76 อาจารยิ บชู า พระอาจารย์ฝน้ั อาจาโร
กับใครทัง้ นั้น มงุ่ แต่ทำ�ความเพยี รภาวนากบั ปรนนิบัติระมดั ระวังรักษาคุณพระพ่อ
ดว้ ยความเพยี รท่ีมคี วามพยายามตดิ ตอ่ ก็มีนิมิตปรากฏเหน็ พระธรรมที่ประทบั อยู่
บนศีรษะแม่ชี ได้ส่องแสงสว่างจ้าพุ่งออกไปให้แม่ชีตัดได้มองเห็นสารพัดหมด
ทุกอยา่ ง เรยี กว่าพระธรรมสรญาณ จะเป็นเร่อื งอดีต อนาคตใกลห้ รือไกล จะเป็น
โลกนหี้ รอื โลกไหน พระธรรมกพ็ าไปสอ่ งใหเ้ หน็ ได้ แมช่ จี ะไปเทยี่ ว นรก สวรรคช์ นั้ ใด
พรหมช้ันไหน พระธรรมกส็ รญาณใหแ้ มช่ ีมองเหน็ หมด
แม่ชีอยากจะไปฟังพระธรรมเทศนาพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์องค์อรหันต์
สาวกองคไ์ หนเมอ่ื ไร กไ็ ปได้ทุกเมื่อ แม่ชีไดไ้ ปนำ�เอาพระธรรมเทศนาพระพทุ ธเจ้า
ลงมาแสดงให้คุณพระพ่อและญาติโยมคณะบริษัทฟัง ก่อนจะไปฟังธรรมเทศนา
พระพุทธเจ้า แม่ชีก็ประกาศให้คณะญาติโยมทราบล่วงหน้าก่อน ว่าวันนั้นเวลา
เทา่ นนั้ เราจะไปเอาพระธรรมเทศนาขององคพ์ ระศาสดาสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มาแสดง
ใหค้ ณะพทุ ธบรษิ ทั ฟงั ถา้ ทา่ นผใู้ ดใครอ่ ยากจะฟงั กข็ อใหม้ ารวมชมุ นมุ อยทู่ ศี่ าลาวดั
นเ้ี วลาบา่ ย ๓ โมง พอไดเ้ วลาทา่ นพระอาญาครดู อี อกมานงั่ เปน็ ประธานบนอาสนะ
ท่ีจัดไว้บนศาลา พระภกิ ษุสามเณรอบุ าสกอุบาสกิ า ศรัทธาญาตโิ ยม ก็มารวมอยทู่ ี่
ศาลาตามเวลาทีก่ �ำ หนดไว้ พอถงึ เวลา แม่ชกี ็เดินมาขึ้นศาลาโรงธรรม เข้าไปกราบ
พระประธานแลว้ จงึ หนั ไปกราบคณุ พระพอ่ เมอ่ื คณะพทุ ธบรษิ ทั มาชมุ นมุ กนั นง่ั สงบ
เงยี บไมม่ เี สียงแล้ว แม่ชีตดั ก็น่งั เข้าทีค่ อื ทำ�สมาธิ สกั ครหู่ นง่ึ ก็ไดย้ ินเสยี งเหมอื นกบั
เสียงชายหนุม่ ในรา่ งของแมช่ ีว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ตัวข้าน้อยขอโอกาสขอพระองค์ได้ทรง
พระกรุณาแสดงพระธรรมเทศนาแกข่ ้าพระองค์ เพอ่ื ข้าพระองค์จะได้จดจำ�แล้วน�ำ
คำ�ส่ังสอนของพระองค์ไปแสดงให้คุณพระพ่อ และญาติโยมคณะพุทธบริษัท
ฟังดว้ ยเถิด
เอ่อดลี ะ (เสียงใหญล่ ากยาว เสยี งพระพุทธเจ้าในรา่ งของแม่ช)ี ดกู อ่ นทา้ วฯ
ใหท้ า้ วฯ จงตง้ั ใจฟงั เพอ่ื จะไดจ้ ดจ�ำ แลว้ น�ำ เอาพระธรรมค�ำ สง่ั สอนทเ่ี ราตถาคตเทศนาน้ี
ไปแสดงใหค้ ณุ พระพอ่ ฟงั เวลานมี้ ารผใู้ จบาปหยาบชา้ เลวทรามคอยจอ้ งมองหาชอ่ ง
หาโอกาสแทรกแซงกระท�ำ ย�ำ่ ยศี าสนาของเราตถาคต และเบยี ดเบยี นสาวกผลู้ กู ศษิ ย์
ประวตั พิ ระอาจารยฝ์ นั้ อาจาโร 77
ของเราตลอดเวลา ขอใหค้ ณุ พระพอ่ อยา่ ไดม้ คี วามประมาท และใหค้ ณะพทุ ธบรษิ ทั
ท้ังคฤหัสถ์และบรรพชิตจงระมัดระวังรักษาคุณพระพ่อ อย่าให้มารมาก่อกวน
ท�ำ อันตรายตอ่ คณุ พระพอ่ ด้วย
“ขอรับ” (เสียงเล็ก คือ เสยี งของทา้ วฯ ในรา่ งของแม่ชีตดั ) กระผมจะไดจ้ �ำ
เอาพระธรรมเทศนานน้ี ำ�ไปแสดงให้คุณพระพ่อและคณะพทุ ธบริษทั ฟงั
จากนั้นท้าวฯ ในร่างของแม่ชี ได้นำ�เอาพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า
มาแสดงให้คุณพระพ่อ และคณะสัปบุรษุ พุทธบรษิ ทั ฟังดังตอ่ ไปน้ี
ท้าวฯ ในร่างของแม่ชีได้หันหน้าเข้ามาหาท่านอาญาครูดีแลคณะญาติโยม
ซึ่งนั่งชุมนุมคอยฟังด้วยอาการสงบเงียบเรียบร้อยอยู่บนศาลาโรงธรรม พูดว่า
ข้าแต่คุณพระพ่อ ตัวข้าน้อยขอโอกาสต่อคุณพระพ่อแลคณะญาติพี่น้องทั้งหลาย
โปรดตั้งใจฟัง ตัวท้าวฯ คือ ตัวข้าน้อยน้ีจะได้นำ�พระธรรมเทศนาขององค์
สมเด็จพระศาสดาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแสดงให้คุณพระพ่อ และพ่อแม่
ครบู าอาจารย์ พร้อมทงั้ คณะญาติโยมทงั้ หลายฟัง
ต่อมาแม่ชีก็ได้พูดชี้มือไปทักทายคนโน้นคนนี้ว่า แต่ชาติก่อนคนน้ัน
เปน็ อยา่ งนนั้ ได้ท�ำ บาปอยา่ งนั้นแล้วตายไปตกนรก ๗ แสน (เจด็ แสนอะไร จะเปน็
เจ็ดแสนชาติ เจ็ดแสนกัปป์ ก็ไม่ได้บอกชัด) แล้วก็แสดงผลของกรรมที่เขาคนนั้น
ได้กระทำ�ไว้ปรากฏเหน็ โดยท่วั กัน
เรอ่ื งมอี ยวู่ า่ พระอาจารยอ์ งคห์ นง่ึ ไดพ้ าคณะศษิ ย์ พระเณร ออกไปเดนิ ธดุ งค์
ไปทางภสู งิ ห์ภวู วั อ.บงึ กาฬจ.หนองคายแมช่ ี๓คนใครจ่ ะไปศกึ ษากบั พระอาจารยส์ ที ดั
วดั พระบาทโพนฉนั ฝง่ั ซา้ ยของแมน่ �ำ้ โขง ประเทศลาว ขออาศยั พระอาจารยอ์ งคน์ น้ั
ติดตามไปด้วย คร้ันไปถึงภูสิงห์ คณะแม่ชีก็ได้แยกทางจากอาจารย์องค์นั้น
ตรงไปทพี่ ระอาจารยส์ ที ดั อยไู่ ปถงึ บา้ นโพนแพงซง่ึ อยตู่ ดิ รมิ แมน่ �ำ้ โขงฝงั่ ไทย จงึ ไดไ้ ป
ติดต่อหาเรือเพื่อจะได้ข้ามฝ่ังไปทางโน้น ก็ได้ทราบจากคนท่ีอยู่บ้านโพนแพงน้ัน
บอกว่า พระอาจารย์สีทัดมรณะเสียแล้ว แม่ชี ๓ คนผิดหวังหมดกำ�ลังใจ จึงได้
พากันเดินทางกลับมาถึงบ้านผักขะ ตะวันค่ำ�พอดี จึงได้พากันแวะไปพักท่ีวัดร้าง
78 อาจาริยบชู า พระอาจารย์ฝ้ัน อาจาโร
อยใู่ กลข้ า้ งๆ บ้านนน้ั มคี นผชู้ ายในบา้ นนนั้ เหน็ แม่ชีคนแปลกหน้ามาพกั อยทู่ ี่น้นั
ก็ได้มาปราศรยั ไต่ถาม ได้ทราบความแลว้ ชายคนนนั้ ไดห้ ลอกว่ามีอาจารยฆ์ ราวาส
คนหน่ึงอยู่ในบ้านน้ี เป็นศิษย์พระอาจารย์สีทัด มีความรู้ดีภูมิความรู้สูง ภาวนา
เกง่ มาก ประชาชนเคารพนบั ถอื มาก พวกแมช่ คี วรลองศกึ ษากบั เขาดบู า้ ง แมช่ พี าซอ่ื
หลงเช่ือ จึงถูกมนุษย์สารเลวซึ่งตั้งตนเป็นอาจารย์ ล่วงเกินจนเสียความบริสุทธ์ิ
ทงั้ สามคน
พอรุ่งเช้าก็พากันเดินทางกลับด้วยความเสียใจ ในคืนนั้นพระธรรมของ
แมช่ ตี ดั กไ็ ดส้ รญาณใหแ้ มช่ ตี ดั เหน็ รเู้ หตกุ ารณต์ า่ งๆ ทเี่ กดิ ขนึ้ แกแ่ มช่ พี วกนน้ั พอเหน็
คณะชี ๓ คนเดนิ มา แมช่ ตี ดั กช็ หี้ นา้ พวกแมช่ ี ๓ คนนนั้ ทนั ทวี า่ พวกเจา้ ๓ คนศลี ขาด
แลว้ ทกุ คน ตอ้ งโทษหนัก เพราะร่วมสงั วาสผู้ชาย ได้ขาดจากความเป็นนกั บวชแลว้
ชที ง้ั ๓ คนกร็ บั สารภาพวา่ เปน็ ความจรงิ ทกุ อยา่ ง แลว้ แมช่ ตี ดั กต็ ดั สนิ ลงทณั ฑกรรม
ท�ำ โทษพวกชี ๓ คนนน้ั โดยใหช้ ี ๓ คนนน้ั ไปแสดงความผดิ ทตี่ นตอ้ งโทษแกพ่ ระสงฆ์
ทกุ ๆ องคแ์ ละทกุ ๆ วนั ถา้ มภี กิ ษสุ งฆม์ าจากวดั อนื่ กใ็ หไ้ ปแสดงบอกทกุ ๆ องค์ และ
ทกุ ราย แม่ชี ๒ คนทนอยู่ไมไ่ ด้ ก็ออกกลบั ไปอยบู่ า้ นของตน
สามเณรทองเพียร สามเณรทองใย สามเณรทองดี ท่ีหนีจากอาญาครูดี
ได้ไปบวชเป็นพระแล้วทั้ง ๓ องค์ อยู่ท่ีวัดป่าสาลวัน หลังกองช่างกลรถไฟ
นครราชสมี า วญิ ญาณของพระ ๓ องคน์ ้ี แหละไดเ้ ขา้ มาเขา้ ทรงกบั แมช่ ี เวลาตอนเชา้
ของวันหนึ่ง แม่ชตี ัดไดป้ ระกาศบอกให้ทราบทว่ั ถงึ กันว่า ในเวลาบา่ ยวันนี้จะมีผมู้ า
แสดงกรรมวบิ าก ใหท้ ุกทา่ นทุกคนมารอคอยฟังอยู่ที่บนศาลาโรงธรรม เพ่ือมาฟงั
การแสดงผลของกรรมเวลาตอนบ่ายวันนีด้ ว้ ย
พอตกบ่ายก็ได้มีชาวบ้านทั้งชายหญิงออกมาในวัดเป็นจำ�นวนมาก มีแม่ชี
คนหน่ึงเมื่อบวชแล้วไปอยู่ในบ้านกับลูกหลานชื่อแม่ชีซอง พอตอนบ่ายได้เวลา
ก็เห็นแม่ชีซองเดินออกมา มีอากัปกิริยาท่าทางแลสำ�เนียงเสียงพูดเหมือนผู้ชาย
ทกุ อยา่ ง ส�ำ นวนค�ำ พดู กบั ชาวบา้ นใชส้ �ำ นวนเหมอื นพระพดู กบั โยม เขา้ ไปในวดั กไ็ ด้
ทักทายปราศรัยกับโยมคนน้ันโยมคนน้ี เหมือนกับคนท่ีเคยอยู่ด้วยกันแล้วจากกัน
ไปนาน เพงิ่ จะมาพบกนั ไดเ้ ดนิ ไปตามบรเิ วณวดั ตรวจดกู ฏุ หิ ลงั นน้ั หลงั นี้ แลว้ ถาม
วา่ โยม ท่านพระอาจารยอ์ าญาครูดีทา่ นอยูไ่ หม เมอ่ื ไดท้ ราบว่าท่านอยู่แล้ว กข็ นึ้ ไป
ประวตั พิ ระอาจารย์ฝ้นั อาจาโร 79
บนศาลาโรงธรรม กราบพระประธาน แล้วกราบท่านอาญาครูดี กราบเสร็จแล้ว
ก็ขยบั จะเข้าไปนั่งใกลๆ้ กบั ทา่ นอาญาครูดี แตท่ า่ นอาญาครูดีได้ชี้บอกให้ไปนง่ั บน
อาสนะทหี่ า่ งออกไปซง่ึ จัดไว้แล้ว
พอแม่ชีซองนั่งลงแล้วได้ยกมือขึ้นประนมพูดขึ้นว่า ไหว้ละ พระพ่อแม่
ครบู าอาจารย์ มีความสุขสบายดีอยูห่ รือ เออ มคี วามสขุ เป็นปกติตามธรรมดาของ
สังขาร ทา่ นอาญาครดู ีตอบ แลว้ ถาม ทา่ นเปน็ ใคร มาจากไหน ผมพระทองเพียร
มาจากนครราชสมี า (วญิ ญาณในรา่ งแมช่ ซี องตอบ) มธี รุ ะอะไรหรอื จงึ ไดม้ าทางไกล
มาก พระอาญาครูดถี าม ขอโอกาสพ่อแมค่ รูบาอาจารย์ กระผมมานี้ตั้งใจมากราบ
ขอขมาคารวะ ขมาโทษกบั ครอู าจารย์ ใหค้ รอู าจารยอ์ โหสกิ รรมใหก้ ระผมผโู้ งเ่ ขลาดว้ ย
กรรมอะไร โทษอะไร คอื กระผมไดล้ กั หนไี ปจากครอู าจารย์ เพราะความไมพ่ อใจทไี่ ด้
เหน็ ครอู าจารยห์ ลงเชอื่ แมช่ ี คลกุ คลจี นเกนิ ขอบเขต จติ ของกระผมไดม้ คี วามดหู มนิ่
ประมาทครอู าจารยว์ ่า ครอู าจารย์กบั แมช่ ีตัดเปน็ อันหนงึ่ อนั เดียวกนั จติ เบอ่ื หน่าย
คลายความเลอ่ื มใสไมเ่ คารพรับนบั ถือ จงึ ได้ลกั หนีไป แท้จรงิ ครอู าจารย์กับแมช่ ีตดั
ไม่ได้เป็นอะไรกัน ยังมีความบริสุทธิ์อยู่ กระผมระลึกเร่ืองน้ีมาเม่ือใดก็นึกเสียใจ
ตัวเองมาก กระผมไมม่ ีความสบายในใจ ทุกข์ใจไมเ่ ปน็ ตาหลบั ตานอน
กระผมได้มีความสำ�นึกระลึกรู้ตัวแล้วว่าตัวเองมีความผิด จึงคิดมาขอขมา
คารวะสารภาพผดิ ตอ่ ครอู าจารย์ ขอใหค้ รอู าจารยไ์ ดเ้ มตตาโปรดอดโทษอโหสกิ รรม
ใหแ้ กก่ ระผมผโู้ งเ่ ขลาเบาสตปิ ญั ญาดว้ ยเถดิ เออ ดแี ลว้ ละ่ ทไ่ี ดก้ ระท�ำ ผดิ และคดิ ผดิ
เมือ่ รู้สึกตัวแล้วมาสารภาพยอมรับผดิ ตอ่ ไปให้สำ�รวมระวงั จากนนั้ พระทองเพยี ร
ในรา่ งของแมช่ กี ไ็ ดพ้ ดู คยุ สนทนาปราศรยั กบั ทา่ นพระอาญาครดู ี และไดบ้ อกโยมผทู้ ี่
นงั่ อยใู่ กลๆ้ ประเคนกาน�ำ้ หมาก บหุ ร่ี เคย้ี วหมาก สบู บหุ รี่ และกริ ยิ าทา่ ทางเหมอื น
พระทองเพียรทุกอย่าง แล้ววิญญาณของพระทองเพียรก็ได้ลาพระอาญาครูดีกลับ
พอวญิ ญาณพระทองเพยี รกลบั แม่ชีก็หมอบล้มลง สกั ครกู่ ็ลกุ ขึ้นนัง่ พอลมื ตาเห็น
ตัวเองมาน่ังอยู่ช้ันบนก็ตกใจ รีบลงมาแล้วพูดว่า ดิฉันมาอยู่ที่น่ีแต่เม่ือไหร่ มาได้
อย่างไร แสดงความตกใจและกลวั ในตัวเอง มคี วามอายๆ มีผู้ถามวา่ เมอื่ ตะกี้แม่ชี
เปน็ อะไร รู้ตวั ไหม ตอบ ไม่รู้ ไม่รตู้ ัวเลยวา่ เป็นอะไร แม่ชตี ัดซ่งึ นัง่ ภาวนาเข้าสมาธิ
อยใู่ นขณะนน้ั ไดพ้ ดู ขนึ้ วา่ ตอ่ ไปนจ้ี ะไดข้ นึ้ ไปน�ำ พระธรรมเทศนา ของพระพทุ ธเจา้
มาแสดงใหค้ ุณพระพ่อ และคณะพุทธบรษิ ัทฟงั ให้พากันมาชมุ นุมคอยฟัง แมช่ ตี ดั
80 อาจาริยบชู า พระอาจารยฝ์ น้ั อาจาโร
ก็น่ังกำ�หนดจิตทำ�สมาธิภาวนาประมาณสักพักหนึ่ง ก็ลืมตามองไปท่ีพระประธาน
กราบ ๓ หน แลว้ พดู ข้ึนว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ตัวข้าน้อยขอโอกาส ขอพระองค์ได้
ทรงพระกรณุ าแสดงพระธรรมเทศนาสง่ั สอนแดข่ า้ นอ้ ย เมอื่ ขา้ พระองคฟ์ งั แลว้ กจ็ ะ
ได้กำ�หนดจดจำ� นำ�เอาพระธรรมคำ�สั่งสอนไปแสดงให้คุณพระพ่อ และญาติโยม
คณะพุทธบริษัทฟังต่อไป เออดีละ (แม่ชีตัดพูดเสียงใหญ่เพ่ือให้คล้ายเสียง
พระพทุ ธเจา้ ) ดกู รทา้ วฯ ทา้ วฯ จงตง้ั ใจฟงั แลว้ จดจ�ำ น�ำ เอาพระธรรมเทศนาของเรา
ตถาคตไปแสดงให้คณุ พระพอ่ และคณะบรษิ ทั ฟัง คือเวลาน้ีมารผใู้ จบาปเข้าดลใจ
พวกพระภิกษุให้เป็นพระอลัชชี ผู้ไม่มีความละอาย ให้ประพฤตินอกรีตนอกรอย
ผดิ แผกแตกตา่ งจากพระธรรมวนิ ยั ทเ่ี ราตถาคตไดท้ รงบญั ญตั ไิ ว้ เขา้ มาบวชเหยยี บย�่ำ
ศาสนาของเราตถาคตมากขึ้นทุกวันๆ ขอให้คุณพระพ่ออย่าได้ประมาทเลินเล่อ
เผลอตัวหลงใหลมัวหมองในกลหลอกลวงของพวกมารผู้ใจบาป ให้คุณพระพ่อ
เพยี รพยายามเอาใจสกู้ บั พญามารจนกวา่ จะไดช้ ยั ชนะ ทา้ วจะระมดั ระวงั คณุ พระพอ่
ทง้ั กลางวนั กลางคนื อยา่ ไดป้ ลอ่ ยใหท้ า่ นอยลู่ �ำ พงั องคเ์ ดยี ว ใหม้ กี ารอยเู่ วรยามรกั ษา
อยา่ ให้พลาดทา่ เสียทีแก่อลชั ชผี ้เู ป็นมารใจบาปหยาบชา้ ยำ่�ยศี าสนา
ขอรับ (เสียงชายหน่มุ ในรา่ งของแมช่ ีตดั ) กระผมจะได้น�ำ เอาค�ำ สง่ั สอนอนั
ประเสรฐิ เลศิ ยง่ิ นไ้ี ปแสดงแกค่ ณุ พระพอ่ และคณะพทุ ธบรษิ ทั แลว้ จกั พากนั ประพฤติ
ปฏิบัติต่อไป ผู้เป็นท้าวฯ ในร่างของแม่ชีตัดก็หันหน้าไปกราบคุณพระพ่อ ๓ หน
แลว้ หันไปทางคณะพุทธบริษทั กล่าววา่ ข้าน้อยขอโอกาสคณุ พระพอ่ และญาติโยม
สัปบุรุษพุทธบริษัททั้งหลายโปรดตั้งใจฟังดังข้าน้อยจะได้นำ�เอาพระธรรมเทศนา
คำ�ส่ังสอนขององค์สมเด็จพระชินวรศาสดา ตรัสเทศนาส่ังมาว่า บัดนี้พวกมาร
ผใู้ จบาปไดเ้ ขา้ มาดลใจพระภกิ ษใุ หเ้ ปน็ อลชั ชผี ไู้ มม่ คี วามละอาย ใหป้ ระพฤตนิ อกรตี
นอกรอย ใหผ้ ดิ แผกแตกออกจากพระธรรมวนิ ยั ทเ่ี ราตถาคตไดบ้ ญั ญตั ไิ ว้ เขา้ มาบวช
เหยยี บย่�ำ ท�ำ ลายศาสนาของเราตถาคต มีจำ�นวนมากขนึ้ ทุกวันๆ ขอให้คณุ พระพ่อ
อย่าได้ประมาท เลินเล่อเผลอตวั มวั หลงใหลในกลหลอกลวงของพวกมารผใู้ จบาป
ให้คุณพระพ่อเพียรพยายามต่อสู้กับพวกมารผู้มีสันดานบาป จนกว่าจะได้ชัยชนะ
และให้คณะบริษัทญาติโยมท้ังหลายพากันระมัดระวังรักษาคุณพระพ่อและท้าวฯ
ประวัตพิ ระอาจารย์ฝ้นั อาจาโร 81
ให้ดีให้พากันจัดอยู่เวรอยู่ยามท้ังกลางวันกลางคืน อย่าให้พลาดท่าเสียทีแก่อลัชชี
ผเู้ ป็นมารบวชเขา้ มาล้างผลาญพระศาสนา
ตอ่ มาจงึ ไดจ้ ดั การอยเู่ วรยามเฝา้ ประตวู ดั บา้ ง กฏุ พิ ระอาญาครดู บี า้ ง กฏุ ขิ อง
ท้าวฯ ผ้ลู กู ชายพระอาญาครดู ี (คอื แม่ชีตัด) บา้ ง ญาติโยมนอกนนั้ ก็พากนั เลกิ รา
กลบั บา้ นของตนๆ ตามปกติ ทา้ วฯ ตอ้ งไปน�ำ เอาพระธรรมเทศนาจากพระพทุ ธเจา้
มาแสดงใหค้ ณุ พระพอ่ และคณะพทุ ธบรษิ ทั ฟงั วนั ละ ๒ ครง้ั คอื ตอนสายครง้ั ๑ ตอน
บา่ ยอกี ครงั้ ๑ อยา่ งนท้ี กุ ๆ วนั พอได้ ๗ วนั ทา้ วฯ กป็ ระกาศใหค้ ณะญาตโิ ยมทราบ
อกี วา่ บา่ ยวนั นี้กจ็ ะมีผู้มาแสดงกรรมวบิ าก คือผลของกรรมทเี่ ขาได้กระทำ�ไว้ใหฟ้ ัง
ให้พ่อแม่พีน่ ้องมารวมกนั ทศี่ าลาโรงธรรมเวลาบ่าย ๓ โมงวันนีเ้ ช่นเคย
พอถงึ เวลาบา่ ย ๓ โมงกว่า ก็มีวญิ ญาณของพระอกี องคไ์ ดม้ าเข้าทรงในรา่ ง
ของแม่ชีซองคนนั้นอีก เหมือนกันกับวิญญาณของพระทองเพียรท่ีได้กล่าวมาแล้ว
วญิ ญาณพระองคน์ เ้ี ปน็ คนชาวจงั หวดั ศรสี ะเกษ เสยี งสำ�เนยี งพดู ของวญิ ญาณทผี่ า่ น
มาทางแม่ชซี องกเ็ ปน็ เสยี งพระองค์นัน้ ซ่ึงเป็นเสียงชาวศรสี ะเกษจริงๆ อากัปกริ ิยา
ท่าทางก็เหมือนพระองค์นั้นทุกอย่าง สำ�เนียงพูดก็ดี อากัปกิริยาท่าทางก็ดี ของ
ผหู้ ญงิ จะมาดดั แปลงใหเ้ หมอื นกบั ส�ำ เนยี งเสยี งและอากปั กริ ยิ าผชู้ ายนนั้ ไมอ่ าจท�ำ ได้
งา่ ยนกั จงึ ท�ำ ใหผ้ ทู้ ไ่ี ดพ้ บเหน็ เปน็ เรอ่ื งอศั จรรย์ สว่ นใหญก่ ม็ คี วามเชอ่ื วา่ เปน็ วญิ ญาณ
ของพระองคน์ นั้ ไดเ้ ขา้ มาทรงจรงิ ๆ ตอ่ มาวญิ ญาณของพระองคน์ นั้ ออกไปแลว้ ได้ ๗
วนั กม็ วี ญิ ญาณของพระทองดี ซงึ่ อยทู่ วี่ ดั ปา่ สาลวนั แหง่ เดยี วกบั พระทองเพยี ร กม็ า
เขา้ ทรงกบั แมช่ ซี องท�ำ นองเดยี วกนั ตอ่ มาอกี ๗ วนั วญิ ญาณของพระทองใยกไ็ ดม้ า
เขา้ ทรงกบั แม่ชีซองในท�ำ นองเหมอื นกนั อีก
พระทองเพยี ร พระทองดี พระทองใย ก็คอื สามเณรทองเพียร ทองดี ทองใย
ซึ่งเป็นลูกศิษย์เก่าของท่านพระอาญาครูดี ท่ีลักหนีไปบวชเป็นพระอยู่กับ
พระอาจารย์สิงห์ วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา ตอนวิญญาณของท่านทุกองค์ท่ีมา
เขา้ ทรงในรา่ งของแมช่ ซี อง ทกุ ๆ องคก์ ย็ งั อยทู่ ว่ี ดั ปา่ สาลวนั ตามวนั เวลาทว่ี ญิ ญาณ
ออกไปทรงกบั แม่ชซี อง ก็ไม่มอี ะไรผิดปกติ วิญญาณของพระเหลา่ น้ันทกุ ๆ องคท์ ี่
มาเข้าทรงก็เพื่อจะขอขมาคารวะต่อพระอาญาครูดี ที่ทุกองค์ได้มีจิตคิดดูหมิ่น
82 อาจารยิ บชู า พระอาจารยฝ์ ้ัน อาจาโร
ประมาททา่ นพระอาญาครดู ที คี่ ลกุ คลกี บั แมช่ ตี ดั แลว้ ไดล้ กั หนไี ปโดยมไิ ดข้ ออนญุ าต
บอกลาทา่ นพระอาญาครูดีผทู้ ่ีเป็นอาจารยข์ องตน เป็นการทำ�ผิดต้องโทษ
แมช่ ตี ดั ไดม้ พี ระสรญาณใหเ้ หน็ กรรมและผลกรรม จงึ ไดป้ ระกาศใหท้ ราบวา่
วนั นจี้ ะมผี มู้ าแสดงกรรมวบิ ากผลของกรรมอกี แมช่ ตี ดั ประกาศใหร้ ลู้ ว่ งหนา้ ทกุ ครง้ั
ทำ�ให้ผู้ท่ีได้ไปพบเห็นแปลกใจมาก แม่ชีซองน้ันเม่ือวิญญาณของพระเหล่าน้ัน
ออกไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรเห็นว่าผิดปกติ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดข้ึนจิตใจหรือสติ
ปญั ญากป็ กติ หลังจากวิญญาณของพระที่มาเขา้ ทรงออกไปแลว้ และเม่อื วิญญาณ
ของพระเหลา่ นนั้ จะมาเขา้ ทรง แมช่ ซี องกไ็ มไ่ ดร้ ตู้ วั ลว่ งหนา้ ไวก้ อ่ นพอถงึ เวลากเ็ ปน็
ขนึ้ มาเองเลยทเี ดยี ว แมช่ ซี องกบั แมช่ ตี ดั ไมไ่ ดอ้ ยดู่ ว้ ยกนั เมอ่ื เลกิ ชมุ นมุ แลว้ แมช่ ซี อง
กก็ ลบั ไปในบา้ นอยกู่ บั ลกู หลานของแกเอง แมช่ ตี ดั ทราบลว่ งหนา้ ไดอ้ ยา่ งไร ถา้ ไมใ่ ช่
แกส�ำ เรจ็ อรหันต์ เป็นท่ีอศั จรรย์ใจ ตรงนแ้ี หละท�ำ ใหม้ ผี เู้ คารพเลือ่ มใส เชื่อแนใ่ นใจ
วา่ แมช่ ตี ัดได้บรรลธุ รรมเปน็ พระอรหันต์ จงึ มีเสียงเลา่ ลอื แตกตนื่ ออกไปทกุ สารทศิ
แมช่ ตี ดั กม็ คี วามส�ำ คญั วา่ ตวั เองไดบ้ รรลธุ รรมส�ำ เรจ็ เปน็ พระอรหนั ต์ การนงุ่ หม่ กใ็ ช้
ผ้าขาวตัดเย็บเป็นขันธ์ ทั้งสบง ผ้านุ่ง จีวร ผ้าห่ม สังฆาฏิ ผ้าพาดบ่า ครบเป็น
ไตรจีวร ๓ ผืน เหมือนกับพระภกิ ษุสงฆ์ ผดิ แต่เป็นสีขาว ไม่ไดย้ อ้ มสีเหลอื ง
บุคคลท่ีเคราะห์ร้ายอย่างน่าสงสาร ถูกเขากล่าวหาว่าเป็นมารตัวร้ายกาจ
เบอร์ ๑ ว่าพยายามจะฆ่าพระอาญาครูดีกับแม่ชีตัด เขาคนนั้นคือนายเชียงใบ
อยู่บ้านนาโสกบ้านเดียวกัน ถึงแม้ว่านายเชียงใบได้เข้าไปกราบไหว้พูดวิงวอนขอ
อย่าได้กล่าวใส่ร้ายเข้าใจผิด โดยตนเองไม่ได้มีจิตคิดเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ก็
ไม่ได้ผล นายเชียงใบจึงร้อนรน ไม่เป็นตาหลับขับตานอน จึงได้เขียนจดหมายไป
นมสั การกราบเรยี นทา่ นพระอาจารยส์ งิ ห์ ขนั ตยาคโม อยวู่ ดั ปา่ สาลวนั นครราชสมี า
และนิมนต์ท่านพระอาจารย์สิงห์ไปเพื่อพิจารณาช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน
ครั้งนี้ด้วย พระอาจารย์สิงห์ติดธุระไปไม่ได้ จึงได้มอบหมายเร่ืองน้ีให้ท่าน
พระอาจารย์ฝน้ั ไปด�ำ เนินการแก้ไขแทน
เมอ่ื ปวารณาออกพรรษาพน้ เขตกฐินแลว้ ทา่ นพระอาจารยฝ์ น้ั อาจารเถระ
ก็ได้ออกเดินทางโดยข้ึนรถไฟกับเด็กตาปะขาวสงวน ลูกศิษย์มาจากบ้านมะรุม
ประวตั ิพระอาจารยฝ์ ั้น อาจาโร 83
ตดิ ตามไปดว้ ย ลงรถไฟทส่ี ถานอี ดุ ร แลว้ ตอ่ รถยนตไ์ ปลงอ�ำ เภอพรรณานคิ ม แวะไป
เยี่ยมโยมทีบ่ า้ นบะทอง พาญาติโยมทำ�บญุ เพ่อื อทุ ิศสว่ นกศุ ลใหถ้ งึ เปตชนผู้บพุ การี
แลว้ จึงได้ออกเดนิ ทางไปบ้านนาโสก เม่อื ไปใกลจ้ ะถงึ บา้ นนาโสก พระอาจารย์ฝั้น
เกดิ ปว่ ย จะเดนิ ทางตอ่ ไปไมไ่ ดเ้ พราะไมม่ แี รง จงึ สง่ ขา่ วไปถงึ นายเชยี งใบ บา้ นนาโสก
เจ้าของจดหมายที่สง่ ไปกราบเรียนและนมิ นต์ใหม้ า
นายเชียงใบพอได้ทราบข่าวการมาของท่านพระอาจารย์ฝ้ันก็มีความดีใจ
รีบออกไปรับท่านพระอาจารย์ฝั้นเข้ามาในวัดป่าสงบอารมณ์ บ้านนาโสก
นายเชยี งใบไดถ้ อื โอกาสตอนไปพบทา่ นพระอาจารยฝ์ นั้ เลา่ เรอื่ งพระอาญาครดู กี บั
แม่ชีตัดถวายให้ฟังโดยละเอียด ต้ังแต่ต้นจบอวสาน ตลอดถึงเร่ืองท่ีแม่ชีตัดกล่าว
หาวา่ นายเชียงใบเปน็ มารตัวรา้ ยกาจ พยายามวางแผนคิดจะฆ่าพระอาญาครูดีกับ
แมช่ ตี ดั ใหท้ า่ นพระอาจารยฝ์ นั้ ฟงั จรงิ ไหมเลา่ ทเี่ ขาวา่ อยา่ งนน้ั ทา่ นพระอาจารยถ์ าม
ไมจ่ รงิ ขอรับ นายเชียงใบตอบ แล้วพดู ต่อไปว่า กระผมไม่เคยคิดแม้ด้วยใจ กระผม
จะทำ�ได้อย่างไร ทั้งกระผมก็ยังมีความเคารพนับถือท่านอยู่ ไม่น่าจะกล่าวหา
กระผมเช่นนั้น เป็นกรรมอะไรของกระผมแท้ๆ อยู่ดีๆ ก็มาถูกกล่าวหาอย่างน้ี
ว่าแลว้ ก็กราบลาพระอาจารยฝ์ นั้ กลับบา้ น
ท่านพระอาจารย์ฝั้นขึ้นไปหาท่านอาญาครูดี พระอาญาครูดีทำ�การ
ปฏิสันถารพระอาจารย์ฝั้นและถามว่า ครูบามากับใคร ไม่มีคนไปรับครูบาหรือ
นายเชยี งใบไปรบั มา พระอาจารยฝ์ นั้ ตอบ ทา่ นพระอาญาครดู พี อไดย้ นิ วา่ นายเชยี งใบ
ไปรับมาเท่านั้นแหละ ตกใจร้องขึ้นว่า ครูบา พร้อมทั้งยกมือ นั่นแลตัวสำ�คัญ
ครูบาระวังหนา อยา่ ไปคบกับมนั เป็นอะไร พระอาจารยฝ์ ั้นถาม มันภาวนาไม่เปน็
มันไม่ได้อะไรกับเขา ไม่มีใครเคารพเช่ือถือและนับถือมัน มันแกล้งหาเร่ืองจะมา
ทำ�ร้ายผม แม่ชีและคณะบริษัท ชาวบ้านเขาระแวงระวังอยู่เวรยามกันตลอดเวลา
ก็เพราะอ้ายหมอนแี้ หละ ครูบาอย่าให้มนั เข้ามาในวดั หนา
ท่านพระอาจารย์ฝ้ันพักอยู่ที่วัดสงบอารมณ์ประมาณหนึ่งเดือนเพ่ือจะได้
พิจารณาสังเกตเหตุการณ์เร่ืองพระอาญาครูดีกับแม่ชีตัด ส่วนแม่ชีตัดก็ยังนำ�เอา
พระธรรมเทศนามาแสดงให้คุณพระพ่อและคณะญาติโยมฟัง และวิญญาณของ
84 อาจารยิ บูชา พระอาจารยฝ์ ัน้ อาจาโร
พระทองเพียร พระทองดี พระทองใย ก็ยงั ผลดั เปล่ยี นเวยี นมาเขา้ ทรงกบั แมช่ ีซอง
เชน่ เคย ทา่ นพระอาจารยฝ์ นั้ กไ็ ดม้ าเหน็ ประจกั ษก์ บั ตวั ทา่ นเอง ผคู้ นกพ็ ากนั แตกตนื่
มาฟงั กนั เตม็ ศาลาโรงธรรมทกุ วนั ๆ การอยเู่ ฝา้ เวรยามตามประตวู ดั ตามกฏุ กิ จ็ ดั อยู่
กนั ตลอดวนั ตลอดคนื แมช่ ตี ดั ทถ่ี อื ตวั เองวา่ เปน็ ลกู ชายของทา่ นอาญาครดู ที เ่ี รยี กวา่
ท้าวฯ แต่ชาติก่อน ก็อยู่ห่างจากคุณพระพ่อ คือพระอาญาครูดีไม่ได้ ด้วยเช่ือว่า
ถ้าออกไปอยู่ท่ีอื่นห่างจากคุณพระพ่อ ตัวเองต้องตาย เพราะมารจะมาทำ�ร้าย
เอาให้ถึงแกช่ วี ิต น้เี ปน็ คำ�ถือม่นั สำ�คัญของแม่ชีตัด
ท่านพระอาจารย์ฝั้นพอท่านมาถึง ได้เห็นพฤติการณ์ก็ทราบได้ทันทีว่าถูก
กเิ ลสหลอกใหห้ ลงถอื มน่ั ส�ำ คญั ผดิ เกดิ ทฏิ ฐบิ ญั ญตั ขิ นึ้ มาหลอกตวั เองใหห้ ลง เพราะ
จิตยังไม่มีกำ�ลังสติปัญญา พอที่จะกำ�จัดกิเลสตัวโมหะความหลงให้ขาดหมดส้ิน
ไปได้ จึงมีการกลัวมารตลอดเวลา และยังกลัวตาย ถ้าผู้ที่ส้ินกิเลสแล้วจริง ท่าน
ไม่มีอะไรที่จะกลัว หรือที่จะทำ�ให้ท่านกลัวอีกแล้ว พระอรหันต์ท่านไม่เคยตาย
และท่านไม่เคยกลัวตาย แม่ชีตัดยังมีมาร ยังกลัวมาร และยังกลัวตายเสียดาย
ชีวิตอยู่ จะสำ�เร็จเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร แม่ชีตัดมีญาณรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้
ถูกต้องนั้นไม่ใช่ความรู้ท่ีเกิดปรากฏอยู่ในจิตใจของแม่ชีเอง เป็นความรู้จากสังขาร
ภายนอกปรงุ หลอกใหห้ ลง คอื มพี ระอยบู่ นศรี ษะของแมช่ เี องเปน็ ผบู้ อกและสรญาณ
ให้รู้ แม่ชีตัดจึงรู้ ความรู้ที่สำ�คัญว่าตนรู้ตนเห็นนี้เองมันหลอกตัวเอง ส่วนท่าน
พระอาญาครูดีก็ยังมีความหลงเชื่อแม่ชีตัดว่าเป็นผู้วิเศษ จึงเป็นเหตุให้ชาวบ้าน
ญาตโิ ยมหลงเช่ือไปตามๆ กัน
ฉะนนั้ ทา่ นพระอาจารยฝ์ นั้ จงึ ตอ้ งพดู กบั ทา่ นพระอาญาครดู ใี หท้ า่ นเขา้ ใจดี
มคี วามเห็นชอบตรงถกู ตอ้ งตามความเปน็ จรงิ เสยี กอ่ น จึงค่อยเทศน์แก้แมช่ ตี ัดและ
ญาตโิ ยมบรษิ ทั ภายหลงั ท่านพระอาจารย์ฝนั้ ข้นึ ไปหาท่านพระอาญาครูดี เมอื่ เห็น
ท่านพระอาญาครูดีอยู่ลำ�พังองค์เดียว ท่านพระอาญาครูดีถามพระอาจารย์ฝ้ันว่า
ครูบามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง การปฏิบัติของพวกผมและคณะบริษัทท่ีครูบาได้
มาเห็นอยู่เวลาน้ี ดีแล้วที่ครูบาได้มาพบเห็นด้วยตนเอง เพ่ือจะได้ช่วยกันรับรู้และ
รับรองน�ำ เอาไปประพฤติปฏบิ ตั ติ อ่ ไป
ท่านพระอาจารย์ฝ้ันอยากจะพูดเรื่องนี้กับท่านพระอาญาครูดีมานาน
แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้โอกาส ตอนน้ีท่านได้โอกาสดี เม่ือท่านพระอาญาครูดีพูดจบ
ประวัติพระอาจารยฝ์ ั้น อาจาโร 85
พระอาจารยฝ์ นั้ ทา่ นกพ็ ดู ขน้ึ ทนั ทวี า่ เรอ่ื งนผ้ี มเขา้ ใจดี ผมไดพ้ จิ ารณาแลว้ ตงั้ แตม่ าถงึ
ทแี รก ตามเหตผุ ลแลว้ แมช่ ตี ดั ยงั ไมไ่ ดบ้ รรลธุ รรมส�ำ เรจ็ มรรคผลธรรมวเิ ศษอะไรเลย
จิตหลงวิปัสสนูปกิเลส เป็นเหตุให้เกิดสัญญาวิปลาส ความเห็นเคล่ือนคลาดจาก
ความเป็นจริง พระอาญาครูดีชักจะไม่พอใจในคำ�ตอบของท่านพระอาจารย์ฝั้น
จงึ พดู ขน้ึ ทนั ทวี า่ ถา้ แมช่ ตี ดั ไมไ่ ดบ้ รรลธุ รรมจรงิ เหมอื นอยา่ งครบู าวา่ แลว้ ท�ำ ไมแมช่ ี
จงึ สามารถมญี าณรู้อะไรตอ่ อะไรตา่ งๆ อย่างถกู ต้องเลา่
ตอนนี้ท่านพระอาจารย์ท่านอธิบายธรรมอันสุขุมลึกซ้ึงละเอียดลออ
กวา้ งขวางมาก ยกขอ้ อปุ มาอปุ ไมยไดอ้ ยา่ งดมี าก ผเู้ ขยี นไมส่ ามารถจดจำ�น�ำ เอามา
ลงได้ละเอียดลออทุกถ้อยทุกกระทงได้ จึงนำ�มาลงเท่าท่ีจดจำ�รำ�ลึกข้ึนมาได้
ท่านอธิบายมีตอนหนึ่งว่า ท่ีแม่ชีตัดสามารถมีความรู้มีญาณรู้อะไรต่ออะไรต่างๆ
หลายอย่างน้ัน อาจรู้ได้จริง แต่เป็นเพียง ญาณโลกีย์ เท่านั้น ไม่ใช่ญาณขั้นส้ิน
อาสวะ ญาณโลกีย์น้ัน ถ้าจิตมีสติ มคี วามเพียร ความพยายามภาวนาอยา่ งถกู ต้อง
ของบุคคลผู้ต้องการรู้อรรถรู้ธรรม แล้วประกอบความเพียรเจริญภาวนา มีความ
พยายามอย่างดีมกี ำ�ลังตดิ ตอ่ เนื่องกันไมข่ าดระยะ จิตสงดั จากกาม สงดั จากนวิ รณ์
มจี ติ อนั เปน็ กศุ ล จติ มกี �ำ ลงั ไดร้ บั ความวเิ วก จติ กร็ วมลงสคู่ วามสงบมอี ารมณเ์ ปน็ หนงึ่
แน่วแนอ่ ยูใ่ นภายใน จิตปล่อยวางอารมณห์ ยาบทยี่ ังเหลืออยู่ กา้ วสูค่ วามละเอยี ด
เปน็ จติ บริสุทธ์ิ ผ่องใสสะอาด เปน็ จติ ละเอยี ดอ่อน ควรแก่การบรรลุธรรม ควรแก่
การนอ้ มระลกึ ธรรม ทงั้ ทเ่ี ปน็ อดตี อนาคต และปจั จบุ นั อาจมญี าณรปู้ พุ เพสนั นวิ าส
ชาติกำ�เนิดของตนและของคนอื่นได้ ท่ีเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย
ตายแล้วตายอีก เกิดแล้วเกิดอีก เป็นอเนกชาติไม่สามารถที่จะนับประมาณได้
น้ีก็ยังเป็นความรู้อยู่ในช้ันญาณโลกีย์ หรือมีญาณจักษุ สามารถมองเห็นด้วย
ทพิ ยจกั ษวุ า่ นายนนั้ นางนน้ั ตายแลว้ จากชาตนิ ้ี ไดไ้ ปเกดิ อยทู่ โ่ี นน้ มสี ขุ มที กุ ขต์ กยาก
หรือไดด้ ีอยา่ งน้ๆี มีผวิ พรรณดี หรอื ผิวพรรณทราม มีอายุยืน หรือสั้นเทา่ น้นั ๆ ปี
เห็นชัดด้วยธรรมจักษุไม่ใช่จักษุธรรมดา นี้ก็ยังเป็นญาณโลกีย์อยู่เพราะความรู้คือ
สติปัญญาวิชาขั้นน้ี เป็นแต่เพียงข่มขู่กิเลสอาสวะให้สงบลงชั่วคราวเท่านั้น
ไม่สามารถประหารกิเลสอาสวะที่มีอยู่แล้วในสันดานของตนเองได้ กำ�ลังวิปัสสนา
สติปัญญาญาณ ยงั ไม่มีก�ำ ลังพอ ยงั ไมส่ ามารถทจ่ี ะทำ�นโิ รธในสว่ นอาสวกั ขยญาณ
ให้แจง้ ได้
86 อาจารยิ บชู า พระอาจารยฝ์ นั้ อาจาโร
แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงบรรลุญาณ ทำ�ให้
พระองค์ทรงระลึกชาติได้หลายชาติ หลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น แสนล้าน
อสงไขยชาติ ทเี่ รยี ก ปพุ เพนวิ าสานสุ สตญิ าณ ในยามแรก เปน็ ญาณทห่ี นง่ึ ในวชิ ชา ๓
และพระองค์ไดท้ รงบรรลุ จุตปู ปาตญาณ คือ ทรงร้เู หน็ ชีวิตของสตั วท์ ง้ั หลายเป็น
ไปตามกรรม สัตว์บางจำ�พวกทำ�แต่กรรมชั่ว เม่ือตายกายแตกแล้ว ก็ได้ไปสู่ทุคติ
บางพวกทำ�แต่กรรมดี เมื่อตายกายแตกตายแล้วก็ได้ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์
เปน็ ญาณทสี่ อง พระองค์ไดท้ รงบรรลแุ ลว้ ในเวลาเทีย่ งคืนแหง่ ราตรี ญาณทั้ง ๒ น้ี
พระองค์ได้ทรงบรรลุแล้ว แต่พระองค์ก็ยังไม่ปฏิญาณว่าได้ตรัสรู้แล้ว เพราะญาณ
ทั้ง ๒ คือ การระลึกชาติได้กด็ ี การรู้เหตุการณล์ ่วงหนา้ ก็ดี เป็นแตเ่ พียงญาณรู้เหน็
สง่ิ ภายนอก เปน็ กปุ ปธรรมของอนยิ ตบคุ คล ยงั ไมพ่ น้ ไปจากสงั ขาร อาสวกั ขยญาณ
บังเกิดขึ้นแล้วเมื่อใด เมื่อนั้นจิตได้บรรลุถึงอาสวักขยญาณ สังหารตัดกิเลส เป็น
สมจุ เฉทปหาน ดบั กเิ ลสและกองทกุ ขอ์ ยา่ งไมม่ อี ะไรเปน็ เศษเหลอื แมแ้ ตน่ อ้ ย จงึ เปน็
อรหาอรหะปฏิปันโนบุคคล ผู้ปฏิบัติได้บรรลุถึงซึ่งได้เป็นพระอรหันตขีณาสพแล้ว
ท่านเปน็ ผูช้ นะมารแล้ว ไมเ่ คยหว่ันไหวในกิเลสมารและขนั ธมาร มจั จุมาร
พระอรหนั ต์ท่านไม่เคยตาย และท่านไมก่ ลวั ความตาย เพราะท่านพน้ แลว้
จากความตาย ถ้าจิตใจยังมีความหวั่นไหวอยู่ ชื่อว่ายังไม่ส้ินกิเลส ยังมีความกลัว
ตาย ก็ยังตัดกิเลสยังไม่ได้ พระอรหันต์ท่านไม่เป็นคนขี้ขลาดจิตวิปลาสอย่างน้ี
ส่วนวิญญาณเข้าทรงเข้าสิงก็ไม่เป็นของจริงอะไรเลย อย่าพากันหลงเช่ือหลงถือใน
สงิ่ ทไ่ี มเ่ ปน็ สารประโยชน์ สว่ นพระผเู้ จา้ ของวญิ ญาณทมี่ าเขา้ ทรงกบั แมช่ ซี องทกุ องค์
เวลานี้ทา่ นก็ยังอยทู่ ่ีวดั ป่าสาลวัน จังหวดั นครราชสมี า อาตมากเ็ ห็น ทา่ นเหลา่ นน้ั
ท่านไมไ่ ด้เป็นอะไรเลย ไมม่ ที ่านองค์ไหนทราบเรอ่ื งอะไร เพราะไม่มอี ะไรผดิ ปกติ
ท้ังร่างกายและจิตใจพอท่ีจะเป็นเหตุสงสัยและสนใจ จิตใจเป็นของละเอียดอ่อน
จะน้อมไปเป็นอะไรมันก็เป็นได้ จะน้อมไปทางไหนมันก็ไปทางน้ัน มันสัมปยุต
ด้วยกับเรื่องใด เรื่องน้ันก็เป็นขึ้นมา จิตน้อมไปในทางบ้า มันก็เป็นบ้าข้ึนมา
จิตน้อมไปในทางดีก็เป็นคนดี ไปเป็นสัตว์ก็จิตอันนี้ ไปเป็นเปรต อสุรกาย
ภูตผีปีศาจ ก็ไปจากจิตอันนี้ จิตนี้พาให้เป็น ไม่ใช่สิ่งอ่ืนพาให้เป็นไปเป็นเทวบุตร
เทพธิดา เป็นพระอนิ ทร์ พระพรหม พญายม พญายักษ์ กจ็ ิตนแี่ ลเป็น ตลอดถึง
คนมง่ั มี คฤหบดี เศรษฐี พระมหากษตั รยิ ์ หรอื จะเป็นพระพทุ ธเจ้า ปจั เจกพุทธเจา้
ประวตั ิพระอาจารย์ฝ้นั อาจาโร 87
พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ก็จิตน้ีเองเป็น ถ้าจิตไม่เป็นก็ไม่มีอะไรเป็น
ธรรมทั้งหลายสำ�เร็จมาจากใจ
ขอโอกาสทา่ นอาจารย์ ถา้ อยา่ งนน้ั วญิ ญาณของใครทม่ี าเขา้ ทรงกบั แมช่ ซี อง
ไม่ใช่วิญญาณของพระสามองค์นั้นหรือ (ผู้เขียนกราบเรียนถาม) วิญญาณของ
พระทไี่ หน แม่ชีน้นั แลเป็น มันเปน็ จากจิตของแม่ชีเอง (ทา่ นพระอาจารย์ฝัน้ ตอบ)
พอมาถึงตอนนี้ผู้เขียนใคร่จะเล่าเรื่องวิญญาณเข้าทรงกับสามเณรน้อย
เปน็ คลา้ ยๆ กันอีกเร่ืองหนึง่ มาลงให้ผทู้ ่สี นใจได้อา่ น เพือ่ เปน็ เครอื่ งประดบั ความรู้
เพราะเวลานป้ี ระชาชนชาวไทยในพระพทุ ธศาสนา พากนั เชอ่ื ถอื เรอื่ งวญิ ญาณอะไร
ต่ออะไรเข้าทรงและเข้าประทับทรง แตกต่ืนกันเกล่ือนเกือบท่ัวประเทศ เรื่องน้ี
ไม่เป็นของแปลก สำ�หรับผู้ท่ีใช้สติปัญญาพิจารณาด้วยเหตุผลตามความเป็นจริง
มีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมีแต่เดี๋ยวน้ี ไม่ใช่เป็นของใหม่ท่ีควรแปลกและหลงเช่ือถือ
ให้ชาวพุทธเราทุกๆ ท่านหันมองไปดูทางประชาชนชาวจีนท้ังท่ีอยู่ในประเทศไทย
ประเทศจีนพ้ืนแผ่นดินใหญ่ ในอดีตอันยาวนาน เขามีความเคารพนับถือและ
เชื่อถืออย่างเคร่งมากในเร่ืองวิญญาณมาแต่โบรำ่�โบราณกาลดึกดำ�บรรพ์ ทำ�พิธี
ไหว้วอนเซ่นสรวงดวงวิญญาณให้มาประทับทรง ลงมาแสดงอิทธิฤทธ์ิปาฏิหาริย์
ต่างๆ นานา ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ มีอานุภาพ นิรมิตช่วยดลบันดาลในสิ่งท่ีตน
ตอ้ งการใหส้ �ำ เรจ็ ไดต้ ามความปรารถนาของตนทกุ อยา่ ง ถงึ กบั มกี ารแสดงการลยุ ไฟ
และประทับน่ังกระทืบย่นโยกตัวไปมาอยู่บนปลายเหล็กแหลมคม เอาเหล็กแหลม
แทงปากและตัดลิ้น เอาเลือดมาเขียนคาถาลงยันต์อันศักด์ิสิทธิ์ แจกจ่ายเพ่ือ
จะไดเ้ อาไปตดิ ไวส้ �ำ หรบั ไหวบ้ ชู า จะไดเ้ ปน็ เครอ่ื งปอ้ งกนั รกั ษาทรพั ยส์ มบตั ลิ กู หลาน
บา้ นเรือนของตน
ปัจจุบันนี้ ประชาชนคนจีนในเมืองจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่เป็นอย่างไร
กระเจิดกระเจิงไปอยู่ท่ีไหน วิญญาณอันศักด์ิสิทธิ์ผู้มีอิทธานุภาพมาก ทำ�ไมไม่
แสดงพลงั ฤทธอ์ิ ทิ ธิปาฏิหารยิ ์ทรมานศตั รูผเู้ ป็นปรปกั ษ์กบั ตน ให้เขามีจติ ใจเคารพ
ออ่ นนอ้ ม นบั ถอื เซน่ สรวงกราบไหวบ้ ชู าดว้ ยอ�ำ นาจความเกรงกลวั อทิ ธาเดชานภุ าพ
ของวิญญาณผู้ศักด์ิสิทธ์ิ กลับตรงกันข้าม ถูกเขาทำ�ลายท้ิงหมด ไม่มีความหมาย
อะไรเลย ชว่ ยอะไรไมไ่ ด้
88 อาจาริยบูชา พระอาจารยฝ์ น้ั อาจาโร
พ่อแม่พ่ีน้องของเราชาวพุทธท้ังหลาย สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม
พระธรรมอนั พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ตรสั ดแี ลว้ สนั ทฏิ ฐิโก เป็นของผู้ปฏิบัติจะพึงเห็น
แจง้ ดว้ ยตนเอง พระพทุ ธองคไ์ มใ่ หเ้ ชอื่ ถอื และนบั ถอื ตามโดยมคี วามเหน็ วา่ สง่ิ นเ้ี ปน็
ของดมี คี นนบั ถอื มานาน พระองคส์ อนใหเ้ ชอ่ื กรรมและผลของกรรมทเ่ี รากระท�ำ แลว้
ในปจั จบุ นั แล้วใหล้ ะเลกิ จากการกระทำ�ช่ัวที่ตัวเคยท�ำ มาแล้วนนั้ เสีย แล้วตั้งหนา้
ท�ำ แตค่ วามดีต่อไป นีเ้ ปน็ สวากขาตธรรม เป็นคำ�ทพ่ี ระองคท์ รงตรสั สง่ั สอนอยา่ ง
ดีแล้ว เรานับถือและเช่ือถืออย่างน้ีเป็นการนับถือเช่ือถือถูกต้องตามธรรมคำ�สอน
ของพระพุทธเจา้ อยา่ หลงเช่ืองมงายกราบไหวว้ ิญญาณ
วญิ ญาณทีท่ อ่ งเทย่ี ววนเวยี นอยใู่ นโลกหรือในไตรภพ ไม่ใช่วิญญาณที่วเิ ศษ
อะไร เปน็ วญิ ญาณทย่ี งั มคี วามทกุ ขใ์ นทกุ ขข์ นั ธเ์ หลา่ นแ้ี ล อนั จติ ของทา่ นผวู้ สิ ทุ ธนิ นั้
ทา่ นไมม่ าวนุ่ วายในรา่ งกายอนั สกปรกของคนทยี่ งั มกี เิ ลสหนาปญั ญาหยาบอยา่ งนนั้
หรอก ท่านเบือ่ ท่านหนา่ ยคลายจากจิตของท่านเสียหมดแลว้ จะมเี หตปุ จั จัยอนั ใด
ที่จะมาพาให้ท่านเกี่ยวข้องอีกเล่า การเซ่นสรวงพระภูมิเจ้าที่ ภูตผี วิญญาณ
การเข้าทรงเหล่านี้ พระพุทธเจ้าก็ดี พระอริยสงฆ์สาวก อริยอุบาสกอุบาสิกา
ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสละละท้ิงอย่างเด็ดขาดแล้ว
พวกเราชาวพทุ ธทส่ี ดุ ทา้ ยภายหลงั กย็ งั โงง่ มงายตายอยาก ยงั มาเกบ็ เอาซากทที่ า่ น
ลากทิง้ ไปแล้ว มาเปน็ ที่เคารพรับนับถือกราบไหวบ้ ชู า เอามาเป็นทพ่ี ่งึ หรอื นห้ี รอื
เขมาเขมะสรณคมน์ อันอดุ มของเราอย่างประเสรฐิ เลิศจรงิ
ชักจะออกนอกเร่ืองไปแล้ว ขอกลับจับเอาเร่ืองวิญญาณเข้าประทับทรง
สามเณรนอ้ ยมาด�ำ เนนิ ตอ่ ไป เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ มสี ามเณรนอ้ ยรปู หนงึ่ อายปุ ระมาณ
๑๒ หรอื ๑๓ ขวบนแี้ หละ พ�ำ นกั อยวู่ ดั อโศการาม ต.บางปงิ้ อ.เมอื ง จ.สมทุ รปราการ
เธอเป็นคนขยันข้อวัตรปฏิบัติดี มีความเพียร พระอาจารย์ของเธอได้แนะนำ�
พรำ่�สอนอบรมให้หมั่นเจริญภาวนา พานั่งสมาธิทุกวันมิได้ประมาท วันหน่ึง
สามเณรนอ้ ยก�ำ ลงั นง่ั ภาวนา กป็ รากฏวา่ วญิ ญาณของทา่ นพอ่ ลี ธมมฺ ธโร (พระสทุ ธิ
ธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์) อดีตเจ้าอาวาสวัดอโศการาม มาเข้าประทับทรง
กับสามเณร แล้วมาแสดงพระธรรมเทศนาให้พระภิกษุและสามเณรแลอุบาสก
อุบาสิกาฟัง ปกติสามเณรนอ้ ยยงั เทศนไ์ มเ่ ป็นเพราะเพง่ิ บวช แตเ่ วลาวญิ ญาณของ
ประวตั พิ ระอาจารยฝ์ ้ัน อาจาโร 89
ท่านพ่อลีมาเข้าประทับทรง เธอเทศนาได้คล่อง ถูก เหมือนท่านพ่อลีเทศน์จริงๆ
ไมม่ ีผิด
ขา่ วน้ีไดก้ ระจายไปท่วั วดั และชาวบา้ นพากันแตกตน่ื ท้ังพระภิกษุ สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา พากันหล่ังไหลไปฟังเทศนาท่านพ่อลี ท่ีวิญญาณของท่านมา
เข้าประทับทรงในร่างของสามเณร บางท่านก็สงสัย บางท่านก็เชื่อว่าเป็นวิญญาณ
ของทา่ นพอ่ ลีมาเขา้ ประทบั ทรงจรงิ ๆ ส่วนพระผเู้ ป็นอาจารยข์ องสามเณรน้อยใคร่
จะพสิ ูจน์ เพื่อทราบข้อเท็จจรงิ ให้ยิง่ กวา่ นี้ จงึ ไดพ้ าสามเณรตระเวนไปหาพระเถระ
ครูบาอาจารย์ท่านผู้เช่ียวชาญในด้านนี้ตามวัดต่างๆ ทางภาคอีสาน เพ่ือให้ท่าน
พิสจู นแ์ ละรบั รอง
พระอาจารย์ของสามเณรน้อยพาสามเณรน้อยไปหาพระอาจารย์ฝั้นท่ีวัด
พระศรีมหาธาตุ เวลาน้ันท่านอาพาธ ท่านได้ไปพักให้หมอรักษาอยู่ที่เรือนรับรอง
วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน พระนคร พ.ศ. ๒๕๐๖ พระอาจารย์ของสามเณรได้
เล่าความเป็นไปเกี่ยวกับเร่ืองวิญญาณของท่านพ่อลีมาเข้าประทับทรงกับสามเณร
ลูกศิษย์ของท่าน ตามท่ีได้เป็นมาแล้วต้ังแต่ต้นจนตลอดดังท่ีได้กล่าวมาแล้ว เพ่ือ
ใหท้ า่ นพระอาจารยฝ์ น้ั พสิ จู นข์ อ้ มลู ใหท้ ราบความเทจ็ จรงิ เมอื่ พระอาจารยอ์ งคน์ นั้
เล่าจบแล้ว ทา่ นพระอาจารยฝ์ นั้ ก็ไดพ้ ดู ขน้ึ ทนั ทีวา่ อยา่ หลงเชอื่ สัญญามันหลอก
ไม่เป็นความจริงอะไรหรอก น้ีก็เร่ืองหนึ่งที่ท่านพระอาจารย์ฝั้นท่านไม่ให้เชื่อถือ
ตั้งแต่น้ันมาท้ังพระผู้เป็นอาจารย์และสามเณรน้อยได้หายเงียบไป เลยไม่ทราบไป
อยูไ่ หนจนบดั น้ี
ท่านพระอาญาครูดีชักลังเลใจ เมื่อได้ฟังคำ�ชี้แจงแสดงธรรมของท่าน
พระอาจารย์ฝ้ันแล้ว ต่อมาพระ ๓ องคค์ ือ พระทองเพียร พระทองดี พระทองใย
ซงึ่ จ�ำ พรรษาอยทู่ วี่ ดั ปา่ สาลวนั นครราชสมี า ทเ่ี ปน็ เจา้ ของวญิ ญาณกไ็ ดเ้ ดนิ ทางมาถงึ
มาพักอยู่วัดป่าสงบอารมณ์ บ้านนาโสก ได้เป็นกำ�ลังสนับสนุนให้เห็นจริงตาม
พระธรรมเทศนาของท่านพระอาจารย์ฝ้ัน วันน้ันท่านได้ประกาศให้พระภิกษุ
สามเณร ญาตโิ ยม อุบาสก อุบาสิกา ทัง้ ในวดั แลในบา้ นใหม้ ารวมฟังธรรมค�ำ อบรม
สั่งสอนของท่านพระอาจารย์ฝ้ัน ที่ศาลาโรงธรรม เมื่อถึงเวลาได้มาประชุม
พร้อมเพรยี งกนั แลว้ พระอาจารยฝ์ น้ั ก็ไดล้ งมาเทศนาชแี้ จงแสดงธรรมพรำ�่ สัง่ สอน
90 อาจารยิ บูชา พระอาจารยฝ์ นั้ อาจาโร
ให้ทุกคนตั้งอยู่ในความสงบ ให้มีระเบียบเรียบร้อย นี้เป็นธรรมแท้ของพระพุทธ
ศาสนา อย่าพากันแตกตื่น อยา่ พากนั หลง ชุลมุนว่นุ วายกัน ตอนน้ีผฟู้ ังสงัดเงยี บ
เหมือนกะไมม่ ลี มหายใจ
พระอรหนั ตขณี าสพเจา้ ทง้ั หลาย ทง้ั ในอดตี และปจั จบุ นั ทา่ นไมต่ ายเหมอื น
สตั วธ์ รรมดา เพราะทา่ นไมม่ อี ารมณ์ และไมม่ อี ะไรทจ่ี ะมาท�ำ ใหท้ า่ นตายดว้ ย ทา่ น
จงึ ไมก่ ลัวตาย และท่านไมเ่ คยกลวั ภัย เพราะทา่ นพ้นจากภัยแล้ว ทา่ นจึงเปน็ ผ้ไู ม่มี
ภัยที่จะท�ำ ใหท้ ่านกลวั ท่านเป็นผไู้ ม่หวั่นไหวต่อทกุ ข์ภัยอนั ตรายชวี ิตแตกตายใดๆ
ท้ังส้ิน นี้เป็นพระอรหันต์ ผู้สิ้นกิเลสอาสวะแท้ ท่านเป็นผู้ได้บรรลุถึงธรรมจริงแท้
ใหพ้ ากนั เขา้ ใจตามนี้ พวกเราเวลานไ้ี มเ่ ปน็ อยา่ งนนั้ มแี ตม่ ารคอยจองกรรมจองเวร
เบยี ดเบียนแก่กนั และกนั สะดุ้งหวาดระแวงตลอดเวลา หาความสงบก็ไมม่ ี คลกุ คลี
ตลอดวันตลอดคืน ต้องมีเวรยามเฝ้าประตู กลัวศัตรูจะมาทำ�อันตราย จิตใจที่มี
ความสะดงุ้ หวาดขีข้ ลาดขี้กลัวอยา่ งนี้หรือเป็นจิตใจท่มี ีภมู ธิ รรมขน้ั สูง จะให้เชื่อถือ
ได้อยา่ งไรเม่อื จิตใจมนั เปน็ อย่างน้ี กิเลสตัวเองหลอกตัวเอง แลว้ ก็เทย่ี วหลอกลวง
ผอู้ นื่ ใหห้ ลงเชอ่ื ตามๆ ไปดว้ ย กเิ ลสมนั สรา้ งภาพพจนข์ นึ้ ในจติ ของตวั เองแลว้ แสดง
ใหต้ นและคนอนื่ เหน็ วา่ เปน็ ผวู้ เิ ศษ ผไู้ มม่ คี วามเชยี่ วชาญในดา้ นนก้ี เ็ ชอื่ มนั่ ดว้ ยส�ำ คญั
ว่าเป็นความจริง หลงเช่ืออย่างงมงายวุ่นวายกันท้ังวัดท้ังวา พระพุทธเจ้าก็ดีแล
พระอริยสงฆส์ าวกของพระพุทธเจา้ ก็ดี ท่านไมห่ ลงงมงาย และทา่ นไม่เคยสอนให้
เช่ือถือความหลงงมงายเหมอื นอยา่ งพวกเราเด๋ยี วนีเ้ ลย
ตอ่ ไปอยา่ พากนั ตน่ื ขา่ ว อยา่ พากนั เชอ่ื ถอื ความตนื่ ขา่ ว พระพทุ ธเจา้ พระองค์
ทรงสง่ั สอนพระพทุ ธสาวก อบุ าสก อบุ าสกิ า ใหม้ คี วามฉลาดมปี ญั ญา พระองคส์ อน
ใหพ้ วกเราใชส้ ตปิ ญั ญาพจิ ารณาเหตแุ ละผล อนั เปน็ หลกั ธรรมแหง่ ความจรงิ เพราะ
สภาวธรรมท้ังหลายมาจากเหตุ ถ้าเหตุดี ผลก็ต้องดีมาตามเหตุ จะเปลี่ยนแปลง
เปน็ อยา่ งอนื่ ไปไมไ่ ด้ เปน็ ธรรมจรงิ ไปตามเหตแุ ลผลตงั้ แตไ่ หนแตไ่ รมา มมี านานแลว้
เปน็ ของจริงอย่างมน่ั คง มีตลอดกาล สว่ นเหตุทางฝา่ ยไมด่ นี ้นั ละ่ ส่วนผลนนั้ ก็ตอ้ ง
ไม่ดีมาตามเหตุเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนควรจำ�ไว้เป็นหลักความ
ประพฤตแิ ละปฏบิ ัติตอ่ ไป อยา่ พากันถอื ผดิ วปิ รติ ไปจากเหตแุ ละผล
ประวตั ิพระอาจารย์ฝ้ัน อาจาโร 91
ผฟู้ งั ทกุ คนนงั่ ก�ำ หนดจติ ของตนอยา่ งสงบเงยี บ หยง่ั จติ ใจใหถ้ งึ อรรถถงึ ธรรม
เม่ือพระอาจารย์ฝ้ันแสดงพระธรรมเทศนาจบลงแล้ว ผู้ฟังได้ยกมือขึ้นสาธุการ
พร้อมกันเป็นเสียงเดียวกันหมดทุกคน ทุกคนรู้สึกว่ามีความปลื้มปีติ ดีใจใน
พระสทั ธรรมเทศนาของทา่ นพระอาจารยฝ์ นั้ ในครง้ั นน้ั เปน็ อยา่ งยงิ่ พระอาจารยฝ์ น้ั
สงั่ ใหแ้ มช่ ตี ดั เกบ็ ขนสง่ิ ของของแมช่ เี อง ออกไปจากกฏุ ทิ แี่ มช่ ตี ดั อยใู่ กลช้ ดิ กบั กฏุ ขิ อง
พระอาญาครดู ี ไปอยกู่ บั พวกชขี า้ งนอก ทแี รกแมช่ ตี ดั คดั คา้ นไมย่ อมไป วา่ ถา้ ออกไป
แลว้ ตวั เองตอ้ งตาย ตายกต็ ายซี ใหม้ นั รู้ พระอรหนั ตไ์ มต่ อ้ งกลวั ตาย ทา่ นพระอาจารย์
ฝ้ันกล่าว ผลสุดท้ายแม่ชีตัดจำ�เป็นต้องขนของออกไป ทั้งท่านพระอาญาครูดีและ
แม่ชีตัดยังลังเลใจในความเช่ือถือความสำ�คัญสัญญาของแต่ละฝ่ายท่ีเคยยึดม่ัน
ถอื มน่ั มาแตก่ อ่ น ปลอ่ ยวางยงั ไมไ่ ดห้ มด พระอาจารยฝ์ น้ั ทา่ นจงึ ใหญ้ าตโิ ยมรบั ทา่ น
พระอาญาครดู พี าไปสง่ ทปี่ า่ ชา้ ระหวา่ งบา้ นนาหวั ชา้ งกบั บา้ นบะทองตอ่ กนั ในอ�ำ เภอ
พรรณานคิ ม จงั หวัดสกลนคร (เวลาน้ีเป็นวัดป่าอดุ มสมพร)
พระอาจารย์ฝั้นท่านได้ชำ�ระแก้ไขเรื่องพระอาญาครูดีกับแม่ชีตัดตามท่ี
ท่านพระอาจารย์สงิ ห์ได้มอบหมายมาให้ เมือ่ ท่านได้แกไ้ ขสำ�เร็จเสรจ็ สิ้นเรียบรอ้ ย
แลว้ พอถงึ เวลาจะเขา้ พรรษา ทา่ นกเ็ ดนิ ทางกลบั นครราชสมี า ไปจ�ำ พรรษาอยทู่ ว่ี ดั ปา่
ศรทั ธารวม ทา่ นจึงได้เล่าใหผ้ เู้ ขียนฟงั เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ภายหลังท่านพระอาญา
ครดู ไี ดย้ า้ ยไปอยบู่ า้ นมว่ งไข่ และไดถ้ งึ แกม่ รณภาพอยทู่ น่ี น้ั (ประมาณ พ.ศ. ๒๔๙๑)
ฟื้นฟูพระพทุ ธศาสนาทไ่ี ทยใหญ่ (เมอื งเชยี งตุง)
เมื่อสงครามโลกครั้งท่ี ๒ ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ทหารไทยได้ร่วมกับ
ทหารสัมพนั ธมิตร (ญ่ีป่นุ ) ยกทัพไปท�ำ การตอนเหนือของประเทศ ทำ�การยดึ เมอื ง
เชียงตุงได้ จอมพลผิน ชุณหะวัณ เม่ือมียศเป็นพลตรีหลวงชำ�นาญยุทธศาสตร์
เปน็ แมท่ พั กองทพั มณฑลทหารบกที่ ๓ จงั หวัดนครราชสีมา ไดค้ ุมทหารออกไปรบ
ครั้งน้ีด้วย เมื่อเข้ายึดเมืองเชียงตุงได้แล้ว ทางรัฐบาลไทยได้แต่งต้ังพลตรีหลวง
ชำ�นาญยุทธศาสตร์เป็นข้าหลวงใหญ่อยู่เมืองเชียงตุง แต่ได้เปล่ียนชื่อจากเชียงตุง
มาเป็นสหรัฐไทยใหญ่ จอมพลผินจึงได้เดินทางกลับนครราชสีมา เพ่ือมาย้าย
ครอบครัวเขา้ กรุงเทพฯ แลว้ จะไดไ้ ปอยปู่ ระจ�ำ ท่ีมณฑลสหรัฐไทยใหญ่ตอ่ ไป
92 อาจาริยบูชา พระอาจารยฝ์ นั้ อาจาโร
เมื่อจอมพลผินเดินทางไปถึงนครราชสีมาแล้ว จึงมีบัญชาให้นายทหาร
ไปนิมนต์ท่านพระอาจารย์ฝ้ันที่วัดป่าศรัทธารวม พร้อมท้ังพระองค์อื่นอีก
รวมทง้ั หมด ๕ รปู ใหไ้ ปรบั สงั ฆทานทบ่ี า้ นของทา่ น ในพระจ�ำ นวน ๕ รปู นน้ั มผี เู้ ขยี น
อยู่ด้วย ท่านพระอาจารย์ฝ้ันไปถึงบ้าน ล้างเท้าเช็ดเท้า นิมนต์ท่านขึ้นข้างบนนั่ง
บนอาสนะทตี่ บแตง่ ไว้เรียบรอ้ ยแลว้ จอมพลผนิ แตง่ ตวั แบบพลเรอื น นุ่งกางเกงจนี
ขายาว เสอื้ ขาวแขนสนั้ เขา้ มากราบใกลช้ ดิ พระอาจารยฝ์ นั้ อยา่ งเรยี บรอ้ ยเหมอื นกะ
ลูกศิษย์กน้ กุฏิ ผเู้ ขียนเหน็ แลว้ จำ�ท่านไม่ได้ เขา้ ใจว่าเปน็ ชาวจนี หรอื พ่อค้าคฤหบดี
มาร่วมพิธีทำ�บุญถวายสังฆทาน ต่อเม่ือพระอาจารย์ฝ้ันท่านถามข้ึนว่าคุณหลวง
สบายดีหรือ มาถงึ แต่เมือ่ ไร จงึ ทำ�ให้ผ้เู ขียนทราบว่าเป็นจอมพลผิน
จอมพลผินตอบคำ�ถามของท่านพระอาจารย์แล้ว ได้เล่าเร่ืองต่างๆ ถวาย
ใหท้ า่ นพระอาจารยฝ์ น้ั ฟงั วา่ กระผมไดเ้ ขา้ ไปทจี่ งั หวดั พระตะบอง ประเทศกมั พชู า
(เขมร) ตอนทหารไทยเราได้ยกกำ�ลังไปรบอินโดจีน ได้เข้ายึดจังหวัดพระตะบอง
ประเทศเขมร หลังจากทหารไทยของเรายึดจังหวัดพระตะบองไว้ได้แล้ว กระผม
ได้เข้าไปเห็นจังหวัดพระตะบองเป็นครั้งแรก ปรากฏเหมือนกับเมืองร้าง เงียบ
วังเวงไม่มีผู้คนเดินไปมา ประตูบ้านเรือนปิดหมด วัดวามีอยู่ก็ปิดประตูเงียบหมด
เชน่ เดยี วกนั ใหท้ หารสรุ นิ ทรท์ พ่ี ดู ภาษาเดยี วกนั ไปเทย่ี วคน้ หา จงึ ไดท้ ราบวา่ เขากลวั
ทหารไทย ไดพ้ ากนั หลบหนอี อกไปจากบา้ นไปซกุ ซอ่ นอยตู่ ามไรน่ าปา่ เขา ทหารไทย
จึงได้ไปหาและเกลี้ยกล่อมให้ผู้ที่หลบหนีกลับเข้ามาอยู่บ้านสู่เมืองคืนปกติ และ
ได้ประกาศว่า คณะทหารไทยไม่ไดเ้ ป็นศตั รกู บั พอ่ แมพ่ ี่น้องชาวพระตะบอง แตม่ า
คมุ้ ครองใหพ้ อ่ แมพ่ น่ี อ้ งชาวพระตะบองของเราอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ขอใหพ้ อ่ แมพ่ น่ี อ้ งของ
เราท่ีหลบซ่อนอยู่กลับมาสู่อยู่บ้านช่องของตนๆ ต่อไป ประชาชนท่ีได้หลบหนีภัย
พอได้ยินประกาศก็พากันดีใจ หล่ังไหลออกจากป่ากลับคืนมาสู่อยู่บ้านเรือน
ของตนทกุ ๆ คน
จอมพลผินเล่าตอ่ ไปอกี วา่ มีท้งั พระภิกษุและสามเณรเป็นจำ�นวนหลายรูป
มีพระเถระผู้ใหญ่เป็นหัวหน้า ได้นำ�ดอกไม้เครื่องสักการบูชาถือเอาเข้าหากระผม
แล้วบอกว่าอาตมภาพได้นำ�เคร่ืองสักการะมาเพ่ือคารวะท่านผู้เป็นหัวหน้าทหาร
กองทพั ไทยในทน่ี ้ี กระผมไดย้ นิ พระเถระท่านกล่าวดังนัน้ ก็ตกใจ เพราะไม่เคยเห็น
ประวัตพิ ระอาจารย์ฝ้นั อาจาโร 93
ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า พระทำ�ความเคารพคารวะฆราวาสญาติโยมอย่างนี้เลย
กระผมรีบลุกขึ้นกราบเรียนให้ท่านทราบทันทีว่า ไม่ได้ พระเจ้าพระสงฆ์เคารพ
คารวะคฤหัสถ์อย่างผมไม่ได้ ว่าแล้วกระผมก็นิมนต์ท่านทุกรูปข้ึนไปน่ังบนท่ีสูง
สว่ นกระผมไดน้ งั่ ลงบนพนื้ ทต่ี �ำ่ แลว้ กราบนมสั การทา่ นผเู้ ปน็ พระเถระผใู้ หญใ่ นสงฆ์
แล้วได้กราบเรียนท่านว่า คณะรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ
ประชาชนไทยเคารพนับถือพระพุทธศาสนา ยกพระพุทธศาสนาเป็นศาสนา
ประจ�ำ ชาติ คนไทยทกุ คนไมว่ า่ จะเปน็ คนชนชนั้ วรรณะใด ทกุ คนยอ่ มมคี วามเคารพ
กราบไหว้พระสงฆ์ผู้ทรงศีลและบวชในพระพุทธศาสนา แม้บวชในวันน้ันก็ตาม
คฤหัสถจ์ ำ�ต้องท�ำ ความเคารพกราบไหว้พระสงฆ์
รัฐบาลไทยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยและประชาชนชาวไทย
มีความเคารพนับถือพระสงฆ์องค์เจ้าในพระพุทธศาสนาอย่างนี้ เม่ือจอมพลผิน
พดู จบแลว้ มพี ระสงฆช์ าวจงั หวดั พระตะบองทเ่ี คยมาอยเู่ มอื งไทยและพดู ภาษาไทยได้
ลุกขึ้นขออนุญาตพระมหาเถระแล้วพูดขึ้นว่า ท่ีอาตมภาพพร้อมด้วยคณะพระ
ภิกษุสามเณรได้นำ�เครื่องสักการะมาทำ�ความเคารพคารวะ ฯพณฯ น้ี ก็ได้พากัน
ทำ�ตามธรรมเนียมท่ีเคยทำ�มาทุกคร้ังท่ีเจ้านายขุนนางผู้ใหญ่ฝรั่งเศสมา พระเถระ
ผู้ใหญ่ในถิ่นน้ันต้องพาพระภิกษุสามเณรนำ�เคร่ืองสักการะไปแสดงทำ�ความเคารพ
คารวะฝรั่งผู้เป็นเจ้าขุนมูลนายท่ีมาในถิ่นน้ัน พระสงฆ์ท่ีน้ีได้ปฏิบัติอย่างน้ีมาเป็น
เวลานานแล้ว จึงเป็นธรรมเนียมสืบต่อกันมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ท่านผู้อ่านเม่ือได้
อ่านมาถึงตอนน้ีแล้วมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง เจ้านายฝร่ังเศสที่ปฏิบัติต่อพระสงฆ์
ในพระพทุ ธศาสนาของประชาชนกมั พชู าในสมยั นน้ั ปจั จบุ นั นยี้ งิ่ ย�ำ่ แยไ่ ปกวา่ นน้ั อกี
จอมพลผนิ จงึ ไดก้ ราบเรยี นทา่ นพระอาจารยฝ์ น้ั ตอ่ ไปวา่ เวลานค้ี ณะรฐั บาล
นายกจอมพล ป. พบิ ูลสงคราม ได้แตง่ ต้ังให้กระผมไปเป็นข้าหลวงประจ�ำ อยูเ่ มอื ง
เชยี งตงุ แตม่ าเปลย่ี นชอ่ื ใหมว่ า่ สหรฐั ไทยใหญ่ เมอ่ื กระผมไดไ้ ปอยปู่ ระจ�ำ แลว้ กระผม
จะต้องปรับปรุงบ้านเมือง พร้อมท้ังพระพุทธศาสนาก่อน เพราะพระพุทธศาสนา
ในประเทศน้ันเสื่อมทรามไปหมด เกือบจะไม่มีเหลือเลย พระเณรฉันอาหาร
ทกุ เวลาไดเ้ หมอื นฆราวาส เขา้ ไปในบา้ นเลย้ี งดลู กู หลาน เฝา้ บา้ นใหพ้ อ่ แมไ่ ปหากนิ
ไปอยปู่ ะปนกบั ผหู้ ญงิ ยงิ เรอื เขาไมถ่ อื กนั พระทป่ี ฏบิ ตั เิ หมอื นทา่ นพระอาจารยไ์ มม่ เี ลย
94 อาจาริยบูชา พระอาจารยฝ์ ั้น อาจาโร
ท่านอาจารย์ว่างไหม ถ้าท่านอาจารย์ไม่ขัดข้อง กระผมขอนิมนต์ท่านอาจารย์
ไปช่วยอบรมสั่งสอน ฟ้ืนฟูพระพุทธศาสนาที่มณฑลสหรัฐไทยใหญ่ด้วย เวลาน้ี
ท่านอาจารย์มหาป่ินไปอยู่ที่ไหน (หมายถึงพระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล
ผเู้ ป็นน้องชายของท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนั ตยาคโม อดตี เจ้าอาวาสวัดปา่ สาลวัน)
จอมพลผนิ ถาม อาตมาเวลานว้ี า่ ง สว่ นตวั แลว้ กไ็ มม่ คี วามขดั ขอ้ ง แตพ่ ระอาจารยส์ งิ ห์
ไม่ทราบท่านจะว่าอย่างไร พระอาจารย์มหาป่ินเวลาน้ีท่านอยู่ที่วัดป่าทรงคุณ
ดงพระราม จงั หวัดปราจีนบุรี ท่านพระอาจารยฝ์ ้นั ตอบ แหมทา่ นอย่ไู กลเหลอื เกิน
จะไปนมิ นตก์ ไ็ มม่ เี วลา กระผมจ�ำ ตอ้ งรบี กลบั เอาอยา่ งนกี้ แ็ ลว้ กนั กระผมขอนมิ นต์
ทา่ นอาจารยฝ์ นั้ ตอนนเ้ี ลย แตก่ ระผมจะตอ้ งเดนิ ทางไปกอ่ น เมอื่ ไปถงึ เมอื งเชยี งตงุ
แล้ว กระผมจะสั่งมาเป็นทางการให้มารับท่านอาจารย์ไป ถ้าหากว่าท่านอาจารย์
ได้พบกับท่านอาจารย์มหาป่ินแล้ว กระผมขอกราบนิมนต์ท่านไปด้วย ถ้าท่าน
อาจารย์กับท่านอาจารย์มหาปิ่นได้ไปอบรมสั่งสอนพาประพฤติปฏิบัติ ฝึกหัด
ศึกษา เหมือนท่ีท่านอาจารย์ทำ�อยู่เวลาน้ี จะได้ประโยชน์มาก ท่ีจริงกระผมไม่ได้
ทะเยอทะยานอยากได้อะไรอีกเลย ยศกระผมก็พอ เงนิ เดอื นกระผมก็พอ แต่นายก
ท่านไม่ยอมท่านเอาให้ เอาให้ กระผมก็จำ�เป็นต้องรับ เม่ือได้เวลาแล้วก็ทำ�พิธี
ถวายสังฆทานท่านพระอาจารย์และพระทุกองค์รับแล้ว ถวายพรเสร็จแล้วก็พา
กลบั ไปฉนั ท่วี ัด
ภายหลงั ทา่ นพระอาจารยฝ์ นั้ เคยพดู ใหใ้ ครตอ่ ใครฟงั อยเู่ สมอวา่ มจี อมพลผนิ
คนเดียวเท่านั้นแหละท่ีรู้จักพอ นอกน้ันยังไม่เคยได้ยินใครในเมืองไทยสักคนเดียว
พูดว่าพอเลย ในตอนสุดท้ายญี่ปุ่นแพ้สงคราม มณฑลสหรัฐไทยใหญ่ก็กลับเป็น
เมืองเชียงตุงเหมอื นเดิม
(ประวัติพระอาจารย์ฝั้น อาจารโร ที่พระอาจารย์สุวัจน์ สุวโจ เรียบเรียง
จบแต่เพียงเท่าน้ี)
พระธรรมเทศนา
โดยพระอาจารยฝ์ ้ัน อาจาโร
“...เราทุกวันน้ี
การที่ฟงั ๆ กันทกุ วนั
แต่ไม่ปรากฏจะได้ส�ำเรจ็ มรรค ส�ำเร็จผล
คือเราเป็นแต่ฟังเปน็ พิธี
มิไดฟ้ งั ถึงธรรม ถึงวินัย ถึงข้อปฏบิ ตั .ิ ..”
๑
มนุษย์ ๗ จำ�พวก
โดย พระอาจารย์ฝน้ั อาจาโร
ณ วดั ป่าอุดมสมพร จ. สกลนคร
วันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๘
เข้าท่ีฟงั ธรรม น่งั ให้สบาย เรามาน่ีต้องการความสุข ความสบาย ฟังธรรม
ต้องฟังข้างใน ไม่ต้องไปฟังข้างนอก ฟังข้างนอกมันได้ยินแต่เสียง เสียงว่ามันสุข
มนั ทุกขน์ ่ี ไดย้ นิ แต่เขาวา่ น่ีฟังเขา้ ข้างใน นั่งให้สบาย น่งั ขาขวาทับขาซา้ ย มือขวา
ทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง วางท่าวางทางให้สง่าผ่าเผย ย้ิมแย้มแจ่มใส เรามาน่ี
ต้องการความสุขความสบาย ฟังข้างในอย่าไปฟังข้างนอก ธรรมดาผลไม้ก็ดี
มันงอกข้ึนจากใน สุขกไ็ มอ่ ยู่ขา้ งนอก อย่ขู ้างใน เรานัง่ ให้สบายๆ เมือ่ กายเราสบาย
แล้ว เรากว็ างดวงใจใหส้ บาย
เมอื่ กายใจสบายใหน้ กึ ถงึ ทพ่ี ง่ึ ของเราทงั้ หลายวา่ อะไรเปน็ ทพี่ งึ่ ทา่ นสอนวา่
เอาคุณพระพุทธเจ้า เอาคุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ เป็นสรณะท่ีพึ่ง เป็นที่ระลึก
เปน็ ที่กราบท่ไี หวส้ กั การบูชาของเรา ไมม่ ีสง่ิ อนื่ เปน็ สรณะไดน้ อกจากพระพุทธเจา้
น้ีในเบื้องต้น ต่อไปเราก็นึกคำ�บริกรรมภาวนา บริกรรม สรณะ คือสรณะของจิต
ไดแ้ ก่ค�ำ บริกรรมวา่ พทุ โธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ สามหนแล้วรวมเอาแต่
พุทโธๆ คำ�เดียว หลับตางับปากเสีย ลิ้นก็ไม่กระดุกกระดิก ให้ระลึกเอาในใจ
เดย๋ี วเราอยากรวู้ า่ ตวั ของเรามนั เปน็ ยงั ไงอยู่ ความสขุ ความทกุ ขข์ องเรานี่ เราอยากรู้
วา่ มนั อยชู่ นั้ ใด ภมู ใิ ด หรอื ในภพอนั ใด มนั ดหี รอื มนั ชวั่ หรอื อะไรดอี ะไรชว่ั กฟ็ งั ขา้ งใน
อย่าไปฟังข้างนอก ท่านฟังกันแต่ก่อน ได้ยินพระพุทธองค์ทรงเทศนาแล้ว สาวก
ท้งั หลายไดส้ ดบั โอวาทค�ำ สง่ั สอนของทา่ นแล้ว ก็ได้ส�ำ เร็จมรรคส�ำ เร็จผล
98 อาจารยิ บชู า พระอาจารย์ฝน้ั อาจาโร
มาเด๋ียวนี้ฟังเทศน์แล้วก็แล้วไป ไม่มีใครได้มรรคได้ผล ก็เพราะฟังไม่ดี
เม่อื ฟังธรรมไม่ดกี เ็ ลยไม่มพี ระพทุ ธ ไมม่ พี ระธรรม ไมม่ พี ระสงฆ์ เลยไม่มศี าสนา
ไมร่ ู้จักว่าศาสนาอยู่ตรงไหน อยตู่ รงฟา้ หรืออยูต่ รงอากาศ หรืออยตู่ รงพืน้ ดนิ หรือ
ตรงปา่ เขาเลากา อนั นี้ สวรรคอ์ ยทู่ ไี่ หน นรกอยทู่ ไ่ี หน นพิ พานอยทู่ ไี่ หน ไดย้ นิ แตว่ า่
นรกสวรรคน์ พิ พาน เดย๋ี วนคี้ นทงั้ หลายกเ็ ลยไมเ่ ชอื่ ไมเ่ ชอื่ นรกสวรรค์ วา่ บญุ วา่ บาป
คนท้ังหลายว่าเหลือเชื่อ ศาสนาคำ�ส่ังสอนของพระพุทธเจ้าก็เหลือเชื่อ ว่าศาสนา
ไมม่ ปี ระโยชน์ ทำ�ใหค้ นโง่
คิดดูเดี๋ยวนี้ละ ศาสนาอะไรทำ�ให้คนโง่ ดูซี ศาสนาคืออะไร ศาสนาคือ
คำ�สั่งสอน ท่านสอนอะไร ก็สอนกายสอนวาจาสอนใจของคน ท่านไม่ได้สอนอื่น
สอนเพื่ออะไรกายวาจาใจของคน ท่านให้ละความชั่วทางกายทางวาจาทางใจ
ความช่ัวไม่ได้อยู่ที่อ่ืน อยู่ที่กายท่ีวาจาท่ีใจของคน ท่านสอนให้ละความชั่วเพราะ
กลัวเราทุกข์กลัวเรายาก กลัวเราล�ำ บากรำ�คาญ กลัวเราอดเราจน ตกทุกข์ได้ยาก
ท่านสอนอย่างนี้ก็ดูเอาซี เชื่อหรือไม่เช่ือ ว่าทุกข์ยาก อะไรทุกข์ล่ะ หรือข้าวของ
เงินทองทุกข์ยาก หรือฟ้าอากาศทุกข์ยาก การงานทุกข์ยาก ไม่มี มีแต่หัวใจคน
มันทกุ ขย์ าก หวั ใจคนวุน่ วายเดือดร้อน นแี่ หละให้ดเู อา น่ีแหละบาป นี่แหละนรก
เม่ือจิตเป็นอย่างน้ันแล้ว เวลาเราดับขันธ์ จิตน้ันก็นำ�เราไปทุคติ เวลาน้ีมันก็ทุกข์
อย่แู ล้ว
บางคนมาคำ�นึงดู อดีตมันเป็นมายังไง ปัจจุบันเป็นยังไง อนาคตข้างหน้า
จะเป็นยังไง ดูซิอนาคตข้างหน้าท่านไม่ให้คำ�นึงคิดถึง อดีตล่วงมาแล้วท่านไม่ให้
คำ�นงึ คดิ ถึง ปัจจปุ ปนั นญั จะ โย ธมั มัง ตตั ถะ ตตั ถะ วิปัสสติ ท่านให้ดูในปจั จบุ นั
นง่ิ อยนู่ ้ี เวลานจี้ ติ ของเราเปน็ ยงั ไง จติ เรามนั สขุ หรอื มนั ทกุ ขม์ นั ยากวนุ่ วายเดอื ดรอ้ น
ถ้าจิตเป็นอย่างนี้แล้ว อนาคตก็ร้อนอย่างน้ี อนาคตก็ทุกข์อย่างนี้ พิจารณาดูซิ
ถ้าจิตเราสงบ มคี วามสงบ จติ เราดี มีความสขุ ความสบาย เย็นอกเยน็ ใจ ไมท่ ุกข์
ไมร่ ้อนไมว่ ่นุ วาย พุทโธ ใจเราเบกิ บาน พุทโธ ใจเราสว่างไสว พทุ โธ ใจเราผอ่ งใส
สะอาดปราศจากทกุ ข์ ปราศจากโทษ ปราศจากภัย ปราศจากเวร ปราศจากความ
ชั่วช้าลามก ปราศจากความทุกข์ความจน เม่ือจิตเราเป็นอย่างนั้น น่ีแหละนำ�
ความสุขความเจรญิ ให้ในปจั จบุ นั และเบอื้ งหนา้
มนุษย์ ๗ จำ�พวก 99
จึงว่าให้น่ังดู ให้ฟังธรรม ฟังดูซิ ธรรมมันเกิดท่ีไหนเล่า ความสุขทุกข์
อะไรเปน็ สุข อะไรเปน็ ทกุ ข์ให้ฟังดู เราอยากดี อะไรมันดี ความดีกค็ ืออยา่ งอธบิ าย
ใหฟ้ งั ความดมี นั ยงั ง้ี คอื ใจเราดใี จเราสงบ ไมท่ ะเยอทะยานดนิ้ รน ไมก่ ระวนกระวาย
เดือดรอ้ น ไม่ฟุ้งซา่ นรำ�คาญ ไมห่ งดุ หงิด ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ใจเราดีสงบน่งิ
มันว่างหมด อารมณ์ท้ังหลายว่างหมดไม่มีอะไร ใจสงบมีความสุขความสบาย
อนั นีแ้ หละนำ�ความสขุ ความเจริญมาใหใ้ นปจั จุบนั และเบอื้ งหน้า ดเู อาซี
เราทั้งหลายมาน้ีก็ต้องการความสุขความสบาย มาวัด ไม่ใช่ศาลาเป็นวัด
ไม่ใช่กุฏิโบสถ์วิหารเป็นวัด วัดอยู่ท่ีดวงใจคน ศาลาก็คนทำ� โบสถ์ก็คนทำ� คนทำ�
ทั้งหมด เมื่อใจคนดี สิ่งเหล่านั้นมันก็ดี เมื่อใจคนไม่ดี สิ่งเหล่าน้ันมันก็ไม่ดี
ใจตกนรกกแ็ มน่ จติ ของคน ใจสวรรค์ก็แมน่ จิตของคน เพราะฉะน้ันทา่ นจงึ กลา่ วไว้
ในมนษุ ย์ทง้ั หลายมี ๗ จ�ำ พวก มนษุ ย์มี ๗ อยา่ ง
มนสุ สตริ จั ฉาโน ท�ำ ไมจงึ วา่ มนสุ สตริ จั ฉาโน ดซู ิ รา่ งกายเปน็ มนษุ ย์ หวั ใจเปน็
สัตว์เดรัจฉาน คือมนั ข้ีเกยี จขคี้ รา้ น รับอาหารแล้วกน็ อน ไมร่ ูจ้ กั การกราบ ไม่รู้จกั
การไหว้ ไมร่ จู้ กั การรกั ษาศลี ภาวนา ท�ำ บญุ ใหท้ านอะไร เหมอื นกบั สตั วเ์ ดรจั ฉานนะ่
มนษุ ยเ์ ชน่ นนั้ แหละตายไปกไ็ ปเปน็ สตั วเ์ ดรจั ฉาน ดเู อาซิ พจิ ารณาเอาซี รา่ งกายเปน็
มนุษยแ์ ตห่ วั ใจเป็นสตั วเ์ ดรัจฉาน
มนสุ สเปโต รา่ งกายเปน็ มนษุ ยแ์ ตห่ วั ใจเปน็ เปรต มนั มแี ตโ่ มโหโทโส อยากฆา่
อยากฟัน ความทะเยอทะยานด้ินรน มีพยาบาทอาฆาตจองเวร ดซู ิ ใจมันมีอาฆาต
น่ีแหละมนุสสเปโต รา่ งกายเป็นมนุษย์ เมอ่ื ดบั ขนั ธ์ไปแล้วกไ็ ปเปน็ เปรต
มนสุ สนริ เย มนษุ ยห์ วั ใจเปน็ นรก หวั ใจเปน็ นรก คอื มนั มดื มนั กลมุ้ อกกลมุ้ ใจ
ใหท้ กุ ขใ์ หร้ อ้ น ดเู อาซิ นนั่ แหละนรก ดบั ขนั ธไ์ ปแลว้ กไ็ ปนรกซ่ี ไดร้ บั ความทกุ ขค์ วาม
ยากความลำ�บากรำ�คาญ นี่มนุษย์เช่นน้ี ทีนี้ถ้าไม่ไปเป็นอย่างน้ัน เกิดเป็นมนุษย์
กเ็ ปน็ มนษุ ยท์ ต่ี �่ำ ชา้ หวั ใจต�ำ่ ชา้ อยา่ งอธบิ ายมาแลว้ ต�่ำ ชา้ ยงั ไงละ่ เปน็ ใบบ้ า้ เสยี จรติ
หหู นวกตาบอด ปากกกื กระจอกงอกงอ่ ย ขท้ี ดู กฏุ ฐงั ตกระกำ�ล�ำ บาก แนะ่ มนษุ ยห์ วั ใจ
เปน็ ยงั ง้นั ถา้ เกดิ เปน็ มนษุ ย์อีกก็เปน็ มนุษยต์ ่�ำ ช้า ดูซใิ จเราทุกคน ไม่ว่าพระวา่ เณร
100 อาจาริยบูชา พระอาจารยฝ์ น้ั อาจาโร
ไมว่ ่าผูห้ ญงิ ผชู้ าย เอา้ ดู อธิบายให้ฟงั ถ้ามนั เป็นอย่างนนั้ เราไมต่ อ้ งการก็เลิกกล็ ะ
เสียซิ ใหร้ ู้จกั ดีรจู้ ักชว่ั รู้จกั ผดิ รู้จกั ถกู รู้จกั ฟังอธบิ ายให้ฟัง
มนุสสเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์หัวใจเป็นเทวธิดา เทวบุตร หัวใจมีทาน
มศี ีลมีภาวนา รู้จกั เคารพนบนอ้ ม ร้จู ักกราบรู้จักไหว้ ใจมีหริ โิ อตตัปปะ ละอายบาป
กลวั บาป ใจเบิกบาน ใจสว่างไสว ใจดี ดบั ขนั ธก์ ไ็ ปเปน็ เทวบุตรเทวธดิ า เร่ืองเป็น
อย่างนัน้ ดูเอาซิ
มนสุ สพรหมา ท้าวมหาพรหม นางมหาพรหม หวั ใจเชน่ ใด มพี รหมวิหาร
มีพรหมวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ หัวใจว่างไม่มีอะไร เหมือนกะอากาศน้ีแหละ
วา่ งเปลา่ หมด เหลอื แตอ่ รปู จติ ดบั ขนั ธก์ ไ็ ปเปน็ พรหม ทา้ วมหาพรหม นางมหาพรหม
อยากรูก้ ด็ ูเอาซิ ท่ีอยูข่ องเราเปน็ อยา่ งนี้ มนษุ ย์ทง้ั หลาย
มนุสสอรหัตโต ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นพระอรหันต์ คือละกิเลส
ละตัณหา กิเลสคือใจเศร้าหมอง ตัณหาคือใจทะเยอทะยานดิ้นรนกระวนกระวาย
ท่านละกิเลสตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหาอุปาทาน ภพชาติ
ละเด็ดขาดในสนั ดาน ไมม่ สี ่งิ เหลา่ นใ้ี นจติ ใจ เมอ่ื ดับขนั ธ์ไปกเ็ ข้าสูน่ พิ พาน ดับทุกข์
ในวฏั สงสาร ไม่ตอ้ งเวียนวา่ ยตายเกดิ อกี ก็เปน็ แตม่ นุษย์ ได้แต่มนษุ ย์ซิ
เราจงึ มาฝกึ หัดอบรมบม่ นิสยั ของเรา เพง่ เลง็ ดูซิ เราอย่าดูอื่น เรานัง่ อย่กู ็นั่ง
ดใู จของเรา ไมไ่ ดด้ ดู นิ ฟา้ อากาศนะ ใจของเรามนั เปน็ อยา่ งไร เหมอื นทอี่ ธบิ ายใหฟ้ งั
ไหมละ่ มันไมด่ ีตรงไหนกแ็ ก้ไขซิ ทนี ้ี
มนุสสพทุ โธ รา่ งกายเปน็ มนุษย์ หวั ใจเป็นพระพุทธเจ้า พระพทุ ธเจา้ ก็เปน็
มนุษย์เหมือนกับพวกเราน้ี ว่าเร่ืองภพเร่ืองชาติของท่าน บิดามารดาของท่านก็มี
บุตรภรรยาทา่ นกม็ ี ทา่ นเปน็ มนษุ ย์ครอื เรานแี่ หละ แตท่ า่ นประพฤติปฏิบัติ ตรสั รู้
ดว้ ยพระองค์เอง เปน็ สยัมภู ตรัสรู้ดว้ ยพระองค์เอง ไมม่ ีบคุ คลผใู้ ดหรือใครแนะนำ�
พรำ่�สอน รู้ด้วยตนเองเป็นสยัมภู รู้แจ้งแทงตลอดหมดซ่ึงสารพัน เญยยธรรม
ท้งั หลาย ไมม่ ที ี่ปกปดิ สตั วท์ ั้งหลาย ตนของทา่ น ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณ
ความรู้ความเห็นในบุพชาติเบ้ืองหลัง เป็นอะไรๆ มาท่านรู้หมด เรื่องมันเป็น
มนษุ ย์ ๗ จำ�พวก 101
อย่างน้ัน จตุ ูปปาตญาณ จตุ จิ ากนีไ้ ปอยู่ในภพชาตใิ ด ภพน้อยภพใหญ่ ทา่ นรหู้ มด
คือเหมอื นอธิบายให้ฟังนี้ อาสวักขยญาณ สิ้นจากภพจากชาติท่านกร็ ู้หมด
ท่านจึงได้วางศาสนาไว้ให้แก่พวกเราพุทธบริษัททั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตท่ี
เกดิ สดุ ทา้ ยภายหลงั นี้ ไมไ่ ดเ้ หน็ องคพ์ ระพทุ ธเจา้ มาพบปะแตธ่ รรมะค�ำ สง่ั สอนดงั ท่ี
ได้ชี้แจงแสดงแล้วน้ี ได้ยินได้ฟัง เอหิปัสสิโก จงร้องเรียกสัตว์ท้ังหลายมาดูธรรม
ธรรมอะไรละ่ รปู ธรรมนามธรรมนแ้ี หละ คอื มาดอู ตั ภาพรา่ งกายของเรามนั มอี ะไรบา้ ง
ตวั ของเรา วา่ เปน็ คน คนอยทู่ ไี่ หนคน้ ดซู ิ มาพจิ ารณาดซู ิ เราถอื วา่ เปน็ คนเปน็ ตรงไหน
เลา่ นนั่ กเ็ ป็นผม เปน็ ขน เป็นเลบ็ เป็นฟนั เป็นหนัง เป็นเนื้อ เป็นตบั ไต ไส้น้อย
ไส้ใหญ่ อาหารเกา่ อาหารใหม่ ใชไ่ หมเล่า คนอยทู่ ่ีไหน อันน้นั ก็เปน็ น้ำ�ดี น�ำ้ เสลด
น�้ำ เหงอื่ น�ำ้ ไคล น�้ำ มกู น�ำ้ ลายไปเสยี แลว้ เปน็ เลอื ดไปเสยี แลว้ เปน็ น้ำ�มตู รไปเสยี แลว้
ท่ีไหนละคน
นแี่ หละ ใหน้ อ้ มเขา้ มาเลง็ ดู มาดธู รรมนใี้ หร้ จู้ กั ไว้ อนั น้ี เมอื่ ธรรมเปน็ โอปนยโิ ก
น้อมเข้ามา ปัจจัตตัง รู้จำ�เพาะตน ใครเป็นผู้ว่าน้ำ�มูก น้ำ�ลาย นำ้�เหง่ือ นำ้�ไคล
ใครเปน็ ผรู้ ู้ โอปนยโิ ก นอ้ มเขา้ ผรู้ ซู้ ิ ใครเปน็ ผวู้ า่ สขุ วา่ ทกุ ขว์ า่ ดวี า่ ชว่ั อะไรสขุ อะไรทกุ ข์
ทุกข์เพราะเหตใุ ด ทกุ ขเ์ พราะจติ เราไมส่ งบ ทุกขเ์ พราะจิตเราหลง สุขเพราะเหตใุ ด
สขุ เพราะจติ เราสงบ จติ เราไมห่ ลง จติ สงบนงิ่ มนั วา่ งหมด จติ ไมไ่ ดไ้ ปยดึ อนั โนน้ อนั นี้
จติ ไมไ่ ดส้ ง่ ขา้ งหนา้ ขา้ งหลงั จติ ไมไ่ ดส้ ง่ ขา้ งซา้ ยขา้ งขวาขา้ งบนขา้ งลา่ ง ตงั้ ไวจ้ ำ�เพาะ
ท่ามกลางผรู้ ู้ พุทโธอยนู่ ั่น เบกิ บานสวา่ งไสว ความสขุ มนั อยู่ตรงนี้
เหตนุ น้ั ใหพ้ ากนั เพง่ เลง็ ดซู ี จะไปฟงั วา่ สขุ อยตู่ รงโนน้ ทกุ ขอ์ ยตู่ รงน้ี หาไมเ่ จอ
เพราะเหตนุ นั้ ใหด้ ซู ี่ นง่ั อยมู่ นั กแ็ สดงใหเ้ รา นง่ั ๆ ไปหนอ่ ยหนงึ่ เราจะรธู้ รรม ขดั ตรงนน้ั
ปวดตรงน้ี นแ่ี หละธรรมะ ผใู้ ดเหน็ ทุกขอ์ ันนแ้ี หละผูน้ น้ั แหละเหน็ ธรรม ผูน้ ั้นแหละ
จะรธู้ รรม ให้พจิ ารณาธรรมอันน้ี แสดงใหเ้ ราเหน็ โอ รปู ธรรมอนั นแี้ หละได้ยินแต่
เขาว่า ทีน้ีเข้าใจลักษณะแล้ว มันเป็นพยานแล้ว พยานความรู้ว่า อนิจจัง ทุกขัง
อนตั ตา ได้ยนิ แตเ่ ขาวา่
มาบดั น้ี เราก็ตอ้ งดซู ิ อนจิ จังมนั เปน็ ยังไง ทกุ ข์มนั เปน็ ยังไง อนตั ตามันเปน็
ยังไง
102 อาจารยิ บชู า พระอาจารย์ฝ้นั อาจาโร
อนจิ จงั มนั ไม่เทีย่ ง เรากร็ วู้ ่าไมเ่ ท่ียง จรงิ หรือไมจ่ ริง ไมเ่ ทีย่ งน่ะ มนั ไม่เที่ยง
แล้ว แต่มันจะเป็นขัดตรงโน้น ปวดตรงน้ี แล้วแต่จะเป็นแล้ว เป็นหวัด เป็นไอ
เปน็ ไข้ เปน็ หนาวสารพดั ละ นแี่ หละอนจิ จงั เยน็ แลว้ กร็ อ้ น วนุ่ วาย เรยี กวา่ มนั อนจิ จงั
มันไม่เท่ียง ทีนี้เราจะทำ�ให้มันเท่ียง จะให้มันเป็นยังงั้น เราต้องทำ�จิตให้มันเที่ยง
มนั เทย่ี งแลว้ มนั กไ็ มแ่ ปรผนั มนั เทย่ี งแลว้ มนั กไ็ มท่ กุ ข์ สง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี ง สง่ิ นนั้ กเ็ ปน็ ทกุ ข์
ทุกขัง ขังอยู่ในตัวเราท้ังหมด มีท่ีไหนก็มีแต่ทุกข์ท้ังสิ้น มันยุ่ง จี้ลงหน่อย
เดยี วก็เห็นมีแตท่ ุกข์ ทกุ ขมุ ขนแหละความทกุ ข์นี้ ใหร้ จู้ กั อยา่ งน้ี
สิ่งใดเปน็ ทกุ ข์ ส่ิงนน้ั เป็น อนตั ตา ทำ�ไมว่าอนตั ตา คอื มนั ไมใ่ ช่ตัวไม่ใชต่ น
ไม่ได้บอกบงั คบั บญั ชาผู้ใด ไม่ไดอ้ ยู่ในอำ�นาจผู้ใด ท่านจงึ จดั เปน็ อนตั ตา
ทนี เี้ มอ่ื เราเหน็ สงิ่ เหลา่ นน้ั เปน็ อนตั ตาหมดแลว้ ตอ้ งโอปนยโิ กซิ นอ้ มเขา้ มา
ใครเปน็ ผวู้ า่ อนตั ตา มนั จะไดเ้ หน็ ตวั ตน มนั จะไดเ้ หน็ ผรู้ ู้ พทุ ธะคอื ผรู้ ู้ รวู้ า่ สง่ิ นน้ั เทยี่ ง
สงิ่ นไ้ี มเ่ ทย่ี ง ผใู้ ดรวู้ า่ ไมเ่ ทยี่ ง กอ็ ยา่ ไปเอาซไิ มเ่ ทย่ี ง สง่ิ นนั้ เปน็ ทกุ ข์ เรากอ็ ยา่ ไปเอาซิ
สิ่งท่ีมันเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา เราก็อย่าไปจับซิสิ่งอนัตตา ถ้ามันรู้มักต้อง
โอปนยโิ ก นอ้ มเข้ามา เรากย็ ังรวู้ ่ามนั ทกุ ข์อยู่แลว้ เรากย็ งั รู้อนตั ตาอย่แู ล้ว รจู้ กั วา่
อนัตตากอ็ ย่าไปถือว่าเป็นอตั ตาซิ ปลอ่ ยวางละใหห้ มดซิ
น่ี ใหเ้ ขา้ ใจอย่างน้ีซิ ต้องประพฤตปิ ฏิบัติ ฝึกหัดใหม้ นั รู้ เราอยากพน้ ทุกข์
ส่ิงใดเป็นทุกข์ก็อย่าไปยึดมันซิ อย่าไปถือมันซิ ปล่อยวางเสียซิ ยึดทุกข์มันก็
เป็นทุกข์ซิ ยึดเอาส่ิงไม่ดี มันก็เป็นคนไม่ดีซิ อย่ามายึดเอาซิ วางให้สบาย ผู้รู้ว่า
สบายมี นี่แหละผู้ปฏิบัติให้พึงรู้และให้พิจารณาสิ่งท่ีมีอยู่ ยถาภูตัง ญาณทัสสนัง
ทสั สนะ เราก็ไดย้ ินได้ฟังไดเ้ หน็ ภตู ัง คือความเป็นอยู่ มนั เปน็ อยยู่ ังไงจิตใจของเรา
เดยี๋ วนนี้ ่ะ มันดหี รือมันชั่ว มันสุขหรือมนั ทกุ ข์ หรอื มนั ไม่สขุ และไม่ทกุ ข์ ใหม้ นั รู้ซิ
นแี่ หละจงึ วา่ ปฏบิ ตั สิ กั แตว่ า่ พดู นง่ั ดซู เี่ ดย๋ี วน้ี เรอื่ งทกุ ขเ์ ชอื่ หรอื ยงั มนั กแ็ สดง
ให้เห็นแล้วน่ี ขัดตรงโน้น น่ังไปได้หน่อยมันขัดขึ้นมาปวดข้ึนมา อันน้ันแหละทุกข์
อย่าหลง รู้มันแล้วอย่าหลง อย่าทำ�บาปทำ�กรรม ทำ�ความชั่ว ทำ�บาปทำ�กรรม
ทำ�ยังไงเล่า คือจิตมันไม่สงบ จิตมันไปปรุงไปแต่งอยู่ มันไม่น่ิง กรรมเก่าก็ยัง
ไม่หมด กรรมใหม่ก็ต่อเรื่อยไปมันจะหมดสักทีเรอะ เราไปกำ�เอา อย่าไปกำ�เอาซิ
มนุษย์ ๗ จ�ำ พวก 103
วาง ปลอ่ ยมนั ซิ สง่ิ ใดเปน็ ทกุ ขม์ นั ไมใ่ ชต่ วั ตนไมใ่ ชท่ กุ ข์ ทกุ ขไ์ มใ่ ชต่ น อยา่ ไปยดึ เอาซิ
ปล่อยวางให้หมด นขี่ อ้ ส�ำ คญั
เหตนุ ัน้ ใหพ้ ึงรู้พงึ เข้าใจซิเราน่ะ สนั ทิฏฐโิ ก ผูป้ ฏิบตั ริ ู้เองเห็นเอง นี่เราอยาก
พน้ ทกุ ข์ กท็ กุ ขอ์ ยทู่ ไี่ หน ความพน้ ทกุ ขค์ อื จติ เราไมท่ กุ ข์ จติ เราไมท่ กุ ขม์ นั กพ็ น้ ทกุ ขซ์ ิ
จิตมันไม่ใช่ทุกข์ ถ้ามันทุกข์มันก็ไปโน่นไปน่ีซิ กระโดดโน่น กระโดดน่ีซิ จิตมัน
เหนื่อยไม่เป็น จิตมันทุกข์ไม่เป็น ถ้ารู้จักเหนื่อยมันก็หยุดซ่ี ลองบอกมันอย่าไปซิ
อย่ากระโดดซิ น่งิ วางเสยี ซิ เปรยี บเหมอื นกบั เราท�ำ งาน ถา้ ร้จู กั เหนอื่ ยแล้วกห็ ยุด
อุปมาภายนอกอย่างนั้น รู้จักทุกข์ก็หยุดซิ อย่าไปก่อกรรมก่อเวรก่อภัยต่อไปซิ
หยดุ น่งิ ให้มันวา่ งหมด
พอจติ สงบนงิ่ ไดแ้ ลว้ จติ ลหตุ า เบาจติ กายกเ็ บาสบาย จติ มทุ ตุ า มทุ ุ มนั ออ่ น
น่ิม อิ่มอกอ่ิมใจ น่ันแหละดูเอา พ้นทุกข์ตรงนี้แหละ ไม่ใช่ที่อ่ืน ต่อไปให้พากัน
ดใู หพ้ งึ รพู้ งึ เหน็ พงึ เขา้ ใจในขอ้ ปฏบิ ตั ิ อยา่ สกั แตว่ า่ ท�ำ ดใู หเ้ หน็ ตวั จรงิ มนั ซี สขุ จรงิ ๆ
ก็เมื่อเราละได้แล้ว เราปล่อยวางได้แล้ว เมื่อเราไม่ละไม่ปล่อยไม่วางก็ทุกข์จริงๆ
เหน็ ทกุ ขเ์ หลอื ทน นงั่ กไ็ มต่ ดิ กระดกุ กระดกิ อยเู่ รอ่ื ย นน่ั มนั เปน็ ทกุ ข์ ดเู อาซี แนห่ รอื
ไม่แน่ ใครเปน็ ล่ะ วางดูซิ ถ้าจิตมันไม่ว่าแลว้ ส่ิงนน้ั กเ็ ป็นอะไรวา่ เขาไมไ่ ด้เปน็ อะไร
เราไปว่าเอา ทกุ ขก์ ็เราไปวา่ เอา สุขกเ็ ราวา่ เอา เราวา่ สขุ มันกเ็ ป็นสขุ เราวา่ ทุกขม์ นั
เป็นทกุ ข์ เราวา่ ดมี ันก็ดี เราวา่ ชวั่ มนั ก็ช่วั สมมตเิ อา เรือ่ งสมมติ
นี่สัตว์ทง้ั หลายจมในมหาสมทุ ร หลงสมมติ ไปนึกวา่ ตวั วา่ ตน ไปนกึ ว่าสัตว์
วา่ บคุ คล วา่ เราวา่ เขา แนะ่ เราเพง่ เลง็ ลงตรงนซี้ ี เอา้ จติ มนั สงบหรอื ยงั ดเู อาไมส่ งบ
นั่นแหละมันเป็นทุกข์ อยากรู้อยากเห็น นี่แหละ กัมมัสสโกมหิ กรรมเป็นของ
ของตน เห็นกรรมอันโน้นกรรมอันนี้ กรรมอยู่ท่ีไหน กรรมไม่ได้มาจากฟ้าอากาศ
ตน้ ไมภ้ ูเขาเลากา หรอื มาจากบา้ นเมืองถนนหนทาง
กรรมเกิดจากกายของเรา เกิดจากวาจาใจของเราน้ี กายกรรม วจีกรรม
มโนกรรม มันเกิดตรงนี้ เราก็ปลอ่ ยกรรมเสยี ซี กรรมเกา่ กย็ งั ไม่หมด กรรมใหมก่ ็
ต่อเรื่อยไปไม่รู้จักหมดสักที ถ้าหยุดเสียล่ะ ผู้นี้ไม่ทำ�กรรมต่อไป กรรมมันจะมา
จากทไ่ี หนเล่า กายกรรมเราก็ดแี ลว้ วจีกรรมวาจาเราก็ไม่มี ยงั เหลือแต่มโนกรรม
คือความน้อมนึก กรรมเป็นของของตน กัมมัสสโกมหิ กรรมเป็นของของตน
104 อาจารยิ บูชา พระอาจารยฝ์ ้ัน อาจาโร
ไมใ่ ช่เปน็ ของของคนอ่นื ของตนน่ะแหละ เราทำ�ไมด่ ีใครทุกข์ เราประพฤตดิ ีใครสุข
เราเปน็ ผสู้ ขุ ไมใ่ ชเ่ รอะ เราเปน็ ผทู้ ุกข์ไมใ่ ช่เรอะ ใหพ้ ากนั ให้พึงรู้พึงเห็นซิ กรรมเปน็
ของของตน กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา ตสั สะ ทายาทา ภะวสิ สนั ติ เราท�ำ กรรม
อนั ใดไวเ้ ปน็ บญุ หรอื เปน็ บาป เราจะรบั ผลของกรรมสบื ไป อนั นเ้ี ราจะรไู้ ด้ กรรมดนี ะ่
กัลยาณังวา กรรมอันดี รวมส้ันๆ คือ จิตเราดีมีความสุขความสบาย จิตสงบ
แล้วรู้สึกเบาตนเบาตัว เบาร่างเบากาย หายทุกข์หายยาก ไม่มีทุกข์มีแต่ความสุข
ความสบาย นแ่ี หละกรรมอนั ดี ใจมนั สงบ ปาปะกงั คอื กรรมอนั ชว่ั ละ่ คอื จติ ไมส่ งบ
ดิ้นรนส่งโนน่ ส่งน่ี ไปปรงุ ไปแต่ง ไปก่อบาปกอ่ กรรม อันนีเ้ รียกกรรมอันชั่ว เมอื่ เปน็
เช่นน้แี ล้ว ตา่ งคนตา่ งเพง่ เล็งดูหวั ใจของเรา
เอ้า ต่อนี้จะไม่อธิบายแล้ว ได้ยินเสียงอันใดก็ตาม รู้ว่าไม่มีอันตรายแล้ว
ไม่ตอ้ งเดือดร้อน ตา่ งคนต่างฟงั หวั ใจของตวั จรงิ หรือไมจ่ รงิ มันสงบ อยากพน้ ทกุ ข์
คือจิตเราไม่ส่งไปตรงโน้นตรงน้ี วางให้หมดปล่อยให้หมด ให้มันว่างมันสบาย
ดูลมหายใจเข้าหายใจออกให้มันรู้ดี ดูลมหายใจให้รู้ อายุของเราเท่าลมหายใจ
เท่านี้น่ะ หายใจเข้าหรือหายใจออกให้ดูเอา เม่ือหายใจมันเย็นก็ทำ�ให้ใจมันเย็น
หายใจมนั สบายก็ทำ�ใจของเราใหม้ นั สบาย อย่าไปวุ่นวายซิ นั่งให้สบายๆ ไมน่ าน
เทา่ ไรดอกเอาสัก ๓๐ นาที
เป็นยังไงดีไหมทุกคน เทศนใ์ ห้ฟังแล้ว ทำ�ให้มันรเู้ ห็นซิ เป็นยังไงเข้าใจไหม
มาสอบดูใจเรา เหน็ ธรรมไหม ได้ความเปน็ ยงั ไง ใจเปน็ ยังไงละ่ นงั่ ดใู จเจา้ ของน่ะ
อยากสุขสบายให้รู้ไว้ซิ น่ีแหละประเทศไทยถือพุทธศาสนา เอาอะไรเป็นศาสนา
ถ้าเราไม่ท�ำ อย่างน้กี ็ไมเ่ ข้าถงึ ศาสนา ไมเ่ ห็นศาสนาซิ ศาสนาคอื ค�ำ ส่ังสอน กส็ อน
อันนีแ้ หละ สอนเพ่อื ให้เรามีความสขุ ความสบาย ให้ละความช่วั ละทำ�ไมความชั่ว
เพราะกลัวเราทุกข์ กลัวเรายาก กลวั เราล�ำ บากเราจน ความช่วั ตอ้ งละ อธบิ ายแล้ว
ความสุขความสบายก็คือใจเราดีมีสขุ ความสบาย อันนี้นำ�ความสุขความเจริญให้ใน
ปัจจุบันและเบื้องหน้า เมื่อใจเราสบายแล้ว ทำ�อะไรก็สบาย การงานก็สบาย
ครอบครัวก็สบาย ชาวบ้านร้านตลาดประเทศชาติก็สบาย ดับขันธ์แล้วก็ไปอยู่
ท่ีสบายน่ะซี
มนษุ ย์ ๗ จ�ำ พวก 105
บอกแล้ว ใจเราไม่สบาย ใจเราไม่ดีแล้ว ก็ทุกข์ก็ยาก วุ่นวายเดือดร้อน
ก็รับความทุกข์ความยากซี ครอบครัวก็ลำ�บาก อะไรก็ทุกข์ยากไปหมด ชาวบ้าน
ร้านตลาดประเทศชาติก็ยาก นี่พระพุทธเจ้าสอนให้ละสิ่งท่ีทุกข์ที่ยาก ไม่ใช่อ่ืน
ทุกข์ยาก ไม่ใชฟ่ า้ อากาศทกุ ข์ยาก ตน้ ไม้ภูเขาเลากาทกุ ขย์ าก หัวใจคนนซี่ ิทกุ ขย์ าก
มาแกท้ ี่นี่ซิ ถือศาสนา เข้าถงึ พระพุทธ ถึงพระธรรม ถงึ พระสงฆ์ พุทธะคือความรู้
ถงึ ผรู้ นู้ นั่ ซิ พระธรรมก็เราทำ�ท้งั หมด ดีช่วั ไมใ่ ช่อ่นื ทำ� ฟงั ดูซิ กสุ ลาธมั มา อกุสลา
ธมั มา เราท�ำ มามันจงึ ได้ นี่เราไมท่ �ำ มาแต่อยากได้ อยากได้อนั โน้น อยากได้อนั น้ี
เราไม่ได้ทำ�มันก็ไม่ได้ซี่ เราทำ�มามันจึงได้ ส่ิงใดไม่ได้ทำ�มา มันก็ไม่ได้ สุขทุกข์
เราท�ำ มามันจึงได้ เข้าใจไหมละ่ ตอ่ ไปให้พากนั นง่ั ดนู ะ บา้ นเมอื งของเราอยากให้
มนั สงบ ประเทศชาติไมว่ ุ่นวาย อย่าให้มันวนุ่ ใจเรา ตา่ งคนตา่ งสงบ
“...เมอื่ จิตของเราสงบภายในแลว้
อปุ มาเหมอื นน�้ำสงบ น�้ำสงบแล้วกใ็ ส
ใสแล้วกม็ องเห็นเหตุ มองเหน็ ผล
มองเห็นบญุ กศุ ล มองเหน็ สุข มองเหน็ ทกุ ข์
มองเหน็ ดี มองเหน็ ชวั่ ...”
๒
หายหลงเพราะร้จู กั “นะโม”
โดย พระอาจารยฝ์ ัน้ อาจาโร
ณ วัดปา่ อดุ มสมพร จ. สกลนคร
เราอยากไดแ้ ตส่ งบถา่ ยเดยี ว อยากใหเ้ ปน็ อยา่ งนน้ั เราตอ้ งเพง่ ดคู �ำ บรกิ รรม
ภาวนา เมื่อมีคำ�บริกรรมภาวนาแล้ว เราจะต้องละวิตกเสียก่อน วิตกขึ้นมา เรา
อยากรู้อะไรล่ะ เราตอ้ งเพง่ ดกู รรมของเรา ภพของเรามอี ยสู่ ามภพ กามาวจรธมั มา
รูปาวจรธัมมา อรูปาวจรธัมมา นั่นท่ีอยู่ของเรา เช่นจิตของเราเดี๋ยวน้ีแหละอยู่แต่
ในกามาวจรกุศลนี้ ฉกามาวจรกุศลนั่นแบ่งเป็นสองนัย เป็นฉกามาวจรสวรรค์
อันหนึ่ง เป็นอบายภูมิอันหนึ่ง คือจิตเรามันท่องเท่ียวอยู่ในรูป ในเสียง ในกล่ิน
ในรส ในสมั ผัส ในอารมณ์ทั้งหลาย
เหตนุ แ้ี หละ เราจงึ ท�ำ บรกิ รรมภาวนาเสยี กอ่ นในเบอ้ื งตน้ ใหน้ กึ พทุ โธ ธมั โม
สังโฆ แลว้ ใหน้ กึ พทุ โธ พุทโธ จิตเรามันอย่กู ับทีห่ รือมนั อย่ทู ่ไี หน ก็เพ่งเล็งดจู ติ
ของเราใหร้ ใู้ นเบอ้ื งตน้ อนั นี้แหละ ถา้ เรายังจับอะไรไมไ่ ด้ ให้บรกิ รรมภาวนาเพ่งเล็ง
ดูค�ำ บริกรรมภาวนานน้ั เพ่ือให้รู้จักสติ รจู้ ักจิตของเรา จติ ของเรามนั สง่ หนา้ ส่งหลัง
หรือส่งซ้ายส่งขวา หรือส่งข้างบนข้างล่าง ต้องให้รู้จักไว้ เมื่อเป็นเช่นนั้นให้นึก
ค�ำ บรกิ รรมนีใ้ ห้หนักๆ เข้าไป เร่งๆ เข้าไป เพง่ เล็งเข้าไป จติ จะสงบลงได้ จะรู้จัก
ความประสงค์จิตของเรา ถา้ ยังไม่อยอู่ ันใดไม่ทนั ได้ ต้งั จติ ให้มันนงิ่ อยอู่ ันเดยี ว
เมอ่ื นกึ ค�ำ บรกิ รรม พทุ โธๆ แลว้ เรากว็ างค�ำ บรกิ รรม เพง่ ดทู ร่ี อู้ ยนู่ น่ั มนั หลง
หรือมันไม่หลงให้รู้จัก มันไม่หลงคืออันใด คือเรากำ�หนดให้น่ิงก็น่ิงอยู่อันเดียว
มนั ไมส่ ง่ ไปโน่นไปน่ี เหน็ คำ�ภาวนาอยู่ทเ่ี ดยี ว เรากเ็ พ่งอยู่ตรงน้นั หรือมนั ถอนจาก
ตรงนน้ั แลว้ หาทจี่ บั ไมไ่ ด้ มนั ไมห่ ยดุ อยู่ เราจงึ มาพจิ ารณามลู กรรมฐาน เพง่ ดกู รรมฐาน
108 อาจารยิ บชู า พระอาจารยฝ์ ้ัน อาจาโร
จ�ำ แนกแจกธรรมให้มนั เห็น เราหลงว่าเปน็ ตัวเปน็ ตน เป็นสัตว์ เปน็ บคุ คล เปน็ เรา
เป็นเขา จงึ ใหม้ าพจิ ารณา นะโม น้นี ่ะ เคยพิจารณาแล้วหรอื ยงั นะโม เคยพจิ ารณา
หรือยัง มูลกรรมฐานอาการ ๓๒ น้ีน่ะต้องพิจารณาเสมอซิให้ค้นอยู่ เพื่อจะละ
สกั กายทฏิ ฐิ เพอ่ื จะละ วจิ กิ จิ ฉา เพอ่ื จะละ สลี พั พตปรามาส การลบู คล�ำ ศลี นแี่ หละ
มันจงึ ละได้
พิจารณาอยา่ งไรล่ะ เราจะพจิ ารณาใหม้ นั ละ สักกายทิฏฐิ ถอื อันนเ้ี ปน็ ตวั
เป็นตน เป็นสตั ว์ เปน็ บุคคล เปน็ เราเปน็ เขา น่ี มนั คาอยตู่ รงนคี้ นเรา พระพทุ ธเจา้
ทา่ นสอน นะโม ใหร้ ู้จัก นะ รจู้ กั โม หัวใจตัวเรามนั จึงรกั ษาได้
ให้น้อมเข้ามาถึง นะ พิจารณา นะ เราก็พิจารณาธาตุนำ้� ปิตตัง นำ้�ดี
เรากพ็ จิ ารณาดนู �ำ้ ดนี เ่ี ปน็ ยงั ไง น�้ำ ดนี เ่ี ปน็ คนหรอื เปน็ อะไร เปน็ ผหู้ ญงิ หรอื เปน็ ผชู้ าย
เพ่งดู มันอยู่ท่ไี หนน้ำ�ดีนี่นะ่ เสมหงั น�ำ้ เสลด อยา่ งนล้ี ่ะ บุพโพ น�ำ้ เหลอื งอยา่ งนล้ี ะ่
โลหติ งั น�ำ้ เลอื ดมนั อยทู่ ไี่ หนเลา่ สง่ิ เหลา่ นน้ั เปน็ คนหรอื เปน็ อะไร เรากเ็ พง่ ดู มนั เปน็
อะไร มันดหี รือม่ันช่วั ยงั ไง เสโท นำ�้ เหงอื่ อยา่ งนล้ี ่ะ เมโท นำ้�มันข้น อสั สุ น้�ำ ตา วสา
น้ำ�มันเหลว เขโฬ น้ำ�ลาย สิงฆาณิกา น้ำ�มูก ละสิกา น้ำ�ไขข้อ มุตตัง นำ้�มูตร
ส่ิงเหล่าน้ีเราก็เพ่งดู เพ่งเพราะเหตุใด สิ่งเหล่านี้เป็นของเอาหรือเป็นของทิ้ง ให้
รจู้ กั วา่ ส่งิ เหลา่ นนี้ ะ่ ไมเ่ ปน็ แก่นเปน็ สาร ไม่เป็นคน ไม่เปน็ ตนเป็นตัว ไมเ่ ป็นผู้หญงิ
ไมเ่ ปน็ ผชู้ าย พอจติ เราเหน็ แลว้ มนั กถ็ อนอปุ าทานการยดึ ทงั้ หลาย มนั ละหมด เพราะ
สงิ่ เหล่านม้ี ันไมเ่ ป็นสาระสกั อยา่ ง ไมม่ ีแกน่ สาร
การพิจารณาอันนี้ก็เพื่อจิตจะได้ถอนอุปาทานการยึดว่าส่ิงน้ันเป็นของเรา
ส่ิงนี้เป็นของเรา น่ี เพื่อจะถอนอุปาทานการยึด ส่ิงเหล่าน้ันเขาไม่ได้ว่าเขาเป็น
อะไร เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นคน เขาอยู่อย่างนั้น เรามาถืออันน้ี แล้วส่ิงเหล่านี้ก็ไม่มี
ใครต้องการ มีแตค่ นรังเกียจ น้�ำ มูกอย่างนี้ใครตอ้ งการ นำ้�เหง่อื ใครต้องการ ไมม่ ี
ไมใ่ ช่เรอะ น่ี มนั เหน็ ความชำ�รดุ ทรดุ โทรมแล้ว จิตมันจึงวางสัญญาอารมณ์ได้ มนั
เลยหายจากสตั วบ์ คุ คลตวั ตนเราเขา นมี่ นั มาคามาขอ้ งอยอู่ นั นแ้ี หละ จงึ ใหพ้ จิ ารณา
ส่ิงเหล่านี้ลงในจิตของตน เช่ือมั่นอยู่อย่างนี้ ให้มันเห็นอันหนึ่งอันใดแล้ว จิตมัน
สงบเอง ถ้ายังไม่เห็นส่ิงเหล่าน้ีอยู่ตราบใดแล้ว จิตมันฟุ้ง มันไม่หยุดไม่หย่อน
มันถือสัญญาสำ�คัญม่ันหมาย นั่นดี น่ันช่ัว นั่นผิด นั่นถูก เลยไปยึดอยู่อย่างนั้น
หายหลงเพราะรู้จกั “นะโม” 109
มันเลยเปน็ ทุกข์ ถอื รกั ถือชังอยู่อยา่ งนน้ั มันเลยเป็นทกุ ข์ นี่ เมอ่ื เหน็ อย่างนนั้ แลว้
มนั จะไปรกั อะไรล่ะ มันจะไปชังอะไรละ่ มันอยูอ่ ยา่ งนั้น จะไปรักมันก็อยอู่ ย่างนน้ั
จะไปรังเกียจมนั ก็อยอู่ ย่างนนั้ มันไมไ่ ด้ว่าอะไร เป็นแต่เราไปวา่ เขา นี่คอื ให้จติ สงบ
ตอ้ งพิจารณาอยา่ งน้นั
โม น้ีท่านว่า เกสา ผม โลมา ขน นขา เลบ็ ทันตา ฟัน ตะโจ หนัง อันนี้
แหละมลู กรรมฐาน สตั วท์ ง้ั หลายมนั หลงในสงิ่ เหลา่ นแี้ หละ เรากพ็ จิ ารณาอนั นแ้ี หละ
เพื่อเหตุใด สิ่งที่ว่ามาน่ีมันเป็นคนหรือเป็นอะไร มังสัง เน้ืออย่างน้ีเป็นคนไหมล่ะ
นะหารู เสน้ เอน็ เปน็ คนไหม อฏั ฐิ กระดกู อยา่ งนเ้ี ปน็ คนไหม เรากเ็ พง่ ดมู นั ไมไ่ ดเ้ ปน็ คนน่ี
อัฏฐิมญิ ชัง เยอื่ ในกระดกู ล่ะมนั ก็ไม่ได้เป็นคน วกั กงั ไต หะทะยัง หัวใจ ยะกะนงั
ตบั กโิ ลมะกงั พงั ผดื ปหิ ะกงั มา้ ม ปปั ผาสงั ปอด อนั ตงั ไสใ้ หญ่ อนั ตะคณุ งั ไสน้ อ้ ย
อุทะริยัง อาหารใหม่ กะรีสัง อาหารเก่า เหล่านี้น่ะ มันไม่ได้เป็นคนไม่ใช่เรอะ
แน่ะ เราเอาอะไรมาเป็นคนล่ะ เลยหลงสมมติ เมื่อเราเห็นความจริงเป็นอย่างนี้
เรากถ็ อนสมมตวิ า่ คนซิ มนั เหน็ สง่ิ เหลา่ นช้ี �ำ รดุ ทรดุ โทรมแลว้ มนั กว็ างอปุ าทานขนั ธ์
วางอุปาทานการยึดถือ มันก็ละสักกายทิฏฐิได้ วิจิกิจฉา ความสงสัยว่าอันน้ันดี
อันนี้ชวั่ มันก็ไม่มเี สียแล้ว มนั เปน็ อยา่ งน้นั
ยถาภตู งั ญาณ ทัสสนัง ภตู งั ความเปน็ อยู่ เราก็เพ่งเห็นก�ำ หนดจิตเข้าแล้ว
น่ีแหละ เห็นอันหนึ่งอันใดแล้ว มันก็สงบเอง จิตเรามันเป็นอย่างน้ัน สงบเพราะ
เหตุใดเล่า มันไม่เป็นแก่นเป็นสาร มันไม่มีสาระ ไม่น่าอยากได้อะไรสักอย่าง
ในสง่ิ เหลา่ นี้ พจิ ารณาดซู ิ มันมอี ะไร มันไม่มคี นแลว้ เพราะเราไดจ้ ำ�แนกแจกแล้ว
ภควา จำ�แนกแจกธรรม พอจำ�แนกแจกออกแล้วมนั ไมม่ ีอะไรน่ี
เหตนุ น้ั ใหพ้ ิจารณาเพ่งนึก พุทโธ พุทโธ พอวางแลว้ กเ็ พง่ ดสู ่งิ นล้ี ะ ใหด้ ูวา่
มันอยู่อย่างไร จิตเรามันหลงอะไร หรือมันไม่หลงก็ให้มันรู้ ในกามาวจรทั้งหลาย
ความส�ำ คัญรูปก็ดี เสยี งกด็ ี กลิ่นก็ดี รสก็ดี สมั ผสั อารมณ์ทงั้ หลายทง้ั หมด มนั มา
หลงสิ่งเหล่าน้ี พอเห็นลงอย่างน้ีแล้วว่าสิ่งเหล่าน้ีมันไม่ใช่เป็นแก่นสาร ไม่มีสาระ
เรามาหลงสมมติหลงนิยม หลงถือว่าเป็นตนเป็นตัว เป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นเรา
เป็นเขา เรามาถืออยู่อย่างนี้แหละมันจึงได้ทุกข์ พอมันเห็นไม่มีสาระสักอย่างแล้ว
มนั ก็วางหมด
110 อาจารยิ บชู า พระอาจารย์ฝนั้ อาจาโร
พอจิตเราวางหมดน่แี หละ จติ นั้นกว็ างจากกามภพ วางจากรปู ภพ ยังเหลือ
แตอ่ รปู ภพ มาพจิ ารณาแลว้ กย็ งั เหลอื “นาม” มนั มแี ต่ เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ
เราก็พิจารณาซี่ สญั ญา โอ เราไปสัญญาว่าอย่างโน้นอยา่ งนี้ เราไปสัญญาเอาเฉยๆ
สังขาร เราไปปรุงแต่ง วิญญาณ เป็นผู้ไปรู้ รู้ว่าส่ิงเหล่าน้ันเป็นอย่างนั้น พอมัน
เห็นเป็นอย่างนนั้ แล้ว มนั ก็หยดุ นง่ิ อยู่อนั เดยี ว เพราะมันไมม่ ีทเ่ี อา มนั วา่ งไปหมด
เพราะมนั วางหมดสิง่ เหลา่ น้ี มนั ทอดธรุ ะ ไม่ได้ไปยดึ เมอ่ื เราไมไ่ ด้ไปยึดสง่ิ เหลา่ นนั้
จติ มนั ก็สงบ เหลอื แต่ผูร้ ูอ้ นั เดียว เราก็กำ�หนดความรอู้ นั นนั้
นแี่ หละ เพราะจติ มนั วา่ งจากรปู มนั เหลอื แตอ่ รปู อรปู จติ เปน็ แตจ่ ติ นไ้ี ปยดึ
ไปถือท้ังหมด เป็นแต่จติ น่ีเป็นผ้ไู ปสมมติ เปน็ แต่จิตนเ่ี ป็นผไู้ ปยึดเอา เราก็มารเู้ ทา่
สงั ขาร รเู้ ทา่ วญิ ญาณอนั นแ้ี หละ พอมนั รเู้ ทา่ แลว้ มนั กว็ างหมดแหละ แตน่ เ้ี รายงั ไมร่ เู้ ทา่
ปัญญาของเรายังไม่รู้เท่าสัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็เลยหลงอยู่น่ีแหละ นี่เรา
หดั ไมใ่ ห้หลง อนั นี้พอเรารูแ้ ลว้ มนั จะไปกอ่ ภพกอ่ ชาตทิ ่ไี หนๆ เราก็รู้ได้ หรอื มัน
ถือท่มี ืด หรือมันถือทว่ี า่ ง หรือความเฉยๆ แลว้ แต่จติ ของเรา เรากไ็ ปตามรู้มันอกี
มันไปติดตรงไหนล่ะ มันก็เป็นภพตรงน้ัน มันไปติดในรูป ในเสียง ในกล่ิน ในรส
เหลา่ น้ี น้ันมันก็เปน็ กามภพ ทอ่ งเทยี่ วในวฏั สงสาร ให้รู้จักท่ีอยขู่ องจติ
เหตนุ นั้ ใหพ้ ากนั พจิ ารณาตามรตู้ ามเหน็ ความเปน็ อยคู่ วามมอี ยู่ อยา่ ไปหานะ
ไปหาละไม่เจอ ให้กำ�หนดนิ่งดูให้มันรู้อยู่อย่างน้ัน มันสุขก็ดูให้มันรู้อยู่อย่างนั้น
ท่มี นั มอี ยู่ นี่แหละผู้ปฏบิ ตั ิ ทา่ นจงึ ใหล้ ะตัณหา หาแล้วมันไมเ่ ห็น ใหม้ นั หยดุ นง่ิ เรา
ก็เห็น จะใหจ้ ติ เราสงบได้ เปรยี บภายนอกเหมือนกบั น้�ำ มันจะใสไดต้ อ้ งทำ�อย่างไร
เราต้องวางน้ำ�นั้นให้มันน่ิง พอมันน่ิงมันก็ใส พอนำ้�มันใสเราก็มองเห็นได้ทุกสิ่ง
ทกุ อยา่ ง น่กี ฉ็ ันใด จติ เราน่งิ แล้ว มนั ภาวนา มันได้ความ ฟงั เทศนก์ ็ได้ความ ถา้ จิต
ไมน่ งิ่ ฟงั กไ็ มไ่ ดค้ วาม ภาวนากไ็ มไ่ ดค้ วาม มนั ไมร่ จู้ กั ดรี จู้ กั ชว่ั ไมร่ จู้ กั สขุ ไมร่ จู้ กั ทกุ ข์
นั่นแหละ สมถกรรมฐาน วปิ ัสสนากรรมฐาน
สมถะ นน่ั แหละท�ำ จติ ใหส้ งบ พอมนั สงบแลว้ มนั กเ็ กดิ วปิ สั สนาขนึ้ วปิ สั สนา
คอื ความรู้ เกดิ ญาณ ความรขู้ นึ้ มนั รสู้ งั ขารทง้ั หลาย รทู้ ดี่ บั ของสงั ขาร พอมนั เกดิ ตรง
ไหนมนั กด็ บั พอจติ มนั นงิ่ พอมนั เคลอ่ื นจากทลี่ ะ มนั ตวั สงั ขารละ มนั ปรงุ แลว้ กร็ จู้ กั
ดบั ตรงสังขาร ทนี ้เี รามาพจิ ารณาสังขารทง้ั หลายมันเปน็ ทุกขท์ ัง้ นน้ั สังขาราทกุ ขา
หายหลงเพราะร้จู กั “นะโม” 111
สังขารธรรมทั้งหลายเป็นทุกข์ สังขาราอนิจจา สังขารท้ังหลายไม่เท่ียงท้ังหมด
สิ่งใดไม่เที่ยงส่ิงน้ันเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ส่ิงนั้นไม่ใช่ตัวตน พอเราเห็นอย่างนี้
แล้วมนั กร็ ้แู จ้งเหน็ จริงแลว้ เมอ่ื รู้แจ้งเหน็ จรงิ แลว้ มันกด็ บั ในตนของตนเอง นแ้ี หละ
เมอื่ ไดย้ นิ แลว้ ต้อง โอปนยโิ ก ตอ้ งนอ้ มเข้าไปนะ
“...ใหพ้ ากนั เขา้ วัดนะ
วดั ดจู ติ ใจของเรา ตอ้ งวัดเสมอ
นั่งก็วัด นอนก็วดั เดนิ ยืนกว็ ัด
วดั เพราะเหตุใด
ใหม้ นั รู้ไว้ว่าจิตเรามันดหี รอื ไมด่ ี
ไมด่ ีจะไดแ้ ก้ไข
ต้องวดั ทุกวนั ตัดเสอื้ ตดั ผา้ กย็ ังตอ้ งวัดไมใ่ ช่เรอะ
ไม่วัดจะใช้ได้อะไรล่ะ...”
๓
หลงของเก่า
โดย พระอาจารย์ฝน้ั อาจาโร
ณ วัดป่าอุดมสมพร จ. สกลนคร
พระพุทธเจ้าเทศนาไว้ว่า สัจจังเว อมตา วาจา เอสะ ธัมโม สนันตโน
ธรรมเป็นของเกา่ มิใชเ่ ปน็ ของใหม่ เราประพฤตเิ ราปฏบิ ตั ิ ให้รจู้ ักของเก่า คือที่เรา
เกิดมาแล้วของเก่าท้ังน้ัน อารมณ์สัญญาท้ังหลายที่เราได้รู้ได้เห็น ได้ยินได้ฟังมา
เป็นแต่ของเก่าท้ังหมด มิใช่เป็นของใหม่สักอย่าง เราเกิดมา ไม่รู้จักว่าก่ีกัปกี่กัลป์
อนันตชาตแิ ล้ว เรื่องมนั เป็นอยา่ งนี้
เพราะเหตุน้ัน เราต้องพจิ ารณาของเก่า รูปร่างนก้ี ็ของเก่า สังขารรา่ งกายนี่
กข็ องเกา่ จติ ใจของเรานก่ี เ็ ปน็ ของเกา่ มใิ ชเ่ ปน็ ของใหม่ ฟา้ อากาศดนิ น�ำ้ ลมไฟกเ็ ปน็
ของเก่าต้ังแต่ไหนแต่ไรมา ปุพเพ อนนุสสุเตสุ ธัมเมสุ ธรรมทั้งหลายมันมีอยู่
อยา่ งนน้ั เหตนุ น้ั เราพงึ ใหร้ จู้ กั เราไดเ้ วยี นวา่ ยตายเกดิ มานไ้ี มร่ จู้ กั วา่ กก่ี ปั กก่ี ลั ปอ์ นนั ตชาติ
แล้ว มาถึงชาติภพอนั น้แี หละ เหตุนน้ั ให้เราพากันพจิ ารณาส่ิงเหลา่ นี้ ให้รูจ้ ักธรรม
ทงั้ หลาย มรรคผลสวรรคน์ พิ พานกไ็ มใ่ ชข่ องใหม่ เปน็ ของเกา่ ทงั้ นนั้ ศลี สมาธิ ปญั ญา
หลักพระพุทธศาสนากข็ องเก่าท้งั นัน้ มใิ ชเ่ ป็นของใหม่
คนท้ังหลายล่ะตื่นเก่าต่ืนใหม่ ว่าสมัยใหม่ ที่แท้จริงเป็นของเก่า คนหลง
เข้าใจเป็นของใหม่ เห็นใหม่ก็ว่าเป็นของใหม่ แท้ที่จริงของเก่าทั้งน้ัน เหตุนั้นให้
พากันให้รู้จักความเป็นอยู่ความมีอยู่ ท่านจึงว่า ยถาภูตัง ญาณทัสสนัง ภูตัง
ความเปน็ อยู่ เราจะรคู้ วามเปน็ อยไู่ ดย้ งั ไง เดย๋ี วนเ้ี ราไดย้ นิ ไดฟ้ งั เอหปิ สั สโิ ก รอ้ งเรยี ก
สตั วท์ ง้ั หลายมาดธู รรม ตอ้ งมาดอู นั ใดเลา่ กด็ รู ปู ธรรมนามธรรมของเรา รปู ธรรมคอื
อตั ภาพรา่ งกายของเรานี้ นามธรรมดวงใจของเรา ผู้คิด อารมณ์ สัญญา น่มี นั เปน็
ของเก่าหรอื ของใหม่ ใหพ้ จิ ารณา
114 อาจาริยบชู า พระอาจารยฝ์ ้นั อาจาโร
ความเปน็ อยูย่ งั ไง เราตอ้ งใหพ้ ิจารณา คือความหลง น่ีใหร้ ู้ เดี๋ยวนี้เราหลง
เราไม่รู้ จึงได้กลายเปน็ อื่นไป ถา้ เรารแู้ ล้วเราไมห่ ลง คอื อัตภาพรา่ งกายเรานไี้ มเ่ ป็น
ส่ิงน่าหลงสักอย่าง เราต้องพิจารณาเช่นท่ีพระอุปัชฌายะสอนมูลกรรมฐาน เราก็
ไมน่ ่าหลง ทา่ นสอนมูลกรรมฐาน ทา่ นสอนอะไร ทา่ นก็สอนผม สอนขน สอนเล็บ
สอนฟนั สอนหนัง ผมขนเล็บฟันหนงั นนั้ เปน็ ของเก่าหรือของใหม่ เราควรพจิ ารณา
โอปนยิกธรรม ให้น้อมเข้ามาพิจารณาดู ผมนเ้ี ป็นของใหมห่ รือของเก่า ขนเปน็ ของ
ใหม่หรอื ของเก่า เลบ็ ของเราเปน็ ของใหมห่ รอื ของเก่า ฟนั ของเราเปน็ ของใหม่หรอื
ของเกา่ หนงั ของเราเป็นของใหม่หรอื ของเกา่ มนั เป็นของเก่าต้งั แต่เราเกดิ มา
เหตุนั้นเราต้องน้อมพิจารณาในมูลกรรมฐานนี้ เพื่อเหตุใด เพื่อไม่ให้หลง
อันน้ีเราหลงแล้วสำ�คัญม่ันหมายเป็นอ่ืนไป เป็นของใหม่ไป เมื่อเห็นเป็นของใหม่
แล้วเราก็เลยอยากได้ ถ้าเราเห็นเป็นของเก่า เปรียบอุปมาอุปไมยเหมือนกับ
ผา้ ผอ่ นทอ่ นสไบ มนั ช�ำ รดุ ทรดุ โทรมไปแลว้ เรากไ็ มต่ อ้ งการและไมอ่ ยากได้ นสี้ งั ขาร
ร่างกายของเราก็เช่นเดียวกัน เห็นความชำ�รุดทรุดโทรมอยู่แล้ว ที่ท่านสอนแล้ว
ในมลู กรรมฐาน อปุ ชั ฌายะทา่ นสอนใหอ้ นโุ ลมปฏโิ ลม อนโุ ลมวา่ ผมขนเลบ็ ฟนั หนงั
เป็นของดีของงามหรอื อันน้ีปฏิโลมเขา้ มามนั งามยังไงผม ถ้ามนั งามแล้ว เราชำ�ระ
สะสางท�ำ ไม ดสู มี นั กด็ ี ดกู ลน่ิ มนั กด็ ี พจิ ารณาดซู ิ มนั เปน็ ของสะอาดหรอื ไมส่ ะอาด
เหตุน้ันเราต้องเป็นพระกรรมฐาน เรียนกรรมฐาน เราเป็นกรรมฐาน กรรมฐาน
อันนี้มันมีอยู่จำ�เพาะทุกรูปทุกนาม ไม่ว่าผู้หญิงไม่ว่าผู้ชาย เหตุนั้นพระพุทธเจ้า
จงึ สอนข้อนี้
ท่านสอนมาตั้งแต่เม่ือไหร่กรรมฐานน้ี ปุพเพ อนนุสสุเตสุ ธัมเมสุ มีมา
ต้ังแต่ไหนแต่ไรมา หากคนเราไม่ได้พิจารณา เมื่อไม่ได้พิจารณาแล้วก็เลยพากัน
หลงอยนู่ ี่หละ เหตุนั้นให้พากนั พจิ ารณาให้รู้ เมื่อรู้แลว้ มนั ไมห่ ลง มนั รแู้ ล้วมนั เป็น
ยังไงล่ะ มันเป็นของโสโครกสกปรกหรือเป็นของไม่สะอาด ไม่เป็นแก่นสาร ไม่มี
สาระ และไม่มใี ครต้องการ เชน่ ผมขนเล็บฟนั หนังเหลา่ นีถ้ กู ขา้ วถูกอาหาร เราจะ
ฉนั กไ็ มไ่ ด้ รบั ประทานก็ไมไ่ ด้ ท�ำ ไมจงึ เป็นยังง้นั เล่า กเ็ พราะมันไมด่ ีมนั ไม่สะอาด
มันน่าเกลียด เมื่อมันน่าเกลียดอย่างนี้แล้ว เราไปรักใคร่อะไรล่ะ ไปยินดีอะไรล่ะ
จึงได้หลงทะเยอทะยาน ดิ้นรนกระวนกระวายจติ ใจของเรา
หลงของเก่า 115
เหตุนั้นให้พากันน้อมเข้ามาพิจารณาให้รู้ให้เห็นส่ิงเหล่าน้ี เมื่อเราเห็น
สง่ิ เหลา่ นแ้ี ล้ว เรากจ็ ะถอนราคะความกำ�หนัดยนิ ดีในรูป เรากถ็ อนโลภะความโลภ
อยากได้ เราก็ถอนโทสะความโกรธ ถอนโมหะความหลง ไม่มีสิ่งจะต้องการ
จติ เรากเ็ ปน็ ศลี จติ เรากเ็ ปน็ สมาธิ จติ เรากม็ ปี ญั ญาความรอบรใู้ นกองสงั ขารทงั้ หลาย
เหลา่ น้ี อะไรมาปรุงแต่งไมไ่ ด้ มาหลอกหูหลอกตาเราไม่ได้ มาหลอกจมูกหลอกล้นิ
หลอกกายหลอกใจของเราไมไ่ ด้ นเ่ี ราพจิ ารณาแลว้ เหน็ จรงิ แจง้ ประจกั ษแ์ ลว้ เชอ่ื มนั
ลงยังงน้ั น่ีไม่ไดโ้ กหกหลอกลวงใคร สง่ิ เหล่านี้ถา้ ตนของตนไมเ่ ห็นแล้ว ใครจะบอก
จะสอนสกั เทา่ ไรมันกไ็ มเ่ ช่ือฟัง
ในธรรมคณุ ทา่ นจึงวา่ สันทฏิ ฐิโก ผปู้ ฏิบัติรเู้ องเหน็ เอง คือทา่ นสอนใหม้ า
ปฏิบัติ รผู้ ม รขู้ น รู้เล็บ รู้ฟัน รู้หนงั นี่แหละ ทา่ นไมไ่ ดส้ อนอันอน่ื เด๋ียวนี้เรากม็ า
หลงอะไร ก็มาหลงผม หลงขน หลงเล็บ หลงฟนั หลงหนงั นแ่ี หละ ถา้ เราเกดิ มา
ผมไม่มี ขนไม่มี เล็บไม่มี ฟันไม่มี หนังไม่มีแล้ว คนเราจะน่าดูไหม น่ารักใคร่
น่าชอบใจและยินดีไหม ใหพ้ จิ ารณาดูซิ มนั เปน็ ยงั ไง น่เี พ่อื ยถาภูตงั ญาณทัสสนงั
ความเป็นอยู่ ความมีอยู่อย่างนี้ น่ีแหละ เรามาหลงสิ่งเหล่านี้แหละ จึงได้วุ่นวาย
เดือดร้อน ประเทศชาติบ้านเมืองก็ไม่สงบ เพราะคนประกอบด้วยโลภะ ราคะ
โทสะ โมหะ มันเกิดวนุ่ วายกนั ซิ แน่ะ เรอ่ื งมนั เปน็ อยา่ งน้นั ถา้ เราพิจารณาเหน็ แลว้
เรากเ็ ปน็ ผสู้ �ำ รวมกาย ส�ำ รวมวาจา ส�ำ รวมใจเราเรยี บรอ้ ย เมอื่ มคี วามส�ำ รวมอยา่ งน้ี
จะไปฆ่าผูฆ้ า่ คนฆา่ สตั ว์ตวั ใหญ่ตวั โตอะไร แมแ้ ต่มดตัวแดงแมงตวั นอ้ ยท่านก็ไม่ให้
กระท�ำ ไมใ่ ห้เบยี ดเบยี นซงึ่ กันและกนั คิดดซู ิ ไมใ่ ห้มีความเบยี ดเบียนซ่งึ กันและกัน
ให้สำ�รวมกายของเรา กรรมท้ังหลายมันเกิดมาจากกายของเรา ไม่เห็นว่ากรรม
ทัง้ หลายมันเกดิ มาจากฟา้ อากาศ
เหตนุ นั้ เมอ่ื เรามาพจิ ารณากาย พจิ ารณาวาจา พจิ ารณาใจแลว้ กรรมมนั เกดิ
จากกาย เกดิ จากวาจา เกดิ จากดวงใจ น่ี เรากม็ ารกั ษากาย รกั ษาวาจา รกั ษาดวงใจ
เรานี้ให้เปน็ ศีล ศลี คือความปกติ มันไมม่ ีความทะเยอทะยานด้ินรน เมอ่ื จิตของเรา
ปกติ กายของเราปกติ ใจของเราปกตแิ ลว้ มนั กเ็ ปน็ ศลี ศลี กค็ อื ความสงบ มนั กม็ คี วาม
เยือกเย็น มคี วามเบา มคี วามสบาย มีความสวา่ งไสว มันก็มีความผ่องใสในศาสนา
ในธรรมวนิ ยั นม้ี นั เปน็ อยา่ งน้ี เหตนุ นั้ ใหพ้ ากนั นอ้ มเขา้ มาพจิ ารณา ตา่ งคนตา่ งสงบ
ต่างคนต่างระงับภัยระงับเวรแล้ว ภัยเวรท้ังหลายก็ไม่มี บ้านเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุข
116 อาจาริยบชู า พระอาจารย์ฝัน้ อาจาโร
สนุกสบาย ต่างคนต่างสบาย ต่างคนต่างเปน็ สขุ เพราะไมม่ ภี ยั ไมม่ ีเวร ไม่มีบาป
ไม่มีกรรม กรรมเกิดจากกาย เกิดจากวาจา เกิดจากดวงใจของเรา พระพุทธเจ้า
ทา่ นสอนไวเ้ ปน็ หลกั พระพทุ ธศาสนา เปน็ เครอ่ื งแกท้ กุ ข์ เปน็ เครอ่ื งดบั ทกุ ข์ เมอ่ื เรา
ไมม่ ภี ยั ไมม่ เี วรแลว้ เวรมนั จะมาจากทไ่ี หนละ่ กรรมมนั จะมาจากทไ่ี หนละ่ ความชวั่
มันจะมาจากทีไ่ หน เพราะเราไมม่ แี ล้วในจติ ใจของเรา
เหตุนั้นให้พากันทำ�ทุกวัน ได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ มันเป็นอย่างนี้ ปุพเพ
อนนสุ สเุ ตสุ ธมั เมสุ ธรรมทง้ั หลายมมี าอยอู่ ยา่ งน้ี เหตนุ น้ั ใหพ้ ากนั ใหเ้ หน็ ใหร้ ตู้ อ่ ไป
อย่าได้พากันสงสัยสนเท่ห์ลังเลในศาสนาธรรมะคำ�สั่งสอนของพระพุทธเจ้า เม่ือ
ใจของเราส�ำ รวมเรียบร้อยแล้ว จติ ของเราก็เปน็ สมาธิ เพราะมนั ไมม่ ีโทษ ไม่มีบาป
ไมม่ กี รรม ไมม่ ภี ยั ไมม่ อี ปุ สรรคแลว้ จติ ของเรากต็ ง้ั มนั่ ตง้ั เทย่ี ง ตงั้ ตรง มคี วามเยอื ก
ความเย็น มคี วามเบา มคี วามสบาย มีความสวา่ งไสว มคี วามผอ่ งใส เป็นสรณะ
ทพี่ งึ่ ของเราได้ เรากไ็ ดท้ พ่ี ง่ึ ทด่ี ี อตั ตโนนาโถ ตนเปน็ ทพ่ี ง่ึ ของตน ไดท้ พ่ี ง่ึ ของของตน
อนั ดี อนั เลศิ อนั ประเสรฐิ หาคา่ หาราคามไิ ด้ พจิ ารณาดซู ิ เรากน็ อ้ มเขา้ มาพจิ ารณาซิ
ไม่ใชไ่ ปพิจารณาอนื่
เราภาวนาทุกวัน เราก็ทำ�จิตให้เป็นสมาธิ วิธีจะดับบาปดับกรรมดับความ
ชั่วช้าลามกทั้งหลาย ดับภัยดับเวร จะล้างบาปล้างกรรม ล้างภัยล้างเวรทั้งหลาย
น่นั ไม่มีวธิ อี น่ื นอกจากเราน่งั สมาธิ เมือ่ นง่ั สมาธิ จิตสงบเป็นหนึง่ แล้ว เอกังจติ ตงั
เปน็ จติ อนั เดยี วแลว้ เอกงั ธมั มงั เปน็ ธรรมอนั เดยี วแลว้ บาปกรรมทง้ั หลายมนั กไ็ มม่ ี
ภยั ทงั้ หลายมนั กไ็ มม่ ี เวรทงั้ หลายมนั กไ็ มม่ ี ความชว่ั ทง้ั หลายมนั กไ็ มม่ ี มแี ตค่ วามสขุ
นั่นซิ สุขเพราะอะไร นัตถิ สันติปะรัง สุขัง สุขเพราะจิตเราสงบ เมื่อจิตเราสงบ
เรากเ็ ป็นสุข ความสขุ เกดิ จากตรงน้ี เมอ่ื ความสขุ มันมีแล้ว ภัยมันจะมีมาจากท่ไี หน
ล่ะ ทุกข์มันจะมีมาจากที่ไหนล่ะเม่ือจิตเราเป็นสุขแล้ว เพราะฉะน้ันเราจึงทำ�จิต
ของเราน้ีใหเ้ ปน็ สุข เราต้องนง่ั สมาธใิ หจ้ ิตตง้ั มน่ั เม่อื จิตเราตงั้ มนั่ แล้ว ก็มีความสขุ
ความสบาย
เมือ่ มีความสขุ ความสบายแลว้ เกดิ มอี ุบายเกดิ มีปัญญาความรู้ เกดิ มีความ
ฉลาด เรียกว่าปัญญารอบรู้ในกองสังขาร เพราะสังขารมันปรุงแต่งไม่ได้ ส่ิงจะ
เกิดขึ้นจากสมาธิเรารู้แล้ว จิตเราเคล่ือนไปข้างหน้ามาข้างหลัง ข้างซ้ายข้างขวา
หลงของเกา่ 117
ขา้ งบนขา้ งลา่ งเรากร็ แู้ ลว้ จติ เราเศรา้ หมองเรากร็ แู้ ลว้ จติ เราผอ่ งใสเรากร็ แู้ ลว้ เรยี กวา่
ปัญญา ความรอบรู้ในกองสังขาร จิตเราเคลื่อนไหวอย่างไรเราก็รู้แล้ว น่ี เพราะ
เราท�ำ สมาธเิ ป็นหลกั หรือจติ เราเอนเอียงไปทางไหนเราก็ร้แู ล้ว จติ เรามคี วามโลภ
ความโกรธ ความหลงขนึ้ มามนั กร็ แู้ ล้ว มนั กเ็ กิดขน้ึ ไมไ่ ดซ้ ิ จงึ วา่ เจริญ เกิดปญั ญา
ก็อาศัยหลกั สมาธินี้
เหตนุ น้ั ผจู้ ะมีอุบายมปี ญั ญา มานั่งสมาธมิ นั กเ็ หน็ สุขมันกเ็ ห็น ดมี นั ก็เหน็
ชวั่ มนั กเ็ หน็ ภพชาตทิ งั้ หลายมนั กเ็ หน็ พน้ ทกุ ขม์ นั กเ็ หน็ ไมพ่ น้ ทกุ ขม์ นั กเ็ หน็ มดื มนั
ก็เห็น สวา่ งมนั ก็เหน็ หลงมนั ก็เห็นมนั ก็รู้ ร้ใู นสมาธนิ แ้ี หละ มันก็เหน็ ตรงนัน้ ไม่ใช่
ไปเหน็ ตรงอน่ื เหตนุ ใี้ หพ้ ากนั ใหร้ ใู้ หเ้ หน็ พวกเรา นแ่ี หละอบุ ายจะไดแ้ กไ้ ขใหจ้ ติ สงบ
เราต้องเดินมูลกรรมฐานนี้ให้มาก ภาวิโต พหุลีกโต ทำ�ให้มากพิจารณาให้มาก
เพราะเราเห็นในมูลกรรมฐานแล้ว เห็นรากเห็นฐานแล้ว เม่ือเห็นสมุฏฐานแล้ว
เราก็ตดั สมฏุ ฐานซิ แกส้ มฏุ ฐานซิ เมอื่ สมฏุ ฐานไม่มีแลว้ มนั ก็หมดน่ะซิ
เดย๋ี วนเ้ี ราไมร่ จู้ กั วา่ สมฏุ ฐานเกดิ มาจากทไ่ี หน สมทุ ยั นน่ั มนั มาจากสมฏุ ฐานใด
สิ่งเหล่าน้ีเป็นแต่สมมติท้ังหมด ผมก็สมมติ ขนก็สมมติ เล็บก็สมมติ ฟันก็สมมติ
หนงั กส็ มมติ ผ้คู นเรากส็ มมติ ตน้ ไม้ภูเขาเลากา มีแตส่ มมติทง้ั หมด หลง ดชี ั่วเรา
เป็นผสู้ มมติทง้ั น้นั เหตนุ น้ั เราต้องพจิ ารณาใหม้ นั แนล่ งไปในจติ ของเรา เมอ่ื จิตเรา
เป็นสมาธิเท่ยี งตรงอย่อู ยา่ งนัน้ มนั ก็ไดร้ บั ความสุขความสบายซิ เราอยากสขุ อยาก
สบายละท�ำ จติ ของเราใหส้ งบ ถ้าจติ เราไม่สงบแลว้ มันจะสขุ ไดอ้ ยา่ งไร เรากต็ ้องรซู้ ิ
จิตไม่สงบน่ะมันเพราะเหตุใด ก็เพราะความหลงน่ะ เราก็เห็นแล้ว นี่ หลงสังขาร
ใหร้ ู้เทา่ สังขารรู้เท่าวิญญาณซี
เหตุน้ันให้พากันพิจารณาให้มันเห็นแน่นอนลงไป จริงแจ้งประจักษ์ลงไป
จะสงสัยอะไรในธรรมในวินัยในศาสนา มรรคผลธรรมวิเศษมันก็เกิดข้ึนน่ันแหละ
มันจะไดเ้ กิดจากที่ไหนเลา่ เกิดจากจิตสงบนั่นแหละ เรากร็ ู้ทีน่ ่ันแหละ จิตเราอยู่ใน
ชั้นใดภูมิใดภพใดชาติใดมันก็รู้ จิตตกในกามภพ รูปภพ อรูปภพเราก็รู้ซิ จิตตก
ในกามภพ มนั กห็ ลงอยใู่ นกามภพ หลงในรปู หลงในเสยี ง ในกลน่ิ ในรสสมั ผสั อารมณ์
ทงั้ หลายจติ พน้ จากกามภพคอื มนั ไมห่ ลงในรปู ในเสยี งในกลนิ่ ในรสในสมั ผสั ทง้ั หลาย
มันไม่หลง วางหมด เห็นแต่รูปน้ีเกิดมาแล้ว เห็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เกิดแก่
118 อาจาริยบูชา พระอาจารยฝ์ ้ัน อาจาโร
เจ็บตายแล้วรูปอันน้ี เรามาพิจารณาดังน้ี มันก็สังเวชสลดใจในรูปในเสียงในกลิ่น
ในรส มันก็ไม่มีความทะเยอทะยาน เห็นแต่สังขารร่างกายเราน้ีเป็นแต่ความชำ�รุด
ทรุดโทรมในรูปนี้ จิตเลยอย่ใู นนี้ เม่ือจติ อย่ใู นน้ีแล้ว มนั เหน็ ส่งิ เหลา่ นไ้ี มม่ แี กน่ สาร
ไม่มีสาระ จติ น้ันก็พ้นจากรูป มนั ก็ไปอรปู อรปู ภพ อรปู ภพมนั กว็ ่างหมด เหลือแต่
จติ ดวงเดียว ไปอยู่ท่วี า่ งๆ เป็นภพอยู่ เรยี กวา่ อรปู ภพ นี่ภพทงั้ หลายเป็นอย่างน้ี
นี้ถ้าเรามารู้ในภพทั้งสามเหล่านี้แล้ว กามภพก็ดี รูปภพก็ดี อรูปภพก็ดี
ส่งิ เหล่านม้ี ันเป็นภพอยแู่ ล้ว ถา้ มภี พแลว้ มนั กต็ ้องมีเกดิ มีแก่ มเี จบ็ มีตาย ถา้ เรา
พิจารณาความเกิดแก่เจ็บตาย นี่สิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์ ถ้าเราเห็นส่ิงเหล่าน้ีเป็นทุกข์
แล้ว เราก็รู้เท่าสมุทัยแล้ว จิตของเราก็หลุดพ้นไปจากภพท้ังสาม มันก็เป็น นรูป
มันเป็นโลกุตรธรรมไป มันเลยรูปไปหมด กามาวจราธัมมา รูปาวจราธัมมา
อรปู าวจราธัมมา นรูปาวจราธมั มา นรปู าวจรธัมมาเปน็ ยังไงเลา่ รปู กไ็ ม่ใช่ ไมใ่ ชร่ ูป
กไ็ มใ่ ช่ ดนิ กไ็ ม่ใช่ ลมก็ไม่ใช่ ไฟก็ไมใ่ ช่ อากาศกไ็ ม่ใช่ วัตถุก็ไม่ใช่ อากาศธาตุก็ไม่ใช่
ปฏิเสธหมด จึงว่าเป็นวิมุตติ เป็นผู้หลุดพ้นจากภพทั้งหลาย นี่มันเป็นอย่างนั้น
เป็นผสู้ ดุ สนิ้ สดุ ไปสดุ นัน่ แหละ
เหตุน้ันเราต้องพิจารณาเข้าไป จิตเราเป็นยังงั้น เห็นแล้ว เราก็เพ่งเล็งดูซี
ใหม้ นั รภู้ พร้ชู าติของเราซิ เราพ้นจากทุกข์มนั ก็ไม่มีทุกข์ เราพน้ จากภพมนั กไ็ มม่ ภี พ
เราพน้ จากชาตมิ นั กไ็ มม่ ชี าตซิ ิ เรายงั ไมพ่ น้ จากทกุ ข์ มนั กไ็ มพ่ น้ ทกุ ขซ์ ิ มภี พอยมู่ นั ก็
ไม่พ้นภพ ผ้จู ะพ้นชาติมนั ตอ้ งไมม่ ีชาติ เปน็ อย่างน้ี เหตุนนั้ ใหพ้ ากนั พนิ ิจพจิ ารณา
ให้มันแน่นอนลงไป จริงแจ้งประจักษ์ลงไป เชื่อมั่นลงไปในตัวของเราซิ จะสงสัย
อะไรเล่าในธรรมวินัยน้ี เหตุน้ันให้พากันให้รู้ให้เห็น ดังได้นำ�มาเตือนใจพวกเรา
ทั้งหลายตามข้อปฏิบัติ เราท้ังหลายเป็นผู้หลงในสามภพน้ี เมื่อเราเห็นจริงแจ้ง
ประจกั ษแ์ ละเชอื่ มน่ั อยา่ งนแ้ี ลว้ โยนโิ สมนสกิ าร พากนั ก�ำ หนดไวแ้ ลว้ น�ำ ไปประพฤติ
ปฏิบัติฝึกหัด แต่น้ีต่อไปเราไม่ประมาท ก็จะประสบเห็นแต่ความสุขความเจริญ
ดังได้แสดงมา เอวงั ก็มดี ้วยประการฉะนี้
๔
วัด...วัดตนวดั ตวั ของเรา
โดย พระอาจารย์ฝ้นั อาจาโร
ณ วัดปา่ อุดมสมพร จ. สกลนคร
วันท่ี ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๘
วันนี้เป็นวันอาสาฬหะ เข้าพรรษาวาสัง นี่เราท้ังหลายจะเวียนเทียนบูชา
พระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ ... พระทา่ นจะไดจ้ �ำ พรรษา เขา้ พรรษาในวนั พรงุ่ น้ี
วันนีเ้ ราบชู าคุณพระพทุ ธเจ้า คุณพระธรรม คณุ พระสงฆ์ ทีพ่ งึ่ ของเรา เปน็ ท่ีระลึก
ทีก่ ราบทีไ่ หว้ เป็นทส่ี กั การบูชา ใหน้ กึ วา่ พระพทุ ธเจ้าอยใู่ นใจของเรา พระธรรมอยู่
ในใจของเรา พระอรยิ สงฆ์อยใู่ นใจของเรา เชื่อมั่นอยา่ งนี้ เราเปน็ ผไู้ มง่ มงาย
บางคนว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนกัน ท่านนิพพานแล้ว ท่านวางศาสนา
ไว้ท่ีไหนเล่า ก็วางท่ีกาย ท่ีวาจา ท่ีใจของพวกเรา ทีน้ีเราจะทำ�ที่กายของเรา
พรอ้ มทง้ั กาย พรอ้ มทง้ั วาจา พรอ้ มทงั้ ดวงใจ ใหถ้ งึ คณุ พระพทุ ธเจา้ ถงึ คณุ พระธรรม
ถึงคณุ พระอริยสงฆ์ เชื่อมนั่ อยา่ งนน้ั เม่ือเราท�ำ อยู่อย่างนี้ ศาสนามนั กร็ งุ่ เรอื งเจริญ
อยู่ เหมือนกบั พระพุทธเจ้าอยู่ ถา้ เราไม่ประพฤติ เราไมป่ ฏิบัติ เราไมก่ ระทำ� กห็ มด
ศาสนา หมดค�ำ สง่ั สอนของพระพทุ ธเจ้า
พระพุทธเจ้าท่านสำ�เร็จดีแล้ว ท่านปรินิพพานแล้ว ยังเหลือแต่ธรรมะ
คำ�ส่ังสอนของท่าน ท่านสอนอะไร ท่านสอนกายของเรา สอนวาจาของเรา สอน
ใจของเรา สอนเพราะเหตุใด สอนให้ละความช่ัว ความชั่วไม่ได้อยู่ท่ีอ่ืนไกล อยู่ท่ี
กาย อยู่ที่วาจา อยูท่ ใี่ จของเรา ละความชั่วเพราะเหตใุ ด กลวั เราทุกข์ กลัวเรายาก
กลวั เราลำ�บากร�ำ คาญ กลวั เราอด กลวั เราจน กลัวเราตกทุกขไ์ ดย้ าก เพราะฉะนั้น
จงึ ใหพ้ ากนั ท�ำ คณุ งามความดี ทา่ นสอนกาย สอนวาจา สอนใจของคนใหท้ �ำ คณุ งาม
120 อาจาริยบชู า พระอาจารยฝ์ นั้ อาจาโร
ความดที างกาย ทางวาจา ทางดวงใจ เมอื่ กายเราท�ำ คุณงามความดแี ลว้ ความสุข
ความเจริญของเราก็ยังอยู่ เราก็ได้รับผลความสุขความเจริญในปัจจุบันและ
เบ้ืองหน้า ให้พากันเข้าใจอย่างนี้
เมื่อเราเวียนเทียนเพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้ารอบหน่ึง นึกพุทโธๆ ไป
เดนิ จงกรมไป ไมต่ อ้ งเปลง่ วาจา นกึ เอาในใจ เพง่ ดใู จของเราจนครบรอบประทกั ษณิ
รอบทหี่ นง่ึ แลว้ รอบทส่ี องใหน้ กึ ถงึ พระธรรมค�ำ สง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ ทา่ นสอนกาย
ของเรา สอนใจของเราเพ่ือให้เรามีความสุข เพ่ือให้เรามีความสบาย เพ่ือให้เรา
มีคุณงามความดี นี่รอบที่สอง รอบที่สาม นึกถึงคุณของพระอริยสงฆ์ นึกถึง
ยังไง นึกถึงกายนึกถึงใจของเรา เราเป็นผู้ประพฤติดีปฏิบัติดีท้ังกาย ท้ังวาจา
ทงั้ ดวงใจ มอื เรากถ็ อื ดอกไมธ้ ปู เทยี น เวยี นประทกั ษณิ สามรอบ นใ่ี หเ้ ขา้ ใจอยา่ งนนั้
อุชุปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติซ่ือ ปฏิบัติตรงธรรม ตรงวินัย ตรงคำ�ส่ังสอนของ
พระพุทธเจ้า เข้าหาความสงบ บ้านเมืองวุ่นวายเดือดร้อนนี่ก็เพราะความไม่สงบ
ให้ต่างคนต่างสงบ กิเลสของเราเมื่อความสงบมีแล้วกำ�จัดได้ เม่ือจิตของเราสงบ
ดีแล้ว จิตผ่องใสเหมือนกับนำ้�สงบ มันผ่องใสสะอาดปราศจากทุกข์ปราศจาก
โทษ ปราศจากภยั ปราศจากเวร ปราศจากความชัว่ ชา้ ลามก ปราศจากความทุกข์
ความจน เราไมอ่ ยากได้สิ่งเหลา่ น้ี
เพราะฉะน้นั ให้พากนั ท�ำ ทำ�เลน่ ก็ไดอ้ ยู่ แตม่ ันได้เล่นๆ ต้องท�ำ จริงๆ จังๆ
ให้เชอื่ มน่ั ในเจา้ ของ มันเปน็ อยา่ งใด มนั ดกี ใ็ จเราดี มนั ดอี กดใี จ มีความสุขความ
สบาย น่ีพูดง่ายๆ ใหด้ เู อา นแ่ี หละความดี เรามานกี้ ต็ ้องการความดี ไม่ใชอ่ น่ื ไกล
เรามาทำ�น่ีก็ต้องการความดี ต้องการความสุข ต้องการความเจริญ และต้องการ
ความพ้นทุกข์ เมื่อใจเราดีแล้ว ใจเราสงบดีแล้ว เราก็มีความสุขความเจริญ มันก็
พ้นจากทุกข์ พ้นจากภัย พ้นจากกิเลสจัญไร ความชั่วช้าลามก ความช่ัวช้าลามก
ไม่ได้อยู่ท่ีอ่ืน อยู่ที่ใจของเรา เมื่อเรานึก พุทโธ ธัมโม สังโฆ คือที่อธิบายมาแล้ว
ความชั่วท้ังหลายมันก็ไม่มี เราอย่าไปนึกถึงสิ่งอ่ืนเอาไว้ นี่เป็นสรณะที่พึ่งของเรา
เหตนุ ้นั ให้พากนั ใหพ้ ึงร้พู งึ เข้าใจ อย่าสกั แตท่ ำ� ใหเ้ ขา้ ใจ
น่ี พุทธศาสนา ทา่ นไม่ได้หมายอน่ื เปน็ พุทธศาสนา ไมไ่ ด้หมายฟ้าอากาศ
บา้ นเมือง ถนนหนทาง ไม่ได้หมายตน้ ไมภ้ ูเขาเลากา ไม่ไดห้ มายกุฏิศาลาโรงธรรม