94
ท่ี นร 0205/ว. 234 สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ทําเนียบรฐั บาล กทม. 10300
24 ธนั วาคม 2536
เรื่อง ขอปรบั ปรงุ มติคณะรฐั มนตรีเกยี่ วกับการลงโทษขา ราชการผูก ระทาํ ผดิ วนิ ยั อยา งรา ยแรง
บางกรณี
เรียน (เวยี น กระทรวง ทบวง กรม)
อา งถงึ หนังสอื สาํ นกั เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ดว น ท่ี นว 125/2503 ลงวนั ที่ 5 ตลุ าคม
2503
ส่ิงท่สี งมาดว ย สาํ เนาหนังสือสาํ นกั งาน ก.พ. ปกปด ที่ นร 0709.2/ป 1044
ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2536
ตามทไ่ี ดยืนยนั มติคณะรฐั มนตรเี รือ่ ง การลงโทษขาราชการผูก ระทําผิดทางวินัย
อยางรายแรงมาเพือ่ ทราบและถือปฏิบตั ิ น้ัน
บัดนี้ สํานกั งาน ก.พ. ไดเ สนอขอปรบั ปรงุ มตคิ ณะรฐั มนตรเี มือ่ วนั ท่ี 4 ตลุ าคม
2503 เก่ียวกบั การลงโทษขา ราชการผกู ระทําผิดวินัยอยางรายแรงบางกรณี มาเพื่อคณะรฐั มนตรี
พจิ ารณาความละเอียดปรากฏตามสาํ เนาหนังสือทีไ่ ดสง มาพรอมน้ี
คณะรฐั มนตรไี ดล งมติเมือ่ วันที่ 21 ธนั วาคม 2536 อนมุ ตั ิตามทสี่ ํานักงาน ก.
พ. เสนอดังน้ี
1. ใหปรบั ปรงุ มตคิ ณะรฐั มนตรีเมือ่ วนั ที่ 4 ตลุ าคม 2503 เก่ียวกบั การลงโทษ
ขาราชการผกู ระทาํ ผดิ วินัยอยา งรา ยแรงบางกรณี ดงั น้ี
1.1 ปรับปรงุ ถอ ยคําเพื่อใหเ กิดความชดั เจนจากความวา ìละทงิ้ หนา ท่ี
ราชการไปเลยเกินกวา 15 วัน โดยไมมีเหตุผลอนั สมควรî เปน ìละทิง้ หนาท่ีราชการติดตอ
ในคราวเดยี วกัน เปนเวลาเกนิ กวา 15 วัน โดยไมม เี หตุผลอนั สมควร และไมก ลับมาปฏิบัติ
ราชการอกี เลยî
95
น2ี
1.2 การลงโทษผกู ระทําผิดวินัยฐานทจุ รติ ตอ หนา ที่ราชการ หรอื ละทิ้ง
หนาท่รี าชการตามขอ 1.1 เปนความผดิ วนิ ัยอยา งรา ยแรง ซึง่ ควรลงโทษเปนไลออกจากราช
การ การนําเงนิ ทท่ี จุ รติ ไปแลวมาคืนหรือมีเหตอุ นั ควรปรานอี ่ืนใดไมเ ปนเหตลุ ดหยอนโทษลง
เปน ปลดออกจากราชการ
2. สําหรบั การลงโทษผกู ระทําผิดวินยั อยางรายแรงใน 2 ฐานความผิดดังกลา ว
ตามมาตรา 67 วรรคสาม และมาตรา 75 วรรคสอง แหงพระราชบญั ญัตริ ะเบียบขา ราชการ
พลเรือน พ.ศ.2518 หรอื ตามกฎหมายระเบยี บขา ราชการพลเรือนทใี่ ชบ ังคบั อยกู อ นหนา น้ัน
พระราชบัญญัติระเบียบขา ราชการพลเรือน พ.ศ.2535 มบี ทเฉพาะกาลมาตรา 138 ใหลงโทษ
ตามกฎหมายวาดว ยระเบียบขาราชการพลเรือนท่ีใชอยูข ณะกระทาํ ผดิ กใ็ หถอื ปฏิบตั ิตามมติ
คณะรัฐมนตรเี มอ่ื วันที่ 4 ตลุ าคม 2503 ตอ ไป
จึงเรียนมาเพ่อื โปรดทราบ และขอไดโ ปรดแจง ใหสว นราชการในสงั กัดทราบ
และถอื ปฏบิ ตั ติ อไป
ขอแสดงความนับถอื
(ลงช่อื ) วิษณุ เครอื งาม
(นายวิษณุ เครอื งาม)
เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตรี
กองประมวลและตดิ ตามผลมติคณะรัฐมนตรี
โทร. 2827193 โทรสาร 2824045
96
*97
98
ณึ๋
99
☆
ณึ๊
100
ณั่
101
ซฺ
102
*
ขgngงgนg dgลgsgsgeลg mหesg eณึ๋gs อ. ntงอ
103
•
*ณื๊
104
การ
ณึ๊
105
บทที่ 6
กรณี ึก า แน ทางการลงโท ทาง ินยั ตามมตคิ ณะรฐั มนตรี
มติ ก.ค. . บทค ามเกีย่ กบั การบริ ารงานบุคคลของ านักงาน าลปกครอง
และแน ทางในการปฏิบตั ิราชการท่ีดตี ามคา นิ จิ ฉยั ของ าลปกครอง
กรณีที่ 1 คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ท่ี อ. 118/2551 กำรแต่งตั้งคณะกรรมกำร อบ น
ทำง ินัย ต้องกระทำโดยเจ้ำ น้ำที่ผู้มีอำนำจ กรณีที่คำ ่ังแต่งต้ังคณะกรรมกำร อบ นทำง ินัยอย่ำง
ร้ำยแรงกระทำโดย เจ้ำ น้ำที่ของรัฐ ซ่ึงไม่มีอำนำจตำมกฎ มำยย่อมเป็นคำ ่ังที่ไม่ชอบด้ ยกฎ มำย
และมีผลทำใ ้กำรดำเนินกระบ นกำร ทำง ินัยโดยอำ ัยผลกำร อบ นของคณะกรรมกำร อบ น
ดงั กล่ำ เช่น กำรมีมติและมคี ำ ง่ั ลงโท ผ้ทู ถ่ี กู อบ น เปน็ กำรดำเนนิ กำรท่ไี ม่ชอบด้ ยกฎ มำยไปด้ ย
กรณีที่ 2 คำพพิ ำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ท่ี อ. 28/2547 (ประชมุ ใ ญ่) พิพำก ำ ่ำ กรรมกำร
ทไ่ี ด้รบั แตง่ ตง้ั ใ ้เปน็ คณะกรรมกำร อบ นจะต้องมคี ุณ มบัติตำมทก่ี ฎ มำยกำ นด
กรณีที่ 3 กำรที่เลขำธิกำรคณะกรรมกำรกำร ึก ำข้ันพ้ืนฐำนไดม้ ีคำ ัง่ ท่ี 169/2551 ลง ันที่ 22
กุมภำพันธ์ 2551 แต่งต้ังคณะกรรมกำร อบ น ินัยอย่ำงร้ำยแรง ผู้อุทธรณ์ และผู้ถูกดำเนินกำรทำง ินัย
ซึ่งดำรงตำแ น่งรองผู้อำน ยกำร ำนักงำนเขตพ้ืนท่ีกำร ึก ำกำญจนบุรี เขต 1 (เดิม) ิทยฐำนะรอง
ผู้อำน ยกำร ำนักงำนเขตพื้นที่กำร ึก ำชำนำญกำรพิเ โดยมีนำย ป. ตำแ น่งผู้อำน ยกำร ำนัก
อำน ยกำร ำนักงำนคณะกรรมกำรกำร ึก ำข้ันพื้นฐำน เป็นประธำนกรรมกำร อบ น ซ่ึงตำแ น่ง
ดังกล่ำ ก.ค. . ก็มิได้เทียบใ ้มี ิทยฐำนะ ตำม นัง ือ ำนักงำน ก.ค. . ท่ี ธ 0206.2/ 2 ลง ันท่ี
9 กมุ ภำพันธ์ 2548 คำ ั่งแต่งต้ังคณะกรรมกำร อบ น นิ ยั อยำ่ งรำ้ ยแรง ผ้อู ทุ ธรณ์และผู้ถูกดำเนินกำร
ทำง ินัย จึงเป็นคำ ่ังท่ีไม่ชอบด้ ย กฎ ก.ค. . ่ำด้ ยกำร อบ นพิจำรณำ พ. . 2550 ข้อ 3 รรค อง
เป็นเ ตุใ ้กำร อบ นท้ัง มดเ ียไปตำม ข้อ 43 ของกฎ ก.ค. . ฉบับเดีย กัน เม่ือคำ ั่งแต่งต้ัง
คณะกรรมกำร อบ น ินยั อย่ำงร้ำยแรงไมช่ อบด้ ยกฎ มำย กำรดำเนนิ กำรพิจำรณำโท และ ั่งลงโท
ผู้อุทธรณ์ ซ่ึงมีผลมำจำกกำร อบ นที่มิชอบด้ ยกฎ มำยเ ียไปทั้ง มด ต้องเพิกถอนคำ ั่งลงโท
ดังกล่ำ แล้ ใ ้ผู้บังคับบัญชำแต่งตั้งคณะกรรมกำร อบ นใ ม่ใ ้ถูกต้องตำมที่กำ นดในกฎ ก.ค. .
่ำด้ ยกำร อบ นพิจำรณำ พ. . 2550 และใ ้คณะกรรมกำร อบ นชุดใ ม่ดำเนินกำรตำม
กระบ นกำรของกฎ มำยต่อไป (มติ อ.ก.ค. . ิ ำมัญเก่ีย กับ กำรอุทธรณ์และกำรร้องทุกข์ ครั้งท่ี
9/2556 ันพุธท่ี 8 พฤ ภำคม 2556)
กรณีท่ี 4 คณะกรรมกำร อบ นทำง ินัยอย่ำงร้ำยแรงจำน น ๒ คน เคยเป็นกรรมกำร อบ
ข้อเท็จจริง เพ่ิมเติมต่อมำผู้บังคับบัญชำมีคำ ่ังแต่งตั้งใ ้ท้ัง ๒ คนมำเป็นกรรมกำร อบ น ินัยอย่ำง
ร้ำยแรงอีก จึงทำใ ้กำรพิจำรณำทำงปกครองไม่มีค ำมเป็นกลำงตำมนัยมำตรำ 16 รรค น่ึง
แ ่งพระรำชบัญญัติ ิธีปฏิบัติ รำชกำรทำงปกครอง พ. . 2539 กล่ำ คือ ในกำร อบข้อเท็จจริงบุคคล
ทัง้ องได้รับกำรแต่งต้ังใ ้เป็น คณะกรรมกำร อบ น ินัยอย่ำงร้ำยแรงอีก และคณะกรรมกำร อบ น
ทำง ินัยอย่ำงร้ำยแรงมีเพียง 3 คน บุคคลทั้ง องจึงเป็นเ ียงข้ำงมำก จึงทำใ ้ผลกำร อบ นทำง ินัย
อย่ำงร้ำยแรงย่อมคำด มำยได้อยู่แล้ ่ำ ไม่อำจแตกต่ำงไปจำกผลกำร อบข้อเท็จจริงเพ่ิมเติม ประกอบ
106
กับกำรแต่งต้ังคณะกรรมกำร อบ น ินัยอย่ำงร้ำยแรง ผู้ฟ้องคดีไม่มีค ำมจำเป็นถึงขนำด ำกปล่อยใ ้
ลำ่ ช้ำไปจะเ ยี ำยต่อประโยชน์ ำธำรณะ รอื บคุ คลจะเ ีย ำย โดยไมม่ ีทำงแกไ้ ข อีกทัง้ ไม่มีค ำมจำเป็น
ที่จะต้องแต่งต้ังท้ัง องเป็นกรรมกำร อบ นผู้ฟ้องคดีอีก เพรำะมีบุคคลที่ ำมำรถจะแต่งตั้งใ ้เป็น
กรรมกำร อบ นได้อยู่เป็นจำน นมำก ดังนั้น กระบ นกำร อบ นทำง ินัยอย่ำงร้ำยแรงผู้ฟ้องคดี
จงึ มิได้กระทำโดยถูกต้องตำมรูปแบบ ขั้นตอน รือ ิธีกำรอันเป็น ำระ ำคัญท่ีกำ นดไ ้ ำ รับกำรกระทำน้ัน
เม่ือกำรแต่งตั้งคณะกรรมกำร อบ น ินัยอย่ำงร้ำยแรงผู้ฟ้องคดี ซ่ึงเป็นกำรพิจำรณำทำงปกครอง
ไม่ชอบด้ ยกฎ มำย กำรท่ีนำผลกำร อบ น ินัยอย่ำงร้ำยแรงผู้ฟ้องคดีมำใช้ในกำรพิจำรณำโท ทำง ินัย
จงึ ไม่ชอบด้ ยกฎ มำยด้ ย (คำพพิ ำก ำ ำลปกครอง งู ุดในคดี มำยเลขแดงที่ ฟ. ๓๕/๒๕๖๐)
กรณีที่ 5 คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ท่ี อ.3/2555 พิพำก ำกรณีที่ผอู้ ำน ยกำรประถม ึก ำ
จัง ัด นำขอ้ กล่ำ ำเร่ืองทีผ่ ู้ฟ้องคดีทำโท นักเรยี นด้ ยกำรตี ซ่ึงผิดระเบียบกระทร ง ึก ำธิกำรเขำ้ มำ
เป็นเ ตุลงโท ทำง ินัยไม่ร้ำยแรงแก่ผู้ฟ้องคดี ซึ่งเป็นกรณีนอกเ นือข้อกล่ำ ำที่ไดต้ ั้งกรรมกำร ืบ น
ผู้ฟ้องคดีกรณีไม่ใ ้เกียรติเพ่ือนครูด้ ยกัน ใช้ ำจำ ยำบคำยต่อ น้ำนักเรียนและเพ่ือนครู ไม่เคำรพ ิทธิ
ซึ่งกันและกันทำใ ้ได้รับกำรอับอำยต่อ น้ำนักเรียน โดยไม่ได้มีกำรแจ้งข้อกล่ำ ำเพ่ือใ ้ผู้ฟ้องคดี
ได้มีโอกำ โต้แย้งและแ ดงพยำน ลักฐำนของตน ตำมนัยมำตรำ 30 รรค น่ึง แ ่งพระรำชบัญญัติ ิธี
ปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง พ. . 2539 ทั้งยังได้นำเร่ืองที่ผู้ฟ้องคดีเคยถูกลงโท ในกรณีอื่นมำเป็นเ ตุ
ลงโท ภำคทัณฑ์ จึงเป็นกำรใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ คำ ั่งลงโท จึงไม่ชอบด้ ยกฎ มำย ถึงแม้ ่ำในช้ัน
กำรพิจำรณำของ อ.ก.ค.ฯ มีมติใ ล้ งโท ผ้ฟู ้องคดีโดยตดั ประเด็นกำรลงโท เรอ่ื งอื่นออกไปแล้ ก็ไม่มีผล
ทำใ ้คำ ง่ั ดงั กลำ่ กลบั กลำยเปน็ คำ ั่งทช่ี อบด้ ยกฎ มำยไปได้
กรณีท่ี 6 คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ที่ อ.197/2548 และที่ อ.21/2550 ( ่ังลงโท ใน
ข้อกล่ำ ำ ท่ีมิได้มีกำรแจ้งข้อกล่ำ ำนั้นมำก่อน) พิพำก ำ ่ำ กำรท่ีผู้มีอำนำจ ่ังลงโท ออกคำ ั่ง
ลงโท ในข้อกล่ำ ำ ทีม่ ไิ ด้มกี ำรแจง้ ขอ้ กลำ่ ำนั้นมำก่อน ยอ่ มเป็นคำ ั่งลงโท ท่ีไม่ชอบด้ ยกฎ มำย
กรณีท่ี 7 คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ที่ อ.153/2547 พิพำก ำ ่ำ กำร ั่งลงโท ใน
ข้อกล่ำ ำ ที่คณะกรรมกำร อบ นมิได้แจ้งข้อกล่ำ ำใน “พฤติกำรณ์และกำรกระทำ” น้ันมำก่อน
รือกำร ่ังลงโท โดยเปลี่ยนแปลงข้อกล่ำ ำใน “พฤติกำรณ์และกำรกระทำ” ใ ม่ ไม่ ำมำรถกระทำได้
เพรำะเป็นกำร ่ังลงโท ในข้อกล่ำ ำที่ไม่เคยมีกำร อบ นมำก่อน รือเป็นกำรไม่ใ ้โอกำ
ผู้ถูกกล่ำ ำได้ทรำบข้อเท็จจริงในข้อกล่ำ ำ อันนำไป ู่กำรลงโท ได้เพียงพอ และไม่มีโอกำ ได้โต้แย้ง
รือแ ดงพยำน ลักฐำนของตน แล้ แต่กรณี ่ นกำร ่ังลงโท ในขอ้ กล่ำ ำที่ “พฤตกิ ำรณ์และกำรกระทำ” น้ัน
มีกำรแจ้งข้อกล่ำ ำและ อบ นแล้ แต่ผู้มีอำนำจ ั่งลงโท รือผู้พิจำรณำค ำมผิดและกำ นดโท
รือผู้มีอำนำจพิจำรณำอุทธรณ์เ ็น ่ำคณะกรรมกำร อบ นแจ้ง “ฐำนค ำมผิด” ไม่ถูกต้อง ผู้มีอำนำจ
ดงั กลำ่ ย่อม ำมำรถแก้ไข “ฐำนค ำมผิด” รือ “ปรับบทกฎ มำย” ใ ถ้ กู ต้องได้
กรณีท่ี 8 มติ อ.ก.ค. . ิ ำมัญเก่ีย กับกำรอุทธรณ์และกำรร้องทุกข์ คร้ังท่ี 7/2556 ันพุธที่ 3
เม ำยน 2556 กำรท่ีมิได้ดำเนินกำรแจ้ง .3 ของคณะกรรมกำร อบ นเพิ่มเติมเ ียก่อนท่ีจะมีคำ ั่ง
ลงโท ผู้อุทธรณ์ ซ่ึงถือเป็นขั้นตอนและ ิธีกำรอันเป็น ำระ ำคัญท่ีกำ นดไ ้ในกำร อบ นทำง ินัย
อย่ำงร้ำยแรง ซ่ึงบุคคลจะต้องรับโท นักข้ึนโดยอำ ยั ข้อเท็จจริงใด บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเทจ็ จรงิ นั้น จึงเป็น
กรณีท่ีมิได้ดำเนินกำรตำมท่ีกฎ มำยกำ นด ดังนั้น กำรดำเนินกำรพิจำรณำโท และกำร ่ังลงโท
107
ผู้อุทธรณ์ซ่ึงอำ ัยผลจำกกำร อบ นเพิ่มเติมที่มิได้ดำเนินกำรตำมท่ีกฎ มำยกำ นด จึงเป็นกำร
ดำเนินกำรท่ีไม่ชอบด้ ยกฎ มำย ตำมไปด้ ยกำรที่ อ.ก.ค. . ิ ำมัญเกี่ย กับ ินัยและกำรออกจำกรำชกำร
ได้พิจำรณำจำกพยำน ลักฐำนที่ได้มำจำกกำร อบ นเพ่ิมเติมท่ีมิได้ดำเนินกำรตำมที่กฎ มำยกำ นด
แล้ มีมติใ ้ลงโท ไล่ผู้อุทธรณ์ออกจำกรำชกำร และกำรท่ีผู้อำน ยกำร ำนักงำนเขตพื้นที่กำร ึก ำ
ประถม ึก ำได้มีคำ ั่งลงโท ไล่ผู้อุทธรณ์ออกจำกรำชกำร ตำมนัยมติ อ.ก.ค. . ิ ำมัญเกี่ย กับ ินัยและ
กำรออกจำกรำชกำร จึงไม่ชอบด้ ยกฎ มำย อุทธรณ์ฟังข้ึนในข้อกฎ มำย จึงมีมติใ ้ผู้บังคับบัญชำ
เพิกถอนคำที่ ่ังลงโท ไล่ผู้อุทธรณ์ออกจำกรำชกำร และ ั่งใ ้ผู้อุทธรณ์กลับเข้ำรับรำชกำร แล้ ่งเรื่อง
กำรดำเนินกำรทำง ินัยมำยัง ำนกั งำน ก.ค. . เพอ่ื พิจำรณำต้ังแต่ขน้ั ตอนกำรอธิบำยข้อกล่ำ ำ และแจ้ง
ข้อกล่ำ ำ และ รุปพยำน ลักฐำนท่ี นับ นุนข้อกล่ำ ำ ( .3) ในฐำนค ำมผิด ินัยอย่ำงร้ำยแรง
ตำมมำตรำ 98 รรค อง แ ่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน พ. . 2535 ที่นำมำใช้บังคับ
โดยอนุโลม และต้องใ ้โอกำ ผู้อุทธรณ์ท่ีจะชี้แจงใ ้ถ้อยคำ และนำ ืบแก้ข้อกล่ำ ำตำมที่กำ นดไ ้ใน
มำตรำ 98 รรค น่ึง แ ่งพระรำชบัญญัติระเบยี บข้ำรำชกำรครแู ละบุคลำกรทำงกำร ึก ำ พ. . 2547
ประกอบกับ ข้อ 24 ของ กฎ ก.ค. . ่ำด้ ยกำร อบ นพิจำรณำ พ. . 2550 เพ่ือพิ ูจน์ใ ้เ ็น
ค ำมผิด รือค ำมบริ ทุ ธิ์ ของผู้อทุ ธรณใ์ แ้ จง้ ชดั โดย ้ินกระแ ค ำมเ ยี ใ ม่ แล้ ดำเนินกำรใ ้ถกู ตอ้ ง
ตำมกฎ มำยต่อไป
กรณีที่ 9 มติ อ.ก.ค. . ิ ำมัญเก่ีย กับกำรอุทธรณ์และกำรร้องทุกข์คร้ังที่ 14/2557 ันพุธท่ี
23 กรกฎำคม 2557 กำร อบปำกคำพยำนซึ่งเป็นเด็ก จำน น ๘ รำย เป็นกำรดำเนินกำรโดยไม่ชอบด้ ย
ข้อ 28 รรค อง ของกฎ ก.ค. . ่ำด้ ยกำร อบ นพิจำรณำ พ. . 2550 จึงทำใ ้ถ้อยคำใ ้กำรของ
พยำนซ่ึงเปน็ เดก็ จำน น 8 รำย เ ียไปท้ัง มด ซ่ึงจะเ ็นได้ ่ำกำรพิจำรณำพยำน ลักฐำนได้ยึดคำใ ้กำร
ของพยำนผู้เ ีย ำย ซึ่งเป็นเด็กเป็น ำคัญแต่ไม่ปรำกฏ ่ำได้มีมติใ ้ผู้บังคับบัญชำดำเนินกำร
ใ ้คณะกรรมกำร อบ นทำกำร อบ นพยำน ซึ่งเป็นเด็กใ ม่ใ ้ถูกต้องแต่อย่ำงใด ดังน้ัน กำรที่มิได้
ดำเนินกำรดงั กล่ำ ข้ำงต้นน้ีเ ียก่อนท่ีจะมีคำ ั่งลงโท ไล่ ผู้อุทธรณ์ออกจำกรำชกำร จึงเป็นกำรนำพยำน
ท่ีไม่มีอยู่มำใช้ประกอบกำรพิจำรณำ ั่งลงโท อันเป็นกำรไม่ชอบด้ ยกฎ มำย และทำใ ้เ ียค ำมเป็นธรรม
แก่ผู้อุทธรณ์อันเป็นเ ตุใ ้คำ ั่งลงโท ไล่ผู้อุทธรณ์ออกจำกรำชกำร เป็นคำ ั่งท่ีไม่ชอบด้ ยกฎ มำย
ฉะนัน้ เมื่อพิจำรณำแล้ เ ็น ำ่ กำร อบ นพยำนซึง่ เป็นเด็กถือ ่ำ เป็น ำระ ำคัญที่จำเป็นจะต้องนำมำ
ประกอบกำรพิจำรณำเพ่ือพิ ูจน์ค ำมผิด รือค ำมบริ ุทธิ์ของผู้อุทธรณ์ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ใ ้เพิกถอน
คำ ั่ง ำนักงำนเขตพื้นท่ีกำร ึก ำประถม ึก ำท่ี ่ังลงโท ไล่ผู้อุทธรณ์ออกจำกรำชกำร และใ ้
ผู้บังคับบัญชำ ั่งใ ้ผู้อุทธรณ์กลับเข้ำรับรำชกำรและ ั่งใ ้คณะกรรมกำร อบ นดำเนินกำร อบปำกคำ
พยำนซึ่งเปน็ เด็กใ ม่ ใ ้ถกู ต้องตำมข้อ 28 รรค อง ของกฎ ก.ค. . ำ่ ด้ ยกำร อบ นพิจำรณำ พ. . 2550
แล้ ดำเนินกระบ นพิจำรณำใ ม่ใ ถ้ ูกต้องตำมกฎ มำยตอ่ ไป
กรณที ี่ 10 กำรรอผลคดีอำญำนั้น ำลปกครอง ูง ุดได้มแี น ินิจฉยั ่ำ กำรดำเนินกำรทำง ินัย
ไม่ต้องรอผลคดีอำญำ และผลของคดีอำญำจะเป็นประกำรใดไม่ผูกมัดผู้ดำเนินกำรทำง ินัยท่ีจะเ ็น
แตกต่ำงได้ ำกได้กระทำไปโดย ุจริตและเป็นไปตำมกฎ มำยแล้ (คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ที่
อ.142/2549) และเ ็น ่ำ ผลกำรลงโท ทำง ินัยและผลกำรลงโท ทำงอำญำ ำจำต้องมีผลไปทำง
เดีย กันไม่ เพรำะกระบ นกำรพิจำรณำทำง ินัยและทำงอำญำมีค ำมแตกต่ำงกัน กำรรับฟัง
108
พยำน ลักฐำนก็แตกต่ำงกัน ท้ังกำรมีอยู่ของพยำน ลักฐำน และกำรใ ้ถ้อยคำ รือกำรเบิกค ำมของ
พยำนอำจจะมีค ำมแตกต่ำงกันได้ จึงไม่จำต้องรอผลกำรพิจำรณำทำงอำญำก่อน แต่ประกำรใด เมื่อมี
กำรดำเนินกำรทำง ินัยจนมีกำร ่ังลงโท ผู้ฟ้องคดี ำกภำย ลังปรำกฏ ่ำผู้ฟ้องคดี กระทำค ำมผิด
อำญำจนได้รับโท จำคุก รือโท ท่ี นักก ่ำจำคุก โดยคำพิพำก ำถึงท่ี ุดใ ้จำคุก รือโท ท่ี นักก ่ำจำคุก
เ ้นแต่เป็นโท ำ รับค ำมผิดท่ีได้กระทำโดยประมำท รือค ำมผิดล ุโท ผลของกำรได้รับโท จำคุก
ดังกล่ำ ถือเป็นกำรกระทำผิด ินัยอย่ำงร้ำยแรง และเป็นกรณีค ำมผิดที่ปรำกฏชัดแจ้ง เมื่อผู้ถูกฟ้องคดี
ลงโท ทำง ินัย ผู้ฟ้องคดีในเร่ืองดังกล่ำ ไม่ถือ ่ำเป็นกำรดำเนินกำรทำง ินัยซ้ำซ้อน ถึงแม้มูลกรณีกำร
กระทำค ำมผดิ เป็นเ ตุ เดีย กันกับผลกำรดำเนินกำรทำง นิ ัยที่เป็นเ ตุแ ่งคดีนี้กต็ ำม (คำพิพำก ำ ำล
ปกครอง ูง ดุ ที่ อ.67/2547)
กรณีท่ี ๑1 ตำมคำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ท่ี อ.67/2547 ได้ ำง ลักกรณีกำรลงโท ทำง ินัย
ท่ีเกี่ย เนื่องกับคดีอำญำ ่ำ เม่ือมีกำรดำเนินกำรทำง ินัยและได้ ั่งลงโท แก่ข้ำรำชกำรผู้ใดไปแล้
ำกปรำกฏภำย ลัง ่ำข้ำรำชกำรผู้นั้นกระทำผิดอำญำจนได้รับโท จำคุก ผลของกำรได้รับโท จำคุก
เป็นค ำมผิด นิ ัยอย่ำงร้ำยแรง ซง่ึ เป็นค ำมผิดท่ีปรำกฏชัดแจง้ ผบู้ ังคับบัญชำยัง ำมำรถ ่ังลงโท ไล่ออก
รือปลดออกได้ โดยไม่ถือ ่ำเป็นกำรดำเนินกำรทำง นิ ัยซ้ำ แม้มูลกรณีกำรกระทำค ำมผิดจะเป็นเ ตุเดีย กัน
ซึ่งเป็นกำรกลับ ลักแน ินิจฉัยของ ก.พ. ตำม นัง ือ ำนักงำน ก.พ. ท่ี นร 0709.2/565 ลง นั ท่ี 30
ตลุ ำคม 2541 ซง่ึ เ ็น ่ำ เปน็ กำรดำเนินกำรซ้ำต้อง งั่ ใ ้ผูน้ ัน้ ออกจำกรำชกำรเพรำะขำดคุณ มบตั ิ
กรณีท่ี ๑2 คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ท่ี อ. 463/2551 เม่ือข้ำรำชกำรถูกกล่ำ ำ ่ำ
กระทำผิด ินัยอย่ำงร้ำยแรง และกำรกระทำดังกล่ำ เป็นค ำมผิดทำงอำญำด้ ย ข้ำรำชกำรผู้นั้นย่อม
ถกู ดำเนินกำรทั้งทำง นิ ัยและทำงอำญำไปพรอ้ มกันได้ แม้ ่ำผลคดีอำญำยังไมถ่ ึงท่ี ุดก็ตำม เน่ืองจำกกำร
ดำเนินคดีอำญำน้ันมุ่งประ งค์ค บคุมกำรกระทำของบุคคลใน ังคมมิใ ้กระทำกำรท่ีกฎ มำยกำ นด ่ำ
เป็นค ำมผิดอำญำ เพ่ือคุ้มครอง ังคม โดยร มใ ้มีค ำม งบ ุข ่ นกำรดำเนินกำรทำง ินัยเป็น
มำตรกำรในกำรรัก ำ ินัยของข้ำรำชกำรท่ีมุ่งปรำบปรำมข้ำรำชกำรท่ีกระทำกำรฝ่ำฝืนข้อ ้ำมตำมที่
กฎ มำย ระเบียบ ขอ้ บังคับกำ นดโดยใช้ ธิ ีกำรลงโท ทำง ินัย ซ่ึงมีผลเป็นกำรปรำมไมใ่ ้ขำ้ รำชกำรอื่น
กระทำผิด ินัยเพรำะเกรงกลั กำรลงโท ด้ ย อีกทั้งกำรรับฟังพยำน ลักฐำน เพื่อจะลงโท ทำง ินัยของ
ผู้บังคับบัญชำ ก็แตกต่ำงจำกกำรรับฟังพยำน ลักฐำนเพื่อลงโท ในคดีอำญำของ ำล โดยคดีอำญำ ำล
จะพิพำก ำลงโท จำเลยได้ต่อเม่ือมีพยำน ลักฐำนปรำกฏชัดแจ้งปรำ จำกข้อ ง ัย ่ นกำรลงโท
ทำง ินัยผู้บังคับบัญชำ ำมำรถใช้ดุลพินิจ ั่งลงโท ผู้ถูกกล่ำ ำได้โดยพิจำรณำจำกพยำน ลักฐำนและ
พฤตกิ ำรณ์ของผู้ถูกกล่ำ ำทป่ี รำกฏใน ำน นกำร อบ นของคณะกรรมกำร อบ น ซ่ึงร มถึง ำน น
กำรไต่ นข้อเท็จจริงตำมที่คณะกรรมกำร ป.ป.ช. มีมติโดยไม่จำเป็นต้องปรำกฏพยำน ลักฐำนชัดแจ้ง
ปรำ จำกข้อ ง ัย ดงั เช่นคดีอำญำ และไม่จำต้องรอฟังผลคดอี ำญำแต่อย่ำงใด
กรณีที่ ๑3 มติ อ.ก.ค. . ิ ำมัญเกี่ย กับกำรอุทธรณ์และกำรร้องทุกข์ครั้งที่ 2/2556 ันพุธที่
23 มกรำคม 2556 กำรออกคำ ่ังลงโท ไล่ผู้อุทธรณ์ออกจำกรำชกำร ตำมคำ ่ัง ำนักงำนเขตพื้นที่
กำร ึก ำประถม ึก ำ ระบุแต่เพียง ่ำ ผูอ้ ุทธรณ์ละท้ิง น้ำท่ีรำชกำรติดต่อในครำ เดีย กันเป็นเ ลำเกิน
ก ่ำ ิบ ้ำ ันโดยไม่มีเ ตุผลอัน มค รน้ัน เป็นกำรออกคำ ั่งลงโท ที่ไม่มีข้อพิจำรณำและข้อ นับ นุน
ในกำรใช้ดลุ พินิจกำรออกคำ ่งั ลงโท จึงมีข้อค ำมไม่ มบูรณ์ตำมระเบียบ ก.ค. . ่ำด้ ย ิธกี ำรออกคำ ั่ง
109
เกี่ย กับกำรลงโท ทำง ินัย ข้ำรำชกำรครูและบุคลำกรทำงกำร ึก ำ พ. . 2548 ข้อ 3 จึงมีมติใ ้
ำนักงำนเขตพื้นท่ีกำร ึก ำแก้ไขเพ่ิมเติมคำ ่ังโดยใ ้มีกำรระบุถึงข้อพิจำรณำ ข้อ นับ นุนในกำรใช้
ดุลพินิจอย่ำงไร ในกำรลงโท ผู้อุทธรณ์ และใ ้ทำกำรแจ้งคำ ่ังที่แก้ไขดังกล่ำ ใ ้ผู้อุทธรณ์ทรำบเพ่ือ
ผอู้ ทุ ธรณ์ ำมำรถใช้ ทิ ธโิ ต้แย้งกำรใชด้ ุลพนิ ิจ ในกำรลงโท ได้อยำ่ งถกู ต้อง
กรณีท่ี ๑4 มติ อ.ก.ค. . ิ ำมัญเกย่ี กบั กำรอุทธรณแ์ ละกำรรอ้ งทกุ ข์คร้ังท่ี 3/2557 ันพธุ ที่ 5
กุมภำพันธ์ 2557 กำรดำเนินกำรทำง ินัยและกำรลงโท ทำง ินัยจะต้องเป็นไปตำมขั้นตอนและ ิธีกำร
ที่กฎ มำย กฎ ระเบียบ รือข้อบังคับกำ นดไ ้ โดยจะต้องมี ลักเกณฑ์ที่กำ นด ิธีดำเนินกำรเพ่ื อ
ลงโท รือ ิธีกำรบังคับโท ท่ีชัดเจน เมื่อไม่มี ลักเกณฑ์เพ่ือกำ นด ิธีดำเนินกำรเพ่ือลงโท รือ ิธีกำร
บังคบั โท ใ เ้ ป็นไปตำม ถำนโท ทกี่ ำ นดไ ้ในกฎ มำย กำรดำเนนิ กำรทำง ินัยและกำรลงโท ทำง ินัย
ย่อมไม่อำจดำเนินกำรต่อไปได้ เมื่อตำแ น่งบุคลำกรทำงกำร ึก ำอื่น ตำมม ำตรำ 38 ค. (2)
แ ่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรครูและบุคลำกรทำงกำร ึก ำ พ. . 2547 ไม่มีขั้นเงินเดือน
กำรจะใช้ ิธีดำเนินกำรเพ่ือลงโท รือ ิธีกำรบังคับโท ด้ ยกำรลดขั้นเงินเดือน จึงไม่อำจกระทำได้
จงึ เ ็นค รท่ีจะพิจำรณำทบท นกำรใช้ดุลพินจิ ในกำรลงโท นำย . ใ ม่ตำม ถำนโท ทีม่ ี ิธีดำเนินกำร
เพ่ือลงโท รือ ธิ ีกำรบังคับโท ท่ีชัดเจนตำมที่มีกฎ มำย กฎ ระเบียบ รอื ข้อบังคับกำ นดไ ้ และตำม
ค ำมเ มำะ มแก่ค ำมผดิ ด้ ย โดยเม่อื เทยี บเคียงจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ใ ้เปลย่ี นแปลงกำรลงโท นำย .
จำกโท ลดขั้นเงินเดือน 1 ข้ันเป็นโท ตัดเงินเดือน 5 % เป็นเ ลำ 3 เดือน ซ่ึงใกล้เคียงกับโท ลดข้ัน
เงินเดือน 1 ขน้ั และมี ิธีดำเนินกำรเพื่อลงโท รอื ธิ กี ำรบังคับโท ชัดเจนตำมทมี่ ีกฎ มำย กฎ ระเบยี บ
รอื ขอ้ บงั คับ กำ นดไ ้ ทั้งยงั เปน็ คุณกับนำย . ด้ ย
กรณีท่ี ๑5 ำลปกครอง ูง ดุ ินจิ ฉยั ำ่ กำรดำเนินกำรตำมพระรำชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญ
ำ่ ด้ ยกำรป้องกันและปรำบปรำมกำรทจุ ริต พ. . 2542 มำตรำ 91 มำตรำ 92 และมำตรำ 93 ไมไ่ ด้มี
ผลเป็นกำรยกเลิก รือยกเ ้นผลบังคับของ ลักกฎ มำยทั่ ไปที่ ้ำมมิใ ้ลงโท บุคคลใดบุคคล นึ่ง
มำกก ่ำ น่ึงครั้ง ำ รับค ำมผิดท่ีบุคคลน้ันได้กระทำเพียงครั้งเดีย และมำตรำ 29 รรค น่ึง ของ
รัฐธรรมนูญแ ่งรำชอำณำจักรไทย พุทธ ักรำช 2550 ท่ี ้ำมมิใ ้จำกัด ิทธิเ รีภำพของบุคคลเกิน
ค ำมจำเปน็ แกก่ ำรรัก ำไ ้ซึ่งประโยชน์ ำธำรณะท่กี ฎ มำยฉบับทใี่ ้อำนำจจำกดั ิทธิ รือเ รีภำพน้นั ๆ
มุ่ง มำยจะใ ้ค ำมคุ้มครองแต่อย่ำงใด ผู้ถูกฟ้องคดีจึงปฏิบัติตำมบทบัญญัติแ ่งกฎ มำยน้ันได้
โดยดำเนินกำรเพิกถอนคำ ั่งลงโท โดยใ ้มีผลย้อน ลังไปถึง ันออกคำ ั่งตำม ลักเกณฑ์เก่ีย กับ
กำรเพิกถอนคำ ั่งทำงปกครองโดยเจ้ำ น้ำที่ รือผู้บังคับบัญชำ ของเจ้ำ น้ำที่ผู้ออกคำ ั่งทำงปกครอง
ในพระรำชบัญญัติ ิธีปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง พ. . 2539 เ ียก่อน (คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุดที่
7/2557)
110
แน ทางการลงโท ทาง นิ ัยตามมติคณะรัฐมนตรี
ในเร่ืองของกำรปฏิบัติใ ้เป็นไปตำมมติคณะรัฐมนตรีน้ัน ำลปกครอง ูง ุดได้มีคำพิพำก ำ ่ำ
เมื่อคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นองค์กร ูง ุดที่มีอำนำจ น้ำที่ในกำรบริ ำรรำชกำรแผ่นดินตำมบทบัญญัติ
แ ่งรัฐธรรมนูญ น่ ยงำนทำงปกครองก็ต้องปฏิบัติตำมนโยบำยของคณะรัฐมนตรี กำรกำ นด
ลักเกณฑ์เร่ืองใดท่ีไม่เป็นไปตำมมติคณะรัฐมนตรีย่อมถือ ่ำเป็นกำรกระทำท่ีไม่ชอบด้ ยกฎ มำย
(คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ที่ อ.89/2549)
เร่ืองกำรเ พ ุรำ มติคณะรัฐมนตรีตำม นงั ือกรมเลขำธิกำรคณะรฐั มนตรี ท่ี น . 208/2496
ลง ันท่ี 3 กันยำยน 2496 ได้ ำงแน ทำงกำรลงโท ไ ้ ่ำ ข้ำรำชกำรผู้ใดเ พ ุรำในกรณีดังต่อไปนี้
อำจเข้ำลัก ณะเป็นค ำมผิดฐำนประพฤติชั่ อย่ำงร้ำยแรงได้ คือ เ พ ุรำในขณะปฏิบัติ น้ำท่ีรำชกำร
เมำ ุรำเ ียรำชกำร เมำ ุรำในที่ชุมชนจนเกิดเรื่องเ ีย ำย รือเ ่ือมเ ียเกียรติ ักด์ิของตำแ น่ง น้ำที่
รำชกำรเก่ีย กับมติคณะรัฐมนตรีดังกล่ำ นี้ ได้มีแน ทำงกำรพิจำรณำของ ก.พ. ตำม นัง ือ ำนักงำน
ก.พ. ที่ นร 0709.2/ล 47 ลง ันที่ 19 กุมภำพันธ์ 2536 ใ ้ ำงแน ทำง ำ่ กรณีดงั กล่ำ ค รพิจำรณำ
รำยละเอยี ดข้อเท็จจริงและพฤติกำรณ์ ค ำมรำ้ ยแรงแ ่งกรณีเปน็ เรือ่ ง ๆ ไป
เร่ืองกำรเลน่ กำรพนนั ก.ค. . มีมติใ ้ก ดขันในกำรปฏิบตั ิตำมมติคณะรัฐมนตรตี ำม นัง อื ำนัก
เลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี ที่ น . 208/ 2496 ลง ันที่ 3 กันยำยน 2496 แจ้งตำม นัง ือ ำนักงำน
ก.ค. . ที่ ธ 0206.4/ 7 ลง ันท่ี 27 ตุลำคม 2550 ได้ซักซ้อมค ำมเข้ำใจเกี่ย กับกำรลงโท
ข้ำรำชกำรครูและบุคลำกรทำงกำร ึก ำเล่นกำรพนนั ถือเป็นค ำมผิด ินัยฐำนประพฤติช่ั อย่ำงรำ้ ยแรง ไ ้ ำ่
(1) กำรพนันท่ีกฎ มำย ้ำมขำดถ้ำข้ำรำชกำรครูผู้ใดเล่นกำรพนันค รลงโท ปลดออก รือไล่
ออกจำกรำชกำร
(2) กำรพนันประเภททีก่ ฎ มำยบญั ญัติ ำ่ จะเล่นได้ต่อเมอ่ื ได้รบั อนุญำตจำกทำงกำร
- กรณีเล่นกำรพนันโดยไม่ได้รับอนุญำต ถ้ำผู้เล่นเป็นเจ้ำพนักงำนซึ่งมี น้ำที่ปรำบปรำมโดยตรง
รือเป็นครู รือเป็นเจ้ำ น้ำที่เกี่ย กับกำร ัฒนธรรม รือเจ้ำพนักงำนอ่ืนใด ซึ่งมีข้อ ้ำมของกระทร ง
ทบ ง กรม ำงไ เ้ ปน็ พิเ อำจพิจำรณำลงโท ตำมเกณฑใ์ นข้อ 1
- กรณีเล่นกำรพนันโดยได้รับอนุญำตแล้ ถ้ำผู้เล่นเป็นเจ้ำพนักงำนซ่ึงมี น้ำที่ปรำบปรำม
โดยตรง รือเป็นครู รือเป็นเจ้ำ น้ำท่ีเกี่ย กับกำร ัฒนธรรม รือเจ้ำพนักงำนอื่นใด ซึ่งมีข้อ ้ำมของ
กระทร ง ทบ ง กรม ำงไ ้เป็นพิเ อำจพจิ ำรณำลงโท ตำมเกณฑ์ในข้อ 1 ก็ได้
เร่ืองกำรเบิกเงินค่ำพำ นะเดินทำง รือเบี้ยเลี้ยง รอื เงนิ อื่นในทำนองเดีย กันเป็นเท็จ ก.พ. ได้มี
มติตำม นัง ือ ำนักงำน ก.พ. ที่ ร 0905/ 6 ลง ันที่ 28 พฤ ภำคม 2511 และ นัง ือ ำนักงำน
ก.พ. ที่ นร 0709.2/ 8 ลง ันที่ 26 กรกฎำคม 2536 ได้ ำงแน ทำงกำรลงโท ไ ้ ่ำ กำรกระทำ
ในลัก ณะดังกล่ำ เป็นค ำมผิดฐำนประพฤติช่ั อย่ำงร้ำยแรง โดยใ ้พิจำรณำรำยละเอียดพฤติกำรณ์
แ ่งกำรกระทำผิดประกอบด้ ย
111
เรื่องกำรเรียกเงินจำกผู้ มัคร อบ ก.พ. ได้มีมติตำม นัง ือ ำนักงำน ก.พ. ท่ี ร 1006/ 15
ลง ันที่ 19 ธัน ำคม 2516 ได้ ำงแน ทำงกำรลงโท กรณีข้ำรำชกำรเรียกและรับเงินจำกผู้ มัคร
อบแข่งขัน รือ อบคัดเลือก โดยอ้ำง ่ำจะช่ ยเ ลือใ ้ อบได้ พฤติกำรณ์เป็นค ำมผิด ินัยฐำน
ประพฤติชั่ อย่ำงร้ำยแรง ค รลงโท ถำน นักระดับเดีย กับค ำมผิดฐำนทุจริตต่อ น้ำที่รำชกำร
จะปรำนลี ด ย่อนโท ได้ กเ็ พียงปลดออก จำกรำชกำรเท่ำน้นั
กรณี ึก ำ ำลปกครอง ูง ุด ินิจฉัย ่ำ กำรท่ีผู้ฟ้องคดีรับรำชกำรมำเป็นเ ลำนำน ย่อมรู้ดี ่ำ
กำรเรียกและรับเงินจำกผู้ที่ประ งค์จะเข้ำรับรำชกำรเพ่ือเป็นค่ำ ิ่งเต้นใ ้ได้รับรำชกำรเป็นเรื่องท่ี
ข้ำรำชกำรที่ดีไม่ค รปฏิบัติ พฤติกำรณ์จึงถือเป็นกำรแ ง ำประโยชน์ที่มิค รได้โดยชอบด้ ยกฎ มำย
และทำใ ้เ ื่อมเ ีย ช่ือเ ียงและเกียรติ ักด์ิของตำแ น่ง น้ำท่ีรำชกำรของตนทำใ ้เ ีย ำยแก่ช่ือเ ียง
ของรำชกำร ซ่ึงแม้ผู้ฟ้องคดีจะได้นำเงินมำคืนใ ้แก่ผู้ร้องเรียนแล้ ก็ตำมก็ไม่อำจลบล้ำงค ำมผิดท่ีตนได้
กระทำ ำเร็จไปแล้ กำรรับรำชกำรมำนำน มีค ำมดีค ำมชอบ และไม่เคยกระทำผิด ินัยมำก่อน ก็ไม่
อำจใช้เป็นเ ตุปลดออกจำกรำชกำรได้เช่นกัน อีกท้ังได้มีมติ ก.พ. ตำม นัง ือเ ียน ลง ันท่ี 28
กุมภำพันธ์ 2538 กรณีกำรลงโท ข้ำรำชกำรทเี่ รยี กร้องเงิน จำกรำ ฎรเพื่อฝำกเขำ้ ทำงำนใน น่ ยงำนท่ี
ตนไม่มี นำ้ ทเ่ี ก่ยี ข้อง ำ่ เป็นค ำมผดิ ินัยอย่ำงร้ำยแรง ฐำนประพฤติช่ั อย่ำงรำ้ ยแรง และค ำมร้ำยแรง
แ ่งกรณีอยู่ในระดับเดีย กันกับกรณีค ำมผิดฐำนทุจริตต่อ น้ำที่รำชกำร โดยใ ้ลงโท ไล่ออกจำก
รำชกำรและเ ตุอันค รปรำนีใด ๆ ไม่เปน็ เ ตุลด ย่อนโท ลงเปน็ ปลดออกจำกรำชกำร (คำพิพำก ำ ำล
ปกครอง ูง ดุ ที่ อ. 117/2558)
เรื่องกำรละทิ้ง น้ำท่ีรำชกำร มติคณะรัฐมนตรีตำม นัง ือ ำนักเลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี ที่ นร
0205/ 234 ลง ันท่ี 24 ธัน ำคม 2536 ได้ ำงแน ทำงกำรลงโท ข้ำรำชกำรท่ีละท้ิง น้ำท่ีรำชกำร
ติดต่อในครำ เดีย กันเป็นเ ลำเกินก ่ำ 15 ัน โดยไม่มีเ ตุผลอัน มค ร และไม่กลับมำปฏิบัติรำชกำร
อีกเลย ่ำเป็นค ำมผิด ินัยอย่ำงร้ำยแรง ค รลงโท ไล่ออกจำกรำชกำร กำรมีเ ตุอันค รปรำนีอ่ืนใด
ไมเ่ ปน็ เ ตลุ ด ยอ่ นโท ลงเปน็ ปลดออกจำกรำชกำร
เร่ืองกำรปลอมแปลงลำยมือชื่อผู้อื่น มติคณะรัฐมนตรีตำม นัง ือ ำนักเลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี
ท่ี นร 0505/ 197 ลง ันท่ี 17 พฤ จิกำยน 2548 เร่ือง กำรปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเร่ือง
กำรพิจำรณำ กำรกระทำผดิ ินยั ของขำ้ รำชกำร ได้ ำงแน ทำงกำรลงโท ข้ำรำชกำรที่ปลอมแปลงลำยมือ
ชื่อผู้อื่นเพื่อไป ำประโยชน์ โดยใ ้ถือ ่ำเป็นค ำมผิด ินัยอย่ำงร้ำยแรง และลงโท อย่ำงน้อยปลดออก
จำกรำชกำร
112
มติ ก.ค. . ทีเ่ ก่ีย ข้องการดาเนินการทาง ินยั การอุทธรณ์
และการรอ้ งทุกขข์ องขา้ ราชครู และบคุ ลากรทางการ ึก า
1๘1๘3
มติ ก.ค. .
โดย อ.ก.ค. . ิ ามัญเกี่ย กับการรอ้ งทกุ ข์ และการร้องเรียนขอค ามเปน็ ธรรม
เกยี่ กบั การบริ ารงานบคุ คลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ กึ า
ในครา ประชมุ ครงั้ ที่ 3/2555 เมอ่ื ันท่ี 27 มีนาคม 2555
( นัง ือ านักงาน ก.ค. . ท่ี ธ 0206.5/ 6 ลง ันที่ 29 เม ายน 2554 เร่ือง ลักเกณฑ์
และ ิธีการเกี่ย กับการบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า ตาแ น่ง
บุคลากรทางการ ึก าอื่นตามมาตรา 38 ค. (2), นัง ือ านักงาน ก.พ. ท่ี นร 1008/ 46 ลง ันที่
30 กันยายน 2553 เร่ือง การดาเนินการกรณี ก.พ.ค. มีคา ินิจฉัย รือ ก.พ. มีมติใ ้ยกเลิกคา ่ัง
แตง่ ตัง้ ข้าราชการพลเรือน ามญั )
-----------------------------------------------------
การท่ีผู้ร้องทุกข์ซึ่งแต่เดิมดํารงตําแ น่งบุคลากร 7 ได้รับแต่งตั้งใ ้ดํารงตําแ น่ง
บุคลากร 8 โดยคํา ั่งท่ีไม่ชอบด้ ยกฎ มาย ย่อมไม่ ามารถอ้าง ิทธิประโยชน์ใด ๆ จากคํา ั่งดังกล่า ได้
เม่ือต่อมา ํานักงาน ก.ค. . มีมติใ ้ ํานักงานเขตพื้นที่การ ึก าจัดบุคลากรลงกรอบอัตรากําลังใ ม่
ทง้ั มด จึงเป็นกรณีท่ีไม่อาจแต่งต้ังใ ้ผู้ร้องทุกข์กลับไปดํารงตําแ น่งเดิม เม่ือผู้ร้องทุกข์ได้รับแต่งตั้งใ ม่
ใ ้ดํารงตําแ น่งบุคลากร 7 ซึ่งเป็นตําแ น่งอื่นที่อยู่ในประเภทและระดับเทียบเท่ากับตําแ น่งเดิม
กรณีจงึ เป็นการชอบด้ ย ลกั กฎ มายและแน ปฏิบัติท่ีเกี่ย ข้องแล้ อีกท้ังตั้งแต่ ันที่ 5 มีนาคม 2552
ตําแ น่งบุคลากร 6 / 7 รือตําแ น่งบุคลากร 6 ก็ได้ปรับเป็นตําแ น่งระดับชํานาญการท้ัง มด
ระดับตําแ น่งของผู้ร้องทุกข์จึงไม่ได้ต่ําก ่าบุคคลอื่นท่ีได้รับแต่งต้ังใ ม่แต่อย่างใด ่ นการจัดใ ้ลงตําแ น่ง
กอ่ น ลงั นน้ั ไม่ปรากฏ ่ามีกฎ มายระเบียบ างแน ปฏิบัติไ ้ จึงตกเป็นอํานาจดุลพินิจของผู้บังคับบัญชา
และ อ.ก.ค. . เขตพ้นื ท่กี าร ึก าที่จะพิจารณา
ข้อเทจ็ จรงิ
รับฟังได้ ่า นาง . ตําแ น่งนักทรัพยากรบุคคล ระดับชํานาญการ เดิมดํารงตําแ น่ง
บุคลากร 7 ตําแ น่งเลขที่ 110 ต่อมา ํานักงานเขตพื้นท่ีการ ึก าจัดเข้ากรอบใ ้ลงตําแ น่ง
เลขท่ี อ 25 (7 / 8 ) และนาง . ได้ ่งผลงานเล่ือนเป็นบุคลากร 8 แต่ภาย ลัง ํานักงาน ก.ค. .
ตร จ อบพบ ่าการจัดลงกรอบไม่ถูกต้องจึงมีคํา ่ังใ ้ ํานักงานเขตพื้นท่ีการ ึก าจัดบุคลากรลงกรอบ
อัตรากําลังตามที่ ก.ค. . กํา นดใ ม่ท้ัง มด ซึ่งนาง . ได้รับจัดเข้ากรอบในตําแ น่งเลขท่ี อ 40
ตาํ แ น่งเจา้ พนกั งานธุรการ 2 – 4/5 รือเจ้า น้าท่ีธุรการ 1 – 3/4/5 โดย ํานักงาน ก.ค. . ได้อนุมัติ
ตาํ แ น่งเลขท่ี อ 40 เป็นตาํ แ น่งบุคลากร 7 เทยี บเทา่ ตาํ แ นง่ เดมิ ของนาง .
ลังจากน้ันมีตําแ น่ง ่าง 4 ตาํ แ นง่ ได้แก่ ตาํ แ น่งเลขท่ี อ 26 ตําแ น่งบุคลากร 7 /8
ตําแ น่งเลขที่ อ 30 ตําแ น่งบุคลากร 6 /7 ตําแ น่งเลขท่ี อ 33 ตําแ น่งบุคลากร 3 – 5/6
และตําแ น่งเลขที่ อ 35 ตําแ น่งนักทรัพยากรบุคคล 6 /7 แต่นาง . ไม่ได้รับการแต่งต้ังใ ้ดํารงตําแ น่ง
1๘1๙4
ดังกล่า จนกระท่ังมีตําแ น่ง อ 36 ตําแ น่งนักทรัพยากรบุคคล 3 – 5/6 เกิดข้ึนภาย ลัง นาง .
จึงไดร้ บั การแต่งต้ังใ ด้ าํ รงตําแ น่ง อ 36 น้ี
นาง . เ ็น ่าการแต่งตั้งย้ายบุคลากรดังกล่า ไม่ชอบด้ ยกฎ มาย กฎ และระเบียบ
ท่ีเกี่ย ข้อง ร มถึงตนได้รับค ามไม่เป็นธรรมเนื่องจากถูกปรับลดตําแ น่งจากบุคลากร 8 เป็น 7
จึงรอ้ งทุกข์ตอ่ ก.ค. .
อ.ก.ค. . ิ ามัญเก่ีย กับการร้องทุกข์ และการร้องเรียนขอค ามเป็นธรรมเก่ีย กับ
การบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า (ท่ีทาการแทน ก.ค. .) พิจารณา
แล้ เ น็ า่ ในกรณีดงั กล่า นงั ือ าํ นกั งาน ก.ค. . ที่ ธ 0206.5/ 6 ลง ันที่ 29 เม ายน 2554
เร่ือง ลักเกณฑ์และ ิธีการเก่ีย กับการบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า
ตําแ น่งบุคลากรทางการ ึก าอ่ืน ตามมาตรา 38 ค. (2) าง ลักใ ้นํา นัง ือ ํานักงาน ก.พ.
ท่ี นร 1008/ 46 ลง ันที่ 30 กันยายน 2553 เรื่อง การดําเนินการกรณี ก.พ.ค. มีคํา ินิจฉัย รือ ก.พ.
มีมติใ ้ยกเลิกคํา ่ังแต่งต้ังข้าราชการพลเรือน ามัญ มาใช้บังคับกับกรณีที่ ก.ค. . มีมติใ ้ยกเลิกคํา ่ัง
แต่งต้งั ขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า ตําแ นง่ บุคลากรทางการ ึก าอื่นตามมาตรา 38 ค. (2)
โดยอนุโลม ซ่ึง นัง ือ ํานักงาน ก.พ. ดังกล่า กํา นด ่า ในกรณีที่ไม่ ามารถแต่งตั้งใ ้ข้าราชการผู้นั้น
กลับไปดํารงตําแ น่งเดิมได้ ถ้ามีตําแ น่งอ่ืนในประเภทและระดับเดีย กันซึ่งข้าราชการผู้นั้นมีคุณ มบัติ
ตรงตามคุณ มบัติเฉพาะ ํา รับตําแ น่ง ่างอยู่ ใ ้แต่งตั้งข้าราชการผู้นั้นไปดํารงตําแ น่งที่ ่างดังกล่า
ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏ ่า ตําแ น่งเลขท่ี อ 40 ที่ผู้ร้องทุกข์ได้รับเป็นตําแ น่งบุคลากร 7
เทียบเท่าตําแ น่งเดิม ก่อนจะย้ายมาลงตําแ น่งเลขท่ี อ 36 ตําแ น่งนักทรัพยากรบุคคล 3 – 5/6
จึงเป็นการชอบด้ ยกฎ มายแล้ ท่ีผู้ร้องทุกข์เ ็น ่าตนถูกปรับลดจากตําแ น่งบุคลากร 8 เป็น 7 นั้น
เปน็ การเขา้ ใจท่ีไม่ถูกตอ้ ง เพราะตําแ น่งบุคลากร 8 เป็นการแต่งตั้งโดยมิชอบ ไม่ได้มีผลตามกฎ มาย
แต่อย่างใด ไม่อาจอ้าง ิทธิประโยชน์ใด ๆ ได้ และตั้งแต่ ันที่ 5 มีนาคม 2552 ตําแ น่งบุคลากร 6 /7
รือตําแ น่งบุคลากร 6 ก็ได้ปรับเป็นตําแ น่งระดับชํานาญการทั้ง มดแล้ ระดับตําแ น่งของผู้ร้องทุกข์
จึงไม่ไดม้ ีระดับตําแ น่งต่าํ ก า่ บคุ คลอ่นื ๆ ในตาํ แ น่งเลขท่ี อ 26, อ 30, อ 33 และ อ 35 แต่อย่างใด
่ นการจัดใ ้ลงตําแ น่งก่อน ลังนั้น ไม่ปรากฏ ่ามีกฎ มาย รือระเบียบ างแน ปฏิบัติไ ้ จึงเป็นดุลพินิจ
ของผบู้ ังคบั บญั ชา และ อ.ก.ค. . เขตพน้ื ที่การ กึ าท่ีจะพจิ ารณา
ก.ค. . พิจารณาแล้ เ ็น ่า คําร้องของผู้ร้องทุกข์ฟังไม่ขึ้น จึงมีมติเป็นเอกฉันท์
ใ ้ยกคํารอ้ งทุกข์
---------------------------------------------------
๙1๐15
มติ ก.ค. .
โดย อ.ก.ค. . ิ ามัญเกยี่ กับการรอ้ งทกุ ข์ และการรอ้ งเรยี นขอค ามเปน็ ธรรม
เกี่ย กับการบริ ารงานบุคคลของขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการ ึก า
ในครา ประชุมครัง้ ท่ี 1/2555 เมอื่ ันที่ 24 มกราคม 2555
( นัง ือ านักงาน ก.ค. . ท่ี ธ 0206.5/ 7 ลง ันท่ี 21 เม ายน 2552 เร่ืองการย้ายและการเลื่อน
ระดบั ตาแ น่งข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการ ึก าตาแ น่งบุคลากรทางการ ึก าอ่ืนตามมาตรา
38 ค. (2), นัง ือ านักงาน ก.ค. . ท่ี ธ 0206.3/ 16 ลง ันที่ 13 ตุลาคม 2548 เรื่อง
ลกั เกณฑ์และ ิธีการเปล่ียนตาแ นง่ ขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการ กึ า)
-----------------------------------------------------
การท่ี อ.ก.ค. . เขตพ้ืนท่ีการ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) ไม่ดําเนินการตาม ลักเกณฑ์
และ ิธกี ารยา้ ยตาม นงั ือ าํ นกั งาน ก.พ. ท่ี นร 1006/ 10 ลง ันท่ี 15 กันยายน 2548 และมีมติรับย้าย
โดย ิธีการเปลี่ยนตําแ น่งตาม นัง ือ ํานักงาน ก.ค. . ท่ี ธ 0206.3/ 16 ลง ันที่ 13 ตุลาคม 2548
โดยมิได้ขออนุมัตมิ ายงั ก.ค. . เป็นการดําเนนิ การไม่ชอบด้ ยกฎ มาย
ข้อเท็จจรงิ
รับฟังได้ ่า ํานักงานเขตพ้ืนที่การ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) ประกา รับย้าย รือรับโอน
ข้าราชการมาดํารงตําแ น่ง เลขท่ี อ 38 (นิติกรปฏิบัติการ/ชํานาญการ) ซ่ึงมีผู้ย่ืนคําร้องขอย้าย 2 ราย
คือ นาง า ช. ตําแ น่งครู โรงเรียนบ้าน . ํานักงานเขตพื้นท่ีการ ึก า ล. เขต 3 (เดิม) และนาย .
ตําแ น่งนิติกรชํานาญการ ํานักงานเขตพื้นที่การ ึก า ล. เขต 2 และ อ.ก.ค. . เขตพื้นท่ีการ ึก า ล.
เขต 1 (เดิม) ได้พิจารณารับย้ายรายนาย . ก่อน แต่ตร จคุณ มบัติแล้ เ ็น ่าดํารงตําแ น่งนิติกร
ที่ ังกัดเดิมไม่ครบ 12 เดือน ตาม ลักเกณฑ์และ ิธีการย้าย ตาม นัง ือ ํานักงาน ก.ค. .
ที่ ธ 0206.3/ 8 ลง ันท่ี 5 กรกฎาคม 2549 จึงมีมติไม่รับย้าย และมีมติใ ้รับย้ายนาง า ช.
มาลงตาํ แ นง่ นิตกิ รปฏิบัตกิ ารโดย ิธกี ารเปล่ียนตําแ น่ง ตาม นัง ือ ํานักงาน ก.ค. . ที่ ธ 0206.3/ 16
ลง ันที่ 13 ตุลาคม 2548 ซงึ่ มิไดข้ ออนุมตั มิ ายงั ก.ค. . ซ่ึงมปี ระเดน็ พจิ ารณาดังนี้
1. การรับย้ายโดยเปล่ียนตําแ น่งรายนาง า ช. จากตําแ น่งครู มาลงตําแ น่งนิติกร
ปฏิบัตกิ าร โดยมไิ ด้ขออนุมตั ิมายงั ก.ค. . นั้น พิจารณาแล้ เ น็ ่า
1.1 แม้ ลักเกณฑ์และ ิธีการเปลี่ยนตําแ น่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า
จะมิได้กํา นด ่า กรณีเปล่ียนตําแ น่งจากตําแ น่งครู ตามมาตรา 38 ก. (2) มาเป็นตําแ น่งบุคลากร
ทางการ ึก าอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2) จะต้องขออนุมัติ ก.ค. . ก่อนก็ตาม แต่ตาม ลักเกณฑ์ดังกล่า
ั ข้อ ิธีการ ข้อ 1.2 ระบุ ่า “ ิธีการเปล่ียนตําแ น่งท่ีไม่ต้องผ่านกระบ นการคัดเลือก เป็นการเข้า ู่
ตําแ น่งท่ี ก.ค. . มิได้กํา นด ลักเกณฑ์และ ิธีการคัดเลือกเข้า ู่ตําแ น่งน้ันได้ ใ ้ดําเนินการดังน้ี ...
1๙1๑6
1.2.2 ํานักงานเขตพื้นท่ีการ ึก าตั้งคณะกรรมการไม่น้อยก ่า 5 คน พิจารณากล่ันกรองและนําเ นอ
อ.ก.ค. . เขตพ้นื ท่กี าร กึ า รือ ก.ค. . แล้ แต่กรณพี จิ ารณา
1.2 กรณีนาง า ช. ตําแ น่งครู ตามมาตรา 38 ก. (2) เม่ือประ งค์ขอย้าย
โดยเปลี่ยนตําแ น่งมาดํารงตําแ น่งนิติกรปฏิบัติการ ซึ่งเป็นตําแ น่งบุคลากรทางการ ึก าอื่น
ตามมาตรา 38 ค. (2) เมื่อ อ.ก.ค. . เขตพื้นท่ีการ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) พิจารณาแล้ ํานักงานเขตพื้นที่
การ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) ต้อง ่งเรื่องไปยัง ก.ค. . เพื่อเ นอขออนุมัติ เนื่องจากระดับตําแ น่งและ
การใ ้ได้รับเงินเดือนแตกต่างกัน จึงต้องใ ้ ก.ค. . พิจารณา ่าจะแต่งตั้งใ ้ดํารงตําแ น่งประเภทใด
ระดับใด และรับเงินเดือนเท่าใดก่อน ํานักงานเขตพื้นท่ีการ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) จึงจะแต่งต้ังใ ้ดํารง
ตําแ น่งนิติกรปฏิบัติการได้ เมื่อ ํานักงานเขตพื้นที่การ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) ดําเนินการโดยมิได้
ขออนมุ ัติ ก.ค. . จึงเปน็ การดาํ เนนิ การทไ่ี ม่ชอบ
2. กรณไี ม่รับยา้ ยนาย . โดยอา ยั เ ตุดาํ รงตาํ แ น่งนติ กิ รที่ ังกัดเดิมไมค่ รบ 12 เดือน
ตาม ลกั เกณฑแ์ ละ ธิ กี ารย้ายตาม นัง อื าํ นกั งาน ก.ค. . ที่ ธ 0206.3/ 8 ลง ันที่ 5 กรกฎาคม 2549
พิจารณาแล้ เ น็ ่า
2.1 กรณีการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า ตําแ น่งบุคลากร
ทางการ ึก าอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2) ก.ค. . มีมติกํา นดแน ทางการดําเนินการ แจ้งตาม นัง ือ
ํานกั งาน ก.ค. . ด่ นที่ ุด ท่ี ธ 0206.5/ 7 ลง ันท่ี 21 เม ายน 2552 เร่ืองการย้ายและการเล่ือน
ระดบั ตําแ นง่ ข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการ ึก า ตําแ นง่ บุคลากรทางการ กึ าอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2)
โดยกํา นดในข้อ ข. การย้าย ่า “2. กรณีการย้ายในตําแ น่ง ิชาการ... 2.2 การย้ายไปแต่งต้ังใ ้ดํารง
ตาํ แ น่งระดบั ชํานาญการและระดับชาํ นาญการพเิ ใ ใ้ ช้ ลักเกณฑ์และ ิธีการตามท่ีกํา นดใน นัง ือ
ํานกั งาน ก.พ. ท่ี นร 1006/ 10 ลง ันท่ี 15 กันยายน 2548”
2.2 ดังนั้น การพิจารณารับย้ายนาย . ตําแ น่งนิติกรชํานาญการ ํานักงานเขตพ้ืนที่
การ ึก า ล. เขต 2 (เดิม) มาดํารงตําแ น่งนิติกรชํานาญการ ํานักงานเขตพื้นท่ีการ ึก า ล. เขต 1 (เดิม)
ตอ้ งดําเนินการตาม นัง อื าํ นักงาน ก.ค. . ด่ นที่ ดุ ที่ ธ 0206.5/ 7 ลง ันที่ 21 เม ายน 2552
ซึ่งได้กาํ นดใ ้นํา ลักเกณฑ์และ ิธีการย้ายตาม นัง ือ ํานักงาน ก.พ. ที่ นร 1006/ 10 ลง ันท่ี
15 กนั ยายน 2548 มาเป็นเกณฑใ์ นการพิจารณา าใชพ่ จิ ารณารบั ยา้ ยโดยอา ัย ลักเกณฑ์ตาม นัง ือ
าํ นกั งาน ก.ค. . ท่ี ธ 0206.3/ 8 ลง ันที่ 5 กรกฎาคม 2549 แต่อย่างใด
อ.ก.ค. . ิ ามัญเกี่ย กับการร้องทุกข์ และการร้องเรียนขอค ามเป็นธรรมเกี่ย กับ
การบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า (ท่ีทาการแทน ก.ค. .) พิจารณาแล้
เ ็น ่า การที่ อ.ก.ค. . เขตพื้นที่การ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) พิจารณามีมติไม่รับย้ายนาย . เน่ืองจาก
ดํารงตําแ น่งนิติกรที่ ังกัดเดิมไม่ครบ 12 เดือน ตาม ลักเกณฑ์และ ิธีการย้ายตาม นัง ือ ํานักงาน ก.ค. .
ที่ ธ 0206.3/ 8 ลง ันที่ 5 กรกฎาคม 2549 เป็นการดําเนินการท่ีไม่ชอบด้ ยกฎ มาย และการที่มี
มติใ ้รับย้ายนาง า ช. มาดํารงตําแ น่งนิติกรปฏิบัติการ โดย ิธีการเปล่ียนตําแ น่งตาม นัง ือ
๙11๒6137
าํ นักงาน ก.ค. . ที่ ธ 0206.3/ 16 ลง ันที่ 13 ตุลาคม 2548 โดยมิได้ขออนุมัติมายัง ก.ค. .
เปน็ การดําเนนิ การท่ไี มช่ อบด้ ยกฎ มายเชน่ กัน
ก.ค. . พิจารณาแล้ เ ็น ่า คําร้องทุกข์ของผู้ร้องทุกข์ฟังขึ้น จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ใ ้
อ.ก.ค. . เขตพื้นท่ีการ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) ทบท นการพิจารณารับย้ายบุคลากรลงตําแ น่งเลขท่ี
อ 38 (นิตกิ รปฏบิ ตั ิการ/ชาํ นาญการ) เ ยี ใ มใ่ ้ถูกต้อง
-----------------------------------------------------
11๙8๓
มติ ก.ค. .
โดย อ.ก.ค. . ิ ามัญเก่ยี กับการร้องทุกข์ และการร้องเรยี นขอค ามเป็นธรรม
เกย่ี กบั การบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า
ในครา ประชุมครั้งท่ี 4/2558 เมื่อ นั ที่ 27 เม ายน 2558
(มาตรา 125 แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า พ. . 2547,
มาตรา 42 รรค นึ่ง แ ง่ พระราชบัญญตั จิ ัดต้ัง าลปกครองและ ิธพี ิจารณาคดีปกครอง พ. . 2542)
-----------------------------------------------------
การร้องทุกข์มติ ก.ค. . ต่อ ก.ค. . เป็นกรณีท่ีไม่มีกฎ มายกํา นดข้ันตอนการอุทธรณ์
รือการร้องทุกข์ไ ้ จึงไม่อาจรับคําร้องทุกข์ไ ้พิจารณา ินิจฉัย โดยผู้ร้องทุกข์ ามารถนําคดีไปฟูองต่อ
าลปกครองไดภ้ ายใน 90 ันนับแต่ ันท่ีได้รับแจ้ง ตามมาตรา 42 รรค นึ่ง แ ่งพระราชบัญญัติจัดต้ัง
าลปกครองและ ิธีพจิ ารณาคดีปกครอง พ. . 2542
ข้อเท็จจรงิ
รับฟังได้ ่า นาย ร. ผู้ร้องทุกข์ ตําแ น่งรองผู้อําน ยการ ํานักงานเขตพ้ืนท่ีการ ึก า
มัธยม ึก า มัครเข้ารับการคัดเลือกเพ่ือบรรจุและแต่งตั้งใ ้ดํารงตําแ น่งผู้อําน ยการ ํานักงานเขตพื้นท่ี
การ ึก า ังกัด ํานักงานคณะกรรมการการ ึก าข้ันพ้ืนฐาน ต่อมาเม่ือผู้ร้องทุกข์ไม่ได้รับการคัดเลือก
และเ ็น ่าตนไม่ไดร้ ับค ามเปน็ ธรรม จึงรอ้ งทุกข์ต่อ ก.ค. . ใ ้เพิกถอนมติของ ก.ค. . ท่ีเ ็นชอบการดําเนินการ
ตามกระบ นการ รร าของคณะกรรมการการ ึก าขน้ั พน้ื ฐาน
อ.ก.ค. . ิ ามัญเก่ีย กับการร้องทุกข์ และการร้องเรียนขอค ามเป็นธรรมเกี่ย กับ
การบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า (ที่ทาการแทน ก.ค. .) พิจารณาแล้
เ ็น า่ การร้องทุกข์ของผู้ร้องทุกข์มิใช่เป็นกรณีท่ีผู้ร้องทุกข์เ ็น ่าตนไม่ได้รับค ามเป็นธรรม รือมีค ามคับข้องใจ
เนื่องจากการกระทําของผู้บังคับบัญชา รือการแต่งต้ังคณะกรรมการ อบ นทาง ินัย และมิใช่การร้องทุกข์
มติ อ.ก.ค. . เขตพื้นท่ีการ ึก า รือมติ อ.ก.ค. . ที่ ก.ค. . ต้ัง ตามมาตรา 123 รรค น่ึง และ รรค อง
แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า พ. . 2547 อีกท้ังมิใช่กรณีท่ีเ ตุ
แ ่งการร้องทุกข์เกิดจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เลขาธิการ คํา ่ังของผู้บังคับบัญชาซึ่ง ั่งการตามม ติ
อ.ก.ค. . เขตพน้ื ท่กี าร ึก า รือเกดิ จากการถูก งั่ พกั ราชการ ตามมาตรา 103 ตามข้อ 7 (1) ของ กฎ ก.ค. .
่าด้ ยการร้องทุกข์และการพิจารณาร้องทุกข์ พ. . 2551 แต่เป็นการร้องทุกข์มติของ ก.ค. . กรณีจึง
เป็นเรอื่ งที่ผรู้ ้องทุกข์มี ิทธิฟูองคดีต่อ าลปกครอง ตาม ลักในมาตรา 125 แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า พ. . 2547 และมาตรา 42 รรค นึ่ง แ ่งพระราชบัญญัติ
จดั ตง้ั าลปกครองและ ิธพี ิจารณาคดีปกครอง พ. . 2542
ก.ค. . พิจารณาแล้ เ ็น ่า การท่ีผู้ร้องทุกข์ยื่น นัง ือร้องทุกข์มติ ก.ค. . ต่อ ก.ค. .
เป็นกรณีท่ีไม่มีกฎ มายกํา นดข้ันตอนการอุทธรณ์ รือการร้องทุกข์ ผู้ร้องทุกข์ ามารถนําคดีไปฟูองต่อ
าลปกครองได้โดยตรง ตามมาตรา 42 รรค น่ึง แ ่งพระราชบัญญัติจัดต้ัง าลปกครองและ ิธีพิจารณา
คดีปกครอง พ. . 2542 ภายใน 90 ันนับแต่ ันที่ได้รับแจ้ง จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคําร้องทุกข์
ของผ้รู อ้ งทกุ ขไ์ พ้ จิ ารณา ินจิ ฉยั
-----------------------------------------------------
๙1๔19
มติ ก.ค. .
โดย อ.ก.ค. . ิ ามัญเกีย่ กับการรอ้ งทกุ ข์ และการรอ้ งเรียนขอค ามเป็นธรรม
เกี่ย กับการบริ ารงานบคุ คลของข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการ ึก า
ในครา ประชุมครง้ั ที่ 3/2558 เมื่อ ันที่ 23 มีนาคม 2558
(ขอ้ 49 แ ่งพระราชบญั ญตั ิ ิธปี ฏิบัตริ าชการทางปกครอง พ. . 2539)
--------------------------------------------------
คํา ่ังเลื่อนขั้นเงินเดือนท่ีเป็นเ ตุแ ่งทุกข์ของผู้ร้องทุกข์ได้ถูกเพิกถอนและอยู่ระ ่าง
ดําเนินการใ ม่ใ ้ถูกต้องตาม ลักเกณฑ์และ ิธีการที่ ก.ค. . กํา นด จึงถือได้ ่าขณะมี นัง ือร้องทุกข์
การเลือ่ นขัน้ เงินเดือนต่อ ก.ค. . น้นั ยังไม่มีทุกข์เกิดขึ้นกับผู้ร้องทุกข์ท้ัง 2 ราย เ ็นค รไม่รับคําร้องทุกข์
ของผู้รอ้ งทกุ ขท์ ้ัง 2 รายไ ้พิจารณา
ข้อเท็จจรงิ
รับฟังได้ ่า นาย ก. และนาง า ข. ตําแ น่งครู โรงเรียน ญ. ังกัด ํานักงานเขตพ้ืนท่ี
การ ึก ามัธยม ึก าร้องทุกข์ ่าไม่ได้รับค ามเป็นธรรมการเลื่อนขั้นเงินเดือนคร้ังท่ี 2 ของโรงเรียน ญ.
โดยในการเล่ือนข้ันเงินเดือนครั้งท่ี 2 ผู้ร้องทุกข์ทั้ง 2 ราย ได้รับการเล่ือนข้ันเงินเดือน คนละ 0.5 ข้ัน
จึงได้ร้องทุกข์การเล่ือนขั้นเงินเดือนดังกล่า ไปยัง อ.ก.ค. . เขตพ้ืนท่ีการ ึก ามัธยม ึก า ซึ่ง อ.ก.ค. .
เขตพื้นทีก่ าร ึก ามัธยม ึก าพิจารณาแล้ เ ็น ่า โรงเรียน ญ. ประเมินไม่ถูกต้องตาม นัง ือ ํานักงาน
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ท่ี นร 0205/ 117 ลง ันที่ 22 มิถุนายน 2540 เรื่อง ระบบเปิดในการพิจารณา
เลอ่ื นขัน้ เงนิ เดอื น จึงมมี ตใิ ้เพิกถอนคาํ ง่ั แล้ ดําเนนิ การเกีย่ กับการเลื่อนขน้ั เงินเดือนใ มใ่ ้ถูกต้อง
อ.ก.ค. . ิ ามัญเก่ีย กับการร้องทุกข์ และการร้องเรียนขอค ามเป็นธรรมเกี่ย กับ
การบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครุและบุคลากรทางการ ึก า (ท่ีทาการแทน ก.ค. .) พิจารณา
แล้ เ น็ ่า มปี ระเด็นท่ีต้องพจิ ารณา า่ อ.ก.ค. . เขตพนื้ ท่กี าร กึ ามัธยม ึก ามีอํานาจพิจารณาคําร้องทุกข์
ของผู้รอ้ งทุกขท์ งั้ 2 ราย รือไม่ และการที่ อ.ก.ค. . เขตพ้ืนท่ีการ ึก ามัธยม ึก ามีมติใ ้เพิกถอนคํา ั่ง
เล่ือนขั้นเงินเดือน คร้ังที่ 2 ของผู้ร้องทุกข์ทั้ง 2 ราย แล้ ใ ้ดําเนินการใ ม่ เป็นการดําเนินการท่ีชอบ
ด้ ยกฎ มาย รอื ไม่
พิจารณาเ ็น ่า ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า
พ. . 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมฉบับท่ี 2 (พ. . 2551) มาตรา 123 รรค องกํา นด ่า “ในกรณีท่ี
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก าผู้ใดเ ็น ่า อ.ก.ค. . เขตพ้ืนท่ีการ ึก า รือ อ.ก.ค. . ท่ี ก.ค. . ต้ัง
มมี ตไิ มถ่ กู ตอ้ ง รือไมเ่ ป็นธรรมใ ผ้ ู้น้ันมี ทิ ธริ ้องทุกข์ต่อ ก.ค. .” คํา ่ังเลื่อนขั้นเงินเดือนของโรงเรียน ญ.
ครั้งท่ี 2 ได้ ั่งตามมติ อ.ก.ค. . เขตพื้นที่การ ึก ามัธยม ึก า จึงถือได้ ่าผู้ร้องทุกข์ร้องทุกข์เพราะเ ็น ่า
อ.ก.ค. . เขตพ้ืนท่ีการ ึก ามีมติไม่ถูกต้อง รือไม่เป็นธรรม จึงต้องร้องทุกข์มายัง ก.ค. . และ ก.ค. .
เป็นผู้มีอํานาจในการพิจารณาคําร้องทุกข์นั้น อ.ก.ค. . เขตพื้นท่ีการ ึก ามัธยม ึก า จึงไม่มีอํานาจ
พิจารณาคําร้องทกุ ข์ของผูร้ ้องทุกข์ ทั้ง 2 ราย
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้อําน ยการ ํานักงานเขตพื้นที่การ ึก ามัธยม ึก าได้มีคํา ั่งเพิกถอน
การเลื่อนขนั้ เงนิ เดือน ครัง้ ที่ 2 ของผู้รอ้ งทุกขท์ ง้ั 2 ราย เพราะเ ็น ่าดําเนินการไม่ถูกต้องตาม ลักเกณฑ์
และ ิธีการท่ีกฎ มายกํา นด แล้ ใ ้ดําเนินการใ ม่ใ ้ถูกต้องตามกฎ มายต่อไป เป็นการดําเนินการตาม
120๙๕
พระราชบัญญัติ ิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ. . 2539 มาตรา 49 “เจ้า น้าที่ รือผู้บังคับบัญชา
ของเจ้า น้าท่ีอาจเพิกถอนคํา ่ังทางปกครองได้ ...” ดังนั้น การที่ผู้อําน ยการ ํานักงานเขตพ้ืนท่ี
การ ึก ามัธยม ึก ามีคํา ่ังใ ้เพิกถอนการเลื่อนขั้นเงินเดือน คร้ังที่ 2 ของผู้ร้องทุกข์ทั้ง 2 ราย แล้ ใ ้
ดําเนินการใ ม่ใ ้ถูกต้องตามกฎ มายต่อไป จึงเป็นการดําเนินการโดยชอบด้ ยกฎ มายและเป็นธรรม
กับผู้รอ้ งทุกขแ์ ล้
การที่ผู้ร้องทุกข์ทั้ง 2 รายได้ร้องทุกข์คํา ่ังเลื่อนข้ันเงินเดือนครั้งที่ 2 ซ่ึงคํา ่ังดังกล่า
ได้ถูกเพิกถอนไปแล้ และอยู่ระ ่างการดําเนินการใ ม่ใ ้ถูกต้องตาม ลักเกณฑ์และ ิธีการที่ ก.ค. .
กาํ นด จึงถอื ได้ า่ ขณะมี นัง ือรอ้ งทกุ ข์การเล่ือนข้ันเงินเดือนตอ่ ก.ค. . น้ัน ยังไม่มีทุกข์เกิดขึ้นกับผู้ร้องทุกข์
ท้ัง 2 ราย เ ็นค รไม่รบั คําร้องทกุ ข์ของผู้รอ้ งทุกขท์ ั้ง 2 รายไ ้พิจารณา
ก.ค. . พิจารณาแล้ มีมติไม่รับคาํ รอ้ งทกุ ข์ของผู้รอ้ งทุกข์ไ พ้ ิจารณา
--------------------------------------------------
12๙1๖
มติ ก.ค. .
โดย อ.ก.ค. . ิ ามัญเกี่ย กับการร้องทกุ ข์ และการร้องเรยี นขอค ามเป็นธรรม
เกย่ี กบั การบริ ารงานบุคคลของขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการ ึก า
ในครา ประชุมคร้งั ที่ 6/2558 เมื่อ นั ที่ 22 มิถนุ ายน 2558
(มาตรา 123 แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า พ. . 2547,
กฎ ก.ค. . า่ ด้ ยการรอ้ งทุกข์และการพิจารณาร้องทุกข์ พ. . 2551)
---------------------------------------------------
นาย ภ. ตาํ แ นง่ ผ้อู าํ น ยการ ถาน กึ า รอ้ งทกุ ขก์ ารยา้ ยผบู้ ริ าร ถาน ึก าต่อ ก.ค. .
ระ ่างการพิจารณาของ ก.ค. . นาย ภ. ได้นําเร่ืองการย้ายไปฟูองต่อ าลปกครอง ซ่ึง าลปกครองได้มี
คําพิพาก าก่อนที่ ก.ค. . พิจารณามีมติ โดยพิพาก าใ ้เพิกถอนคํา ่ัง ํานักงานเขตพื้นที่การ ึก า
เฉพาะ ่ นที่ใ ้ย้ายนาย ภ. ไปดํารงตําแ น่งผู้อําน ยการโรงเรียน บ. ถือได้ ่าเ ตุแ ่งทุกข์ อันเกิดจาก
คํา งั่ ดังกล่า ไดร้ ะงบั ้ินไปโดยคําพิพาก าของ าลปกครองแล้ จึงไม่มีเ ตุแ ่งการร้องทุกข์ ตามกฎ ก.ค. .
ใ ้ปฏิบัติตามคาํ พพิ าก าของ าลปกครองดงั กลา่
ขอ้ เทจ็ จรงิ
รับฟังได้ ่า นาย ภ. ได้ย่ืน นัง ือร้องทุกข์ ่าไม่ได้รับค ามเป็นธรรมจากการพิจารณาย้าย
ผบู้ ริ าร ถาน กึ า ตามคาํ ัง่ ํานักงานเขตพืน้ ท่กี าร กึ าท่ี ัง่ ยา้ ยและแต่งตั้งนาย ถ. จากตําแ น่งผู้อําน ยการ
โรงเรียน น. ไปดํารงตาํ แ นง่ ผอู้ าํ น ยการโรงเรียน บ. และตอ่ มา าํ นักงานเขตพืน้ ทก่ี าร ึก า แจง้ ่าในระ ่าง
การพิจารณาของ ก.ค. . นาย ภ. ได้นําเร่ืองดังกล่า ไปฟูองเป็นคดีต่อ าลปกครอง ซึ่ง าลปกครองได้มี
คําพิพาก าในคดีดังกล่า ก่อนท่ี ก.ค. . พิจารณามีมติโดยพิพาก าใ ้เพิกถอนคํา ่ัง ํานักงานเขตพื้นท่ี
การ ึก าเฉพาะ ่ นทีใ่ ย้ ้ายผถู้ กู ฟูองคดีท่ี 2 (นายถ.) ไปดาํ รงตาํ แ นง่ ผู้อาํ น ยการโรงเรียน บ.
นาย ภ. รอ้ งทกุ ข์ตอ่ ก.ค. . า่ ไม่ไดร้ บั ค ามเป็นธรรมจากการย้ายผู้บริ าร ถาน ึก า
อ.ก.ค. . ิ ามัญเกี่ย กับการร้องทุกข์ และการร้องเรียนขอค ามเป็นธรรมเกี่ย กับ
การบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า (ที่ทาการแทน ก.ค. .) พิจารณา
แล้ เ น็ ่า เมอื่ าลปกครองมีคําพิพาก าใ ้เพิกถอนคํา ั่ง าํ นักงานเขตพนื้ ทกี่ าร ึก าที่ ง่ั ตามมติ อ.ก.ค. .
เขตพื้นที่การ ึก าเฉพาะ ่ นท่ีใ ้ย้ายนาย ถ. ไปดํารงตําแ น่งผู้อําน ยการโรงเรียน บ. ถือได้ ่าเ ตุแ ่งทุกข์
อันเกดิ จากคาํ ่ังดังกลา่ ไดร้ ะงับ ิ้นไป โดยคําพิพาก าของ าลปกครองแล้ จึงไม่มีเ ตุแ ่งการร้องทุกข์
ตามกฎ ก.ค. . ่าด้ ยการร้องทุกข์และการพิจารณารอ้ งทุกข์ พ. . 2551 ไ ้พิจารณาอีกต่อไป
ก.ค. . พิจารณาแล้ มีมติเป็นเอกฉันท์ใ ้ปฏิบัติตามคําพิพาก าของ าลปกครอง
ดังกล่า ากผู้ร้องทุกข์เ ็น ่า ํานักงานเขตพื้นที่การ ึก าปฏิบัติตามคําพิพาก า าลปกครองดังกล่า แล้
ทําใ ้ผู้ร้องทุกข์ได้รับค ามเดือดร้อน รือเ ีย ายอย่างไร ย่อมมี ิทธิที่จะร้องทุกข์ต่อ ก.ค. . ได้ตามข้ันตอน
และ ิธีการทก่ี ฎ มายกํา นดไ ต้ อ่ ไป
---------------------------------------------------
122
๙๗
มติ ก.ค. .
โดย อ.ก.ค. . ิ ามัญเกี่ย กับการรอ้ งทกุ ข์ และการรอ้ งเรียนขอค ามเป็นธรรม
เกยี่ กบั การบริ ารงานบคุ คลของข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการ กึ า
ในครา ประชุมครัง้ ที่ 1/2557 เมอื่ ันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557
(มาตรา 122 , 123 แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า พ. . 2547,
ข้อ 5, ข้อ 7 (2), ข้อ 14 (4) ของกฎ ก.ค. . ่าด้ ยการร้องทุกข์และการพิจารณาร้องทุกข์
พ. . 2551)
-----------------------------------------------------
ผู้ร้องทุกข์เป็นผู้มีคุณ มบัติตามประกา รับ มัครคัดเลือกและเป็นผู้ได้รับการคัดเลือก
ใ ข้ น้ึ บญั ชีในลําดับที่ 1 ตามประกา อ.ก.ค. . เขตพ้ืนท่ีการ ึก า ผู้ร้องทุกข์จึงไม่ใช่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
ในการประกา กํา นดคุณ มบัติของผู้มี ิทธิ มัครเข้ารับการคัดเลือกเพ่ือแต่งตั้งใ ้ดํารงตําแ น่ง
ผ้อู าํ น ยการกลุ่ม ่งเ ริมการ ึก าเอกชน ถือ ่าไม่มีเ ตุแ ่งทุกข์ในอันที่ร้องทุกข์ได้ และในการร้องทุกข์
กฎ มายกํา นดใ ้รอ้ งทกุ ข์ได้ ํา รบั ตนเองเท่าน้ัน จะร้องทกุ ขแ์ ทนผอู้ ่นื ไมไ่ ด้
ข้อเท็จจริง
รับฟังได้ ่า อ.ก.ค. . เขตพื้นที่การ ึก ามีมติอนุมัติใ ้ดําเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อ
แต่งตัง้ ใ ด้ ํารงตําแ น่งผู้อาํ น ยการกลุม่ ง่ เ ริมการ ึก าเอกชน โดยกํา นดคุณ มบัติของผู้มี ิทธิ มัคร
เข้ารับการคัดเลือก ่าต้องเป็นผู้มีคุณ มบัติเฉพาะ ํา รับตําแ น่งตามที่ ก.ค. . กํา นด และต้องมีคุณ มบัติ
ดงั น้ี
- ปัจจุบันดํารงตําแ น่งบุคลากรทางการ ึก าอ่ืน ตามมาตรา 38 ค. (2) ประเภท ิชาการ
ระดบั ชาํ นาญการพิเ
- ได้รับปรญิ ญาตรี รอื เทยี บได้ไมต่ ่าํ ก า่ นท้ี างการ กึ า รือทางอื่นที่ ก.ค. . กํา นด ่า
ใช้เปน็ คุณ มบัตเิ ฉพาะ ํา รับตาํ แ น่งนีไ้ ด้
ผู้ร้องทุกข์ ตําแ น่งนัก ิชาการ ึก า ระดับชํานาญการพิเ ร้องทุกข์ ่าผู้อําน ยการ
าํ นักงานเขตพ้นื ทีก่ าร ึก าไดก้ ํา นดคณุ มบัติของผู้มี ิทธิ มัครเข้ารับการคัดเลือกต้องมีคุณ มบัติตาม
นัง ือ ํานักงาน ก.ค. . ท่ี ธ 0206.3/ 18 ลง ันที่ 28 ตุลาคม 2548 และตรงตามมาตรฐาน
ตําแ น่งตาม นัง ือ ํานักงาน ก.ค. . ที่ ธ 0206.5/ 8 ลง ันที่ 30 เม ายน 2552 แต่ไม่ปฏิบัติ
ตาม นัง ือดงั กลา่ โดยได้กํา นดคุณ มบัติของผู้มี ิทธิ มัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นการเฉพาะเพ่ือการใด
การ น่ึง รือเฉพาะบุคคลกลุ่ม นึ่งเท่านั้น ซ่ึงเป็นการไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมกับบุคลากรที่ปฏิบัติ
ราชการเก่ีย กับงาน ิชาการในกลุ่มงาน ่งเ ริมการ ึก าเอกชนและดํารงตําแ น่ง “นัก ิชาการ ึก า”
ระดบั ชาํ นาญการ ซ่ึงได้ดํารงตําแ น่งในระดับ 7 มาแล้ 3 ปี 10 เดือน แต่ไม่มี ิทธิ มัครเข้ารับการคัดเลือก
โดยบุคคลดังกล่า มคี ณุ มบตั ติ รงตามข้อ 1 แล้
อ.ก.ค. . ิ ามัญเกี่ย กับการร้องทุกข์ และการร้องเรียนขอค ามเป็นธรรม
เกี่ย กับการบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า (ที่ทาการแทน ก.ค. .)
พิจารณาแล้ เ ็น ่า กรณีที่ร้องทุกข์ไม่เป็นไปตาม ลักเกณฑ์และ ิธีการเก่ีย กับการร้องทุกข์ตาม ม ด 9
1๙2๘3
่าด้ ยการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ ตามมาตรา 122 และมาตรา 123 แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า พ. . 2547 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ. . 2551 ประกอบ
ข้อ 5 ข้อ 7 (2) และข้อ 14 (4) ของกฎ ก.ค. . ่าด้ ยการร้องทุกข์และการพิจารณาร้องทุกข์ พ. . 2551
เน่ืองจากผู้ร้องทุกข์เป็นผู้มีคุณ มบัติตามประกา รับ มัครคัดเลือกและเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกใ ้ขึ้นบัญชี
ในลําดับที่ 1 ผู้ร้องทุกข์จึงไม่ใช่ผู้ที่ได้รับผลกระทบในการดําเนินการในคร้ังนี้แต่อย่างใด จึงไม่มีเ ตุแ ่งทุกข์
ในอนั ทร่ี อ้ งทุกข์ได้ ประกอบกบั กฎ มายกาํ นดใ ้รอ้ งทกุ ขไ์ ด้ าํ รบั ตนเองเท่านนั้ จะร้องทุกข์แทนผอู้ นื่ ไม่ได้
ก.ค. . พจิ ารณาแล้ มมี ตไิ ม่รบั คาํ รอ้ งทกุ ข์ของผูร้ อ้ งทกุ ข์ไ ้พจิ ารณา
-----------------------------------------------------
124
แนวทางการปฏิบตั ิราชการจากคําวนิ จิ ฉัยจากศาลปกครองสูงสุด
และบทความเก่ยี วกับการบรหิ ารงานบุคคลของสํานักงานศาลปกครอง
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ. ๗๓๕/๒๕๕๕
– การใชด ลุ พนิ จิ ออกคําส่งั ยายสับเปลี่ยนหมนุ เวยี นขาราชการครู
ในการดําเนินการยายขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตางเขตพนื้ ที่การศึกษา เปนอาํ นาจของ
คณะอนุกรรมการขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจําเขตพ้ืนท่ีการศึกษาท่ีจะใชดุลพินิจในการ
รับยายตามความเหมาะสม โดยพิจารณาดานความจําเปนเรื่องครอบครัว ประกอบกับสภาพแวดลอมบริบท
ของโรงเรียนความกันดารหางไกล และความยากลําบากในการเดินทางวาผูใดมีเหตุผลความจําเปนมากกวา
กัน หากบุคคลใดมิไดรับยายจะไดรับความเดือดรอนมากกวากันมาเปนองคประกอบสําคัญในการพิจารณา
เปรยี บเทียบเหตุผลความจําเปน ในการขอยา ยเม่ือคณะอนุกรรมการขาราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา
ประจําเขตพ้ืนท่ีการศึกษาอนุมัติใหรับยายขาราชครูที่มีภาระความจําเปนในการดูแลบุตรที่ยังเลก็ และมารดา
ท่ีปวยและมีความยากลําบากในการเดินทางไปปฏิบัติงานมากกวา จึงเปนการใชดุลพินิจท่ีเหมาะสมในการ
ดําเนินการตามความมุงหมายในการยายสับเปลี่ยนหมุนเวียนขาราชการครูอันเปนการกระทําท่ีชอบ
ดว ยกฎหมายและไมอาจถือไดว า เปนการเลอื กปฏบิ ตั ิท่ีไมเหมาะสมและไมเปนธรรม
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนขาราชการครูโรงเรียนเวียงเจดียวิทยา สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษาลําพูน เขต ๒ ไดย่ืนคํารองขอยายกรณีปกติมาดํารงตําแหนงที่โรงเรียนวชิรปาซาง ในสังกัด
สํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาลําพูน เขต ๑ ตอมา ผูถูกฟองคดี(คณะอนุกรรมการขาราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษา ประจําเขตพื้นที่การศึกษาลําพูนเขต ๑) มีมติใหรับยายนาง ก. ขาราชการครูโรงเรียนทุงหัวชาง
พิทยาคม สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาลําพูน เขต ๒ ไปดํารงตําแหนงครูโรงเรียนวชิรปาซาง สังกัด
สํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาลําพูน เขต ๑ แตผูฟองคดีไมไดรับการพิจารณาอนุมัติใหรับยายตามคํารอง
ผูฟองคดีจึงขอดูผลการพิจารณารับยายของผูถูกฟองคดี ปรากฏวาน้ําหนักคะแนนในการพิจารณายายกรณี
ของนาง ก. นอยกวาผูฟ องคดี แตกลับไดรบั การอนุมัติใหยายโดยท่ีผถู ูกฟองคดไี มสามารถอธิบายรายละเอยี ด
ไดวานาง ก. ไดรับยายเพราะเหตุใด มติของผูถูกฟองคดีดังกลาวจึงไมถูกตองและไมชอบธรรม ผูฟองคดี
จึงมีหนังสือขอความเปนธรรมในการพิจารณารับยายขาราชการครูลงวันท่ี ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๘
ถึงผูอํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาลําพูน เขต ๑ในฐานะประธานของผูถูกฟองคดี แตมิไดรับ
การพิจารณาหรือชี้แจง จึงขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังยกเลิกคําสั่งตามหนังสือลงวันท่ี ๑๐ พฤษภาคม
๒๕๔๘ เรื่อง การแตงตั้ง (ยาย)ขาราชการครูในกรณีของนาง ก. และมีคําสั่งใหผูฟองคดีเปนผูไดรับ
การพจิ ารณาใหย ายไปรับราชการที่โรงเรียนวชิรปาซาง
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ผูฟองคดีเปนขาราชการครูโรงเรียนเวียงเจดียวิทยาสังกัดสํานักงาน
เขตพ้ืนที่การศึกษาลําพูน เขต ๒ ไดยื่นคํารองขอยายกรณีปกติไปท่ีโรงเรียนวชิรปาซาง สังกัดสํานักงาน
เขตพ้ืนท่ีการศึกษาลําพูน เขต ๑ จึงเปนกรณีขอยายไปดํารงตําแหนงในหนวยงานการศึกษาอ่ืนระหวางเขต
พื้นที่การศึกษา การขอยายจึงตองไดรับอนุมัติจากผูถกู ฟองคดีตามมาตรา ๕๙ วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา
๕๙ วรรคส่ี แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งขณะที่
ผูถูกฟองคดีพิจารณารับยายนาง ก. ตําแหนงครูโรงเรียนทุงหัวชางพิทยาคม สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่
125
การศึกษาลําพูน เขต ๒ มาบรรจุแตงต้ังในตําแหนงครู โรงเรียนวชิรปาซาง สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ี
การศึกษาลําพูน เขต ๑ คณะกรรมการขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ ก.ค.ศ. และสํานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขนั้ พื้นฐานไมไดกําหนดนโยบายหรือแนวทางการดําเนินการในการยา ยขาราชการครู
แ ล ะ บุ ค ล า ก ร ท า ง ก า ร ศึ ก ษ า ต า ง เข ต พื้ น ที่ ก า ร ศึ ก ษ า ให เป น แ น ว ท า ง เดี ย ว กั น เพ่ื อ เป น บ ร ร ทั ด ฐ า น
ในการพิจารณารับยายขาราชการที่อยูตางเขตพื้นท่ีการศึกษา จึงเปนอํานาจของผูถูกฟองคดีที่จะใชดุลพินิจ
ในการพิจารณารับยายตามความเหมาะสมได ซึ่งการพิจารณารับยายขาราชการท่ีสังกัดอยูตางเขตพ้ืนที่
การศึกษา โดยพิจารณาองคประกอบดานความจําเปนเร่ืองครอบครัวประกอบกับสภาพแวดลอมบริบทของ
โรงเรียน ความกันดารหางไกล และความยากลําบากในการเดินทางวาผูใดจะมีเหตุผลความจําเปนมากกวา
กัน หากบุคคลใดมิไดรับยายจะไดรับความเดือดรอนมากกวากันเปนองคประกอบสําคัญในการพิจารณา
เปรียบเทียบเหตุผลความจําเปนในการขอยายในเบ้ืองตนเพ่ือเปรียบเทียบเหตุผลความจําเปนในการขอยาย
กรณีนาง ก.ย่ืนคํารองขอยายขณะรับราชการอยูที่โรงเรียนทุงหัวชางพิทยาคม สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษาลําพูน เขต ๒ มีภาระในการรับผิดชอบดูแลบุตรสองคนท่ียังเล็กโดยตองใหนมบุตรและดูแลบุตร
ในเวลากลางคืน ประกอบกับตองดูแลมารดาท่ีปวยดวยโรคมะเร็งระยะท่ี ๒ โดยสามีของนาง ก. มิได
อยูรวมกัน เน่ืองจากสามีรับราชการครูท่ีโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหมสวนการเดินทางไปปฏิบัติงาน
ที่โรงเรียนกับท่ีพักของนาง ก. ท่ีอยูในอําเภอหางกันเปนระยะทางประมาณ ๑๔๙ กิโลเมตร การเดินทาง
ลําบากเนื่องจากมีรถประจําทางจํานวนไมมาก ตองใชเวลาในการเดินทางประมาณ ๓ ช่ัวโมง อีกท้ังโรงเรียน
ทุงหัวชางพิทยาคมเปนโรงเรียนมัธยมท่ีอยูหางไกล มีความกันดาร สภาพโรงเรียนยากจน นักเรียนสวนมาก
เปนชาวเขาเผากะเหร่ยี ง ทําใหการสื่อสารและจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนมีความยากลําบาก สวนผูฟอ งคดี
ที่ย่ืนคํารองขอยายขณะรับราชการอยูที่โรงเรียนเวียงเจดียวิทยา สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาลําพูน
เขต ๒ เพื่อไปดูแลบุตรอายุ ๓ ป ดูแลบิดาอายุ ๘๐ ป ปวยเปนอัมพาตดวยโรคเสนเลือดในสมองตีบและ
มารดาอายุ ๗๗ ป ปวยเปนโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ผูฟอ งคดีกับภรรยาพักอยรู วมกันในอําเภอปา
ซาง การเดินทางระหวางบานพักกับโรงเรียนท่ีทํางานระยะทางประมาณ ๑๑๕ กิโลเมตร โรงเรียนเวียงเจดีย
วิทยาต้ังอยูในเขตเทศบาลมีสถานีรถประจําทางอยูใกลโรงเรียน ผูฟองคดีมีรถยนตสวนตัวและมีบานพัก
บริเวณโรงเรียนสําหรับพักอาศัยได กรณีน้ีเห็นวานาง ก. มีภาระความจําเปนในการดูแลใหนมบุตรซึ่งยังเล็ก
และดูแลมารดาท่ีปวย อีกทั้งมิไดอยูรวมกับสามี จึงมีเหตุผลความจําเปนมากกวาผูฟองคดีซ่ึงบุตรมีอายุ ๓ ป
สามารถชวยตัวเองไดบางแลว มารดาของผูฟองคดีปวยเปนโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงยังสามารถ
ดูแลตัวเองและบิดาของผูฟองคดีได การเดินทางไปปฏิบัติงานจากบานและโรงเรียนท่ีนาง ก.ปฏิบัติงานอยู
มีความยากลําบากมากกวาการเดินทางไปปฏิบัติงานของผูฟองคดี เมื่อผูถูกฟองคดีพิจารณารับยายนาง ก.
แทนการรับยายผูฟองคดีตามมติของผูถูกฟองคดีเม่ือวันที่ ๓ พฤษภาคม๒๕๔๘ จึงเปนการใชดุลพินิจ
ทเี่ หมาะสมแกการดาํ เนินการใหเปนไปตามความมุงหมายในการยายสับเปลี่ยนหมุนเวียนขาราชการครูสังกัด
สํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาลําพูน เขต ๑ แลว และเปนการดําเนินการตามอํานาจของผูถูกฟองคดีตาม
มาตรา ๕๙ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗
อันเปนการกระทําท่ีชอบดวยกฎหมาย และไมอาจถือไดวามีลักษณะเปนการเลือกปฏิบัติที่ไมเหมาะสมเปน
ธรรมและขดั ตอหลักความเสมอภาคแตอ ยางใด
126
คําสั่งศาลปกครองสงู สุดที่ ๒๘๐/๒๕๕๖
- การแตง ตัง้ โยกยายขา ราชการในหนวยงาน
การดําเนินการแตงต้ังโยกยายบุคลากรในหนวยงานราชการเปนอํานาจของผูบังคับบัญชาในการ
บริหารงานบุคคล ซ่ึงผูบังคับบัญชาอาจแตงต้ังโยกยายบุคลากรในหนวยงานไดตามความเหมาะสม
เพ่ือประโยชนในการจัดทําบริการสาธารณะใหบรรลุผลถึงแมผูไดรับคําสั่งจะไดรับผลกระทบทางดานจิตใจ
โดยรูสึกถูกลดความสําคัญในหนาท่ีการงานลงและรูสึกกระทบตอความเจริญกาวหนาในหนาท่ีการงาน
แตเมื่อคําส่ังยายมิไดทําใหสถานภาพของสิทธิหรือหนาที่ของผูรับคําส่ังเปลี่ยนแปลงไป จึงไมอาจถือไดวา
เปนการกระทบตอสิทธิโดยตรง โดยนิตินัยจึงไมอยูในฐานะเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายหรือ
อาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงไดอันจะมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒
วรรคหนง่ึ แหงพระราชบญั ญัติจดั ตัง้ ศาลปกครองและวธิ ีพจิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ผูฟองคดีฟองวา ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (อธิการบดี
มหาวิทยาลัย) มคี ําสั่งลงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ ยา ยผูฟองคดจี ากตําแหนงบุคลากรชํานาญการพิเศษและ
หัวหนางานบรหิ ารงานบุคคล กองการเจา หนาที่ สํานกั งานอธิการบดีใหไปดํารงตําแหนงบุคลากรชํานาญการพิเศษ
และคายตําแหนงหัวหนางานบริหารงานบุคคลไมชอบดวยกฎหมายและไมเปนธรรมตอผูฟองคดี เนื่องจาก
เปนการยายจากตําแหนง หัวหนางานบริหารงานบุคคลซึ่งเปนตําแหนงท่ีมีภารกิจหลักในการปฏิบัติงานและมี
ผูรวมงานในฐานะผูใตบังคับบัญชาจํานวน ๑๗ คน ไปดํารงตําแหนงท่ีไมมีภารกิจหลักในการปฏิบัติงาน
โดยใหปฏิบัติงานตามที่ผูบังคับบัญชามอบหมายเทาน้ัน และเปนตําแหนงที่ไมมีผูใตบังคับบัญชารวม
ปฏิบัติงาน อันเปนการยายท่ีไมคํานึงถึงศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของผูฟองคดี เพราะตําแหนงที่ถูกยายนั้น
ไมสังกัดหนวยงานใดในกองการเจาหนาที่ เปนตําแหนงลอยๆ เสมือนเปนการถูกลงโทษในสายตาของวงการ
ขาราชการ ผูฟองคดีไดรองทุกขตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ (สภามหาวิทยาลัย) ซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดพิจารณาแลว
มีมตวิ าคําสง่ั ยา ยชอบดวยกฎหมายแลว จงึ ขอใหศ าลเพิกถอนคาํ ส่งั และมติดังกลา ว
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา กรณีเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการท่ีหนวยงานทางปกครองหรือ
เจาหนาที่ของรัฐออกคําส่ังโดยไมชอบดวยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) แหงพระราชบัญญัติจัดต้ัง
ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เม่ือเดิมผูฟองคดีดํารงตําแหนงบุคลากรชํานาญการ
พิเศษ ตําแหนง เลขที่ ๑๖ ขั้น ๔๐,๕๙๐ บาท และหัวหนา งานบริหารงานบุคคล กองการเจา หนาที่ สํานักงาน
อธิการบดี และผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ ใหยายผูฟองคดีไปสังกัดกองการ
เจาหนาที่ สํานักงานอธิการบดีตําแหนงบุคลากรชํานาญการพิเศษ ตําแหนงเลขที่ ๑๖ ข้ัน ๔๐,๕๙๐ บาท
และคายตําแหนงหัวหนางานบริหารงานบุคคล โดยใหปฏิบัติงานตามมาตรฐานกําหนดตําแหนงและตามที่
ผูบังคับบัญชามอบหมาย ซ่ึงเปนคําส่ังใหผูฟองคดีดํารงตําแหนงในระดับและอัตราเงินเดือนเดิม เลขที่
ตําแหนงและสังกัดเดิม เพียงแตไมไดปฏิบัติหนาที่ในตําแหนงหัวหนางานบริหารงานบุคคลเทาน้ัน ซึ่งเปน
เร่ืองดุลพินิจของผูบังคับบัญชาและผูมีอํานาจในการสั่งบรรจุและแตงต้ังจะพิจารณาสั่งการไดตามท่ี
เห็นสมควรภายใตหลักเกณฑและเง่ือนไขที่กฎหมายกําหนด แมการยายน้ีจะเปนเหตุใหผูฟองคดีรูสึกถูกลด
ความสําคัญในหนาที่การงานลง และรูสึกกระทบตอความเจริญกาวหนาในหนาที่การงานแตไมปรากฏ
ขอเท็จจริงวาคําสั่งดังกลาวเปนเหตุใหผูฟองคดีตองเสียสิทธิหรือประโยชนอื่นใดท่ีไดรับอยูแตเดิม ผูฟองคดี
ยังคงไดรับเงินเดือนและสิทธิประโยชนอ่ืนอันไมแตกตางจากตําแหนงเดิมอีกทั้งการมีคําส่ังใหผูฟองคดี
ปฏิบัติงานตามมาตรฐานกําหนดตําแหนงและตามท่ีผูบังคับบัญชามอบหมายน้ัน แสดงใหเห็นวาผูฟองคดียังมี
127
หนาที่และความรับผิดชอบตามมาตรฐานกําหนดตําแหนงและตามทผ่ี ูบังคับบัญชามอบหมาย อันจะยังสง ผลใหผู
ฟองคดีไดรับการเลือ่ นข้ันเงินเดือนและไดรับการพิจารณาเลื่อนตําแหนงที่สูงขึ้นได จึงไมอาจถือไดวาเปนการ
กระทบตอสิทธิของผูฟองคดีโดยตรง เนื่องจากมิไดทําใหสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดี
เปล่ียนแปลงไป ประกอบกับการดําเนินการแตงต้ังโยกยายบุคลากรในหนวยงานราชการเปนอํานาจ
ของผูบังคับบัญชาในการบริหารงานบุคคล ซ่ึงผูบังคับบัญชาอาจแตงต้ังโยกยายบุคลากรในหนวยงานได
ตามความเหมาะสมเพื่อประโยชนในการจัดทําบริการสาธารณะใหบรรลุผล และการอางวาการออกคําสั่งยาย
มิไดคํานึงถึงศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของผูฟองคดีและเสมือนเปนการถูกลงโทษในสายตาของวงการ
ขา ราชการก็เปนความรสู ึกของผูฟองคดีเองและเปนเรื่องผลกระทบทางดานจิตใจ มใิ ชเปน ผลกระทบตอ สถานภาพ
ของสิทธิหรือหนาที่ของผูฟองคดีแตอยางใด โดยนิตินัยผูฟองคดีจึงยังไมอยูในฐานะผูไดรับความเดือดรอน
หรือเสียหายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงไดอันจะมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครอง
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจงึ ไมร บั คาํ ฟองไวพิจารณา
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ. ๗๗๖/๒๕๕๗
- การมีคาํ สั่งยายขาราชการตาํ รวจ กรณีสับเปลีย่ นใหผ อู ื่นมาดํารงตาํ แหนงแทน
คําส่ังแตงตั้งโยกยายขาราชการเปนคําสั่งทางปกครองที่ตองอยูภายใตหลักความชอบดวยกฎหมาย
ของการกระทําทางปกครองตามหลักนิติรัฐ กลาวคือ การใชดุลพินิจในการออกคําส่ังทางปกครอง
ฝายปกครองจะมีอํานาจใชดุลพนิ จิ เทาที่ไมม กี ฎหมายผกู พนั ไว ซึ่งอาจอยูใ นรูปของกฎหมายลายลักษณอักษร
เชน กฎหมายวาดวยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง หรือกฎหมายท่ีไมเปนลายลักษณอักษร เชน
หลักกฎหมายปกครองท่ัวไป ไมวาจะเปนหลักความเสมอภาค หลักการใชอํานาจพอสมควรแกเหตุหลัก
ความแนน อนม่ันคงในกฎหมาย หรือหลักคุณธรรม การใชดุลพินิจในการออกคําส่ังแตงตั้งโยกยายขาราชการ
จึงจํากัดอยูในกรอบของกฎหมายท่ีผูกพันการใชดุลพินิจเพ่ือเปนหลักประกันมิใหใชดุลพินิจตามอําเภอใจ
เม่ือสาเหตขุ องการออกคําสั่งยายขาราชการตํารวจเปน การสับเปล่ยี นใหขาราชการอ่ืนดาํ รงตําแหนงแทนโดย
มิไดเกิดจากความจําเปนเพ่ือประโยชนของทางราชการและมิไดเปนไปตามระบบคุณธรรมในการแตงตั้ง
โยกยายที่จะตองคํานึงถึงความรูความสามารถ คุณสมบัติของบุคคล และการจัดคนใหเหมาะสมกับงานเปน
สําคัญ จึงเปนการใชดุลพินิจโดยมิชอบดวยกฎหมายและเปนการขัดหรือแยงตอหลักคุณธรรมและขัดตอกฎ
ก.ตร. คําส่ังยายจึงไมชอบดวยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองมีอํานาจกําหนดคําบังคับใหเพิกถอนคําสั่งเพื่อแกไข
เยียวยาความเดือดรอนหรือเสียหายได แมวาในระหวางการพิจารณาคดี คูกรณีจะไดรับการเลื่อนตําแหนง
สงู ขึ้นและไมสามารถกลบั ไปดํารงตําแหนง เดมิ ได
ผูฟองคดีฟองวา เม่ือครั้งผูฟองคดีดํารงตําแหนงสารวัตรปองกันปราบปรามสถานีตํารวจภูธรกุยบุรี
จังหวดั ประจวบคีรขี ันธ ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (ผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๙) ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๑๔ พฤศจกิ ายน
๒๕๕๑ แตง ตงั้ ผฟู องคดีใหไปดํารงตําแหนงสารวตั รสืบสวนสอบสวน สถานีตํารวจภูธรยะหรง่ิ จงั หวัดปตตานี
แทนพันตํารวจตรี อ. ซ่ึงไดรับคําสั่งแตงต้ังใหไปดํารงตําแหนงสารวัตรปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธร
สามชุก จังหวัดสุพรรณบุรีตามคําส่ังตํารวจภูธรภาค ๗ ลงวันท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ โดยผูฟองคดีไมได
รอ งขอหรือสมัครใจ และไมไดอยูระหวา งถกู ตั้งกรรมการสอบสวนวนิ ัยอยางรายแรง ไมเคยถกู ลงโทษทางวนิ ัย
จึงเปนการแตง ต้ังโยกยายที่ไมชอบดวยขอ ๑๔ (๒) ขอ ๓๑ และขอ ๓๗ ของกฎ ก.ตร.วาดวยหลักเกณฑและ
128
วิธีการแตงตั้งโยกยายขาราชการตํารวจระดับสารวัตรถึงจเรตํารวจแหงชาติและรองผูบัญชาการตํารวจ
แหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙ และมาตรา ๒๗๙ ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ผูฟอง
คดีไดรองทุกขตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) แต อ.ก.ตร. เก่ียวกับการรองทุกข
ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีมติใหยกคํารองทุกข จึงขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่ง
ลงวันท่ี ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๑ โดยใหผ ูฟอ งคดีกลบั ไปสูตาํ แหนง เดมิ และเพิกถอนมติ อ.ก.ตร. ดงั กลา ว
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา พระราชบัญญัติตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗มาตรา ๕๕ (๓) และ
มาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง และกฎ ก.ตร. วาดวยหลักเกณฑและวิธีการแตงตั้งโยกยายขาราชการตํารวจระดับ
สารวัตรถึงจเรตํารวจแหง ชาตแิ ละรองผูบัญชาการตาํ รวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙ ขอ ๑๔ ไดว างหลักเกณฑการ
ใชด ุลพินิจในการแตง ตั้งโยกยายขา ราชการตํารวจไวอยางกวา ง ๆ เพอ่ื ใหผ ูมอี าํ นาจแตง ตงั้ ไดใชด ุลพินจิ ในการ
จดั สรรขาราชการตํารวจใหไ ปปฏิบัติหนาท่ีในตําแหนงท่ีเหมาะสมกับงาน ซ่ึงจะเปนการสงเสรมิ ใหภารกิจของ
สํานักงานตํารวจแหงชาติเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล และเปนประโยชนอยางแทจริงแกทางราชการ
อยางไรก็ตามแมวากฎหมายจะเปดโอกาสใหผูมีอํานาจแตงต้ังไดใชดุลพินิจอยางกวางขวาง แตเม่ือคําสั่ง
แตงตั้งโยกยายขาราชการตํารวจเปนการใชดุลพินิจตามกฎหมายของเจาหนาท่ีที่มีผลกระทบตอสถานภาพ
ของสิทธิหรือหนาท่ีของบุคคลและมีลักษณะเปนคําส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แหงพระราชบัญญัติวิธี
ปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การมีคําส่ังแตงตั้งโยกยายขาราชการตํารวจจึงอยูภายใตหลัก
ความชอบดวยกฎหมายของการกระทําทางปกครองตามหลักนิติรัฐ กลา วคือ การใชดุลพินิจในการออกคําส่ัง
ทางปกครอง ฝายปกครองจะมีอํานาจใชดุลพินิจเทาที่ไมมีกฎหมายผูกพันไว ซ่ึงกฎหมายท่ีผูกพันการใช
ดุลพินิจดังกลาวนั้นอาจอยูในรูปของกฎหมายลายลักษณอักษร เชน กฎหมายวาดวยวิธีปฏิบัติราชการทาง
ปกครอง หรือกฎหมายท่ีไมเปนลายลักษณอักษร เชน หลักกฎหมายปกครองท่ัวไป ไมวาจะเปนหลัก
ความเสมอภาค หลักการใชอํานาจพอสมควรแกเหตุ หลักความแนนอนม่ันคงในกฎหมาย หรือหลักคุณธรรม
ที่ไมอาจละเลยได เปนตน ดังน้ันการใชดุลพินิจในการออกคําสั่งแตงตั้งโยกยายขาราชการตํารวจของผูมี
อํานาจแตงตั้งจึงจํากัดอยูในกรอบของกฎหมายท่ีผูกพันการใชดุลพินิจ เพ่ือเปนหลักประกันมิใหใชดุลพินิจ
ตามอําเภอใจเม่ือคร้ังผูฟองคดีดํารงตําแหนงสารวัตรปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธรกุยบุรี จังหวัด
ประจวบคีรีขันธ สํานักงานตํารวจแหงชาติมีหนังสือ ลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ แจงแนวทางการแตงต้ัง
ขาราชการตํารวจระดับสารวัตรถึงรองผูบังคับการ วาระประจําป ๒๕๕๑ เพ่ือใหทุกหนวยงานถือปฏิบัติ
โดยใหมีคําสั่งแตงตั้งพรอมกันทุกหนวยในวันท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ และใหคําสั่งแตงต้ังมีผลใชบังคับ
พรอ มกันในวันท่ี ๒๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๑ โดยในสวนของกองบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๗ น้ัน ผูถูกฟองคดี
ท่ี ๔ (ผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๗) ไดมีหนังสือลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ แจงใหผูบังคับการ
ตํารวจภูธรในสังกัดกองบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๗ จัดทําบัญชีแตงตั้งโยกยายขาราชการตํารวจ ตอมา
ผูบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธไดจัดทําบัญชีรายช่ือขาราชการตํารวจในสังกัดเสนอตอ
ผูถูกฟองคดีที่ ๔เพ่ือพิจารณาแตงตั้งโยกยายขาราชการตํารวจในสังกัด ซ่ึงตามบัญชีรายชื่อดังกลาวมีชื่อ
ผูฟองคดีอยูในลําดับท่ี ๑๒ ถูกเสนอใหไปดํารงตําแหนงสารวัตรปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธรสาม
กระทาย จังหวัดประจวบคีรีขันธ แตปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีความประสงคจะแตงต้ังพันตํารวจตรี อ.
สารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตํารวจภูธรยะหร่ิง จังหวัดปตตานี มาดํารงตําแหนงในสังกัดกองบัญชาการ
ตํารวจภูธรภาค ๗ ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ จึงมีหนังสือ ลงวันท่ี ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ขอทําความตกลงกับ
กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๙ โดยใหผูฟองคดีสับเปล่ียนตําแหนงกับพันตํารวจตรี อ. ผูถูกฟองคดีที่ ๓
129
ในฐานะผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๙ ไดมีหนังสือ ลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ แจงผูถูกฟองคดีที่ ๔
วาไมขัดของ แตเน่ืองจากพันตํารวจตรี อ. ไดรับแตงตั้งครั้งสุดทายไมครบสองป ผูถูกฟองคดีที่ ๔ จึงไดมี
หนังสือ ลงวันท่ี ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ขอความเห็นชอบจากผูถูกฟองคดีที่ ๒ (ผูบัญชาการตํารวจ
แหงชาติ) ซึ่งผูบังคับการกองกําลังพลไดมีหนังสือ ลงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ แจงผูถูกฟองคดีที่ ๔
วา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เห็นชอบการแตงตั้งพันตํารวจตรี อ. ตามที่เสนอ ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จึงมีคําส่ังตํารวจภูธร
ภาค ๙ ลงวันที่ ๑๔พฤศจิกายน ๒๕๕๑ แตงต้ังผูฟองคดีไปดํารงตําแหนงสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานี
ตาํ รวจภธู รยะหรงิ่ จังหวดั ปต ตานี
จากขอเท็จจริงดังกลาวเห็นไดวา การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีคําสั่งตํารวจภูธรภาค ๙ ลงวันท่ี ๑๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๑ มีสาเหตุมาจากผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีความประสงคจะแตงต้ังพันตํารวจตรี อ. ซึ่งดํารง
ตําแหนงสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตํารวจภูธรยะหร่ิง จังหวัดปตตานีมาดํารงตําแหนงในสังกัด
กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๗ จึงมีการสับเปลี่ยนตําแหนงกับผูฟองคดีโดยผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ไดทําหนังสือ
ชแี้ จงตอ อ.ก.ตร. เก่ียวกับการรองทุกขวา การแตงต้ังโยกยายผูฟองคดี เนื่องจากผฟู องคดีมีกรณีถูกรองเรียน
เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไมเหมาะสม แตตอมาปรากฏวาพลตํารวจตรี ก. ตําแหนงผูบังคับการอํานวยการ
ตํารวจภูธรภาค ๗ ซ่ึงเปนผแู ทนผถู กู ฟอ งคดีที่ ๔ ไดช ้ีแจงดวยวาจาตอ อ.ก.ตร. เกี่ยวกับการรองทุกขวา กรณี
ที่ผูฟองคดีถูกรองเรียนน้ันไมไดมีการแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริงและไมไดดําเนินการทางวินัย
กับผูฟองคดี เน่ืองจากในการสอบสวนทางลับทราบวา ผูลงลายมือช่ือในหนังสือรองเรียนท้ังสองรายนั้น
รายหน่ึงไมมีตัวตน สวนอีกรายหนึ่งยืนยันวาไมไดทําหนังสือรองเรียนผูฟองคดี กรณีจึงเห็นไดวาสาเหตุของ
การยายผูฟองคดีมิไดเกิดจากความจําเปนเพ่ือประโยชนของทางราชการ และมิไดเปนไปตามระบบคุณธรรม
ในการแตงตั้งโยกยายท่ีจะตองคาํ นงึ ถึงความรูความสามารถ คุณสมบัติของบุคคล และการจัดคนใหเ หมาะสม
กับงานเปนสําคัญ ซึ่งหากไมรักษาระบบคุณธรรมดังกลาวไวก็จะถูกแทนที่ดวยระบบอุปถัมภตามท่ีศาล
ปกครองช้ันตนวินิจฉัยไวชัดเจนแลว การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีคําส่ังลงวันท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ แตงตั้ง
ผฟู อ งคดีไปดาํ รงตาํ แหนงสารวัตรสบื สวนสอบสวน สถานตี าํ รวจภธู รยะหริ่ง จังหวดั ปตตานี จึงขดั หรือแยง ตอ
หลักคุณธรรม และขัดหรือแยงตอกฎ ก.ตร. วาดวยหลักเกณฑและวิธีการแตงต้ังโยกยายขาราชการตํารวจ
ระดับสารวัตรถึงจเรตํารวจแหงชาติและรองผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙ ขอ ๑๔ ท่ีกําหนดวา
การแตง ตงั้ โยกยายขาราชการตํารวจใหกระทําเทาทีจ่ ําเปนเพื่อประโยชนแกทางราชการการออกคําสั่งแตง ตั้ง
โยกยายผูฟองคดีจึงเปนการใชดุลพินิจโดยมิชอบ และเปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย อันมีผลใหมติของ
อ.ก.ตร. เกี่ยวกับการรองทุกข ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในการประชุม เมื่อวันท่ี ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ทีใ่ หยกคํารอ งทุกขข องผูฟองคดีเปน คําสงั่ ท่ีไมชอบดว ยกฎหมายเชน กัน
สําหรับอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๑ และผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ที่วา ในระหวางการพิจารณาคดีของศาล
ปกครองชัน้ ตน ผูฟอ งคดีไดร ับการเลื่อนตาํ แหนงสูงขึ้นเปนรองผูกํากับการฝา ยอํานวยการ ตํารวจภูธรจังหวัด
ยะลา ซ่ึงเปนตําแหนงที่สูงกวาระดับสารวัตรแลว ทําใหคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นตนท่ีเพิกถอนคําสั่ง
ตํารวจภูธรภาค ๙ ลงวันท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ไมมีผลเปนการแกไขหรือเยียวยาความเดือดรอนหรือ
เสียหายของผูฟองคดีอีกตอไปผูฟองคดีไมอาจกลับไปดํารงตําแหนงเดิมได เหตุแหงความเดือดรอนหรือ
เสียหายตามคําฟองของผูฟองคดีจึงสิ้นสุดลงแลว คดีจึงมีเหตุที่จะตองมีคําสั่งจําหนายคดีออกจากสารบบ
ความนั้นเห็นวา พระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๗๒
130
วรรคหนึ่ง (๑) บัญญัติวา ในการพิพากษาคดีศาลปกครองมีอํานาจกําหนดคําบังคับอยางหนึ่งอยางใด
ดังตอไปนี้ (๑) สั่งใหเพิกถอนกฎหรือคําสงั่ หรอื ส่ังหามการกระทาํ ทั้งหมดหรือบางสวน ในกรณีที่มีการฟองวา
หนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาทข่ี องรัฐกระทําการโดยไมชอบดว ยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนง่ึ (๑)
ดังน้ัน เมื่อคําสงั่ ลงวันที่ ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๑ ทีแ่ ตง ตั้งใหผูฟองคดดี ํารงตําแหนงสารวัตรสบื สวนสอบสวน
สถานีตํารวจภูธรยะหริ่ง จังหวัดปตตานี เปนคําสั่งท่ีไมชอบดวยกฎหมาย ซ่ึงเปนเง่ือนไขที่ศาลปกครองมี
อํานาจกําหนดคําบังคับใหเพิกถอนคําส่ังเพ่ือแกไขเยียวยาความเดือดรอนหรือเสียหายใหแกผูฟองคดีได
และแมวาในระหวางการพิจารณาคดีของศาลปกครองชั้นตน ผูฟองคดีจะไดรับการเล่ือนตําแหนงสูงขึ้นและ
ไมสามารถกลับไปดํารงตําแหนงเดิมได แตก็ปรากฏวาคําส่ังลงวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ที่พิพาทยังได
กอใหเกิดความเดือดรอนหรือเสียหายทางดานจิตใจแกผูฟองคดีดวย ทําใหผูฟองคดีมีความรูสึกวาไมไดรับ
ความเปนธรรมจากการแตงต้ังโยกยายของผูบังคับบัญชา ความเดือดรอนหรือเสียหายของผูฟองคดีจงึ ยังคงมีอยู
และเปนเหตุใหศาลปกครองตองมีคําพิพากษาเพิกถอนคําสั่งดังกลาวเพื่อแกไขเยียวยาความเดือดรอนหรือ
เสียหายใหแ กผูฟ อ งคดี
อยางไรก็ตาม เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ในระหวางการดําเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาลปกครอง
ช้ันตน ผูฟองคดีไดรับการเลื่อนตําแหนงสูงข้ึนมากกวาตําแหนงเดิมในขณะฟองคดีแลว และการที่ศาล
ปกครองชั้นตนพิพากษาเพิกถอนคําสั่งตํารวจภูธรภาค ๙ ลงวันท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ เฉพาะในสวนท่ี
แตง ตัง้ ใหผ ูฟองคดีไปดํารงตําแหนงสารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตํารวจภูธรยะหร่ิง จังหวัดปตตานี โดยใหมี
ผลตั้งแตวันท่ีศาลมีคําพิพากษาเปนตนไป และเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดย อ.ก.ตร. เกี่ยวกับการ
รองทุกข ในการประชุมเม่ือวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เฉพาะในสวนท่ียกคํารองอุทธรณของผูฟองคดีน้ัน
จะมีผลเสมือนหน่ึงวาผูถูกฟองคดีที่ ๑ และผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไมเคยมีคําสั่งดังกลาวมากอนตั้งแตวันที่ศาล
มคี ําพิพากษาซึ่งทําใหผถู ูกฟองคดีท่ี ๑ และผถู ูกฟองคดีที่ ๓ หรือผูที่เกี่ยวของมีหนาที่ตองกลับไปดําเนินการ
ในเร่อื งตาง ๆ เพอื่ ใหเปนไปตามผลแหง คําพิพากษา แตการดําเนินการดังกลาวอาจจะสงผลกระทบกระเทือน
กับการดํารงตําแหนงปจจุบันของผูฟองคดี ทั้งยังอาจทําใหไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจาก
การดําเนินการดังกลาวดวย ประกอบกับในการพิพากษาคดีของศาลปกครองศาลปกครองมีอํานาจกําหนด
ขอสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการใหเปนไปตามผลแหงคําพิพากษาไดตามมาตรา ๖๙ วรรค
หนึ่ง (๘) แหงพระราชบัญญัตจิ ดั ตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แตในการพพิ ากษา
คดีนี้ ศาลปกครองช้ันตนมิไดกําหนดขอสังเกตดังกลาวไว จึงควรกําหนดใหมีขอสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือ
วิธีการดําเนินการใหเปนไปตามผลแหงคําพิพากษา โดยการใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และผูถูกฟองคดีท่ี ๓ และผูท่ี
เก่ียวของดําเนินการในเร่ืองตาง ๆ มิใหสงผลกระทบกระเทือนกับการดํารงตําแหนงปจจุบันและสิทธิ
ตามกฎหมายของผฟู องคดี
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ. ๑๙๗/๒๕๕๙
- การแตงตั้งขาราชการซึ่งดํารงตําแหนงเลขาธิการ (นักบริหาร 10) ใหไปดํารงตําแหนงผูตรวจราชการ
กระทรวง (ผตู รวจราชการ 10)
แมวาการสับเปลี่ยนหนาท่ี โอนหรือยาย และการแตงตั้งขาราชการจะเปนอํานาจดุลพินิจของ
ผูบังคับบัญชาท่ีมีอํานาจตามกฎหมายและสามารถกระทําไดตามความเหมาะสมเพื่อประโยชนของ
ทางราชการและพัฒนาขาราชการก็ตาม แตในการใชอํานาจดุลพินิจจะตองคํานึงถึงวัตถุประสงคหรือ
131
เจตนารมณของกฎหมายและอยูภายในขอบเขตของกฎหมาย โดยมีเหตุผลรองรับและจะตองเปนไปตาม
หลักคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลภาครัฐและเปนไปตามหลักการบริหารกิจการบานเมืองท่ีดีอันเปน
แนวนโยบายพ้ืนฐานแหงรัฐ และโดยเฉพาะในกรณีท่ีเปนการแตงต้ัง โอน ยายสับเปล่ียนหนาท่ีขาราชการ
นอกฤดูกาลหรอื นอกชวงเวลาตั้งแตโ อนยายปกติประจําปหรือนอกเหนอื หลักเกณฑท่ัวไปตามท่ีกฎหมายหรือ
กฎท่ีสวนราชการหรือหนว ยงานท่ีเกี่ยวของไดกาํ หนดไว ผูบังคบั บัญชาจะตองมีเหตุผลท่ีเหมาะสมหรือสมควร
อยางย่ิง และเหตุผลน้ันจะตองมีความชัดเจนเพียงพอ อันเปนความจําเปนเพื่อประโยชนของทางราชการ
ในการยายผูดํารงตําแหนงเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (นักบริหาร ๑๐) ไปดํารงตําแหนงผูตรวจ
ราชการกระทรวง (ผูตรวจราชการ ๑๐) แมวาจะยังคงดํารงตําแหนงในระดับ ๑๐ และยงั ไดรบั สทิ ธิประโยชน
จากทางราชการดังเดิม แตก็เปนการยายจากตําแหนงในสายงานนักบริหารไปสูสายงานการตรวจราชการ
ซึ่งมีความแตกตางกันในบทบาทและอํานาจหนาที่ เม่ือไมปรากฏวาผูใตบังคับบัญชาไมสนองนโยบายหรือ
ปฏิบัติหนาท่ีโดยไมมีประสิทธิภาพหรือมีขอบกพรอง ซึ่งถือเปนเหตุผลอันสมควรที่ผูบังคับบัญชาสามารถท่ี
จะปรับยายไปดํารงตําแหนงอ่ืนไดตามความเหมาะสม ยอมถือวาผูบังคับบัญชาไดใชอํานาจโดยไมมีเหตุผล
รองรบั อยางเพยี งพอ จึงเปน การใชดุลพินจิ โดยไมช อบดวยกฎหมาย
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนขา ราชการพลเรือนสามัญ เดิมดํารงตําแหนงเลขาธิการคณะกรรมการ
อาหารและยา (นักบริหาร ๑๐) ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (คณะรัฐมนตรี)ไดมีมติเม่ือวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ
๒๕๕๑ ยา ยผูฟอ งคดีไปดํารงตาํ แหนง ผูตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข (ผูตรวจราชการ ๑๐) ตามทผ่ี ูถกู ฟองคดี
ที่ ๒ (รัฐมนตรีวาการกระทรวงสาธารณสุข) เสนอและในวันเดียวกันผูถูกฟองคดีที่ ๓ (ปลัดกระทรวง
สาธารณสุข) ไดมีคําส่ังกระทรวงสาธารณสุขลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ส่ังใหผูฟองคดีไปรักษาการ
ในตําแหนงผูตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ผูฟองคดีเห็นวาแมจะ เปนการยายไปดํารงตําแหนงระดับ
เดียวกัน แตถือเปนการยายที่ลดขั้นเสมือนเปนการลงโทษ ทั้ง ๆ ท่ีผูฟองคดีไมไดกระทําความผิด นอกจากน้ี
การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีคําสั่ง ลงวันท่ี ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ใหผูฟองคดีไปรักษาการในตําแหนงผูตรวจ
ราชการกระทรวง (ผูตรวจราชการ ๑๐) ในวันเดียวกันกับท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีมติกอนที่จะมีการนําความ
ขึ้นกราบบังคมทูลเพ่ือทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ แตงต้ัง เปนการกระทําที่ไมถูกตองตามรูปแบบ ขั้นตอน
หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญ และขัดตอมาตรา ๑๙๓ ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๕๐ และมาตรา ๕๗ แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ และการที่ผูถูกฟองคดี
ที่ ๒ ใหสัมภาษณหนังสือพิมพกลาวโทษผูฟองคดีวาปฏิบัติงานบกพรองเปนการกลาวหาท่ีไมเปนความจริง
ผูฟ องคดีเหน็ วาการกระทําของผูถูกฟอ งคดที ้ังสองเปนการกระทําที่ไมชอบดวยกฎหมาย ผฟู องคดไี ดรองทุกข
ตอ ก.พ. แตเมื่อพนกําหนดเวลาเกาสิบวันนับแตวันท่ีไดรองทุกข ผูฟองคดียังไมไดรับแจงผลการพิจารณา
จึงฟองคดีตอศาล ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ใหผูฟองคดียายไป
ดํารงตําแหนงผูตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เพิกถอนคําสั่งกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ ๒๖
กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ท่ีใหผูฟองคดีไปรักษาการในตําแหนงผูตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้ง
ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ที่แตงต้ังผูฟองคดีใหดํารงตําแหนงผูตรวจ
ราชการกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนการดําเนินการใด ๆ ตามมติดังกลาว และใหผูฟองคดีดํารงตําแหนง
เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาดังเดิม
132
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา โดยท่ีการแตงตั้งโยกยายผูฟองคดีเกิดขึ้นในชวงท่ียังมิไดจัดทํา
มาตรฐานกําหนดตําแหนงตามท่ีมาตรา ๔๘ แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
กําหนดไว จึงตองใชบทบัญญัติในลักษณะ ๓ แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
มาบังคับ ซ่ึงมาตรา ๕๒ วรรคหนึ่ง (๒) แหงพระราชบัญญัติดังกลาวบัญญัติวา การบรรจุและแตงตั้งใหดํารง
ตําแหนงระดับ ๑๐ ใหปลัดกระทรวงผูบังคับบัญชาเสนอรัฐมนตรีเจาสังกัด เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรี
พิจารณาอนุมัติ เม่ือไดรับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแลวใหปลัดกระทรวงผูบังคับบัญชาเปนผูส่ังบรรจุและให
นายกรัฐมนตรีนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ แตงตั้ง ... นอกจากน้ี ยังมีบทบัญญัติ
มาตรา ๕๓ วรรคหนึ่ง มาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง มาตรา ๖๐ วรรคสอง หนังสือสํานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๐๗๐๘/ว
๙ ลงวนั ท่ี ๑๒พฤษภาคม ๒๕๓๕ และตามหนังสือสํานักงาน ก.พ. ที่ นร ๐๗๐๘.๑/ว ๗ ลงวันที่ ๓๐ เมษายน
๒๕๔๐ กําหนดเก่ียวกับหลักเกณฑและวิธีการยาย สรุปไดวาการยายและแตงตั้งขาราชการพลเรือนระดับ
๑๐ ใหปลัดกระทรวงผูบังคับบัญชาเสนอรัฐมนตรีเจาสังกัดเพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ
เม่ือไดรับอนุมัติแลว ใหปลัดกระทรวงเปนผูสั่งบรรจุและใหนายกรัฐมนตรีนําความกราบบังคมทูลเพ่ือโปรด
เกลาฯ แตงตัง้ ใหม ีการสบั เปล่ียนหนาที่ โอนหรอื ยายขาราชการพลเรือนสามัญระดบั ๙ ระดบั ๑๐ และระดับ
๑๑ ซ่ึงเปนตําแหนงลักษณะบริหารตามท่ี ก.พ. กําหนดโดยไมควรใหอยูปฏิบัติหนาที่เดียวติดตอกันเกินกวาส่ีป
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑท่ี ก.พ. กําหนด กรณีเปนการยายใหดํารงตําแหนงอ่ืนในกรมเดียวกัน ตองยายไปดํารง
ตําแหนงในระดับเดียวกันกรณีเปนการยายใหไปดํารงตําแหนงในกระทรวงเดียวกัน ใหพิจารณาจากเหตุผล
ความจําเปนและประโยชนของทางราชการและการพัฒนาขาราชการเปนหลัก และใหพิจารณาถึง
คุณสมบัติเฉพาะตําแหนงตามที่ ก.พ. กําหนด รวมท้ังความรู ประสบการณ ความสามารถ ความรับผิดชอบ
ความประพฤติและคุณลักษณะอื่นท่ีเหมาะสมและจําเปนในการปฏิบัติงานในตําแหนงที่จะยายไปแตงต้ัง
แมวาการสับเปลี่ยนหนาท่ี โอนหรือยาย และการแตงตั้งขาราชการเปนอํานาจดุลพินิจของผูบังคับบัญชาท่ีมี
อํานาจตามกฎหมายจะสามารถกระทําไดตามความเหมาะสมเพ่ือประโยชนของทางราชการและการพัฒนา
ขาราชการก็ตาม แตการใชอํานาจดุลพินิจของฝายบริหารน้ันจะตองคํานึงถึงวัตถุประสงคหรือเจตนารมณ
ของกฎหมายและอยูภายในขอบเขตของกฎหมายโดยจะตองมีเหตุผลรองรับท่ีมีอยูจริงและอธิบายได
ท้ังจะตองเปนไปตามหลักคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลภาครัฐและเปนไปตามหลักการบริหารกิจการ
บา นเมืองที่ดี อันเปนแนวนโยบายพื้นฐานแหงรฐั ตามรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐
ที่ใชบงั คับอยูในขณะนัน้
เมอ่ื ขอเทจ็ จรงิ รับฟงไดวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดมหี นังสือ ลงวนั ที่ ๒๕ กมุ ภาพันธ ๒๕๕๑ ถึงผูถกู ฟอง
คดีที่ ๒ เพื่อพิจารณาในการแตงต้ังขาราชการพลเรอื นสามญั ในกระทรวงสาธารณสุขจํานวน ๓ ราย โดยเปน
การยายสับเปลี่ยนหมุนเวียนขาราชการในระดับ ๑๐ ดวยกันโดยใหเหตุผลในการยายสับเปลี่ยนขาราชการ
ดังกลาววา เพื่อความเหมาะสมและเพ่ือประโยชนตอทางราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ใหความเห็นชอบตาม
เสนอและไดมีหนังสือเสนอแตงตั้งขาราชการท้ัง ๓ ราย ใหดํารงตําแหนงดังกลาวตามกฎหมายในวันเดียวกัน
ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพ่ือใหนําเสนอตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ พิจารณาอนุมัติและนําความกราบบังคมทูล
พระกรุณาโปรดเกลาฯใหพนจากตําแหนงและแตงตั้งใหดํารงตําแหนงตอไป ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีมติอนุมัติ
ใหแตงต้ังขาราชการทั้ง ๓ ราย ตามขอเสนอของกระทรวงสาธารณสุขเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพนั ธ ๒๕๕๑ ในวัน
เดียวกัน ผูถกู ฟองคดีที่ ๓ ไดมีคําส่ังกระทรวงสาธารณสขุ ลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑แตงต้ังใหผูฟองคดี
ไปรักษาการในตําแหนงผูตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ต้ังแตวันที่มีคําส่ังเปน
133
ตนไป ตอมา เลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีหนังสือสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันท่ี ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑
ถึงผูถูกฟองคดีท่ี ๒ แจงวาไดมีพระบรมราชโองการโปรดเกลาฯ ใหขาราชการทั้ง ๓ รายดังกลาวพนจาก
ตําแหนงเดิมและแตงต้ังใหดํารงตําแหนงใหมตามท่ีกระทรวงสาธารณสุขเสนอแลวตั้งแตวันที่ ๙ เมษายน
๒๕๕๑ เปนตนไป และสํานักนายกรัฐมนตรไี ดม ีประกาศ เร่ือง แตงตั้งขาราชการพลเรือนทั้ง ๓ ราย ตามท่ีได
มีพระบรมราชโองการโปรดเกลาฯใหพนจากตําแหนงและแตงตั้งใหดํารงตําแหนงดังกลาวตามประกาศ
ลงวันท่ี ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑จากขอเท็จจริงดังกลาวแมขั้นตอนและกระบวนการในการแตงต้ังผูฟองคดีจะ
เปนไปตามท่ีกฎหมายกําหนดก็ตาม แตเมื่อปรากฏขอเท็จจริงวา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดประกาศนโยบาย
ทบทวนการใชสิทธิเหนือสิทธิบัตรยาของผูผลิตสําหรับยารักษาโรคมะเร็งเพิ่มเติม ซ่ึงรัฐบาลชุดกอนหนาได
ประกาศใชสทิ ธิของประเทศไทยเหนือสิทธิบัตรยาของผูผลิต อันเปนบริการสาธารณะดานสาธารณสุขซึ่งเปน
อํานาจหนาที่ของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตามกฎหมาย ผูฟองคดีซ่ึงดํารงตําแหนงเลขาธิการคณะกรรมการอาหาร
และยา และเปนประธานคณะกรรมการเจรจาตอรองเพื่อการเพิ่มการเขาถึงยาจําเปนท่ีมีสิทธิบัตรตามคําส่ัง
กระทรวงสาธารณสุข ที่ ๕๖๖/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๐ มีอํานาจหนาท่ีท่ีจะตองปฏิบัติและ
ดําเนินการใหเปนไปตามนโยบายของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และรัฐบาลกอนหนาน้ันผูฟองคดีก็ไดมีหนังสือ
ดวนที่สุด ที่ สธ ๑๐๐๓.๑๔/๒๗๗๒ ลงวันท่ี ๑๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ขอเขาช้ีแจงขอเท็จจริงเกี่ยวกับการ
ประกาศใชสิทธิของประเทศไทยเหนือสิทธิบัตรยาใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ ทราบ แตผูถูกฟองคดีที่ ๒ ก็มิไดให
โอกาสผูฟองคดีเขาชี้แจงแตอยา งใด การที่ผูถูกฟอ งคดีท่ี ๒ เสนอใหผูถูกฟองคดที ่ี ๑ มีมติแตงต้ังผูฟองคดีซ่ึง
ดํารงตําแหนงเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (นักบริหาร ๑๐) ไปดํารงตําแหนงผูตรวจราชการ
กระทรวง (ผูตรวจราชการ ๑๐) โดยอางเหตุผลวาเพื่อความเหมาะสมและทางราชการจะไดผลประโยชน
มากกวา เห็นวา แมการยายผูฟองคดีครั้งนี้ผูฟองคดียังคงดํารงตําแหนงในระดับ ๑๐ และยังคงไดสิทธิ
ประโยชนจากทางราชการดังเดิม แตก็เปนการยายจากตําแหนงในสายงานนักบริหารไปสูสายงานการตรวจ
ราชการซ่ึงมีความแตกตางกันในบทบาทและอํานาจหนาที่อยางมีนัยสําคัญประกอบกับการยายผูฟองคดีให
ไปดํารงตําแหนงผูตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ไมปรากฏขอเท็จจริงวาผูฟองคดีไดโตแยงคัดคาน
หรือไมสนองนโยบายของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ อยางใดและไมปรากฏขอเท็จจริงวาผูฟองคดีไดปฏิบัติหนาท่ีใน
ตําแหนงเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาโดยไมมีประสิทธิภาพหรือมีขอบกพรองอยางใด ซึ่งจะถือได
วามีเหตุผลอันสมควรที่ผูบังคับบัญชาสามารถที่จะปรับยายผูฟองคดีไปดํารงตําแหนงอ่ืนไดตามความ
เหมาะสม นอกจากนี้ การปรับยายผูฟองคดีคร้ังนี้ยังเปนการปรับยายนอกฤดูกาลโยกยายปกติและกระทํา
อยางเรงรีบ ซ่ึงไดวินิจฉัยแลววาการสับเปล่ียนหนาที่ โอนหรือยาย และแตงตั้งขาราชการ ผูบังคับบัญชาผูมี
อํานาจจะตองใชดุลพินิจอยางถูกตอง เหมาะสม และมีเหตุผลอันสมควรเพียงพอ ท้ังจะตองใชดุลพินิจให
สอดคลองกับหลักคุณธรรม หลักการบริหารกิจการบานเมืองท่ีดี อันเปนแนวนโยบายพ้ืนฐานแหงรัฐตาม
รัฐธรรมนูญฯ และจะตองดําเนินการใหชอบดวยกฎหมายท่ีเกี่ยวของดวย โดยเฉพาะอยางย่ิงในกรณีที่เปน
การแตงตัง้ โอน ยายสบั เปลี่ยนหนาทขี่ าราชการนอกฤดกู าลหรือนอกชว งเวลาแตงต้ัง โอน ยายปกติประจําป
หรือนอกเหนือหลักเกณฑท่ัวไปตามที่มีกฎหมายหรือกฎที่สวนราชการนั้น ๆ หรือหนวยงานที่เกี่ยวของได
กําหนดไว ผูบงั คบั บัญชาจะตองมีเหตุผลท่ีเหมาะสมหรือสมควรอยางย่ิง และเหตุผลน้ันจะตองมีความชัดเจน
เพียงพอ อันแสดงใหเห็นไดวาเปนกรณีที่มีความจําเปนเพื่อประโยชนของทางราชการ การปรับยายผูฟองคดี
ซึ่งเปนมูลกรณีพิพาทในคดีนี้ผูถูกฟองคดีท้ังสามกลาวอางเพียงวาเปนอํานาจดุลพินิจของผูบังคับบัญชาที่จะ
พิจารณาดําเนินการไดตามความเหมาะสมโดยคํานึงถึงประโยชนของทางราชการ กฎหมายไมมีขอกําหนด
134
เกี่ยวกับระยะเวลา และไดพิจารณาแลวเห็นวาทางราชการจะไดประโยชนมากกวาการท่ีใหผูฟองคดีอยูใน
ตําแหนงเดิม เห็นวา เปนเหตุผลที่ยังไมมีความชัดเจนหรือไมมีเหตุอันสมควรเพียงพอ จากขอเท็จจริงที่
ปรากฏจึงนาจะเกิดจากการคาดคะเนของผูถูกฟองคดีที่ ๒ วาผูฟองคดีนาจะเปนอุปสรรคขัดขวางตอการ
ดําเนินนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ดวยเหตุผลดังไดวนิ ิจฉัยมาโดยลําดับน้ันเทากับวาฝายบริหารไดใช
อํานาจดุลพินจิ ในการยายผฟู องคดโี ดยไมมีเหตุผลรองรบั อยางเพียงพอจึงเปนการใชดุลพินจิ โดยมิชอบ ดังน้ัน
การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีมติเม่ือวันท่ี ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ใหยายผูฟองคดีไปดํารงตําแหนงผูตรวจราชการ
กระทรวงสาธารณสุขตามท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒เสนอจึงเปนการออกคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย ซ่ึงมีผลให
ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี ลงวันท่ี๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ท่ีแตงต้ังผูฟองคดีตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑
ดังกลาวเปนคําสั่งท่ีไมชอบดวยกฎหมายดวย ซึ่งศาลปกครองมีอํานาจสั่งใหเพิกถอนคําส่ังพิพาทดังกลาวได
ตามมาตรา ๗๒แหงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แตโดยท่ี
ปรากฏขอเท็จจริงตอมาวาตั้งแตวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ผูฟองคดีพนจากตําแหนงผูตรวจราชการกระทรวง
สาธารณสุขและไดร ับการโปรดเกลาฯ แตง ต้ังใหด ํารงตําแหนง รองปลัดกระทรวงสาธารณสขุ (นักบริหาร ๑๐)
ตามประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี ลงวันท่ี ๙ กันยายน ๒๕๕๑ การเพิกถอนคําส่ังพิพาทของศาลปกครอง
ในคดีนี้จึงยอมไมมีผลกระทบตอสิทธิในตําแหนงรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขหรือตําแหนงอื่นซึ่งผูฟองคดี
ไดรับแตงต้ังตามคําส่ังทางปกครองใหมในภายหลัง และเม่ือมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ เปนคําส่ังท่ีไมชอบดวย
กฎหมาย การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓มีคําส่ัง ลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ใหผูฟองคดีพนจากตําแหนง
เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และใหไปรักษาการในตําแหนงผูตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข
เปนการออกคําสั่งท่ีไมช อบดวยกฎหมายเชนเดยี วกนั
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ. ๑๕๕๑/๒๕๕๙
- นายกเทศมนตรีออกคําสั่งใหเจาหนาที่วิเคราะหนโยบายและแผนไปชวยปฏิบัติราชการในตําแหนง
เจาพนกั งานธุรการ
เมอ่ื สายงานวิเคราะหนโยบายและแผน มีมาตรฐานของตาํ แหนง ท่สี ูงกวาสายงานเจาพนักงานธรุ การ
และมีลักษณะของงานที่ตองใชทักษะความรูความสามารถท่ีมีความแตกตางกันอยางชัดเจน การที่
นายกเทศมนตรีมีคําสั่งใหพนักงานเทศบาลตําแหนงเจาหนาท่ีวิเคราะหนโยบายและแผน ระดับ ๔ ไปชวย
ปฏิบัติราชการในตําแหนงเจาพนักงานธุรการ โดยไมมีการกําหนดลักษณะการปฏิบัติงานที่แนนอนและไมมี
ตาํ แหนงเฉพาะที่สามารถรองรบั ตําแหนงได ยอมเปนการลดบทบาทหนา ท่ีและความรับผิดชอบของพนักงาน
เทศบาลและเปนเหตุใหขาดโอกาสในการเพิ่มพนู ความรูความสามารถและประสบการณในการเลื่อนระดบั ข้ึน
ไปในสายงานของตน แมวาจะไมขาดจากตําแหนงเดิม ไดรับเงินเดือนเทาเดิม และไมไดกระทบตอสิทธิ
ประโยชนหรือสถานภาพของความเปนพนักงานเทศบาลก็ตาม ถือวาพนักงานเทศบาลท่ีไดรับคําสั่งใหไปชวย
ปฏิบัตริ าชการเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสยี หายโดยมิอาจหลกี เลี่ยงได จึงมสี ิทธิฟองคดีตอ ศาลปกครอง
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
และถึงแมนายกเทศมนตรีจะมีอํานาจในการบริหารงานบุคคลภายในเทศบาลเพ่ือประโยชนในการจัดทํา
บริการสาธารณะใหบรรลุผลก็ตามแตการออกคําส่ังตองมีเหตุผลอันสมควร อีกท้ังตองปฏิบัติใหเปนไปตามที่
กฎหมาย ระเบียบ ขอบังคับกําหนดไว จึงจะถือวาเปนการใชดุลพินิจที่ชอบดวยกฎหมาย เมื่อการปฏิบัติงาน
ในตําแหนงเจาหนาท่ีวิเคราะหนโยบายและแผน ระดับ ๔ และตําแหนงเจาพนักงานธุรการมีลักษณะงาน
135
โดยท่ัวไปและหนาที่ความรับผิดชอบแตกตางกันอยางชัดเจน ทั้งการออกคําสั่งไมไดแสดงใหเห็นวาหากไมมี
คําส่ังจะเกิดผลกระทบหรือมีความเสียหายอยางไร ดังนั้นคําส่ังใหไปชวยปฏิบัติราชการของนายกเทศมนตรี
จงึ เปนการใชดลุ พนิ ิจโดยไมช อบดวยกฎหมาย
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนพนักงานเทศบาลสามัญ ตําแหนงเจาหนาที่วิเคราะหนโยบายและ
แผนระดับ ๔ ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายเนื่องจากผูถูกฟองคดี (นายกเทศมนตรี) ไดออกคําส่ังลงวันที่
๓๑ ตลุ าคม ๒๕๕๕ ใหผ ูฟอ งคดีไปชวยปฏบิ ัติราชการในฝายการโยธา สวนราชการกองชาง โดยปฏบิ ัติหนาที่
ในตําแหนงเจาพนักงานธุรการและไมขาดจากหนาที่ในตาํ แหนงเดิม ผูฟองคดไี ดอทุ ธรณคําสัง่ ตอผูถูกฟองคดี
และรองทุกขตอผูวาราชการจังหวัด นายอําเภอและประธานกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัด ตอมา
นายอําเภอมีหนังสือ ท่ี ศก ๐๐๓๗.๒๑/๕๖๗๐ ลงวันท่ี ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ แจงใหผูถูกฟองคดีออกคําส่ัง
ใหผูฟองคดีไปชวยราชการโดยคํานึงถึงภารกิจหนาที่ท่ีตองไปปฏิบัติใหมีความเหมาะสมสอดคลองกับ
มาตรฐานกําหนดตําแหนงหรือใหผูฟองคดีกลับไปปฏิบัติหนาที่ตามเดิม แตผูถูกฟองคดีไมไดปฏิบัติตาม
ผูฟองคดีเห็นวา การส่ังใหผูฟองคดีไปชวยปฏิบัติราชการที่ฝายการโยธาสวนราชการกองชาง ไมมีตําแหนง
รองรับใหปฏิบัติหนาที่และไมไดกําหนดเวลาชวยราชการเปนการกระทําโดยไมถูกตองตามรูปแบบ ขั้นตอน
หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญที่กําหนดไวเปนการใชอํานาจท่ีไมเปนธรรม เลือกปฏิบัติท่ีไมเหมาะสม โดยไม
คํานึงถึงภารกิจที่ตองปฏิบัติและไมสอดคลองกับความรูความสามารถ รวมท้ังมาตรฐานกําหนดตําแหนง
เจาหนาท่ีวิเคราะหนโยบายและแผนที่ผูฟองคดีดํารงตําแหนงอยูในปจจุบัน จึงขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือ
คําส่ังใหผูถูกฟองคดียกเลิกคําส่ังลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ และใหปฏิบัติตามหนังสือ ท่ี ศก๐๐๓๗.๒๑/
๕๖๗๐ ลงวันท่ี ๑๑ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยใหผูฟอ งคดีกลับไปปฏิบตั หิ นาที่ตามเดิม
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ผูถูกฟองคดีไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เร่ือง ใหพนักงาน
เทศบาลสามัญไปชวยปฏิบัติราชการในสวนราชการอื่นภายในเทศบาลเดียวกันโดยใหผูฟองคดีซ่ึงเปน
พนักงานเทศบาลตําแหนงเจาหนาที่วิเคราะหนโยบายและแผน ระดับ ๔สังกัดฝายอํานวยการ สํานัก
ปลัดเทศบาล ไปชวยปฏิบัติราชการในฝายการโยธา สวนราชการกองชาง โดยผูฟองคดีตองปฏิบัติหนาท่ี
ในตําแหนงเจาพนักงานธุรการ แมวาคําสั่งดังกลาวไมทําใหผูฟองคดีขาดจากตําแหนงเดิม ไดรับอัตรา
เงินเดือนเทาเดิม และไมไดเปนการกระทบตอสิทธิประโยชนหรือสถานภาพของความเปนพนักงานเทศบาล
ของผูฟองคดีก็ตาม แตเมื่อพิจารณาจากลักษณะงานของเจาหนาที่วิเคราะหนโยบายและแผน ระดับ ๔
เปรียบเทียบกับลักษณะงานของเจาพนักงานธุรการท่ีผูถูกฟองคดีมีคําสั่งใหผูฟองคดีไปชวยปฏิบัติราชการแลว
จึงเห็นวาสายงานวิเคราะหนโยบายและแผนมมี าตรฐานของตําแหนง ทส่ี ูงกวา สายงานเจา พนักงานธุรการและ
มีลักษณะของงานท่ีตองใชทักษะความรูความสามารถที่มีความแตกตางกันอยางชัดเจนประกอบกับการท่ี
ผูฟองคดีเคยปฏิบัติหนาที่ในตําแหนงเจาพนักงานธุรการตั้งแตวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๒๙
กุมภาพันธ ๒๕๕๕ จนกระท่ังสามารถสอบยายเปล่ียนสายงานไปดํารงตําแหนงเจาหนาที่วิเคราะหนโยบาย
และแผน ระดับ ๔ ซ่ึงเปนตําแหนงในสายงานท่ีเร่ิมตนจากระดับ ๓ นั้น แสดงใหเห็นวา ผูฟองคดีมีความรู
ความสามารถและศักยภาพในการปฏิบัติงานท่ีเพ่ิมข้ึนจากการปฏิบัติหนาที่ในตําแหนงเจาพนักงานธุรการ
ซ่ึงในสายงานธุรการเปนตําแหนงที่เริ่มตนจากระดับ ๒ นอกจากนี้ การใหผูฟองคดีไปชวยปฏิบัติราชการ
ดังกลาวไมมีการกําหนดลักษณะการปฏิบัติงานที่แนนอน และไมมีตําแหนงเฉพาะที่สามารถรองรับตําแหนง
ของผูฟองคดีได ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีมีคําสั่งใหผูฟองคดีไปชวยปฏิบัติราชการในตําแหนงเจาพนักงาน
136
ธรุ การซึ่งเปน ตําแหนง เดิมของผูฟองคดี ยอมเปน การลดบทบาทหนาท่ีและความรับผิดชอบของผูฟองคดแี ละ
เปนเหตุใหผูฟองคดีขาดโอกาสในการเพ่ิมความรูความสามารถและประสบการณในการท่ีจะเลื่อนระดับข้ึนไป
ในตําแหนงที่สูงข้ึนในสายงานของตน ผูฟองคดีจึงเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอน
หรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงไดอันเน่ืองมาจากผลของคําส่ังของผูถูกฟองคดี ผูฟองคดีจึงเปนผูมีสิทธิฟองคดี
ตอ ศาลตามมาตรา ๔๒ แหงพระราชบัญญตั ิจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพจิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
แมผูถ ูกฟอ งคดีในฐานะผบู ังคับบัญชาของหนว ยงานจะมีอํานาจสัง่ ใหพนักงานเทศบาลไปชวยปฏิบัติ
ราชการในอีกสวนราชการหรือสถานศึกษาหน่ึงในเทศบาลเดียวกันเปนการช่ัวคราวไดทุกตําแหนงซ่ึงเปน
อํานาจในการบริหารงานบุคคลภายในเทศบาลเพื่อประโยชนในการจัดทําบริการสาธารณะใหบรรลุผล และ
เปนอํานาจดุลพินิจของผูถูกฟองคดีก็ตาม แตการออกคําส่ังจะตองมีเหตุผลอันสมควร อีกทั้งจะตองเปนไป
ตามที่กฎหมาย ระเบียบหรือขอบังคับกําหนดไวจึงจะถือวาเปนการใชดุลพินิจท่ีชอบดวยกฎหมาย และมีผล
ใหคําสั่งน้ันชอบดวยกฎหมาย เมื่อผูฟองคดีเปนพนักงานเทศบาลตําแหนงเจาหนาที่วิเคราะหนโยบายและ
แผน ระดับ ๔ โดยมาตรฐานกําหนดตําแหนงพนักงานเทศบาลไดกําหนดหนาท่ีและความรับผิดชอบ
ใหปฏิบัติงานในฐานะหัวหนาหนวยงานระดับแผนซ่ึงมีหนาท่ีความรับผิดชอบและคุณภาพของงานสูง หรือ
ในฐานะผูชว ยหัวหนา หนว ยงานซ่ึงเปนตําแหนงที่มีหนาท่ีความรับผิดชอบและคุณภาพของงานเทยี บไดระดับ
เดียวกันรับผิดชอบงานวิเคราะหนโยบายและแผน โดยควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจาหนาท่ีหรือ
ปกครองผูอยูใ ตบังคับบัญชาจํานวนหนึ่ง หรือปฏบิ ัตงิ านวิเคราะหนโยบายและแผนท่ีคอ นขางยากมาก โดยไม
จําเปนตองมีผูกํากับตรวจสอบ หรือภายใตการตรวจสอบบาง หรือผูมีความรูความสามารถและความชํานาญงาน
เทียบไดระดับเดียวกัน และปฏิบัติหนาท่ีอ่ืนตามที่ไดรบั มอบหมายและมีลักษณะงานที่ปฏิบัติ โดยปฏบิ ัติงาน
ทค่ี อนขา งยากมากเกี่ยวกับการวิเคราะหนโยบายและแผนโดยปฏิบตั ิหนาท่ีอยางใดอยางหนึ่งหรือหลายอยาง
เชน ศึกษา วิเคราะห วิจัย ประสานแผนประมวลแผน พิจารณาเสนอแนะ เพ่ือประกอบการกําหนดนโยบาย
จัดทําแผนหรือโครงการติดตามประเมินผลการดําเนินงานตามแผนและโครงการตาง ๆ ซึ่งอาจเปนนโยบาย
แผนงานและโครงการทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การบริหารหรือความมั่นคงของประเทศ ทั้งน้ี อาจเปน
นโยบาย แผนงานเทศบาล แผนงานเมืองพัทยาและโครงการระดับชาติ แลวแตกรณีใหคําปรึกษา แนะนํา
ในทางปฏบิ ัตแิ กเจาหนาท่รี ะดับรองลงมา ตอบปญหาและชี้แจงเร่อื งตาง ๆ เกี่ยวกบั งานในหนาท่ี และปฏิบัติ
หนาท่ีอื่นท่ีเกยี่ วของ อกี ทั้งตําแหนงเจา หนาที่วิเคราะหนโยบายและแผน ระดับ ๔ เปนตําแหนงในสายงานท่ี
เร่ิมตนจากระดับ ๓ สวนตําแหนงสายงานเจาพนักงานธุรการที่ผูฟองคดีไดรับคําสั่งใหไปชวยปฏิบัติราชการ
เปนตําแหนงในสายงานท่ีเริ่มตนจากระดับ ๒ โดยมีลักษณะงานท่ัวไป คือ ปฏิบัติงานธุรการและงานสาร
บรรณที่ตองใชความรูทางเทคนิคหรือวิชาการซึ่งมีลักษณะงานท่ีปฏิบัติเกี่ยวกับการราง โตตอบ บันทึก
ยอเรื่องตรวจทานหนังสือที่ตองใชความรูทางเทคนิคหรือวิชาการดานใดดานหนึ่ง การดําเนินการเกี่ยวกับ
เอกสารสิทธิในทรัพยสินของทางราชการ การติดตามใหมีการซอมแซมและบํารุงรักษาการจําหนาย
ยานพาหนะที่ชํารุดเสื่อมสภาพ และการเบิกจายพัสดุทางชาง การตรวจสอบลงหรือเปล่ียนแปลงรายการ
และเก็บรักษาเอกสารสําคัญของทางราชการ การรวบรวมขอมูลหรอื จัดเตรียมเอกสาร จดบันทึกรายงานการ
ประชุม และปฏิบัติหนาที่อ่ืนที่เก่ียวของ ดังน้ันจึงเห็นไดวาการปฏิบัติงานในตําแหนงเจาหนาที่วิเคราะห
นโยบายและแผน ระดับ ๔ และตําแหนงเจาพนักงานธุรการ มีลักษณะงานโดยทั่วไปและหนาท่ีความ
รบั ผิดชอบแตกตางกันอยางชัดเจนและแมกอนที่ผูฟองคดีจะสามารถสอบคัดเลือกและยายเปลี่ยนสายงานไป
ดาํ รงตําแหนงเจาหนาที่วเิ คราะหนโยบายและแผน ระดับ ๔ ผูฟองคดีเคยปฏิบัติงานในตําแหนงเจาพนักงาน
137
ธุรการแตเมื่อพิจารณากรอบอัตรากําลังตามแผนอัตรากําลัง ๓ ป (พ.ศ. ๒๕๕๕ – ๒๕๕๗) ปรากฏวาใน
ฝายการโยธา สวนราชการกองชาง มีกรอบอัตรากําลังสําหรับเจาพนักงานธุรการเพียง ๑ ตําแหนง
ซ่ึงในขณะท่ีผูถูกฟองคดีมีคําส่ังใหผูฟองคดีไปชวยปฏิบัติราชการ มีนาย ค. ตําแหนงเจาพนักงานธุรการ
ระดับ ๔ชวยปฏิบัติราชการอยูกอนแลว โดยกรอบอัตรากําลังในฝายอํานวยการ สํานักปลัดเทศบาล
ก็มีตําแหนงเจาหนาท่ีวิเคราะหนโยบายและแผนเพียง ๑ ตําแหนง เมื่อผูถูกฟองคดีไมไดแสดงใหเห็นวา
หากไมมคี ําสั่งใหผูฟอ งคดีไปชวยปฏิบัติราชการในฝายการโยธา สว นราชการกองชาง เปนการช่ัวคราวจะเกิด
ผลกระทบหรือมีความเสียหายอยางไรตอการดําเนินงานของฝายการโยธา ดังนั้น การท่ีผูถูกฟองคดีมีคําสั่ง
ใหผูฟองคดีไปชวยปฏิบัติราชการในฝายการโยธาสวนราชการกองชาง ตามคําสั่งลงวันท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕
จงึ เปนการใชดุลพินิจโดยมิชอบดวยกฎหมาย เนื่องจากไมมีเหตุผลท่ีเพียงพอ และเปนการไมคํานึงถึงภารกิจ
หนาที่ที่ตองไปปฏิบัติใหมีความเหมาะสม สอดคลองกับความรูความสามารถและตามมาตรฐานกําหนด
ตําแหนงของผูฟองคดีตามขอ ๒๘๒ วรรคสอง ของประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาลฯ
เร่ืองหลักเกณฑและเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของเทศบาล ลงวันท่ี ๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๕ คําส่ัง
ของผถู กู ฟองคดดี ังกลา วจึงเปน คําส่ังที่ไมชอบดวยกฎหมาย
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ. ๑๘๓๓/๒๕๕๙
- การมีคําสั่งยายผูอํานวยการโรงเรียนโดยไมชอบดวยกฎหมายกรณีผูยื่นคําขอยายเปนกรรมการ
ในคณะกรรมการกลน่ั กรองการยา ยและรว มพิจารณาใหคะแนนผูขอยา ย
กระบวนการพิจารณาคํารองขอยา ยเปน กระบวนการพิจารณาทางปกครองเพอื่ นําไปสูการออกคําส่ัง
ยา ย ถอื เปนคําสัง่ ทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พระราชบัญญัตวิ ิธีปฏิบัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
เมื่อกฎหมายเฉพาะไมไดบัญญัติหรือกําหนดหามเกี่ยวกับเจาหนาที่ผูมีอํานาจหนาที่ในการพิจารณาการยาย
จึงตองอยูภายใตบังคับมาตรา ๓ แหงพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ อันเปน
หลักกฎหมายทั่วไปเก่ียวกับการพิจารณาทางปกครอง การที่ผูอํานวยการโรงเรียนผูยื่นคํารองขอยายเปน
กรรมการในคณะกรรมการกล่ันกรองการยายและการตัดโอนตําแหนงและอัตราเงินเดือนขาราชการครู
เปนคณะทํางานเพ่ือรา งหลกั เกณฑและวิธีการยายขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และเปนประธาน
อ.ก.ค.ศ.ฯ ไดเขารวมพิจารณาใหคะแนนผูอํานวยการโรงเรียนท่ีขอยายในการประชุมของคณะกรรมการ
กล่ันกรองการยายฯ และทีป่ ระชุม อ.ก.ค.ศ.ฯ ไดมีมติใหยายตนเองไปดํารงตําแหนงผูอ ํานวยการโรงเรียนตาม
คํารองขอยายของตนเอง กรณีถือวาเปนผูมีสวนไดเสียอันเขาลักษณะเปนคูกรณีซึ่งตองหามตามมาตรา ๑๓
(๑) แหงพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. ๒๕๓๙ อันถือเปนสภาพรายแรงท่ีทําใหการ
พิจารณาทางปกครองไมเปนกลางเนื่องจากมีความบกพรองในกระบวนการพิจารณาอันเปนสาระสําคัญ
ทําใหคําส่ังยา ยเปนคาํ สงั่ ทไี่ มช อบดว ยกฎหมาย
ผูฟองคดีฟองและแกไขเพิ่มเติมคําฟองวา ผูฟองคดีท่ี ๑ ดํารงตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียนพัฒนา
นคิ ม สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาลพบุรี เขต ๒ ผูฟอ งคดีท่ี ๒ ดํารงตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียนโคก
กระเทียมวิทยาลัย สังกัดสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาลพบุรี เขต ๑ผูฟองคดีท้ังสองไดยื่นคํารองขอยาย
ประจําป พ.ศ. ๒๕๔๙ คร้ังที่ ๒ โดยผูฟอ งคดที ่ี ๑ ขอยา ยไปดํารงตําแหนงผูอาํ นวยการโรงเรียนพระนารายณ
และผูอํานวยการโรงเรียนโคกกระเทียมวิทยาลัยสวนผูฟองคดีท่ี ๒ ขอยายไปดํารงตําแหนงผูอํานวยการ
โรงเรียนพระนารายณ แตผฟู องคดีทั้งสองไมไดรับการพิจารณา โดยผถู ูกฟองคดีที่ ๒ (ผูอํานวยการสํานักงาน
เขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต ๕ และผูอํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาลพบุรี
138
เขต ๑ (ผูอาํ นวยการสาํ นกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาลพบุรี เขต ๑ เดิม)) ไดม ีคําส่ังสาํ นักงานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษา
ลพบุรีเขต ๑ ลงวันท่ี ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๙ ใหยายนาย ส. จากผูอํานวยการโรงเรียนอนุบาลจังหวัด
ทหารบลพบุรีไปเปนผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณ และแตงต้ังนาย น. ผูอํานวยการโรงเรียนบานกลวย
ไปเปนผูอํานวยการโรงเรียนบานเกริ่นกฐิน ซ่ึงบุคคลทั้งสองเปนกรรมการของผูถูกฟองคดีที่ ๑
(คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดลพบุรี (อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๕ และ อ.ก.ค.ศ.
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต ๑ หรือ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษาลพบุรี เขต ๑ เดิม)) ผูฟอง
คดีท้ังสองเห็นวาการพิจารณาแตงต้ังโยกยายดังกลาวไมโปรงใสมีการเอื้อประโยชนแกตนเองและพวกพอง
จึงไดมีหนังสือรองทุกขตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซ่ึงตอมาไดรับการแจงผลการพิจารณารองทุกขวา การพิจารณา
แตงต้ังโยกยายเปนไปโดยถูกตองแลวผูฟองคดีเห็นวานาย ส. และนาย น. เปนกรรมการกล่ันกรองการยาย
ดวย จึงมีสวนไดเสียในการพิจารณาและเปนผูพิจารณาอนุมัติยายเสียเอง ยอมทําใหการพิจารณาแตงตั้ง
โยกยายไมเปนธรรม จึงฟองคดีตอศาลขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังสํานักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษาลพบุรี เขต ๑ ลงวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๙ ท่ียายนาย ส. ไปเปนผูอํานวยการโรงเรียน
พระนารายณ และยายนาย น. ไปเปนผูอาํ นวยการโรงเรียนบา นเกรน่ิ กฐนิ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีน้ีผูฟองคดีท้ังสองและนาย ส. ไดย่ืนคํารองขอยายประจําป
พ.ศ. ๒๕๔๙ คร้ังที่ ๒ (ย่ืนระหวา งวันที่ ๑ ถึงวันท่ี ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๙) โดยบุคคลท้ังสามยื่นคํารองขอยาย
ดวยตนเอง เพื่อแทนตําแหนงท่ีวางในสายงานผูบริหารสถานศึกษา ตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียนพระ
นารายณ ซ่ึงในการพิจารณาคํารองขอยายดังกลาวผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมอบหมายใหคณะกรรมการกลั่นกรอง
การยายและการตัดโอนตําแหนงและอัตราเงินเดือนขาราชการครูตามคําส่ังสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา
ลพบุรี เขต ๑ ท่ี ๕๕๔/๒๕๔๘ลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๘ ซงึ่ เปนคําสงั่ ท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดแตง ต้ังไวต้ังแต
ป พ.ศ. ๒๕๔๘ ทําหนาที่พิจารณากลั่นกรองการยาย โดยมีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เปนประธานกรรมการ และนาย ส.
เปนกรรมการรวมอยูดวย ผลการพิจารณาคํารองขอยายประจําป พ.ศ. ๒๕๔๙ คร้ังท่ี ๒ ของคณะกรรมการ
ดังกลาวในการประชุมคร้ังที่ ๒/๒๕๔๙ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ ท่ีมีนาย ส.รวมพิจารณาดวย มีมติ
เห็นชอบใหยายนาย ส. ไปเปนผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณตามคํารองขอยายของตนเอง ตอมา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ โดยมีนาย ส. เปนประธานอนุกรรมการในการประชุมคร้ังที่ ๑๐/๒๕๔๙ เม่ือวันที่ ๒๖
ธันวาคม ๒๕๔๙ มีมติเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการดังกลาวขางตน หลังจากน้ัน ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมี
คาํ ส่ังสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาลพบุรี เขต ๑ ลงวันท่ี ๒๘ ธนั วาคม ๒๕๔๙ ใหยา ยขา ราชการครูไปแตงต้ัง
ใหดํารงตําแหนงใหมตามมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ โดยใหยายนาย ส. จากตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียน
อนุบาลจังหวัดทหารบกลพบุรีแตงตั้งไปเปนผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณ โดยท่ีไมมีรายช่ือของผูฟอง
คดีท้ังสองเปนผูไดรับการยายตามท่ีไดย่ืนคํารองขอยายไว เห็นไดวากระบวนพิจารณาคํารองขอยายดังกลาว
เปนกระบวนการพิจารณาทางปกครองเพ่ือนําไปสูการออกคําส่ังยา ย ถอื วาเปนคําสั่งทางปกครองตามมาตรา
๕ แหง พระราชบัญญัติวธิ ีปฏิบตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซ่ึงกระบวนการพิจารณาทางปกครองกอน
ออกคําส่ังดังกลาวตามพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗
ประกอบกับหลกั เกณฑและวธิ ีการยายขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามหนังสือสํานักงาน ก.ค.ศ.
ที่ ศธ ๐๒๐๖.๓/ว ๘ ลงวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๔๙ และหลักเกณฑและวิธีการยา ยขาราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษาตามมาตรา ๓๘ ข (๑) (๒) แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการ
ศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาลพบุรี เขต ๑ พ.ศ. ๒๕๔๙ ไมไดบัญญัติหรือกําหนด
139
หา มเกย่ี วกับเจาหนาที่ผูมีอํานาจหนาที่ในการพิจารณาการยา ยไวก็ตาม แตเ มอ่ื คําส่ังยายตามกรณีพิพาทเปน
คําส่ังทางปกครอง จึงตองอยูภายใตการบังคับตามมาตรา ๓ แหงพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ อันเปนหลักกฎหมายทั่วไปเก่ียวกับการพิจารณาทางปกครองเม่ือนาย ส.
เปนกรรมการในคณะกรรมการกลั่นกรองการยายและการตัดโอนตําแหนงและอัตราเงินเดือนขาราชการครู
ของสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาลพบุรี เขต ๑ ตามคําส่ังลงวันที่๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๘ เปนคณะทํางานเพื่อ
รางหลักเกณฑและวิธีการยายขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ลพบุรี เขต ๑ ตามคําสั่งลงวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๙ ซ่ึงเปนหลักเกณฑที่ใชในการพิจารณาคํารองขอยาย
ครั้งนี้ นอกจากนั้น นาย ส. ยงั เปนประธานของผูถูกฟองคดที ่ี ๑ ตามรายงานการประชมุ ของผูถูกฟองคดีที่ ๑
เม่ือวันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ เพ่ือพิจารณามติใหยายขาราชการครูสายงานผูบริหารสถานศึกษาซึ่งรวมถึง
ตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณของคณะกรรมการกลั่นกรองการยาย ครั้งที่ ๒/๒๕๔๙ เม่ือวันท่ี
๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ ซ่ึงที่ประชุมของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีมติเห็นชอบใหยายนาย ส. ไปเปนผูอํานวยการ
โรงเรียนพระนารายณตามมติของคณะกรรมการกลั่นกรองการยาย จึงเห็นวาการที่นาย ส. เขาไปมีสวนรวม
ในกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการกล่ันกรองการยาย เพ่ือพิจารณาคํารองขอยายในตําแหนง
ผอู ํานวยการโรงเรียนพระนารายณที่มีผูฟองคดีท้ังสองและนาย ส. เปนผูยื่นคํารอ งขอยา ยดวยตนเอง กรณีจึง
ถือไดวานาย ส. เปนผูมีสวนไดเสียอันเขาลักษณ ะเปนคูกรณี ซ่ึงตองหามตามมาตรา ๑๓ (๑)
แหง พระราชบัญญตั ิวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แมผ ูถกู ฟอ งคดีท้ังสองจะกลาวอา งวา ในการ
ประชุมพิจารณาการยายแทนตาํ แหนงที่วางในตําแหนงผอู ํานวยการโรงเรยี นพระนารายณของคณะกรรมการ
กลั่นกรองการยาย ครั้งท่ี ๒/๒๕๔๙ เม่ือวันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ ไดใหนาย ส. ออกนอกหองประชุมเพื่อ
ไมใหมีอํานาจในการพิจารณาและไมใหมีสวนเก่ียวของในการพิจารณาก็ตาม แตขอเท็จจริงตามรายงานการ
ประชุมของคณะกรรมการกลั่นกรองการยาย คร้ังที่ ๒/๒๕๔๙ เม่ือวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ ปรากฏวา
นาย ส. ไดเขารวมในการประชุมครั้งน้ีในฐานะกรรมการเพ่ือพิจารณากลั่นกรองการยายขาราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษาดวย โดยมีการพิจารณาใหคะแนนตามหลักเกณฑการพิจารณาการยายซ่ึงในสวนของ
การใหคะแนนผูขอยายในตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณท่ีวางผูฟองคดีที่ ๑ ไดคะแนนรวม ๔๓
คะแนน ผูฟองคดีท่ี ๒ ไดคะแนนรวม ๔๕ คะแนน และนาย ส.ไดคะแนนรวม ๔๘ คะแนน และในรายงาน
การประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๔๙ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ก็ไมปรากฏวามีการบันทึกวาไดมีการเชิญนาย ส.
ออกจากที่ประชุมแตอยางใด แมผูถูกฟองคดีทั้งสองจะอางหลักฐานเอกสารเปนหนังสือรับรอง ลงวันที่ ๒๑
ตลุ าคม ๒๕๕๔ ของนาย ป. ซงึ่ เปน ผูอํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต ๑ กับ
นาย ว. ซ่ึงเปนขาราชการบํานาญสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต ๑ ที่รับรอง
ขอมูลในการประชุมของคณะกรรมการกลั่นกรองการยาย ครั้งท่ี ๒/๒๕๔๙ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙
วาเม่ือพิจารณาการยายแทนตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณท่ีวาง ไดเชิญนาย ส.ออกจากหอง
ประชุมจริง เพราะถือวาเปนผูมีสวนไดเสียในการพิจารณา เนื่องจากนาย ส. ไดยื่นคําขอยายในคร้ังนี้ดวย
แตหนังสือรับรองดังกลาวเปนพยานหลักฐานเอกสารท่ีจัดทําขึ้นภายหลังจากที่ศาลปกครองช้ันตนไดมีคํา
พิพากษาเม่ือวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ แลว จึงเปนเอกสารท่ีไมนาเช่ือถือ อีกทั้งตามรายงานการประชุมของ
ผูถ ูกฟอ งคดที ี่ ๑ ครงั้ ท่ี ๑๐/๒๕๔๙ ในวนั เดยี วกันยังปรากฏวานาย ส. ซึง่ เปนประธานอนกุ รรมการไดเขารว ม
ประชุมต้ังแตเร่ิมตนจนถึงขั้นตอนการลงมติพิจารณาตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณ จึงออกจาก
หองประชุม หลงั จากน้ันก็ไดเ ขารวมพิจารณาในตําแหนง อืน่ อกี การทนี่ าย ส. เปน กรรมการในคณะกรรมการ
140
กลั่นกรองการยายและรวมพิจารณาใหคะแนนผูขอยายในการประชุมของคณะกรรมการกลั่นกรองการยาย
คร้ังที่ ๒/๒๕๔๙ เม่ือวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ และเปนประธานอนุกรรมการของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในการ
ประชุมครั้งท่ี ๑๐/๒๕๔๙ เม่ือวันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ ดังกลาว ยอมกอใหเกิดแรงจูงใจตอกรรมการ
กลนั่ กรองการยายคนอืน่ ๆ ท่จี ะพิจารณาใหคะแนนตวั ชี้วดั ผูยนื่ คาํ รองขอยา ยรายอน่ื ๆการที่นาย ส. เขาไปมี
สวนรวมในกระบวนการพิจารณาคํารองขอยายของผูฟองคดีทั้งสอง และของนาย ส. เองกอนมีคําส่ังยาย
จึงถือวานาย ส. เปนคูกรณีจะทําการพิจารณาทางปกครองไมไดตามมาตรา ๑๓ แหงพระราชบัญญัติวิธี
ปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มีสภาพอันรายแรงทําใหการพิจารณาทางปกครองไมเปนกลาง
ถือวามีความบกพรองในกระบวนการพิจารณาอันเปนสาระสําคัญทําใหคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ตามคําสั่ง
สํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาลพบุรีเขต ๑ ลงวันท่ี ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๙ ท่ีสั่งตามมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ใหยา ยนาย ส. ไปเปนผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณ เปน คาํ สง่ั ทีไ่ มช อบดวยกฎหมาย
คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. ๙๘๒/๒๕๕๙
- การมีมติไมอนุมัติใหผูรับการประเมินเล่ือนตําแหนงโดยไมชอบดวยกฎหมาย กรณีคณะกรรมการตรวจ
และประเมินผลงานทางวิชาการมีคาํ สั่งใหปรับปรุวแกไขผลงาน คร้งั ที่ 2 ในเรื่องท่ีแตกตางจากเรือ่ งเดิม
คณะกรรมการตรวจและประเมินรายงานผลการปฏิบัติงานและผลงานทางวิชาการ มีอํานาจตาม
กฎหมายในการใชดุลพินิจใหผูรับการประเมินปรับปรุงแกไขผลงานทางวิชาการ และศาลปกครองไมอาจ
วินิจฉัยกาวลวงการใชดุลพินิจโดยแทในทางวิชาการของคณะกรรมการฯ ได แตในขั้นตอนการตรวจและ
ประเมินผลงานทางวิชาการ หากคณะกรรมการฯ เห็นวาผลงานของผูรับการประเมินตองปรับปรุงหรอื แกไข
ในสวนใดควรแจงใหทราบต้ังแตการปรับปรุงแกไขในครั้งท่ี ๑ เม่ือผูรับการประเมินเสนอผลงานท่ีปรับปรุง
แกไขแลว คณะกรรมการฯ ควรพิจารณาวาไดปรับปรุงแกไขตามคําส่ังหรือไม การท่ีคณะกรรมการฯ มีคําส่ัง
ใหผูรับการประเมินปรับปรงุ แกไขผลงานครั้งที่ ๒ ในเร่อื งที่แตกตางจากเร่ืองเดิม เปนการกระทําท่ีมีลักษณะ
เปนการสรางขั้นตอนโดยไมจําเปน จึงเปนการกระทําที่ไมชอบดวยกฎหมาย การนําผลการประเมินดังกลาว
มาพจิ ารณาวนิ จิ ฉยั มมี ตไิ มอนุมตั ิใหผ รู ับการประเมินเลือ่ นตําแหนง จึงไมช อบดวยกฎหมาย
ผฟู องคดีฟองวา ผูฟองคดีรบั ราชการตําแหนงครชู ํานาญการ สํานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาขอนแกน
เขต ๑ ไดยน่ื คาํ ขอรบั การประเมนิ ผลงานทางวิชาการ ในตําแหนงครูวทิ ยฐานะชํานาญการพเิ ศษ ผูถูกฟอ งคดี
ที่ ๒ (คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาขอนแกน เขต ๑ และ อ.
ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษาขอนแกน เขต ๑ เดิม))ไดแตงต้ังผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการตรวจและ
ประเมินรายงานผลการปฏิบัติงานและผลงานทางวิชาการ สาขาวิชาสุขศึกษาและพลศกึ ษา) เพ่ือตรวจผลงาน
ของผูฟองคดี หลังจากนั้นผูถูกฟองคดีท่ี ๔ (ศึกษาธิการจังหวัดขอนแกน (ผูอํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษาขอนแกน เขต ๑ และผูอํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาขอนแกน เขต ๑
เดิม))แจงใหผูฟองคดีปรับปรุงแกไขผลงานถึง ๒ คร้ัง ตามขอสังเกตของผูถูกฟองคดีที่ ๓ และตอมาผูฟองคดี
ไดรับแจงจากผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ตามหนังสอื ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๓ วา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมตไิ มอนุมัติ
ใหผูฟ องคดเี ลื่อนเปนวิทยฐานะครูชาํ นาญการพิเศษ ผูฟองคดีไดรองทุกขต อผูถ ูกฟอ งคดีท่ี ๑ (คณะกรรมการ
ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) ซ่ึงตอมาไดรับแจงวาใหไปใชสิทธิฟองคดีตอศาล ผูฟองคดี
จึงย่ืนฟองคดีตอศาลปกครอง ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ เฉพาะใน
สวนท่ีไมอ นุมตั ใิ หผ ฟู อ งคดเี ล่ือนเปนวิทยฐานะครชู ํานาญการพเิ ศษ
141
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เม่ือผูฟองคดีไดสงผลงานทางวิชาการ เรื่อง การพัฒนาการ
จัดกิจกรรมการเรียนรูที่เนนการจัดกิจกรรมการเรียนรูเพื่อพัฒนาทักษะการคิดโดยใชกระบวนการกลุมและ
ยึดผูเรียนเปนสําคัญ กลุมสาระการเรียนรูสุขศึกษาและพลศึกษารายวิชาสุขศึกษา รายวิชา พ ๒๑๑๐๑
(สุขศึกษา) ชวงชั้นที่ ๒ ชั้นประถมศึกษาปท่ี ๔ ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดแตงต้ังคณะกรรมการตรวจและประเมิน
ร าย งา น ผ ล ก าร ป ฏิ บั ติ งาน แ ล ะ ผ ล งาน ท างวิ ช า ก าร ข อ งผู ท่ี ข อ เล่ื อ น วิ ท ย ฐ าน ะ ค รู ชํ า น าญ ก าร พิ เศ ษ
ประกอบดวยผูทรงคุณวุฒิ ๙ คน โดยการตรวจและประเมินผลงานของผูฟองคดีนั้น ผูชวยศาสตราจารย ฆ.
ประธานกรรมการไดมอบหมายใหกรรมการรายผูชวยศาสตราจารย ศ. ผูชวยศาสตราจารย จ. และนาย ส.
ครชู าํ นาญการพิเศษใหเปนผูดําเนินการ ผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๓ ไดประเมนิ ผลงานทางวิชาการของผูฟองคดีครั้งท่ี ๑
โดยผูชวยศาสตราจารย ศ. และนาย ส. ประเมินใหผูฟองคดีไดคะแนนผานเกณฑ แตผูชวยศาสตราจารย จ.
ประเมินใหผูฟองคดีไมผานเกณฑ และผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดประเมินผลงานทางวิชาการของผูฟองคดีครั้งที่ ๒
โดยผูชวยศาสตราจารย ศ. และนาย ส. ประเมินใหผูฟองคดีไดคะแนนผานเกณฑแตผูชวยศาสตราจารย จ.
ประเมินใหผูฟองคดไี มผา นเกณฑเชนเดิม และใหผ ูฟองคดีปรับปรุงแกไขผลงานทางวิชาการ โดยผูถูกฟอ งคดี
ที่ ๔ ไดมีหนังสือแจงใหผูฟองคดีปรับปรุงแกไขผลงานดังกลาวเม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔
ดําเนินการแจงใหขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาปรับปรงุ แกไขผลงานทางวิชาการไดเพ่ือใหเกิดผล
ดีและความรวดเร็วแกผูรับการประเมินน้ัน เปนการกระทําท่ีไมเกินขอบอํานาจหรือวัตถุประสงคของ
การตรวจและประเมินผลงานทางวิชาการ การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๔ มีหนังสือแจงใหผูฟองคดีปรับปรุงแกไข
ผลงาน จึงเปนการดําเนินการภายในอํานาจหนาที่ตามท่ีไดรับมอบหมายจากผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และเปนการ
ดําเนนิ การโดยชอบแลว
อยางไรก็ตาม แมผูถูกฟองคดีที่ ๓ จะมีอาํ นาจใหผูรับการตรวจและประเมินฯ ปรับปรุงแกไขผลงาน
ทางวิชาการโดยเปน ดุลพินิจของผูถูกฟองคดที ี่ ๓ ก็ตาม เม่ือผูถ ูกฟองคดที ี่ ๓ ประเมินผลงานทางวิชาการของ
ผูฟองคดี โดยทําการตรวจประเมินคร้ังท่ี ๑ และมีมติใหผูฟองคดีปรับปรุงผลงานทางวิชาการใหม ภายใน ๖
เดือน ตามขอสังเกต ตอมา ผูฟองคดีไดปรับปรุงผลงานเสร็จแลวไดเสนอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ พิจารณา
ซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีมติใหผูฟองคดีปรับปรุงผลงานทางวิชาการใหมครั้งที่ ๒ ใหแลวเสร็จ ภายใน ๓ เดือน
โดยมีขอสังเกตที่เพ่ิมข้ึนจากขอสังเกตท่ีไดตรวจประเมินครั้งที่ ๑ แมการประเมินผลงานดังกลาว เปนอํานาจ
หนาที่ของผูถกู ฟองคดีท่ี ๓ และศาลไมอาจวินิจฉยั กาวลวงการใชดุลพินิจโดยแทในทางวิชาการของผูถูกฟอง
คดีที่ ๓ ได แตในขั้นตอนของการตรวจและประเมินผลงานดังกลาว หากผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดอานผลงานของ
ผูฟองคดแลวเห็นวา ผูฟองคดีซึ่งเปนผูรับการตรวจและประเมินฯ ตองปรับปรุงหรือแกไขผลงานในสวนใด
ควรแจงใหผูฟองคดีทราบต้ังแตการแจงใหปรับปรุงแกไขในครั้งที่ ๑เพ่ือใหผูฟองคดีสามารถดําเนินการตาม
คาํ สั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดถูกตอง การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ตรวจและประเมินผลงานทางวิชาการของผูฟอง
คดีโดยแจงใหผูฟองคดีปรับปรงุ แกไขในคร้ังที่ ๑ เม่ือผูฟองคดีไดดําเนินการปรับปรุงแกไขและเสนอผลงานท่ี
แกไขแลว ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ก็ควรพิจารณาวา ผลงานที่เสนอดังกลาวไดแกไขไปตามขอสังเกตแลวหรือไม
การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีมติใหผูฟองคดีปรับปรุงผลงานทางวิชาการใหมในคร้ังที่ ๒ ในเร่ืองอ่ืนอีกที่แตกตาง
จากเรื่องเดิมท้ังที่ไดพิจารณาเรื่องน้ันเสร็จแลว จึงเปนการกระทําที่มีลักษณะเปนการสรางข้ันตอนโดยไม
จําเปนประกอบกับผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไมไดอุทธรณคําพิพากษาของศาลปกครองช้ันตนที่วินิจฉัยเก่ียวกับการ
ตรวจและประเมนิ ผลงานทางวิชาการของผูฟองคดี โดยกรรมการรายผูชวยศาสตราจารย จ.วาถกู ตองอยางไร
จึงรับฟงไดวาการกระทําของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไมชอบดวยกฎหมาย เม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๒ นําผลการประเมิน
142
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มาพิจารณาประกอบการวินิจฉัยแลวมีมติไมอนุมัติใหผูฟองคดีเลื่อนเปนวิทยฐานะครู
ชาํ นาญการพิเศษ จึงไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน ดังน้ันมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่ไมอนุมัตใิ หผูฟองคดีเล่ือน
เปนวิทยฐานะครชู าํ นาญการพิเศษ จึงไมชอบดว ยกฎหมาย
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. ๒๑๔๘/๒๕๕๙
- การมีคําสั่งแตงตั้งขาราชการใหดํารงตําแหนงตามกรอบอัตรากําลังโดยพิจารณาเกณฑและตัวช้ีวัด
ตามทกี่ าํ หนดไมส อดคลองกับเจตนารมณ
การที่หนวยงานของรัฐประกาศกําหนดเกณฑและตัวชี้วัดเพ่ือประกอบเกณฑการพิจารณาตัวบุคคล
ในการจัดขาราชการใหดํารงตําแหนงตามกรอบอัตรากําลังโดยกําหนดหลักเกณฑและตัวชี้วัดแตละดาน
มีรายละเอียดชัดเจนและประกาศใหทราบท่ัวกัน และในกรณีท่ีมีผูไดคะแนนรวมเทากันใหพิจารณาเรียง
ตามลําดับตามเกณฑที่กําหนดข้ึนซึ่งเกณฑดังกลาวมีเจตนารมณใหหนวยงานของรัฐกลับไปพิจารณาผล
คะแนนที่ไดจากตัวชี้วัดในแตละดานตามลําดับใหมอีกครั้งวาผูใดมีคะแนนตัวชี้วัดแตละลําดับมากกวากัน
โดยมิไดมีเจตนารมณท่ีจะใหตัดทอนหรือเพ่ิมคะแนนในสวนใดสวนหนึ่งไดแตอยางใด หนวยงานของรัฐจึง
ตองถือปฏิบัติตามเกณฑและตัวชี้วัดที่ประกาศไว และเมื่อหลักเกณฑและตัวชี้วัดกําหนดไวทั้งความรู
ความสามารถและประสบการณ แตเม่ือมีผูไดคะแนนรวมเทากัน คณะกรรมการจัดกรอบอัตรากําลังกลับ
พิจารณาแตเพียงความสามารถและประสบการณเพราะเห็นวาตามเกณฑท่ีกําหนดข้ึนในกรณีท่ีมีคะแนนรวม
เทากันมิไดกําหนดความรูรวมเขาไปดวย จึงไมนําคะแนนจากตัวชี้วัดในดานความรูมารวมพิจารณาดวย
ถือเปนความเขาใจท่ีคลาดเคล่ือน ดังน้ัน การท่ีหนวยงานของรัฐไดคัดเลือกและมีคําส่ังแตงตั้งขาราชการท่ีมี
คะแนนตํ่ากวาขาราชการท่ีเขารับการคัดเลือกดวยกันเม่ือนําคะแนนดานความรู ความสามารถและ
ประสบการณม าพิจารณา จึงถอื เปน การกระทาํ ที่ไมช อบดว ยกฎหมาย
ผูฟองคดีฟองและแกไขเพิ่มเติมคําฟองวา ไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑
(ผูอํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต ๑)มีคําส่ังลงวันท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๕๐
จดั กรอบอัตรากําลังท่ีไมเทย่ี งธรรมและมีอคติ ทําใหผฟู องคดีไมไดรับความกา วหนาในอาชีพรับราชการตามที่
ควรจะเปน จากการแตง ต้งั นาย อ. ใหดํารงตําแหนงเลขที่ อ๔๕ คือ ตําแหนง เจาหนาท่ีวิเคราะหนโยบายและ
แผน (๖ว/๗ว) กลุมนโยบายและแผนซ่ึงเมื่อพิจารณาตามเกณฑตัวชี้วัดในการคัดเลือกปรากฏวา ผูฟอ งคดีและ
นาย อ. ไดคะแนนเทากันแตผ ฟู องคดีปฏิบัติหนาท่อี ยใู นกลุมนโยบายและแผนมาโดยตลอดในชวงปรบั เปลี่ยน
โครงสราง ๓ ป ยอมมีผลงานเปนท่ีประจักษชัดเจนมากกวา และผูถูกฟองคดีที่ ๒ (คณะกรรมการจัดกรอบ
อัตรากําลัง) ไมไดมีเกณฑการใหคะแนนความเหมาะสมท่ีเปนมาตรฐาน การท่ีนาย อ. ไดรับการคัดเลือกให
ดํารงตําแหนง เลขท่ี อ๔๕ โดยผูฟองคดีไมไดรับการคัดเลือกใหดํารงตําแหนงดังกลาว จึงเปนการกระทําท่ี
ไมชอบดวยกฎหมาย ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหเพิกถอนคําส่ังสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาชัยภูมิ
เขต๑ ลงวันท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๕๐ ในตาํ แหนงเลขท่ี อ๔๕เจา หนาที่วิเคราะหนโยบายและแผน ๖ว/๗ว และ
ใหผูถูกฟองคดีที่ ๔ (สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน) ซึ่งเปนหนวยงานของรัฐตนสังกัดของ
ผถู กู ฟอ งคดที ี่ ๑ ถึงผถู กู ฟองคดที ี่ ๓ (คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวดั (กศจ.) ชยั ภมู ิ) ชดใชค าเสียหาย
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา มาตรา ๑๙ แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญัติวา ให ก.ค.ศ. มีอํานาจและหนาทดี่ ังตอไปน้ี (๔) ออกกฎ ก.ค.ศ. ระเบียบ
ขอบังคับ หลักเกณฑ วิธีการ และเงื่อนไขการบริหารงานบุคคลของขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
... มาตรา ๒๓ บัญญัตวิ า ให อ.ก.ค.ศ.เขตพน้ื ที่การศึกษามอี ํานาจและหนาที่ ดังตอ ไปนี้ (๑) พจิ ารณากําหนด
143
นโยบายการบริหารงานบุคคลสําหรับขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพ้ืนท่ีการศึกษา รวมทั้ง
การกําหนดจํานวนและอัตราตําแหนงและเกล่ียอัตรากําลังใหสอดคลองกับนโยบายการบริหารงานบุคคล
ระเบียบหลักเกณฑและวิธกี ารที่ ก.ค.ศ. กําหนด ขอเท็จจริงปรากฏวา ในการดําเนนิ การแตงตั้งขาราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษาใหดํารงตําแหนงบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา ๓๘ ค. (๒)
แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ตามกรอบอัตรากําลังใน
สํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาและในสถานศึกษาที่ ก.ค.ศ. กําหนดนั้น ก.ค.ศ. ไดมีมติกําหนดแนวทางในการ
ดําเนินการดังกลาวตามหนังสือสํานักงาน ก.ค.ศ. ลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๙ แจงผูอํานวยการสํานักงาน
เขตพื้นท่ีการศึกษาทุกเขตทราบ โดยสรุปไดวา ใหสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาตั้งคณะกรรมการจํานวน ๗
คน มีหนาท่ีดําเนินการจัดบุคลากรทางการศึกษาอน่ื ตามมาตรา ๓๘ ค. (๒) ลงกรอบอัตรากําลังตามท่ี ก.ค.ศ.
กําหนด และเสนอความเหน็ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔ พิจารณาตอไป ตอมา ก.ค.ศ. ไดมีมติเห็นชอบใหกําหนดแนว
ทางการจัดขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใหดํารงตําแหนงบุคลากรทางการศึกษาอ่ืนตามมาตรา
๓๘ ค. (๒) ตามกรอบอัตรากําลังในสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาและในสถานศึกษาเพิ่มเติมตามหนังสือ
สํานักงาน ก.ค.ศ.ลงวันท่ี ๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ โดยใหขาราชการซ่ึงปฏิบัติงานอยูในเขตพื้นที่การศึกษาน้ัน
ๆ ณ วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๙ ไดรับการพิจารณาคราวเดียวกัน โดยใหสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา
โดยความเห็นชอบของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่กี ารศกึ ษากําหนดตัวช้ีวัดแตละดานใหช ัดเจนแลวประกาศใหทราบ
ทั่วกัน พรอมทั้งสงตัวอยางแนวทางการกําหนดตัวชี้วัดประกอบเกณฑการพิจารณาตัวบุคคลในการจัด
ขา ราชการใหดํารงตําแหนงตามกรอบอัตรากําลังท่ี ก.ค.ศ. กําหนดเพ่ือประกอบการดาํ เนนิ การตอไป จากนั้น
สํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาชัยภูมิ เขต ๑ ไดมีประกาศลงวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ เรื่อง การกําหนด
เกณฑและตัวชี้วัดเพ่ือประกอบเกณฑการพิจารณาตัวบุคคลในการจัดขาราชการใหดํารงตําแหนงบุคลากร
ทางการศึกษาอื่น โดยเกณฑและตัวช้ีวัดดังกลาวมีรายละเอียดในการใหคะแนนรวม ๑๐๐ คะแนน ดังน้ี ๑.
ความรู ความสามารถ ประสบการณ (๓๐ คะแนน) พิจารณาจาก ๑.๑ วุฒิทางการศึกษาตรงกับมาตรฐาน
ตําแหนง ๑.๒ สาขาวิชาท่ีจบการศึกษา ๑.๓ ไดรับคัดเลือกหรือเคยไดรับคัดเลือกเปนหัวหนากลุม/หัวหนา
ฝาย/หัวหนาหนวย ๑.๔ ความสามารถพิเศษ ๑.๕ อายุราชการ ๑.๖ ปฏิบัติงานหรือเคยปฏิบัติงาน
ในตําแหนงที่สมคั ร ๒. ผลงาน (๒๐ คะแนน) พิจารณาจาก ๒.๑ จํานวนคร้งั ทีไ่ ดร ับพิจารณาจากการเลื่อนขั้น
เงินเดือนในรอบ ๓ ป ตั้งแตปงบประมาณ ๒๕๔๗ – ๒๕๔๙ ๒.๒ ผลงานดีเดน (๑๕ คะแนน) ๓. อาวุโส
ในราชการ (๒๐ คะแนน) พิจารณาจากอาวุโสในราชการตามลาํ ดับ ดงั นี้ ๓.๑ ผูดํารงตําแหนงในระดับสูงกวา
เปน ผูอาวุโสกวา ๓.๒ ถาผูดาํ รงตาํ แหนงในระดับเดียวกนั ผดู ํารงตาํ แหนงในระดับนั้นมากอนเปน ผูอาวโุ สกวา
๓.๓ ถาผูดํารงตําแหนงในระดับน้ันพรอมกัน ผูดํารงตําแหนงในข้ันสูงกวาเปนผูอาวุโสกวา ๓.๔ ถารับ
เงินเดือนข้ันเดียวกัน ผูมีอายุราชการมากกวาเปนผูอาวุโสกวา ๓.๕ ถาอายุราชการเทากัน ผูไดรับ
พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภ รณ ชั้นสูงกวาเปนผูอาวุโสกวา ๓ .๖ ถาไดรับพระราชทาน
เครื่องราชอิสริยาภรณช้ันเดียวกัน ผูไดรับพระราชทานชั้นน้ันมากอนเปนผูอาวุโสกวา ๓.๗ ถาไดรับ
พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณช้ันนั้นพรอมกัน ผูมีอายุตัวมากกวาเปนผูอาวุโสกวา ๔. วินัย
(๑๕ คะแนน) พิจารณาจากการลงโทษทางวินัยต้ังแตรับราชการถึงปจจุบัน ๕. ความเหมาะสมอื่นและ
ประโยชนท่ีทางราชการไดรับ (๑๕ คะแนน) และ ๖. ในกรณีท่ีมีผูไดคะแนนรวมเทากัน ใหพิจารณาเรียง
ตามลาํ ดบั ดังน้ี ๖.๑ ผูไดคะแนนผลงานสูงกวา ๖.๒ ความสามารถและประสบการณสูงกวา ๖.๓ ผูท่มี ีอาวุโส
สูงกวา ๖.๔ ผูไมเคยถูกลงโทษทางวินัย ๖.๕ ผูที่มีคะแนนความเหมาะสมอื่นและประโยชนท่ีทางราชการ