การพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL โดย นางสาวเทพธิดา ประดิษฐผล รหัสนักศึกษา 6210440131008 รายงานวิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย (๔ ปี) (หลักสูตรปรับปรุง ๒๕๖๒) คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ปีการศึกษา ๒๕๖๕
การพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL โดย นางสาวเทพธิดา ประดิษฐผล รหัสนักศึกษา 6210440131008 รายงานวิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย (๔ ปี) (หลักสูตรปรับปรุง ๒๕๖๒) คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ปีการศึกษา ๒๕๖๕
THE DEVELOP READING COMPREHENSION ABILITIES OF MATHAYOMSUKSA 1 STUDENTS BY MANAGING LEARNING WITH THE KWL TECHNIQUE BY MISS THEPTHIDA PRADITPHON This research report is part of the study in the Bachelor of Education program. Department of Teaching Thai Language 4 years revised course B.E. 2022 Faculty of Education Mahamakut Wittayalai University Northeastern Campus academic year 2022
การอนุมัติผลวิจัย ชื่องานวิจัย : การพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL THE DEVELOP READING COMPREHENSION ABILITIES OF MATHAYOMSUKSA 1 STUDENTS BY MANAGING LEARNING WITH THE KWL TECHNIQUE คณะผู้วิจัย : นางสาวเทพธิดา ประดิษฐผล อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก : ผศ.ดร.ณัฐกิตติ์ สิริวัฒนาทากุล งานวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของ : การศึกษาตามหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย (๔ ปี) (หลักสูตรปรังปรุง พ.ศ. ๒๕๖๕) สาขาวิชา : การสอนภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน วันอนุมัติผลการวิจัย วันที่........../.........../............. ................................................... ................................................... (ผศ.ดร.ณัฐกิตติ์ สิริวัฒนาทากุล) (ผศ.ดร.ณัฐกิตติ์ สิริวัฒนาทากุล) อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย ประธานสาขาวิชาการสอนภาษาไทย ................................................... ................................................... (พระมหาศุภชัย สุภกิจฺโจ) (พระครูสุธีจริยวัฒน์, ผศ.ดร) ผูอํานวยการวิทยาลัยศาสนศาสตรอีสาน รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ปฏิบัติการแทนอธิการบดี
บทคัดย่อ ชื่องานวิจัย: การพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL THE DEVELOPMENT OF READING COMPREHENSION ABILITY OF MATHAYOMSUKSA 1 STUDENTS BY LEARNING MANAGEMENT WITH KWL ผู้วิจัย: นางสาวเทพธิดา ประดิษฐผล อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก: อาจารย์ผศ.ดร.ณัฐกิตติ์ สิริวัฒนาทากุล คำสำคัญ: การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL การวิจัยเรื่องการพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดย การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) แบบกลุ่ม เดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One Group Pretest-Posttest Design) โดยมีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลัง การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๒) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ถามกับเกณฑ์ที่กำหนด ร้อย ละ ๘๐ และ ๓) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธี สอนแบบ KWL กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ภาคเรียนที่ ๑ ปี การศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนกัลยาณวัตร อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาขอนแก่น จำนวน ๑ ห้องเรียน จำนวนนักเรียนทั้งสิ้น ๔๒ คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ตัวแปรตาม ได้แก่ 1) ความสามารถในการอ่านจับใจความ 2) ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL เครื่องที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่มีขั้นตอน พัฒนาการอ่านจับใจความ 2) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการอ่านจับใจความสำคัญ ด้วยเทคนิค KWL สถิติที่ใช้นการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละผลการวิจัยพบว่า ผลการพัฒนาความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 KWL ที่่มีค่าเฉลี่ยของความสามารถผ่านเกณฑ์ร้อยละ ๘๐ พบว่า มีนักเรียนที่มี ความสามารถในการอ่านจับใจความผ่านเกณฑ์โดยเฉลี่ยร้อยละ ๘2.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดร้อยละ ๘๐ และมีนักเรียนจำนวน ๔๒ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ที่ผ่านเกณฑ์ดังกล่าว จึงสรุปได้ว่านวัตกรรมเรื่อง เทคนิค KWL ช่วยพัฒนาความสามารถของนักเรียนให้อ่านจับใจความสำคัญผ่านเกณฑ์ ๘๐ ได้จริง และ 2) ผลของการศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีต่อการอ่านจับใจความสำคัญด้วย เทคนิค KWL พบว่านักเรียนมีความเห็นว่าตนเองได้ลงมือปฏิบัติมากที่สุด สรุปแล้ว นักเรียนมีความคิดเห็น ต่อวิธีการวิธีการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมนี้อยู่ในระดับมากที่สุด ก
กิตติกรรมประกาศ การอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้เทคนิค KWL สำเร็จลุล่วงได้ด้วย ความกรุณาและความอนุเคราะห์จาก อาจารย์ ผศ.ดร.ณัฐกิตติ์ สิริวัฒนาทาอาจารย์อาจารย์คชา ปราณีต พลกรัง และอาจารย์พัชรพร สาลีอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยที่กรุณาสละเวลาอันมีค่าให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ตลอดจนแก้ไข งานวิจัยเล่มนี้ให้มีความถูกต้องและสมบูรณ์ จนวิจัยสำเร็จลุล่วงได้ ด้วยดี ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณ เป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณ นางสาวเพียรจิตร ปัญญาวจี ซึ่งเป็นครูพี่เลี้ยงที่กรุณาให้การตรวจสอบและ ให้คำแนะนำเพื่อนำไปแก้ไขข้อบกพร่องวิจัยให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการโรงเรียนกัลยาณวัตร ที่ให้ความอนุเคราะห์ส่งเสริม สนับสนุนให้ ผู้วิจัยได้พัฒนาตนเอง ขอขอบพระคุณ คุณครูโรงเรียนกัลยาณวัตร ทุกท่านที่คอยให้กำลังใจและให้ คำปรึกษาแก่ผู้วิจัยมาโดยตลอด ขอขอบพระคุณ คุณครู อาจารย์ทุกท่านที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ ให้กับผู้วิจัย พร้อมทั้งเพื่อน ๆ สาขาวิชาการสอนภาษาไทยทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือเป็นกำลังใจให้ผู้วิจัย ผ่านพ้นอุปสรรค และมีแรงใจ ในการทำวิจัยครั้งนี้จนสำเร็จ ท้ายที่สุดนี้ขอกราบขอบพระคุณคุณพ่อแม่ ผู้ให้ชีวิต อบรมเลี้ยงดู พร้อมทั้งให้การสนับสนุนส่งเสริมผู้วิจัยได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็ม ความสามารถ ตลอดจนคอยห่วงใย และเป็นกำลังใจ จนทำวิจัยเล่มนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดีดังที่มุ่งหมายไว้ คุณค่า และประโยชน์จากงานวิจัยเล่มนี้ผู้วิจัยขอมอบเพื่อเป็นเครื่องบูชาพระคุณบิดา มารดา คณาจารย์ ทุกท่าน หนังสือ และตำราทุกเล่มที่ทำให้วิจัยนี้สำเร็จได้ด้วยดี ผู้วิจัย เทพธิดา ประดิษฐผล ข
สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ............................................................................................................................. .....................ก กิตติกรรมประกาศ............................................................................................. ......................................ข สารบัญ....................................................................................................................... .............................ค สารบัญตาราง............................................................................................................................. .............จ สารบัญภาพ........................................................................................................... ..................................ฉ บทที่ ๑ บทนำ……………………………………………………………………………….…………...................................๑ ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา………………………………………………...………..……...๑ ๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย……………………………………………….……………………....………..…...๔ ๑.๓ สมมติฐานของการ……………………………………………………………………………….…………….....๔ ๑.๔ ขอบเขตของการวิจัย…………………………………………………………………………..………………...๔ ๑.๕ นิยามศัพท์เฉพาะ……………………………………………………………………………………………….....๕ ๑.๖ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ…………………………………………………………………………….….......๕ ๒. วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องข้อง……………………………………………………………………………….…………..........๖ ๒.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้ภาษาไทย..๖ ๒.2 การอ่านจับใจความ..........................................................................................................๒๕ ๒.3 การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL .........................................................................๓๑ ๒.4 การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้........................................................................................๓๓ ๒.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง...........................................................................................................๓๗ ๓. วิธีดำเนินการ............................................................................................................................. ......๔๒ ๓.๑ ขั้นเตรียมการวิจัย.................................................................................................... .........๔๒ ๓.๒ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย...................................................................................................๔๓ ๓.๓ ขั้นสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ..........................................................................๔๓ ๓.๔ ขั้นดำเนินการวิจัย............................................................................................................ .๔๙ ๓.๕ ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล..........................................................................................๕๐ ๔. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................................... .......๕๒ ๔.๑ ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL............................๕๒ ๔.๒ ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หลังการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL เกณฑ์ที่กำหนด ร้อยละ ๘๐................................................................................................................................๕๓ ค
๔.๓ ผลการศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดย การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL...................................................................................๕๓ ๕. สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ.................................................................................................๕๖ ๕.๑ สรุปผลการวิจัย............................................................................................................. ....๕๖ ๕.๒ อภิปรายผล................................................................................................................... ....๕๗ ๕.๓ ข้อเสนอแนะ................................................................................................................. ....๖๑ ๕.๓.๑ ข้อเสนอแนะเพื่อนำผลการวิจัยไปใช้...............................................................๖๑ ๕.๓.๒ ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป.................................................................๖๒ ภาคผนวก............................................................................................................................. .................๖๓ ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย..............................................................................................๖๔ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL...........................................................................๖๕ แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ..............................................................๑๐๕ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL.......๑๑๑ ภาคผนวก ข การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.........................................................๑๑๒ ภาคผนวก ค รายนามผู้เชี่ยวชาญในการตรวจเครื่องมือ..................................................................๑๒๕ รายนามผู้เชี่ยวชาญในการตรวจเครื่องมือ................................................................ ๑๒๖ เอกสารอ้างอิง................................................................................................................ .......................๑๒๗ ประวัติผู้วิจัย..........................................................................................................................................๑๓๑ ง
สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางที่ ๒.๑ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการอ่าน ระดับชั้นมัธยมศึกษาที๑……….…....๑๐ ตารางที่ ๓.๑ มาตรประเมินค่า (Rating Scale) ๕ ระดับของลิเคิร์ท (Likert)........................................๔๗ ตารางที่ ๓.๒ เกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ยของกลุ่ม......................................................................๔๗ ตารางที่ ๓.๓ เกณฑ์ในการพิจารณาค่าเฉลี่ยความเห็น............................................................................๕๑ ตารางที่ ๔.๑ ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL.....................๕๔ ตารางที่ ๔.๒ ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หลังการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL กับเกณฑ์ที่กำหนด ร้อยละ ๘๐........................................................................................................................๕๕ ตารางที่ ๔.๓ ผลการศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL.....................................................................๕๖ ตารางที่ ๑ ค่าดัชนีความสอดคล้องที่ได้จากการประเมินความสอดคล้องของการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ทั้ง ๓ แผน..........................................................................................................................๑๑๓ ตารางที่ ๒ ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้แบบทดสอบ วัด ความสามารถการอ่านจับใจความโดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL....................................๑๑๖ ตารางที่ ๓ ค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL..........................................................................................๑๒๒ ตารางที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบ วัดความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑...............................๑๒๓ ตารางที่ ๕ คะแนนแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ ก่อนและหลังเรียนที่จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL........................................๑๒๔ จ
สารบัญภาพ หน้า แผนภูมิที่ ๓.๑ การสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ.......................................๔๗ แผนภูมิที่ ๓.๒ แผนภูมิแสดงขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มี การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL........................................................................๔๙ ฉ
บทที่ ๑ บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กำหนดกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เป็นสาระการเรียนรู้ที่จำเป็นต้องเรียน โดยแบ่งออกเป็น ๕ สาระการเรียนรู้ได้แก่ สาระที่ ๑ การอ่าน สาระที่ ๒ การเขียน สาระที่ ๓ การฟัง ดูและพูด สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย และสาระที่ ๕ วรรณคดีและ วรรณกรรม ซึ่งสาระที่ ๑ การอ่าน เป็นทักษะที่สำคัญทักษะหนึ่งเพราะเป็นทักษะที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถ แสวงหาความรู้จากสิ่งต่าง ๆ อีกได้ช่วยให้เข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่านได้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ ผู้ ที่เข้าใจในสิ่งที่อ่านและจับประเด็นในเรื่องที่อ่านได้อย่างรวดเร็ว ย่อมเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการรับสาร จากการอ่านและเป็นผู้ที่ทันต่อเหตุการณ์ ความสำเร็จในชีวิตการเรียนการศึกษา และการประกอบอาชีพหลาย อย่างขึ้นอยู่กับการอ่านเป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่ง ถ้าคิดให้ละเอียดลึกซึ้งแล้วจะเห็นได้ว่าในชีวิตคนเรานั้นแทบ ทุกชีวิตและทุกระดับชั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงการอ่านไปได้ เนื่องจากสารสนเทศในปัจจุบันมากมายที่ผู้อ่านได้อ่าน มากก็ย่อมมีความรู้มากมายตามสารสนเทศนั้น ๆ และความสำคัญของการอ่านว่าเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของพลเมืองให้เกิดความเจริญงอกงามทั้งในด้านความรู้ ความคิด สติปัญญาและรวมไปถึงวิจารณญาณ ผู้ที่ อ่านหนังสือมากย่อมได้รับความรู้มากและเป็นสมาชิกที่มีประสิทธิภาพของสังคม (กรมวิชาการ, ๒๕๕๑) การ อ่านมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เล็กจนโต มีความสำคัญต่อการพัฒนาอาชีพ และการศึกษา การอ่านเป็น หัวใจในการเรียนการสอนที่จะพัฒนาความรู้ความสามารถอยู่ตลอดเวลา เพราะจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้อ่าน ทำความเข้าใจกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ได้ แต่ถ้าอ่านไม่สม่ำเสมอผลที่ตามมาคือผู้อ่านต้องใช้เวลาอ่าน มากกว่าปกติ และจับใจความสำคัญได้ไม่ครบถ้วน นอกจากนี้ยังมีความสำคัญในการถ่ายทอดสิ่งที่อ่านให้ผู้อื่น ได้รับรู้ได้ตรงประเด็น ซึ่งสอดคล้องกับ จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ (๒๕๕๖: ๒) ที่กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านไว้ ว่า การอ่าน เป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต ต่อความเจริญในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์มาก การอ่านหนังสือนอกจากจะทำ ให้ผู้อ่านเป็นผู้หูตากว้างแล้ว คนอ่านจะเป็นผู้ทันต่อเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวของโลกปัจจุบัน และอาจเป็น เครื่องกระตุ้นให้เกิดความสงบในใจ ส่งเสริมวิจารณญาณและประสบการณ์ให้เพิ่มพูนขึ้น การอ่านยังทำให้ บุคคลที่มีประสิทธิภาพในการอ่านอยู่มาก สังคมนั้นย่อมจะเจริญพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสรุปได้ว่าการอ่าน นั้นมีความสำคัญต่อการพัฒนาอาชีพ และการศึกษา การอ่านเป็นหัวใจในการเรียนการสอนที่จะพัฒนาความรู้ ความสามารถอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ การอ่านจับใจความสำคัญเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนด้วยการอ่านอย่าง สม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านอ่านได้รวดเร็วและจับใจความได้ถูกต้อง เพราะจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้อ่านทำ ความเข้าใจกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ได้ แต่ถ้าอ่านไม่สม่ำเสมอผลที่ตามมาคือผู้อ่านต้องใช้เวลาอ่านมากกว่า ปกติ และจับใจความสำคัญได้ไม่ครบถ้วน การอ่านจับใจความสำคัญเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนด้วยการอ่านอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านอ่านได้ รวดเร็วและจับใจความได้ถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีความสำคัญในการถ่ายทอดสิ่งที่อ่านให้ผู้อื่นได้รับรู้ได้ตรง ประเด็น ดังที่ แววมยุรา เหมือนนิล (๒๕๔๑: ๑๗) ได้กล่าวว่า “การอ่านจับใจความเป็นความเข้าใจเรื่องที่อ่าน ระดับต้น และเป็นพื้นฐานสำคัญมากสำหรับการอ่านระดับสูงต่อไป เช่น ถ้านักเรียนจับใจความเรื่องที่อ่านไม่ได้ ก็คงไม่สามารถอ่านเพื่อวิจารณ์ว่าเรื่องนั้นดีหรือไม่ดีได้เลย” ส่วน อดิศร ขาวสะอาด (๒๕๕๕: ๒) กล่าวว่า “การอ่านจับใจความเป็นทักษะสำคัญ เพราะสามารถช่วยให้บุคคลทั่วไปเข้าใจถึงเรื่องที่อ่านรับรู้ข่าวสารให้ ถูกต้องสำหรับนักเรียนในการเรียนวิชาทุกวิชา ผู้เรียนจะใช้ทักษะ ในการอ่านจับใจความเป็นเครื่องมือในการ แสวงหาความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ การอ่านจับใจความจึงเป็นทักษะที่จำเป็นในการพัฒนาตนเอง
ตลอดจนทำให้การดำรงชีวิตประจำวันเป็นปกติสุขและมีคุณภาพ สอดคล้องกับ กานต์ธิดา แก้วกาม (๒๕๕๖: ๓๑) ที่กล่าวว่า การอ่านจับใจความเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เพราะเป็นทักษะพื้นฐานของการอ่าน ผู้ที่สามารถ จับใจความของสิ่งที่อ่านได้มาก ย่อมมีโอกาสรับรู้เรื่องราวได้ดีกว่าผู้ที่ไม่สามารถจับใจความได้ ดังนั้น ผู้อ่านจึง ต้องเรียนรู้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการอ่านจับใจความเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนาทักษะความสามารถด้าน การอ่านจับใจความ ดังที่ วันวิดา กิจเจา (๒๕๕๗: ๓๖) กล่าวว่า “การอ่านจับใจความสำคัญเป็นทักษะที่มี ความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการอ่านเนื้อเรื่องให้เข้าใจและถือเป็นหัวใจของการอ่านทั่ว ๆ ไป รวมถึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการแสวงหาความรู้ เพื่อพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” ซึ่ง สอดคล้องกับ พิบูลย์ ตัญญูบุตร ได้กล่าวว่า การอ่านนอกจากจะเป็นทักษะสำคัญทางการแสวงหาความรู้แล้ว การอ่านยังมีความสำคัญในแง่อื่น ๆ อีกมาก เช่น เป็นพื้นฐานในการเรียนวิชาอื่น ๆ เป็นเครื่องช่วยให้เกิด ความสำเร็จในการประกอบอาชีพ ก่อให้เกิดความรู้ความเพลิดเพลิน และมีประสบการณ์กว้างขวาง เป็น เครื่องมือช่วยในการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรม เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังมีผลต่อเนื่องไปถึงการพัฒนา คุณภาพชีวิตของพลเมืองในชาติด้วย อย่างไรก็ตามแม้ว่าการอ่านจับใจความสำคัญจะมีความสำคัญดังกล่าวข้างต้นยังพบว่า นักเรียนยังมี ปัญหาด้านดังกล่าว ดังสอดคล้องกับผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) ปีการศึกษา ๒๕๖๔ ที่มีผลเฉลี่ย สาระการเรียนรู้ภาษาไทย เฉลี่ย ๔๓.๙๓ และสาระที่ ๑ การอ่าน มีคะแนนเฉลี่ย ๔๓.๔๕ มีผลการประเมินยังไม่เป็นที่น่าพอใจ นอกจากนี้ ผลการทดสอบตามแนวทางการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ PISA ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีคะแนนเฉลี่ย อยู่ที่ ๕๕.๑๘ ซึ่งยังไม่ผ่านตามเกณฑ์พึงพอใจที่สถานศึกษา กำหนด คือ ร้อยละ ๖๐ (ข้อมูลผลการทดสอบโรงเรียนกัลยาณวัตร) ผู้วิจัยเป็นครูผู้สอนภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ พบว่าจากการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ในทักษะด้านการอ่านจับใจความสำคัญ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนค่อนข้างต่ำ ไม่บรรลุตามเป้าหมายของการจัดการเรียนรู้และไม่มีการพัฒนา จึงทำให้ผลการเรียน ที่ผ่านมายังไม่เป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากผลการเรียนเฉลี่ยในเรื่องนี้ไม่ผ่านตามเกณฑ์พึงพอใจที่สถานศึกษา กำหนด ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เรื่อง การอ่านจับใจความ สำคัญต่ำ พบว่า เกิดจากสาเหตุคือ ขาดสื่อและนวัตกรรมที่ช่วยฝึกทักษะและกระบวนการคิดเพื่อทำให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและประหยัดเวลาในการเรียนรู้ ซึ่งสื่อและนวัตกรรมนั้นสามารถให้ผู้เรียนศึกษา ด้วยตนเองได้ ผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานในเรื่องการอ่านจับใจความสำคัญน้อย ขาดความเข้าใจ ขาดทักษะ ไม่มี ความกระตือรือร้นในการเรียนเท่าที่ควร เพราะขาดสื่อและนวัตกรรมที่น่าสนใจ ผู้เรียนขาดทักษะความรู้ใน เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญและได้รับมอบหมายงานให้ทำที่ซ้ำซาก ไม่น่าสนใจ เพราะครูไม่มีสื่อและ นวัตกรรมที่ดี แบบฝึกหัดของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่จะนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ มีแบบฝึกหัดน้อย ไม่ครอบคลุมเนื้อหา ไม่ได้เรียงลำดับตามความยากง่าย และความแตกต่างระหว่าง บุคคล ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน เมื่อครูใช้สื่อและนวัตกรรมที่ไม่น่าสนใจหรือไม่ใช้สื่อเลย ทำให้ ผู้เรียนไม่สนใจที่จะเรียนรู้ในเรื่องที่ครูสอน วิธีการในการพัฒนาทักษะการอ่านนั้นมีอยู่หลายวิธี วิธีหนึ่งที่ได้รับการยอมรับมาเป็นเวลานานคือ เทคนิค KWL ซึ่งเป็นเทคนิคที่พัฒนาขึ้นโดย Ogle (๑๙๘๖) เทคนิค KWL เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียน เกิดทักษะกระบวนการอ่านอย่างเป็นลำดับขั้นตอน และนำทักษะการคิดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการอ่าน โดย ประกอบด้วยขั้นตอนในการสร้างองค์ความรู้พื้นฐาน ๓ ขั้นตอน ได้แก่ ๑. ขั้น K (what I know) หมายถึง การ เข้าถึงความรู้ที่ผู้เรียนมีอยู่ก่อนแล้วเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องที่จะอ่าน ๒. ขั้น W (what do I want to know) หมายถึง การกำหนดจุดมุ่งหมายเกี่ยวกับความรู้ที่ต้องการได้รับจากการอ่านและ ๓. ขั้น L (what I have 2
learned) หมายถึง การสรุปประเด็นและข้อความรู้ที่ได้รับหลังการอ่าน ในขั้นตอนเหล่านี้ ผู้เรียนจะต้องบันทึก องค์ความรู้ลงในแบบบันทึก KWL เพื่อสะท้อนความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่อ่าน ต่อมาเทคนิค KWL ได้รับการพัฒนา เพื่อให้นำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยใช้ชื่อเทคนิคว่า KWL Plus (Carr & Ogle, ๑๙๘๗) ซึ่ง สมศักดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์ (๒๕๔๔) ได้กล่าวถึงเทคนิค KWL Plus ไว้ว่าเป็นเทคนิคที่คงสาระเดิม ของ KWL ไว้แต่เพิ่มการเขียนแผนผังสัมพันธ์ทางความหมายและสรุปเรื่องที่อ่าน และ วัชรา เล่าเรียนดี (๒๕๔๗) ได้ขยายความเกี่ยวกับเทคนิค KWL Plus เพิ่มเติมว่า เป็นเทคนิคที่สามารถนำมาพัฒนาการอ่านได้ทุก ระดับ ประกอบด้วยส่วนที่สำคัญของเทคนิค KWL ทั้ง ๓ ขั้นตอนและเพิ่มเติมในส่วนของการทำแผนผังมโน ทัศน์หรือ แผนผังความคิด (mind mapping) เพื่อสรุปเรื่องราวต่าง ๆ ที่อ่านหลังจากจบกระบวนการ KWL นอกจากนี้จีรนันท์ พูลสวัสดิ์ (๒๕๕๔) ยังกล่าวว่า การสอนอ่านด้วยวิธี KWL Plus มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ นักเรียนมีส่วนร่วมในการอ่านอย่างกระตือรือร้น เป็นการอ่านที่ฝึกถามตนเอง การใช้ความคิด คิดในเรื่องที่อ่าน พัฒนาสมรรถภาพในการกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ในการอ่าน สรุปสาระสำคัญจากเรื่องที่อ่าน และ จัดการกับสาระความรู้ขึ้นมาใหม่ตามความเข้าใจของตนเอง และหากพิจารณาในแต่ละขั้นตอนของเทคนิค KWL Plus จะพบว่าทุกขั้นตอนมีข้อสนับสนุนที่มีเหตุผลในการนำเทคนิคนี้มาใช้เพื่อพัฒนาเป็นกระบวนการ จัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านจับใจความของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อค้นพบทั้งหมดที่ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาทักษะ การ อ่านจับใจความซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญในการแสวงหาความรู้ ดังนั้นผู้วิจัยจึงเลือกศึกษาการพัฒนา ความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ทั้งนี้เพื่อจะให้นักเรียนมีความสามารถ และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้นซึ่งผลการวิจัยครั้งนี้จะเป็น แนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนให้บรรลุจุดประสงค์และเป้าหมายของหลักสูตรที่กำหนดไว้ต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๑. เพื่อพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการจัดการ เรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๒. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ก่อนและหลัง การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL สมมติฐานของการวิจัย ๑. ความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธี สอนแบบ KWL เป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ ๘๐ ๒. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ขอบเขตของการวิจัย ๑. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ๑.๑ ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนกัลยาณวัตร อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในภาค เรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ จำนวน ๓ ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น ๑๒๖ คน 3
๑.๒ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ โรงเรียนกัลยาณวัตร อำเภอ เมือง จังหวัดขอนแก่น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียน ที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ จำนวน ๑ ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น ๔๒ คน ที่ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยวิธีจับสลาก โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ๒. ตัวแปรที่ศึกษา ๒.๑ ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๒.๒ ตัวแปรตาม คือ ๒.๒.๑ ความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่ จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๒.๒.๒ ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๓. ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง ผู้วิจัยได้กำหนดระยะเวลาในการทดลอง ในภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ใช้เวลาในการ ทดลอง ๒ สัปดาห์สัปดาห์ละ ๓ วัน วันละ ๑ คาบ คาบเรียนละ ๕๕ นาที ไม่รวมทดสอบก่อนเรียน/หลังเรียน ๒ คาบ รวมเป็น ๘ ชั่วโมง นิยามศัพท์เฉพาะ ๑. การอ่านจับใจความสำคัญ หมายถึง การอ่านที่ผู้อ่านต้องทำความเข้าใจเรื่องราวที่อ่านและต้องจับ สาระสำคัญ โดยแยกเป็นส่วน มีใจความสำคัญ ขยายใจความสำคัญของเรื่อง และสามารถที่จะเชื่อมโยง รายละเอียดที่สำคัญภายในเรื่องได้ ๒. ความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ หมายถึง คะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนกัลยาณวัตร โดยมีลักษณะเป็นแบบทดสอบ แบบปรนัย แบบเลือกตอบ ๔ ตัวเลือก จำนวน ๒๐ ข้อ ๓. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียน กัลยาณวัตรอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ซึ่งกำลัง ศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ๔. การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWL หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านตามเทคนิค KWL ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ครูจัดกิจกรรมกระตุ้นความสนใจของนักเรียนเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่เรื่องที่จะอ่าน เช่น ให้ดูภาพที่สัมพันธ์กับเรื่องที่อ่าน เกมทางการศึกษา การใช้คำถามพร้อมทั้งแจกและอธิบายการดำเนิน กิจกรรมตามใบงาน ขั้นกิจกรรมการอ่านจับใจความ และการคิดวิเคราะห์ โดยใช้เทคนิค KWL มีขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ ๑ กิจกรรมก่อนการอ่าน หมายถึง ขั้น K (What we Know) นักเรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่อง ที่จะอ่าน ครูให้คำถามกระตุ้นให้นักเรียนระดมสมองถึงสิ่งที่นักเรียนรู้แล้วนำข้อมูลมาบันทึกไว้ในช่อง K 4
ขั้นที่ ๒ กิจกรรมระหว่างการอ่าน หมายถึง ขั้น W (What we Want to Know) นักเรียนต้อง เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่จะอ่าน โดยให้นักเรียนกำหนดคำถามร่วมกับครู แล้วบันทึกลงในช่อง W ขั้นที่ ๓ กิจกรรมหลังการอ่าน หมายถึง L (What we have to Learned) นักเรียนได้เรียนรู้ อะไรบ้างจากเรื่องที่อ่าน โดยภายหลังจากการอ่านเรื่องนักเรียนเลือกข้อมูลที่ได้จากการอ่านมาตอบคำถามใน ช่อง W แล้วนำข้อมูลมาเปรียบเทียบระหว่างข้อมูลเดิม ที่ตนเองมีอยู่กับข้อมูลที่ได้รับ แล้วบันทึกลงในช่อง L ขั้นที่ ๔ กิจกรรมสรุปเรื่องที่อ่าน ให้นักเรียนเขียนสรุปใจความสำคัญจากเรื่องที่อ่านโดยการบันทึก ใส่สมุดส่วนตัวแล้วนำเสนอหน้าชั้นเรียน การวัดและประเมินผล โดยตรวจใบงานและให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียน ครูและนักเรียนร่วมกัน ประเมินผล ประโยชนที่ได้รับ ๑. ได้แนวทางการพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๒. เผยแพร่ผลการวิจัยให้ครูผู้สอนในรายวิชาเดียวกันได้นำไปใช้แก้ปัญหา/พัฒนาให้แก่นักเรียนได้อย่างมี ประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด 5
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องตามลำดับ ตามหัวข้อต่อไปนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้ภาษาไทย 2. การอ่านจับใจความ 3. การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL 4. การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ความนำ ภาษาไทยเป็นเครื่องมือของคนในชาติเพื่อการสื่อสารทำความเข้าใจกันและใช้ภาษาในการประกอบ กิจการงานทั้งส่วนตน ครอบครัว กิจกรรมทางสังคมและประเทศชาติ เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ การบันทึก เรื่องราวจากอดีตถึงปัจจุบัน และเป็นวัฒนธรรมของชาติ ดังนั้นการเรียนภาษาไทย จึงต้องเรียนรู้เพื่อให้เกิด ทักษะอย่างถูกต้อง เหมาะสมในการสื่อสา เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ แสวงหาความรู้และประสบการณ์ เรียนรู้ในฐานะเป็นวัฒนธรรมทางภาษา ให้เกิดความชื่นชม ซาบซึ้ง และภูมิใจในภาษาไทย โดยเฉพาะคุณค่า ทางวรรณคดี และภูมิปัญญา ทางภาษาของบรรพบุรุษที่ได้สร้างสรรค์ไว้อันเป็นส่วนเสริมสร้างความงดงามใน ชีวิต การเรียนรู้ภาษาไทยย่อมเกี่ยวพันกับความคิดของมนุษย์ เพราะภาษาเป็นสื่อของความคิด การ เรียนรู้ภาษาไทยจึงต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดสร้างสรรค์ คิดวิพากษ์วิจารณ์ คิดตัดสินใจแก้ปัญหา และ วินิจฉัยอย่างมีเหตุผล ขณะเดียวกันการใช้ภาษาอย่างมีเหตุผล ใช้ในทางสร้างสรรค์และใช้ภาษาอย่าง สละสลวยงดงาม ย่อมสร้างเสริมบุคลิกภาพของผู้ใช้ภาษาให้เกิดความน่าเชื่อถือและเชื่อภูมิด้วย ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การอ่านและการ ฟังเป็นทักษะของการรับรู้เรื่องราว ความรู้และประสบการณ์ ส่วนการพูดและการเขียน เป็นทักษะของการ แสดงออกด้วยการแสดงความคิดความเห็น ความรู้และประสบการณ์ การเรียนภาษาไทยจึงต้องเรียนเพื่อการ สื่อสารให้สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างพินิจพิเคราะห์เลือกใช้คำ เรียบเรียงความคิด ความรู้ และใช้ภาษา ได้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ได้ตรงตามความหมายและถูกต้องตามกาลเทศะ บุคคล และมีประสิทธิภาพ ภาษาไทยมีส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระ ได้แก่ กฎเกณฑ์ทางภาษา ซึ่งผู้ใช้ภาษาจะต้องรู้และใช้ภาษาให้ ถูกต้อง นอกจากนั้นยังมีวรรณคดีและวรรณกรรม ตลอดจนบทร้องเล่นของเด็ก เพลงกล่อมเด็ก ปริศนาคำ ทาย เพลงพื้นบ้าน วรรณกรรมพื้นบ้าน เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ซึ่งมีคุณค่า การเรียนภาษาไทยจึงต้อง เรียนวรรณคดี วรรณกรรม ภูมิปัญญาทางภาษาที่ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีตและความงดงามของภาษาในบทประพันธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองประเภทต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งและความภูมิใจในสิ่งที่บรรพบุรุษได้สั่งสมและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
วิสัยทัศน์ มุ่งให้นักเรียนนำความรู้ไปใช้ในการสื่อสารทั้งด้านการอ่าน การฟัง ดู พูดและเขียน มี ความคิดสร้างสรรค์ รักการอ่าน การเขียน การแสวงหาความรู้ ตระหนักในวัฒนธรรม การใช้ภาษาไทย และความเป็นไทย ภูมิใจและชื่นชมในวรรณคดี วรรณกรรม ภูมิปัญญาทางภาษา สามารถนำทักษะ ทางภาษามาพัฒนาตนเองและประยุกต์ในการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างมี ประสิทธิภาพ เหมาะสมตามสถานการณ์ มีคุณธรรม จริยธรรม ก้าวไปในสากลบนพื้นฐานความเป็น ไทยอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข พันธกิจ 1. พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพในการใช้ภาษาไทยให้มีมาตรฐานการศึกษาชาติ 2. พัฒนาระบบการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพ 3. พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูดตลอดจนการใช้ ภาษาให้มีประสิทธิภาพ 4. พัฒนาผู้เรียนให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ โดยใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการ แสวงหา ความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ 5. ปลูกฝังให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าและภาคภูมิใจในภาษาไทย ภูมิปัญญาไทย ในฐานะที่เป็น มรดกของชาติ 6. นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาบูรณาการในการจัดการเรียนการสอนภาษาไทย สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้น จะช่วยให้ ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมใน การใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจา ต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อ ตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และคิดอย่างเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้าง องค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ 7
เข้าใจความสัมพันธ์ในสังคมแสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาและมี การตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วย การสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อมและการรู้จัก หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยี ด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการ เรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม (กระทรวง ศึกษาธิการ, 2551 : 5) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็น พลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์สุจริต 3. มีวินัย 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ เกณฑ์การจบหลักสูตร เกณฑ์การจบการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น - เรียนรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติมโดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 66 หน่วยกิตและรายวิชา เพิ่มเติมตามที่สถานศึกษากำหนด - ต้องได้หน่วยกิต ตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 66 หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 11 หน่วยกิต - ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนผ่านเกณฑ์ตามที่สถานศึกษากำหนด - ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ผ่านเกณฑ์ตามที่สถานศึกษากำหนด - ผลการเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนผ่านเกณฑ์ตามที่สถานศึกษากำหนด 8
เกณฑ์การจบการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย - เรียนรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติมโดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 41 หน่วยกิตและรายวิชา เพิ่มเติมตามที่สถานศึกษากำหนด - ต้องได้หน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 41 หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 36 หน่วยกิต - ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนผ่านเกณฑ์ตามที่สถานศึกษากำหนด - ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ผ่านเกณฑ์ตามที่สถานศึกษากำหนด - ผลการเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนผ่านเกณฑ์ตามที่สถานศึกษากำหนด สาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัด สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียน เรื่องราวในรูปแบบต่างๆเขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสิทธิภาพ สาระที่ 3 การฟัง การดูและการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ความคิด ความรู้สึกในโอกาสต่างๆอย่างมีวิจารณญาณ และสร้างสรรค์ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา และพลัง ของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษา ภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดี ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการ ดำเนินชีวิต และนิสัยรักการอ่าน 9
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม. 1 2. อ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว และ บทร้อยกรองได้ถูกต้องเหมาะสม เรื่องที่อ่าน • การอ่านออกเสียงประกอบด้วย - บทร้อยแก้วที่เป็นบทบรรยาย - บทร้อยกรอง เช่น กลอนสุภาพ กลอน สักวา กาพย์ยานี 22 กาพย์ฉบัง 26 กาพย์ สุรางคนางค์ 28 และโคลงสี่สุภาพ 2. จับใจความสำคัญจากเรื่องที่อ่าน 3.ระบุเหตุและผล และข้อเท็จจริง กับข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน 4. ระบุและอธิบายคำเปรียบเทียบ และคำที่มีหลายความหมายใน บริบทต่างๆจากการอ่าน 5. ตีความคำยากในเอกสารวิชาการ โดยพิจารณาจากบริบท 6. ระบุข้อสังเกตและความ สมเหตุสมผลของงานเขียนประเภท ชักจูงโน้มน้าว ใจ • การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ เช่น - เรื่องเล่าประสบการณ์ - เรื่องสั้น - บทสนทนา - นิทานชาดก - วรรณคดีในบทเรียน - งานเขียนเชิงสร้างสรรค์ - บทความ - สารคดี - บันเทิงคดี - เอกสารทางวิชาการที่มีคำ ประโยค และ ข้อความที่ต้องใช้บริบทช่วยพิจารณาความหมาย - งานเขียนประเภทชักจูงโน้มน้าวใจเชิง สร้างสรรค์ 7. ปฏิบัติตามคู่มือแนะนำวิธีการใช้ งานของเครื่องมือหรือเครื่องใช้ใน ระดับที่วากขึ้น • การอ่านและปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ 8. วิเคราะห์คุณค่าที่ได้รับจากกการ อ่านงานเขียนอย่างหลากหลายเพื่อ นำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิต • การอ่านหนังสือตามความสนใจ เช่น - หนังสือที่นักเรียนสนใจและเหมาะสมกับวัย - หนังสืออ่านที่ครูกับนักเรียนกำหนดร่วมกัน 9. มีมารยาทในการอ่าน • มารยาทในการอ่าน ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม. 2 1. อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและ บทร้อยกรองได้ถูกต้อง • การอ่านออกเสียงประกอบด้วย - บทร้อยแก้วที่เป็นบทบรรยายและบท พรรณนา 10
- บทร้อยกรอง เช่น กลอนบทละคร กลอน นิทาน กลอนเพลงยาว และกาพย์ห่อโคลง 2. จับใจความสำคัญ สรุปความ และอธิบายรายละเอียดจากเรื่องที่ อ่าน 3. เขียนแผนผังความคิดเพื่อแสดง ความเข้าใจในบทเรียนต่างๆที่อ่าน 4. อภิปรายแสดงความคิดเห็นและ ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน 5. วิเคราะห์และจำแนกข้อเท็จจริง ข้อมูลสนับสนุนและข้อคิดเห็นจาก บทความที่อ่าน 6. ระบุข้อสังเกตการชวนเชื่อ การ โน้มน้าว หรือความสมเหตุสมผล ของงานเขียน • การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ เช่น - วรรณคดีในบทเรียน - บทความ - บันทึกเหตุการณ์ - บทสนทนา - บทโฆษณา - งานเขียนประเภทโน้มน้าวใจ - งานเขียนหรือบทความแสดงข้อเท็จจริง - เรื่องราวจากบทเรียนในกลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย และกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น 7. อ่านหนังสือ บทความหรือคำ ประพันธ์อย่างหลากหลายและ ประเมินคุณค่าหรือแนวคิดที่ได้จาก การอ่าน เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาใน ชีวิต • การอ่านตามความสนใจ เช่น - หนังสืออ่านนอกเวลา - หนังสือที่นักเรียนสนใจและเหมาะสมกับ วัย - หนังสืออ่านที่ครูกับนักเรียนกำหนดร่วมกัน 8. มีมารยาทในการอ่าน • มารยาทในการอ่าน ม. 3 1. อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและ บทร้อยกรองได้ถูกต้องและ เหมาะสมกับเรื่องที่อ่าน • การอ่านออกเสียงประกอบด้วย - บทร้อยแก้วที่เป็นบทความทั่วไปและ บทความปกิณกะ - บทร้อยกรอง เช่น กลอนบทละคร กลอน เสภา กาพย์ยานี 11 กาพย์ฉบัง 16 และโคลงสี่สุภาพ 11
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 2. ระบุความแตกต่างของคำที่มีความหมาย โดยตรงและความหมายโดยนัย 3. ระบุใจความสำคัญและรายละเอียดของ ข้อมูลที่สนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน 4.อ่านเรื่องต่างๆแล้วเขียนกรอบแนวคิด ผัง ความคิด บันทึก ย่อความและรายงาน 5. วิเคราะห์วิจารณ์และประเมินเรื่องที่อ่านโดย ใช้กลวิธีการเปรียบเทียบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ดี ขึ้น 6. ประเมินความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้สนับสนุน ในเรื่องที่อ่าน 7. วิจารณ์ความสมเหตุสมผล การลำดับความ และความเป็นไปได้ของเรื่อง 8. วิเคราะห์เพื่อแสดงความคิดเห็นโต้แย้งกับ เรื่องที่อ่าน • การอ่านจับใจความจากสื่อ ต่างๆ เช่น - วรรณคดีในบทเรียน - ข่าวและเหตุการณ์สำคัญ - บทความ - บันเทิงคดี - สารคดี - สารคดีเชิงปฏิบัติ - ตำนาน - งานเขียนเชิงสร้างสรรค์ - เรื่องราวจากบทเรียนใน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น 9. ตีความและประเมินคุณค่า และแนวคิดที่ได้ จากงานเขียนอย่างหลากหลายเพื่อนำไปใช้ แก้ปัญหาชีวิต • การอ่านตามความสนใจ เช่น - หนังสืออ่านนอกเวลา - หนังสือที่นักเรียนสนใจและ เหมาะสมกับวัยของนักเรียน - หนังสืออ่านที่ครูกับนักเรียน กำหนดร่วมกัน 10. มีมารยาทในการอ่าน • มารยาทในการอ่าน 12
ม.4-ม.6 1. อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรอง ได้อย่างถูกต้องและไพเราะเหมาะสมกับเรื่องที่ อ่าน • การอ่านออกเสียง ประกอบด้วย - บทร้อยแก้วประเภทต่างๆ บทความ นวนิยาย และความ เรียง - บทร้อยกรอง เช่น โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย และลิลิต ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 2. ตีความ แปลความ และขยายความเรื่องที่ อ่าน 3.วิเคราะห์วิจารณ์เรื่องที่อ่านในทุกๆด้านอย่างมี เหตุผล 4.คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่านและ ประเมินค่าเพื่อนำความรู้ความคิดไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต 5.วิเคราะห์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นโต้แย้งกับ เรื่องที่อ่านและเสนอความคิดใหม่อย่างมีเหตุผล 6.ตอบคำถามจากการอ่านประเภทต่างๆภายใน เวลาที่กำหนด 7.อ่านเรื่องต่างๆแล้วเขียนกรอบแนวคิด ผัง ความคิด บันทึก ย่อความ และรายงาน 8. สังเคราะห์ความรู้จากการอ่าน สื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์และแหล่งเรียนรู้ต่างๆมา พัฒนาตนมาพัฒนาการเรียนและพัฒนาความรู้ ทางอาชีพ • อ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ เช่น - ข่าวสารจากสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อ อิเล็กทรอนิกส์และแหล่งเรียนรู้ ต่างๆในชุมชน - บทความ - นิทาน - เรื่องสั้น - นวนิยาย - วรรณกรรมพื้นบ้าน - วรรณคดีในบทเรียน - บทโฆษณา - สารคดี - บันเทิงคดี - ปาฐกถา - พระบรมราโชวาท - เทศนา - คำบรรยาย - คำสอน 13
- บทร้อยกรองร่วมสมัย - บทเพลง - บทอาเศียรวาท - คำขวัญ 9. มีมารยาทในการอ่าน • มารยาทในการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวใน รูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม. 1 1. คัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด • การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด ตามรูปแบบการเขียนตัวอักษรไทย 2. เขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำถูกต้อง ชัดเจน เหมาะสม และสละสลวย • การเขียนสื่อสาร เช่น -การเขียนแนะนำตนเอง -การเขียนแนะนำสถานที่สำคัญๆ -การเขียนบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 3. เขียนบรรยายประสบการณ์โดยระบุ สาระสำคัญและรายละเอียดสนับสนุน • การบรรยายประสบการณ์ 4. เขียนเรียงความ • การเขียนเรียงความเชิงพรรณนา 5. เขียนย่อความจากเรื่องที่อ่าน • การเขียนย่อความจากสื่อต่างๆ เช่น เรื่องสั้น คำสอน โอวาท คำปราศรัย สุนทรพจน์ รายงาน ระเบียบ คำสั่ง บทสนทนาเรื่องเล่าประสบการณ์ 6. เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ สาระจากสื่อที่ได้รับ • การเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ สาระจากสื่อต่างๆ เช่น - บทความ - หนังสืออ่านนอกเวลา - ข่าวและเหตุการณ์ประจำวัน - เหตุการณ์สำคัญต่างๆ 7. เขียนจดหมายส่วนตัวและจดหมาย กิจธุระ • การเขียนจดหมายส่วนตัว - จดหมายขอความช่วยเหลือ - จดหมายแนะนำ • การเขียนจดหมายกิจธุระ - จดหมายสอบถามข้อมูล 14
8. เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าและ โครงงาน • การเขียนรายงาน ได้แก่ - การเขียนรายงานจากการศึกษา ค้นคว้า - การเขียนรายงานโครงงาน ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 9. มีมารยาทในการเขียน • มารยาทในการเขียน ม. 2 1. คัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด • การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด ตามรูปแบบการเขียนตัวอักษรไทย 2. เขียนบรรยายและเขียนพรรณนา • การเขียนบรรยายและเขียนพรรณนา 3. เขียนเรียงความ • การเขียนเรียงความเกี่ยวกับ ประสบการณ์ 4.เขียนย่อความ • การเขียนย่อความจากสื่อต่างๆ เช่น นิทานคำสอน บทความทางวิชาการ บันทึกเหตุการณ์เรื่องราวในบทเรียน ในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น นิทาน ชาดก 5. การรายงานการศึกษาค้นคว้า • การเขียนรายงาน ได้แก่ - การเขียนรายงานจากการศึกษา ค้นคว้า - การเขียนรายงานโครงงาน 6.เขียนจดหมายกิจธุระ • การเขียนจดหมายกิจธุระ - เขียนจดหมายเชิญวิทยากร - จดหมายขอความอนุเคราะห์ 7. เขียนวิเคราะห์วิจารณ์และแสดง ความรู้ ความคิดเห็น หรือโต้แย้งในเรื่อง ที่อ่านอย่างมีเหตุผล • การเขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และ แสดงความรู้ ความคิดเห็น หรือ โต้แย้งจากสื่อต่างๆ เช่น - บทความ - บทเพลง - หนังสืออ่านนอกเวลา - สารคดี - บันเทิงคดี 8. มีมารยาทในการเขียน • มารยาทในการเขียน 15
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม. 3 1. คัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด • การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด ตามรูปแบบการเขียนตัวอักษรไทย 2. เขียนข้อความโดยใช้ถ้อยคำได้ ถูกต้องตามระดับภาษา • การเขียนข้อความตามสถานการณ์ และโอกาสต่างๆ เช่น - คำอวยพรในโอกาสต่างๆ - คำขวัญ - คำคม - โฆษณา - คติพจน์ - สุนทรพจน์ 3. เขียนชีวประวัติหรืออัตชีวประวัติโดย เล่าเหตุการณ์ ข้อคิดเห็นและทัศนคติใน เรื่องต่างๆ • การเขียนอัตชีวประวัติหรือชีวประวัติ 4. เขียนย่อความ • การเขียนย่อความจากสื่อต่างๆ เช่น นิทาน ประวัติ ตำนาน สารคดีทาง วิชาการ พระราชดำรัส พระบรม ราโชวาท จดหมายราชการ 5. เขียนจดหมายกิจธุระ • การเขียนจดหมายกิจธุระ - เขียนจดหมายเชิญวิทยากร - จดหมายขอความอนุเคราะห์ - จดหมายแสดงความขอบคุณ 6. เขียนอธิบายชี้แจง แสดงความ คิดเห็นและโต้แย้งอย่างมีเหตุผล • การเขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความ คิดเห็นและโต้แย้งในเรื่องต่างๆ 7. เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดง ความรู้ ความคิดเห็น หรือโต้แย้งในเรื่อง ต่างๆ • การเขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และ แสดงความรู้ ความคิดเห็น หรือ โต้แย้งจากสื่อต่างๆ เช่น - บทโฆษณา - บทความทางวิชาการ 16
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 8. กรอกแบบสมัครงานพร้อมเขียน บรรยายเกี่ยวกับความรู้และทักษะของ ตนเองที่เหมาะสมกับงาน • การกรอกแบบสมัครงาน 9. การรายงานการศึกษาค้นคว้าและ โครงงาน • การเขียนรายงาน ได้แก่ - การเขียนรายงานจากการศึกษา ค้นคว้า - การเขียนรายงานโครงงาน 10. มีมารยาทในการเขียน • มารยาทในการเขียน ม. 4-ม.6 1. เขียนสื่อสารในรูปแบต่างๆได้ตรง ตามจุดประสงค์ โดยใช้ภาษาเรียบเรียง ถูกต้อง มีข้อมูล และสาระสำคัญชัดเจน • การเขียนสื่อสารในรูปแบบต่างๆ เช่น - อธิบาย - บรรยาย - พรรณนา - แสดงทัศนะ - โต้แย้ง - โน้มน้าว - เชิญชวน - ประกาศ - จดหมายกิจธุระ - โครงการและรายงานการดำเนิน โครงงาน - รายงานการประชุม - การกรอกแบบรายการต่างๆ 2. เขียนเรียงความ • การเขียนเรียงความ 3. เขียนย่อความจากสื่อที่มีรูปแบบ และเนื้อหาหลากหลาย • การเขียนย่อความจากสื่อต่างๆ เช่น - กวีนิพนธ์และวรรณคดี - เรื่องสั้น สารคดี นวนิยาย บทความ ทางวิชาการ และวรรณกรรมพื้นบ้าน 4. ผลิตงานเขียนของตนเองในรูปแบบ ต่างๆ • การเขียนในรูปแบบต่างๆ เช่น - สารคดี - บันเทิงคดี 17
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 5. ประเมินงานเขียนของผู้อื่นแล้วนำมา พัฒนางานเขียนของตนเอง • การประเมินคุณค่างานเขียนในด้าน ต่างๆ เช่น - แนวคิดของผู้เขียน - การใช้ถ้อยคำ - การเรียบเรียง - สำนวนโวหาร - กลวิธีในการเขียน 6. เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าเรื่อง ที่สนใจตามหลักการเขียนเชิงวิชาการ และใช้ข้อมูลสาสนเทศอ้างอิงอย่าง ถูกต้อง • การเขียนรายงานเชิงวิชาการ • การเขียนอ้างอิงข้อมูลสารสนเทศ 7.บันทึกการศึกษาค้นคว้าเพื่อนำไป พัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ • การเขียนบันทึกความรู้จากแหล่ง เรียนรู้ที่หลากหลาย 8. มีมารยาทในการเขียน • มารยาทในการเขียน สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณและพูดแสดงความรู้ ความคิดและ ความรู้สึกในโอกาสต่างๆอย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม. 1 1. พูดสรุปใจความสำคัญของเรื่องที่ ฟังและดู 2. เล่าเรื่องย่อจากเรื่องที่ฟังและดู 3. พูดแสดงความคิดเห็นอย่าง สร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและดู 4. ประเมินความน่าเชื่อถือของสื่อที่มี เนื้อหาโน้มน้าวใจ • การพูดสรุปความ พูดแสดงความรู้ ความคิดอย่างสร้างสรรค์จากเรื่องที่ ฟังและดู • การพูดประเมินความน่าเชื่อถือของ สื่อที่มีเนื้อหาโน้มน้าว 5. พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ ศึกษาค้นคว้าจากการฟัง การดู และ การสนทนา • การพูดรายงานการศึกษาค้นคว้า จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆในชุมชน และ ท้องถิ่นของตน 6. มีมารยาทในการฟัง การดู และ การพูด • มารยาทในการฟัง การดู และการ พูด ม.2 1. พูดสรุปใจความสำคัญของเรื่องที่ ฟังและดู • การพูดสรุปความจากเรื่องที่ฟังและ ดู 18
2. วิเคราะห์ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น แลละความน่าเชื่อถือของข่าวสารจาก สื่อต่างๆ 3. วิเคราะห์และวิจารณ์เรื่องที่ฟังและ ดูอย่างมีเหตุผลเพื่อนำข้อคิดมา ประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต • การพูดวิเคราะห์และวิจารณ์จาก เรื่องที่ฟังและดู 4. พูดในโอกาสต่างๆได้ตรงตาม วัตถุประสงค์ • การพูดในโอกาสต่างๆ เช่น - การพูดอวยพร - การพูดโน้มน้าว - การพูดโฆษณา 5. พูดรายงานเรืองหรือประเด็นที่ ศึกษาค้นคว้า • การพูดรายงานการศึกษาค้นคว้าจาก แหล่งเรียนรู้ต่างๆ 6. มีมารยาทในการฟังการดู และการ พูด • มารยาทในการฟัง การดู และการพูด ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.3 1. แสดงความคิดเห็นและประเมินเรื่อง จากการฟังและการดู 2. วิเคราะห์และวิจารณ์เรื่องที่ฟังและดู เพื่อนำข้อคิดมาประยุกต์ใช้ในการ ดำเนินชีวิต • การพูดแสดงความคิดเห็นและ ประเมินเรื่องจาการฟังและการดู • การพูดวิเคราะห์วิจารณ์จากเรื่องที่ ฟังและดู 3. พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ศึกษา ค้นคว้าจากการฟัง การดู และการ สนทนา • การพูดรายงานการศึกษาค้นคว้า เกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น 4. พูดในโอกาสต่างๆได้ตรงตาม วัตถุประสงค์ • การพูดในโอกาสต่างๆ เช่น - การพูดโต้วาที - การอภิปราย - การพูดยอวาที 5. พูดโน้มน้าวโดยนำเสนอหลักฐาน ตามลำดับเนื้อหาอย่างมีเหตุผลและ น่าเชื่อถือ • การพูดโน้มน้าว 6. มีมารยาทในการฟัง การดู และการ พูด • มารยาทในการฟัง การดู และการพูด ม. 4- ม. 6 1. สรุปแนวคิดและแสดงความคิดเห็น จากเรื่องที่ฟังและดู • การพูดสรุปแนวคิด และการแสดง ความคิดเห็นจากเรื่องที่ฟังและดู 19
2. วิเคราะห์แนวคิดการใช้ภาษา และ ความน่าเชื่อถือจากเรื่องที่ฟังและดูอย่าง มีเหตุผล 3.ประเมินเรื่องที่ฟังและดู แล้วกำหนด แนวทางนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนิน ชีวิต 4.มีวิจารณญาณในการเลือกเรื่องที่ฟัง และดู • การวิเคราะห์แนวคิด การใช้ภาษา และความน่าเชื่อถือจากเรื่องที่ฟัง และดู • การเลือกเรื่องที่ฟังและดูอย่างมี วิจารณญาณ • การประเมินเรื่องที่ฟังและดูเพื่อ กำหนดแนวทางนำไปประยุกต์ใช้ 5. พูดในโอกาสต่างๆ พูดแสดงทรรศนะ โต้แย้ง โน้มน้าวใจ และเสนอแนวคิดใหม่ด้วย ภาษาถูกต้องเหมาะสม • การพูดในโอกาสต่างๆ เช่น - การพูดต่อที่กระชุม - การพูดอภิปราย 6. มีมารยาทในการฟัง การดู และการ พูด - การพูดแสดงทรรศนะ - การพูดโน้มน้าวใจ • มารยาทในการฟัง การดู และการ พูด สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1.อธิบายลักษณะของเสียงในภาษาไทย • เสียงในภาษาไทย 2.สร้างคำในภาษาไทย • การสร้างคำ - คำประสม คำซ้ำ คำซ้อน - คำพ้อง 3.วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ของคำใน ประโยค • ชนิดและหน้าที่ของคำ 4.วิเคราะห์ของภาษาพูดและภาษา เขียน • ภาษาพูด • ภาษาเขียน 5.แต่งบทร้อยกรอง • กาพย์ยานี 11 6.จำแนกและใช้สำนวนที่เป็นคำพังเพย และสุภาษิต • สำนวนที่เป็นคำพังเพย • • 20
ม.2 1.สร้างคำในภาษาไทย • การสร้างคำสมาส 2.วิเคราะห์โครงสร้างประโยคสามัญ ประโยครวม และประโยคซ้อน • ลักษณะของประโยคในภาไทย - ประโยคสามัญ - ประโยครวม - ประโยคซ้อน 3.แต่งบทร้อยกรอง • กลอนสกลอนสุภาพ 4.ใช้คำราชาศัพท์ • คำราชาศัพท์ 5.รวบรวมและอธิบายความหมายของ คำภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย • คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.3 1.จำแนกและใช้ภาษาต่างประเทศที่ใช้ ในภาษาไทย คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ 2.วิเคราะห์โครงสร้างประโยคซับซ้อน ประโยคซับซ้อน 3.วิเคราะห์ระดับภาษา ระดับภาษา 4.ใช้คำทับศัพท์และศัพท์บัญญัติ คำทับศัพท์ คำศัพท์บัญญัติ 5.อธิบายความหมายคำศัพท์ทาง วิชาการและวิชาชีพ คำศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ 6.แต่งบทร้อยกรอง โคลงสี่สุภาพ ม.4-6 1.อธิบายธรรมชาติของภาษา พลังของ ภาษา และลักษณะของภาษา ธรรมชาติของภาษา พลังของภาษา ลักษณะของภาษา - เสียงในภาษา - ส่วนประกอบของภาษา - องค์ประกอบของพยางค์และคำ 2.ใช้คำและกลุ่มคำสร้างประโยคตรง ตามวัตถุประสงค์ การใช้คำและกลุ่มคำสร้างประโยค - คำและสำนวน - การร้อยเรียงประโยค - การเพิ่มคำ - การใช้คำ - การเขียนสะกดคำ 21
สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่า และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1.สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรม ที่อ่าน • วรรณคดีและวรรณกรรมเกี่ยวกับ - ศาสนา - ประเพณี - พิธีกรรม - สุภาษิตคำสอน - เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ - บันเทิงคดี - บันทึกการเดินทาง - วรรณกรรมท้องถิ่น 2.วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมที่ อ่านพร้อมยกเหตุผลประกอบ 3.อธิบายคุณค่าของวรรณคดีและ วรรณกรรมที่อ่าน 4.สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่าน เพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง • การวิเคราะห์คุณค่าและข้อคิดจาก วรรณคดีและวรรณกรรม 5.ท่องจำบทอาขยานตามที่กำหนดและ บทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจ • บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มี คุณค่า - บทอาขยานตามที่กำหนด - บทร้อยกรองตามความสนใจ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.2 1.สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรม ที่อ่านในระดับที่ยากขึ้น • วรรณคดีวรรณคดีและวรรณกรรม เกี่ยวกับ - ศาสนา - ประเพณี - พิธีกรรม - สุภาษิตคำสอน - เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ - บันเทิงคดี - บันทึกการเดินทาง 22
2.วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดี วรรณกรรม และวรรณกรรมท้องถิ่นที่ อ่าน พร้อมยกเหตุผลประกอบ 3.อธิบายคุณค่าของวรรณคดีและ วรรณคดีที่อ่าน 4.สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านไป ประยุกต์ใช้ชีวิตจริง • การวิเคราะห์คุณค่าและข้อคิดจาก วรรณคดีและวรรณกรรม และ วรรณกรรมท้องถิ่น 5.ท่องจำบทอาขยานตามที่กำหนดและ บทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจ • บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มี คุณค่า - บทอาขยานตามที่กำหนด - บทร้อยกรองตามความสนใจ ม.3 1.สรุปเนื้อหาวรรณคดี วรรณกรรมและ วรรณกรรมท้องถิ่นที่ยากขึ้น • วรรณคดีวรรณคดีและวรรณกรรม เกี่ยวกับ - ศาสนา - ประเพณี - พิธีกรรม - สุภาษิตคำสอน - เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ - บันเทิงคดี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 2.วิเคราะห์วิถีไทยและคุณค่าจาก วรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน 3.สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่าน เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง • การวิเคราะห์วิถีไทยและคุณค่าจาก วรรณคดีและวรรณกรรม 4.ท่องจำและบอกคุณค่าบทอาขยาน ตามที่กำหนด และบทร้อยกรองที่มี คุณค่าตามความสนใจและนำไปใช้ • บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มี คุณค่า - บทอาขยานตามที่กำหนด - บทร้อยกรองตามความสนใจ ม.4-6 1.วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณกรรมตาม หลักการวิจารณ์เบื้องต้น • หลักการวิเคราะห์และวิจารณ์ วรรณเบื้องต้น - จุดมุ่งหมายการแต่งวรรณคดีและ วรรณกรรม - การพิจารณารูปแบบของวรรณคดี และวรรณกรรม 23
- การพิจารณาเนื้อหาและกลวิธีใน วรรณคดีและวรรณกรรม - การวิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีและ วรรณกรรม 2.วิเคราะห์ลักษณะเด่นของวรรณคดี เชื่อมโยงกับการเรียนรู้ทาง ประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของสังคมใน อดีต • การวิเคราะห์ลักษณะเด่นของ วรรณคดีและวรรณกรรมเกี่ยวกับ เหตุการณ์ประวัติศาสตร์และวิถี ชีวิตของสังคมในอดีต 3. การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้าน วรรณศิลป์ของวรรณคดีและวรรณกรรม ในฐานะที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของ ชาติ • การวิเคราะห์และประเมินคุณค่า วรรณคดีและวรรณกรรม - ด้านวรรณศิลป์ - ด้านสังคมและวัฒนธรรม ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 4.สังเคราะห์ข้อคิดจากวรรณคดีและ วรรณกรรมเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิต จริง • การสังเคราะห์วรรณคดีและ วรรณกรรม 5.รวบรวมวรรณกรรมพื้นบ้านและ อธิบายภูมิปัญญาทางภาษา • วรรณกรรมพื้นบ้านที่แสดงถึง - ภาษากับวัฒนธรรม - ภาษาถิ่น 6.ท่องจำและบอกคุณค่าบทอาขยาน ตามที่กำหนด และบทร้อยกรองที่มี คุณค่าตามความสนใจและนำไปใช้ อ้างอิง • บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มี คุณค่า - บทอาขยานตามที่กำหนด - บทร้อยกรองตามความสนใจ 24
2. การอ่านจับใจความ ความหมายของการอ่านจับใจความ คือ การอ่านเพื่อจับใจความหรือข้อคิด ความคิดสำคัญหลักของข้อความ หรือเรื่องที่อ่านเป็น ข้อความที่คลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ไว้ทั้งหมด ใจความสำคัญ หมายถึง ใจความที่สำคัญ และเด่นที่สุดในย่อหน้า เป็นแก่นของย่อหน้าที่ สามารถครอบคลุมเนื้อความในประโยคอื่นๆ ในย่อหน้านั้นหรือประโยคที่สามารถเป็นหัวเรื่องของย่อ หน้านั้นได้ ถ้าตัดเนื้อความของประโยคอื่นออกหมด หรือสามารถเป็นใจความหรือประโยคเดี่ยว ๆ ได้ โดยไม่ต้องมีประโยคอื่นประกอบ ซึ่งใน แต่ละย่อหน้าจะมีประโยคในความสำคัญเพียงประโยคเดียว หรืออย่างมากไม่เกิน ๒ ประโยค ใจความรอง หรือ พลความ (พน-ละ-ความ) หมายถึง ใจความ หรือประโยคที่ขยายความ ประโยคใจความสำคัญ เป็นใจความสนับสนุนใจความสำคัญให้ชัดเจนขึ้น อาจเป็นการอธิบายให้ รายละเอียด ให้คำจำกัดความ ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบ หรือแสดงเหตุผลอย่างถี่ถ้วน เพื่อสนับสนุน ความคิด ส่วนที่มิใช่ใจความสำคัญ และมิใช่ใจความรอง แต่ช่วยขยายความให้มากขึ้น คือ รายละเอียด หลักการจับใจความสำคัญ ๑. ตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านให้ชัดเจน ๒. อ่านเรื่องราวอย่างคร่าวๆ พอเข้าใจ และเก็บใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า ๓. เมื่ออ่านจบให้ตั้งคำถามตนเองว่า เรื่องที่อ่าน มีใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ๔. นำสิ่งที่สรุปได้มาเรียบเรียงใจความสำคัญใหม่ด้วยสำนวนของตนเองเพื่อให้เกิดความ สละสลวย วิธีการจับใจความ วิธีการจับใจความมีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับความชอบว่าอย่างไร เช่น การขีดเส้นใต้ การใช้สี ต่าง ๆ กัน แสดงความสำคัญมากน้อยของข้อความ การบันทึกย่อเป็นส่วนหนึ่งของการอ่านจับใจความ สำคัญที่ดี แต่ผู้ที่ย่อควรย่อด้วยสำนวนภาษาและสำนวนของตนเองไม่ควรย่อด้วยการตัดเอาข้อความ สำคัญมาเรียงต่อกัน เพราะอาจทำให้ผู้อ่านพลาดสาระสำคัญบางตอนไปอันเป็นเหตุให้การตีความ ผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้วิธีจับใจความสำคัญมีหลักดังนี้ ๑. พิจารณาทีละย่อหน้า หาประโยคใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า ๒. ตัดส่วนที่เป็นรายละเอียดออกได้ เช่น ตัวอย่าง สำนวนโวหาร อุปมาอุปไมย(การ เปรียบเทียบ) ตัวเลข สถิติ ตลอดจนคำถามหรือคำพูดของผู้เขียนซึ่งเป็นส่วนขยายใจความสำคัญ ๓. สรุปใจความสำคัญด้วยสำนวนภาษาของตนเอง 25
การพิจารณาตำแหน่งใจความสำคัญ ใจความสำคัญของข้อความในแต่ละย่อหน้าจะปรากฏดังนี้ ๑. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนต้นของย่อหน้า ๒. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนกลางของย่อหน้า ๓. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนท้ายของย่อหน้า ๔. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนต้นและตอนท้ายของย่อหน้า ๕. ผู้อ่านสรุปขึ้นเอง จากการอ่านทั้งย่อหน้า (ในกรณีใจความสำคัญหรือความคิดสำคัญอาจ อยู่รวมในความคิดย่อย ๆ โดยไม่มีความคิดที่เป็นประโยคหลัก) การอ่านจับใจความเพื่อหาคำสำคัญ การอ่านจับใจความเพื่อหาคำสำคัญ เป็นการอ่านเพื่อค้นหาคำสำคัญที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง เพราะคำสำคัญจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถคาดเดาเรื่องราวได้ ก่อนที่จะอ่านรายละเอียดต่อไป ความหมายของคำสำคัญ คำสำคัญ หมายถึง คำที่บ่งบอกสาระสำคัญของเรื่อง หรือคำที่มีความหมายพิเศษ เพื่อ กำหนดเป้าหมายที่จะนำไปสู่แนวคิดของเรื่อง ซึ่งในเรื่องอาจมีคำสำคัญหลายคำก็ได้และเมื่อนำคำ เหล่านั้นมาเรียบเรียงจะทำให้เข้าใจเรื่องที่อ่านอย่างคร่าวๆ ลักษณะของคำสำคัญ ๑. เป็นคำที่ผู้เขียนพิมพ์ตัวหนา ตัวเอน หรือขีดเส้นใต้ หรือคำที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูด เช่น ตัวเล็กนิด มีพิษเหลือใจ สัตว์มีพิษมีอยู่ทั่วไป เช่น แมงป่อง ตะขาบ มดแดง และมดคันไฟ พบอยู่บนดินในซอกหิน ซอกไม้ และโพรงไม้ตัวต่อ แตน และผึ้ง พบอยู่ตามต้นไม้คางคก และปลิง พบตามห้วย หนอง คลอง บึง ยุง และ บึ่ง บินอยู่ในอากาศ สัตว์แต่ละชนิดมีอาวุธสำหรับต่อสู้ศัตรู อาวุธเหล่านี้อาจอู่ตรงส่วนใดของสัตว์ก็ได้ เมื่อมันกัด หรือต่อยศัตรูแล้ว ก็จะฉีดน้ำพิษเข้าทางแผลทำให้เจ็บปวด บางชนิดอาจเป็นอันตรายถึงตายได้ จากข้อความข้างต้น คำที่พิมพ์ตัวหนา คือ แมงป่อง ตะขาบ มดแดง มดคันไฟ ตัวต่อ แตน ผึ้ง คางคก ปลิง ยุง และบึ่ง แสดงว่าผู้เขียนต้องการบอกให้ทราบว่า สัตว์ที่พิมพ์ตัวหนา ถึงแม้จะตัวเล็ก แต่เป็นสัตว์มีพิษ ซึ่งคำที่พิมพ์ด้วยตัวหนาดังกล่าว จึงเป็นคำสำคัญของข้อความนี้ ๒. เป็นคำที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเหตุและเป็นผลของเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น เศรษฐกิจพอเพียง คือ การสร้างงานอาชีพให้มีฐานะพอมีพอกิน เพียงพอที่จะพึ่งพาตนเองได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า เศรษฐกิจพอเพียง ต้องช่วยตัวเองไม่ฟุ่มเฟือย อยู่อย่างธรรมดา อยู่อย่างมีเหตุมีผล ถ้าเราดำเนินชีวิตเช่นนี้ ก็คงมีเงินเหลือเก็บ 26
จากข้อความข้างต้นจะปรากฏคำที่มีลักษณะเป็นเหตุและผลกัน ซึ่งเหตุก็คือ การดำเนินชีวิต แบบเศรษฐกิจ จะทำให้มีเงินเหลือเก็บ ดังนั้น คำสำคัญของข้อความดังกล่าว คือ เศรษฐกิจพอเพียง หลักการอ่านจับใจความเพื่อหาคำสำคัญ ๑. กรณีที่ผู้เขียนระบุคำสำคัญ คือ คำที่พิมพ์ด้วยตัวหนา ตัวเอน ขีดเส้นใต้ หรือคำที่อยู่ใน เครื่องหมายคำพูด มีขั้นตอนการอ่าน ดังนี้ ขั้นที่ ๑ อ่านชื่อเรื่องแล้วทำความเข้าใจความหมายของชื่อเรื่อง ขั้นที่ ๒ เพ่งตาที่จุดกึ่งกลางของบรรทัดแรก หรือชื่อเรื่อง แล้วให้เคลื่อนสายดาผ่านกึ่งกลาง ของบรรทัดแรกเรื่อยลงไปจนถึงบรรทัดสุดท้าย เพื่อหาคำที่พิมพ์ตัวหนา หรือตัวเอน หรือคำที่ขีดเส้น ใต้ หรือคำที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูด ๒. กรณีที่ผู้เขียนไม่ได้ระบุคำสำคัญไว้ในเนื้อเรื่อง ให้ผู้อ่านค้นหาคำสำคัญด้วยตนเอง มี ขั้นตอนการอ่าน ดังนี้ ขั้นที่ ๑ อ่านชื่อเรื่องแล้วทำความเข้าใจความหมายของชื่อเรื่อง ขั้นที่ ๒ เพ่งตาที่จุดกึ่งกลางของบรรทัดแรก แล้วเคลื่อนสายตาผ่านคำทุกคำของแต่ละบรรทัด แล้วทำความเข้าใจความหมายของคำทุกคำ ขั้นที่ ๓ ทำความเข้าใจเรื่องราวในแต่ละย่อหน้า แล้วลองตอบคำถามให้ได้ว่า ใจความในแต่ ละย่อหน้ากล่าวถึงอะไร และจดบันทึกใจความของแต่ละย่อหน้าไว้ ขั้นที่ ๔ อ่านเนื้อเรื่องให้ละเอียดอีกครั้ง เพื่อตรวจทานข้อสรุปที่ได้จดบันทึกไว้ว่าถูกต้อง สมบูรณ์หรือไม่ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ ๒๕๕๐ : ๒) การอ่านจับใจความเพื่อหาประโยคสำคัญ การอ่านจับใจความเพื่อหาประโยคสำคัญในเรื่องที่อ่าน จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถจับใจความ ได้รวดเร็วขึ้น ความหมายของประโยคสำคัญ ประโยคสำคัญ หมายถึง ประโยคหลักของแต่ละย่อหน้า เป็นประโยคที่มีควรจดจำลักษณะ ของประโยคหลัก ประโยคสำคัญมีลักษณะ ดังนี้ ๑. เป็นประโยคหลักของข้อความในย่อหน้า โดยมีประโยคอื่นๆ ช่วยเสริมหรืออธิบายขยาย ความให้มีความละเอียดชัดเจนมากขึ้น เช่น น้ำเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ และจำเป็นต่อการ ดำรงชีวิตของมนุษย์ สัตว์และพืช สิ่งมีชีวิตถ้าขาดน้ำจะต้องตาย จากข้อความข้างต้นประโยคสำคัญ คือ น้ำเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและจำเป็นต่อการ ดำรงชีวิต ส่วนคำสำคัญของข้อความอยู่ในประโยคสำคัญ คือ “น้ำ” ๒. เป็นประโยคที่มักจะมีคำสำคัญปรากฏอยู่ในประโยคนั้น เช่น 27
น้ำสะอาด คือ น้ำที่ไม่มีสิ่งสกปรกและเชื้อโรคเจือปน การทำน้ำให้สะอาด ทำได้โดยการต้ม การใช้สารเคมี การกรอง และการกลั่น จากข้อความข้างต้นประโยคสำคัญ คือ น้ำสะอาด คือ น้ำที่ไม่มีสิ่งสกปรกและเชื้อโรคเจือปน ส่วนคำสำคัญของข้อความอยู่ในประโยคสำคัญ คือ “น้ำสะอาด” ๓. เป็นประโยคหลักที่อาจปรากฏอยู่ตอนต้น ตอนกลาง หรือตอนท้ายของย่อหน้า อย่างใด อย่างหนึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้เขียน เช่น ประโยคสำคัญอยู่ตอนต้นของย่อหน้า ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งให้พลังงานความร้อนและแสงสว่าง ความร้อนจากด้วยอาทิตย์ ทำให้ โลกอบอุ่น แสงจากดวงอาทิตย์ทำให้เราเห็นสิ่งต่าง ๆ ประโยคสำคัญ คือ “ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งให้พลังงานความร้อนและแสงสว่าง” อยู่ตอนต้น ของย่อหน้า ประโยคสำคัญอยู่ตอนกลางของย่อหน้า แม่เสือและลูกเสือ ๓ ตัว อาศัยอยู่ในป่าละเมาะใกล้ทุ่งหญ้า ต้นไม้และใบหญ้า ในบริเวณนั้น เริ่มมีสีเหลือง เพราะถูกแสงแดดแผดเผา ส่วนน้ำในลำธารก็แห้งขอด แม่เสือจึงพาลูกเสือเดินทาง ออกมาจากบริเวณนั้นมุ่งหน้าตรงไปยังทิศตะวันตก ซึ่งมีภูเขาลูกใหญ่อยู่เบื้องหน้า แม่เสือคาดหวังว่าที่ ภูเขาลูกนั้นจะต้องมีอาหารอุดมสมบูรณ์ เพราะมันแลเห็นต้นไม้และใบหญ้าเขียวชอุ่มต่างจากที่มันอยู่ ประโยคสำคัญ “แม่เสือจึงพาลูกเสือเดินทางออกมาจากบริเวณ” อยู่ตอนกลางของย่อหน้า ประโยคสำคัญอยู่ตอนท้ายของย่อหน้า เป็นที่ทราบกันดีว่า ปลาวาฬเป็นสัตว์ช่างคุยและยังเป็นนักร้องเพลง แต่บัดนี้ไทราบเพิ่มเติม ว่าการส่งเสียงร้องเพลงหรือคุยกันของปลาวาฬ มิได้เป็นการสื่อสารของปลาวาฬแบบปกติธรรมดา แต่ เป็นการเตือนภัย และบอกสภาพแวดล้อมรอบตัวของปลาวาฬ ปลาวาฬเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มี ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกชนิดแรกที่มีระบบเรดาร์เสียงนำ ประโยคสำคัญ คือ “ปลาวาฬเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีระเรดาร์เสียงนำ” อยู่ตอนท้ายของ ย่อหน้า เป็นประโยคสำคัญสรุปเนื้อความของย่อหน้านี้ว่า ปลาวาฬมีระบบเรดาร์เสียงนำทาง เพื่อ เตือนภัย และบอกสภาพแวดล้อมรอบตัวของปลาวาฬ มิใช่เสียงร้องเพลงหรือพูดคุยของปลาวาฬ หลักการอ่านจับใจความโดยหาประโยคสำคัญ การอ่านจับใจความโดยหาประโยคสำคัญ ผู้อ่านควรปฏิบัติ ดังนี้ ขั้นที่ ๑ อ่านสำรวจเพื่อตรวจหาคำสำคัญ ขั้นที่ ๒ อ่านละเอียด โดยให้ผู้อ่านอ่านชื่อเรื่องแล้วทำความเข้าใจความหมายของชื่อเรื่อง จากนั้นให้อ่านเนื้อเรื่องทีละย่อหน้าให้เข้าใจเพื่อค้นหาประโยคสำคัญ 28
ขั้นที่ ๓ บันทึกประโยคสำคัญของแต่ละย่อหน้าลงในสมุด ขั้นที่ ๔ อ่านคร่าว ๆ เพื่อตรวจสอบความเข้าใจในเนื้อเรื่องที่อ่านแต่ละย่อหน้าและตรวจสอบ ความถูกต้องของประโยคสำคัญ ขั้นที่ ๕ ตรวจทานความถูกต้องในการบันทึก ได้แก่ การเขียนสะกดคำความถูกต้องของ ประโยค ( สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ ๒๕๕๐ : ๒๗) การอ่านจับใจความเพื่อหาข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น ข้อเท็จจริง หมายถึง ข้อความแห่งเหตุการณ์ที่เป็นมาหรือเป็นอยู่ตามความ จริง ข้อความหรือเหตุการณ์ที่จะต้องวินิจฉัยว่าเท็จหรือจริง ข้อคิดเห็น หมายถึง ความเห็น ความรู้สึกนึกคิดของผู้ส่งสารที่สอดแทรกอยู่ใน เนื้อหา อาจกล่าวได้ว่า ข้อเท็จจริง นั้นต้องสามารถพิสูจน์สนับสนุนยืนยันได้ ข้อคิดเห็นนั้นไม่สามารถสนับสนุนยืนยันได้ ลักษณะของข้อเท็จจริง ๑. มีความเป็นไปได้ ๒. มีความสมจริง ๓. มีหลักฐานเชื่อถือได้ ๔. มีความสมเหตุสมผล ลักษณะของข้อคิดเห็น ๑. เป็นข้อความที่แสดงความรู้สึก ๒. เป็นข้อความที่แสดงการคาดคะเน ๓. เป็นข้อความที่แสดงความเปรียบเทียบหรืออุปมาอุปไมย ๔. เป็นข้อความที่เป็นข้อเสนอแนะหรือเป็นแนวคิดของผู้พูดและผู้เขียนเอง ตัวอย่างข้อความที่เป็นข้อเท็จจริง ๑. กตเวที หมายถึง สนองคุณท่าน (พิสูจน์ได้ด้วยค้นความหมายจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.๒๕๔๔) ๒. ดวงตาเป็นอวัยวะที่ทำให้มองเห็น (พิสูจน์ได้จากประสบการณ์) ตัวอย่างข้อความที่เป็นข้อคิดเห็น ๑. การปกครองในระบอบประชาธิปไตยดีที่สุด (ไม่มีข้อวินิจฉัย) ๒. คนเรียนเก่งย่อมประสบความสำเร็จในชีวิตเสมอ (ไม่มีข้อยืนยัน) ๓. การรับประทานผักไม่น่าจะเป็นผลดีต่อร่างกาย (ไม่มีข้อยืนยัน) 29
การลำดับเหตุการณ์และคาดคะเนเหตุการณ์ การคิดวิเคราะห์ในการรับสาร การสื่อสารในปัจจุบันผ่านสื่อหลายประเภท เช่น หนังสือพิมพ์ วารสาร โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต ฯลฯ ผู้ส่งสารถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ และความคิดเห็น โดยการพูด และการเขียนตามประสบการณ์ การศึกษาและการอบรม ตลอดจนความเชื่อและนิสัยของแต่ละคนที่ แตกต่างกัน ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เราได้รับมานั้นอาจมีทั้งข้อเท็จจริง การบิดเบือนข้อเท็จจริง และ ข้อคิดเห็น ผู้รับสารจึงควรพิจารณาวิเคราะห์ให้รอบคอบ ถี่ถ้วน เมื่อฟัง ดู และอ่านสารนั้นๆ ดังนี้ ๑. เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร มีเนื้อหาอย่างไร ๒. ผู้รับสารมีความน่าเชื่อถือเพียงใด ๓. ผู้ส่งสารมีเจตนาและจุดมุ่งหมายอะไร ๔. พิจารณาว่าอะไรเป็นข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น ๕. หาข้อมูลประกอบหรือเปรียบเทียบ ๖. คิดวิเคราะห์และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล อ้างอิงได้ การพูดและเขียนแสดงความคิดเห็น เมื่อวิเคราะห์สารจากฟัง ดู และอ่านแล้ว ผู้รับสารต้องการพูดหรือเขียน แสดง ความคิดเห็น ควรยึดแนวปฏิบัติดังนี้ ๑. จับประเด็นสำคัญและเรียงลำดับเนื้อหา ๒. แสดงความคิดเห็นให้ตรงประเด็น มีข้อมูลอ้างอิงชัดเจน ถูกต้อง ๓. แสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลและเป็นธรรม ๔. ใช้ถ้อยคำสุภาพ หลีกเลี่ยงการใช้คำรุนแรง ท้าทาย และล่วงเกิน ๕ มีมารยาทในการพูดและเขียน (สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ ๒๕๕๑ : ๑๕๓) การจับใจความสำคัญและหาแนวคิดเรื่อง การอ่านเพื่อจับใจความ เป็นการอ่านที่มุ่งให้ผู้อ่านเก็บสาระสำคัญของเรื่องที่อ่าน ความหมายของใจความ ใจความ หมายถึง ส่วนสำคัญของเรื่อง ตรงกันข้ามกับ พลความ หมายถึง ส่วน ที่ไม่สำคัญของเรื่อง ใจความจะมีปรากฏอยู่ตามย่อหน้าต่างๆ ของเรื่องที่อ่าน ซึ่งอาจมีลักษณะเป็น ประโยคที่เป็นส่วนสำคัญในส่วนต้น ส่วนกลาง หรือส่วยท้ายของย่อหน้า หลักการอ่านเพื่อค้นหาใจความ ในการอ่านเพื่อค้นหาใจความ ผู้อ่านควรปฏิบัติดังนี้ 30
ขั้นที่ ๑ อ่านชื่อเรื่องทุกถ้อยคำ ทำความเข้าใจความหมายก่อนที่จะอ่านเนื้อเรื่อง เพราะโดยทั่วไปชื่อเรื่องจะให้แนวทางเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง ขั้นที่ ๒ อ่านเนื้อเรื่องทีละย่อหน้าอย่างละเอียด เมื่ออ่านจบแต่ละย่อหน้าให้หา ประโยคสำคัญของย่อหน้า ขั้นที่ ๓ จดบันทึกประโยคสำคัญของแต่ละย่อหน้าลงสมุด ขั้นที่ ๔ อ่านประโยคสำคัญที่จดบันทึกไว้อย่างละเอียดแล้วเทียบเคียงกับเนื้อเรื่อง ที่อ่านทั้งหมด เพื่อตรวจสอบว่าเป็นประโยคสำคัญของแต่ละย่อหน้าจริงหรือไม่ ขั้นที่ ๕ นำประโคสำคัญทั้งหมดที่บันทึกไว้มาเขียนเรียงลำดับให้เป็นใจความโดย ปรับภาษาให้สละสลวย และให้มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน ขั้นที่ ๖ อ่านใจความที่ปรับภาษาอย่างละเอียด เพื่อตรวจสอบความ ถูกต้อง ความชัดเจน การสะกดคำ การเว้นวรรคและหลักภาษา ความหมายของแนวคิด แนวคิด หมายถึง แก่นของเรื่องที่เป็นเนื้อหาสำคัญ ความสำคัญของแนวคิด แนวคิดมีความสำคัญต่อผู้อ่านทุกคน เพราะจะช่วยให้เข้าใจในเรื่องต่อไปนี้ ๑. ทิศทางของเนื้อเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ สะดวกต่อการเข้าใจและจดจำ ตลอดจน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ๒. แนวคิดเป็นข้อสรุปที่สั้นที่สุด ทำให้นักเรียนมีทักษะในการแยกใจความและพล ความออกจากกันได้อย่างรวดเร็ว ๓. แนวคิดช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้เขียนที่ต้องการให้ผู้อ่าน นำแนวคิดไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาวิชาการอื่น หรือนำไปใช้ในชีวิตประจำวันในทิศทางที่ผู้เขียนได้ ชี้แนะทั้งในทางตรงและทางนัย ประเภทของแนวคิด แนวคิดแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ๑. แนวคิดเป็นคำ มีลักษณะที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ๒. แนวคิดที่เป็นกลุ่มคำ มีลักษณะที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ๓. แนวคิดเป็นประโยค เป็นข้อสรุปสั้นๆ เพียง ๑ ประโยค อาจจะเป็นประโยค สามัญ ประโยครวมหรือประโยคซ้อน อย่างใดอย่างหนึ่ง หลักการอ่านจับใจความเพื่อค้นหาแนวคิด ในการอ่านจับใจความเพื่อค้นหาแนวคิด ผู้อ่านควรปฏิบัติดังนี้ ขั้นที่ ๑ อ่านสำรวจ เพื่อค้นหาคำ กลุ่มคำ หรือประโยคสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง โดยสังเกตคำที่ขีดเส้นใต้ คำที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูด คำที่พิมพ์ด้วยตัวหนา หรือคำที่พิมพ์ ตัวเอน ซึ่งอาจจะเป็นคำ กลุ่มคำ หรือประโยคที่นำไปสู่การสรุปเป็นแนวคิดได้ 31
ขั้นที่ ๒ อ่านเนื้อเรื่องโดยละเอียดอีกครั้งเพื่อตรวจสอบรายละเอียดของเรื่องในทุก ประเด็น พิจารณาความหมายของคำ กลุ่มคำหรือประโยคทั้งความหมายโดยตรง และความหมาย โดยนัย และจัดเรียงลำดับเหตุการณ์ที่นำไปสู่ข้อสรุปและจัดเรียงลำดับเหตุการณ์ที่นำไปสู่ ข้อสรุป และเขียนเรียบเรียงย่อเรื่องให้สั้นที่สุด ขั้นที่ ๓ อ่านเนื้อเรื่องคร่าวๆ เพื่อตรวจสอบ ทบทวน พิจารณาคำ หรือประโยคที่ เขียนเรียบเรียงนั้นมีความหมายครอบคลุมเนื้อหาของเรื่องที่อ่านหรือไม่ ขั้นที่ ๔ เขียนสรุปเรียนเรียงแนวคิดจากการย่อเรื่องนั้นแล้วอ่านทบทวนตัด ประเด็นที่เห็นว่าเป็นส่วนอธิบายหรือขยายความออก ให้เหลือเฉพาะแก่นของเรื่อง (สำนักงานคณะ งานกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ ๒๕๕๐ : ๑๓-๒๙) 3. การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL การจัดการเรียนรู้แบบ KWL กลวิธีการสอนอ่านแบบ KWL ได้รับการพัฒนาโดย คาร์และโอเกิล (Carr and Ogle. 1987: 626-631) K ในกระบวนการ KWL หมายถึง “Know” เป็นขั้นตอนที่นักเรียนตรวจสอบหัวข้อเรื่อง หรือชื่อเรื่องว่าตนเองมีความรู้เกี่ยวกับชื่อเรื่องมากน้อยเพียงใด เป็นการนำความรู้เดิมมาใช้ เพราะการ เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้พื้นฐาน และประสบการณ์ของนักเรียน เป็นสิ่งสำคัญในการจัดกิจกรรม ก่อนอ่าน ซึ่งเป็นการเตรียมนักเรียนในการเรียนรู้เนื้อหาใหม่ การบูรณาการระหว่างความรู้พื้นฐาน และเรื่องที่นักเรียนจะอ่านเป็นสิ่งที่ช่วยให้นักเรียนสร้างความหมายของบทอ่านได้ดี และผู้อ่านควร ได้รับการกระตุ้นความรู้พื้นฐาน ดังนั้น ขั้นตอนนี้ ทฤษฎีโครงสร้างความรู้ ซึ่งเป็นทฤษฎีโครงสร้าง ความรู้ซึ่งเป็นทฤษฎีว่าด้วยหลักการในการนำความรู้พื้นฐาน ความรู้เดิมและประสบการณ์เดิมมาใช้ใน การเรียนการสอนจึงเป็นทฤษฎีเกี่ยวข้องที่สำคัญมาก W ในกระบวนการ KWL หมายถึง “Want to know” เป็นขั้นตอนที่นักเรียนจะต้องถาม ตัวเองว่าต้องการรู้อะไรในเนื้อเรื่องที่จะอ่านบ้าง ซึ่งคำถามที่นักเรียนสร้างขึ้นก่อนอ่านนี้เป็นการ ตั้งเป้าหมายในการอ่าน และเป็นการคาดหวังว่าจะพบอะไรในบทอ่านบ้าง L ในกระบวนการ KWL หมายถึง “Learned” เป็นขั้นตอนที่นักเรียนสำรวจว่าตนเองได้ เรียนรู้อะไรบ้างจากบทอ่าน โดยนักเรียนจะหาคำตอบให้กับคำถามที่ตนเองตั้งไว้ ในขั้นตอน W และ จดบันทึกสิ่งที่ตนเองเรียนรู้ ขั้นตอนการสอนที่เสนอแนะโดยคาร์และโอเกิล (Carr; & Ogle. 1987) มีดังต่อไปนี้ 1. ก่อนการอ่าน ครูกระตุ้นประสบการณ์เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องที่อ่าน นักเรียน อภิปรายถึงความรู้เดิมที่มีอยู่เกี่ยวกับหัวข้อเรื่อง และเขียนสรุปหัวข้อที่รู้ไว้ หลังจากนั้นนักเรียนคาด เดาว่า จะพบข้อมูลอะไรบ้างจากย่อหน้าที่อ่านหรือ อยากรู้ข้อมูลอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน แล้วตั้ง คำถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ไว้ 32
2. ในระหว่างการสอน ในขณะที่อ่านนักเรียนหยุดเป็นช่วง ๆ เพื่อตอบคำถามที่ได้เขียนไว้ ก่อนอ่าน ซึ่งจะทำให้เขาสามารถแยกแยะได้ว่า หัวข้อใดที่รู้แล้ว หรือหัวข้อใดที่ยังไม่เข้าใจ นอกจากนี้ ในขณะที่อ่านอาจตั้งคำถามที่อยากรู้เพิ่มเติม เพื่อเป็นการชี้แนะแนวทางในขณะที่อ่าน นักเรียนเขียน โน้ตย่อในสิ่งที่เรียนรู้จากบทอ่าน ซึ่งช่วยให้สามารถคัดเลือกข้อมูลสำคัญ ๆ จากย่อหน้านั้น ๆ 3. หลังการอ่าน นักเรียนอภิปรายถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ในขณะที่อ่าน พิจารณาถึงคำถามในส่วน ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้แบบ KWL มีขั้นตอนสำคัญ ดังต่อไปนี้ 1. ขั้น K (What you know) เป็นขั้นของการเตรียมความรู้พื้นฐานก่อนอ่าน เช่น ถ้าจะให้เรียนรู้เรื่อง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติผู้สอนอาจทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ รอบตัว แล้วให้ผู้เรียนช่วยกันระดมสมองในสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็จะให้มีการบันทึกความคิดเห็นที่เกิดจากการระดมสมอง ซึ่งอาจทำได้หลายวิธีเช่น ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันบันทึกบนกระดานดำในรูปของแผนที่ความคิด (Mind Map) หรือแผนผังใย แมงมุม (Web Diagram) ให้ชัดเจน ซึ่งจะประกอบด้วยความคิดหลัก ความคิดรองและความคิดย่อย ตามลำดับ โดยผู้สอนช่วยจัดข้อความที่เป็นความคิดให้ถูกต้อง ก่อนที่จะให้ผู้เรียนคัดลอกแผนที่ ความคิดหรือแผนผังนั้นลงในแผ่นกระดาษ แต่ถ้าผู้เรียนคุ้นเคยกับการเขียนแผนผังความคิด แล้ว ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนแต่ละคนเขียนสิ่งที่ตนรู้ เกี่ยวกับหัวข้อที่ผู้สอนจะให้ผู้เรียนเรียนรู้เป็นแผนผัง ความคิดด้วยตนเอง 2. ขั้น W (What you want to know) 2.1 การตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่าน หลังจากที่ผู้สอนกระตุ้นความรู้เดิมของผู้เรียนในขั้น K แล้วผู้สอนจะนำผู้เรียนไปสู่ขั้นการตั้ง จุดมุ่งหมายในการเรียนรู้โดยการอ่านซึ่งผู้สอนจะใช้คำถามกระตุ้นผู้เรียน เช่น • นักเรียนต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง ในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ • ถ้าพวกเราไม่ช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจะเกิดผลอย่างไร • นักเรียนจะมีวิธีการแนะนำให้เพื่อน ๆ หรือผู้อื่นที่เกี่ยวข้องปฏิบัติอย่างไร เกี่ยวกับการ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม • ถ้านักเรียนมีโอกาสพูดคุย กับท่านนายกรัฐมนตรีนักเรียนต้องการจะถาม อะไรบ้าง เกี่ยวกับ เรื่องนี้เป็นต้น 2.2 ผู้เรียนเขียนคำถาม ผู้สอนให้ผู้เรียนเขียนคำถามที่ตนมีลงในกระดาษให้มากที่สุด 2.3 ผู้เรียนหาคำตอบ 33
ผู้สอนให้ผู้เรียนอ่านข้อความที่ผู้สอนเตรียมไว้โดยกระตุ้นให้ผู้เรียนพยายามหาคำตอบในสิ่งที่ตน ตั้งคำถามไว้แล้วนั้น ในขั้นนี้ผู้สอนอาจดัดแปลงจากการอ่าน เป็นการใช้วิธีบรรยายหรือดูวีดิทัศน์ก็ ได้และจะเป็นการเน้นทักษะการฟังแทนการอ่าน 3. ขั้น L (What you have learned) หลังจากที่ผู้เรียนอ่านข้อความแล้วให้ผู้เรียนเขียนคำตอบที่ได้ลงในกระดาษเปล่า รวมทั้งเขียนข้อมูล อื่น ๆ ที่ศึกษาเพิ่มเติมได้แต่ไม่ได้ตั้งคำถามไว้การบันทึกข้อมูลตามกิจกรรมในขั้น K W และ L นั้น ผู้สอนควรให้ผู้เรียนบันทึกโดยใช้ตาราง 3 ช่องดังตัวอย่างข้างล่าง K (ผู้เรียนเรียนรู้อะไรบ้าง) W (ผู้เรียนต้องการรู้อะไรบ้าง) L (ผู้เรียนได้เรียนรู้อะไร) 4. ขั้นการเขียนสรุปและนำเสนอ กิจกรรมในขั้นนี้เป็นกิจกรรมเพิ่มเติมในขั้นตอนหลัก KWL หลังจากผู้เรียนได้เรียนรู้และเขียน ข้อมูลความรู้ที่ได้ในขั้น W และ L แล้วให้นักเรียนนำข้อมูลที่ได้มาปรับแผนผังความคิดเดิมที่ผู้เรียน เขียนไว้ในขั้น K ซึ่งอาจจะมีการตัดทอนเพิ่มเติม หรือจัดระบบข้อมูลใหม่ เพื่อให้ผังความคิดมีความ สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น หรืออาจมีกิจกรรมอื่น ที่ผู้สอนเห็นว่าเป็นกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เช่น มีการ อภิปรายถึงเหตุและผลกระทบในเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือให้ผู้เรียนนำเสนอแผนผังความคิด เป็นต้น ข้อสังเกต เทคนิค KWL โดยปกตินิยมใช้ในกรณีที่ต้องการให้ผู้เรียนอ่านหรือศึกษาเรื่องราวอย่างใด อย่างหนึ่ง หรืออาจเป็นการศึกษาจากการฟังบรรยาย หรือดูวีดิทัศน์แล้วต้องการให้ผู้เรียนเกิด ความคิดรวบยอดในเรื่องที่เรียนรู้ถือเป็นการฝึกทักษะการอ่าน การฟังด้วย หลังจากนั้นผู้เรียนจะ เขียนคำตอบ ซึ่งคำตอบของผู้เรียนจะมีต่าง ๆ กัน สิ่งที่ผู้เรียนเขียนจะสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจใน การเรียนรู้หรือสิ่งที่เขาต้องการศึกษาและความคิดรวบยอดที่เขาเขียนเป็นแผนผังความคิด นั่นคือสิ่ง ที่เขาได้จากการเรียนรู้นั่นเอง 4. การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ความหมายของแผนจัดการเรียนรู้ 34
แผนการสอน หมายถึง แผนการหรือโครงการที่จัดทำเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อใช้ในการ ปฏิบัติการสอนในรายวิชาใดวิชาหนึ่ง เป็นการเตรียมการสอนอย่างมีระบบ และเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ ครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอนไปสู่จุดประสงค์การเรียนรู้และจุดมุ่งหมายของหลักสูตรได้อย่างมี ประสิทธิภาพ (วัฒนาพร ระงับทุกข์, 2543,หน้า 1) เอกรินทร์ สี่มหาศาล (2545, หน้า 409) กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้ (Lesson Plan) เป็นวัสดุหลักสูตรที่ควรพัฒนามาจากหน่วยการเรียนรู้ (UNIT PLAN) ที่กำหนด ไว้ เพื่อให้การจัดการ สอบบรรลุเป้าประสงค์ตามมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร หน่วยการเรียนรู้จึงเปรียบเสมือนโครง ร่าง หรือพิมพ์เขียวที่กล่าวถึงประสบการณ์การเรียนรู้ตามหัวข้อการจัดการเรียนรู้และกระบวนการ วัดผลที่สอดคล้องสัมพันธ์กัน ส่วนแผนการเรียนรู้จะแสดงการจัดการเรียนรู้ตามบทเรียน (lesson) และประสบการณ์การเรียนรู้เป็นรายวัน หรือรายสัปดาห์ดังนั้นแผนการจัดการเรียนรู้ จึงเป็นเครื่องมือ หรือแนวทางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนตามกำหนดไว้ในสาระการเรียนรู้ของแต่ละ กลุ่ม กรมวิชาการ (2546, หน้า 1 - 2) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่าแผนการ จัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนซึ่งครูเตรียมการจัดการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน โดยวางแผนการจัดการ เรียนรู้ แผนการใช้สื่อการเรียนรู้หรือแหล่งเรียนรู้ แผนการวัดผลประเมินผลโดยการวิเคราะห์จาก คำอธิบายรายวิชาหรือหน่วยการเรียนรู้ ซึ่งยึดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและสาระการเรียนรู้ที่กำหนด อันสอดคล้อง กับมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น แผนการจัดการเรียนรู้ หรือแผนการเรียนรู้ เป็นคำใหม่ที่นำมาใช้ในหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2544 เหตุที่ใช้คำ “แผนการจัดการเรียนรู้” แทนคำ “แผนการสอน” เพราะ ต้องการให้ผู้สอนมุ่งจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับ เป้าหมายของการจัดการศึกษาที่บ่งไว้ในมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2544 ที่กล่าวไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด” (อาภรณ์ ใจเที่ยง, 2546, หน้า 213) แผนการจัดการเรียนรู้ คือ แผนการเตรียมการสอนหรือกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้า อย่างเป็นระบบและจัดทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มากำหนดกิจกรรม การเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ (สุวิทย์ มูลคำ, 2549, หน้า 58) แผนการสอนเป็นแผนที่กำหนดขั้นตอนการสอนที่ครูมุ่งหวังจะให้นักเรียนเกิดพฤติกรรมการ เรียนรู้ในเนื้อหา และประสลการณ์หน่วยใดหน่วยหนึ่งตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ วิมลรัตน์ สุนทร โรจน์(อ้างถึงใน ชัยยงค์ พรหมวงศ์, 2532, หน้า 187) แผนการสอน คือการนำวิชาหรือกลุ่มประสบการณ์ที่จะต้องทำแผนการสอนตลอดภาคเรียน มาสร้างเป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อ อุปกรณ์การสอน และการวัดผล 35
ประเมินผล โดยจัดเนื้อหาสาระและจุดประสงค์การเรียนย่อยๆ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือ จุดเน้นของหลักสูตร สภาพของผู้เรียน ความพร้อมของโรงเรียนในด้านวัสดุอุปกรณ์และตรงกับชีวิต จริงในโรงเรียน วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (อ้างถึงในสงบ ลักษณะ, 2533, หน้า 1) จากความหมายข้างต้นสรุปว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการจัดการเรียนการสอน ที่ผู้สอนจัดทำขึ้นจากคู่มือครูทำให้ทราบว่าจะสอนเนื้อหาใด อย่างไรใช้สื่อการเรียนอย่างไร มีการ ประเมินอย่างไร ความสำคัญของแผนจัดการเรียนรู้ เอกรินทร์ สี่มหาศาล (2545, หน้า 409) ได้กล่าวถึง ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ว่า การวางแผนจัดการเรียนรู้จะช่วยให้ผู้สอนทราบว่า ในแต่ละสัปดาห์หรือแต่ละชั่วโมงผู้สอนควรจะ สอนรายวิชาใด ขอบข่ายสาระการเรียนรู้ครอบคลุมเรื่องราวอะไรบ้าง รวมทั้งการสำรวจสภาพปัญหา ต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผู้สอนเกิดความมั่นใจในการจัดการเรียนรู้และสามารถทำการประเมินผลผู้เรียนทำ ให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ ได้ตามเป้าหมาย ลักษณะของแผนจัดการเรียนรู้ที่ดี แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีจะต้องสามารถตอบคำถามได้ ดังนี้ 1. จะให้นักเรียนมีคุณสมบัติที่พึงประสงค์อะไรบ้าง 2. จะเสริมสร้างกิจกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียนอะไรบ้าง จึงจะทำให้นักเรียนบรรลุผลตาม จุดประสงค์ 3. ครูจะต้องมีบทบาทอย่างไรในการจัดกิจกรรม ตั้งแต่ครูเป็นศูนย์กลางจนถึงนักเรียนเป็น ผู้จัดทำเอง 4. จะใช้สื่อ/อุปกรณ์อะไรจึงช่วยให้นักเรียนบรรลุจุดประสงค์ 5. จะรู้ได้อย่างไรว่านักเรียนเกิดคุณสมบัติตามที่คาดหวังไว้ (รุจิร์ ภู่สาระ, 2545, หน้า 159) องค์ประกอบและ รูปแบบของแผนจัดการเรียนรู้ (อาภรณ์ ใจเที่ยง, 2546, หน้า 213-216) แผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วยหัวข้อ สำคัญ ดังต่อไปนี้ ส่วนนำ : รายวิชา / กลุ่ม ชั้น ชื่อหน่วยการเรียนรู้ หรือชื่อแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวนเวลาที่สอน 1. จุดประสงค์การเรียนรู้/ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 2. สาระการเรียนรู้ 3. กระบวนการจัดการเรียนรู้ 4. การวัดผล ประเมินผลการเรียนรู้ 36 36
5. แหล่งการเรียนรู้ 6. บันทึกผลการจัดการเรียนรู้ รูปแบบของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไม่มีรูปแบบตายตัว ขึ้นอยู่กับหน่วยงานหรือ สถานศึกษาแต่ละแห่งจะกำหนด อย่างไรก็ตามลักษณะส่วนใหญ่ของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จะคล้ายคลึงกัน ซึ่งพอสรุปได้ 3 รูปแบบ ดังนี้ 1. แบบเรียงหัวข้อ รูปแบบนี้จะเรียงตามลำดับก่อนหลังโดยไม่ต้องตีตารางรูปแบบนี้ให้ความ สะดวกในการเขียน เพราะไม่ต้องตีตาราง แต่มีส่วนเสียคือยากต่อการดูให้สัมพันธ์กันในแต่ละหัวข้อ ดังตัวอย่าง (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2534, หน้า 34) ตัวอย่างรูปแบบการสอนแบบเรียงหัวข้อ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หน่วยที่………………………………............................ หน่วยย่อยที่………………………………..ชั้น………………………………………… เรื่อง……………………………………………………เวลาเรียน…………………คาบ 1. สาระสำคัญ ................................................................................................................. 2. จุดประสงค์ 2.1 จุดประสงค์ปลายทาง…………..……………………………………….....…… 2.2 จุดประสงค์นำทาง…………………………………………………….......…… 3. เนื้อหา …………………………………………………………….……….….…… 4. กิจกรรมการเรียนการสอน.................................................................................…… 6. การวัดและประเมินผล .............................................................................................. 7. กิจกรรมเสนอแนะเพิ่มเติม หรือภาคผนวก 2. แบบกึ่งตาราง รูปแบบนี้จะเขียนเป็นช่องๆตามหัวข้อที่กำหนด แม้ว่าต้องใช้เวลาในการตีตาราง แต่ก็สะดวกต่อการอ่าน ทำให้เห็นความสัมพันธ์ของแต่ละหัวข้ออย่างชัดเจน ดังตัวอย่าง (อาภรณ์ ใจ เที่ยง, 2540, หน้า 206) ตัวอย่างรูปแบบแผนการสอนแบบกึ่งตาราง แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มวิชา………………………………..ชั้น……………………… หน่วยที่……………….เรื่อง……………………….เวลา……….คาบ ........................................... วันที่……………........................................................................................................... ............. สาระสำคัญ……………………………………………………...........………………………………… จุดประสงค์ปลายทาง 1. …………………………………………......................…………………… 2………………………………………….......................……………………. 37
จุดประสงค์เชิง พฤติกรรม เนื้อเรื่อง กิจกรรม การเรียน การสอน สื่อการเรียน การสอน การวัดและ ประเมินผล หมาย เหตุ 1. ขั้นนำ ……..........................................…... …………...........................……….. ……............................……………. 2. ขั้นสอน ….............................................…… …………............................………. ……………............................……. 3. ขั้นสรุป …..............................................…… …………………………………….. 4. ขั้นวัดผล ……................................................. ………............................…………. ภาพ 1 ตัวอย่างรูปแบบแผนการสอนแบบกึ่งตาราง ที่มา. จาก หลักการสอน (หน้า 206),โดย อาภรณ์ ใจเที่ยง, 2540, กรุงเทพมหานคร: ผู้แต่ง 3. แบบตาราง รูปแบบนี้จะเขียนเป็นช่องๆ คล้ายแบบกึ่งตาราง โดยนำหัวข้อ สาระสำคัญมาไว้ใน ตารางด้วย ดังตัวอย่างตาราง (อาภรณ์ ใจเที่ยง, 2540, หน้า 221-223) ตัวอย่างแผนการสอนกลุ่ม……………….ชั้น……..เวลา……คาบหน่วย……………………….. สาระสำคัญ จุดประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการเรียน การสอน สื่อการสอน การวัด ขั้นนำ ขั้นสอน ขั้นสรุป ภาพ 2 ตัวอย่างแผนการสอนแบบตาราง ที่มา. จาก หลักการสอน (หน้า 221-223),โดย อาภรณ์ ใจเที่ยง, 2540, กรุงเทพมหานคร: ผู้แต่ง กล่าวโดยสรุป แผนการสอนที่ดีเป็นแผนการสอนที่ให้แนวทางการสอนแก่ผู้สอนอย่างชัดเจน ทั้งด้านจุดประสงค์การสอน เนื้อหาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อการสอน และการ วัดผลประเมินผล โดยเฉพาะแนวทางการจัดกิจกรรม ควรเป็นกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ ได้คิด ได้ทำ ได้แก้ปัญหา และให้เกิดทักษะกระบวนการสามารถนำไปใช้ในชีวิตได้ 38
5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5.1 งานวิจัยในประเทศ พัชรินทร์ แจ่มจำรูญ (2547: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทาง การอ่าน จับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีที่ได้รับการสอนอ่านแบบปฏิสัมพันธ์ด้วยวิธี KWL-PLUS กับวิธีสอนอ่าน แบบปกติ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างกลุ่มที่ได้รับการสอนอ่านแบบปฏิสัมพันธ์ด้วยวิธีKWL-PLUS กับวิธีสอน อ่านแบบปกติ 2) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการสอนอ่าน จับใจความด้วยวิธีการสอนอ่าน แบบปฏิสัมพันธ์ด้วยวิธี KWL-PLUS กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เพชรบุรี อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2547 จำนวน 60 คน จาก 2 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 30 คน โดยห้องเรียนหนึ่งสอนโดย วิธีสอนอ่านแบบปฏิสัมพันธ์ ด้วยวิธี KWL – PLUS และอีกห้องเรียนหนึ่งสอนโดยวิธีสอนอ่านแบบ ปกติ ใช้เวลาในการทดลอง 15 ชั่วโมง โดยใช้เนื้อหาเดียวกัน เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความสำคัญ และแบบสอบถาม ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อวิธีสอนอ่านแบบปฏิสัมพันธ์ด้วยวิธี KWL – PLUS การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติการวิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบ ค่า “ที” (t-test) ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียน ที่ได้รับการสอนอ่านแบบ ปฏิสัมพันธ์ด้วยวิธี KWL-PLUS แตกต่างกับนักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) นักเรียนเห็นด้วยกับวิธีการสอนอ่านแบบปฏิสัมพันธ์ด้วยวิธีKWL-PLUS ร้อยละ 85 วิลาสินี แสนวัง (2549: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่าน สรุปความ สารที่ให้ความรู้สึกทางบวก และสารที่ให้ความรู้สึกทางลบ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การวิจัย ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการอ่านสรุปความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่อ่านสาร ที่ให้ความรู้สึกทางบวก และสารที่ให้ความรู้สึกทางลบ และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านสรุป ความก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่อ่านสารที่ให้ความรู้สึกทางบวก และสารที่ให้ความรู้สึก ทางลบ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 34 โรงเรียนเทศบาลเมืองสวรรค์โลก จังหวัดสุโขทัย จำนวน 60 คน จาก 2 ห้องเรียน แบ่งเป็นห้องละ 30 คน คือ กลุ่มที่อ่านสารที่ให้ความรู้สึกทางบวก และกลุ่มที่อ่านสารที่ให้ความรู้สึกทางลบ แต่ละ กลุ่มใช้เวลาในการทดลอง 12 คาบเรียน คาบเรียนละ 50 นาที ดำเนินการทดลองตามแบบแผนการ วิจัยแบบ Pretest-Posttest Design With Nonequivalent Group เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านสรุปความสารที่ให้ความรู้สึกทางบวกและสารที่ให้ความรู้สึกทางลบ 2) แบบทดสอบก่อนเรียนสารที่ให้ความรู้สึกทางบวก และสารที่ให้ความรู้สึกทางลบ 3) แบบทดสอบ หลังเรียนสารที่ให้ความรู้สึกทางบวกและสารที่ให้ความรู้สึกทางลบ 4) แบบฝึกหัดการอ่านสรุปความ จากสารที่ให้ความรู้สึกทางบวก และสารที่ให้ความรู้สึกทางลบ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ t-test ผลการทดลองพบว่า 1) การศึกษาผลการอ่านสรุปความ ของนักเรียนที่อ่านสารให้ความรู้สึกทางบวกและสารที่ให้ความรู้สึกทางลบ พบว่าคะแนนแบบฝึกหัด 39
ของนักเรียนที่อ่านสารที่ให้ความรู้สึกทางบวกสูงกว่านักเรียนที่อ่านสารที่ให้ความรู้สึกทางลบ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านสรุปความก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนมีดังนี้ 2.1) คะแนนสอบ หลัง เรียนของนักเรียนที่อ่านสรุปความจากสารที่ให้ความรู้สึกทางบวกสูงกว่าคะแนนสอบก่อนเรียน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 2.2) คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนที่อ่านสรุปความ จาก สารที่ให้ความรู้สึกทางลบสูงกว่าคะแนนสอบก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จิราภรณ์ บุญณรงค์ (2554: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่องการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่าน จับใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนด้วยเทคนิค KWL กับวิธีสอนปกติ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนด้วยเทคนิค KWL กับวิธีการสอนปกติ 2) เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ การอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังได้รับการสอน ด้วยเทคนิค KWL และ 3) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการสอน ด้วยเทคนิค KWL กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาล 1 วัดพระ งาม (สามัคคีพิทยา) จังหวัดนครปฐม ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 จาก 2 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 30 คน โดยใช้ห้องหนึ่งเป็นกลุ่มทดลองเรียนด้วยเทคนิคการสอน KWL และ อีกห้องหนึ่งเป็นกลุ่มควบคุมเรียนด้วยการสอนแบบปกติใช้เวลาการทดลอง 10 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความด้วยวิธีสอนแบบปกติ แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยเทคนิค KWL การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบ ค่าที แบบเป็นอิสระต่อกัน (t-test independent) การทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระ (t-test dependent) และการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์การอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนด้วยเทคนิค KWL สูงกว่า 35 กลุ่มที่ได้รับการ สอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ผลสัมฤทธิ์การอ่าน จับใจความของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนด้วยเทคนิค KWL หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) นักเรียนมีความคิดเห็นต่อการสอน ด้วยเทคนิค KWL อยู่ในระดับเห็น ด้วยมาก วัชรี แก้วสาระ (2555: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ของ นักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วย KWL Plus การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ผลสัมฤทธิ์และการรับรู้ความสามารถในการเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนสองภาษา ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการทดลอง 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์และการรับรู้ความสามารถ ในการเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนแบบ KWL Plus กับนักเรียนที่ได้รับการสอนแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 ของโรงเรียนบ้านแหร สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ยะลา เขต 3 จำนวน 48 คน จากการสุ่มอย่างง่าย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 24 คน ใช้เวลาในการสอนเป็น 3 สัปดาห์ แล้วทดสอบด้วยค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณ (One Way ANOVA) ผลการวิจัย พบว่า 1) หลังการทดลอง สูง กว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย 40