The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือสวดมนต์ วัดป่าดานวิเวก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2021-08-17 02:41:53

หนังสือสวดมนต์ วัดป่าดานวิเวก

หนังสือสวดมนต์ วัดป่าดานวิเวก

ให้ผ้ากฐินน้ันแก่ท่าน (ช่ือน้ี), ด้วยญัตติทุติยกรรม อันไม่
กำเรบิ อันควรแกฐ่ านะ ณ กาลบดั นแี้ ล.


“ดีละ เจ้าขา้ ”




คำอธบิ าย

๒ บทว่า “อิตถฺ นนฺ าโม” และ “อิตถฺ นฺนามสสฺ ” ท่ี
วงเล็บไว้นนั้ ใหเ้ ปลยี่ นตามชื่อฉายาทา่ นผู้จะกรานกฐินตวั อย่าง
เช่น ท่านผู้กรานกฐินชื่อ สุมงฺคโล ถ้าในวงเล็บว่า
“อิตฺถนฺนาโม” ก็เปล่ียนเป็น “สุมงฺคโล” ถ้าในวงเล็บว่า
“อิตถฺ นฺนามสสฺ ” ก็เปล่ียนเป็น “สุมงฺคลสฺส” ดังนท้ี ุกแหง่ ไป

แตถ่ ้าท่านผูจ้ ะกรานกฐนิ มีราชทินนาม เป็นพระราชาคณะ
หรอื พระครู เป็นตน้ กใ็ ห้ใช้ช่อื ราชทินนามนั้นๆ แทนชื่อฉายา

บทว่า “สพฺพมหลฺลโก” น้ีสำหรับท่านผู้กรานกฐินแก่
พรรษาในสงฆ์ ถ้าในสงฆ์มีภิกษุผู้มีพรรษาแก่กว่าท่านให้ยกเสีย
ไมต่ อ้ งว่า

คำวา่ “พหนุ นฺ ํ อาจรโิ ย วา อุปชฌฺ าโย วา หุตวฺ า”
ดงั นีน้ นั้ ถ้าท่านผ้กู รานน้นั เป็นแต่อาจารยข์ องภิกษุทง้ั หลายจงว่า
“พหุนนฺ ํ อาจริโย หตุ วฺ า” ถา้ เป็นอปุ ัชฌายะจงวา่ “พหนุ นฺ ํ
อุปชฺฌาโย หุตฺวา” ถ้าเป็นทั้ง ๒ อย่างคงว่าตามแบบ


คำอปโลกนจ์ บแตเ่ ท่าน
ี้

…………………………………

188

ญตั ติทตุ ยิ กรรมวาจา

(๑) นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺธสฺส

นโม ตสฺส

(๒) ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธฺ สฺส

(๓) นโม ตสฺส ภควโต

(๔) อรหโต สมฺมา

(๕) สมพฺ ทุ ธฺ สสฺ


ขอนอบน้อมแด่พระผ้มู ีพระภาค อรหันตสัมมาสมั พทุ ธเจา้

พระองคน์ นั้ .


สณุ าตุ เม ภนฺเต สงโฺ ฆ. อิทํ สงฆฺ สสฺ ก€นิ ทสุ สฺ

อุปฺปนฺน,ํ ยทิ สงฺฆสสฺ ปตฺตกลลฺ ํ, สงฺโฆ อิมํ ก€ินทุสสฺ ,ํ

อายสฺมโต (อติ ถฺ นฺนามสฺส) ทเทยฺย, ก€นิ ํ อตถฺ รติ ,ุํ เอสา
ตฺติ.

สุณาตุ เม ภนเฺ ต สงฺโฆ. อิทํ สงฺฆสฺส ก€ินทุสฺส

อปุ ฺปนฺน,ํ สงโฺ ฆ อิมํ ก€ินทสุ สฺ ํ, อายสมฺ โต (อิตถฺ นนฺ ามสฺส)

เทต,ิ ก€ินํ อตถฺ ริต.ุํ ยสสฺ ายสฺมโต ขมติ, อิมสสฺ ก€ินทสุ -ฺ

สสสฺ , อายสมฺ โต (อิตถฺ นฺนามสสฺ ) ทานํ, ก€ินํ อตถฺ รติ ุํ, โส
ตุณฺหสสฺ , ยสสฺ น ขมต,ิ โส ภาเสยฺย. ทนิ นฺ ํ อทิ ํ สงฺเฆน
ก€ินทสุ สฺ ,ํ อายสฺมโต (อติ ฺถนฺนามสสฺ ) ก€ินํ อตถฺ ริตํ.ุ ขมติ

สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตณุ ฺหี, เอวเมตํ ธารยาม.ิ


189

คำแปล ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า
ผ้ากฐินนี้ เกิดขึ้นแล้วแก่สงฆ์, ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึง
ทแี่ ล้ว, สงฆพ์ งึ ใหผ้ า้ กฐนิ นี้ แก่ทา่ น (ช่ือน)้ี เพอื่ จะกรานกฐิน,
นเ้ี ปน็ ญตั ติ. (คอื คำเสนอ)

ข้าแต่ทา่ นผเู้ จริญ ขอสงฆจ์ งฟงั ข้าพเจา้ . ผ้ากฐินน้ีเกิด
ขน้ึ แล้วแกส่ งฆ์ สงฆ์ใหผ้ า้ กฐินนีแ้ ก่ทา่ น (ช่ือน้)ี , เพ่อื จะกราน
กฐินชอบแก่ท่านใด, ท่านผู้น้ันเป็นผู้น่ิง. ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด,
ท่านผู้นั้นพึงพูด. ผ้ากฐินนี้อันสงฆ์ให้แล้วแก่ท่าน (ชื่อนี้) เพ่ือ
กรานกฐิน. ยอ่ มชอบแก่สงฆ์, เหตุน้ันสงฆ์จงึ นิง่ อยู่, ข้าพเจ้า
ทรงความนีไ้ วด้ ้วยอาการอย่างน.ี้


จบญตั ติทตุ ิยกรรมวาจาเทา่ น
ี้

…………………………………

คำกรา
นกฐนิ

ถ้ากรานดว้ ยผ้าสังฆาฏวิ า่

“อิมาย สงฆฺ าฏยิ า ก€ินํ อตฺถราม”ิ


“ขา้ พเจ้ากรานกฐนิ ด้วยผ้าสงั ฆาฏิผืนน”้ี

ถ้ากรานดว้ ยผา้ หม่ วา่

“อมิ ินา อุตตฺ ราสงฺเคน ก€นิ ํ อตถฺ ราม”ิ


“ขา้ พเจา้ กรานกฐนิ ดว้ ยผ้าห่มผืนนี้”

ถา้ กรานด้วยผา้ นุง่ ว่า


190

“อมิ ินา อนฺตรวาสเกน ก€ินํ อตถฺ รามิ”

“ขา้ พเจา้ กรานกฐินดว้ ยผ้านงุ่ ผืนน”ี้



…………………………………


คำเสนออนุโมทนากฐนิ

“อตถฺ ตํ อาวุโส สงฆฺ สสฺ ก€นิ ํ, ธมมฺ โิ ก ก€ินตถฺ าโร
อนุโมทถ”

ถ้าออ่ นกวา่ ผอู้ นุโมทนา แมร้ ูปหนึง่ ว่า “ภนเฺ ต” แทน
“อาวโุ ส” ถา้ วา่ กับภกิ ษุรูปเดยี วท่อี ่อนกวา่ พงึ วา่ “อนุโมทาหิ”
แทน “อนโุ มทถ”

คำแปล “ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย กฐินของสงฆ์
ข้าพเจ้ากรานเสร็จแล้ว การกรานกฐินชอบธรรม ขอท่าน
ทง้ั หลายอนโุ มทนาเถิด”



…………………………………


คำอนุโมทนากฐนิ

วา่ ทีละรปู “อตฺถตํ ภนฺเต สงฆฺ สสฺ ก€นิ ํ, ธมฺมโิ ก

ก€ินตถฺ าโร อนโุ มทามิ”

ว่าพร้อมกนั “อตฺถตํ ภนฺเต สงฺฆสฺส ก€ิน,ํ ธมฺมโิ ก

ก€นิ ตถฺ าโร อนุโมทาม”

ถา้ แก่กว่าผ้กู รานกฐนิ ใหว้ า่ “อาวุโส” แทน “ภนเฺ ต”

คำแปล “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กฐินของสงฆ์ท่านกราน
เสรจ็ แล้ว การกรานกฐนิ ชอบธรรม ข้าพเจ้าขออนโุ มทนา”


191

ทำกัปปิยะ

มพี ระพทุ ธานุญาตให้บริโภคผกั ผลไม้ ด้วยสมณกัปปะกรรม
ทค่ี วรแก่สมณะ ๕ คอื


๑. ผลจดดว้ ยไฟ

๒. ผลจดด้วยศสั ตรา

๓. ผลจดด้วยเล็บ

๔. ผลไมไ้ ม่มีพืช

๕. ผลมีพชื จะพึงปลอ้ นเสยี ได

พืช มีรากไม้เป็นต้นซึ่งเกิดอยู่ในที่ช่ือว่า ภูตคาม เป็น
วัตถุแห่งปาจิตตีย์ พืชน้ันเมื่อพรากให้พ้นจากที่แล้ว ชื่อว่า
พชี คาม เป็นวตั ถแุ หง่ ทกุ กฏ พีชคามนั้น เม่อื จะบริโภคพึงบงั คบั
อนปุ สัมบนั ว่า “กปฺปยิ ํ กโรห”ิ ทา่ นจงทำกปั ปิยะดังนี้ เสยี อกี
แลว้ จงึ บรโิ ภค เม่ือเป็นเช่นน้ี ชื่อวา่ ให้พน้ จากพีชคาม กแ็ ลจะ
ทำกัปปิยะนัน้ พึงทำด้วยไฟ หรอื ศัสตรา หรอื เล็บ โดยการจด
หรือแทง หรือตัดด้วยจงอย เข้าในประเทศอันหน่ึงแห่งพืชน้ัน
ในทางปฏบิ ตั มิ กั ให้อนปุ สัมบันใชเ้ ล็บจิก หรือเด็ดใหข้ าด กลา่ ว
ว่า “กปปฺ ิยํ ภนฺเต” ทำกัปปิยะผลมะขวดิ เปน็ ต้น พชื ข้างใน
หลุดจากกะลาคลอนอยู่ พึงให้ตอ่ ยออกทำกปั ปยิ ะ ถ้าติดกันอยู่
ไซร้ จะทำแม้ในกะลาก็ควร ก็แลผลอันใดเป็นของอ่อนไมม่ ี
พชื และผลใดที่มพี ืชปลอ้ นออกเสยี บริโภคได้กิจที่จะทำกปั ปิยะ ใน
ผลไมน้ น้ั ไมม่ .ี


…………………………………

192

คำอาราธนาและเบ็ดเตลด็


คำอาราธนาพระปรติ ร

วิปตั ติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปตั ติสทิ ธยิ า,

สพั พะทุกขะวนิ าสายะ ปะรติ ตัง พ๎รถู ะ มังคะลัง.

วิปัตตปิ ะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตตสิ ทิ ธิยา,

สพั พะภะยะวนิ าสายะ ปะรติ ตัง พ๎รูถะ มังคะลงั .

วิปตั ติปะฏพิ าหายะ สพั พะสมั ปัตติสิทธิยา,

สพั พะโรคะวินาสายะ ปะริตตงั พ๎รูถะ มังคะลัง.



…………………………………


คำอาราธนาธรรม

พ๎รหั ๎มา จะ โลกาธิปะตี สะหมั ปะต,ิ กัตอญั ชะลี
อันธวิ ะรงั อะยาจะถะ, สันตธี ะ สัตตาปปะระชักขะชาติ-
กา, เทเสตุ ธัมมัง อะนุกัมปมิ งั ปะชัง.



…………………………………


คำอาราธนาศีล ๕

มะยงั ภันเต, (วสิ งุ วิสุง รักขะณตั ถายะ), ตสิ ะ-
ระเณนะ สะหะ, ปญั จะ สีลานิ ยาจามะ.

ทุตยิ ัมปิ มะยัง ภันเต, (วสิ งุ วสิ ุง รักขะณัตถายะ),
ติสะระเณนะ สะหะ ปญั จะ สีลานิ ยาจามะ.


193

ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต, (วสิ ุง วิสงุ รกั ขะณตั -
ถายะ), ติสะระเณนะ สะหะ ปญั จะ สีลานิ ยาจามะ.



…………………………………


อกี นัยหนงึ่ คำอาราธนาศีล ๕ เปน็ นิจจะศลี

มะยงั ภนั เต, ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจังคะสะมัน-
นาคะตัง, นจิ จะสีลงั ยาจามะ.

ทตุ ิยัมปิ มะยงั ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ
ปญั จงั คะสะมันนาคะตงั , นจิ จะสีลงั ยาจามะ.

ตะตยิ มั ปิ มะยงั ภนั เต, ตสิ ะระเณนะ สะหะ
ปญั จังคะสะมันนาคะตัง, นิจจะสีลงั ยาจามะ.



…………………………………


คำอาราธนาศลี ๘

มะยงั ภนั เต, (วิสงุ วิสุง รักขะณตั ถายะ), ติสะ-
ระเณนะ สะหะ อฏั ฐะ สลี านิ ยาจามะ.

ทุตยิ ัมปิ มะยงั ภนั เต, (วิสุง วสิ งุ รักขะณัตถายะ),
ตสิ ะระเณนะ สะหะ อฏั ฐะ สีลานิ ยาจามะ.

ตะตยิ ัมปิ มะยงั ภันเต, (วสิ ุง วสิ ุง รักขะณัต-
ถายะ), ตสิ ะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สลี านิ ยาจามะ.



…………………………………

194

คำอาราธนาอโุ บสถศีล

มะยัง ภนั เต, ตสิ ะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะ-
มนั นาคะตัง, อุโปสะถงั ยาจามะ. (๓ หน)

คำอาราธนาศีลเหล่าน้ี นิยมใช้ในเวลาสมาทานมากคน
ถ้าคนเดียวพึงเปล่ียนคำว่า มะยัง เป็น อะหัง และคำว่า
ยาจามะ เป็น ยาจาม.ิ

คำอธิบาย

คำอาราธนา บางท่านใช้ตัดคำวา่ (วิสุง วิสุง รักขะ-
ณัตถายะ) ออก เช่นน้กี ใ็ ชไ้ ด้ เม่อื เปน็ เช่นน้ี พงึ ทราบความ
ต่างกันทม่ี ีคำวา่ วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ นน้ั หมายความ
วา่ ต่างคนต่างรกั ษาอยา่ งหนึง่ ตา่ งคนต่างขออย่างหนึ่ง ขอให้
ใหท้ ลี ะสิกขาบทอยา่ รวมเทยี บปจั เจกสมาทาน เมื่อลว่ งสิกขาบท
ไหนขาดเฉพาะสกิ ขาบทนั้น สกิ ขาบทอ่นื ไมข่ าด ถ้าสมาทานรวม
สิกขาบทใดบทหนึ่งขาดไป กข็ าดทั้งหมด



…………………………………

สรณคมน์ และ ศีล


เบญจศีล (ศลี ๕)

นมัสการ


นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธัสสะ.

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พุทธสั สะ.

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสัมพทุ ธสั สะ.


195

สรณคมน ์


พทุ ธงั สะระณัง คัจฉาม,ิ


ธัมมงั สะระณัง คัจฉาม,ิ


สงั ฆงั สะระณงั คจั ฉาม.ิ

ทตุ ิยัมปิ พุทธงั สะระณงั คัจฉาม,ิ

ทตุ ิยัมป ิ ธมั มัง สะระณงั คจั ฉามิ,


ทุติยัมปิ สงั ฆัง สะระณัง คัจฉามิ.

ตะติยมั ปิ พุทธัง สะระณงั คจั ฉามิ,

ตะตยิ มั ปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉาม,ิ



ตะติยัมปิ สงั ฆัง สะระณัง คจั ฉามิ.


สิกขาบท ๕


ปาณาตปิ าตา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทิยามิ.

อะทินนาทานา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทิยาม.ิ


กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยาม.ิ

มสุ าวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.

สรุ าเมระยะมชั ชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั


สะมาทิยาม.ิ


ท้ายศลี

ก. แบบปกต

อมิ านิ ปัญจะ สิกขาปะทาน,ิ สเี ลนะ สุคะตงิ ยันต,ิ

196

สเี ลนะ โภคะสัมปะทา, สีเลนะ นพิ พตุ ิง ยนั ติ, ตัส๎มา
สีลัง วโิ สธะเย.

ข. แบบนิจจะศีล

อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ, นจิ จะสลี ะวะเสนะ
สาธุกงั รกั ขติ พั พาน,ิ (รบั ว่า อามะ ภันเต) สีเลนะ สคุ ะ-
ติง ยนั ต,ิ สีเลนะ โภคะสัมปะทา, สเี ลนะ นพิ พุตงิ ยันติ,
ตัส๎มา สีลงั วิโสธะเย.

อีกอย่างหนง่ึ นำใหส้ มาทานรวมวา่ “อมิ านิ ปญั จะ
สกิ ขาปะทานิ สะมาทิยาม”ิ มที ใี่ ชใ้ นบางโอกาส เช่น ในเวลา
แสดงตนเป็นพุทธมามกะ แต่ไมต่ ้องวา่ คำลงทา้ ยศีลดังกล่าวแล้ว.


…………………………………

ศีล ๘ และอโุ บสถศลี


(นมัสการ และสรณคมน์ เหมือนศีล ๕)
สิกขาบท ๘


ปาณาติปาตา เวระมะณี สกิ ขาปะทัง สะมาทยิ ามิ.

อะทินนาทานา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทิยามิ.

อะพ๎รัห๎มะจะริยา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทิยาม.ิ

มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทยิ ามิ.

สรุ าเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั
สะมาทยิ าม.ิ


197

วิกาละโภชะนา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทยิ าม.ิ

นจั จะคตี ะวาทติ ะวิสูกะทสั สะนะมาลาคนั ธะวิเลปะนะ
ธาระณะ มัณฑะนะวภิ ูสะนฏั ฐานา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั
สะมาทยิ ามิ.

อจุ จาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง

ะมาทิยาม.ิ


ทา้ ยศลี ๘


ก. แบบปกต

อมิ านิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ, สเี ลนะ สคุ ะติง ยันติ,
สีเลนะ โภคะสัมปะทา, สีเลนะ นิพพตุ ิง ยนั ต,ิ ตสั ๎มา
สีลัง วโิ สธะเย.

ข. แบบอโุ บสถศลี

เม่ือเวลาสมาทานสิกขาบทจบแล้ว พงึ นำใหว้ ่าคำสมาทาน
ดังน
้ี
อิมัง อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง, พุทธะปัญญัตตัง
อโุ ปสะถัง, อมิ ญั จะ รัตติง อมิ ัญจะ ทวิ ะสัง, สัมมะเทวะ
อะภริ ักขิตุง สะมาทยิ ามิ.


(แปลวา่ ) ขา้ พเจา้ สมาทานซึง่ อโุ บสถศลี , ทพ่ี ระพุทธเจ้า

ไดท้ รงบญั ญัตไิ วแ้ ล้วน้ี อนั ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ดงั ได้

สมาทานมาแล้วนี้, เพือ่ จะรกั ษาไวใ้ หด้ ี ไมใ่ หข้ าด ไมใ่ หท้ ำลาย,

สิ้นวนั หนง่ึ กับคืนหนงึ่ ณ เวลาวนั น.้ี

198

ทา้ ยศลี อโุ บสถ


อิมานิ อัฏฐะ สกิ ขาปะทาน,ิ อัชเชกัง รัตตนิ ทวิ งั
อุโปสะถะวะเสนะ สาธุกงั รกั ขิตพั พาน,ิ (ผูส้ มาทานรบั วา่
อามะ ภันเต) สเี ลนะ สคุ ะติง ยันติ, สีเลนะ โภคะสมั -
ปะทา, สีเลนะ นพิ พตุ งิ ยันต,ิ ตสั ม๎ า สลี ัง วิโสธะเย.



…………………………………


คำถวายผา้ ปา่

อิมานิ มะยงั ภนั เต, ปังสุกูละจวี ะรานิ, สะปะร-ิ
วารานิ, สลี ะวันตัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต,
สีละวันโต, อิมาน,ิ ปงั สกุ ูละจีวะรานิ, สะปะริวารานิ,
ปะฏิคคัณหî าต,ุ อัมห๎ ากงั , ทฆี ะรตั ตัง, หติ ายะ, สขุ ายะ.

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้า
บังสุกลุ จวี ร (ผา้ ป่า) กบั ทง้ั เครอ่ื งบรวิ ารทัง้ หลายเหลา่ นี้ แด่
ท่านผู้มีศีล ขอท่านผู้มีศีลจงรับ ผ้าบังสุกุลจีวร กับทั้งเครอื่ ง
บริวารท้งั หลายเหลา่ น้ี ของขา้ พเจา้ ทง้ั หลาย เพ่อื ประโยชน์ และ
ความสขุ แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ.


…………………………………


คำชักผา้ บังสกุ ุล

“อิมํ ปงฺสุกลู จวี รํ อสสฺ ามิกํ มยฺหํ ปาปณุ าต”ิ


…………………………………

199

คำถวายสังฆทาน

อิมานิ มะยัง ภันเต, ภัตตาน,ิ สะปะรวิ ารานิ, ภิกขุ-
สงั ฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภนั เต, ภิกขุสงั โฆ.
อิมานิ, ภตั ตาน,ิ สะปะรวิ าราน,ิ ปะฏิคคณั หî าตุ, อัมห๎ ากัง,

ทฆี ะรัตตงั , หติ ายะ, สขุ ายะ.

ข้าแต่ท่านผเู้ จรญิ ขา้ พเจา้ ทง้ั หลาย ขอนอ้ มถวาย ซ่งึ
ภัตตาหาร กบั ทั้งเคร่อื งบริวารท้ังหลายเหล่าน้ี แดพ่ ระภิกษุสงฆ์
ขอพระภิกษสุ งฆจ์ งรบั ซึ่งภตั ตาหาร กบั ทง้ั เคร่อื งบรวิ ารท้งั หลาย
เหลา่ น้ี ของข้าพเจ้าท้งั หลาย เพอื่ ประโยชน์ และความสขุ แก่
ขา้ พเจ้าทงั้ หลาย ตลอดกาลนานเทอญ.



…………………………………


คำถวายสังฆทานอทุ ิศ

อมิ านิ มะยัง ภนั เต, ภัตตานิ, สะปะริวารานิ,
ภกิ ขุสงั ฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภกิ ขุสังโฆ.
อิมานิ, ภัตตานิ, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณîหาตุ,
อมั ห๎ ากัญเจวะ, มาตาปติ ุอาทนี ัญจะ, ญาตะกานญั จะ,
กาละกะตานัง, ทีฆะรัตตงั , หติ ายะ, สขุ ายะ.


ข้าแตท่ ่านผเู้ จริญ ข้าพเจา้ ท้งั หลาย ขอนอ้ มถวาย ซงึ่
ภัตตาหารกับทั้งเครอ่ื งบริวารทง้ั หลายเหล่าน้ี แดพ่ ระภกิ ษสุ งฆ์
ขอพระสงฆ์จงรับซึ่งภัตตาหาร กับท้ังเคร่ืองบริวารทั้งหลาย

200

เหลา่ น้ี ของข้าพเจา้ ทง้ั หลาย เพื่อประโยชน์ และความสุข แก่
ข้าพเจ้าท้ังหลาย และแก่ญาติทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้น
ผลู้ ่วงลับไปแลว้ ตลอดกาลนานเทอญ.


…………………………………




คำอปโลกนส์ ังฆทาน


(วา่ นโมฯ ๓ หน)

ยคฺเฆ ภนเฺ ต สงฺโฆ ชานาตุ, อยํ ป€มภาโค เถรสฺส

ปาปณุ าต,ิ อวเสสา ภาคา อวเสสานํ ภิกฺขสุ ามเณรานํ
ปาปณุ นตฺ ,ุ ยถาสขุ ํ ปรภิ ุญฺชนฺตุ. (๓ จบ)


…………………………………

คำอปโลกนอ์ กี แบบหน่งึ


(วา่ นโมฯ ๓ หน)

ยคเฺ ฆ ภนเฺ ต สงฺโฆ ชานาตุ. เอโส ป€มภาโค

เถรสสฺ ปาปณุ าต,ิ อวเสสา ภาคา อมหฺ ากํ ปาปุณนตฺ ,ุ
ภิกขู จ สามเณรา จ คหฏ€ฺ า จ, ยถาสขุ ํ ปรภิ ญุ ฺชนฺตุ.


อโส ป€มภาโค...ปริภญุ ชฺ นตฺ .ุ เอโส ป€มภาโค...ปริภญุ ฺชนตฺ ุ.


(พระสงฆ์รับพร้อมกันว่า “สาธุ”)

…………………………………

201

ทิพยมนต์


โดย

ทา่ นพอ่ ลี ธมมฺ ธโร

วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ




การสวด “ทิพยมนต์” น้ี เป็นสายบรรทัดเครื่องจูงใจของ

ผู้ปฏิบัติให้บรรลุถึงความบริสุทธ์ิ เพราะมนต์หมวดน้ีย่อมให้ผลดีแก่
ผู้ท่องบ่น เพราะเป็นเรื่องในตัวของตัวเอง ธรรมดาคนท่ีเกิดมาย่อม
อาศยั อยใู่ น ธาตทุ งั้ ๖ ธาตุเหลา่ น้ัน สะสมข้นึ ด้วยการกระทำของ
ตนเอง ดีบ้าง ช่วั บ้าง เม่ือเปน็ เชน่ นี้ ธาตุเหล่านัน้ ยอ่ มลงโทษแก่
ผอู้ าศัยเปรยี บเหมือนกบั เดก็ ท่ยี งั มีสิ่งที่รบกวนใจอยูเ่ สมอ

ฉะน้นั การสวดมนต์ กเ็ ท่ากับวา่ เราเล้ียงเด็กบำรุงเด็กใหไ้ ดร้ ับ
ความสมบรู ณ์ เมอ่ื เด็กได้รับความสมบรู ณเ์ ช่นนั้นแลว้ ผใู้ หญย่ อ่ มได้รบั
ความสะดวกสบาย ฉะน้นั ถา้ ใครเสกบ่นมนตค์ าถา ก็เทา่ กบั ว่าเราเลี้ยง
เด็กแล้วดว้ ยอาหาร เรากล่อมเด็กแลว้ ด้วยเพลงอนั ไพเราะ คือ พุทธคุณ
อำนาจพุทธคุณนี้อาจจะทำธาตุของตนให้บริสุทธ์ิข้ึนเป็นธาตุกายสิทธิ์
เหมือนแรธ่ าตุท่มี อี ยใู่ นโลก ยอ่ มแล่นหรือดงึ ดดู ถึงกันไดท้ กุ วนิ าที หรอื
เปรยี บเสมือนสายไฟฟา้ สว่ นมนต์คาถาทส่ี วดเปรยี บเหมอื น กระแสไฟ
มงุ่ ไปทิศใดย่อมถึงที่นนั้ ๆ อาจที่จะทำให้ดนิ ฟา้ อากาศเป็นมงคล เพราะ
มนต์หมวดนเ้ี ป็นมนตก์ บลิ ฤๅษีปนอยู่ด้วย ตามเรอ่ื งที่เลา่ ไว้ ดงั น้ี

ในอดีตกาล มีฤๅษีตนหนึ่งไปเจริญทิพยมนต์อยู่ในป่าสัก ณ
ประเทศอินเดีย ตามตำนานเล่าว่า ในปา่ นัน้ เปน็ มหามงคล เชน่ ต้นไม้
ทั้งหลายสับเปลยี่ นกนั เกิดดอกออกผลอยู่ตลอดทกุ ฤดูกาล มนี ้ำใสสะอาด

202

สัตว์ตวั ไหนเจบ็ ปว่ ยว่ิงผา่ นเข้าไปไดก้ นิ น้ำในทีน่ ้นั อาการปว่ ยจะสญู สิ้น
ไป ใบหญ้าและเถาวัลย์สดชื่นอยู่เป็นนิจ สัตว์ท่ีดุร้ายและโหดร้าย
เบียดเบยี นกัน เมอื่ เขา้ ไปผา่ นในสถานที่นั้นก็ราวกบั วา่ เป็นเพ่อื น เปน็
มิตรกนั เอง สตั ว์ท้งั หลายก็อาศัยป่านนั้ อยโู่ ดยความร่ืนเรงิ กลิ่นโสโครก
ซากสตั วต์ า่ งๆ ที่ตายในทีน่ ้นั ไมป่ รากฏ ถา้ หากว่าความตาย จะมาถึงตน
ก็ต้องดนิ้ รนหนไี ปตายที่อืน่ ในสถานทีน่ ้ี พวกชาวศากยสกลุ วงศ์ของ
พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ไดไ้ ปตงั้ เมืองหลวงในทนี่ ั้นเรียกวา่ กรงุ กบิลพัสดุ์
ซ่ึงยงั เปน็ บ้านเมืองมาจนบดั นี้ (ประเทศเนปาล)

นี่เกิดจากความศักดิ์สิทธ์ิซึ่งกบิลฤๅษี ได้ไปเจริญทิพยมนต์
อยู่ในที่นั้น วิธีเจริญของฤๅษีตนนั้น วาระแรกเขาได้หันหน้าไปทางทิศ
ตะวันออก ได้เจริญมนต์หมวดนี้อยู่ตลอด ๗ วัน วาระที่ ๒ เขา
หนั หนา้ ไปทางทิศอดุ ร วาระที่ ๓ เขาได้หนั หนา้ ไปทางทิศใต้ วาระที่ ๔
เขาไดห้ นั หน้าไปทางทิศตะวันตก วาระที่ ๕ เขาไดห้ นั หนา้ ลงไปทางใต้
พื้นปฐพี วาระท่ี ๖ เขาได้ยกมือแหงนหน้าขึ้นไปในอากาศ ทำจิตให้
สะอาด เอารัศมขี องดวงดาวเปน็ นมิ ติ วาระที่ ๗ เขาไดเ้ จริญอานาปาน์
ปลอ่ ยลมของเขาเองออกทุกทิศ โดยอำนาจแห่งกำลังจิตท่ปี ระกอบด้วย
พรหมวหิ ารทงั้ ๔ ท่เี รยี กว่า “ทิพยมนต”์ ดงั นี้ เลา่ มาน้ีตามเร่ืองของ
ชาวอินเดยี เลา่ ใหฟ้ ัง

ต่อจากน้ันก็ให้นึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้บริสุทธ์ิด้วย
คุณธรรมอันเลิศจนพระองค์สามารถจะเสกธาตุของพระองค์เองให้
บรสิ ุทธิย์ ่ิงกว่าธาตใุ ดๆ ทง้ั หมดในโลก เช่น พระบรมธาตุอันเปน็ ธาตุ
กายสทิ ธิซ์ ่ึงมีปรากฏอยู่ในผู้เคารพนับถอื ได้ทราบขา่ ววา่ เสด็จมาบา้ ง
เสด็จหนไี ปบ้าง ซงึ่ เป็นสิง่ ที่แปลกประหลาดอยมู่ าก สง่ิ เหล่านก้ี ็สำเรจ็
มาจากดวงจิตอันบริสทุ ธิน์ นั้ เอง เมอ่ื จติ บรสิ ทุ ธิ์แลว้ ธาตทุ ้ัง ๖ ก็พลอย

203

บริสุทธิ์ไปด้วย เมื่อธาตุเหล่าน้ีเน่ืองอยู่ด้วยโลก อาจจะทำโลกให้ได้รับ
ความช่มุ เยน็ ไปดว้ ยกไ็ ด้ เพราะธาตทุ ั้งหมดยอ่ มเนื่องถึงกัน

ถ้าพวกเราพุทธบริษัทตั้งใจประพฤติปฏิบัติเช่นนั้น เช่ือแน่ว่า
ต้องได้รับผลดีเป็นแน่ ถ้าหากว่าจิตมิได้ฝึกหัดในทางน้ี มัวเมาแต่
สะสมความช่ัวใส่ตนแล้ว จิตก็ต้องเดือดร้อน อำนาจแห่งความร้อน
ของดวงจิตกจ็ ะทำใหธ้ าตุในตวั ทุกสว่ นร้อนเปน็ ไฟไปด้วย ไฟเหล่าน้กี จ็ ะ
ต้องระบายไปในทต่ี า่ งๆ ท่วั โลก

ความร้อนอันนี้เมื่อมีปริมาณมากขึ้น ก็จะจับกลุ่มกันข้ึนเป็น
เครอ่ื งสนบั สนุนช่วยแสงอาทติ ยใ์ หแ้ รงกล้า แล้วก็ทำอากาศธาตุ ดิน
นำ้ ไฟ ลม ใหว้ ิบัตเิ ปล่ียนแปลงไปโดยอาการต่างๆ เชน่ ฤดูทั้ง ๓ ก็
จักไม่คงท่ี เมื่อเป็นเช่นนม้ี นุษยท์ ีอ่ าศัยอยู่กจ็ ะตอ้ งวิบัติหรือเดอื ดรอ้ นไป
ตามกนั ขั้นท่สี ุดของความช่วั ก็จะทำใหโ้ ลกทเ่ี ราอาศัยอยู่นแ้ี ตกสลายไป
ทเ่ี ขาเรียกว่า ไฟประลัยกลั ป์ ไหมล้ า้ งโลก คนเราไม่ไดน้ ึกคดิ จึงเหมา
ใหธ้ รรมชาติเปน็ เองเสยี โดยมาก เม่อื เป็นเชน่ นก้ี ม็ ิใช่นกั เหตผุ ล เพราะ
สิง่ ทัง้ หลายต้องมีเหตุจงึ มผี ล โลกท่ปี รากฏอยู่ยอ่ มสำเร็จมาจากดวงจิต
เป็นตัวเหตุ จิตดโี ลกต้องดี จติ ช่วั โลกต้องช่ัว

ฉะน้ัน จงึ ได้เขียนแนวทางอบรมดวงจิตไวใ้ นหนังสอื เลม่ น้ี เพื่อ
สร้างความร่มเยน็ เปน็ สุขสืบไป


พระอาจารยล์


204

หมวด ๑


ไหว้พระ


คำขอขมาโทษและคำนมัสการพระบรมธาตุ พระอรหันตธาตุ
พระพทุ ธรปู พระสถปู พระเจดยี ์ ตลอดจนตน้ ไมม้ หาโพธิซ์ ง่ึ เปน็ วัตถุท่ี
พุทธบริษัทควรเคารพสักการะทวั่ ๆ ไป เพอื่ ใหเ้ ปน็ สิรมิ งคลแก่ตนเอง :

อรหํ สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺโธ ภควา,

พระผูม้ ีพระภาคเปน็ ผไู้ กลจากกเิ ลสตรสั ร้เู องชอบ.

ตํ ภควนฺตํ อภวิ าเทมิ.

ขา้ พเจา้ อภวิ าทกราบไหว้พระผมู้ พี ระภาคพระองคน์ น้ั .


(กราบลงหนึ่งครัง้ )

สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม,

พระธรรมทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคตรสั ดีแล้ว,

ตํ ธมฺมํ นมสฺสาม.ิ

ข้าพเจ้านมัสการกราบไหวพ้ ระธรรมนัน้ .


(กราบลงหนึ่งคร้งั )

สปุ ฏิปนโฺ น ภควโต สาวกสงโฺ ฆ,

พระสงฆส์ าวกของพระผู้มีพระภาคท่ีทา่ นปฏบิ ตั ดิ ีแล้ว,

ตํ สงฺฆํ นมามิ.

ขา้ พเจ้านอบน้อมกราบไหว้พระสงฆน์ ้นั .


(กราบลงหนงึ่ ครงั้ )

นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ฺธสสฺ . (สามจบ)

อุกาส, ทฺวารตเยน กต,ํ สพพฺ ํ อปราธํ ขมถ เม ภนฺเต.
(ถ้าวา่ พร้อมกนั เปล่ียนตอนทา้ ยเป็น ขมตุ โน ภนเฺ ต)


205

วนทฺ ามิ ภนเฺ ต เจตยิ ํ, สพพฺ ํ สพฺพตถฺ €าเน, สุปตฏิ €ฺ ิต

สารรี งกฺ ธาต,ํุ มหาโพธึ พทุ ฺธรูปํ สกกฺ ารตฺถํ, อหํ วนฺทามิ

ธาตุโย, อหํ วนฺทามิ สพพฺ โส, อิจเฺ จตํ รตนตตฺ ย,ํ อหํ วนฺทาม

สพฺพทา.

พทุ ธฺ ปชู า มหาเตชวนฺโต, ธมมฺ ปชู า มหปฺปญโฺ , สงฺฆ-

ปูชา มหาโภคาวโห.

พุทธฺ ํ ธมฺมํ สงฆฺ ํ ชีวติ ํ ยาว นิพพฺ านํ สรณํ คจฉฺ ามิ.

ปริสุทฺโธ อหํ ภนฺเต, ปริสทุ โฺ ธติ ม,ํ พทุ ฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ

ธาเรต.ุ

สพฺเพ สตฺตา สทา โหนตฺ ุ อเวรา สุขชีวิโน.

ขอใหส้ ตั วท์ ้งั หลาย อยา่ ไดม้ เี วรแก่กันและกนั จงเป็นผดู้ ำรงชีพ

อยเู่ ป็นสุขทกุ เมอื่ เทอญ

กตํ ปุญฺผลํ มยหฺ ํ สพฺเพ ภาคี ภวนตฺ ุ เต.

ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงได้เสวยผลบุญที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญด้วยกาย

วาจา ใจ แล้วน้ันเทอญ


(จบแล้วกรา
บสามคร้งั )

หมวด ๒



สวดมนต์


สวดมนตด์ ว้ ยพระพุทธคุณ ตัง้ ธาตุทั้ง ๖

นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธฺ สสฺ . (สามจบ)

พทุ ฺธํ อายุวฑฒฺ นํ ชวี ิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉาม.ิ

ธมมฺ ํ อายุวฑฺฒนํ ชวี ิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฉฺ ามิ.

206

สงฆฺ ํ อายวุ ฑฺฒนํ ชีวติ ํ ยาว นิพพฺ านํ สรณํ คจฉฺ าม.ิ
(
แล้วว่า ทตุ ิยมปฺ ิ ฯลฯ ตตยิ มฺปิ ฯลฯ ใหค้ รบ ๓ รอบ)


หมวดธาตุลม ๓ ข้อ ดังนี้

๑. วาโย จ พทุ ธฺ คณุ ํ อรหํ พทุ โฺ ธ อติ ิปิ โส ภควา นมา-
มิห.ํ อรหํ สมมฺ าสมพฺ ุทฺโธ, วิชชฺ าจรณสมฺปนโฺ น สุคโต โลกวิทู,
อนตุ ฺตโร ปุริสทมมฺ สารถิ สตถฺ า เทวมนุสสฺ านํ พุทโฺ ธ ภควาต.ิ

(ให้ระลกึ ถึง พระพทุ ธเจ้าผูบ้ รสิ ุทธิ์ - อรหํ สมมฺ าสมพฺ ุทฺโธ
พระบรสิ ทุ ธคิ ุณ)


๒. วาโย จ ธมเฺ มตํ อรหํ พทุ ฺโธ อติ ปิ ิ โส ภควา
นมามิห,ํ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม, สนทฺ ิฏฺ€ิโก อกาลิโก
เอหิปสสฺ ิโก, โอปนยโิ ก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วญิ ฺหู ีต.ิ

(ใหร้ ะลึกถึง พระสารบี ตุ รผู้มีปัญญา - วิชฺชาจรณสมปฺ นโฺ น

พระปัญญาคุณ)


๓. วาโย จ สงฆฺ านํ อรหํ พทุ โฺ ธ อติ ปิ ิ โส ภควา
นมามิห,ํ สุปฏปิ นฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ, อุชุปฏิปนโฺ น ภควโต
สาวกสงฺโฆ, ายปฏปิ นฺโน ภควโต สาวกสงโฺ ฆ, สามจี ิปฏิปนโฺ น

ภควโต สาวกสงฺโฆ, ยทิทํ จตตฺ าริ ปรุ สิ ยุคานิ อฏฺ€ ปุรสิ -

ปุคฺคลา, เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ, อาหเุ นยโฺ ย ปาหเุ นยฺโย

ทกฺขิเณยฺโย อญฺชลกิ รณโี ย, อนุตฺตรํ ปญุ ฺกฺเขตตฺ ํ โลกสฺสาติ.

(ใหร้ ะลกึ ถงึ พระโมคคลั ลานะผมู้ ีฤทธ์ิ - สตถฺ าเทวมนสุ สฺ านํ

พระกรณุ าคณุ )


ธาตปุ รสิ ทุ ฺธานุภาเวน, สพพฺ ทุกฺขา สพฺพภยา สพพฺ โรคา


วิมจุ ฺจนฺติ, อิติ อทุ ธฺ มโธ ตริ ยิ ํ สพพฺ ธิ สพพฺ ตฺตตาย สพฺพาวนตฺ ํ
207

โลกํ, เมตตฺ า กรุณา มุทติ า อเุ ปกฺขา สหคเตน เจตสา, จตทุ ฺทสิ ํ
ผรติ วฺ า วหิ รติ, สขุ ํ สปุ ติ สขุ ํ ปฏพิ ุชฌฺ ต,ิ น ปาปกํ สปุ ินํ
ปสฺสต,ิ มนุสฺสานํ ปโิ ย โหติ อมนสุ ฺสานํ ปิโย โหต,ิ เทวตา
รกฺขนฺติ, นาสสฺ อคคฺ ิ วา วิสํ วา สตฺถํ วา กมต,ิ ตุวฏํ จิตฺตํ
สมาธยิ ติ, มุขวณโฺ ณ วปิ ปฺ สที ต,ิ อสมฺมโุ ฬฺห (มุฬโฺ ห) กาลํ กโรต,ิ
อตุ ตฺ รึ อปฺปฏวิ ิชฺฌนโฺ ต พรฺ หฺมโลกูปโค โหต,ิ อิติ อทุ ฺธมโธ ตริ ยิ ํ
อเวรํ อเวรา สขุ ชวี โิ น, กตํ ปญุ ฺผลํ มยฺหํ สพเฺ พ ภาคี ภวนตฺ ุ
เต. ภวตุ สพพฺ มงฺคลํ รกฺขนตฺ ุ สพฺพเทวตา, สพพฺ พทุ ฺธานภุ าเวน
สพพฺ ธมฺมานุภาเวน สพฺพสงฆฺ านุภาเวน, โสตถฺ ี โหนฺตุ นิรนฺตร,ํ

อรหํ พุทฺโธ อิตปิ ิ โส ภควา นมามิหํ.

วิธเี ปลยี่ นธาตุ เหมือนข้อต้นทงั้ หมด คือ ขอ้ ๑ พุทธคณุ ข้อ
๒ ธรรมคุณและ ข้อ ๓ สงั ฆคณุ แลว้ ตอ่ ด้วยบท “ธาตุปรสิ ุทธฺ า-

นุภาเวน ฯลฯ” เป็นการเปล่ียนแต่ช่ือธาตเุ ทา่ นน้ั



หมวดธาตไุ ฟ

(๑) เตโช จ พุทฺธคณุ ํ ฯลฯ

(๒) เตโช จ ธมฺเมตํ ฯลฯ

(๓) เตโช จ สงฺฆานํ ฯลฯ



หมวดธาตุน้ำ

(๑) อาโป จ พทุ ธฺ คณุ ํ ฯลฯ

(๒) อาโป จ ธมเฺ มตํ ฯลฯ

(๓) อาโป จ สงฺฆานํ ฯลฯ


208

หมวดธาตุดิน

(๑) ป€วี จ พทุ ฺธคณุ ํ ฯลฯ

(๒) ป€วี จ ธมฺเมตํ ฯลฯ


(๓) ป€วี จ สงฺฆานํ ฯลฯ

หมวดอากาศธาต

(๑) อากาสา จ พุทธฺ คุณํ ฯลฯ

(๒) อากาสา จ ธมฺเมตํ ฯลฯ

(๓) อากาสา จ สงฺฆานํ ฯลฯ



หมวดวญิ ญาณธาต

(๑) วิญฺาณจฺ พทุ ฺธคุณํ ฯลฯ

(๒) วิญฺ าณฺจ ธมฺเมตํ ฯลฯ

(๓) วญิ ฺาณจฺ สงฆฺ านํ ฯลฯ




ใหส้ นใจท่องในหมวดต้นให้แมน่ ยำ ส่วนธาตุทต่ี อ่ มานน้ั จะเขา้ ใจ
และจำง่าย เพราะเปน็ เรอ่ื งเดยี วกัน เพียงแตเ่ ปลีย่ นธาตุเท่าน้นั ธาตุ
ทง้ั ๖ หมวดนี้ มอี ยูใ่ นตวั ของเราผู้สวดทกุ คน เพราะฉะนน้ั เวลาสวด
ให้นึกถึงธาตุนั้นๆ ด้วยเช่น ลม-ส่วนท่ีพัดไปมา มีลมหายใจเป็นต้น
ไฟ-ความอบอุ่น, น้ำ-มีอาการเหลวๆ, ดิน-แข็ง, อากาศ-ช่องว่าง,
วญิ ญาณ-ความรู้ ดงั นี้เปน็ ต้น การสวดจึงจะเป็นประโยชนม์ าก

อนงึ่ เม่อื จะสวดธาตใุ นพธิ ีอืน่ เชน่ การสวดธาตุเพื่อเป็นการ
เจริญอายุและจติ ใจของผู้ปว่ ย หรือสวดสลับในพธิ พี ุทธาภิเศก เป็นตน้
นยิ มสวดขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ และอาการ ๓๒ เพ่ิมเติมดว้ ย การสวด

209

ทำนองเดียวกับการสวดธาตุทุกอย่าง เปลี่ยนแต่ช่ือขันธ์ อายตนะ


และอาการ ๓๒ ไปโดยลำดับเท่าน้นั


หมวดขันธ์ ๕


(๑) รปู ญฺจ (๒) เวทนา จ


(๓) สญฺา จ (๔) สงขฺ ารา จ


(๕) วญิ ฺาณญจฺ





หมวดอายตนะ ๑๒


(๑) จกขฺ ุ จ (๒) โสตญฺจ


(๓) ฆานญจฺ (๔) ชิวฺหา จ


(๕) กาโย จ (๖) มโน จ


(๗) รปู ญฺจ (๘) สทโฺ ท จ


(๙) คนโฺ ธ จ (๑๐) รโส จ



(๑๑) โผฏฺ€พพฺ า จ (๑๒) ธมมฺ ารมฺมณญจฺ


หมวดอาการ ๓๒


(๑) เกสา จ (๒) โลมา จ


(๓) นขา จ (๔) ทนตฺ า จ


(๕) ตโจ จ (๖) มสํ ญจฺ


(๗) นหารู จ (๘) อฏ€ฺ ี จ


(๙) อฏ€ฺ มิ ญิ ฺชญฺจ (๑๐) วกกฺ ญฺจ


(๑๑) หทยญจฺ (๑๒) ยกนญฺจ

(๑๓) กิโลมกญจฺ (๑๔) ปิหกญจฺ


210

(๑๕) ปปฺผาสญจฺ (๑๖) อนฺตญจฺ

(๑๗) อนฺตคณุ ญจฺ (๑๘) อุทริยญจฺ

(๑๙) กรีสญฺจ (๒๐) มตฺถลงุ ฺคญจฺ

(๒๑) ปิตตฺ ญจฺ (๒๒) เสมฺหญจฺ

(๒๓) ปพุ โฺ พ จ (๒๔) โลหติ ญฺจ

(๒๕) เสโท จ (๒๖) เมโท จ

(๒๗) อสฺสุ จ (๒๘) วสา จ

(๒๙) เขโฬ จ (๓๐) สงิ ฆฺ าณิกา จ

(๓๑) ลสกิ า จ (๓๒) มุตตฺ ญฺจ




หมวด ๓



ภาวนา


หมวดน้ี ให้การศกึ ษาวิธีปฎบิ ัติ อานาปานสตภิ าวนามัย ต่อไป


มีข้อสำคัญอยู่ ๗ ขอ้ คอื

๑. ใหภ้ าวนา พุทฺ ลมเข้ายาวๆ โธ ลมออกยาวๆ กอ่ น ๓

คร้งั หรือ ๗ ครงั้ (คำภาวนากบั ลมให้ยาวเท่ากนั )


๒. ใหร้ ูจ้ กั ลมเข้าลมออกโดยชดั เจน


๓. ใหร้ ้จู ักสงั เกตลมในเวลาเขา้ ออกวา่ มลี กั ษณะอย่างไร สบาย

หรือไม่สบาย กวา้ งหรอื แคบ ขัดหรอื สะดวก ชา้ หรอื เรว็ ส้ันหรอื ยาว

ร้อนหรือเย็น ถ้าไม่สบายก็ให้เปล่ียนแปลงแก้ไขจนได้รับความสะดวก

สบาย เชน่ เขา้ ยาวออกยาวไมส่ บาย ใหเ้ ปลีย่ นเป็นเข้าสน้ั ออกสน้ั

เปน็ ตน้ จนกวา่ จะได้รับความสบาย เมอ่ื ไดร้ ับความสบายสะดวกดีแล้ว

ให้กระจายลมที่สบายนั้นไปในสว่ นต่างๆ ของร่างกาย เช่นสูดลมเขา้ ไป

ที่ท้ายทอยปล่อยลงไปในกระดูกสนั หลงั ให้ตลอด ถ้าเป็นเพศชายปลอ่ ย

211

ไปตามขาขวาทะลถุ ึงปลายเทา้ แลว้ กระจายไปในอากาศ แล้วก็กลับมา
สูดใหม่เข้าไปในทา้ ยทอย ปลอ่ ยลงไปในกระดูกสนั หลัง ปล่อยไปตามขา
ซ้ายทะลุถึงปลายเท้า แลว้ กระจายไปในอากาศ แล้วก็กลบั มาปล่อยตัง้
แตท่ า้ ยทอยผา่ นไหลท่ ัง้ สองถึงขอ้ ศอกข้อมือทะลุถึงปลายนิ้ว กระจายไป
ในอากาศ แล้วก็ปล่อยลงคอหอยกระจายไปท่ีข้ัวปอดขั้วตับ กระจาย
เรอื่ ยลงไปจนถึงกระเพาะเบา กระเพาะหนกั แล้วก็สดู ลมหายใจเข้าไป
ตรงกลางอกทะลุไปจนถึงลำไส้ กระจายลมสบายเหล่าน้ีให้ท่ัวถึงกันได้
จะไดร้ ับความสะดวกมากขน้ึ (ถา้ เปน็ เพศหญงิ ใหก้ ระจายลมทางซา้ ยก่อน
เพราะเพศหญิงและเพศชายเส้นประสาทต่างกนั )

๔. ให้รู้จักขยายลมออกเป็น ๔ แบบ คือ

๑) เข้ายาวออกยาว

๒) เข้าสั้นออกสนั้

๓) เข้าสัน้ ออกยาว

๔) เข้ายาวออกส้นั

แบบใดเป็นทส่ี บายให้เอาแบบนั้น หรือทำให้สบายไดท้ กุ แบบยิ่งดี
เพราะสภาพของบคุ คล ลมหายใจยอ่ มเปล่ยี นแปลงได้ทกุ เวลา

๕. ให้รู้จักที่ต้ังของจิต ฐานไหนเป็นท่ีสบายของตัวให้เลือก
เอาฐานน้ัน (คนที่เปน็ โรคเส้นประสาทปวดศรี ษะหา้ มต้งั ข้างบน ใหต้ ้งั
อย่างสูงต้ังแต่คอหอยลงไป และห้ามสะกดจิตสะกดลม ให้ปล่อยลม
ตามสบาย ปล่อยใจตามลมเข้าออกให้สบาย แตอ่ ย่าใหห้ นไี ปจากวง
ของลม) ฐานเหล่าน้ันได้แก่ ๑. ปลายจมูก ๒. กลางศรี ษะ
๓. เพดาน ๔. คอหอย ๕. ลิน้ ปี่ ๖. ศูนย์ (สะดอื ) นฐ้ี านโดยย่อคอื
ที่พักลม

๖. ให้รู้จักขยายจิตคือ ทำความรู้สึกให้กว้างขวางออกไปท่ัว
สรรพางคก์ าย


212

๗. ให้รู้จักประสานลม และขยายจิตออกให้กว้างขวาง ให้รู้
ส่วนต่างๆ ของลมซึ่งมีอยู่ในร่างกายนั้นก่อน แล้วจะได้รู้ในส่วนอ่ืนๆ
ท่ัวไปอีกมากคอื ธรรมชาติลมมีหลายจำพวก ลมในเส้นประสาท ลม
เดินหุ้มเส้นประสาททั่วๆ ไป ลมกระจายออกจากเส้นประสาทแล่น
แทรกแซงไปทั่วทุกขุมขน ลมให้โทษและให้คุณย่อมมีปนกันอยู่โดย
ธรรมชาติของมนั

สรุปแล้วก็คือ

๑. เพ่ือช่วยให้พลังงานที่มีในร่างกายทุกส่วนของคนเราทุกคน
ให้ดีขนึ้ เพื่อตอ่ สู้สิง่ ตา่ งๆ ในตวั เชน่ ไม่สบายในร่างกายเป็นตน้

๒. เพ่ือช่วยความรู้ท่ีมีอยู่แล้วในตัวของคนทุกคนให้แจ่มใสขึ้น
เพอ่ื เปน็ หลกั วิชชา วมิ ตุ ิ วิสุทธ์ิ ความหมดจดสะอาดในจิตใจ

หลกั อานาปาฯ ท้ัง ๗ ข้อนี้ ควรถือไว้เป็นหลักสตู ร เพราะเปน็
เรอื่ งสำคญั ของอานาปาฯ ท้ังสนิ้

ไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนา ๓ อยา่ งนี้ต้องควบกนั เสมอไปจึงจะ
เปน็ หนทางชำระจติ ใจของพุทธบริษัทให้บริบรู ณ์โดยธรรม สมกบั คำทีว่ า่
“สพฺพปาปสฺสอกรณํ” อย่าทำความชั่วให้รั่วไหลเข้ามาสู่กายวาจาใจ
“กุสลสฺสปู สมปฺ ทา” จงทำความดใี หส้ มบูรณ์บรบิ ูรณ์เทอญ หมายความ
ว่ากายเราก็ไดท้ ำ คือไหวพ้ ระในขอ้ ตน้ สวดมนตท์ างวาจา เราก็ได้พูด
เชน่ สวดพทุ ธคณุ เขา้ ธาตุ ภาวนาทางใจ เรากไ็ ดน้ ึก เช่น “พทุ โฺ ธ”
เม่ือเป็นเชน่ นี้ เราจกั มีจติ ผอ่ งใส เข้าถงึ หัวใจของศาสนาดงั น
้ี
ทุกส่ิงทุกอย่างในโลกย่อมเป็นไปด้วยอำนาจจิตท้ังส้ิน ใจช่ัวใช้
อำนาจในทางท่ีผิด จติ ฝกึ หัดแลว้ ดว้ ยดียอ่ มมอี ำนาจใช้ไปได้ในทางทีถ่ ูก

ผกู ใจคน ได้รับผลลน้ ค่า.


…………………………………

213

คาถาทา่
นพ่อล


“อะระหัง พุทโธ อติ ิปิโส ภะคะวา นะมามิหงั ”


(ใหว้ ่า ๓-๗ ครัง้ และใช้สวดประจำทกุ คืนก่อนนอน

จำนวนเท่าอายยุ ิง่ ดี ทวสี ริ มิ งคล)



…………………………………

คาถาขอฝน


มะหาการณุ โิ ก นาโถ หติ ายะ สัพพะปาณินัง

ปูเรตîวา ปาระมี สัพพา ปตั โต สมั โพธิมุตตะมัง

เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ โหตุ เต ชะยะมงั คะลงั

มะหาการุณิโก นาโถ อัตถายะ สัพพะปาณนิ งั

ปูเรตวî า ปาระมี สัพพา ปัตโต สมั โพธิมุตตะมัง

เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ เทโว วัสสะตุ ธมั มะโต

สุภูโต จะ มะหาเถโร มะหากาโย มะโหทะโร

นลี ะวณั โณ มะหาเตโช ปะวสั สนั ตุ วะลาหะกา

มะหาการุณิโก นาโถ หติ ายะ สพั พะปาณนิ ัง

ปูเรตîวา ปาระมี สพั พา ปัตโต สัมโพธมิ ุตตะมัง

เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ โหตุ เต ชะยะมงั คะลงั

มะหาการุณิโก นาโถ หติ ายะ สัพพะปาณนิ ัง

ปเู รตîวา ปาระมี สพั พา ปัตโต สัมโพธมิ ุตตะมัง


214

เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ เทโว วสั สะตุ กาละโต

สภุ โู ต จะ มะหาเถโร มะหากาโย มะโหทะโร

นลี ะวณั โณ มะหาเตโช ปะวัสสันตุ วะลาหะกา

มะหาการณุ โิ ก นาโถ หิตายะ สพั พะปาณินัง

ปูเรตวî า ปาระมี สพั พา ปตั โต สมั โพธิมุตตะมัง

เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ โหตุ เต ชะยะมงั คะลัง

มะหาการุณโิ ก นาโถ สขุ ายะ สพั พะปาณนิ งั

ปเู รตวา ปาระมี สพั พา ปัตโต สัมโพธิมตุ ตะมงั

เอเตนะ สจั จะวัชเชนะ เทโว วัสสะตุ ฐานะโส

สภุ ูโต จะ มะหาเถโร มะหากาโย มะโหทะโร

นีละวณั โณ มะหาเตโช ปะวสั สันตุ วะลาหะกา

ฉันนา เม กุฏกิ า สขุ า นิวาตา

วัสสะ เทวะ ยะถาสขุ งั

จิตตงั เม สสุ ุมาหติ งั วิมตุ ตัง

อาตาปี วหิ ะรามิ วัสสะ เทวาติ.



…………………………………









215

หมายเหตุ ในการพิมพ์ใหม่ในครั้งน้ี นอกจากเป็นการพิมพ์

เพ่ิมเติมเล่มก่อนที่แจกจ่ายไปหมดแล้ว ยังได้ทำการปรับปรุง

แก้ไขส่วนท่ียังขาดตกบกพร่องจากการพิมพ์ครั้งก่อนๆ ให้

สมบูรณ์ย่ิงข้ึน ซึ่งมีหลายแห่งท่ียังมีข้อผิดพลาดอยู่ และมี

การเปลยี่ นแปลงในหนา้ แรก บทคำสวดมนต์ไหวพ้ ระ (แปล) ซ่งึ

ทางผู้จัดทำพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นบทสวดท่ีไม่ค่อยแพร่หลาย

เท่าที่ควร จงึ ได้เปล่ยี นเปน็ บทบูชาพระรัตนตรัย (แปล) แทน


ฉะน้ัน ทางคณะผู้จัดทำจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือ

สวดมนต์วัดป่าดานวิเวกเล่มน้ี คงจะยังประโยชน์แก่ท่านผู้นำไป

ใช้เป็นคู่มือในระหว่างการประพฤติปฏิบัติธรรม และท่องบ่น

สาธยายมนต์ในวาระต่างๆ ได้บ้างไม่มากก็น้อย หากมีท่านผู้ใด

พบเจอคำผิดในหนังสือเล่มน้ี กรุณาแจ้งให้ทางผู้จัดทำทราบ

จะขอขอบพระคุณเป็นอย่างย่ิง เพ่ือจะได้ปรับปรุงแก้ไข

ในการพิมพ์คร้ังต่อๆ ไป ขอความสุขสวัสดีและความเจริญ

ในธรรม จงมีแด่ท่านผู้ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพและจัดทำหนังสือ

ในครั้งนี้โดยทว่ั หนา้ กันเทอญ


คณะผู้จัดทำ


วัดปา่ ดานวเิ วก


มกราคม ๒๕๕๗


พิมพท์ ี่ บริษทั ศลิ ปส์ ยามบรรจุภณั ฑ์และการพมิ พ์ จำกัด


๖๑ ถนนเลียบคลองภาษีเจรญิ ฝ่ังเหนอื (เพชรเกษม ๖๙) แขวง/เขตหนองแขม กรุงเทพฯ ๑๐๑๖๐

โทรศพั ท์ ๐๒-๔๔๔-๓๓๕๑-๙ โทรสาร ๐๒-๔๔๔-๐๐๗๘

e-mail: [email protected]


216


Click to View FlipBook Version