The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือสวดมนต์ วัดป่าดานวิเวก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2021-08-17 02:41:53

หนังสือสวดมนต์ วัดป่าดานวิเวก

หนังสือสวดมนต์ วัดป่าดานวิเวก

ผถู้ อนอ่อนกว่า


จีวรผืนเดียว “อิมํ จวี รํ มยหฺ ํ สนฺตกํ ปริภญุ ฺช วา วิสชฺ-


เชหิ วา ยถาปจจฺ ยํ วา กโรถ”


จีวรหลายผืน “อิมานิ จวี รานิ มยหฺ ํ สนฺตกานิ ปริภญุ ฺชถ วา

วิสชเฺ ชถ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรถ”


ถา้ ถอนนอกหตั ถบาส พึงเปลย่ี น


“เอต”ํ แทน “อมิ ํ”


“เอตาน”ิ แทน “อมิ านิ”


นอกนนั้ คงว่าอย่างเดียวกนั กบั ถอนในหัตถบาส


บาตรที่วิกัปไว้แล้ว ไม่มีกำหนดให้ถอนก่อนจึงบริโภค

พึงใช้เป็นของวิกัปเถิด แต่เม่ือจะอธิษฐานพึงให้ถอนก่อน

คำที่จะพึงใช้เปลี่ยนแปลงไปตามชื่อของก็ดี ตามจำนวนของ

ก็ดี ตามฐานะที่ของต้ังอยู่ก็ดี พึงเทียบเคียงกับคำถอนวิกัป


จีวรเถดิ

…………………………………


คำเสียสละไตรจีวรล่วงราตรี (๑)


จวี รเป็นนสิ สัคคีย์ เพราะอยปู่ ราศจากเขตล่วงราตรีนัน้


พงึ สละแก่สงฆ์ก็ได้ แก่คณะก็ได้ แกบ่ ุคคลกไ็ ด้


คำเสยี สละแก่บคุ คล ว่าดังนี้ :-


(๑) วนิ ยั มุข เล่ม ๑ หนา้ ๘๔-๘๙


138

“อทิ ํ เม ภนเฺ ต จีวรํ รตตฺ ิวิปฺปวุตฺถํ อญฺ ตรฺ ภิกฺขุ-

สมฺมตยิ า นสิ สฺ คฺคิยํ, อมิ าหํ อายสฺมโต นสิ สฺ ชฺชามิ”

ถา้ เสยี สละจวี ร ๒ ผนื ว่า “ทวฺ ิจีวร”ํ

ถ้าเสียสละทั้ง ๓ ผืน ว่า “ติจีวรํ”

ถ้าผู้เสียสละแก่กว่า พึงว่า “อาวโุ ส” แทน “ภนเฺ ต”

จีวรเป็นนิสสัคคีย์ ยังไม่ได้สละ บริโภคต้องทุกกฏ สละ
แล้วได้คืนมา ยังปรารถนาอยู่ พึงอธิษฐานเป็นไตรจีวรใหม

เมื่อสละน้ัน พึงต้ังใจสละให้ขาด แล้วจึงแสดงอาบัติ
ภิกษุผู้รับเสียสละน้ัน หากจะถือเอาเสียทีเดียวเจ้าของเดิม
ก็ไม่มีกรรมสิทธิ์ท่ีจะเรียกคืนได้ แต่เป็นธรรมเนียมอันดีของ
เธอ เม่ือรับแล้วคืนให้เจ้าของเดิม ไม่ทำอย่างนั้นต้องทุกกฏ

คำคืนให้ วา่ ดังน้ี :-

จีวรผืนเดียว “อมิ ํ จีวรํ อายสฺมโต ทมมฺ ิ”

จีวรหลายผืน “อิมานิ จวี รานิ อายสฺมโต ทมมฺ ิ”



…………………………………



คำเสียสละอติเรก
จีวรล่วง ๑๐ วนั


คำเสยี สละแก่บคุ คล ของอย่ใู นหตั ถบาส ว่าดงั น้ี :-

จีวรผืนเดยี ว “อทิ ํ เม ภนฺเต จีวรํ ทสาหาติกกฺ นฺต

นสิ สฺ คฺคิยํ, อมิ าหํ อายสฺมโต นสิ ฺสชชฺ าม”ิ


139

จีวรหลายผนื “อมิ านิ เม ภนเฺ ต จีวรานิ ทสาหาตกิ กฺ นฺตานิ

นสิ ฺสคฺคิยานิ, อิมานาหํ อายสมฺ โต นิสฺสชชฺ ามิ”

ถา้ สละของอยู่นอกหัตถบาสว่า

“เอตํ” แทน “อิทํ”

“เอตาหํ” แทน “อมิ าห”ํ

“เอตานิ” แทน “อิมาน”ิ

“เอตานาหํ” แทน “อมิ านาหํ”

ถา้ ผู้เสยี สละแก่พรรษากว่าผูร้ บั ให้ว่า “อาวุโส” แทน “ภนเฺ ต”

คำคืนให้ วา่ ดังน้ี :-

จีวรผืนเดยี ว “อิมํ จีวรํ อายสฺมโต ทมฺม”ิ

จีวรหลายผืน “อมิ านิ จวี รานิ อายสมฺ โต ทมฺมิ”


ถ้าของอยูน่ อกหตั ถบาส พึงเปลยี่ นโดยนยั ดงั กล่าวแลว้ นนั้



…………………………………

คำเสยี สละอติเรกบาตรลว่ ง ๑๐ วัน


บาตร เป็นของทรงอนุญาตให้เปน็ บรขิ ารของภกิ ษเุ ฉพาะ
ใบเดยี ว เรยี กบาตรอธิษฐาน บาตรตั้งแตใ่ บที่ ๒ ข้นึ ไป เรยี ก
อตเิ รกบาตร ภิกษใุ หล้ ่วง ๑๐ วนั ไป เป็นนิสสัคคิยปาจติ ตยี ์

คำเสยี สละแกบ่ คุ คล ของอยใู่ นหตั ถบาส วา่ ดังนี้ :-

บาตรใบเดียว “อยํ เม ภนฺเต ปตฺโต ทสาหาตกิ ฺกนโฺ ต

นิสสฺ คฺคโิ ย, อิมาหํ อายสฺมโต นิสสฺ ชฺชาม”ิ

ถา้ ผู้เสยี สละแก่พรรษากว่าผรู้ ับให้ว่า


140

“อาวโุ ส” แทน “ภนเฺ ต”

คำคืนให้ วา่ ดงั นี้ :-

บาตรใบเดยี ว “อมิ ํ ปตตฺ ํ อายสมฺ โต ทมฺมิ”



…………………………………


วิธีแสดงอาบตั ิ


โทษท่เี กดิ เพราะความละเมิด ในข้อทพ่ี ระพทุ ธเจ้าห้าม
เรียกวา่ อาบัติ โดยตน้ เคา้ แบ่งเปน็ ๒

๑. อเตกจิ ฉาบัติ เป็นอาบตั ทิ แ่ี กไ้ ขไม่ได้ เรยี กโดย
ช่ือว่า ปาราชิก ต้องเข้าแล้ว เปน็ ขาดจากภกิ ษุภาพไมม่ ี
สงั วาสกับสงฆอ์ กี

๒. สเตกจิ ฉาบตั ิ เปน็ อาบัตทิ ่ยี ังแก้ไขได้ แจกออก
ไปเป็น ๒ ประการ คือ

๒.๑ ครุกาบัติ เป็นอาบัติหนัก โดยชื่อว่า
สังฆาทิเสส มวี ธิ ปี ลดเปล้ืองสำเรจ็ ด้วยสงฆ์

๒.๒ ลหุกาบัติ เป็นอาบัติเบา ต่างโดยช่ือว่า
ถลุ ลัจจยั ปาจิตตีย์ ปาฏเิ ทสะนยี ะ ทกุ กฏ ทุพภาสิต เบา
กว่ากันลงมาโดยลำดับมีวิธีปลดเปลื้องด้วยการแสดง คือ
เปิดเผยแก่ภิกษุอนื่ แมเ้ พยี งรปู เดยี วได

วธิ แี สดงอาบตั ิ ๓ อย่าง คือ

๑. แสดงอาบัติตัวเดยี ว วัตถุอย่างเดยี ว


141

๒. แสดงอาบตั หิ ลายตัว วตั ถเุ ดียวกนั


๓. แสดงอาบตั หิ ลายตวั ตา่ งวตั ถกุ นั


๑. แสดงอาบัตติ ัวเดียว วัตถุอยา่ งเดียว

แกก่ ว่า
อาวุโส

อ่อนกว่า
ภนฺเต

{ } { }ผแู้ สดง
ว่า “อหํ


เอก.ํ ......อาปตฺตึ อาปนโฺ น ตํ ปฏิเทเสม.ิ ”


ท่ีลงจุดไว้นนั้ สำหรบั ออกชือ่ อาบตั ิดังตอ่ ไปน้ี :-

ถุลลฺ จฺจย ํ สำหรับอาบัติ ถลุ ลจั จัย

นิสสฺ คคฺ ยิ ํ ปาจิตตฺ ยิ ํ ” ” ปาจิตตียท์ ี่ให้สละของ

ปาจติ ตฺ ิยํ ” ” ปาจติ ตีย์ลว้ น

ทุกฺกฏํ ” ” ทกุ กฏ

ทพุ ฺภาสติ ํ ” ” ทุพภาสติ

๒. แสดงอาบตั หิ ลายตวั วัตถเุ ดยี วกัน

แก่กวา่
อาวโุ ส

ออ่ นกว่า
ภนฺเต

{ } { }ผแู้ สดง
ว่า “อหํ


สมพฺ หลุ า.......อาปตตฺ ิโย อาปนฺโน ตา ปฏเิ ทเสม”ิ


ท่ีลงจุดไวน้ นั้ ออกชื่ออาบตั ิดังต่อไปน้ี :-

ถุลฺลจจฺ ยาโย สำหรับอาบตั ิ ถุลลจั จัย

นสิ สฺ คฺคิยาโย ปาจติ ฺติยาโย ” ” ปาจติ ตีย์ที่ให้สละของ

ปาจิตฺติยาโย ” ” ปาจติ ตีย์ล้วน

ทกุ ฺกฏาโย ” ” ทกุ กฏ

ทพุ ภฺ าสิตาโย ” ” ทพุ ภาสติ


142

๓. แสดงอาบตั หิ ลายตวั ต่างวตั ถกุ นั


แก่กวา่
อาวโุ ส

อ่อนกว่า
ภนเฺ ต

{ } { }ผู้แสดง
ว่า “อห


สมฺพหลุ า นานาวตฺถกุ าโย......อาปตตฺ โิ ย อาปนฺโน
ตา ปฏเิ ทเสมิ”


ทล่ี งจดุ ไวน้ นั้ สำหรบั ออกช่อื อาบัติ ใช้ชื่ออย่างเดียวกับท่ใี ชใ้ นวิธี

แสดงท่ี ๒ ยกเวน้ อาบตั ทิ ุพภาสิต ซึ่งตอ้ งเพราะพดู ล้อกันอย่าง

เดียว ไม่มีต่างวัตถุใช้แสดงแบบอาบัติหลายตัว วัตถุเดยี วกนั


วิธแี สดงอาบัติทัง้ ๓ วิธี จะตา่ งกนั เฉพาะตอนผูแ้ สดงว่า

ออกชอ่ื อาบัตใิ นประโยคแรกเทา่ น้ัน ประโยคตอ่ ไปวา่ เหมอื นกัน

ดงั น้ี :-
แก่กว่า พงึ ว่า “ปสสฺ สิ้ อาวโุ ส”

อ่อนกว่า พงึ ว่า “ปสฺสถ ภนเฺ ต”

{ผรู้ บั


{ผแู้ สดง
แกก่ ว่า พึงวา่ “อาม อาวโุ ส ปสฺสามิ”

อ่อนกวา่ พึงว่า “อาม ภนฺเต ปสสฺ ามิ”


{ผู้รบั
แก่กวา่ พึงว่า “อายตึ อาวุโส สวํ เรยฺยาสิ”

ออ่ นกวา่ พึงวา่ “อายตึ ภนฺเต สวํ เรยฺยาถ”


{ผู้แสดง
แก่กวา่ พงึ ว่า “สาธุ สุฏฺฐุ อาวโุ ส สวํ รสิ ฺสาม”ิ

อ่อนกวา่ พงึ ว่า “สาธุ สุฏฐฺ ุ ภนฺเต สวํ รสิ ฺสาม”ิ


อาบตั ิวตั ถุเดียวกัน ภิกษตุ อ้ งเหมือนกัน เชน่ มีอตเิ รก
จวี รลว่ ง ๑๐ วันดว้ ยกนั เรยี กวา่ สภาคาบตั ิ แปลวา่ อาบัตมิ ี

143

ส่วนเสมอกัน หา้ มไมใ่ หแ้ สดง หา้ มไมใ่ หร้ ับต่อกนั ถ้าขนื ทำท่าน
ปรบั ทกุ กฏทั้งผแู้ สดงและผรู้ บั แต่ทา่ นยอมรบั วา่ อาบัตนิ ้ันเปน็ อัน
แสดงแลว้

อน่งึ การแสดงอาบตั ิ ท่านให้แสดงโดยควรแก่ช่อื แกว่ ตั ถุ
แก่จำนวน แสดงผดิ ช่อื ใชไ้ ม่ได้ แสดงผดิ วัตถุ และผดิ จำนวน
ข้างมากแสดงเปน็ นอ้ ยใช้ไมไ่ ด้ ขา้ งนอ้ ยพล้งั เปน็ มาก เชน่ อาบัติ
ตัวเดียว แสดงว่า “สมฺพหุลา” หรือวัตถุเดียว แสดง
“นานาวตฺถกุ าโย” เชน่ น้ีใชไ้ ด้


…………………………………
อาการท่ภี ิกษุจะตอ้ งอาบตั มิ ี ๖ อย่างคอื

๑. ตอ้ งด้วยไมล่ ะอาย

๒. ตอ้ งด้วยไมร่ ู้ว่าสิ่งน้ีจะเปน็ อาบตั

๓. ต้องดว้ ยสงสัยแล้วขืนทำ

๔. ตอ้ งด้วยสำคัญว่าควรในของทไี่ ม่ควร

๕. ต้องด้วยสำคัญวา่ ไม่ควรในของท่ีควร

๖. ต้องด้วยลมื สติ


…………………………………

144

นสิ ยั (๑) (๒) (๓)


ภกิ ษมุ พี รรษาหย่อน ๕ จดั เปน็ นวกะผูใ้ หม่ ตอ้ งถือภิกษุ
รูปใดรูปหนึ่งเป็นอุปัชฌายะ และอาศัยภิกษุรูปนั้นอยู่รับโอวาท
อนศุ าสนข์ องภิกษุน้ัน ในครั้งแรกท่ีทรงอนญุ าตอปุ ัชฌายะ ภกิ ษุ
ผูอ้ ปุ สมบทอยแู่ ลว้ แตห่ ยอ่ น ๕ พรรษา กจ็ ำถอื อปุ ชั ฌายะ

คำขอนสิ ัยอปุ ัชฌายะ ว่าดังน้ี :-

“อปุ ชฌฺ าโย เม ภนเฺ ต โหหิ” ๓ หน

เมื่อภิกษผุ ู้ท่ีนวกะน้นั ขออาศยั รับว่า “สาหุ” , “ลห”ุ
“โอปายกิ ”ํ , “ปฏิรปู ํ” , “ปาสาทเิ กน สมปฺ าเทห”ิ บทใด
บทหน่ึง ๓ คร้งั เว้นระยะใหภ้ กิ ษผุ ขู้ อนสิ ยั ตอบรบั วา่ “สาธุ
ภนฺเต” ทุกบทไป เป็นอันถืออุปัชฌายะแล้ว ภิกษุผู้รับให้
พ่ึงพิงได้ชื่อว่า “อุปัชฌายะ” ภิกษุผู้พึ่งพิงได้ช่ือว่า
“สทั ธิวิหารกิ ” กิริยาท่พี ึ่งพงิ เรยี กว่า “นสิ ยั ”

แต่น้นั ผ้ขู อนิสัยพงึ กล่าวรบั เป็นธรุ ะให้ทา่ นสบื ไปว่า

“อชชฺ ตคฺเคทานิ เถโร, มยฺหํ ภาโร, อหมปฺ ิ เถรสสฺ

ภาโร” ๓ หน

ภกิ ษผุ ้ไู ม่ได้อยูใ่ นปกครองของอุปัชฌายะ ต้องถือภกิ ษุ
อ่นื เป็นอาจารย์ และอาศัยท่านแทนอุปชั ฌายะ


(๑) บุพพสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๓๙๓-๔๐๑

(๒) วินัยมขุ เลม่ ๒ หน้า ๔๒-๕๑

(๓) อุปสมบทวิธี หน้า ๑๐


145

วิธีถืออาจารยก์ เ็ หมือนกบั วิธีถอื อุปัชฌายะ ตา่ งแตค่ ำขอวา่
“อาจรโิ ย เม ภนฺเต โหหิ, อายสฺมโต นสิ ฺสาย วจฺฉาม”ิ

๓ หน

ภกิ ษุผู้รับใหพ้ ง่ึ พงิ ไดช้ ือ่ วา่ “อาจารย์” ภกิ ษผุ ้อู ิงอาศยั
ได้ชือ่ วา่ “อนั เตวาสกิ ” ภิกษมุ พี รรษาหยอ่ น ๕ เปน็ นวกะอยู่
แมเ้ ป็นผ้มู คี วามรูท้ รงธรรมทรงวินยั จะไมถ่ ือนสิ ยั อยู่ในปกครอง
ของอุปัชฌายะหรือของอาจารยไ์ ม่ชอบ ทรงหา้ มไว้ ภิกษเุ ดิน
ทางภกิ ษุผไู้ ข้ ภิกษุผเู้ ข้าปา่ เพ่ือเจรญิ สมณธรรมช่วั คราวในทใี่ ด
หาทา่ นผู้ใหน้ สิ ัยไมไ่ ด้ และมีเหตุขดั ขอ้ งท่ีจะไปอยู่ในท่อี ่ืนไมไ่ ด้
จะอยใู่ นท่ีน้ันด้วยผกู ใจว่า เมอ่ื ใดมีท่านผ้ใู ห้นิสัยไดม้ าอยู่ จักถือ
นสิ ัยในทา่ นน้ันกใ็ ช้ได

ภกิ ษุผ้มู ีพรรษาได้ ๕ แล้ว แต่ยงั หย่อน ๑๐ มีองคสมบตั ิ
พอรกั ษาตนผู้อยู่ตามลำพงั ได้ ทรงพระอนุญาตให้พน้ จากนิสัย
อยู่ตามลำพังได้เรียกว่า “นิสสัยมุตตะกะ” ฝ่ายภิกษุผู้มี
ความรไู้ ม่พอจะรักษาตนแม้พ้น ๕ พรรษาแลว้ ก็ต้องถอื นิสยั


…………………………………

146

จำพรรษา


เปน็ ธรรมเนียมของภิกษุ เมอ่ื ถงึ ฤดูฝน หยดุ อยทู่ เ่ี ดียว
ไม่เทยี่ วไปไหน ๓ เดือนต้นฤดู เรียกว่า จำพรรษา ถงึ วนั
เขา้ พรรษา พึงเขา้ ไปประชมุ อธษิ ฐานพรรษาพร้อมด้วยสงฆ์
ในอุโบสถ หรอื ในวหิ าร

คำอธษิ ฐานพร้อมกนั วา่ ดังนี

“อมิ สฺมึ อาวาเส, อมิ ํ เตมาส,ํ วสสฺ ํ อเุ ปม”

คำอธษิ ฐานทีละรูป ว่าดงั น
้ี
“อิมสมฺ ึ อาวาเส, อมิ ํ เตมาส,ํ วสฺสํ อุเปม”ิ

เม่ืออธิษฐานพึงผูกใจว่าจักอยู่ค้างคืนในเขตอาวาส
ตลอด ๓ เดือน ถา้ ภกิ ษทุ ำกุฏิอยูจ่ ำพรรษาในปา่ เฉพาะรปู
ควรกำหนดเขตเฉพาะกุฏิกับบริเวณแล้วกล่าวคำอธิษฐาน
พรรษา ว่า

“อมิ สฺมึ วหิ าเร, อมิ ํ เตมาสํ, วสฺสํ อุเปมิ”

ถงึ วนั เขา้ พรรษา ไม่เขา้ พรรษา เที่ยวเร่รอ่ นไปเสยี
ไมส่ มควร เข้าพรรษาแล้วต้องอยู่แรมคืนตลอด ๓ เดือน ถา้
มเี หตจุ ำเป็นทรงอนญุ าตให้ไปได้ แต่ใหก้ ลบั มาภายใน ๗ วัน
เรียกวา่ ไปด้วยสตั ตาหกรณียะ เช่นนีพ้ รรษาไมข่ าด ถ้าไปเสีย
ดว้ ยไม่คดิ กลับ หรอื คดิ จะกลับแตเ่ กนิ ๗ วนั ไป พรรษาขาด
ไม่เข้าพรรษาหรือขาดพรรษาเพราะมีเหตุไม่จำเป็น ถือเป็น
การละเมิดธรรมเนยี ม ถูกปรับอาบตั ิทุกกฏ


147

คำสัต
ตาหะ


สตตฺ าหกรณียํ กจิ จฺ ํ เม อตถฺ ,ิ ตสฺมา มยา-
คนฺตพฺพ,ํ อมิ สมฺ ึ สตตฺ าหพภฺ นฺตเร นิวตตฺ ิสฺสาม.ิ

แปลวา่ กิจทีต่ อ้ งทำสตั ตาหะของผมมีอยู่ เพราะฉะน้นั
ผมจำต้องไป ผมจักกลบั มาภายใน ๗ วนั น
้ี


…………………………………


อานสิ งสจ์ ำพรรษา


ภกิ ษุผูอ้ ยจู่ ำพรรษาตลอดกาลจนไดป้ วารณาแลว้ ย่อม
ไดอ้ านิสงสแ์ ห่งการจำพรรษา นบั แตว่ ันปาฏบิ ทไปเดือนหน่ึง
คอื

๑. เทีย่ วไปไมต่ อ้ งบอกลา ตามสิกขาบทท่ี ๖ แห่ง
อเจลกวรรคในปาจติ ตยิ กัณฑ์

๒. เทย่ี วจารกิ ไปไม่ต้องถือเอาไตรจีวรไปครบสำรบั

๓. ฉันคณโภชน์ และปรมั ปรโภชนไ์ ด

๔. เก็บอติเรกจีวรไวไ้ ดต้ ามปรารถนา

๕. จวี รอนั เกิดขึน้ ในที่น้ัน เป็นของได้แกพ่ วกเธอทัง้ หลาย

ท้ังได้โอกาสเพื่อจะกรานกฐินและได้รับอานิสงส์ ๕
ขา้ งตน้ น้นั เพ่มิ ออกไปอีก ๔ เดอื นตลอดฤดูเหมันต์


…………………………………

148

ระเบยี บ


คำขอขมาโทษต่อ
ท่านผูค้ วรเคารพ


คำขอขมาพระรตั นตรัย


ระตะนัตตะเย ปะมาเทนะ, ทว๎ ารตั ตะเยนะ กะตัง,

ัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต.


คำขอขมาพระเถระ


เถเร ปะมาเทนะ, ท๎วารตั ตะเยนะ กะตงั , สพั พัง

อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภนั เต.


คำขอขมาพระอปุ ัชฌาย


อปุ ชั ฌาเย ปะมาเทนะ, ทว๎ ารตั ตะเยนะ กะตัง,

สพั พัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต.


คำขอขมาพระอาจารย


อาจะริเย ปะมาเทนะ, ท๎วารตั ตะเยนะ กะตงั ,

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต.


คำขอขมาพระสงฆ์


สังเฆ ปะมาเทนะ, ทîวารัตตะเยนะ กะตงั สพั พงั

อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต.


149

คำขอขมาบคุ คลทวั่ ไป

อายสั îมันเต ปะมาเทนะ, ทîวารัตตะเยนะ กะตงั ,


สัพพงั อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภนั เต.


…………………………………

คำขอขมาโทษบิดามารดา

มาตาปติ ะเร ปะมาเทนะ, ทîวารตั ตะเยนะ กะตัง,


สพั พงั อะปะราธงั ขะมะตุ โน ภันเต



(
ถ้าว่าคนเดียว คำว่า ขะมะตุ โน เปน็ ขะมะถะ เม)


…………………………………


คำขอขมารวม


ระตะนตั ตะเย ปะมาเทนะ, ทว๎ ารัตตะเยนะ กะตัง,

สพั พงั อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต.


อาจะรเิ ย ปะมาเทนะ, ท๎วารัตตะเยนะ กะตัง,

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภนั เต.


มาตาปิตะเร ปะมาเทนะ, ท๎วารตั ตะเยนะ กะตงั ,

สพั พงั อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต.


กรรมชัว่ อนั ใดทเี่ ป็นบาปอกศุ ล อนั ขา้ พเจา้ ไดป้ ระมาท

พลาดพลั้ง ลว่ งเกินในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์

ในครบู าอาจารย์ ตลอดทั้งบดิ ามารดา ปยู่ ่า ตายาย สามภี รรยา

ของข้าพเจ้า ดว้ ยกาย วาจา ใจ ท้ังต่อหนา้ และลับหลงั จำได้

150

หรอื จำไม่ไดก้ ็ดี ทง้ั ทมี่ ีเจตนาหรือหาเจตนาไมไ่ ด้ ขอให้ท่านผมู้ ี
พระคณุ ท้งั หลายเหลา่ น้นั จงลแุ กโ่ ทษ โปรดอโหสิกรรมใหข้ ้าพเจ้า
เพ่ือไม่ให้เป็นบาป เป็นเวร เป็นกรรมต่อไปอีก ขอความสุข
ความเจริญ ความปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เสนียด จัญไร
อนั ตรายใดๆ อย่าไดม้ าพอ้ งพาน ความมีโชค มชี ยั จงเกิดจงมี
แกข่ ้าพเจา้ ตง้ั แตว่ ันนเ้ี ปน็ ต้นไป ตลอดกาลนานเทอญฯ สาธุ

เม่อื จะขอขมาโทษจากผู้ใด ให้กราบ ๓ คร้งั กอ่ น แลว้ ว่า
นโมฯ ๓ จบ ตอ่ ไปกลา่ วคำขอขมา ๓ จบ แลว้ หมอบลงว่า
“ขะมามะ ภันเต” ตามระยะคำบาลีท่านอโหสิว่า “อะหัง

ขะมามิ ตมุ เî หหิปิ เม ขะมติ ัพพัง”


…………………………………


ขอขมา


ในพระพทุ ธศาสนา มกั นิยมว่า ผู้ใดทำล่วงเกนิ ผ้อู ่ืน ผนู้ นั้
ไมค่ วรทำเลยตามเลย เมอ่ื รสู้ กึ ตวั แลว้ พงึ ขอโทษ เรียกว่า ขอขมา
แปลวา่ ขอใหอ้ ดโทษ และผใู้ ดถกู ลว่ งเกนิ และไดร้ ับขอขมา ผนู้ นั้
ไมค่ วรถือโกรธไม่รหู้ าย พงึ รบั ขมายอมอดโทษให้ การขอขมาจงึ
เป็นธรรมเนยี มทำกันสืบมา ในวันเข้าพรรษา และในวนั ต่อจากน้ัน
ตามกาล อยู่ในวดั เดยี วกันหรอื ในตา่ งวดั เปน็ กจิ อนั ผนู้ ้อยทำแก่
ผใู้ หญ่ แมไ้ ม่เคยไดล้ ่วงเกนิ กนั กย็ งั ทำอย
ู่
คำขอขมา วา่ ดังน้ี :-


151

ผู้ขอขมารูปเดียว “เถเร ปมาเทน, ทฺวารตตฺ เยน กตํ,


สพฺพํ อปราธํ ขมถ เม ภนเฺ ต”


ผู้รับขมาว่า “อหํ ขมาม,ิ ตยาปิ เม ขมติ พพฺ ”ํ


ผู้ขอขมารปู เดยี วรับว่า “ขมามิ ภนฺเต”


ผู้ขอขมาหลายรปู ว่า “เถเร ปมาเทน, ทวฺ ารตตฺ เยน กตํ,


สพฺพํ อปราธํ ขมตุ โน ภนเฺ ต”


ผูร้ บั ขมาว่า “อหํ ขมาม,ิ ตุมฺเหหิปิ เม ขมิตพพฺ ”ํ


ผขู้ อขมาหลายรปู รับวา่ “ขมาม ภนฺเต”


ถา้ ผรู้ บั ขมา เปน็ พระมหาเถระผมู้ อี าวโุ สมาก พงึ ใช้คำว่า

“มหาเถเร” รองจากนั้นลงมาว่า “เถเร” รองลงมาอีกว่า

“อาจริเย” ต่ำกว่านั้นว่า “อายสฺมนฺเต” พึงเลือกใช้คำให้

เหมาะสมกับบคุ คล ผูร้ ับขมา


เป็นธรรมเนียมท่ีผู้รับขมาต้องกล่าวคำให้พร ฉะนั้นเม่ือ

ขอขมาแล้ว ผู้ขอขมาพึงหมอบรอรับพรจากท่าน เม่ือท่านให้

พรจบ รับว่า “สาธุ ภนเฺ ต”

…………………………………


คำใหพ้ รเมอ่ื มผี ูข้ อขมา

เอวํ โหตุ เอวํ โหต,ุ โย จ ปพุ ฺเพ ปมชฺชิตฺวา
ปจฺฉา โส นปปฺ มจุ จฺ ติ, โสมํ โลกํ ปภาเสติ อาภา มตุ โฺ ต
ว จนฺทิมา, ยสฺส ปาปํ กตํ กมฺมํ กสุ เลน ปหิยฺยต,ิ โสมํ

152

โลกํ ปภาเสติ อาภา มตุ ฺโต ว จนทฺ มิ า, อภวิ าทนสลี สิ สฺ
นิจจฺ ํ วฑุ ฒฺ าปจายโิ น, จตตฺ าโร ธมมฺ า วฑฺฒนตฺ ิ อายุ
วณฺโณ สุขํ พลํ.



…………………………………


อโุ บสถ (๑) (๒)


อโุ บสถ ว่าโดยบุคคลผูท้ ำมี ๓

๑. สงั ฆอโุ บสถ คอื ภิกษปุ ระชมุ กันตง้ั แต่ ๔ รูปขึ้นไป

มพี ระพุทธานุญาตใหส้ วดปาฏโิ มกข์


ภิกษุผู้จะเข้าฟังปาฏิโมกข์ต้องชำระตนให้บริสุทธิ์จากอาบัติ

ท่เี ป็นเทศนาคามนิ ี คอื แก้ไดด้ ว้ ยการแสดง สว่ นอาบัตทิ เ่ี ป็น

วุฏฐานะคามินี จะพน้ ไดด้ ว้ ยอยู่กรรมคือ สงั ฆาทิเสส ท่านให้

บอกไว้แกภ่ ิกษุแมร้ ูปหนึ่งวา่ ขา้ พเจา้ ตอ้ งอาบัติสังฆาทเิ สส มี

วัตถุอยา่ งนั้นๆ แลว้ ฟงั ปาฏโิ มกข์ได้

กำลงั สวดปาฏโิ มกขค์ า้ งอยู่ มีภิกษพุ วกอืน่ มาถงึ เข้า ถ้า
มากกว่าภิกษุผู้ชุมนุมอยู่ ท่านให้สวดตั้งต้นใหม่ แต่ถ้าเท่ากัน
หรือน้อยกว่า ให้เธอผู้มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลือต่อไป ถ้าสวด
จบแล้ว จึงมภี ิกษอุ ืน่ มาแม้มากกว่า ไมต่ ้องกลับสวดอกี ให้เธอผู้
มาใหมพ่ ึงบอกปารสิ ทุ ธใิ นสำนกั ผสู้ วดผ้ฟู ังปาฏโิ มกข์แลว้


(๑) บุพพสกิ ขาวรรณนา หน้า ๔๙๑-๕๐๑

(๒) วนิ ยั มุข เลม่ ๒ หน้า ๙๐-๑๐๗


153

คำแสดงปารสิ ุทธเิ ปน็ การสงฆ์ ว่าดงั นี้ :-

ปริสทุ ฺโธ อหํ ภนเฺ ต, ปริสทุ ฺโธติ มํ สงโฺ ฆ ธาเรตุ.


ถา้ ผแู้ สดงมพี รรษาแกก่ วา่ ภิกษทุ ั้งหมด ใชค้ ำว่า “อาวุโส”
แทน “ภนเฺ ต”


…………………………………


คำขอโอกาสสวดปาฏโิ มกขแ์ ละตัง้ ญัตตปิ วารณา

ก่อนจะขน้ึ อาสนะเพื่อสวดปาฏิโมกขห์ รอื ตงั้ ญตั ตปิ วารณา
ผสู้ วดต้องนงั่ กระโหยง่ ประนมมอื ต่อหน้าคณะสงฆ์ กลา่ วว่า

โอกาสํ เม ภนฺเต เถโร เทตุ, ปาฏิโมกขฺ ํ อุทเฺ ทสิตุ.ํ

(ปาฏิโมกข)์

หรือ โอกาสํ เม ภนฺเต เถโร เทตุ, วนิ ยกถํ กเถตํุ.

(ปาฏโิ มกข)์

โอกาสํ เม ภนฺเต เถโร เทต,ุ ปวารณาตฺตึ €เปต.ุํ

(ปวารณา)

ถ้าในคณะสงฆ์นน้ั ไม่มภี กิ ษเุ กนิ ๑๐ พรรษา อาจจะเปลยี่ น
“เถโร” เป็น “สงโฺ ฆ” กไ็ ด้ และเมื่อสวดบุพพกิจจบตอ้ งให้ผู้
อาวโุ สในท่ีนั้น กลา่ วคำอัชเฌสนาเสยี ก่อนจึงจะเริม่ สวดได้ ถ้าสวด
โดยไม่มผี กู้ ล่าวเชิญผู้สวดจะต้องอาบัติทกุ กฏ


…………………………………

154

วธิ สี วดปาฏิโมกข์ย่อ (๑) (๒)

สวดนิทานทุ เทสตง้ั แต่ สณุ าตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ, ไป
จนถึง ผาสุ โหต.ิ แลว้ สวด

อุทฺทิฏฺ€ํ โข อายสฺมนโฺ ต นิทานํ,

ตตฺถายสฺมนเฺ ต ปจุ ฉามิ : กจฺจติ ฺถ ปรสิ ทุ ธฺ า?

ทุตยิ มฺปิ ปุจฉามิ : กจจฺ ติ ถฺ ปรสิ ทุ ธฺ า?

ตตยิ มฺปิ ปุจฉฺ ามิ : กจจฺ ิตถฺ ปริสทุ ฺธา?

ปริสุทเฺ ธตฺถายสฺมนโฺ ต : ตสมฺ า ตุณหฺ ,ี

เอวเมตํ ธารยามิ.

จบนิทานุทเทสดังนี้แล้ว อุทเทสนอกน้ันประกาศเอาด้วย
สตุ ะ ว่า

สุตา โข อายสฺมนฺเตหิ จตตฺ าโร ปาราชิกา ธมมฺ า,

สุตา โข อายสฺมนเฺ ตหิ เตรส สงฺฆาทิเสสา ธมมฺ า,

สตุ า โข อายสมฺ นเฺ ตหิ เทฺว อนยิ ตา ธมมฺ า,

สุตา โข อายสมฺ นฺเตหิ ตึส นิสฺสคฺคิยา ปาจติ ฺติยา ธมฺมา,

สุตา โข อายสมฺ นเฺ ตหิ เทฺวนวุติ ปาจติ ฺตยิ า ธมมฺ า,

สุตา โข อายสมฺ นฺเตหิ จตตฺ าโร ปาฏิเทสนยี า ธมมฺ า,

สุตา โข อายสมฺ นฺเตหิ เสขยิ า ธมมฺ า,


(๑) บพุ พสิกขาวรรณนา หน้า ๔๙๗-๔๙๙

(๒) วินัยมขุ เลม่ ๒ หน้า ๑๐๒-๑๐๔


155

สุตา โข อายสมฺ นเฺ ตหิ สตฺตาธิกรณสมถา ธมฺมา,

เอตตฺ กํ ตสสฺ ภควโต สตุ ฺตาคตํ สตุ ฺตปริยาปนนฺ ํ
อนฺวฑฒฺ มาสํ อุทเฺ ทสํ อาคจฉฺ ติ, ตตถฺ สพเฺ พเหว สมค-ฺ
เคหิ สมโฺ มทมาเนหิ อววิ ทมาเนหิ สกิ ขฺ ิตพฺพํ.

อนึ่ง ไม่มีอันตราย ถ้าสวดปาฏิโมกข์โดยย่อ ท่านปรับ
อาบัติทุกกฏ อุทเทสใดสวดค้างอยู่ อันตรายมีมา แม้อุทเทส
น้ันพึงประกาศด้วยสุตะ แต่นิทานุทเทสสวดยังไม่จบ อย่าพึง
ประกาศด้วยสุตะ พึงสวดให้จบเสียก่อน อุทเทสนอกน้ันพึง

ประกาศด้วยสุตะ เม่อื ไม่มีอันตราย พงึ สวดโดยพสิ ดารจนจบ


๒. คณะอุโบสถ คอื มภี ิกษุเพยี ง ๓ รูป ๒ รูป ทา่ น
หา้ มไม่ใหส้ วดปาฏิโมกข์ ให้บอกความบริสุทธิ์ของตนแกก่ นั และกัน

ถา้ ภิกษอุ ยู่ด้วยกัน ๓ รปู ใหร้ ปู หนึ่งสวดประกาศด้วยญตั ตวิ า่

สุณนตฺ ุ เม ภนฺเต อายสมฺ นตฺ า, อชชฺ ุโปสโถ
ปณฺณรโส, ยทายสมฺ นฺตานํ ปตตฺ กลลฺ ,ํ มยํ อญฺมญฺํ
ปาริสุทธฺ อิ ุโปสถํ กเรยยฺ าม.

ถ้าทา่ นผ้สู วดแก่กวา่ เพ่ือน พึงกลา่ วว่า “อาวุโส” แทน
“ภนฺเต” ถ้าเป็นวัน ๑๔ ค่ำ พงึ กล่าววา่ “จาตทุ ทฺ โส” แทน
“ปณณฺ รโส” ในลำดบั นน้ั ภกิ ษผุ เู้ ถระพึงบอกความบริสทุ ธขิ์ อง
ตนว่า


ปริสุทฺโธ อหํ อาวโุ ส, ปริสทุ ฺโธติ มํ ธาเรถ.
๓ หน ภิกษุนอกนี้ ก็พึงทำอย่างนั้นตามลำดับพรรษา พึงบอกวา่


ปริสทุ โฺ ธ อหํ ภนเฺ ต, ปริสุทฺโธติ มํ ธาเรถ. ๓ หน

156

ถ้าภกิ ษอุ ยดู่ ้วยกัน ๒ รูป ไมต่ อ้ งต้ังญตั ติ เปน็ แตบ่ อก ปารสิ ทุ ธิ

แก่กันและกัน ผ้แู กบ่ อกวา่ ปรสิ ุทฺโธ อหํ อาวโุ ส, ปรสิ ทุ ฺ-

โธติ มํ ธาเรหิ. ๓ หน ผูอ้ ่อนกว่าบอกว่า ปริสุทโฺ ธ อหํ

ภนฺเต, ปรสิ ุทโฺ ธติ มํ ธาเรถ. ๓ หน


๓. ปุคคลอโุ บสถ คอื ภกิ ษุอยูร่ ูปเดยี ว ถึงวนั อุโบสถ

ท่านให้รอภิกษุอื่นจนสิ้นเวลา เห็นว่าไม่มาแล้วให้อธิษฐานว่า

อชฺช เม อโุ ปสโถ.






ปวารณา (๑) (๒) (๓)

ในวนั เพ็ญแหง่ เดือนกตั ติกาตน้ ท่เี ตม็ ๓ เดอื นนับแตว่ ัน
จำพรรษามีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาส
ทำปวารณาแทนอุโบสถ ปวารณาดว้ ยที่ ๓ สถาน คือ ด้วยไดเ้ ห็น
ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจ ปวารณานั้นจักเป็นความอนุโลมแก่กัน
และกนั และจกั เป็นความยงั กันและกนั ให้ออกจากอาบัติ และจัก
เป็นความทำวินัยในเบ้อื งหน้าแก่กันและกนั แห่งทา่ นท้งั หลาย

ปวารณา วา่ โดยบคุ คลผ้ทู ำมี ๓


๑. สงั ฆปวารณา คือ ปวารณาเป็นการสงฆจ์ ำนวนภิกษุ
ผปู้ ระชุมต้องมี ๕ รูปเป็นอยา่ งน้อย มจี ำนวนมากกว่าอุโบสถ

(๑) บพุ พสิกขาวรรณนา หน้า ๕๐๘-๕๑๕

(๒) วินยั มุข เล่ม ๒ หนา้ ๑๐๗-๑๑๓

(๓) อปุ สมบทวธิ ี หนา้ ๑๐๓-๑๐๕


157

๑ รูป เข้าใจว่า เม่ือเปน็ ผ้ปู วารณา ๑ รปู อีก ๔ รูป จะได้
ครบองคเ์ ป็นสงฆ์ ทำปวารณาเป็นการสงฆ์ โดยปกติให้ปวารณา
รูปละ ๓ หน แตถ่ ้ามเี หตขุ ดั ขอ้ งจะปวารณารปู ละ ๒ หน หรอื
๑ หนกไ็ ด้ หรือพรรษาเท่ากนั ให้วา่ พร้อมๆ กันกไ็ ด้ จะปวารณา
อยา่ งไร พงึ ประกาศแกส่ งฆ์ใหร้ ้ดู ้วยญตั ติก่อน

วธิ ีตง้ั ญตั ตนิ นั้ พึงรูอ้ ยา่ งนี้ :-

๑. ถ้าจะปวารณา ๓ หน พึงตั้งญตั ติวา่

“สุณาตุ เม ภนฺเต สงโฺ ฆ, อชชฺ ปวารณา ปณณฺ รส,ี
ยทิ สงฆฺ สฺส ปตตฺ กลลฺ ํ, สงฺโฆ เตวาจกิ ํ ปวาเรยยฺ ”

๒. ถ้าจะปวารณา ๒ หน พงึ ตั้งญัตตวิ ่า

“สณุ าตุ เม ภนฺเต สงโฺ ฆ, อชฺช ปวารณา ปณณฺ รสี,
ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลลฺ ,ํ สงฺโฆ เทวฺ วาจิกํ ปวาเรยยฺ ”

๓. ถ้าจะปวารณาหนเดยี ว พึงตัง้ ญตั ตวิ ่า

“สณุ าตุ เม ภนเฺ ต สงฺโฆ, อชฺช ปวารณา ปณฺณรส,ี
ยทิ สงฺฆสสฺ ปตฺตกลลฺ ,ํ สงโฺ ฆ เอกวาจิกํ ปวาเรยยฺ ”

๔. ถ้าจะจัดภิกษุมีพรรษาเท่ากัน ให้ปวารณาพร้อมกัน
พึงต้ังญัตตวิ า่

“สณุ าตุ เม ภนเฺ ต สงฺโฆ, อชชฺ ปวารณา ปณฺณรสี,
ยทิ สงฺฆสฺส ปตตฺ กลฺลํ, สงโฺ ฆ สมานวสสฺ ิกํ ปวาเรยยฺ ”

จะปวารณาพร้อมกัน ๓ หน ๒ หน หรือหนเดยี วไดท้ งั้ นั้น

๕. ถ้าจะไมร่ ะบุประการ พึงตัง้ ญตั ตคิ รอบทวั่ ไปวา่

“สุณาตุ เม ภนเฺ ต สงฺโฆ, อชฺช ปวารณา ปณฺณรสี,

158

ยทิ สงฆฺ สสฺ ปตตฺ กลฺลํ, สงโฺ ฆ ปวาเรยฺย” จะปวารณากห่ี น
กไ็ ด้ แต่ท่านหา้ มไม่ให้ผู้มีพรรษาเทา่ กนั ปวารณาพรอ้ มกัน

อน่ึง ถา้ ผตู้ ั้งญัตติมพี รรษามากกวา่ เพ่อื น พึงวา่ “อาวุโส”
แทน “ภนเฺ ต” และถา้ เป็นวนั ปวารณาท่ี ๑๔ พึงว่า “จาตทุ ฺทส”ี
แทน “ปณณฺ รสี”

ครั้นตั้งญัตติแล้ว ภิกษุผู้เถระ พึงนั่งคุกเข่าประนมมือ
กล่าวปวารณาตอ่ สงฆว์ ่า

สงฺฆํ อาวุโส ปวาเรมิ, ทิฏฺเ€น วา สเุ ตน วา

ปรสิ งฺกาย วา, วทนตฺ ุ มํ อายสฺมนโฺ ต อนุกมปฺ ํ อุปาทาย,
ปสสฺ นโฺ ต ปฏกิ ฺกรสิ สฺ าม,ิ

ทุตยิ มฺปิ อาวโุ ส สงฆฺ ํ ปวาเรม.ิ ..ฯลฯ...ปฏิกกฺ ริสสฺ าม,ิ

ตติยมฺปิ อาวุโส สงฺฆํ ปวาเรม.ิ ..ฯลฯ...ปฏกิ กฺ รสิ สฺ าม.ิ

ภิกษุนอกน้ี พึงปวารณาตามลำดับพรรษาทีละรูป เว้น

ไว้แต่ตั้งญัตติให้ผู้มีพรรษาเท่ากันปวารณาพร้อมกัน

สงฺฆมฺภนฺเต ปวาเรมิ, ทิฏฺเ€น วา สุเตน วา
ปริสงฺกาย วา, วทนฺตุ มํ อายสฺมนฺโต อนุกมฺปํ
อุปาทาย, ปสฺสนฺโต ปฏิกฺกริสฺสามิ,

ทุติยมฺปิ ภนเฺ ต สงฺฆํ ปวาเรมิ...ฯลฯ...ปฏิกฺกรสิ ฺสาม,ิ

ตตยิ มปฺ ิ ภนเฺ ต สงฺฆํ ปวาเรม.ิ ..ฯลฯ...ปฏิกฺกรสิ สฺ าม.ิ

๒. คณะปวารณา คอื ปวารณาเปน็ การคณะ จำนวน
ภิกษุ ผู้ประชุม มี ๔ รปู หรอื ๓ รปู หรือ ๒ รูป อย่างใด
อย่างหน่ึง


159

ถา้ มภี ิกษุ ๔ รปู ใหร้ ูปหนง่ึ ประกาศด้วยญตั ติวา่

“สณุ นฺตุ เม อายสฺมนฺโต, อชฺช ปวารณา ปณฺณรสี,
ยทายสฺมนตฺ านํ ปตฺตกลลฺ ,ํ มยํ อญฺ มญฺ ํ ปวาเรยยฺ าม”
ถ้าเป็นวนั ปวารณาที่ ๑๔ พึงว่า “จาตุทฺทสี” แทน “ปณณฺ รสี”

ถา้ มีภกิ ษุ ๓ รูป ใหร้ ปู หนึ่งประกาศด้วยญตั ติวา่

“สุณนฺตุ เม อายสมฺ นฺตา, อชชฺ ปวารณา ปณณฺ รสี,
ยทายสฺมนฺตานํ ปตตฺ กลฺล,ํ มยํ อญฺมญฺ ํ ปวาเรยยฺ าม”

คร้ันต้ังญัตติแล้ว พึงกล่าวปวารณาต่อกันและกัน ตาม
ลำดับพรรษา ดังนี้

อหํ อาวุโส อายสฺมนเฺ ต ปวารามิ, ทฏิ ฺเ€น วา สเุ ตน

วา ปรสิ งฺกาย วา, วทนตฺ ุ มํ อายสฺมนโฺ ต อนุกมฺปํ
อุปาทาย, ปสฺสนฺโต ปฏิกฺกรสิ ฺสาม,ิ

ทุติยมฺปิ อาวโุ ส อายสฺมนเฺ ต ปวารามิ...ฯลฯ...
ปฏกิ ฺกริสสฺ ามิ,

ตติยมปฺ ิ อาวโุ ส อายสฺมนฺเต ปวารามิ...ฯลฯ...
ปฏิกกฺ รสิ ฺสาม.ิ

ถา้ รูปอ่อนกวา่ พึงว่า “ภนเฺ ต” แทน “อาวโุ ส”

ถ้ามภี กิ ษุ ๒ รูป ไม่ตอ้ งตง้ั ญตั ติ ใหก้ ล่าวปวารณาตอ่ กนั
และกนั เลย ดังน
้ี
อหํ อาวโุ ส อายสฺมนฺตํ ปวาเรมิ, ทฏิ ฺเ€น วา สุเตน

วา ปรสิ งฺกาย วา, วทนตฺ ุ มํ อายสมฺ า อนุกมปฺ ํ อปุ าทาย,

160

ปสฺสนโฺ ต ปฏกิ กฺ รสิ ฺสามิ,

ทุติยมปฺ ิ อาวุโส อายสฺมนฺตํ ปวาเรม.ิ ..ฯลฯ...
ปฏิกกฺ รสิ ฺสาม,ิ

ตตยิ มปฺ ิ อาวุโส อายสมฺ นตฺ ํ ปวาเรม.ิ ..ฯลฯ...
ปฏกิ กฺ รสิ สฺ าม.ิ

ถ้ารูปอ่อนกว่า พึงว่า “ภนเฺ ต” แทน “อาวโุ ส”

๓. ปุคคลปวารณา คือ อธิษฐานเป็นการบุคคล ภิกษุ
ผู้อยู่จำพรรษารูปเดียว คร้ันถึงวันปวารณา ท่านให้รอภิกษุ
อื่นจนสิ้นเวลา เห็นว่าไม่มาแล้ว ให้อธิษฐานว่า อชชฺ เม
ปวารณา.


…………………………………

161

อธิกมาส อธกิ วาร และปกั ขคณนาวิธี

๑. ปฏิทนิ ทางจนั ทรคติ กำหนดเวลาท่ดี วงจนั ทร์หมนุ รอบโลก
เป็น ๑ เดอื น ใช้เวลา ๒๙.๕๓๐๕๙๓ วัน รวม ๑๒ เดอื น เปน็ ๑ ปี
(๒๙.๕๓๐๕๙๓ x ๑๒ = ๓๕๔.๓๖๗๑๒๒ วนั )

๒. ปฏทิ ินทางสุรยิ คติ กำหนดเวลาท่ีโลกหมนุ รอบดวงอาทติ ย์
เปน็ ๑ ปี ใชเ้ วลา ๓๖๕.๒๕๘๖๘๐ วนั

๓. ถา้ ใช้เฉพาะทางจนั ทรคติ ฤดตู ่างๆ อาจจะเลื่อนไป เชน่
ฤดูจำพรรษาซึ่งเป็นหน้าฝนอาจจะตกในหน้าหนาว หรือหน้าร้อน
เพราะฤดูต่างๆ ข้ึนกบั ตำแหน่งของโลกรอบดวงอาทติ ย

๔. ถ้าใชเ้ ฉพาะทางสุริยคติ จะทำให้การกำหนดวนั ในแตล่ ะ
เดือนทำได้ลำบาก เพราะไมส่ ามารถเห็นข้อแตกต่างของดวงอาทิตย์
ในแต่ละวันได้ แต่สามารถเห็นข้อแตกต่างของ ดวงจันทร์ ในแต่
ละวนั ได้โดยง่าย

๕. ปสี รุ ิยคติยาวกว่าปจี ันทรคติ ๓๖๕.๒๕๘๖๘๐ - ๓๕๔.
๓๖๗๑๒๒ = ๑๐.๘๙๑๕๕๘ วัน ๓ ปี จะคลาดกนั ๓๒ วนั เศษจงึ
เกิดการทดอธิกมาส คือ เพ่มิ เดือนทางจันทรคตขิ น้ึ อีก ๑ เดอื น
ทำให้ปนี ้ันเดือนทางจนั ทรคติมี ๑๓ เดือน สว่ นเศษอีก ๒ วันกวา่
ก็นำไปผนวกในปีต่อๆ ไป

๖. ปฏิทนิ ราชการไทยโดยปกตใิ ห้ปที างจนั ทรคตมิ ี ๑๒ เดอื น
เดือนคู่จะมี ๓๐ วัน (ข้างขน้ึ ๑๕ วนั กับข้างแรม ๑๕ วัน) เดอื นค่ี
มี ๒๙ วนั (ข้างขน้ึ ๑๕ วันกบั ข้างแรม ๑๔ วนั ) เรียกวา่
‘ปกติวาร’ เฉล่ยี แล้ว ๑ เดือนมี ๒๙.๕ วนั ดงั น้ันใน ๑ เดอื นกาล

แหง่ ดวงจันทรจ์ ะมากกวา่ ในปฏทิ นิ อยู่ ๒๙.๕๓๐๕๙๓๕ - ๒๙.๕ =

162

๐.๐๓๐๕๙๓๕ วัน เวลาน้สี ะสมไปเร่อื ยๆ จนครบ ๑ วัน จึงเกดิ
ทดอธิกวารคือในเดอื น ๗ ซ่งึ เปน็ เดอื นคี่จะมี ๓๐ วัน (มีแรม ๑๕ คำ่ )
แต่จะมีการทดอธิกวารในปีใดยังไม่มีหลักเกณฑ์แน่นอน เมื่อเห็นว่า
จันทรด์ ับ จันทร์เพญ็ บนท้องฟ้าตา่ งจากปฏิทนิ จงึ คอ่ ยคดิ ทดก็ม

๗. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงคดิ ปกั ขคณนาวธิ ีขนึ้
เพ่ือให้การนับวันขึ้นแรมในปฏิทินปักขคณนาตรงกับกาลจันทร์ดับ
จันทร์เพญ็ บนทอ้ งฟ้าโดยไม่ตอ้ งมีการเพิ่มอธิกวารอกี และให้ตรงกับ
วนั ทีพ่ ระพทุ ธองคท์ รงกำหนดใหท้ ำวนิ ัยกรรมอยา่ งแทจ้ ริง

๘. คร้งั พทุ ธกาลใช้จันทรคตอิ งิ สุริยคติ เชน่ การกำหนดวนั
เข้าพรรษาในวนั แรม ๑ ค่ำเดือน ๘ แต่ถา้ ปใี ดมอี ธกิ มาส ให้เลอ่ื น
เปน็ วนั แรม ๑ ค่ำเดอื น ๘ หลัง

๙. ปักข์ แปลว่า ปกี หรือฝักฝา่ ย เดอื นหนง่ึ มี ๓๐ วนั ปักข์
ของเดอื นก็คอื ปีกหนงึ่ ของเดือนเท่ากบั ๑๕ วัน

ปกั ขถ์ ้วน คอื ปกั ข์นห้ี ่างจาก ปักขท์ ีแ่ ล้วถว้ น ๑๕ วนั พอด

ปกั ขข์ าด คือ ปักขน์ ้ีห่างจากปักขแ์ ล้ว ๑๔ วัน ขาดปักขอ์ ยหู่ นึง่ วัน

๑๐. ปกติสรุ ทิน คือ ตามปฏทิ ินสุรทิน ปนี ัน้ เดอื นกมุ ภาพันธ์มี

๒๘ วัน ตามปกติ

อธกิ สรุ ทนิ คือ ตามปฏิทินสุรยิ คติ ปีนนั้ เดือนกุมภาพนั ธม์ ี ๒๙ วนั


…………………………………

163

วฏั จกั รแหง่ อธกิ มาส

อธิบายแผนภาพ

๑. ตัวเลขฝรงั่ วงในสุดบอก พ.ศ. ๒๕.. (๒๕๕๗-๒๕๗๕
เทา่ กบั ครบ ๑ รอบทุก ๑๙ ปี)

๒. ตัวเลขไทยวงถัดออกมาบอกเดือนไทย เดือนทางจนั ทร-
คต)ิ ท่อี ธิกมาสจะมาในปนี ้ันๆ (มีเดือน ๑๐, ๗, ๓, ๑๒, ๘, ๕, ๒)


164

๓. คำว่า “รอ้ น, ฝน, หนาว” ในวงถดั ออกมาอกี คอื ฤดู
ท่ีอธิกมาสตกในปีนัน้ ๆ

๔. วงนอกสุดบอกระยะเวลาท่ีจะลงอุโบสถสวดปาฏิโมกข์
ในฤดูนัน้ ๆ ตง้ั แตอ่ ุโบสถแรกถงึ อุโบสถสุดท้ายรวม ๑๐ อุโบสถ
เช่น ๔ ดับ ๘/๘ เพ็ญ หมายถึง ลงอุโบสถแรกวนั แรม
๑๕ ค่ำ (วันดับ) เดอื น ๔ และลงอโุ บสถสดุ ท้ายวันขึ้น ๑๕ ค่ำ

(วันเพญ็ ) เดือน ๘ หลงั

วธิ ใี ช้

๑. ถ้าต้องการตรวจดูอธิกมาสในอนาคต กใ็ ห้นบั พ.ศ.
เพม่ิ ข้ึนตามทศิ ตามเข็มนาฬกิ า ถา้ ตอ้ งการตรวจดูอธิกมาสในอดตี
ก็ใหน้ ับ พ.ศ. ลดลงตามทศิ ทวนเข็มนาฬิกา

๒. ถา้ ปใี ดอธิกมาสในฤดหู นาว ๒, ๓, หรอื ๑๒ จะไปมี
เดือน ๘ สองหนในปถี ัดไปเช่น ใน พ.ศ. ๒๕๖๓ ถา้ ดูตาม
แผนภาพอธิกมาสจะมาในเดือน ๒ ดังน้ันจะไปมีเดือน ๘
สองหนในปีถดั ไป คอื พ.ศ. ๒๕๖๔ คอื จะเริ่มสวด “อธิกมาส-
วเสน....” ในอุโบสถแรกของฤดหู นาว (วนั ดบั เดอื น ๑๒ ปลาย
ปี ๒๕๖๓) จนถึงอุโบสถ สุดทา้ ยของฤดูหนาว (วันเพ็ญเดอื น ๕
ตน้ ปี ๒๕๖๔) รวมเป็น ๑๐ อุโบสถ

หมายเหต ุ บางปีอาจไม่ตรงตามน้ีให้ถือตามท่ีท่านประกาศ

ในปนี ัน้ ๆ เป็นเกณฑ์


…………………………………

165

การแบง่ ฤดแู ละการบอกฤดู




ในรอบ ๑ ปี พระพทุ ธศาสนาแบง่ เปน็ ๓ ฤดู แต่ละฤดู

โดยปกติจะนาน ๔ เดอื น


ปีปกติ คอื ปที ี่ไมม่ อี ธกิ มาส


ฤดูฝน จะเริ่มต้งั แต่เข้าพรรษาแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ ถงึ ขึ้น ๑๕ คำ่


เดอื น ๑๒ หมดหน้ากฐนิ (สวดขอ้ ข.)


ฤดูหนาว จะเริม่ ต้งั แต่แรม ๑ ค่ำเดอื น ๑๒ ถงึ ข้ึน ๑๕ ค่ำ


เดือน ๔ (สวดข้อ ก.)


ฤดรู ้อน จะเรม่ิ ตั้งแต่แรม ๑ คำ่ เดือน ๔ ถึงข้ึน ๑๕ คำ่


เดอื น ๘ (สวด ก.)


ปีทีอ่ ธกิ มาสมาในฤดูฝน คอื อธกิ มาสตกเดือน ๘ หรือ

เดือน ๑๐


ฤดฝู น จะเริ่มตง้ั แต่แรม ๑ ค่ำเดอื น ๘ แรก ถึงขน้ึ ๑๕ คำ่


เดือน ๑๒ (รวม ๕ เดือน) (สวดขอ้ ง.)


ฤดูหนาว จะเรมิ่ ตง้ั แต่ ๑ คำ่ เดอื น ๑๒ ถึงขนึ้ ๑๕ ค่ำ


เดอื น ๔ (เหมือนปปี กติ) (สวดข้อ ก.)


ฤดูร้อน จะเรม่ิ ต้งั แต่แรม ๑ ค่ำเดอื น ๔ ถึงขึน้ ๑๕ ค่ำ


เดอื น ๘ (เหมือนปีปกต)ิ (สวดขอ้ ก.)


ปีที่อธิกมาสมาในฤดูหนาว คือ อธิกมาสตกเดือน ๒

เดือน ๓ หรอื เดอื น ๑๒


166

ฤดูหนาว จะเร่มิ ตง้ั แต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๒ ถงึ ขึ้น ๑๕ คำ่

เดือน ๕ (รวม ๕ เดือน) (สวดข้อ ค.)


ฤดูร้อน จะเรม่ิ ตง้ั แต่แรม ๑ ค่ำเดอื น ๕ ถงึ ขน้ึ ๑๕ ค่ำ


เดือน ๘ หลงั (สวดข้อ ก.)


ฤดูฝน จะเริ่มตงั้ แตแ่ รม ๑ ค่ำเดอื น ๘ หลัง ถึงข้ึน ๑๕ คำ่


เดือน ๑๒ (สวดขอ้ ข.)


ปีทอ่ี ธกิ มาสมาในฤดูร้อน คือ อธกิ มาสตกเดอื น ๕ หรอื

เดอื น ๗


ฤดูรอ้ น จะเร่มิ ตงั้ แตแ่ รม ๑ ค่ำเดือน ๔ ถึงขนึ้ ๑๕ ค่ำ


เดอื น ๘ หลงั (รวม ๕ เดือน) (สวดข้อ ค.)


ฤดูฝน จะเรม่ิ ตั้งแต่แรม ๑ คำ่ เดือน ๘ หลงั ถึงขึน้ ๑๕ ค่ำ


เดือน ๑๒ (สวดข้อ ข.)


ฤดูหนาว จะเร่มิ ตง้ั แตแ่ รม ๑ ค่ำเดอื น ๑๒ ถึงขนึ้ ๑๕ ค่ำ


เดือน ๔ (เหมือนปีปกติ) (สวดข้อ ก.)


…………………………………

167

วิธีเปลย่ี นบุพพกจิ พระปาฏโิ มกข์


ก.ฤดปู กติ

๑. อฏฺ€ อุโปสถา อมิ ินา ปกเฺ ขน เอโก อโุ ปสโถ
สมฺปตฺโต, สตตฺ อุโปสถา อวสิฏ€ฺ า.

๒. อฏฺ€ อุโปสถา อมิ นิ า ปกฺเขน เอโก อโุ ปสโถ
สมฺปตฺโต, เอโก อุโปสโถ อติกฺกนฺโต, ฉ อโุ ปสถา อวสฏิ ฺ€า.

๓. อฏฺ€ อโุ ปสถา อมิ นิ า ปกเฺ ขน เอโก อโุ ปสโถ
สมฺปตโฺ ต, เทฺว อโุ ปสถา อตกิ กฺ นตฺ า, ปญจฺ อโุ ปสถา
อวสิฏฺ€า.

๔. อฏฺ€ อุโปสถา อิมนิ า ปกฺเขน เอโก อโุ ปสโถ
สมปฺ ตฺโต, ตโย อโุ ปสถา อตกิ ฺกนฺตา, จตฺตาโร อโุ ปสถา
อวสฏิ ฺ€า.

๕. อฏ€ฺ อโุ ปสถา อิมนิ า ปกฺเขน เอโก อุโปสโถ
สมปฺ ตโฺ ต, จตตฺ าโร อุโปสถา อตกิ ฺกนฺตา, ตโย อโุ ปสถา
อวสฏิ €ฺ า.

๖. อฏ€ฺ อุโปสถา อิมินา ปกเฺ ขน เอโก อโุ ปสโถ

สมฺปตฺโต, ปญจฺ อโุ ปสถา อติกฺกนฺตา, เทวฺ อุโปสถา
อวสิฏฺ€า.

๗. อฏ€ฺ อโุ ปสถา อมิ ินา ปกฺเขน เอโก อุโปสโถ
สมปฺ ตโฺ ต, ฉ อโุ ปสถา อตกิ ฺกนตฺ า, เอโก อุโปสโถ อวสิฏฺโ€.


168

๘. อฏฺ€ อโุ ปสถา อิมนิ า ปกฺเขน เอโก อโุ ปสโถ
สมฺปตฺโต, สตตฺ อโุ ปสถา อติกฺกนฺตา, อฏฺ€ อโุ ปสถา
ปริปณุ ณฺ า.





ข.ฤดปู วารณา ไม่มอี ธิกมาส


(หมายถงึ กลางพรรษา)

๑. สตฺต จ อโุ ปสถา เอกา จ ปวารณา, อิมนิ า
ปกฺเขน เอโก อโุ ปสโถ สมฺปตโฺ ต, ฉ จ อโุ ปสถา เอกา
จ ปวารณา อวสิฏฺ€า.

๒. สตตฺ จ อุโปสถา เอกา จ ปวารณา, อิมนิ า
ปกฺเขน เอโก อุโปสโถ สมปฺ ตโฺ ต, เอโก อุโปสโถ อติกฺกนโฺ ต,
ปญจฺ จ อโุ ปสถา เอกา จ ปวารณา อวสฏิ €ฺ า.

๓. สตตฺ จ อุโปสถา เอกา จ ปวารณา, อิมนิ า
ปกเฺ ขน เอโก อุโปสโถ สมฺปตโฺ ต, เทฺว อุโปสถา อติกฺกน-ฺ
ตา, จตตฺ าโร จ อุโปสถา เอกา จ ปวารณา อวสิฏฺ€า.

๔. สตฺต จ อโุ ปสถา เอกา จ ปวารณา, อิมนิ า
ปกฺเขน เอโก อโุ ปสโถ สมปฺ ตโฺ ต, ตโย อุโปสถา อตกิ ฺกนฺ-
ตา, ตโย จ อโุ ปสถา เอกา จ ปวารณา อวสฏิ ฺ€า.

๕. สตฺต จ อโุ ปสถา เอกา จ ปวารณา, อิมนิ า
ปกเฺ ขน เอโก อโุ ปสโถ สมฺปตโฺ ต, จตฺตาโร อโุ ปสถา

169

อตกิ ฺกนฺตา, เทฺว จ อุโปสถา เอกา จ ปวารณา
อวสิฏฺ€า.

๖. (วันปวารณา) สตฺต จ อุโปสถา เอกา จ
ปวารณา, อิมินา ปกเฺ ขน เอกา ปวารณา สมฺปตตฺ า,
ปญจฺ อโุ ปสถา อตกิ กฺ นตฺ า เทฺว อโุ ปสโถ อวสิฏ€ฺ า.

๗. สตตฺ จ อุโปสถา เอกา จ ปวารณา, อิมนิ า
ปกฺเขน เอโก อโุ ปสโถ สมฺปตโฺ ต, ปญฺจ จ อุโปสถา เอกา
จ ปวารณา อตกิ กฺ นฺตา, เอโก อโุ ปสโถ อวสฏิ โฺ €.

๘. สตตฺ จ อโุ ปสถา เอกา จ ปวารณา, อิมนิ า
ปกฺเขน เอโก อโุ ปสโถ สมปฺ ตฺโต, ฉ จ อโุ ปสถา เอกา จ
ปวารณา อติกกฺ นฺตา, สตฺต จ อโุ ปสถา เอกา จ
ปวารณา ปริปุณฺณา.





ค. ฤดมู ีอธิกมาส ไมม่ ีปวารณา


(หมายถงึ นอกพรรษา)

๑. อธิกมาสวเสน ทส อุโปสถา, อมิ นิ า ปกฺเขน
เอโก อโุ ปสโถ สมฺปตฺโต, นว อุโปสถา อวสฏิ €ฺ า.

๒. อธิกมาสวเสน ทส อโุ ปสถา, อมิ นิ า ปกฺเขน
เอโก อุโปสโถ สมปฺ ตฺโต, เอโก อุโปสโถ อติกกฺ นฺโต, อฏ€ฺ

อุโปสถา อวสฏิ €ฺ า.


170

๓. อธิกมาสวเสน ทส อุโปสถา, อมิ นิ า ปกเฺ ขน

เอโก อุโปสโถ สมฺปตฺโต, เทฺว อุโปสถา อตกิ ฺกนฺตา, สตตฺ
อโุ ปสถา อวสิฏ€ฺ า.

๔. อธกิ มาสวเสน ทส อุโปสถา, อิมินา ปกเฺ ขน

เอโก อุโปสโถ สมปฺ ตโฺ ต, ตโย อโุ ปสถา อตกิ ฺกนตฺ า, ฉ

อโุ ปสถา อวสฏิ €ฺ า.

๕. อธิกมาสวเสน ทส อโุ ปสถา, อมิ นิ า ปกฺเขน

เอโก อุโปสโถ สมปฺ ตโฺ ต, จตตฺ าโร อุโปสถา อติกฺกนฺตา,

ปญจฺ อโุ ปสถา อวสฏิ €ฺ า.

๖. อธกิ มาสวเสน ทส อโุ ปสถา, อมิ นิ า ปกเฺ ขน

เอโก อุโปสโถ สมฺปตฺโต, ปญจฺ อุโปสถา อติกฺกนฺตา

จตฺตาโร อโุ ปสถา อวสิฏ€ฺ า.

๗. อธิกมาสวเสน ทส อุโปสถา, อมิ ินา ปกฺเขน

เอโก อโุ ปสโถ สมปฺ ตฺโต, ฉ อุโปสถา อติกฺกนฺตา, ตโย

อุโปสถา อวสิฏฺ€า.

๘. อธิกมาสวเสน ทส อโุ ปสถา, อิมนิ า ปกฺเขน

เอโก อุโปสโถ สมปฺ ตโฺ ต, สตฺต อุโปสถา อตกิ กฺ นตฺ า, เทวฺ
อุโปสถา อวสฏิ €ฺ า.

๙. อธกิ มาสวเสน ทส อโุ ปสถา, อมิ นิ า ปกเฺ ขน

เอโก อโุ ปสโถ สมฺปตฺโต, อฏ€ฺ อุโปสถา อตกิ กฺ นตฺ า,

เอโก อโุ ปสโถ อวสฏิ ฺโ€.


171

๑๐. อธกิ มาสวเสน ทส อโุ ปสถา, อิมนิ า ปกเฺ ขน


เอโก อุโปสโถ สมปฺ ตโฺ ต, นว อุโปสถา อตกิ กฺ นฺตา, ทส


อโุ ปสถา ปรปิ ุณณฺ า.



ง. ฤดทู ่มี ีอธิกมาส และปวารณาด้วย


(หมายถึงกลางพรรษา)

๑. อธิกมาสวเสน นว จ อุโปสถา เอกา จ

ปวารณา, อมิ นิ า ปกฺเขน เอโก อุโปสโถ สมฺปตโฺ ต,


อฏ€ฺ จ อุโปสถา เอกา จ ปวารณา อวสิฏฺ€า.


๒. อธิกมาสวเสน นว จ อโุ ปสถา เอกา จ

ปวารณา, อิมินา ปกเฺ ขน เอโก อุโปสโถ สมปฺ ตฺโต, เอโก

อุโปสโถ อติกกฺ นฺโต, สตตฺ จ อโุ ปสถา เอกา จ ปวารณา

อวสฏิ ฺ€า.


๓. อธิกมาสวเสน นว จ อโุ ปสถา เอกา จ

ปวารณา, อิมินา ปกเฺ ขน เอโก อุโปสโถ สมฺปตโฺ ต, เทฺว

อโุ ปสถา อติกกฺ นตฺ า, ฉ จ อุโปสถา เอกา จ ปวารณา

อวสิฏ€ฺ า.


๔. อธกิ มาสวเสน นว จ อุโปสถา เอกา จ

ปวารณา, อิมินา ปกฺเขน เอโก อโุ ปสโถ สมฺปตโฺ ต, ตโย

อุโปสถา อตกิ กฺ นตฺ า, ปญฺจ จ อุโปสถา เอกา จ

172

ปวารณา อวสฏิ ฺ€า.

๕. อธกิ มาสวเสน นว จ อุโปสถา เอกา จ
ปวารณา, อมิ นิ า ปกฺเขน เอโก อโุ ปสโถ สมฺปตฺโต,
จตตฺ าโร อุโปสถา อติกฺกนตฺ า, จตฺตาโร จ อโุ ปสถา
เอกา จ ปวารณา อวสิฏ€ฺ า.

๖. อธกิ มาสวเสน นว จ อุโปสถา เอกา จ
ปวารณา, อมิ ินา ปกฺเขน เอโก อุโปสโถ สมฺปตโฺ ต, ปญจฺ
อโุ ปสถา อตกิ ฺกนฺตา, ตโย จ อโุ ปสถา เอกา จ ปวารณา
อวสิฏฺ€า.

๗. อธิกมาสวเสน นว จ อโุ ปสถา เอกา จ
ปวารณา, อมิ ินา ปกฺเขน เอโก อุโปสโถ สมปฺ ตโฺ ต, ฉ
อโุ ปสถา อตกิ ฺกนตฺ า, เทฺว จ อุโปสถา เอกา จ ปวารณา
อวสฏิ ฺ€า.

๘. (วนั ปวารณา) อธกิ มาสวเสน นว จ อุโปสถา
เอกา จ ปวารณา, อิมนิ า ปกฺเขน เอกา ปวารณา
สมปฺ ตตฺ า, สตตฺ อโุ ปสถา อตกิ กฺ นตฺ า, เทฺว อุโปสถา
อวสิฏฺ€า.

๙. อธกิ มาสวเสน นว จ อุโปสถา เอกา จ
ปวารณา, อิมินา ปกฺเขน เอโก อุโปสโถ สมปฺ ตโฺ ต,
สตตฺ จ อโุ ปสถา เอกา จ ปวารณา อติกกฺ นตฺ า, เอโก
อโุ ปสโถ อวสิฏฺโ€.


173

๑๐. อธิกมาสวเสน นว จ อโุ ปสถา เอกา จ
ปวารณา, อิมินา ปกเฺ ขน เอโก อุโปสโถ สมฺปตฺโต,
อฏฺ€ จ อโุ ปสถา เอกา จ ปวารณา อติกกฺ นตฺ า, นว จ

อุโปสถา เอกา จ ปวารณา ปรปิ ณุ ฺณา.



…………………………………


การนับพระภิกษุ

ในการนับพระภิกษตุ ัง้ แต่ ๔ ถึง ๑,๐๐๐ รูปน้นั ตอ้ งใช้

วธิ สี วดต่างๆ กันดงั นี้


๑. มภี กิ ษุ ๔-๙๘ รปู ใหเ้ อาคำบาลใี นชว่ ง ๔- ๙๘ มา
ตอ่ ขา้ งหน้า “ภิกขฺ ู สนฺนิปติตา โหนตฺ ิ” เช่น มีภิกษุ ๗๗ รปู
จะสวดว่า “สตฺตสตฺตติ ภิกขฺ ู สนฺนปิ ติตา โหนตฺ ิ”

๒. มีภิกษุ ๙๙-๑๙๙ รูป ใหเ้ อาคำบาลีในช่วง ๙๙-๑๙๙
มาต่อขา้ งหนา้ “สนฺนิปตติ ํ โหต”ิ เช่น มภี กิ ษุ ๑๒๓ รูปจะ
สวดวา่ “เตวีสตยฺ ุตฺตรภิกขฺ สุ ตํ สนนฺ ิปติตํ โหต”ิ

๓. มภี กิ ษุ ๒๐๐-๒๙๙ รูป ใหเ้ อาคำบาลใี นช่วง
๒๐๐-๒๙๙ มาต่อข้างหนา้ “ภิกขฺ สุ ตานิ สนนฺ ปิ ตติ านิ
โหนตฺ ”ิ เช่น มีภกิ ษุ ๒๖๗ รูปจะสวดว่า “สตตฺ สฏ€ฺ ยุตฺ-
ตรานิ เทฺว ภิกฺขุสตานิ สนนฺ ปิ ติตานิ โหนตฺ ิ”

๔. มภี กิ ษุ ๓๐๐-๓๙๙, ๔๐๐-๔๙๙, ๕๐๐-๕๙๙, ๖๐๐-

๖๙๙, ๗๐๐-๗๙๙, ๘๐๐-๘๙๙, ๙๐๐-๙๙๙ รูป ให้ทำเช่นเดียว

174

กับในข้อ ๓. เพียงแต่เปล่ยี นจาก “เทฺว” เป็น “ตณี ิ, จตฺตาร,ิ

ปญฺจ, ฉ, สตฺต, อฏฺ€, นว”


ตามเลขหลกั รอ้ ยของจำนวนพระทีเ่ ปลยี่ นไปตามลำดบั เชน่


มภี กิ ษุ ๓๖๗ รูปจะสวดว่า


“สตตฺ สฏ€ฺ ยตุ ฺตรานิ ตณี ิ ภิกขฺ ุสตานิ สนฺนิปติตานิ โหนตฺ ”ิ


มภี กิ ษุ ๔๔๐ รูปจะสวดวา่


“จตตฺ าฬสี ุตตฺ รานิ จตฺตาริ ภกิ ขฺ สุ ตานิ สนนฺ ิปตติ านิ โหนฺติ”


มีภกิ ษุ ๕๑๒ รปู จะสวดวา่


“ทวฺ าทสุตฺตรานิ ปญจฺ ภิกฺขุสตานิ สนฺนิปตติ านิ โหนตฺ ิ”


มภี ิกษุ ๖๔๙ รปู จะสวดวา่


“เอกนู ปญฺ สตุ ตฺ รานิ ฉ ภกิ ฺขุสตานิ สนฺนปิ ติตานิ โหนฺต”ิ


มภี กิ ษุ ๗๗๑ รปู จะสวดวา่


“เอกสตฺตตฺยตุ ฺตรานิ สตตฺ ภกิ ขฺ ุสตานิ สนฺนิปตติ านิ โหนตฺ ”ิ


มีภิกษุ ๘๓๔ รูปจะสวดวา่


“จตตุ สึ ตุ ฺตรานิ อฏ€ฺ ภกิ ขฺ ุสตานิ สนฺนปิ ติตานิ โหนตฺ ”ิ


มภี กิ ษุ ๙๙๙ รูปจะสวดวา่


“เอกูนสตุตฺตรานิ นว ภิกฺขุสตานิ สนนฺ ิปติตานิ โหนฺต”ิ


๕. มภี ิกษุ ๑,๐๐๐ รูป จะสวดว่า “ภิกขฺ สุ หสฺสํ สนฺน-ิ

ปตติ ํ โหต”ิ

๔. จตฺตาโร ๕. ปญจฺ ๖. ฉ


๗. สตตฺ ๘. อฏ€ฺ ๙. นว


175

๑๐. ทส ๑๑. เอกาทส ๑๒. พารส

๑๓. เตรส ๑๔. จตตุ ทฺ ส ๑๕. ปณณฺ รส


๑๖. โสฬส ๑๗. สตฺตรส ๑๘. อฏ€ฺ ารส


๑๙. เอกนู วสี ติ ๒๐. วีสติ ๒๑. เอกวีสต


๒๒. พาวีสติ ๒๓. เตวสี ติ ๒๔. จตวุ สี ติ

๒๕. ปญฺจวสี ต ิ ๒๖. ฉพพฺ สี ต ิ ๒๗. สตฺตวีสติ


๒๘. อฏฺ€วสี ต ิ ๒๙. เอกูนตสึ ๓๐. สมตสึ


๓๑. เอกตตฺ ึส ๓๒. ทวฺ ตตฺ ึส ๓๓. เตตตฺ ึส


๓๔. จตตุ ฺตสึ ๓๕. ปฺจตตฺ ึส ๓๖. ฉตตฺ สึ


๓๗. สตฺตตตฺ ึส ๓๘. อฏ€ฺ ตตฺ ึส ๓๙. เอกนู จตตฺ าฬีส


๔๐. จตตฺ าฬสี ๔๑. เอกจตตฺ าฬสี ๔๒. ทฺวจิ ตตฺ าฬสี

๔๓. เตจตตฺ าฬีส ๔๔. จตจุ ตตฺ าฬสี ๔๕. ปจฺ จตฺตาฬีส


๔๖. ฉจตตฺ าฬีส ๔๗. สตตฺ จตตฺ าฬสี ๔๘. อฏ€ฺ จตตฺ าฬีส


๔๙. เอกูนปญฺาส ๕๐. ปญฺาส ๕๑. เอกปญฺาส


๕๒. ทวฺ ปิ ญฺาส ๕๓. เตปญฺาส ๕๔. จตุปญฺ าส


๕๕. ปญฺจปญฺ าส ๕๖. ฉปญฺ าส ๕๗. สตฺตปญฺ าส


๕๘. อฏ€ฺ ปญฺาส ๕๙. เอกนู สฏ€ฺ ี ๖๐. สฏ€ฺ


๖๑. เอกสฏฺ€ ี ๖๒. ทฺวิสฏ€ฺ ี ๖๓. เตสฏ€ฺ ี


๖๔. จตสุ ฏฺ€ ี ๖๕. ปญฺจสฏฺ€ี ๖๖. ฉสฏฺ€


๖๗. สตตฺ สฏฺ€ี ๖๘. อฏ€ฺ สฏฺ€ ี ๖๙. เอกนู สตตฺ ต


๗๐. สตฺตต ิ ๗๑. เอกสตฺตติ ๗๒. ทฺวสิ ตฺตติ


๗๓. เตสตตฺ ติ ๗๔. จตุสตฺตติ ๗๕. ปญฺจสตฺตติ


176

๗๖. ฉสตฺตติ ๗๗. สตฺตสตตฺ ติ ๗๘. อฏ€ฺ สตฺตต


๗๙. เอกูนาสีต ิ ๘๐. อสีต ิ ๘๑. เอกาสีต


๘๒. ทฺวาสีต ิ ๘๓. ตยาสตี ิ ๘๔. จตรุ าสตี ิ

๘๕. ปญจฺ าสีติ ๘๖. ฉฬาสตี ิ ๘๗. สตตฺ าสีติ


๘๘. อฏฺ€าสีติ ๘๙. เอกนู นวุต ิ ๙๐. นวุติ

๙๑. เอกนวุติ ๙๒. เทวฺ นวุต ิ ๙๓. เตนวุต


๙๔. จตนุ วุติ ๙๕. ปญจฺ นวุต ิ ๙๖. ฉนวตุ ิ

๙๗. สตตฺ นวตุ ิ ๙๘. อฏ€ฺ นวุต ิ ๙๙. เอกูนภกิ ขฺ สุ ตํ


๑๐๐. ภิกขฺ สุ ต


๑๐๑. เอกุตฺตรภกิ ฺขสุ ตํ ๑๐๒. ทวฺ ยุตฺตรภกิ ฺขุสตํ


๑๐๓. ตยุตฺตรภกิ ขฺ สุ ตํ ๑๐๔. จตุตตฺ รภกิ ขฺ สุ ตํ


๑๐๕. ปญจฺ ตุ ฺตรภกิ ฺขุสตํ ๑๐๖. ฉตุ ฺตรภิกขฺ ุสตํ


๑๐๗. สตตฺ ตุ ตฺ รภิกฺขสุ ตํ ๑๐๘. อฏฺ€ตุ ตฺ รภิกขฺ สุ ตํ


๑๐๙. นวตุ ตฺ รภิกฺขสุ ต ํ ๑๑๐. ทสุตฺตรภกิ ขฺ สุ ต


๑๑๑. เอกาทสตุ ตฺ รภิกฺขุสตํ ๑๑๒. ทฺวาทสตุ ฺตรภิกขฺ สุ ตํ


๑๑๓. เตรสตุ ตฺ รภกิ ขฺ สุ ตํ ๑๑๔. จตุตทฺ สตุ ฺตรภกิ ฺขุสต


๑๑๕. ปญจฺ ทสุตฺตรภิกขฺ สุ ตํ ๑๑๖. โสฬสตุ ตฺ รภกิ ฺขสุ ต


๑๑๗. สตฺตรสตุ ฺตรภิกขฺ ุสตํ ๑๑๘. อฏฺ€ารสตุ ตฺ รภิกขฺ ุสต


๑๑๙. เอกูนวสี ตยฺ ตุ ฺตรภิกขฺ ุสต ํ ๑๒๐. วีสตยฺ ุตฺตรภิกขฺ สุ ตํ


๑๒๑. เอกวีสตฺยตุ ฺตรภกิ ขฺ สุ ตํ ๑๒๒. ทฺวาวีสตยฺ ตุ ฺตรภิกฺขุสต


๑๒๓. เตวีสตฺยุตตฺ รภกิ ฺขสุ ตํ ๑๒๔. จตุวสี ตยฺ ตุ ตฺ รภิกขฺ สุ ต


๑๒๕. ปญจฺ วสี ตยฺ ุตตฺ รภิกขฺ ุสต ํ ๑๒๖. ฉพฺพีสตฺยุตฺตรภกิ ฺขุสตํ


177

๑๒๗. สตตฺ วีสตยฺ ตุ ฺตรภิกฺขุสต ํ ๑๒๘. อฏฺ€วสี ตฺยตุ ตฺ รภกิ ขฺ ุสต

๑๒๙. เอกนู ตึสุตฺตรภกิ ฺขสุ ตํ ๑๓๐. สมตสึ ตุ ตฺ รภิกฺขุสตํ

๑๓๑. เอกตตฺ ึสตุ ฺตรภิกขฺ สุ ตํ ๑๓๒. ทฺวตตฺ ึสตุ ตฺ รภิกขฺ ุสต

๑๓๓. เตตฺตสึ ตุ ตฺ รภิกขฺ ุสตํ ๑๓๔. จตตุ ตฺ ึสตุ ตฺ รภกิ ฺขสุ ตํ

๑๓๕. ปญจฺ ตฺตึสุตฺตรภกิ ฺขสุ ตํ ๑๓๖. ฉตฺตสึ ุตตฺ รภิกขฺ ุสตํ

๑๓๗. สตตฺ ตตฺ ึสตุ ตฺ รภกิ ขฺ ุสตํ ๑๓๘. อฏฺ€ตตฺ ึสตุ ตฺ รภกิ ฺขุสต

๑๓๙. เอกูนจตฺตาฬีสตุ ฺตรภิกขฺ สุ ต ํ ๑๔๐. จตตฺ าฬีสตุ ฺตรภกิ ขฺ ุสต

๑๔๑. เอกจตฺตาฬีสตุ ฺตรภกิ ฺขุสตํ ๑๔๒. ทฺวาจตฺตาฬีสตุ ตฺ รภิกฺขุสตํ

๑๔๓. เตจตตฺ าฬสี ตุ ตฺ รภกิ ขฺ สุ ต ํ ๑๔๔. จตจุ ตตฺ าฬสี ุตฺตรภิกขฺ ุสต

๑๔๕. ปญจฺ จตตฺ าฬีสุตฺตรภิกฺขุสตํ ๑๔๖. ฉจตตฺ าฬสี ุตตฺ รภกิ ฺขสุ ตํ

๑๔๗. สตตฺ จตฺตาฬีสุตฺตรภกิ ขฺ สุ ตํ ๑๔๘. อฏ€ฺ จตฺตาฬสี ตุ ตฺ รภกิ ฺขุสตํ

๑๔๙. เอกนู ปญฺ าสตุ ตฺ รภิกขฺ สุ ต ํ ๑๕๐. ปญฺาสตุ ฺตรภิกฺขสุ ต

๑๕๑. เอกปญฺ าสุตตฺ รภิกฺขสุ ตํ ๑๕๒. ทวฺ าปญฺาสุตตฺ รภิกขฺ สุ ต

๑๕๓. เตปญฺ าสตุ ฺตรภิกขฺ ุสตํ ๑๕๔. จตปุ ญฺ าสุตตฺ รภกิ ขฺ สุ ต

๑๕๕. ปญฺจปญฺ าสตุ ตฺ รภิกขฺ ุสตํ ๑๕๖. ฉปญฺาสุตตฺ รภกิ ฺขุสต

๑๕๗. สตตฺ ปญฺ าสตุ ฺตรภกิ ฺขสุ ตํ ๑๕๘. อฏฺ€ปญฺาสุตตฺ รภกิ ฺขสุ ต

๑๕๙. เอกูนสฏ€ฺ ยตุ ฺตรภิกฺขุสตํ ๑๖๐. สฏ€ฺ ยุตตฺ รภกิ ฺขสุ ตํ

๑๖๑. เอกสฏฺ€ยุตตฺ รภิกฺขสุ ตํ ๑๖๒. ทวฺ าสฏ€ฺ ยุตฺตรภิกขฺ ุสต

๑๖๓. เตสฏฺ€ยุตฺตรภกิ ฺขสุ ตํ ๑๖๔. จตุสฏ€ฺ ยุตฺตรภิกขฺ สุ ตํ

๑๖๕. ปญจฺ สฏ€ฺ ยุตตฺ รภิกขฺ สุ ตํ ๑๖๖. ฉสฏฺ€ยตุ ตฺ รภิกฺขุสตํ

๑๖๗. สตฺตสฏฺ€ยุตตฺ รภิกฺขุสตํ ๑๖๘. อฏ€ฺ สฏ€ฺ ยุตตฺ รภกิ ฺขุสตํ

๑๖๙. เอกูนสตตฺ ตฺยตุ ตฺ รภกิ ขฺ ุสต ํ ๑๗๐. สตฺตตฺยตุ ตฺ รภิกฺขุสตํ


178

๑๗๑. เอกสตตฺ ตยฺ ตุ ฺตรภิกขฺ ุสต ํ ๑๗๒. ทฺวสิ ตตฺ ตยฺ ุตฺตรภิกฺขุสต


๑๗๓. เตสตฺตตฺยุตตฺ รภกิ ขฺ สุ ตํ ๑๗๔. จตุสตฺตตฺยตุ ฺตรภกิ ฺขุสต


๑๗๕. ปญฺจสตตฺ ตฺยุตฺตรภกิ ขฺ ุสต ํ ๑๗๖. ฉสตตฺ ตฺยตุ ตฺ รภกิ ขฺ สุ ตํ


๑๗๗. สตฺตสตฺตตยฺ ุตฺตรภิกฺขุสตํ ๑๗๘. อฏ€ฺ สตตฺ ตฺยตุ ฺตรภิกฺขสุ ต


๑๗๙. เอกูนาสตี ยฺ ุตตฺ รภิกฺขุสต ํ ๑๘๐. อสตี ยฺ ตุ ฺตรภกิ ขฺ สุ ตํ


๑๘๑. เอกาสีตฺยตุ ฺตรภิกฺขสุ ตํ ๑๘๒. ทวฺ าสีตยฺ ตุ ตฺ รภิกขฺ ุสตํ


๑๘๓. ตยาสตี ยฺ ตุ ตฺ รภิกฺขสุ ตํ ๑๘๔. จตรุ าสีตฺยุตตฺ รภกิ ฺขสุ ต


๑๘๕. ปญจฺ าสีตฺยตุ ตฺ รภิกขฺ สุ ต ํ ๑๘๖. ฉฬาสตี ฺยุตตฺ รภกิ ฺขุสตํ


๑๘๗. สตฺตาสีตฺยตุ ตฺ รภกิ ฺขุสตํ ๑๘๘. อฏ€ฺ าสีตยฺ ตุ ฺตรภิกฺขุสต


๑๘๙. เอกูนนวตุ ฺยุตฺตรภิกขฺ สุ ตํ ๑๙๐. นวตุ ยฺ ุตตฺ รภิกขฺ สุ ตํ


๑๙๑. เอกนวตุ ยฺ ุตตฺ รภิกฺขุสตํ ๑๙๒. เทวฺ นวุตฺยุตตฺ รภกิ ฺขุสต


๑๙๓. เตนวุตฺยุตตฺ รภกิ ฺขสุ ตํ ๑๙๔. จตนุ วตุ ฺยุตตฺ รภิกขฺ สุ ตํ


๑๙๕. ปญจฺ นวุตยฺ ุตฺตรภกิ ฺขสุ ตํ ๑๙๖. ฉนวุตยฺ ุตตฺ รภิกฺขุสตํ


๑๙๗. สตฺตนวุตยฺ ตุ ตฺ รภิกฺขุสตํ ๑๙๘. อฏฺ€นวุตยฺ ุตฺตรภิกขฺ สุ ต


๑๙๙. เอกนู สตุตฺตรภิกฺขุสต ํ ๒๐๐. เทวฺ


๒๐๑. เอกตุ ตฺ รานิ เทวฺ ๒๐๒. ทวฺ ยุตตฺ รานิ เทฺว


๒๐๓. ตยุตตฺ รานิ เทฺว ๒๐๔. จตุตฺตรานิ เทวฺ


๒๐๕. ปญฺจตุ ตฺ รานิ เทวฺ ๒๐๖. ฉุตตฺ รานิ เทวฺ


๒๐๗. สตตฺ ตุ ตฺ รานิ เทวฺ ๒๐๘. อฏฐฺ ุตตฺ รานิ เทฺว


๒๐๙. นวตุ ตฺ รานิ เทวฺ ๒๑๐. ทสตุ ตฺ รานิ เทวฺ


๒๑๑. เอกาทสุตฺตรานิ เทวฺ ๒๑๒. ทวฺ าทสตุ ฺตรานิ เทฺว


๒๑๓. เตรสุตฺตรานิ เทวฺ ๒๑๔. จตุตฺทสุตตฺ รานิ เทวฺ


179

๒๑๕. ปญจฺ ทสตุ ตฺ รานิ เทวฺ ๒๑๖. โสฬสุตฺตรานิ เทวฺ

๒๑๗. สตฺตรสุตฺตรานิ เทฺว ๒๑๘. อฏฺ€ารสตุ ตฺ รานิ เทวฺ

๒๑๙. เอกนู วสี ตยฺ ุตตฺ รานิ เทวฺ ๒๒๐. วสี ตฺยตุ ฺตรานิ เทฺว

๒๒๑. เอกวีสตยฺ ตุ ตฺ รานิ เทวฺ ๒๒๒. ทฺวาวีสตฺยุตฺตรานิ เทฺว

๒๒๓. เตวสี ตยฺ ุตตฺ รานิ เทฺว ๒๒๔. จตวุ ีสตฺยตุ ตฺ รานิ เทฺว

๒๒๕. ปญจฺ วสี ตฺยตุ ฺตรานิ เทฺว ๒๒๖. ฉพฺพีสตยฺ ุตฺตรานิ เทวฺ
๒๒๗. สตฺตวสี ตฺยุตตฺ รานิ เทฺว ๒๒๘. อฏ€ฺ วีสตยฺ ุตตฺ รานิ เทวฺ
๒๒๙. เอกูนตึสตุ ตฺ รานิ เทฺว ๒๓๐. ตึสตุ ฺตรานิ เทฺว

๒๓๑. เอกตตฺ สึ ตุ ฺตรานิ เทฺว ๒๓๒. ทฺวตฺตึสุตฺตรานิ เทฺว

๒๓๓. เตตฺตสึ ุตตฺ รานิ เทฺว ๒๓๔. จตุตตฺ สึ ตุ ตฺ รานิ เทฺว

๒๓๕. ปญจฺ ตตฺ สึ ุตตฺ รานิ เทวฺ ๒๓๖. ฉตตฺ สึ ตุ ตฺ รานิ เทวฺ

๒๓๗. สตฺตตฺตสึ ุตฺตรานิ เทฺว ๒๓๘. อฏ€ฺ ตฺตสึ ตุ ตฺ รานิ เทฺว

๒๓๙. เอกนู จตตฺ าฬีสุตฺตรานิ เทวฺ ๒๔๐. จตฺตาฬสี ตุ ฺตรานิ เทฺว

๒๔๑. เอกจตตฺ าฬสี ตุ ฺตรานิ เทฺว ๒๔๒. เทวฺ จตตฺ าฬีสุตฺตรานิ เทวฺ

๒๔๓. เตจตฺตาฬสี ตุ ตฺ รานิ เทวฺ ๒๔๔. จตุจตตฺ าฬีสตุ ฺตรานิ เทวฺ

๒๔๕. ปญจฺ จตตฺ าฬสี ุตฺตรานิ เทฺว ๒๔๖. ฉจตฺตาฬสี ตุ ฺตรานิ เทวฺ

๒๔๗. สตตฺ จตฺตาฬีสตุ ตฺ รานิ เทวฺ ๒๔๘. อฏฺ€จตตฺ าฬสี ุตฺตรานิ เทวฺ

๒๔๙. เอกนู ปญฺาสุตฺตรานิ เทฺว ๒๕๐. ปญฺาสุตฺตรานิ เทฺว

๒๕๑. เอกปญฺ าสุตตฺ รานิ เทฺว ๒๕๒. ทวฺ ิปญฺาสุตตฺ รานิ เทวฺ

๒๕๓. เตปญฺ าสุตฺตรานิ เทวฺ ๒๕๔. จตุปญฺาสตุ ฺตรานิ เทวฺ
๒๕๕. ปญฺจปญฺ าสตุ ฺตรานิ เทวฺ ๒๕๖. ฉปญฺ าสุตฺตรานิ เทวฺ
๒๕๗. สตตฺ ปญฺาสตุ ตฺ รานิ เทวฺ ๒๕๘. อฏ€ฺ ปญฺาสตุ ฺตรานิ เทฺว

180

๒๕๙. เอกูนสฏฺ€ยตุ ตฺ รานิ เทวฺ ๒๖๐. สฏ€ฺ ยตุ ตฺ รานิ เทวฺ

๒๖๑. เอกสฏฺ€ยุตฺตรานิ เทวฺ ๒๖๒. ทวฺ าสฏฺ€ยตุ ฺตรานิ เทวฺ
๒๖๓. เตสฏฺ€ยุตฺตรานิ เทฺว ๒๖๔. จตุสฏ€ฺ ยตุ ตฺ รานิ เทฺว

๒๖๕. ปญจฺ สฏฺ€ยตุ ตฺ รานิ เทวฺ ๒๖๖. ฉสฏฺ€ยุตตฺ รานิ เทวฺ

๒๖๗. สตฺตสฏฺ€ยุตฺตรานิ เทฺว ๒๖๘. อฏ€ฺ สฏ€ฺ ยุตฺตรานิ เทวฺ

๒๖๙. เอกูนสตตฺ ตยฺ ตุ ตฺ รานิ เทฺว ๒๗๐. สตตฺ ตฺยุตตฺ รานิ เทวฺ

๒๗๑. เอกสตตฺ ตยฺ ุตฺตรานิ เทวฺ ๒๗๒. เทวฺ สตฺตตยฺ ตุ ตฺ รานิ เทฺว

๒๗๓. เตสตตฺ ตยฺ ุตตฺ รานิ เทฺว ๒๗๔. จตุสตฺตตยฺ ุตตฺ รานิ เทฺว

๒๗๕. ปญฺจสตฺตตฺยุตฺตรานิ เทวฺ ๒๗๖. ฉสตตฺ ตฺยตุ ฺตรานิ เทฺว
๒๗๗. สตฺตสตตฺ ตฺยุตฺตรานิ เทฺว ๒๗๘. อฏ€ฺ สตตฺ ตฺยตุ ฺตรานิ เทวฺ

๒๗๙. เอกูนาสีตฺยตุ ตฺ รานิ เทฺว ๒๘๐. อสตี ฺยุตฺตรานิ เทวฺ
๒๘๑. เอกาสีตยฺ ตุ ตฺ รานิ เทวฺ ๒๘๒. ทวฺ าสตี ฺยตุ ตฺ รานิ เทฺว

๒๘๓. ตยาสตี ยฺ ุตตฺ รานิ เทวฺ ๒๘๔. จตรุ าสตี ยฺ ตุ ฺตรานิ เทฺว
๒๘๕. ปญจฺ าสตี ฺยตุ ตฺ รานิ เทวฺ ๒๘๖. ฉฬาสตี ยฺ ตุ ฺตรานิ เทฺว

๒๘๗. สตตฺ าสตี ยฺ ุตตฺ รานิ เทวฺ ๒๘๘. อฏฺ€าสีตฺยุตตฺ รานิ เทวฺ

๒๘๙. เอกูนนวุตยฺ ตุ ฺตรานิ เทวฺ ๒๙๐. นวตุ ยฺ ุตฺตรานิ เทฺว

๒๙๑. เอกนวุตฺยุตตฺ รานิ เทวฺ ๒๙๒. เทฺวนวตุ ฺยตุ ฺตรานิ เทฺว

๒๙๓. เตนวตุ ฺยุตตฺ รานิ เทฺว ๒๙๔. จตนุ วุตฺยุตตฺ รานิ เทฺว

๒๙๕. ปญจฺ นวตุ ฺยุตตฺ รานิ เทวฺ ๒๙๖. ฉนวตุ ฺยตุ ฺตรานิ เทวฺ
๒๙๗. สตฺตนวตุ ยฺ ตุ ตฺ รานิ เทวฺ ๒๙๘. อฏฺ€นวตุ ฺยุตฺตรานิ เทฺว
๒๙๙. เอกูนตึสตุตตฺ รานิ เทวฺ ๓๐๐. ตีณิ

…………………………………

181

กฐนิ

หน่งึ เดือนทา้ ยฤดฝู น ต้ังแต่แรม ๑ คำ่ เดือน ๑๑ ถงึ
วนั เพ็ญเดอื น ๑๒ เป็นคราวทีภ่ กิ ษุทง้ั หลายหาผ้าทำจวี รเปลี่ยน
ของเดมิ เป็นคราวที่ทายกถวายผา้ แก่สงฆเ์ พื่อประโยชน์นี้ มี
พระพทุ ธานญุ าตเปน็ พเิ ศษไว้ เพ่ือสงฆ์ยกผา้ อันไมพ่ อแจกกนั ให้
แก่ภิกษุรูปหนึง่ รบั เอาไปทำจวี รผืนใดผืนหนงึ่ ในไตรจวี ร ภิกษุนน้ั
ทำตง้ั แต่ซัก กะ ตดั เยบ็ ยอ้ ม เสรจ็ ในวนั น้นั ทำพนิ ทุกัปปะ
อธิษฐานเป็นจวี รครอง เป็นจีวรกฐนิ เรียกวา่ กรานกฐิน แปล
ว่า ขึงไมส้ ะดงึ อธิบายวา่ ครง้ั กอ่ นพระไมช่ ำนาญในการเยบ็
จีวร ตอ้ งเอาเข้าขงึ ท่ไี ม้สะดึงเย็บ เสรจ็ แลว้ บอกแกภ่ ิกษทุ ้ังหลาย
เพ่อื อนุโมทนา ภิกษุเหล่านนั้ อนุโมทนา ทัง้ ภกิ ษุผกู้ รานท้ังภกิ ษุ
ผอู้ นโุ มทนายอ่ มไดอ้ านิสงส์แหง่ การกรานกฐนิ เลอ่ื นเขตอานสิ งส์
จำพรรษาท้ัง ๕ ออกไปได้อกี ๔ เดือน ตลอดฤดเู หมนั ต



…………………………………

วิธีกฐินอย่างธรรมยตุ กิ า

คำถวายผ้ากฐินทาน


(วา่ นโมฯ ๓ หน)


อิมงั ภันเต, สะปะริวารัง กะฐนิ ะทสุ สัง, สังฆัสสะ
โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภนั เต สังโฆ, อิมัง สะปะรวิ ารัง
กะฐินะทุสสงั ปะฏคิ คัณหาตุ, ปะฏคิ คะเหต๎วา จะ, อิมนิ า

182

ทสุ เสนะ กะฐนิ ัง อัตถะระต,ุ อมั ๎หากัง ทฆี ะรัตตัง หิตายะ
สขุ ายะ.

คำแปล ขา้ แตท่ ่านผเู้ จริญ ข้าพเจา้ ทง้ั หลาย ขอน้อม
ถวาย ซ่ึงผ้ากฐิน กับทง้ั บริวารนีแ้ ด่พระสงฆ์. ขอพระสงฆ์จงรับ
ซ่งึ ผ้ากฐนิ กับทั้งบริวารน้ี ของขา้ พเจา้ ทง้ั หลาย, ก็แล ครนั้ รบั
แล้ว จงกรานกฐินด้วยผา้ น้,ี เพื่อประโยชน์ และความสขุ แก่
ขา้ พเจา้ ท้งั หลาย สนิ้ กาลนานเทอญ.


(สงฆ์รบั วา่ “สาธ”ุ พร้อมกนั )




คำอปโลกน์กฐนิ


(รปู ที่ ๑ วา่ )


อิทานิ โข ภนฺเต, (หรอื อทิ านิ โข อาวโุ ส), อิทํ
สปริวารํ ก€ินทุสสฺ ํ สงฆฺ สสฺ ก€ินตฺถารารหกาเลเยว
อุปปฺ นฺน,ํ อที เิ ส จ กาเล เอวํ อุปปฺ นเฺ นน ทุสเฺ สน
ก€ินตฺถาโร วสฺสํ วตุ ฺถานํ ภิกขฺ นู ํ ภควตา อนุญฺ าโต,
เยน อากงฺขมานสสฺ สงฺฆสสฺ ปญฺจ กปฺปิสฺสนฺต.ิ อนามนฺ-

ตจาโร อสมาทานจาโร คณโภชนํ ยาวทตถฺ จีวรํ โย จ
ตตฺถ จีวรปุ ปฺ าโท โส เนสํ ภวิสฺสติ. จตสู ุปิ เหมนฺตีเกสุ
มาเสสุ จีวรกาโล มหนฺตีกโต ภวสิ ฺสติ. อทิ านิ ปน สงโฺ ฆ
อากงขฺ ติ นุ โข ก€ินตฺถาร,ํ อทุ าหุ นากงขฺ ต?ิ


183

ภิกษทุ ้งั หลายพงึ รับวา่ “อากงฺขาม ภนฺเต” ผแู้ ก่พรรษา
กวา่ พงึ ว่าแต่บท “อากงฺขาม” ถงึ บท “ภนฺเต” พงึ น่ิงถงึ บท
ต่อไป พึงรูโ้ ดยนัยนี

คำแปล ดกู อ่ นท่านผ้เู จริญท้งั หลาย, (ข้าแต่ทา่ นผมู้ ีอายุ
ทงั้ หลาย), บัดนี้แล ผ้ากฐินกับท้งั บรวิ ารอนั นี้ เกดิ ข้นึ แลว้ แก่
สงฆ์ในกาลอันควรกรานกฐินนนั่ แหละ (ในกาลอนั ควรแกล่ าดไม้
สะดงึ ทีเดียว), กพ็ ระผ้มู พี ระภาคเจา้ ไดท้ รงอนุญาตการกรานกฐนิ
แก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้ได้อยู่จำพรรษาแล้ว ด้วยผ้าท่ีเกิดข้ึนแล้ว
อย่างน้ี ในกาลเช่นนี้, อาศัยการกรานกฐินไรเล่า เป็นเหตุ
อานิสงส์ ๕ จักสำเรจ็ แกส่ งฆ์ ผปู้ รารถนาอยู่. คอื เทย่ี วไปดว้ ย
ไมต่ อ้ งบอกลา ๑ เท่ยี วจาริกไปด้วยไม่ตอ้ งถือเอาไตรจวี รไปครบ
สำรับ ๑ ฉนั คณะโภชนไ์ ด้ ๑ เกบ็ อติเรกจวี รไวไ้ ด้ตามปรารถนา
๑ จีวรลาภเกิดข้ึนในอาวาสน้นั จักเปน็ ของไดแ้ ก่พวกเธอ ๑ ท้งั
จีวรกาลของเธอเหล่าน้ันจักได้ทำให้เป็นกาลมาก ยืดออกไป
ในฤดูเหมันต์ ๔ เดือน. ก็บัดน้ี สงฆ์ปรารถนาจะกรานกฐิน,
หรอื ไม่ปรารถนา?

ภิกษุทง้ั หลายพงึ รับว่า “ขา้ แต่ท่านผ้เู จริญ ข้าพเจา้ ทง้ั หลาย
ปรารถนาจะกรานกฐนิ นั้นอยู่”




(รูปที่ ๒ ว่าดังน)้ี


โส โข ปน ภนเฺ ต ก€ินตถฺ าโร, ภควตา ปคุ ฺคลสสฺ


อตฺถารวเสเนว อนญุ ฺ าโต, นาญฺ ตตฺ ร ปุคฺคลสฺส อตฺถารา


184

อตฺถตํ โหติ ก€ินนฺติ หิ วุตตฺ ํ ภควตา. น สงโฺ ฆ วา คโณ

วา ก€ินํ อตถฺ รต.ิ สงฆฺ สสฺ จ คณสฺส จ สามคฺคิยา ปคุ คลส-ฺ

เสว อตถฺ ารา, สงฆฺ สสฺ ปิ คณสฺสปิ ตสเฺ สว ปุคฺคลสฺสปิ
อตถฺ ตํ โหติ ก€ินํ. อิทานิ กสสฺ ิมํ ก€ินทุสฺสํ ทสสฺ าม ก€ินํ

อตฺถรติ ํุ, โย ชณิ ณฺ จีวโร วา ทพุ พฺ ลจีวโร วา, โย วา ปน
อุสสฺ หสิ ฺสติ อชฺเชว จวี รกมมฺ ํ นิฏ€ฺ าเปตฺวา, สพพฺ วธิ านํ

อปรหิ าเปตวฺ า ก€นิ ํ อตฺถริต,ํุ สมตโฺ ถ ภวสิ ฺสติ.


(สงฆพ์ ึงนิ่งอยู่)

คำแปล ขา้ แตท่ ่านผ้เู จริญ ก็การกรานกฐินน่นั แล พระผู้
มีพระภาคเจ้าได้ทรงอนุญาต ด้วยอำนาจแห่งความกรานของ
บุคคลอยา่ งเดียว, เพราะพระผมู้ พี ระภาคเจ้าได้ตรสั ไวว้ ่า กฐิน
ไม่เปน็ อันกรานแล้ว นอกจากการกรานแหง่ บุคคลดงั น้ี. สงฆ์หรือ
คณะกห็ ากรานไดไ้ ม.่ เพราะอาศยั ความกรานกฐินแหง่ บคุ คลโดย
ความพร้อมเพรียงแหง่ สงฆด์ ้วย แหง่ คณะด้วย กฐินแหง่ สงฆ์
แห่งคณะแห่งบุคคลน้ัน เป็นอันสงฆ์และคณะและบุคคลน้ัน
ไดก้ รานแลว้ . ก็บดั น้ี เราท้งั หลายจักใหผ้ ้ากฐนิ น้ีแก่ภกิ ษรุ ปู ใด
เพ่ือจะกรานกฐิน. ภิกษุใดมจี วี รเกา่ ครำ่ คร่าหรอื มจี วี รทพุ พลภาพ,
ก็หรอื ว่าภิกษุใดอาจหาญ จกั เป็นผู้สามารถ เพอื่ จะให้จีวรกรรม
สำเรจ็ ในวนั นน้ี ่ีแหละ ไมใ่ ห้วิธที ง้ั
ปวงเส่ือมแล้ว กรานกฐนิ ได้.


185

(รูปท่ี ๓ ว่าดังน้)ี


อธิ อมฺเหสุ อายสฺมา (อติ ฺถนฺนาโม), สพพฺ มหลฺลโก


พหุสฺสุโต ธมฺมธโร วินยธโร, สพฺรหฺมจารีนํ สนฺทสฺสโก

สมาทปโก สมุตฺเตชโก สมฺปหสํ โก, พหุนนฺ ํ อาจริโย วา

อปุ ชฌฺ าโย วา หุตวฺ า โอวาทโก อนสุ าสโก, สมตฺโถ จ


ตํ ตํ วินยกมฺมํ อวโิ กเปตฺวา ก€ินํ อตฺถรติ ํ.ุ มญฺ ามหเมวํ

สพฺโพยํ สงโฺ ฆ อิมํ สปริวารํ ก€นิ ทสุ สฺ ํ, อายสมฺ โต (อิตถฺ น-ฺ


นามสสฺ ) ทาตกุ าโม. ตสมฺ ึ ก€ินํ อตฺถรนฺเต, สพฺโพยํ สงฺโฆ

สมฺมเทว อนโุ มทสิ ฺสติ, อายสฺมโต (อติ ถฺ นนฺ ามสเฺ สว) อมิ ํ

สปรวิ ารํ ก€นิ ทุสสฺ ํ ทาตุ,ํ รจุ ฺจติ วา โน วา สพฺพสฺสิมสสฺ

สงฆฺ สสฺ ?


สงฆ์พงึ รับวา่ “รจุ ฺจติ ภนฺเต”


คำแปล บรรดาเราท้ังหลาย ท่านผู้มีอายุ (ช่ือนี้),
ท่านมีพรรษายุกาลมากกวา่ สงฆ์ท้ังปวง เปน็ พหุสตู ทรงธรรม
ทรงวินัย, แสดงให้เพ่ือนพรหมจรรย์เห็นจริง ได้รับปฏิบัติให้
อาจหาญ ให้รนื่ เริง (ในสัมมาปฏิบตั )ิ , และเปน็ อาจารย์ หรอื เปน็
อปุ ชั ฌายะ เป็นผู้ใหโ้ อวาทสงั่ สอนแก่คฤหัสถ์บรรพชติ เปน็ อันมาก.
อน่ึง สามารถเพ่ือจะกรานกฐิน ไม่ให้วินัยกรรมน้ันๆ กำเริบ.
ข้าพเจ้าสำคัญว่า สงฆ์ท้ังปวงน้ีปรารถนาจะให้ผ้ากฐินกับทั้ง
บริวารน้ี, แก่ท่านผู้มีอายุ (ชื่อนี้), เมื่อท่านนั้นกรานกฐินอยู่,

186

สงฆ์ท้ังปวงน้ีจักอนุโมทนาโดยชอบทั่วกัน, การให้ผ้ากฐินกับท้ัง
บริวารน้,ี แก่ท่าน (ชอื่ น้ี), ย่อมชอบหรือไม่ชอบแก่สงฆ์ทงั้ ปวง?


“ชอบละ เจ้าข้า”




(รปู ที่ ๔ ว่าดังน้)ี

ยทิ อายสฺมโต (อติ ฺถนนฺ ามสฺส) อมิ ํ สปริวารํ ก€ิน-

ทสุ สฺ ํ ทาตํุ, สพฺพสสฺ มิ สฺส สงฆฺ สฺส รจุ ฺจต,ิ สาธุ ภนฺเต

สงฺโฆ อมิ ํ ก€นิ ทสุ ฺสปริวารภตู ํ ติจวี รํ วสฺสาวาสิกฏฺ€ิตกิ าย
อคาเหตวฺ า, อายสฺมโต (อติ ถฺ นนฺ ามสฺเสว) อมิ นิ า อปโลก-
เนน ททาตุ. ก€นิ ทสุ ฺสํ ปน อปโลกเนน ทยิ ยฺ มานปํ ิ น

รหู ต.ิ ตสมฺ า ตํ อทิ านิ ตตฺ ทิ ตุ ิเยน กมเฺ มน อกุปเฺ ปน

€านารเหน, อายสฺมโต (อิตฺถนนฺ ามสฺส) เทมาต,ิ กมฺมสนฺ-

นฏิ €ฺ านํ กโรตุ.


สงฆพ์ ึงรับวา่ “สาธุ ภนเฺ ต”


คำแปล ถ้าการให้ผ้ากฐนิ กับบรวิ ารนี,้ แก่ทา่ น (ชอ่ื ว่า),
ควรชอบแก่สงฆท์ ั้งปวงน้ไี ซร,้ ขอสงฆ์จงให้ผา้ ไตรซงึ่ เป็นบริวาร
ของผ้ากฐินไตรน้ี แก่ท่าน (ช่ือน้ี), ด้วยการอปโลกน์น้ีเถิด
อย่าให้ต้องถือเอาตามลำดับพรรษาเลย. ก็แลผ้ากฐินแม้สงฆ์
จะใหด้ ้วยอปโลกน์ก็ไมข่ ึ้น. (ตอ้ งใหด้ ้วยญัตติทุติยกรรมนนั้ จงึ ข้ึน)
เพราะฉะนั้นบดั น้ี ขอสงฆ์จงทำกรรมสันนฏิ ฐานว่า เราทัง้ หลาย

187


Click to View FlipBook Version