แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 26 อ30205 ภาษาอังกฤษเสริมประสบการณ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 Different Types of English Sentences เรื่อง Interrogative sentences จำนวน 1 ชั่วโมง 1. สาระสำคัญ รู้จักลักษณะของประโยคในภาษาอังกฤษ ได้แก่ ประโยคบอกเล่า ประโยคคำถาม ประโยคปฏิเสธ ประโยคคำสั่ง ประโยคอุทาน ประโยคความรวม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 2.ผลการเรียนรู้ ข้อ 1เข้าใจ ตีความ วิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อความ ข้อมูล ข่าวสาร บทความ สาร คดีจากสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ข้อ 2 สามารถใช้ภาษาแสดงความคิดเห็น โดยใช้สื่อเทคโนโลยีที่มีอยู่ในแหล่งการเรียนรู้ทั้งในและ นอกสถานศึกษา ข้อ 3 สามารถนำเสนอความคิดรวบยอด ด้วยวิธีการที่หลากหลายรวมทั้งการเขียนในรูปแบบ ต่างๆกัน ข้อ 5 เห็นประโยชน์ของการรู้ภาษาอังกฤษ ในการแสวงหาความรู้ การเข้าสู่สังคมและอาชีพ 3.สาระการเรียนรู้ 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถเข้าใจโครงสร้างประโยคคำถาม Yes/No Question ได้ถูกต้อง 2. ด้านกระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถสนทนาประโยคคำถาม Yes/No Question ได้ถูกต้อง 3. ด้านเจตคติ (A) - นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน Vocabulary - Function/Speaking - talking about interrogative sentences Grammar - Yes/No Question (กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้……..?)
1. ความสามารถในการสื่อสาร 2.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. การบูรณาการหลักปรัชญา 8. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (Warm up) 1. ครูและนักเรียนทักทายกัน 2. ครูเขียนคำว่า Yes/No Question แล้วถามนักเรียนว่า ประโยคประเภทนี้มีโครงสร้างแบบใด 3. ครูชี้แจงกิจกรรมในวันนี้คือการเรียนเกี่ยวกับประโยคคำถาม Yes/No Question ขั้นนำเสนอเนื้อหา (Presentation) 3. ครูโครงสร้างประโยคคำถาม Yes/No Question ประโยคคำถามในภาษาอังกฤษมี 2 ประเภท คือ 1. Yes/No Question 2. Wh-Question Yes/No Question – เหตุใดจึงเรียกว่าเป็นคำถามแบบ yes/no question? ก็เพราะมันเป็นคำถามแบบที่ต้องตอบว่า yes หรือ no หลักการง่ายๆในการสร้างประโยคคำถามแบบนี้คือ เอากริยาช่วย (Helping verb) มาขึ้นต้น ประโยค ไม่ว่าในประโยคนั้นจะมีกริยาช่วยอะไรเอามันมาไว้ข้างหน้าประโยคก่อนเลย แล้วที่เหลือก็เรียง ประธานและกริยาแท้ตามลำดับ จบท้ายด้วย question mark (?) กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้……..? หลักความพอประมาณ การใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้และทำงานเหมาะกับเวลา หลักมีเหตุผล นักเรียนสามารถสนทนาประโยคคำถาม Yes/No Question ได้ถูกต้อง หลักสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี การเลือกศึกษาจากแหล่งเรียนรู้โดยมีความถูกต้อง การวางแผนในการทำงาน เงื่อนไขความรู้ นักเรียนสามารถเข้าใจโครงสร้างประโยคคำถาม Yes/No Question ได้ ถูกต้อง เงื่อนไขคุณธรรม นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น
หลักการนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุก Tense เช่น Continuous tense ก็จะมี Verb to be เป็นกริยา ช่วย Is mom cooking dinner? (present continuous tense) Are you wearing sunglasses? (present continuous tense) Was she working when you came? (past continuous tense) หรือ perfect tense ก็จะมี verb to have เป็นกริยาช่วย Have you ever been to Korea? (Present perfect tense) Had she called you before she left for Tokyo? (Past perfect tense) แต่สำหรับ simple tense นั้น ในประโยคบอกเล่าจะไม่ปรากฏกริยาช่วยใดๆ แล้วจะหากริยาช่วยได้ จากที่ไหน? Tense นี้มีความพิเศษหน่อยคือจะเอา Verb to do เข้ามาช่วย ฉะนั้นเวลาตั้งเป็นคำถาม ก็ต้องเอา verb to do (do, does, did) ขึ้นต้น ถ้าเป็น present tense ก็ใช้ do, does แต่ถ้าเป็น past tense ก็ใช้ did เช่น Do they take writing course this semester? Does she work as an assistant of Prof. Harisson? Did he go with you last night? คำถามแบบ Yes/No question แน่นอนว่า เวลาตอบก็ต้องตอบ yes หรือ no เช่น Have they broken the window? Yes, they have. (ย่อมาจาก Yes, they have broken the window.) No, they haven’t. (ย่อมาจาก No, they haven’t broken the window.) หรือในบางประโยคที่ตอง No ก็อาจจะพูดประโยคที่ถูกต้องไปเลยก็ได้ เช่น Are you Matt? No, I’m Martin. ** หลักการง่ายๆในการตอบแบบสั้นคือ ให้ตอบ Yes หรือ No แล้วตามด้วยสรรพนามที่แทนประธานใน ประโยคคำถาม แล้วตามด้วยกริยาช่วยและถ้าคำตอบเป็น No ก็เติม not ไปที่หลังกริยาช่วย เช่น Are the students wearing the scout uniform? Yes, they are. / No, they aren’t. Does she like eating spaghetti? Yes, she does. / No, she doesn’t.
ขั้นฝึก (Practice) 5. ครูสุ่มเลขที่ ให้นักเรียนผู้โชคดีมาแต่งประโยคคำถาม Yes/No Question บนกระดาน ถ้าแต่งถูก ได้รับรางวัล ขั้นนำไปใช้ (Production) 6. ครูให้นักเรียนจับคู่สนทนา ฝึกสนทนาโดยใช้โครงสร้างประโยคคำถาม Yes/No Question ขั้นสรุป (Warp up) 7. ครูให้นักเรียนทบทวนเรื่องที่ได้เรียนไปวันนี้โดยถามนักเรียนว่า “What have you learned from today?” 9. สื่อ / อุปกรณ์ สื่ออุปกรณ์ 1. Power point 2. คอมพิวเตอร์ 3. ลำโพง 10. การวัดประเมินผล การวัดและการประเมินผล วิธีการวัดและการ ประเมินผล เครื่องมือ เกณฑ์ (K) –เข้าใจโครงสร้าง ประโยคคำถาม Yes/No Question ได้ถูกต้อง - ตรวจการแต่งประโยค - ประโยค -ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (P)- สนทนาประโยคคำถาม Yes/No Question ได้ ถูกต้อง - สังเกตจากการตอบคำถาม -คำถาม - ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (A) -กระตือรือร้น -สังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -แบบสังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียน แล้วเติมคะแนนลงในช่องว่าง เลขที่ ชื่อ-สกุล พฤติกรรม / ลักษณะบ่งชี้ รวม มีความ สรุป รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการ ทำงาน รับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกิจกรรม ส่งงานตรงตามเวลาที่กำหนด ตั้งใจเรียนและเอาใจใส่ต่องานที่ได้รับ มอบหมาย สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ กล้าซักถาม กล้าพูด กล้าแสดงความ คิดเห็น และกล้าแสดงออก ทุ่มเทและมีความอดทนในการทำงาน ไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรค พยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้งานสำเร็จ ผ่าน ไม่ผ่าน 3 3 3 3 3 3 3 3 3 27 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การวัดผลประเมินผล (ผ่านเกณฑ์ในระดับ ดี) ระดับ 3 ช่วงคะแนน 19 – 27 ดี ระดับ 2 ช่วงคะแนน 10 – 18 พอใช้ ระดับ 1 ช่วงคะแนน 1 – 9 ปรับปรุง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 27 อ30205 ภาษาอังกฤษเสริมประสบการณ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 Different Types of English Sentences เรื่อง Interrogative sentences จำนวน 1 ชั่วโมง 1. สาระสำคัญ รู้จักลักษณะของประโยคในภาษาอังกฤษ ได้แก่ ประโยคบอกเล่า ประโยคคำถาม ประโยคปฏิเสธ ประโยคคำสั่ง ประโยคอุทาน ประโยคความรวม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 2.ผลการเรียนรู้ ข้อ 1เข้าใจ ตีความ วิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อความ ข้อมูล ข่าวสาร บทความ สาร คดีจากสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ข้อ 2 สามารถใช้ภาษาแสดงความคิดเห็น โดยใช้สื่อเทคโนโลยีที่มีอยู่ในแหล่งการเรียนรู้ทั้งในและ นอกสถานศึกษา ข้อ 3 สามารถนำเสนอความคิดรวบยอด ด้วยวิธีการที่หลากหลายรวมทั้งการเขียนในรูปแบบ ต่างๆกัน ข้อ 5 เห็นประโยชน์ของการรู้ภาษาอังกฤษ ในการแสวงหาความรู้ การเข้าสู่สังคมและอาชีพ 3.สาระการเรียนรู้ 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถเข้าใจโครงสร้างประโยคคำถาม Wh-quesitonได้ถูกต้อง 2. ด้านกระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถสนทนาประโยคคำถาม Wh-quesitonได้ถูกต้อง 3. ด้านเจตคติ (A) - นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน Vocabulary - Function/Speaking - talking about interrogative sentences Grammar - Wh-quesiton (Wh-question + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้….?)
1. ความสามารถในการสื่อสาร 2.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. การบูรณาการหลักปรัชญา 8. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (Warm up) 1. ครูและนักเรียนทักทายกัน 2. ครูให้นักเรียนทบทวนเนื้อหาในคาบที่แล้ว 3. ครูชี้แจงกิจกรรมในวันนี้คือการเรียนเกี่ยวกับประโยคคำถาม Wh-quesiton ขั้นนำเสนอเนื้อหา (Presentation) 3. ครูโครงสร้างประโยคคำถาม Yes/No Question ประโยคคำถามในภาษาอังกฤษมี 2 ประเภท คือ 1. Yes/No Question 2. Wh-Question Wh-quesiton คือคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Wh-question words (What, When, Where, Why, Whose, Who, Which และ ตระกูล How เช่น How old, How long, How much, How many, etc.) ประโยคคำถาม แบบ Wh-question นี้ จะเป็นการถามเพื่อขอข้อมูล โครงสร้างประโยคก็เหมือน Yes/No question เพียงแต่วาง Wh-question ไว้ข้างหน้าสุด หน้ากริยาช่วย แล้วตามด้วยประธานและกริยาหลัก ตามลำดับ หลักความพอประมาณ การใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้และทำงานเหมาะกับเวลา หลักมีเหตุผล นักเรียนสามารถสนทนาประโยคคำถาม Wh-quesiton ได้ถูกต้อง หลักสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี การเลือกศึกษาจากแหล่งเรียนรู้โดยมีความถูกต้อง การวางแผนในการทำงาน เงื่อนไขความรู้ นักเรียนสามารถเข้าใจโครงสร้างประโยคคำถาม Wh-quesiton ได้ถูกต้อง เงื่อนไขคุณธรรม นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น
Wh-question + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้….? ตัวอย่างประโยคคำถามแบบนี้คือ Where does your brother work? What have you done these days? How long will you stay here? What movie were you watching last night when I called? มีข้อควรระวังและข้อเสนอแนะอยู่สองสามข้อในการสร้างประโยคคำถามคือ ประโยคคำถามที่มี do/does/did เป็นกริยาช่วยนั้น กริยาแท้ที่ตามมาในประโยคจะต้องเป็นรูป base form คือรูปธรรมดา ไม่ผัน ไม่เติม s/es และอีกข้อหนึ่งคือ Wh-question words ใดที่ต้องมีนามตามมาด้วย เช่นในความหมายว่า หนังสืออะไร หนังสือของใคร หนังสือเล่มไหน ให้วางนามต่อท้าย Wh-question words นั้นได้เลย เช่น what book, whose book, which book แล้วค่อยตามด้วยโครงสร้างที่เหลือ เช่น What book are you reading? คุณกำลังอ่านหนังสืออะไร ขั้นฝึก (Practice) 5. ครูแบ่งนักเรียนเป็น 2 กลุ่ม ให้แข่งกันออกมาแต่งประโยคคำถาม Wh-question บนกระดาน ถ้า แต่งถูกได้รับรางวัล ขั้นนำไปใช้ (Production) 6. ครูให้นักเรียนจับคู่สนทนา ฝึกสนทนาโดยใช้โครงสร้างประโยคคำถาม Wh-question ขั้นสรุป (Warp up) 7. ครูให้นักเรียนทบทวนเรื่องที่ได้เรียนไปวันนี้โดยถามนักเรียนว่า “What have you learned from today?” 9. สื่อ / อุปกรณ์ สื่ออุปกรณ์ 1. Power point 2. คอมพิวเตอร์ 3. ลำโพง
10. การวัดประเมินผล การวัดและการประเมินผล วิธีการวัดและการ ประเมินผล เครื่องมือ เกณฑ์ (K) –เข้าใจโครงสร้าง ประโยคคำถาม Whquestion ได้ถูกต้อง - ตรวจการแต่งประโยค - ประโยค -ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (P)- สนทนาประโยคคำถาม Wh-question ได้ถูกต้อง - สังเกตจากการตอบคำถาม -คำถาม - ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (A) -กระตือรือร้น -สังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -แบบสังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียน แล้วเติมคะแนนลงในช่องว่าง เลขที่ ชื่อ-สกุล พฤติกรรม / ลักษณะบ่งชี้ รวม มีความ สรุป รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการ ทำงาน รับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกิจกรรม ส่งงานตรงตามเวลาที่กำหนด ตั้งใจเรียนและเอาใจใส่ต่องานที่ได้รับ มอบหมาย สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ กล้าซักถาม กล้าพูด กล้าแสดงความ คิดเห็น และกล้าแสดงออก ทุ่มเทและมีความอดทนในการทำงาน ไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรค พยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้งานสำเร็จ ผ่าน ไม่ผ่าน 3 3 3 3 3 3 3 3 3 27 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การวัดผลประเมินผล (ผ่านเกณฑ์ในระดับ ดี) ระดับ 3 ช่วงคะแนน 19 – 27 ดี ระดับ 2 ช่วงคะแนน 10 – 18 พอใช้ ระดับ 1 ช่วงคะแนน 1 – 9 ปรับปรุง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 28 อ30205 ภาษาอังกฤษเสริมประสบการณ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 Different Types of English Sentences เรื่อง Interrogative sentences จำนวน 1 ชั่วโมง 1. สาระสำคัญ รู้จักลักษณะของประโยคในภาษาอังกฤษ ได้แก่ ประโยคบอกเล่า ประโยคคำถาม ประโยคปฏิเสธ ประโยคคำสั่ง ประโยคอุทาน ประโยคความรวม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 2.ผลการเรียนรู้ ข้อ 1เข้าใจ ตีความ วิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อความ ข้อมูล ข่าวสาร บทความ สาร คดีจากสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ข้อ 2 สามารถใช้ภาษาแสดงความคิดเห็น โดยใช้สื่อเทคโนโลยีที่มีอยู่ในแหล่งการเรียนรู้ทั้งในและ นอกสถานศึกษา ข้อ 3 สามารถนำเสนอความคิดรวบยอด ด้วยวิธีการที่หลากหลายรวมทั้งการเขียนในรูปแบบ ต่างๆกัน ข้อ 5 เห็นประโยชน์ของการรู้ภาษาอังกฤษ ในการแสวงหาความรู้ การเข้าสู่สังคมและอาชีพ 3.สาระการเรียนรู้ 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถเข้าใจโครงสร้างประโยคคำถาม Wh-quesitonและ Yes/No Question ได้ ถูกต้อง 2. ด้านกระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถทำแผนผังความคิดสรุปเกี่ยวกับโครงสร้างประโยคคำถามWh-quesitonและ Yes/No Question ได้ถูกต้อง Vocabulary - Function/Speaking - talking about interrogative sentences Grammar - Wh-quesiton (Wh-question + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้….?) - Yes/No Question (กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้……..?)
3. ด้านเจตคติ (A) - นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. การบูรณาการหลักปรัชญา 8. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (Warm up) 1. ครูและนักเรียนทักทายกัน 2. ครูให้นักเรียนทบทวนเนื้อหาในคาบที่แล้ว 3. ครูชี้แจงกิจกรรมในวันนี้คือการทำแบบทดสอบหลังเรียน ขั้นนำเสนอเนื้อหา (Presentation) 4. ครูและนักเรียนร่วมกันทบทวนเนื้อหาเกี่ยวกับโครงสร้างประโยคคำถาม Yes/No Question และ Wh-Question ขั้นฝึก (Practice) 5. ครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียนเกี่ยวกับโครงสร้างประโยคคำถาม Yes/No Question และ Wh-Question หลักความพอประมาณ การใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้และทำงานเหมาะกับเวลา หลักมีเหตุผล นักเรียนสามารถทำแผนผังความคิดสรุปเกี่ยวกับโครงสร้างประโยคคำถาม Wh-quesitonและYes/No Question ได้ถูกต้อง หลักสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี การเลือกศึกษาจากแหล่งเรียนรู้โดยมีความถูกต้อง การวางแผนในการทำงาน เงื่อนไขความรู้ นักเรียนสามารถเข้าใจโครงสร้างประโยคคำถาม Wh-quesitonและ Yes/No Question ได้ถูกต้อง เงื่อนไขคุณธรรม นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น
ขั้นนำไปใช้ (Production) 6. ครูให้นักเรียนทำแผนผังความคิดสรุปเกี่ยวกับโครงสร้างประโยคคำถามWh-quesitonและYes/No Question ขั้นสรุป (Warp up) 7. ครูให้นักเรียนทบทวนเรื่องที่ได้เรียนไปวันนี้โดยถามนักเรียนว่า “What have you learned from today?” 9. สื่อ / อุปกรณ์ สื่ออุปกรณ์ 1. Power point 2. คอมพิวเตอร์ 3. ลำโพง 10. การวัดประเมินผล การวัดและการประเมินผล วิธีการวัดและการ ประเมินผล เครื่องมือ เกณฑ์ (K) –เข้าใจโครงสร้าง ประโยคคำถาม WhquesitonและYes/No Question ได้ถูกต้อง - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบ -ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (P)- ทำแผนผังความคิดสรุป เกี่ยวกับโครงสร้างประโยค คำถามWh-quesitonและ Yes/No Question - ตรวจแผนผังความคิด -แผนผังความคิด - ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (A) -กระตือรือร้น -สังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -แบบสังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียน แล้วเติมคะแนนลงในช่องว่าง เลขที่ ชื่อ-สกุล พฤติกรรม / ลักษณะบ่งชี้ รวม มีความ สรุป รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการ ทำงาน รับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกิจกรรม ส่งงานตรงตามเวลาที่กำหนด ตั้งใจเรียนและเอาใจใส่ต่องานที่ได้รับ มอบหมาย สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ กล้าซักถาม กล้าพูด กล้าแสดงความ คิดเห็น และกล้าแสดงออก ทุ่มเทและมีความอดทนในการทำงาน ไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรค พยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้งานสำเร็จ ผ่าน ไม่ผ่าน 3 3 3 3 3 3 3 3 3 27 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การวัดผลประเมินผล (ผ่านเกณฑ์ในระดับ ดี) ระดับ 3 ช่วงคะแนน 19 – 27 ดี ระดับ 2 ช่วงคะแนน 10 – 18 พอใช้ ระดับ 1 ช่วงคะแนน 1 – 9 ปรับปรุง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 29 อ30205 ภาษาอังกฤษเสริมประสบการณ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 Different Types of English Sentences เรื่อง Imperative sentences จำนวน 1 ชั่วโมง 1. สาระสำคัญ รู้จักลักษณะของประโยคในภาษาอังกฤษ ได้แก่ ประโยคบอกเล่า ประโยคคำถาม ประโยคปฏิเสธ ประโยคคำสั่ง ประโยคอุทาน ประโยคความรวม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 2.ผลการเรียนรู้ ข้อ 1เข้าใจ ตีความ วิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อความ ข้อมูล ข่าวสาร บทความ สาร คดีจากสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ข้อ 2 สามารถใช้ภาษาแสดงความคิดเห็น โดยใช้สื่อเทคโนโลยีที่มีอยู่ในแหล่งการเรียนรู้ทั้งในและ นอกสถานศึกษา ข้อ 3 สามารถนำเสนอความคิดรวบยอด ด้วยวิธีการที่หลากหลายรวมทั้งการเขียนในรูปแบบ ต่างๆกัน ข้อ 5 เห็นประโยชน์ของการรู้ภาษาอังกฤษ ในการแสวงหาความรู้ การเข้าสู่สังคมและอาชีพ 3.สาระการเรียนรู้ 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถเข้าใจโครงสร้างประโยคคำสั่งได้ถูกต้อง 2. ด้านกระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถอธิบายโครงสร้างประโยคคำสั่งแต่ละประเภทได้ Vocabulary - Function/Speaking - talking about imperative sentences Grammar - Imperative sentence ในรูปแบบประโยคบอกเล่า - Imperative sentence ในรูปแบบประโยคปฏิเสธ - Imperative sentence ในเชิงขอร้อง - Imperative sentence ในเชิงเชื้อเชิญ - Imperative sentence กรณีพิเศษ
3. ด้านเจตคติ (A) - นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. การบูรณาการหลักปรัชญา 8. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (Warm up) 1. ผู้สอนกล่าวทักทายผู้เรียน และพูดคุยกันเกี่ยวกับคาบเรียนที่แล้วเพื่อทบทวนเนื้อหาก่อนเริ่ม บทเรียน 2. ครูชี้แจงกิจกรรมในวันนี้คือการเรียนเกี่ยวกับประโยคคำสั่ง ขั้นนำเสนอเนื้อหา (Presentation) 3. ครูอธิบายเนื้อหาเกี่ยวกับรูปแบบและโครงสร้างประโยคคำสั่ง Imperative sentence - Imperative sentence ในรูปแบบประโยคบอกเล่า - Imperative sentence ในรูปแบบประโยคปฏิเสธ - Imperative sentence ในเชิงขอร้อง - Imperative sentence ในเชิงเชื้อเชิญ 4. ครูและนักเรียนทบทวนเนื้อหาร่วมกันอีกครั้ง หลักความพอประมาณ การใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้และทำงานเหมาะกับเวลา หลักมีเหตุผล นักเรียนสามารถอธิบายโครงสร้างประโยคคำสั่งแต่ละประเภทได้ หลักสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี การเลือกศึกษาจากแหล่งเรียนรู้โดยมีความถูกต้อง การวางแผนในการทำงาน เงื่อนไขความรู้ นักเรียนสามารถเข้าใจโครงสร้างประโยคคำสั่งได้ถูกต้อง เงื่อนไขคุณธรรม นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น
ขั้นฝึก (Practice) 5. ครูแจกกระดาษบลู๊ค ปากกาเคมี ปากกาเมจิและแบ่งกลุ่มนักเรียน 4 กลุ่ม ให้มาหยิบสลากเลือก หัวข้อที่ต้องทำสรุป มีทั้งหมด 4 หัวข้อคือ - Imperative sentence ในรูปแบบประโยคบอกเล่า - Imperative sentence ในรูปแบบประโยคปฏิเสธ - Imperative sentence ในเชิงขอร้อง - Imperative sentence ในเชิงเชื้อเชิญ ขั้นนำไปใช้ (Production) 6. หลังจากที่นักเรียนแต่ละกลุ่มสรุปเนื้อหาเสร็จแล้ว ให้ออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน ขั้นสรุป (Warp up) 7. ครูให้นักเรียนทบทวนเรื่องที่ได้เรียนไปวันนี้โดยถามนักเรียนว่า “What have you learned from today?” 9. สื่อ / อุปกรณ์ สื่ออุปกรณ์ 1. Power point 2. คอมพิวเตอร์ 3. ลำโพง 4. กระดาษบลู๊ค 5. ปากกาเคมี ปากกาเมจิ 10. การวัดประเมินผล การวัดและการประเมินผล วิธีการวัดและการ ประเมินผล เครื่องมือ เกณฑ์ (K) –เข้าใจโครงสร้าง ประโยคคำสั่งได้ถูกต้อง - ตรวจการทำสรุป - เนื้อหา -ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (P)- สามารถอธิบาย โครงสร้างประโยคคำสั่งแต่ ละประเภทได้ - สังเกตจากการอธิบาย -เนื้อหาประโยคคำสั่งแต่ละ ประเภท - ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (A) -กระตือรือร้น -สังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -แบบสังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียน แล้วเติมคะแนนลงในช่องว่าง เลขที่ ชื่อ-สกุล พฤติกรรม / ลักษณะบ่งชี้ รวม มีความ สรุป รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการ ทำงาน รับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกิจกรรม ส่งงานตรงตามเวลาที่กำหนด ตั้งใจเรียนและเอาใจใส่ต่องานที่ได้รับ มอบหมาย สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ กล้าซักถาม กล้าพูด กล้าแสดงความ คิดเห็น และกล้าแสดงออก ทุ่มเทและมีความอดทนในการทำงาน ไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรค พยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้งานสำเร็จ ผ่าน ไม่ผ่าน 3 3 3 3 3 3 3 3 3 27 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การวัดผลประเมินผล (ผ่านเกณฑ์ในระดับ ดี) ระดับ 3 ช่วงคะแนน 19 – 27 ดี ระดับ 2 ช่วงคะแนน 10 – 18 พอใช้ ระดับ 1 ช่วงคะแนน 1 – 9 ปรับปรุง
ใบความรู้ Imperative sentence คือ ประโยคคำสั่ง, ตักเตือน, แนะนำสั่งสอน, เชื้อเชิญ โดยการนำคำกริยา Infinitive without to (V.1 ที่ไม่มี to) มาขึ้นต้นประโยค และถ้าเติม please เข้าไปจะเป็นประโยคขอร้อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำเสียงของผู้พูด, ความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง และเจตนาในการสื่อความหมาย ที่สำคัญ ประโยค Imperative sentence จะลงท้ายด้วยเครื่องหมายวรรคตอน full-stop (.) หรือ exclamation mark (!) เสมอ ตัวอย่าง: Be quiet. (จงเงียบ) Come here! (มานี่) Sit down! (นั่งลง) รูปแบบและโครงสร้างประโยคคำสั่ง Imperative sentence Imperative sentence ในรูปแบบประโยคบอกเล่า - ใช้ Verb base form (V.1) ขึ้นต้นประโยคแล้วตามด้วยสิ่งที่จะสั่งให้ทำ หรืออาจใช้ Verb แค่คำเดียวก็ได้ เช่น Stop! (หยุด) Come here! (มานี่) Open the door. (จงเปิดประตู) Speak English. (จงพูดภาษาอังกฤษ) - ใช้ Verb ‘be’ ขึ้นต้นประโยค เช่น Be careful. (จงระวัง) Be a good boy. (จงเป็นเด็กดี) Be kind to children. (จงมีเมตตาต่อเด็ก ๆ) Imperative sentence ในรูปแบบประโยคปฏิเสธ - การทำ Imperative sentence เป็นรูปแบบประโยคปฏิเสธ เพียงแค่วาง don’t (do not) หน้าคำกริยา Don’t + V.1 เช่น
Don’t go! (อย่าไป) Don’t touch me. (อย่ามาแตะต้องตัวฉัน) Don’t swim in this canal. (อย่าว่ายน้ำในคลองนี้) - Imperative sentence ที่ขึ้นต้นด้วยกริยา ‘be’ ก็เช่นเดียวกัน เพียงวาง don’t หน้ากริยา be เช่น Don’t be noisy. (อย่าส่งเสียงดัง) Imperative sentence ในเชิงขอร้อง สามารถใช้ Imperative sentence ในเชิงขอร้องได้ โดยเพียงเติม Please เข้าไปวางไว้หน้าหรือท้ายประโยค เพื่อให้ดูสุภาพขึ้น เช่น Please sit down. หรือ Sit down, please. (กรุณานั่งลง) Please wait here. (กรุณารอตรงนี้) Please give me chocolate. (เอาช็อกโกแลตให้ฉันหน่อยค่ะ) Be quiet, please. (กรุณาเงียบ) Please don’t smoke here. (กรุณาอย่าสูบบุหรี่ตรงนี้) Imperative sentence ในเชิงเชื้อเชิญ Imperative sentence ในเชิงเชื้อเชิญ เป็นประโยคคำสั่งที่รวมถึงตัวผู้พูดเข้าไปด้วย ทำได้โดยเติม Let’s ไว้หน้าคำกริยา และถ้าเป็นในรูปปฏิเสธ ใช้ Let’s not วางหน้าคำกริยา โครงสร้าง : Let’s / Let’s not + V.1 เช่น Let’s stop now. (ตอนนี้หยุดกันเถอะ) Let’s not tell him about it. (อย่าบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยเถอะ) วิธีตอบ ถาม Let’s ก็ตอบด้วย Let’s เช่น Yes, let’s. / No, let’s not
ข้อสังเกต : ใน Imperative sentence ไม่มีประธาน (Subject) โดยละประธานซึ่งคือ สรรพนามบุรุษที่ 2 ‘You’ ไว้ Imperative sentence กรณีพิเศษ 1. Imperative sentence แบบมีประธาน (Subject) แม้ว่าปกติแล้ว Imperative sentence ไม่ต้องใส่ ประธาน (สรรพนามบุรุษที่ 2 ‘You’) แต่บางครั้งเราสามารถสร้างประโยค Imperative แบบมีประธานชัดเจน ได้ เช่น You be quiet! (คุณ เงียบ!) You, don’t touch me! (แก อย่ามาถูกตัวฉันนะ) Everybody sit down. (ทุกคน นั่งลง) Mike look! (ไมค์ ดูสิ) 2. ประโยคคำสั่งแบบนามธรรม เราสามารถแสดงความหวังหรือความปรารถนาและข้อเสนอแนะด้วยรูปแบบ ประโยค Imperative ได้ ซึ่งประโยคเหล่านี้ไม่ใช่คำสั่งจริง ๆ เช่น Have a nice day. (ขอให้เป็นวันที่ดีนะ) If there’s no soy milk try almond milk. (ถ้าไม่มีนมถั่วเหลืองก็ลองนมอัลมอนด์สิ) 3. ประโยค Imperative กับ Do ถ้าต้องการเน้น Imperative sentence ให้เป็นประโยคขอร้อง, ขอโทษ และ ตำหนิมากขึ้น ก็เติม Do หน้าคำกริยา อีกทั้งยังมีความสุภาพมากขึ้นด้วย เช่น Do tell me about her. (ช่วยเล่าเรื่องของหล่อนให้ผมฟังหน่อยนะ) Do try to keep the noise down, lady. (ลองเบาเสียงลงหน่อยนะสาว ๆ) 4. ใช้ประโยค Imperative กับ always, never, ever โดยวางคำเหล่านี้หน้าคำกริยาช่อง 1 (V.1) เช่น Always remember my advice. (จงจำคำแนะนำฉันไว้เสมอ) Never run in this room. (อย่าวิ่งในห้องนี้)
Don’t ever leave your keys in your car. (อย่าทิ้งกุญแจไว้ในรถ) 5. Imperative sentence กับ and บางครั้งก็ใช้ประโยค Imperative กับ and แทนประโยคเงื่อนไข (ifclause) เช่น Work hard, and you will succeed in the end. (จงมุ่งมั่นทำงานหนัก และคุณจะประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด) ประโยคนี้ใช้แทนประโยค if-clause ที่ว่า If you work hard, you will succeed in the end. (ถ้าคุณมุ่งมั่น ทำงานหนัก คุณจะประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด) 6. ใช้ประโยค Imperative กับ Question tag เราสามารถนำ question tag อย่าง can you?, can’t you?, could you?, will you?, won’t you? would you? มาวางไว้หลังประโยค Imperative ได้ เช่น Don’t smoke in this room, will you? (อย่าสูบบุหรี่ในห้องนี้ จะทำไหม) Open the door, will you? (เปิดประตูหน่อย จะเปิดให้ไหม)
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 30 อ30205 ภาษาอังกฤษเสริมประสบการณ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 Different Types of English Sentences เรื่อง Imperative sentences จำนวน 1 ชั่วโมง 1. สาระสำคัญ รู้จักลักษณะของประโยคในภาษาอังกฤษ ได้แก่ ประโยคบอกเล่า ประโยคคำถาม ประโยคปฏิเสธ ประโยคคำสั่ง ประโยคอุทาน ประโยคความรวม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 2.ผลการเรียนรู้ ข้อ 1เข้าใจ ตีความ วิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อความ ข้อมูล ข่าวสาร บทความ สาร คดีจากสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ข้อ 2 สามารถใช้ภาษาแสดงความคิดเห็น โดยใช้สื่อเทคโนโลยีที่มีอยู่ในแหล่งการเรียนรู้ทั้งในและ นอกสถานศึกษา ข้อ 3 สามารถนำเสนอความคิดรวบยอด ด้วยวิธีการที่หลากหลายรวมทั้งการเขียนในรูปแบบ ต่างๆกัน ข้อ 5 เห็นประโยชน์ของการรู้ภาษาอังกฤษ ในการแสวงหาความรู้ การเข้าสู่สังคมและอาชีพ 3.สาระการเรียนรู้ 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถเข้าใจโครงสร้างประโยคคำสั่งได้ถูกต้อง 2. ด้านกระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถอธิบายโครงสร้างประโยคคำสั่งแต่ละประเภทได้ Vocabulary - Function/Speaking - talking about imperative sentences Grammar - Imperative sentence ในรูปแบบประโยคบอกเล่า - Imperative sentence ในรูปแบบประโยคปฏิเสธ - Imperative sentence ในเชิงขอร้อง - Imperative sentence ในเชิงเชื้อเชิญ - Imperative sentence กรณีพิเศษ
3. ด้านเจตคติ (A) - นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. การบูรณาการหลักปรัชญา 8. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (Warm up) 1. ผู้สอนกล่าวทักทายผู้เรียน และพูดคุยกันเกี่ยวกับคาบเรียนที่แล้วเพื่อทบทวนเนื้อหาก่อนเริ่ม บทเรียน 2. ครูชี้แจงกิจกรรมในวันนี้คือการเรียนเกี่ยวกับประโยคคำสั่ง ขั้นนำเสนอเนื้อหา (Presentation) 3. ต่อจากคาบที่แล้ว ครูอธิบายเนื้อหาเกี่ยวกับรูปแบบและโครงสร้างประโยคคำสั่ง Imperative sentence ประเภท Imperative sentence กรณีพิเศษ แบ่งย่อยได้ 6 ประเภท 1) Imperative sentence แบบมีประธาน (Subject) 2) ประโยคคำสั่งแบบนามธรรม 3) ประโยค Imperative กับ Do 4) ใช้ประโยค Imperative กับ always, never, ever หลักความพอประมาณ การใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้และทำงานเหมาะกับเวลา หลักมีเหตุผล นักเรียนสามารถอธิบายโครงสร้างประโยคคำสั่งแต่ละประเภทได้ หลักสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี การเลือกศึกษาจากแหล่งเรียนรู้โดยมีความถูกต้อง การวางแผนในการทำงาน เงื่อนไขความรู้ นักเรียนสามารถเข้าใจโครงสร้างประโยคคำสั่งได้ถูกต้อง เงื่อนไขคุณธรรม นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น
5) Imperative sentence กับ and บางครั้งก็ใช้ประโยค Imperative กับ and แทนประโยคเงื่อนไข (if-clause) 6) ใช้ประโยค Imperative กับ Question tag 4. ครูและนักเรียนทบทวนเนื้อหาร่วมกันอีกครั้ง ขั้นฝึก (Practice) 5. ครูแจกกระดาษบลู๊ค ปากกาเคมี ปากกาเมจิและแบ่งกลุ่มนักเรียน 6 กลุ่ม ให้มาหยิบสลากเลือก หัวข้อที่ต้องทำสรุป มีทั้งหมด 6 หัวข้อคือ 1) Imperative sentence แบบมีประธาน (Subject) 2) ประโยคคำสั่งแบบนามธรรม 3) ประโยค Imperative กับ Do 4) ใช้ประโยค Imperative กับ always, never, ever 5) Imperative sentence กับ and บางครั้งก็ใช้ประโยค Imperative กับ and แทน ประโยคเงื่อนไข (if-clause) 6) ใช้ประโยค Imperative กับ Question tag ขั้นนำไปใช้ (Production) 6. หลังจากที่นักเรียนแต่ละกลุ่มสรุปเนื้อหาเสร็จแล้ว ให้ออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน ขั้นสรุป (Warp up) 7. ครูให้นักเรียนทบทวนเรื่องที่ได้เรียนไปวันนี้โดยถามนักเรียนว่า “What have you learned from today?” 9. สื่อ / อุปกรณ์ สื่ออุปกรณ์ 1. Power point 2. คอมพิวเตอร์ 3. ลำโพง 4. กระดาษบลู๊ค 5. ปากกาเคมี ปากกาเมจิ
10. การวัดประเมินผล การวัดและการประเมินผล วิธีการวัดและการ ประเมินผล เครื่องมือ เกณฑ์ (K) –เข้าใจโครงสร้าง ประโยคคำสั่งได้ถูกต้อง - ตรวจการทำสรุป - เนื้อหา -ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (P)- สามารถอธิบาย โครงสร้างประโยคคำสั่งแต่ ละประเภทได้ - สังเกตจากการอธิบาย -เนื้อหาประโยคคำสั่งแต่ละ ประเภท - ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (A) -กระตือรือร้น -สังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -แบบสังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียน แล้วเติมคะแนนลงในช่องว่าง เลขที่ ชื่อ-สกุล พฤติกรรม / ลักษณะบ่งชี้ รวม มีความ สรุป รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการ ทำงาน รับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกิจกรรม ส่งงานตรงตามเวลาที่กำหนด ตั้งใจเรียนและเอาใจใส่ต่องานที่ได้รับ มอบหมาย สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ กล้าซักถาม กล้าพูด กล้าแสดงความ คิดเห็น และกล้าแสดงออก ทุ่มเทและมีความอดทนในการทำงาน ไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรค พยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้งานสำเร็จ ผ่าน ไม่ผ่าน 3 3 3 3 3 3 3 3 3 27 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การวัดผลประเมินผล (ผ่านเกณฑ์ในระดับ ดี) ระดับ 3 ช่วงคะแนน 19 – 27 ดี ระดับ 2 ช่วงคะแนน 10 – 18 พอใช้ ระดับ 1 ช่วงคะแนน 1 – 9 ปรับปรุง
ใบความรู้ Imperative sentence คือ ประโยคคำสั่ง, ตักเตือน, แนะนำสั่งสอน, เชื้อเชิญ โดยการนำคำกริยา Infinitive without to (V.1 ที่ไม่มี to) มาขึ้นต้นประโยค และถ้าเติม please เข้าไปจะเป็นประโยคขอร้อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำเสียงของผู้พูด, ความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง และเจตนาในการสื่อความหมาย ที่สำคัญ ประโยค Imperative sentence จะลงท้ายด้วยเครื่องหมายวรรคตอน full-stop (.) หรือ exclamation mark (!) เสมอ ตัวอย่าง: Be quiet. (จงเงียบ) Come here! (มานี่) Sit down! (นั่งลง) รูปแบบและโครงสร้างประโยคคำสั่ง Imperative sentence Imperative sentence ในรูปแบบประโยคบอกเล่า - ใช้ Verb base form (V.1) ขึ้นต้นประโยคแล้วตามด้วยสิ่งที่จะสั่งให้ทำ หรืออาจใช้ Verb แค่คำเดียวก็ได้ เช่น Stop! (หยุด) Come here! (มานี่) Open the door. (จงเปิดประตู) Speak English. (จงพูดภาษาอังกฤษ) - ใช้ Verb ‘be’ ขึ้นต้นประโยค เช่น Be careful. (จงระวัง) Be a good boy. (จงเป็นเด็กดี) Be kind to children. (จงมีเมตตาต่อเด็ก ๆ) Imperative sentence ในรูปแบบประโยคปฏิเสธ - การทำ Imperative sentence เป็นรูปแบบประโยคปฏิเสธ เพียงแค่วาง don’t (do not) หน้าคำกริยา Don’t + V.1 เช่น
Don’t go! (อย่าไป) Don’t touch me. (อย่ามาแตะต้องตัวฉัน) Don’t swim in this canal. (อย่าว่ายน้ำในคลองนี้) - Imperative sentence ที่ขึ้นต้นด้วยกริยา ‘be’ ก็เช่นเดียวกัน เพียงวาง don’t หน้ากริยา be เช่น Don’t be noisy. (อย่าส่งเสียงดัง) Imperative sentence ในเชิงขอร้อง สามารถใช้ Imperative sentence ในเชิงขอร้องได้ โดยเพียงเติม Please เข้าไปวางไว้หน้าหรือท้ายประโยค เพื่อให้ดูสุภาพขึ้น เช่น Please sit down. หรือ Sit down, please. (กรุณานั่งลง) Please wait here. (กรุณารอตรงนี้) Please give me chocolate. (เอาช็อกโกแลตให้ฉันหน่อยค่ะ) Be quiet, please. (กรุณาเงียบ) Please don’t smoke here. (กรุณาอย่าสูบบุหรี่ตรงนี้) Imperative sentence ในเชิงเชื้อเชิญ Imperative sentence ในเชิงเชื้อเชิญ เป็นประโยคคำสั่งที่รวมถึงตัวผู้พูดเข้าไปด้วย ทำได้โดยเติม Let’s ไว้หน้าคำกริยา และถ้าเป็นในรูปปฏิเสธ ใช้ Let’s not วางหน้าคำกริยา โครงสร้าง : Let’s / Let’s not + V.1 เช่น Let’s stop now. (ตอนนี้หยุดกันเถอะ) Let’s not tell him about it. (อย่าบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยเถอะ) วิธีตอบ ถาม Let’s ก็ตอบด้วย Let’s เช่น Yes, let’s. / No, let’s not
ข้อสังเกต : ใน Imperative sentence ไม่มีประธาน (Subject) โดยละประธานซึ่งคือ สรรพนามบุรุษที่ 2 ‘You’ ไว้ Imperative sentence กรณีพิเศษ 1. Imperative sentence แบบมีประธาน (Subject) แม้ว่าปกติแล้ว Imperative sentence ไม่ต้องใส่ ประธาน (สรรพนามบุรุษที่ 2 ‘You’) แต่บางครั้งเราสามารถสร้างประโยค Imperative แบบมีประธานชัดเจน ได้ เช่น You be quiet! (คุณ เงียบ!) You, don’t touch me! (แก อย่ามาถูกตัวฉันนะ) Everybody sit down. (ทุกคน นั่งลง) Mike look! (ไมค์ ดูสิ) 2. ประโยคคำสั่งแบบนามธรรม เราสามารถแสดงความหวังหรือความปรารถนาและข้อเสนอแนะด้วยรูปแบบ ประโยค Imperative ได้ ซึ่งประโยคเหล่านี้ไม่ใช่คำสั่งจริง ๆ เช่น Have a nice day. (ขอให้เป็นวันที่ดีนะ) If there’s no soy milk try almond milk. (ถ้าไม่มีนมถั่วเหลืองก็ลองนมอัลมอนด์สิ) 3. ประโยค Imperative กับ Do ถ้าต้องการเน้น Imperative sentence ให้เป็นประโยคขอร้อง, ขอโทษ และ ตำหนิมากขึ้น ก็เติม Do หน้าคำกริยา อีกทั้งยังมีความสุภาพมากขึ้นด้วย เช่น Do tell me about her. (ช่วยเล่าเรื่องของหล่อนให้ผมฟังหน่อยนะ) Do try to keep the noise down, lady. (ลองเบาเสียงลงหน่อยนะสาว ๆ) 4. ใช้ประโยค Imperative กับ always, never, ever โดยวางคำเหล่านี้หน้าคำกริยาช่อง 1 (V.1) เช่น Always remember my advice. (จงจำคำแนะนำฉันไว้เสมอ) Never run in this room. (อย่าวิ่งในห้องนี้)
Don’t ever leave your keys in your car. (อย่าทิ้งกุญแจไว้ในรถ) 5. Imperative sentence กับ and บางครั้งก็ใช้ประโยค Imperative กับ and แทนประโยคเงื่อนไข (ifclause) เช่น Work hard, and you will succeed in the end. (จงมุ่งมั่นทำงานหนัก และคุณจะประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด) ประโยคนี้ใช้แทนประโยค if-clause ที่ว่า If you work hard, you will succeed in the end. (ถ้าคุณมุ่งมั่น ทำงานหนัก คุณจะประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด) 6. ใช้ประโยค Imperative กับ Question tag เราสามารถนำ question tag อย่าง can you?, can’t you?, could you?, will you?, won’t you? would you? มาวางไว้หลังประโยค Imperative ได้ เช่น Don’t smoke in this room, will you? (อย่าสูบบุหรี่ในห้องนี้ จะทำไหม) Open the door, will you? (เปิดประตูหน่อย จะเปิดให้ไหม)
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 31 อ30205 ภาษาอังกฤษเสริมประสบการณ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 Different Types of English Sentences เรื่อง exclamatory sentence จำนวน 1 ชั่วโมง 1. สาระสำคัญ รู้จักลักษณะของประโยคในภาษาอังกฤษ ได้แก่ ประโยคบอกเล่า ประโยคคำถาม ประโยคปฏิเสธ ประโยคคำสั่ง ประโยคอุทาน ประโยคความรวม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 2.ผลการเรียนรู้ ข้อ 1เข้าใจ ตีความ วิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อความ ข้อมูล ข่าวสาร บทความ สาร คดีจากสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ข้อ 2 สามารถใช้ภาษาแสดงความคิดเห็น โดยใช้สื่อเทคโนโลยีที่มีอยู่ในแหล่งการเรียนรู้ทั้งในและ นอกสถานศึกษา ข้อ 3 สามารถนำเสนอความคิดรวบยอด ด้วยวิธีการที่หลากหลายรวมทั้งการเขียนในรูปแบบ ต่างๆกัน ข้อ 5 เห็นประโยชน์ของการรู้ภาษาอังกฤษ ในการแสวงหาความรู้ การเข้าสู่สังคมและอาชีพ 3.สาระการเรียนรู้ 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถเข้าใจโครงสร้างของประโยคอุทานได้ถูกต้อง 2. ด้านกระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถแต่งบทสนทนาโดยมีประโยคอุทานร่วมด้วยได้ถูกต้อง 3. ด้านเจตคติ (A) - นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น Vocabulary - Function/Speaking - talking about exclamatory sentence Grammar - How + adjective - What + a + singular countable noun - Aux. verb + subject + main verb
5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. การบูรณาการหลักปรัชญา 8. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (Warm up) 1. ผู้สอนกล่าวทักทายผู้เรียน และพูดคุยกันเกี่ยวกับคาบเรียนที่แล้วเพื่อทบทวนเนื้อหาก่อนเริ่ม บทเรียน 2. ครูชี้แจงกิจกรรมในวันนี้คือการเรียนเกี่ยวกับประโยคอุทาน ขั้นนำเสนอเนื้อหา (Presentation) 3. ครูอธิบายคำศัพท์ สำนวน และประโยคที่เกี่ยวกับประโยคอุทาน ประโยคอุทาน (exclamatory sentence) การอุทานนอกจากผู้พูดกล่าวคำอุทานเป็นคำ ๆ หรือ เป็นกลุ่มคำ ยังกล่าวคำอุทานเป็นประโยคด้วย ประโยคอุทาน ได้แก่ประโยคที่ผู้พูดกล่าวคำพูดที่แสดง ความรู้สึกหรืออารมณ์ดีใจ ประหลาดใจ ผิดหวัง เสียใจ ฯลฯ ของตน เช่น How slow this bus is! How lovely you are! What a beautiful day it is! What a large house it is! หลักความพอประมาณ การใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้และทำงานเหมาะกับเวลา หลักมีเหตุผล นักเรียนสามารถแต่งบทสนทนาโดยมีประโยคอุทานร่วมด้วยได้ถูกต้อง หลักสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี การเลือกศึกษาจากแหล่งเรียนรู้โดยมีความถูกต้อง การวางแผนในการทำงาน เงื่อนไขความรู้ นักเรียนสามารถเข้าใจโครงสร้างของประโยคอุทานได้ถูกต้อง เงื่อนไขคุณธรรม นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น
ประโยคอุทานมีโครงสร้างดังนี้ 1) ประโยคอุทานที่เริ่มต้นด้วย how บางโครงสร้างเป็นประโยค เช่น ‘How lovely your garden is!’ แต่บางโครงสร้างมีลักษณะเป็นกลุ่มคำ (phrase) เช่น How + adjective How strange! (ไม่มีคำกริยา จึงมีลักษณะเหมือนกลุ่มคำ) How + adjective + subject + verb How funny he looks! How + adverb + subject + verb How fast he runs! How + subject + verb How you’ve grown! 2) ประโยคอุทานที่เริ่มต้นด้วย what บางโครงสร้างเป็นประโยค แต่บางโครงสร้างมีลักษณะเป็น กลุ่มคำ เช่น What + a + singular countable noun What a fool! What + a + adjective + singular countable noun What a rude boy! What + plural countable noun What lovely roses! What + uncountable noun What delicious soup! What + a + singular countable noun + subject + verb What a mess he made! What + plural countable noun/ mass noun + subject + verb What loud noises they are making! What beautiful hair she has! 3) ประโยคอุทานที่มีโครงสร้างเป็นรูปคำถามปฏิเสธ โดยปิดท้ายประโยคด้วยเครื่องหมาย ! เช่น Aux. verb + subject + main verb Hasn’t he grown! (He has grown a lot.) Be + subject + a/an + adjective + singular countable noun หรือ Be + subject + adjective + plural countable noun/ mass noun
Wasn’t that a good movie! Weren’t they smart boys! Wasn’t that delicious soup! 4. ครูและนักเรียนสรุปโครงสร้างประโยคร่วมกันอีกครั้ง ขั้นฝึก (Practice) 5. ครูแจกใบงานแก่นักเรียน โดยให้เขียนประโยคอุทานที่กำหนดให้ถูกต้อง ขั้นนำไปใช้ (Production) 6. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน แสดงบทบาทสมมติเรื่องอะไรก็ได้ที่นักเรียนสนใจ มากลุ่ม ละ 1 เรื่อง โดยในบทสนทนาจะต้องมีประโยคอุทานที่ได้เรียนไปอยู่ด้วย อย่างน้อย 3 ประโยค ทำการแสดงใน คาบถัดไป เวลาในการแสดงไม่เกิน 5 นาที/กลุ่ม ขั้นสรุป (Warp up) 7. ครูให้นักเรียนทบทวนเรื่องที่ได้เรียนไปวันนี้โดยถามนักเรียนว่า “What have you learned from today?” 9. สื่อ / อุปกรณ์ สื่ออุปกรณ์ 1. Power point 2. คอมพิวเตอร์ 3. ลำโพง 10. การวัดประเมินผล การวัดและการประเมินผล วิธีการวัดและการ ประเมินผล เครื่องมือ เกณฑ์ (K) –เข้าใจโครงสร้างของ ประโยคอุทานได้ถูกต้อง - ตรวจใบงาน - ใบงาน -ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (P)- สามารถแต่งบทสนทนา โดยมีประโยคอุทานร่วมด้วย ได้ถูกต้อง - ตรวจบทสนทนา -บทสนทนา - ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (A) -กระตือรือร้น -สังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -แบบสังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียน แล้วเติมคะแนนลงในช่องว่าง เลขที่ ชื่อ-สกุล พฤติกรรม / ลักษณะบ่งชี้ รวม มีความ สรุป รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการ ทำงาน รับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกิจกรรม ส่งงานตรงตามเวลาที่กำหนด ตั้งใจเรียนและเอาใจใส่ต่องานที่ได้รับ มอบหมาย สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ กล้าซักถาม กล้าพูด กล้าแสดงความ คิดเห็น และกล้าแสดงออก ทุ่มเทและมีความอดทนในการทำงาน ไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรค พยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้งานสำเร็จ ผ่าน ไม่ผ่าน 3 3 3 3 3 3 3 3 3 27 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การวัดผลประเมินผล (ผ่านเกณฑ์ในระดับ ดี) ระดับ 3 ช่วงคะแนน 19 – 27 ดี ระดับ 2 ช่วงคะแนน 10 – 18 พอใช้ ระดับ 1 ช่วงคะแนน 1 – 9 ปรับปรุง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 32 อ30205 ภาษาอังกฤษเสริมประสบการณ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 Different Types of English Sentences เรื่อง exclamatory sentence จำนวน 1 ชั่วโมง 1. สาระสำคัญ รู้จักลักษณะของประโยคในภาษาอังกฤษ ได้แก่ ประโยคบอกเล่า ประโยคคำถาม ประโยคปฏิเสธ ประโยคคำสั่ง ประโยคอุทาน ประโยคความรวม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 2.ผลการเรียนรู้ ข้อ 1เข้าใจ ตีความ วิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อความ ข้อมูล ข่าวสาร บทความ สาร คดีจากสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ข้อ 2 สามารถใช้ภาษาแสดงความคิดเห็น โดยใช้สื่อเทคโนโลยีที่มีอยู่ในแหล่งการเรียนรู้ทั้งในและ นอกสถานศึกษา ข้อ 3 สามารถนำเสนอความคิดรวบยอด ด้วยวิธีการที่หลากหลายรวมทั้งการเขียนในรูปแบบ ต่างๆกัน ข้อ 5 เห็นประโยชน์ของการรู้ภาษาอังกฤษ ในการแสวงหาความรู้ การเข้าสู่สังคมและอาชีพ 3.สาระการเรียนรู้ 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถแสดงบทบาทสมมติโดยมีประโยคอุทานแทรกอยู่ในบทสนทนาได้ 2. ด้านกระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทที่เพื่อนแสดงได้ 3. ด้านเจตคติ (A) - นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น Vocabulary - Function/Speaking - talking about exclamatory sentence Grammar - How + adjective - What + a + singular countable noun - Aux. verb + subject + main verb
5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. การบูรณาการหลักปรัชญา 8. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (Warm up) 1. ครูชี้แจงกิจกรรมในวันนี้คือการแสดงบทบาทสมมติโดยมีประโยคอุทานแทรกอยู่ในบทสนทนา ขั้นนำเสนอเนื้อหา (Presentation) 2. ก่อนทำการแสดงครูชี้แจงรายละเอียดดังนี้ 1) ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม (ที่ไม่ใช่กลุ่มที่แสดง) ทำการประเมินการแสดง โดยให้คะแนนตาม หัวข้อต่อไปนี้ ที่ เกณฑ์ คะแนนเต็ม 1 ความถูกต้องของคำศัพท์ ประโยคสนทนา 20 2 การแสดงสีหน้า อารมณ์ ความรู้สึก การเข้าถึงบทบาท ตัวละคร 10 3 สำเนียงภาษา 10 4 ตรงต่อเวลา 10 รวม 50 คะแนน หลักความพอประมาณ การใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้และทำงานเหมาะกับเวลา หลักมีเหตุผล นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทที่เพื่อนแสดงได้ หลักสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี การเลือกศึกษาจากแหล่งเรียนรู้โดยมีความถูกต้อง การวางแผนในการทำงาน เงื่อนไขความรู้ นักเรียนสามารถแสดงบทบาทสมมติโดยมีประโยคอุทานแทรกอยู่ในบท สนทนาได้ เงื่อนไขคุณธรรม นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น
ขั้นฝึก (Practice) 6. แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาจับสลากเพื่อจัดลำดับการแสดง 7. ครูให้เวลาแต่ละกลุ่มเตรียมตัว 5 นาที 8. แต่ละกลุ่มเริ่มทำการแสดง ขั้นนำไปใช้ (Production) 9. เมื่อแต่ละกลุ่มทำการแสดงจบ ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นติชมการแสดงของแต่ละ กลุ่ม เพื่อนำไปปรับปรุงในครั้งต่อไป ขั้นสรุป (Warp up) 7. ครูให้นักเรียนทบทวนเรื่องที่ได้เรียนไปวันนี้โดยถามนักเรียนว่า “What have you learned from today?” 9. สื่อ / อุปกรณ์ สื่ออุปกรณ์ 1. Power point 2. คอมพิวเตอร์ 3. ลำโพง 10. การวัดประเมินผล การวัดและการประเมินผล วิธีการวัดและการ ประเมินผล เครื่องมือ เกณฑ์ (K) –แสดงบทบาทสมมติ โดยมีประโยคอุทานแทรก อยู่ในบทสนทนาได้ - ประเมินจากการแสดง บทบาทสมมติ - การแสดงบทบาทสมมติ -ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (P)- แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับบทบาทที่เพื่อน แสดงได้ - สังเกตการพูดแสดงความ คิดเห็น -การแสดงบทบาทสมมติ - ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (A) -กระตือรือร้น -สังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -แบบสังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียน แล้วเติมคะแนนลงในช่องว่าง เลขที่ ชื่อ-สกุล พฤติกรรม / ลักษณะบ่งชี้ รวม มีความ สรุป รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการ ทำงาน รับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกิจกรรม ส่งงานตรงตามเวลาที่กำหนด ตั้งใจเรียนและเอาใจใส่ต่องานที่ได้รับ มอบหมาย สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ กล้าซักถาม กล้าพูด กล้าแสดงความ คิดเห็น และกล้าแสดงออก ทุ่มเทและมีความอดทนในการทำงาน ไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรค พยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้งานสำเร็จ ผ่าน ไม่ผ่าน 3 3 3 3 3 3 3 3 3 27 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การวัดผลประเมินผล (ผ่านเกณฑ์ในระดับ ดี) ระดับ 3 ช่วงคะแนน 19 – 27 ดี ระดับ 2 ช่วงคะแนน 10 – 18 พอใช้ ระดับ 1 ช่วงคะแนน 1 – 9 ปรับปรุง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 33 อ30205 ภาษาอังกฤษเสริมประสบการณ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 Different Types of English Sentences เรื่อง compound sentences จำนวน 1 ชั่วโมง 1. สาระสำคัญ รู้จักลักษณะของประโยคในภาษาอังกฤษ ได้แก่ ประโยคบอกเล่า ประโยคคำถาม ประโยคปฏิเสธ ประโยคคำสั่ง ประโยคอุทาน ประโยคความรวม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 2.ผลการเรียนรู้ ข้อ 1เข้าใจ ตีความ วิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อความ ข้อมูล ข่าวสาร บทความ สาร คดีจากสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ข้อ 2 สามารถใช้ภาษาแสดงความคิดเห็น โดยใช้สื่อเทคโนโลยีที่มีอยู่ในแหล่งการเรียนรู้ทั้งในและ นอกสถานศึกษา ข้อ 3 สามารถนำเสนอความคิดรวบยอด ด้วยวิธีการที่หลากหลายรวมทั้งการเขียนในรูปแบบ ต่างๆกัน ข้อ 5 เห็นประโยชน์ของการรู้ภาษาอังกฤษ ในการแสวงหาความรู้ การเข้าสู่สังคมและอาชีพ 3.สาระการเรียนรู้ Vocabulary - F = for แปล เพราะว่า - A = And แปล และ - N = Nor แปล ไม่ทั้งสอง - B = But แปล แต่ว่า - O = Or แปล หรือ - Y = Yet แปล แต่ - S = So แปล ดังนั้น Function/Speaking - talking about compound sentences Grammar -
4. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถเข้าใจความหมายของโครงสร้างประโยคความรวมได้ถูกต้อง 2. ด้านกระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถแยกประโยคความเดียวกับประโยคความรวมได้ 3. ด้านเจตคติ (A) - นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. การบูรณาการหลักปรัชญา 8. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (Warm up) 1. ผู้สอนกล่าวทักทายผู้เรียน และพูดคุยกันเกี่ยวกับคาบเรียนที่แล้วเพื่อทบทวนเนื้อหาก่อนเริ่ม บทเรียน 2. ครูชี้แจงกิจกรรมในวันนี้คือการเรียนเกี่ยวกับประโยคความรวม ขั้นนำเสนอเนื้อหา (Presentation) 3. ครูเปิดคลิปการอธิบายเนื้อหาเกี่ยวกับประโยคความรวม หลักความพอประมาณ การใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้และทำงานเหมาะกับเวลา หลักมีเหตุผล นักเรียนสามารถแยกประโยคความเดียวกับประโยคความรวมได้ หลักสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี การเลือกศึกษาจากแหล่งเรียนรู้โดยมีความถูกต้อง การวางแผนในการทำงาน เงื่อนไขความรู้ นักเรียนสามารถเข้าใจความหมายของโครงสร้างประโยคความรวมได้ถูกต้อง เงื่อนไขคุณธรรม นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น
https://nockacademy.com/english/english-%E0%B8%A1- 2/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%8 4%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1-compoundsentence/ 4. ครูและนักเรียนสรุปโครงสร้างประโยคร่วมกันอีกครั้ง ขั้นฝึก (Practice) 5. ครูแจกใบงานแก่นักเรียน โดยให้เติมคำสันธานลงในประโยคความรวมให้ถูกต้อง ขั้นนำไปใช้ (Production) 6. จากใบงานในข้อ ที่ 5 ส่วนที่สองของใบงาน ให้นักเรียนอ่านประโยค จากนั้นตอบว่าเป็นประโยค ความรวมหรือประโยคความเดียว ขั้นสรุป (Warp up) 7. ครูให้นักเรียนทบทวนเรื่องที่ได้เรียนไปวันนี้โดยถามนักเรียนว่า “What have you learned from today?” 9. สื่อ / อุปกรณ์ สื่ออุปกรณ์ 1. Power point 2. คอมพิวเตอร์ 3. ลำโพง
10. การวัดประเมินผล การวัดและการประเมินผล วิธีการวัดและการ ประเมินผล เครื่องมือ เกณฑ์ (K) –เข้าใจความหมายของ โครงสร้างประโยคความรวม - ตรวจแบบฝึกหัด -แบบฝึกหัด -ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (P)- สามารถแยกประโยค ความเดียวกับประโยคความ รวมได้ - ตรวจแบบฝึกหัด -แบบฝึกหัด - ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ (A) -กระตือรือร้น -สังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -แบบสังเกตพฤติกรรมเป็น รายบุคคล -ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียน แล้วเติมคะแนนลงในช่องว่าง เลขที่ ชื่อ-สกุล พฤติกรรม / ลักษณะบ่งชี้ รวม มีความ สรุป รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการ ทำงาน รับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกิจกรรม ส่งงานตรงตามเวลาที่กำหนด ตั้งใจเรียนและเอาใจใส่ต่องานที่ได้รับ มอบหมาย สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ กล้าซักถาม กล้าพูด กล้าแสดงความ คิดเห็น และกล้าแสดงออก ทุ่มเทและมีความอดทนในการทำงาน ไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรค พยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้งานสำเร็จ ผ่าน ไม่ผ่าน 3 3 3 3 3 3 3 3 3 27 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การวัดผลประเมินผล (ผ่านเกณฑ์ในระดับ ดี) ระดับ 3 ช่วงคะแนน 19 – 27 ดี ระดับ 2 ช่วงคะแนน 10 – 18 พอใช้ ระดับ 1 ช่วงคะแนน 1 – 9 ปรับปรุง
คลิปการสอน https://nockacademy.com/english/english-%E0%B8%A1- 2/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%8 4%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1-compoundsentence/
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 34 อ30205 ภาษาอังกฤษเสริมประสบการณ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 Directions and traffic signs เรื่อง Traffic signs จำนวน 1 ชั่วโมง 1. สาระสำคัญ การเรียนรู้คำศัพท์ เกี่ยวกับการจราจร การสนทนาโดยใช้คำ วลีและประโยค เกี่ยวกับการถาม ทาง การบอกทิศทาง การบอกตำแหน่งในภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นทักษะพื้นฐานในการสื่อสารในชีวติประจำวัน 2.ผลการเรียนรู้ ข้อ 1เข้าใจ ตีความ วิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อความ ข้อมูล ข่าวสาร บทความ สาร คดีจากสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ข้อ 2 สามารถใช้ภาษาแสดงความคิดเห็น โดยใช้สื่อเทคโนโลยีที่มีอยู่ในแหล่งการเรียนรู้ทั้งในและ นอกสถานศึกษา ข้อ 5 เห็นประโยชน์ของการรู้ภาษาอังกฤษ ในการแสวงหาความรู้ การเข้าสู่สังคมและอาชีพ ข้อ 6 สามารถใช้ภาษาอังกฤษตามสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยวิธีการและรูปแบบที่หลากหลายและ ซับซ้อน 3.สาระการเรียนรู้ Vocabulary - Ahead only - Turn left ahead - Turn left - Minimum speed - Maximum speed - Stop and yield - No waiting - No stopping - No entry - Roundabout - No cycling Function/Speaking - talking about traffic signs Grammar -