The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือการดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับปรับปรุง ปี พ.ศ. 2565)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คู่มือการดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับปรับปรุง ปี พ.ศ. 2565)

คู่มือการดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับปรับปรุง ปี พ.ศ. 2565)

94

ท่ี นร 0205/ว. 234 สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ทําเนียบรฐั บาล กทม. 10300

24 ธนั วาคม 2536

เรื่อง ขอปรบั ปรงุ มติคณะรฐั มนตรีเกยี่ วกับการลงโทษขา ราชการผูก ระทาํ ผดิ วนิ ยั อยา งรา ยแรง
บางกรณี

เรียน (เวยี น กระทรวง ทบวง กรม)

อา งถงึ หนังสอื สาํ นกั เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ดว น ท่ี นว 125/2503 ลงวนั ที่ 5 ตลุ าคม
2503

ส่ิงท่สี งมาดว ย สาํ เนาหนังสือสาํ นกั งาน ก.พ. ปกปด ที่ นร 0709.2/ป 1044
ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2536

ตามทไ่ี ดยืนยนั มติคณะรฐั มนตรเี รือ่ ง การลงโทษขาราชการผูก ระทําผิดทางวินัย
อยางรายแรงมาเพือ่ ทราบและถือปฏิบตั ิ น้ัน

บัดนี้ สํานกั งาน ก.พ. ไดเ สนอขอปรบั ปรงุ มตคิ ณะรฐั มนตรเี มือ่ วนั ท่ี 4 ตลุ าคม
2503 เก่ียวกบั การลงโทษขา ราชการผกู ระทําผิดวินัยอยางรายแรงบางกรณี มาเพื่อคณะรฐั มนตรี
พจิ ารณาความละเอียดปรากฏตามสาํ เนาหนังสือทีไ่ ดสง มาพรอมน้ี

คณะรฐั มนตรไี ดล งมติเมือ่ วันที่ 21 ธนั วาคม 2536 อนมุ ตั ิตามทสี่ ํานักงาน ก.
พ. เสนอดังน้ี

1. ใหปรบั ปรงุ มตคิ ณะรฐั มนตรีเมือ่ วนั ที่ 4 ตลุ าคม 2503 เก่ียวกบั การลงโทษ
ขาราชการผกู ระทาํ ผดิ วินัยอยา งรา ยแรงบางกรณี ดงั น้ี

1.1 ปรับปรงุ ถอ ยคําเพื่อใหเ กิดความชดั เจนจากความวา ìละทงิ้ หนา ท่ี
ราชการไปเลยเกินกวา 15 วัน โดยไมมีเหตุผลอนั สมควรî เปน ìละทิง้ หนาท่ีราชการติดตอ
ในคราวเดยี วกัน เปนเวลาเกนิ กวา 15 วัน โดยไมม เี หตุผลอนั สมควร และไมก ลับมาปฏิบัติ
ราชการอกี เลยî

95

น2ี

1.2 การลงโทษผกู ระทําผิดวินัยฐานทจุ รติ ตอ หนา ที่ราชการ หรอื ละทิ้ง
หนาท่รี าชการตามขอ 1.1 เปนความผดิ วนิ ัยอยา งรา ยแรง ซึง่ ควรลงโทษเปนไลออกจากราช
การ การนําเงนิ ทท่ี จุ รติ ไปแลวมาคืนหรือมีเหตอุ นั ควรปรานอี ่ืนใดไมเ ปนเหตลุ ดหยอนโทษลง
เปน ปลดออกจากราชการ

2. สําหรบั การลงโทษผกู ระทําผิดวินยั อยางรายแรงใน 2 ฐานความผิดดังกลา ว
ตามมาตรา 67 วรรคสาม และมาตรา 75 วรรคสอง แหงพระราชบญั ญัตริ ะเบียบขา ราชการ
พลเรือน พ.ศ.2518 หรอื ตามกฎหมายระเบยี บขา ราชการพลเรือนทใี่ ชบ ังคบั อยกู อ นหนา น้ัน
พระราชบัญญัติระเบียบขา ราชการพลเรือน พ.ศ.2535 มบี ทเฉพาะกาลมาตรา 138 ใหลงโทษ
ตามกฎหมายวาดว ยระเบียบขาราชการพลเรือนท่ีใชอยูข ณะกระทาํ ผดิ กใ็ หถอื ปฏิบตั ิตามมติ
คณะรัฐมนตรเี มอ่ื วันที่ 4 ตลุ าคม 2503 ตอ ไป

จึงเรียนมาเพ่อื โปรดทราบ และขอไดโ ปรดแจง ใหสว นราชการในสงั กัดทราบ
และถอื ปฏบิ ตั ติ อไป

ขอแสดงความนับถอื

(ลงช่อื ) วิษณุ เครอื งาม
(นายวิษณุ เครอื งาม)
เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตรี

กองประมวลและตดิ ตามผลมติคณะรัฐมนตรี
โทร. 2827193 โทรสาร 2824045

96

*97

98

ณึ๋

99



ณึ๊

100

ณั่

101

ซฺ

102

*

ขgngงgนg dgลgsgsgeลg mหesg eณึ๋gs อ. ntงอ

103



*ณื๊

104

การ

ณึ๊

105

บทที่ 6

กรณี ึก า แน ทางการลงโท ทาง ินยั ตามมตคิ ณะรฐั มนตรี
มติ ก.ค. . บทค ามเกีย่ กบั การบริ ารงานบุคคลของ านักงาน าลปกครอง

และแน ทางในการปฏิบตั ิราชการท่ีดตี ามคา นิ จิ ฉยั ของ าลปกครอง

กรณีที่ 1 คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ท่ี อ. 118/2551 กำรแต่งตั้งคณะกรรมกำร อบ น
ทำง ินัย ต้องกระทำโดยเจ้ำ น้ำที่ผู้มีอำนำจ กรณีที่คำ ่ังแต่งต้ังคณะกรรมกำร อบ นทำง ินัยอย่ำง
ร้ำยแรงกระทำโดย เจ้ำ น้ำที่ของรัฐ ซ่ึงไม่มีอำนำจตำมกฎ มำยย่อมเป็นคำ ่ังที่ไม่ชอบด้ ยกฎ มำย
และมีผลทำใ ้กำรดำเนินกระบ นกำร ทำง ินัยโดยอำ ัยผลกำร อบ นของคณะกรรมกำร อบ น
ดงั กล่ำ เช่น กำรมีมติและมคี ำ ง่ั ลงโท ผ้ทู ถ่ี กู อบ น เปน็ กำรดำเนนิ กำรท่ไี ม่ชอบด้ ยกฎ มำยไปด้ ย

กรณีที่ 2 คำพพิ ำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ท่ี อ. 28/2547 (ประชมุ ใ ญ่) พิพำก ำ ่ำ กรรมกำร
ทไ่ี ด้รบั แตง่ ตง้ั ใ ้เปน็ คณะกรรมกำร อบ นจะต้องมคี ุณ มบัติตำมทก่ี ฎ มำยกำ นด

กรณีที่ 3 กำรที่เลขำธิกำรคณะกรรมกำรกำร ึก ำข้ันพ้ืนฐำนไดม้ ีคำ ัง่ ท่ี 169/2551 ลง ันที่ 22
กุมภำพันธ์ 2551 แต่งต้ังคณะกรรมกำร อบ น ินัยอย่ำงร้ำยแรง ผู้อุทธรณ์ และผู้ถูกดำเนินกำรทำง ินัย
ซึ่งดำรงตำแ น่งรองผู้อำน ยกำร ำนักงำนเขตพ้ืนท่ีกำร ึก ำกำญจนบุรี เขต 1 (เดิม) ิทยฐำนะรอง
ผู้อำน ยกำร ำนักงำนเขตพื้นที่กำร ึก ำชำนำญกำรพิเ โดยมีนำย ป. ตำแ น่งผู้อำน ยกำร ำนัก
อำน ยกำร ำนักงำนคณะกรรมกำรกำร ึก ำข้ันพื้นฐำน เป็นประธำนกรรมกำร อบ น ซ่ึงตำแ น่ง
ดังกล่ำ ก.ค. . ก็มิได้เทียบใ ้มี ิทยฐำนะ ตำม นัง ือ ำนักงำน ก.ค. . ท่ี ธ 0206.2/ 2 ลง ันท่ี
9 กมุ ภำพันธ์ 2548 คำ ั่งแต่งต้ังคณะกรรมกำร อบ น นิ ยั อยำ่ งรำ้ ยแรง ผ้อู ทุ ธรณ์และผู้ถูกดำเนินกำร
ทำง ินัย จึงเป็นคำ ่ังท่ีไม่ชอบด้ ย กฎ ก.ค. . ่ำด้ ยกำร อบ นพิจำรณำ พ. . 2550 ข้อ 3 รรค อง
เป็นเ ตุใ ้กำร อบ นท้ัง มดเ ียไปตำม ข้อ 43 ของกฎ ก.ค. . ฉบับเดีย กัน เม่ือคำ ั่งแต่งต้ัง
คณะกรรมกำร อบ น ินยั อย่ำงร้ำยแรงไมช่ อบด้ ยกฎ มำย กำรดำเนนิ กำรพิจำรณำโท และ ั่งลงโท
ผู้อุทธรณ์ ซ่ึงมีผลมำจำกกำร อบ นที่มิชอบด้ ยกฎ มำยเ ียไปทั้ง มด ต้องเพิกถอนคำ ั่งลงโท
ดังกล่ำ แล้ ใ ้ผู้บังคับบัญชำแต่งตั้งคณะกรรมกำร อบ นใ ม่ใ ้ถูกต้องตำมที่กำ นดในกฎ ก.ค. .
่ำด้ ยกำร อบ นพิจำรณำ พ. . 2550 และใ ้คณะกรรมกำร อบ นชุดใ ม่ดำเนินกำรตำม
กระบ นกำรของกฎ มำยต่อไป (มติ อ.ก.ค. . ิ ำมัญเก่ีย กับ กำรอุทธรณ์และกำรร้องทุกข์ ครั้งท่ี
9/2556 ันพุธท่ี 8 พฤ ภำคม 2556)

กรณีท่ี 4 คณะกรรมกำร อบ นทำง ินัยอย่ำงร้ำยแรงจำน น ๒ คน เคยเป็นกรรมกำร อบ
ข้อเท็จจริง เพ่ิมเติมต่อมำผู้บังคับบัญชำมีคำ ่ังแต่งตั้งใ ้ท้ัง ๒ คนมำเป็นกรรมกำร อบ น ินัยอย่ำง
ร้ำยแรงอีก จึงทำใ ้กำรพิจำรณำทำงปกครองไม่มีค ำมเป็นกลำงตำมนัยมำตรำ 16 รรค น่ึง
แ ่งพระรำชบัญญัติ ิธีปฏิบัติ รำชกำรทำงปกครอง พ. . 2539 กล่ำ คือ ในกำร อบข้อเท็จจริงบุคคล
ทัง้ องได้รับกำรแต่งต้ังใ ้เป็น คณะกรรมกำร อบ น ินัยอย่ำงร้ำยแรงอีก และคณะกรรมกำร อบ น
ทำง ินัยอย่ำงร้ำยแรงมีเพียง 3 คน บุคคลทั้ง องจึงเป็นเ ียงข้ำงมำก จึงทำใ ้ผลกำร อบ นทำง ินัย
อย่ำงร้ำยแรงย่อมคำด มำยได้อยู่แล้ ่ำ ไม่อำจแตกต่ำงไปจำกผลกำร อบข้อเท็จจริงเพ่ิมเติม ประกอบ

106

กับกำรแต่งต้ังคณะกรรมกำร อบ น ินัยอย่ำงร้ำยแรง ผู้ฟ้องคดีไม่มีค ำมจำเป็นถึงขนำด ำกปล่อยใ ้
ลำ่ ช้ำไปจะเ ยี ำยต่อประโยชน์ ำธำรณะ รอื บคุ คลจะเ ีย ำย โดยไมม่ ีทำงแกไ้ ข อีกทัง้ ไม่มีค ำมจำเป็น
ที่จะต้องแต่งต้ังท้ัง องเป็นกรรมกำร อบ นผู้ฟ้องคดีอีก เพรำะมีบุคคลที่ ำมำรถจะแต่งตั้งใ ้เป็น
กรรมกำร อบ นได้อยู่เป็นจำน นมำก ดังนั้น กระบ นกำร อบ นทำง ินัยอย่ำงร้ำยแรงผู้ฟ้องคดี
จงึ มิได้กระทำโดยถูกต้องตำมรูปแบบ ขั้นตอน รือ ิธีกำรอันเป็น ำระ ำคัญท่ีกำ นดไ ้ ำ รับกำรกระทำน้ัน
เม่ือกำรแต่งตั้งคณะกรรมกำร อบ น ินัยอย่ำงร้ำยแรงผู้ฟ้องคดี ซ่ึงเป็นกำรพิจำรณำทำงปกครอง
ไม่ชอบด้ ยกฎ มำย กำรท่ีนำผลกำร อบ น ินัยอย่ำงร้ำยแรงผู้ฟ้องคดีมำใช้ในกำรพิจำรณำโท ทำง ินัย
จงึ ไม่ชอบด้ ยกฎ มำยด้ ย (คำพพิ ำก ำ ำลปกครอง งู ุดในคดี มำยเลขแดงที่ ฟ. ๓๕/๒๕๖๐)

กรณีที่ 5 คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ท่ี อ.3/2555 พิพำก ำกรณีที่ผอู้ ำน ยกำรประถม ึก ำ
จัง ัด นำขอ้ กล่ำ ำเร่ืองทีผ่ ู้ฟ้องคดีทำโท นักเรยี นด้ ยกำรตี ซ่ึงผิดระเบียบกระทร ง ึก ำธิกำรเขำ้ มำ
เป็นเ ตุลงโท ทำง ินัยไม่ร้ำยแรงแก่ผู้ฟ้องคดี ซึ่งเป็นกรณีนอกเ นือข้อกล่ำ ำที่ไดต้ ั้งกรรมกำร ืบ น
ผู้ฟ้องคดีกรณีไม่ใ ้เกียรติเพ่ือนครูด้ ยกัน ใช้ ำจำ ยำบคำยต่อ น้ำนักเรียนและเพ่ือนครู ไม่เคำรพ ิทธิ
ซึ่งกันและกันทำใ ้ได้รับกำรอับอำยต่อ น้ำนักเรียน โดยไม่ได้มีกำรแจ้งข้อกล่ำ ำเพ่ือใ ้ผู้ฟ้องคดี
ได้มีโอกำ โต้แย้งและแ ดงพยำน ลักฐำนของตน ตำมนัยมำตรำ 30 รรค น่ึง แ ่งพระรำชบัญญัติ ิธี
ปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง พ. . 2539 ทั้งยังได้นำเร่ืองที่ผู้ฟ้องคดีเคยถูกลงโท ในกรณีอื่นมำเป็นเ ตุ
ลงโท ภำคทัณฑ์ จึงเป็นกำรใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ คำ ั่งลงโท จึงไม่ชอบด้ ยกฎ มำย ถึงแม้ ่ำในช้ัน
กำรพิจำรณำของ อ.ก.ค.ฯ มีมติใ ล้ งโท ผ้ฟู ้องคดีโดยตดั ประเด็นกำรลงโท เรอ่ื งอื่นออกไปแล้ ก็ไม่มีผล
ทำใ ้คำ ง่ั ดงั กลำ่ กลบั กลำยเปน็ คำ ั่งทช่ี อบด้ ยกฎ มำยไปได้

กรณีท่ี 6 คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ที่ อ.197/2548 และที่ อ.21/2550 ( ่ังลงโท ใน
ข้อกล่ำ ำ ท่ีมิได้มีกำรแจ้งข้อกล่ำ ำนั้นมำก่อน) พิพำก ำ ่ำ กำรท่ีผู้มีอำนำจ ่ังลงโท ออกคำ ั่ง
ลงโท ในข้อกล่ำ ำ ทีม่ ไิ ด้มกี ำรแจง้ ขอ้ กลำ่ ำนั้นมำก่อน ยอ่ มเป็นคำ ั่งลงโท ท่ีไม่ชอบด้ ยกฎ มำย

กรณีท่ี 7 คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ที่ อ.153/2547 พิพำก ำ ่ำ กำร ั่งลงโท ใน
ข้อกล่ำ ำ ที่คณะกรรมกำร อบ นมิได้แจ้งข้อกล่ำ ำใน “พฤติกำรณ์และกำรกระทำ” น้ันมำก่อน
รือกำร ่ังลงโท โดยเปลี่ยนแปลงข้อกล่ำ ำใน “พฤติกำรณ์และกำรกระทำ” ใ ม่ ไม่ ำมำรถกระทำได้
เพรำะเป็นกำร ่ังลงโท ในข้อกล่ำ ำที่ไม่เคยมีกำร อบ นมำก่อน รือเป็นกำรไม่ใ ้โอกำ
ผู้ถูกกล่ำ ำได้ทรำบข้อเท็จจริงในข้อกล่ำ ำ อันนำไป ู่กำรลงโท ได้เพียงพอ และไม่มีโอกำ ได้โต้แย้ง
รือแ ดงพยำน ลักฐำนของตน แล้ แต่กรณี ่ นกำร ่ังลงโท ในขอ้ กล่ำ ำที่ “พฤตกิ ำรณ์และกำรกระทำ” น้ัน
มีกำรแจ้งข้อกล่ำ ำและ อบ นแล้ แต่ผู้มีอำนำจ ั่งลงโท รือผู้พิจำรณำค ำมผิดและกำ นดโท
รือผู้มีอำนำจพิจำรณำอุทธรณ์เ ็น ่ำคณะกรรมกำร อบ นแจ้ง “ฐำนค ำมผิด” ไม่ถูกต้อง ผู้มีอำนำจ
ดงั กลำ่ ย่อม ำมำรถแก้ไข “ฐำนค ำมผิด” รือ “ปรับบทกฎ มำย” ใ ถ้ กู ต้องได้

กรณีท่ี 8 มติ อ.ก.ค. . ิ ำมัญเก่ีย กับกำรอุทธรณ์และกำรร้องทุกข์ คร้ังท่ี 7/2556 ันพุธที่ 3
เม ำยน 2556 กำรท่ีมิได้ดำเนินกำรแจ้ง .3 ของคณะกรรมกำร อบ นเพิ่มเติมเ ียก่อนท่ีจะมีคำ ั่ง
ลงโท ผู้อุทธรณ์ ซ่ึงถือเป็นขั้นตอนและ ิธีกำรอันเป็น ำระ ำคัญท่ีกำ นดไ ้ในกำร อบ นทำง ินัย
อย่ำงร้ำยแรง ซ่ึงบุคคลจะต้องรับโท นักข้ึนโดยอำ ยั ข้อเท็จจริงใด บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเทจ็ จรงิ นั้น จึงเป็น
กรณีท่ีมิได้ดำเนินกำรตำมท่ีกฎ มำยกำ นด ดังนั้น กำรดำเนินกำรพิจำรณำโท และกำร ่ังลงโท

107

ผู้อุทธรณ์ซ่ึงอำ ัยผลจำกกำร อบ นเพิ่มเติมที่มิได้ดำเนินกำรตำมท่ีกฎ มำยกำ นด จึงเป็นกำร
ดำเนินกำรท่ีไม่ชอบด้ ยกฎ มำย ตำมไปด้ ยกำรที่ อ.ก.ค. . ิ ำมัญเกี่ย กับ ินัยและกำรออกจำกรำชกำร
ได้พิจำรณำจำกพยำน ลักฐำนที่ได้มำจำกกำร อบ นเพ่ิมเติมท่ีมิได้ดำเนินกำรตำมที่กฎ มำยกำ นด
แล้ มีมติใ ้ลงโท ไล่ผู้อุทธรณ์ออกจำกรำชกำร และกำรท่ีผู้อำน ยกำร ำนักงำนเขตพื้นที่กำร ึก ำ
ประถม ึก ำได้มีคำ ั่งลงโท ไล่ผู้อุทธรณ์ออกจำกรำชกำร ตำมนัยมติ อ.ก.ค. . ิ ำมัญเกี่ย กับ ินัยและ
กำรออกจำกรำชกำร จึงไม่ชอบด้ ยกฎ มำย อุทธรณ์ฟังข้ึนในข้อกฎ มำย จึงมีมติใ ้ผู้บังคับบัญชำ
เพิกถอนคำที่ ่ังลงโท ไล่ผู้อุทธรณ์ออกจำกรำชกำร และ ั่งใ ้ผู้อุทธรณ์กลับเข้ำรับรำชกำร แล้ ่งเรื่อง
กำรดำเนินกำรทำง ินัยมำยัง ำนกั งำน ก.ค. . เพอ่ื พิจำรณำต้ังแต่ขน้ั ตอนกำรอธิบำยข้อกล่ำ ำ และแจ้ง
ข้อกล่ำ ำ และ รุปพยำน ลักฐำนท่ี นับ นุนข้อกล่ำ ำ ( .3) ในฐำนค ำมผิด ินัยอย่ำงร้ำยแรง
ตำมมำตรำ 98 รรค อง แ ่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน พ. . 2535 ที่นำมำใช้บังคับ
โดยอนุโลม และต้องใ ้โอกำ ผู้อุทธรณ์ท่ีจะชี้แจงใ ้ถ้อยคำ และนำ ืบแก้ข้อกล่ำ ำตำมที่กำ นดไ ้ใน
มำตรำ 98 รรค น่ึง แ ่งพระรำชบัญญัติระเบยี บข้ำรำชกำรครแู ละบุคลำกรทำงกำร ึก ำ พ. . 2547
ประกอบกับ ข้อ 24 ของ กฎ ก.ค. . ่ำด้ ยกำร อบ นพิจำรณำ พ. . 2550 เพ่ือพิ ูจน์ใ ้เ ็น
ค ำมผิด รือค ำมบริ ทุ ธิ์ ของผู้อทุ ธรณใ์ แ้ จง้ ชดั โดย ้ินกระแ ค ำมเ ยี ใ ม่ แล้ ดำเนินกำรใ ้ถกู ตอ้ ง
ตำมกฎ มำยต่อไป

กรณีที่ 9 มติ อ.ก.ค. . ิ ำมัญเก่ีย กับกำรอุทธรณ์และกำรร้องทุกข์คร้ังที่ 14/2557 ันพุธท่ี
23 กรกฎำคม 2557 กำร อบปำกคำพยำนซึ่งเป็นเด็ก จำน น ๘ รำย เป็นกำรดำเนินกำรโดยไม่ชอบด้ ย
ข้อ 28 รรค อง ของกฎ ก.ค. . ่ำด้ ยกำร อบ นพิจำรณำ พ. . 2550 จึงทำใ ้ถ้อยคำใ ้กำรของ
พยำนซ่ึงเปน็ เดก็ จำน น 8 รำย เ ียไปท้ัง มด ซ่ึงจะเ ็นได้ ่ำกำรพิจำรณำพยำน ลักฐำนได้ยึดคำใ ้กำร
ของพยำนผู้เ ีย ำย ซึ่งเป็นเด็กเป็น ำคัญแต่ไม่ปรำกฏ ่ำได้มีมติใ ้ผู้บังคับบัญชำดำเนินกำร
ใ ้คณะกรรมกำร อบ นทำกำร อบ นพยำน ซึ่งเป็นเด็กใ ม่ใ ้ถูกต้องแต่อย่ำงใด ดังน้ัน กำรที่มิได้
ดำเนินกำรดงั กล่ำ ข้ำงต้นน้ีเ ียก่อนท่ีจะมีคำ ั่งลงโท ไล่ ผู้อุทธรณ์ออกจำกรำชกำร จึงเป็นกำรนำพยำน
ท่ีไม่มีอยู่มำใช้ประกอบกำรพิจำรณำ ั่งลงโท อันเป็นกำรไม่ชอบด้ ยกฎ มำย และทำใ ้เ ียค ำมเป็นธรรม
แก่ผู้อุทธรณ์อันเป็นเ ตุใ ้คำ ั่งลงโท ไล่ผู้อุทธรณ์ออกจำกรำชกำร เป็นคำ ั่งท่ีไม่ชอบด้ ยกฎ มำย
ฉะนัน้ เมื่อพิจำรณำแล้ เ ็น ำ่ กำร อบ นพยำนซึง่ เป็นเด็กถือ ่ำ เป็น ำระ ำคัญที่จำเป็นจะต้องนำมำ
ประกอบกำรพิจำรณำเพ่ือพิ ูจน์ค ำมผิด รือค ำมบริ ุทธิ์ของผู้อุทธรณ์ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ใ ้เพิกถอน
คำ ั่ง ำนักงำนเขตพื้นท่ีกำร ึก ำประถม ึก ำท่ี ่ังลงโท ไล่ผู้อุทธรณ์ออกจำกรำชกำร และใ ้
ผู้บังคับบัญชำ ั่งใ ้ผู้อุทธรณ์กลับเข้ำรับรำชกำรและ ั่งใ ้คณะกรรมกำร อบ นดำเนินกำร อบปำกคำ
พยำนซึ่งเปน็ เด็กใ ม่ ใ ้ถกู ต้องตำมข้อ 28 รรค อง ของกฎ ก.ค. . ำ่ ด้ ยกำร อบ นพิจำรณำ พ. . 2550
แล้ ดำเนินกระบ นพิจำรณำใ ม่ใ ถ้ ูกต้องตำมกฎ มำยตอ่ ไป

กรณที ี่ 10 กำรรอผลคดีอำญำนั้น ำลปกครอง ูง ุดได้มแี น ินิจฉยั ่ำ กำรดำเนินกำรทำง ินัย
ไม่ต้องรอผลคดีอำญำ และผลของคดีอำญำจะเป็นประกำรใดไม่ผูกมัดผู้ดำเนินกำรทำง ินัยท่ีจะเ ็น
แตกต่ำงได้ ำกได้กระทำไปโดย ุจริตและเป็นไปตำมกฎ มำยแล้ (คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ที่
อ.142/2549) และเ ็น ่ำ ผลกำรลงโท ทำง ินัยและผลกำรลงโท ทำงอำญำ ำจำต้องมีผลไปทำง
เดีย กันไม่ เพรำะกระบ นกำรพิจำรณำทำง ินัยและทำงอำญำมีค ำมแตกต่ำงกัน กำรรับฟัง

108

พยำน ลักฐำนก็แตกต่ำงกัน ท้ังกำรมีอยู่ของพยำน ลักฐำน และกำรใ ้ถ้อยคำ รือกำรเบิกค ำมของ
พยำนอำจจะมีค ำมแตกต่ำงกันได้ จึงไม่จำต้องรอผลกำรพิจำรณำทำงอำญำก่อน แต่ประกำรใด เมื่อมี
กำรดำเนินกำรทำง ินัยจนมีกำร ่ังลงโท ผู้ฟ้องคดี ำกภำย ลังปรำกฏ ่ำผู้ฟ้องคดี กระทำค ำมผิด
อำญำจนได้รับโท จำคุก รือโท ท่ี นักก ่ำจำคุก โดยคำพิพำก ำถึงท่ี ุดใ ้จำคุก รือโท ท่ี นักก ่ำจำคุก
เ ้นแต่เป็นโท ำ รับค ำมผิดท่ีได้กระทำโดยประมำท รือค ำมผิดล ุโท ผลของกำรได้รับโท จำคุก
ดังกล่ำ ถือเป็นกำรกระทำผิด ินัยอย่ำงร้ำยแรง และเป็นกรณีค ำมผิดที่ปรำกฏชัดแจ้ง เมื่อผู้ถูกฟ้องคดี
ลงโท ทำง ินัย ผู้ฟ้องคดีในเร่ืองดังกล่ำ ไม่ถือ ่ำเป็นกำรดำเนินกำรทำง ินัยซ้ำซ้อน ถึงแม้มูลกรณีกำร
กระทำค ำมผดิ เป็นเ ตุ เดีย กันกับผลกำรดำเนินกำรทำง นิ ัยที่เป็นเ ตุแ ่งคดีนี้กต็ ำม (คำพิพำก ำ ำล
ปกครอง ูง ดุ ที่ อ.67/2547)

กรณีท่ี ๑1 ตำมคำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ท่ี อ.67/2547 ได้ ำง ลักกรณีกำรลงโท ทำง ินัย
ท่ีเกี่ย เนื่องกับคดีอำญำ ่ำ เม่ือมีกำรดำเนินกำรทำง ินัยและได้ ั่งลงโท แก่ข้ำรำชกำรผู้ใดไปแล้
ำกปรำกฏภำย ลัง ่ำข้ำรำชกำรผู้นั้นกระทำผิดอำญำจนได้รับโท จำคุก ผลของกำรได้รับโท จำคุก
เป็นค ำมผิด นิ ัยอย่ำงร้ำยแรง ซง่ึ เป็นค ำมผิดท่ีปรำกฏชัดแจง้ ผบู้ ังคับบัญชำยัง ำมำรถ ่ังลงโท ไล่ออก
รือปลดออกได้ โดยไม่ถือ ่ำเป็นกำรดำเนินกำรทำง นิ ัยซ้ำ แม้มูลกรณีกำรกระทำค ำมผิดจะเป็นเ ตุเดีย กัน
ซึ่งเป็นกำรกลับ ลักแน ินิจฉัยของ ก.พ. ตำม นัง ือ ำนักงำน ก.พ. ท่ี นร 0709.2/565 ลง นั ท่ี 30
ตลุ ำคม 2541 ซง่ึ เ ็น ่ำ เปน็ กำรดำเนินกำรซ้ำต้อง งั่ ใ ้ผูน้ ัน้ ออกจำกรำชกำรเพรำะขำดคุณ มบตั ิ

กรณีท่ี ๑2 คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ท่ี อ. 463/2551 เม่ือข้ำรำชกำรถูกกล่ำ ำ ่ำ
กระทำผิด ินัยอย่ำงร้ำยแรง และกำรกระทำดังกล่ำ เป็นค ำมผิดทำงอำญำด้ ย ข้ำรำชกำรผู้นั้นย่อม
ถกู ดำเนินกำรทั้งทำง นิ ัยและทำงอำญำไปพรอ้ มกันได้ แม้ ่ำผลคดีอำญำยังไมถ่ ึงท่ี ุดก็ตำม เน่ืองจำกกำร
ดำเนินคดีอำญำน้ันมุ่งประ งค์ค บคุมกำรกระทำของบุคคลใน ังคมมิใ ้กระทำกำรท่ีกฎ มำยกำ นด ่ำ
เป็นค ำมผิดอำญำ เพ่ือคุ้มครอง ังคม โดยร มใ ้มีค ำม งบ ุข ่ นกำรดำเนินกำรทำง ินัยเป็น
มำตรกำรในกำรรัก ำ ินัยของข้ำรำชกำรท่ีมุ่งปรำบปรำมข้ำรำชกำรท่ีกระทำกำรฝ่ำฝืนข้อ ้ำมตำมที่
กฎ มำย ระเบียบ ขอ้ บังคับกำ นดโดยใช้ ธิ ีกำรลงโท ทำง ินัย ซ่ึงมีผลเป็นกำรปรำมไมใ่ ้ขำ้ รำชกำรอื่น
กระทำผิด ินัยเพรำะเกรงกลั กำรลงโท ด้ ย อีกทั้งกำรรับฟังพยำน ลักฐำน เพื่อจะลงโท ทำง ินัยของ
ผู้บังคับบัญชำ ก็แตกต่ำงจำกกำรรับฟังพยำน ลักฐำนเพื่อลงโท ในคดีอำญำของ ำล โดยคดีอำญำ ำล
จะพิพำก ำลงโท จำเลยได้ต่อเม่ือมีพยำน ลักฐำนปรำกฏชัดแจ้งปรำ จำกข้อ ง ัย ่ นกำรลงโท
ทำง ินัยผู้บังคับบัญชำ ำมำรถใช้ดุลพินิจ ั่งลงโท ผู้ถูกกล่ำ ำได้โดยพิจำรณำจำกพยำน ลักฐำนและ
พฤตกิ ำรณ์ของผู้ถูกกล่ำ ำทป่ี รำกฏใน ำน นกำร อบ นของคณะกรรมกำร อบ น ซ่ึงร มถึง ำน น
กำรไต่ นข้อเท็จจริงตำมที่คณะกรรมกำร ป.ป.ช. มีมติโดยไม่จำเป็นต้องปรำกฏพยำน ลักฐำนชัดแจ้ง
ปรำ จำกข้อ ง ัย ดงั เช่นคดีอำญำ และไม่จำต้องรอฟังผลคดอี ำญำแต่อย่ำงใด

กรณีที่ ๑3 มติ อ.ก.ค. . ิ ำมัญเกี่ย กับกำรอุทธรณ์และกำรร้องทุกข์ครั้งที่ 2/2556 ันพุธที่
23 มกรำคม 2556 กำรออกคำ ่ังลงโท ไล่ผู้อุทธรณ์ออกจำกรำชกำร ตำมคำ ่ัง ำนักงำนเขตพื้นที่
กำร ึก ำประถม ึก ำ ระบุแต่เพียง ่ำ ผูอ้ ุทธรณ์ละท้ิง น้ำท่ีรำชกำรติดต่อในครำ เดีย กันเป็นเ ลำเกิน
ก ่ำ ิบ ้ำ ันโดยไม่มีเ ตุผลอัน มค รน้ัน เป็นกำรออกคำ ั่งลงโท ที่ไม่มีข้อพิจำรณำและข้อ นับ นุน
ในกำรใช้ดลุ พินิจกำรออกคำ ่งั ลงโท จึงมีข้อค ำมไม่ มบูรณ์ตำมระเบียบ ก.ค. . ่ำด้ ย ิธกี ำรออกคำ ั่ง

109

เกี่ย กับกำรลงโท ทำง ินัย ข้ำรำชกำรครูและบุคลำกรทำงกำร ึก ำ พ. . 2548 ข้อ 3 จึงมีมติใ ้
ำนักงำนเขตพื้นท่ีกำร ึก ำแก้ไขเพ่ิมเติมคำ ่ังโดยใ ้มีกำรระบุถึงข้อพิจำรณำ ข้อ นับ นุนในกำรใช้
ดุลพินิจอย่ำงไร ในกำรลงโท ผู้อุทธรณ์ และใ ้ทำกำรแจ้งคำ ่ังที่แก้ไขดังกล่ำ ใ ้ผู้อุทธรณ์ทรำบเพ่ือ
ผอู้ ทุ ธรณ์ ำมำรถใช้ ทิ ธโิ ต้แย้งกำรใชด้ ุลพนิ ิจ ในกำรลงโท ได้อยำ่ งถกู ต้อง

กรณีท่ี ๑4 มติ อ.ก.ค. . ิ ำมัญเกย่ี กบั กำรอุทธรณแ์ ละกำรรอ้ งทกุ ข์คร้ังท่ี 3/2557 ันพธุ ที่ 5
กุมภำพันธ์ 2557 กำรดำเนินกำรทำง ินัยและกำรลงโท ทำง ินัยจะต้องเป็นไปตำมขั้นตอนและ ิธีกำร
ที่กฎ มำย กฎ ระเบียบ รือข้อบังคับกำ นดไ ้ โดยจะต้องมี ลักเกณฑ์ที่กำ นด ิธีดำเนินกำรเพ่ื อ
ลงโท รือ ิธีกำรบังคับโท ท่ีชัดเจน เมื่อไม่มี ลักเกณฑ์เพ่ือกำ นด ิธีดำเนินกำรเพ่ือลงโท รือ ิธีกำร
บังคบั โท ใ เ้ ป็นไปตำม ถำนโท ทกี่ ำ นดไ ้ในกฎ มำย กำรดำเนนิ กำรทำง ินัยและกำรลงโท ทำง ินัย
ย่อมไม่อำจดำเนินกำรต่อไปได้ เมื่อตำแ น่งบุคลำกรทำงกำร ึก ำอื่น ตำมม ำตรำ 38 ค. (2)
แ ่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรครูและบุคลำกรทำงกำร ึก ำ พ. . 2547 ไม่มีขั้นเงินเดือน
กำรจะใช้ ิธีดำเนินกำรเพ่ือลงโท รือ ิธีกำรบังคับโท ด้ ยกำรลดขั้นเงินเดือน จึงไม่อำจกระทำได้
จงึ เ ็นค รท่ีจะพิจำรณำทบท นกำรใช้ดุลพินจิ ในกำรลงโท นำย . ใ ม่ตำม ถำนโท ทีม่ ี ิธีดำเนินกำร
เพ่ือลงโท รือ ธิ ีกำรบังคับโท ท่ีชัดเจนตำมที่มีกฎ มำย กฎ ระเบียบ รอื ข้อบังคับกำ นดไ ้ และตำม
ค ำมเ มำะ มแก่ค ำมผดิ ด้ ย โดยเม่อื เทยี บเคียงจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ใ ้เปลย่ี นแปลงกำรลงโท นำย .
จำกโท ลดขั้นเงินเดือน 1 ข้ันเป็นโท ตัดเงินเดือน 5 % เป็นเ ลำ 3 เดือน ซ่ึงใกล้เคียงกับโท ลดข้ัน
เงินเดือน 1 ขน้ั และมี ิธีดำเนินกำรเพื่อลงโท รอื ธิ กี ำรบังคับโท ชัดเจนตำมทมี่ ีกฎ มำย กฎ ระเบยี บ
รอื ขอ้ บงั คับ กำ นดไ ้ ทั้งยงั เปน็ คุณกับนำย . ด้ ย

กรณีท่ี ๑5 ำลปกครอง ูง ดุ ินจิ ฉยั ำ่ กำรดำเนินกำรตำมพระรำชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญ
ำ่ ด้ ยกำรป้องกันและปรำบปรำมกำรทจุ ริต พ. . 2542 มำตรำ 91 มำตรำ 92 และมำตรำ 93 ไมไ่ ด้มี
ผลเป็นกำรยกเลิก รือยกเ ้นผลบังคับของ ลักกฎ มำยทั่ ไปที่ ้ำมมิใ ้ลงโท บุคคลใดบุคคล นึ่ง
มำกก ่ำ น่ึงครั้ง ำ รับค ำมผิดท่ีบุคคลน้ันได้กระทำเพียงครั้งเดีย และมำตรำ 29 รรค น่ึง ของ
รัฐธรรมนูญแ ่งรำชอำณำจักรไทย พุทธ ักรำช 2550 ท่ี ้ำมมิใ ้จำกัด ิทธิเ รีภำพของบุคคลเกิน
ค ำมจำเปน็ แกก่ ำรรัก ำไ ้ซึ่งประโยชน์ ำธำรณะท่กี ฎ มำยฉบับทใี่ ้อำนำจจำกดั ิทธิ รือเ รีภำพน้นั ๆ
มุ่ง มำยจะใ ้ค ำมคุ้มครองแต่อย่ำงใด ผู้ถูกฟ้องคดีจึงปฏิบัติตำมบทบัญญัติแ ่งกฎ มำยน้ันได้
โดยดำเนินกำรเพิกถอนคำ ั่งลงโท โดยใ ้มีผลย้อน ลังไปถึง ันออกคำ ั่งตำม ลักเกณฑ์เก่ีย กับ
กำรเพิกถอนคำ ั่งทำงปกครองโดยเจ้ำ น้ำที่ รือผู้บังคับบัญชำ ของเจ้ำ น้ำที่ผู้ออกคำ ั่งทำงปกครอง
ในพระรำชบัญญัติ ิธีปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง พ. . 2539 เ ียก่อน (คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุดที่
7/2557)

110

แน ทางการลงโท ทาง นิ ัยตามมติคณะรัฐมนตรี
ในเร่ืองของกำรปฏิบัติใ ้เป็นไปตำมมติคณะรัฐมนตรีน้ัน ำลปกครอง ูง ุดได้มีคำพิพำก ำ ่ำ

เมื่อคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นองค์กร ูง ุดที่มีอำนำจ น้ำที่ในกำรบริ ำรรำชกำรแผ่นดินตำมบทบัญญัติ
แ ่งรัฐธรรมนูญ น่ ยงำนทำงปกครองก็ต้องปฏิบัติตำมนโยบำยของคณะรัฐมนตรี กำรกำ นด
ลักเกณฑ์เร่ืองใดท่ีไม่เป็นไปตำมมติคณะรัฐมนตรีย่อมถือ ่ำเป็นกำรกระทำท่ีไม่ชอบด้ ยกฎ มำย
(คำพิพำก ำ ำลปกครอง ูง ุด ที่ อ.89/2549)

เร่ืองกำรเ พ ุรำ มติคณะรัฐมนตรีตำม นงั ือกรมเลขำธิกำรคณะรฐั มนตรี ท่ี น . 208/2496
ลง ันท่ี 3 กันยำยน 2496 ได้ ำงแน ทำงกำรลงโท ไ ้ ่ำ ข้ำรำชกำรผู้ใดเ พ ุรำในกรณีดังต่อไปนี้
อำจเข้ำลัก ณะเป็นค ำมผิดฐำนประพฤติชั่ อย่ำงร้ำยแรงได้ คือ เ พ ุรำในขณะปฏิบัติ น้ำท่ีรำชกำร
เมำ ุรำเ ียรำชกำร เมำ ุรำในที่ชุมชนจนเกิดเรื่องเ ีย ำย รือเ ่ือมเ ียเกียรติ ักด์ิของตำแ น่ง น้ำที่
รำชกำรเก่ีย กับมติคณะรัฐมนตรีดังกล่ำ นี้ ได้มีแน ทำงกำรพิจำรณำของ ก.พ. ตำม นัง ือ ำนักงำน
ก.พ. ที่ นร 0709.2/ล 47 ลง ันที่ 19 กุมภำพันธ์ 2536 ใ ้ ำงแน ทำง ำ่ กรณีดงั กล่ำ ค รพิจำรณำ
รำยละเอยี ดข้อเท็จจริงและพฤติกำรณ์ ค ำมรำ้ ยแรงแ ่งกรณีเปน็ เรือ่ ง ๆ ไป

เร่ืองกำรเลน่ กำรพนนั ก.ค. . มีมติใ ้ก ดขันในกำรปฏิบตั ิตำมมติคณะรัฐมนตรตี ำม นัง อื ำนัก
เลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี ที่ น . 208/ 2496 ลง ันที่ 3 กันยำยน 2496 แจ้งตำม นัง ือ ำนักงำน
ก.ค. . ที่ ธ 0206.4/ 7 ลง ันท่ี 27 ตุลำคม 2550 ได้ซักซ้อมค ำมเข้ำใจเกี่ย กับกำรลงโท
ข้ำรำชกำรครูและบุคลำกรทำงกำร ึก ำเล่นกำรพนนั ถือเป็นค ำมผิด ินัยฐำนประพฤติช่ั อย่ำงรำ้ ยแรง ไ ้ ำ่

(1) กำรพนันท่ีกฎ มำย ้ำมขำดถ้ำข้ำรำชกำรครูผู้ใดเล่นกำรพนันค รลงโท ปลดออก รือไล่
ออกจำกรำชกำร

(2) กำรพนันประเภททีก่ ฎ มำยบญั ญัติ ำ่ จะเล่นได้ต่อเมอ่ื ได้รบั อนุญำตจำกทำงกำร
- กรณีเล่นกำรพนันโดยไม่ได้รับอนุญำต ถ้ำผู้เล่นเป็นเจ้ำพนักงำนซึ่งมี น้ำที่ปรำบปรำมโดยตรง
รือเป็นครู รือเป็นเจ้ำ น้ำที่เกี่ย กับกำร ัฒนธรรม รือเจ้ำพนักงำนอ่ืนใด ซึ่งมีข้อ ้ำมของกระทร ง
ทบ ง กรม ำงไ เ้ ปน็ พิเ อำจพิจำรณำลงโท ตำมเกณฑใ์ นข้อ 1
- กรณีเล่นกำรพนันโดยได้รับอนุญำตแล้ ถ้ำผู้เล่นเป็นเจ้ำพนักงำนซ่ึงมี น้ำที่ปรำบปรำม
โดยตรง รือเป็นครู รือเป็นเจ้ำ น้ำท่ีเกี่ย กับกำร ัฒนธรรม รือเจ้ำพนักงำนอื่นใด ซึ่งมีข้อ ้ำมของ
กระทร ง ทบ ง กรม ำงไ ้เป็นพิเ อำจพจิ ำรณำลงโท ตำมเกณฑ์ในข้อ 1 ก็ได้
เร่ืองกำรเบิกเงินค่ำพำ นะเดินทำง รือเบี้ยเลี้ยง รอื เงนิ อื่นในทำนองเดีย กันเป็นเท็จ ก.พ. ได้มี
มติตำม นัง ือ ำนักงำน ก.พ. ที่ ร 0905/ 6 ลง ันที่ 28 พฤ ภำคม 2511 และ นัง ือ ำนักงำน
ก.พ. ที่ นร 0709.2/ 8 ลง ันที่ 26 กรกฎำคม 2536 ได้ ำงแน ทำงกำรลงโท ไ ้ ่ำ กำรกระทำ
ในลัก ณะดังกล่ำ เป็นค ำมผิดฐำนประพฤติช่ั อย่ำงร้ำยแรง โดยใ ้พิจำรณำรำยละเอียดพฤติกำรณ์
แ ่งกำรกระทำผิดประกอบด้ ย

111

เรื่องกำรเรียกเงินจำกผู้ มัคร อบ ก.พ. ได้มีมติตำม นัง ือ ำนักงำน ก.พ. ท่ี ร 1006/ 15
ลง ันที่ 19 ธัน ำคม 2516 ได้ ำงแน ทำงกำรลงโท กรณีข้ำรำชกำรเรียกและรับเงินจำกผู้ มัคร
อบแข่งขัน รือ อบคัดเลือก โดยอ้ำง ่ำจะช่ ยเ ลือใ ้ อบได้ พฤติกำรณ์เป็นค ำมผิด ินัยฐำน
ประพฤติชั่ อย่ำงร้ำยแรง ค รลงโท ถำน นักระดับเดีย กับค ำมผิดฐำนทุจริตต่อ น้ำที่รำชกำร
จะปรำนลี ด ย่อนโท ได้ กเ็ พียงปลดออก จำกรำชกำรเท่ำน้นั

กรณี ึก ำ ำลปกครอง ูง ุด ินิจฉัย ่ำ กำรท่ีผู้ฟ้องคดีรับรำชกำรมำเป็นเ ลำนำน ย่อมรู้ดี ่ำ
กำรเรียกและรับเงินจำกผู้ที่ประ งค์จะเข้ำรับรำชกำรเพ่ือเป็นค่ำ ิ่งเต้นใ ้ได้รับรำชกำรเป็นเรื่องท่ี
ข้ำรำชกำรที่ดีไม่ค รปฏิบัติ พฤติกำรณ์จึงถือเป็นกำรแ ง ำประโยชน์ที่มิค รได้โดยชอบด้ ยกฎ มำย
และทำใ ้เ ื่อมเ ีย ช่ือเ ียงและเกียรติ ักด์ิของตำแ น่ง น้ำท่ีรำชกำรของตนทำใ ้เ ีย ำยแก่ช่ือเ ียง
ของรำชกำร ซ่ึงแม้ผู้ฟ้องคดีจะได้นำเงินมำคืนใ ้แก่ผู้ร้องเรียนแล้ ก็ตำมก็ไม่อำจลบล้ำงค ำมผิดท่ีตนได้
กระทำ ำเร็จไปแล้ กำรรับรำชกำรมำนำน มีค ำมดีค ำมชอบ และไม่เคยกระทำผิด ินัยมำก่อน ก็ไม่
อำจใช้เป็นเ ตุปลดออกจำกรำชกำรได้เช่นกัน อีกท้ังได้มีมติ ก.พ. ตำม นัง ือเ ียน ลง ันท่ี 28
กุมภำพันธ์ 2538 กรณีกำรลงโท ข้ำรำชกำรทเี่ รยี กร้องเงิน จำกรำ ฎรเพื่อฝำกเขำ้ ทำงำนใน น่ ยงำนท่ี
ตนไม่มี นำ้ ทเ่ี ก่ยี ข้อง ำ่ เป็นค ำมผดิ ินัยอย่ำงร้ำยแรง ฐำนประพฤติช่ั อย่ำงรำ้ ยแรง และค ำมร้ำยแรง
แ ่งกรณีอยู่ในระดับเดีย กันกับกรณีค ำมผิดฐำนทุจริตต่อ น้ำที่รำชกำร โดยใ ้ลงโท ไล่ออกจำก
รำชกำรและเ ตุอันค รปรำนีใด ๆ ไม่เปน็ เ ตุลด ย่อนโท ลงเปน็ ปลดออกจำกรำชกำร (คำพิพำก ำ ำล
ปกครอง ูง ดุ ที่ อ. 117/2558)

เรื่องกำรละทิ้ง น้ำท่ีรำชกำร มติคณะรัฐมนตรีตำม นัง ือ ำนักเลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี ที่ นร
0205/ 234 ลง ันท่ี 24 ธัน ำคม 2536 ได้ ำงแน ทำงกำรลงโท ข้ำรำชกำรท่ีละท้ิง น้ำท่ีรำชกำร
ติดต่อในครำ เดีย กันเป็นเ ลำเกินก ่ำ 15 ัน โดยไม่มีเ ตุผลอัน มค ร และไม่กลับมำปฏิบัติรำชกำร
อีกเลย ่ำเป็นค ำมผิด ินัยอย่ำงร้ำยแรง ค รลงโท ไล่ออกจำกรำชกำร กำรมีเ ตุอันค รปรำนีอ่ืนใด
ไมเ่ ปน็ เ ตลุ ด ยอ่ นโท ลงเปน็ ปลดออกจำกรำชกำร

เร่ืองกำรปลอมแปลงลำยมือชื่อผู้อื่น มติคณะรัฐมนตรีตำม นัง ือ ำนักเลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี
ท่ี นร 0505/ 197 ลง ันท่ี 17 พฤ จิกำยน 2548 เร่ือง กำรปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเร่ือง
กำรพิจำรณำ กำรกระทำผดิ ินยั ของขำ้ รำชกำร ได้ ำงแน ทำงกำรลงโท ข้ำรำชกำรที่ปลอมแปลงลำยมือ
ชื่อผู้อื่นเพื่อไป ำประโยชน์ โดยใ ้ถือ ่ำเป็นค ำมผิด ินัยอย่ำงร้ำยแรง และลงโท อย่ำงน้อยปลดออก
จำกรำชกำร

112

มติ ก.ค. . ทีเ่ ก่ีย ข้องการดาเนินการทาง ินยั การอุทธรณ์
และการรอ้ งทุกขข์ องขา้ ราชครู และบคุ ลากรทางการ ึก า

1๘1๘3

มติ ก.ค. .
โดย อ.ก.ค. . ิ ามัญเกี่ย กับการรอ้ งทกุ ข์ และการร้องเรียนขอค ามเปน็ ธรรม

เกยี่ กบั การบริ ารงานบคุ คลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ กึ า
ในครา ประชมุ ครงั้ ที่ 3/2555 เมอ่ื ันท่ี 27 มีนาคม 2555

( นัง ือ านักงาน ก.ค. . ท่ี ธ 0206.5/ 6 ลง ันที่ 29 เม ายน 2554 เร่ือง ลักเกณฑ์
และ ิธีการเกี่ย กับการบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า ตาแ น่ง
บุคลากรทางการ ึก าอื่นตามมาตรา 38 ค. (2), นัง ือ านักงาน ก.พ. ท่ี นร 1008/ 46 ลง ันที่
30 กันยายน 2553 เร่ือง การดาเนินการกรณี ก.พ.ค. มีคา ินิจฉัย รือ ก.พ. มีมติใ ้ยกเลิกคา ่ัง
แตง่ ตัง้ ข้าราชการพลเรือน ามญั )

-----------------------------------------------------
การท่ีผู้ร้องทุกข์ซึ่งแต่เดิมดํารงตําแ น่งบุคลากร 7 ได้รับแต่งตั้งใ ้ดํารงตําแ น่ง
บุคลากร 8 โดยคํา ั่งท่ีไม่ชอบด้ ยกฎ มาย ย่อมไม่ ามารถอ้าง ิทธิประโยชน์ใด ๆ จากคํา ั่งดังกล่า ได้
เม่ือต่อมา ํานักงาน ก.ค. . มีมติใ ้ ํานักงานเขตพื้นที่การ ึก าจัดบุคลากรลงกรอบอัตรากําลังใ ม่
ทง้ั มด จึงเป็นกรณีท่ีไม่อาจแต่งต้ังใ ้ผู้ร้องทุกข์กลับไปดํารงตําแ น่งเดิม เม่ือผู้ร้องทุกข์ได้รับแต่งตั้งใ ม่
ใ ้ดํารงตําแ น่งบุคลากร 7 ซึ่งเป็นตําแ น่งอื่นที่อยู่ในประเภทและระดับเทียบเท่ากับตําแ น่งเดิม
กรณีจงึ เป็นการชอบด้ ย ลกั กฎ มายและแน ปฏิบัติท่ีเกี่ย ข้องแล้ อีกท้ังตั้งแต่ ันที่ 5 มีนาคม 2552
ตําแ น่งบุคลากร 6 / 7 รือตําแ น่งบุคลากร 6 ก็ได้ปรับเป็นตําแ น่งระดับชํานาญการท้ัง มด
ระดับตําแ น่งของผู้ร้องทุกข์จึงไม่ได้ต่ําก ่าบุคคลอื่นท่ีได้รับแต่งต้ังใ ม่แต่อย่างใด ่ นการจัดใ ้ลงตําแ น่ง
กอ่ น ลงั นน้ั ไม่ปรากฏ ่ามีกฎ มายระเบียบ างแน ปฏิบัติไ ้ จึงตกเป็นอํานาจดุลพินิจของผู้บังคับบัญชา
และ อ.ก.ค. . เขตพ้นื ท่กี าร ึก าที่จะพิจารณา

ข้อเทจ็ จรงิ
รับฟังได้ ่า นาง . ตําแ น่งนักทรัพยากรบุคคล ระดับชํานาญการ เดิมดํารงตําแ น่ง

บุคลากร 7 ตําแ น่งเลขที่ 110 ต่อมา ํานักงานเขตพื้นท่ีการ ึก าจัดเข้ากรอบใ ้ลงตําแ น่ง
เลขท่ี อ 25 (7 / 8 ) และนาง . ได้ ่งผลงานเล่ือนเป็นบุคลากร 8 แต่ภาย ลัง ํานักงาน ก.ค. .
ตร จ อบพบ ่าการจัดลงกรอบไม่ถูกต้องจึงมีคํา ่ังใ ้ ํานักงานเขตพื้นท่ีการ ึก าจัดบุคลากรลงกรอบ
อัตรากําลังตามที่ ก.ค. . กํา นดใ ม่ท้ัง มด ซึ่งนาง . ได้รับจัดเข้ากรอบในตําแ น่งเลขท่ี อ 40
ตาํ แ น่งเจา้ พนกั งานธุรการ 2 – 4/5 รือเจ้า น้าท่ีธุรการ 1 – 3/4/5 โดย ํานักงาน ก.ค. . ได้อนุมัติ
ตาํ แ น่งเลขท่ี อ 40 เป็นตาํ แ น่งบุคลากร 7 เทยี บเทา่ ตาํ แ นง่ เดมิ ของนาง .

ลังจากน้ันมีตําแ น่ง ่าง 4 ตาํ แ นง่ ได้แก่ ตาํ แ น่งเลขท่ี อ 26 ตําแ น่งบุคลากร 7 /8
ตําแ น่งเลขที่ อ 30 ตําแ น่งบุคลากร 6 /7 ตําแ น่งเลขท่ี อ 33 ตําแ น่งบุคลากร 3 – 5/6
และตําแ น่งเลขที่ อ 35 ตําแ น่งนักทรัพยากรบุคคล 6 /7 แต่นาง . ไม่ได้รับการแต่งต้ังใ ้ดํารงตําแ น่ง

1๘1๙4

ดังกล่า จนกระท่ังมีตําแ น่ง อ 36 ตําแ น่งนักทรัพยากรบุคคล 3 – 5/6 เกิดข้ึนภาย ลัง นาง .
จึงไดร้ บั การแต่งต้ังใ ด้ าํ รงตําแ น่ง อ 36 น้ี

นาง . เ ็น ่าการแต่งตั้งย้ายบุคลากรดังกล่า ไม่ชอบด้ ยกฎ มาย กฎ และระเบียบ
ท่ีเกี่ย ข้อง ร มถึงตนได้รับค ามไม่เป็นธรรมเนื่องจากถูกปรับลดตําแ น่งจากบุคลากร 8 เป็น 7
จึงรอ้ งทุกข์ตอ่ ก.ค. .

อ.ก.ค. . ิ ามัญเก่ีย กับการร้องทุกข์ และการร้องเรียนขอค ามเป็นธรรมเก่ีย กับ
การบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า (ท่ีทาการแทน ก.ค. .) พิจารณา
แล้ เ น็ า่ ในกรณีดงั กล่า นงั ือ าํ นกั งาน ก.ค. . ที่ ธ 0206.5/ 6 ลง ันที่ 29 เม ายน 2554
เร่ือง ลักเกณฑ์และ ิธีการเก่ีย กับการบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า
ตําแ น่งบุคลากรทางการ ึก าอ่ืน ตามมาตรา 38 ค. (2) าง ลักใ ้นํา นัง ือ ํานักงาน ก.พ.
ท่ี นร 1008/ 46 ลง ันที่ 30 กันยายน 2553 เรื่อง การดําเนินการกรณี ก.พ.ค. มีคํา ินิจฉัย รือ ก.พ.
มีมติใ ้ยกเลิกคํา ่ังแต่งต้ังข้าราชการพลเรือน ามัญ มาใช้บังคับกับกรณีที่ ก.ค. . มีมติใ ้ยกเลิกคํา ่ัง
แต่งต้งั ขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า ตําแ นง่ บุคลากรทางการ ึก าอื่นตามมาตรา 38 ค. (2)
โดยอนุโลม ซ่ึง นัง ือ ํานักงาน ก.พ. ดังกล่า กํา นด ่า ในกรณีที่ไม่ ามารถแต่งตั้งใ ้ข้าราชการผู้นั้น
กลับไปดํารงตําแ น่งเดิมได้ ถ้ามีตําแ น่งอ่ืนในประเภทและระดับเดีย กันซึ่งข้าราชการผู้นั้นมีคุณ มบัติ
ตรงตามคุณ มบัติเฉพาะ ํา รับตําแ น่ง ่างอยู่ ใ ้แต่งตั้งข้าราชการผู้นั้นไปดํารงตําแ น่งที่ ่างดังกล่า
ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏ ่า ตําแ น่งเลขท่ี อ 40 ที่ผู้ร้องทุกข์ได้รับเป็นตําแ น่งบุคลากร 7
เทียบเท่าตําแ น่งเดิม ก่อนจะย้ายมาลงตําแ น่งเลขท่ี อ 36 ตําแ น่งนักทรัพยากรบุคคล 3 – 5/6
จึงเป็นการชอบด้ ยกฎ มายแล้ ท่ีผู้ร้องทุกข์เ ็น ่าตนถูกปรับลดจากตําแ น่งบุคลากร 8 เป็น 7 นั้น
เปน็ การเขา้ ใจท่ีไม่ถูกตอ้ ง เพราะตําแ น่งบุคลากร 8 เป็นการแต่งตั้งโดยมิชอบ ไม่ได้มีผลตามกฎ มาย
แต่อย่างใด ไม่อาจอ้าง ิทธิประโยชน์ใด ๆ ได้ และตั้งแต่ ันที่ 5 มีนาคม 2552 ตําแ น่งบุคลากร 6 /7
รือตําแ น่งบุคลากร 6 ก็ได้ปรับเป็นตําแ น่งระดับชํานาญการทั้ง มดแล้ ระดับตําแ น่งของผู้ร้องทุกข์
จึงไม่ไดม้ ีระดับตําแ น่งต่าํ ก า่ บคุ คลอ่นื ๆ ในตาํ แ น่งเลขท่ี อ 26, อ 30, อ 33 และ อ 35 แต่อย่างใด
่ นการจัดใ ้ลงตําแ น่งก่อน ลังนั้น ไม่ปรากฏ ่ามีกฎ มาย รือระเบียบ างแน ปฏิบัติไ ้ จึงเป็นดุลพินิจ
ของผบู้ ังคบั บญั ชา และ อ.ก.ค. . เขตพน้ื ที่การ กึ าท่ีจะพจิ ารณา

ก.ค. . พิจารณาแล้ เ ็น ่า คําร้องของผู้ร้องทุกข์ฟังไม่ขึ้น จึงมีมติเป็นเอกฉันท์
ใ ้ยกคํารอ้ งทุกข์

---------------------------------------------------

๙1๐15

มติ ก.ค. .
โดย อ.ก.ค. . ิ ามัญเกยี่ กับการรอ้ งทกุ ข์ และการรอ้ งเรยี นขอค ามเปน็ ธรรม

เกี่ย กับการบริ ารงานบุคคลของขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการ ึก า
ในครา ประชุมครัง้ ท่ี 1/2555 เมอื่ ันที่ 24 มกราคม 2555

( นัง ือ านักงาน ก.ค. . ท่ี ธ 0206.5/ 7 ลง ันท่ี 21 เม ายน 2552 เร่ืองการย้ายและการเลื่อน
ระดบั ตาแ น่งข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการ ึก าตาแ น่งบุคลากรทางการ ึก าอ่ืนตามมาตรา
38 ค. (2), นัง ือ านักงาน ก.ค. . ท่ี ธ 0206.3/ 16 ลง ันที่ 13 ตุลาคม 2548 เรื่อง
ลกั เกณฑ์และ ิธีการเปล่ียนตาแ นง่ ขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการ กึ า)

-----------------------------------------------------

การท่ี อ.ก.ค. . เขตพ้ืนท่ีการ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) ไม่ดําเนินการตาม ลักเกณฑ์
และ ิธกี ารยา้ ยตาม นงั ือ าํ นกั งาน ก.พ. ท่ี นร 1006/ 10 ลง ันท่ี 15 กันยายน 2548 และมีมติรับย้าย
โดย ิธีการเปลี่ยนตําแ น่งตาม นัง ือ ํานักงาน ก.ค. . ท่ี ธ 0206.3/ 16 ลง ันที่ 13 ตุลาคม 2548
โดยมิได้ขออนุมัตมิ ายงั ก.ค. . เป็นการดําเนนิ การไม่ชอบด้ ยกฎ มาย

ข้อเท็จจรงิ
รับฟังได้ ่า ํานักงานเขตพ้ืนที่การ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) ประกา รับย้าย รือรับโอน

ข้าราชการมาดํารงตําแ น่ง เลขท่ี อ 38 (นิติกรปฏิบัติการ/ชํานาญการ) ซ่ึงมีผู้ย่ืนคําร้องขอย้าย 2 ราย
คือ นาง า ช. ตําแ น่งครู โรงเรียนบ้าน . ํานักงานเขตพื้นท่ีการ ึก า ล. เขต 3 (เดิม) และนาย .
ตําแ น่งนิติกรชํานาญการ ํานักงานเขตพื้นที่การ ึก า ล. เขต 2 และ อ.ก.ค. . เขตพื้นท่ีการ ึก า ล.
เขต 1 (เดิม) ได้พิจารณารับย้ายรายนาย . ก่อน แต่ตร จคุณ มบัติแล้ เ ็น ่าดํารงตําแ น่งนิติกร
ที่ ังกัดเดิมไม่ครบ 12 เดือน ตาม ลักเกณฑ์และ ิธีการย้าย ตาม นัง ือ ํานักงาน ก.ค. .
ที่ ธ 0206.3/ 8 ลง ันท่ี 5 กรกฎาคม 2549 จึงมีมติไม่รับย้าย และมีมติใ ้รับย้ายนาง า ช.
มาลงตาํ แ นง่ นิตกิ รปฏิบัตกิ ารโดย ิธกี ารเปล่ียนตําแ น่ง ตาม นัง ือ ํานักงาน ก.ค. . ที่ ธ 0206.3/ 16
ลง ันที่ 13 ตุลาคม 2548 ซงึ่ มิไดข้ ออนุมตั มิ ายงั ก.ค. . ซ่ึงมปี ระเดน็ พจิ ารณาดังนี้

1. การรับย้ายโดยเปล่ียนตําแ น่งรายนาง า ช. จากตําแ น่งครู มาลงตําแ น่งนิติกร
ปฏิบัตกิ าร โดยมไิ ด้ขออนุมตั ิมายงั ก.ค. . นั้น พิจารณาแล้ เ น็ ่า

1.1 แม้ ลักเกณฑ์และ ิธีการเปลี่ยนตําแ น่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า
จะมิได้กํา นด ่า กรณีเปล่ียนตําแ น่งจากตําแ น่งครู ตามมาตรา 38 ก. (2) มาเป็นตําแ น่งบุคลากร
ทางการ ึก าอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2) จะต้องขออนุมัติ ก.ค. . ก่อนก็ตาม แต่ตาม ลักเกณฑ์ดังกล่า
ั ข้อ ิธีการ ข้อ 1.2 ระบุ ่า “ ิธีการเปล่ียนตําแ น่งท่ีไม่ต้องผ่านกระบ นการคัดเลือก เป็นการเข้า ู่
ตําแ น่งท่ี ก.ค. . มิได้กํา นด ลักเกณฑ์และ ิธีการคัดเลือกเข้า ู่ตําแ น่งน้ันได้ ใ ้ดําเนินการดังน้ี ...

1๙1๑6

1.2.2 ํานักงานเขตพื้นท่ีการ ึก าตั้งคณะกรรมการไม่น้อยก ่า 5 คน พิจารณากล่ันกรองและนําเ นอ
อ.ก.ค. . เขตพ้นื ท่กี าร กึ า รือ ก.ค. . แล้ แต่กรณพี จิ ารณา

1.2 กรณีนาง า ช. ตําแ น่งครู ตามมาตรา 38 ก. (2) เม่ือประ งค์ขอย้าย
โดยเปลี่ยนตําแ น่งมาดํารงตําแ น่งนิติกรปฏิบัติการ ซึ่งเป็นตําแ น่งบุคลากรทางการ ึก าอื่น
ตามมาตรา 38 ค. (2) เมื่อ อ.ก.ค. . เขตพื้นท่ีการ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) พิจารณาแล้ ํานักงานเขตพื้นที่
การ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) ต้อง ่งเรื่องไปยัง ก.ค. . เพื่อเ นอขออนุมัติ เนื่องจากระดับตําแ น่งและ
การใ ้ได้รับเงินเดือนแตกต่างกัน จึงต้องใ ้ ก.ค. . พิจารณา ่าจะแต่งตั้งใ ้ดํารงตําแ น่งประเภทใด
ระดับใด และรับเงินเดือนเท่าใดก่อน ํานักงานเขตพื้นท่ีการ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) จึงจะแต่งต้ังใ ้ดํารง
ตําแ น่งนิติกรปฏิบัติการได้ เมื่อ ํานักงานเขตพื้นที่การ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) ดําเนินการโดยมิได้
ขออนมุ ัติ ก.ค. . จึงเปน็ การดาํ เนนิ การทไ่ี ม่ชอบ

2. กรณไี ม่รับยา้ ยนาย . โดยอา ยั เ ตุดาํ รงตาํ แ น่งนติ กิ รที่ ังกัดเดิมไมค่ รบ 12 เดือน
ตาม ลกั เกณฑแ์ ละ ธิ กี ารย้ายตาม นัง อื าํ นกั งาน ก.ค. . ที่ ธ 0206.3/ 8 ลง ันที่ 5 กรกฎาคม 2549
พิจารณาแล้ เ น็ ่า

2.1 กรณีการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า ตําแ น่งบุคลากร
ทางการ ึก าอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2) ก.ค. . มีมติกํา นดแน ทางการดําเนินการ แจ้งตาม นัง ือ
ํานกั งาน ก.ค. . ด่ นที่ ุด ท่ี ธ 0206.5/ 7 ลง ันท่ี 21 เม ายน 2552 เร่ืองการย้ายและการเล่ือน
ระดบั ตําแ นง่ ข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการ ึก า ตําแ นง่ บุคลากรทางการ กึ าอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2)
โดยกํา นดในข้อ ข. การย้าย ่า “2. กรณีการย้ายในตําแ น่ง ิชาการ... 2.2 การย้ายไปแต่งต้ังใ ้ดํารง
ตาํ แ น่งระดบั ชํานาญการและระดับชาํ นาญการพเิ ใ ใ้ ช้ ลักเกณฑ์และ ิธีการตามท่ีกํา นดใน นัง ือ
ํานกั งาน ก.พ. ท่ี นร 1006/ 10 ลง ันท่ี 15 กันยายน 2548”

2.2 ดังนั้น การพิจารณารับย้ายนาย . ตําแ น่งนิติกรชํานาญการ ํานักงานเขตพ้ืนที่
การ ึก า ล. เขต 2 (เดิม) มาดํารงตําแ น่งนิติกรชํานาญการ ํานักงานเขตพื้นท่ีการ ึก า ล. เขต 1 (เดิม)
ตอ้ งดําเนินการตาม นัง อื าํ นักงาน ก.ค. . ด่ นที่ ดุ ที่ ธ 0206.5/ 7 ลง ันที่ 21 เม ายน 2552
ซึ่งได้กาํ นดใ ้นํา ลักเกณฑ์และ ิธีการย้ายตาม นัง ือ ํานักงาน ก.พ. ที่ นร 1006/ 10 ลง ันท่ี
15 กนั ยายน 2548 มาเป็นเกณฑใ์ นการพิจารณา าใชพ่ จิ ารณารบั ยา้ ยโดยอา ัย ลักเกณฑ์ตาม นัง ือ
าํ นกั งาน ก.ค. . ท่ี ธ 0206.3/ 8 ลง ันที่ 5 กรกฎาคม 2549 แต่อย่างใด

อ.ก.ค. . ิ ามัญเกี่ย กับการร้องทุกข์ และการร้องเรียนขอค ามเป็นธรรมเกี่ย กับ
การบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า (ท่ีทาการแทน ก.ค. .) พิจารณาแล้
เ ็น ่า การที่ อ.ก.ค. . เขตพื้นที่การ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) พิจารณามีมติไม่รับย้ายนาย . เน่ืองจาก
ดํารงตําแ น่งนิติกรที่ ังกัดเดิมไม่ครบ 12 เดือน ตาม ลักเกณฑ์และ ิธีการย้ายตาม นัง ือ ํานักงาน ก.ค. .
ที่ ธ 0206.3/ 8 ลง ันที่ 5 กรกฎาคม 2549 เป็นการดําเนินการท่ีไม่ชอบด้ ยกฎ มาย และการที่มี
มติใ ้รับย้ายนาง า ช. มาดํารงตําแ น่งนิติกรปฏิบัติการ โดย ิธีการเปล่ียนตําแ น่งตาม นัง ือ

๙11๒6137

าํ นักงาน ก.ค. . ที่ ธ 0206.3/ 16 ลง ันที่ 13 ตุลาคม 2548 โดยมิได้ขออนุมัติมายัง ก.ค. .
เปน็ การดําเนนิ การท่ไี มช่ อบด้ ยกฎ มายเชน่ กัน

ก.ค. . พิจารณาแล้ เ ็น ่า คําร้องทุกข์ของผู้ร้องทุกข์ฟังขึ้น จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ใ ้
อ.ก.ค. . เขตพื้นท่ีการ ึก า ล. เขต 1 (เดิม) ทบท นการพิจารณารับย้ายบุคลากรลงตําแ น่งเลขท่ี
อ 38 (นิตกิ รปฏบิ ตั ิการ/ชาํ นาญการ) เ ยี ใ มใ่ ้ถูกต้อง

-----------------------------------------------------

11๙8๓

มติ ก.ค. .
โดย อ.ก.ค. . ิ ามัญเก่ยี กับการร้องทุกข์ และการร้องเรยี นขอค ามเป็นธรรม

เกย่ี กบั การบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า
ในครา ประชุมครั้งท่ี 4/2558 เมื่อ นั ที่ 27 เม ายน 2558

(มาตรา 125 แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า พ. . 2547,
มาตรา 42 รรค นึ่ง แ ง่ พระราชบัญญตั จิ ัดต้ัง าลปกครองและ ิธพี ิจารณาคดีปกครอง พ. . 2542)

-----------------------------------------------------
การร้องทุกข์มติ ก.ค. . ต่อ ก.ค. . เป็นกรณีท่ีไม่มีกฎ มายกํา นดข้ันตอนการอุทธรณ์
รือการร้องทุกข์ไ ้ จึงไม่อาจรับคําร้องทุกข์ไ ้พิจารณา ินิจฉัย โดยผู้ร้องทุกข์ ามารถนําคดีไปฟูองต่อ
าลปกครองไดภ้ ายใน 90 ันนับแต่ ันท่ีได้รับแจ้ง ตามมาตรา 42 รรค นึ่ง แ ่งพระราชบัญญัติจัดต้ัง
าลปกครองและ ิธีพจิ ารณาคดีปกครอง พ. . 2542
ข้อเท็จจรงิ
รับฟังได้ ่า นาย ร. ผู้ร้องทุกข์ ตําแ น่งรองผู้อําน ยการ ํานักงานเขตพ้ืนท่ีการ ึก า
มัธยม ึก า มัครเข้ารับการคัดเลือกเพ่ือบรรจุและแต่งตั้งใ ้ดํารงตําแ น่งผู้อําน ยการ ํานักงานเขตพื้นท่ี
การ ึก า ังกัด ํานักงานคณะกรรมการการ ึก าข้ันพ้ืนฐาน ต่อมาเม่ือผู้ร้องทุกข์ไม่ได้รับการคัดเลือก
และเ ็น ่าตนไม่ไดร้ ับค ามเปน็ ธรรม จึงรอ้ งทุกข์ต่อ ก.ค. . ใ ้เพิกถอนมติของ ก.ค. . ท่ีเ ็นชอบการดําเนินการ
ตามกระบ นการ รร าของคณะกรรมการการ ึก าขน้ั พน้ื ฐาน
อ.ก.ค. . ิ ามัญเก่ีย กับการร้องทุกข์ และการร้องเรียนขอค ามเป็นธรรมเกี่ย กับ
การบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า (ที่ทาการแทน ก.ค. .) พิจารณาแล้
เ ็น า่ การร้องทุกข์ของผู้ร้องทุกข์มิใช่เป็นกรณีท่ีผู้ร้องทุกข์เ ็น ่าตนไม่ได้รับค ามเป็นธรรม รือมีค ามคับข้องใจ
เนื่องจากการกระทําของผู้บังคับบัญชา รือการแต่งต้ังคณะกรรมการ อบ นทาง ินัย และมิใช่การร้องทุกข์
มติ อ.ก.ค. . เขตพื้นท่ีการ ึก า รือมติ อ.ก.ค. . ที่ ก.ค. . ต้ัง ตามมาตรา 123 รรค น่ึง และ รรค อง
แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า พ. . 2547 อีกท้ังมิใช่กรณีท่ีเ ตุ
แ ่งการร้องทุกข์เกิดจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เลขาธิการ คํา ่ังของผู้บังคับบัญชาซึ่ง ั่งการตามม ติ
อ.ก.ค. . เขตพน้ื ท่กี าร ึก า รือเกดิ จากการถูก งั่ พกั ราชการ ตามมาตรา 103 ตามข้อ 7 (1) ของ กฎ ก.ค. .
่าด้ ยการร้องทุกข์และการพิจารณาร้องทุกข์ พ. . 2551 แต่เป็นการร้องทุกข์มติของ ก.ค. . กรณีจึง
เป็นเรอื่ งที่ผรู้ ้องทุกข์มี ิทธิฟูองคดีต่อ าลปกครอง ตาม ลักในมาตรา 125 แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า พ. . 2547 และมาตรา 42 รรค นึ่ง แ ่งพระราชบัญญัติ
จดั ตง้ั าลปกครองและ ิธพี ิจารณาคดีปกครอง พ. . 2542
ก.ค. . พิจารณาแล้ เ ็น ่า การท่ีผู้ร้องทุกข์ยื่น นัง ือร้องทุกข์มติ ก.ค. . ต่อ ก.ค. .
เป็นกรณีท่ีไม่มีกฎ มายกํา นดข้ันตอนการอุทธรณ์ รือการร้องทุกข์ ผู้ร้องทุกข์ ามารถนําคดีไปฟูองต่อ
าลปกครองได้โดยตรง ตามมาตรา 42 รรค น่ึง แ ่งพระราชบัญญัติจัดต้ัง าลปกครองและ ิธีพิจารณา
คดีปกครอง พ. . 2542 ภายใน 90 ันนับแต่ ันที่ได้รับแจ้ง จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคําร้องทุกข์
ของผ้รู อ้ งทกุ ขไ์ พ้ จิ ารณา ินจิ ฉยั

-----------------------------------------------------

๙1๔19

มติ ก.ค. .
โดย อ.ก.ค. . ิ ามัญเกีย่ กับการรอ้ งทกุ ข์ และการรอ้ งเรียนขอค ามเป็นธรรม

เกี่ย กับการบริ ารงานบคุ คลของข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการ ึก า
ในครา ประชุมครง้ั ที่ 3/2558 เมื่อ ันที่ 23 มีนาคม 2558

(ขอ้ 49 แ ่งพระราชบญั ญตั ิ ิธปี ฏิบัตริ าชการทางปกครอง พ. . 2539)
--------------------------------------------------

คํา ่ังเลื่อนขั้นเงินเดือนท่ีเป็นเ ตุแ ่งทุกข์ของผู้ร้องทุกข์ได้ถูกเพิกถอนและอยู่ระ ่าง
ดําเนินการใ ม่ใ ้ถูกต้องตาม ลักเกณฑ์และ ิธีการที่ ก.ค. . กํา นด จึงถือได้ ่าขณะมี นัง ือร้องทุกข์
การเลือ่ นขัน้ เงินเดือนต่อ ก.ค. . น้นั ยังไม่มีทุกข์เกิดขึ้นกับผู้ร้องทุกข์ท้ัง 2 ราย เ ็นค รไม่รับคําร้องทุกข์
ของผู้รอ้ งทกุ ขท์ ้ัง 2 รายไ ้พิจารณา
ข้อเท็จจรงิ

รับฟังได้ ่า นาย ก. และนาง า ข. ตําแ น่งครู โรงเรียน ญ. ังกัด ํานักงานเขตพ้ืนท่ี
การ ึก ามัธยม ึก าร้องทุกข์ ่าไม่ได้รับค ามเป็นธรรมการเลื่อนขั้นเงินเดือนคร้ังท่ี 2 ของโรงเรียน ญ.
โดยในการเล่ือนข้ันเงินเดือนครั้งท่ี 2 ผู้ร้องทุกข์ทั้ง 2 ราย ได้รับการเล่ือนข้ันเงินเดือน คนละ 0.5 ข้ัน
จึงได้ร้องทุกข์การเล่ือนขั้นเงินเดือนดังกล่า ไปยัง อ.ก.ค. . เขตพ้ืนท่ีการ ึก ามัธยม ึก า ซึ่ง อ.ก.ค. .
เขตพื้นทีก่ าร ึก ามัธยม ึก าพิจารณาแล้ เ ็น ่า โรงเรียน ญ. ประเมินไม่ถูกต้องตาม นัง ือ ํานักงาน
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ท่ี นร 0205/ 117 ลง ันที่ 22 มิถุนายน 2540 เรื่อง ระบบเปิดในการพิจารณา
เลอ่ื นขัน้ เงนิ เดอื น จึงมมี ตใิ ้เพิกถอนคาํ ง่ั แล้ ดําเนนิ การเกีย่ กับการเลื่อนขน้ั เงินเดือนใ มใ่ ้ถูกต้อง

อ.ก.ค. . ิ ามัญเก่ีย กับการร้องทุกข์ และการร้องเรียนขอค ามเป็นธรรมเกี่ย กับ
การบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครุและบุคลากรทางการ ึก า (ท่ีทาการแทน ก.ค. .) พิจารณา
แล้ เ น็ ่า มปี ระเด็นท่ีต้องพจิ ารณา า่ อ.ก.ค. . เขตพนื้ ท่กี าร กึ ามัธยม ึก ามีอํานาจพิจารณาคําร้องทุกข์
ของผู้รอ้ งทุกขท์ งั้ 2 ราย รือไม่ และการที่ อ.ก.ค. . เขตพ้ืนท่ีการ ึก ามัธยม ึก ามีมติใ ้เพิกถอนคํา ั่ง
เล่ือนขั้นเงินเดือน คร้ังที่ 2 ของผู้ร้องทุกข์ทั้ง 2 ราย แล้ ใ ้ดําเนินการใ ม่ เป็นการดําเนินการท่ีชอบ
ด้ ยกฎ มาย รอื ไม่

พิจารณาเ ็น ่า ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า
พ. . 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมฉบับท่ี 2 (พ. . 2551) มาตรา 123 รรค องกํา นด ่า “ในกรณีท่ี
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก าผู้ใดเ ็น ่า อ.ก.ค. . เขตพ้ืนท่ีการ ึก า รือ อ.ก.ค. . ท่ี ก.ค. . ต้ัง
มมี ตไิ มถ่ กู ตอ้ ง รือไมเ่ ป็นธรรมใ ผ้ ู้น้ันมี ทิ ธริ ้องทุกข์ต่อ ก.ค. .” คํา ่ังเลื่อนขั้นเงินเดือนของโรงเรียน ญ.
ครั้งท่ี 2 ได้ ั่งตามมติ อ.ก.ค. . เขตพื้นที่การ ึก ามัธยม ึก า จึงถือได้ ่าผู้ร้องทุกข์ร้องทุกข์เพราะเ ็น ่า
อ.ก.ค. . เขตพ้ืนท่ีการ ึก ามีมติไม่ถูกต้อง รือไม่เป็นธรรม จึงต้องร้องทุกข์มายัง ก.ค. . และ ก.ค. .
เป็นผู้มีอํานาจในการพิจารณาคําร้องทุกข์นั้น อ.ก.ค. . เขตพื้นท่ีการ ึก ามัธยม ึก า จึงไม่มีอํานาจ
พิจารณาคําร้องทกุ ข์ของผูร้ ้องทุกข์ ทั้ง 2 ราย

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้อําน ยการ ํานักงานเขตพื้นที่การ ึก ามัธยม ึก าได้มีคํา ั่งเพิกถอน
การเลื่อนขนั้ เงนิ เดือน ครัง้ ที่ 2 ของผู้รอ้ งทุกขท์ ง้ั 2 ราย เพราะเ ็น ่าดําเนินการไม่ถูกต้องตาม ลักเกณฑ์
และ ิธีการท่ีกฎ มายกํา นด แล้ ใ ้ดําเนินการใ ม่ใ ้ถูกต้องตามกฎ มายต่อไป เป็นการดําเนินการตาม

120๙๕

พระราชบัญญัติ ิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ. . 2539 มาตรา 49 “เจ้า น้าที่ รือผู้บังคับบัญชา
ของเจ้า น้าท่ีอาจเพิกถอนคํา ่ังทางปกครองได้ ...” ดังนั้น การที่ผู้อําน ยการ ํานักงานเขตพ้ืนท่ี
การ ึก ามัธยม ึก ามีคํา ่ังใ ้เพิกถอนการเลื่อนขั้นเงินเดือน คร้ังที่ 2 ของผู้ร้องทุกข์ทั้ง 2 ราย แล้ ใ ้
ดําเนินการใ ม่ใ ้ถูกต้องตามกฎ มายต่อไป จึงเป็นการดําเนินการโดยชอบด้ ยกฎ มายและเป็นธรรม
กับผู้รอ้ งทุกขแ์ ล้

การที่ผู้ร้องทุกข์ทั้ง 2 รายได้ร้องทุกข์คํา ่ังเลื่อนข้ันเงินเดือนครั้งที่ 2 ซ่ึงคํา ่ังดังกล่า
ได้ถูกเพิกถอนไปแล้ และอยู่ระ ่างการดําเนินการใ ม่ใ ้ถูกต้องตาม ลักเกณฑ์และ ิธีการที่ ก.ค. .
กาํ นด จึงถอื ได้ า่ ขณะมี นัง ือรอ้ งทกุ ข์การเล่ือนข้ันเงินเดือนตอ่ ก.ค. . น้ัน ยังไม่มีทุกข์เกิดขึ้นกับผู้ร้องทุกข์
ท้ัง 2 ราย เ ็นค รไม่รบั คําร้องทกุ ข์ของผู้รอ้ งทุกขท์ ั้ง 2 รายไ ้พิจารณา

ก.ค. . พิจารณาแล้ มีมติไม่รับคาํ รอ้ งทกุ ข์ของผู้รอ้ งทุกข์ไ พ้ ิจารณา
--------------------------------------------------

12๙1๖

มติ ก.ค. .
โดย อ.ก.ค. . ิ ามัญเกี่ย กับการร้องทกุ ข์ และการร้องเรยี นขอค ามเป็นธรรม

เกย่ี กบั การบริ ารงานบุคคลของขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการ ึก า
ในครา ประชุมคร้งั ที่ 6/2558 เมื่อ นั ที่ 22 มิถนุ ายน 2558

(มาตรา 123 แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า พ. . 2547,
กฎ ก.ค. . า่ ด้ ยการรอ้ งทุกข์และการพิจารณาร้องทุกข์ พ. . 2551)

---------------------------------------------------
นาย ภ. ตาํ แ นง่ ผ้อู าํ น ยการ ถาน กึ า รอ้ งทกุ ขก์ ารยา้ ยผบู้ ริ าร ถาน ึก าต่อ ก.ค. .
ระ ่างการพิจารณาของ ก.ค. . นาย ภ. ได้นําเร่ืองการย้ายไปฟูองต่อ าลปกครอง ซ่ึง าลปกครองได้มี
คําพิพาก าก่อนที่ ก.ค. . พิจารณามีมติ โดยพิพาก าใ ้เพิกถอนคํา ่ัง ํานักงานเขตพื้นที่การ ึก า
เฉพาะ ่ นที่ใ ้ย้ายนาย ภ. ไปดํารงตําแ น่งผู้อําน ยการโรงเรียน บ. ถือได้ ่าเ ตุแ ่งทุกข์ อันเกิดจาก
คํา งั่ ดังกล่า ไดร้ ะงบั ้ินไปโดยคําพิพาก าของ าลปกครองแล้ จึงไม่มีเ ตุแ ่งการร้องทุกข์ ตามกฎ ก.ค. .
ใ ้ปฏิบัติตามคาํ พพิ าก าของ าลปกครองดงั กลา่
ขอ้ เทจ็ จรงิ
รับฟังได้ ่า นาย ภ. ได้ย่ืน นัง ือร้องทุกข์ ่าไม่ได้รับค ามเป็นธรรมจากการพิจารณาย้าย
ผบู้ ริ าร ถาน กึ า ตามคาํ ัง่ ํานักงานเขตพืน้ ท่กี าร กึ าท่ี ัง่ ยา้ ยและแต่งตั้งนาย ถ. จากตําแ น่งผู้อําน ยการ
โรงเรียน น. ไปดํารงตาํ แ นง่ ผอู้ าํ น ยการโรงเรียน บ. และตอ่ มา าํ นักงานเขตพืน้ ทก่ี าร ึก า แจง้ ่าในระ ่าง
การพิจารณาของ ก.ค. . นาย ภ. ได้นําเร่ืองดังกล่า ไปฟูองเป็นคดีต่อ าลปกครอง ซึ่ง าลปกครองได้มี
คําพิพาก าในคดีดังกล่า ก่อนท่ี ก.ค. . พิจารณามีมติโดยพิพาก าใ ้เพิกถอนคํา ่ัง ํานักงานเขตพื้นท่ี
การ ึก าเฉพาะ ่ นทีใ่ ย้ ้ายผถู้ กู ฟูองคดีท่ี 2 (นายถ.) ไปดาํ รงตาํ แ นง่ ผู้อาํ น ยการโรงเรียน บ.
นาย ภ. รอ้ งทกุ ข์ตอ่ ก.ค. . า่ ไม่ไดร้ บั ค ามเป็นธรรมจากการย้ายผู้บริ าร ถาน ึก า
อ.ก.ค. . ิ ามัญเกี่ย กับการร้องทุกข์ และการร้องเรียนขอค ามเป็นธรรมเกี่ย กับ
การบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า (ที่ทาการแทน ก.ค. .) พิจารณา
แล้ เ น็ ่า เมอื่ าลปกครองมีคําพิพาก าใ ้เพิกถอนคํา ั่ง าํ นักงานเขตพนื้ ทกี่ าร ึก าที่ ง่ั ตามมติ อ.ก.ค. .
เขตพื้นที่การ ึก าเฉพาะ ่ นท่ีใ ้ย้ายนาย ถ. ไปดํารงตําแ น่งผู้อําน ยการโรงเรียน บ. ถือได้ ่าเ ตุแ ่งทุกข์
อันเกดิ จากคาํ ่ังดังกลา่ ไดร้ ะงับ ิ้นไป โดยคําพิพาก าของ าลปกครองแล้ จึงไม่มีเ ตุแ ่งการร้องทุกข์
ตามกฎ ก.ค. . ่าด้ ยการร้องทุกข์และการพิจารณารอ้ งทุกข์ พ. . 2551 ไ ้พิจารณาอีกต่อไป
ก.ค. . พิจารณาแล้ มีมติเป็นเอกฉันท์ใ ้ปฏิบัติตามคําพิพาก าของ าลปกครอง
ดังกล่า ากผู้ร้องทุกข์เ ็น ่า ํานักงานเขตพื้นที่การ ึก าปฏิบัติตามคําพิพาก า าลปกครองดังกล่า แล้
ทําใ ้ผู้ร้องทุกข์ได้รับค ามเดือดร้อน รือเ ีย ายอย่างไร ย่อมมี ิทธิที่จะร้องทุกข์ต่อ ก.ค. . ได้ตามข้ันตอน
และ ิธีการทก่ี ฎ มายกํา นดไ ต้ อ่ ไป

---------------------------------------------------

122
๙๗

มติ ก.ค. .
โดย อ.ก.ค. . ิ ามัญเกี่ย กับการรอ้ งทกุ ข์ และการรอ้ งเรียนขอค ามเป็นธรรม

เกยี่ กบั การบริ ารงานบคุ คลของข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการ กึ า
ในครา ประชุมครัง้ ที่ 1/2557 เมอื่ ันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557

(มาตรา 122 , 123 แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า พ. . 2547,
ข้อ 5, ข้อ 7 (2), ข้อ 14 (4) ของกฎ ก.ค. . ่าด้ ยการร้องทุกข์และการพิจารณาร้องทุกข์
พ. . 2551)

-----------------------------------------------------
ผู้ร้องทุกข์เป็นผู้มีคุณ มบัติตามประกา รับ มัครคัดเลือกและเป็นผู้ได้รับการคัดเลือก
ใ ข้ น้ึ บญั ชีในลําดับที่ 1 ตามประกา อ.ก.ค. . เขตพ้ืนท่ีการ ึก า ผู้ร้องทุกข์จึงไม่ใช่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
ในการประกา กํา นดคุณ มบัติของผู้มี ิทธิ มัครเข้ารับการคัดเลือกเพ่ือแต่งตั้งใ ้ดํารงตําแ น่ง
ผ้อู าํ น ยการกลุ่ม ่งเ ริมการ ึก าเอกชน ถือ ่าไม่มีเ ตุแ ่งทุกข์ในอันที่ร้องทุกข์ได้ และในการร้องทุกข์
กฎ มายกํา นดใ ้รอ้ งทกุ ข์ได้ ํา รบั ตนเองเท่าน้ัน จะร้องทกุ ขแ์ ทนผอู้ ่นื ไมไ่ ด้

ข้อเท็จจริง
รับฟังได้ ่า อ.ก.ค. . เขตพื้นที่การ ึก ามีมติอนุมัติใ ้ดําเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อ

แต่งตัง้ ใ ด้ ํารงตําแ น่งผู้อาํ น ยการกลุม่ ง่ เ ริมการ ึก าเอกชน โดยกํา นดคุณ มบัติของผู้มี ิทธิ มัคร
เข้ารับการคัดเลือก ่าต้องเป็นผู้มีคุณ มบัติเฉพาะ ํา รับตําแ น่งตามที่ ก.ค. . กํา นด และต้องมีคุณ มบัติ
ดงั น้ี

- ปัจจุบันดํารงตําแ น่งบุคลากรทางการ ึก าอ่ืน ตามมาตรา 38 ค. (2) ประเภท ิชาการ
ระดบั ชาํ นาญการพิเ

- ได้รับปรญิ ญาตรี รอื เทยี บได้ไมต่ ่าํ ก า่ นท้ี างการ กึ า รือทางอื่นที่ ก.ค. . กํา นด ่า
ใช้เปน็ คุณ มบัตเิ ฉพาะ ํา รับตาํ แ น่งนีไ้ ด้

ผู้ร้องทุกข์ ตําแ น่งนัก ิชาการ ึก า ระดับชํานาญการพิเ ร้องทุกข์ ่าผู้อําน ยการ
าํ นักงานเขตพ้นื ทีก่ าร ึก าไดก้ ํา นดคณุ มบัติของผู้มี ิทธิ มัครเข้ารับการคัดเลือกต้องมีคุณ มบัติตาม
นัง ือ ํานักงาน ก.ค. . ท่ี ธ 0206.3/ 18 ลง ันที่ 28 ตุลาคม 2548 และตรงตามมาตรฐาน
ตําแ น่งตาม นัง ือ ํานักงาน ก.ค. . ที่ ธ 0206.5/ 8 ลง ันที่ 30 เม ายน 2552 แต่ไม่ปฏิบัติ
ตาม นัง ือดงั กลา่ โดยได้กํา นดคุณ มบัติของผู้มี ิทธิ มัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นการเฉพาะเพ่ือการใด
การ น่ึง รือเฉพาะบุคคลกลุ่ม นึ่งเท่านั้น ซ่ึงเป็นการไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมกับบุคลากรที่ปฏิบัติ
ราชการเก่ีย กับงาน ิชาการในกลุ่มงาน ่งเ ริมการ ึก าเอกชนและดํารงตําแ น่ง “นัก ิชาการ ึก า”
ระดบั ชาํ นาญการ ซ่ึงได้ดํารงตําแ น่งในระดับ 7 มาแล้ 3 ปี 10 เดือน แต่ไม่มี ิทธิ มัครเข้ารับการคัดเลือก
โดยบุคคลดังกล่า มคี ณุ มบตั ติ รงตามข้อ 1 แล้

อ.ก.ค. . ิ ามัญเกี่ย กับการร้องทุกข์ และการร้องเรียนขอค ามเป็นธรรม
เกี่ย กับการบริ ารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า (ที่ทาการแทน ก.ค. .)
พิจารณาแล้ เ ็น ่า กรณีที่ร้องทุกข์ไม่เป็นไปตาม ลักเกณฑ์และ ิธีการเก่ีย กับการร้องทุกข์ตาม ม ด 9

1๙2๘3

่าด้ ยการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ ตามมาตรา 122 และมาตรา 123 แ ่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ึก า พ. . 2547 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ. . 2551 ประกอบ
ข้อ 5 ข้อ 7 (2) และข้อ 14 (4) ของกฎ ก.ค. . ่าด้ ยการร้องทุกข์และการพิจารณาร้องทุกข์ พ. . 2551
เน่ืองจากผู้ร้องทุกข์เป็นผู้มีคุณ มบัติตามประกา รับ มัครคัดเลือกและเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกใ ้ขึ้นบัญชี
ในลําดับที่ 1 ผู้ร้องทุกข์จึงไม่ใช่ผู้ที่ได้รับผลกระทบในการดําเนินการในคร้ังนี้แต่อย่างใด จึงไม่มีเ ตุแ ่งทุกข์
ในอนั ทร่ี อ้ งทุกข์ได้ ประกอบกบั กฎ มายกาํ นดใ ้รอ้ งทกุ ขไ์ ด้ าํ รบั ตนเองเท่านนั้ จะร้องทุกข์แทนผอู้ นื่ ไม่ได้

ก.ค. . พจิ ารณาแล้ มมี ตไิ ม่รบั คาํ รอ้ งทกุ ข์ของผูร้ อ้ งทกุ ข์ไ ้พจิ ารณา
-----------------------------------------------------

124

แนวทางการปฏิบตั ิราชการจากคําวนิ จิ ฉัยจากศาลปกครองสูงสุด
และบทความเก่ยี วกับการบรหิ ารงานบุคคลของสํานักงานศาลปกครอง

คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ. ๗๓๕/๒๕๕๕
– การใชด ลุ พนิ จิ ออกคําส่งั ยายสับเปลี่ยนหมนุ เวยี นขาราชการครู

ในการดําเนินการยายขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตางเขตพนื้ ที่การศึกษา เปนอาํ นาจของ
คณะอนุกรรมการขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจําเขตพ้ืนท่ีการศึกษาท่ีจะใชดุลพินิจในการ
รับยายตามความเหมาะสม โดยพิจารณาดานความจําเปนเรื่องครอบครัว ประกอบกับสภาพแวดลอมบริบท
ของโรงเรียนความกันดารหางไกล และความยากลําบากในการเดินทางวาผูใดมีเหตุผลความจําเปนมากกวา
กัน หากบุคคลใดมิไดรับยายจะไดรับความเดือดรอนมากกวากันมาเปนองคประกอบสําคัญในการพิจารณา
เปรยี บเทียบเหตุผลความจําเปน ในการขอยา ยเม่ือคณะอนุกรรมการขาราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา
ประจําเขตพ้ืนท่ีการศึกษาอนุมัติใหรับยายขาราชครูที่มีภาระความจําเปนในการดูแลบุตรที่ยังเลก็ และมารดา
ท่ีปวยและมีความยากลําบากในการเดินทางไปปฏิบัติงานมากกวา จึงเปนการใชดุลพินิจท่ีเหมาะสมในการ
ดําเนินการตามความมุงหมายในการยายสับเปลี่ยนหมุนเวียนขาราชการครูอันเปนการกระทําท่ีชอบ
ดว ยกฎหมายและไมอาจถือไดว า เปนการเลอื กปฏบิ ตั ิท่ีไมเหมาะสมและไมเปนธรรม

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนขาราชการครูโรงเรียนเวียงเจดียวิทยา สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษาลําพูน เขต ๒ ไดย่ืนคํารองขอยายกรณีปกติมาดํารงตําแหนงที่โรงเรียนวชิรปาซาง ในสังกัด
สํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาลําพูน เขต ๑ ตอมา ผูถูกฟองคดี(คณะอนุกรรมการขาราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษา ประจําเขตพื้นที่การศึกษาลําพูนเขต ๑) มีมติใหรับยายนาง ก. ขาราชการครูโรงเรียนทุงหัวชาง
พิทยาคม สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาลําพูน เขต ๒ ไปดํารงตําแหนงครูโรงเรียนวชิรปาซาง สังกัด
สํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาลําพูน เขต ๑ แตผูฟองคดีไมไดรับการพิจารณาอนุมัติใหรับยายตามคํารอง
ผูฟองคดีจึงขอดูผลการพิจารณารับยายของผูถูกฟองคดี ปรากฏวาน้ําหนักคะแนนในการพิจารณายายกรณี
ของนาง ก. นอยกวาผูฟ องคดี แตกลับไดรบั การอนุมัติใหยายโดยท่ีผถู ูกฟองคดไี มสามารถอธิบายรายละเอยี ด
ไดวานาง ก. ไดรับยายเพราะเหตุใด มติของผูถูกฟองคดีดังกลาวจึงไมถูกตองและไมชอบธรรม ผูฟองคดี
จึงมีหนังสือขอความเปนธรรมในการพิจารณารับยายขาราชการครูลงวันท่ี ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๘
ถึงผูอํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาลําพูน เขต ๑ในฐานะประธานของผูถูกฟองคดี แตมิไดรับ
การพิจารณาหรือชี้แจง จึงขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังยกเลิกคําสั่งตามหนังสือลงวันท่ี ๑๐ พฤษภาคม
๒๕๔๘ เรื่อง การแตงตั้ง (ยาย)ขาราชการครูในกรณีของนาง ก. และมีคําสั่งใหผูฟองคดีเปนผูไดรับ
การพจิ ารณาใหย ายไปรับราชการที่โรงเรียนวชิรปาซาง

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ผูฟองคดีเปนขาราชการครูโรงเรียนเวียงเจดียวิทยาสังกัดสํานักงาน
เขตพ้ืนที่การศึกษาลําพูน เขต ๒ ไดยื่นคํารองขอยายกรณีปกติไปท่ีโรงเรียนวชิรปาซาง สังกัดสํานักงาน
เขตพ้ืนท่ีการศึกษาลําพูน เขต ๑ จึงเปนกรณีขอยายไปดํารงตําแหนงในหนวยงานการศึกษาอ่ืนระหวางเขต
พื้นที่การศึกษา การขอยายจึงตองไดรับอนุมัติจากผูถกู ฟองคดีตามมาตรา ๕๙ วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา
๕๙ วรรคส่ี แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งขณะที่
ผูถูกฟองคดีพิจารณารับยายนาง ก. ตําแหนงครูโรงเรียนทุงหัวชางพิทยาคม สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่

125
การศึกษาลําพูน เขต ๒ มาบรรจุแตงต้ังในตําแหนงครู โรงเรียนวชิรปาซาง สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ี
การศึกษาลําพูน เขต ๑ คณะกรรมการขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ ก.ค.ศ. และสํานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขนั้ พื้นฐานไมไดกําหนดนโยบายหรือแนวทางการดําเนินการในการยา ยขาราชการครู
แ ล ะ บุ ค ล า ก ร ท า ง ก า ร ศึ ก ษ า ต า ง เข ต พื้ น ที่ ก า ร ศึ ก ษ า ให เป น แ น ว ท า ง เดี ย ว กั น เพ่ื อ เป น บ ร ร ทั ด ฐ า น
ในการพิจารณารับยายขาราชการที่อยูตางเขตพื้นท่ีการศึกษา จึงเปนอํานาจของผูถูกฟองคดีที่จะใชดุลพินิจ
ในการพิจารณารับยายตามความเหมาะสมได ซึ่งการพิจารณารับยายขาราชการท่ีสังกัดอยูตางเขตพ้ืนที่
การศึกษา โดยพิจารณาองคประกอบดานความจําเปนเร่ืองครอบครัวประกอบกับสภาพแวดลอมบริบทของ
โรงเรียน ความกันดารหางไกล และความยากลําบากในการเดินทางวาผูใดจะมีเหตุผลความจําเปนมากกวา
กัน หากบุคคลใดมิไดรับยายจะไดรับความเดือดรอนมากกวากันเปนองคประกอบสําคัญในการพิจารณา
เปรียบเทียบเหตุผลความจําเปนในการขอยายในเบ้ืองตนเพ่ือเปรียบเทียบเหตุผลความจําเปนในการขอยาย
กรณีนาง ก.ย่ืนคํารองขอยายขณะรับราชการอยูที่โรงเรียนทุงหัวชางพิทยาคม สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษาลําพูน เขต ๒ มีภาระในการรับผิดชอบดูแลบุตรสองคนท่ียังเล็กโดยตองใหนมบุตรและดูแลบุตร
ในเวลากลางคืน ประกอบกับตองดูแลมารดาท่ีปวยดวยโรคมะเร็งระยะท่ี ๒ โดยสามีของนาง ก. มิได
อยูรวมกัน เน่ืองจากสามีรับราชการครูท่ีโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหมสวนการเดินทางไปปฏิบัติงาน
ที่โรงเรียนกับท่ีพักของนาง ก. ท่ีอยูในอําเภอหางกันเปนระยะทางประมาณ ๑๔๙ กิโลเมตร การเดินทาง
ลําบากเนื่องจากมีรถประจําทางจํานวนไมมาก ตองใชเวลาในการเดินทางประมาณ ๓ ช่ัวโมง อีกท้ังโรงเรียน
ทุงหัวชางพิทยาคมเปนโรงเรียนมัธยมท่ีอยูหางไกล มีความกันดาร สภาพโรงเรียนยากจน นักเรียนสวนมาก
เปนชาวเขาเผากะเหร่ยี ง ทําใหการสื่อสารและจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนมีความยากลําบาก สวนผูฟอ งคดี
ที่ย่ืนคํารองขอยายขณะรับราชการอยูที่โรงเรียนเวียงเจดียวิทยา สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาลําพูน
เขต ๒ เพื่อไปดูแลบุตรอายุ ๓ ป ดูแลบิดาอายุ ๘๐ ป ปวยเปนอัมพาตดวยโรคเสนเลือดในสมองตีบและ
มารดาอายุ ๗๗ ป ปวยเปนโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ผูฟอ งคดีกับภรรยาพักอยรู วมกันในอําเภอปา
ซาง การเดินทางระหวางบานพักกับโรงเรียนท่ีทํางานระยะทางประมาณ ๑๑๕ กิโลเมตร โรงเรียนเวียงเจดีย
วิทยาต้ังอยูในเขตเทศบาลมีสถานีรถประจําทางอยูใกลโรงเรียน ผูฟองคดีมีรถยนตสวนตัวและมีบานพัก
บริเวณโรงเรียนสําหรับพักอาศัยได กรณีน้ีเห็นวานาง ก. มีภาระความจําเปนในการดูแลใหนมบุตรซึ่งยังเล็ก
และดูแลมารดาท่ีปวย อีกทั้งมิไดอยูรวมกับสามี จึงมีเหตุผลความจําเปนมากกวาผูฟองคดีซ่ึงบุตรมีอายุ ๓ ป
สามารถชวยตัวเองไดบางแลว มารดาของผูฟองคดีปวยเปนโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงยังสามารถ
ดูแลตัวเองและบิดาของผูฟองคดีได การเดินทางไปปฏิบัติงานจากบานและโรงเรียนท่ีนาง ก.ปฏิบัติงานอยู
มีความยากลําบากมากกวาการเดินทางไปปฏิบัติงานของผูฟองคดี เมื่อผูถูกฟองคดีพิจารณารับยายนาง ก.
แทนการรับยายผูฟองคดีตามมติของผูถูกฟองคดีเม่ือวันที่ ๓ พฤษภาคม๒๕๔๘ จึงเปนการใชดุลพินิจ
ทเี่ หมาะสมแกการดาํ เนินการใหเปนไปตามความมุงหมายในการยายสับเปลี่ยนหมุนเวียนขาราชการครูสังกัด
สํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาลําพูน เขต ๑ แลว และเปนการดําเนินการตามอํานาจของผูถูกฟองคดีตาม
มาตรา ๕๙ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗
อันเปนการกระทําท่ีชอบดวยกฎหมาย และไมอาจถือไดวามีลักษณะเปนการเลือกปฏิบัติที่ไมเหมาะสมเปน
ธรรมและขดั ตอหลักความเสมอภาคแตอ ยางใด

126
คําสั่งศาลปกครองสงู สุดที่ ๒๘๐/๒๕๕๖
- การแตง ตัง้ โยกยายขา ราชการในหนวยงาน

การดําเนินการแตงต้ังโยกยายบุคลากรในหนวยงานราชการเปนอํานาจของผูบังคับบัญชาในการ
บริหารงานบุคคล ซ่ึงผูบังคับบัญชาอาจแตงต้ังโยกยายบุคลากรในหนวยงานไดตามความเหมาะสม
เพ่ือประโยชนในการจัดทําบริการสาธารณะใหบรรลุผลถึงแมผูไดรับคําสั่งจะไดรับผลกระทบทางดานจิตใจ
โดยรูสึกถูกลดความสําคัญในหนาท่ีการงานลงและรูสึกกระทบตอความเจริญกาวหนาในหนาท่ีการงาน
แตเมื่อคําส่ังยายมิไดทําใหสถานภาพของสิทธิหรือหนาที่ของผูรับคําส่ังเปลี่ยนแปลงไป จึงไมอาจถือไดวา
เปนการกระทบตอสิทธิโดยตรง โดยนิตินัยจึงไมอยูในฐานะเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายหรือ
อาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงไดอันจะมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒
วรรคหนง่ึ แหงพระราชบญั ญัติจดั ตัง้ ศาลปกครองและวธิ ีพจิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

ผูฟองคดีฟองวา ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (อธิการบดี
มหาวิทยาลัย) มคี ําสั่งลงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ ยา ยผูฟองคดจี ากตําแหนงบุคลากรชํานาญการพิเศษและ
หัวหนางานบรหิ ารงานบุคคล กองการเจา หนาที่ สํานกั งานอธิการบดีใหไปดํารงตําแหนงบุคลากรชํานาญการพิเศษ
และคายตําแหนงหัวหนางานบริหารงานบุคคลไมชอบดวยกฎหมายและไมเปนธรรมตอผูฟองคดี เนื่องจาก
เปนการยายจากตําแหนง หัวหนางานบริหารงานบุคคลซึ่งเปนตําแหนงท่ีมีภารกิจหลักในการปฏิบัติงานและมี
ผูรวมงานในฐานะผูใตบังคับบัญชาจํานวน ๑๗ คน ไปดํารงตําแหนงท่ีไมมีภารกิจหลักในการปฏิบัติงาน
โดยใหปฏิบัติงานตามที่ผูบังคับบัญชามอบหมายเทาน้ัน และเปนตําแหนงที่ไมมีผูใตบังคับบัญชารวม
ปฏิบัติงาน อันเปนการยายท่ีไมคํานึงถึงศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของผูฟองคดี เพราะตําแหนงที่ถูกยายนั้น
ไมสังกัดหนวยงานใดในกองการเจาหนาที่ เปนตําแหนงลอยๆ เสมือนเปนการถูกลงโทษในสายตาของวงการ
ขาราชการ ผูฟองคดีไดรองทุกขตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ (สภามหาวิทยาลัย) ซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดพิจารณาแลว
มีมตวิ าคําสง่ั ยา ยชอบดวยกฎหมายแลว จงึ ขอใหศ าลเพิกถอนคาํ ส่งั และมติดังกลา ว

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา กรณีเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการท่ีหนวยงานทางปกครองหรือ
เจาหนาที่ของรัฐออกคําส่ังโดยไมชอบดวยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) แหงพระราชบัญญัติจัดต้ัง
ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เม่ือเดิมผูฟองคดีดํารงตําแหนงบุคลากรชํานาญการ
พิเศษ ตําแหนง เลขที่ ๑๖ ขั้น ๔๐,๕๙๐ บาท และหัวหนา งานบริหารงานบุคคล กองการเจา หนาที่ สํานักงาน
อธิการบดี และผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ ใหยายผูฟองคดีไปสังกัดกองการ
เจาหนาที่ สํานักงานอธิการบดีตําแหนงบุคลากรชํานาญการพิเศษ ตําแหนงเลขที่ ๑๖ ข้ัน ๔๐,๕๙๐ บาท
และคายตําแหนงหัวหนางานบริหารงานบุคคล โดยใหปฏิบัติงานตามมาตรฐานกําหนดตําแหนงและตามที่
ผูบังคับบัญชามอบหมาย ซ่ึงเปนคําส่ังใหผูฟองคดีดํารงตําแหนงในระดับและอัตราเงินเดือนเดิม เลขที่
ตําแหนงและสังกัดเดิม เพียงแตไมไดปฏิบัติหนาที่ในตําแหนงหัวหนางานบริหารงานบุคคลเทาน้ัน ซึ่งเปน
เร่ืองดุลพินิจของผูบังคับบัญชาและผูมีอํานาจในการสั่งบรรจุและแตงต้ังจะพิจารณาสั่งการไดตามท่ี
เห็นสมควรภายใตหลักเกณฑและเง่ือนไขที่กฎหมายกําหนด แมการยายน้ีจะเปนเหตุใหผูฟองคดีรูสึกถูกลด
ความสําคัญในหนาที่การงานลง และรูสึกกระทบตอความเจริญกาวหนาในหนาที่การงานแตไมปรากฏ
ขอเท็จจริงวาคําสั่งดังกลาวเปนเหตุใหผูฟองคดีตองเสียสิทธิหรือประโยชนอื่นใดท่ีไดรับอยูแตเดิม ผูฟองคดี
ยังคงไดรับเงินเดือนและสิทธิประโยชนอ่ืนอันไมแตกตางจากตําแหนงเดิมอีกทั้งการมีคําส่ังใหผูฟองคดี
ปฏิบัติงานตามมาตรฐานกําหนดตําแหนงและตามท่ีผูบังคับบัญชามอบหมายน้ัน แสดงใหเห็นวาผูฟองคดียังมี

127

หนาที่และความรับผิดชอบตามมาตรฐานกําหนดตําแหนงและตามทผ่ี ูบังคับบัญชามอบหมาย อันจะยังสง ผลใหผู
ฟองคดีไดรับการเลือ่ นข้ันเงินเดือนและไดรับการพิจารณาเลื่อนตําแหนงที่สูงขึ้นได จึงไมอาจถือไดวาเปนการ
กระทบตอสิทธิของผูฟองคดีโดยตรง เนื่องจากมิไดทําใหสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดี
เปล่ียนแปลงไป ประกอบกับการดําเนินการแตงต้ังโยกยายบุคลากรในหนวยงานราชการเปนอํานาจ
ของผูบังคับบัญชาในการบริหารงานบุคคล ซ่ึงผูบังคับบัญชาอาจแตงต้ังโยกยายบุคลากรในหนวยงานได
ตามความเหมาะสมเพื่อประโยชนในการจัดทําบริการสาธารณะใหบรรลุผล และการอางวาการออกคําสั่งยาย
มิไดคํานึงถึงศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของผูฟองคดีและเสมือนเปนการถูกลงโทษในสายตาของวงการ
ขา ราชการก็เปนความรสู ึกของผูฟองคดีเองและเปนเรื่องผลกระทบทางดานจิตใจ มใิ ชเปน ผลกระทบตอ สถานภาพ
ของสิทธิหรือหนาที่ของผูฟองคดีแตอยางใด โดยนิตินัยผูฟองคดีจึงยังไมอยูในฐานะผูไดรับความเดือดรอน
หรือเสียหายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงไดอันจะมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครอง
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจงึ ไมร บั คาํ ฟองไวพิจารณา
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ. ๗๗๖/๒๕๕๗
- การมีคาํ สั่งยายขาราชการตาํ รวจ กรณีสับเปลีย่ นใหผ อู ื่นมาดํารงตาํ แหนงแทน

คําส่ังแตงตั้งโยกยายขาราชการเปนคําสั่งทางปกครองที่ตองอยูภายใตหลักความชอบดวยกฎหมาย
ของการกระทําทางปกครองตามหลักนิติรัฐ กลาวคือ การใชดุลพินิจในการออกคําส่ังทางปกครอง
ฝายปกครองจะมีอํานาจใชดุลพนิ จิ เทาที่ไมม กี ฎหมายผกู พนั ไว ซึ่งอาจอยูใ นรูปของกฎหมายลายลักษณอักษร
เชน กฎหมายวาดวยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง หรือกฎหมายท่ีไมเปนลายลักษณอักษร เชน
หลักกฎหมายปกครองท่ัวไป ไมวาจะเปนหลักความเสมอภาค หลักการใชอํานาจพอสมควรแกเหตุหลัก
ความแนน อนม่ันคงในกฎหมาย หรือหลักคุณธรรม การใชดุลพินิจในการออกคําส่ังแตงตั้งโยกยายขาราชการ
จึงจํากัดอยูในกรอบของกฎหมายท่ีผูกพันการใชดุลพินิจเพ่ือเปนหลักประกันมิใหใชดุลพินิจตามอําเภอใจ
เม่ือสาเหตขุ องการออกคําสั่งยายขาราชการตํารวจเปน การสับเปล่ยี นใหขาราชการอ่ืนดาํ รงตําแหนงแทนโดย
มิไดเกิดจากความจําเปนเพ่ือประโยชนของทางราชการและมิไดเปนไปตามระบบคุณธรรมในการแตงตั้ง
โยกยายที่จะตองคํานึงถึงความรูความสามารถ คุณสมบัติของบุคคล และการจัดคนใหเหมาะสมกับงานเปน
สําคัญ จึงเปนการใชดุลพินิจโดยมิชอบดวยกฎหมายและเปนการขัดหรือแยงตอหลักคุณธรรมและขัดตอกฎ
ก.ตร. คําส่ังยายจึงไมชอบดวยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองมีอํานาจกําหนดคําบังคับใหเพิกถอนคําสั่งเพื่อแกไข
เยียวยาความเดือดรอนหรือเสียหายได แมวาในระหวางการพิจารณาคดี คูกรณีจะไดรับการเลื่อนตําแหนง
สงู ขึ้นและไมสามารถกลบั ไปดํารงตําแหนง เดมิ ได

ผูฟองคดีฟองวา เม่ือครั้งผูฟองคดีดํารงตําแหนงสารวัตรปองกันปราบปรามสถานีตํารวจภูธรกุยบุรี
จังหวดั ประจวบคีรขี ันธ ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (ผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๙) ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๑๔ พฤศจกิ ายน
๒๕๕๑ แตง ตงั้ ผฟู องคดีใหไปดํารงตําแหนงสารวตั รสืบสวนสอบสวน สถานีตํารวจภูธรยะหรง่ิ จงั หวัดปตตานี
แทนพันตํารวจตรี อ. ซ่ึงไดรับคําสั่งแตงต้ังใหไปดํารงตําแหนงสารวัตรปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธร
สามชุก จังหวัดสุพรรณบุรีตามคําส่ังตํารวจภูธรภาค ๗ ลงวันท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ โดยผูฟองคดีไมได
รอ งขอหรือสมัครใจ และไมไดอยูระหวา งถกู ตั้งกรรมการสอบสวนวนิ ัยอยางรายแรง ไมเคยถกู ลงโทษทางวนิ ัย
จึงเปนการแตง ต้ังโยกยายที่ไมชอบดวยขอ ๑๔ (๒) ขอ ๓๑ และขอ ๓๗ ของกฎ ก.ตร.วาดวยหลักเกณฑและ

128

วิธีการแตงตั้งโยกยายขาราชการตํารวจระดับสารวัตรถึงจเรตํารวจแหงชาติและรองผูบัญชาการตํารวจ
แหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙ และมาตรา ๒๗๙ ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ผูฟอง
คดีไดรองทุกขตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) แต อ.ก.ตร. เก่ียวกับการรองทุกข
ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีมติใหยกคํารองทุกข จึงขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่ง
ลงวันท่ี ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๑ โดยใหผ ูฟอ งคดีกลบั ไปสูตาํ แหนง เดมิ และเพิกถอนมติ อ.ก.ตร. ดงั กลา ว

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา พระราชบัญญัติตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗มาตรา ๕๕ (๓) และ
มาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง และกฎ ก.ตร. วาดวยหลักเกณฑและวิธีการแตงตั้งโยกยายขาราชการตํารวจระดับ
สารวัตรถึงจเรตํารวจแหง ชาตแิ ละรองผูบัญชาการตาํ รวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙ ขอ ๑๔ ไดว างหลักเกณฑการ
ใชด ุลพินิจในการแตง ตั้งโยกยายขา ราชการตํารวจไวอยางกวา ง ๆ เพอ่ื ใหผ ูมอี าํ นาจแตง ตงั้ ไดใชด ุลพินจิ ในการ
จดั สรรขาราชการตํารวจใหไ ปปฏิบัติหนาท่ีในตําแหนงท่ีเหมาะสมกับงาน ซ่ึงจะเปนการสงเสรมิ ใหภารกิจของ
สํานักงานตํารวจแหงชาติเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล และเปนประโยชนอยางแทจริงแกทางราชการ
อยางไรก็ตามแมวากฎหมายจะเปดโอกาสใหผูมีอํานาจแตงต้ังไดใชดุลพินิจอยางกวางขวาง แตเม่ือคําสั่ง
แตงตั้งโยกยายขาราชการตํารวจเปนการใชดุลพินิจตามกฎหมายของเจาหนาท่ีที่มีผลกระทบตอสถานภาพ
ของสิทธิหรือหนาท่ีของบุคคลและมีลักษณะเปนคําส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แหงพระราชบัญญัติวิธี
ปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การมีคําส่ังแตงตั้งโยกยายขาราชการตํารวจจึงอยูภายใตหลัก
ความชอบดวยกฎหมายของการกระทําทางปกครองตามหลักนิติรัฐ กลา วคือ การใชดุลพินิจในการออกคําส่ัง
ทางปกครอง ฝายปกครองจะมีอํานาจใชดุลพินิจเทาที่ไมมีกฎหมายผูกพันไว ซ่ึงกฎหมายท่ีผูกพันการใช
ดุลพินิจดังกลาวนั้นอาจอยูในรูปของกฎหมายลายลักษณอักษร เชน กฎหมายวาดวยวิธีปฏิบัติราชการทาง
ปกครอง หรือกฎหมายท่ีไมเปนลายลักษณอักษร เชน หลักกฎหมายปกครองท่ัวไป ไมวาจะเปนหลัก
ความเสมอภาค หลักการใชอํานาจพอสมควรแกเหตุ หลักความแนนอนม่ันคงในกฎหมาย หรือหลักคุณธรรม
ที่ไมอาจละเลยได เปนตน ดังน้ันการใชดุลพินิจในการออกคําสั่งแตงตั้งโยกยายขาราชการตํารวจของผูมี
อํานาจแตงตั้งจึงจํากัดอยูในกรอบของกฎหมายท่ีผูกพันการใชดุลพินิจ เพ่ือเปนหลักประกันมิใหใชดุลพินิจ
ตามอําเภอใจเม่ือคร้ังผูฟองคดีดํารงตําแหนงสารวัตรปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธรกุยบุรี จังหวัด
ประจวบคีรีขันธ สํานักงานตํารวจแหงชาติมีหนังสือ ลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ แจงแนวทางการแตงต้ัง
ขาราชการตํารวจระดับสารวัตรถึงรองผูบังคับการ วาระประจําป ๒๕๕๑ เพ่ือใหทุกหนวยงานถือปฏิบัติ
โดยใหมีคําสั่งแตงตั้งพรอมกันทุกหนวยในวันท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ และใหคําสั่งแตงต้ังมีผลใชบังคับ
พรอ มกันในวันท่ี ๒๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๑ โดยในสวนของกองบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๗ น้ัน ผูถูกฟองคดี
ท่ี ๔ (ผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๗) ไดมีหนังสือลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ แจงใหผูบังคับการ
ตํารวจภูธรในสังกัดกองบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๗ จัดทําบัญชีแตงตั้งโยกยายขาราชการตํารวจ ตอมา
ผูบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธไดจัดทําบัญชีรายช่ือขาราชการตํารวจในสังกัดเสนอตอ
ผูถูกฟองคดีที่ ๔เพ่ือพิจารณาแตงตั้งโยกยายขาราชการตํารวจในสังกัด ซ่ึงตามบัญชีรายชื่อดังกลาวมีชื่อ
ผูฟองคดีอยูในลําดับท่ี ๑๒ ถูกเสนอใหไปดํารงตําแหนงสารวัตรปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธรสาม
กระทาย จังหวัดประจวบคีรีขันธ แตปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีความประสงคจะแตงต้ังพันตํารวจตรี อ.
สารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตํารวจภูธรยะหร่ิง จังหวัดปตตานี มาดํารงตําแหนงในสังกัดกองบัญชาการ
ตํารวจภูธรภาค ๗ ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ จึงมีหนังสือ ลงวันท่ี ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ขอทําความตกลงกับ
กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๙ โดยใหผูฟองคดีสับเปล่ียนตําแหนงกับพันตํารวจตรี อ. ผูถูกฟองคดีที่ ๓

129

ในฐานะผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๙ ไดมีหนังสือ ลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ แจงผูถูกฟองคดีที่ ๔
วาไมขัดของ แตเน่ืองจากพันตํารวจตรี อ. ไดรับแตงตั้งครั้งสุดทายไมครบสองป ผูถูกฟองคดีที่ ๔ จึงไดมี
หนังสือ ลงวันท่ี ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ขอความเห็นชอบจากผูถูกฟองคดีที่ ๒ (ผูบัญชาการตํารวจ
แหงชาติ) ซึ่งผูบังคับการกองกําลังพลไดมีหนังสือ ลงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ แจงผูถูกฟองคดีที่ ๔
วา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เห็นชอบการแตงตั้งพันตํารวจตรี อ. ตามที่เสนอ ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จึงมีคําส่ังตํารวจภูธร
ภาค ๙ ลงวันที่ ๑๔พฤศจิกายน ๒๕๕๑ แตงต้ังผูฟองคดีไปดํารงตําแหนงสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานี
ตาํ รวจภธู รยะหรงิ่ จังหวดั ปต ตานี

จากขอเท็จจริงดังกลาวเห็นไดวา การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีคําสั่งตํารวจภูธรภาค ๙ ลงวันท่ี ๑๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๑ มีสาเหตุมาจากผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีความประสงคจะแตงต้ังพันตํารวจตรี อ. ซึ่งดํารง
ตําแหนงสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตํารวจภูธรยะหร่ิง จังหวัดปตตานีมาดํารงตําแหนงในสังกัด
กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๗ จึงมีการสับเปลี่ยนตําแหนงกับผูฟองคดีโดยผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ไดทําหนังสือ
ชแี้ จงตอ อ.ก.ตร. เก่ียวกับการรองทุกขวา การแตงต้ังโยกยายผูฟองคดี เนื่องจากผฟู องคดีมีกรณีถูกรองเรียน
เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไมเหมาะสม แตตอมาปรากฏวาพลตํารวจตรี ก. ตําแหนงผูบังคับการอํานวยการ
ตํารวจภูธรภาค ๗ ซ่ึงเปนผแู ทนผถู กู ฟอ งคดีที่ ๔ ไดช ้ีแจงดวยวาจาตอ อ.ก.ตร. เกี่ยวกับการรองทุกขวา กรณี
ที่ผูฟองคดีถูกรองเรียนน้ันไมไดมีการแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริงและไมไดดําเนินการทางวินัย
กับผูฟองคดี เน่ืองจากในการสอบสวนทางลับทราบวา ผูลงลายมือช่ือในหนังสือรองเรียนท้ังสองรายนั้น
รายหน่ึงไมมีตัวตน สวนอีกรายหนึ่งยืนยันวาไมไดทําหนังสือรองเรียนผูฟองคดี กรณีจึงเห็นไดวาสาเหตุของ
การยายผูฟองคดีมิไดเกิดจากความจําเปนเพ่ือประโยชนของทางราชการ และมิไดเปนไปตามระบบคุณธรรม
ในการแตงตั้งโยกยายท่ีจะตองคาํ นงึ ถึงความรูความสามารถ คุณสมบัติของบุคคล และการจัดคนใหเ หมาะสม
กับงานเปนสําคัญ ซึ่งหากไมรักษาระบบคุณธรรมดังกลาวไวก็จะถูกแทนที่ดวยระบบอุปถัมภตามท่ีศาล
ปกครองช้ันตนวินิจฉัยไวชัดเจนแลว การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีคําส่ังลงวันท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ แตงตั้ง
ผฟู อ งคดีไปดาํ รงตาํ แหนงสารวัตรสบื สวนสอบสวน สถานตี าํ รวจภธู รยะหริ่ง จังหวดั ปตตานี จึงขดั หรือแยง ตอ
หลักคุณธรรม และขัดหรือแยงตอกฎ ก.ตร. วาดวยหลักเกณฑและวิธีการแตงต้ังโยกยายขาราชการตํารวจ
ระดับสารวัตรถึงจเรตํารวจแหงชาติและรองผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙ ขอ ๑๔ ท่ีกําหนดวา
การแตง ตงั้ โยกยายขาราชการตํารวจใหกระทําเทาทีจ่ ําเปนเพื่อประโยชนแกทางราชการการออกคําสั่งแตง ตั้ง
โยกยายผูฟองคดีจึงเปนการใชดุลพินิจโดยมิชอบ และเปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย อันมีผลใหมติของ
อ.ก.ตร. เกี่ยวกับการรองทุกข ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในการประชุม เมื่อวันท่ี ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ทีใ่ หยกคํารอ งทุกขข องผูฟองคดีเปน คําสงั่ ท่ีไมชอบดว ยกฎหมายเชน กัน

สําหรับอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๑ และผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ที่วา ในระหวางการพิจารณาคดีของศาล
ปกครองชัน้ ตน ผูฟอ งคดีไดร ับการเลื่อนตาํ แหนงสูงขึ้นเปนรองผูกํากับการฝา ยอํานวยการ ตํารวจภูธรจังหวัด
ยะลา ซ่ึงเปนตําแหนงที่สูงกวาระดับสารวัตรแลว ทําใหคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นตนท่ีเพิกถอนคําสั่ง
ตํารวจภูธรภาค ๙ ลงวันท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ไมมีผลเปนการแกไขหรือเยียวยาความเดือดรอนหรือ
เสียหายของผูฟองคดีอีกตอไปผูฟองคดีไมอาจกลับไปดํารงตําแหนงเดิมได เหตุแหงความเดือดรอนหรือ
เสียหายตามคําฟองของผูฟองคดีจึงสิ้นสุดลงแลว คดีจึงมีเหตุที่จะตองมีคําสั่งจําหนายคดีออกจากสารบบ
ความนั้นเห็นวา พระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๗๒

130

วรรคหนึ่ง (๑) บัญญัติวา ในการพิพากษาคดีศาลปกครองมีอํานาจกําหนดคําบังคับอยางหนึ่งอยางใด
ดังตอไปนี้ (๑) สั่งใหเพิกถอนกฎหรือคําสงั่ หรอื ส่ังหามการกระทาํ ทั้งหมดหรือบางสวน ในกรณีที่มีการฟองวา
หนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาทข่ี องรัฐกระทําการโดยไมชอบดว ยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนง่ึ (๑)
ดังน้ัน เมื่อคําสงั่ ลงวันที่ ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๑ ทีแ่ ตง ตั้งใหผูฟองคดดี ํารงตําแหนงสารวัตรสบื สวนสอบสวน
สถานีตํารวจภูธรยะหริ่ง จังหวัดปตตานี เปนคําสั่งท่ีไมชอบดวยกฎหมาย ซ่ึงเปนเง่ือนไขที่ศาลปกครองมี
อํานาจกําหนดคําบังคับใหเพิกถอนคําส่ังเพ่ือแกไขเยียวยาความเดือดรอนหรือเสียหายใหแกผูฟองคดีได
และแมวาในระหวางการพิจารณาคดีของศาลปกครองชั้นตน ผูฟองคดีจะไดรับการเล่ือนตําแหนงสูงขึ้นและ
ไมสามารถกลับไปดํารงตําแหนงเดิมได แตก็ปรากฏวาคําส่ังลงวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ที่พิพาทยังได
กอใหเกิดความเดือดรอนหรือเสียหายทางดานจิตใจแกผูฟองคดีดวย ทําใหผูฟองคดีมีความรูสึกวาไมไดรับ
ความเปนธรรมจากการแตงต้ังโยกยายของผูบังคับบัญชา ความเดือดรอนหรือเสียหายของผูฟองคดีจงึ ยังคงมีอยู
และเปนเหตุใหศาลปกครองตองมีคําพิพากษาเพิกถอนคําสั่งดังกลาวเพื่อแกไขเยียวยาความเดือดรอนหรือ
เสียหายใหแ กผูฟ อ งคดี

อยางไรก็ตาม เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ในระหวางการดําเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาลปกครอง
ช้ันตน ผูฟองคดีไดรับการเลื่อนตําแหนงสูงข้ึนมากกวาตําแหนงเดิมในขณะฟองคดีแลว และการที่ศาล
ปกครองชั้นตนพิพากษาเพิกถอนคําสั่งตํารวจภูธรภาค ๙ ลงวันท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ เฉพาะในสวนท่ี
แตง ตัง้ ใหผ ูฟองคดีไปดํารงตําแหนงสารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตํารวจภูธรยะหร่ิง จังหวัดปตตานี โดยใหมี
ผลตั้งแตวันท่ีศาลมีคําพิพากษาเปนตนไป และเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดย อ.ก.ตร. เกี่ยวกับการ
รองทุกข ในการประชุมเม่ือวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เฉพาะในสวนท่ียกคํารองอุทธรณของผูฟองคดีน้ัน
จะมีผลเสมือนหน่ึงวาผูถูกฟองคดีที่ ๑ และผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไมเคยมีคําสั่งดังกลาวมากอนตั้งแตวันที่ศาล
มคี ําพิพากษาซึ่งทําใหผถู ูกฟองคดีท่ี ๑ และผถู ูกฟองคดีที่ ๓ หรือผูที่เกี่ยวของมีหนาที่ตองกลับไปดําเนินการ
ในเร่อื งตาง ๆ เพอื่ ใหเปนไปตามผลแหง คําพิพากษา แตการดําเนินการดังกลาวอาจจะสงผลกระทบกระเทือน
กับการดํารงตําแหนงปจจุบันของผูฟองคดี ทั้งยังอาจทําใหไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจาก
การดําเนินการดังกลาวดวย ประกอบกับในการพิพากษาคดีของศาลปกครองศาลปกครองมีอํานาจกําหนด
ขอสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการใหเปนไปตามผลแหงคําพิพากษาไดตามมาตรา ๖๙ วรรค
หนึ่ง (๘) แหงพระราชบัญญัตจิ ดั ตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แตในการพพิ ากษา
คดีนี้ ศาลปกครองช้ันตนมิไดกําหนดขอสังเกตดังกลาวไว จึงควรกําหนดใหมีขอสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือ
วิธีการดําเนินการใหเปนไปตามผลแหงคําพิพากษา โดยการใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และผูถูกฟองคดีท่ี ๓ และผูท่ี
เก่ียวของดําเนินการในเร่ืองตาง ๆ มิใหสงผลกระทบกระเทือนกับการดํารงตําแหนงปจจุบันและสิทธิ
ตามกฎหมายของผฟู องคดี
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ. ๑๙๗/๒๕๕๙
- การแตงตั้งขาราชการซึ่งดํารงตําแหนงเลขาธิการ (นักบริหาร 10) ใหไปดํารงตําแหนงผูตรวจราชการ
กระทรวง (ผตู รวจราชการ 10)

แมวาการสับเปลี่ยนหนาท่ี โอนหรือยาย และการแตงตั้งขาราชการจะเปนอํานาจดุลพินิจของ
ผูบังคับบัญชาท่ีมีอํานาจตามกฎหมายและสามารถกระทําไดตามความเหมาะสมเพื่อประโยชนของ
ทางราชการและพัฒนาขาราชการก็ตาม แตในการใชอํานาจดุลพินิจจะตองคํานึงถึงวัตถุประสงคหรือ

131

เจตนารมณของกฎหมายและอยูภายในขอบเขตของกฎหมาย โดยมีเหตุผลรองรับและจะตองเปนไปตาม
หลักคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลภาครัฐและเปนไปตามหลักการบริหารกิจการบานเมืองท่ีดีอันเปน
แนวนโยบายพ้ืนฐานแหงรัฐ และโดยเฉพาะในกรณีท่ีเปนการแตงต้ัง โอน ยายสับเปล่ียนหนาท่ีขาราชการ
นอกฤดูกาลหรอื นอกชวงเวลาตั้งแตโ อนยายปกติประจําปหรือนอกเหนอื หลักเกณฑท่ัวไปตามท่ีกฎหมายหรือ
กฎท่ีสวนราชการหรือหนว ยงานท่ีเกี่ยวของไดกาํ หนดไว ผูบังคบั บัญชาจะตองมีเหตุผลท่ีเหมาะสมหรือสมควร
อยางย่ิง และเหตุผลน้ันจะตองมีความชัดเจนเพียงพอ อันเปนความจําเปนเพื่อประโยชนของทางราชการ
ในการยายผูดํารงตําแหนงเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (นักบริหาร ๑๐) ไปดํารงตําแหนงผูตรวจ
ราชการกระทรวง (ผูตรวจราชการ ๑๐) แมวาจะยังคงดํารงตําแหนงในระดับ ๑๐ และยงั ไดรบั สทิ ธิประโยชน
จากทางราชการดังเดิม แตก็เปนการยายจากตําแหนงในสายงานนักบริหารไปสูสายงานการตรวจราชการ
ซึ่งมีความแตกตางกันในบทบาทและอํานาจหนาที่ เม่ือไมปรากฏวาผูใตบังคับบัญชาไมสนองนโยบายหรือ
ปฏิบัติหนาท่ีโดยไมมีประสิทธิภาพหรือมีขอบกพรอง ซึ่งถือเปนเหตุผลอันสมควรที่ผูบังคับบัญชาสามารถท่ี
จะปรับยายไปดํารงตําแหนงอ่ืนไดตามความเหมาะสม ยอมถือวาผูบังคับบัญชาไดใชอํานาจโดยไมมีเหตุผล
รองรบั อยางเพยี งพอ จึงเปน การใชดุลพินจิ โดยไมช อบดวยกฎหมาย

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนขา ราชการพลเรือนสามัญ เดิมดํารงตําแหนงเลขาธิการคณะกรรมการ
อาหารและยา (นักบริหาร ๑๐) ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (คณะรัฐมนตรี)ไดมีมติเม่ือวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ
๒๕๕๑ ยา ยผูฟอ งคดีไปดํารงตาํ แหนง ผูตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข (ผูตรวจราชการ ๑๐) ตามทผ่ี ูถกู ฟองคดี
ที่ ๒ (รัฐมนตรีวาการกระทรวงสาธารณสุข) เสนอและในวันเดียวกันผูถูกฟองคดีที่ ๓ (ปลัดกระทรวง
สาธารณสุข) ไดมีคําส่ังกระทรวงสาธารณสุขลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ส่ังใหผูฟองคดีไปรักษาการ
ในตําแหนงผูตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ผูฟองคดีเห็นวาแมจะ เปนการยายไปดํารงตําแหนงระดับ
เดียวกัน แตถือเปนการยายที่ลดขั้นเสมือนเปนการลงโทษ ทั้ง ๆ ท่ีผูฟองคดีไมไดกระทําความผิด นอกจากน้ี
การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีคําสั่ง ลงวันท่ี ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ใหผูฟองคดีไปรักษาการในตําแหนงผูตรวจ
ราชการกระทรวง (ผูตรวจราชการ ๑๐) ในวันเดียวกันกับท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีมติกอนที่จะมีการนําความ
ขึ้นกราบบังคมทูลเพ่ือทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ แตงต้ัง เปนการกระทําที่ไมถูกตองตามรูปแบบ ขั้นตอน
หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญ และขัดตอมาตรา ๑๙๓ ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๕๐ และมาตรา ๕๗ แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ และการที่ผูถูกฟองคดี
ที่ ๒ ใหสัมภาษณหนังสือพิมพกลาวโทษผูฟองคดีวาปฏิบัติงานบกพรองเปนการกลาวหาท่ีไมเปนความจริง
ผูฟ องคดีเหน็ วาการกระทําของผูถูกฟอ งคดที ้ังสองเปนการกระทําที่ไมชอบดวยกฎหมาย ผฟู องคดไี ดรองทุกข
ตอ ก.พ. แตเมื่อพนกําหนดเวลาเกาสิบวันนับแตวันท่ีไดรองทุกข ผูฟองคดียังไมไดรับแจงผลการพิจารณา
จึงฟองคดีตอศาล ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ใหผูฟองคดียายไป
ดํารงตําแหนงผูตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เพิกถอนคําสั่งกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ ๒๖
กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ท่ีใหผูฟองคดีไปรักษาการในตําแหนงผูตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้ง
ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ที่แตงต้ังผูฟองคดีใหดํารงตําแหนงผูตรวจ
ราชการกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนการดําเนินการใด ๆ ตามมติดังกลาว และใหผูฟองคดีดํารงตําแหนง
เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาดังเดิม

132

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา โดยท่ีการแตงตั้งโยกยายผูฟองคดีเกิดขึ้นในชวงท่ียังมิไดจัดทํา
มาตรฐานกําหนดตําแหนงตามท่ีมาตรา ๔๘ แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
กําหนดไว จึงตองใชบทบัญญัติในลักษณะ ๓ แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
มาบังคับ ซ่ึงมาตรา ๕๒ วรรคหนึ่ง (๒) แหงพระราชบัญญัติดังกลาวบัญญัติวา การบรรจุและแตงตั้งใหดํารง
ตําแหนงระดับ ๑๐ ใหปลัดกระทรวงผูบังคับบัญชาเสนอรัฐมนตรีเจาสังกัด เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรี
พิจารณาอนุมัติ เม่ือไดรับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแลวใหปลัดกระทรวงผูบังคับบัญชาเปนผูส่ังบรรจุและให
นายกรัฐมนตรีนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ แตงตั้ง ... นอกจากน้ี ยังมีบทบัญญัติ
มาตรา ๕๓ วรรคหนึ่ง มาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง มาตรา ๖๐ วรรคสอง หนังสือสํานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๐๗๐๘/ว
๙ ลงวนั ท่ี ๑๒พฤษภาคม ๒๕๓๕ และตามหนังสือสํานักงาน ก.พ. ที่ นร ๐๗๐๘.๑/ว ๗ ลงวันที่ ๓๐ เมษายน
๒๕๔๐ กําหนดเก่ียวกับหลักเกณฑและวิธีการยาย สรุปไดวาการยายและแตงตั้งขาราชการพลเรือนระดับ
๑๐ ใหปลัดกระทรวงผูบังคับบัญชาเสนอรัฐมนตรีเจาสังกัดเพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ
เม่ือไดรับอนุมัติแลว ใหปลัดกระทรวงเปนผูสั่งบรรจุและใหนายกรัฐมนตรีนําความกราบบังคมทูลเพ่ือโปรด
เกลาฯ แตงตัง้ ใหม ีการสบั เปล่ียนหนาที่ โอนหรอื ยายขาราชการพลเรือนสามัญระดบั ๙ ระดบั ๑๐ และระดับ
๑๑ ซ่ึงเปนตําแหนงลักษณะบริหารตามท่ี ก.พ. กําหนดโดยไมควรใหอยูปฏิบัติหนาที่เดียวติดตอกันเกินกวาส่ีป
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑท่ี ก.พ. กําหนด กรณีเปนการยายใหดํารงตําแหนงอ่ืนในกรมเดียวกัน ตองยายไปดํารง
ตําแหนงในระดับเดียวกันกรณีเปนการยายใหไปดํารงตําแหนงในกระทรวงเดียวกัน ใหพิจารณาจากเหตุผล
ความจําเปนและประโยชนของทางราชการและการพัฒนาขาราชการเปนหลัก และใหพิจารณาถึง
คุณสมบัติเฉพาะตําแหนงตามที่ ก.พ. กําหนด รวมท้ังความรู ประสบการณ ความสามารถ ความรับผิดชอบ
ความประพฤติและคุณลักษณะอื่นท่ีเหมาะสมและจําเปนในการปฏิบัติงานในตําแหนงที่จะยายไปแตงต้ัง
แมวาการสับเปลี่ยนหนาท่ี โอนหรือยาย และการแตงตั้งขาราชการเปนอํานาจดุลพินิจของผูบังคับบัญชาท่ีมี
อํานาจตามกฎหมายจะสามารถกระทําไดตามความเหมาะสมเพ่ือประโยชนของทางราชการและการพัฒนา
ขาราชการก็ตาม แตการใชอํานาจดุลพินิจของฝายบริหารน้ันจะตองคํานึงถึงวัตถุประสงคหรือเจตนารมณ
ของกฎหมายและอยูภายในขอบเขตของกฎหมายโดยจะตองมีเหตุผลรองรับท่ีมีอยูจริงและอธิบายได
ท้ังจะตองเปนไปตามหลักคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลภาครัฐและเปนไปตามหลักการบริหารกิจการ
บา นเมืองที่ดี อันเปนแนวนโยบายพื้นฐานแหงรฐั ตามรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐
ที่ใชบงั คับอยูในขณะนัน้

เมอ่ื ขอเทจ็ จรงิ รับฟงไดวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดมหี นังสือ ลงวนั ที่ ๒๕ กมุ ภาพันธ ๒๕๕๑ ถึงผูถกู ฟอง
คดีที่ ๒ เพื่อพิจารณาในการแตงต้ังขาราชการพลเรอื นสามญั ในกระทรวงสาธารณสุขจํานวน ๓ ราย โดยเปน
การยายสับเปลี่ยนหมุนเวียนขาราชการในระดับ ๑๐ ดวยกันโดยใหเหตุผลในการยายสับเปลี่ยนขาราชการ
ดังกลาววา เพื่อความเหมาะสมและเพ่ือประโยชนตอทางราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ใหความเห็นชอบตาม
เสนอและไดมีหนังสือเสนอแตงตั้งขาราชการท้ัง ๓ ราย ใหดํารงตําแหนงดังกลาวตามกฎหมายในวันเดียวกัน
ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพ่ือใหนําเสนอตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ พิจารณาอนุมัติและนําความกราบบังคมทูล
พระกรุณาโปรดเกลาฯใหพนจากตําแหนงและแตงตั้งใหดํารงตําแหนงตอไป ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีมติอนุมัติ
ใหแตงต้ังขาราชการทั้ง ๓ ราย ตามขอเสนอของกระทรวงสาธารณสุขเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพนั ธ ๒๕๕๑ ในวัน
เดียวกัน ผูถกู ฟองคดีที่ ๓ ไดมีคําส่ังกระทรวงสาธารณสขุ ลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑แตงต้ังใหผูฟองคดี
ไปรักษาการในตําแหนงผูตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ต้ังแตวันที่มีคําส่ังเปน

133
ตนไป ตอมา เลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีหนังสือสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันท่ี ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑
ถึงผูถูกฟองคดีท่ี ๒ แจงวาไดมีพระบรมราชโองการโปรดเกลาฯ ใหขาราชการทั้ง ๓ รายดังกลาวพนจาก
ตําแหนงเดิมและแตงต้ังใหดํารงตําแหนงใหมตามท่ีกระทรวงสาธารณสุขเสนอแลวตั้งแตวันที่ ๙ เมษายน
๒๕๕๑ เปนตนไป และสํานักนายกรัฐมนตรไี ดม ีประกาศ เร่ือง แตงตั้งขาราชการพลเรือนทั้ง ๓ ราย ตามท่ีได
มีพระบรมราชโองการโปรดเกลาฯใหพนจากตําแหนงและแตงตั้งใหดํารงตําแหนงดังกลาวตามประกาศ
ลงวันท่ี ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑จากขอเท็จจริงดังกลาวแมขั้นตอนและกระบวนการในการแตงต้ังผูฟองคดีจะ
เปนไปตามท่ีกฎหมายกําหนดก็ตาม แตเมื่อปรากฏขอเท็จจริงวา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดประกาศนโยบาย
ทบทวนการใชสิทธิเหนือสิทธิบัตรยาของผูผลิตสําหรับยารักษาโรคมะเร็งเพิ่มเติม ซ่ึงรัฐบาลชุดกอนหนาได
ประกาศใชสทิ ธิของประเทศไทยเหนือสิทธิบัตรยาของผูผลิต อันเปนบริการสาธารณะดานสาธารณสุขซึ่งเปน
อํานาจหนาที่ของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตามกฎหมาย ผูฟองคดีซ่ึงดํารงตําแหนงเลขาธิการคณะกรรมการอาหาร
และยา และเปนประธานคณะกรรมการเจรจาตอรองเพื่อการเพิ่มการเขาถึงยาจําเปนท่ีมีสิทธิบัตรตามคําส่ัง
กระทรวงสาธารณสุข ที่ ๕๖๖/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๐ มีอํานาจหนาท่ีท่ีจะตองปฏิบัติและ
ดําเนินการใหเปนไปตามนโยบายของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และรัฐบาลกอนหนาน้ันผูฟองคดีก็ไดมีหนังสือ
ดวนที่สุด ที่ สธ ๑๐๐๓.๑๔/๒๗๗๒ ลงวันท่ี ๑๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ขอเขาช้ีแจงขอเท็จจริงเกี่ยวกับการ
ประกาศใชสิทธิของประเทศไทยเหนือสิทธิบัตรยาใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ ทราบ แตผูถูกฟองคดีที่ ๒ ก็มิไดให
โอกาสผูฟองคดีเขาชี้แจงแตอยา งใด การที่ผูถูกฟอ งคดีท่ี ๒ เสนอใหผูถูกฟองคดที ่ี ๑ มีมติแตงต้ังผูฟองคดีซ่ึง
ดํารงตําแหนงเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (นักบริหาร ๑๐) ไปดํารงตําแหนงผูตรวจราชการ
กระทรวง (ผูตรวจราชการ ๑๐) โดยอางเหตุผลวาเพื่อความเหมาะสมและทางราชการจะไดผลประโยชน
มากกวา เห็นวา แมการยายผูฟองคดีครั้งนี้ผูฟองคดียังคงดํารงตําแหนงในระดับ ๑๐ และยังคงไดสิทธิ
ประโยชนจากทางราชการดังเดิม แตก็เปนการยายจากตําแหนงในสายงานนักบริหารไปสูสายงานการตรวจ
ราชการซ่ึงมีความแตกตางกันในบทบาทและอํานาจหนาที่อยางมีนัยสําคัญประกอบกับการยายผูฟองคดีให
ไปดํารงตําแหนงผูตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ไมปรากฏขอเท็จจริงวาผูฟองคดีไดโตแยงคัดคาน
หรือไมสนองนโยบายของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ อยางใดและไมปรากฏขอเท็จจริงวาผูฟองคดีไดปฏิบัติหนาท่ีใน
ตําแหนงเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาโดยไมมีประสิทธิภาพหรือมีขอบกพรองอยางใด ซึ่งจะถือได
วามีเหตุผลอันสมควรที่ผูบังคับบัญชาสามารถที่จะปรับยายผูฟองคดีไปดํารงตําแหนงอ่ืนไดตามความ
เหมาะสม นอกจากนี้ การปรับยายผูฟองคดีคร้ังนี้ยังเปนการปรับยายนอกฤดูกาลโยกยายปกติและกระทํา
อยางเรงรีบ ซ่ึงไดวินิจฉัยแลววาการสับเปล่ียนหนาที่ โอนหรือยาย และแตงตั้งขาราชการ ผูบังคับบัญชาผูมี
อํานาจจะตองใชดุลพินิจอยางถูกตอง เหมาะสม และมีเหตุผลอันสมควรเพียงพอ ท้ังจะตองใชดุลพินิจให
สอดคลองกับหลักคุณธรรม หลักการบริหารกิจการบานเมืองท่ีดี อันเปนแนวนโยบายพ้ืนฐานแหงรัฐตาม
รัฐธรรมนูญฯ และจะตองดําเนินการใหชอบดวยกฎหมายท่ีเกี่ยวของดวย โดยเฉพาะอยางย่ิงในกรณีที่เปน
การแตงตัง้ โอน ยายสบั เปลี่ยนหนาทขี่ าราชการนอกฤดกู าลหรือนอกชว งเวลาแตงต้ัง โอน ยายปกติประจําป
หรือนอกเหนือหลักเกณฑท่ัวไปตามที่มีกฎหมายหรือกฎที่สวนราชการนั้น ๆ หรือหนวยงานที่เกี่ยวของได
กําหนดไว ผูบงั คบั บัญชาจะตองมีเหตุผลท่ีเหมาะสมหรือสมควรอยางย่ิง และเหตุผลน้ันจะตองมีความชัดเจน
เพียงพอ อันแสดงใหเห็นไดวาเปนกรณีที่มีความจําเปนเพื่อประโยชนของทางราชการ การปรับยายผูฟองคดี
ซึ่งเปนมูลกรณีพิพาทในคดีนี้ผูถูกฟองคดีท้ังสามกลาวอางเพียงวาเปนอํานาจดุลพินิจของผูบังคับบัญชาที่จะ
พิจารณาดําเนินการไดตามความเหมาะสมโดยคํานึงถึงประโยชนของทางราชการ กฎหมายไมมีขอกําหนด

134

เกี่ยวกับระยะเวลา และไดพิจารณาแลวเห็นวาทางราชการจะไดประโยชนมากกวาการท่ีใหผูฟองคดีอยูใน
ตําแหนงเดิม เห็นวา เปนเหตุผลที่ยังไมมีความชัดเจนหรือไมมีเหตุอันสมควรเพียงพอ จากขอเท็จจริงที่
ปรากฏจึงนาจะเกิดจากการคาดคะเนของผูถูกฟองคดีที่ ๒ วาผูฟองคดีนาจะเปนอุปสรรคขัดขวางตอการ
ดําเนินนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ดวยเหตุผลดังไดวนิ ิจฉัยมาโดยลําดับน้ันเทากับวาฝายบริหารไดใช
อํานาจดุลพินจิ ในการยายผฟู องคดโี ดยไมมีเหตุผลรองรบั อยางเพียงพอจึงเปนการใชดุลพินจิ โดยมิชอบ ดังน้ัน
การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีมติเม่ือวันท่ี ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ใหยายผูฟองคดีไปดํารงตําแหนงผูตรวจราชการ
กระทรวงสาธารณสุขตามท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒เสนอจึงเปนการออกคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย ซ่ึงมีผลให
ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี ลงวันท่ี๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ท่ีแตงต้ังผูฟองคดีตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑
ดังกลาวเปนคําสั่งท่ีไมชอบดวยกฎหมายดวย ซึ่งศาลปกครองมีอํานาจสั่งใหเพิกถอนคําส่ังพิพาทดังกลาวได
ตามมาตรา ๗๒แหงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แตโดยท่ี
ปรากฏขอเท็จจริงตอมาวาตั้งแตวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ผูฟองคดีพนจากตําแหนงผูตรวจราชการกระทรวง
สาธารณสุขและไดร ับการโปรดเกลาฯ แตง ต้ังใหด ํารงตําแหนง รองปลัดกระทรวงสาธารณสขุ (นักบริหาร ๑๐)
ตามประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี ลงวันท่ี ๙ กันยายน ๒๕๕๑ การเพิกถอนคําส่ังพิพาทของศาลปกครอง
ในคดีนี้จึงยอมไมมีผลกระทบตอสิทธิในตําแหนงรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขหรือตําแหนงอื่นซึ่งผูฟองคดี
ไดรับแตงต้ังตามคําส่ังทางปกครองใหมในภายหลัง และเม่ือมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ เปนคําส่ังท่ีไมชอบดวย
กฎหมาย การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓มีคําส่ัง ลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ใหผูฟองคดีพนจากตําแหนง
เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และใหไปรักษาการในตําแหนงผูตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข
เปนการออกคําสั่งท่ีไมช อบดวยกฎหมายเชนเดยี วกนั
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ. ๑๕๕๑/๒๕๕๙
- นายกเทศมนตรีออกคําสั่งใหเจาหนาที่วิเคราะหนโยบายและแผนไปชวยปฏิบัติราชการในตําแหนง
เจาพนกั งานธุรการ

เมอ่ื สายงานวิเคราะหนโยบายและแผน มีมาตรฐานของตาํ แหนง ท่สี ูงกวาสายงานเจาพนักงานธรุ การ
และมีลักษณะของงานที่ตองใชทักษะความรูความสามารถท่ีมีความแตกตางกันอยางชัดเจน การที่
นายกเทศมนตรีมีคําสั่งใหพนักงานเทศบาลตําแหนงเจาหนาท่ีวิเคราะหนโยบายและแผน ระดับ ๔ ไปชวย
ปฏิบัติราชการในตําแหนงเจาพนักงานธุรการ โดยไมมีการกําหนดลักษณะการปฏิบัติงานที่แนนอนและไมมี
ตาํ แหนงเฉพาะที่สามารถรองรบั ตําแหนงได ยอมเปนการลดบทบาทหนา ท่ีและความรับผิดชอบของพนักงาน
เทศบาลและเปนเหตุใหขาดโอกาสในการเพิ่มพนู ความรูความสามารถและประสบการณในการเลื่อนระดบั ข้ึน
ไปในสายงานของตน แมวาจะไมขาดจากตําแหนงเดิม ไดรับเงินเดือนเทาเดิม และไมไดกระทบตอสิทธิ
ประโยชนหรือสถานภาพของความเปนพนักงานเทศบาลก็ตาม ถือวาพนักงานเทศบาลท่ีไดรับคําสั่งใหไปชวย
ปฏิบัตริ าชการเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสยี หายโดยมิอาจหลกี เลี่ยงได จึงมสี ิทธิฟองคดีตอ ศาลปกครอง
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
และถึงแมนายกเทศมนตรีจะมีอํานาจในการบริหารงานบุคคลภายในเทศบาลเพ่ือประโยชนในการจัดทํา
บริการสาธารณะใหบรรลุผลก็ตามแตการออกคําส่ังตองมีเหตุผลอันสมควร อีกท้ังตองปฏิบัติใหเปนไปตามที่
กฎหมาย ระเบียบ ขอบังคับกําหนดไว จึงจะถือวาเปนการใชดุลพินิจที่ชอบดวยกฎหมาย เมื่อการปฏิบัติงาน
ในตําแหนงเจาหนาท่ีวิเคราะหนโยบายและแผน ระดับ ๔ และตําแหนงเจาพนักงานธุรการมีลักษณะงาน

135

โดยท่ัวไปและหนาที่ความรับผิดชอบแตกตางกันอยางชัดเจน ทั้งการออกคําสั่งไมไดแสดงใหเห็นวาหากไมมี
คําส่ังจะเกิดผลกระทบหรือมีความเสียหายอยางไร ดังนั้นคําส่ังใหไปชวยปฏิบัติราชการของนายกเทศมนตรี
จงึ เปนการใชดลุ พนิ ิจโดยไมช อบดวยกฎหมาย

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนพนักงานเทศบาลสามัญ ตําแหนงเจาหนาที่วิเคราะหนโยบายและ
แผนระดับ ๔ ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายเนื่องจากผูถูกฟองคดี (นายกเทศมนตรี) ไดออกคําส่ังลงวันที่
๓๑ ตลุ าคม ๒๕๕๕ ใหผ ูฟอ งคดีไปชวยปฏบิ ัติราชการในฝายการโยธา สวนราชการกองชาง โดยปฏบิ ัติหนาที่
ในตําแหนงเจาพนักงานธุรการและไมขาดจากหนาที่ในตาํ แหนงเดิม ผูฟองคดไี ดอทุ ธรณคําสัง่ ตอผูถูกฟองคดี
และรองทุกขตอผูวาราชการจังหวัด นายอําเภอและประธานกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัด ตอมา
นายอําเภอมีหนังสือ ท่ี ศก ๐๐๓๗.๒๑/๕๖๗๐ ลงวันท่ี ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ แจงใหผูถูกฟองคดีออกคําส่ัง
ใหผูฟองคดีไปชวยราชการโดยคํานึงถึงภารกิจหนาที่ท่ีตองไปปฏิบัติใหมีความเหมาะสมสอดคลองกับ
มาตรฐานกําหนดตําแหนงหรือใหผูฟองคดีกลับไปปฏิบัติหนาที่ตามเดิม แตผูถูกฟองคดีไมไดปฏิบัติตาม
ผูฟองคดีเห็นวา การส่ังใหผูฟองคดีไปชวยปฏิบัติราชการที่ฝายการโยธาสวนราชการกองชาง ไมมีตําแหนง
รองรับใหปฏิบัติหนาที่และไมไดกําหนดเวลาชวยราชการเปนการกระทําโดยไมถูกตองตามรูปแบบ ขั้นตอน
หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญที่กําหนดไวเปนการใชอํานาจท่ีไมเปนธรรม เลือกปฏิบัติท่ีไมเหมาะสม โดยไม
คํานึงถึงภารกิจที่ตองปฏิบัติและไมสอดคลองกับความรูความสามารถ รวมท้ังมาตรฐานกําหนดตําแหนง
เจาหนาท่ีวิเคราะหนโยบายและแผนที่ผูฟองคดีดํารงตําแหนงอยูในปจจุบัน จึงขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือ
คําส่ังใหผูถูกฟองคดียกเลิกคําส่ังลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ และใหปฏิบัติตามหนังสือ ท่ี ศก๐๐๓๗.๒๑/
๕๖๗๐ ลงวันท่ี ๑๑ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยใหผูฟอ งคดีกลับไปปฏิบตั หิ นาที่ตามเดิม

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ผูถูกฟองคดีไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เร่ือง ใหพนักงาน
เทศบาลสามัญไปชวยปฏิบัติราชการในสวนราชการอื่นภายในเทศบาลเดียวกันโดยใหผูฟองคดีซ่ึงเปน
พนักงานเทศบาลตําแหนงเจาหนาที่วิเคราะหนโยบายและแผน ระดับ ๔สังกัดฝายอํานวยการ สํานัก
ปลัดเทศบาล ไปชวยปฏิบัติราชการในฝายการโยธา สวนราชการกองชาง โดยผูฟองคดีตองปฏิบัติหนาท่ี
ในตําแหนงเจาพนักงานธุรการ แมวาคําสั่งดังกลาวไมทําใหผูฟองคดีขาดจากตําแหนงเดิม ไดรับอัตรา
เงินเดือนเทาเดิม และไมไดเปนการกระทบตอสิทธิประโยชนหรือสถานภาพของความเปนพนักงานเทศบาล
ของผูฟองคดีก็ตาม แตเมื่อพิจารณาจากลักษณะงานของเจาหนาที่วิเคราะหนโยบายและแผน ระดับ ๔
เปรียบเทียบกับลักษณะงานของเจาพนักงานธุรการท่ีผูถูกฟองคดีมีคําสั่งใหผูฟองคดีไปชวยปฏิบัติราชการแลว
จึงเห็นวาสายงานวิเคราะหนโยบายและแผนมมี าตรฐานของตําแหนง ทส่ี ูงกวา สายงานเจา พนักงานธุรการและ
มีลักษณะของงานท่ีตองใชทักษะความรูความสามารถที่มีความแตกตางกันอยางชัดเจนประกอบกับการท่ี
ผูฟองคดีเคยปฏิบัติหนาที่ในตําแหนงเจาพนักงานธุรการตั้งแตวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๒๙
กุมภาพันธ ๒๕๕๕ จนกระท่ังสามารถสอบยายเปล่ียนสายงานไปดํารงตําแหนงเจาหนาที่วิเคราะหนโยบาย
และแผน ระดับ ๔ ซ่ึงเปนตําแหนงในสายงานท่ีเร่ิมตนจากระดับ ๓ นั้น แสดงใหเห็นวา ผูฟองคดีมีความรู
ความสามารถและศักยภาพในการปฏิบัติงานท่ีเพ่ิมข้ึนจากการปฏิบัติหนาที่ในตําแหนงเจาพนักงานธุรการ
ซ่ึงในสายงานธุรการเปนตําแหนงที่เริ่มตนจากระดับ ๒ นอกจากนี้ การใหผูฟองคดีไปชวยปฏิบัติราชการ
ดังกลาวไมมีการกําหนดลักษณะการปฏิบัติงานที่แนนอน และไมมีตําแหนงเฉพาะที่สามารถรองรับตําแหนง
ของผูฟองคดีได ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีมีคําสั่งใหผูฟองคดีไปชวยปฏิบัติราชการในตําแหนงเจาพนักงาน

136

ธรุ การซึ่งเปน ตําแหนง เดิมของผูฟองคดี ยอมเปน การลดบทบาทหนาท่ีและความรับผิดชอบของผูฟองคดแี ละ
เปนเหตุใหผูฟองคดีขาดโอกาสในการเพ่ิมความรูความสามารถและประสบการณในการท่ีจะเลื่อนระดับข้ึนไป
ในตําแหนงที่สูงข้ึนในสายงานของตน ผูฟองคดีจึงเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอน
หรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงไดอันเน่ืองมาจากผลของคําส่ังของผูถูกฟองคดี ผูฟองคดีจึงเปนผูมีสิทธิฟองคดี
ตอ ศาลตามมาตรา ๔๒ แหงพระราชบัญญตั ิจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพจิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

แมผูถ ูกฟอ งคดีในฐานะผบู ังคับบัญชาของหนว ยงานจะมีอํานาจสัง่ ใหพนักงานเทศบาลไปชวยปฏิบัติ
ราชการในอีกสวนราชการหรือสถานศึกษาหน่ึงในเทศบาลเดียวกันเปนการช่ัวคราวไดทุกตําแหนงซ่ึงเปน
อํานาจในการบริหารงานบุคคลภายในเทศบาลเพื่อประโยชนในการจัดทําบริการสาธารณะใหบรรลุผล และ
เปนอํานาจดุลพินิจของผูถูกฟองคดีก็ตาม แตการออกคําส่ังจะตองมีเหตุผลอันสมควร อีกทั้งจะตองเปนไป
ตามที่กฎหมาย ระเบียบหรือขอบังคับกําหนดไวจึงจะถือวาเปนการใชดุลพินิจท่ีชอบดวยกฎหมาย และมีผล
ใหคําสั่งน้ันชอบดวยกฎหมาย เมื่อผูฟองคดีเปนพนักงานเทศบาลตําแหนงเจาหนาที่วิเคราะหนโยบายและ
แผน ระดับ ๔ โดยมาตรฐานกําหนดตําแหนงพนักงานเทศบาลไดกําหนดหนาท่ีและความรับผิดชอบ
ใหปฏิบัติงานในฐานะหัวหนาหนวยงานระดับแผนซ่ึงมีหนาท่ีความรับผิดชอบและคุณภาพของงานสูง หรือ
ในฐานะผูชว ยหัวหนา หนว ยงานซ่ึงเปนตําแหนงที่มีหนาท่ีความรับผิดชอบและคุณภาพของงานเทยี บไดระดับ
เดียวกันรับผิดชอบงานวิเคราะหนโยบายและแผน โดยควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจาหนาท่ีหรือ
ปกครองผูอยูใ ตบังคับบัญชาจํานวนหนึ่ง หรือปฏบิ ัตงิ านวิเคราะหนโยบายและแผนท่ีคอ นขางยากมาก โดยไม
จําเปนตองมีผูกํากับตรวจสอบ หรือภายใตการตรวจสอบบาง หรือผูมีความรูความสามารถและความชํานาญงาน
เทียบไดระดับเดียวกัน และปฏิบัติหนาท่ีอ่ืนตามที่ไดรบั มอบหมายและมีลักษณะงานที่ปฏิบัติ โดยปฏบิ ัติงาน
ทค่ี อนขา งยากมากเกี่ยวกับการวิเคราะหนโยบายและแผนโดยปฏิบตั ิหนาท่ีอยางใดอยางหนึ่งหรือหลายอยาง
เชน ศึกษา วิเคราะห วิจัย ประสานแผนประมวลแผน พิจารณาเสนอแนะ เพ่ือประกอบการกําหนดนโยบาย
จัดทําแผนหรือโครงการติดตามประเมินผลการดําเนินงานตามแผนและโครงการตาง ๆ ซึ่งอาจเปนนโยบาย
แผนงานและโครงการทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การบริหารหรือความมั่นคงของประเทศ ทั้งน้ี อาจเปน
นโยบาย แผนงานเทศบาล แผนงานเมืองพัทยาและโครงการระดับชาติ แลวแตกรณีใหคําปรึกษา แนะนํา
ในทางปฏบิ ัตแิ กเจาหนาท่รี ะดับรองลงมา ตอบปญหาและชี้แจงเร่อื งตาง ๆ เกี่ยวกบั งานในหนาท่ี และปฏิบัติ
หนาท่ีอื่นท่ีเกยี่ วของ อกี ทั้งตําแหนงเจา หนาที่วิเคราะหนโยบายและแผน ระดับ ๔ เปนตําแหนงในสายงานท่ี
เร่ิมตนจากระดับ ๓ สวนตําแหนงสายงานเจาพนักงานธุรการที่ผูฟองคดีไดรับคําสั่งใหไปชวยปฏิบัติราชการ
เปนตําแหนงในสายงานท่ีเริ่มตนจากระดับ ๒ โดยมีลักษณะงานท่ัวไป คือ ปฏิบัติงานธุรการและงานสาร
บรรณที่ตองใชความรูทางเทคนิคหรือวิชาการซึ่งมีลักษณะงานท่ีปฏิบัติเกี่ยวกับการราง โตตอบ บันทึก
ยอเรื่องตรวจทานหนังสือที่ตองใชความรูทางเทคนิคหรือวิชาการดานใดดานหนึ่ง การดําเนินการเกี่ยวกับ
เอกสารสิทธิในทรัพยสินของทางราชการ การติดตามใหมีการซอมแซมและบํารุงรักษาการจําหนาย
ยานพาหนะที่ชํารุดเสื่อมสภาพ และการเบิกจายพัสดุทางชาง การตรวจสอบลงหรือเปล่ียนแปลงรายการ
และเก็บรักษาเอกสารสําคัญของทางราชการ การรวบรวมขอมูลหรอื จัดเตรียมเอกสาร จดบันทึกรายงานการ
ประชุม และปฏิบัติหนาที่อ่ืนที่เก่ียวของ ดังน้ันจึงเห็นไดวาการปฏิบัติงานในตําแหนงเจาหนาที่วิเคราะห
นโยบายและแผน ระดับ ๔ และตําแหนงเจาพนักงานธุรการ มีลักษณะงานโดยทั่วไปและหนาท่ีความ
รบั ผิดชอบแตกตางกันอยางชัดเจนและแมกอนที่ผูฟองคดีจะสามารถสอบคัดเลือกและยายเปลี่ยนสายงานไป
ดาํ รงตําแหนงเจาหนาที่วเิ คราะหนโยบายและแผน ระดับ ๔ ผูฟองคดีเคยปฏิบัติงานในตําแหนงเจาพนักงาน

137

ธุรการแตเมื่อพิจารณากรอบอัตรากําลังตามแผนอัตรากําลัง ๓ ป (พ.ศ. ๒๕๕๕ – ๒๕๕๗) ปรากฏวาใน
ฝายการโยธา สวนราชการกองชาง มีกรอบอัตรากําลังสําหรับเจาพนักงานธุรการเพียง ๑ ตําแหนง
ซ่ึงในขณะท่ีผูถูกฟองคดีมีคําส่ังใหผูฟองคดีไปชวยปฏิบัติราชการ มีนาย ค. ตําแหนงเจาพนักงานธุรการ
ระดับ ๔ชวยปฏิบัติราชการอยูกอนแลว โดยกรอบอัตรากําลังในฝายอํานวยการ สํานักปลัดเทศบาล
ก็มีตําแหนงเจาหนาท่ีวิเคราะหนโยบายและแผนเพียง ๑ ตําแหนง เมื่อผูถูกฟองคดีไมไดแสดงใหเห็นวา
หากไมมคี ําสั่งใหผูฟอ งคดีไปชวยปฏิบัติราชการในฝายการโยธา สว นราชการกองชาง เปนการช่ัวคราวจะเกิด
ผลกระทบหรือมีความเสียหายอยางไรตอการดําเนินงานของฝายการโยธา ดังนั้น การท่ีผูถูกฟองคดีมีคําสั่ง
ใหผูฟองคดีไปชวยปฏิบัติราชการในฝายการโยธาสวนราชการกองชาง ตามคําสั่งลงวันท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕
จงึ เปนการใชดุลพินิจโดยมิชอบดวยกฎหมาย เนื่องจากไมมีเหตุผลท่ีเพียงพอ และเปนการไมคํานึงถึงภารกิจ
หนาที่ที่ตองไปปฏิบัติใหมีความเหมาะสม สอดคลองกับความรูความสามารถและตามมาตรฐานกําหนด
ตําแหนงของผูฟองคดีตามขอ ๒๘๒ วรรคสอง ของประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาลฯ
เร่ืองหลักเกณฑและเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของเทศบาล ลงวันท่ี ๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๕ คําส่ัง
ของผถู กู ฟองคดดี ังกลา วจึงเปน คําส่ังที่ไมชอบดวยกฎหมาย
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ. ๑๘๓๓/๒๕๕๙
- การมีคําสั่งยายผูอํานวยการโรงเรียนโดยไมชอบดวยกฎหมายกรณีผูยื่นคําขอยายเปนกรรมการ
ในคณะกรรมการกลน่ั กรองการยา ยและรว มพิจารณาใหคะแนนผูขอยา ย

กระบวนการพิจารณาคํารองขอยา ยเปน กระบวนการพิจารณาทางปกครองเพอื่ นําไปสูการออกคําส่ัง
ยา ย ถอื เปนคําสัง่ ทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พระราชบัญญัตวิ ิธีปฏิบัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
เมื่อกฎหมายเฉพาะไมไดบัญญัติหรือกําหนดหามเกี่ยวกับเจาหนาที่ผูมีอํานาจหนาที่ในการพิจารณาการยาย
จึงตองอยูภายใตบังคับมาตรา ๓ แหงพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ อันเปน
หลักกฎหมายทั่วไปเก่ียวกับการพิจารณาทางปกครอง การที่ผูอํานวยการโรงเรียนผูยื่นคํารองขอยายเปน
กรรมการในคณะกรรมการกล่ันกรองการยายและการตัดโอนตําแหนงและอัตราเงินเดือนขาราชการครู
เปนคณะทํางานเพ่ือรา งหลกั เกณฑและวิธีการยายขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และเปนประธาน
อ.ก.ค.ศ.ฯ ไดเขารวมพิจารณาใหคะแนนผูอํานวยการโรงเรียนท่ีขอยายในการประชุมของคณะกรรมการ
กล่ันกรองการยายฯ และทีป่ ระชุม อ.ก.ค.ศ.ฯ ไดมีมติใหยายตนเองไปดํารงตําแหนงผูอ ํานวยการโรงเรียนตาม
คํารองขอยายของตนเอง กรณีถือวาเปนผูมีสวนไดเสียอันเขาลักษณะเปนคูกรณีซึ่งตองหามตามมาตรา ๑๓
(๑) แหงพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. ๒๕๓๙ อันถือเปนสภาพรายแรงท่ีทําใหการ
พิจารณาทางปกครองไมเปนกลางเนื่องจากมีความบกพรองในกระบวนการพิจารณาอันเปนสาระสําคัญ
ทําใหคําส่ังยา ยเปนคาํ สงั่ ทไี่ มช อบดว ยกฎหมาย

ผูฟองคดีฟองและแกไขเพิ่มเติมคําฟองวา ผูฟองคดีท่ี ๑ ดํารงตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียนพัฒนา
นคิ ม สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาลพบุรี เขต ๒ ผูฟอ งคดีท่ี ๒ ดํารงตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียนโคก
กระเทียมวิทยาลัย สังกัดสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาลพบุรี เขต ๑ผูฟองคดีท้ังสองไดยื่นคํารองขอยาย
ประจําป พ.ศ. ๒๕๔๙ คร้ังที่ ๒ โดยผูฟอ งคดที ่ี ๑ ขอยา ยไปดํารงตําแหนงผูอาํ นวยการโรงเรียนพระนารายณ
และผูอํานวยการโรงเรียนโคกกระเทียมวิทยาลัยสวนผูฟองคดีท่ี ๒ ขอยายไปดํารงตําแหนงผูอํานวยการ
โรงเรียนพระนารายณ แตผฟู องคดีทั้งสองไมไดรับการพิจารณา โดยผถู ูกฟองคดีที่ ๒ (ผูอํานวยการสํานักงาน
เขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต ๕ และผูอํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาลพบุรี

138
เขต ๑ (ผูอาํ นวยการสาํ นกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาลพบุรี เขต ๑ เดิม)) ไดม ีคําส่ังสาํ นักงานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษา
ลพบุรีเขต ๑ ลงวันท่ี ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๙ ใหยายนาย ส. จากผูอํานวยการโรงเรียนอนุบาลจังหวัด
ทหารบลพบุรีไปเปนผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณ และแตงต้ังนาย น. ผูอํานวยการโรงเรียนบานกลวย
ไปเปนผูอํานวยการโรงเรียนบานเกริ่นกฐิน ซ่ึงบุคคลทั้งสองเปนกรรมการของผูถูกฟองคดีที่ ๑
(คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดลพบุรี (อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๕ และ อ.ก.ค.ศ.
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต ๑ หรือ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษาลพบุรี เขต ๑ เดิม)) ผูฟอง
คดีท้ังสองเห็นวาการพิจารณาแตงต้ังโยกยายดังกลาวไมโปรงใสมีการเอื้อประโยชนแกตนเองและพวกพอง
จึงไดมีหนังสือรองทุกขตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซ่ึงตอมาไดรับการแจงผลการพิจารณารองทุกขวา การพิจารณา
แตงต้ังโยกยายเปนไปโดยถูกตองแลวผูฟองคดีเห็นวานาย ส. และนาย น. เปนกรรมการกล่ันกรองการยาย
ดวย จึงมีสวนไดเสียในการพิจารณาและเปนผูพิจารณาอนุมัติยายเสียเอง ยอมทําใหการพิจารณาแตงตั้ง
โยกยายไมเปนธรรม จึงฟองคดีตอศาลขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังสํานักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษาลพบุรี เขต ๑ ลงวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๙ ท่ียายนาย ส. ไปเปนผูอํานวยการโรงเรียน
พระนารายณ และยายนาย น. ไปเปนผูอาํ นวยการโรงเรียนบา นเกรน่ิ กฐนิ

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีน้ีผูฟองคดีท้ังสองและนาย ส. ไดย่ืนคํารองขอยายประจําป
พ.ศ. ๒๕๔๙ คร้ังที่ ๒ (ย่ืนระหวา งวันที่ ๑ ถึงวันท่ี ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๙) โดยบุคคลท้ังสามยื่นคํารองขอยาย
ดวยตนเอง เพื่อแทนตําแหนงท่ีวางในสายงานผูบริหารสถานศึกษา ตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียนพระ
นารายณ ซ่ึงในการพิจารณาคํารองขอยายดังกลาวผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมอบหมายใหคณะกรรมการกลั่นกรอง
การยายและการตัดโอนตําแหนงและอัตราเงินเดือนขาราชการครูตามคําส่ังสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา
ลพบุรี เขต ๑ ท่ี ๕๕๔/๒๕๔๘ลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๘ ซงึ่ เปนคําสงั่ ท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดแตง ต้ังไวต้ังแต
ป พ.ศ. ๒๕๔๘ ทําหนาที่พิจารณากลั่นกรองการยาย โดยมีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เปนประธานกรรมการ และนาย ส.
เปนกรรมการรวมอยูดวย ผลการพิจารณาคํารองขอยายประจําป พ.ศ. ๒๕๔๙ คร้ังท่ี ๒ ของคณะกรรมการ
ดังกลาวในการประชุมคร้ังที่ ๒/๒๕๔๙ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ ท่ีมีนาย ส.รวมพิจารณาดวย มีมติ
เห็นชอบใหยายนาย ส. ไปเปนผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณตามคํารองขอยายของตนเอง ตอมา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ โดยมีนาย ส. เปนประธานอนุกรรมการในการประชุมคร้ังที่ ๑๐/๒๕๔๙ เม่ือวันที่ ๒๖
ธันวาคม ๒๕๔๙ มีมติเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการดังกลาวขางตน หลังจากน้ัน ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมี
คาํ ส่ังสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาลพบุรี เขต ๑ ลงวันท่ี ๒๘ ธนั วาคม ๒๕๔๙ ใหยา ยขา ราชการครูไปแตงต้ัง
ใหดํารงตําแหนงใหมตามมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ โดยใหยายนาย ส. จากตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียน
อนุบาลจังหวัดทหารบกลพบุรีแตงตั้งไปเปนผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณ โดยท่ีไมมีรายช่ือของผูฟอง
คดีท้ังสองเปนผูไดรับการยายตามท่ีไดย่ืนคํารองขอยายไว เห็นไดวากระบวนพิจารณาคํารองขอยายดังกลาว
เปนกระบวนการพิจารณาทางปกครองเพ่ือนําไปสูการออกคําส่ังยา ย ถอื วาเปนคําสั่งทางปกครองตามมาตรา
๕ แหง พระราชบัญญัติวธิ ีปฏิบตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซ่ึงกระบวนการพิจารณาทางปกครองกอน
ออกคําส่ังดังกลาวตามพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗
ประกอบกับหลกั เกณฑและวธิ ีการยายขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามหนังสือสํานักงาน ก.ค.ศ.
ที่ ศธ ๐๒๐๖.๓/ว ๘ ลงวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๔๙ และหลักเกณฑและวิธีการยา ยขาราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษาตามมาตรา ๓๘ ข (๑) (๒) แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการ
ศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาลพบุรี เขต ๑ พ.ศ. ๒๕๔๙ ไมไดบัญญัติหรือกําหนด

139
หา มเกย่ี วกับเจาหนาที่ผูมีอํานาจหนาที่ในการพิจารณาการยา ยไวก็ตาม แตเ มอ่ื คําส่ังยายตามกรณีพิพาทเปน
คําส่ังทางปกครอง จึงตองอยูภายใตการบังคับตามมาตรา ๓ แหงพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ อันเปนหลักกฎหมายทั่วไปเก่ียวกับการพิจารณาทางปกครองเม่ือนาย ส.
เปนกรรมการในคณะกรรมการกลั่นกรองการยายและการตัดโอนตําแหนงและอัตราเงินเดือนขาราชการครู
ของสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาลพบุรี เขต ๑ ตามคําส่ังลงวันที่๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๘ เปนคณะทํางานเพื่อ
รางหลักเกณฑและวิธีการยายขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ลพบุรี เขต ๑ ตามคําสั่งลงวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๙ ซ่ึงเปนหลักเกณฑที่ใชในการพิจารณาคํารองขอยาย
ครั้งนี้ นอกจากนั้น นาย ส. ยงั เปนประธานของผูถูกฟองคดที ่ี ๑ ตามรายงานการประชมุ ของผูถูกฟองคดีที่ ๑
เม่ือวันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ เพ่ือพิจารณามติใหยายขาราชการครูสายงานผูบริหารสถานศึกษาซึ่งรวมถึง
ตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณของคณะกรรมการกลั่นกรองการยาย ครั้งที่ ๒/๒๕๔๙ เม่ือวันท่ี
๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ ซ่ึงที่ประชุมของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีมติเห็นชอบใหยายนาย ส. ไปเปนผูอํานวยการ
โรงเรียนพระนารายณตามมติของคณะกรรมการกลั่นกรองการยาย จึงเห็นวาการที่นาย ส. เขาไปมีสวนรวม
ในกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการกล่ันกรองการยาย เพ่ือพิจารณาคํารองขอยายในตําแหนง
ผอู ํานวยการโรงเรียนพระนารายณที่มีผูฟองคดีท้ังสองและนาย ส. เปนผูยื่นคํารอ งขอยา ยดวยตนเอง กรณีจึง
ถือไดวานาย ส. เปนผูมีสวนไดเสียอันเขาลักษณ ะเปนคูกรณี ซ่ึงตองหามตามมาตรา ๑๓ (๑)
แหง พระราชบัญญตั ิวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แมผ ูถกู ฟอ งคดีท้ังสองจะกลาวอา งวา ในการ
ประชุมพิจารณาการยายแทนตาํ แหนงที่วางในตําแหนงผอู ํานวยการโรงเรยี นพระนารายณของคณะกรรมการ
กลั่นกรองการยาย ครั้งท่ี ๒/๒๕๔๙ เม่ือวันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ ไดใหนาย ส. ออกนอกหองประชุมเพื่อ
ไมใหมีอํานาจในการพิจารณาและไมใหมีสวนเก่ียวของในการพิจารณาก็ตาม แตขอเท็จจริงตามรายงานการ
ประชุมของคณะกรรมการกลั่นกรองการยาย คร้ังที่ ๒/๒๕๔๙ เม่ือวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ ปรากฏวา
นาย ส. ไดเขารวมในการประชุมครั้งน้ีในฐานะกรรมการเพ่ือพิจารณากลั่นกรองการยายขาราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษาดวย โดยมีการพิจารณาใหคะแนนตามหลักเกณฑการพิจารณาการยายซ่ึงในสวนของ
การใหคะแนนผูขอยายในตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณท่ีวางผูฟองคดีที่ ๑ ไดคะแนนรวม ๔๓
คะแนน ผูฟองคดีท่ี ๒ ไดคะแนนรวม ๔๕ คะแนน และนาย ส.ไดคะแนนรวม ๔๘ คะแนน และในรายงาน
การประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๔๙ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ก็ไมปรากฏวามีการบันทึกวาไดมีการเชิญนาย ส.
ออกจากที่ประชุมแตอยางใด แมผูถูกฟองคดีทั้งสองจะอางหลักฐานเอกสารเปนหนังสือรับรอง ลงวันที่ ๒๑
ตลุ าคม ๒๕๕๔ ของนาย ป. ซงึ่ เปน ผูอํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต ๑ กับ
นาย ว. ซ่ึงเปนขาราชการบํานาญสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต ๑ ที่รับรอง
ขอมูลในการประชุมของคณะกรรมการกลั่นกรองการยาย ครั้งท่ี ๒/๒๕๔๙ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙
วาเม่ือพิจารณาการยายแทนตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณท่ีวาง ไดเชิญนาย ส.ออกจากหอง
ประชุมจริง เพราะถือวาเปนผูมีสวนไดเสียในการพิจารณา เนื่องจากนาย ส. ไดยื่นคําขอยายในคร้ังนี้ดวย
แตหนังสือรับรองดังกลาวเปนพยานหลักฐานเอกสารท่ีจัดทําขึ้นภายหลังจากที่ศาลปกครองช้ันตนไดมีคํา
พิพากษาเม่ือวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ แลว จึงเปนเอกสารท่ีไมนาเช่ือถือ อีกทั้งตามรายงานการประชุมของ
ผูถ ูกฟอ งคดที ี่ ๑ ครงั้ ท่ี ๑๐/๒๕๔๙ ในวนั เดยี วกันยังปรากฏวานาย ส. ซึง่ เปนประธานอนกุ รรมการไดเขารว ม
ประชุมต้ังแตเร่ิมตนจนถึงขั้นตอนการลงมติพิจารณาตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณ จึงออกจาก
หองประชุม หลงั จากน้ันก็ไดเ ขารวมพิจารณาในตําแหนง อืน่ อกี การทนี่ าย ส. เปน กรรมการในคณะกรรมการ

140

กลั่นกรองการยายและรวมพิจารณาใหคะแนนผูขอยายในการประชุมของคณะกรรมการกลั่นกรองการยาย
คร้ังที่ ๒/๒๕๔๙ เม่ือวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ และเปนประธานอนุกรรมการของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในการ
ประชุมครั้งท่ี ๑๐/๒๕๔๙ เม่ือวันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ ดังกลาว ยอมกอใหเกิดแรงจูงใจตอกรรมการ
กลนั่ กรองการยายคนอืน่ ๆ ท่จี ะพิจารณาใหคะแนนตวั ชี้วดั ผูยนื่ คาํ รองขอยา ยรายอน่ื ๆการที่นาย ส. เขาไปมี
สวนรวมในกระบวนการพิจารณาคํารองขอยายของผูฟองคดีทั้งสอง และของนาย ส. เองกอนมีคําส่ังยาย
จึงถือวานาย ส. เปนคูกรณีจะทําการพิจารณาทางปกครองไมไดตามมาตรา ๑๓ แหงพระราชบัญญัติวิธี
ปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มีสภาพอันรายแรงทําใหการพิจารณาทางปกครองไมเปนกลาง
ถือวามีความบกพรองในกระบวนการพิจารณาอันเปนสาระสําคัญทําใหคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ตามคําสั่ง
สํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาลพบุรีเขต ๑ ลงวันท่ี ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๙ ท่ีสั่งตามมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ใหยา ยนาย ส. ไปเปนผูอํานวยการโรงเรียนพระนารายณ เปน คาํ สง่ั ทีไ่ มช อบดวยกฎหมาย
คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. ๙๘๒/๒๕๕๙
- การมีมติไมอนุมัติใหผูรับการประเมินเล่ือนตําแหนงโดยไมชอบดวยกฎหมาย กรณีคณะกรรมการตรวจ
และประเมินผลงานทางวิชาการมีคาํ สั่งใหปรับปรุวแกไขผลงาน คร้งั ที่ 2 ในเรื่องท่ีแตกตางจากเรือ่ งเดิม

คณะกรรมการตรวจและประเมินรายงานผลการปฏิบัติงานและผลงานทางวิชาการ มีอํานาจตาม
กฎหมายในการใชดุลพินิจใหผูรับการประเมินปรับปรุงแกไขผลงานทางวิชาการ และศาลปกครองไมอาจ
วินิจฉัยกาวลวงการใชดุลพินิจโดยแทในทางวิชาการของคณะกรรมการฯ ได แตในขั้นตอนการตรวจและ
ประเมินผลงานทางวิชาการ หากคณะกรรมการฯ เห็นวาผลงานของผูรับการประเมินตองปรับปรุงหรอื แกไข
ในสวนใดควรแจงใหทราบต้ังแตการปรับปรุงแกไขในครั้งท่ี ๑ เม่ือผูรับการประเมินเสนอผลงานท่ีปรับปรุง
แกไขแลว คณะกรรมการฯ ควรพิจารณาวาไดปรับปรุงแกไขตามคําส่ังหรือไม การท่ีคณะกรรมการฯ มีคําส่ัง
ใหผูรับการประเมินปรับปรงุ แกไขผลงานครั้งที่ ๒ ในเร่อื งที่แตกตางจากเร่ืองเดิม เปนการกระทําท่ีมีลักษณะ
เปนการสรางขั้นตอนโดยไมจําเปน จึงเปนการกระทําที่ไมชอบดวยกฎหมาย การนําผลการประเมินดังกลาว
มาพจิ ารณาวนิ จิ ฉยั มมี ตไิ มอนุมตั ิใหผ รู ับการประเมินเลือ่ นตําแหนง จึงไมช อบดวยกฎหมาย

ผฟู องคดีฟองวา ผูฟองคดีรบั ราชการตําแหนงครชู ํานาญการ สํานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาขอนแกน
เขต ๑ ไดยน่ื คาํ ขอรบั การประเมนิ ผลงานทางวิชาการ ในตําแหนงครูวทิ ยฐานะชํานาญการพเิ ศษ ผูถูกฟอ งคดี
ที่ ๒ (คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาขอนแกน เขต ๑ และ อ.
ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษาขอนแกน เขต ๑ เดิม))ไดแตงต้ังผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการตรวจและ
ประเมินรายงานผลการปฏิบัติงานและผลงานทางวิชาการ สาขาวิชาสุขศึกษาและพลศกึ ษา) เพ่ือตรวจผลงาน
ของผูฟองคดี หลังจากนั้นผูถูกฟองคดีท่ี ๔ (ศึกษาธิการจังหวัดขอนแกน (ผูอํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษาขอนแกน เขต ๑ และผูอํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาขอนแกน เขต ๑
เดิม))แจงใหผูฟองคดีปรับปรุงแกไขผลงานถึง ๒ คร้ัง ตามขอสังเกตของผูถูกฟองคดีที่ ๓ และตอมาผูฟองคดี
ไดรับแจงจากผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ตามหนังสอื ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๓ วา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมตไิ มอนุมัติ
ใหผูฟ องคดเี ลื่อนเปนวิทยฐานะครูชาํ นาญการพิเศษ ผูฟองคดีไดรองทุกขต อผูถ ูกฟอ งคดีท่ี ๑ (คณะกรรมการ
ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) ซ่ึงตอมาไดรับแจงวาใหไปใชสิทธิฟองคดีตอศาล ผูฟองคดี
จึงย่ืนฟองคดีตอศาลปกครอง ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ เฉพาะใน
สวนท่ีไมอ นุมตั ใิ หผ ฟู อ งคดเี ล่ือนเปนวิทยฐานะครชู ํานาญการพเิ ศษ

141
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เม่ือผูฟองคดีไดสงผลงานทางวิชาการ เรื่อง การพัฒนาการ
จัดกิจกรรมการเรียนรูที่เนนการจัดกิจกรรมการเรียนรูเพื่อพัฒนาทักษะการคิดโดยใชกระบวนการกลุมและ
ยึดผูเรียนเปนสําคัญ กลุมสาระการเรียนรูสุขศึกษาและพลศึกษารายวิชาสุขศึกษา รายวิชา พ ๒๑๑๐๑
(สุขศึกษา) ชวงชั้นที่ ๒ ชั้นประถมศึกษาปท่ี ๔ ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดแตงต้ังคณะกรรมการตรวจและประเมิน
ร าย งา น ผ ล ก าร ป ฏิ บั ติ งาน แ ล ะ ผ ล งาน ท างวิ ช า ก าร ข อ งผู ท่ี ข อ เล่ื อ น วิ ท ย ฐ าน ะ ค รู ชํ า น าญ ก าร พิ เศ ษ
ประกอบดวยผูทรงคุณวุฒิ ๙ คน โดยการตรวจและประเมินผลงานของผูฟองคดีนั้น ผูชวยศาสตราจารย ฆ.
ประธานกรรมการไดมอบหมายใหกรรมการรายผูชวยศาสตราจารย ศ. ผูชวยศาสตราจารย จ. และนาย ส.
ครชู าํ นาญการพิเศษใหเปนผูดําเนินการ ผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๓ ไดประเมนิ ผลงานทางวิชาการของผูฟองคดีครั้งท่ี ๑
โดยผูชวยศาสตราจารย ศ. และนาย ส. ประเมินใหผูฟองคดีไดคะแนนผานเกณฑ แตผูชวยศาสตราจารย จ.
ประเมินใหผูฟองคดีไมผานเกณฑ และผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดประเมินผลงานทางวิชาการของผูฟองคดีครั้งที่ ๒
โดยผูชวยศาสตราจารย ศ. และนาย ส. ประเมินใหผูฟองคดีไดคะแนนผานเกณฑแตผูชวยศาสตราจารย จ.
ประเมินใหผูฟองคดไี มผา นเกณฑเชนเดิม และใหผ ูฟองคดีปรับปรุงแกไขผลงานทางวิชาการ โดยผูถูกฟอ งคดี
ที่ ๔ ไดมีหนังสือแจงใหผูฟองคดีปรับปรุงแกไขผลงานดังกลาวเม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔
ดําเนินการแจงใหขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาปรับปรงุ แกไขผลงานทางวิชาการไดเพ่ือใหเกิดผล
ดีและความรวดเร็วแกผูรับการประเมินน้ัน เปนการกระทําท่ีไมเกินขอบอํานาจหรือวัตถุประสงคของ
การตรวจและประเมินผลงานทางวิชาการ การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๔ มีหนังสือแจงใหผูฟองคดีปรับปรุงแกไข
ผลงาน จึงเปนการดําเนินการภายในอํานาจหนาที่ตามท่ีไดรับมอบหมายจากผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และเปนการ
ดําเนนิ การโดยชอบแลว
อยางไรก็ตาม แมผูถูกฟองคดีที่ ๓ จะมีอาํ นาจใหผูรับการตรวจและประเมินฯ ปรับปรุงแกไขผลงาน
ทางวิชาการโดยเปน ดุลพินิจของผูถูกฟองคดที ี่ ๓ ก็ตาม เม่ือผูถ ูกฟองคดที ี่ ๓ ประเมินผลงานทางวิชาการของ
ผูฟองคดี โดยทําการตรวจประเมินคร้ังท่ี ๑ และมีมติใหผูฟองคดีปรับปรุงผลงานทางวิชาการใหม ภายใน ๖
เดือน ตามขอสังเกต ตอมา ผูฟองคดีไดปรับปรุงผลงานเสร็จแลวไดเสนอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ พิจารณา
ซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีมติใหผูฟองคดีปรับปรุงผลงานทางวิชาการใหมครั้งที่ ๒ ใหแลวเสร็จ ภายใน ๓ เดือน
โดยมีขอสังเกตที่เพ่ิมข้ึนจากขอสังเกตท่ีไดตรวจประเมินครั้งที่ ๑ แมการประเมินผลงานดังกลาว เปนอํานาจ
หนาที่ของผูถกู ฟองคดีท่ี ๓ และศาลไมอาจวินิจฉยั กาวลวงการใชดุลพินิจโดยแทในทางวิชาการของผูถูกฟอง
คดีที่ ๓ ได แตในขั้นตอนของการตรวจและประเมินผลงานดังกลาว หากผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดอานผลงานของ
ผูฟองคดแลวเห็นวา ผูฟองคดีซึ่งเปนผูรับการตรวจและประเมินฯ ตองปรับปรุงหรือแกไขผลงานในสวนใด
ควรแจงใหผูฟองคดีทราบต้ังแตการแจงใหปรับปรุงแกไขในครั้งที่ ๑เพ่ือใหผูฟองคดีสามารถดําเนินการตาม
คาํ สั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดถูกตอง การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ตรวจและประเมินผลงานทางวิชาการของผูฟอง
คดีโดยแจงใหผูฟองคดีปรับปรงุ แกไขในคร้ังที่ ๑ เม่ือผูฟองคดีไดดําเนินการปรับปรุงแกไขและเสนอผลงานท่ี
แกไขแลว ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ก็ควรพิจารณาวา ผลงานที่เสนอดังกลาวไดแกไขไปตามขอสังเกตแลวหรือไม
การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีมติใหผูฟองคดีปรับปรุงผลงานทางวิชาการใหมในคร้ังที่ ๒ ในเร่ืองอ่ืนอีกที่แตกตาง
จากเรื่องเดิมท้ังที่ไดพิจารณาเรื่องน้ันเสร็จแลว จึงเปนการกระทําที่มีลักษณะเปนการสรางข้ันตอนโดยไม
จําเปนประกอบกับผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไมไดอุทธรณคําพิพากษาของศาลปกครองช้ันตนที่วินิจฉัยเก่ียวกับการ
ตรวจและประเมนิ ผลงานทางวิชาการของผูฟองคดี โดยกรรมการรายผูชวยศาสตราจารย จ.วาถกู ตองอยางไร
จึงรับฟงไดวาการกระทําของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไมชอบดวยกฎหมาย เม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๒ นําผลการประเมิน

142

ของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มาพิจารณาประกอบการวินิจฉัยแลวมีมติไมอนุมัติใหผูฟองคดีเลื่อนเปนวิทยฐานะครู
ชาํ นาญการพิเศษ จึงไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน ดังน้ันมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่ไมอนุมัตใิ หผูฟองคดีเล่ือน
เปนวิทยฐานะครชู าํ นาญการพิเศษ จึงไมชอบดว ยกฎหมาย
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. ๒๑๔๘/๒๕๕๙
- การมีคําสั่งแตงตั้งขาราชการใหดํารงตําแหนงตามกรอบอัตรากําลังโดยพิจารณาเกณฑและตัวช้ีวัด
ตามทกี่ าํ หนดไมส อดคลองกับเจตนารมณ

การที่หนวยงานของรัฐประกาศกําหนดเกณฑและตัวชี้วัดเพ่ือประกอบเกณฑการพิจารณาตัวบุคคล
ในการจัดขาราชการใหดํารงตําแหนงตามกรอบอัตรากําลังโดยกําหนดหลักเกณฑและตัวชี้วัดแตละดาน
มีรายละเอียดชัดเจนและประกาศใหทราบท่ัวกัน และในกรณีท่ีมีผูไดคะแนนรวมเทากันใหพิจารณาเรียง
ตามลําดับตามเกณฑที่กําหนดข้ึนซึ่งเกณฑดังกลาวมีเจตนารมณใหหนวยงานของรัฐกลับไปพิจารณาผล
คะแนนที่ไดจากตัวชี้วัดในแตละดานตามลําดับใหมอีกครั้งวาผูใดมีคะแนนตัวชี้วัดแตละลําดับมากกวากัน
โดยมิไดมีเจตนารมณท่ีจะใหตัดทอนหรือเพ่ิมคะแนนในสวนใดสวนหนึ่งไดแตอยางใด หนวยงานของรัฐจึง
ตองถือปฏิบัติตามเกณฑและตัวชี้วัดที่ประกาศไว และเมื่อหลักเกณฑและตัวชี้วัดกําหนดไวทั้งความรู
ความสามารถและประสบการณ แตเม่ือมีผูไดคะแนนรวมเทากัน คณะกรรมการจัดกรอบอัตรากําลังกลับ
พิจารณาแตเพียงความสามารถและประสบการณเพราะเห็นวาตามเกณฑท่ีกําหนดข้ึนในกรณีท่ีมีคะแนนรวม
เทากันมิไดกําหนดความรูรวมเขาไปดวย จึงไมนําคะแนนจากตัวชี้วัดในดานความรูมารวมพิจารณาดวย
ถือเปนความเขาใจท่ีคลาดเคล่ือน ดังน้ัน การท่ีหนวยงานของรัฐไดคัดเลือกและมีคําส่ังแตงตั้งขาราชการท่ีมี
คะแนนตํ่ากวาขาราชการท่ีเขารับการคัดเลือกดวยกันเม่ือนําคะแนนดานความรู ความสามารถและ
ประสบการณม าพิจารณา จึงถอื เปน การกระทาํ ที่ไมช อบดว ยกฎหมาย

ผูฟองคดีฟองและแกไขเพิ่มเติมคําฟองวา ไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑
(ผูอํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต ๑)มีคําส่ังลงวันท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๕๐
จดั กรอบอัตรากําลังท่ีไมเทย่ี งธรรมและมีอคติ ทําใหผฟู องคดีไมไดรับความกา วหนาในอาชีพรับราชการตามที่
ควรจะเปน จากการแตง ต้งั นาย อ. ใหดํารงตําแหนงเลขที่ อ๔๕ คือ ตําแหนง เจาหนาท่ีวิเคราะหนโยบายและ
แผน (๖ว/๗ว) กลุมนโยบายและแผนซ่ึงเมื่อพิจารณาตามเกณฑตัวชี้วัดในการคัดเลือกปรากฏวา ผูฟอ งคดีและ
นาย อ. ไดคะแนนเทากันแตผ ฟู องคดีปฏิบัติหนาท่อี ยใู นกลุมนโยบายและแผนมาโดยตลอดในชวงปรบั เปลี่ยน
โครงสราง ๓ ป ยอมมีผลงานเปนท่ีประจักษชัดเจนมากกวา และผูถูกฟองคดีที่ ๒ (คณะกรรมการจัดกรอบ
อัตรากําลัง) ไมไดมีเกณฑการใหคะแนนความเหมาะสมท่ีเปนมาตรฐาน การท่ีนาย อ. ไดรับการคัดเลือกให
ดํารงตําแหนง เลขท่ี อ๔๕ โดยผูฟองคดีไมไดรับการคัดเลือกใหดํารงตําแหนงดังกลาว จึงเปนการกระทําท่ี
ไมชอบดวยกฎหมาย ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหเพิกถอนคําส่ังสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาชัยภูมิ
เขต๑ ลงวันท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๕๐ ในตาํ แหนงเลขท่ี อ๔๕เจา หนาที่วิเคราะหนโยบายและแผน ๖ว/๗ว และ
ใหผูถูกฟองคดีที่ ๔ (สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน) ซึ่งเปนหนวยงานของรัฐตนสังกัดของ
ผถู กู ฟอ งคดที ี่ ๑ ถึงผถู กู ฟองคดที ี่ ๓ (คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวดั (กศจ.) ชยั ภมู ิ) ชดใชค าเสียหาย

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา มาตรา ๑๙ แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญัติวา ให ก.ค.ศ. มีอํานาจและหนาทดี่ ังตอไปน้ี (๔) ออกกฎ ก.ค.ศ. ระเบียบ
ขอบังคับ หลักเกณฑ วิธีการ และเงื่อนไขการบริหารงานบุคคลของขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
... มาตรา ๒๓ บัญญัตวิ า ให อ.ก.ค.ศ.เขตพน้ื ที่การศึกษามอี ํานาจและหนาที่ ดังตอ ไปนี้ (๑) พจิ ารณากําหนด

143
นโยบายการบริหารงานบุคคลสําหรับขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพ้ืนท่ีการศึกษา รวมทั้ง
การกําหนดจํานวนและอัตราตําแหนงและเกล่ียอัตรากําลังใหสอดคลองกับนโยบายการบริหารงานบุคคล
ระเบียบหลักเกณฑและวิธกี ารที่ ก.ค.ศ. กําหนด ขอเท็จจริงปรากฏวา ในการดําเนนิ การแตงตั้งขาราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษาใหดํารงตําแหนงบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา ๓๘ ค. (๒)
แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ตามกรอบอัตรากําลังใน
สํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาและในสถานศึกษาที่ ก.ค.ศ. กําหนดนั้น ก.ค.ศ. ไดมีมติกําหนดแนวทางในการ
ดําเนินการดังกลาวตามหนังสือสํานักงาน ก.ค.ศ. ลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๙ แจงผูอํานวยการสํานักงาน
เขตพื้นท่ีการศึกษาทุกเขตทราบ โดยสรุปไดวา ใหสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาตั้งคณะกรรมการจํานวน ๗
คน มีหนาท่ีดําเนินการจัดบุคลากรทางการศึกษาอน่ื ตามมาตรา ๓๘ ค. (๒) ลงกรอบอัตรากําลังตามท่ี ก.ค.ศ.
กําหนด และเสนอความเหน็ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔ พิจารณาตอไป ตอมา ก.ค.ศ. ไดมีมติเห็นชอบใหกําหนดแนว
ทางการจัดขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใหดํารงตําแหนงบุคลากรทางการศึกษาอ่ืนตามมาตรา
๓๘ ค. (๒) ตามกรอบอัตรากําลังในสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาและในสถานศึกษาเพิ่มเติมตามหนังสือ
สํานักงาน ก.ค.ศ.ลงวันท่ี ๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ โดยใหขาราชการซ่ึงปฏิบัติงานอยูในเขตพื้นที่การศึกษาน้ัน
ๆ ณ วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๙ ไดรับการพิจารณาคราวเดียวกัน โดยใหสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา
โดยความเห็นชอบของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่กี ารศกึ ษากําหนดตัวช้ีวัดแตละดานใหช ัดเจนแลวประกาศใหทราบ
ทั่วกัน พรอมทั้งสงตัวอยางแนวทางการกําหนดตัวชี้วัดประกอบเกณฑการพิจารณาตัวบุคคลในการจัด
ขา ราชการใหดํารงตําแหนงตามกรอบอัตรากําลังท่ี ก.ค.ศ. กําหนดเพ่ือประกอบการดาํ เนนิ การตอไป จากนั้น
สํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาชัยภูมิ เขต ๑ ไดมีประกาศลงวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ เรื่อง การกําหนด
เกณฑและตัวชี้วัดเพ่ือประกอบเกณฑการพิจารณาตัวบุคคลในการจัดขาราชการใหดํารงตําแหนงบุคลากร
ทางการศึกษาอื่น โดยเกณฑและตัวช้ีวัดดังกลาวมีรายละเอียดในการใหคะแนนรวม ๑๐๐ คะแนน ดังน้ี ๑.
ความรู ความสามารถ ประสบการณ (๓๐ คะแนน) พิจารณาจาก ๑.๑ วุฒิทางการศึกษาตรงกับมาตรฐาน
ตําแหนง ๑.๒ สาขาวิชาท่ีจบการศึกษา ๑.๓ ไดรับคัดเลือกหรือเคยไดรับคัดเลือกเปนหัวหนากลุม/หัวหนา
ฝาย/หัวหนาหนวย ๑.๔ ความสามารถพิเศษ ๑.๕ อายุราชการ ๑.๖ ปฏิบัติงานหรือเคยปฏิบัติงาน
ในตําแหนงที่สมคั ร ๒. ผลงาน (๒๐ คะแนน) พิจารณาจาก ๒.๑ จํานวนคร้งั ทีไ่ ดร ับพิจารณาจากการเลื่อนขั้น
เงินเดือนในรอบ ๓ ป ตั้งแตปงบประมาณ ๒๕๔๗ – ๒๕๔๙ ๒.๒ ผลงานดีเดน (๑๕ คะแนน) ๓. อาวุโส
ในราชการ (๒๐ คะแนน) พิจารณาจากอาวุโสในราชการตามลาํ ดับ ดงั นี้ ๓.๑ ผูดํารงตําแหนงในระดับสูงกวา
เปน ผูอาวุโสกวา ๓.๒ ถาผูดาํ รงตาํ แหนงในระดับเดียวกนั ผดู ํารงตาํ แหนงในระดับนั้นมากอนเปน ผูอาวโุ สกวา
๓.๓ ถาผูดํารงตําแหนงในระดับน้ันพรอมกัน ผูดํารงตําแหนงในข้ันสูงกวาเปนผูอาวุโสกวา ๓.๔ ถารับ
เงินเดือนข้ันเดียวกัน ผูมีอายุราชการมากกวาเปนผูอาวุโสกวา ๓.๕ ถาอายุราชการเทากัน ผูไดรับ
พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภ รณ ชั้นสูงกวาเปนผูอาวุโสกวา ๓ .๖ ถาไดรับพระราชทาน
เครื่องราชอิสริยาภรณช้ันเดียวกัน ผูไดรับพระราชทานชั้นน้ันมากอนเปนผูอาวุโสกวา ๓.๗ ถาไดรับ
พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณช้ันนั้นพรอมกัน ผูมีอายุตัวมากกวาเปนผูอาวุโสกวา ๔. วินัย
(๑๕ คะแนน) พิจารณาจากการลงโทษทางวินัยต้ังแตรับราชการถึงปจจุบัน ๕. ความเหมาะสมอื่นและ
ประโยชนท่ีทางราชการไดรับ (๑๕ คะแนน) และ ๖. ในกรณีท่ีมีผูไดคะแนนรวมเทากัน ใหพิจารณาเรียง
ตามลาํ ดบั ดังน้ี ๖.๑ ผูไดคะแนนผลงานสูงกวา ๖.๒ ความสามารถและประสบการณสูงกวา ๖.๓ ผูท่มี ีอาวุโส
สูงกวา ๖.๔ ผูไมเคยถูกลงโทษทางวินัย ๖.๕ ผูที่มีคะแนนความเหมาะสมอื่นและประโยชนท่ีทางราชการ


Click to View FlipBook Version