( าร ารกรมประชา มั พันธ์ คอลมั น์กฎ มายใกลต้ ั 1ฉ9บ4บั เดือนธัน าคม ๒๕๕๖)
๑๗๙
การใชด้ ลุ พนิ จิ กาํ นดโท ... ต้องเ มาะ มกบั ค ามผดิ
นาง า นิตา บณุ ยรัตน์ พนกั งานคดปี กครองชํานาญการ
กลุ่มเผยแพร่ข้อมูลทาง ชิ าการและ าร าร
ํานัก ิจัยและ ิชาการ าํ นกั งาน าลปกครอง
คดปี กครองทีน่ ํามาเล่า กู่ ันฟังในคอลัมน์กฎ มายใกลต้ ั ฉบบั น้ี
เป็นคดีพิพาทเกี่ย กับการทํา น้าที่ของข้าราชการท่ีได้รับมอบ มายใ ้รับผิดชอบในงาน
ที่จดั เป็น “ ั ดกิ าร” ใ ก้ ับบคุ ลากรใน น่ ยงาน ตามระเบียบ ํานักนายกรัฐมนตรี ่าด้ ยการจัด ั ดิการ
ภายใน ่ นราชการ พ. . ๒๕๓๐ (ปัจจุบันคือ ระเบียบ ํานักนายกรัฐมนตรี ่าด้ ยการจัด ั ดิการภายใน
่ นราชการ พ. . ๒๕๔๗) แต่ปรากฏ า่ มีการทจุ ริตเกดิ ขึน้ จงึ ถูกลงโท ทาง ินยั อย่างรา้ ยแรงถึงขั้นปลดออก
จากราชการ
ซ่ึงที่ ุดแล้ าลปกครอง ูง ุดได้มีคําพิพาก า ่า การใช้ดุลพินิจลงโท ปลดผู้ฟ้องคดี
ออกจากราชการไมช่ อบด้ ยกฎ มาย
คดีนี้ ไม่เพียงแตจ่ ะมีประเด็นทนี่ ่า นใจ ่า การทีข่ ้าราชการทาํ นา้ ท่ใี น น่ ยงาน ั ดิการ
และค ามเ ีย ายมิได้เกิดขึ้นกับเงินงบประมาณแผ่นดิน แต่เป็นเงิน ั ดิการ ถือเป็นการกระทําค ามผิด
ทาง นิ ยั ตามพระราชบญั ญตั ริ ะเบียบข้าราชการพลเรือน พ. . ๒๕๓๕ ( รือพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ. . ๒๕๕๑ ปัจจุบัน) รอื ไม่ แล้
ยังถือเป็นบรรทัดฐานการปฏิบัติราชการที่ดี ํา รับฝ่ายปกครอง รือเจ้า น้าที่ของรัฐ
เก่ยี กับการใช้ “อํานาจดลุ พินิจ” ในการออกคํา ่ังลงโท ทาง ินัยข้าราชการ เน่ืองจากตาม ลักกฎ มาย
ปกครองในการใช้อํานาจดุลพินิจน้ัน มิได้ มายค าม ่าผู้มีอํานาจจะใช้อํานาจของตนได้ตามอําเภอใจ
แต่การใช้อํานาจดุลพินิจยังถูกค บคุมโดย ลักกฎ มาย ําคัญคือ “ ลักค ามได้ ัด ่ น” ซ่ึง มายค าม ่า
ผู้มีอํานาจจะต้องใช้ดุลพินิจโดยคํานึงถึงค ามจําเป็นเพ่ือใ ้การบังคับใช้กฎ มายบรรลุตาม ัตถุประ งค์
ค ามเ มาะ มและดลุ ยภาพระ ่างประโยชน์ าธารณะกบั ค ามเ ีย ายท่ีจะเกดิ ขึน้ กบั เอกชนเปน็ าํ คญั
เรื่องรา ของคดีนี้เกิดข้ึนจากการท่ีม า ิทยาลัยได้ดําเนินการจัด ั ดิการภายใน
โดยจัดตั้ง ถานีบริการนํ้ามันของ น่ ยงานขึ้น และได้แต่งตั้งผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นข้าราชการครูเป็นผู้จัดการ
ใ ้มี น้าท่ีค บคุมการปฏิบัติงานของพนักงานใน ถานีบริการน้ํามันและตร จ อบรายงานการขายน้ํามัน
ประจํา ันอยา่ ง มํา่ เ มอ
ต่อมาปรากฏ ่าลูกจ้างใน ถานีบริการน้ํามันได้ทุจริตยักยอกน้ํามันของ ถานีบริการ
นํ้ามัน ลังจากน้ันก็ได้มีการแต่งต้ังคณะกรรมการ อบ นทาง ินัยและผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ (อธิการบดี
ม า ิทยาลัย) ได้มีคํา ั่งลงโท ลดข้ันเงินเดือนผู้ฟ้องคดี ๑ ขั้น โดยเ ็น ่าผู้ฟ้องคดีปล่อยปละละเลย
ต่อ น้าที่เน่ืองจากไม่ปรากฏ ่าผู้ฟ้องคดีได้ลงลายมือชื่อค บคุมและตร จ อบรายงานการขายน้ํามัน
ต้ังแต่ ันที่ ๑๑ ิง าคม ๒๕๓๗ ถึง ันท่ี ๒๙ ธัน าคม ๒๕๓๘ ถือ ่าผู้ฟ้องคดีประมาทเลินเล่อใน น้าที่
ราชการอย่างร้ายแรง แต่ไม่ได้ทําใ ้ราชการเ ีย ายอย่างร้ายแรงเพราะค ามเ ีย ายท่ีเกิดข้ึนไม่ใช่
เงินงบประมาณแผน่ ดิน แต่เป็นเงนิ ั ดกิ าร อนั เป็นค ามผดิ ตามมาตรา ๘๔ รรค นึ่ง แ ง่ พระราชบัญญัติ
ระเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ. . ๒๕๓๕
แต่คณะกรรมการข้าราชการครูกลับมีค ามเ ็นใ ้เพ่ิมโท เป็นปลดผู้ฟ้องคดีออกจาก
ราชการ ฐานไม่ปฏิบัติ น้าที่ราชการด้ ยค ามอุต า ะ ไม่เอาใจใ ่ระมัดระ ังรัก าประโยชน์ของ
ทางราชการและประมาทเลินเล่อใน น้าที่ราชการ อันเป็นเ ตุใ ้เ ีย ายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
๑1๘๒9๐5
ตามมาตรา ๘๔ รรค อง แ ง่ พระราชบัญญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ. . ๒๕๓๕ (มาตรา ๘๕ และ
มาตรา ๘๓ แ ่งพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ. . ๒๕๕๑) ผถู้ กู ฟ้องคดีท่ี ๑ จึงมีคํา ั่งปลด
ผู้ฟอ้ งคดีออกจากราชการ
ผู้ฟอ้ งคดอี ุทธรณค์ าํ ัง่ ดงั กล่า และผถู้ กู ฟ้องคดีท่ี ๒ (นายกรฐั มนตร)ี ยกอทุ ธรณ์
ผู้ฟ้องคดีจึงนําคดีมาฟ้องต่อ าลปกครอง โดยเ ็น ่า ถานีบริการนํ้ามันเป็นทรัพย์ ิน
ของการปิโตรเลียมแ ่งประเท ไทย จึงไม่ถือ ่าผู้ฟ้องคดีไม่ระมัดระ ังรัก าประโยชน์ของทางราชการ
จนเป็นเ ตุใ ้เ ีย ายแก่ราชการอย่างร้ายแรง นอกจากนั้น ม า ิทยาลัยไม่ได้กํา นดระเบียบปฏิบัติ
เก่ีย กับขอบเขต น้าที่ของผู้จัดการ ถานีบริการนํ้ามัน ผู้ฟ้องคดีจึงปฏิบัติ น้าท่ีตามค ามเข้าใจ
ของตนเองถือไม่ได้ ่าผู้ฟ้องคดีไม่ปฏิบัติ น้าที่ด้ ยค ามอุต า ะ คํา ั่งปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
ไม่ชอบด้ ยกฎ มาย จึงขอใ ้ าลมีคําพิพาก าเพิกถอนคํา ่ังปลดออกจากราชการและใ ้กลับไปใช้คํา ่ัง
ลงโท ลดขัน้ เงินเดือน
ประเดน็ ก็คอื ผูฟ้ อ้ งคดกี ระทาํ ความผดิ วินยั อย่างรา้ ยแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือไม่ ?
าลปกครอง ูง ุด ินิจฉัย ่า ถานีบริการนํ้ามันจัดต้ังข้ึนเพ่ือเป็น ั ดิการข้าราชการ
ม า ิทยาลัย ตามมติและระเบียบ ั ดิการข้าราชการของม า ิทยาลัยและระเบียบ ํานักนายกรัฐมนตรี
่าด้ ยการจัด ั ดิการภายใน ่ นราชการ พ. . ๒๕๓๐ เม่ือผู้ฟ้องคดีได้รับการแต่งต้ังใ ้เป็นผู้จัดการ
ถานีบริการนํ้ามัน จึงถือ ่าเป็นการปฏิบัติ น้าท่ีราชการ แม้อาคารและอุปกรณ์ของ ถานีบริการน้ํามัน
จะเป็นการลงทุนก่อ ร้างโดยการปิโตรเลียมแ ่งประเท ไทย ก็ไม่ได้ทําใ ้การปฏิบัติ น้าท่ีผู้จัดการ ถานี
บรกิ ารน้าํ มันของผฟู้ ้องคดไี ม่เป็นการปฏิบตั ิ นา้ ท่ีราชการ
เม่ือเกิดกรณีลูกจ้างของ ถานีบริการนํ้ามันท่ีผู้ฟ้องคดีเป็นผู้จัดการกระทําการทุจริต
ยักยอก รือลักน้ํามัน การกระทําของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการปฏิบัติ น้าที่โดยไม่เอาใจใ ่ระมัดระ ัง
ในการตร จ อบค บคมุ รัก าประโยชน์ของทางราชการและประมาทเลินเลอ่ ใน นา้ ท่รี าชการ
แต่เมื่อขณะเป็นผู้จัดการ ผู้ฟ้องคดียังคงมี น้าท่ีทําการ อนตามปกติ และในช่ งเ ลา
เกิดเ ตุก็มี น้าท่ี อนที่ ิทยาเขตต่างจัง ัด ไม่อาจดูแล ถานีบริการน้ํามันและค บคุมตร จ อบ
พนักงานได้ทุก ัน การปฏิบัติงานจึงต้องมีผู้ดูแลแทน นอกจากนี้ การรับมอบงานของผู้ฟ้องคดีไม่มีการ
ตร จ ัดระดับน้ํามันก้นถังใต้ดินก่อน ่งมอบ ทําใ ้การตร จ อบจําน นน้ํามันท่ีขายออกไปในแต่ละ ัน
ทําได้ยากลําบาก กับม า ิทยาลัยไม่ได้ออกระเบียบ ข้อกํา นด รือ ิธีปฏิบัติของตําแ น่งผู้จัดการ ถานี
บริการนาํ้ มันมอบ มายใ ้ผู้ฟอ้ งคดีปฏบิ ัติ ตามข้อ ๙ ระเบยี บ ํานกั นายกรฐั มนตรี ่าด้ ยการจัด ั ดิการ
ภายใน ่ นราชการ พ. . ๒๕๓๐ จึงอาจเกิดข้อบกพร่อง รือข้อผิดพลาดขึ้นได้ ซึ่งผู้ฟ้องคดีก็พยายาม
แก้ไขโดยมี นัง ือถึงผู้อําน ยการกอง ั ดิการเพ่ือใ ้ ํานักงานผู้ตร จ อบภายในทําการตร จ อบ
ก่อนทจี่ ะมกี ารต้ังคณะกรรมการ อบข้อเท็จจรงิ
พฤติการณ์การกระทําของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นเพียงไม่เอาใจใ ่ระมัดระ ังรัก าประโยชน์
ของทางราชการเท่าที่ค รและประมาทเลินเล่ออยู่บ้าง แต่ไม่เป็นผลโดยตรงที่ทําใ ้เกิดค ามเ ีย าย
แก่ราชการอย่างร้ายแรง การกระทาํ ของผูฟ้ อ้ งคดเี ป็นเพยี งค ามผดิ นิ ยั อยา่ งไม่ร้ายแรง ดังน้นั คํา ั่งปลด
ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้ ยกฎ มาย (คําพิพาก า าลปกครอง ูง ุด
ท่ี อ. ๔๕๓/๒๕๕๖)
จากคําพิพาก า าลปกครอง ูง ุดในคดีนี้มีแน ทางการปฏิบัติราชการที่ดีอย่างน้อย
๒ ประการ คือ (๑) การที่ข้าราชการทํา น้าท่ีใน น่ ยงาน ั ดิการและค ามเ ีย ายมิได้เกิดขึ้นกับ
1☆96๑๘๑
เงินงบประมาณแผ่นดิน แต่เป็นเงิน ั ดิการ ยังถือเป็นการปฏิบัติราชการและ ากผู้ได้รับมอบ มาย
ใ ้ปฏิบัติ น้าท่ีไม่เอาใจใ ่ ระมัดระ ังรัก าประโยชน์ของทางราชการ รือประมาทเลินเล่อทําใ ้เกิด
ค ามเ ีย ายย่อมถือเป็นการกระทําค ามผิดทาง ินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ. . ๒๕๓๕ ( รือพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ. . ๒๕๕๑) และ (๒) การใช้ดุลพินิจ
ตัด ินใจกํา นดโท ทาง ินัย จะต้องเป็นไปเท่าที่จําเป็นเพื่อใ ้บรรลุ ัตถุประ งค์ รือเจตนารมณ์ของ
กฎ มายและด้ ยค ามเ มาะ มกับค ามผิดโดยพิจารณาข้อเท็จจริงของพฤติการณ์ของเจ้า น้าที่
ท่ีเกี่ย ข้อง เจตนาของการกระทํา และระเบียบปฏิบัติของ น่ ยงาน ร มถึงค ามเ ีย ายท่ีเกิดข้ึนเป็น
ผลโดยตรงจากการกระทําค ามผิด รือไม่ประกอบกันเพ่ือค ามถูกต้องตามกฎ มายและใ ้เกิด
ค ามยุติธรรมเพราะการออกคํา ่ังลงโท ข้าราชการนอกจากจะเป็นแน ทางในการ ินิจฉัยของฝ่ายปกครอง
ในเรื่องอ่ืนๆ แล้ ยัง ่งผลกระทบทั้งต่อประโยชน์ าธารณะและประโยชน์ของข้าราชการท่ีเก่ีย ข้อง
อยา่ ง ลกี เลยี่ งไมไ่ ด้
1s97๑๘o๒
นาพฤติการณ์อันเป็นค ามผิดทาง ินยั ฐานอ่นื มาลงโท ! … โดยไมแ่ จง้ ข้อกลา่ า
จัดทาโดย นาง า จิดาภา มุ กิ ธนเ ฏฐ์ พนกั งานคดีปกครองปฏิบตั กิ าร
กล่มุ เผยแพรข่ อ้ มลู ทาง ิชาการและ าร าร
านัก จิ ัยและ ชิ าการ านักงาน าลปกครอง
การดาเนินการทาง ินัยแก่ข้าราชการท่ีถูกกล่า า ่ากระทาผิด ินัยอย่างร้ายแรง
รืออย่างไม่ร้ายแรงก็ตาม ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจลงโท ต้องดาเนินการตาม ิธีการ รือกระบ นการ
ตามท่ีกฎ มายกา นดก่อนมีคา ่ังลงโท ทาง ินัย เช่น ต้องมีการ อบ น มีการแต่งต้ังคณะกรรมการ
อบ น แจ้งข้อกล่า า และ รุปพยาน ลักฐานใ ้ผู้ถูกกล่า าทราบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใ ้
โอกา ผู้ถูกกล่า าได้ทราบข้อเท็จจริงของเรื่องที่ถูกกล่า าโดยกระจ่างชัดและอย่างเพียงพอ ่ากระทา
ผิด ินัยในกรณีใด เร่ืองใดบ้าง ตามมาตราใด และจะถูกลงโท อย่างไรบ้าง และมีโอกา โต้แย้งแ ดง
พยาน ลักฐานเพ่ือคุ้มครองป้องกัน ิทธิของตน ตามมาตรา ๓๐ แ ่งพระราชบัญญัติ ิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ. . ๒๕๓๙ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนและ ิธีการอันเป็น าระ าคัญในกระบ นการพิจารณา
ทางปกครอง และ ากยังฝืนไม่ดาเนินการตามขั้นตอนและ ิธีการดังกล่า จะมีผลทาใ ้คา ั่งทางปกครอง
ในเร่ืองนน้ั ๆ ไมช่ อบด้ ยกฎ มาย
คดีปกครองท่ีจะนามาเล่า ู่กันฟังฉบับนี้เป็นเรื่องของฝ่ายปกครองที่ใช้อานาจออกคา ั่ง
ทางปกครองลงโท ขา้ ราชการผู้ถูกกล่า า ่ากระทาผิด ินัยอย่างไม่ร้ายแรง ซึ่งในขั้นตอนการ อบ น
ของคณะกรรมการ อบ นก็ได้ใ ้โอกา ผู้ถูกกล่า าได้ช้ีแจงโต้แย้งและแ ดงพย าน ลักฐาน
แต่ในขัน้ ตอนการลงโท ฝ่ายปกครองได้นาเอาพฤติการณ์ท่ีเป็นค ามผิดทาง ินัยอย่างไม่ร้ายแรงในฐาน
ค ามผิดอ่นื มาเป็นฐานในการเพม่ิ ระดับโท ด้ ย แต่ในช้ันการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีมติใ ้ใช้ระดับโท เดิม
ก่อนทจ่ี ะเพมิ่ ระดบั โท
าลปกครอง งู ดุ ได้มีคา ินิจฉัยเรื่องนี้โดยมีข้อเท็จจริงในคดี ่า ผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการครู
ถูกกล่า า ่ากระทาผิด ินัยอย่างไม่ร้ายแรง กรณีไม่ใ ้เกียรติแก่เพื่อนครูด้ ยกัน ใช้ าจา ยาบคาย
ต่อ น้านักเรียนท้ัง ้องและเพื่อนครู ไม่เคารพ ิทธิซึ่งกันและกัน ทาใ ้ได้รับค ามอับอายต่อนักเรียน
และไม่รัก าค าม ามัคคีใน มู่คณะ ั น้าการประถม ึก าอาเภอในฐานะผู้บังคับบัญชาจึงแต่งตั้ง
คณะกรรมการ ืบ นข้อเท็จจริง โดยมีการแจ้งข้อกล่า าและใ ้โอกา ผู้ฟ้องคดีแก้ข้อกล่า า
ผลการ อบ นฟังได้ ่าผู้ฟ้องคดีกระทาผิด ินัยฐานไม่ ุภาพเรียบร้อย ตามมาตรา ๙๓ แ ่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ. . ๒๕๓๕ และเ ็น ่า มค รงดโท โดยใ ้ทาทัณฑ์บนเป็น นัง ือแทน
แต่ผู้อาน ยการการประถม ึก าจัง ัดได้มีคา ั่งที่ ๖๖/๒๕๔๖ ลงโท ภาคทัณฑ์ผู้ฟ้องคดี
โดยได้นาเอาพฤติการณ์ที่ผู้ฟ้องคดีลงโท เด็กนักเรียนด้ ยการตีอันเป็นการกระทาผิด ินัยกรณีไม่ถือ
และปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการ ตามมาตรา ๙๑ แ ่งพระราชบัญญัติ
ระเบยี บข้าราชการพลเรอื น พ. . ๒๕๓๕ มาเป็นเ ตุในการพจิ ารณาโท ด้ ย
ผู้ฟอ้ งคดีอทุ ธรณ์ โดย อ.ก.ค. จงั ดั มมี ตเิ พ่ิมโท เป็นตัดเงินเดือนตามคา ่ังที่ ๒๒๔/๒๕๔๖
แตต่ ่อมา อ.ก.ค. านักงานคณะกรรมการการ ึก าขั้นพ้นื ฐานมีมติลดโท ใ ้เ ลือภาคฑัณฑ์ ผู้ถูกฟ้องคดี
(ผู้อาน ยการ านักงานเขตพื้นท่ีการ ึก า) จึงมีคา ั่งที่ ๘๗/๒๕๔๘ ยกเลิกการลงโท ตัดเงินเดือนผู้ฟ้องคดี
และใ ้ใช้คา ั่งที่ ๖๖/๒๕๔๖ ที่ลงโท ภาคทัณฑ์ ผู้ฟ้องคดีเ ็น ่าตนไม่ได้กระทาผิดตามข้อกล่า า
จึงฟอ้ งคดตี ่อ าลขอใ เ้ พิกถอนคา ัง่ ทั้ง องดังกล่า
•๑1๘9๓8
กระบ นการออกคา ง่ั ทางปกครองลงโท ทาง ินยั ผูฟ้ ้องคดชี อบด้ ยกฎ มาย รือไม่
และคา ่งั ท่ใี ้ใช้ระดับโท เดิมชอบด้ ยกฎ มาย รือไม่ ? คดีมปี ระเดน็ ทน่ี ่า นใจ ๒ ประเด็น คอื
าลปกครอง ูง ุด ินิจฉัย ่า การกระทาผิด ินัยอย่างไม่ร้ายแรง มาตรา ๑๐๒
แ ่งพระราชบัญญัตริ ะเบยี บข้าราชการพลเรือน พ. . ๒๕๓๕ บัญญัติใ ้ผู้บังคับบัญชามีอานาจดาเนินการ
ตาม ิธีการที่เ ็น มค ร และตาม นัง ือ ท่ี นร. ๐๗๐๙.๒/๒๑๑๗ ลง ันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๙ ิธีการที่
ผู้บังคับบัญชาเ ็น มค ร มายถึง ิธีการที่ผู้บังคับบัญชาเ ็น มค รจะใช้ในการ อบ นซึ่งอาจ
ดาเนินการโดย ิธีใดก็ได้ เช่น ตั้งเรื่องกล่า าและทาการ อบ น รือแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นทาการ
อบ นทาง ินัยอย่างไม่ร้ายแรง คดีนี้แม้ ่าผู้อาน ยการการประถม ึก าจัง ัดซึ่งมี ถานะเป็น
ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจ ั่งลงโท ตามกฎ มาย จะนาข้อกล่า าเรื่องท่ีผู้ฟ้องคดีทาโท เด็กนักเรียน
ด้ ยการตีซ่ึงผิดระเบียบของกระทร ง ึก าธิการเข้ามาเป็นเ ตุในการลงโท ทาง ินัยไม่ร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีได้
ก็ตาม เม่ือคา ่ังแต่งต้ังคณะกรรมการ ืบ นข้อเท็จจริงเป็นกรณีผู้ฟ้องคดีถูกกล่า า ่าไม่ใ ้เกียรติ
แก่เพ่ือนครูด้ ยกัน ใช้ าจา ยาบคายต่อ น้านักเรียนทั้ง ้องและเพ่ือนครู ไม่เคารพ ิทธิซ่ึงกันและกัน
ทาใ ้ได้รับค ามอับอายต่อนักเรียน และผลการ อบ นเ ็น ่าผู้ฟ้องคดีกระทาผิด ินัยฐานไม่ ุภาพ
เรียบร้อย ตามมาตรา ๙๓ แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ. . ๒๕๓๕ เ ็นค รงดโท
โดยใ ้ทาทัณฑ์บนเป็น นัง ือ แต่การพิจารณาค ามผิดและการกา นดโท ตามคา ่ังท่ี ๖๖/๒๕๔๖
ของผู้อาน ยการการประถม ึก าจัง ัดได้นาเอาเร่ืองที่ผู้ฟ้องคดีทาโท เด็กนักเรียนด้ ยการตี
อันเป็นค ามผิด ินัยอย่างไม่ร้ายแรง ตามมาตรา ๙๑ แ ่งพระราชบัญญัติดังกล่า ซ่ึงเป็นเร่ืองท่ี
นอกเ นือจากข้อกล่า าท่ีได้มีการ ืบ นข้อเท็จจริงมาพิจารณาลงโท ภาคทัณฑ์ผู้ฟ้องคดี โดยไม่ได้
มีการแจ้งข้อกล่า าดังกล่า ต่อผู้ฟ้องคดีเพ่ือใ ้ผู้ฟ้องคดีได้มีโอกา โต้แย้งและแ ดงพยาน ลักฐานของตน
ตามนัยมาตรา ๓๐ รรค น่ึง แ ่งพระราชบัญญัติ ิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ. . ๒๕๓๙ ท้ังยังได้นาเรื่อง
ที่ผู้ฟ้องคดีเคยถูกลงโท ภาคทัณฑ์และตัดเงินเดือนในค ามผิด ินัยกรณีอื่นมาเป็นเ ตุลงโท ภาคทัณฑ์
ผ้ฟู ้องคดีในครงั้ น้ดี ้ ย การพจิ ารณาค ามผิดและลงโท ภาคทณั ฑ์ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
คา ั่ง านักงานการประถม ึก าจัง ัด ท่ี ๖๖/๒๕๔๖ ท่ีใ ้ลงโท ภาคทัณฑ์ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นคา ่ัง
ท่ีไม่ชอบด้ ยกฎ มาย ถึงแม้ ่าในชั้นการพิจารณาของ อ.ก.ค. านักงานคณะกรรมการการ ึก า
ข้ันพื้นฐานในฐานะ อ.ก.พ. กระทร ง ึก าธิการมีมติใ ้ลงโท ภาคทัณฑ์ผู้ฟ้องคดีโดยตัดประเด็น
การลงโท ในค ามผิดตามมาตรา ๙๑ แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ. . ๒๕๓๕
ออกไปแล้ ตามคา ่ังของผู้ถูกฟ้องคดี ท่ี ๘๗/๒๕๔๘ คงเ ลือเพียงใ ้ลงโท ภาคทัณฑ์ในฐานค ามผิด
ตามมาตรา ๙๓ แ ่งพระราชบัญญัติดังกล่า เท่าน้ัน และใ ้ใช้คา ่ังที่ ๖๖/๒๕๔๖ ก็ไม่มีผลทาใ ้คา ั่งท่ี
๖๖/๒๕๔๖ ดังกล่า กลับกลายเปน็ คา ่งั ทชี่ อบด้ ยกฎ มายไปได้
ดังนั้น คา ่ัง ที่ ๖๖/๒๕๔๖ และคา ั่งท่ี ๘๗/๒๕๔๘ ใ ้ยกเลิกคา ่ังเพิ่มโท และใ ้ใช้
คา ั่ง านักงานการประถม ึก าจัง ัดกาญจนบุรี ที่ ๖๖/๒๕๔๖ ลง ันท่ี ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖
เร่ือง ลงโท ภาคทัณฑ์ข้าราชการครูคงเดิม จึงไม่ชอบด้ ยกฎ มาย (คาพิพาก า าลปกครอง ูง ุดท่ี
อ. ๓/๒๕๕๕)
คดีน้ี นอกจากจะปรากฏ ลักกฎ มายปกครองที่ าคัญ คือ ลักรับฟังค าม องฝ่าย
ตามมาตรา ๓๐ แ ่งพระราชบัญญัติ ิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ. . ๒๕๓๙ ซ่ึงมีเจตนารมณ์ที่จะ
คุ้มครองค ามเป็นธรรมใ ้กับคู่กรณีในกระบ นพิจารณาทางปกครองแล้ าลปกครอง ูง ุดยังได้ าง
บรรทัดฐานการปฏบิ ตั ริ าชการท่ีดใี นการดาเนินการทาง ินัยอยา่ งไม่ร้ายแรง กลา่ คือ แม้ตามมาตรา ๑๐๒
แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ. . ๒๕๓๕ จะใ ้อานาจผู้บังคับบัญชาท่ีจะดาเนินการ
•19๑9๘๔
ทาง ินัยได้ตามที่เ ็น มค ร แต่ก็มิได้ มายค าม ่าผู้บังคับบัญชาจะใช้อานาจพิจารณาค ามผิดและ
กา นดโท ได้ทันทีโดยไม่ต้องดาเนินการตามขั้นตอนและ ิธีการอันเป็น าระ าคัญที่กฎ มายกา นดไ ้
เชน่ การแจง้ ขอ้ กลา่ าใ ้ผูถ้ ูกกล่า าทราบทกุ ข้อกลา่ าและ รปุ พยาน ลักฐานใ ้ผู้ถูกกล่า าทราบ
อย่างชดั เจนและเพยี งพอ เพอื่ ใ ้ผถู้ กู กล่า าได้มโี อกา ชแี้ จง โตแ้ ยง้ และแ ดงพยาน ลักฐานของตนเพื่อ
ปกป้องคุ้มครอง ิทธิของตนในกระบ นการพิจารณาทางปกครองก่อนท่ีจะมีการออกคา ั่งทางปกครอง
การที่ผบู้ ังคับบัญชาแจง้ ขอ้ กล่า าในค ามผิดฐาน นึ่ง แต่ในการพิจารณาค ามผิดและกา นดโท ได้นา
พฤติการณ์อันเป็นค ามผิดฐานอ่ืนซ่ึงมิได้มีการ อบ น รือแจ้งข้อกล่า าใ ้ผู้ถูกกล่า าทราบมาเป็น
ฐานในการพจิ ารณาค ามผดิ และกา นดโท ด้ ย จึงถือเป็นการกระทาที่ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนและ ิธีการ
อนั เปน็ าระ าคัญในการดาเนนิ การทาง ินยั ซึ่งมีผลทาใ ้คา ัง่ ลงโท ทาง ินัยไม่ชอบด้ ยกฎ มาย
ร20๑0๘อ๕
ความเปน็ กลางของเจา้ นา้ ท่ีในการดาเนินการทางวนิ ยั อยา่ งไมร่ ้ายแรง
นาง า นติ า บณุ ยรัตน์ พนกั งานคดปี กครองชานาญการ
กล่มุ เผยแพรข่ อ้ มลู ทาง ชิ าการและ าร าร
านกั จิ ยั และ ิชาการ านกั งาน าลปกครอง
ลักค ามเป็นกลาง รือ ลักค ามไม่มี ่ นได้เ ีย (Impartiality) มาจากแน คิด
พ้ืนฐาน ่าบุคคลท่ีมีอานาจ ่ังการ ากมีอคติต่อคู่กรณีฝ่ายใดฝ่าย นึ่ง รือมีผลประโยชน์ท่ีเกี่ย ข้องกัน
แล้ ย่อมไม่อาจ ินิจฉัยช้ีขาดโดยปรา จากอคติในเรื่องน้ันได้ ดังเช่น ุภา ิตกฎ มายโรมันท่ี ่า “ไม่มีใคร
ามารถพิจารณาคดีของตนเองได้” (no one should a judge in his own case) ลักดังกล่า
พระราชบัญญัติ ิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ. . ๒๕๓๙ นามาบัญญัติไ ้ในมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖
เพื่อเป็นการประกันการใช้อานาจของผู้มีอานาจในการออกคา ั่งทางปกครองใ ้มีค ามเป็นกลาง
ค ามเป็นธรรม และปรา จากค ามลาเอียง โดยมีการแยกค ามไม่เป็นกลางออกเป็น ๒ ประเภท คือ
เ ตมุ าจาก ภาพภายนอก (มาตรา ๑๓) ซ่ึงมาจาก ถานภาพ รือฐานะของเจ้า น้าท่ีเอง เช่น เป็นคู่กรณี
เป็นคู่ มร เป็นญาติ และเ ตุมาจาก ภาพภายใน (มาตรา ๑๖) ซ่ึงมีเ ตุมาจาก ภาพภายในจิตใจ
ของเจ้า น้าที่ เช่น ค ามอคติ ค ามลาเอียง เช่น กรณีนายกเท มนตรีอนุมัติจ้าง ้าง ุ้น ่ นจากัดท่ีมีบุตรเขย
เปน็ ุ้น ่ นผู้จดั การเปน็ ผรู้ บั จ้างซ่อมแซมถนนลูกรังและ ินคลกุ ในเขตเท บาล (คาพิพาก า าลปกครอง
ูง ุดท่ี อ. ๖๘/๒๕๕๕) รือกรณีที่คณะกรรมการ อบ นทาง ินัยจาน น องใน ามคนเคยเป็น
กรรมการ ืบ นข้อเท็จจริงด้ ย ซ่ึงคาด มายได้ ่าผลการ อบ นทาง ินัยอย่างร้ายแรงไม่อาจแตกต่าง
ไปจากผลการ ืบ นขอ้ เทจ็ จริง ถือเป็นกรณีที่เจ้า น้าที่ที่มีอานาจพิจารณาทางปกครองมีเ ตุอันมี ภาพ
ร้ายแรงทาใ ้คา ่ังลงโท ทาง ินยั ไม่ชอบด้ ยกฎ มาย (คาพิพาก า าลปกครอง ูง ุดท่ี อ. ๖๐๐/๒๕๕๔)
เป็นตน้
อย่างไรก็ตาม ในกรณีท่ีผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจดาเนินการทาง ินัยอย่างไม่ร้ายแรง
ต้ังแต่การออกคา ่งั แต่งต้งั คณะกรรมการ อบ น การ อบ นของคณะกรรมการ อบ น การพิจารณา
กา นดโท มีเ ตุโกรธเคืองกับผู้ถูกกล่า า และ ลังจากมีการ อบ นทาง ินัยเ ร็จ ้ิน ได้ใช้อานาจ
ออกคา ่ังลงโท ผู้ถูกกล่า า จะถือ ่าเป็นเจ้า น้าที่ที่มีอานาจพิจารณาทางปกครองมีเ ตุอันมี ภาพ
ร้ายแรงตามมาตรา ๑๖ แ ่งพระราชบัญญัติ ิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ. . ๒๕๓๙ อันอาจทาใ ้
คา ่ังลงโท ทาง นิ ัยไม่ชอบด้ ยกฎ มาย รือไม่ และเปน็ ข้อยกเ ้นทีจ่ ะไม่ตอ้ งนาบทบัญญัติดังกล่า มาใช้
บงั คับ รอื ไม่
คาพิพาก า าลปกครอง ูง ุดท่ี อ. ๑๔๖/๒๕๕๔ ได้ นิ จิ ฉยั กรณดี ังกลา่ ไ ้โดยมีข้อเท็จจริง ่า
ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ (ผู้อาน ยการ ิทยาลัยเทคนิค) มีคา ่ังแต่งต้ังคณะกรรมการ อบ นทาง ินัยผู้ฟ้องคดี
กรณีท่ีผู้ฟ้องคดีซ่ึงเป็นข้าราชการครูและทา น้าท่ี ั น้างานทะเบียนทาการแก้ไขปลอมแปลง
ผลการเรียนของนาย ช. (นัก ึก า) เพื่อใ ้นาย ช. จบการ ึก าและรับรองเอก ารภาพถ่ายระเบียน
แ ดงผลการเรยี นอันเปน็ เท็จ คณะกรรมการ อบ นทาง ินัยมีมติ ่าผู้ฟ้องคดีกระทาผิด ินัย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑
จึงมีคา ั่งลงโท ตัดเงินเดือนผู้ฟ้องคดี ๕ เปอร์เซ็นต์ ไม่เกิน นึ่งเดือน ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คา ่ังดังกล่า
แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ (อ.ก.ค. านักงานคณะกรรมการการอาชี ะ ึก า) มีมติยกอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีเ ็น ่า
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ใช้อานาจโดยมิชอบกล่ันแกล้งผู้ฟ้องคดี เน่ืองจากมีเ ตุโกรธเคืองผู้ฟ้องคดี ซ่ึงก่อนท่ี
ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ จะมคี า ง่ั แตง่ ต้งั คณะกรรมการ อบ นทาง ินยั ผูฟ้ ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ เคยแ ดงท่าที
ชอบผู้ฟ้องคดีในเชิงชู้ า ต้องการใ ้ผู้ฟ้องคดีเป็นภริยาน้อยแต่ถูกปฏิเ ธ ทาใ ้ผู้ถูกฟ้องคดีคอยจับผิด
ร20๑1อ๘๖
และมี นัง ือชี้แจงต่อผู้บังคับบัญชาโดยแ ดงข้อค าม ม่ินประมาท ผู้ฟ้องคดีจึงได้แจ้งค ามดาเนินคดี
ผูถ้ ูกฟ้องคดีท่ี ๑ ฐาน มน่ิ ประมาท ่ นผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ได้แจ้งค ามผู้ฟ้องคดีฐานเจ้าพนักงานทาเอก ารเท็จ
ผู้ฟ้องคดีจึงนาคดีมาฟ้อง าลปกครองขอใ ้ าลเพิกถอนคา ่ังของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และมติของ
ผูถ้ กู ฟอ้ งคดีที่ ๒ ร มท้งั ใ ค้ ืนเงนิ เดอื นทีถ่ กู ตัดไปด้ ย
ศาลปกครอง ูง ุดวินิจฉัยว่า เม่ือผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ เ ็น ่าการกระทาของผู้ฟ้องคดี
กรณีแก้ไขผลการเรียนของนาย ช. เป็นการกระทาโดยมิชอบ และมีมูลที่ค รกล่า า ่ากระทาผิด ินัย
ผถู้ ูกฟอ้ งคดีท่ี ๑ ยอ่ มมอี านาจแต่งตั้งคณะกรรมการ อบ นเพื่อทาการ อบ นทาง ินัยผู้ฟ้องคดีได้และ
าก อบ นพบ ่ามีพฤติการณ์กระทาผิด ินัยอย่างไม่ร้ายแรงตามท่ีถูกกล่า า ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ย่อมมี
อานาจกา นดโท และมีคา ่ังลงโท ทาง ินัยได้ตาม มค รแก่กรณี และเน่ืองจากการดาเนินการ
อบ นทาง ินัยต้ังแต่การออกคา ่ังแต่งต้ังคณะกรรมการ อบ น การ อบ นของคณะกรรมการ
อบ น การพิจารณากา นดโท เป็นการพิจารณาทางปกครอง และคา ่ังลงโท ตัดเงินเดือนเป็นคา ั่ง
ทางปกครองตามมาตรา ๕ แ ง่ พระราชบญั ญัติ ธิ ีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ. . ๒๕๓๙ เมื่อปรากฏ ่า
ก่อนทจ่ี ะดาเนินการทาง ินัยแก่ผ้ฟู อ้ งคดี ผูถ้ กู ฟอ้ งคดีที่ ๑ และผู้ฟ้องคดีมีปัญ าค ามขัดแย้งกัน จนถึงข้ัน
มีการรอ้ งทกุ ขก์ ลา่ โท ต่อพนักงาน อบ น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ นาเรื่องท่ีผู้ฟ้องคดีแก้ไขผลการเรียน
ของนาย ช. ท่ีเกิดขึ้นต้ังแต่เดือนเม ายน ๒๕๓๙ มาดาเนินการทาง ินัยลงโท ผู้ฟ้องคดีในปี ๒๕๔๐
โดยเข้าใจ ่าผู้ฟ้องคดีทาบัตร นเท่ ์และแจ้งค ามดาเนินคดีตนในข้อ า มิ่นประมาท ทาใ ้เ ็นได้ ่า
ผ้บู ังคบั บญั ชาใช้อานาจโดยโท ะจรติ กลน่ั แกล้งผใู้ ต้บังคบั บญั ชา ขาดคณุ ธรรมและเมตตาธรรม
เม่อื ปรากฏ า่ ก่อนท่ีผูถ้ ูกฟอ้ งคดที ี่ ๑ จะดาเนนิ การทาง นิ ัยแก่ผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑
และผู้ฟ้องคดมี ีปญั าค ามขัดแย้งจนถึงขน้ั แจง้ ค ามร้องทุกข์กลา่ โท ซึ่งกันและกันต่อพนักงาน อบ น
กรณีถือ ่ามี ภาพร้ายแรงท่ีอาจทาใ ้การดาเนินการทาง ินัยแก่ผู้ฟ้องคดี ซ่ึงเป็นการพิจารณาทาง
ปกครองไม่เป็นกลางโดย ภาพภายในของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้มีอานาจ น้าท่ีในการดาเนินการทาง
นิ ัยผ้ฟู อ้ งคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงไม่อาจทาการพิจารณาทางปกครองเรื่องน้ีได้ตามมาตรา ๑๖ รรค นึ่ง
แ ่งพระราชบัญญัติ ิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ. . ๒๕๓๙ และกรณีน้ีมิใช่กรณีไม่มีเจ้า น้าที่อ่ืน
ปฏิบัติ น้าที่แทน เพราะยังมีผู้บังคับบัญชาเ นือข้ึนไปของผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ที่ ามารถ
ดาเนินการ อบ นได้ และมิใช่กรณีเป็นค ามจาเป็นเร่งด่ น ากปล่อยใ ้ล่าช้าจะเ ีย ายต่อประโยชน์
าธารณะ รือ ทิ ธิบุคคลโดยไมม่ ที างแกไ้ ขได้ อนั จะเป็นข้อยกเ ้นมิใ ้นาบทบัญญัติมาตรา ๑๓ ถึงมาตรา ๑๖
แ ่งพระราชบัญญัติ ิธีปฏบิ ตั ิราชการทางปกครอง พ. . ๒๕๓๙ มาใช้บังคบั ดงั น้ัน การท่ีผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑
ดาเนินการทาง ินัยแก่ผู้ฟ้องคดี โดยการออกคา ั่งแต่งต้ังคณะกรรมการ อบ นทาง ินัย การพิจารณา
ค ามผิด และพิจารณาโท โดยมีคา ั่งลงโท ตัดเงินเดือน จึงเป็นการกระทาท่ีไม่ชอบด้ ยกฎ มาย และ
มตขิ องผู้ถกู ฟอ้ งคดีท่ี ๒ จงึ ไมช่ อบด้ ยกฎ มายเชน่ กัน
คดนี ้ี าลปกครอง ูง ุดได้ างบรรทัดฐานการปฏิบัติราชการที่ดีเกี่ย กับค ามเป็นกลาง
ของเจา้ น้าท่ีที่มอี านาจพจิ ารณาทางปกครองไ ้ ๒ กรณี
(๑) เมื่อกฎ มายเฉพาะไมไ่ ด้บัญญัตเิ กี่ย กับ ลักค ามเป็นกลางของเจ้า น้าท่ีที่มีอานาจ
น้าท่ีแต่งตั้งคณะกรรมการ อบ น การพิจารณาค ามผิด การกา นดโท และการ ่ังลงโท อันเป็น
การพิจารณาทางปกครองไ ้โดยเฉพาะ จึงต้องนาบทบัญญัติมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ แ ่ง
พระราชบญั ญตั ิ ิธปี ฏบิ ตั ิราชการทางปกครอง พ. . ๒๕๓๙ มาใช้บงั คับ
(๒) การดาเนินการทาง ินัยอย่างไม่ร้ายแรง ซ่ึงเริ่มต้ังแต่การออกคา ั่งแต่งต้ัง
คณะกรรมการ อบ น การพิจารณาค ามผิด การกา นดโท และการ ั่งลงโท เป็นการพิจารณาทาง
20*2๑๓๘๗
ปกครอง และการมีคา ั่งลงโท ทาง ินัยเป็นคา ั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แ ่งพระราชบัญญัติ
ิธปี ฏบิ ัติราชการทางปกครอง พ. . ๒๕๓๙ เจ้า น้าท่ีผู้มีอานาจดาเนินการทาง ินัยต้องมีค ามเป็นกลาง
การท่ีผู้บังคับบัญชาซ่ึงเป็นผู้มีอานาจดาเนินการทาง ินัยและผู้ถูกกล่า า ่ากระทาผิด ินัย
อย่างไม่ร้ายแรงมีปัญ าค ามขัดแย้งจนถึงขั้นร้องทุกข์กล่า โท ซ่ึงกันและกันต่อพนักงาน อบ นถือ ่า
เจ้า น้าทีผ่ มู้ ีอานาจมีเ ตอุ ันมี ภาพร้ายแรงทีอ่ าจทาใ ก้ ารพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางตามมาตรา ๑๖
แ ่งพระราชบัญญัติ ิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ. . ๒๕๓๙ และไม่ใช่กรณีที่ไม่มีเจ้า น้าที่อื่นปฏิบัติ
น้าท่ีแทน อันจะเปน็ ขอ้ ยกเ น้ ตามมาตรา ๑๘ แ ง่ พระราชบัญญัติ ิธีปฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง พ. . ๒๕๓๙
(บทค าม) ค ามเป็นกลางของเจา้ นา้ ท่ีในการดาเนินการทาง ินัยอยา่ งไมร่ ้ายแรง /D:นนั ทรตั น์ (แก้ไข)_นติ า_บทค าม
r ttttttsttttosd(คอลมั นร์ ะเบียบกฎหมาย วารสารกาํ นนั ผใู้ หญ่บา้ น ฉบ2บั 0เด3ือนมกราคม ๒๕๕๘)
เจ้าหน้าทน่ี ําเงนิ ราชการพกั ในบัญชีส่วนตวั ... ผดิ วนิ ัยอย่างร้ายแรง !
นางสาวปุญญาภา ไชยคาํ มี
พนกั งานคดีปกครองชาํ นาญการ
สาํ นกั วจิ ยั และวชิ าการ สาํ นกั งานศาลปกครอง
“การทุจริต คอร์รัปชั่น” เป็นปัญหาสาํ คญั ที่สังคมใหค้ วามสนใจเป็นพิเศษในยคุ ปัจจุบนั แมท้ ุกภาคส่วน
จะใหค้ วามร่วมมือกนั แกไ้ ขตลอดมา แต่เนื่องจากพฤติกรรมในทางทุจริตคอร์รัปชนั่ สามารถกระทาํ ไดใ้ นหลายรูปแบบ
ท้งั มีความแยบยลและสลบั ซับซอ้ น ทาํ ใหป้ ัญหาการทุจริตคอร์รัปชนั่ เกิดข้ึนมีอยเู่ สมอ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การทุจริต
คอร์รัปชนั่ ในวงราชการถือวา่ เป็ นภยั ร้ายแรงของสังคมท่ีมีผลต่อการพฒั นาของประเทศ หลายภาคส่วนจึงไดแ้ สวงหา
มาตรการเพือ่ การป้ องกนั และปราบปรามที่เขม้ งวด เช่น การลงโทษทางวนิ ยั
ดงั เช่นคดีจากศาลปกครองฉบบั น้ีซ่ึงเป็ นเร่ืองเก่ียวกบั การลงโทษทางวินัยขา้ ราชการพลเรือน
ในสถาบนั อุดมศึกษาแห่งหน่ึงท่ีถกู กล่าวหาวา่ ทุจริตตอ่ หนา้ ที่ โดยอาศยั โอกาสท่ีตนไดร้ ับมอบหมายจากผบู้ งั คบั บญั ชา
ให้ทาํ หน้าที่ในการเบิกจ่ายเงินกองทุนของมหาวิทยาลยั ให้กบั นักวิจยั เพื่อใช้จ่ายในโครงการวิจยั แลว้ นาํ เงินของราชการ
ไปใชป้ ระโยชน์ส่วนตวั ดว้ ยวิธีการฝากเงินดงั กล่าวเขา้ บญั ชีธนาคารตนเอง แต่ต่อมาเมื่อไดร้ ับการทวงถามจึงไดน้ าํ ไปจ่าย
ใหก้ บั นกั วจิ ยั
ข้อเท็จจริงในคดีนีค้ ือ ผฟู้ ้ องคดีดาํ รงตาํ แหน่งนกั วิชาการการเงินและการบญั ชี ระดบั ๖ ในสาํ นกั วิจยั
และพฒั นาของมหาวิทยาลยั ไดร้ ับมอบหมายให้ทาํ หน้าท่ีเบิกเงินจากบญั ชีเงินฝากกองทุนมหาวิทยาลยั จากธนาคาร
จาํ นวน ๒๓๖,๙๗๖ บาท เพื่อจ่ายให้กบั นกั วจิ ยั สองราย คือ ดร. ส. จาํ นวน ๑๓๖,๙๗๖ บาท และรองศาสตราจารย์ ภ. จาํ นวน
๑๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อใชจ้ ่ายตามโครงการวิจยั ของมหาวิทยาลยั เม่ือผถู้ ูกฟ้ องคดีท่ี ๑ (อธิการบดีมหาวิทยาลยั ) อนุมตั ิ
ให้จ่ายเงินและผฟู้ ้ องคดีเบิกเงินไปแลว้ ไดโ้ อนเงินให้ ดร. ส. แต่รายรองศาสตราจารย์ ภ. ผฟู้ ้ องคดีไม่ไดโ้ อนเงินให้ทนั ที
กลบั นาํ เงินท่ีเหลือไปฝากเขา้ บญั ชีธนาคารส่วนตวั จนล่วงเลยถึง ๕๖ วนั จึงโอนเงินใหร้ องศาสตราจารย์ ภ. เมื่อถกู ทวงถาม
ต่อมามีการแต่งต้งั คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยและอธิการบดีมหาวิทยาลยั มีคาํ ส่ังลงโทษทางวินยั
โดยไล่ออกจากราชการ กรณีผฟู้ ้ องคดีปฏิบตั ิหน้าที่โดยมิชอบเพ่ือให้ตนเองไดป้ ระโยชน์ท่ีมิควรได้ เป็ นการทุจริต
ต่อหนา้ ท่ีราชการและเป็นความผิดวินยั อยา่ งร้ายแรง ตามมาตรา ๓๙ วรรคสาม แห่งพระราชบญั ญตั ิระเบียบขา้ ราชการ
พลเรือนในสถาบนั อุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗
ผฟู้ ้ องคดีอุทธรณ์คาํ สัง่ แต่ผถู้ ูกฟ้ องคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการขา้ ราชการพลเรือนในสถาบนั อุดมศึกษา)
มีมติยกอุทธรณ์ จึงนาํ คดีมาฟ้ องขอใหศ้ าลปกครองมีคาํ พิพากษาหรือคาํ ส่ังเพิกถอนคาํ ส่ังลงโทษและคาํ วนิ ิจฉยั อุทธรณ์
โดยผฟู้ ้ องคดีโตแ้ ยง้ วา่ หน่วยงานจดั ต้งั ใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงผบู้ ริหารบ่อยคร้ัง บุคลากรทางดา้ นการเงินกม็ ีผฟู้ ้ องคดี
คนเดียวท้งั ท่ีมีงานประจาํ ตอ้ งรับผิดชอบมาก ระบบการประสานงานของผเู้ ก่ียวขอ้ งจึงล่าชา้ และไม่ชดั เจน ผฟู้ ้ องคดี
จึงไม่ทราบเลขบญั ชีของรองศาสตราจารย์ ภ. ทาํ ให้ไม่อาจโอนเงินให้ทนั ทีและตอ้ งนาํ เงินไปฝากเขา้ บญั ชีธนาคาร
ส่วนตวั เอาไวก้ ่อน ตนจึงไม่มีเจตนาทุจริตตอ่ หนา้ ที่ราชการตามท่ีถกู กล่าวหา
การนาํ เงินของทางราชการไปฝากเข้าบัญชีเงินฝากส่วนตัวของผู้ฟ้ องคดี โดยไม่ส่งเงินให้นักวิจัย
ทันทีท่ีได้รับหรือในเวลาท่ีเหมาะสมจะเป็น “การกระทาํ ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ” ตามที่ถกู กล่าวหาหรือไม่ ?
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ผูฟ้ ้ องคดีเป็ นผูไ้ ด้รับมอบหมายจากผูบ้ ังคับบัญชาให้มีหน้าที่
รับผิดชอบดาํ เนินการงานกองทุนมหาวิทยาลยั โดยเป็ นผูเ้ บิกเงินจากบญั ชีเงินฝากกองทุนเพื่อนาํ ส่งนักวิจยั จึงถือว่า
การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีราชการดงั กลา่ วอยใู่ นความรับผดิ ชอบของผฟู้ ้ องคดีโดยตรง
ฒ๒20ึ4้
การที่ผฟู้ ้ องคดีเบิกเงินจากกองทุนไปแลว้ และจ่ายเงินให้ ดร. ส. โดยวิธีนาํ เขา้ บญั ชีเงินฝากของ
ดร. ส. แต่ไม่จ่ายให้รองศาสตราจารย์ ภ. กลับนําเข้าบัญชีเงินฝากส่วนตัวในวันเดียวกัน โดยระเบียบของ
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ว่าด้วยกองทุน มอ. เพ่ือวิจัยและพัฒนาภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๓๒ และระเบียบมหาวิทยาลัย
สงขลานครินทร์ว่าด้วยเงินรายได้ของมหาวิทยาลยั พ.ศ. ๒๕๓๕ ไม่ไดใ้ หอ้ าํ นาจเจา้ หนา้ ท่ีเกบ็ รักษาเงินเขา้ บญั ชีส่วนตวั ได้
จึงถือวา่ การนาํ เงินราชการฝากเขา้ พกั ไวใ้ นบญั ชีส่วนตวั เป็นการดาํ เนินการนอกเหนือจากท่ีระเบียบกฎหมายกาํ หนด
การท่ีผูฟ้ ้ องคดีไม่ไดใ้ ชค้ วามพยายามติดตามหรือสอบถามเลขที่บญั ชีของรองศาสตราจารย์ ภ.
เพ่ือจะรีบนาํ เงินเขา้ บญั ชี ซ่ึงผฟู้ ้ องคดีควรจะตอ้ งติดต่อประสานงานขอขอ้ มูลโดยเฉพาะเลขท่ีบญั ชีของผขู้ ออนุมตั ิเงิน
ก่อนจะดาํ เนินการเบิกเงินยืมเพื่อจดั ส่งให้นักวิจยั แต่ละราย และหากยงั ไม่ทราบเลขท่ีบญั ชีของรองศาสตราจารย์ ภ.
จะตอ้ งเก็บรักษาเงินที่ไม่อาจจ่ายไดโ้ ดยวิธีนาํ เงินฝากเขา้ บญั ชีกองทุนไวก้ ่อน เพื่อรอสอบถามเลขที่บญั ชีเงินฝาก
ให้ทราบแน่ชดั หรืออาจใชว้ ิธีซ้ือตว๋ั แลกเงินหรือแคชเชียร์เช็คของธนาคารสั่งจ่ายในนามรองศาสตราจารย์ ภ. แลว้ จดั ส่งไปยงั
สถานที่ทาํ งานหรือโทรศพั ท์ติดต่อสอบถามเลขท่ีบญั ชีจากรองศาสตราจารย์ ภ. ตามหมายเลขโทรศพั ท์ที่ระบุไวใ้ น
คาํ ขออนุมตั ิยืมเงินได้ การท่ีผูฟ้ ้ องคดีมิไดด้ าํ เนินการโดยวิธีการใด ๆ แต่กลบั นาํ เงินเขา้ บญั ชีส่วนตวั และนาํ ไปใช้
ประโยชนน์ านถึง ๕๖ วนั จนกระทงั่ ถกู ทวงถาม จึงไดน้ าํ เงินเขา้ บญั ชีใหแ้ ก่รองศาสตราจารย์ ภ. ในวนั เดียวกบั ที่ถูกทวงถาม
ยอ่ มแสดงให้เห็นถึงเจตนาท่ีแทจ้ ริงของผูฟ้ ้ องคดี ท้งั งานเจา้ หน้าท่ีการเงินและบญั ชีของกองทุนเป็ นงานส่วนพิเศษ
ที่มิไดม้ ีปริมาณงานท่ีมากจนเกินภาระที่ผูฟ้ ้ องคดีจะปฏิบตั ิให้แลว้ เสร็จเรียบร้อยได้ อีกท้งั ผูฟ้ ้ องคดีจบการศึกษา
เก่ียวกบั การเงินการบญั ชีและดาํ รงตาํ แหน่งนกั วชิ าการการเงินและบญั ชี ระดบั ๖ มีหนา้ ที่เก่ียวกบั งานดา้ นการเงินและบญั ชี
ยอ่ มตอ้ งเป็นผมู้ ีความรู้ความเชี่ยวชาญในการเบิกจ่ายเงินในดา้ นต่าง ๆ เป็นอยา่ งดี
พฤติการณ์การนาํ เงินเขา้ ฝากในบญั ชีส่วนตวั และนาํ เงินไปใชป้ ระโยชน์ส่วนตวั ในช่วงเวลาดงั กล่าว
หลายคร้ัง ทาํ ใหร้ องศาสตราจารย์ ภ. ไม่ไดร้ ับเงินไปใชใ้ นโครงการวจิ ยั ทาํ ใหเ้ กิดความเสียหายแก่รองศาสตราจารย์ ภ.
และทางราชการ จึงถือไดว้ า่ เป็นการปฏิบตั ิหนา้ ที่หรือละเวน้ การปฏิบตั ิหนา้ ที่ราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหต้ นเองไดร้ ับประโยชน์
ที่มิควรได้ เป็ นการทุจริตต่อหนา้ ที่ราชการและเป็ นความผิดวินยั อยา่ งร้ายแรง ตามมาตรา ๓๙ วรรคสาม แห่งพระราชบญั ญตั ิ
ระเบียบขา้ ราชการพลเรือนในสถาบนั อุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗
ดงั น้ัน คาํ สั่งลงโทษไล่ผูฟ้ ้ องคดีออกจากราชการและคาํ วินิจฉัยยกอุทธรณ์ จึงชอบดว้ ยกฎหมาย
(คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. ๓๓๔/๒๕๕๗)
คดีน้ีเป็ นอุทาหรณ์ที่ดีสําหรับเจา้ หนา้ ที่ของรัฐซ่ึงมีอาํ นาจหน้าที่เกี่ยวกบั การจดั การการเงินและ
การบญั ชีดา้ นต่าง ๆ ของหน่วยงานของรัฐทุกแห่งวา่ ไม่วา่ หนา้ ท่ีที่ปฏิบตั ิในราชการจะเป็ นภารกิจประจาํ หรือเป็ นงาน
ที่ไดร้ ับมอบหมายพเิ ศษเป็นคราว ๆ ไปกต็ าม ถือเป็นการปฏิบตั ิหนา้ ท่ี จึงตอ้ งปฏิบตั ิหนา้ ท่ีใหเ้ ป็นไปตามกฎหมายหรือ
ระเบียบแบบแผนของทางราชการกาํ หนดอยา่ งเคร่งครัด การเกบ็ รักษาเงินราชการไวใ้ นบญั ชีเงินฝากส่วนตวั โดยไม่มี
กฎมายหรือระเบียบกาํ หนดไวใ้ ห้กระทาํ ได้ ยอ่ มเป็ นการกระทาํ ที่ไม่ชอบดว้ ยกฎหมายหรือระเบียบ ท้งั ไม่อาจกล่าวอา้ งไดว้ ่า
ไม่สามารถดาํ เนินการเบิกจ่ายเงินไดต้ ามท่ีไดร้ ับอนุมตั ิ เนื่องจากยงั มีแนวทางการดาํ เนินการอ่ืน ๆ เช่น การนาํ เงินฝาก
กลบั คืนไวใ้ นบญั ชีราชการหรืออาจซ้ือตวั๋ แลกเงินหรือแคชเชียร์เช็คธนาคาร ฯลฯ การนาํ เงินเขา้ บญั ชีส่วนตวั จึงถือเป็น
การปฏิบตั ิหน้าที่หรือละเวน้ การปฏิบตั ิหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพ่ือให้ตนเองไดร้ ับประโยชน์ท่ีมิควรได้ อนั เป็ น
การทุจริตต่อหนา้ ที่ราชการ
205
ผลงานทางวิชาการที่ “อา้ งองิ ” ไม่ถกู ตอ้ งถอื เป็นการ “ลอกเลยี น”
นายณัฐพล ลอื ิงหนาท พนักงานคดปี กครองชํานาญการ
กลุ่มเผยแพร่ข้อมลู ทางวิชาการและวาร าร
ํานกั วจิ ัยและวิชาการ ํานักงานศาลปกครอง
การเจริญก้าวหน้าในหน้าท่ีการงานหรือการได้รับการเลื่อนตําแหน่งนับเป็น ่ิงที่ทุกคนต่างต้องการ
และการจัดทําผลงานทางวิชาการเพื่อยื่นขอเ นอเลื่อนตําแหน่งเป็นวิธีการหนึ่งท่ีหลายหน่วยงานได้นํามาใช้
เป็นหลักเกณฑ์หรือวิธีการในการพิจารณาเลื่อนตําแหน่ง อาทิเช่น ตําแหน่งทางวิชาการของข้าราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษาซึ่งต้องมีการจัดทําผลงานทางวิชาการโดยการแต่งหรือเรียบเรียง ตํารา หนัง ือ
หรือบทความทางวิชาการให้มีคุณภาพดีและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ท่ีคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
ใน ถาบันอดุ มศกึ ษา (ก.พ.อ.) ไดก้ ําหนดไว้
ดังเช่น คอลัมน์กฎหมายใกล้ตัวฉบับนี้ ได้นําคดีพิพาทกรณีท่ีผู้ย่ืนเ นอขอเล่ือนตําแหน่ง
ทางวิชาการเป็นรองศา ตราจารย์โดยเ นอผลงานในประเภท “ตํารา หรือ หนัง ือ” ซึ่งเป็นผลงานทางวิชาการ
ในลกั ษณะของการแปลจากภาษาองั กฤษเปน็ ภาษาไทยและได้มีการอา้ งองิ หนงั ือต้นฉบับไวใ้ นบรรณานกุ รม
คดีน้มี ปี ระเด็นท่นี า่ นใจหลายประเดน็ อาทิเชน่ (๑) การจดั ทาํ ผลงานทางวิชาการในลักษณะ
ดังกล่าวจะถือเป็นการเ นอผลงานเพ่ือใช้เล่ือนตําแหน่งทางวิชาการได้หรือไม่ (๒) การจัดทําผลงาน
ทางวิชาการประเภทตําราหรือหนัง ือท่ีมีคุณภาพดีที่ถูกต้องนั้นควรต้องมีการจัดทําและอ้างอิงในลักษณะใด
และ (๓) ผลจากการทจ่ี ัดทําหรอื อ้างอิงไม่ถูกต้องจะ ง่ ผลตอ่ การเ นอผลงานทางวิชาการเพอ่ื เลื่อนตําแหนง่ อย่างไร
ข้อเท็จจริงในคดีนี้เกิดข้ึนจากผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนใน ถาบันอุดมศึกษา
ตําแหนง่ ผูช้ ว่ ยศา ตราจารย์ได้เ นอผลงานทางวชิ าการเพอื่ ขอเล่ือนตําแหน่งเป็นรองศา ตราจารย์ โดยผลงาน
ทางวิชาการท่ีเ นอเป็นเอก ารประเภทตํารา หนัง ือ ชื่อเรื่อง วั ดุอุต าหกรรม โดยระบุช่ือผู้ฟ้องคดีเป็น
ผู้เรียบเรียง ร่วมกับบุคคลอ่ืน ซ่ึงผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) ได้พิจารณาตรวจ อบแล้ว
เห็นว่า เนื้อหาตําราหนัง ือของผู้ฟ้องคดี ่วนใหญ่แปลมาจากต้นฉบับหนัง ือ Principles of Materials
Science and Engineering ของ William F. Smith แบบคําต่อคําในหลายบทและมีการนํารูปประกอบมาใช้
เป็นจํานวนมากโดยไม่มีการอ้างอิง จึงมีมติว่าการแปลหนัง ือโดยไม่ได้มีการอ้างอิงถือว่าขาดจริยธรรม
ทางวิชาการ และผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๓ ( ํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) เห็นว่า กรณีดังกล่าวถือเป็น
การลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อ่ืนไปใช้ในการเ นอขอตําแหน่งทางวิชาการโดยปกปิดว่าเป็นผลงาน
ของตนเอง หากปรากฏหลักฐานชัดเจนให้ดําเนินการลงโทษทางวินัยตามมาตรการที่คณะกรรมการข้าราชการ
พลเรอื นในมหาวทิ ยาลยั (ก.ม.) (ปจั จบุ นั คอื คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนใน ถาบนั อุดมศกึ ษา (ก.พ.อ.)) กาํ หนด
ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ (อนุกรรมการ ามัญประจํามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
(อ.ก.ม. มหาวิทยาลัย)) ได้แต่งต้ังคณะกรรมการ อบหาข้อเท็จจริง และผลปรากฏว่า กรณีของผู้ฟ้องคดีไม่ใช่
เป็นการแปลโดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิข ิทธิ์ จึงถือเป็นการลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อ่ืนหรือ
นําผลงานทางวิชาการของผู้อ่ืนไปใช้ เป็นการกระทําที่ขาดจริยธรรมและไม่เหมาะ มที่จะได้รับการพิจารณาแต่งต้ัง
ให้ดํารงตําแหน่งทางวิชาการ และ มควรถูกลงโทษทางวินัย จึงมีมติให้งดการพิจารณาการขอตําแหน่ง
ทางวชิ าการของผู้ฟ้องคดี และห้ามผู้ฟ้องคดีเ นอขอตําแหน่งทางวิชาการเป็นเวลา ๓ ปี นับจากวันท่ีมีมติ
และใหอ้ ธกิ ารบดดี าํ เนนิ การทางวินยั แก่ผู้ฟอ้ งคดตี ามอาํ นาจหนา้ ท่ตี อ่ ไป
•๒2 06
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคํา ั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากเคยมีกรณีผู้เ นอผลงานอ้างอิง
ในบรรณานุกรมก็เพียงพอท่ีจะถือเป็นการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลแล้ว และการห้ามเ นอขอตําแหน่ง
ทางวิชาการเป็นเวลา ๓ ปี เป็นมาตรการลงโทษท่ีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกําหนด นอกจากนี้ ยังไม่ได้ให้
โอกา ผู้ฟ้องคดีไดช้ แี้ จงหรอื โต้แยง้ แ ดงพยานหลักฐาน ตามมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
จึงย่นื ฟอ้ งคดตี อ่ ศาลปกครอง ขอใหศ้ าลมีคาํ ่ังหรือคาํ พิพากษาเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑
การที่ผู้ฟ้องคดีเ นอผลงานทางวิชาการประเภทตํารา โดยแปลเอก ารจากต้นฉบับและ
อา้ งองิ ต้นฉบบั เฉพาะในบรรณานุกรมเป็นการเ นอผลงานทางวิชาการที่ถกู ต้อง หรอื ไม่
ศาลปกครอง ูง ุดวินิจฉัยว่า การที่ผู้ฟ้องคดีเ นอผลงานทางวิชาการประเภทตํารา หนัง ือ
ช่ือเรื่อง วั ดุอุต าหกรรม โดยเป็นเจ้าของผลงานร้อยละ ๙๐ และยอมรับว่า เน้ือหา ่วนใหญ่แปลมาจาก
หนัง ือช่ือ Principles of Materials Science and Engineering ของ William F. Smith แต่ได้เพิ่มเนื้อหาบาง ่วน
และได้อ้างอิงหนัง ือดังกล่าวไว้ในบรรณานุกรมแล้วน้ัน เม่ือเป็นการเ นอผลงานทางวิชาการประเภทตํารา
มิได้เ นอเป็นการแปล แต่กลับเพียงแต่อ้างอิงไว้ในบรรณานุกรม ท้ังๆ ที่ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีความรู้และ
ดํารงตําแหน่งผู้ช่วยศา ตราจารย์ ควรทราบดีอยู่แล้วว่าการอ้างอิงในผลงานทางวิชาการประเภทตํารา
ซึ่งมิใช่เอก ารประกอบการ อนนั้นต้องอ้างอิงตามหลัก ากลทั่วไปซึ่งมี ๓ วิธี คือ เชิงอรรถ Quotation
และบรรณานุกรม และต้องทําทุกวิธี ดังนั้น การกระทําของผู้ฟ้องคดีจึงไม่ถูกต้องและถือเป็นการลอกเลียน
ผลงานทางวิชาการของผู้อ่ืน โดยปกปิดว่าเป็นผลงานของตนเอง ่วนกรณีของผู้เ นอผลงานทางวิชาการ
รายอ่ืนนั้นเมื่อเป็นการเ นอผลงานในลักษณะเอก ารประกอบการ อนไม่ใช่ตํารา การอ้างอิงในบรรณานุกรม
ก็เพยี งพอท่ีจะถอื เป็นการอา้ งอิงแหลง่ ท่มี าของข้อมูลแลว้
่วนการมีมติของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ที่ให้งดการพิจารณาการขอตําแหน่งทางวิชาการและ
ห้ามผู้ฟ้องคดีเ นอขอตําแหน่งทางวิชาการเป็นเวลา ๓ ปี เป็นการใช้ดุลพินิจท่ีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น
ศาลปกครอง ูง ดุ วินิจฉัยวา่ แม้คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย (ก.ม.) จะได้วางมาตรการ
ในการลงโทษห้ามเ นอขอตําแหน่งทางวิชาการมีกําหนดเวลาไม่น้อยกว่า ๒ ปี แต่ด้วย อ.ก.ม. มหาวิทยาลัย
ศรีนครินทรวิโรฒ ได้มีมติเก่ียวกับการกําหนดมาตรการลงโทษผู้ที่คัดลอกผลงานทางวิชาการของผู้อื่น
ให้ถอื เป็นการกระทําทีม่ ีเจตนาทุจริต และจะไมพ่ ิจารณาตาํ แหน่งทางวชิ าการใหแ้ กผ่ ู้นัน้ มกี าํ หนด ๓ ปี ดังน้ัน
เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีมติโดยพิจารณามาตรการลงโทษท้ัง องแนวทางประกอบกัน การมีมติดังกล่าว
จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบด้วยกฎหมาย (ปัจจุบัน ประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาแต่งต้ัง
บุคคลให้ดํารงตําแหน่งผู้ช่วยศา ตราจารย์ รองศา ตราจารย์ และศา ตราจารย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐
ข้อ ๑๐.๑ ได้กําหนดห้ามผู้ลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่นเ นอขอตําแหน่งทางวิชาการมีกําหนดเวลา
ไมน่ ้อยกว่า ๕ ปี)
ําหรับข้อโต้แย้งของผู้ฟ้องคดีท่ีว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่ให้โอกา โต้แย้งแ ดงพยานหลักฐานน้ัน
ศาลปกครอง ูง ุดวินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ มีอํานาจพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในตําราหรือหนัง ือ
ทผี่ ฟู้ อ้ งคดีเ นอขอตาํ แหน่งทางวิชาการเปรียบเทียบกับหนัง ือของ William F. Smith ซ่ึงผู้ฟ้องคดียอมรับว่า
ไดม้ ีการแปลหรอื ถอดความมาจากหนงั ือดงั กลา่ วจริง กรณจี ึงเปน็ การพจิ ารณาจากข้อเท็จจริงที่ผู้ฟ้องคดีได้ให้
ไว้ในคําขอ ่งผลงานทางวิชาการ อันเป็นข้อยกเว้นซ่ึงไม่จําต้องให้โอกา โต้แย้งแ ดงพยานหลักฐาน
ตามท่ีมาตรา ๓๐ วรรค อง (๓) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้กําหนดไว้
(คาํ พพิ ากษาศาลปกครอง ูง ุดท่ี อ. ๒๐๐/๒๕๕๖)
←๓2 07
คําพิพากษาศาลปกครอง ูง ุดดังกล่าวไม่เพียงแต่จะทําให้บุคคลที่ต้องการเ นอผลงาน
ทางวิชาการได้รับรู้และเข้าใจว่าการจัดทําผลงานทางวิชาการเพื่อเ นอขอเลื่อนตําแหน่งทางวิชาการน้ัน
หากเป็นการเ นอผลงานในประเภทตําราหรือหนัง ือแล้ว การอ้างอิงเพ่ือให้เป็นผลงานท่ีมีคุณภาพดี
และเป็นไปตามมาตรฐานต้องมีการอ้างอิงตามหลัก ากลทั่วไปซึ่งมี ๓ วิธี ได้แก่ เชิงอรรถ Quotation และ
บรรณานุกรม และต้องจดั ทาํ ใหค้ รบทกุ วธิ ี ซึง่ การจดั ทําอา้ งอิงโดยไมถ่ ูกตอ้ งหรอื ไมค่ รบถว้ นนอกจากจะถือเปน็
การลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่นแล้ว ยังอาจ ่งผลกระทบต่อการเ นอผลงานทางวิชาการ
เพื่อการพิจารณาเลื่อนตําแหน่งในคราวต่อๆ ไป และยังอาจถูกลงโทษทางวินัยเพราะเป็นการกระทําท่ี
ขาดจริยธรรม ไม่เหมาะ ม หรือ ่อเจตนาทุจริตในทางวิชาการในกรณีที่หน่วยงานน้ันๆ ได้มีระเบียบ
หลกั เกณฑ์หรอื วธิ กี ารปฏิบัตเิ ก่ียวกบั การเ นอผลงานทางวิชาการไว้ อกี ดว้ ย
208
ใบความรู้
เร่อื ง “ผลกระทบกรณขี ้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาไม่ชาระหน้ีเงนิ กู้”
ข้ า ร า ช ก า ร ค รู แ ล ะ บุ ค ล า ก ร ท า ง ก า ร ศึ ก ษ า เ ป็ น บุ ค ค ล ท่ี ไ ด้ รั บ ก า ร ย ก ย่ อ ง ใ ห้ เ ป็ น
ปูชนียบุคคล และวิชาชีพครูถือเป็นวิชาชีพข้ัน ูง มีบทบาทหน้าท่ี าคัญเกี่ยวกับการจัดการเรียนการ อน
การ ร้างเ ริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนซ่ึงเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีความ าคัญต่ออนาคตของประเทศชาติ
ให้มคี วามเจริญเติบโตทัง้ ทางดา้ น ติปัญญา ความรู้ ความ ามารถและทัศนคติที่ดีงาม ไป ู่การเป็นพลเมืองที่ดี
และมีคุณภาพของชาติ จากบทบาทหน้าที่และความ าคัญดังกล่าวข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งครู ซึ่งเป็นแม่พิมพ์ของชาติ นอกจากจะเป็นผู้ให้ความรู้แล้วยังต้องเป็นตัวอย่างท่ีดีต่อ
เด็กและเยาวชน และต้องรักษาชื่อเ ียงเกียรติศักด์ิ ตาแหน่งหน้าที่ของตนมิให้เ ื่อมเ ีย ซึ่งปัจจุบันพบว่า
่วนใหญ่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีหนี้ ินที่มาจากการกู้ยืมเงิน และไม่ชาระหน้ีตาม ัญญา
จนเปน็ เหตุทาใหผ้ คู้ ้าประกนั เดอื นรอ้ นเปน็ จานวนมาก การทีข่ ้าราชครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาไม่ชาหนี้เงินกู้
ดังกลา่ วน้นั ยอ่ มจะได้รับผลกระทบตามมาไดด้ ังนี้
๑. ขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาผ้นู ัน้ จะตอ้ งถกู ดาเนินการทางวนิ ยั ตามมาตรา ๙๔
วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไข
เพิ่มเติม ฐานไม่รักษาชื่อเ ียงของตนและรักษาเกียรติศักดิ์ของตาแหน่งหน้าท่ีราชการของตนมิให้เ ่ือมเ ีย
โดยไม่กระทาการใดๆ อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ซึ่งความผิดวินัยกรณีนี้เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง
ซง่ึ มโี ทษ ภาคทัณฑ์ ตัดเงนิ เดอื น และลดเงินเดือน แลว้ แต่ความผิดเปน็ กรณีๆ ไป ตวั อยา่ งเค กรณีทเ่ี กิดข้ึนจริง เชน่
รายที่ ๑-๐๖๔/๒๕๔๙ ช่ือ นางณี ตาแหน่งครู วิทยฐานะ ังกัด านักงานเขตพื้นที่
การศกึ ษา
กระทาผิดวินัยในเรื่อง ให้ผู้อ่ืนประกัน ัญญาเงินกู้แล้วไม่ชาระหนี้ตาม ัญญาเงินกู้
เป็นเหตุใหผ้ ้คู ้าประกนั ถูกเจา้ หนา้ ทฟ่ี อ้ งต่อศาลจนผคู้ ้าประกนั ถูกบังคับคดียึดบา้ นขายทอดตลาด
ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางณีได้กู้เงินจากนางพร เมื่อวันท่ี ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๓
จานวนเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท โดยมีนางทอง ชาวบ้านเป็นผู้ค้าประกันแล้วไม่ชาระหนี้เงินกู้ตาม ัญญาอีก
ต่อมาวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๗ นางพร เจ้าหนี้ ได้ฟ้องนางทองให้ขนย้ายทรัพย์ ินออกจากบ้าน และให้ใช้
คา่ เ ียหายแก่นางพรเดอื นละ ๕๐๐ บาท โดย านักงานบังคับคดีได้ยึดบ้านของผู้ค้าประกันออกขายทอดตลาด
ต่อมานางเงินบุตร าวนางทอง ซ้ือบ้านคืน จานวน ๘,๐๐๐ บาท และ านักงานบังคับคดีอายัดเงินปันผล
หกรณ์ออมทรัพย์ครูของนางณีเพ่ือชาระหนี้ โดยนางณียอมรับ ภาพหนี้ทุกประการและได้ไปไกล่เกลี่ย
กับเจ้าหนโ้ี ดยตกลงจะชาระหนี้ ่วนทเี่ หลือเดือนละ ๕๐๐ บาท ใน ่วนทีต่ นรับผดิ ชอบ
มาตรา ๙๔ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗
209
จ-๒-
กรณี กระทาการอนั ไดช้ อื่ วา่ เปน็ ผู้ประพฤติชัว่
โทษ ตดั เงินเดือน ๕% เป็นเวลา ๑ เดือน
มติ รบั ทราบและให้ตดิ ตามความประพฤติเป็นเวลา ๑ ปี
๒. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้น้ันอาจถูกเจ้าหน้ีฟ้องร้องต่อศาลเพื่อบังคับ
ให้ชาระเงินกู้ และหากข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาไม่ดาเนินการชาระหน้ีตามคาพิพากษา ก็จะเข้า ู่
กระบวนการบังคับคดียึดอายัดทรัพย์ ิน ซึ่งใน ่วนของหลักทรัพย์ เช่น เงินในบัญชี หรือ ิทธิเรียกร้องอ่ืนๆ
และใน ่วนของทรัพย์ ิน เชน่ บา้ น ท่ีดิน รถยนต์ ทรพั ย์ นิ อื่นๆ เพื่อนาขายทอดตลาด และนาเงินท่ีได้จากการ
ขายทอดตลาดดงั กลา่ วไปชาระหนใี้ หก้ ับเจ้าหน้ีตามคาพิพากษา
๓. หากดาเนินการตามขอ้ ๒ แล้ว การบังคับคดียึดอายัดทรัพย์ ินไม่ ามารถท่ีจะได้เงินนามา
ชาระหน้ีให้ครบถ้วนตามคาพิพากษาได้ และหากปรากฏว่าหน้ีที่จะต้องชาระนั้น เป็นจานวนไม่น้อยกว่า
หนึ่งล้านบาท เจ้าหน้ีอาจดาเนินการฟ้องขอให้ศาลมีคาพิพากษาให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ผู้น้ันเป็นบุคคลล้มละลาย เนื่องจากมีหนี้ ินล้นพ้นตัวได้ ตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย
พ.ศ. ๒๔๘๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
๔. เม่ือข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษาผู้น้ัน ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
ตามข้อ ๓ แล้ว ก็จะถือว่าเป็นผู้ขาดคุณ มบัติท่ัวไปของการเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศกึ ษา ตามมาตรา ๓๐ (๙) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.
๒๕๔๗ และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม มีผลทาให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้น้ัน ต้องถูก ่ังให้ออกจาก
ราชการ
านักงานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต ๒
กลุ่มกฎหมายและคดี
(คร้ังท่ี ๑ ประจาเดอื นเมษายน ๒๕๖๕)
210
211
212
213
214
215
216
217
218
219
220
221
222
223
224
225
226
227
228
229
230
231
232
233
ภาคผนวก
235
ร มกฎ มาย กฎ และระเบียบที่เก่ีย ขอ งกับการดาํ เนนิ การทาง ินัย
การอุทธรณ และการรองทุกขข องขา ราชการครูและบคุ ลากรทางการ กึ า
กฎ มาย QR Code าํ รับดา นโ ลด
1. พระราชบัญญตั ริ ะเบยี บขา ราชการครูและ
บคุ ลากรทางการ ึก า พ. . 2547
2. กฎ ก.ค. . า ด ยการ อบ นพจิ ารณา พ. .
2550
3. กฎ ก.ค. . า ด ยกรณีค ามผดิ ที่ปรากฏชดั
แจง พ. . 2549
4. กฎ ก.ค. . า ด ยอํานาจการลงโท ภาคทณั ฑ
ตัดเงินเดอื น รือลดเงินเดือน พ. . 2561
5. ระเบียบ ก.ค. . าด ย ธิ กี ารออกคาํ ัง่
เกีย่ กับการลงโท ทาง ินัยขาราชการครูและ
บคุ ลากรทางการ ึก า พ. . 2548
236 QR Code ํา รับดา นโ ลด
กฎ มาย
6. ระเบียบ ก.ค. . าด ยการรายงานเกีย่ กบั การ
ดาํ เนินการทาง ินยั และการออกจากราชการของ
ขาราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า พ. .
2561
7. กฎ ก.ค. . า ด ยการอุทธรณและการพจิ ารณา
อทุ ธรณ พ. . 2550
8. กฎ ก.ค. . า ด ยการรอ งทกุ ขแ ละการ
พจิ ารณารองทุกข พ. . 2551
9. พระราชบัญญตั ิ ธิ ปี ฏิบัตริ าชการทางปกครอง
พ. . 2539
10. พระราชบญั ญัตขิ อมลู ขา ารของทางราชการ
พ. . 2540
237
รวมแบบฟอร์มทใี่ ช้ในการปฏบิ ัติงานการดาเนนิ การทางวนิ ยั การอทุ ธรณ์ และการร้องทุกข์
ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา
https://shorturl.asia/jMc7V
ประกอบไปดว้ ย :
▪ แบบ สว.๑ – สว.6
▪ แบบ พ.๑ - พ.๕
▪ แบบฟอร์มคำส่งั ลงโทษทำงวินัย
- กรณที ผ่ี บู้ ังคบั บญั ชำส่งั ลงโทษวินยั ไม่ร้ำยแรงโดยอำศยั อำนำจของตนเอง
- กรณีทสี่ ง่ั ลงโทษวินัยไมร่ ำ้ ยแรงตำมมติ กศจ. หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง
- กรณีที่ผู้บังคับบัญชำสั่งลงโทษทำงวินัยอย่ำงร้ำยแรงตำมมติ กศจ. หรือ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ.
ต้งั หรือ ก.ค.ศ.
- กรณีกำรรำยงำนกำรลงโทษทำงวินัยไม่ร้ำยแรงและผู้บังคับบัญชำผู้ได้รับรำยงำนพิจำรณำ
แล้วสั่งเปลี่ยนแปลงคำสง่ั
- กรณกี ำรรำยงำนกำรส่ังลงโทษทำงวนิ ยั ไม่รำ้ ยแรงซึ่ง กศจ./อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตัง้ หรือ ก.ค.ศ.
พจิ ำรณำมมี ตใิ หเ้ ปลย่ี นแปลงคำสัง่
- กรณกี ำรอุทธรณค์ ำส่ังลงโทษวนิ ัยไมร่ ำ้ ยแรงตอ่ กศจ./อ.ก.ค.ศ. ตัง้ และมีมติให้เปลย่ี นแปลง
คำส่ัง
- กรณีอุทธรณ์คำส่ังลงโทษวินัยไม่ร้ำยแรงหรืออย่ำงร้ำยแรงต่อ ก.ค.ศ. และ ก.ค.ศ. มีมติให้
เปล่ยี นแปลงคำสงั่ และหรือสั่งให้กลับเข้ำรับรำชกำร
238
บรรณานุกรม
กฎหมาย
พระราชบญั ญตั ิระเบียบขา ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แกไขเพิ่มเติม
พระราชบญั ญัติวิธีปฏบิ ัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และที่แกไ ขเพ่ิมเติม
พระราชบัญญัตขิ อ มูลขา วสารของทางราชการ พ.ศ. 2540
กฎ ก.ค.ศ.วา ดวยการสอบสวนพจิ ารณา พ.ศ. 2550
กฎ ก.ค.ศ.วา ดวยกรณีความผดิ ทีป่ รากฏชดั แจง พ.ศ. 2549
กฎ ก.ค.ศ.วา ดว ยอาํ นาจการลงโทษภาคทณั ฑ ตัดเงินเดอื น หรอื ลดเงินเดือน พ.ศ. 2561
กฎ ก.ค.ศ.วา ดวยการอุทธรณแ ละการพิจารณาอทุ ธรณ พ.ศ. 2550
กฎ ก.ค.ศ.วา ดวยการรองทกุ ขและการพิจารณารอ งทุกข พ.ศ. 2551
ระเบยี บ ก.ค.ศ.วาดว ยวธิ กี ารออกคาํ ส่งั เก่ียวกับการลงโทษทางวินัยขาราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2548
ระเบียบ ก.ค.ศ.วาดวยการรายงานเกี่ยวกับการดําเนินการทางวินัยและการออกจากราชการของขาราชการครรชู
และบคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2561
คําส่งั ศาลรฐั ธรรมนูญ
คาํ สัง่ ศาลรฐั ธรรมนูญที่ 41/2563
คําพิพากษาศาลปกครอง
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดหี มายเลขแดงท่ี อ.118/2551
คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุด คดหี มายเลขแดงท่ี อ.28/2547 (ประชุมใหญ)
คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงท่ี อ.3/2555
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.197/2548
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.21/2550
คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ คดหี มายเลขแดงที่ อ.153/2547
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ คดหี มายเลขแดงที่ อ.142/2549
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.67/2547
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ คดหี มายเลขแดงที่ อ.463/2551
มติ อ.ก.ค.ศ.
มติ อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเก่ียวกับการอุทธรณแ ละการรอ งทุกข คร้ังที่ 3/2555 วันที่ 27 มนี าคม 2555
มติ อ.ก.ค.ศ.วสิ ามญั เกีย่ วกับการอทุ ธรณและการรองทุกข คร้งั ที่ 1/2555 วนั ท่ี 24 มกราคม 2555
มติ อ.ก.ค.ศ.วสิ ามญั เกี่ยวกับการอุทธรณแ ละการรองทุกข คร้ังที่ 4/2558 วนั ท่ี 27 เมษายน 2558
มติ อ.ก.ค.ศ.วสิ ามัญเกีย่ วกับการอุทธรณแ ละการรอ งทุกข ครั้งท่ี 3/2558 วนั ท่ี 23 มนี าคม 2558
มติ อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกย่ี วกับการอุทธรณและการรอ งทุกข คร้ังที่ 6/2558 วนั ท่ี 22 มถิ ุนายน 2558
มติ อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกย่ี วกับการอทุ ธรณและการรอ งทุกข คร้งั ท่ี 1/2557 วันท่ี 25 กมุ ภาพนั ธ 2557
239
บทความ
จิตติมา เถี่ยนมิตรภาพ. (2563). การดําเนินการทางวินัยเมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด
ท า ง วิ นั ย ฐ า น อื่ น ที่ มิ ใช ฐ า น ทุ จ ริ ต ต อ ห น า ที่ . สื บ ค น 7 สิ ง ห า ค ม 2 5 6 5 , จ า ก
https://mspc.ocsc.go.th/2020/02/การดําเนินการทางวินัยเม่ือคณะกรรมการ-ป-ป-ช-ชี้มูล
ความผิดทางวินัยฐานอนื่ ทม่ี ิใชฐานทุจริตตอหนาที่
สํานักงานศาลปกครอง. (2553). ขาราชการกับการลา ตามระเบียบของทางราชการ. สืบคน 7 สิงหาคม 2564,
จาก https://admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms/Academic/Academic_2012
12_141408.pdf
สาํ นักงานศาลปกครอง. (2555). มพี ฤติกรรมไมเหมาะสมยา ยไดไมใชกลั่นแกลง. สืบคน 7 สิงหาคม 2564, จาก
https://admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms/Academic/Academic_201212_1
70908.pdf
สํานักงานศาลปกครอง. (2555). วันลาไมมี หนาท่ีก็โดดเดน เหตุไฉนไมไดเล่ือนข้ันเงินเดือนพิเศษ. สืบคน
7 สิ งห าค ม 2564, จาก https://admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms/Academic
/Academic_201212_173404.pdf
สํานักงานศาลปกครอง. (2555). ความเปนกลางของเจาหนาที่ในการดําเนินการทางวินัยอยางไมรายแรง. สืบคน
17 สิงหาคม 2564, จาก https://www.admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms/
Academic/Academic_201212_165943.pdf
สํานักงานศาลปกครอง. (2556). นําพฤติการณอันเปนความผิดทางวินัยฐานอ่ืนมาลงโทษ โดยไมแจง
ขอกลาวหา. สืบคน 17 สิงหาคม 2564, จาก https://www.admincourt.go.th/admincourt/
upload/webcms/Academic/Academic_120213_110657.pdf
สํานักงานศาลปกครอง. (2558). การใชดุลพินิจกําหนดโทษ ตองเหมาะสมกับความผิด. สืบคน
17 สิงหาคม 2564, จาก https://www.admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms/
Academic/Academic_270115_134017.pdf
สํานกั งานศาลปกครอง. (2558). เจา หนาท่ีนาํ เงินราชการพักในบัญชสี วนตัว...ผิดวนิ ัยอยางรา ยแรง. สืบคน
5 สิงหาคม 2565 , จาก https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_
parcy/download/admincourt_journal/everyorganization/16-2.pdf
สํานกั งานศาลปกครอง. (2558). เรื่องผลงานทางวิชาการท่ี “อางอิง” ไมถูกตองถือเปนการ “ลอกเลยี น”.
สืบคน ๓ สิงหาคม ๒๕๖๕, จากhttps://admincourt.go.th/ADMINCOURT/upload/webcms/
Academic/Academic_270115_133048.pdf
สํานักงานศาลปกครอง. (2559). เปนกรรมการสอบแตกําหนดระยะเวลารายงานตัวไมถูกตอง ตองรับผิดทางวินัย.
สืบคน 7 สิงหาคม 2564, จาก https://admincourt.go.th/ADMINCOURT/upload/webcms/
Academic/Academic_030816_091734.pdf
สํานักงานศาลปกครอง. (2559). การแจงขอกลาวหาใหผูถูกกลาวหาทราบโดยชอบดวยกฎหมาย. สืบคน
16 สิงห าคม 2564, จาก https://www.admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms/
Academic/Academic_250716_112852.pdf
สาํ นักงานศาลปกครอง. (2559). ขาราชการยักยอกเงนิ คืนแลว (ไม) ตองรบั ผิดทางวนิ ัย. สบื คน 5 สิงหาคม
2565, จาก https://www.mdes.go.th/content/download-detail/2709
240
สํานักงานศาลปกครอง. (2560). ถูกสั่งใหมาประจําสํานักงานเขตพ้ืนที่ ไมมีสิทธิ์ไดรับเงินวิทยฐานะ. สืบคน
7 สิงหาคม 2564, จาก https://admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms/Academic/
Academic_110717_134953.pdf
สํานักงานศาลปกครอง. (2561). ปวยจริงแตยังปฏิบัติงานไดถือวา ไมมีเหตุผลอันสมควร ตองละทิ้งหนาที่.
สืบคน 7 สิงหาคม 2564, จาก https://admincourt.go.th/ADMINCOURT/upload/webcms/
Academic/Academic_180518_134412.pdf
สํานักงานศาลปกครอง. (2561). ใหออกจากราชการไวกอน ถาสอบสวนไมเสร็จตองคืนตําแหนงและสิทธิประโยชน.
สืบคน 8 สิงหาคม 2564, จาก https://www.admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms
/Academic/Academic_181218_142146.pdf
สํานักงานศาลปกครอง. (2561). แนวทางการปฏิบัติราชการจากคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด ประจําป
๒ ๕ ๖ 1. สืบคน ๓ สิงหาคม ๒ ๕ ๖ ๕ , จาก https://www.admincourt.go.th/admincourt/
upload/webcms/Academic/Academic_260819_124638.pdf
สํานักงานศาลปกครอง. (2562). ถูกปลดเพราะละทิ้งหนาท่ีเกิน 15 วัน โดยไมมีเหตุอันควร. สืบคน
16 สิงหาคม 2564, จาก https://www.admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms/
Academic/Academic_251219_153103.pdf
สํานักงานศาลปกครอง. (2562). ไมแจงถอยคําพยานในชั้นสอบสวนเทากับไมใหโอกาสคูกรณี. สืบคน
16 สิงห าคม 2564, จาก https://www.admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms/
Academic/Academic_190919_094633.pdf
สํานักงานศาลปกครอง. (2563). เม่ือคดีอาญายกฟอง จะขอใหยกเลิกโทษทางวินัยไดหรือไม. สืบคน
7 สิ งห า ค ม 2564, จ า ก https://www.admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms/
Academic/Academic_240220_113939.pdf
สํานักงานศาลปกครอง. (2563). ส่ังใหออกจากราชการโดยอาศัยขอมูลเชิงสถิติ ใชดุลพินิจมิชอบ. สืบคน
7 สิงหาคม 2564, จาก https://admincourt.go.th/admincourt/site/09illustration_list-44.
html?page=09illustration_list-44&start=0&rowperpage=100
สํานักงานศาลปกครอง. (2563). แนวทางการปฏิบัติราชการจากคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด ประจําป
๒ ๕ ๖ 3 . สื บ ค น 7 สิ งห าค ม ๒ ๕ ๖ ๕ , จาก https://www.admincourt.go.th/admincourt/
upload/webcms/Academic/Academic_010921_113826.pdf
สํานักงานศาลปกครอง. (2563). คดีพิพาทเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล. สืบคน 7 สิงหาคม 2565, จาก
https://www.admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms/Academic/Academic_1 0 0
320_134842.pdf
สํานักงานศาลปกครอง. (2564). แนวคําวินิจฉัยคดีปกครอง ชุดสาระ 1000 คดีปกครอง เลมท่ี 1. สืบคน 5
สิ งห าค ม 2 5 6 5 , จ าก https://admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms/News/
News_020221_134146.pdf
สํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต ๒ กลุมกฎหมายและคดี (ครั้งที่ ๑ ประจําเดือน
เมษายน ๒๕๖๕). เรื่อง “ผลกระทบกรณีขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาไมชําระหนี้เงินกู”.
สืบคน ๓ สิงหาคม ๒๕๖๕ จาก https://bit.ly/3Sgo4hz
241
สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (2565). แนวความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นเกี่ยวกับ
การดําเนินการทางวินยั ตามการช้มี ูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. สบื คน 25 มถิ ุนายน 2565,
จ า ก http://www.stopcorruption.moph.go.th/application/editors/userfiles/files/แ น ว
ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎกี า%20การดําเนินการทางวนิ ัย%20ตามการชี้มูลของ%20ป_ป_ช.pdf
เรื่องเสรจ็
สาํ นักงานคณะกรรมการกฤษฎกี า. (2561). เร่ืองเสร็จที่ 944/2561 เรอ่ื ง การดําเนินการของสํานกั ขา วกรองแหง ชาติ
.(2561). เร่ืองเสร็จท่ี 1058/2561 เร่ือง ผูอํานวยการเขตพื้นท่ีการศึกษาถูกกลาวหาวากระทํา
ผดิ รว มกับบคุ ลากรทางการศกึ ษาอื่นในเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาในสังกดั
สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (2564). เรื่องเสร็จท่ี 1559/2564 เร่ือง คณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การดําเนินการทางวินัยและสั่งลงโทษแกอดีตขาราชการตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตาม
พระราชบญั ญัติ ระเบยี บขา ราชการพลเรือน (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2562
หนังสอื
สํานักงาน ก.ค.ศ. .(2555). คูมือการอุทธรณและการรองทุกขและแนววินิจฉัยของ อ.ก.ค.ศ.วิสามัญ
เก่ยี วกบั การอุทธรณแ ละการรองทุกข, กรงุ เทพ โรงพิมพ สกสค.
สํานักงาน ก.ค.ศ. .(2562). ขอกําหนดวินัย และการดําเนินการทางวินัย การอุทธรณและการรองทุกข
ของขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา, กรุงเทพ โรงพมิ พ สกสค.
242
คณะผจู ัดทาํ
ท่ปี รกึ ษา ศกึ ษาธิการภาค 8
ดร.ประสิทธ์ิ เขยี วศรี
นกั ทรพั ยากรบุคคลชํานาญการพิเศษ
คณะผูจดั ทํา ปฏิบตั ิหนาทผ่ี ูอํานวยการกลมุ บริหารงานบคุ คล
นางกัญญาภคั พลู สวัสดิ์ รก.นติ กิ รชํานาญการพิเศษ
นิติกรปฏิบัติการ
นางเสาวคนธ ม่นั ดี นิตกิ รปฏิบัติการ
นางสาวสนุ ษิ า อักษรสวุ รรณ
นางสาวณัฐรกิ า นิลนา้ํ เพชร