The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือการดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับปรับปรุง ปี พ.ศ. 2565)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คู่มือการดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับปรับปรุง ปี พ.ศ. 2565)

คู่มือการดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับปรับปรุง ปี พ.ศ. 2565)

144
ไดรบั สูงกวา เห็นไดวา เกณฑและตัวช้วี ัดในการพิจารณาบุคคลเขาสูตําแหนงดังกลาว ไดกําหนดรายละเอียด
ของตัวชี้วัดอยางชัดเจน โดยแยกพิจารณาจากดานความรู ความสามารถ และประสบการณ ดานผลงานดาน
ความอาวุโสในราชการ ดานวินัย และดานความเหมาะสมอื่น ๆ และประโยชนที่ทางราชการไดรับ และได
ประกาศใหขา ราชการภายในสํานักงานไดทราบโดยท่ัวกันกอนมีการจัดบุคคลเขาสูตําแหนงดังกลาวแลว

เม่ือตําแหนงเจาหนาที่วิเคราะหนโยบายและแผน ๖ว/๗ว ตําแหนงเลขที่ อ๔๕ มีผูไดคะแนนรวม
๙๑ คะแนน เทากัน ๒ คน คือ ผูฟองคดีและนาย อ. ซึ่งตามหลักเกณฑในขอ ๖ไดกําหนดใหพิจารณา
เรียงตามลําดับ คือ ๖.๑ ผูที่ไดคะแนนผลงานสูงกวา ๖.๒ ผูท่ีมีความสามารถและประสบการณสูงกวา ๖.๓
ผทู ม่ี ีอาวโุ สสงู กวา ๖.๔ ผูทไี่ มเ คยถกู ลงโทษทางวินยั ๖.๕ ผูท ี่มีคะแนนความเหมาะสมอ่นื และประโยชนทีท่ าง
ราชการไดรับสูงกวา โดยผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดพิจารณาตามขอ ๖.๑ แลวปรากฏวา ผูฟองคดีและนาย อ.
ไดคะแนนผลงาน ๑๕ คะแนน เทากัน ผูถูกฟองคดีที่ ๒ จึงพิจารณาคะแนนท่ีไดจากตัวช้ีวัดลําดับตอไปตาม
ขอ ๖.๒ ท่ีวา ผูใดมีคะแนนความสามารถและประสบการณสูงกวากัน ซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๒ พิจารณาแลวเห็น
วา เกณฑและตัวช้ีวัดตามขอ ๖.๒กําหนดไวแตเพียงความสามารถและประสบการณเทานั้น โดยมิได
กําหนดใหเอาตัวชี้วัดในดานความรูรวมเขาไวดวย ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไมนาํ คะแนนจากตัวช้ีวัดในดานความรู
มารวมพจิ ารณาเพียงแตนําคะแนนจากตัวช้วี ัดในดานความสามารถและดา นประสบการณมาพิจารณาเทาน้ัน
ปรากฏวาผูฟองคดีไดคะแนนขอ ๖.๑ ผลงาน และขอ ๖.๒ ความสามารถและประสบการณ เทากันกับนาย
อ. ผูถูกฟองคดีที่ ๒ จึงไดพิจารณาคะแนนที่ไดจากตัวชี้วัดลําดับตอไปตามขอ ๖.๓ซึ่งกําหนดวา ผูใดมีอาวุโส
สูงกวากัน ปรากฏวานาย อ. รับเงินเดือนขั้นสูงกวาผูฟองคดี ผูถูกฟองคดีที่ ๒ จึงเห็นวานาย อ. มีความ
อาวุโสกวาผูฟองคดี จึงใหนาย อ. ลงในกรอบอัตรากําลังตําแหนงเลขท่ี อ๔๕ เห็นวา แมหลักเกณฑในขอ
๖.๒ จะกําหนดไวแตเพียงความสามารถและประสบการณโดยมิไดนําเอาความรูมากําหนดไวดวยก็ตาม
แตเมื่อพิจารณาเกณฑในขอ ๖. ซ่ึงเปนกรณีท่ีมีผูไดคะแนนรวมเทากันแลว เกณฑดังกลาวมีเจตนารมณให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ กลับไปพิจารณาผลคะแนนที่ไดจากตัวชี้วัดในแตละดานตามลําดับใหมอีกครั้ง วาผูใดมี
คะแนนตัวช้ีวัดแตละลําดับมากกวากัน โดยมิไดมีเจตนารมณท่ีจะใหตัดทอนหรือเพิ่มคะแนนในสวนใดสวน
หนึง่ ไดแ ตอ ยางใด
การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เห็นวาเกณฑและตัวชี้วัดตามขอ ๖.๒ กําหนดไวแตเพียงความสามารถและ
ประสบการณเทาน้ัน โดยมิไดกําหนดเอาความรรู วมเขาไปดวย ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไมนําคะแนนจากตัวช้ีวัด
ในดานความรูมารวมพิจารณาดวย น้ัน จึงเปนความเขาใจที่คลาดเคลื่อนของผูถูกฟองคดีที่ ๒ เอง ดังน้ัน
เม่ือผูฟองคดีและนาย อ. ไดคะแนนผลงานตามขอ ๖.๑ เทากันกรณีจึงตองพิจารณาคะแนนท่ีไดจากตัวชี้วัด
ดานความรูความสามารถและประสบการณ ซ่ึงปรากฏวาผูฟองคดีไดคะแนนความรูความสามารถและ
ประสบการณมากกวานาย อ. ๑ คะแนน ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จะตองถือปฏิบัติตามขอ ๖.๒ ของเกณฑและ
ตวั ช้ีวัดเพื่อประกอบเกณฑการพิจารณาตัวบคุ คลในการจัดขาราชการใหดาํ รงตําแหนง บุคลากรทางการศกึ ษา
อ่ืนตามมาตรา ๓๘ ค. (๒) ตามกรอบอัตรากําลังในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาและในสถานศึกษาท่ี ก.ค.ศ.
กําหนด และ อ.ก.ค.ศ.เขตพ้ืนที่การศึกษาชัยภูมิ เขต ๑ ใหความเห็นชอบ ตามประกาศสํานักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษาชัยภูมิเขต ๑ ลงวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ โดยใหผูฟองคดีไดรับการจัดลงกรอบอัตรากําลังใน
ตําแหนงเจาหนาท่ีวิเคราะหนโยบายและแผน ๖ว/๗ว ตําแหนงเลขที่ อ๔๕ โดยไมตองพิจารณาหลักเกณฑ
ตามขอ ๖.๓ ในดานความอาวุโสในราชการอีกตอไป ดังนั้น เมื่อผูถูกฟองคดีท่ี ๒ พิจารณาเห็นวาผฟู องคดีกับ
นาย อ. ไดคะแนนในดา นความสามารถและประสบการณตามขอ ๖.๒ เทากันแลว ไปพิจารณาหลกั เกณฑตาม

145

ขอ ๖.๓ จึงเปนการกระทําท่ีไมชอบดวยกฎหมาย การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ใหความเห็นชอบผลการพิจารณา
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ แลวผูถูกฟองคดีที่ ๑ ออกคําส่ังลงวันท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๕๐ เฉพาะตําแหนงเลขท่ี อ๔
๕ เจา หนา ทว่ี เิ คราะหน โยบายและแผน ๖ว/๗ว จงึ เปนคําสัง่ ทไ่ี มชอบดว ยกฎหมายเชนกัน
แนวปฏิบัติราชการเกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติงานเพ่ือใชในการพิจารณา เล่ือนขั้น
(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อบ.๓๔/๒๕๖๑)

การพิจารณาเล่ือนขั้นคาจา งจะตองดําเนินการใหเ ปน ไปตามประกาศ ระเบียบ ขั้นตอน หรือหลัก
เกณฑใดๆ ตามที่ไดก าํ หนดไว หากหนวยงานพิจารณาเล่ือนขั้นคา จา งโดยไมปฏิบัติ ใหถ ูกตองตามประกาศ
ระเบียบ ข้ันตอนหรือหลักเกณฑตามท่ีไดก ําหนดไว ยอ มมีผลทําใหการพิจารณาเล่ือนขั้นคา จางดังกลาวไม
ชอบดวยกฎหมาย เมอื่ กระบวนการประเมินผลการปฏิบัตงิ านเพื่อใชใ นการพิจารณาเลอ่ื นขั้นคาจา งใหแ กผ ฟู องคดี
ประจําปง บประมาณไมเปน ไปตามข้ันตอนหรือวิธีการ อันเปนสาระสําคัญที่กําหนดไวสําหรับการพิจารณา
เล่ือนข้ันคาจางพนักงานมหาวิทยาลัย จึงทําใหการพิจารณาเลื่อนข้ันคาจางประจําปง บประมาณ พ.ศ.
๒๕๕๓ ในสวนของผฟู องคดีไมชอบดว ยกฎหมาย

หลักกฎหมายท่ีเก่ียวของ : หลักความชอบดว ยกฎหมาย
หนว ยงานทางปกครอง : อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร ผอู ํานวยการสถาบันประมวลขอ มูลเพื่อการ
ศกึ ษาและการพฒั นา สภามหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร
สรุปคดี : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร (ผูถ กู ฟองคดที ี่ ๑) มีคําส่ังใหเพ่ิมคา จา งผูฟ องคดีตํ่ากวา เกณฑ
เฉลยี่ ในการพิจารณาเลื่อนขั้นคา จา งพนักงานท่ัวไป ผูฟองคดีจึงมีหนังสือรองทุกขตอคณะกรรมการอุทธรณ
และรองทุกขประจํามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร ซ่ึงตอ มาสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร (ผูถ ูกฟอ งคดีท่ี ๓)
มีมติใหยกคํารอ งทุกขข องผูฟอ งคดี ผูฟ อ งคดีเห็นวากรณีดังกลาวเปนการกระทําโดยไมช อบดวยกฎหมาย
เนื่องจากผูอํานวยการสถาบันประมวลขอ มูลเพ่ือการศึกษาและการพัฒนา (ผูถ ูกฟอ งคดีที่ ๒) ไมป ฏิบัติตาม
หลักเกณฑแ ละวิธีการเล่ือนขั้นคาจางพนักงานมหาวิทยาลัยท่ีผูถ ูกฟอ งคดีท่ี ๑ กําหนดไว และกําหนด
ระยะเวลาประเมินเพื่อเลื่อนข้ันคา จา งในแตละคร้ังใหแ ตกตางไปจากที่ผูถ ูกฟองคดีท่ี ๑ กําหนดไว ซ่ึงมี
ระยะเวลาประเมิน ๒ ครั้ง ในหน่ึงรอบความดี คือ ครั้งท่ี ๑ ชว งวันท่ี ๑ มิถุนายน ๒๕๕๑ ถึงวันท่ี ๓๐
พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ครงั้ ที่ ๒ ชวงวันที่ ๑ ธนั วาคม ๒๕๕๑ ถึงวันท่ี ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒ แตกลบั กําหนด
ระยะเวลาการประเมินคร้ังท่ี ๑ เปน ชว งวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๒ และคร้ังที่ ๒
เปนชวงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๒ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ ทําใหก ําหนดระยะเวลาการประเมิน
ครั้งท่ี ๑ ลว งเลยระยะเวลาเขา ไปในชวงการประเมินคร้ังท่ี ๒ ท่ีผูถ ูกฟอ งคดีท่ี ๑ กําหนดไว สงผลให
ผถู ูกฟองคดที ี่ ๒ ไมอ าจทําการประเมินภาระงานคร้ังที่ ๒ ตามเวลาท่ตี นเองกาํ หนดได เปนเหตุใหใชผลการ
ประเมนิ ผลงาน ครงั้ ท่ี ๑ ของผูฟ องคดีเพียงครั้งเดยี วมาพจิ ารณาเลอื่ นขั้นคาจา งทงั้ ป โดยตดั ภาระงานครัง้ ที่
๒ ออกไป และ ประกาศผลการประเมินเลื่อนขั้นคา จางท้ังป ในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๒ จึงเปนการตัดโอกาส
ผูฟอ งคดี ท่ีจะใชภ าระงานในคร้ังที่ ๒ มาสนับสนุนหรือเก้ือกูลภาระงานครั้งท่ี ๑ เพ่ือใหผ ลการประเมิน
เลื่อนข้ันคาจาง ในปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ดีข้ึน นอกจากนี้ นาย ร. ผูบ ังคับบัญชาช้ันตนของผูฟองคดี
ซึ่งเปน ผูป ระเมนิ และเปนกรรมการในคณะกรรมการประเมินผลการปฏิบัตงิ านไดก ลนั่ แกลงผูฟอ งคดโี ดยใช

146

เหตุผลสว นตัว มอี คติ และไมเปนกลาง เนื่องจากเคยมีเรอ่ื งโตเ ถียงและขดั แยงกับผฟู อ งคดี และผูถ ูกฟอ งคดี
ท่ี ๓ พิจารณา เรื่องรอ งทุกขข องผูฟ อ งคดีโดยมิไดพ ิจารณาตรวจสอบการปฏิบัติตามหลักเกณฑของผูถ ูกฟอ งคดี
ที่ ๒ ใหถ ี่ถว น กอนจะมีมติใหยกคํารอ งทุกขข องผูฟองคดี จึงเปนการกระทําท่ีไมช อบดวยกฎหมาย จึงนําคดี
มาย่ืนฟอ งศาล ศาลปกครองสูงสุดวินจิ ฉัยวา จากขอ เท็จจริงไมปรากฏวา รอบการประเมินผลการปฏิบัติงาน
เปนไปตามที่ กําหนดหลักเกณฑและวิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานไว โดยมีการประเมินผลการ
ปฏิบัติงานโดยรวม ที่บคุ ลากรทุกคนกรอกภาระประจาํ ป ๒ ครั้ง แตในการพิจารณากลบั ใชว ิธรี วมพิจารณา
ในคร้ังเดียว จึงเปน การประเมินผลการปฏิบัติงานของผูฟอ งคดีเพียงครั้งเดียวโดยนําผลการปฏิบัติงานของ
ผูฟ อ งคดีท้ังสองคร้ังมาพิจารณารวมกัน ดังน้ัน กระบวนการประเมินผลการปฏิบัติงานเพ่ือใชใ นการ
พิจารณาเลื่อนขั้นคาจางใหแ ก ผูฟองคดีประจําปง บประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงไมเปนไปตามขั้นตอนหรือ
วธิ ีการอนั เปน สาระสําคัญที่กาํ หนดไว สําหรับการพิจารณาเลื่อนขั้นคาจา งพนักงานมหาวิทยาลัย ทําใหการ
พจิ ารณาเลอ่ื นข้ันคา จา งประจําป งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ในสว นของผฟู องคดีไมชอบดวยกฎหมาย

แนวทางการปฏิบัติราชการจากคําวินิจฉัย : จากคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดคดีนี้ไดวาง
บรรทัดฐานการปฏิบัติราชการใหก ับหนวยงานของรัฐเกี่ยวกับการพิจารณาเลื่อนข้ันคาจา งใหแกพนักงาน
ซ่ึงสามารถบังคับใชแ กท ั้งขา ราชการ พนักงาน หรือ ลูกจางของหนว ยงานของรัฐวา การพิจารณาเล่ือนข้ัน
คาจา งจะตอ งดําเนินการใหเ ปน ไปตามประกาศ ระเบียบ ข้ันตอน หรือหลักเกณฑใ ดๆ ตามที่ไดกําหนดไว
หากหนว ยงานของรัฐพิจารณาเลื่อนข้ันคาจา งโดยไมปฏิบัติให ถูกตองตามประกาศ ระเบียบ ข้ันตอนหรือ
หลกั เกณฑตามท่ีไดกําหนดไว ยอ มมีผลทาํ ใหก ารพิจารณาเล่อื นขน้ั คา จางดังกลา วไมช อบดวยกฎหมาย
แนวปฏิบัติราชการกรณีสิทธิของผูถูกต้ังคณะกรรมการสอบสวนท่ีจะไดรับแจงขอเท็จจริงและโอกาส
โตแยงและแสดงพยานหลกั ฐาน (คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๕๓๑/๒๕๖๑)

การที่สถาบันการพลศึกษาไดมีคําส่ังเรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนตามความเห็นของ
กระทรวงการคลัง นั้น คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดไมไดเปดโอกาสใหผูฟองคดี
มีโอกาสใหถอยคําชี้แจงขอเท็จจริงและโตแยงแสดงพยานหลักฐานของตนกอน กรณีจึงเปนไปตามมาตรา ๔๑
วรรคหนึ่ง (๓) แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่สามารถแกไขได อยางไรก็ตาม เมื่อ
ขอเท็จจริงปรากฏวา กระบวนพิจารณาอุทธรณคําสั่งของผูฟองคดีส้ินสุดลงแลวโดยสถาบันการพลศึกษาไมได
ดําเนินการใหผูฟองคดีช้ีแจงขอเท็จจริงเพื่อแกไ ขความไมสมบูรณของคําส่ังกอนส้ินสุดกระบวนพิจารณาอุทธรณ
แตอยางใด แมภายหลังสถาบันการพลศึกษาจะมีหนังสือแจงใหผูฟองคดีช้ีแจงขอเท็จจริงในเรื่องดังกลาวอีก
กรณีจึงไมอาจแกไขความไมสมบูรณของคําส่ังไดตามมาตรา ๔๑ แหงพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทาง
ปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ คําส่ังท่ีเรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนดังกลาว จึงเปนคําส่ังท่ีไมชอบ
ดวยกฎหมาย

หลักกฎหมายปกครอง : หลกั การรบั ฟง ผูถ ูกกระทบสทิ ธิ
หนว ยงานทางปกครอง : สถาบนั การพลศกึ ษา
สรุปคดี : สถาบันการพลศึกษาไดมีคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนหาขอเท็จจริงความรับผิด
ทางละเมิด กับผูฟองคดีกรณีผูควบคุมงานและคณะกรรมการตรวจการจางลงลายมือชื่อรับรองวาผูรับจาง

147
ดําเนินการกอสรางเสร็จเรียบรอยตามสัญญาจาง ท้ังที่ผูรับจางยังดําเนินการไมแลวเสร็จตามสัญญาจาง
คณ ะกรรมการสอบสวนหาขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดไดมีความเห็นและสงสํานวน
ใหกระทรวงการคลังพิจารณา ตอ มา สถาบันการพลศึกษามีคําส่ังลงวนั ท่ี ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ เรียกให
ผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา การที่
สถาบันการพลศึกษาไดมคี ําส่งั เรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนตามความเห็นของกระทรวงการคลังน้ัน
คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดไมไดเปดโอกาสใหผูฟองคดีมีโอกาสใหถอยคําช้ีแจง
ขอเท็จจริงและโตแยงแสดงพยานหลักฐานของตนกอน กรณีจึงเปนไปตามมาตรา ๔๑ วรรคหน่ึง (๓)
แหงพ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ท่ีสามารถแกไขได อยางไรก็ตาม เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา
กระบวนพิจารณาอุทธรณคํา สั่งของผูฟองคดีส้ินสุดลงแลว โดยสถาบันการพลศึกษาไมไดดําเนินการ
ใหผูฟองคดีช้ีแจงขอเท็จจริงเพ่ือแกไขความไมสมบูรณของคําส่ังกอนส้ินสุดกระบวนพิจารณาอุทธรณ
แตอยางใด ดังน้ัน แมภายหลังสถาบันการพลศึกษาจะมีหนังสือแจงใหผูฟองคดีชี้แจงขอเท็จจริงในเรื่อง
ดงั กลาวอีก กรณีจึงไมอาจแกไขความไมสมบูรณของคําสั่งไดต ามมาตรา ๔๑ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏบิ ัติราชการ
ทางปกครองฯคาํ สัง่ ท่เี รียกใหผ ูฟ อ งคดีชดใชค า สินไหมทดแทนดังกลา ว จงึ เปนคาํ สงั่ ทีไ่ มชอบดว ยกฎหมาย

แนวทางการปฏบิ ัติราชการจากคาํ วนิ จิ ฉัย :
จากคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๕๓๑/๒๕๖๑ เห็นไดวา กรณีดังกลาวเปนเร่ืองที่หนวยงานทาง
ปกครองออกคําสั่งเรยี กใหเจาหนาที่ชดใชคาสินไหมทดแทนตามความเห็นของกระทรวงการคลัง เจาหนาที่
เห็นวา คําสั่งดงั กลาวไมชอบดว ยกฎหมาย และการออกคาํ ส่งั มกี ารสรปุ สํานวนการสอบสวนท่ีลดข้นั ตอนการ
ปฏิบัติหนาท่ีอยางไมเปนธรรม ทําใหผูฟองคดีไมทราบขอเท็จจริงและไมมีโอกาสไดใหถอยคําชี้แจงหรือ
โตแยงแสดงหลักฐานใดๆ หากพิจารณา ตามมาตรา ๓๐ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทาง
ปกครองฯ๑๒ เมื่อการออกคําสั่งเรียกใหเจาหนาท่ีชดใชคาสินไหมทดแทน นั้น การท่ีสถาบันการพลศึกษา
ไมไดใหส ิทธิไดร ับแจงขอเทจ็ จรงิ และโอกาสโตแยงและแสดงพยานหลักฐานตอผฟู องคดี จึงเปน การปฏิบัติท่ี
ผิดตอสิทธิของคูกรณีในการพิจารณาทางปกครอง สําหรับผลของคําส่ังทางปกครองท่ีออกโดยเจาหนาท่ี
ไมไดใหคูก รณีมีโอกาสท่จี ะไดทราบขอเท็จจริงอยางเพียงพอและมีโอกาสไดโตแ ยงและแสดงพยานหลักฐาน
ของตนตามมาตรา ๓๐ วรรคหน่ึง นั้น มีผลทําใหคําส่ังทางปกครองดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย อยางไรก็
ตามมาตรา ๔๑ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติเดียวกันน้ี หากเจาหนาท่ีไดจัดใหคูกรณีมีโอกาสท่ีจะได
ทราบขอเท็จจริงอยางเพียงพอ และมีโอกาสไดโตแยงและแสดงพยานหลักฐานของตนกอนสิ้นสุด
กระบวนการพิจารณาอุทธรณแลวการกระทําดังกลาวมีผลใหคําส่ังทางปกครองนั้นกลับมาชอบดวย
กฎหมายได แตขอเท็จจริงในคดีน้ีปรากฏวาสถาบันการพลศึกษาไมไดดําเนินการใหผูฟองคดีช้ีแจง
ขอเท็จจริงเพ่ือแกไขความไมสมบูรณของคําสั่งกอนส้ินสุดกระบวนพิจารณาอุทธรณแตอยางใด จนกระท่ัง
กระบวนพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีไดสิ้นสุดลง แมตอมา สถาบันการพลศึกษาจะมีหนังสือแจงใหผูฟอง
คดีชี้แจงขอเท็จจริงในเรื่องดังกลาว แตก็เปนการดําเนินการภายหลังจากกระบวนการพิจารณาอุทธรณ
ไดสิ้นสุดแลว จึงมิไดเปนการแกไขความไมสมบูรณของคําสั่งใหผูฟองคดีชดใชเงินตามมาตรา ๔๑
แหง พ.ร.บ. วิธปี ฏบิ ัติราชการทางปกครองฯ

148
แนวปฏิบัติราชการเก่ียวกับการพิจารณาการเลื่อนข้ันเงินเดือน (คําพิพากษา ศาลปกครองสูงสุด
ที่ อ.๗๔๗/๒๕๖๑)

การพิจารณาทบทวนคําส่ังที่ผูบริหารสถานศึกษาแตง ตั้งคณะกรรมการพิจารณากล่ันกรองการ
เลื่อนขั้นเงินเดือนขา ราชการ ไมพิจารณาเล่ือนข้ันเงินเดือน ๐.๕ ขั้นใหผูฟ องคดีโดยใหเ หตุผลวาคะแนน
ดา นการรักษาวนิ ัย ตา่ํ กวาคนอื่นอันเกิดจากผูฟอ งคดีถกู ตัง้ กรรมการสอบสวนทางวินัยไมรายแรง ควรจะ
ทําตามข้ันตอนท่ีเปนไปตามกฎหมาย เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวาในข้ันตอนการพิจารณาของ
คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการเล่ือนขั้นเงินเดือนขาราชการมีการประชุมเพียงครั้งเดียว ทําให
คณะกรรมการพิจารณากล่ันกรองการเล่ือนข้นั เงินเดือนขา ราชการอาจจะไมไ ด พิจารณากลัน่ กรองและ
พิจารณาผลการประเมินผลการปฏิบัติงานอันเปน ขั้นตอนหรือวิธีการอันเปน สาระสําคัญท่ีกําหนดไว
สําหรับการกระทําน้ัน ประกอบกับผูถ ูกฟอ งคดีท่ี ๑ ซึ่งเปน ผูบ ริหารสถานศึกษา ไดม ีคําสั่งยุติเร่ืองการ
ดาํ เนินการทางวินัยกับผฟู องคดกี อ นถึงวันออกคําส่ังเลือ่ นขั้นเงินเดือน และไมทบทวนความเหน็ รวมทั้งไม
รายงานผลการดําเนินการทางวินัยใหค ณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ท่ีพิจารณาเรื่องของผูฟ อ งคดี
ไดรับทราบ ทําใหค ณะกรรมการพิจารณากล่ันกรองการเล่ือนขั้นเงินเดือน ไมมีขอ เท็จจริงดังกลาว
ประกอบการพิจารณาทบทวนคาํ สง่ั เล่ือนขน้ั เงนิ เดอื นผูฟอ งคดี

หลกั กฎหมายที่เกี่ยวขอ ง : หลกั ความชอบดวยกฎหมาย
หนว ยงานทางปกครอง : ผูอ ํานวยการโรงเรยี นมัธยมวดั เบญจมบพิตร อนุกรรมการขา ราชการครู
และบคุ ลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพ้ืนที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๑
สรุปคดี : ผูฟองคดีเปนขา ราชการครู ไมไ ดรับการเลื่อนข้ันเงินเดือนเน่ืองจากถูกดําเนินการ
สอบสวน ทางวินัย ตามคําสั่งโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร จึงไดร องทุกขขอความเปน ธรรมตอ
ผอู ํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต ๑ วา ไมไดรับความเปนธรรมจากการเล่ือน
ขัน้ เงินเดือน แต อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษากรุงเทพมหานคร เขต ๑ ไมไ ดพิจารณารองทุกขของผูฟองคดี
ใหแลวเสร็จภายในเกาสิบวัน นับแตว ันที่ไดร ับหนังสือรองทุกข ผูฟ อ งคดีจึงไดน ําคดีมายื่นฟอ งตอศาลปกครอง
ช้นั ตนขอใหเ พิกถอนคําส่ังดังกลาว ซ่ึงศาลปกครองชั้นตนมีคําส่ังไมรับคําฟอ งไวพิจารณา เนื่องจากย่ืนฟอ ง
เม่ือพนระยะเวลาการฟอ งคดี และศาลปกครองสูงสุดมีคําส่ังยืนตามคําส่ังของศาลปกครองช้ันตนตามคําส่ัง
ศาลปกครองสูงสุดท่ี ๗๙๔/๒๕๔๙ ตอ มา สํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษากรุงเทพมหานคร เขต ๑ ไดมี
หนังสือแจงผลการพิจารณา เร่ืองรองทุกขใหผ ูฟ อ งคดีทราบวา มีมติใหยกคํารอ งทุกข ผูฟ องคดีจึงไดนําคดี
มาฟองตอศาลปกครองช้ันตน ใน วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสง่ั เพิกถอนคําสั่ง
ของผูอํานวยการโรงเรียนมัธยม วัดเบญจมบพิตร เรื่อง เล่ือนขั้นและอันดับเงินเดือนขาราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษา คร้ังท่ี ๒/๒๕๔๘ (๑ ตุลาคม ๒๕๔๘) ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๘ เฉพาะสว นที่
เลอ่ื นขั้นเงินเดือนใหผ ูฟอ งคดี ๐.๕ ขั้น แลว พิจารณาเล่อื นข้นั เงินเดอื นใหผ ฟู อ งคดตี ามสิทธทิ ่ีควรจะเปน คือ
๑ ข้ัน ศาลปกครองช้ันตน พิพากษาให เพิกถอนคาํ ส่งั ดังกลาว และใหผ อู ํานวยการโรงเรยี นมัธยมวัดเบญจมบพิตร
และ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต ๑ ดําเนินการพิจารณาเลื่อนข้ันเงินเดือนผูฟอ งคดี
ใหมใหเ ปน ไปตามหลักเกณฑที่กฎหมายกําหนด ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีนี้ผูฟอ งคดีเคยยื่นฟอง
เปนคดีน้ีขอใหศาลมีคําพิพากษา หรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร เรื่อง เลื่อนขั้น
และอันดับเงินเดือนขาราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษา คร้ังที่ ๒ (๑ ตุลาคม ๒๕๔๘) ลงวันที่ ๓๐

149
กันยายน ๒๕๔๘ และพิจารณาเล่ือนข้ัน เงินเดือนใหผูฟอ งคดีตามสิทธิ ๑ ขั้น และใหผ ูฟองคดีไดรับ
เงินเดือนยอนหลังต้ังแตเดือนตุลาคม ๒๕๔๘ ซ่ึงเปนประเด็นท่ีศาลปกครองสูงสุดไดมีคําสั่งชี้ขาดแลว วา
เปน การย่ืนฟอ งเม่ือพนระยะเวลาการฟองคดีตามมาตรา ๔๙ แหง พระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครอง
และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การท่ีผูฟองคดีไดย ่นื ฟอง ผูถูกฟองคดีกันอีกเปน คดีนี้จึงตอ งหา ม
ตามขอ ๙๗ แหงระเบียบของท่ีประชุมใหญตุลาการในศาลปกครอง สูงสุด วาดว ยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งปญหาเกย่ี วกับการฟอ งซ้ําเปน ปญ หาเก่ียวกบั เงือ่ นไขการ ฟอ งคดีอันเปนปญหาขอ กฎหมาย
เก่ียวดวยความสงบเรยี บรอยของประชาชน แมไ มม ีคูกรณีฝา ยใดยกขึ้นวา กลาวในช้ันอุทธรณ ศาลปกครอง
สงู สุดก็มีอาํ นาจยกปญหาดังกลาวขน้ึ วินิจฉยั แลว พิพากษาหรอื มคี ําส่งั ได ตามขอ ๙๒ ประกอบกับ ขอ ๑๑๖
แหงระเบียบดังกลา ว แตอ ยางไรก็ตามมติของ (อ.ก.ค.ศ.) เขตพ้ืนที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๑ ผูถูกฟอ ง
คดีที่ ๒ ท่ีวินิจฉัยเรื่องรอ งทุกขข องผูฟอ งคดีเปน คําสั่งทางปกครองท่ีเกิดขึ้นใหม และมีผลเปนการยืนยัน
คาํ ส่ังโรงเรียนมธั ยมวัดเบญจมบพิตร ลงวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๔๘ ทีเ่ ล่ือน ขั้นเงินเดือนใหแกผฟู อ งคดี ๐.๕
ขน้ั แมในคําขอทา ยคําฟองจะระบแุ ตเพียงขอใหศ าลเพกิ ถอนคําสัง่ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร ที่ ๑๕๖/
๒๕๔๘ ลงวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๔๘ โดยไมไ ดระบุขอใหเพิกถอนมติของผูถ ูกฟองคดีท่ี ๒ ก็ตาม แตใ น
คาํ บรรยายฟอ งของผูฟองคดีไดโตแยง วาไมเห็นดว ยกับมติของผถู ูกฟอ งคดีท่ี ๒ ประกอบกับผูฟอ งคดีนําคดี
มาฟอ งภายหลังไดร ับแจงมติของผูถ ูกฟองคดีท่ี ๒ แลว ยอมเปน ที่เขา ใจไดวา ผูฟอ งคดีย่ืนฟอ งคดีโดยมี
ความประสงคท ี่ตองการจะใหศ าลพิจารณาคดตี ามผลมติของผูถกู ฟอ งคดีที่ ๒ และ ตองการใหศาลเพิกถอน
มติดังกลาว เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา สํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษากรุงเทพมหานคร เขต ๑ มีหนังสือ ลับ
ลงวันท่ี ๒๔ กันยายน ๒๕๕๐ แจง ผลการพิจารณาเรื่องรอ งทุกขใ หผ ูฟ อ งคดีทราบ และผูฟ อ งคดีนําคดีมา
ยนื่ ฟองตอศาลปกครองชั้นตน ในวันท่ี ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ ถือไดวา ไดยื่นฟองภายใน เกาสิบวันนับแตว ันท่ี
ไดร ับหนังสือแจงผลการพิจารณาเร่อื งรองทกุ ขต ามมาตรา ๔๙ แหง พระราชบัญญัติ จดั ต้ังศาลปกครองและ
วิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลจึงรับคําฟอ งท่ีผูฟองคดีประสงคข อใหศ าลมี คําพิพากษาหรือ
คําส่ังเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เม่ือขอเท็จจริงรับฟงไดว า ผูอํานวยการโรงเรียนวัดเบญจมบพิตร
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เปนผูบ ริหารสถานศึกษาเปนผูบังคับบัญชาของขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร มีอํานาจและหนาที่พิจารณาเสนอความดีความชอบของขาราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร ตามมาตรา ๒๗ แหงพระราชบัญญัติระเบียบ
ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ในการพิจารณาเลื่อนขั้นและอันดับเงินเดือน
ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาคร้ังที่ ๒/๒๕๔๘ (๑ ตุลาคม ๒๕๔๘) ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําสั่ง
โรงเรยี นมธั ยมวดั เบญจมบพิตร ลงวนั ท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๘ แตง ตง้ั คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการ
เล่ือนขั้นเงินเดือนขาราชการ เพ่ือดําเนินการพิจารณาเล่ือนขั้นเงินเดือนขาราชการครูโรงเรียนมัธยม
วัดเบญจมบพิตร คร้ังท่ี ๒ (๑ ตุลาคม ๒๕๔๘) เร่ือง หลักเกณฑและแนวปฏิบัติในการพิจารณาเล่ือนขั้น
เงินเดือนขาราชการสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยใหใชแฟมสะสมงาน
และนําผลการประเมินประสิทธภิ าพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานของขาราชการตามแบบประเมิน (ป ๐๑
–ป ๐๔ ท่ีโรงเรียนจัดทําขึ้น) รวมท้ังการลา การรักษาวินัย มาประกอบการพิจารณาเลื่อนขั้น และไดแจง
สดั สวนของผูที่จะไดรับการพิจารณา ๐.๕ ขน้ั ๑ ข้นั ผูฟ องคดีไดรับการประเมินไดคะแนน ๘๘ คะแนนตาม
เอกสารบัญชีหมายเลข ๓ บัญชีผูไดรับการพิจารณาเลื่อนขนั้ เงินเดือน ๐.๕ ขั้น ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ใหเหตุผล
วา คะแนนดานการรกั ษาวินัยตํ่ากวา คนอ่ืนอันเกิดจากผูฟองคดีถกู ต้ังกรรมการสอบสวนทางวนิ ัยไมรา ยแรง

150
ตามคําสั่งโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร ลงวันที่ ๒๑ มถิ ุนายน ๒๕๔๘ เม่ือผูถูกฟองคดที ่ี ๑ ไดดาํ เนินการ
พิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนเสร็จแลวไดสงรายงานผลการเล่ือนข้ันเงินเดือนขาราชการครูและลูกจางประจํา
คร้ังท่ี ๒/๒๕๔๘ ใหสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษากรุงเทพมหานคร เขต ๑ ตามหนังสือโรงเรียนมัธยม
วัดเบญจมบพิตรลงวันท่ี ๙ กันยายน ๒๕๔๘ ในระหวางรอการพิจารณาของผูถูกฟองคดีที่ ๒
คณะกรรมการสอบสวนวินัยไดรายงานผลการสอบสวนตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามหนังสือรายงานการ
สอบสวนลงวันท่ี ๑๕ กันยายน ๒๕๔๘ ใหลงโทษตัดเงินเดือนผูฟองคดีรอยละหาเปนเวลาหนึ่งเดือน
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ พิจารณาแลวส่ังการใหยุติเรื่องเมื่อวันท่ี ๑๙ กันยายน ๒๕๔๘ แตผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมได
รายงานการยุติการดําเนนิ การทางวนิ ยั ผฟู องคดีใหผถู กู ฟองคดที ี่ ๒ ทราบ การทผ่ี ูถูกฟองคดที ี่ ๑ ไมท บทวน
การใหคะแนนดานการรักษาวินัยของผูฟองคดี และไมมีรายงานการยุติการดําเนินการทางวินัยผูฟองคดี
ใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ ทราบ ทําใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไมมีขอเท็จจริงเกี่ยวกับความประพฤติและการรักษาวินัย
ของผูฟองคดีไปประกอบการพิจารณาเลื่อนข้ันเงินเดือนของผูฟองคดี ประกอบกับในขั้นตอนการพิจารณา
ของคณะกรรมการพิจารณากล่ันกรองการเล่ือนข้ันเงินเดือนขาราชการซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เปนประธาน
ปรากฏมีการประชุมเพียงครง้ั เดียวในวนั ท่ี ๖ กนั ยายน ๒๕๔๘ จากขอเทจ็ จริงและพยานหลกั ฐานที่ปรากฏ
ในสํานวนจึงเช่ือวาคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการเล่ือนขั้นเงินเดือนขาราชการประจําป คร้ังที่ ๒
(๑ ตุลาคม ๒๕๔๘) ไมไดปฏิบัติหนาที่ใหเปนไปตามขอ ๙.๒.๑ (ข) ของประกาศสํานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาข้ันพื้นฐาน เร่ือง หลักเกณฑและแนวปฏิบัติในการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนขาราชการ
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๔๗ และผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไมไดประเมิน
ประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานของขาราชการตามแบบประเมิน (ป ๐๑ – ป ๐๔ ที่โรงเรียน
จัดทําขึ้น) ตามขอ ๘.๑ ของประกาศดังกลาว ทําใหคณะกรรมการพจิ ารณากลั่นกรองการเลอ่ื นขั้นเงินเดือน
ขาราชการ ไมไดพิจารณากลั่นกรองและพิจารณาผลการประเมินผลการปฏิบัติงานอันเปนขั้นตอนหรือ
วิธีการอันเปนสาระสําคัญที่กําหนดไวสําหรับการกระทํานั้น ทําใหการพิจารณาทางปกครองเพ่ือมีคําส่ัง
เล่ือนขั้นเงินเดอื นของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไมชอบดว ยกฎหมาย ประกอบกับผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดม ีคําส่ังยตุ ิเรอ่ื ง
การดําเนินการทางวินัยกับผูฟองคดีกอนถึงวันออกคําส่ังเล่ือนขั้นเงินเดือน และผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมได
ทบทวนความเห็นและไมรายงานผลการดําเนินการทางวนิ ัยใหผถู ูกฟองคดีที่ ๒ ทราบ ทําใหผ ถู ูกฟองคดีที่ ๒
ไมม ีขอ เทจ็ จรงิ ดังกลาวประกอบการพจิ ารณาเล่ือนข้นั เงินเดอื นผูฟอ งคดี เมอื่ การพจิ ารณาเลื่อนขั้นเงินเดอื น
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไมชอบดวยกฎหมาย ทําใหมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๔๘
เมื่อวันท่ี ๒๗ กันยายน ๒๕๔๘ ที่เห็นชอบใหผ ูฟอ งคดไี ดรบั การพิจารณาเลื่อนข้ันเงินเดอื น ๐.๕ ข้ัน ตามผล
การพิจารณาเลื่อนขน้ั เงินเดือนของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงไมชอบดวยกฎหมาย การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดออก
คําสั่งโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๘ เลื่อนขั้นเงินเดือนคร้ังท่ี ๒/๒๕๔๘
ใหผฟู องคดี ๐.๕ ข้นั ตามมตขิ องผูถกู ฟองคดีที่ ๒ จงึ เปนคาํ สัง่ ที่ไมช อบดวยกฎหมายเชน กนั เมือ่ ผูฟองคดีได
ย่ืนคํารองทุกขตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ วาไมไดรับความเปนธรรมจากคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และผูถูกฟอง
คดีที่ ๒ มีมติในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๐ เม่ือวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๐ พิจารณาการเล่ือนข้ัน
เงินเดือนคร้ังท่ี ๒ /๒๕๔๘ (๑ ตุลาคม ๒๕๔๘) ของโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร เปนไปโดยชอบแลว
และมีมติใหยกคํารองทุกขของผูฟองคดี จึงเปนมติท่ีไมชอบดวยกฎหมาย เม่ือไดวินิจฉัยแลววามติของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เปนมติท่ีไมชอบดวยกฎหมาย จึงทําใหคําสั่งโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร ที่ ๑๕๖/
๒๕๔๘ เรื่อง เล่ือนขั้นและอันดับเงินเดือนขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ครั้งท่ี ๒ (๑ ตุลาคม

151

๒๕๔๘) ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๘ เฉพาะในสวนของผูฟองคดที ่ีใหเล่ือนขั้นเงินเดือน ๐.๕ ขน้ั ของผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไมมีผลบังคับ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีหนาท่ีตองไปดําเนินการพิจารณาเร่ืองเลื่อนขั้นเงินเดือนใหกับผูฟองคดีใหม
ตอ ไป

แนวทางการปฏิบัติราชการจากคําวินิจฉัย : คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดไดวางบรรทัดฐานการปฏิบัติ
ราชการท่ีดีใหกับหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐ เม่ือหลักเกณฑและแนวปฏิบัติในการ
พิจารณาเล่ือนข้ันเงินเดือนขาราชการสํานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พ.ศ. ๒๕๔๗ ไดกําหนด
แนวทางพิจารณาไวอยางใด ก็จําตองปฏิบัติตามแนวทางที่มีหลักเกณฑและแนวปฏิบัติไวเชนน้ัน การท่ี
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมทบทวนการใหคะแนนดานการรักษาวินัยของผูฟองคดี และไมมีรายงานการยุติ
การดําเนินการทางวินัยผูฟองคดีใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ ทราบ ทําใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไมมีขอเท็จจริงเก่ียวกับ
ความประพฤติและการรักษาวินัยของผูฟองคดีไปประกอบการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนของผูฟองคดี
ประกอบกับในข้นั ตอนการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณากล่ันกรองการเลื่อนขั้นเงนิ เดือนขาราชการ
ซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๑ เปนประธานปรากฏมีการประชุมเพียงครั้งเดียวในวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๘ จึงเชื่อวา
คณะกรรมการพิจารณากล่ันกรองการเล่ือนข้ันเงินเดือน ขาราชการประจําป คร้ังที่ ๒ (๑ ตุลาคม ๒๕๔๘)
ไมไดปฏิบัติหนาท่ีใหเปนไปตามหลักเกณฑและแนวปฏิบัติในการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนขาราชการ
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๔๗ ทําใหคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการ
เลอื่ นข้นั เงินเดอื นขา ราชการ ไมไ ดพ ิจารณากลั่นกรองและพจิ ารณาผลการประเมินผลการปฏบิ ัติงานอันเปน
ข้ันตอนหรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญที่กําหนดไวสําหรับการกระทํานั้นทําใหการพิจารณาทางปกครอง
เพอ่ื มีคาํ สัง่ เล่อื นขั้นเงนิ เดือนของผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๑ ไมช อบดวยกฎหมาย
แนวทางการปฏบิ ตั ิราชการท่ีไดจากคดปี ระเภทการศึกษา

- แนวปฏิบัติราชการเก่ียวกับการพิจารณาคัดเลือกนักเรียนท่ีจบช้ันมัธยมศึกษาตอนตนเขาศึกษา
ตอชั้นมัยมศึกษาตอนปลายตามหลักเกณฑการคัดเลือกของประกาศโรงเรียน(คําพิพากษาศาลปกครอง
สูงสุดที่ อ. ๙๙๓/๒๕๖๓)ผูอํานวยการโรงเรียนตองพิจารณาคัดเลือกนักเรียนตามหลักเกณฑท่ีโรงเรียน
ออกประกาศไว ไมอาจใชวิธีการอืน่ ทีแ่ ตกตา งออกไปโดยอางมติของทีป่ ระชุมผปู กครองและนักเรียนได

หลักกฎหมายทเ่ี ก่ยี วขอ ง : หลักความชอบดว ยกฎหมาย
หนวยงานทางปกครอง : สาํ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน
เจาหนาทขี่ องรัฐ : ผอู าํ นวยการโรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ
ตัวบทกฎหมาย : พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ (มาตรา ๕) พ.ร.บ.
จดั ตั้งศาลปกครองฯ (มาตรา ๓)
สรุปคดี : ผูฟองคดีเปนนักเรียนของโรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ เขาศึกษา
ตั้งแตช้ันมัธยมศึกษาปท่ี ๑ ถึงมัธยมศึกษาปที่ ๓ ไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการที่ผูฟองคดีไมไดรับ
การคัดเลือกใหเขาศึกษาตอในช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 4 ปการศึกษา ๒๕๕๔ ของโรงเรียนดังกลาว โดยเม่ือ
พิ จ า ร ณ า ต า ม ป ร ะ ก า ศ ห ลั ก เก ณ ฑ ก า ร คั ด เลื อ ก นั ก เรี ย น ที่ จ บ ช้ั น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ต อ น ต น เข า ศึ ก ษ า ต อ
ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ประจําปการศึกษา ๒๕๕๔ ลงวันท่ี ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ ผูฟองคดีผานเกณฑ
ขอ ๑ ถงึ ขอ ๓ แตไ มผา นเกณฑขอ ๔ ในระดับคะแนนเฉลย่ี รายวิชา อยางไรกต็ าม ผฟู องคดีมีสิทธไิ ดรับการ
พิจารณาตามเกณฑในขอ ๔.๔ เน่ืองจากผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดประกาศรายช่ือนักเรียนเขาศึกษาตอ
ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนเพียง ๓๑๒ คน ซึ่งยังไมครบตามจํานวนที่โรงเรียนประกาศรับไวอีก

152
จํานวน ๘ คน ซ่ึงหากผูถูกฟองคดีที่ ๑ (ผูอํานวยการโรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ
ไดปฏิบัติตามหลักเกณฑของประกาศหลักเกณฑการคัดเลือก ดังกลาวในขอ ๔ ๔ ผูฟองคดียอมตองไดรับ
คัดเลือกใหศึกษาตอในแผนการเรียนภาษาฝร่ังเศส เนื่องจากไดเลือกแผนการเรียนภาษาฝร่ังเศสเปนอันดับ
๑ แตผ ูถูกฟองคดีที่ ๑ กลบั เรียกประชุมผูปกครองนักเรยี นท่ีไมผานเกณฑข อ ๔ . ๑ ถงึ ขอ ๔ ๓ จาํ นวน ๓๐
คน และใหนักเรียนทั้ง ๓๐ คน ทําการสอบคัดเลือกโดยจะรับเพียง ๘ คน พรอมท้ังใหผูปกครองทุกคนท่ี
เขารวมประชุมลงลายมือชื่อรับทราบมติที่ประชุมหากไมลงลายมือช่ือจะถือวาผูน้ันสละสิทธิ อันเปนเหตุให
ผูฟองคดีจําตองลงลายมือชื่อ ผูฟองคดีเห็นวาตามหลักเกณฑการคัดเลือกในขอ ๔ ๔ไมไดกําหนดใหสอบ
แตใหเรียงคะแนนจากสูงไปตํ่าจนครบตามจํานวนท่ีจะรับ ผูฟองคดีจึงไดมีหนังสือรองเรียนตอสํานักงาน
เขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต ๑ แตไมไดรับการแกไขความเดือดรอนเสียหาย จึงนําคดีมาฟองขอให
ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนประกาศรายชื่อนักเรียนที่เขาศึกษาในระดับช้ันมัธยมศึกษาปที่ ๔ ป
การศกึ ษา ๒๕๕๔ และประกาศรายช่อื นักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปท ี่ ๓ (เดิม) ขน้ึ เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที่ 4 ป
การศึกษา ๒๕๕๔ ที่ตัดสิทธิของผูฟองคดี และใหผถู ูกฟองคดที ้ังสอง (สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ัน
พื้นฐาน ที่ ๒) ชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดี ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ในการรับนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปที่ 3 เพื่อเขาศึกษาตอชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ของโรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรม
ราชูปถัมภ ประจําปการศึกษา ๒๕๕๔ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดออกประกาศหลักเกณฑการคัดเลือกนักเรียน
ที่จบชั้นมัธยมศึกษาตอนตนเขาศึกษาตอช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย ประจําปการศึกษา ๒๕๕๔ ลงวันที่ ๓๐
มิถุนายน ๒๕๕๓ เมื่อในสวนการรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี ๔ ปการศึกษา ๒๕๕๔ แผนการเรียน
ภาษาอังกฤษ – ภาษาฝรั่งเศส ยังสามารถรับนักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๓ ของโรงเรียนเบญจมราชา
ลัย ในพระบรมราชูปถัมภ ไดอีก ๘ คน ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงตองพิจารณาคัดเลือกนักเรียนท่ีมีคะแนนไมถึง
เกณฑดังกลาวโดยวิธีการเรียงคะแนนจากสูง ไปหาต่ําจนครบตามจํานวนท่ีโรงเรียนจะรับไวได ตามขอ ๔
ขอประกาศดังกลาว ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมอาจนําวิธีการสอบคัดเลือกตามมติของท่ีประชุมผูปกครองและ
นกั เรียนมาใชในการคัดเลอื กนักเรียนที่มคี ะแนนไมถึงเกณฑเขาเรียนที่โรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรม
ราชูปถัมภ ในกรณีที่มีนักเรียนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑของแตละแผนการเรียนไมครบจํานวนได อีกท้ัง
ประกาศดังกลาวมีลกั ษณะเปนบทบัญญัติท่ีมีผลบงั คับ กับการคัดเลือกนักเรียนเปนการทั่วไป จึงถือเปนกฏ
ตามมาตรา ๓ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงตกอยูภายใตบังคับของประกาศ
ดังกลาว และไมอาจอางมติของที่ประชุมผูปกครองขางตน รวมทั้งไมอาจอางความยินยอมของผูแทนโดย
ชอบธรรมซ่งึ เปนผูปกครองของผูฟองคดเี พื่อตัดสทิ ธิของผฟู องคดีตามประกาศดังกลาวได การที่ผูถูกฟองคดี
ที่ 1 ไดมีประกาศรายช่ือนักเรียนที่สอบคัดเลือกเขาแผนการเรียนภาษาอังกฤษ - ภาษาฝรั่งเศส (เพิ่มเติม)
กรณีนักเรียนท่ีมีคะแนนไมถึงเกณฑที่จะจัดเขาแผนการเรียนภาษาอังกฤษ - ภาษาฝร่ังเศส ช้ันมัธยมศึกษา
ปท ี่ ๔ ปก ารศึกษา ๒๕๕๔ ลงวันท่ี ๑๕ มีนาคม 2๕๕4 ซึ่งมีนักเรียนท่ีผานการสอบคัดเลือกจํานวน ๘ คน
จึงเปนคําส่ังท่ีไมชอบดวยกฎหมาย ดังนั้น คําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามประกาศรายช่ือนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาป ที่ ๓ (เดิม) ขึ้นเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ ๔ ปการศึกษา ๒๕54 ลงวันท่ี ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๔
ในสวนที่ไมระบุช่ือผูฟองคดีเปนผูมีสิทธิเขาศึกษาตอระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ปการศึกษา ๒๕๕๔
ท่ีโรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ จึงไมชอบดวยกฎหมาย เมื่อคําส่ังในสวนดังกลาวเปน
คาํ ส่ังที่ไมช อบดวยกฎหมาย จึงยอมเปนการกระทําละเมิดตอผูฟองคดี ผูถูกฟอ งคดีที่ ๒ ในฐานะหนวยงาน
ของรัฐท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ สังกัดอยูจ ึงตองรับผดิ ในผลแหงละเมิดที่ผูถูกฟอ งคดีท่ี ๑ ซึ่งเปนเจาหนาที่ของตน

153

ไดกระทําไป โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซึ่งเปนเจาหนาที่ไมตองรวมรับผิดดวย ท้ังน้ี ตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ.
ความรับผดิ ทางละเมดิ ของเจา หนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙

แนวทางการปฏบิ ัตริ าชการจากคาํ วินิจฉยั :
คดีน้ศี าลปกครองสูงสุดไดวางบรรทัดฐานการปฏิบัติราชการเกี่ยวกับการพิจารณาคัดเลือกนักเรียน
ทจี่ บช้นั มธั ยมศึกษาตอนตน เขา ศกึ ษาตอ ชน้ั มัธยมศกึ ษาตอนปลายตามประกาศโรงเรียน ในประการทีส่ าํ คัญ
คือ เมื่อโรงเรียนไดออกประกาศหลักเกณฑการคัดเลือกนักเรียนที่จบช้ันมัธยมศึกษาตอนตนเขาศึกษาตอ
ช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย ประกาศดังกลาวมีลักษณะเปนบทบัญญัติท่ีมีผลบังคับกับการคัดเลือกนักเรียน
เปนการทั่วไป จึงถือเปนกฎตามมาตรา ๓ แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ผูอํานวยการโรงเรียนรวมถึง
เจาหนาที่ผดู ําเนินการคัดเลือกทุกคนจึงตกอยูภายใตบังคับของประกาศดังกลาว การคัดเลือกนักเรียนเขาศึกษา
ตอ จึงตองมีหลักเกณฑและวิธีการตามประกาศที่โรงเรียนจัดทําขึ้น หากจะมีขอยกเวนก็ตองเปนเงื่อนไข
ตามประกาศนั้น ไมอาจอางมติของที่ประชุมผูปกครอง หรืออางความยินยอมของผูแทนโดยชอบธรรม
ซึง่ เปนผปู กครองของนักเรยี น เพ่อื ดําเนินการใหแ ตกตา งจากประกาศนนั้ เพื่อตัดสิทธขิ องนักเรยี นได
แนวปฏิบตั ิราชการเกยี่ วกบั การเพิกถอนคําส่ังเรยี กใหช ดใชคาสินไหมทดแทน
กรณีเจาหนาที่การเงินและบัญชีเบิกจายเงินโดยไมชอบ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.
๑๖๙/๒๕'๖๓)เจา หนา ท่ีที่มีหนาทดี่ แู ลรับผดิ ชอบดา นการเงนิ และการอนุมตั เิ บิกจา ยเงนิ งบประมาณมีหนา ที่
ตองตรวจสอบการเบิกจายใหถูกตองตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย วาดวยการรับเงิน การเบิกจายเงิน
การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององคกรปกครองสวนทองถิ่นพ.ศ. ๒๕๔๗ และตองใช
ความระมัดระวังและความละเอียดรอบคอบในการตรวจสอบการเบิกจายคาใชจายใหเปนไปตามระเบียบ
กฎหมายของทางราชการ
หลักกฎหมายท่เี กี่ยวขอ ง : หลกั ความชอบดว ยกฎหมาย
เจา หนา ท่ขี องรฐั : ผูวา ราชการจังหวัดจนั ทบรุ ี รฐั มนตรีวาการกระทรวงมหาดไทย
ตัวบทกฎหมาย : ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย (มาตรา ๔๒๐) พ.ร.บ. กําหนดเผนและ
ขั้นตอนการกระจายอํานาจใหแกองคกรปกครองสวนทองถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ (มาตรา ๑๗ (๑๘) พ.ร.บ.
ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ (มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง และวรรคสองและมาตรา 10
วรรคหนึ่ง) พ.ร.บ. องคการบริหารสวนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔o (มาตรา ๔๕ ) ระเบียบกระทรวงมหาดไทย
วาดวยการรับเงิน การเบิกจายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององคกรปกครอง
สวนทองถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ (ขอ ๖๓) หนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท ๑๘๑๘.๔/ว ๒๕๘๙ ลงวันท่ี
๓ สงิ หาคม ๒๕๔๗ เร่อื งหลักเกณฑการใชจา ยเงนิ ในการแขงขนั กีฬาขององคกรปกครองสว นทองถิ่น
สรุปคดี : ผูฟองคดีฟองวา ขณะผูฟองคดีดํารงตําแหนงเจาพนักงานการเงินและบัญชี ๕ สังกัด
องคการบริหารสวนจังหวัดจันทบุรี ไดรับมอบหมายใหตรวจสอบฎีกาเบิกจายเงินโครงการสงเสริมและ
พัฒนาการกีฬาของจังหวัดจันทบุรี "กิจกรรมสงนักกีฬาเขาแขงขันฟุตบอลอาชีพ ไทยแลนดลึก ดิวิชั่น ๑
ฤดูกาล ๒๐๐๙ จํานวน ๒ ฎีกา เปนคาใชจายในการฝกซอมและแขง ขันฟุตบอลเพ่ือสง เสรมิ และพัฒนาการ
กฬี าของจังหวัดจันทบุรี รวมเปน เงินจํานวน ๑๒๑,๒๘๐ บาท ตอมา สาํ นกั งานการตรวจเงินแผนดินภมู ิภาค
ท่ี ๒ ตรวจสอบพบวาโครงการดังกลาวมีการเบิกจายเงินโดยไมชอบดวยกฎหมาย ผูถูกฟองคดีที่ ๑
(ผูวาราชการจังหวัดจันทบุรี) จึงมีคําส่ังแตงตั้งคณะกรรมสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดกรณี

154
ดังกลาว ตอมาผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ เรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหม
ทดแทนแกอ งคการบริหารสวนจังหวดั จนั ทบรุ ี เปน เงินจํานวน ๓0,๓๒๐ บาท ภายใน ๔๕ วัน นับถัดจากวนั ท่ี
ไดรับคําสั่งตามความเห็นของกรมบัญชีกลางผูรับมอบอํานาจจากกระทรวงการคลัง ผูฟองคดีจึงอุทธรณ
คําส่ังดังกลาว แตผถู ูกฟองคดีที่ ๒ (รัฐมนตรีวาการกระทรวงมหาดไทย) พิจารณาแลวมีคําสั่งใหยกอุทธรณ
ตามหนังสือ ลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ ผูฟองคดีเห็นวา คําสั่งใหชดใชเงินและคําวินิจฉัยอุทธรณดังกลาว
ไมชอบดวยกฎหมาย จงึ นําคดีมาฟองขอใหศาลมคี ําพพิ ากษาหรอื คําส่ังเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน
๒๕๕๖ ท่ีเรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนแกองคการบริหารสวนจังหวัดจันทบุรี และคําวินิจฉัย
อุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตามหนังสือลงวันท่ี ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่ยกอุทธรณ ศาลปกครองสูงสุด
วินิจฉัยวา เม่ือพิจารณาหลักการและเหตุผลของโครงการสงเสริมและพัฒนาการกีฬาของจังหวัดจันทบุรี
"กิจกรรมสงนักกีฬาเขาแขงขันฟุตบอลอาชีพ ไทยแลนดลีก ดิวิช่ัน 2 ฤดูกาล ๒๐๐๙" แลวพบวา โครงการ
ดังกลาวแลวพบวามีจุดมุงหมายเพื่อสงนักกีฬาทีมสโมสรฟุตบอล เขารวมการแขงขันฟุตบอลอาชีพไทย
แลนด ดิวิชั่น ๑ ลีก ๒๐0๙ ระยะเวลาดําเนินการระหวางวันที่ ๒๑ มีนาคม ถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๒
ตามตารางการแขงขันเหยา - เยือน ๓๐ นัด มีการแขงขันในจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดอื่น ซึ่งการแขงขัน
ฟุตบอลตามโครงการดังกลาว มีการเก็บเงนิ คา ผานประตูจากผเู ขา ชมการแขงขนั นัดเหยาโดยสโมสรฟุตบอล
เปน ผูจดั เก็บ จงึ ถอื เปนโครงการท่ีมีการจัดหารายไดในลักษณะองคกรเอกชน ซึ่งไมไดเ ปนไปตามหลกั เกณฑ
การแขงขันกีฬาระหวางองคกรปกครองสวนทองถ่ินหรือภายในองคกรปกครองสวนทองถิ่น ตามหนังสือ
กระทรวงมหาดไทย ท่ี มท ๘๐๘.๔/ว ๒๕๘๙ ลงวันท่ี ๓ สิงหาคม ๒๕๔๗ หลักเกณฑการใชจายเงินในการ
แข็งขันกีฬาขององคกรปกครองสวนทองถ่ินแตอยางใด และรับฟงไมไดวาเปนการจัดทําบริการสาธารณะ
การเบิกจายเงินคาใชจายในการฝกซอมและการแขงขันฟุตบอลอาชีพใหกับสโมสรฟุตบอลจันทบุรีตาม
โครงการดังกลาวจึงเปน การเบกิ จายเงิน คาใชจ า ยในการฝกซอ มและการแขง ขันฟุตบอลอาชีพใหกับสโมสร
ฟุตบอลจันทบุรีตามโครงการดังกลาวจึงเปนการเบิกจายเงินใหแกองคกรเอกชนโดยไมมีระเบียบกฎหมาย
ของทางราชการใหเบิกจายได อีกทั้ง ไมอยูในอํานาจหนาที่ขององคการบริหารสวนจังหวัดตามมาตรา ๔๕
แหง พ.ร.บ. องคการบริหารสวนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ และตามมาตรา ๑๗ (๑๘) แหง พ.ร.บ. กําหนดแผน
และข้ันตอนการกระจายอํานาจใหแกองคกรปกครองสวนทองถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อผูฟองคดีในฐานะ
ผูตรวจสอบฎีกามีหนาที่ตองตรวจฎีกาใหถูกตองตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย วาดวยการรับเงิน การ
เบิกจายเงนิ การฝากเงิน การเก็บรกั ษาเงิน และการตรวจเงิน ขององคกรปกครองสวนทองถน่ิ พ.ศ. ๒๕๔๗
ผูฟองคดีจึงตองใชความระมัดระวังและความละเอียดรอบคอบ ในการตรวจสอบวา การเบิกจายคาใชจาย
ในการฝกซอมและการแขงขันฟุตบอลอาชีพซึ่งเปนการสนับสนุน งบประมาณใหเอกชนเพ่ือไปแขงขันกีฬา
อาชีพสามารถกระทําไดตามระเบียบกฎหมายของทางราชการหรือไมการท่ีผูฟองคดีเพียงตรวจเอกสาร
ประกอบการเบิกฎีกา โดยเห็นวากรณีการเบิกจายตามโครงการสงเสริมและพัฒนาการกีฬาของจังหวัด
จันทบุรฯี ไดผานขั้นตอนการตรวจพจิ ารณาของผูบรหิ ารตามลําดับช้ันแลว แตเม่ือโครงการดงั กลาวไมอยูใน
อํานาจหนาที่ขององคการบริหารสวนจังหวัดจันทบุรีและไมสามารถเบิกจายไดตามขอ ๖๗ ของระเบียบ
ดงั กลาว จึงถือไดวาผูฟองคดีไมไดปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายของทางราชการ ดังน้ัน การท่ีผูฟองคดีไดลง
ลายมือซื่อในฎีกาเบกิ เงินตามงบประมาณรายจายตามโครงการพิพาทดังกลาว รวม ๒ ฎีกา เปนเงินจาํ นวน
๑๒๑,๒๘๐ บาท วาไดตรวจเอกสารประกอบฎีกาครบถวนถูกตองแลว พฤติการณการกระทําดังกลาว
จึงเปนการกระทําดวยความประมาทเลินเลออยางรายแรง เปนเหตุใหองคการบริหารสวนจังหวัดจันทบุรี

155

ไดรับความเสียหาย จึงเปนการกระทําละเมิดตอองคการบริหารสวนจังหวัดจันทบุรี ตามมาตรา 420
แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยผูฟองคดีจึงตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกองคการบริหาร
สวนจังหวัดนทบุรีตมมาตรา ๑0 รรคหน่ึง ประกอบมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทาง
ละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ อยางไรก็ตาม เม่ือไมปรากฎวาผูฟองคดีกระทําทุจริตตอหนาท่ี การที่
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๒๑ มิถุนายน 2๕๕๖ เรียกใหผูฟองคดีรับผิดเฉพาะในฎีกาที่ตนเองได
ตรวจสอบในอัตรารอยละ ๒๕ ของคาเสียหายจํานวน ๑๒๑,๒๘๐ บาท คิดเปนเงินจํานวน ๓0,320 บาท
จึงยังไมสอดคลองกับระดับความรายแรงแหงการกระทํา ที่ศาลปกครองช้ันตนพิพากษาใหผูฟองคดีรับผิด
ชดใชคาสินไหมทดแทนในอัตรารอยละ ๑๕ ของความเสียหายจํานวนเงิน ๑๒๑,๒๘๐ บาท จํานวน
๑๘,๑๙๒ บาท น้ัน หมาะสมกับความรายแรงแหงการกระทําและความเปนธรรมในกรณีน้ีตามมาตรา ๘
วรรคสอง แหงพระราชบัญญตั ิดังกลา วแลว ดังนั้น คาํ สั่งลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ เฉพาะสวนทเ่ี รียกให
ผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน ๑๘,๑๙๒ บาท จึงไมชอบดวยกฎหมาย และคําวินิจฉัย
อุทธรณข องผูถกู ฟอ งคดที ี่ ๒ ท่ีใหย กอทุ ธรณข องผฟู องคดจี ึงไมช อบดว ยกฎหมายเชนกัน

แนวทางการปฏบิ ตั ิราชการจากคําวินจิ ฉยั :
คดีน้ีศาลปกครองสูงสุดไดวางบรรทัดฐานการปฏิบัติราชการเกี่ยวกับการดําเนินการของเจาหนาที่
ที่มีหนาที่ดูแลรับผิดชอบดานการเงินและการอนุมัติเบิกจายเงินงบประมาณวามีหนาที่ตองตรวจสอบ
การเบิกจายใหถูกตองตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย วาดวยการรับเงิน การเบิกจายเงิน การฝากเงิน
การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององคกรปกครองสวนทองถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ และตองใช
ความระมัดระวังและความละเอียดรอบคอบในการตรวจสอบการเบิกจายคาใชจายใหเปนไปตามระเบียบ
กฎหมายของทางราชการ ซึ่งเม่อื พิจารณาหลักการและเหตุผลของโครงการสงเสริมและพัฒนาการกีฬาของ
จังหวัดดังกลาวแลวพบวามีจุดมุงหมายเพ่ือสงนักกีฬาทีมสโมสรฟุตบอล เขารวมการแขงขันฟุตบอลอาชีพ
ไทยแลนด ดิวิชั่น ๑ ลีก ๒๐๐๙ โดยการแขงขันฟุตบอลตามโครงการดังกลาว มีการเก็บเงินคาผานประตู
จากผูเขาชมการแขงขันนัดเหยาโดยสโมสรฟุตบอลเปนผูจัดเก็บ จึงถือเปนโครงการท่ีมีการจัดหารายได
ในลักษณะองคกรเอกชน ซงึ่ ไมไดเปนไปตามหลักเกณฑการแขงขันกีฬาระหวา งองคกรปกครองสว นทองถ่ิน
หรอื ภายในองคกรปกครองสวนทองถ่ิน ตามหนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0๘๐๘.๔/ว ๒๕๘๙ ลงวันท่ี
๓ สิงหาคม ๒๕๔๗ เรื่อง หลักเกณฑการใชจายเงินในการแขงขันกีฬาขององคกรปกครองสวนทองถิ่น
แตอยางใด และรับฟงไมไดวาเปนการจัดทําบริการสาธารณะ ซึ่งบริการสาธารณะจะตองประกอบดวย
เงื่อนไขสองประการคือ (๑) เปนกิจการท่ีเก่ียวของกับนติ ิบุคคลมหาชน ซ่ึงหมายถึงกรณีที่นิติบุคคลมหาชน
เปนผูประกอบกิจกรรมดวยตนเองอันไดแก กิจกรรมท่ีรัฐ องคกรปกครองสวนทองถิ่น หรอื รัฐวิสาหกิจเปน
ผดู ําเนินการ และยังหมายความรวมถึงกรณีที่รัฐมอบกิจกรรมของรฐั บางประเภทใหเ อกชนเปนผูดําเนินการ
ดวย (๒) จะตองเปนกิจกรรมที่มีวัตถุประสงคเพื่อประโยชนสาธารณะและตอบสนองความตองการของ
ประชาชน ดังน้นั การเบกิ จายเงนิ คา ใชจ ายในการฝก ซอมและการแขงขันฟุตบอลอาชีพใหกับสโมสรฟตุ บอล
ตามโครงการดังกลาวจึงเปนการเบิกจายเงินใหแกองคกรเอกชน โดยไมมีระเบียบกฎหมาย
ของทางราชการใหเบิกจา ยได อีกท้ัง ไมอยูในอํานาจหนา ท่ีขององคการบริหารสวนจังหวัด ตามมาตรา ๔๕
แหง พ.ร.บ. องคการบริหารสวนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ และตามมาตรา ๑๗ (๑๘) แหง พ.ร.บ. กําหนดแผน
และขั้นตอนการกระจายอํานาจใหแกองคกรปกครองสวนทองถ่ิน พ.ศ. 2๕๔๒ และไมอาจอางไดวาได
ปฏิบัติหนาที่ไปดวยความเช่ือโดยสุจริตโดยไมทราบวาโครงการดังกลาวไมอยูในอํานาจหนาท่ีขององคการ

156

บริหารสวนจังหวัดและไมสามารถเบิกจายไดตามขอ ๖๗ ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย วาดวย การรับ
เงนิ การเบกิ จายเงนิ การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององคกรปกครองสวนทองถน่ิ พ.ศ.
๒๕๔๗ และที่แกไขเพิ่มเติมซึ่งในเรื่องนี้สอดคลองกับหลักธรรมาภิบาล เรื่องหลักนิติธรรม ในประเด็น
เก่ียวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย ของเจาหนาที่ท่ีเจาหนาของรัฐตองปฏิบัติตามกฎหมายอยางเครงครัด
ปฏิบัติหนาท่ีดวยความระมัดระวัง รอบคอบและตั้งใจปฏิบัติภารกิจตามหนาที่อยางดีย่ิงโดยมี
ความรับผิดชอบตอความบกพรองในหนาท่ีการงานที่ตนรับผิดชอบอยูดวย และหลักความรับผิดชอบท่ี
เจาหนาท่ีตองต้ังใจปฏิบัติภารกิจตามหนาที่อยางดีย่ิง โดยมุงใหบริการแกผูมารับบริการ เพ่ืออํานวย
ความสะดวกตา ง ๆ มคี วามรับผดิ ชอบตอความบกพรองในหนาท่ีการงานทีต่ นรบั ผิดชอบอยู
แนวปฏิบัติราชการเก่ียวกับการตรวจสอบการปฏิบัติงานดานการเงินและบัญชีของลูกจางชั่วคราว
(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ. ๗๔๕/๒๕๖๓)

เม่ือมติคณะรัฐมนตรี เม่ือวันท่ี ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๓5 หามมิใหสวนราชการใชลูกจางช่ัวคราว
ปฏบิ ัติงานดา นการเงินและบัญชี เวนแตกรณีท่ีสว นราชการมีขา ราชการหรือลูกจางประจําปฏิบตั ิหนาที่ดาน
การเงินและบัญชีไมเพียงพอ อันแสดงใหเห็นวา ภาระงานดังกลาวมีความเส่ียงสูงท่ีผูปฏิบัติงานอาจจะ
กอใหเกิดความเสียหายแกหนวยงานได ดังน้ัน การมอบหมายงานดานการเงินและบัญชีใหลูกจางช่ัวคราว
ปฏิบัตินั้นยอมทําไดแตผูบังคับบัญชาตองตรวจสอบการปฏิบัติงานของบุคคลดังกลาวอยางเครงครัด
เปน พเิ ศษดวย

หลกั กฎหมายท่ีเกีย่ วขอ ง : หลกั ความชอบดว ยกฎหมาย
เจา หนาที่ของรัฐ : อธิการบดีมหาวิทยาลัยอบุ ลราชธานี
ตวั บทกฎหมาย : พร.บ ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนา ท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ (มาตรา ๘ และมาตรา
๑0 วรรคหนึง่ )
สรุปคดี : ผูฟองคดีเปนขาราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ตําแหนงผูอํานวยการกองคลัง
สังกัดกองคลัง สํานักงานอธิการบดี มหาวิทยาลยั อุบลราชธานี ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการที่
ผถู ูกฟองคดี (อธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี) ไดมีคําสั่งใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทน กรณีนาย
ว. ผูใตบังคับบัญชาไดจัดทําและปลอมแปลงลายมือชื่อผูมีอํานาจลงนามสั่งจายเช็ค และลงนามรับเงิน
ในใบสําคัญรับเงิน โดยไมนําสงเปนเงินของทางราชการ เปนเหตุใหมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีไดรับความ
เสียหาย เปนเงินจํานวน ๔,๑๖๔,๙๕๕.๕0 บาท ผูฟองคดีอุทธรณคําสั่งดังกลาว ตอมา ผูถูกฟองคดีพิจารณา
อุทธรณแลวมีคําส่ังยืนตามคําสงั่ เดิม ผฟู องคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหเพิกถอน
คํ่าส่ังใหผูฟองคดีชดใช คาสินไหมทดแทน ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ผูฟองคดีไดรับมอบหมายใหดํารง
ตําแหนงผูอํานวยการกองคลังมีหนาที่รบั ผิดชอบในการกํากับดูแลภาพรวมของกองคลังและพัสดุในทุกดาน
และหนาท่ีในการกํากับดูแลตรวจสอบการปฏิบัติงานของทุกหนวยงานยอยภายในกองคลัง ผูฟองคดี
ในฐานะผบู ังคับบัญชาจงึ มีหนาที่ตอ งกาํ กับดแู ลและตรวจสอบการปฏิบัตงิ านผูใตบังคับบัญชาทุกรายในกอง
คลังใหเปนไปตามกฎหมาย ระเบียบ ขอบังคับตางๆ ท่ีเกี่ยวของ การท่ีผูฟองคดีเปนผูมอบหมายภาระงาน
ใหนาย ว. ซ่ึงเปนลูกจางชั่วคราว ทําหนาที่รับเช็ค เงินสด เงินอุดหนุนสนับสนุนจากหนวยงานอื่นพรอม
นําสงและฝากธนาคาร และใหมีหนาท่ีเก็บรักษาตนขั้วเช็ค สมุดเช็ค เก็บรักษาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร
สมุดใบสําคัญรับเงิน ซึ่งผูฟองคดียอมตองทราบเปนอยางดีแลววา การดูแล เก็บรักษาเอกสารดังกลาว

157

อันเปนเอกสารหลักฐานสําคัญเก่ียวกับการเงินโดยเปนภาระงานที่มีความเส่ียงสูงที่ผูปฏิบัติงานอาจจะ
กอใหเกิดความเสียหายแกหนวยงานได น้ัน เปนการมอบหมายงานมีลักษณะเปนการฝาฝน ไมถือปฏิบัติ
ตามมตคิ ณะรฐั มนตรี เมื่อวันท่ี ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๓๕ ที่หามมีใหสว นราชการใชลกู จางช่ัวคราว ปฏิบตั ิงาน
ดานการเงินและบัญชี เวนแตกรณีที่สวนราชการมีขาราชการหรือลูกจางประจําปฏิบัติหนาที่ดานการเงิน
และบัญชีไมเพียงพอ ผูฟองคดีในฐานะผูบังคับบัญชาผูมอบหมายงานดังกลาวจึงมีหนาท่ีในการควบคุม
ตรวจสอบการปฏิบัติหนาท่ีของนาย ว. อยางเครงครัดเปนพิเศษ ประกอบกับนาย ว. ไดกระทําการทุจริต
เปนเวลากวา ๒ ป จนพันจากตําแหนงลูกจางชั่วคราวเม่ือสิ้นสุดสัญญาจางไปแลวจึงมีการตรวจสอบพบ
การทุจริต นั้น แสดงใหเห็นวาผูฟองคดีละเลยในการปฏิบัติหนาท่ีในฐานผูอํานวยการกองคลังซึ่งเปน
ผูบังคับบัญชาท่ีมีหนาที่ควบคุมดูแลเงินงบประมาณของหนวยงานและมีหนาท่ีควบคุมการปฏิบัติงานของ
เจาหนาท่ีในสังกัดกองคลัง ซ่ึงตามภาวะวิสัยของบุคคลท่ีดํารงตําแหนงและปฏิบัติหนาท่ีเชนเดียวกับผูฟอง
คดี ยอมจะตองใชความระมัดระวังในการควบคุมตรวจสอบการทํางานของผูใตบังคับบัญชาอยางสมํ่าเสมอ
แตผูฟองคดีกลับไมไดควบคุมดูแลผูใตบังคับบัญชาใหปฏิบัติหนาท่ีใหเปนไปตามกฎหมายอยางเครงครัด
จนเปดโอกาสใหนาย ว. กระทําการทุจรติ ยักยอกเงินหากผูฟองคดีและผูบังคับบัญชาช้ันตนในฐานะหัวหนา
งานงบประมาณไดปฏิบัติงานโดยใชความระมัดระวังและความละเอียดรอบคอบในการควบคุมตรวจสอบ
การทําหนาที่ของนาย ว. อยางเครงครัดตามระบบบัญชีมาตรฐานแลว ยอมไมเปนการยากท่ีจะตรวจสอบ
พบการกระทําทุจริตหรือปองกันการกระทําผิดของนาย ว. ได ดังนั้น การท่ี นาย ว. สามารถกระทําการ
ทุจริตตอเน่ืองกันมาเปนเวลาถึง ๒ ป และกอใหเกิดความเสียหายจํานวนท่ีสูงมาก จึงเปนผลโดยตรงจาก
การกระทําของผูฟองคดีท่ีบกพรองในการปฏิบัติหนาที่ควบคุมตรวจสอบกรณีดังกลาว รวมถึงบกพรอง
ในการกํากับดูแลผูใตบังคับบัญชาดวย จึงถือไดวา ผูฟองคดีการกระทําโดยประมาทเลินเลออยางรายแรง
ในการปฏิบัติหนาท่ีละเลยไมควบคุมการปฏิบัติงานของผูใตบังคับบัญชา จนเปนเหตุใหนาย ว. กระทํา
การทุจริตไดผูฟองคดีจึงตองรับผิดชดใชความเสียหายใหแกผูถูกฟองคดี ตามมาตรา ๑0 วรรคหนึ่ง
ประกอบกับมาตรา ๘ แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓9

แนวทางการปฏิบตั ิราชการจากคําวินจิ ฉยั :
การเงินและบัญชีของลูกจางช่ัวคราวในประการที่สําคัญ คือ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๑
กรกฎาคม ๒๕๓๕ ไดหา มมิใหสวนราชการใชลูกจางช่วั คราวปฏิบตั ิงานดานการเงินและบญั ชี เวน แตกรณีที่
สวนราชการมีขาราชการหรือลูกจางประจําปฏิบัติหนาที่ดานการเงินและบัญชีไมเพียงพอ กรณีเห็นไดวา
ภ า ร ะ ง า น ดั ง ก ล า ว มี ค ว า ม เส่ี ย ง สู ง ท่ี ผู ป ฏิ บั ติ ง า น อ า จ จ ะ ก อ ให เกิ ด ค ว า ม เสี ย ห า ย แ ก ห น ว ย ง า น ไ ด
การมอบหมายงานจึงตองพิจารณาตามความเชี่ยวชาญ และความเหมาะสมในแตละตําแหนงดวย
แตอยางไรก็ตามเพ่ือใหระบบงานยังดําเนินตอไปได และเพื่อใหการบริการสาธารณะดําเนินการไปอยาง
ตอเนื่อง ก็มีขอยกเวนในการมอบหมายงานดังกลาวได แตก็ตองเปนไปอยางเครงครัด กลาวคือ
หากผูบังคับบัญชาผูมอบหมายงานดานการเงินและบัญชีใหลูกจางชั่วคราว ผูบังคับบัญชาก็ตองมีหนาที่
ในการควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติหนาท่ีของลูกจางช่ัวคราวอยางเครงครัดเปนพิเศษ โดยตองใช
ความระมัดระวงั อยางมาก เพอ่ื ไมใ หเ กิดความผิดพลาดและไมใหเกดิ การทจุ ริตขน้ึ อยางคดนี ้เี กิดข้นึ อีก

158
แนวทางการปฏิบัติราชการที่ไดจากคดีประเภทสิทธปิ ระโยชนและสวสั ดิการ

- แนวปฏิบัติราชการเกี่ยวกับการจายเงินสวัสดิการเก่ียวกับการศึกษาของบุตรเพ่ิมเติม
(คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ. ๒๑๓/๒๕๖๓)

การดําเนินการเบิกจายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรในสวนของเงินคาเลาเรียนนั้น
นอกจากจะหมายถึง คาธรรมเนียมการเรียนหรือคาหนวยกิตวิชาเรียนแลว ยังครอบคลุมถึงคาธรรมเนียม
ตางๆ ซ่ึงสถานศึกษาของเอกชนสามารถเรียกเก็บไดตามอัตราท่ีไดรับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการ
แตตองไมเกินประเภทและอัตราที่กระทรวงการคลังกําหนด ซ่ึงเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรน้ัน
ยอมมคี วามหมายจํากัดเพียงคาใชจ า ยทเ่ี ก่ียวของและสัมพนั ธกับการศึกษาโดยตรง

หลกั กฎหมายทเี่ กย่ี วของ : หลักความชอบดวยกฎหมาย
หนว ยงานทางปกครอง : กรมสรรพากร
ตัวบทกฎหมาย : ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย (มาตรา ๔๒๐) พ.ร.ฏ. เงนิ สวสั ดิการเกี่ยวกับ
การศึกษาของบุตร พ.ศ. ๒๕๒๓ แกไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๘ (มาตรา 4 และมาตรา ๘ วรรค
หนง่ึ (๔)
สรุปคดี : ผูฟองคดีดํารงตําแหนงนักวิซาการสรรพากรชํานาญการพิเศษ สํานักงานสรรพากรภาค ๑
สังกัดผูถูกฟองคดี (กรมสรรพากร) ขณะท่ีพิพาท ผูฟองคดีดํารงตําแหนงนักวิชาการสรรพากรชํานาญการ
พิเศษสํานักงานสรรพากรพ้ืนท่ีกรุงเทพมหานคร ๑๑ ไดขอเบิกคาการศึกษาบุตร ซ่ึงศึกษาอยูท่ีโรงเรียน
เทคโนโลยียานยนต ต. ซึ่งเปนสถานศึกษาของเอกชน หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)
ประเภทวิชาอุตสาหกรรมยานยนต เปนคาการศึกษาภาคเรียนท่ี ๑ ปการศึกษา ๒๕๕๔ จํานวนเงิน ๔๔,๒๕0
บาท โดยขอเบิกคาการศึกษา จํานวน ๑๔,๐๐0 บาท ไดแก คาธรรมเนียมการศึกษา คาลงทะเบียน
คา บริการคอมพิวเตอรคาวสั ดอุ ุปกรณการฝก คาตําราและหนังสือประกอบการเรียน คาหนังสือคูมือการฝก
คากิจกรรมนักศึกษาคาเคร่ืองปรับอากาศและการบํารุงรักษา และไดรับคาการศึกษาบุตรท่ีขอเบิกเปนเงิน
๑๔,000 บาท แลว ตอมา ผูฟองคดไี ดชาํ ระคาการศกึ ษาบุตร ในภาคเรียนที่ 6 ปก ารศึกษา ๒๕๕๔ จํานวน
เงิน ๓๖,๒00 บาท และขอเบิกคาการศึกษาบุตรจํานวนเงิน ๑๓,๖๕0 บาท แตเจาหนาที่การเงินแจงวา
ผูฟองคดีสามารถ เบิกคาการศึกษาบุตรไดเฉพาะคาธรรมเนียมการศึกษา จํานวนเงิน ๖,๑๕0 บาท เทาน้ัน
สวนคาใชจายประเภทอ่ืนเบิกไมได และไดแจงใหผูฟองคดีคืนเงินคาการศึกษาบุตรที่เบิกเกินไปของ
ภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา ๒๕๕๔ จํานวน ๗,๘๕0 บาท กอน สํานักงานสรรพากรภาค ๑ จึงจะเบิก
คาการศึกษาบุตรภาคเรียนท่ี ๒ ปการศึกษา ๒๕๕๔ จํานวนเงิน ๖,๑๕๐ บาท ให ซ่ึงผูฟองคดีไดคืนเงิน
ดังกลาวแลว และผูฟอ งคดีไดมีหนังสือหารอื กรณีดังกลาวตอสรพากรพน้ื ท่ีกรุงเทพมหานคร ๑ ผถู ูกฟองคดี
จึงมีหารือ กรณีการเบิกเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร รายผูฟองคดีไปยังกรมบัญชีกลาง
ซ่ึงกรมบัญชีกลางไดมีหนังสือตอบขอหารือวาการดําเนินการเบิกจายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของ
บุตรใหผูฟองคดีเปนเงินจํานวนคร่ึงหนึ่งของคาธรรมเนียมการศึกษาท่ีจายไปจริง โดยมิไดจายในสวนของ
คาใชจายอื่นๆ เปนการเบิกจายที่ถูกตองแลว ผูฟองคดีเห็นวา คําวา คาธรรมเนียมการศึกษา ไมไดมีการ
กาํ หนดวาใหหมายความถึงคาธรรมเนียมการศึกษาเพียงอยางเดียว แตใหรวมถึงคาใชจายอ่ืนๆ ดวย ดังน้ัน

159
ในปการศกึ ษา ๒๕๕๔ และปก ารศึกษา ๒๕๕๕ ผูฟอ งคดีควรไดรับเงนิ สวัสดิการการศึกษาบตุ รเพิ่มรวมเปน
เงิน 3๓,๐๕0 บาท ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งไมอนุมัติ
ใหเบิกจายคาธรรมเนียมการศึกษาของบุตรและขอใหเพิกถอนหนังสือตอบขอหารือของกรมบัญชีกลาง
ดังกลาวและใหผูถูกฟองคดีจายเงินสวัสดิการการศึกษาบุตรใหแกผูฟองคดีเพิ่มเปนเงิน ๓๓,0๕0 บาท
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เม่ือผูฟองคดีไดชําระคาการศึกษาของบุตร ในภาคเรียนที่ ๒ ปการศึกษา
๒๕๕๔ เปนเงนิ ๓๖,๒๐๐ บาท ภาคเรียนท่ี ๑ ปการศึกษา ๒๕๕๕ เปนเงนิ ๔0,๑00 บาท และภาคเรียนที่ ๒
ปการศึกษา ๒๕๕๕ เปนเงิน ๔๑,๖00 บาท ผูฟองคดีจึงมีสิทธิไดรับเงินสวัสดิการเก่ียวกับการศึกษาของ
บุตรจากทางราชการตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๔) แหง พ.ร.ฏ. เงินสวัสดิการเก่ียวกับการศึกษาของบุตร
พ.ศ. ๒๕๒๓ แกไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งกาํ หนดใหไ ดรับเงนิ คาเลา เรยี นคร่ึงหนึง่ ของจาํ นวนท่ี
ไดจายไปจริงตามประเภทและไมเกินอัตราที่กระทรวงการคลังกําหนด โดยเงินสวัสดิการการศึกษาท่ีผูฟอง
คดีมีสิทธิไดรับหมายถึงเงินคาเลาเรียน ซ่ึงมาตรา ๔ แหงพระราชกฤษฎีกาดังกลาวไดนิยามคําวา เงินคาเลา
เรียนไวหมายความวา เงินคาธรรมเนียมการเรียนหรือคาธรรมเนียมตางๆ ซึ่งสถานศึกษาของเอกชนเรียก
เก็บตามอัตราที่ไดรับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการ ดังนั้น เงินคาเลาเรียน นอกจากจะหมายถึง
คาธรรมเนียมการเรียนหรือคาหนวยกิตวิชาเรียนแลว ยังครอบคลุมถึงคาธรรมเนียมตางๆ ซ่ึงสถานศึกษา
ของเอกชนสามารถเรียกเกบ็ ไดตามอัตราท่ีไดรบั อนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการ แตตอ งไมเกินประเภทและ
อัตราท่ีกระทรวงการคลังกําหนดซึ่งไมไดหมายความวา คาใชจายทุกรายการที่สถานศึกษาเรียกเก็บจะถือ
เปนเงินคาเลาเรียนท่ีขาราชการจะนํามาขอรับเงินสวัสดิการการศึกษาจากทางราชการได ซึ่งเมื่อพิจารณา
เจตนารมณของการใหสวัสดิการเก่ียวกับการศึกษาของบุตรขาราชการตาม พ.ร.ฏ.เงินสวัสดิการเก่ียวกับ
การศึกษาของบุตร พ.ศ. ๒๕23 แลวเห็นไดวา เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรน้ันยอมมี
ความหมายจํากัดเพียงคาใชจายท่ีเกี่ยวของและสัมพันธกับการศึกษาโดยตรงสวนประเภทสถานศึกษา
เอกชนและหลักสูตรการศึกษา ตลอดจนอตั ราคาใชจายท่ีจะเบิกไดน้ันกระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลาง
ไดมีหนังสือกําหนดประเภทและอัตราเงินบํารุงการศึกษาและคาเลาเรียนเพื่อใหสวนราชการตางๆ
ถือปฏิบัติ ต้ังแตภาคเรียนท่ี ๒ ปการศึกษา ๒๕๕๒ เปนตนไป ดังน้ัน ผูฟองคดีจึงมีสิทธินําใบเสร็จรับเงิน
ทไี่ ดชําระคาการศึกษาดังกลาวมาเบิกเงนิ สวัสดิการเก่ียวกับการศึกษาของบุตรจากทางราชการตามมาตรา ๘
วรรคหน่ึง (๔) แหง พ.ร.ฏ. เงินสวสั ดิการเก่ียวกบั การศึกษาของบตุ รพ.ศ. ๒๕๒๓ แกไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ ๕)
พ.ศ. ๒๕๔๘ประกอบกับหนังสือกรมบัญชีกลางดังกลา ว ไดเ ทากบั คร่ึงหน่ึงของเงินคา เลาเรยี นตามทจ่ี า ยจริง
แตไมเกินคาธรรมเนยี มการศึกษาประเภทวิชาชา งอตุ สาหกรรม หรอื อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและ
การส่ือสารทัศนศาสตร ที่กําหนดใหเบิกไดไมเกินปการศึกษาละ ๓0,000 บาท ซึ่งตามใบเสร็จรับเงิน
คาการศึกษาของบุตรของผูฟองคดีในแตละภาคเรียนไดระบุคาใชจายตางๆ ไดแก คาธรรมเนียมการศึกษา
คาลงทะเบียนคาศูนยวิทยบริการ คาบริการคอมพิวเตอร คาเครื่องปรับอากาศและการบํารุงรักษา คาวัสดุ
อุปกรณ การฝก ตําราและหนังสือคูมือ คากิจกรรมนักศึกษา คาซักรีด คาหอพัก คาใชจายอ่ืนๆ จึงตอง
พิจารณาวาคาการศึกษาที่ผูฟองคดีจายใหกับสถานศึกษาดังกลาว รายการใดบางที่ถือไววาเปนเงินคาเลา
เรียน โดยเมื่อคดีนี้ ศาลปกครองชั้นตนไดพิจารณาจากรายการตางๆ แลวเห็นวา คาธรรมเนียมการศึกษา

160
คาลงทะเบียน คาวัสดุ อุปกรณการฝก คาตําราและหนังสือประกอบการเรียน และคาหนังสือคูมือการฝก
คาศูนยวิทยบริการ คาบริการคอมพิวเตอร และคากิจกรรมนักศึกษา เปนคาใชจายที่มีสวนเกี่ยวของและ
สัมพันธกับการศึกษาโดยตรง จึงถือเปนคาเลาเรียนตาม พ.ร.ฎ. เงินสวัสดิการเก่ียวกับการศึกษาของบุตร
พ.ศ. ๒๕๒๓ สวนคาเคร่ืองปรับอากาศและการบํารุงรักษา คาซักรีด และคาหอพัก มิไดมีลักษณะเปน
คาใชจายท่ีมีสวนเก่ียวของและสัมพันธกับการศึกษาโดยตรง ซ่ึงบางรายการเปนคาใชจายเพื่ออํานวย
ความสะดวกสบายใหแกผูเขารับการศึกษา จึงไมอาจถือไดวาเปนเงินคาเลาเรียนตามพระราชกฤษฎีกา
ดังกลาว และผูถูกฟองคดีไมไดอุทธรณโตแยงรายการคาใชจายเก่ียวกับการศึกษาตางๆ ท่ีศาลปกครอง
ชนั้ ตนวนิ ิจฉยั ไว นอกจากน้ีแมหนังสือกรมบัญชีกลางดังกลาวกําหนดใหเบกิ ไดคร่ึงหนึ่งของจํานวนท่จี ายจริง
แตไมเกินคาธรรมเนียมการศึกษา แตเม่ือ พ.ร.ฏ. เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. ๒๕๒๓
ใหสิทธิผูฟองคดีเบิกเงินสวัสดิการการศึกษาจากเงินคาเลาเรียนซ่ึงรวมถึงคาธรรมเนียมการเรียนหรือ
คาธรรมเนยี มตางๆ ดว ยและตามหนังสอื ดังกลา ว กระทรวงการคลังไดก ําหนดประเภทและอตั ราคา เลาเรียน
ในสถานศกึ ษาของเอกชนประเภทอาชวี ศึกษา หลักสตู รประกาศนียบัตรวชิ าชีพชัน้ สูง (ปวส.) หรือเทยี บเทา
และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพเทคนิค (ปวท.) หรอื เทียบเทา ใหเบิกไดคร่ึงหน่ึงของจํานวนท่ีจา ยจริง
แตไมเกนิ คาธรรมเนียมการศึกษาในสายวิชาชางอุตสาหกรรมหรืออุตสาหกรรมไวไมเกนิ ปการศึกษาละ ๓0,๐๐0
บาท ผูฟองคดีจึงมีสิทธิเบิกเงินสวัสดิการไดจากรายการคาธรรมเนียมการศึกษาและรายการอ่ืนๆ ที่ถือเปน
เงินค่ําเลาเรียน เมื่อผูฟองคดีไดชําระคาการศึกษาของบุตร และไดนําหลักฐานใบเสร็จรับเงินของ
สถานศึกษา มาขอเบิกเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษา ผูฟองคดีจึงมีสิทธิไดรับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับ
การศึกษาบุตรเปน จํานวนครง่ึ หน่ึงของเงินคาเลาเรียน แตไมเกิน ๓๐,๐00 บาท ตอป โดยในภาคเรียนท่ี ๒
ปการศึกษา ๒๕๕๔ คาใชจายในสวนท่ีถือเปนเงินคาเลาเรียน ประกอบดวย คาธรรมเนียมการศึกษา
๑๒,๓๐๐ บาท คาวิทยบริการ ๕00 บาท คาบริการคอมพิวเตอร ๑,000 บาท คาวัสดุอุปกรณการฝก
๕,๔๐0 บาท คาตํารา และหนังสือประกอบการเรียน ๒,๓๐๐ บาท คาหนังสือคูมือการฝก ๙๐๐ บาท
คากิจกรรมนักศึกษา ๓,๗๐๐ บาท รวมเปนเงิน ๒๖,๑๐๐ บาท คร่ึงหนึ่งของเงินจํานวนดังกลาวเทากับ
๑๓,0๕0 บาท ซ่ึงไมเ กิน ๓๐.000 บาท ตอ ป หรือไมเ กิน ๑๕,000 บาท ตอ หนึ่งภาคเรยี น ภาคเรียนท่ี ๑
ปก ารศึกษา ๒๕๕๕ คาใชจายในสวนท่ีถือเปนเงินคาเลา เรียน ประกอบดว ย คาธรรมเนียมการศึกษา ๑๒,๓๐๐
บาท คาลงทะเบียน ๑,๕๐0 บาท คาบริการคอมพิวเตอร 1000 บาท คากิจกรรมนักศึกษา 4500 บาท
คาวัสดุอุปกรณการฝกและหนังสือ คูมือ ๑๑,๒00 บาท รวมเปนเงิน ๒๙,๕0๐ บาท ครึ่งหนึ่งของเงิน
จํานวนดังกลาว เทากับ ๑๔,๗๕๐ บาทและภาคเรียนท่ี 2 ปการศึกษา ๒๕๕๕ คาใชจายในสวนท่ีถือเปน
เงินคาเลาเรียน ประกอบดวย คาธรรมเนียมการศึกษา ๑๒,๓๐๐ บาท คาศูนยวิทยบริการ ๕00 บาท
คาบริการคอมพิวเตอร ๑,๐๐๐ บาท คากิจกรรมนักศึกษา ๕,๕00 บาท คาวัสดุอุปกรณการฝก ๙,000 บาท
คาตําราและหนังสือประกอบการเรียนและอุปกรณ ๒,๓๐๐ บาท คาหนังสือคูมือการฝก ๙๐๐ บาท
รวมเปนเงิน ๓๑,๕00 บาท คร่ึงหน่งึ ของเงนิ จํานวนดงั กลาว เทา กบั ๑๕,๗๕0 บาท รวมเงินคา ใชจายที่ถือ
เปน คาเลา เรียนปการศึกษา ๒๕๕๕ ทเี่ บิกไดค ร่ึงหนึ่งของจํานวนที่จายจริง เทากบั ๓๐,๕0๐ บาท แตผฟู อง
คดีมีสิทธิเบิกไดไมเกินปละ ๓0,000 บาท รวมทั้งสามภาคเรียนแลว ผูฟองคดีมีสิทธิไดรับเงินสวัสดิการ

161

เก่ียวกบั การศกึ ษาของบตุ รเปนเงินทงั้ ส้นิ ๔๓,0๕0 บาท ผูถูกฟองคดีจึงมีหนา ทีต่ องจายเงนิ สวัสดิการเกย่ี วกับ
การศกึ ษาของบุตรจํานวนดังกลาวใหแ กผ ูฟอ งคดี การท่ีผถู กู ฟองคดีจายเงนิ สวสั ดิการเก่ยี วกับการศึกษาของ
บุตรใหแกผูฟองคดีเพียงคร่ึงหน่ึงของคาธรรมเนียมการศึกษาสําหรับภาคเรียนที่ ๒ ปการศึกษา ๒๕๕๔
ภาคเรียนท่ี ๑ และภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา ๒๕๕๕ รวมเปนเงิน๑๘,๔๕0 บาท แมจะเปนไปตาม
ความเห็นของกรมบัญชกี ลางก็ตาม แตความเห็นดังกลา วก็ไมส อดคลองกับเจตนารมณของมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.ฏ. เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. ๒๕๒๓ แกไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๘
จึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีท่ีจะตองปฏิบัติใหเปนไปตามกฎหมายเมื่อผูถูกฟองคดีไมเบิกจายเงินสวัสดิการ
การศึกษาของบุตรใหแกผูฟองคดีใหถูกตอง จึงเปนการละเลยตอหนาที่ ตามที่กฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติ
และเปนเหตุใหผูฟองคดีไดรับความเสียหาย จึงเปนการกระทําละเมิดตอผูฟองคดีตามมาตรา ๔๒0
แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยผูถูกฟองคดีจึงตองจายเงินสวัสดิการเก่ียวกับการศึกษาของบุตร
ใหแกผ ฟู องคดอี ีกเปน เงนิ ๒๔,๖๐๐ บาท

แนวทางการปฏบิ ตั ิราชการจากคําวินิจฉยั :
คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดไดวางบรรทัดฐานการปฏิบัติราชการเกี่ยวกับการดําเนินการเบิกเงิน
สวัสดิการเก่ียวกับการศึกษาของบุตรจากทางราชการในสวนของเงินคาเลาเรียนนั้น นอกจากจะหมายถึง
คาธรรมเนียมการเรียนหรือคาหนวยกิตวิชาเรียนแลว ยังครอบคลุมถึงคาธรรมเนียมตางๆ ซึ่งสถานศึกษา
ของเอกชนสามารถเรยี กเก็บไดตามอัตราที่ไดรบั อนุมตั ิจากกระทรวงศึกษาธิการ แตตองไมเกินประเภทและ
อัตราท่ีกระทรวงการคลังกําหนด ซ่ึงเงินสวัสดิการเก่ียวกับการศึกษาของบุตรน้ัน ยอมมีความหมายจํากัด
เพียงคาใชจายที่เก่ียวของและสัมพันธกับการศึกษาโดยตรงจึงจะมีสิทธินําใบเสร็จรับเงินท่ีไดชําระ
คา การศึกษา ดังกลาวมาเบิกเงินสวัสดิการเก่ียวกับการศึกษาของบุตรจากทางราชการตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง
(๔) แหง พ.ร.ฏ. เงินสวัสดิการเก่ียวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. ๒๕๒๓ แกไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๔๘
อันไดแก คาธรรมเนียมการศึกษา คาลงทะเบียน คาวัสดุอุปกรณการฝก คาตําราและหนังสือประกอบการ
เรียน และคาหนังสือคูมือการฝก คาศูนยวิทยบริการ คาบริการคอมพิวเตอร และคากิจกรรมนักศึกษา
ซึ่งเปนคาใชจายที่มีสวนเกี่ยวของและสัมพันธกับการศึกษาโดยตรง จึงถือเปนคาเลาเรียน ตาม พ.ร.ฏ.
เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. ๒๕๒๓ สวนคาเคร่ืองปรับอากาศและการบํารุงรักษา คาซักรีด
และคาหอพัก มิไดมีลักษณะเปนคาใชจายท่ีมีสวนเกี่ยวของและสัมพันธกับการศึกษาโดยตรง ซ่ึงบางรายการ
เปนคาใชจายเพื่ออํานวยความสะดวกสบายใหแกผูเขารับการศึกษา จึงไมอาจถือไดวาเปนเงินคาเลาเรียน
ตามพระราชกฤษฎีกาดงั กลา ว
แนวปฏิบตั ิราชการเกย่ี วกับสิทธิเบกิ คา เชาบา นของขา ราชการท่ีมสี ิทธเิ ขา พกั อาศยั
ในที่พักของทางราชการ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. ๔๐๒/๒๕๖๓) เมื่อเดิมขาราชการ
เปนผูมีสิทธิไดรับคาเชาบานขาราชการ ตามมาตรา ๗ แหง พ.ร.ฎ.คาเชาบานขาราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗
แกไขเพิม่ เตมิ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕0 และเปนผูมีสิทธินําหลักฐานคา ผอนชําระเงินกูเพื่อปลูกสรางบานมา
เบิกคาเชาบานขาราชการไดตามมาตรา ๑๗ แหงพระราชกฤษฎีกา ฉบับดังกลาว การท่ีหนวยงานมีคําส่ัง
จัดใหขาราชการเขาพักอาศัยในท่ีพักของทางราชการ จึงไมสอดคลองกับเจตนารมณของพระราชกฤษฎีกา

162
ฉบับเดียวกัน ท่ีมุงประสงคจะชวยเหลือขาราชการที่ไดรับความเดือดรอนในเร่ืองท่ีอยูอาศัยอันเกิดมาจาก
ทางราชการเปนเหตุ และมุงสนบั สนุนใหข าราชการมบี านที่เปน กรรมสทิ ธิข์ องตนเอง

หลกั กฎหมายท่ีเกี่ยวของ : หลกั ความชอบดวยกฎหมาย
เจาหนาที่ของรัฐ : ผูอํานวยการสํานักงานศึกษาธิการภาค ๕ (ผูอํานวยการสํานักงานศึกษาธิการ
ภาค ๑๑ เดมิ )
ตัวบทกฎหมาย : พ.ร.ฎ. คาเชาบานขาราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ แกไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐
(มาตรา ๗ และมาตรา ๑๗) หลักเกณฑและวิธีปฏิบัติในการจัดขาราชการเขาพักอาศัยในที่พักของ
ทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๑ (ขอ ๓ วรรคหนง่ึ (๑))
สรุปคดี : เดิมผูฟองคดีดํารงตําแหนงนักวิเคราะหนโยบายและแผนชํานาญการ สํานักบริหาร
ยุทธศาสตรและบูรณาการการศึกษา กรุงเทพมหานคร ตอมา ไดรับคําส่ังใหไปดํารงตําแหนงนักวิชาการ
ศึกษาชํานาญการ สํานักบริหารยุทธศาสตรและบูรณาการการศึกษาที่ ๑๑ อําเภอเมืองสงขลา จังหวัด
สงขลา ซ่ึงมีใชสํานักงานในทองท่ีท่ีเร่ิมรับราชการครั้งแรก ผูฟองคดีจึงใชสิทธิเบิกคาเชาบาน โดยไดรับ
คาเชาบานมาโดยตลอด ตอมาผูถูกฟองคดี (ผูอํานวยการสํานักงนศึกษาธิการภาค ๕ (ผูอํานวยการ
สํานักงานศึกษาธิการภาค ๑๑ เดิม) ไดออกประกาศจัดใหผูฟองคดีเขาพักอาศัยในที่พักของทางราชการ
เน่ืองจากผูฟองคดีไดรับคําสั่งเล่ือนเปนระดับชํานาญการพิเศษ แตผูฟองคดีประสงคจะใชสิทธิเบิกคาเชา
บานตอไป แตผูถูกฟองคดีไมดําเนินการเบิกจายคาเชาบานใหโดยมิไดแจงหรือบอกกลาวรายละเอียดการ
ดําเนินการใดๆ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนประกาศท่ีจัดใหผูฟองคดี
เขาพักอาศัยในท่ีพักของทางราชการ และใหผูถูกฟองคดีดําเนินการเบิกจายคาเชาบานใหแกผูฟองคดี
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เดิมผูฟองคดีดํารงตําแหนงนักวิเคราะหนโยบายและแผนชํานาญการ
สํานักบริหารยุทธศาสตรบูรณาการการศึกษา กรุงเทพมหานคร ตอมา ไดรับคําส่ังใหไปดํารงตําแหนง
นักวิชาการศึกษา สํานักบริหารยุทธศาสตรและบูรณาการการศึกษาที่ ๑๑ อําเภอเมืองสงขลา จังหวัด
สงขลา ซึ่งมิใชส ํานกั งานในทองท่ีท่ีเริ่มรบั ราชการคร้ังแรก และผูถูกฟองคดีก็ไมไดจัดที่พักอาศัยใหแกผ ูฟอง
คดีในขณะนั้นผูฟองคดีจึงเปนผูมีสิทธิไดรับคาเชาบานขาราชการ ตามมาตรา ๗ แหง พ.ร.ฎ. คาเชาบาน
ขา ราชการ

163 ๑๐๗

164
๑๐๘

16๑5๑๒

๑๑๕
166

16๑7๑๖

16๑8๑๗

๑๒๐
169

17๑0๒๑

171๑๒๒

17๑2๒๓

173๑๒๖

174๑๒๗

175๑๒๘

176๑๒๙

1๑7๓7๐

178๑๓๓

179๑๓๔

1๑8๓0๕

1๑8๓1๖

182
๑๓๗

183 ๑๓๘

184๑๓๙

บทความเผยแพร่ใน ACT NEWS 185๑๖๐

ถกู ปลด ... เพราะละทง้ิ นา้ ท่ีเกิน 15 นั โดยไม่มีเ ตุอันค ร !

นายนริ ัญ อินดร พนกั งานคดีปกครองชานาญการ
กลุ่มเผยแพร่ขอ้ มลู ทาง ิชาการและ าร าร
านัก ิจยั และ ิชาการ านกั งาน าลปกครอง

Topic : าระด.ี .ด.ี . จากคดปี กครอง
กรณีข้าราชการ รือเจ้า น้าที่ละท้ิง น้าที่ราชการติดต่อในครา เดีย กันเกิน 15 ัน โดยไม่มี

เ ตุอัน มค รนน้ั ถือเปน็ ค ามผิด ินยั อย่างร้ายแรงตามกฎ มายระเบียบข้าราชการพลเรือน ซึ่งอาจถูกลงโท
ปลดออก รือไลอ่ อกจากราชการ ทงั้ นี้ ในการอ้างเ ตุผล ่าไม่อาจมาปฏิบัติราชการได้ จะต้องมีพยาน ลักฐาน
ทีร่ ับฟงั ได้ การอ้าง า่ ตนถกู ปองร้ายจนไม่ ามารถมาทางานไดโ้ ดยมีเพียงบันทึกรับแจ้งค ามประจา ันเป็น ลักฐาน
โดยไม่มีพยาน ลักฐานอื่นใดน้ันไม่อาจรับฟังได้ อีกท้ังการกลับมาปฏิบัติงานในภาย ลังก็ไม่ถือเป็นเ ตุ
ใ ้ลดโท โดยลงโท ตา่ ก า่ ปลดออกจากราชการได้
คา าคัญ : ินัยอยา่ งร้ายแรง, ละทงิ้ น้าท่รี าชการ, ไม่มีเ ตุอนั มค ร

เ ตเุ ดอื ดร้อนของผู้ฟ้องคดี
มูลเ ตุของข้อพิพาท ืบเนื่องจาก...นาย นุ่มซึ่งเป็นข้าราชการไม่มาปฏิบัติราชการติดต่อ
ในครา เดีย กันเกินก ่า 15 ัน โดยอ้างเ ตุ ่าตนถูกปองร้ายท่ีบ้านและระ ่างการเดินทางมาทางาน ทาใ ้
ไม่อาจมาทางานได้ และได้ไปแจ้งค ามไ ้ท่ี ถานีตาร จแล้ ซึ่งบาง ันตนได้มาทางานแต่มิได้ลงชื่อในบัญชี
ลงเ ลาเนื่องจากถูกกล่ันแกล้งเอาบัญชีไปเก็บไ ้ ลังจากมีการต้ังคณะกรรมการ อบ น ินัยอย่างร้ายแรง
ซ่ึงปรากฏข้อเท็จจริงตามรายงานการ อบ น ่า นาย นุ่มขาดราชการตั้งแต่ ันที่ 28 เม ายน 2552 ถึง ันที่
20 พฤ ภาคม 2552 ร มจาน น 23 นั โดยไม่มีเ ตุอัน มค ร ผู้บังคับบัญชาพิจารณาแล้ จึงมีคา ั่งลงโท
ปลดออกจากราชการ ฐานละท้ิง น้าที่ราชการติดต่อในครา เดีย กันเป็นเ ลาเกิน 15 ัน โดยไม่มีเ ตุ
อัน มค ร ตามมาตรา 85 (3) แ ่งพระราชบัญญัติระเบยี บข้าราชการพลเรือน พ. . 2551
นาย นุ่มได้อุทธรณ์คา ่ังลงโท ดังกล่า และคณะกรรมการพิทัก ์ระบบคุณธรรม
มีคา ินิจฉัยใ ้ยกอุทธรณ์ เป็นเ ตุใ ้นาย นุ่มนาคดีมาฟ้อง าลปกครอง โดยอ้าง ่าตนมิได้ขาดราชการ
ต่อเน่ืองเกินก ่า 15 ัน เพราะบาง ันได้มาทางานแต่มิได้ลงเ ลา ร มทั้งตนมิได้ขาดราชการไปเลยแต่ได้
กลับมาปฏิบัติงานในภาย ลัง จึงขอใ ้ าลมีคาพิพาก าเพิกถอนคา ั่งปลดออกจากราชการและเพิกถอน
คา ินจิ ฉยั อุทธรณด์ งั กลา่

ค ามเปน็ ธรรม ... จากคาพพิ าก า าลปกครอง
คดีนี้มีข้อกฎ มายที่ าคัญ คือ มาตรา 85 แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน

พ. . 2551 ซ่ึงบัญญัติ ่า การกระทาผิด ินัยในลัก ณะดังต่อไปน้ี เป็นค ามผิด ินัยอย่างร้ายแรง
(3) ละท้ิง น้าท่ีราชการติดต่อในครา เดีย กันเป็นเ ลาเกิน ิบ ้า ันโดยไม่มีเ ตุอัน มค ร รือโดย
มีพฤติการณ์อันแ ดงถึงค ามจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ บทบัญญัติน้ีมีค าม มาย
่า ข้าราชการนั้นไม่ได้มาปฏิบัติ น้าท่ีราชการ โดยไม่ ามารถติดตามตั ได้ต้ังแต่แรกท่ีไม่มาปฏิบัติ น้าท่ี
ราชการนับเป็นเ ลาตดิ ตอ่ ครา เดีย กนั เกินก า่ 15 นั โดยตอ้ งพิจารณา า่ มเี ตผุ ลอัน มค ร รือไม่

ปัญ า (1) ผู้ฟ้องคดีละทิ้ง น้าราชการติดต่อในครา เดีย กันเกิน 15 ัน โดยไม่มี
เ ตอุ ัน มค ร รอื ไม่ ?

186๑๖๑

าลปกครอง ูง ุด ินิจฉัย ่า เม่ือผู้ฟ้องคดีไม่ได้มาลงช่ือปฏิบัติราชการตั้งแต่ ันท่ี 28
ถึง ันท่ี 20 พฤ ภาคม 2552 และไม่ได้ยื่นใบลาต่อผู้บังคับบัญชา โดยเมื่อพิจารณา ันที่ผู้ฟ้องคดีไม่ได้มา
ลงชื่อปฏิบัติราชการและไม่ได้ย่ืนใบลานับต่อเน่ืองกันไปทุก ันร มทั้ง ัน ยุดราชการที่อยู่ในระ ่างนั้นด้ ย
ถือ ่าผู้ฟ้องคดีขาดราชการในครา เดีย กันเป็นเ ลาเกิน 15 ัน ตามนัยมาตรา 85 (3) แ ่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ. . 2551 ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติราชการมานานและได้รับมอบ มายใ ้ทา น้าที่
ร บร ม นั ลาของขา้ ราชการ จึงย่อมทราบระเบียบปฏิบตั ิเกี่ย กบั การลา รือการไม่มาปฏบิ ัติราชการเป็นอยา่ งดี
และย่อมทราบ ่าบัญชีการลงเ ลาการปฏิบัติราชการถือเป็น ลักฐาน าคัญท่ีแ ดงใ ้เ ็น ่าข้าราชการ
ท่ีลงชื่อได้มาปฏิบัติงาน และจากการ อบถามเจ้า น้าท่ีใน น่ ยงานก็ใ ้การ อดคล้องกัน ่า น่ ยงาน
ไดม้ แี น ปฏบิ ตั ใิ นการลงเ ลาปฏบิ ตั ิราชการทีบ่ ุคลากรต่างทราบและเข้าใจเป็นอยา่ งดี

ฉะนัน้ ากผู้ฟอ้ งคดีมาปฏิบัติงานจริง ย่อมค รข นข ายลงเ ลาปฏิบัติราชการในบัญชีลงเ ลา
รือ ากมีการกล่ันแกล้งนาบัญชีไปซ่อน ผู้ฟ้องคดีก็ ามารถแจ้งปัญ าต่อผู้บังคับบัญชาท่ีเ นือขึ้นไปได้
ประกอบกับไม่ปรากฏ ลักฐาน ่าผู้ฟ้องคดีเจ็บป่ ย รือประ บปัญ าถึงขนาดไม่ ามารถเดินทางมา
ปฏบิ ัตริ าชการ รอื ยื่นใบลาได้ ร มทั้งไม่มีพยานบุคคล รือพยาน ลักฐานใดแ ดง ่าผู้ฟ้องคดีถูกปองร้าย
ตามที่กล่า อ้าง คงมีแต่เพียงรายงานประจา ันรับแจ้งค ามของ ถานีตาร จเป็น ลักฐานเท่าน้ัน
พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการละทิ้ง น้าท่ีราชการติดต่อในครา เดีย กันเป็นเ ลาเกิน 15 ัน
โดยไมม่ เี ตุอัน มค ร อันเป็นค ามผิด นิ ยั อยา่ งรา้ ยแรง

ปัญ า (2) คา ่งั ลงโท ปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการชอบด้ ยกฎ มาย รือไม่ ?
าลปกครอง ูง ุด ินิจฉัย ่า เม่ือผู้ฟ้องคดีละทิ้ง น้าที่ราชการติดต่อในครา เดีย กัน
เป็นเ ลาเกิน 15 ัน โดยไม่มีเ ตุอัน มค ร อันเป็นค ามผิด ินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 85 (3)
แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ. . 2551 ซ่ึงโท ท่ีลงได้ คือ ปลดออกกับไล่ออกจาก
ราชการฐานใดฐาน นึ่งตามมาตรา 97 รรค น่งึ แ ง่ พระราชบญั ญัตเิ ดีย กัน การที่ผู้บังคับบัญชาลงโท
ปลดออกจากราชการ อนั เป็นโท ขัน้ ตา่ ุดท่กี ฎ มายกา นดไ ้ า รับการกระทาผิด ินัยอย่างร้ายแรง
ซ่ึงเป็นคุณแก่ผู้ฟ้องคดีแล้ คา ่ังลงโท ดังกล่า จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบด้ ยกฎ มาย และ
แมผ้ ูฟ้ อ้ งคดีจะได้กลบั มาปฏิบัติราชการในภาย ลัง ก็ไม่อาจนาเอาพฤติการณ์ดังกล่า มาเป็นเ ตุลด ย่อนโท
ใ ้ได้รับโท น้อยก ่าปลดออกจากราชการได้ (ผู้ นใจ ามารถ ึก ารายละเอียดเพ่ิมเติมได้จากคาพิพาก า
าลปกครอง ูง ดุ ที่ ฟ. 5/2562)

ลกั กฎ มายปกครองและบรรทดั ฐานการปฏิบตั ิราชการ
คาพิพาก า าลปกครอง ูง ุดในคดดี ังกลา่ เป็นอุทา รณ์ าคัญ า รับข้าราชการในเรื่อง
การมาปฏิบัติ น้าที่ราชการ โดยไม่อาจขาดราชการต่อเน่ืองเกินก ่า 15 ัน โดยไม่มีเ ตุผลอัน มค รได้
ซ่ึงถือเป็นค ามผิด ินัยอย่างร้ายแรงที่อาจถูกลงโท ปลดออก รือไล่ออกจากราชการ นอกจากนี้
การลงเ ลาปฏิบัติราชการถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของการปฏิบัติราชการท่ีข้าราชการ รือเจ้า น้าท่ี
ของรัฐต้องถือปฏิบัติ บัญชีการลงเ ลาปฏิบัติราชการ จึงถือเป็น ิ่ง าคัญเพ่ือใ ้ทราบ ่าข้าราชการ รือ
เจ้า น้าทขี่ องรัฐมาปฏบิ ัติ น้าท่ีราชการ จึงไม่อาจอ้าง ่าไม่ ามารถลงชื่อได้เนื่องจากมีการนาบัญชีการลง
เ ลาไปซ่อน รือถูกกลั่นแกล้ง เพราะแม้เป็นจริงตามท่ีกล่า อ้าง ข้าราชการผู้นั้นจะต้องแจ้งปัญ าที่
เกิดขึ้นต่อผู้บังคับบัญชาท่ีเ นือข้ึนไปใ ้รับทราบมิใช่น่ิงเฉยโดยไม่ลงเ ลา ทั้งน้ี เพราะเ ลาในการปฏิบัติ
ราชการมีค าม าคัญและมีผลต่ออนาคตในการรับราชการครับ

(ปรึก าคดปี กครองได้ท่ี “ ายด่ น าลปกครอง 1355” และ บื ค้นบทค ามย้อน ลังได้ที่
www.admincourt.go.th เมนู ิชาการ เมนยู อ่ ยอุทา รณ์จากคดีปกครอง)

(บทความเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ทุกวนั จันทร์ หน้า128) 7
๑๖๔

ไม่แจ้งถ้อยคาพยานในช้ันสอบสวน...เท่ากบั ไม่ให้โอกาสคู่กรณี !!!

โดย... ลงุ เป็ นธรรม
สายด่วนศาลปกครอง 1355
ส่วนท่ี 1 สิทธิของคู่กรณีในการพจิ ารณาทางปกครอง
เมื่อวนั ก่อนลุงเป็ นธรรมไดม้ ีโอกาสพดู คุยกบั เจา้ หนา้ ที่จากหลายเทศบาล ซ่ึงเป็ นการแลกเปล่ียนความรู้กนั
ในเร่ืองของกฎหมายวธิ ีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง ในประเดน็ เก่ียวกบั ลกั ษณะของการใชอ้ านาจทางปกครอง ไม่วา่ จะเป็ น
การออกกฎ คาส่งั ทางปกครอง หรือการกระทาอ่ืน ตลอดจนการเตรียมการและการดาเนินการของเจา้ หน้าท่ีเพื่อจดั ให้มี
คาสง่ั ทางปกครองหรือกฎ และรวมถึงการดาเนินการใด ๆ ในทางปกครอง ซ่ึงกค็ ือ “วธิ ีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง” นนั่ เองครับ
สาหรับ “วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง” ตามท่ีกาหนดไวใ้ นพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. 2539 ก็มีอยดู่ ว้ ยกนั หลายประการ ไม่ว่าจะเป็ นหลกั การกระทาทางปกครองตอ้ งกระทาโดยเจา้ หน้าท่ี
ที่มีอานาจ หลกั ความเป็ นกลาง สิทธิของคู่กรณี รูปแบบเน้ือหาและผลของคาส่ังทางปกครอง รวมถึงหลกั ในการแกไ้ ข
ขอ้ บกพร่องหรือการทบทวนคาสง่ั ทางปกครอง
ส่วนประเด็นที่ไดร้ ับความสนใจไต่ถามกนั อย่างมากก็ไม่พน้ เร่ือง “สิทธิของคู่กรณี” โดยสิทธิเหล่าน้ี
เป็ นสิทธิตามที่กฎหมายกาหนดให้เจ้าหน้าท่ีต้องให้แก่ผู้ท่ีเข้ามาเป็ นคู่กรณีในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง เวน้ แตจ่ ะมี
กฎหมายกาหนดไวเ้ ป็ นอยา่ งอ่ืน โดยสิทธิของคูก่ รณีตามที่กฎหมายวธิ ีปฏิบตั ิราชการทางปกครองกาหนดไวก้ ็มีอยมู่ ากมาย
หลายกรณี อาทิ สิทธิในการคัดค้านเจ้าหน้าท่ีท่ีอาจไม่มีความเป็ นกลาง สิทธิในการได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและ
มีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลกั ฐาน รวมถึงสิทธิท่ีจะได้รับทราบเหตผุ ล และสิทธิในการได้รับแจ้งวิธีการอุทธรณ์
เป็ นต้น ซ่ึงหากเจา้ หนา้ ท่ีไม่ไดใ้ หโ้ อกาสเหล่าน้ีแก่คูก่ รณี ในบางกรณีกอ็ าจทาให้คาสง่ั ทางปกครองน้นั ไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย
และอาจถูกเพกิ ถอนไดน้ ะครับ (ท่านผ้อู ่านสามารถดูรายละเอียดเก่ียวกับสิทธิของคู่กรณีเพิ่มเติมได้จากแผนภาพ)

188๑๖๕

สาหรับสิทธิของคู่กรณีที่ลุงเป็ นธรรมจะมาเล่าให้แก่ท่านผูอ้ ่านทุกท่านก็จะเป็ นเร่ืองของสิทธิในการ
ได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลกั ฐานนนั่ เอง ท้งั น้ี เพื่อเป็ นการเปิ ดโอกาสให้
คู่กรณีท่ีอาจไดร้ ับผลกระทบจากผลของคาสง่ั ทางปกครองไดม้ ีโอกาสตอ่ สูป้ กป้ องตนเอง อนั เป็ นหลกั การพ้ืนฐานของสิทธิ
เสรีภาพของบุคคลที่รัฐมีหนา้ ที่ตอ้ งใหค้ วามคุม้ ครอง

ปัญหาจึงมีอยู่ว่า ในกระบวนการเตรียมการและการดาเนินการของเจ้าหน้าท่ีเพื่อจดั ให้มีคาสั่งทาง
ปกครอง หรือท่ีเรียกว่า “การพิจารณาทางปกครอง” หากเจ้าหน้าท่ีนั้นไม่ได้เปิ ดโอกาสให้คู่กรณีได้รับทราบข้อเท็จจริง
อย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลกั ฐาน คาสั่งทางปกครองของเจ้าหน้าที่นั้นจะเป็ นคาสั่งทางปกครอง
ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จนเป็ นเหตใุ ห้ถกู เพิกถอน หรือไม่ ???
ส่วนท่ี 2 ไม่แจ้งถ้อยคาพยานในช้ันสอบสวน...เท่ากบั ไม่ให้โอกาสคู่กรณี !!!

อยา่ งที่ลุงเป็ นธรรมไดก้ ลา่ วไวต้ อนตน้ วา่ สิทธิในการไดร้ ับทราบขอ้ เท็จจริงอยา่ งเพียงพอและมีโอกาส
ไดโ้ ตแ้ ยง้ และแสดงพยานหลกั ฐาน เป็ นสิทธิท่ีกฎหมายวธิ ีปฏิบตั ิราชการทางปกครองกาหนดรับรองไว้ ในกรณีที่คาสั่งทาง
ปกครองอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจา้ หนา้ ท่ีตอ้ งใหค้ ู่กรณีมีโอกาสเช่นวา่ น้นั เวน้ แต่จะมีกฎหมายกาหนดไวเ้ ป็ นอยา่ งอ่ืน
(ท่านสามารถศึกษาขอ้ ยกเวน้ ของกฎหมายดงั กล่าวไดใ้ นส่วนที่ 3)

จากหลกั กฎหมายข้างต้นสามารถอธิบายได้ว่า ในกรณีที่เจ้าหน้าที่จะออกคาสั่งทางปกครองใด
และคาส่ังทางปกครองนั้นอาจมีผลกระทบต่อสถานภาพแห่งสิทธิหรือหน้าที่ของผู้รับคาส่ัง ซ่ึงคาว่า “กระทบสิทธิ”
หมายถึง กระทบต่อสิทธิที่กฎหมายรับรองหรือคุ้มครองไว้ หรือกระทบต่อสิทธิที่ได้รับความคุมครองหรือรับรองไว้
โดยเจ้าหน้าท่ีน่ันเองครับ !!!

เมื่อเป็ นเช่นน้ีก่อนออกคาส่งั ทางปกครอง เจา้ หนา้ ท่ีผอู้ อกคาสั่งจึงต้องให้โอกาสค่กู รณีผ้ทู อี่ ย่ใู นบังคับ
ของคาส่ังทางปกครองน้ันได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลกั ฐาน เพ่ือปกป้ อง
สิทธิของตนเองจากการใช้อานาจของรัฐ !!!

ในกรณีน้ี ลุงเป็ นธรรมก็มีอทุ าหรณ์จากคดีปกครองมาฝากครับ
เร่ืองมีอยวู่ า่ นางสาวผกาเป็ นพนกั งานจา้ งตามภารกิจ ตาแหน่งครูผดู้ ูแลเด็กอนุบาลและปฐมวยั สังกดั
เทศบาลตาบลแห่งหน่ึง ถูกร้องเรียนว่าประพฤติตวั ไม่เหมาะสมกบั เด็กนกั เรียนและผูป้ กครอง นายกเทศมนตรีจึงมีคาสั่ง
แต่งตง้ั คณะกรรมการสอบข้อเทจ็ จริงในกรณีดงั กล่าว
ในการสอบสวนขอ้ เท็จจริง คณะกรรมการสอบสวนได้มีการสอบปากคาพยานบุคคลจานวน 6 ปาก
และให้นางสาวผกาในฐานะผู้ถูกกล่าวหาช้ีแจง โดยที่ไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุน
ข้อกล่าวหาให้นางสาวผกาได้ทราบตามความจาเป็ นแก่กรณี โดยเฉพาะอย่างย่ิงถ้อยคาของพยานบุคคลดังกล่าวด้วย
ทาใหน้ างสาวผกาไมม่ ีโอกาสไดร้ ับทราบขอ้ เทจ็ จริงอยา่ งเพยี งพอและมีโอกาสไดโ้ ตแ้ ยง้ และแสดงพยานหลกั ฐานของตน
ต่อมา นายกเทศมนตรีได้มีคาส่ังลงโทษว่ากล่าวตักเตือน ซ่ึงนางสาวผกาเห็นว่า ในการสอบสวน
ข้อเท็จจริง คณะกรรมการไม่ได้ให้ โอกาสตนได้รับทราบข้อเท็จจริ งอย่างเพียงพอ และมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดง
พยานหลกั ฐาน จึงไดย้ น่ื อุทธรณ์คาสง่ั ลงโทษดงั กล่าวตอ่ นายกเทศมนตรี แตก่ ไ็ ม่ไดร้ ับการพิจารณาแต่ประการใด
นางสาวผกาจึงนาคดีมายนื่ ฟ้ องนายกเทศมนตรี (ผถู้ กู ฟ้ องคดี) ต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้เพิกถอนคาสั่ง
ลงโทษดงั กลา่ ว
คดีน้ีจึงมีประเด็นสาคัญที่ตอ้ งพิจารณาว่า นายกเทศมนตรีได้ให้โอกาสนางสาวผกาได้รับทราบ
ข้อเทจ็ จริงอย่างเพยี งพอและมโี อกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลกั ฐานของตน หรือไม่ ???

189๑๖๖

ศาลปกครองสูงสุดท่านพิจารณาขอ้ เทจ็ จริงและขอ้ กฎหมายของคดีน้ีอยา่ งครบถว้ นแลว้ เห็นวา่ ในการ
ปฏิบตั ิหน้าที่ราชการโดยทวั่ ไป แมผ้ ูบ้ งั คบั บญั ชาจะมีอานาจหนา้ ที่ในการควบคุมดูแลผูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชาให้ปฏิบตั ิหนา้ ท่ี
ราชการให้เป็ นไปโดยถูกตอ้ งตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ ซ่ึงรวมถึงการว่ากล่าวตกั เตือน
ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาใหป้ ฏิบตั ิหนา้ ที่โดยถกู ตอ้ งตามระเบียบแบบแผนของทางราชการดว้ ยก็ตาม

แต่การว่ากล่าวตักเตือนนางสาวผกา เป็ นการใช้อานาจตามกหหมายในการดาเนินการทางวินัย ตามขอ้ 23
ขอ้ 24 ประกอบขอ้ 69 วรรคสาม ของประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวดั อุบลราชธานี เรื่อง หลกั เกณฑ์
และเง่ือนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวนั ที่
16 มกราคม 2545 จึงไม่ใช่การใช้อานาจทวั่ ไปของผ้บู งั คบั บญั ชาซึ่งเป็ นมาตรการภายในฝ่ ายปกครองดงั กล่าว

กรณีจึงเป็ นการใช้อานาจตามกฎหมายของนายกเทศมนตรีในการดาเนินการทางวินัย ซ่ึงมีผลกระทบ
ต่อสถานภาพของสิทธิและหน้าทขี่ องนางสาวผกา อันมีลักษณะเป็ นคาสั่งทางปกครอง ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญตั ิ
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

ดังนั้น นายกเทศมนตรี ต้องให้โอกาสนางสาวผกาได้ทราบข้อเท็จจริ งอย่างเพียงพอและมีโอกาส
ได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนเก่ียวกับการให้ ถ้อยคาของพยานบุคคลท้ัง 6 ราย ซ่ึงเป็ นพยานหลักฐาน
ที่สนับสนนุ ข้อกล่าวหาที่คณะกรรมการสอบข้อเทจ็ จริงและนายกเทศมนตรีใช้ประกอบการวินิจฉัยความผิดของนางสาวผกา

เมื่อนายกเทศมนตรีไม่ได้ให้โอกาสดงั กล่าวแก่นางสาวผกา และไม่ใช่กรณีที่เป็ นขอ้ ยกเวน้ ใหเ้ จา้ หนา้ ที่
ไม่ตอ้ งแจง้ ให้คู่กรณีทราบ ตามมาตรา 30 วรรคสอง และวรรคสาม แห่งพระราชบญั ญตั ิวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. 2539 จึงเป็ นการขัดต่อมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ประกอบข้อ 23 วรรคหน่ึงและวรรคสอง
ของประกาศคณะกรรมการพนกั งานเทศบาลจงั หวดั อุบลราชธานี เร่ือง หลกั เกณฑแ์ ละเง่ือนไขในการสอบสวน การลงโทษ
ทางวนิ ยั การใหอ้ อกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวนั ที่ 16 มกราคม 2545

การท่ีนายกเทศมนตรีมีหนังสือว่ากล่าวตักเตือนนางสาวผกา จงึ เป็ นการกระทาทไี่ ม่ชอบด้วยกหหมาย
ศาลปกครองสูงสุดพพิ ากษาให้เพกิ ถอนหนงั สือว่ากล่าวตักเตือนดงั กล่าว

กล่าวโดยสรุปไดว้ า่ สิทธิของคู่กรณีในกระบวนการพิจารณาทางปกครองเป็ นเรื่องสาคญั ที่ประชาชน
ตอ้ งรู้เพ่ือปกป้ องรักษาสิทธิของตน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจา้ หน้าที่ของรัฐตอ้ งศึกษาเรื่องดงั กล่าวให้ถ่องแท้ เนื่องจาก
เจ้าหน้าท่ีของรัฐเป็ นผูม้ ีอานาจตามท่ีกฎหมายกาหนด จึงจาเป็ นตอ้ งใชอ้ านาจน้ันให้เกิดความเป็ นธรรมแก่ประชาชน
นอกจากน้ี หลายท่านคงจะเคยได้ยินคาว่า “เหรี ยญมีสองด้าน” ฉะน้ัน ในวนั ใดวนั หน่ึงขา้ งหน้า เจ้าหน้าท่ีของรัฐ
อาจกลายเป็ นคู่กรณีเสียเอง ความเขา้ ใจเก่ียวกบั สิทธิของคู่กรณีดงั กล่าวกอ็ าจช่วยปกป้ องสิทธิของท่านไดค้ รับ...

(ผู้สนใจศึกษารายละเอียดได้จากคาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ. 12/2562 และสามารถสืบค้น
บทความย้อนหลงั ได้ที่ www.admincourt.go.th เมนูวิชาการ เมนูย่อยอุทาหรณ์จากคดีปกครอง)
ส่วนที่ 3 รู้ทนั สิทธิทจ่ี ะได้รับทราบข้อเทจ็ จริงและโต้แย้งแสดงพยานหลกั ฐาน

ในกรณีที่คาสั่งทางปกครองใดอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าท่ีตอ้ งให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะ
ไดท้ ราบขอ้ เท็จจริงอยา่ งเพียงพอ และมีโอกาสไดโ้ ตแ้ ยง้ และแสดงพยานหลกั ฐานของตน แต่มิใหน้ ามาใชบ้ งั คบั ในกรณี
ดงั ต่อไปน้ี (1) เม่ือมีความจาเป็ นรีบด่วนหากปล่อยให้เน่ินชา้ ไปจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผูห้ น่ึงผูใ้ ด
หรือจะกระทบตอ่ ประโยชนส์ าธารณะ (2) เม่ือจะมีผลทาใหร้ ะยะเวลาที่กฎหมายหรือกฎกาหนดไวใ้ นการทาคาสง่ั ทางปกครอง
ตอ้ งลา่ ชา้ ออกไป (3) เมื่อเป็ นขอ้ เทจ็ จริงที่คู่กรณีน้นั เองไดใ้ หไ้ วใ้ นคาขอ คาใหก้ ารหรือคาแถลง (4) เม่ือโดยสภาพเห็นไดช้ ดั
ในตวั วา่ การให้โอกาสดงั กล่าวไม่อาจกระทาได้ (5) เม่ือเป็ นมาตรการบงั คบั ทางปกครอง และ (6) กรณีอื่นตามที่กาหนด
ในกฎกระทรวง เวน้ แต่เจ้าหน้าที่จะเห็นสมควรปฏิบัติเป็ นอย่างอื่น รวมท้ัง ห้ามมิให้เจ้าหน้าท่ีให้โอกาสดังกล่าว
ถา้ จะก่อใหเ้ กิดผลเสียหายอยา่ งร้ายแรงต่อประโยชนส์ าธารณะ

190 ๑๖๗

สาหรับการดาเนินการทางวนิ ยั แก่พนกั งานเทศบาล ที่ถูกกล่าวหาวา่ กระทาผิดวินยั ใหส้ อบสวนโดยไม่
ชกั ชา้ และตอ้ งแจง้ ขอ้ กล่าวหาและสรุปพยานหลกั ฐานที่สนบั สนุนขอ้ กล่าวหาเท่าท่ีมีให้ผูถ้ ูกกล่าวหาทราบ และตอ้ งให้
โอกาสผถู้ ูกกลา่ วหาช้ีแจงและนาสืบแกข้ อ้ กล่าวหาไดด้ ว้ ย โดยผกู้ ลา่ วหาผถู้ ูกกล่าวหามีสิทธินาทนายความหรือที่ปรึกษาเขา้
ฟังการช้ีแจงหรือการให้ปากคาของตนได้ และถา้ การดาเนินการน้ีเป็ นกรณีกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง
ใหด้ าเนินการสอบสวนตามวธิ ีการท่ีนายกเทศมนตรีเห็นสมควร ท้งั น้ี ตามมาตรา 30 แห่งพระราชบญั ญตั ิวธิ ีปฏิบตั ิราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประกอบขอ้ 23 วรรคหน่ึงและวรรคสอง ของประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาลจงั หวดั
อุบลราชธานี เรื่อง หลกั เกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์
และการร้องทุกข์ ลงวนั ท่ี 16 มกราคม 2545

-----------------------------------------------

1๑9๗1๑

 

“การแจง้ ขอ้ กลา่ าใ ผ้ ูถ้ ูกกล่า าทราบโดยชอบด้ ยกฎ มาย”

นาง า จิดาภา มุ กิ ธนเ ฏฐ์ พนักงานคดีปกครองชาํ นาญการ
กล่มุ เผยแพร่ข้อมูลทาง ชิ าการและ าร าร

าํ นัก จิ ัยและ ิชาการ ํานักงาน าลปกครอง

ในการดําเนินการทาง ินัย พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ. . 2551
ประกอบกับกฎ ก.พ. ฉบับท่ี 18 (พ. . 2540) ออกตามค ามในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ. . 2535 ่าด้ ยการ อบ นพิจารณา กํา นดเกี่ย กับการแจ้งแบบ . 2 (บันทึกการแจ้ง
และรับทราบข้อกล่า า) และแบบ 3. (บันทึกการแจ้งและรับทราบข้อกล่า าและ รุป
พยาน ลักฐานที่ นับ นุนข้อกล่า า) ไ ้ทํานองเดีย กับการดําเนินการทาง ินัยแก่ข้าราชการครูและ
บุคลากรทางการ ึก าในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า พ. . 2547
ประกอบกับกฎ ก.ค. . ่าด้ ยการ อบ นพิจารณา พ. . 2550 ซึ่ง รุป าระ ําคัญได้ ่า การแจ้งและ
อธบิ ายขอ้ กล่า าใ ผ้ ู้ถูกกลา่ าทราบ ่าได้กระทําการใด เม่ือใด อย่างไร ต้องทําเป็นบันทึกการแจ้งและ
รับทราบขอ้ กล่า าตามแบบ . 2 ในกรณที ี่ผูถ้ กู กลา่ ามา แตไ่ ม่ยอมลงลายมอื ชอ่ื รบั ทราบข้อกล่า า
รอื ไมม่ ารับทราบขอ้ กล่า า คณะกรรมการ อบ นจะตอ้ ง ง่ แบบ . 2 จําน น องฉบับทางไปร ณีย์
ลงทะเบียนตอบรับไปใ ้ผู้ถูกกล่า า ณ ท่ีอยู่ของผู้ถูกกล่า า ซ่ึงปรากฏตาม ลักฐานของทางราชการ
รือ ถานที่ติดต่อท่ีผู้ถูกกล่า าแจ้งใ ้ทราบ พร้อมท้ังมี นัง ือ อบถาม ่าได้กระทําตามที่ถูกกล่า า รือไม่
โดยใ ้ผู้ถูกกล่า าเก็บไ ้ น่ึงฉบับและใ ้ผู้ถูกกล่า าลงลายมือชื่อ และ ัน เดือน ปีท่ีรับทราบ ่งกลับคืนมา
ร มไ ้ใน ําน นการ อบ น น่ึงฉบับ เม่ือล่ งพ้น ิบ ้า ันนับแต่ ันท่ีได้ดําเนินการดังกล่า ากไม่ได้รับ
แบบ . 2 คนื มา ใ ถ้ อื ่าผู้ถูกกลา่ าได้ทราบขอ้ กล่า าแล้

และเมื่อคณะกรรมการ อบ นร บร มพยาน ลักฐานที่เก่ีย ข้องเ ร็จ จะต้องเรียกใ ้
ผู้ถูกกล่า ามาพบเพื่อแจ้งข้อกล่า าและ รุปพยาน ลักฐานที่ นับ นุนข้อกล่า า ่าผู้ถูกกล่า า
กระทําผิด ินัยกรณีใด ตามมาตราใด โดยทําเป็นบันทึกตามแบบ . 3 ในกรณีที่ผู้ถูกกล่า ามา
แต่ไม่ยอมลงลายมือชื่อเพ่ือรับทราบ รือไม่มารับทราบข้อกล่า าและ รุปพยาน ลักฐานที่ นับ นุน
ขอ้ กลา่ า คณะกรรมการ อบ นจะตอ้ ง ่งแบบ . 3 จาํ น น องฉบบั ทางไปร ณีย์ลงทะเบียนตอบรับ
ไปใ ้ผู้ถูกกล่า า ณ ที่อยู่ของผู้ถูกกล่า า ซึ่งปรากฏตาม ลักฐานของทางราชการ รือ ถานท่ีติดต่อท่ี
ผู้ถูกกล่า าแจ้งใ ้ทราบ พร้อมทั้งมี นัง ือขอใ ้ผู้ถูกกล่า าชี้แจง นัดมาใ ้ถ้อยคําและนํา ืบ
แก้ข้อกล่า า โดยใ ้ผู้ถูกกล่า าเก็บไ ้ น่ึงฉบับและใ ้ผู้ถูกกล่า าลงลายมือชื่อ และ ัน เดือน ปี
ที่รับทราบ ่งกลับคืนมาร มไ ้ใน ําน นการ อบ น นึ่งฉบับ เม่ือล่ งพ้น ิบ ้า ันนับแต่ ันที่ได้
ดําเนินการดังกล่า ากไม่ได้รับแบบ . 3 คืน รือไม่ได้รับคําชี้แจงจากผู้ถูกกล่า า รือผู้ถูกกล่า า
ไม่มาใ ้ถ้อยคําตามนัดใ ้ถือ ่าผู้ถูกกล่า าได้ทราบข้อกล่า าและ รุปพยาน ลักฐานท่ี นับ นุน
ขอ้ กล่า าแล้ และไมป่ ระ งค์ท่ีจะแกข้ ้อกลา่ า

คดีปกครองในฉบับนี้ถือ ่าเป็นบรรทัดฐานการปฏิบัติราชการที่ดีเกี่ย กับรูปแบบ
ขั้นตอน และ ิธีการเรื่องการแจ้งแบบ . 2 และแบบ . 3 ใ ้ผู้ถูกกล่า าทราบโดยชอบด้ ยกฎ มาย
ท้ังน้ี เน่ืองจากข้ันตอนในการแจ้งข้อกล่า าและ รุปพยาน ลักฐานที่ นับ นุนข้อกล่า าเท่าที่มีใ ้
ผู้ถูกกล่า าทราบ เพื่อใ ้ผู้ถูกกล่า ามีโอกา ชี้แจงและนํา ืบแก้ข้อกล่า า ถือเป็นรูปแบบ ขั้นตอน
และ ิธีการอันเป็น าระ ําคัญที่กฎ มายกํา นดใ ้ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ากดําเนินการไม่ถูกต้อง

 

19๑2๗๒

ตามรูปแบบ ข้ันตอนและ ิธีการท่ีกฎ มายกํา นด ย่อมมีผลทําใ ้คํา ่ังลงโท ทาง ินัยไม่ชอบ
ด้ ยกฎ มาย ซึ่งแม้ ่าข้อพพิ าทในคาํ พพิ าก า าลปกครอง ูง ดุ ทนี่ ํามาเปน็ ตั อยา่ งน้ีจะเป็นเรื่องข้ันตอน
และ ิธีการดําเนินการทาง ินัยกับข้าราชการครูตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการ ึก า พ. . 2547 ก็ตาม แต่คําพิพาก าของ าลปกครอง ูง ุดในคดีน้ีก็ ามารถนําไปใช้เป็น
บรรทัดฐานในการปฏิบัติราชการการท่ีดี ํา รับ น่ ยงานราชการโดยทั่ ไปท่ีมีกฎ มายกํา นดข้ันตอน
และ ิธีการดาํ เนินการทาง ินัยในทาํ นองเดยี กนั

ข้อเท็จจริงในคดีน้ี คือ ในการประชุมครู ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ผู้อําน ยการโรงเรียน) ซ่ึงเป็น
ประธานได้มีคํา ั่งใ ้ผู้ฟ้องคดีอยู่ร่ มในการประชุม และไม่อนุญาตใ ้ผู้ใดออกจาก ้องประชุมก่อน
การประชุมเ ร็จ ้ิน แต่ผู้ฟ้องคดีไม่ปฏิบัติตามคํา ั่งและพูดก่อนออกจาก ้องประชุม ่า “ผมจะออก
แปก็ ขนั้ กแ็ ป็ก ผมไมก่ ลั ”

ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี 1 ได้มคี าํ ั่งแตง่ ตง้ั คณะกรรมการ อบ น นิ ยั ไม่ร้ายแรงแกผ่ ู้ฟอ้ งคดี
กรณีขัดคํา ่งั ผู้บงั คบั บัญชาท่ี ่ังโดยชอบด้ ยกฎ มาย

คณะกรรมการ อบ นได้ทําบันทึกข้อค ามถึงผู้ฟ้องคดีเพ่ือใ ้มารับฟังคําอธิบายและ
รับทราบข้อกล่า าตามแบบ . 2 ท่ี ้องอําน ยการ ใน ันที่ 4 มิถุนายน 2551 โดยนําไป างไ ้ท่ีโต๊ะ
ทํางานของผู้ฟ้องคดีเนื่องจากผู้ฟ้องคดีกําลัง อนอยู่ เมื่อ มดคาบ อน ผู้ฟ้องคดีได้ถือบันทึกดังกล่า มาที่
้องอําน ยการ และพูด ่า “ผมไม่เซ็นอะไรทั้งนั้นและไม่รับทราบอะไรทั้ง ้ิน” คณะกรรมการ อบ นจึงได้
จดแจ้ง มายเ ตุไ ้ในบันทึกดังกล่า ่า ผู้ถูกกล่า าไม่ยอมลงนามรับทราบเพื่อมารับทราบข้อกล่า า
และได้ดําเนินการ อบ นและรายงานการ อบ นตามแบบ . 6 โดยเ ็น ่า ผู้ถูกกล่า ามีพฤติการณ์
กระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชาโดยตลอด จึง มค รลงโท ตัดเงินเดือน 5% เป็นเ ลา 1 เดือน
ตามมาตรา 86 รรค น่ึง แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า พ. . 2547
ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี 1 จึงมีคํา ่ังลงโท ตัดเงินเดือนผู้ฟ้องคดี 5% เป็นเ ลา 1 เดือน ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คํา ั่งดังกล่า
ตอ่ ผู้ถูกฟอ้ งคดีที่ 2 (อ.ก.ค. . เขตพ้นื ทก่ี าร ึก า) แต่ผูถ้ ูกฟ้องคดที ี่ 2 มีมติใ ้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟอ้ งคดี

ผู้ฟ้องคดีเ ็น ่า คํา ่ังของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี 1 ไม่ชอบด้ ยกฎ มาย จึงนําคดีมาฟ้องต่อ
าลปกครองขอใ ้ าลมีคําพิพาก า รือคํา ่ังเพิกถอนคํา ่ังของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และเพิกถอนผล
การพิจารณาอุทธรณข์ องผ้ถู ูกฟ้องคดีท่ี 2

คดีนี้มีประเด็นปัญ าท่ี ําคัญ คือ คณะกรรมการ อบ นดําเนินการ อบ นตาม
ขน้ั ตอนและ ธิ ีการทั้งในข้นั ตอนการแจง้ แบบ . 2 และแบบ . 3 โดยชอบด้ ยกฎ มายแล้ รอื ไม่ ?

าลปกครอง ูง ุด ินิจฉัย ่า ในข้ันตอนการแจ้งและรับทราบข้อกล่า าตามแบบ . 2
ถือ ่าผู้ถูกกล่า าไม่มารับทราบข้อกล่า า คณะกรรมการ อบ นจะต้องดําเนินการ ่งบันทึก
ตามแบบ . 2 จําน น องฉบับทางไปร ณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปใ ้ผู้ถูกกล่า าตามที่อยู่
ซง่ึ ปรากฏตาม ลักฐานของทางราชการ รือ ถานที่ติดต่อที่ผู้ถูกกล่า าแจ้งใ ้ทราบ โดยใ ้ผู้ถูกกล่า า
เกบ็ ไ ้ นง่ึ ฉบบั และใ ผ้ ู้ถูกกล่า าลงลายมือชื่อ และ ัน เดือน ปีท่ีรับทราบแล้ ่งคืนมาร มไ ้ใน ําน น

 

1๑9๗3๓

การ อบ น น่งึ ฉบบั โดยเมื่อล่ งพน้ บิ า้ นั นบั แต่ นั ท่ไี ด้ดาํ เนินการดังกล่า แล้ ากไม่ได้รับแบบ . 2
คืนมา ใ ้ถือ ่าผู้ถูกกล่า าได้ทราบข้อกล่า าแล้ ซึ่งกรณีดังกล่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริง ่า
คณะกรรมการ อบ นได้ดําเนินการแจ้งบันทึกการแจ้งและรับทราบข้อกล่า าตามแบบ . 2
ใ ้ผู้ฟ้องคดีทราบตามข้ันตอนและ ิธีการดังกล่า อันเป็นการไม่ได้ปฏิบัติตามข้อ 23 รรค ก ของกฎ
ก.ค. . ่าด้ ยการ อบ นพิจารณา พ. . 2550 จึงไม่อาจถือได้ ่ามีการแจ้งข้อกล่า าใ ้ผู้ฟ้องคดี
ทราบแล้ และการท่ีคณะกรรมการ อบ นทําบันทึกข้อค ามถึงผู้ฟ้องคดีเพื่อใ ้มารับฟังคําอธิบาย
และรับทราบข้อกล่า าตามแบบ . 2 โดยมีการจดแจ้งพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีที่ไม่ยอมมารับทราบ
ข้อกล่า าไ ้ในบันทึกข้อค ามดังกล่า ไม่ใช่ ิธีการดําเนินการ อบ นตามท่ีกํา นดไ ้ในกฎ ก.ค. .
่าด้ ยการ อบ นพิจารณา พ. . 2550 ขอ้ 23

นอกจากนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง องได้ยอมรับ ่าไม่ได้แจ้งข้อกล่า าและ รุปพยาน ลักฐาน
ท่ี นับ นนุ ขอ้ กลา่ าตามแบบ . 3 ใ ผ้ ้ถู กู กล่า าทราบ โดยกล่า อ้าง ่าพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่า า
ต้ังแต่รับแจ้งข้อกล่า า ตามแบบ . 2 ยังแข็งขืน จึงมีมูลอันค รเชื่อได้ ่าผู้ถูกกล่า าปฏิเ ธทุกกรณีท่ี
เก่ีย ข้องกับการ อบ น คณะกรรมการ อบ นจึงไม่จําต้องแจ้งข้อกล่า าและ รุปพยาน ลักฐาน
ที่ นับ นุนข้อกล่า า ตามแบบ . 3 อีก กรณีจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตาม ลักเกณฑ์ขั้นตอนและ ิธีการ
ตามทก่ี ํา นดในขอ้ 24 รรค ก ของกฎ ก.ค. . ่าด้ ยการ อบ นพจิ ารณา พ. . 2550 และไม่อาจถือได้ ่า
มีการแจ้งข้อกล่า าและ รุปพยาน ลักฐานท่ี นับ นุนข้อกล่า าใ ้ผู้ฟ้องคดีทราบแล้
ผู้ฟอ้ งคดจี งึ ไมม่ ีโอกา ชแ้ี จงข้อเท็จจริงและนํา บื แกข้ ้อกลา่ า

การ อบ น ินัยไม่ร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีจึงมิได้ดําเนินการตามรูปแบบ ข้ันตอน
และ ิธีการอันเป็น าระ ําคัญตามที่กฎ มายกํา นดใ ้ต้องปฏิบัติ ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี 1 จึงไม่อาจนําข้อเท็จจริง
และพยาน ลักฐานท่ีได้จากการ อบ นท่ีไม่ถูกต้องมารับฟังเพ่ือออกคํา ่ังลงโท ทาง ินัยแก่ผู้ฟ้องคดีได้
ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี 1 มีคํา ่ังลงโท ตัดเงินเดือนผู้ฟ้องคดี 5% เป็นเ ลา 1 เดือน จึงเป็นคํา ่ังท่ี
ไม่ชอบด้ ยกฎ มาย และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี 2 มีมติยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีก็เป็นคํา ่ังท่ีไม่ชอบ
ด้ ยกฎ มายเชน่ กัน (คําพพิ าก า าลปกครอง งู ุด ท่ี อ. 716/2558)

จากคําพิพาก าดังกล่า เป็นการ างบรรทัดฐานการปฏิบัติราชการท่ีดีเก่ีย กับ
การดําเนินการ อบ น ินัย ซึ่งคณะกรรมการ อบ นจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและ ิธีการเก่ีย กับ
การ อบ นตามที่กฎ มายกํา นดไ ้อย่างเคร่งครัด เช่น การแจ้งบันทึกการแจ้งและรับทราบ
ข้อกล่า าตามแบบ . 2 และการแจ้งข้อกล่า าและ รุปพยาน ลักฐานที่ นับ นุนข้อกล่า า
ตามแบบ . 3 ซึ่งทั้ง องกรณีดังกล่า ถือเป็นรูปแบบ ข้ันตอน และ ิธีการอันเป็น าระ ําคัญท่ีกฎ มาย
กํา นดใ ้ต้องปฏิบัติ ซ่ึง ากคณะกรรมการ อบ นทาง ินัยไม่ดําเนินการใ ้ถูกต้องตามรูปแบบ ข้ันตอน
และ ิธีการดังกล่า ย่อมไม่อาจนําข้อเท็จจริง รือพยาน ลักฐานท่ีรับฟังมาจากกระบ นการ อบ น
ที่ไมถ่ ูกตอ้ งมาใช้ได้ และ ากนาํ มาใชย้ ่อม ง่ ผลตอ่ คาํ งั่ ลงโท ทาง ินัยใ ้ไม่ชอบด้ ยกฎ มายได้

 


Click to View FlipBook Version