The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยฉบับเต็มการพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Thepthida Praditphon, 2023-07-10 12:39:27

วิจัยฉบับเต็มการพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑

วิจัยฉบับเต็มการพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑

ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วย KWL Plus สูงกว่านักเรียนสองภาษาที่เรียนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) การรับรู้ความสามารถในการเรียนวิชาภาษาไทยของ นักเรียน สองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วย KWL Plus หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการ ทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) การรับรู้ความสามารถในการเรียนวิชา ภาษาไทยของนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วย KWL Plus สูงกว่านักเรียนสอง ภาษาที่เรียนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 กิตติกาญจน์ อินทเกตุ (2557: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL PLUS การวิจัยครั้งนี้มี วัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL PLUS 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL PLUS กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวศศาลายา ในพระสังฆราชูปถัมภ์ อำเภอ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 สุพรรณบุรีที่ กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 จำนวน 38 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย โดยใช้ วิธีจับสลาก ระยะเวลาในการทดลอง 12 คาบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แผนการจัดการเรียนรู้ การอ่านอย่างมีวิจารณญาณด้วยเทคนิค KWLH – Plus แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านอย่างมี วิจารณญาณ และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWLH – Plus การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าที (ttest) แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL PLUS หลังการจัดการเรียนรู้สูง กว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL PLUS โดยภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL PLUS จะเห็นได้ว่า การ จัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL PLUS เป็นการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สามารถพัฒนาผู้เรียนใน ด้านการอ่าน เป็นการอ่านที่มีขั้นตอนและให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติตลอดการจัดการเรียนรู้และช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เข้าใจในเรื่องที่อ่านสูงกว่าการสอนแบบปกติและยังช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการอ่านที่สูงขึ้น 5.2 งานวิจัยต่างประเทศ Rinehart et al. (1986: 429) ได้ศึกษาการฝึกทักษะการสรุปความให้นักเรียน โดยการ ตอบคำถามจากบทอ่านวิชาสังคม วิธีการคือ ครูอธิบายวิธีการหาใจความสำคัญ เพื่อนำไปสู่ การสรุป ความ หลังจากนั้นใช้กฎ 4 ข้อ ของการสรุปความ แล้วให้นักเรียนฝึกใช้กฎกับข้อความของตนเอง ตามขั้นตอนการสรุปความ ดังนี้ 1) เขียนสรุปความแต่ละย่อหน้าในรายงาน 2) สรุปประเด็นสำคัญ ของแต่ละย่อหน้ารวมเป็นย่อหน้าเดียว และ 3) ประยุกต์กฎการสรุปความ 4 ข้อ กับย่อหน้าของ ตนเองหลังการฝึกตามขั้นตอนแล้วให้นักเรียนนำเสนอการสรุปความของตนเอง เมื่อจบการฝึกตาม 41


แผนการสอนสรุปความนี้ พบว่า นักเรียนเพิ่มพูนความจำ และสรุปใจความสำคัญจากข้อเขียนได้ดีกว่า นักเรียนที่ไม่ได้ฝึกเมื่อใช้บทอ่านเดียวกัน Carr and Ogle (1987: 626 - 631) ได้ศึกษาวิธีการใช้เทคนิค KWL PLUS เพื่อพัฒนา ความสามารถในการเข้าใจและการสรุปความ โดยทดลองกับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ซึ่งเป็น นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำและนักเรียนที่อยู่ในโครงการสอนซ่อมเสริม โดยใช้วิธีการสังเกต และสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนสามารถถ่ายโอนความรู้การใช้เทคนิค KWL PLUS ไปสู่สถานการณ์การอ่านเรื่องใหม่ได้ รวมทั้งมีความเข้าใจในการอ่านตลอดจนมีทักษะใน การย่อความที่ดี Tirawanchai (1996: 3) ได้ศึกษาการใช้โครงสร้างเรื่องที่มีผลต่อความเข้าใจในการอ่าน ของนักศึกษาระดับปริญญาตรีในประเทศไทย ชั้นปี1 จำนวน 145 คน โดยให้นักศึกษาอ่านเรื่องที่มี ขนาดสั้น และเขียนสรุปความ หลักจากนั้นให้นักศึกษาอ่านเรื่องขนาดยาวและเขียนสรุปความเช่นกัน แล้วตอบคำถามเพื่อหาใจความสำคัญ ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่มีความสามารถ 37 ทาง ภาษาอังกฤษสามารถใช้แบบแผนโครงสร้างเรื่องได้ดีกว่านักศึกษาที่อ่อน ภาษาอังกฤษ แต่ ความสามารถในภาษาอังกฤษและสติปัญญาของนักศึกษาไม่มีผลต่อความเข้าใจในการอภิปราย เกี่ยวกับโครงสร้างเรื่อง และ 2) นักศึกษาที่ใช้โครงสร้างเรื่องแสดงออกถึงความเข้าใจในการอ่านอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติสูงกว่านักศึกษาที่ไม่ได้ใช้โครงสร้างเรื่อง Roloff (1999: 15) ได้ศึกษาลักษณะของบทอ่านที่มีผลต่อความเข้าใจของผู้เรียนร่วมกับ มหาวิทยาลัย 92 แห่งในบราซิล โดยใช้บทอ่านที่เป็นบทความทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับความนิยม ซึ่ง พิจารณาความสามารถในการจดจำบทอ่านจากความเข้าใจหรือการสังเคราะห์บทอ่าน การจัดเรียง เนื้อความในบทอ่าน และการสรุปที่ถูกต้อง ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้อ่านจะไม่ได้รับประโยชน์จากบท อ่านที่ไม่ได้คำนึงถึงระดับความสามารถของผู้อ่าน 2) บทอ่านที่มีรูปแบบชัดเจนจะเป็นประโยชน์กับ ผู้อ่านมากกว่าบทอ่านที่มีรูปแบบไม่ชัดเจน เพราะรูปแบบของบทอ่านเกี่ยวข้อง กับการนำเสนอ เนื้อหาในบทอ่านนั้นด้วย 3) ผู้อ่านจะจดจำเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเองได้บ่อยครั้ง กว่าเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับตนเองน้อย และ 4) ความยากของบทอ่านและหัวข้อที่คุ้นเคยยังไม่ใช่ปัจจัยที่ จะสรุปผลที่จะ เกิดขึ้นใหม่ Witherspoon (1999: 625 - 626) ได้ศึกษาผลการใช้กลวิธีการสอนแบบ KWL ที่มีต่อ ความเข้าใจในการอ่าน ผลการวิจัยพบว่าหลังจากที่นักเรียนได้รับการสอนจากกลวิธีการสอน แบบ KWL Plus ทำให้นักเรียนมีความเข้าใจในการอ่านและนักเรียนประสบความสำเร็จในการอ่าน มากกว่ากลุ่มของนักเรียนที่ไม่ได้รับการสอนด้วยกลวิธีการสอนแบบ KWL Plus จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องสรุปได้ว่า ทักษะการอ่านถือเป็นทักษะสำคัญ ที่ควรจะ ได้รับการพัฒนา เนื่องจากทักษะการอ่านเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ใช้ในการเสาะแสวงหาความรู้ทั้ง ทางด้านการเรียน การทำงาน และการติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะการอ่านสรุปความเป็นการอ่านที่ ผู้อ่านจะต้องตีความหมายสิ่งที่อ่านได้ถูกต้อง ชัดเจน เข้าใจเรื่องได้ สามารถแยกส่วนที่สำคัญ หรือไม่ สำคัญออกจากกัน และสรุปความจากเรื่องที่อ่านเป็นภาษาของตนเอง ผู้อ่านจะต้องฝึก หากได้รับการ พัฒนาในระดับขั้นต้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียน และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ในการพัฒนานั้นจำเป็นต้องอาศัยเทคนิควิธีการที่เหมาะสม การใช้เทคนิค KWL เป็นเทคนิควิธีหนึ่ง 42


จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเนื้อหาสาระหรือข้อมูลที่เรียนรู้และจัดระเบียบข้อมูลที่เรียนรู้ เป็น ขั้นตอนของการสรุปความทั้งในรูปแบบตาราง และแผนผังความคิด ซึ่งจะจดจำได้ง่ายเหมาะสมกับ นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จะต้องพัฒนาทักษะดังกล่าวข้างต้นให้อยู่ในเกณฑ์ที่สูงขึ้น เพื่อจะทำให้นักเรียนสามารถอ่านเอกสารทุกประเภทได้อย่างเข้าใจ และสรุปประเด็นได้ผู้วิจัยจึงได้ พัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วย วิธีสอนแบบ KWL เพื่อพัฒนาการอ่านจับใจความของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 43


บทที่ ๓ วิธีดำเนินการ การวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการ จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) แบบกลุ่ม เดียว วัดผลการทดลองก่อนและหลังการทดลอง One Group Pretest-Posttest Design วิธีและขั้นตอนการวิจัย มีขั้นตอนวิธีดำเนินการวิจัยตามลำดับต่อไปนี้ ขั้นตอนที่ ๑ ขั้นเตรียมการวิจัย ขั้นตอนที่ ๒ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ขั้นตอนที่ ๓ ขั้นสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ขั้นตอนที่ ๔ ขั้นดำเนินการวิจัย ขั้นตอนที่ ๕ ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล โดยมีรายละเอียดในแต่ละขั้นตอนดังนี้ ๑. ขั้นตอนที่ ๑ ขั้นเตรียมการวิจัย ๑.๑ การศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการวิจัย ได้แก่ ๑. ศึกษาเอกสารหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ๒. ศึกษาเอกสารหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนกัลยาณวัตร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ๓. ศึกษาเอกสาร ตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการอ่านจับใจความ ๔. ศึกษาเอกสารตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๕. ศึกษาเอกสาร ตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ การสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการ จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWLและการสร้างแบบสอบถามคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ๑.๒ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ๑. ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนกัลยาณวัตร อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ซึ่งกำลังศึกษา อยู่ในภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ จำนวน ๓ ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น ๑๒๖ คน ๒. กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ โรงเรียนกัลยาณวัตร อำเภอ เมือง จังหวัดขอนแก่น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ใน ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ จำนวน ๑ ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น ๔๒ คน ที่


ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling)ด้วยวิธีการจับฉลากจาก ๓ ห้องเรียน ๑.๓ ตัวแปร ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ๑. ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๒. ตัวแปรตาม ได้แก่ ๑) ความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่ จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL และ ๒) ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการ เรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๑.๔ ระยะเวลา ผู้วิจัยดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ใช้เวลาในการทดลอง ๒ สัปดาห์ สัปดาห์ละ ๓ วัน วันละ ๑ คาบ คาบเรียนละ ๕๕ นาที ไม่รวมทดสอบก่อนเรียน/หลังเรียน ๒ คาบ รวมเป็น ๘ ชั่วโมง ๒. ขั้นตอนที่ ๒ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๑. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ประกอบด้วย ๑.๑ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องการพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL จำนวน ๓ แผน แผนละ ๒ ชั่วโมง ๑.๒ แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านจับใจความ ใช้ทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้ (Pre-test) และหลังการจัดการเรียนรู้ (Post-test) แบบปรนัย ๔ ตัวเลือก จำนวน ๒๐ ข้อ ๑.๓ แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๓. ขั้นตอนที่ ๓ การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ๒.๑ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ มีขั้นตอนการสร้างดังนี้ ๒.๑.๑ ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ ๑ : การอ่าน มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิด เพื่อไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลาง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ และหลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนกัลยาณวัตร ๒.๑.๒ ศึกษาหนังสือ ตำรา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการอ่านจับใจความ ๒.๑.๓ ศึกษาหนังสือ ตำรา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๒.๑.๔ กำหนดเนื้อหาและระยะเวลาในการทดลอง เพื่อสร้างแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการอ่านจับ ใจความสำคัญ จำนวน ๓ แผน รวม ๖ ชั่วโมง ๒.๑.๕ เสนอแผนการจัดการเรียนรู้ต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย เพื่อตรวจสอบความถูกต้องทางด้าน เนื้อหา การใช้ถ้อยคำภาษา และปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง 45


๒.๑.๖ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยเสนอต่อ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน ๓ ท่าน ประกอบด้วย ๑. นางสาวเพียรจิตร ปัญญาวจีตำแหน่ง ครูชำนาญการ พิเศษ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ๒. อาจารย์คชา ปราณีตพลกรัง ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรและการสอน ๓. อาจารย์พัชรพร สาลี ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) แล้วนำความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญมาค่าดัชนีความสอดคล้องของเครื่องมือ (Index of Item Objective Congruence : IOC) ) มีค่าเท่ากับ ๑.๐๐ แสดงว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้องระหว่างองค์ประกอบของแผนการ จัดการเรียนรู้โดยกำหนดเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้การพิจารณา ดังนี้ +๑ หมายถึง แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ๐ หมายถึง ไม่แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ การเรียนรู้หรือไม่ -๑ หมายถึง แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้ไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ การเรียนรู้ โดยคำนวณจากสูตร IOC = ∑ IOC หมายถึง ดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น ∑ หมายถึง ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ R หมายถึง คะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N หมายถึง จำนวนผู้เชี่ยวชาญ ผลการทดสอบความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์ เนื้อหา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้ค่าเท่ากับ ๑.๐๐ ๒.๑.๗ นำแผนการจัดการเรียนรู้ไป Try out จำนวน ๒ แผน กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่ม ตัวอย่างเพื่อตรวจสอบดูระยะเวลาที่ใช้ในแต่ละขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ ๒.๑.๘ ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำและนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑/๒ สรุปการสร้างและพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านจับใจความด้วยวิธีสอนแบบ KWL สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ มีขั้นตอนดังแผนภูมิ๓.๑ ขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย และหลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนกัลยาณวัตร ศึกษาหนังสือ ตำรา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการอ่านจับใจความสำคัญ 46


ขั้นที่ ๓ ขั้นที่ ๔ ขั้นที่ ๕ ขั้นที่ ๖ ขั้นที่ ๗ ขั้นที่ ๘ แผนภูมิที่ ๓.๑ การสร้างและพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ ศึกษาหนังสือ ตำรา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL และการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ กำหนดเนื้อหาและระยะเวลาในการทดลอง เพื่อสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่าน จับใจความด้วยวิธีสอนแบบ KWL จำนวน ๓ แผน ๖ ชั่วโมง เสนอแผนการจัดการเรียนรู้ต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องทางด้านเนื้อหา การใช้ถ้อยคำภาษา และปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง นำเสนอแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อ หา ค่า IOC นำแผนการจัดการเรียนรู้ไป Try out จำนวน ๒ แผน กับนักเรียนที่ไม่ใช่ กลุ่มตัวอย่างเพื่อตรวจสอบดูระยะเวลาที่ใช่ในแต่ละขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำและนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๒ 47


๒.๒ แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ ๔ ตัวเลือก จำนวน ๒๐ ข้อ เพื่อใช้ทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้และหลังการจัดการเรียนรู้เป็นแบบทดสอบชุด เดียวกันแต่สลับข้อสอบสลับตัวเลือก โดยมีขั้นตอนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพ ดังนี้ ๒.๒.๑ ศึกษาหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย สาระที่ ๑: การอ่าน มาตรฐาน ท ๑.๑ : ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อ นำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน ศึกษาวิเคราะห์ตัวชี้วัด สาระการ เรียนรู้แกนกลาง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ และหลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนกัลยาณวัตร พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๒.๒.๒ ศึกษาทฤษฎี หลักการ และวิธีสร้างเครื่องมือและวิธีวัดผลทางการศึกษา ๒.๒.๓ วิเคราะห์เนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ที่มีสาระเกี่ยวกับการอ่านจับใจความ ๒.๒.๔ จัดทำตารางวิเคราะห์ข้อสอบ (Test Blueprint) ๒.๒.๕ สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ แบบทดสอบชนิด เลือกตอบ ๔ ตัวเลือก จำนวน ๔๐ ข้อ ให้ครอบคลุมตารางวิเคราะห์ข้อสอบ โดยแต่ละข้อให้มีตัวเลือก ที่ถูกต้องที่สุดเพียง ๑ ตัวเลือก กำหนดเกณฑ์การให้คะแนน คือ ตอบถูกได้ ๑ คะแนน ตอบผิดได้ ๐ คะแนน และคัดเลือกข้อสอบที่มีคุณภาพจำนวน ๒๐ ข้อ โดยคัดเลือกให้ครอบคลุมจุดประสงค์เชิง พฤติกรรมที่กำหนดไว้เพื่อนำไปใช้ในการทดสอบก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ ๒.๒.๖ เสนอแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ ต่ออาจารย์ที่ปรึกษา วิจัย เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อคำถาม การใช้ถ้อยคำภาษา และปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ๒.๒.๗ นำเสนอแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ ประกอบด้วย ๑. นางสาวเพียรจิตร ปัญญาวจีตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ๒. อาจารย์คชา ปราณีตพลกรัง ผู้เชี่ยวชาญ ด้านหลักสูตรและการสอน ๓. อาจารย์พัชรพร สาลี ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผล เพื่อ ตรวจสอบความถูกต้องและความเที่ยงตรงของเนื้อหา แล้วนำความคิดของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าดัชนี ความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาของข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ (Index of Item Objective Congruence: IOC) นำผลจากการวิเคราะห์ค่า IOC ของผู้เชี่ยวชาญทั้ง ๓ ท่าน มาคำนวณหาค่าดัชนี ความสอดคล้อง และคัดเลือกข้อสอบที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่าหรือเท่ากับ ๐.๕ ขึ้นไป ๒.๒.๘ นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความไปทดลองใช้ (Try Out) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนกัลยาณวัตร จำนวน ๑ ห้อง ทั้งหมด ๔๒ คน ที่ เคยเรียนเรื่องนี้แล้ว และนำผลการทดสอบมาวิเคราะห์ทางสถิติรายข้อเพื่อหาประสิทธิภาพของบท ทดสอบให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ โดยพิจารณาจากค่าความยาก (p) ระหว่าง ๐.๒ – ๐.๘ และค่า อำนาจจำแนก (r) ระหว่าง ๐.๒๐ – ๑.๐๐ และคัดเลือกข้อสอบไว้จำนวน ๒๐ ข้อ ซี่งได้ค่าความยาก ง่าย (p) อยู่ระหว่าง ๐.๕๐ - ๑.๐๐ ค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง ๐.๔๐ - ๐.๖๘ และค่าอำนาจ จำแนก (r) ระหว่าง ๐.๒๓-๐.๖๙ 48


๒.๒.๙ นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความไปหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยใช้สูตร KR๒๐ ของคูเดอร์ และริชาร์ด (Kuder and Richardson) ได้ค่าความ เชื่อมั่นเท่ากับ ๐.๗๐ ๒.๒.๑๐ นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ จำนวน ๒๐ ข้อ ที่ได้ ปรับปรุงเกณฑ์แล้วไปใช้ทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้และหลังการจัดการเรียนรู้กับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ โรงเรียนกัลยาณวัตร ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่าง การสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ มีขั้นตอนการพัฒนา ดังแสดงใน แผนภูมิที่ ๓.๒ ขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๓ ขั้นที่ ๔ ขั้นที่ ๕ ขั้นที่ ๖ ขั้นที่ ๗ ศึกษาหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย การศึกษาทฤษฎี หลักการ และวิธีการสร้างเครื่องมือวัดผลทางการศึกษา วิเคราะห์เนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้ที่มีสาระเกี่ยวกับการอ่านจับใจความ สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ แบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ ๔ ตัวเลือก จำนวน ๔๐ ข้อ ให้ครอบคลุมตารางวิเคราะห์ข้อสอบ จัดทำตารางวิเคราะห์ข้อสอบ (Test Blueprint) เสนอแบบทดสอบวัดความสามารถในารอ่านจับใจความ ต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย เพื่อตรวจสอบ ความถูกต้องของข้อคำถาม การใช้ถ้อยคำภาษา และปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 49


ขั้นที่ ๘ ขั้นที่ ๙ ขั้นที่ ๑๐ แผนภูมิที่ ๓.๒ การสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ ๒.๓ แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยการ จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL มีขั้นตอนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพ ดังนี้ ๒.๓.๑ ศึกษาวิธีการสร้างแบบสอบถามความคิดเห็นจากตำรา เอกสารเกี่ยวกับกับหลักการสร้าง แบบสอบถาม และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒.๓.๒ สร้างแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยโดย การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL เป็นแบบมาตรประเมินค่า (Rating Scale) ๕ ระดับ ของลิเคิร์ท (Likert) จำนวน ๑๐ ข้อ แบ่งออกเป็น ๓ ด้าน คือ ด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านบรรยากาศ การจัดการเรียนรู้ ด้านประโยชน์ที่ได้รับ โดยกำหนดค่าความคิดเห็น ๕ ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปาน กลาง น้อย น้อยที่สุด มาตรประเมินค่า (Rating Scale) ๕ ระดับของลิเคิร์ท (Likert) คะแนน ระดับคุณภาพ ๕ มีคุณภาพมากที่สุด ๔ มีคุณภาพมาก ๓ มีคุณภาพปานกลาง ๒ มีคุณภาพน้อย นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความไปทดลอง (Try Out) กับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนกัลยาณวัตร จำนวน ๔๒ คน ที่เคยเรียนเรื่องนี้แล้ว และนำผลการ ทดสอบมาวิเคราะห์ทางสถิติรายข้อเพื่อหาประสิทธิภาพของแบบทดสอบให้มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความไปหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยใช้ สูตร KR20 นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ จำนวน ๒๐ ข้อ ที่ได้ปรับปรุงตามเกณฑ์ แล้วไปทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้และหลังจัดการเรียนรู้กับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ 50


๑ มีคุณภาพน้อยที่สุด เกณฑ์การแปลความหมาย ค่าเฉลี่ย ระดับความคิดเห็น ๔.๕๐ – ๕.๐๐ มีความคิดเห็นมากที่สุด ๓.๕๐ – ๔.๔๙ มีความคิดเห็นมาก ๒.๕๐ – ๓.๔๙ มีความคิดเห็นปานกลาง ๑.๕๐ – ๒.๔๙ มีความคิดเห็นน้อย ๑.๐๐ – ๑.๔๙ มีความคิดเห็นน้อยที่สุด ๒.๓.๓ นำแบบสอบถามความคิดเห็นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง แล้ว นำแบบสอบถามความคิดเห็นมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ ๒.๓.๔ นำแบบสอบถามความคิดเห็นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน ๓ ท่าน ได้แก่ ๑. นางสาวเพียรจิตร ปัญญาวจีตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนกลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย ๒. อาจารย์คชา ปราณีตพลกรัง ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรและการสอน ๓. อาจารย์ พัชรพร สาลี ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความเที่ยงตรง ของเนื้อหา แล้วนำความคิดของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาของข้อสอบ กับจุดประสงค์การเรียนรู้ (Index of Item Objective Congruence: IOC) นำผลจากการวิเคราะห์ ค่า IOC ของผู้เชี่ยวชาญทั้ง ๓ ท่าน มาคำนวณหาค่าดัชนีความสอดคล้อง และคัดเลือกข้อสอบที่มีค่า ดัชนีความสอดคล้องมากกว่าหรือเท่ากับ ๐.๕ ขึ้นไป แสดงว่าข้อคำถามนั้น มีความถูกต้อง เหมาะสม และสอดคล้องกับเนื้อหา ถือว่ามีความถูกต้อง เหมาะสม และสอดคล้องในเกณฑ์ ที่ยอมรับได้ซึ่งจาก การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง ๑.๐๐ ๒.๓.๕ นำแบบสอบถามความคิดเห็นมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญทั้ง ๓ ท่าน จน ถูกต้องสมบูรณ์ ๒.๓.๖ นำแบบสอบถามความคิดเห็นไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ ด้วยวิธีสอนแบบ KWL สามารถสรุปได้ดังแผนภูมิได้ดังนี้ สร้างแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ศึกษาวิธีการสร้างแบบสอบถามความคิดเห็นจากตำรา เอกสารเกี่ยวกับหลักการสร้างแบบสอบถาม และ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 51


ขั้นตอนที่ ๔ ขั้นดำเนินการวิจัย แผนภูมิที่ ๓.๓ แผนภูมิแสดงขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีการจัดการ เรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๔. ขั้นตอนที่ ๔ ขั้นดำเนินการวิจัย ๔.๑ แบบแผนการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองตาม แบบแผนการวิจัยแบบหนึ่งกลุ่ม สอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One Group Pre-test and Post-test Design) (มาเรียม นิลพันธุ์,๒๕๔๗: ๑๔๔) ทดสอบก่อนเรียน ทดลอง ทดสอบหลังเรียน T๑ X T๒ จากตารางข้างต้นสัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการวิจัย T๑ หมายถึง การทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความด้วยวิธีสอนแบบ KWL X หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบ KWL T๒ หมายถึง การทดสอบหลังการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ วิธีสอนแบบ KWL ๔.๒ การดำเนินการทดลอง นำแบบสอบถามความคิดเห็นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง แล้วนำแบบสอบถาม ความคิดเห็นมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ นำแบบสอบถามความคิดเห็นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม และ หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ (Index of Item and Objective Con Gruence : IOC) นำแบบสอบถามความคิดเห็นมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน จนถูกต้องสมบูรณ์ นำแบบสอบถามความคิดเห็นไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง 52


๔.๒.๑ ก่อนดำเนินการทดลอง ผู้วิจัยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ทำแบบทดสอบวัดความสามารถในการ อ่านจับใจความก่อนการจัดการเรียนรู้ Pre-test จำนวน ๒๐ ข้อ ใช้เวลา ๖๐ นาที เพื่อวัดพื้นฐาน ทางด้านการอ่าน ๔.๒.๒ ตรวจให้คะแนนการทำแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความก่อนเรียน และหา ค่าเฉลี่ย ̅ของคะแนนความสามารถในการอ่านจับใจความและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ๔.๒.๓ ผู้วิจัยดำเนินการสอนกลุ่มตัวอย่าง ตามแผนการจัดการเรียนรู้ ๔.๒.๔ ระยะเวลาในการทดลอง ผู้วิจัยดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โดยใช้ เวลาในการทดลอง ๒ สัปดาห์ สัปดาห์ละ ๓ คาบ รวมเป็น ๖ คาบ ๔.๒.๕ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบหลังการจัดการเรียนรู้Post-test ด้วยแบบทดสอบวัด ความสามารถในการอ่านจับใจความ ซึ่งเป็นแบบทดสอบชุดเดียวกับทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้ แต่ สลับข้อ สลับตัวเลือก ๔.๒.๖ ตรวจให้คะแนนการทำแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ หลังการจัดการ เรียนรู้ จากนั้นจึงนำมาหาค่าเฉลี่ย ̅ของคะแนนความสามารถในการอ่านจับใจความ และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ๔.๒.๗ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๔.๒.๘ หาค่าเฉลี่ย ̅และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ของแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL และแปลผลค่าเฉลี่ยตามเกณฑ์ ขั้นตอนที่ ๕ ขั้นวิเคราะห์และสรุปผลข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลครั้งนี้ ประกอบด้วย ๕.๑. การวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ ๑.๑ การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือของแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการอ่านจับใจความ สำคัญโดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ด้วยการตรวจสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ๑.๒ การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจับใจความของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการเรียนรู้เรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๑.๒.๑ ตรวจสอบความเที่ยงตรงด้านเนื้อหา (Content Validity) โดยใช้ค่าดัชนี ความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ๑.๒.๒ การตรวจสอบค่าความยากง่าย (p) โดยใช้เกณฑ์ความยากง่าย ระหว่าง ๐.๒๐ – ๐.๘๐ และค่าอำนาจจำแนก (r) โดยใช้เกณฑ์ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ ๐.๒๐ ขึ้นไป การตรวจสอบค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ โดยใช้สูตร KR๒๐ (Kuder and Richardson๒๐) 53


๑.๓ การตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ตรวจสอบความเที่ยงตรงด้านเนื้อหา (Content Validity) โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ๕.๒. การทดสอบสมมติฐาน ๒.๑ วิเคราะห์ความสามารถด้านการอ่านจับใจความ คะแนนเฉลี่ย (̅) ค่าส่วนเบี่ยง เบนมาตรฐาน (S.D.) การเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความก่อนและหลังการจัดการ เรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL วิเคราะห์โดยใช้การทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent ๒.๒ วิเคราะห์ความสามารถด้านการอ่านจับใจความ คะแนนเฉลี่ย (̅) ค่าส่วนเบี่ยง เบนมาตรฐาน (S.D.) การเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความหลังการจัดการเรียนรู้ ด้วยวิธีสอนแบบ KWL กับเกณฑ์ร้อยละ ๘๐ วิเคราะห์โดยใช้การทดสอบค่าที (t-test) แบบ One Sample t- test ๒.๓ วิเคราะห์แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL โดยสอบถามมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) ๕ ระดับ ใช้ค่าเฉลี่ย (̅) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) คำนวณหาค่าเฉลี่ยโดยใช้เกณฑ์การประเมินการ แปลความหมายของระดับค่าเฉลี่ยโดยใช้เกณฑ์ ของลิเคิร์ท (Likert) ดังนี้ ๕ หมายถึง นักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด ๔ หมายถึง นักเรียนเห็นด้วยในระดับมาก ๓ หมายถึง นักเรียนเห็นด้วยในระดับปานกลาง ๒ หมายถึง นักเรียนเห็นด้วยในระดับน้อย ๑ หมายถึง นักเรียนเห็นด้วยในระดับน้อยที่สุด เกณฑ์ในการพิจารณาค่าเฉลี่ย ระดับคะแนน ระดับความคิดเห็น ๔.๕๐-๕.๐๐ เห็นด้วยมากที่สุด ๓.๕๐-๔.๔๙ เห็นด้วยมาก ๒.๕๐-๓.๔๙ เห็นด้วยปานกลาง ๑.๕๐-๒.๔๙ เห็นด้วยน้อย ๑.๐๐-๑.๔๙ เห็นด้วยน้อยที่สุด 54


บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่องการพัฒนาความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลจาก กลุ่มตัวอย่างเป็น นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนกัลยาณวัตร อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ จำนวน ๑ห้องเรียน ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยวิธีการจับสลาก โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยของการสุ่ม (Unit of Sampling) ซึ่งผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตาม ลำดับดังนี้ ตอนที่ ๑ ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ตอนที่ ๒ ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ร่วมกับเกณฑ์ที่กำหนด ร้อยละ ๘๐ ตอนที่ ๓ ผลการศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ตอนที่ ๑ ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจควา มของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL มีรายละเอียดดังนี้ ตารางที่ ๔.๑ ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ K กลุ่มตัวอย่าง จำนวน นักเรียน คะแนน เต็ม คะแนน เฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (SD) t p ทดสอบก่อน เรียน ๔๒ ๒๐ ๑๐.๕๕ ๐.๘๐ -๒๔.๘๗๗ .๐๐๐ ทดสอบหลัง เรียน ๔๒ ๒๐ ๑๘.๑๐ ๐.๘๕


จากตารางที่ ๔.๑ พบว่าคะแนนความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ . ๐๕ โดยเฉลี่ยหลังเรียน ( ̅= ๑๘.๑๐, SD = ๐.๘๕) สูงกว่าก่อนเรียน ( ̅= ๑๐.๕๕, SD = ๐.๘๐) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมื่อนักเรียนได้เรียนด้วยวิธีสอนแบบ KWL แล้ว นักเรียนมีความสามารถด้านการ อ่านจับใจความสูงขึ้นกว่าเดิม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานของการ วิจัยที่ตั้งไว้ว่า ความสามารถทางการเรียน เรื่อง การอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการเรียนรู้โดยวิธีสอนแบบ KWL หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ตอนที่ ๒ ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ร่วมกับเกณฑ์ที่กำหนด ตารางที่ ๔.๒ ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ร่วมกับเกณฑ์ที่กำหนด ร้อยละ ๘๐ จากตารางที่ ๔.๒ พบว่าคะแนนความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จำนวน ๔๒ คน หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL แล้วมีคะแนน เฉลี่ย (̅ ) เท่ากับ ๑๘.๑๐ คิดเป็นร้อยละ ๘๒.๗๕ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ ๐.๘๕ สูง กว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ ร้อยละ ๘๐ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน ของการวิจัยที่ตั้งไว้ว่าความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หลัง การจัดการเรียนรู้เรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL เป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ ๘๐ กลุ่มตัวอย่าง ที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้ โดยใช้การ จัดการเรียนรู้ ด้วยวิธีสอน แบบ KWL จำนวน นักเรียน เกณฑ์ที่ กำหนด ร้อยละ คะแนน เต็ม ̅ (SD) คะแนน เฉลี่ย ร้อยละ t p ๔๒ ๘๐ ๒๐ ๑๘.๑๐ ๐.๘๕ ๘๒.๗๕ -๕.๘๐ .๐๐๗ 56


ตอนที่ ๓ ผลการศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ผลการศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธี สอนแบบ KWL จำนวน ๔๒ คน ซึ่งจำแนกเป็นภาพรวมและรายด้าน จำนวน ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านบรรยากาศการจัดการเรียนรู้ และด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ โดยวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย (̅) และระดับความคิดเห็น ดังรายละเอียดตารางที่ ๔.๓ ตารางที่ ๔.๓ ผลการศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL รายการ (̅) S.D. ระดับความ คิดเห็น ลำดับที่ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ๑. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นลำดับ ต่อเนื่องไม่สับสน ๔.๖๐ ๐.๕๕ มากที่สุด ๒ ๒. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ปฏิบัติตาม ขั้นตอน ไม่ยากเกินไป ๔.๗๐ ๐.๔๔ มากที่สุด ๑ ๓. การจัดกิจกรรมส่งเสริมให้นักเรียนคิด วิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นในทุกขั้นตอน ๔.๔๒ ๐.๔๖ มาก ๔ ๔. การจัดการเรียนรู้ส่งเสริมให้นักเรียนตั้ง คำถามและตอบคำถามในสิ่งที่อยากรู้ ๔.๕๙ ๐.๕๖ มากที่สุด ๓ รวมด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ๔.๕๗ ๐.๓๒ มากที่สุด (๒) ด้านบรรยากาศการจัดการเรียนรู้ ๕. นักเรียนสนุกสนานในการร่วมกิจกรรม การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๔.๔๕ ๐.๕๑ มาก ๒ ๖. การจัดการเรียนรู้ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดี มีการช่วยเหลือกันภายในกลุ่ม ๔.๕๐ ๐.๕๒ มากที่สุด ๑ ๗. นักเรียนมีโอกาสแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ และความคิดเห็นระหว่างเพื่อน ๔.๔๐ ๐.๖๐ มาก ๓ รวมด้านประโยชน์ที่ได้รับการจากการเรียนรู้ ๔.๔๕ ๐.๓๐ มาก (๓) 57


ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ ๘. นักเรียนได้พัฒนาความสามารถด้านการ อ่านจับใจความและมีเป้าหมายในการอ่านมาก ขึ้น ๔.๖๒ ๐.๔๘ มากที่สุด ๑ ๙. นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่ เรียนมากขึ้น ๔.๓๐ ๐.๖๐ มาก ๒ ๑๐. นักเรียนสามารถนำกระบวนการอ่านไปใช้ ในชีวิตประจำวันและในวิชาอื่นได้ ๔.๕๐ ๐.๕๗ มากที่สุด ๓ รวมด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ ๔.๔๗ ๐.๓๙ มากที่สุด (๑) รวมทุกด้าน ๔.๔๙ ๐.๕๑ มากที่สุด จากตารางที่ ๔.๓ พบว่าความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL โดยภาพรวมมีระดับความคิดเห็นในระดับ เห็นด้วยมากที่สุด (̅= ๔.๔๙, SD =๐.๕๑ ) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่านักเรียนมีความคิดเห็นต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยวิธีสอนแบบ KWL โดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ย จากมาก ไปหาน้อยดังนี้ ด้านการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ นักเรียนมีความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุดเป็นลำดับหนึ่ง (̅= ๔.๕๗, SD =๐.๓๒ ) รองลงมาได้แก่ ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ นักเรียน มีความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก ที่สุด (̅= ๔.๔๗, SD =๐.๓๙) และด้านบรรยากาศการจัดการเรียนรู้ นักเรียนมีความคิดเห็นอยู่ใน ระดับเห็นด้วยมากเป็นลำดับสุดท้าย (̅= ๔.๔๕, SD =๐.๓๐ ) ตามลำดับซึ่งแต่ละด้านมีรายละเอียด ดังนี้ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นักเรียนมีความคิดเห็นโดยภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก ที่สุด (̅= ๔.๕๗, SD =๐.๓๒) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ โดยการเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้ ดังนี้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ปฏิบัติตามขั้นตอนไม่ยากเกินไป (̅= ๔.๗๐, SD = ๐.๔๔ ) การจัด กิจกรรมการเรียนรู้เป็นลำดับต่อเนื่องไม่สับสน (̅= ๔.๖๐, SD = ๐.๕๕ ) การจัดการเรียนรู้ส่งเสริม ให้นักเรียนตั้งคำถามและตอบคำถามในสิ่งที่อยากรู้ (̅= ๔.๕๙, SD = ๐.๕๖) การจัดกิจกรรม ส่งเสริมให้นักเรียนคิดวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นในทุกขั้นตอน (̅= ๔.๔๒, SD = ๐.๔๖ ) ตามลำดับ ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ นักเรียนมีความคิดเห็นโดยภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วย มากที่สุด (̅= ๔.๔๗, SD = ๐.๓๙) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ โดยการเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้นักเรียนได้ พัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความและมีเป้าหมายในการอ่านมากขึ้น (̅ = ๔.๖๒, SD = ๐.๔๘ ) นักเรียนสามารถนำกระบวนการอ่านไปใช้ในชีวิตประจำวันและในวิชาอื่น ได้ (̅= ๔.๕๐, SD = ๐.๕๗) และนักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนมากขึ้น (̅= ๔.๓๐, SD = ๐.๖๐)ตามลำดับ 58


ด้านบรรยากาศการจัดการเรียนรู้ นักเรียนมีความคิดเห็นโดยภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วย มาก (̅= ๔.๔๒, SD = ๐.๓๐) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ โดยการเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้ การจัดการเรียนรู้ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดี มีการช่วยเหลือกันภายในกลุ่ม (̅= ๔.๕๐, SD = ๐.๕๒) นักเรียนสนุกสนานในการร่วมกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL (̅= ๔.๔๕, SD = ๐.๕๑ ) และนักเรียนมีโอกาสแลกเปลี่ยนการเรียนรู้และความคิดเห็นระหว่างเพื่อน (̅ = ๔.๔๐, SD = ๐.๖๑ ) ตามลำดับ 59


บทที่ ๕ สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่องการพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) แบบกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One Group Pretest-Posttest Design) โดยมี วัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการ จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ๒) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการอ่านจับใจความของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้ คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียน กัลยาณวัตร อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ จำนวน ๑ ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น ๔๒ คน ซึ่ง ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยวิธีการจับฉลากจาก ๓ ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ๑) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องการอ่านจับใจความด้วยการ จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ที่ผ่านการตรวจหาค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC เท่ากับ ๑.๐๐ ๒) แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านจับใจความใช้ทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้และหลังการ จัดการเรียนรู้ แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ ๔ ตัวเลือกจำนวน ๒๐ ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ ๐.๖๗-๑.๐๐ มีค่าความยากง่าย (p) ระหว่าง ๐.๔๘ - ๐.๖๘ มีค่าอำนาจจำแนก (r) ระหว่าง ๐.๒๓ - ๐.๖๙ และมีค่าความเชื่อมั่น ๐.๘๙ ๓) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ซึ่งแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ จำนวน ๑๐ ข้อ ประเมินในด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านบรรยากาศการจัดการเรียนรู้ และด้าน ประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC เท่ากับ ๑.๐๐ การวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการ โดยสถิติที่ใช้ในการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับ ใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธี สอนแบบ KWL ใช้การทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระต่อกัน (t-test dependent) การศึกษาความสามารถ ด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หลังการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ ด้วยวิธีสอนแบบ KWL กับเกณฑ์ที่กำหนด ร้อยละ ๘๐ ใช้การทดสอบ One Sample t-test และ การศึกษาแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ที่เป็นฐานใช้การวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย (̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD)


๑. สรุปผลการวิจัย การวิจัยเรื่องการพัฒนาความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL สามารถสรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ ๑. ความสามารถทางการเรียน เรื่อง การอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่ จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .๐๕ ๒. ความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หลังการจัดการ เรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ ๘๐ อย่างมีนัยสำคัญ ที่ระดับ .๐๕ ๓. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ ด้วยวิธีสอนแบบ KWL เรื่อง การอ่านจับใจความโดยภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด ๒. อภิปรายผล จากผลการวิจัย เรื่อง การพัฒนาความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL สามารถอภิปรายผลตามวัตถุประสงค์ การวิจัยได้ ดังต่อไปนี้ ๑. ความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ที่ระดับ .๐๕ เป็นไปตาม สมมติฐานที่ตั้งไว้ว่า ความสามารถทางการเรียนเรื่อง การอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ทั้งนี้ เนื่องจากการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มีวิธีการอ่านจับใจความที่เน้นการจัดกิจกรรมไปทีละ ขั้นตอน ทำให้ผู้เรียนมีจุดมุ่งหมาย สามารถจับใจความจากเรื่องที่อ่านได้อย่างถูกต้อง ซึ่งมีขั้นตอนทั้งหมด ๓ ขั้นตอน โดยเริ่มจาก K ในกระบวนการ KWL หมายถึง “Know” เป็นขั้นตอนที่นักเรียนตรวจสอบ หัวข้อเรื่องหรือชื่อเรื่องว่าตนเองมีความรู้เกี่ยวกับชื่อเรื่องมากน้อยเพียงใด เป็นการนำความรู้เดิมมาใช้ เพราะการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้พื้นฐาน และประสบการณ์ของนักเรียน เป็นสิ่งสำคัญในการจัด กิจกรรมก่อนอ่าน ซึ่งเป็นการเตรียมนักเรียนในการเรียนรู้เนื้อหาใหม่ การบูรณาการระหว่างความรู้ พื้นฐาน และเรื่องที่นักเรียนจะอ่านเป็นสิ่งที่ช่วยให้นักเรียนสร้างความหมายของบทอ่านได้ดี และผู้อ่าน ควรได้รับการกระตุ้นความรู้พื้นฐาน ดังนั้น ขั้นตอนนี้ ทฤษฎีโครงสร้างความรู้ ซึ่งเป็นทฤษฎีโครงสร้าง ความรู้ซึ่งเป็นทฤษฎีว่าด้วยหลักการในการนำความรู้พื้นฐาน ความรู้เดิมและประสบการณ์เดิมมาใช้ในการ เรียนการสอนจึงเป็นทฤษฎีเกี่ยวข้องที่สำคัญมาก นอกจากนี้นักเรียนจะพยายามหาคำตอบเมื่อครูผู้สอนถาม ดังนั้น การใช้คำถามในขั้นนี้ จึงเป็น แนวทางที่จะทำให้ผู้เรียนมีจุดมุ่งหมายในการอ่าน และอ่านอยู่ในขอบเขตที่ตั้งไว้ สอดคล้องกับแนวคิดของ คาร์และโอเกิล (Carr and Ogle. ๑๙๘๗: ๖๒๖-๖๓๑) ที่กล่าวว่า 61


K ในกระบวนการ KWL หมายถึง “Know” เป็นขั้นตอนที่นักเรียนตรวจสอบหัวข้อเรื่องหรือชื่อ เรื่องว่าตนเองมีความรู้เกี่ยวกับชื่อเรื่องมากน้อยเพียงใด เป็นการนำความรู้เดิมมาใช้ เพราะการเชื่อมโยง ความรู้ใหม่กับความรู้พื้นฐาน และประสบการณ์ของนักเรียน เป็นสิ่งสำคัญในการจัดกิจกรรมก่อนอ่าน ซึ่ง เป็นการเตรียมนักเรียนในการเรียนรู้เนื้อหาใหม่ การบูรณาการระหว่างความรู้พื้นฐาน และเรื่องที่นักเรียน จะอ่านเป็นสิ่งที่ช่วยให้นักเรียนสร้างความหมายของบทอ่านได้ดี และผู้อ่านควรได้รับการกระตุ้นความรู้ พื้นฐาน ดังนั้น ขั้นตอนนี้ ทฤษฎีโครงสร้างความรู้ ซึ่งเป็นทฤษฎีโครงสร้างความรู้ซึ่งเป็นทฤษฎีว่าด้วย หลักการในการนำความรู้พื้นฐาน ความรู้เดิมและประสบการณ์เดิมมาใช้ในการเรียนการสอนจึงเป็นทฤษฎี เกี่ยวข้องที่สำคัญมาก W ในกระบวนการ KWL หมายถึง “Want to know” เป็นขั้นตอนที่นักเรียนจะต้องถามตัวเอง ว่าต้องการรู้อะไรในเนื้อเรื่องที่จะอ่านบ้าง ซึ่งคำถามที่นักเรียนสร้างขึ้นก่อนอ่านนี้เป็นการตั้งเป้าหมายใน การอ่าน และเป็นการคาดหวังว่าจะพบอะไรในบทอ่านบ้าง L ในกระบวนการ KWL หมายถึง “Learned” เป็นขั้นตอนที่นักเรียนสำรวจว่าตนเองได้เรียนรู้ อะไรบ้างจากบทอ่าน โดยนักเรียนจะหาคำตอบให้กับคำถามที่ตนเองตั้งไว้ ในขั้นตอน W และจดบันทึกสิ่ง ที่ตนเองเรียนรู้ขั้นตอนการสอนที่เสนอแนะโดยคาร์และโอเกิล (Carr; & Ogle. ๑๙๘๗) มีดังต่อไปนี้ ๑) ก่อนการอ่าน ครูกระตุ้นประสบการณ์เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องที่อ่าน นักเรียนอภิปรายถึง ความรู้เดิมที่มีอยู่เกี่ยวกับหัวข้อเรื่อง และเขียนสรุปหัวข้อที่รู้ไว้ หลังจากนั้นนักเรียนคาดเดาว่า จะพบ ข้อมูลอะไรบ้างจากย่อหน้าที่อ่านหรือ อยากรู้ข้อมูลอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน แล้วตั้งคำถามในสิ่งที่ตน อยากรู้ไว้๒) ในระหว่างการสอน ในขณะที่อ่านนักเรียนหยุดเป็นช่วง ๆ เพื่อตอบคำถามที่ได้เขียนไว้ ก่อน อ่าน ซึ่งจะทำให้เขาสามารถแยกแยะได้ว่า หัวข้อใดที่รู้แล้ว หรือหัวข้อใดที่ยังไม่เข้าใจ นอกจากนี้ในขณะที่ อ่านอาจตั้งคำถามที่อยากรู้เพิ่มเติม เพื่อเป็นการชี้แนะแนวทางในขณะที่อ่าน นักเรียนเขียนโน้ตย่อในสิ่งที่ เรียนรู้จากบทอ่าน ซึ่งช่วยให้สามารถคัดเลือกข้อมูลสำคัญ ๆ จากย่อหน้านั้น ๆ ๓) หลังการอ่าน นักเรียน อภิปรายถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ในขณะที่อ่าน พิจารณาถึงคำถามในส่วน ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ ๑) ขั้น K (What you know) ๒) ขั้น W (What you want to know) ๓) ขั้น L (What you have learned) ๔) ขั้นการเขียนสรุปและนำเสนอ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาคะแนนหลังการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL โดยนักเรียนจำนวน ๔๒ คน ทำแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ จำนวน ๒๐ ข้อ พบว่า คะแนนความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จำนวน ๔๒ คน หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL แล้วมีคะแนนเฉลี่ย (̅) เท่ากับ ๑๘.๑๐ คิดเป็นร้อยละ ๘๒.๗๕ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ ๐.๘๕ สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ ร้อยละ ๘๐ อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานของการวิจัยที่ตั้งไว้ว่า ความสามารถด้านการอ่าน 62


จับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หลังการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอน แบบ KWL เป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ ๘๐ ผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามขั้นตอนดังกล่าว สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยการจัดการ เรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL สามารถพัฒนาความสามารถทางการอ่านจับใจความของนักเรียนได้ดีขึ้น เนื่องจากมีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ที่ชัดเจน เป็นระบบไม่ซับซ้อนทำให้ผู้อ่านอ่านอย่างมีทิศทางสามารถ ปฏิบัติตามได้ด้วยตนเอง โดยเริ่มจากขั้นตอนที่ง่าย ๆ นักเรียนค่อย ๆ เรียนรู้ไปทีละขั้นจนไปถึงขั้นตอน สุดท้าย การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL มีความน่าสนใจและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี เพราะ มีขั้นตอน W (What you want to know) ให้นักเรียนถามตัวเองว่าต้องการรู้อะไรในเนื้อเรื่องที่จะอ่าน บ้าง ซึ่งคำถามที่นักเรียนสร้างขึ้นก่อนอ่านนี้เป็นการตั้งเป้าหมายในการอ่าน และเป็นการคาดหวังว่าจะพบ อะไรในบทอ่านบ้าง ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนได้รู้จักการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ รู้จักการตั้งคำถามและ พยายามค้นหาคำตอบ สอดคล้องกับความคิดเห็นของ บรรจง อมรชีวิน (๒๕๕๖: ๓๗) ที่กล่าวว่า เราไม่ อาจที่จะมีทักษะในการคิดได้ดี หากเราไม่มีทักษะ ในการตั้งคำถามอันจะเป็นกุญแจสู่การคิดอย่างมี ประสิทธิภาพ เกิดการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL ยังช่วยพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญของ ผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งนักเรียนยังได้ฝึกทักษะการทำงานเป็นทีม ที่แต่ละกลุ่มจะต้องช่วยกัน ค้นหาคำตอบ วิเคราะห์ อภิปรายและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน สอดคล้องกับ Suvit Moonkam and Oratai Moonkam (๒๕๔๕ : ๘) ที่กล่าวไว้ในทำนองเดียวกันว่าเทคนิค KWL เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนมีทักษะกระบวนการอ่านและทักษะกระบวนการคิดอย่างรู้ตัวว่า ตนเองคิดอะไร มีวิธีคิดอย่างไร สามารถตรวจสอบความคิดของตนเองได้โดยผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับ ใจความที่ได้รับการสอนด้วยเทคนิค KWL สูงกว่าวิธีสอนแบบปกติทั้งนี้เนื่องมาจากวิธีการสอนด้วยเทคนิค KWL มีขั้นตอนในการทำกิจกรรมที่ชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับวิจัยของ Pannee Sawetamarn (๒๕๔๓) ที่ พบว่านักเรียนต้องใช้ประสบการณ์เดิมเพื่อตีความทำความเข้าใจเรื่องที่จะอ่านดังนั้นประสบการณ์เดิมจึง เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านสูงขึ้น สอดคล้องกับแนวคิดของJaraporn Boonnarong (๒๕๕๔) ที่พบว่าผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านจับ ใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่ได้รับการสอนด้วยเทคนิค KWL กับวิธีสอนแบบปกติแตกต่าง กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ และยังพบว่าผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .๐๕ ๒. ความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หลังการจัดการ เรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ ๘๐ นอกจากนี้ เมื่อรวม คะแนนทั้งหมด ๒๐ คะแนนแล้ว พบว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย (̅) เท่ากับ ๑๘.๑๐ คิดเป็นร้อยละ ๘๒.๗๕ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) 63


เท่ากับ ๐.๘๕ สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ ร้อยละ ๘๐ ทั้งนี้ เนื่องจากนักเรียนได้เรียนรู้หลักและวิธีการ จับใจความที่ถูกต้อง อีกทั้งเทคนิค KWL ที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ยังเป็นเทคนิคที่มีขั้นตอนเป็นระบบ ปฏิบัติตามขั้นตอนไปทีละขั้น เข้าใจง่ายนักเรียนได้ฝึกและลงมือปฏิบัติได้ด้วยตนเอง เริ่มจากขั้นตอนที่ง่าย ไปหายากที่มีกระบวนการอ่าน ทั้งหมด ๔ ขั้นตอน โดยเริ่มจากการอ่านคร่าว ๆ หนึ่งรอบเพื่อจับใจความ ของเรื่องที่อ่าน การตั้งคำถาม ซึ่งนำไปสู่การวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นในขั้นตอนสุดท้าย ทำให้ นักเรียนสามารถ พัฒนาการอ่านจับใจความได้ดีขึ้น สอดคล้องกับ วัชรา เลาเรียนดี(๒๕๖๐: ๒๐๗ - ๒๐๙) ไดใหความหมายของเทคนิค KWL Plus ไววาเทคนิค KWL Plus มีพื้นฐานมาจากเทคนิค KWL ซึ่ง ประกอบดวย ๓ สวนที่สําคัญ คือ K ระบุสิ่งที่เรียนรูเรื่องที่รูเกี่ยวของกับเรื่องที่กําหนด หรือหัวเรื่องที่ กําหนด (W) อยากรูอะไรบางจากสิ่งหรือเรื่องที่กําหนดในขั้นแรก และ (L) เรียนรูอะไรบางจากเรื่องที่ กําหนด หลังจากอานเสร็จแลว ที่แตกตางกันคือ KWL plus มีการเพิ่มเติมการทําแผนผัง มโนทัศน และ การสรุปของเรื่องราวตาง ๆ ที่อานเมื่อจบกระบวนการ KWL แลว จากที่ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอน จนครบทั้ง ๓ ขั้นตอนพบว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWL เป็นขั้นตอนที่ช่วยทำให้การอ่านจับ ใจความเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ สามารถพัฒนาการอ่านจับใจความของนักเรียนได้เป็นอย่างดี นักเรียนสามารถอ่านได้รวดเร็วและตรงประเด็น จดจำบทเรื่องที่อ่านได้แม่นยำ อีกทั้งสามารถคาดเดา คำตอบได้ เพราะนักเรียนได้เริ่มเรียนรู้และฝึกปฏิบัติด้วยตนเองอย่างเป็นระบบจากขั้นตอนที่ทำได้ง่าย ๆ จนไปสู่ขั้นตอนของการวิเคราะห์ ซึ่งนักเรียนเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามขั้นตอน ได้อย่างถูกต้อง สอดคล้องกับ ณัฐภัทร ปนปน (๒๕๕๙: ๒๙) ไดกลาวถึงเปาหมายของเทคนิค KWL Plus ไววาเปาหมาย ของเทคนิค KWL Plus แบงเปนเปาหมายของผูสอนและผูเรียน เปาหมายของผูสอนจัดขึ้นเพื่อใหผูสอน ทราบถึงความรูพื้นฐานของผูเรียน เพื่อใชประเมินพัฒนาการทางการอานของผูเรียน สวนเปาหมายของผู เรียนคือเพื่อใหผูเรียนไดมีการวางแผนในการอาน ผูเรียนไดเรียนการอานอยางเปนขั้นตอนและเปดขยาย โอกาสในการขยายความรูความตองการของผูเรียน ๓. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL เรื่อง การอ่านจับใจความ พบว่าผู้เรียนส่วนใหญ่มีความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL โดยภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านพบว่านักเรียนมีความคิดเห็นต่อการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWLด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับ เห็นด้วยมากที่สุดเป็นลำดับหนึ่ง ทั้งนี้เป็นเพราะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWLเป็นการ จัดการเรียนรู้ที่มีวิธีการอ่านจับใจความที่เน้นการจัดกิจกรรมไปทีละขั้นตอน ง่ายต่อการปฏิบัติตาม นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนมากขึ้น ได้พัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความของ ผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีเป้าหมายในการอ่านมากขึ้น และนักเรียนสามารถนำกระบวนการอ่าน ไปใช้ในชีวิตประจำวันและในวิชาอื่นได้อีกด้วย ดังนั้นผู้เรียนจึงเห็นว่าการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL นั้นให้ประโยชน์จากการเรียนรู้มากที่สุด การนํานวัตกรรมเทคนิคการเรียนรูKWL Plus มาช่วย 64


แก้ปัญหาการอานจับใจความของนักเรียน จะมีวิธีการจากงายไปหายาก เริ่มจากไดทบทวนองคความรูเดิม กระตุนใหเกิดความรูใหม ในรูปแบบของการบันทึกเปนสัดสวนชัดเจน และสรุปรวบยอดเปนแผนภาพ ความคิด สงเสริมใหนักเรียนเกิดความคิดสรางสรรค นอกจากนักเรียนจะไดอานเนื้อเรื่องแลว ยังสามารถ วาดภาพประกอบในแตละขั้นของการเรียนรูไดทําใหการอานจับใจความของนักเรียนเกิดการพัฒนาใน ระดับที่สูงขึ้น ซึ่งมีความสอดคลองกับงานวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถดานการอานจับใจความของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ ๖ ดวยการจัดการเรียนรูเทคนิค KWL Plus (รินทรลภัส เฉลิมธรรมวงษ, ๒๕๕๗) และงานวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การอานสรุปความ โดยใชการจัดการเรียนรูดวยเทคนิค KWL Plus สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๓ (มาลินีสุทธิเวช, ๒๕๖๑) ที่นํานวัตกรรมการจัดการเรียน รูดวยเทคนิค KWL Plus มาใชในการแกปญหาและพัฒนาความสามารถดานการอานจับใจความของ นักเรียนใหมีผลสัมฤทธิ์ดานการอานผานเกณฑมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เชนกัน ดวยเหตุนี้การนํานวัตกรรมการจัดการเรียนรูดวยเทคนิค KWL Plus มาใชในการจัดการเรียนการ สอนรายวิชาภาษาไทย สามารถแกไขปญหาและพัฒนาความสามารถดานการอานจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๑ โรงเรียนโยนออฟอารคได ทําใหนักเรียนมีความสามารถดานการอานจับใจความอยู ในระดับที่ดีขึ้น ซึ่งเปนผลมาจากการจัดการเรียนรูตามขั้นตอนของกรอบแนวคิดที่ผูวิจัยตั้งไวโดยเริ่มจาก นักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรูดวยเอง ซึ่งเกิดจากการคิดเชื่อมโยงความรูเดิม คนควาหาความรูดวย ตนเอง การประมวลความรูจากการศึกษา และการสรุปสิ่งที่ไดจากการเรียนรูจึงนํามาสูความสามารถใน การอานจับใจความ ทําใหความสามารถดานการอานจับใจความของนักเรียนพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ตามลําดับ ๓. ขอเสนอแนะ ๓.๑ ขอเสนอแนะในการนําวิจัยไปใช ๑. ครูผู้สอนควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนวิธีสอนแบบ KWL ให้ เข้าใจก่อนนำไปจัดการเรียนรู้ ๒. เนื้อหาที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWL ควรมีเนื้อหาที่ เหมาะสมกับวัยและความสามารถของนักเรียน ๓. ควรเพิ่มกิจกรรมการเรียนรูในรูปแบบการสอนดวยเทคนิค KWL Plus ใหมี ความหลากหลาย เพื่อกระตุนความสนใจและตอบสนองการเรียนรูของนักเรียน ๔. การจัดกิจกรรมการเรียนรูในการจับใจความ ครูควรใชบทอานที่มีความ หลากหลาย เปนเรื่องที่นักเรียนใหความสนใจ และไมยากเกินไป 65


๕. จัดกิจกรรมการเรียนรูการฝกอานจับใจความควบคูไปกับกิจกรรมสงเสริมกา รอานในหองสมุดของทางโรงเรียน เพื่อพัฒนาทักษะดานการอานของนักเรียนใหมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๓.๒ ขอเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป ๑. ควรศึกษาเปรียบเทียบการพัฒนาทักษะการเขียนโดยใช้เทคนิค KWL เพื่อเป็นการ พัฒนาทักษะด้านการเขียน ๒. ควรนำการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWL ไปทดลองใช้กับนักเรียน ในระดับชั้น และรายวิชาอื่น ๆ เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน และเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ในระดับที่ สูงขึ้นไปอีก 66


๖๗ ภาคผนวก


๖๘ ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย - แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL - แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ - แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL


๖๙ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิดขั้นสูง เทคโนโลยีดิจิทัล ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency-Based Curriculum) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๑ รายวิชา ภาษาไทย โรงเรียน โรงเรียนกัลยาณวัตร ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒ เรื่อง การอ่านในชีวิตประจำวัน จำนวน ๖ คาบ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง การจับใจความสำคัญ จำนวน ๒ คาบ ผู้สอน นางสาวเทพธิดา ประดิษฐผล ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ สอนชั้น / วัน / เวลา ม. ๑/๑ วัน จันทร์ ที่ เดือน มิถุนายน พ.ศ. ๓๕๖๕ เวลา ๑๐.๓๐ น. – ๑๑.๑๕ น. ๑. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด (Learning standards/ Indicators) มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหา ในการดำเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน ตัวชี้วัด ม.๑/๒ จับใจความสำคัญจากเรื่องที่อ่าน ๒. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด (Concept) การอ่านจับใจความ คือ การอ่านที่มุ่งค้นหาสาระสำคัญของข้อความหรือของหนังสือเล่มนั้น ว่า ส่วนใดเป็นใจความสำคัญที่ผู้เขียนนำเสนอและส่วนใดเป็นส่วนที่ขยายใจความสำคัญให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วน ที่เป็นใจความสำคัญอาจอยู่ช่วงต้น ช่วงกลาง หรือช่วงท้ายของเรื่อง ใจความสำคัญเป็นส่วนสำคัญที่สุดของเรื่อง หากไม่มีจะทำให้ผู้อ่านไม่เข้าใจ นอกนั้นเป็นส่วน ขยายซึ่งอาจมีหรือไม่มีก็ได้ ในข้อความหนึ่ง ๆ ดังนั้น แต่ละย่อหน้าจึงมีใจควมสำคัญเพียงใจความเดียวและอาจมีส่วนขยายประเด็นเดียวหรือ หลายประเด็นก็ได้ บางข้อความผู้เขียนไม่ได้เขียนออกมาเป็นประโยค ผู้อ่านต้องจับใจความสำคัญเองแล้ว เรียบเรียงเป็นสำนวนภาษาของตนเอง - แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบ KWL


๗๐ ๓. จุดประสงค์การเรียนรู้ (Learning Competencies) เมื่อนักเรียนเรียนเรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ แล้ว นักเรียนสามารถ ๑. นักเรียนสามารถอธิบายหลักการอ่านจับใจความได้(K) ๒. นักเรียนสามารถจับใจความสำคัญ โดยใช้เทคนิค Kwl ได้ (P) ๓. นักเรียนเห็นความสำคัญของการจับใจความสำคัญ (A) ๔. สาระการเรียนรู้ ด้านองค์ความรู้ (Knowledge) ๑. ความหมายการอ่านจับใจความสำคัญ ๓. ขั้นตอนการอ่านจับใจความสำคัญ ๓. หลักการอ่านจับใจความสำคัญ ด้านทักษะ/วิธีการเรียนรู้ /กระบวนการ (Skills and, or Process) ๑. จับใจความสำคัญ โดยใช้เทคนิค Kwl ด้านสมรรถนะ (Competencies) - ความสามารถในการสื่อสาร - ความสามารถในการคิด ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Attribute) - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นในการทำงาน ๕. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (Competencies of learners) - ความสามารถในการสื่อสาร - ความสามารถในการคิด ๖. ภาระ/ชิ้นงาน (Performance Tasks) ๑. ใบงาน KWL ๗. กระบวนการจัดการเรียนรู้ (Competency–Based Instruction) วิธีสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method : ๕E) ชั่วโมงที่ ๑ นำเข้าสู่บทเรียน และแจ้งจุดประสงค์ ๑. ครูซักถามนักเรียนว่าการอ่านหนังสือมีประโยชน์อย่างไร และนักเรียนมีประสบการณ์เกี่ยวกับการ อ่านประเภทใดบ้าง มีหลักการหรือวิธีการอ่านอย่างไร


๗๑ ๓. ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ ขั้นที่ ๑ ขั้นกิจกรรมเตรียมการอ่าน K (What you know) ๑. ครูให้นักเรียนศึกษาใบความรู้ เรื่อง " หลักการอ่านจับใจความสำคัญ " และ" การอ่านจับ ใจความสำคัญข่าว" หลังจากนั้นให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปหลักการ อ่านจับใจความสำคัญ และ การอ่านจับใจความสำคัญของข่าว โดยครูจะคอยอธิบายเพิ่มเติมในส่วนที่นักเรียนไม่เข้าใจ ๓. ครูเขียนหัวข้อข่าวเรื่อง " 'จุรินทร์' เปิดทางมาม่าขึ้น ๘ บาท รับสภาพต้นทุนผลิตบะหมี่กึ่ง สำเร็จรูปสูงขึ้นจริง" ไว้บนกระดานดำแล้วให้นักเรียนทุกคนร่วมกันระคมความคิด โดยพูดอภิปราย แสดง ความคิดเห็นว่านักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับหัวข้อเรื่องดังกล่าวอย่างไรบ้าง ๓. ครูเขียนข้อมูลที่ได้มาจากการอภิปรายของนักเรียนลงในช่อง K บนกระดานดำ และให้ นักเรียนแต่ละคนเขียนข้อความบนกระดานดำลงใบงาน KWL ของตนเองในช่อง K ๔. ครูให้นักเรียนร่วมกันจัดประเภทของข้อมูลที่เขียนไว้ในช่อง K โดยครูสาธิตการจัดแยก ประเภทข้อมูลให้นักเรียนดูเป็นแบบอย่างก่อน โดยใช้วิธีการคิดดังในขณะที่จัดประเภทข้อมูลและรวม ข้อมูลให้อยู่ในประเภทเดียวกัน ๕. นักเรียนทุกคนช่วยกันตั้งคำถามในสิ่งที่นักเรียนต้องการรู้จากหัวข้อข่าวและให้นักเรียนแต่ ละคนเขียนคำถามทั้งหมดลงใบงาน KWL ของตนเอง ในช่อง W ชั่วโมงที่ ๒ ขั้นที่ ๓ ขั้นกิจกรรมระหว่างการอ่าน W (What we want to know) ๑. ครูแจกข่าวให้นักเรียนแต่ละคนอ่านทีละย่อหน้า เพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาและทำการ ตรวจสอบคำตอบของคำถามที่ตั้งเอาไว้ในช่อง W ๓. ในขณะที่นักเรียนอ่านข้อความ และได้พบข้อมูลใหม่นักเรียนสามารถตั้งคำถามเพิ่มเติมลง ไปในช่อง W ได้ ๓. เมื่อนักเรียนพบคำตอบหรือได้ข้อมูลใหม่ให้นักเรียนเขียนคำตอบและข้อมูลใหม่ลงใบงาน KWL ของตนเอง ในช่อง L ขั้นที่ ๓ ขั้นกิจกรรมหลังการอ่าน L (What you have learned) ๑. ครูให้นักเรียนทุกคนร่วมกันอภิปรายถึงสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้มาทั้งหมดในการอ่านข่าว เพื่อตรวจสอบคำตอบอีกครั้งหนึ่ง ๓. นักเรียนทุกคนช่วยกันจัดประเภทของข้อมูล และหาความสัมพันธ์ของข้อมูล โดยครูจะ สาธิตการจัดประเภทของข้อมูลให้เป็นตัวอย่างก่อนเล็กน้อย แล้วจึงให้นักเรียนทุกคนร่วมกันจัดประเภท ของข้อมูลต่อไป ๓. เมื่อนักเรียนจัดประเภทของข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ให้นักเรียนแต่ละคนทำแบบฝึกหัดการ เขียนแผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูล และการเขียนสรุปใจความสำคัญลงใบงาน KWL ของตนเอง


๗๒ ๔. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปบทเรียน ๘. สื่อ/วัสดุ/อุปกรณ์/แหล่งเรียนรู้(Media / Materials / Equipment / Learning Resources) ๘.๑ สื่อการเรียนรู้ ๑. ใบงาน KWL ๓. ใบความรู้เรื่อง “หลักการอ่านจับใจความสำคัญ” ๓. ใบความรู้เรื่อง “การอ่านจับใจความสำคัญข่าว” ๔. ข่าวจากหนังสือพิมพ์จำนวน ๑ เรื่อง ๙. การวัดและประเมินผล (Competency–Based Assessment) ๑๐. สะท้อนผลหลังการจัดการเรียนรู้(Reflect the results of the learning management) ๑๐.๑ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ ............................................................................................................................. ......................................... ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................... สิ่งที่จะวัดตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือที่ใช้วัด เกณฑ์ผ่าน ๑. นักเรียนสามารถ อธิบายหลักการอ่านจับ ใจความได้(K) ตรวจใบงาน ใบงานการอธิบาย หลักการอ่านจับใจความ สำคัญ ตอบถูกร้อยละ ๗๐ ขึ้นไป ๒. นักเรียนสามารถจับ ใจความสำคัญ โดยใช้ เทคนิค Kwl ได้ (P) ตรวจใบงาน ใบงาน ได้ระดับดีขึ้นไป ๓. นักเรียนเห็น ความสำคัญของการจับ ใจความสำคัญ (A) สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม ได้ระดับดีขึ้นไป


๗๓ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๓ ............................................................................................................................. ......................................... ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................... ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๓ ............................................................................................................................. ......................................... ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................... ๑๐.๒ ปัญหาและอุปสรรค ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ ............................................................................................................................. ......................................... ................................................................................................................................................... ................... ............................................................................................................... ....................................................... ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๓ ............................................................................................................................. ......................................... .................................................................................................................................... .................................. ............................................................................................................................. ......................................... ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๓ ............................................................................................................................. ......................................... ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................... ......................................................................................................................................... ............................. ๑๐.๓ แนวทางแก้ไข ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................... ............................................................................................................................. .........................................


๗๔ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๓ ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................... ............................................................................................................................. ......................................... ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๓ ...................................................................................................................................................... ................ .................................................................................................................. .................................................... ............................................................................................................................. ......................................... .................................................................................................................................................................. .... ลงชื่อ (นางสาวเทพธิดา ประดิษฐผล) นักศึกษาปฏิบัติการสอน / / ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไขของครูพี่เลี้ยง ลงชื่อ (นางสาวเพียรจิตร ปัญญาวจี) ครูพี่เลี้ยง / / ความคิดเห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระ ลงชื่อ (นางจิราภรณ์ ปิยะสิงค์) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย / /


๗๕ ความคิดเห็นของผู้บริหาร ลงชื่อ (นายเรืองยศ แวดล้อม) ผู้อำนวยการโรงเรียนกัลยาณวัตร / / คำแนะนำของอาจารย์นิเทศก์ ลงชื่อ (อาจารย์ ผศ.ดร.ณัฐกิตติ์ สิริวัฒนาทากุล) อาจารย์นิเทศก์ / /


๗๖ แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม ชื่อกลุ่ม .................................................................................... ชั้น ................................... ................ คำชี้แจง : ครูสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนแล้วขีดเครื่องหมาย √ ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ลำดับ ที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน ๔ ๓ ๒ ๑ ๑ การแบ่งหน้าที่กันอย่าง เหมาะสม ๒ ความร่วมมือกันทำงาน ๓ การแสดงความคิดเห็น ๔ การรับฟังความคิดเห็น ๕ ความมีน้ำใจช่วยเหลือกัน รวม ลงชื่อ............. ...................................... ผู้ประเมิน ............../.................../............... เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ ๔ คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ ๓ คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ ๒ คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ ๑ คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ ๑๘ - ๒๐ ดีมาก ๑๔ - ๑๗ ดี ๑๐ - ๑๓ พอใช้ ต่ำกว่า ๑๐ ปรับปรุง


๗๗ แบบประเมินการนำเสนอหน้าชั้นเรียน ชื่อกลุ่ม .................................................................................... ชั้น ......................... ........................... คำชี้แจง : ครูสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนแล้วขีดเครื่องหมาย √ ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ลำดับ ที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน ๔ ๓ ๒ ๑ ๑ นำเสนอเนื้อหาในผลงานได้ ถูกต้อง ๒ การนำเสนอมีความน่าสนใจ ๓ ความเหมาะสมกับเวลา ๔ ความกล้าแสดงออก ๕ บุคลิกภาพ น้ำเสียง เหมาะสม รวม ลงชื่อ................................................... ผู้ประเมิน ............../.................../............... เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ ๔ คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ ๓ คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ ๒ คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ ๑ คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ ๑๘ - ๒๐ ดีมาก ๑๔ - ๑๗ ดี ๑๐ - ๑๓ พอใช้ ต่ำกว่า ๑๐ ปรับปรุง


๗๘ แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงาน ชั้น...................... ลำดับที่ พฤติกรรม คุณภาพการปฏิบัติ ๓ ๒ ๑ ๑ ความมีวินัย เรียนรู้มุ่งมั่นในการทำงาน ๒ ความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ เสียสละ ๓ การแสดงความคิดเห็น ๔ การรับฟังความคิดเห็น ๕ การร่วมมือทำงานส่วนรวม รวม ลงชื่อ.................. ..........................................ผู้ประเมิน ......................./.........................../.................. เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอให้ ๓ คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้งให้ ๒ คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้งหรือน้อยครั้งให้ ๑ คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ ๑๒ - ๑๕ ๘ - ๑๑ ต่ำกว่า ๘ ดี พอใช้ ปรับปรุง


๗๙ แบบประเมินการอ่านสรุปความ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL คำชี้แจง ให้เขียนเครื่องหมาย √ ตามรายการที่สังเกตพฤติกรรมนักเรียน ลำดับ ที่ ชื่อ - สกุล พฤติกรรม การอ่านสรุป ความ อักขรวิธี ความเป็น ระเบียบ แผนผัง ความคิด หมาย เหตุ ๔ ๓ ๒ ๑ ๔ ๓ ๒ ๑ ๔ ๓ ๒ ๑ ๔ ๓ ๒ ๑ ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. ลงชื่อ………………….........................……………ผู้ประเมิน (………….......................................………….) ………./……………/………


๘๐ ใบความรู้เรื่อง " หลักการอ่านจับใจความสำคัญ " การอ่านจับใจความสำคัญ การอ่านจับใจความ คือ การอ่านที่มุ่งคันหาสาระของเรื่องหรือของหนังสือแต่ละเล่ม ที่เป็นส่วนใจความ สำคัญ และส่วนขยายใจความสำคัญของเรื่อง ใจความสำคัญของเรื่อง คือ ข้อความที่มีสาระคลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้านั้นหรือ เรื่องนั้นทั้งหมด ข้อความอื่น ๆ เป็นเพียงส่วนขยายใจความเท่านั้น ข้อความหนึ่งจะมีใจความสำคัญที่สุดเพียงหนึ่งเดียว นอกนั้นเป็นใจความรอง ซึ่งใจความสำคัญนี้ สามารถเรียกได้หลายอย่าง เช่น ข้อคิดสำคัญของเรื่อง แก่น ของเรื่อง หรือความคิดหลักของเรื่อง จะอย่างไรก็ตาม ใจความสำคัญ คือสิ่งที่เป็นสาระที่สำคัญที่สุดของ เรื่อง กลวิธีการอ่านจับใจความสำคัญ การอ่านจับใจความสำคัญของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ควรเริ่มต้นจากการอ่านจับใจความสำคัญในแต่ ละย่อหน้า ให้ได้ถูกต้องแม่นขำเสียก่อน เพราะข้อความตอนหนึ่งหรือย่อหน้าหนึ่ง แม้มีใจความหลายอย่าง แต่จะมี ใจความสำคัญที่สุดในย่อหน้านั้นเพียงอย่างเดียว ถ้าเรื่องหนึ่งมีหลายย่อหน้า ย่อมแสดงว่าจะมีใจความ สำคัญหลายประเด็น เมื่อนำประเด็นสำคัญในแต่ละย่อหน้า มาพิจารณาร่วมกันแล้ว จะทำให้สามารถจับ แก่นเรื่องหรือแนวคิดสำคัญที่สุดของเรื่องทั้งหมดได้ง่ายขึ้น ใจความสำคัญในแต่ละย่อหน้า หมายถึงข้อความที่มีสาระคลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้า นั้นไว้ทั้งหมด ใจความสำคัญในแต่ละย่อหน้า ส่วนมากมักอยู่ในประโยคใดประโยคหนึ่ง โดยมีข้อสังเกตได้ดังนี้ ๑. ประโยคตอนต้นย่อหน้า เป็นจุดที่พบใจความสำคัญของเรื่องในแต่ละย่อหน้ามากที่สุดเพราะผู้เขียนมัก บอกประเด็นสำคัญไว้ก่อนแล้วขยายรายละเอียดเพื่อให้ชัดเจนขึ้นในภายหลัง ตัวอย่างเช่น คนไม่อ่านหนังสือ คือคนถอยหลังอยู่ในสังคม เพราะทุกวันนี้โลกเจริญขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน มีเหตุการณ์ ใหม่ ๆ ปรากฎสืบเนื่องกันอย่างไม่ขาดสาย ทุกคนที่หวังความก้าวหน้า จึงต้องตามเรื่องเหล่านี้ด้วยการ อ่านอย่างมิหยุดยั้ง มิฉะนั้นเขาจะได้นามว่าเป็นผู้ถอยหลัง ใจความสำคัญ : คนไม่อ่านหนังสือคือนถอยหลังอยู่ในสังคม ๓. ประโยคตอนท้ายย่อหน้า เป็นจุดที่พบใจความสำคัญมากรองลงมาจากประโยค ตอนต้นย่อหน้า โดย ผู้เขียนจะบอกรายละเอียด หรือประเด็นย่อยมาก่อน แล้วสรุปด้วยประโยคที่เก็บประเด็นสำคัญไว้ภายหลัง ตัวอย่างเช่น บางคนอ่านหนังสือเพียงเฉพาะเรื่องราว คืออ่านแต่เรื่องในวงอาชีพของตน ถ้าทำอย่างนั้นก็นับว่ายังไม่ ได้ผลเต็มที่เพราะขาดความรู้ในวงการทั่วไป ทางที่ดีเขาควรขยายขอบเขตการอ่านให้กว้างขวางออกไป อีก ใจความสำคัญ : ควรขขายขอบเขตการอ่านให้กว้างขวางออกไปอีก 80


๘๑ ๓. ประโยคตอนกลางย่อหน้า เป็นจุดที่ค้นหาใจความสำคัญได้ยากขึ้น เพราะนักเรียน ต้องพิจารณา เปรียบเทียบให้ได้ว่า สาระสำคัญที่สุดอยู่ที่ประโยคใด ตัวอย่างเช่น ขณะนี้ไม่ว่าท่านจะอยู่ ณ ที่ใด ที่ในบ้าน บนรถไฟ รถเมล์ ในห้องทำงาน บนสถานที่ราชการหรือที่ใดก็ตาม ท่านจะต้องใช้สายตา "อ่าน" อยู่ตลอดเวลา ซึ่งแน่ละเราต้องยกเว้นในกรณีที่ท่านตาบอดเพราะท่าน ย่อมจะอ่านหนังสือในเล่มนี้ไม่ได้แน่ยกเว้นแต่จะมีใครอ่านให้ท่านฟัง ใจความสำคัญ : ท่านจะต้องใช้สายตา "อ่าน" อยู่ตลอดเวลา ๔. ไม่ปรากฏในประโยคใดอย่างชัดเจน อาจอยู่ในหลายประโยคหรืออยู่รวม ๆ ใน ย่อหน้าซึ่งผู้อ่าน จะต้องสรุปออกมาเอง นับเป็นการจับใจความสำคัญที่ยากกว่าอย่างอื่น อาจจะใช้วิธีการตั้งคำถามแล้ว ตอบตัวเองให้ได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ทำไม ซึ่งจะทำให้มองเห็นส่วนที่เป็นประเด็นสำคัญ และส่วนที่เป็นประเด็นเสริม หรือการขยายความได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น เรือลำนั้นแล่นผ่านบ้านเรือนที่คับคั่งในบริเวณอำเภอ แสงไฟฟ้าฉายออกมาจากโรงสีข้างลำน้ำกระทบ เมล็ดฝนที่สาดลงมามิรู้สิ้นสุด และดูเหมือนม่านที่ทำด้วยน้ำมากั้นไว้ พอเรือเริ่มผ่านบ้านเรือนที่มี ประปรายอยู่นอกอำเภอสายลมและสายฝนก็กระหน่ำลงมาแรงขึ้นกว่าเก่า คนโดยสารจำนวนมากที่นั่ง หรือนอนอยู่ในเรือพากันขยับตัว เหลียวซ้ายแลขวามองดูหน้ากันอย่างไม่สบายใจพอเรือแล่นต่อมาอีกจะ เข้าหัวเลี้ยว ที่เรียกว่าคุ้งสำเภากำลังแรงของพายุก็มาปะทะเข้ากลางลำ เสียงคนหวีดร้อง เสียงคนตะโกน เสียงเด็กร้องจ้าขึ้นด้วยความตกใจ ที่กำลังหลับก็ทะลึ่งตัว ขึ้นสุดแรง ทุกคนถลันตัวเข้าใส่กราบที่มิได้เอียง ทันใดนั้นเรือก็โคลงกลับมาอีกข้างหนึ่งด้วยกำลังถ่วงสุดเหวี่ยงท่ามกลางเสียงร้องที่ฟังไม่ได้ศัพท์และเสียง รัวกระดิ่งของนายท้าย ซึ่งดึงสายกระดิ่งด้วยความตกใจปราศจากสัญญาณใด ๆ และเรือนั้นก็คว่ำลงทันที เครื่องยนต์ในเรือคงเดินต่อไปอีกครู่หนึ่ง สั่นสะท้านอย่างแรงแล้วก็หยุดเงียบ เหมือนกับหัวใจสัตว์ที่เต้น ต่อสู้อย่างแรงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ต้องหยุดลงเมื่อความตายมาถึงตัว ใจความสำคัญ : เรือโดยสารถูกพายุแล้วคว่ำลง การอ่านจับใจความสำคัญในแต่ละย่อหน้า นอกจากการพยายามค้นหาประโยค หรือข้อความที่มีสาระ คลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้าไว้ทั้งหมดแล้ว ยังอาจใช้กลวิธีการจับใจความ สำคัญอย่างง่าย ๆ ด้วยการ ตัดประโยค หรือข้อความที่เป็นส่วนขยายหรือไม่จำเป็นในแต่ละย่อหน้าออกไปให้หมด ในที่สุดก็จะเหลือ ส่วนที่เป็นใจความสำคัญของย่อหน้าได้เช่นกัน ส่วนที่ควรตัดออกเช่น ส่วนขยายหรือรายละเอียดต่าง ๆ ข้อเปรียบเทียบต่าง ๆ ตัวอย่างประกอบ คำศัพท์สำนวนหรือโวหารที่ยกมาประกอบ ตัวเลข สถิติที่เป็น รายละเอียด คำถามและคำอธิบายของผู้เขียน ชื่อบุคคลที่ผู้เขียนอ้างอิงโดยไม่เน้นความสำคัญ เป็นต้น 81


๘๒ หลักการอ่านจับใจความสำคัญ ๑. อ่านผ่าน ๑ โดยตลอด เพื่อให้รู้ว่าเรื่องที่อ่านว่าด้วยเรื่องอะไร จุดใดเป็นจุคสำคัญของเรื่อง ๓. อ่านให้ละเอียด เพื่อทำความเข้าใจอย่างชัดเจน ไม่ควรหยุดอ่านระหว่างเรื่องเพราะจะทำให้ความเข้าใจ ไม่ติดต่อกัน และพยายามตั้งคำถามกับตนเองว่าเรื่องนี้ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ทำไม ๓. อ่านซ้ำตอนที่ไม่เข้าใจ และตรวจสอบความเข้าใจบางตอนให้แน่นอนถูกต้อง ๔. เรียบเรียงใจความสำคัญของเรื่องด้วยภาษาของตนเอง ที่มา : แววมยุรา เหมือนนิล, การอ่านจับใจความ (กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาสน์ , ๓๕๔๑), ๓๖-๓๓. 82


๘๓ ใบความรู้เรื่อง " การอ่านจับใจความสำคัญข่าว " การราขงานข่าวโดยทั่วไปมุ่งเสนอสาระสำคัญอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้อ่านจับใจความได้รวดเร็วที่สุด โครงสร้างและรูปแบบของการเขียนข่าวจะมีส่วนชี้แนะการจับใจความให้ถูกต้อง และรวดเร็วได้มาก แนว ทางการอ่านจับใจความข่าวอย่างมีประสิทธิภาพจึงควรพิจารณาดังนี้ ๑. พาดหัวข่าว เป็นจุดบอกใจความสำคัญที่สุดของข่าวได้ชัดเจนและรวดเร็ว เพราะ จะประมวลหัวใจของ ข่าวทั้งหมดมาเสนอไว้อย่างสั้น ๆ เป็นอันดับแรก หากได้ใจความสำคัญ ชัดเจนเพียงพอแก่ความต้องการ แล้ว ไม่ต้องอ่านส่วนอื่นอีกก็ได้ ๓. ความนำหรือวรรคนำ เป็นส่วนต่อเนื่องจากพาดหัวข่าว ความนำหรือวรรคนำจะเป็นการสรุปใจความ สำคัญของข่าวทั้งหมดไว้อย่างสั้น ๆ และชัดเจนที่สุด ฉะนั้นถ้ามีเวลาในการอ่านข่าวน้อยหรือไม่ต้องการ รายละเอียดของข่าว เพียงการอ่านพาดหัวข่าวและความนำ หรือ วรรคนำก็สามารถจับใจความสำคัญของ ข่าวได้แล้ว ๓. เนื้อข่าว นับเป็นรายละเอียดที่ขยายใจความสำคัญของข่าวเท่านั้น แต่ถ้าต้องการเพียงใจความสำคัญ ของข่าวโดยไม่สนใจรายละเอียดมากนัก ไม่ต้องอ่านเนื้อข่าวเลยก็ได้ อย่างไรก็ตามในบางครั้งการพาดหัว ข่าวและการเขียนความนำหรือวรรคนำมุ่งเรียกร้องความสนใจของผู้อ่านเกินไป จนทำให้ประเด็นข่าว เปลี่ยนไป หากได้ตราจสอบจากเนื้อข่าวทั้งหมดอีกครั้งก็จะทำให้สามารถจับใจความข่าวได้อย่างแม่น ยำ ขึ้น ที่มา : แววมยุรา เหมือนนิล, การอ่านจับใจความ (กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาสน์ , ๓๕๔๑), ๖๖-๖๗. 83


๘๔ เนื้อหาของข่าวในการสอนอ่านจับใจความสำคัญ 'จุรินทร์' เปิดทางมาม่าขึ้น ๘ บาท รับสภาพต้นทุนผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสูงขึ้นจริง จุรินทร์ รับต้นทุนการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นจริง เปิดทางกรมการค้าภายในพิจารณาราคาสินค้าเป็น รายบริษัท ต้องสอดคล้องต้นทุนที่แท้จริง กระทบผู้บริโภคให้น้อยที่สุด ย้ำ ๖ บาท เป็น ๘ บาทต่อซองสูง เกินไป วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๓๕๖๕ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีการขอขึ้นราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจาก ๖ บาท เป็น ๘ บาทต่อซอง ว่า ตนได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในพิจารณาอย่างละเอียดตามรายบริษัท หากจำเป็นที่จะต้องพิจารณา ในการขอปรับขึ้นราคาสินค้า โดยยังย้ำนโยบายวิน-วิน โมเดล ทุกฝ่ายต้องอยู่ร่วมกันได้และจะต้องให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบน้อยที่สุด รวมไปถึงป้องกันปัญหาการขาดแคลนสินค้า การหยุดผลิตสินค้าของผู้ประกอบการด้วย และต้องสะท้อน ต้นทุนที่แท้จริง ขณะเดียวกัน เมื่อต้นทุนการผลิตสินค้ามีการปรับลดลง ราคาสินค้าก็จำเป็นที่ต้องปรับ ราคาลดลงด้วย ทั้งนี้ ก็ต้องยอมรับถึงปัญหาที่ต้นทุนการผลิตสินค้าปรับขึ้น ทั้งในส่วนของราคาพลังงาน เช่น ค่าไฟ แก๊ส รวมไปถึงค่าขนส่ง ต้นทุนของวัตถุดิบ เช่น ข้าวสาลี ซึ่งส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจาก ต่างประเทศ บวกกับปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้านี้ปรับขึ้น เพราะต้อง นำมาผลิตเป็นเส้นหมี่ เส้นบะหมี่ นอกจากนี้ น้ำมันปาล์มขวดก็มีการปรับขึ้นราคา จากต้นทุนราคาผล ปาล์มที่ปรับขึ้น แต่ปัจจุบันราคาก็ปรับตัวลดลงแล้ว ส่วนบรรจุภัณฑ์ หรือซองบะหมี่ ที่ได้จากปิโตรเคมีก็ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น โดยปัจจุบัน เหล่านี้ยอมรับว่าเป็นต้นทุนในการผลิตสินค้า แต่อย่างไรก็ดี กรมการค้าภายใน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลก็ ต้องพิจารณาอย่างละเอียด รอบคอบ และมองว่าการปรับขึ้นราคาจาก ๖ บาทเป็น ๘ บาทต่อซองก็ยังเป็น ราคาที่สูงเกินไป ซึ่งหากมีการปรับราคาดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ดี สุดท้ายหน่วยงานที่ดูแลก็ต้องพิจารณาการขอปรับขึ้นราคาสินค้าตามความเหมาะสม ส่วนระยะเวลาในการพิจารณาจะต้องให้แล้วเสร็จเมื่อไรนั้น ก็ให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมายว่าด้วย ราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ซึ่งมีกรอบระยะเวลาอยู่แล้ว ดังนั้น ก็ต้องให้หน่วยงานที่ดูแลทำตามหน้าที่ ตามกรอบของกฎหมายต่อไป ที่มา : Post Today, ๑๘ สิงหาคม ๓๕๖๕. 84


๘๕ ใบงาน KWL PLUS เรื่อง การอ่านสรุปความ เรื่อง 'จุรินทร์' เปิดทางมาม่าขึ้น ๘ บาท รับสภาพต้นทุนผลิตบะหมี่กึ่ง สำเร็จรูปสูงขึ้นจริง คำชี้แจง กิจกรรมที่ ๑ ให้นักเรียนอ่านเรื่อง เพลงโคราช...จากอดีตถึงปัจจุบัน แล้วบันทึกข้อมูลจากสิ่งที่ได้อ่านลงในตาราง K นักเรียนรู้อะไรบ้าง W นักเรียนต้องการรู้อะไรอีกบ้าง L นักเรียนได้เรียนรู้อะไรบ้าง


๘๖ ชื่อ – สกุล...............................................................................ชั้น........................ เลขที่ ................... ใบงาน KWL PLUS เรื่อง การอ่านสรุปความ เรื่อง 'จุรินทร์' เปิดทางมาม่าขึ้น ๘ บาท รับสภาพต้นทุนผลิตบะหมี่กึ่ง สำเร็จรูปสูงขึ้นจริง คำชี้แจง กิจกรรมที่ ๒ ให้นักเรียนเขียนแผนผังความคิดจากข้อมูลข่าวเรื่อง


๘๗ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิดขั้นสูง เทคโนโลยีดิจิทัล ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency-Based Curriculum) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๑ รายวิชา ภาษาไทย โรงเรียน โรงเรียนกัลยาณวัตร ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒ เรื่อง การอ่านในชีวิตประจำวัน จำนวน ๖ คาบ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ เรื่อง การจับใจความสำคัญจากนิทาน จำนวน ๒ คาบ ผู้สอน นางสาวเทพธิดา ประดิษฐผล ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ สอนชั้น / วัน / เวลา ม. ๑/๑ วัน จันทร์ ที่ 13 เดือน มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๒๐ น. – ๑๑.๑๕ น. ๑. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด (Learning standards/ Indicators) มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหา ในการดำเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน ตัวชี้วัด ม.๑/๒ จับใจความสำคัญจากเรื่องที่อ่าน ๒. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด (Concept) การอ่านจับใจความเป็นทักษะที่มีความสำคัญในการเรียน เพราะการอ่านจับใจความสามารถ นำไปใช้เป็นพื้นฐานในการแสวงหาความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง สำหรับความหมายของการอ่านจับ ใจความ คือการอ่านเพื่อทำความเข้าใจคำ ประโยค ข้อความ และเนื้อเรื่องสามารถบอกสาระสำคัญของ เรื่อง จุดมุ่งหมายของเรื่อง การอ่านจับใจความถือเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน เพราะในการอ่านหนังสือหรือตำราต่าง ๆ ผู้อ่าน จะต้องพยายามจับใจความสำคัญในสิ่งที่อ่านให้ได้ หากผู้อ่านจับใจความได้ก็จะทำให้เข้าใจเนื้อเรื่อง และ สามารถที่จะนำความรู้ไปใช้ได้ตลอดเวลา


๘๘ ๓. จุดประสงค์การเรียนรู้ (Learning Competencies) เมื่อนักเรียนเรียนเรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ แล้ว นักเรียนสามารถ ๑. นักเรียนสามารถอธิบายหลักการอ่านจับใจความของนิทานได้(K) ๒. นักเรียนสามารถจับใจความสำคัญของนิทาน โดยใช้เทคนิค Kwl ได้ (P) ๓. นักเรียนเห็นความสำคัญของการจับใจความสำคัญของนิทาน (A) ๔. สาระการเรียนรู้ ด้านองค์ความรู้ (Knowledge) ๑. การอ่านจับใจความสำคัญของนิทาน ๒. ขั้นตอนการอ่านจับใจความสำคัญ ๓. หลักการอ่านจับใจความสำคัญ ด้านทักษะ/วิธีการเรียนรู้ /กระบวนการ (Skills and, or Process) ๑. จับใจความสำคัญ โดยใช้เทคนิค Kwl ด้านสมรรถนะ (Competencies) - ความสามารถในการสื่อสาร - ความสามารถในการคิด ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Attribute) - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นในการทำงาน ๕. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (Competencies of learners) - ความสามารถในการสื่อสาร - ความสามารถในการคิด ๖. ภาระ/ชิ้นงาน (Performance Tasks) ๑. ใบงาน KWL ๗. กระบวนการจัดการเรียนรู้ (Competency–Based Instruction) วิธีสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method : ๕E) ชั่วโมงที่ ๑ นำเข้าสู่บทเรียน


๘๙ ๑. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับการอ่านนิทาน และซักถามนักเรียนว่าชอบอ่านนิทาน หรือไม่ เพราะเหตุใดจึงชอบ และเพราะเหตุใดจึงไม่ชอบ หลังจากนั้นให้นักเรียนยกตัวอย่างนิทานที่เคย อ่านมาจำนวน ๓ เรื่อง ๒. ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ ขั้นที่ ๑ ขั้นกิจกรรมเตรียมการอ่าน K (What you know) ๑. ครูให้นักเรียนศึกษาใบความรู้ เรื่อง “การอ่านจับใจความสำคัญของนิทาน” หลังจาก นั้นให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปการอ่านจับใจกวามสำคัญของนิทาน โดยครูจะคอยอธิบายเพิ่มเติม ในส่วนที่นักเรียนไม่เข้าใจ ๒. ครูเขียนชื่อนิทานเรื่อง “ตำนานสระแก้ว” ไว้บนกระดานคำแล้วให้นักเรียน ทุกคน ร่วมกันระดมความคิดโดยพูดอภิปรายแสดงความคิดเห็นว่านักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับชื่อเรื่อง ดังกล่าว อย่างไรบ้าง ๓. ครูเขียนข้อมูลที่ได้มาจากการอภิปรายของนักเรียนลงในช่อง K บน กระคานดำ และ ให้นักเรียนแต่ละคนเขียนข้อความบนกระดานดำลงใบงาน KWLของตนเองในช่อง K ๔. ครูให้นักเรียนร่วมกันจัดประเภทของข้อมูลที่เขียนไว้ในช่อง K โดยครูสาธิตการ จัดแยกประเภทข้อมูลให้นักเรียนดูเป็นแบบอย่างก่อน โดยใช้วิธีการคิดดังในขณะที่จัดประเภทข้อมูลและ รวมข้อมูลให้อยู่ในประเภทเดียวกัน ๕. นักเรียนทุกคนช่วยกันตั้งคำถามในสิ่งที่นักเรียนต้องการรู้จากชื่อเรื่อง ๖. นักเรียนทุกคนช่วยกันตั้งคำถามในสิ่งที่นักเรียนต้องการรู้จากชื่อเรื่อง " ตำนาน สระแก้ว " และให้นักเรียนแต่ละคนเขียนคำถามทั้งหมดลงใบงาน KWI ของตนเอง ในช่อง W ชั่วโมงที่ ๒ ขั้นที่ ๒ ขั้นกิจกรรมระหว่างการอ่าน W (What we want to know) ๑. ครูแจกนิทานเรื่อง “ตำนานสระแก้ว” ให้นักเรียนแต่ละคนอ่านทีละย่อหน้า เพื่อทำ ความเข้าใจเนื้อหาและทำการตรวจสอบคำตอบของคำถามที่ตั้งเอาไว้ในช่อง W ๒. ในขณะที่นักเรียนอ่านข้อความ และได้พบข้อมูลใหม่นักเรียนสามารถตั้งคำถาม เพิ่มเติมลงไปในช่อง W ได้ ๓. เมื่อนักเรียนพบคำตอบหรือได้ข้อมูลใหม่ให้นักเรียนเขียนคำตอบและข้อมูลใหม่ลงใบ งาน KWL ของตนเอง ในช่อง L


๙๐ ขั้นที่ ๓ ขั้นกิจกรรมหลังการอ่าน L (What you have learned) ๑. ครูให้นักเรียนทุกคนร่วมกันอภิปรายถึงสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้มาทั้งหมดในการอ่านนิทาน เรื่อง “ตำนานสระแก้ว” เพื่อตรวจสอบคำตอบอีกครั้งหนึ่ง ๒. นักเรียนทุกคนช่วยกันจัดประเภทของข้อมูล และหาความสัมพันธ์ของข้อมูล โดยครูจะ สาธิตการจัดประเภทของข้อมูลให้เป็นตัวอย่างก่อนเล็กน้อย แล้วจึงให้นักเรียนทุกคนร่วมกันจัดประเภท ของข้อมูลต่อไป ๓. เมื่อนักเรียนจัดประเภทของข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ให้นักเรียนแต่ละคนทำแบบฝึกหัดการ เขียนแผนภูมิแสคงความสัมพันธ์ของข้อมูล และการเขียนสรุปใจความสำคัญ ลงใบงาน KWL ของตนเอง ๔. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปบทเรียน ๘. สื่อ/วัสดุ/อุปกรณ์/แหล่งเรียนรู้(Media / Materials / Equipment / Learning Resources) ๘.๑ สื่อการเรียนรู้ ๑. ใบงาน KWL ๒. ใบความรู้เรื่อง “การอ่านจับใจความสำคัญนิทาน” ๓. ใบความรู้นิทานเรื่อง “ตำนานสระแก้ว” ๙. การวัดและประเมินผล (Competency–Based Assessment) สิ่งที่จะวัดตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือที่ใช้วัด เกณฑ์ผ่าน ๑. นักเรียนสามารถ อธิบายหลักการอ่านจับ ใจความของนิทานได้ (K) ตรวจใบงาน ใบงานการอธิบาย หลักการอ่านจับใจความ สำคัญ ตอบถูกร้อยละ ๗๐ ขึ้นไป ๒. นักเรียนสามารถจับ ใจความสำคัญของ นิทาน โดยใช้เทคนิค Kwl ได้ (P) ตรวจใบงาน ใบงาน ได้ระดับดีขึ้นไป ๓. นักเรียนเห็น ความสำคัญของการจับ ใจความสำคัญของ นิทาน (A) สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม ได้ระดับดีขึ้นไป


Click to View FlipBook Version