกศลิ า ฉบบั ท่ี ๓
สมเดจ็ พระเจาอยูหวั ปรยิ ทรรศี ผเู ปน ที่รกั แหง ทวยเทพ ได
ตรัสไว ดงั นี้:-
ขา ฯ เมื่ออภิเษกแลว ได ๑๒ ป ไดสง่ั ประกาศความขอ นไ้ี วว า
ทกุ หนทกุ แหงในแวน แควนของขา ฯ เจา หนาที่ยกุ ตะ เจา หนา ทร่ี ัชชูกะ
และเจาหนาทีป่ ราเทศกิ ะ จงออกเดนิ ทาง (ตรวจตรา) ทุกๆ ๕ ป
เพ่ือประโยชนอันนี้ คือเพ่ือการสั่งสอนธรรมนี้ พรอมไปกับการ
ปฏิบตั หิ นาที่ราชการอยางอนื่ (เจา หนา ท่เี หลา นน้ั พึงส่งั สอน) วา
- การเชอ่ื ฟง มารดาบดิ า เปน ความดี
- การเผ่ือแผแบงปนแกมิตรสหาย ญาติ และแกสมณ-
พราหมณ เปน ความดี
- การไมท รมานผลาญชวี ิต เปน ความดี
- การประหยัด ใชจายแตน อย การไมสะสมส่ิงของเครื่องใช
ใหม าก เปนความดี
อนึ่ง แมสภาคณะมนตรี ก็จะสั่งกํากบั แกเ จา หนาท่ยี ุกตะ ให
คดิ คาํ นวณ (คาใชจา ยทง้ั ปวงของเจาหนาทผ่ี เู ดนิ ทาง) ใหเปนไป
ตามความมุงหมายและตามลายลักษณอักษร (แหงพระราช
กาํ หนดกฎหมาย).
๑๔๖ จารึกอโศก
จารกึ ศิลา ฉบบั ท่ี ๔
กาลยาวนานลวงแลว ตลอดเวลาหลายรอ ยป การฆาสตั ว
เพื่อบชู ายญั การเบยี ดเบยี นสตั วทงั้ หลาย การไมป ฏบิ ัตชิ อบตอ หมู
ญาติ การไมปฏบิ ตั ชิ อบตอ สมณพราหมณท้ังหลาย ไดพ อกพูนขน้ึ
ถายเดยี ว
แตม าบดั นี้ ดว ยการประพฤติปฏบิ ตั จิ ดั ดําเนนิ การทางธรรม
(ธรรมจรณะ) ของพระเจา อยูหัวปริยทรรศี ผเู ปนทร่ี กั แหง ทวยเทพ
เสยี งกลองรบ (เภรโี ฆษ) ไดก ลายเปน เสยี งประกาศธรรม (ธรรมโฆษ)
แลทงั้ การแสดงแกป ระชาชน ซงึ่ วมิ านทรรศน หสั ดทิ รรศน อคั นขี นั ธ
และทิพยรูปอนื่ ๆ กไ็ ดมีขึน้ ดวย
- การไมฆา สตั วเ พือ่ บชู ายัญ
- การไมเบยี ดเบยี นสตั วท ั้งหลาย
- การปฏบิ ตั ชิ อบตอ หมญู าติ
- การปฏิบัติชอบตอ สมณพราหมณท ั้งหลาย
- การเชอ่ื ฟง มารดาบดิ า
- การเชื่อฟงทานผูเฒาผูใหญ
ซ่ึงไมเคยมมี ากอนตลอดเวลาหลายรอยป ไดเจรญิ งอกงาม
ขนึ้ แลว ในบดั นี้ เพราะการสงั่ สอนธรรมของพระเจา อยหู ัวปรยิ ทรรศี
ผเู ปน ทร่ี กั แหง ทวยเทพ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๔๗
ความดีงามน้ี และการปฏิบัติธรรมอยางอ่ืนๆ อีกหลาย
ประการ ไดเ จรญิ งอกงามขน้ึ แลว พระเจาอยูหวั ปรยิ ทรรศี ผูเปน ท่ี
รกั แหง ทวยเทพ จักทาํ ใหการปฏิบตั ิธรรมน้เี จรญิ ยิ่งขึน้ ไปอกี และ
พระราชโอรส พระราชนัดดา พระราชปนัดดาของพระเจาอยูหัว
ปรยิ ทรรศี ผเู ปนทร่ี ักแหง ทวยเทพ กจ็ ักสง เสริมการปฏิบัตธิ รรมน้ี
ใหเจริญยิง่ ขึ้นตอ ไปจนตลอดกลั ป
ทัง้ จกั ส่งั สอนธรรม ดว ยการตง้ั มัน่ อยใู นธรรมและในศลี ดวย
ตนเอง เพราะวาการสง่ั สอนธรรมนแี้ ล เปนการกระทําอนั ประเสริฐ
สุด และการประพฤตธิ รรมยอ มไมมแี กผ ูไรศ ลี
ก็แลความเจริญงอกงาม และความไมเสื่อมถอยในการ
ปฏิบตั ธิ รรมน้ี ยอมเปน สง่ิ ทดี่ ี
เพื่อประโยชนนี้ จึงไดจารึกธรรมโองการน้ีขึ้นไว ขอชนทั้ง
หลายจงชวยกันประกอบกิจ เพื่อความเจริญงอกงามแหง
ประโยชนน ี้ และจงอยาไดม วี นั กลา วถงึ ความเสื่อมเลย
ธรรมโองการนี้ สมเด็จพระเจาอยูหัวปริยทรรศี ผูเปนที่รัก
แหง ทวยเทพ โปรดใหจารึกไวแลว เมื่ออภเิ ษกได ๑๒ พรรษา.
๑๔๘ จารึกอโศก
จารึกศลิ า ฉบับที่ ๕
สมเดจ็ พระเจาอยหู วั ปรยิ ทรรศี ผูเ ปน ที่รักแหงทวยเทพ ตรัส
ไววา
กรรมดีเปนส่งิ ที่กระทําไดยาก บุคคลใดเปน ผกู ระทาํ กรรมดี
เปนคนแรก บุคคลนน้ั ชอ่ื วา กระทํากรรมอันบุคคลกระทําไดยาก
ก็กรรมดีเปนอันมากอนั ขาฯ ไดก ระทาํ แลว ถาวา ลูกหลาน
และทายาทตอจากนนั้ ของขาฯ จักประพฤตติ ามอยางเดียวกับขาฯ
จนตลอดกัลปแลวไซร เขาเหลา น้นั จักไดชอ่ื วา กระทํากรรมอนั ดี
แท สวนผูใดจักปลอยใหยอหยอนบกพรองไปแมเพียงสวนหนึ่ง
(ของหนา ทขี่ องตนหรอื ของบญั ญัตนิ ้)ี ผนู น้ั จกั ชือ่ วากระทาํ กรรมช่ัว
เพราะขนึ้ ชอ่ื วา บาป ยอมเปน สิ่งที่ควรกําจดั ใหส้ินเชงิ
ก็กาลอันยาวนานไดลวงไปแลว ยังไมเคยมีธรรมมหา
อํามาตยเลย แตธรรมมหาอํามาตยเ ชน น้นั ขาฯ ไดแ ตงตั้งแลวเมื่อ
อภเิ ษกได ๑๓ ป ธรรมมหาอํามาตยเหลาน้ัน เปนผมู หี นาทีเ่ กย่ี ว
ขอ งในหมูศ าสนกิ ชนแหงลทั ธศิ าสนาท้งั ปวง ทําหนา ท่เี พ่อื ความตง้ั
มั่นแหงธรรม เพื่อความเจริญงอกงามแหงธรรม กับทั้งเพื่อ
ประโยชนเก้ือกลู และความสุขของเหลาชนผปู ระกอบดวยธรรม
ธรรมมหาอํามาตยเหลาน้ัน ทําหนาท่ีเพ่ือประโยชนเกื้อกูล
และความสขุ ของชาวโยนก (กรกี ) ชาวกัมโพชะ และชาวคนั ธาระ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๔๙
พรอ มท้ังประชาชนเหลา อ่ืนผอู าศัยอยู ณ ชายแดนตะวันตก กับทั้ง
เพื่อประโยชนเก้ือกูลและความสุข แหงลูกจางและนายจาง
พราหมณ คนม่งั มี คนอนาถา และคนเฒา ชรา และเพื่อชว ยปลด
เปล้อื งเหลา ชนผปู ระกอบดวยธรรม มิใหตอ งไดรบั ความเดอื ดรอ น
ธรรมมหาอํามาตยเ หลานั้น มีหนาทขี่ วนขวาย เพ่อื ชว ยหา
ทางใหม กี ารแกไขผอนปรนคําพิพากษาของศาล ชวยใหมีความไม
เดือดรอน และการปลดปลอยพนโทษแกบุคคลที่ถูกจองจํา ใน
กรณีทไ่ี ดค าํ นึงเหน็ เหตผุ ลวา บคุ คลเหลา น้นั เปนผูมบี ตุ รผูกพันอยู
เปน ผูไดทาํ คุณงามความดีมามาก๑ หรอื เปนผูม ีอายมุ าก
ณ ทนี่ ี้ และในเมืองอืน่ ๆ ภายนอก ธรรมมหาอํามาตยไ ดร บั
การแตงต้ังใหทําหนาที่ทั่วทุกหนทุกแหง ท้ังในสํานักฝายในแหง
ภาดาและภคินขี องขา ฯ และมวลญาตอิ น่ื ๆ ทุกหนทกุ แหง ในแวน
แควนของขา ฯ ธรรมมหาอํามาตยเหลาน้นั ไดรบั มอบหมายหนา ท่ี
ใหส อดสองดูในหมชู นผูประกอบดว ยธรรมวา บุคคลผนู ี้เปนผฝู ก ใฝ
ในธรรม หรอื วาบคุ คลนเี้ ปนผูใ สใจในการบริจาคทาน
เพือ่ ประโยชนอันน้ี จงึ โปรดใหจ ารกึ ธรรมโองการนขี้ ึน้ ไว ขอ
จารึกธรรมน้ีจงดาํ รงอยูตลอดกาลนาน และขอประชาชนของขา ฯ
จงประพฤติปฏบิ ัตติ ามดงั น้นั .
๑ คาํ เดิมวา “กตาภิการ” ยงั ไมอาจวินิจฉัยคาํ แปลไดเดด็ ขาด อาจแปลวา ถกู กระทําความ
บีบค้นั กดดนั อยา งหนกั หรอื หมายถึงความเสียจริต เพราะความกดดันทางจิตใจ หรอื
อาจแปลวา ผูเคยทําคณุ งามความดมี ามาก ในที่นี้ เลอื กเอาอยา งหลัง
๑๕๐ จารกึ อโศก
จารึกศิลา ฉบบั ท่ี ๖
สมเด็จพระเจา อยูหวั ปริยทรรศี ผเู ปนท่รี ักแหง ทวยเทพ ตรสั
ไว ดังนี้:-
กาลอันยาวนานลวงไปแลว ตลอดกาลทงั้ ปวงนัน้ ยงั ไมเคย
มีการดาํ เนนิ งานตดิ ตอ ราชการ หรอื การรายงานขอ ราชการ (อยา ง
นาพอใจ) เลย ฉะน้นั ขาฯ จึงไดจ ดั ดําเนินการขึน้ ไว ดงั นี้
ตลอดเวลา ไมวาขา ฯ จะเสวยอยูก็ดี อยใู นสาํ นกั ฝา ยในกด็ ี
อยใู นหอ งใน (หองสวนพระองค) กด็ ี อยใู นคอกสตั วก ด็ ี อยบู นหลัง
มา กด็ ี อยูในอุทยานก็ดี ทกุ หนทกุ แหง เจา หนาที่ผรู ายงานขาว พึง
รายงานใหข า ฯ ทราบกิจการงานของประชาชนในทีท่ กุ แหง
กแ็ มถาขาฯ จักออกคาํ สั่งใดๆ ดว ยวาจา แกเ จา หนาทผี่ สู งั่ จา ย
เงิน หรอื เจาหนาที่ผูออกประกาศคําสงั่ หรอื อกี ประการหน่ึง เมือ่ ขาฯ
ออกคาํ ส่งั ไปยงั มหาอาํ มาตยทงั้ หลายในกรณที ี่มเี รอื่ งรบี ดวน และ
ในกรณนี ั้น เกิดมขี อ โตแยงกนั หรือการถกเถยี งกนั เพื่อยุติขอ ขดั แยง
ดําเนินไปในสภาคณะมนตรี เร่ืองราวความเปนไปนั้น จะตองถูก
รายงานไปใหข า ฯ ทราบทันที ในทท่ี ุกสถาน และในกาลทุกเม่อื
ขา ฯ ไดอ อกคาํ สง่ั ไวด งั นี้ เพราะวา ขา ฯ ยงั ไมม คี วามอมิ่ ใจเลย
ในความแขง็ ขนั ปฏบิ ตั หิ นา ที่ หรอื ในการพจิ ารณาดําเนินกิจการ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๕๑
ประโยชนเก้ือกูลแกชาวโลกท้ังมวลน่ี คือส่ิงที่ขาฯ ถือเปน
หนา ท่อี นั จะตองทาํ อน่งึ เลา ความขยันขนั แขง็ และความฉับไวใน
การปฏบิ ัตริ าชการ ยอ มเปนมูลรากแหงการปฏบิ ัตหิ นาทีเ่ ชน นั้น
แทจ ริง กิจการอนื่ ใดที่ย่งิ ไปกวา ประโยชนเ ก้อื กลู แกชาวโลก
ยอ มไมม ี และกจิ การใดกต็ ามทขี่ าฯ ลงมือทํา นนั่ ก็ยอมเปน เพราะ
เหตุผลท่วี า ขา ฯ จักไดป ลดเปล้อื งหนข้ี องขาฯ ท่ีมตี อสัตวทั้งหลาย
เพอ่ื วา ขาฯ จกั ไดช ว ยทําใหส ตั วบ างเหลา ไดร บั ความสุขในโลก
บดั นี้ และสตั วเ หลาน้ันจักไดส วรรคในโลกเบื้องหนา
เพื่อประโยชนนี้ จึงโปรดใหจารึกธรรมโองการน้ีขึ้นไว ขอ
จารกึ ธรรมนีจ้ งดํารงอยตู ลอดกาลนาน และขอบตุ รและภรรยาของ
ขาฯ จงลงมือทํางานเพอ่ื ประโยชนเ กือ้ กลู แกช าวโลก
ก็งานนี้ หากปราศจากความพยายามอยางยิ่งยวดเสียแลว
ยอมเปนส่ิงยากแทท่ีจะกระทาํ ใหสําเรจ็ ได.
๑๕๒ จารึกอโศก
จารกึ ศิลา ฉบับที่ ๗
สมเด็จพระเจา อยูหวั ปริยทรรศี ผูเปน ทรี่ ักแหง ทวยเทพ ทรง
มีพระทัยปรารถนาทั่วไปในท่ีทุกหนทุกแหงวา ขอศาสนิกชนแหง
ลทั ธิศาสนาทั้งหลายทงั้ ปวงจงอยรู ว มกนั เถิด เพราะวา ศาสนกิ ชน
ทงั้ ปวงน้นั ลวนปรารถนาความสาํ รวมตน และความบรสิ ทุ ธแิ์ หง
ชวี ติ ดว ยกันท้ังสิน้
กระนั้นก็ตาม ธรรมดามนุษยยอมมีความพอใจและความ
ปรารถนาสูงต่ําแตกตางกันไป ศาสนิกชนเหลาน้ัน จึงจักปฏิบัติ
ตามลัทธิความเช่ือถือของตนๆ ไดครบถวนบาง ไดเพียงสวน
เดียวบาง
แตก ระนั้น ถึงแมว าบุคคลผูใ ด (ในลทั ธศิ าสนาเหลา นัน้ ) จะ
มิไดกระทําการบริจาคทานอยางมากมาย (บุคคลผูน้ัน) ก็ยังมี
ความสาํ รวมตน ความทาํ ใจใหบริสทุ ธ์ิ ความกตญั ู และศรัทธา
อันมัน่ คงอยอู ยางแนแท หยอ นบาง ยิ่งบาง (หมายความวา ถึงแม
วาคนบางคนจะไมสามารถบรจิ าคทานไดม าก ถงึ กระน้ัน ทกุ คนก็
มีคุณธรรม เชน การสาํ รวมตนเอง เปน ตน อยโู ดยแนนอน ท่ัวทกุ
นกิ าย แมจ ะยงิ่ หยอ นกวา กันบาง).
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๕๓
จารกึ ศลิ า ฉบบั ที่ ๘
ตลอดกาลยาวนานท่ีลวงไปแลว สมเด็จพระเจาอยูหัวท้ัง
หลายไดเสด็จไปในการวิหารยาตรา (การทองเที่ยวหาความ
สําราญ) ในการวหิ ารยาตรานั้นๆ ไดม กี ารลาสัตว และการแสวงหา
ความสนุกสนานอน่ื ๆ ในทํานองเดียวกนั น้นั
สมเดจ็ พระเจาอยูหัวปริยทรรศี ผเู ปน ท่ีรกั แหงทวยเทพ เม่อื
อภเิ ษกแลว ได ๑๐ พรรษา ไดเ สด็จไปสูสมั โพธิ (พุทธคยา-สถานที่
ตรสั รขู องพระพทุ ธเจา ) จากเหตกุ ารณค รง้ั นน้ั จงึ เกดิ มธี รรมยาตรา
(การทอ งเทีย่ วโดยทางธรรม) น้ีขน้ึ
ในการธรรมยาตราน้ัน ยอมมกี จิ ดังตอ ไปน้ี คอื การเย่ยี ม
เยยี นสมณพราหมณ และการถวายทานแดท า นเหลานนั้ การเยยี่ ม
เยียนทา นผูเฒา ผูสูงอายุ และการพระราชทานเงินทองเพอ่ื (ชวย
เหลอื ) ทา นเหลาน้ัน การเยย่ี มเยียนราษฎรในชนบท การส่ังสอน
ธรรมและซักถามปญหาธรรมแกก นั
ความพึงพอใจอันเกิดจากการกระทาํ เชนน้ัน ยอมมีเปนอัน
มาก นับเปน โชคลาภของสมเดจ็ พระเจา อยหู วั ปริยทรรศี อีกอยา ง
หน่ึงทเี ดียว.
๑๕๔ จารกึ อโศก
จารกึ ศลิ า ฉบับท่ี ๙
สมเดจ็ พระเจาอยหู วั ปริยทรรศี ผเู ปนทรี่ ักแหง ทวยเทพ ตรัส
ไวว า
ประชาชนทง้ั หลาย ยอ มประกอบพิธมี งคลตางๆ เปน อันมาก
ในคราวเจบ็ ปวย ในคราวแตงงานบตุ ร (อาวาหะ) ในคราวแตง งาน
ธิดา (ววิ าหะ) ในคราวคลอดบตุ ร และในคราวออกเดินทางไกล ใน
โอกาสเหลาน้นั และโอกาสอน่ื ๆ ทค่ี ลายกันนี้ ประชาชนทง้ั หลาย
พากันประกอบพิธีมงคลตางๆ มากมาย กใ็ นโอกาสเชนน้นั แม
บานและมารดาทั้งหลาย ยอมประกอบพิธีกรรมมากมายหลาย
อยาง อนั เปนเร่ืองหยมุ หยิมไรส าระ และไมประกอบดวยประโยชน
อยา งไรกต็ าม อันพธิ กี รรมยอมเปน สิง่ ท่ีควรประกอบโดยแท
แตวา พิธมี งคลอยา งนมี้ ีผลนอย
โดยนัยตรงขาม ยงั มีพิธกี รรมท่เี รียกวา “ธรรมมงคล” ซึง่ เปน
พิธกี รรมมผี ลมาก ในพิธีธรรมมงคลนั้น ยอมมีกิจตอไปนี้ คือ
- การปฏิบตั ชิ อบตอ คนรบั ใชแ ละคนงาน
- การแสดงความเคารพนับถือตอ ครูอาจารย
- การสาํ รวมตนตอ สัตวท ัง้ หลาย
- การถวายทานแกสมณพราหมณ
การกระทาํ เหลา น้ี และการกระทาํ อ่นื ๆ ทีค่ ลายกนั เชน นีน้ ่ัน
แล ไดชื่อวาธรรมมงคล
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๕๕
ฉะน้นั บิดาก็ดี บตุ รกด็ ี พ่ีนองชายก็ดี นายหรือสามกี ด็ ี มิตร
และผูคุนเคยกด็ ี ตลอดถงึ เพ่อื นบาน พงึ กลาวถอยคาํ (แกก ัน) ดงั นี้
“ธรรมมงคลนี้ ประเสรฐิ แท พิธีมงคลอยางน้ี เปนส่ิงที่ควรประกอบ
จนกวา จะสาํ เรจ็ ผลทป่ี ระสงค”
ขอ นี้เปนอยางไร (คือวา) พิธีกรรมชนิดอนื่ ๆ นัน้ ยงั เปนส่งิ ท่ี
นาเคลือบแคลงสงสัย (ในผลของมัน) มันอาจใหสําเร็จผลที่
ประสงค หรอื อาจไมสาํ เร็จอยา งนัน้ ก็ได เพราะวา มนั เปน เพยี งสงิ่ ท่ี
เปนไปไดในโลกน้ีเทาน้ัน สวนธรรมมงคลนี้เปน “อกาลิกะ”
(อํานวยผลไมจํากัดกาลเวลา) แมถาวามันไมอาจใหสําเร็จผลท่ี
ประสงคนั้นไดในโลกบัดน้ี มันก็ยอมกอใหเกิดบุญอนั หาที่สดุ มไิ ด
ในโลกเบอื้ งหนา ถาแมน วา มนั ใหสาํ เร็จผลทป่ี ระสงคน ้นั ไดในโลก
นไ้ี ซร ในคราวน้ัน ยอ มเปนอนั ไดผ ลกาํ ไรทัง้ สองประการ กลาวคือ
ผลทป่ี ระสงคใ นโลกบัดนี้ (ยอมสาํ เรจ็ ) ดวย และในโลกเบอื้ งหนา
บญุ อันหาท่ีสดุ มไิ ด ยอมเกดิ ข้นึ เพราะอาศยั ธรรมมงคลนนั้ ดวย
อน่งึ มีคาํ ทก่ี ลาวไววา การใหทานเปนความดี ก็แตวา ทานหรือ
การอนเุ คราะหท ่เี สมอดว ยธรรมทาน หรือธรรมานเุ คราะห ยอ มไมมี
ฉะนั้น จงึ ควรที่มติ ร เพือ่ นรัก ญาติ หรอื สหาย จะพึงกลา ว
แนะนาํ กนั ในโอกาสตางๆ วา “(ธรรมทานหรอื ธรรมานุเคราะห) นี้
เปนกิจควรทํา น้ีเปนส่ิงดีงามแท” ดวยธรรมทานหรือธรรมานุ-
เคราะหนี้ ยอมสามารถทาํ สวรรคใ หสาํ เร็จได และจะมีอะไรอ่นื อกี
เลา ท่ีควรกระทาํ ใหส ําเร็จ ยิ่งไปกวา การลถุ งึ ซ่งึ สวรรค.
๑๕๖ จารึกอโศก
จารกึ ศิลา ฉบบั ที่ ๑๐
สมเดจ็ พระเจาอยปู ริยทรรศี ผเู ปน ทีร่ ักแหง ทวยเทพ ไมท รง
ถือวา ยศ หรอื เกียรติ จะเปน สงิ่ ท่นี ํามาซึง่ ประโยชนอ ันย่ิงใหญไ ด
เวนแตจ ะทรงปรารถนายศหรอื เกียรตเิ พื่อความมงุ หมายดังนว้ี า
“ทัง้ ในบัดนี้ และในเบื้องหนา ขอประชาชนท้ังหลายจงตงั้ ใจ
สดับฟงคําสอนธรรมของขาฯ และจงปฏิบัติตามหลักความ
ประพฤติในทางธรรม”
เพือ่ ประโยชนอนั นเ้ี ทาน้ัน สมเดจ็ พระเจา อยูหัวปรยิ ทรรศี ผู
เปน ทร่ี กั แหง ทวยเทพ จึงจะทรงปรารถนายศหรือเกยี รติ
การกระทาํ ใดๆ กต็ าม ท่ีสมเด็จพระเจาอยูหัวปริยทรรศี ผู
เปนที่รักแหงทวยเทพ ทรงพากเพยี รกระทํา การกระทําน้ันๆ ทัง้
ปวง ยอ มเปนไปเพือ่ ประโยชนส ุขในชวี ิตเบือ้ งหนาโดยแท คอื อยา ง
ไร? คือ เพ่ือวาทกุ ๆ คนจะไดเ ปนผมู ีทกุ ขภัยแตน อ ย อนั ทุกขภ ัย (ที่
กลาว) นัน้ กค็ อื ความชวั่ อันมใิ ชบุญ
ก็ภาวะเชน น้ัน ยอ มเปน สิ่งทก่ี ระทาํ ไดย ากโดยแท ไมว า จะ
โดยคนช้ันต่ําก็ตาม หรือคนช้ันสูงก็ตาม เวนแตจะกระทําดวย
ความพยายามอยางสูงสุด โดยยอมเสียสละส่ิงทั้งปวง แตการเสีย
สละเชน น้ี เปน สงิ่ ยากยิ่งนักท่คี นชัน้ สูงจะกระทําได.
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๕๗
จารกึ ศิลา ฉบับที่ ๑๑
สมเดจ็ พระเจาอยูหวั ปรยิ ทรรศี ผูเปนทีร่ ักแหง ทวยเทพ ตรัส
ไว ดังน:้ี -
ไมม ที านใดเสมอดวยการใหธรรม (ธรรมทาน) การแจกจา ย
ธรรม (ธรรมสงั วิภาค) และความสมั พันธก ันโดยธรรม (ธรรมสมั พนั ธ)
อาศยั ธรรม (ธรรมทาน เปน ตน) น้ี ยอ มบงั เกดิ มสี งิ่ ตอไปนี้ คือ
- การปฏบิ ตั ิชอบตอ คนรับใชและคนงาน
- การเชือ่ ฟง มารดาบิดา
- การเผ่อื แผแ บงปน แกมิตร คนคุนเคย ญาติ และแกส มณ-
พราหมณ
- การไมฆาสตั วเ พ่อื บูชายัญ
บดิ ากด็ ี บุตรก็ดี พ่นี องชายกด็ ี นาย (หรือสามี) ก็ดี มติ รและ
คนคนุ เคยก็ดี ตลอดถงึ เพอื่ นบา น พึงกลา วคําน้ี (แกก นั ) วา “นเี่ ปน
สิง่ ดงี ามแท นี่เปนกิจควรทํา”
บคุ คลผูปฏบิ ัติเชนนี้ ยอมทําความสุขในโลกนใี้ หส าํ เรจ็ ดว ย
และในโลกเบ้ืองหนา ยอมประสพบุญหาที่สุดมิไดเพราะอาศัย
ธรรมทานน้ันดว ย.
๑๕๘ จารึกอโศก
จารึกศลิ า ฉบบั ที่ ๑๒
สมเดจ็ พระเจาอยูหวั ปริยทรรศี ผูเ ปน ท่รี กั แหงทวยเทพ ยอ ม
ทรงยกยองนับถือศาสนิกชนแหงลัทธิศาสนาทั้งปวง ทั้งที่เปน
บรรพชิตและคฤหัสถ ดว ยการพระราชทานส่งิ ของ และการแสดง
ความยกยองนับถอื อยา งอืน่ ๆ แตพระผเู ปนทรี่ ักแหงทวยเทพ ยอ ม
ไมทรงพิจารณาเห็นทานหรือการบูชาอันใด ท่ีจะเทียบไดกับสิ่งนี้
เลย สง่ิ นคี้ อื อะไร? สงิ่ นนั้ ก็คือ การท่ีจะพึงมีความเจริญงอกงาม
แหง สารธรรมในลทั ธศิ าสนาท้ังปวง
ก็ความเจริญงอกงามแหงสารธรรมน้ี มีอยูมากมายหลาย
ประการ แตส ว นท่เี ปน รากฐานแหง ความเจรญิ งอกงามอนั นน้ั ไดแ ก
สงิ่ นค้ี อื การสาํ รวมระวงั วาจา ระวงั อยา งไร? คอื ไมพ งึ มกี ารยกยอ ง
ลทั ธศิ าสนาของตน และการตาํ หนลิ ทั ธศิ าสนาของผอู น่ื ในเมอ่ื มใิ ช
โอกาสอันควร หรือแมเม่ือถึงโอกาสอันสมควรอยางใดอยางหน่ึง
(การยกยองลัทธิศาสนาของตน และการตําหนิลัทธิศาสนาของผู
อน่ื ) น้นั ก็พงึ มแี ตเ พยี งเลก็ นอย เพราะวา ลัทธิศาสนาทัง้ หลายอื่น
กย็ อ มเปน ส่ิงควรแกก ารเคารพบูชาในแงใดแงห นึง่
บุคคลผูกระทํา (การเคารพบูชาลัทธิศาสนาทั้งหลายอ่ืน
ดวย) เชน นี้ ชอ่ื วา เปน ผูส ง เสรมิ ลทั ธศิ าสนาของตนเองใหเ จรญิ ข้ึน
ดวย และทงั้ (ในเวลาเดียวกัน) กเ็ ปน การเออ้ื เฟอแกล ทั ธิศาสนา
อื่นดวย แตเม่ือกระทาํ โดยวิธตี รงขาม ยอมชอ่ื วา เปนการทาํ ลาย
ลัทธิศาสนาของตนเองดวย และทั้งเปน การทํารา ยแกล ทั ธศิ าสนา
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๕๙
ของคนอ่ืนดว ย
อนั บคุ คลผูยกยองลทั ธิศาสนาของตน และกลา วตเิ ตียนลัทธิ
ศาสนาของผูอื่นน้นั ยอมทาํ การทั้งปวงน้นั ลงไปดวยความภักดีตอ
ลัทธศิ าสนาของตนน่ันเอง ขอนั้นอยางไร? คือดวยความตัง้ ใจวา
“เราจะแสดงความดีเดนแหงลัทธิศาสนาของเรา” แตเมื่อเขา
กระทําลงไปดังนั้น ก็กลับเปนการทําอันตรายแกลัทธิศาสนาของ
ตนหนักลงไปอกี
ดว ยเหตฉุ ะนน้ั การสงั สรรคป รองดองกนั นน่ั แลเปน สงิ่ ดงี ามแท
จะทําอยางไร? คือ จะตองรับฟง และยินดรี ับฟง ธรรมของกันและกนั
จริงดังนน้ั พระผูเ ปนที่รักแหง ทวยเทพทรงมคี วามปรารถนา
วา เหลาศาสนิกชนในลัทธิศาสนาท้ังปวง พึงเปนผูมีความรอบรู
และเปน ผยู ดึ มั่นในกรรมดี
ชนเหลาใดกต็ าม ซึง่ มีศรทั ธาเล่ือมใสในลทั ธศิ าสนาตา งๆ กนั
ชนเหลานั้นพึงกลาว (ใหรูกันทั่วไป) วา พระผูเปนท่ีรักแหงทวยเทพ
ไมทรงถือวาทานหรือการบูชาอันใดจะทัดเทียมกับส่ิงน้ีเลย สิ่งนี้คือ
อะไร? ส่ิงน้ีไดแกการท่ีจะพึงมีความเจริญงอกงามแหงสารธรรมใน
ลทั ธศิ าสนาทงั้ ปวง และ(ความเจรญิ งอกงามน)ี้ พงึ มเี ปน อนั มากดว ย
เพื่อประโยชนอันน้ี จงึ ไดทรงแตงตั้งไวซ งึ่ ธรรมมหาอํามาตย
สตรีอัธยักษมหาอํามาตย (มหาอํามาตยผูดูแลสตรี) เจาหนาท่ี
วรชภูมิก (ผูดูแลทอ งถิ่นเกษตรกรรม) พรอ มท้ังเจาหนา ที่หมวด
อน่ื ๆ และการกระทาํ เชน น้ี ก็จะบงั เกดิ ผลใหม ีทั้งความเจรญิ งอก
งามแหง ลัทธศิ าสนาของตนๆ และความรงุ เรืองแหงธรรมดว ย.
๑๖๐ จารึกอโศก
จารกึ ศิลา ฉบับที่ ๑๓
สมเด็จพระเจาอยหู วั ปรยิ ทรรศี ผูเ ปนทรี่ กั แหงทวยเทพ เมอ่ื
อภเิ ษกแลวได ๘ พรรษา ทรงมชี ัยปราบแควน กลงิ คะลงได จาก
แควน กลิงคะนน้ั ประชาชนจํานวนหนง่ึ แสนหาหมืน่ คนไดถ กู จบั ไป
เปนเชลย จาํ นวนประมาณหน่ึงแสนคนถูกฆา และอีกหลายเทา
ของจาํ นวนนน้ั ไดล มตายไป
นับแตกาลน้ันมาจนบัดนี้ อันเปนเวลาท่ีแควนกลิงคะไดถูก
ยึดครองแลว การทรงประพฤตปิ ฏิบัตธิ รรม ความมีพระทัยใฝธ รรม
และการทรงอบรมส่งั สอนธรรม ก็ไดเ กิดมีข้นึ แลว แกพระผเู ปน ทร่ี กั
แหง ทวยเทพ
การท่ไี ดท รงปราบปรามแควน กลิงคะลงน้นั ทําใหพ ระผเู ปน
ทรี่ กั แหงทวยเทพ ทรงมีความสํานกึ สลดพระทยั เพราะวา ในขณะ
ทกี่ ารปราบปรามแวน แควนอนั เปนเอกราช กําลังเปนไปอยู กย็ อ ม
มกี ารฆาฟนกนั การลม ตาย และการจับประชาชนไปเปนเชลยเกิด
ขึ้น ณ ทีน่ น้ั ส่งิ เหลา นี้ พระผูเปนทีร่ กั แหง ทวยเทพ ทรงสาํ นกึ วา
เปนสิ่งทพ่ี งึ เวทนาเปน อยางยิ่ง และเปนกรรมอนั หนัก
ก็แตขอท่ีสมเด็จพระเจาอยูหัวทรงถอื วาเปน กรรมอนั รา ยแรง
ยงิ่ กวาน้นั อีก กค็ ือ ทุกหนทกุ แหง (ในแควน กลงิ คะนนั้ ) ยอมเปนที่
อยูอาศัยของพราหมณ สมณะ ศาสนิกชนผูนับถือลทั ธิศาสนาอนื่ ๆ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๖๑
หรือเหลาคฤหัสถชนท้ังหลาย ซ่ึงมีการประพฤติปฏิบัติคุณธรรม
เหลาน้ี คอื การเช่ือฟงทานผใู หญ การเช่อื ฟงมารดาบดิ า การเชื่อ
ฟง ครูอาจารย การปฏบิ ัตติ นดวยดตี อ มิตร คนคนุ เคย สหาย และ
ญาติ ตอทาส และคนรบั ใช และความซื่อสตั ยม่ันคงตอหนา ที่ ณ ที่
นั้น ประชาชนเหลาน้ีตองไดรับบาดเจ็บบาง ถูกประหัตประหาร
บา ง บคุ คลผูเปน ที่รกั ตองพลัดพรากไปเสียบาง
อน่ึง บรรดาประชาชนผูส รางชวี ติ เปนหลักฐานไดม ่ันคงแลว
ยังมีความรกั ใครก นั มิจืดจางเส่อื มคลาย มิตร คนรจู ักมกั คุน สหาย
และญาตขิ องเขา ก็ตองพากันมาถงึ ความพินาศลง แมอ นั น้ีก็ตอ งนบั
วา เปนการกระทาํ รายตอประชาชนเหลาน้นั อยา งหน่ึงเหมือนกัน
การประสบเคราะหกรรมของมวลมนษุ ยทั้งนี้ พระผเู ปน ทรี่ กั
แหงทวยเทพทรงสาํ นึกวา เปนกรรมอนั หนกั
เวนแวนแควนของชาวโยนกเสยี ยอ มไมมถี ิน่ ฐานแหงใดทไ่ี ม
มีกลุมชนประเภทพราหมณและสมณะเหลาน้ีอาศัยอยู และยอม
ไมมีถ่ินฐานแหงใดท่ีในหมูมนุษยทั้งหลาย ไมมีความเลื่อมใสนับ
ถือในลัทธิศาสนาอันใดอนั หนึง่
ดว ยเหตุฉะนนั้ ในคราวยดึ ครองแควน กลิงคะนี้ จะมปี ระชา
ชนท่ถี กู ฆาลม ตายลง และถูกจับเปน เชลยเปน จาํ นวนเทาใดก็ตาม
แมเพียงหนง่ึ ในรอยสวน หรอื หนึ่งในพนั สว น (ของจาํ นวนทีก่ ลา ว
นนั้ ) พระผเู ปน ท่รี กั แหง ทวยเทพยอมทรงสํานึกวา เปนกรรมอนั รา ย
๑๖๒ จารกึ อโศก
แรงย่ิง และแมหากจะพึงมีบุคคลผูใดผูหนึ่งกระทําผิด (ตอพระ
องค) บุคคลผนู ้ันกพ็ งึ ไดรบั ความอดทน หรืออภยั โทษ จากพระผู
เปนท่ีรักแหงทวยเทพ เทาที่พระองคจะทรงสามารถอดทน (หรือ
อภยั ให) ได
สําหรับประชาชนชาวปาดง ที่มีอยูในแวนแควนของพระผู
เปนท่ีรักแหงทวยเทพ พระราชอาํ นาจของพระผูเปนที่รักแหงทวย
เทพ พึงเปน เครอ่ื งนาํ มาซ่ึงความอบอนุ ใจ พึงเปน เครื่องนําใหเ ขา
ทั้งหลายมีความดําริ (ในทางที่เหมาะสม) และชักนําใหเขาทั้ง
หลายมคี วามรสู ึกสํานึกสลดใจ (ในการกระทาํ กรรมชั่ว) พึงแจงให
พวกเขาทราบดังนี้ “ทานทั้งหลายพึงมีความละอาย (ตอการ
กระทําความช่ัว) ถาทานไมตองการที่จะประสบความพินาศ”
เพราะวา พระผเู ปน ทีร่ กั แหงทวยเทพ ทรงปรารถนาใหส รรพสตั วมี
ความปลอดภยั มกี ารบังคับใจตนเองได (สํยมะ) มีความประพฤติ
สมควร (สมจริยา) และมีความสุภาพออ นโยน (มทั ทวะ บางฉบบั
เปน รภสิเย มีความสขุ ความรา เริง)
สําหรับพระผูเปนที่รักแหงทวยเทพ ชัยชนะท่ีทรงถือวาย่ิง
ใหญที่สุด ไดแ ก “ธรรมวชิ ัย” (ชัยชนะโดยธรรม) และธรรมวิชยั น้ัน
พระผูเปนทีร่ ักแหงทวยเทพไดทรงกระทาํ สาํ เรจ็ แลวทง้ั ณ ทีน่ ้ี (ใน
พระราชอาณาเขตของพระองคเอง) และในดินแดนขางเคียงท้ัง
ปวง ไกลออกไป ๖๐๐ โยชน ในดนิ แดนอนั เปน ทปี่ ระทบั แหง กษตั รยิ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๖๓
โยนก(Ionian หรอื Greek)๑พระนามวา อนั ตโิ ยคะ(Antiochus) และ
ดินแดนตอจากพระเจาอันติโยคะน้ันไป (คือในทางตะวันตกเฉียง
เหนือ) อนั เปนทีป่ ระทบั แหง กษตั รยิ ๔ พระองค พระนามวา พระ
เจาตุรมายะ (หรือตุลมย-Ptolemy) พระเจาอันเตกินะ
(Antigonos) พระเจามคะ (Magas) และพระเจาอลิกสุนทระ
(Alexander)และถัดลงไป (ในทางทิศใต) ถึงแวนแควน ของชาวโจละ
(Cholas) แวนแควนของชาวปาณฑยะ (Pandyas) ตลอดถึง
ประชาชนชาว (แมน า้ํ ) ตามรปรรณี (Tamraparni) และในแวน
แควน ภายในพระราชอาํ นาจของพระองค กเ็ ชน เดยี วกัน คอื แวน
แควน ของชาวโยนก (Ionians หรือ Greeks) และชนชาวกมั โพชะ
(Kambojas) ชนชาวนาภปนติแหง นาภคะ ชนชาวโภชะ และชน
ชาวปต ินกิ ชนชาวอนั ธระ (Andhra) และชนชาวปลุ ินทะ
ทุกหนทุกแหง (ประชาชนเหลานี้) พากันประพฤติปฏิบัติ
ตามคําสอนธรรมของพระผเู ปน ท่รี ักแหง ทวยเทพ
แมในถน่ิ ฐานที่ราชทตู ของพระผูเ ปนที่รกั แหงทวยเทพมไิ ดไป
ถึง ประชาชนทงั้ หลาย เมอื่ ไดทราบถงึ ธรรมวัตร ธรรมวธิ าน และ
ธรรมานุศาสนของพระผูเปนที่รักแหงทวยเทพแลว ก็พากัน
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามธรรมและจกั ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามธรรมนนั้ ตอ ไป
๑ พระเจาอันติโยคะ (Antiochus) และกษัตริยอ กี ๔ พระองค ทร่ี ะบุในจารกึ นี้ คอื
กษัตรยิ ก รีก ซงึ่ ครองดนิ แดนท่ีพระเจา อเลกซานเดอรมหาราช (Alexander the Great)
ไดพ ิชิตไวร ะหวา ง 336-330 BC (ราว พ.ศ.๑๔๘–๑๕๔) ครอบคลุมจากกรซี ลงสอู ียปิ ต
มาถงึ อหิ รา น จดแดนของพระเจา อโศกมหาราชเอง (ดู หนา ๑๗)
๑๖๔ จารกึ อโศก
ดวยเหตเุ พยี งนี้ ชยั ชนะน้เี ปนอันไดก ระทาํ สาํ เรจ็ แลว ในท่ีทกุ
สถาน เปน ชัยชนะอันมีปติเปน รส พร่ังพรอมดว ยความเอบิ อ่มิ ใจ
เปน ปต ิท่ีไดม าดว ยธรรมวิชยั
แตก ระนั้นก็ตาม ปตินย้ี งั จดั วา เปนเพยี งสิ่งเล็กนอย พระผู
เปนทร่ี กั แหงทวยเทพ ยอ มทรงพิจารณาเห็นวา ประโยชนอ ันเปน
ไปในโลกเบ้ืองหนาเทา น้นั เปนสิ่งมีผลมาก
เพื่อประโยชนอันน้ี จึงโปรดใหจารึกธรรมโองการนี้ข้ึนไว
ดว ยมุง หมายวา ขอใหลูกหลานของขาฯ ไมวาจะเปน ผูใดก็ตาม จง
อยา ไดค ิดถึง (การแสวงหา) ชัยชนะเพม่ิ ขน้ึ ใหมอีกเลย ถา หากวา
เขาแสวงหาชัยชนะมาเปนของตนเพ่ิมขึ้นใหมแลว ก็ขอใหเขาพอ
ใจในการใหอภัย และการใชอาชญาแตเพียงเลก็ นอย และขอให
เขายดึ ถอื วา ชัยชนะอนั แทจริงนั้น จะตอ งเปน “ธรรมวชิ ัย” เทา นนั้
ดวยวาธรรมวิชัยนนั้ เปน ไปได ท้งั ในโลกบัดน้ี และโลกเบื้องหนา
ขอปวงความยินดีแหงสัตวทั้งหลาย จงเปนความยินดีใน
ความพากเพยี รปฏิบตั ิธรรม เพราะวา ความยนิ ดนี น้ั ยอมอํานวย
ผลท้ังในโลกบดั นี้ และในโลกเบ้ืองหนา .
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๖๕
จารกึ ศลิ า ฉบับท่ี ๑๔
ธรรมโองการนี้ พระเจาอยูหัวปรยิ ทรรศี ผเู ปนท่รี ักแหง ทวย
เทพ ไดโปรดใหจารึกขึ้นไว ใหมีขนาดยนยอพอไดความบาง มี
ขนาดปานกลางบาง มขี อ ความละเอียดพิสดารบาง เพราะเหตวุ า
ทุกสิ่งจะเหมาะสมเหมือนกันไปในที่ทุกหนทุกแหงก็หาไม แวน
แควนของขาฯ นี้กวา งใหญไ พศาล สงิ่ ที่จารึกไปแลวก็มเี ปน อันมาก
และขา ฯ กจ็ กั ใหจ ารึกเพ่มิ ขนึ้ เรอ่ื ยไป
อนึ่ง ในจารึกนี้ มีขอความบางอยางที่กลาวซํา้ ซาก ทั้งน้ี
เน่ืองจากมีอรรถะอันไพเราะ อันจะเปนเหตุชวยใหประชาชน
ประพฤตปิ ฏิบตั ิตาม
ในจารึกท้ังนี้ อาจมคี วามบางอยางทเ่ี ขยี นข้นึ ไวไมครบถวน
สมบูรณ (แตท้ังนี้ก็ไดกระทาํ ไป) โดยพิจารณาถึงถ่ินที่จารึกบาง
พจิ ารณาถึงเหตตุ า งๆ ที่จะทาํ ใหล บเลือนไปบา ง หรืออาจเกดิ จาก
ความผิดพลาดของผเู ขยี นจารกึ บาง.
หมวด ค
จารึกหลักศิลา ๗ ฉบบั
จารึกหลักศิลา ๗ ฉบับ
จารกึ หลักศิลา ฉบับท่ี ๑
สมเด็จพระเจา อยูห วั ปรยิ ทรรศี ผเู ปน ทีร่ ักแหงทวยเทพ ได
ตรัสไว ดังน้ี:-
ธรรมโองการนี้ ขา ฯ ไดใ หจ ารกึ ขน้ึ ไว เม่ืออภเิ ษกแลว ได ๒๖
พรรษา ประโยชนใ นโลกน้ีและโลกหนา ยอมเปนสงิ่ ที่จะพึงปฏิบัติ
ใหส ําเรจ็ ไดโดยยาก หากปราศจาก
- ความเปนผูใครธ รรมอยา งยง่ิ ยวด (อคั ค-ธมั มกามตา)
- การใชปญญาไตรต รองอยางยงิ่ ยวด๑ (อัคค-ปรกิ ขา)
- การต้ังใจฟง คาํ ส่งั สอนอยางยงิ่ ยวด (อัคค-สุสสูสา)
- ความเกรงกลัว (ตอ บาป) อยา งยิง่ ยวด (อคั ค-ภยะ)
- ความอุตสาหะอยา งย่ิงยวด (อัคค-อุสสาหะ)๒
บัดน้ี ดวยอาศัยคาํ สง่ั สอนของขาฯ ความมงุ หวงั ทางธรรม
๑ บางฉบับวา การพิจารณาตรวจสอบตนเองอยา งยิง่ ยวด
๒ คาํ ศพั ทใ นวงเลบ็ ทั้งหมดนี้ พงึ ทราบวา ไมใ ชร ูปเดิมในศลิ าจารกึ แตเ ปน การถอดรูปออก
มา และเขียนเทียบเปนคําบาลี เพ่ือใหไ ดประโยชนใ นการศกึ ษามากขึ้น (เชน ขอ ๒ ท่ี
ถอดเปน “อัคค-ปริกขา” น้นั คาํ ในจารกึ เปน “อคาย ปลขี ายา”) แตท นี่ ีม่ ใิ ชโ อกาสทีจ่ ะ
อธบิ ายมากกวานี้
๑๗๐ จารึกอโศก
และความฝกใฝใครธ รรม ไดเจริญงอกงามข้ึนแลว ทกุ ๆ วนั และจัก
เจริญงอกงามยิ่งข้ึนเรือ่ ยไป
แมบรรดาขาราชการท้ังหลายของขาฯ ไมวาจะเปนผูมี
ตําแหนง สูง มตี ําแหนง ปานกลาง ตา งพากนั ประพฤติตาม และ
ปฏิบตั ิใหเ กดิ ผลสําเร็จโดยเหมาะสม เพอื่ เปน การชักจงู บุคคลทย่ี งั
ไมม ัน่ คง (ใหม าประพฤติปฏิบัติกศุ ลกรรม) ตามท่ีตนสามารถ๑
อน่ึง มหาอํามาตยแหงเขตชายแดนทั้งหลาย (ไดแก
เทศาภบิ าล หวั เมืองชายแดน) ก็ไดป ฏิบตั เิ ชน เดยี วกันน้ี
ตอไปน้ี คอื ระบบวิธีในการปฏบิ ตั ิราชการ กลาวคอื
- การปกครองโดยธรรม
- การวางระเบยี บขอ บังคบั (หรอื บัญญตั กิ ฎหมาย) ใหเปน
ไปโดยธรรม
- การอํานวยความผาสกุ แกประชาชนโดยธรรม
- การชว ยปกปองคมุ ครองโดยธรรม
๑ วรรคน้ีอาจแปลอกี นัยหนง่ึ วา และขาราชการเหลา นีก้ เ็ ปนผสู ามารถทจี่ ะแนะนําชกั จงู ให
บุคคลอน่ื ๆ มายอมรบั นับถือคาํ สั่งสอนของขาฯ ไปปฏิบตั ิตามดว ย
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๗๑
จารึกหลักศลิ า ฉบับที่ ๒
สมเด็จพระเจาอยูหัวปรยิ ทรรศี ผเู ปน ท่ีรกั แหงทวยเทพ ไดต รสั
ไว ดังนี้ :-
“ธรรม” เปนสง่ิ ดงี าม ก็สิ่งใดเลาชือ่ วา ธรรม ธรรมน้นั ไดแ กส่งิ
ตอไปน้ี คอื
- การมีความเสียหายนอ ย (อัปปาทีนวะ?)๑
- การมคี วามดีมาก (พหกุ ัลยาณะ)
- ความเมตตากรุณา (ทยา)
- การเผือ่ แผแบง ปน (ทาน)
- ความสตั ย (สจั จะ)
- ความสะอาด (โสไจย)
ขาฯ ไดม อบใหแลว ซึ่งดวงตาปญญา (จักษุทาน) ดวยวธิ กี าร
ตางๆ มากมายหลายวิธี ขาฯ ไดกระทําการอนุเคราะหแลวดวย
ประการตา งๆ แกเหลา สัตวทวิบาท สัตวจตบุ าท ปกษณิ ชาติ และ
สัตวน า้ํ ท้งั หลาย ตลอดถึงการใหชีวิตทาน แมก รรมอนั ดงี ามอืน่ ๆ อกี
หลายประการ ขา ฯ ก็ไดประกอบแลว
เพอื่ ประโยชนน ้ี ขาฯ จึงไดใหจารกึ ธรรมโองการน้ีข้ึนไว ขอชน
ท้ังหลายจงไดประพฤติปฏิบัติตามคําสอนนี้ และขอจารึกธรรมนี้จง
ดาํ รงอยตู ลอดกาลนาน
อนง่ึ บคุ คลใดตง้ั ใจประพฤตปิ ฏบิ ัติตามคําสอนนี้ บคุ คลนน้ั
จักไดช่อื วา กระทาํ กรรมอันดงี ามแล.
๑ คาํ ท่ีถอดออกมาจากศิลาจารกึ วา “อปาสนิ เว” และไดแ ปลกนั ไปตางๆ สดุ แตจ ะโยงไปสู
คาํ ศพั ทใ ด เชน บางทานคิดวาคงเปน อัปปาสวะ ก็แปลวามีอาสวะ/กิเลสนอย ในท่ี
นี้ เมื่อเทียบกับ “พหุกัลยาณะ” เห็นวานาจะเปน “อปั ปาทนี วะ” จงึ แปลอยางนี้
๑๗๒ จารกึ อโศก
จารึกหลกั ศิลา ฉบับที่ ๓
สมเด็จพระเจาอยหู วั ปริยทรรศี ผูเปน ท่ีรกั แหงทวยเทพ ได
ตรสั ไว ดังนี้
บุคคลยอมมองเห็นเฉพาะแตกรรมดีของตนอยางเดียววา
“กรรมดีอันนี้เราไดกระทําแลว” แตเขาไมแลเห็นกรรมชั่วของตน
เองวา “กรรมชว่ั นี้เราไดกระทาํ แลว” หรือเห็นวา “กรรมอันนไ้ี ดช อื่
วา เปน กรรมชั่ว” กก็ ารทีจ่ ะพจิ ารณาเหน็ ดังน้ี ยอ มเปน สิ่งยากแทที่
จะกระทาํ ได
กระนั้นก็ตาม บคุ คลพงึ พจิ ารณาเหน็ ในเร่ืองนี้วา “สิง่ ตางๆ
ดังตอไปน้ี ยอมชักนาํ ไปสูการกระทําบาป กลา วคือ ความดุดัน ๑
ความโหดราย ๑ ความโกรธ ๑ ความถือตัว ๑ ความริษยา ๑ ขอ
ขา พเจา จงอยา ไดถ กู ตเิ ตียน (หรือถงึ ความพนิ าศ) เพราะความช่วั
เหลาน้ีเปนเหตเุ ลย”
บุคคลจะตองพิจารณาโดยรอบคอบวา “สิ่งน้ีเปนไปเพื่อ
ประโยชนแกเราในโลกบัดน้ี สิง่ นี้เปนไปเพอื่ ประโยชนส ขุ แกเราใน
โลกเบอ้ื งหนา”.
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๗๓
จารึกหลกั ศิลา ฉบบั ท่ี ๔
สมเดจ็ พระเจาอยหู วั ปริยทรรศี ผเู ปน ทีร่ ักแหงทวยเทพ ได
ตรสั ไว ดงั น้ี
ธรรมโองการนี้ ขา ฯ ไดใ หจ ารกึ ข้นึ ไว เมื่ออภิเษกแลวได ๒๖
พรรษา
ขาฯ ไดแตง ตัง้ (เจา หนาท่ีช้ันสงู ในตําแหนง) รัชชกู ะ ข้นึ ไว
ใหมีหนาท่ีดูแลรับผิดชอบในหมูประชาชนจํานวนหลายแสนคน
ขาฯ ไดม อบอํานาจสิทธ์ขิ าดในการพจิ ารณา ตงั้ ขอ กลาวหา หรอื
ในการลงโทษ (ผูกระทาํ ความผดิ ) ใหแกเ จา หนาทร่ี ชั ชกู ะเหลา นั้น
ขอน้ีเพราะเหตุวา เจาหนาที่รัชชูกะท้ังหลาย เม่ือมีความมั่นใจ
และปราศจากความหวาดกลัว กจ็ ะพึงบรหิ ารหนาท่ีการงานใหเปน
ไป พึงปฏิบัติกิจเพ่ือประโยชนเก้ือกูลและความสุขของประชาชน
ในชนบท และกระทาํ การอนุเคราะหแ กประชาชนเหลา นั้น
ขา ราชการเหลา นี้ จักหย่ังทราบถงึ ส่งิ ท่ีจะทาํ ใหเ กดิ ความสขุ
และความทุกขแกประชาชนดวย เม่ือตนเองเปนผูประกอบดวย
ธรรมแลว กจ็ กั ชวยช้แี จงสัง่ สอนแกประชาชนชาวชนบทดวย ทง้ั น้ี
เพอื่ ใหประชาชนเหลานนั้ สามารถประสบประโยชนส ขุ ท้ังในโลกนี้
และโลกหนา
๑๗๔ จารกึ อโศก
เจาหนาที่รัชชูกะทั้งหลาย ยอมขวนขวายท่ีจะปฏิบัตหิ นาที่
สนองตามคําสั่งของขาฯ ถึงแมขาราชการทั้งหลาย (โดยท่ัวไป)
ของขา ฯ ก็จักปฏบิ ัติหนา ท่สี นองตามความประสงคของขาฯ เชน
กัน และขาราชการเหลานั้นจะชวยช้ีแจงแกประชาชนไดบางบาง
สวน อันจะเปนเหตุชวยใหเจาหนา ทีร่ ัชชกู ะสามารถปฏบิ ัตกิ ารให
สําเร็จตามความประสงคข องขา ฯ ได
เปรียบเหมือนวา บุคคล เมือ่ ไดมอบหมายบุตรของตนใหแก
พเี่ ลีย้ งผูสามารถชว ยดแู ลแลว ยอ มมีความรสู ึกมน่ั ใจวา “พเ่ี ลย้ี งผู
ชํานาญจักสามารถคุมครองดูแลบุตรของเราไดด ว ยดี” ฉันใด เจา
หนาที่รชั ชูกะของขาฯ กฉ็ ันนั้นเหมือนกัน ยอ มไดรับการแตงตั้งไว
เพื่อประโยชนเก้อื กลู และความสขุ แหง ประชาชนชาวชนบท ดว ยมุง
หมายวา เจาหนาที่เหลานั้น เม่ือเปนผูไมมีความหวาดกลัว มี
ความม่นั ใจ และไมอดึ อดั ใจ ก็จะพึงบริหารหนาทก่ี ารงานใหเ ปน
ไปได ดวยเหตผุ ลเชนนี้ ขาฯ จึงมอบอํานาจสิทธ์ิขาดในการจบั กุม
หรือในการลงโทษ ใหแกเ จา หนา ท่รี ัชชูกะทง้ั หลาย
อน่ึง ส่ิงตอไปนี้เปนขอท่ีพึงปรารถนา คือ ควรจะมีความ
สมํ่าเสมอเปนแบบแผนเดียวกัน ในการพิจารณาไตสวนอรรถคดี
ในศาล และความสมา่ํ เสมอเปน แบบเดียวกนั ในการตดั สนิ ลงโทษ
อีกประการหนึง่ ในเร่ืองน้ี ขาฯ ยงั ไดม ีโองการไวตอ ไปอีกวา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๗๕
สําหรับคนที่ถูกจองจําคุมขังอยู และเมื่อไดรับการพิจารณาโทษ
แลวถกู ตดั สนิ ประหารชีวติ ขาฯ อนญุ าตสิทธพิ ิเศษใหเปนเวลา ๓
วัน ระหวางระยะเวลานี้ บรรดาญาตขิ องผตู องโทษ จกั ไดข อรอ งให
(เจาหนาที่รัชชูกะ) บางทานพิจารณาไตสวน (เปนการทวน
ยอนหลัง) เพ่อื ชวยชีวติ นกั โทษเหลา นน้ั (คอื ทาํ การย่ืนฎกี าขอพระ
ราชทานอภัยโทษประหาร) ถาแมไมมีผูมายื่นคําขอใหพิจารณา
สอบสวนคดใี หมอกี นกั โทษเหลา นน้ั กจ็ ะ (ไดร ับโอกาสให) ทําการ
บรจิ าคทาน หรือรกั ษาอโุ บสถ อันจะเปน ไปเพ่อื ประโยชนสขุ ใน
โลกหนา
ทัง้ น้ี เพราะขา ฯ มีความปรารถนาอยูอยางนีว้ า แมใ นยามที่
ถกู จองจําคมุ ขงั อยู นักโทษเหลา นนั้ ก็จะไดสามารถบําเพญ็ ตนเพอ่ื
ประสบประโยชนสขุ ในโลกเบื้องหนา ดวย และในหมปู ระชาชนกจ็ ะ
มีการประพฤติปฏิบัติคุณธรรมตางๆ ความสํารวมใจ และการ
จําแนกแจกทาน เจริญเพมิ่ พนู ขึ้นดวย.
๑๗๖ จารกึ อโศก
จารกึ หลกั ศลิ า ฉบบั ท่ี ๕
สมเดจ็ พระเจาอยหู ัวปริยทรรศี ผูเปนท่ีรักแหงทวยเทพ ได
ตรสั ไว ดังนี:้ -
ขาฯ เมอื่ อภิเษกแลวได ๒๖ พรรษา ไดอ อกประกาศ ใหส ตั ว
ทัง้ หลายตอไปน้ี เปน สัตวปลอดภยั จากการถูกฆา กลา วคอื นก
แกว นกสาลกิ า นกจากพราก หงส นกนา้ํ นนั ทิมขุ ๑ นกน้าํ คราฏะ
คางคาว มดแดงมะมวง เตา เล็ก ปลาไมมกี ระดูก ตวั เวทาเวยกะ
ตัวคงั คาปฏุ กะ๒ ปลากระเบน เตา และกบ๓ กระรอก๔ กวางเร็ว ววั
ตอน สัตวท อ่ี าศัยหากินในเรอื น แรด นกพิราบขาว๕ นกพริ าบบาน
และบรรดาสัตวสีเ่ ทา ทั้งปวงที่มใิ ชสตั วสําหรับปฏโิ ภค (ใชหนงั ใช
กระดูก ฯลฯ) และมิใชสัตวสาํ หรับบริโภค
แมแ พะ แมแ กะ และแมหมู ทก่ี าํ ลงั มีทองกด็ ี กาํ ลังใหน มอยู
ก็ดี ยอมเปน สตั วท ่ไี มพงึ ฆา และแมลูกออนของสัตวเ หลา น้นั ทอี่ ายุ
ยงั ไมถงึ ๖ เดอื น ก็ไมพึงถกู ฆา เชน กนั ไมพึงกระทาํ การตอนไก ไม
พึงเผาแกลบที่มีสัตวมีชีวิตอาศัยอยู ไมพึงเผาปาเพ่ือการอันหา
ประโยชนมไิ ด หรือเพ่อื การทาํ ลายสตั ว ไมพึงเลยี้ งชีวิตดว ยชีวิต
๑ ปราชญบ างทา นวา นกเปด หงษ
๒ บางทานวา นกกระเรียน
๓ บางทา นวา เมน
๔ บางทานวา กระตายที่อยูตามคาคบไม
๕ บางทานวา นกเขาขาว
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๗๗
ไมพึงฆาและขายปลา ในวันเพ็ญท่ีครบจาตุรมาส๑ท้ัง ๓
และในวนั เพ็ญแหงเดอื นติษยะ๒ คราวละ ๓ วนั คอื ในวันข้นึ ๑๔
ค่ํา ข้นึ ๑๕ ค่าํ แรม ๑ คํา่ และทุกวันอุโบสถ เปน การเสมอไป
อนึ่ง ในวันดงั กลาวมาน้ี ไมพงึ ฆา แมเหลาสตั วช นดิ อน่ื ๆ ใน
ปา ชา งและในเขตสงวนปลาของชาวประมง
ในดิถีที่ ๘ แหงปกษ (ข้นึ หรอื แรม ๘ คาํ่ ) กด็ ี ในดถิ ีที่ ๑๔
และ ๑๕ ก็ดี ในวันติษยะ และวันปุนพั สุ๓ ก็ดี ในวนั เพญ็ ครบจาตรุ -
มาสทง้ั ๓ กด็ ี และในวนั มงคลทงั้ ปวง ไมพึงทาํ การตอนววั แมถ งึ
แกะ แพะ หมู และเหลา สัตวอ น่ื ๆ ที่เคยตอนกันอยู ก็ไมพ ึงทาํ การ
ตอน (ในวนั เชน นนั้ )
ไมพึงทําการประทับตรามาและโค ในวันติษยะ และวัน
ปุนัพสุ ในวันเพญ็ ครบจาตรุ มาส และตลอดทุกวันในปกษแหงวัน
เพ็ญครบจาตุรมาสน้ัน
ตราบถงึ บัดน้ี เม่ืออภเิ ษกแลว ได ๒๖ พรรษา ขาฯ ไดส ่ังใหมี
การพระราชทานอภยั โทษแลว รวม ๒๕ ครัง้ .
๑ วนั เพญ็ ท่คี รบจาตรุ มาส เรียกวา “จาตุรมาส”ี คือ วันเพ็ญทค่ี รบรอบ ๔ เดือน ไดแ ก
เพญ็ เดือน ๘ เพญ็ เดือน ๑๒ และเพ็ญเดือน ๔ ซงึ่ เปนวาระเปลี่ยนฤดู; ในพระไตรปฎ ก
ตามปกตใิ ชในรปู “จาตมุ าสินี” (คัมภรี ช ั้นหลงั บางทใี ช “จาตมุ าสี”) และมาดวยกนั กบั
“โกมทุ ”ี ในวลี “โกมุทยิ า จาตุมาสนิ ิยา” คอื ในวันเพ็ญเดอื น ๑๒ ทคี่ รบ ๔ เดอื นแหง ฤดู
ฝน ยามทีด่ อกโกมทุ คอื บวั แดง บานไสว อนั รกู นั วาเปน วาระท่ี ทองฟาแจมใส จันทร
เพญ็ กระจาง ราตรสี ดชน่ื นารืน่ รมย
๒ เดือนตษิ ยะ คอื เดอื นยี่ หรือเดือนสอง
๓ ปุนัพสุ เปน ชอ่ื ดาวฤกษท ี่ ๗ (ดาวสาํ เภาทอง หรอื ดาวตาเรอื ชยั ) จนั ทรเ พญ็ เสวยฤกษนี้
ในระหวา งเดอื นมาคสิร (เดือนอา ย) ตน เดอื นผุสส หรือ ปษุ ย (เดอื นย่ี)
๑๗๘ จารกึ อโศก
จารึกหลกั ศิลา ฉบบั ท่ี ๖
สมเด็จพระเจา อยหู ัวปริยทรรศี ผเู ปนทร่ี ักแหง ทวยเทพ ได
ตรัสไว ดงั น้ี :-
ขา ฯ เมือ่ อภิเษกแลวได ๑๒ พรรษา จงึ ไดเ ร่ิมจารึกธรรม
โองการข้ึนไว เพ่ือประโยชนเกื้อกูลและความสุขแกประชาชนท้ัง
หลาย ประชาชนเหลานัน้ เมือ่ ไมฝ าฝนธรรมโองการน้ัน ก็จะพงึ
ประสบความเจริญงอกงามแหง คุณธรรม
ขาฯ ยอมพิจารณาสอดสองอยูวา ประโยชนเก้ือกูลและ
ความสุขของประชาชนทง้ั หลาย จะมีไดด วยวธิ กี ารอยางน้ๆี ขาฯ
ปฏิบตั เิ ชนนี้ตอ หมญู าตทิ ั้งหลาย ฉันใด ขา ฯ กป็ ฏิบตั ิตอหมูชนผู
ใกลชดิ และหมูชนทีอ่ ยหู างไกล ฉนั นัน้ เมือ่ เห็นวา ขาฯ จะนาํ
ความสุขมาใหแกชนเหลาไหนไดอยางไร ขาฯ ก็จะจัดดาํ เนินให
เปนไปอยางนั้น
ขาฯ สอดสอ งดแู ลกลมุ ชนทุกพวกทกุ หมูสมาํ่ เสมอเชน เดียว
กันหมดดงั นี้
แมถึงลัทธิศาสนาทั้งหลายทั้งปวง ขาฯ ก็ไดกระทําการ
เคารพนบั ถอื ทวั่ กันหมด ดวยวธิ กี ารเคารพบูชาตางๆ แบบ ตา งๆ
ชนิด แตขอทีข่ า ฯ ถอื วา เปน สิง่ สาํ คัญที่สุด ก็คือ การไดเขา ไปพบ
ปะถงึ กัน
ธรรมโองการนี้ ขา ฯ ไดใหจ ารึกขึ้นไว เมอื่ อภเิ ษกแลวได ๒๖
พรรษา.
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๗๙
จารึกหลักศิลา ฉบบั ที่ ๗
(พบที่หลัก Delhi-Topla แหงเดยี ว)
๑. สมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวปรยิ ทรรศี ผูเ้ ปน็ ทรี่ กั แหง่ ทวยเทพ ไดต้ รสั
ไว้ ดังน้ี:-
ตลอดกาลยาวนานลว งมาแลว ไดมพี ระราชาหลายองคท รง
ปรารถนาวา “ทาํ ไฉนประชาชนทั้งหลายจะพึงเจริญกาวหนาดวย
ความเจริญทางธรรม” แตประชาชนก็หาไดเจริญกาวหนาข้ึนดวย
ความเจรญิ ทางธรรมตามสมควรไม
๒. ในเร่ืองนี้ สมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ปริยทรรศี ผเู้ ป็นที่รักแหง่ ทวย
เทพ ไดต้ รสั ไว้ ดงั น้ี:-
ขา ฯ ไดเ กิดมีความคดิ ข้นึ วา ตลอดกาลยาวนานลว งมาแลว
ไดมีพระราชาหลายพระองคทรงปรารถนาวา “ทาํ ไฉนประชาชนทัง้
หลายจะพงึ เจริญกา วหนา ดวยความเจรญิ ทางธรรม” แตป ระชาชน
ก็หาไดเจริญกาวหนา ข้นึ ดว ยความเจรญิ ทางธรรมตามสมควรไม
ก็แลดวยอุบายวิธีอันใดหนอ ประชาชนท้ังหลายจะพึง
ประพฤติปฏิบตั ิตาม ดวยอบุ ายวธิ อี นั ใดหนอ ประชาชนทงั้ หลาย
จะพึงเจริญกาวหนาดวยความเจริญทางธรรมตามสมควร ดวย
อุบายวิธีอันใดหนอ ขาฯ จะพึงยกระดับประชาชนข้ึนดวยความ
เจริญทางธรรมไดบ า ง
๑๘๐ จารกึ อโศก
๓. ในเร่ืองน้ี สมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวปริยทรรศี ผู้เปน็ ท่รี ักแหง่ ทวย
เทพ ไดต้ รสั ไว้ ดงั น:ี้ -
ขา ฯ ไดเ กิดมคี วามคิดขน้ึ วา “ขาฯ จักจดั ใหม ีการประกาศ
ธรรม ขาฯ จักจัดใหม กี ารอบรมสงั่ สอนธรรม ประชาชนทั้งหลาย
คร้ันไดสดับธรรมนี้แลว ก็จักพากันประพฤติปฏิบัติตาม จักยก
ระดับตนเองสูงขึ้น และจักมีความเจริญกาวหนาข้ึนดวยความ
เจรญิ ทางธรรมอยา งม่ันคง”
เพ่อื ประโยชนน ี้ ขา ฯ จงึ จดั ใหม ีการประกาศธรรม และสั่งให
มีการอบรมส่ังสอนธรรมขึ้นเปนหลายแบบหลายอยาง เพ่ือใหขา
ราชการท้งั หลาย ท่ีขา ฯ ไดแตง ตั้งไวด แู ลประชาชนจาํ นวนมาก จกั
ไดชวยกันแนะนําส่ังสอนบาง ชวยอธิบายขยายความใหแจมแจง
ออกไปบา ง
แมเ จา หนา ทร่ี ชั ชกู ะ ขา ฯ กไ็ ดแ ตง ตงั้ ไวด แู ลชวี ติ หลายแสนชวี ติ
เจา หนา ทรี่ ชั ชกู ะเหลา นนั้ กไ็ ดร บั คาํ สงั่ จากขา ฯ วา “ทา นทงั้ หลายจง
อบรมสงั่ สอนประชาชน ใหเ ปนผปู ระกอบดว ยธรรมอยา งนๆี้ ”
๔. สมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวปรยิ ทรรศี ผเู้ ป็นทีร่ ักแห่งทวยเทพ ได้ตรัส
ไวว้ ่า
เมื่อไดพิจารณาใครครวญในเรื่องนี้ โดยถองแทแลวนั่นแล
ขา ฯ จึงใหป ระดิษฐานหลกั ศลิ าจารกึ ธรรมข้นึ ไว แตงต้งั ธรรมมหา
อํามาตยข น้ึ ไว และจัดใหมกี ารประกาศธรรม
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๘๑
๕. สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ปรยิ ทรรศี ผเู้ ป็นทร่ี กั แหง่ ทวยเทพ ได้ตรสั
ไว้ ดงั น:้ี -
แมต ามถนนหนทาง ขา ฯ กไ็ ดใหปลูกตน ไทรขน้ึ ไว เพ่ือจกั ได
เปนรมเงาใหแกสัตวแ ละมนุษยท ้ังหลาย ใหปลกู สวนมะมว ง ใหขดุ
บอ น้ําไวท กุ ระยะก่งึ โกรศะ๑ ใหส รา งที่พักคนเดนิ ทางข้นึ ไว๒ และให
สรางอางเก็บน้ําจํานวนมากมายขึ้นไวในที่ตางๆ เพ่ือการใชสอย
แหง สัตวและมนุษยทัง้ หลาย
แตการใชป ระโยชนเชน นี้ ยงั จดั วาเปน ส่งิ เลก็ นอย พระราชา
ท้ังหลายในกาลกอนกด็ ี ตัวขาฯ กด็ ี ตางกไ็ ดบาํ รุงประชาชนทงั้
หลายใหมีความสุขดวยวธิ กี ารบํารงุ สขุ ประการตางๆ แตท ข่ี าฯ ได
กระทําการเชนน้ี กด็ วยความมงุ หมายขอนี้ คือ เพ่ือใหป ระชาชนท้งั
หลายประพฤตปิ ฏิบตั ติ ามธรรม
๖. สมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นท่รี ักแห่งทวยเทพ ได้ตรสั
ไว้ ดงั นี้:-
แมธ รรมมหาอํามาตยท ้ังหลาย ขาฯ ก็ไดม อบหมาย ใหทาํ
หนา ท่ีเกีย่ วกับกิจการตา งๆ มากหลายประการ อนั จะเปน ไปเพ่อื
๑ ผรู อู า นจากศลิ าจารกึ วา “อฒ-โกสกิ ยฺ าน”ิ และถอดรปู วา คาํ แรกคอื อฑฒฺ แปลวา กงึ่ , ครง่ึ สว น
คาํ หลงั วา เปน โกส จงึ แปลวา ครง่ึ โกสะ; เทยี บตามมาตราฝา ยบาลี โกสะ=๑ กม. ครง่ึ โกสะ=
ครงึ่ กม. นบั วา ใกลม าก; ทางฝา ยสนั สกฤต โกสÆโกรฺ ศ บา งวา =๔,๐๐๐ หสตฺ (คืบ) =๑ กม.
บา งวา =๘,๐๐๐ หสฺต =๒ กม. ครึง่ โกสะ จงึ =ครึ่งกม. หรือ ๑ กม. ตามลาํ ดับ
บางทานใหล องเทียบวา “อฒ” อาจจะเปน อฏฐฺ คือ ๘ จึงเปน ๘ โกส/โกรฺ ศ ถาอยาง
นี้ กจ็ ะเปน ๘ หรอื ๑๖ กม. ตามลําดบั ผศู กึ ษาพงึ พจิ ารณา ในทีน่ ้ี ยงั ไมพ ดู มากกวา นี้
๒ บางฉบับแปลวา แผงลอย หรอื รานตลาด
๑๘๒ จารกึ อโศก
การอนเุ คราะห ทั้งแกบ รรพชติ และคฤหัสถท ้งั หลาย และธรรมมหา
อํามาตยเหลาน้นั ไดรับมอบหมาย ใหมีหนาทเี่ กย่ี วของกับหมชู นผู
นบั ถือลทั ธศิ าสนาทง้ั ปวง
แลเพ่ือประโยชนแกค ณะสงฆ ขาฯ กไ็ ดมีคาํ สง่ั วา ใหม ีเจา
หนาท่ีธรรมมหาอํามาตย ที่มีหนาท่ี (เก่ียวกับผลประโยชนของ
คณะสงฆ) แมส ําหรบั พวกพราหมณแ ละอาชีวกิ ะทง้ั หลาย กเ็ ชน
กัน ขาฯ ก็ไดม ีคาํ สง่ั วา ใหมีเจา หนา ท่ธี รรมมหาอํามาตย ซึ่งจกั มี
หนา ท่ีรับผิดชอบ (เกีย่ วกบั ผลประโยชนข องพราหมณและอาชวี ิกะ
เหลานน้ั ) สําหรับในหมูน คิ รนถท ั้งหลาย ก็เชน กนั ขา ฯ กไ็ ดมีคําสง่ั
ไวว า ใหม ีเจาหนา ท่ีธรรมมหาอํามาตย ซงึ่ จกั มหี นา ท่ีรับผดิ ชอบ
(เพ่ือผลประโยชนข องนิครนถเหลา น้นั )
แมส ําหรบั ในหมูชนผูนบั ถอื ลทั ธศิ าสนาตางๆ ขาฯ ก็ไดม ีคํา
สั่งไววา ใหม ีเจาหนาที่ธรรมมหาอํามาตยเหลานน้ั ซง่ึ จกั มหี นา ที่
รับผิดชอบ (เพือ่ ผลประโยชนข องลทั ธิศาสนาเหลานนั้ ดว ย)
เจาหนา ทีม่ หาอํามาตยตําแหนง ตางๆ ยอ มมหี นารับผดิ ชอบ
รักษาหนาที่อันเฉพาะของตนๆ เทาน้ัน สวนพวกธรรมมหา
อํามาตยนี้ ขาฯ มอบหมายใหม ีหนาทีร่ บั ผดิ ชอบท้งั กิจการเหลาน้ี
ดว ย และมหี นาทเี่ กีย่ วกบั ลัทธศิ าสนาทงั้ หลายอนื่ ท้งั หมดดวย
๗. สมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวปริยทรรศี ผูเ้ ปน็ ที่รกั แหง่ ทวยเทพ ได้
ตรัสไว้ ดังน้ี:-
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๘๓
เจา หนาที่ช้ันผใู หญเหลานี้ และพวกอนื่ ๆ อกี จํานวนมาก ได
รับมอบหมายใหมีหนาท่ีทําการจําแนกแจกทาน ท้ังในนามของ
ขาฯ เอง และในนามแหงพระราชเทวีทัง้ หลาย ทั่วทุกสํานกั ฝา ยใน
ของขาฯ เจาหนา ทช่ี ้ันผใู หญเ หลา นี้ สามารถจัดดาํ เนนิ การในกจิ
ตา งๆ ที่มุงหมาย จนเปนทน่ี าพอใจได ดว ยวิธีการมากมายหลาย
ประการ ทัง้ ใน (พระนครหลวง) นี้ และในสว นตา งๆ (ของประเทศ)
อน่งึ ในสวนแหงโอรสของขาฯ และเจา ชายอน่ื ๆ ซ่งึ ประสตู ิ
แตพระราชเทวีทัง้ หลาย ขา ฯ กไ็ ดส ่งั ใหกระทําการ (จําแนกแจก
ทาน) เชนนี้ โอรสของขาฯ เหลาน้ี จักเปน ผฝู ก ใฝในการจําแนก
แจกทาน อันจะเปนการชว ยสง เสรมิ หลักการในทางธรรม และการ
ประพฤตปิ ฏิบัติตามธรรม
หลักการในทางธรรม และการประพฤติปฏิบัติตามธรรม
เหลา น้ี กลาวคือ
- ความเมตตากรุณา (ทยา)
- การเผ่อื แผแ บง ปน (ทาน)
- ความสตั ย (สจั จะ)
- ความสะอาด (โสไจย)
- ความสุภาพออ นโยน (มัททวะ)
- ความเปนสาธชุ น (สาธวะ)
จะพึงเจริญเพมิ่ พนู ข้ึนในหมปู ระชาชน
๑๘๔ จารกึ อโศก
๘. สมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวปรยิ ทรรศี ผเู้ ปน็ ท่รี กั แหง่ ทวยเทพ ไดต้ รัส
ไว้ ดงั นี้:-
กรรมดีใดๆ กต็ ามทข่ี าฯ ไดกระทาํ แลว ประชาชนทั้งหลายก็
ไดพากันประพฤติปฏิบัติกรรมดีนั้นๆ ตามอยางแลว และยังคง
ดําเนนิ ตามกรรมดนี ั้นๆ อยตู อ ไป ดว ยการกระทําเชน นั้น ประชา
ชนท้ังหลายกไ็ ดมคี วามเจรญิ งอกงามขน้ึ แลว และยังจักเจรญิ งอก
งามยงิ่ ๆ ขน้ึ ไปอกี ดว ยการเชอ่ื ฟง มารดาบดิ า การเชอื่ ฟง ครทู งั้ หลาย
การปฏบิ ตั ชิ อบตอ ทา นผเู ฒา ชรา การปฏบิ ตั ชิ อบตอ พราหมณแ ละ
สมณะ ตอคนยากจนและคนตกทุกข ตลอดถงึ คนรับใชและคนงาน
ทั้งหลาย
๙. สมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ปริยทรรศี ผู้เป็นท่ีรักแห่งทวยเทพ ได้
ตรัสไว้ ดงั นี้:-
ในหมูมนุษยท้ังหลาย ความเจริญงอกงามแหงธรรม ยอม
เกิดมีขึ้นไดดวยวิธีการสองประการ คือ ดวยการบัญญัติกฎขอ
บังคับในทางธรรมประการหนึ่ง และดวยการนําธรรมไปเพงพินิจ
ประการหนึง่
บรรดาวิธีการท้ังสองนั้น การบัญญัติกฎขอบังคับในทาง
ธรรม เปนส่งิ ไมส าํ คญั การนําไปเพง พินจิ น่ันแล เปนสิง่ สาํ คญั ยิง่
กระนั้นก็ตาม ขาฯ ก็ไดกระทาํ การบัญญัติกฎขอบังคับใน
ทางธรรมขึ้นไวแลว เชนวา ดังนี้ “สตั วจําพวกนี้ๆ เปน สัตวท ีห่ า ม
มิใหฆ า ”
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๘๕
กแ็ ลกฎขอ บงั คบั ในทางธรรมอ่นื ๆ ที่ขา ฯ ไดบ ญั ญัติไวแ ลว
ยังมีเปนอันมาก แตห ากดว ยอาศัยการนําไปเพง พินจิ น่ันแล ความ
เจริญงอกงามแหงธรรมจึงไดเพิ่มพูนขึ้นแลวอยางมากมายในหมู
มนษุ ยท ัง้ หลาย ยงั ผลใหบงั เกิดการไมเบียดเบยี นเหลา สตั ว และ
การไมฆ า สตั วเพอื่ บชู ายญั
เพื่อประโยชนน ี้ ขา ฯ จงึ ไดกระทาํ การจารกึ อยางนี้ข้ึน เพื่อ
วาลูกหลานทั้งหลายของขาฯ จักพึงเชอ่ื ฟงความท่จี ารึกนัน้ และ
จารกึ นัน้ จักไดดาํ รงอยตู ลอดไป ตราบเทาทเ่ี ดอื นและตะวนั ยังสอ ง
แสง อกี ทัง้ ประชาชนทงั้ หลายกจ็ ะพึงประพฤติปฏบิ ตั เิ ชน น้นั ดวย
ก็แลบุคคลผูประพฤติปฏิบัติตามอยูเชนนั้น ยอมเปนผู
ประสบประโยชนสุข ทั้งในโลกนแ้ี ละโลกหนา
ธรรมโองการน้ีขาฯ ไดใหจารึกไว เมื่ออภิเษกแลวได ๒๗
พรรษา
๑๐. สมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ปริยทรรศี ผเู้ ป็นท่รี ักแหง่ ทวยเทพ ได้
ตรัสไว้ ดงั น:ี้ -
หลักศิลา หรือแผน ศลิ า มีอยู ณ สถานทใ่ี ด ธรรมโองการน้ี
จะตองถกู นาํ ไปจารึกไว ณ สถานทีน่ น้ั เพื่อใหดํารงอยชู ่วั กาลนาน.
บทเฉพาะที่
เสาศิลาจารึกอโศกท่ีสารนาถ
(จําลอง)
ณ วัดญาณเวศกวัน
ลําดับคําจารึก
๑. คํา “จารึกหลกั ศิลาทสี่ ารนาถ” บน เสาศลิ าจารกึ อโศก (จาํ ลอง)
เปนคําแปลภาษาไทย จากฉบับแปลภาษาอังกฤษ ซ่ึง
แปลโดยเทียบเคียงกับภาษาสันสกฤต ที่ถอดจากจารึก
เดิมภาษาปรากฤต เขียนดวยอักษรพราหมี
๒. คําจารึกบน ๘ แทนหิน ทางดานตะวันออกของเสา
แผนท่ี ๑ คํา “จารึกหลักศิลาที่สารนาถ” บนเสาศิลาจารึกฯ
(ซ้ํากับบนเสา นํามาเขียนไวเพื่อใหอานไดชัดและสะดวก)
คูซา ย
แผน ท่ี ๒–๓ คาํ อธบิ ายที่มา ความหมาย และความสําคญั ของ
“ส่ีสงิ ห ทนู ธรรมจกั ร” เรม่ิ แตพ ระประวตั ขิ องพระเจา อโศกมหาราช
คูกลาง
แผนท่ี ๔–๕ ตัวอยางขอความในศิลาจารึก ของพระเจาอโศก
มหาราช (จาก จารึกศิลา ฉบับที่ ๑๓ ที่ ๙ และที่ ๑๑)
สําหรับ คน เ ทีย บ หลัก ธ รรมในพุท ธ พจนบ น แทน หิน คูข ว า
คูขวา
แผนที่ ๖–๗ พุทธพจน จากพระไตรปฎก เชน จักกวัตติสูตร
สาํ หรบั เทียบ เพอ่ื สืบทม่ี าของธรรมในจารึกของพระเจาอโศก
แผนท่ี ๘ บอกวา ท่ีประดิษฐานเสาศิลาจารึกฯ (จําลอง) ตรงกับที่
ปก หลกั เขต อนั เปน จดุ ตอ ทดี่ นิ ทต่ี งั้ วดั ญาณเวศกวนั ๓ แปลง คอื
๑. แปลงท่ีขออนุญาตสรางวัด ๒. แปลงที่ต้ังอุโบสถ
๓. แปลงลานเสาศิลาจารึกอโศก
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๘๙
๑. คํา “จารกึ หลักศิลาทส่ี ารนาถ”
บน เสาศิลาจารกึ อโศก (จาํ ลอง)
…………………………………………………………………………
จารึกหลักศิลา ท่ีสารนาถ
(คาํ แปล)
สมเด็จพระเจา อยหู ัวปรยิ ทรรศี ผูเปนทีร่ ักแหง ทวยเทพ ไดม ี
พระบรมราชโองการใหประกาศแกมหาอํามาตยทัง้ หลาย ณ พระ
นครปาฏลีบตุ ร และ ณ นครอน่ื ๆ วา
ขาฯ ไดก ระทําใหส งฆมคี วามสามคั คเี ปน อันหน่ึงอันเดียวกัน
แลว บุคคลใดๆ จะเปนภิกษหุ รอื ภกิ ษณุ กี ต็ าม ไมอาจทาํ ลายสงฆ
ได ก็แล หากบุคคลผูใด จะเปนภิกษุหรือภกิ ษณุ ีก็ตาม จกั ทําสงฆ
ใหแ ตกกนั บคุ คลผนู ้นั จักตอ งถกู บังคบั ใหนุง หม ผา ขาว และไปอยู
ณ สถานที่อนั มใิ ชว ดั
พงึ แจง สาสน พระบรมราชโองการนใี้ หท ราบทัว่ กนั ทั้งในภิกษุ
สงฆแ ละในภิกษุณีสงฆ ดวยประการฉะนี้
พระผเู ปนที่รกั แหง ทวยเทพ ไดตรสั ไว ดังน:ี้ -
ประกาศพระบรมราชโองการเชนนี้แล ทานท้ังหลายพึงจัด
รกั ษาไว ณ ทางสัญจรภายในเขตใกลเ คียงของทานทง้ั หลาย ฉบบั
๑๙๐ จารกึ อโศก
หน่ึง และจงจดั รกั ษาประกาศพระบรมราชโองการเดยี วกันนีแ้ ล ไว
ในเขตใกลเคยี งของอบุ าสกท้งั หลาย อกี ฉบบั หนึ่ง
ทุกวันอุโบสถ บรรดาอบุ าสกเหลานั้น พงึ ทําตนใหมีความรู
เขาใจแนบแนนในประกาศพระบรมราชโองการน้ี และทุกวัน
อุโบสถ มหาอํามาตยทกุ คนพงึ ไปรวมในการรกั ษาอุโบสถดว ยเปน
ประจํา เพื่อจักไดเ กดิ ความคุน เคยแนบสนิท และรเู ขา ใจทว่ั ถงึ ซึ่ง
ประกาศพระบรมราชโองการนนั้ แล
ทั่วทุกหนทุกแหงท่ีอํานาจบริหารราชการของทานทั้งหลาย
แผไ ปถงึ ทา นท้ังหลายพงึ ขบั ไล (บคุ คลผูท าํ ลายสงฆ) ออกไปเสยี
และฉันเดียวกันนั้น ทานท้ังหลายพึงใหขับไล (บุคคลที่ทําลาย
สงฆ) ในเมอื งดา น และในทองถิ่นทัง้ หลายออกไปเสีย โดยใหเ ปน
ไปตามขอ ความในประกาศนี้.
(จารกึ พระบรมราชโองการ ของพระเจา อโศกมหาราช บนหลกั ศลิ าทส่ี ารนาถ
ทแี่ ปลมาน้ี ตวั อกั ษร ๓ บรรทดั แรก ชาํ รดุ เลอื นหายไปมาก นกั อานจารกึ ได
ฟนขอความโดยเทียบกบั จารกึ หลกั ศิลาที่ โกสมั พี และทสี่ าญจี ซึ่งมขี อ
ความใกลเคียงกัน อันจัดไวดวยกันในชุดที่เรียกวา “จารึกหลักศิลา
ฉบบั นอย” ซ่งึ ไดพบ ๔ แหง)