บทสวดมนต์ทำวัตรเชา้
คำบูชาพระรตั นตรัย
สวดพรอ้ มกัน
อะระหัง สัมมาสัมพทุ โธ ภะคะวา,
พระผ้มู ีพระภาคเจ้าเปน็ พระอรหนั ต์, ดบั เพลิงกเิ ลสเพลงิ ทุกข์สิ้นเชิง,
ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองคเ์ อง
พทุ ธงั ภะคะวันตงั อะภิวาเทมิ.
ขา้ พเจ้าอภิวาทพระผู้มพี ระภาคเจา้ , ผรู้ ู้ ผู้ตน่ื ผเู้ บกิ บาน
(กราบ)
สว๎ ากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
พระธรรมเป็นธรรมทพ่ี ระผ้มู พี ระภาคเจ้า, ตรัสไวด้ ีแล้ว
ธมั มัง นะมัสสาม.ิ ขา้ พเจา้ นมสั การพระธรรม
(กราบ)
สปุ ะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาคเจ้า, ปฏิบัติดแี ลว้
สงั ฆงั นะมามิ. ขา้ พเจ้านอบนอ้ มพระสงฆ
์
(กราบ)
ปพุ พะภาคะนะมะการะ
ผนู้ ำสวดเพยี งผู้เดียว
หันทะทานิ มะยันตงั ภะคะวนั ตงั วาจายะ อะภิถตุ ุง
ปุพพะภาคะนะมะการงั กะโรมะ เส.
(บดั นี้ เชญิ เถดิ , เราจงทำการนอบนอ้ มแดพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้
อนั เปน็ สว่ นเบอ้ื งตน้ เพ่อื สรรเสรญิ ด้วยวาจาเถดิ )
สวดพร้อมกัน
ขอนอบน้อมแดพ่ ระผ้มู พี ระภาคเจา้ , พระองคน์ ้นั
ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต ตรัสรชู้ อบได้โดยพระองค์เอง
อะระหะโต
สัมมาสมั พทุ ธสั สะ. (ว่า ๓ ครั้ง)
1
พทุ ธาภถิ ตุ
ิ
ผนู้ ำสวดเพยี งผูเ้ ดียว
หันทะ มะยงั พทุ ธาภิถตุ ิง กะโรมะ เส.
(เชิญเถดิ เราทัง้ หลาย, ทำความชมเชยเฉพาะพระพุทธเจา้ เถิด)
สวดพรอ้ มกนั
โย โส ตะถาคะโต พระตถาคตเจา้ นั้น พระองคใ์ ด
อะระหัง เปน็ ผ้ไู กลจากกเิ ลส
สัมมาสมั พทุ โธ, เปน็ ผตู้ รสั รู้ชอบไดโ้ ดยพระองค์เอง
วชิ ชาจะระณะสมั ปนั โน เปน็ ผ้ถู งึ พร้อมดว้ ยวิชชาและจรณะ
สคุ ะโต เปน็ ผู้ไปแล้วดว้ ยดี
โลกะวิทู, เปน็ ผรู้ ู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
อะนตุ ตะโร ปรุ สิ ะทมั มะสาระถ ิ เปน็ ผสู้ ามารถฝกึ บรุ ษุ ทสี่ มควรฝกึ ได้ อยา่ งไมม่ ใี ครยงิ่ กวา่
สตั ถา เทวะมะนสุ สานงั เป็นครูผสู้ อนของเทวดาและมนุษยท์ ัง้ หลาย
พุทโธ เปน็ ผ้รู ู้ ผู้ตื่น ผ้เู บิกบานดว้ ยธรรม
ภะคะวา, เปน็ ผมู้ ีความจำเรญิ จำแนกธรรมสัง่ สอนสัตว์
โย อิมงั โลกงั สะเทวะกงั สะมาระกงั สะพร๎ หั ๎มะกงั ,
สสั สะมะณะพร๎ าหม๎ ะณงิ ปะชงั สะเทวะมะนสุ สงั สะยงั อะภญิ ญา สจั ฉกิ ตั ว๎ า ปะเวเทส,ิ
พระผู้มพี ระภาคเจา้ พระองค์ใด, ไดท้ รงทำความดับทกุ ขใ์ ห้แจง้ ,
ดว้ ยพระปญั ญาอนั ยงิ่ เองแลว้ , ทรงสอนโลกนพี้ รอ้ มทง้ั เทวดา มาร พรหม,
และหมสู่ ตั วพ์ รอ้ มทงั้ สมณพราหมณ,์ พรอ้ มทง้ั เทวดาและมนษุ ยใ์ หร้ ตู้ าม
โย ธมั มัง เทเสส ิ พระผ้มู พี ระภาคเจา้ พระองคใ์ ด, ทรงแสดงธรรมแลว้
อาทิกัล๎ยาณัง ไพเราะในเบอื้ งตน้
มชั เฌกลั ย๎ าณงั ไพเราะในทา่ มกลาง
ปะริโยสานะกัล๎ยาณงั , ไพเราะในทสี่ ดุ
สาตถัง สะพย๎ ัญชะนงั เกวะละปะริปุณณงั ปะริสุทธัง พ๎รัห๎มะจะรยิ ัง ปะกาเสสิ,
ทรงประกาศพรหมจรรย,์ คอื แบบแห่งการปฏบิ ัตอิ นั ประเสริฐ
บรสิ ทุ ธ์ิ บรบิ รู ณส์ นิ้ เชงิ , พรอ้ มทง้ั อรรถะ (คำอธบิ าย) พรอ้ มทงั้ พยญั ชนะ (หวั ขอ้ )
ตะมะหงั ภะคะวนั ตงั อะภปิ ชู ะยามิ ขา้ พเจา้ บชู าอยา่ งยงิ่ , เฉพาะพระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคน์ น้ั
ตะมะหงั ภะคะวันตงั สิระสา นะมาม.ิ
ขา้ พเจ้านอบน้อมพระผมู้ ีพระภาคเจ้าพระองคน์ ัน้ , ดว้ ยเศียรเกลา้
(กราบระลึกถึงพระพุทธคณุ )
2
ธัมมาภถิ ุติ
ผูน้ ำสวดเพยี งผู้เดียว
หนั ทะ มะยัง ธมั มาภถิ ุตงิ กะโรมะ เส.
(เชญิ เถดิ เราทง้ั หลาย ทำความชมเชยเฉพาะพระธรรมเถิด)
สวดพร้อมกัน
โย โส สว๎ ากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม, พระธรรมนน้ั ใด, เปน็ ส่ิงทพ่ี ระผมู้ ีพระภาคเจ้า,
ไดต้ รสั ไวด้ ีแลว้
สนั ทฏิ ฐิโก เป็นสิง่ ทผ่ี ศู้ กึ ษาและปฏิบตั พิ งึ เหน็ ไดด้ ว้ ยตนเอง
อะกาลโิ ก เปน็ ส่ิงทีป่ ฏิบตั ไิ ดแ้ ละใหผ้ ลได้ไม่จำกดั กาล
เอหิปัสสิโก, เป็นสง่ิ ที่ควรกล่าวกบั ผู้อนื่ วา่ ท่านจงมาดเู ถิด
โอปะนะยโิ ก เปน็ สิง่ ทีค่ วรน้อมเข้ามาใส่ตัว
ปจั จัตตัง เวทิตพั โพ วิญญหู ,ิ เป็นส่งิ ท่ผี ู้รูก้ ็รไู้ ด้เฉพาะตน
ตะมะหงั ธมั มัง อะภิปชู ะยามิ ขา้ พเจา้ บูชาอยา่ งยง่ิ , เฉพาะพระธรรมน้ัน
ตะมะหัง ธัมมงั สริ ะสา นะมาม.ิ ข้าพเจา้ นอบน้อมพระธรรมนน้ั , ด้วยเศยี รเกลา้
(กราบระลึกถงึ พระธรรมคณุ )
สังฆาภถิ ุต
ิ
ผ้นู ำสวดเพียงผเู้ ดียว
หนั ทะ มะยัง สงั ฆาภถิ ุติง กะโรมะ เส.
(เชญิ เถิด เราทง้ั หลาย ทำความชมเชยเฉพาะพระสงฆเ์ ถดิ )
สวดพร้อมกนั
โย โส สุปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,
สงฆส์ าวกของพระผูม้ ีพระภาคเจา้ นน้ั หมู่ใด, ปฏิบตั ิดแี ลว้
อุชุปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สงฆส์ าวกของพระผู้มพี ระภาคเจา้ หมู่ใด, ปฏิบตั ติ รงแลว้
ญายะปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,
สงฆส์ าวกของพระผู้มีพระภาคเจา้ หมู่ใด,
ปฏิบตั เิ พ่ือรู้ธรรมเปน็ เคร่ืองออกจากทุกขแ์ ลว้
3
สามจี ปิ ะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สงฆส์ าวกของพระผ้มู พี ระภาคเจ้าหมูใ่ ด, ปฏบิ ัติสมควรแลว้
ยะทิทงั ได้แก่บคุ คลเหลา่ นี้คอื
จตั ตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา,
คู่แห่งบุรุษ ๔ ค๑ู่ นบั เรียงตัวบรุ ุษได้แปดบุรษุ
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, นั่นแหละ สงฆส์ าวกของพระผมู้ ีพระภาคเจ้า
อาหุเนยโย เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะท่ีเขานำมาบชู า
ปาหเุ นยโย เป็นสงฆค์ วรแก่สกั การะทเ่ี ขาจดั ไว้ตอ้ นรับ
ทกั ขิเณยโย เปน็ ผู้ควรรับทักษณิ าทาน
อญั ชะลกิ ะระณีโย, เปน็ ผทู้ ่ีบุคคลท่ัวไปควรทำอัญชลี
อะนุตตะรงั ปุญญักเขตตงั โลกสั สะ, เป็นเน้อื นาบุญของโลก, ไม่มีนาบญุ อืน่ ยงิ่ กว่า
ตะมะหัง สังฆงั อะภปิ ูชะยามิ ข้าพเจา้ บูชาอย่างยิ่ง, เฉพาะพระสงฆห์ มูน่ น้ั
ตะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ. ขา้ พเจา้ น้อบน้อมพระสงฆ์หม่นู ั้น, ด้วยเศยี รเกล้า
(กราบระลกึ ถงึ พระสงั ฆคณุ แล้วนัง่ พับเพียบเปน็ ปกติ)
ระตะนตั ตะยปั ปะณามะคาถา
ผู้นำสวดเพยี งผู้เดียว
หนั ทะ มะยงั ระตะนตั ตะยปั ปะณามะคาถาโย เจวะ
สงั เวคะวตั ถปุ ะรทิ ปี ะกะปาฐญั จะ (สงั เวคะปะรกิ ติ ตะนะปาฐญั จะ) ภะณามะ เส.
(เชญิ เถดิ เราทงั้ หลาย, สวดคาถานอบนอ้ มพระรตั นตรยั และพระบาลี
แสดงความสลดใจเถดิ )
สวดพร้อมกัน
พุทโธ สสุ ุทโธ กะรุณามะหัณณะโว,
พระพทุ ธเจ้าผูบ้ ริสุทธ์มิ พี ระกรุณาดุจห้วงมหรรณพ
โยจจันตะสุทธพั พะระญาณะโลจะโน,
พระองค์ใดมตี าคือญาณอันประเสรฐิ หมดจดถงึ ท่สี ดุ
๑ บุรษุ สี่คู่ คือ โสดาปตั ติมรรค-โสดาปัตติผล, สกทาคามิมรรค-สกทาคามผิ ล,
อนาคามมิ รรค-อนาคามิผล, อรหตั มรรค-อรหัตผล
4
โลกัสสะ ปาปูปะกเิ ลสะฆาตะโก,
เปน็ ผู้ฆา่ เสียซึง่ บาปและอุปกเิ ลสของโลก
วันทามิ พทุ ธัง อะหะมาทะเรนะ ตงั .
ข้าพเจา้ ไหวพ้ ระพทุ ธเจ้าพระองค์น้ัน, โดยใจเคารพเอ้อื เฟอื้
ธมั โม ปะทโี ป วยิ ะ ตัสสะ สัตถุโน,
พระธรรมของพระศาสดาสว่างรงุ่ เรอื งเปรียบดวงประทีป
โย มคั คะปากามะตะเภทะภนิ นะโก,
จำแนกประเภทคอื มรรคผลนพิ พานส่วนใด
โลกุตตะโร โย จะ ตะทัตถะทปี ะโน,
ซ่งึ เปน็ ตวั โลกตุ ตระ, และสว่ นใดทีช่ ีแ้ นวแหง่ โลกุตตระนนั้
วนั ทามิ ธัมมงั อะหะมาทะเรนะ ตัง.
ขา้ พเจา้ ไหวพ้ ระธรรมน้นั , โดยใจเคารพเอือ้ เฟอ้ื
สังโฆ สเุ ขตตาภ๎ยะติเขตตะสัญญโิ ต,
พระสงฆเ์ ป็นนาบุญอันยิ่งใหญก่ ว่านาบญุ อันดีทงั้ หลาย
โย ทฏิ ฐะสนั โต สคุ ะตานโุ พธะโก,
เปน็ ผู้เห็นพระนพิ พาน, ตรสั รูต้ ามพระสคุ ตหม่ใู ด
โลลัปปะหโี น อะริโย สุเมธะโส,
เปน็ ผลู้ ะกเิ ลสเครือ่ งโลเล, เปน็ พระอริยเจา้ มปี ัญญาดี
วันทามิ สังฆัง อะหะมาทะเรนะ ตัง.
ข้าพเจา้ ไหวพ้ ระสงฆห์ ม่นู ้นั , โดยใจเคารพเอือ้ เฟอื้
อจิ เจวะเมกนั ตะภปิ ชู ะเนยยะกงั , วัตถตุ ตะยัง วันทะยะตาภสิ งั ขะตัง,
ปญุ ญัง มะยา ยงั มะมะ สัพพปุ ัททะวา, มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสทิ ธยิ า.
บุญใดที่ขา้ พเจา้ ผไู้ หวอ้ ยซู่ ึ่งวตั ถสุ าม,
คอื พระรัตนตรยั อนั ควรบูชายง่ิ โดยส่วนเดยี ว,
ไดก้ ระทำแล้วเปน็ อยา่ งย่ิงเช่นนน้ี ้,ี ขออุปัทวะ (ความชั่ว) ทง้ั หลาย,
จงอยา่ มีแก่ขา้ พเจา้ เลย, ด้วยอำนาจความสำเรจ็ อันเกิดจากบญุ นน้ั
5
สงั เวคะวตั ถปุ ะรทิ ีปะกะปาฐะ
สวดพร้อมกนั
อธิ ะ ตะถาคะโต โลเก อปุ ปันโน พระตถาคตเจา้ เกดิ ขน้ึ แล้วในโลกน
้ี
อะระหงั สมั มาสมั พทุ โธ, เปน็ ผไู้ กลจากกเิ ลส, ตรสั รชู้ อบไดโ้ ดยพระองคเ์ อง
ธัมโม จะ เทสโิ ต นยิ ยานโิ ก และพระธรรมทที่ รงแสดง,
เป็นธรรมเคร่อื งออกจากทุกข์
อุปะสะมิโก ปะรินพิ พานโิ ก เปน็ เครอื่ งสงบกิเลส, เปน็ ไปเพ่ือปรินิพพาน
สัมโพธะคามี สคุ ะตัปปะเวทโิ ต, เป็นไปเพ่อื ความรู้พร้อม,
เปน็ ธรรมที่พระสุคตประกาศ
มะยนั ตงั ธมั มงั สตุ ว๎ า เอวงั ชานามะ, พวกเราเมอื่ ไดฟ้ งั ธรรมนน้ั แลว้ , จงึ ไดร้ อู้ ยา่ งนว้ี า่
ชาตปิ ิ ทุกขา แมค้ วามเกิดก็เป็นทุกข
์
ชะราปิ ทุกขา แมค้ วามแก่กเ็ ป็นทกุ ข
์
มะระณมั ปิ ทุกขัง, แมค้ วามตายกเ็ ปน็ ทุกข์
โสกะปะรเิ ทวะทกุ ขะโทมะนสั สปุ ายาสาปิ ทุกขา,
แม้ความโศก ความร่ำไรรำพัน,
ความไม่สบายกาย ความไมส่ บายใจ ความคบั แค้นใจก็เปน็ ทุกข์
อปั ปิเยหิ สมั ปะโยโค ทกุ โข ความประสบกบั สงิ่ ไมเ่ ป็นท่รี ักทพี่ อใจกเ็ ป็นทกุ ข
์
ปเิ ยหิ วปิ ปะโยโค ทกุ โข ความพลดั พรากจากสงิ่ เปน็ ทร่ี กั ทพี่ อใจกเ็ ปน็ ทกุ ข์
ยมั ปจิ ฉัง นะ ละภะติ ตมั ปิ ทุกขัง, มีความปรารถนาส่ิงใดไมไ่ ดส้ ่งิ นน้ั น่ันกเ็ ป็นทกุ ข์
สงั ขิตเตนะ ปญั จุปาทานักขนั ธา ทุกขา, ว่าโดยย่อ, อปุ าทานขันธ์ทัง้ หา้ เปน็ ตวั ทุกข์
เสยยะถที ัง, ไดแ้ กส่ ่งิ เหล่าน้คี ือ
รปู ปู าทานักขันโธ, ขนั ธอ์ ันเปน็ ทต่ี ั้งแหง่ ความยดึ มนั่ คือรูป
เวทะนปู าทานกั ขนั โธ, ขันธ์อันเป็นท่ตี ั้งแห่งความยึดมนั่ คอื เวทนา
สญั ญูปาทานกั ขันโธ, ขันธ์อันเป็นทตี่ ัง้ แห่งความยดึ ม่นั คือสญั ญา
สังขารปู าทานกั ขนั โธ, ขนั ธอ์ นั เป็นทต่ี ั้งแห่งความยดึ ม่นั คือสังขาร
วญิ ญาณปู าทานกั ขันโธ, ขันธอ์ นั เป็นท่ตี ง้ั แหง่ ความยดึ ม่นั คือวิญญาณ
เยสงั ปะรญิ ญายะ, เพอื่ ใหส้ าวกกำหนดรอบรอู้ ปุ าทานขนั ธเ์ หลา่ นเี้ อง
ธะระมาโน โส ภะคะวา, พระผู้มีพระภาคเจา้ น้นั , เมอ่ื ยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่
เอวงั พะหลุ งั สาวะเก วเิ นต,ิ ยอ่ มทรงแนะนำสาวกทงั้ หลาย เชน่ นเี้ ปน็ สว่ นมาก
6
เอวัง ภาคา จะ ปะนัสสะ ภะคะวะโต สาวะเกสุ อะนสุ าสะนี, พะหลุ า ปะวัตตะติ,
อนึ่ง คำส่งั สอนของพระผู้มพี ระภาคเจา้ น้ัน, ย่อมเป็นไปในสาวกทงั้ หลาย,
ส่วนมาก, มีสว่ นคอื การจำแนกอย่างน้ีว่า
รูปัง อะนจิ จัง, รูปไมเ่ ทย่ี ง
เวทะนา อะนิจจา, เวทนาไมเ่ ทย่ี ง
สญั ญา อะนิจจา, สัญญาไม่เท่ยี ง
สงั ขารา อะนจิ จา, สงั ขารไมเ่ ทีย่ ง
วิญญาณงั อะนจิ จัง, วญิ ญาณไม่เที่ยง
รูปัง อะนัตตา, รูปไม่ใชต่ วั ตน
เวทะนา อะนัตตา, เวทนาไม่ใชต่ วั ตน
สัญญา อะนตั ตา, สัญญาไมใ่ ช่ตวั ตน
สงั ขารา อะนตั ตา, สงั ขารไม่ใชต่ ัวตน
วญิ ญาณงั อะนัตตา, วญิ ญาณไมใ่ ชต่ วั ตน
สพั เพ สังขารา อะนิจจา, สงั ขารทง้ั หลายท้งั ปวงไม่เที่ยง
สพั เพ ธมั มา อะนตั ตาต,ิ ธรรมท้งั หลายทงั้ ปวง, ไม่ใช่ตวั ตน, ดังน้ี
เต (ตา)๑ มะยงั , โอติณณามห๎ ะ พวกเราทง้ั หลายเปน็ ผู้ถกู ครอบงำแลว้
ชาติยา โดยความเกดิ
ชะรามะระเณนะ, โดยความแกแ่ ละความตาย
โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อปุ ายาเสหิ,
โดยความโศก ความรำ่ ไรรำพัน,
ความไมส่ บายกาย ความไมส่ บายใจ
ความคบั แคน้ ใจทัง้ หลาย
ทกุ โขติณณา เปน็ ผู้ถูกความทุกขห์ ย่ังเอาแล้ว
ทุกขะปะเรตา, เป็นผมู้ คี วามทุกข์เป็นเบือ้ งหนา้ แลว้
อัปเปวะนามิมสั สะ เกวะลัสสะ ทุกขกั ขนั ธัสสะ อันตะกริ ยิ า ปัญญาเยถาต.ิ
ทำไฉน, การทำทสี่ ุดแหง่ กองทกุ ขท์ ้ังสนิ้ น,ี้
จะพงึ ปรากฏชดั แกเ่ ราได้
๑ ในวงเล็บ ( ) สตรีสวด
7
(สำหรับพระภิกษสุ ามเณรสวด)
จิระปะรินพิ พุตมั ปิ ตัง ภะคะวันตงั อทุ ทิสสะ อะระหนั ตงั สัมมาสัมพุทธัง,
เราทง้ั หลาย อทุ ศิ เฉพาะพระผูม้ พี ระภาคเจา้ , ผู้ไกลจากกิเลส,
ตรสั รชู้ อบไดโ้ ดยพระองค์เอง, แม้ปรนิ พิ พานนานแล้วพระองค์นัน้
สทั ธา อะคารัสม๎ า อะนะคาริยงั ปพั พะชิตา,
เปน็ ผมู้ ีศรทั ธาออกบวชจากเรอื น, ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรอื นแล้ว
ตัส๎มิง ภะคะวะติ พ๎รัห๎มะจะรยิ งั จะรามะ,
ประพฤตอิ ย่ซู งึ่ พรหมจรรย์, ในพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นนั้
ภกิ ขนู ัง สกิ ขาสาชวี ะสะมาปันนา,๑
ถึงพรอ้ มดว้ ยสกิ ขาและธรรมเป็นเคร่ืองเล้ียงชีวติ ของภิกษทุ งั้ หลาย
ตงั โน พร๎ หั ม๎ ะจะรยิ งั , อมิ สั สะ เกวะลสั สะ ทกุ ขกั ขนั ธสั สะ อนั ตะกริ ยิ ายะ สงั วตั ตะต.ุ
ขอใหพ้ รหมจรรย์ของเราทั้งหลายนน้ั ,
จงเปน็ ไปเพ่อื การทำทีส่ ดุ แหง่ กองทกุ ข์ท้ังสนิ้ นี้ เทอญ
หมายเหต๑ุ สามเณรพงึ งดคำวา่ ภกิ ขูนัง สกิ ขาสาชวี ะสะมาปันนา ที่ขดี เสน้ ใต้ออกเสยี
ถ้าคฤหัสถส์ วด ตงั้ แต่ อธิ ะ ตะถาคะโต จนถงึ ปญั ญาเยถาติ แล้วสวดดงั น
ี้
(สำหรบั คฤหัสถ์สวด)
จิระปะรินิพพุตมั ปิ ตงั ภะคะวนั ตัง สะระณงั คะตา,
เราท้ังหลาย ผถู้ งึ แล้วซ่ึงพระผมู้ ีพระภาคเจ้า,
แม้ปรินพิ พานนานแลว้ พระองคน์ น้ั , เปน็ สรณะ
ธมั มญั จะ ภิกขุสังฆญั จะ, ถึงพระธรรมดว้ ย, ถงึ พระสงฆด์ ้วย
ตสั สะ ภะคะวะโต สาสะนงั , ยะถาสะติ ยะถาพะลงั มะนะสกิ ะโรมะ,
อะนุปะฏิปชั ชามะ,
จักทำในใจอยู,่ ปฏิบัติตามอย่,ู
ซ่งึ คำสั่งสอนของพระผู้มพี ระภาคเจ้าน้นั , ตามสติกำลงั
สา สา โน ปะฏปิ ตั ติ, ขอใหค้ วามปฏิบัตนิ ั้นๆ ของเราทงั้ หลาย
อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทกุ ขกั ขันธสั สะ อนั ตะกริ ยิ ายะ สังวัตตะต.ุ
จงเป็นไปเพ่อื การทำท่สี ุดแหง่ กองทุกข์ทง้ั ส้นิ นี้ เทอญ
(จบบทสวดมนต์ทำวัตรเช้า)
8
บทสวดมนตท์ ำวตั รเย็น
คำบชู าพระรตั นตรัย
สวดพรอ้ มกัน
อะระหัง สมั มาสมั พทุ โธ ภะคะวา,
พระผมู้ ีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต,์ ดบั เพลงิ กิเลสเพลงิ ทุกข์สน้ิ เชิง,
ตรัสร้ชู อบไดโ้ ดยพระองค์เอง
พุทธงั ภะคะวนั ตงั อะภิวาเทม.ิ
ขา้ พเจา้ อภวิ าทพระผูม้ ีพระภาคเจ้า, ผ้รู ู้ ผู้ตืน่ ผเู้ บิกบาน
(กราบ)
สว๎ ากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม,
พระธรรมเปน็ ธรรมท่พี ระผมู้ พี ระภาคเจ้า, ตรสั ไว้ดีแลว้
ธัมมงั นะมสั สาม.ิ ขา้ พเจา้ นมัสการพระธรรม
(กราบ)
สปุ ะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,
พระสงฆ์สาวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ , ปฏบิ ตั ดิ ีแล้ว
สงั ฆัง นะมามิ. ขา้ พเจา้ นอบนอ้ มพระสงฆ
์
(กราบ)
ปพุ พะภาคะนะมะการะ
ผู้นำสวดเพียงผู้เดยี ว
หันทะ มะยงั พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส.
(เชญิ เถิด เราทงั้ หลาย, ทำความนอบนอ้ มอนั เป็นส่วนเบ้ืองตน้
แด่พระผมู้ พี ระภาคเจ้าเถิด)
สวดพรอ้ มกัน
ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระผู้มพี ระภาคเจา้ , พระองค์นัน้
ซึ่งเปน็ ผไู้ กลจากกิเลส
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต ตรัสรู้ชอบไดโ้ ดยพระองค์เอง
อะระหะโต
สมั มาสมั พุทธสั สะ. (วา่ ๓ คร้ัง)
9
พุทธานสุ สะต
ิ
ผูน้ ำสวดเพียงผเู้ ดียว
หนั ทะ มะยงั พุทธานุสสะตินะยงั กะโรมะ เส.
(เชญิ เถดิ เราทง้ั หลาย, ทำความระลึกถึงพระพุทธเจ้าเถดิ )
สวดพร้อมกัน
ตงั โข ปะนะ ภะคะวันตัง เอวัง กัลย๎ าโณ กิตติสัทโท อัพภคุ คะโต,
ก็กิตตศิ ัพทอ์ ันงามของพระผ้มู พี ระภาคเจา้ นัน้ , ได้ฟุ้งไปแลว้ อยา่ งนวี้ า่
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา เพราะเหตอุ ย่างนีๆ้ , พระผมู้ พี ระภาคเจ้าน้นั
อะระหัง เปน็ ผู้ไกลจากกเิ ลส
สมั มาสมั พทุ โธ, เปน็ ผู้ตรสั รชู้ อบได้โดยพระองค์เอง
วิชชาจะระณะสัมปันโน เป็นผู้ถงึ พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
สคุ ะโต เป็นผ้ไู ปแลว้ ดว้ ยดี
โลกะวทิ ,ู เป็นผู้รู้โลกอยา่ งแจ่มแจง้
อะนุตตะโร ปุริสะทมั มะสาระถิ เปน็ ผสู้ ามารถฝึกบุรุษทีส่ มควรฝึกได
้
อยา่ งไม่มใี ครย่งิ กวา่
สัตถา เทวะมะนสุ สานงั เปน็ ครผู ู้สอนของเทวดาและมนษุ ย์ทง้ั หลาย
พุทโธ เปน็ ผรู้ ู้ ผู้ต่นื ผู้เบกิ บานด้วยธรรม
ภะคะวาติ. เปน็ ผมู้ คี วามจำเริญ จำแนกธรรมสง่ั สอนสัตว,์ ดังน
้ี
พุทธาภคิ ีติ
ผนู้ ำสวดเพียงผูเ้ ดียว
หนั ทะ มะยัง พทุ ธาภิคตี งิ กะโรมะ เส.
(เชญิ เถิด เราทงั้ หลาย, ทำการกล่าวคาถาพรรณนาเฉพาะพระพทุ ธเจา้ เถดิ )
สวดพร้อมกนั
พุทธ๎วาระหนั ตะวะระตาทคิ ณุ าภยิ ุตโต,
พระพทุ ธเจา้ ประกอบด้วยคุณ, มีความประเสริฐแห่งอรหนั ตคณุ เป็นต้น
สุทธาภิญาณะกะรุณาหิ สะมาคะตัตโต,
มีพระองคอ์ นั ประกอบดว้ ยพระญาณ, และพระกรณุ าอนั บริสทุ ธิ
์
10
โพเธสิ โย สุชะนะตงั กะมะลงั วะ สโู ร,
พระองค์ใดทรงกระทำชนทีด่ ีใหเ้ บิกบาน, ดุจอาทติ ยท์ ำบวั ให้บาน
วันทามะหงั ตะมะระณงั สริ ะสา ชเิ นนทงั ,
ขา้ พเจา้ ไหวพ้ ระชินสหี ,์ ผ้ไู มม่ กี ิเลสพระองค์น้นั , ดว้ ยเศยี รเกล้า
พุทโธ โย สพั พะปาณีนงั สะระณัง เขมะมตุ ตะมงั ,
พระพทุ ธเจ้าพระองคใ์ ด, เป็นสรณะอันเกษมสงู สดุ ของสตั วท์ ั้งหลาย
ปะฐะมานุสสะติฏฐานงั วันทามิ ตัง สเิ รนะหัง,
ข้าพเจ้าไหวพ้ ระพุทธเจ้าพระองคน์ ้ัน, อนั เป็นทตี่ ้ังแห่งความระลกึ
องค์ท่ีหนึ่งด้วยเศียรเกลา้
พทุ ธสั สาหสั ม๎ ิ ทาโส (ทาส)ี ๑ วะ พทุ โธ เม สามิกิสสะโร,
ข้าพเจา้ เป็นทาสของพระพทุ ธเจา้ ,
พระพทุ ธเจา้ เปน็ นายมอี ิสระเหนอื ข้าพเจ้า
พทุ โธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วธิ าตา จะ หติ สั สะ เม,
พระพทุ ธเจา้ เป็นเคร่อื งกำจัดทุกข,์ และทรงไว้ซ่งึ ประโยชนแ์ กข่ า้ พเจ้า
พุทธสั สาหัง นยิ ยาเทมิ สะรรี ญั ชวี ิตัญจทิ งั ,
ขา้ พเจา้ มอบกายถวายชวี ติ นี,้ แดพ่ ระพุทธเจา้
วนั ทันโตหัง (ตีหงั )๒ จะริสสามิ พทุ ธัสเสวะ สุโพธิตัง,
ข้าพเจา้ ผไู้ หวอ้ ยจู่ กั ประพฤติตาม, ซง่ึ ความตรัสร้ดู ขี องพระพุทธเจ้า
นัตถิ เม สะระณงั อัญญงั พทุ โธ เม สะระณัง วะรัง,
ท่พี ง่ึ อื่นของข้าพเจ้าไม่ม,ี พระพุทธเจา้ เปน็ ทพ่ี ง่ึ อนั ประเสริฐของขา้ พเจา้
เอเตนะ สจั จะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุ สาสะเน,
ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี,้ ขา้ พเจา้ พงึ เจรญิ ในพระศาสนาของพระศาสดา
พทุ ธงั เม วันทะมาเนนะ (มานายะ)๓ ยัง ปญุ ญงั ปะสุตัง อธิ ะ,
ขา้ พเจา้ ผู้ไหว้อยซู่ ง่ึ พระพุทธเจ้า, ไดข้ วนขวายบุญใดในบัดน้ี
สพั เพปิ อนั ตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา.
อนั ตรายทง้ั ปวง, อยา่ ไดม้ ีแกข่ ้าพเจา้ , ดว้ ยเดชแหง่ บุญนั้น
๑, ๒, ๓ ในวงเลบ็ ( ) สตรสี วด
11
(หมอบกราบลงวา่ )
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา,
ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ดว้ ยใจก็ดี
พทุ เธ กุกมั มงั ปะกะตงั มะยา ยัง,
กรรมน่าตเิ ตียนอันใด, ทข่ี ้าพเจ้ากระทำแลว้ ในพระพุทธเจา้
พุทโธ ปะฏิคคณั ห๎ ะตุ อัจจะยันตงั ,
ขอพระพุทธเจา้ จงงดซงึ่ โทษลว่ งเกนิ อันน้ัน
กาลันตะเร สังวะรติ งุ วะ พุทเธ.
เพือ่ การสำรวมระวงั ในพระพุทธเจ้าในกาลต่อไป
(น่ังคุกเข่าขึ้น)
ธัมมานสุ สะต
ิ
ผนู้ ำสวดเพยี งผเู้ ดียว
หนั ทะ มะยัง ธมั มานสุ สะตนิ ะยงั กะโรมะ เส.
(เชญิ เถดิ เราทงั้ หลาย, ทำความระลกึ ถงึ พระธรรมเถิด)
สวดพร้อมกนั
สว๎ ากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม, พระธรรมเป็นสงิ่ ท่ีพระผู้มพี ระภาคเจา้ ,
ไดต้ รัสไวด้ ีแลว้
สนั ทิฏฐิโก เปน็ ส่ิงที่ผูศ้ ึกษาและปฏิบตั พิ ึงเหน็ ได้ด้วยตนเอง
อะกาลิโก เป็นสิง่ ที่ปฏบิ ตั ไิ ด้และให้ผลไดไ้ มจ่ ำกัดกาล
เอหปิ ัสสโิ ก, เป็นสง่ิ ทค่ี วรกลา่ วกับผูอ้ ่ืนวา่ ทา่ นจงมาดเู ถิด
โอปะนะยโิ ก เป็นสงิ่ ทีค่ วรน้อมเข้ามาใสต่ วั
ปัจจัตตัง เวทติ พั โพ วญิ ญหู ตี .ิ เปน็ ส่ิงท่ีผ้รู ู้กร็ ไู้ ด้เฉพาะตน, ดงั น้
ี
ธัมมาภิคีติ
ผ้นู ำสวดเพยี งผเู้ ดยี ว
หนั ทะ มะยงั ธัมมาภคิ ีติง กะโรมะ เส.
(เชิญเถดิ เราทงั้ หลาย, ทำการกล่าวคาถาพรรณนาเฉพาะพระธรรมเถิด)
12
สวดพรอ้ มกัน
ส๎วากขาตะตาทคิ ุณะโยคะวะเสนะ เสยโย,
พระธรรมเป็นสง่ิ ทป่ี ระเสริฐเพราะประกอบดว้ ยคณุ ,
คอื ความท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรสั ไวด้ แี ล้วเปน็ ตน้
โย มัคคะปากะปะรยิ ตั ติวโิ มกขะเภโท,
เปน็ ธรรมอนั จำแนกเป็นมรรค ผล ปริยัติ และนิพพาน
ธัมโม กุโลกะปะตะนา ตะทะธาริธาร,ี
เป็นธรรมทรงไว้ซ่ึงผูท้ รงธรรม, จากการตกไปสู่โลกท่ชี ่ัว
วนั ทามะหัง ตะมะหะรงั วะระธัมมะเมตงั ,
ขา้ พเจา้ ไหว้พระธรรมอนั ประเสรฐิ น้นั , อันเป็นเครือ่ งขจัดเสยี ซึง่ ความมืด
ธมั โม โย สพั พะปาณนี ัง สะระณงั เขมะมตุ ตะมัง,
พระธรรมใดเป็นสรณะอนั เกษมสงู สดุ ของสัตว์ท้ังหลาย
ทุติยานสุ สะตฏิ ฐานงั วนั ทามิ ตัง สเิ รนะหัง,
ขา้ พเจา้ ไหวพ้ ระธรรมนนั้ ,
อันเปน็ ทตี่ งั้ แห่งความระลึกองคท์ ี่สองด้วยเศียรเกลา้
ธัมมสั สาหสั ม๎ ิ ทาโส (ทาสี)๑ วะ ธัมโม เม สามิกสิ สะโร,
ขา้ พเจ้าเป็นทาสของพระธรรม, พระธรรมเปน็ นายมีอสิ ระเหนือขา้ พเจ้า
ธมั โม ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วธิ าตา จะ หิตัสสะ เม,
พระธรรมเปน็ เครื่องกำจัดทุกข,์ และทรงไวซ้ ง่ึ ประโยชนแ์ ก่ข้าพเจา้
ธมั มสั สาหงั นยิ ยาเทมิ สะรรี ัญชีวิตัญจทิ งั ,
ขา้ พเจา้ มอบกายถวายชวี ิตนี้, แด่พระธรรม
วนั ทันโตหงั (ตหี ัง)๒ จะริสสามิ ธมั มัสเสวะ สุธมั มะตัง,
ข้าพเจา้ ผูไ้ หว้อย่จู ักประพฤติตาม, ซงึ่ ความเป็นธรรมดขี องพระธรรม
นัตถิ เม สะระณัง อัญญงั ธัมโม เม สะระณงั วะรงั ,
ท่พี ่ึงอ่นื ของขา้ พเจ้าไม่มี, พระธรรมเปน็ ที่พึ่งอนั ประเสริฐของขา้ พเจา้
เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ วัฑเฒยยงั สัตถุ สาสะเน,
ด้วยการกลา่ วคำสตั ยน์ ,ี้ ข้าพเจ้าพึงเจรญิ ในพระศาสนาของพระศาสดา
ธมั มงั เม วนั ทะมาเนนะ (มานายะ)๓ ยงั ปญุ ญัง ปะสุตงั อิธะ,
ขา้ พเจ้าผไู้ หว้อย่ซู ่งึ พระธรรม, ได้ขวนขวายบุญใดในบัดน้ี
สัพเพปิ อันตะรายา เม มาเหสงุ ตัสสะ เตชะสา.
อนั ตรายทัง้ ปวง, อย่าไดม้ แี ก่ข้าพเจา้ , ด้วยเดชแห่งบุญนนั้
๑ ,๒, ๓ ในวงเลบ็ ( ) สตรสี วด
13
(หมอบกราบลงว่า)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา,
ดว้ ยกายกด็ ี ด้วยวาจากด็ ี ดว้ ยใจก็ดี
ธมั เม กกุ มั มงั ปะกะตงั มะยา ยัง,
กรรมน่าตเิ ตียนอันใด, ทขี่ า้ พเจา้ กระทำแลว้ ในพระธรรม
ธัมโม ปะฏิคคัณ๎หะตุ อจั จะยันตัง,
ขอพระธรรมจงงดซง่ึ โทษลว่ งเกนิ อันน้นั
กาลนั ตะเร สงั วะรติ งุ วะ ธมั เม.
เพือ่ การสำรวมระวงั ในพระธรรมในกาลต่อไป
(นง่ั คุกเขา่ ข้นึ )
สงั ฆานุสสะต
ิ
ผูน้ ำสวดเพยี งผ้เู ดียว
หันทะ มะยัง สงั ฆานสุ สะตนิ ะยัง กะโรมะ เส.
(เชญิ เถดิ เราท้ังหลาย, ทำความระลกึ ถงึ พระสงฆเ์ ถิด)
สวดพร้อมกนั
สุปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สงฆส์ าวกของพระผู้มีพระภาคเจา้ หมใู่ ด, ปฏิบตั ดิ แี ล้ว
อชุ ุปะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,
สงฆ์สาวกของพระผู้มพี ระภาคเจ้าหมูใ่ ด, ปฏิบตั ติ รงแลว้
ญายะปะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจา้ หมใู่ ด,
ปฏบิ ัติเพอ่ื รธู้ รรมเป็นเครอื่ งออกจากทกุ ข์แลว้
สามีจิปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด, ปฏิบตั สิ มควรแลว้
ยะทิทงั ได้แกบ่ ุคคลเหล่านค้ี อื
จตั ตาริ ปุรสิ ะยุคานิ อฏั ฐะ ปุรสิ ะปคุ คะลา,
คู่แห่งบรุ ุษ ๔ ค๑ู่ นบั เรียงตัวบรุ ุษไดแ้ ปดบรุ ษุ
๑ บรุ ษุ สี่คู่ คอื โสดาปตั ติมรรค-โสดาปัตติผล, สกทาคามมิ รรค-สกทาคามผิ ล,
อนาคามมิ รรค-อนาคามิผล, อรหัตมรรค-อรหตั ผล
14
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
นั่นแหละ สงฆส์ าวกของพระผูม้ ีพระภาคเจ้า
อาหเุ นยโย เป็นสงฆค์ วรแกส่ กั การะทีเ่ ขานำมาบชู า
ปาหเุ นยโย เปน็ สงฆค์ วรแกส่ ักการะทเ่ี ขาจดั ไว้ต้อนรับ
ทกั ขเิ ณยโย เปน็ ผคู้ วรรับทกั ษณิ าทาน
อัญชะลกิ ะระณีโย, เปน็ ผ้ทู ่บี คุ คลท่วั ไปควรทำอญั ชล
ี
อะนุตตะรงั ปุญญักเขตตัง โลกัสสาต.ิ
เปน็ เน้อื นาบญุ ของโลก, ไมม่ นี าบญุ อืน่ ยิง่ กวา่ , ดงั นี
้
สงั ฆาภิคีติ
ผู้นำสวดเพียงผ้เู ดยี ว
หนั ทะ มะยัง สงั ฆาภิคีตงิ กะโรมะ เส.
(เชญิ เถิด เราทง้ั หลาย, ทำการกล่าวคาถาพรรณนาเฉพาะพระสงฆเ์ ถิด)
สวดพร้อมกัน
สัทธัมมะโช สุปะฏปิ ตั ตคิ ุณาทยิ ตุ โต,
พระสงฆท์ เ่ี กิดโดยพระสทั ธรรม, ประกอบดว้ ยคณุ , มคี วามปฏบิ ัตดิ เี ปน็ ต้น
โยฏฐพั พโิ ธ อะริยะปคุ คะละสังฆะเสฏโฐ,
เป็นหมู่แห่งพระอริยบุคคลอนั ประเสริฐแปดจำพวก
สีลาทิธัมมะปะวะราสะยะกายะจติ โต,
มีกายและจิตอันอาศยั ธรรม, มีศีลเป็นต้นอนั บวร
วันทามะหงั ตะมะริยานะ คะณัง สสุ ุทธงั ,
ข้าพเจา้ ไหว้หมู่แหง่ พระอริยเจา้ เหล่าน้นั , อนั บริสุทธด์ิ ้วยด
ี
สังโฆ โย สัพพะปาณีนัง สะระณงั เขมะมตุ ตะมงั ,
พระสงฆ์หมู่ใด, เปน็ สรณะอันเกษมสูงสุดของสัตวท์ ง้ั หลาย
ตะติยานุสสะตฏิ ฐานงั วันทามิ ตัง สเิ รนะหัง,
ขา้ พเจา้ ไหวพ้ ระสงฆห์ มนู่ นั้ , อนั เปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ ความระลกึ องคท์ สี่ ามดว้ ยเศยี รเกลา้
สงั ฆสั สาหัสม๎ ิ ทาโส (ทาส)ี ๑ วะ สงั โฆ เม สามกิ สิ สะโร,
ขา้ พเจ้าเปน็ ทาสของพระสงฆ,์ พระสงฆ์เปน็ นายมีอสิ ระเหนือข้าพเจ้า
๑ ในวงเลบ็ ( ) สตรสี วด
15
สังโฆ ทกุ ขสั สะ ฆาตา จะ วธิ าตา จะ หิตัสสะ เม,
พระสงฆเ์ ป็นเครอื่ งกำจัดทุกข์, และทรงไว้ซ่ึงประโยชนแ์ กข่ า้ พเจา้
สังฆสั สาหงั นยิ ยาเทมิ สะรรี ัญชีวติ ัญจิทงั ,
ข้าพเจา้ มอบกายถวายชีวิตนี,้ แด่พระสงฆ์
วันทนั โตหงั (ตีหัง)๑ จะริสสามิ สังฆัสโสปะฏิปันนะตัง,
ข้าพเจา้ ผู้ไหว้อยจู่ กั ประพฤตติ าม, ซ่ึงความปฏบิ ัตดิ ขี องพระสงฆ์
นตั ถิ เม สะระณงั อญั ญัง สงั โฆ เม สะระณงั วะรัง,
ทพี่ ่งึ อื่นของขา้ พเจ้าไมม่ ี, พระสงฆ์เป็นทพ่ี ึง่ อนั ประเสริฐของข้าพเจ้า
เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ วฑั เฒยยงั สตั ถุ สาสะเน,
ด้วยการกลา่ วคำสตั ย์น้,ี ขา้ พเจ้าพงึ เจรญิ ในพระศาสนาของพระศาสดา
สงั ฆัง เม วันทะมาเนนะ (มานายะ)๒ ยงั ปญุ ญัง ปะสุตงั อิธะ,
ขา้ พเจ้าผู้ไหวอ้ ยู่ซ่ึงพระสงฆ,์ ไดข้ วนขวายบุญใดในบัดนี้
สัพเพปิ อนั ตะรายา เม มาเหสงุ ตัสสะ เตชะสา.
อันตรายทง้ั ปวง, อย่าไดม้ ีแกข่ ้าพเจ้า, ดว้ ยเดชแหง่ บุญน้นั
(หมอบกราบลงวา่ )
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา,
ดว้ ยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ดว้ ยใจก็ด
ี
สังเฆ กกุ ัมมงั ปะกะตงั มะยา ยัง,
กรรมน่าตเิ ตยี นอนั ใด, ทีข่ า้ พเจา้ กระทำแลว้ ในพระสงฆ
์
สังโฆ ปะฏิคคณั ห๎ ะตุ อจั จะยันตงั ,
ขอพระสงฆ์จงงดซึ่งโทษล่วงเกนิ อนั น้ัน
กาลันตะเร สงั วะรติ ุง วะ สังเฆ.
เพอ่ื การสำรวมระวังในพระสงฆใ์ นกาลตอ่ ไป
(จบแลว้ พงึ นง่ั ราบ)
(จบบทสวดมนตท์ ำวัตรเย็น)
๑, ๒, ในวงเลบ็ ( ) สตรีสวด
16
ชมุ นุมเทวดา
ประวัต
ิ
บทสวดชุมนุมเทวดา กล่าวถึงการอัญเชิญเทวดามาประชุมฟังพระปริตร
ท่จี ะสวด แสดงไมตรจี ิตหวงั ใหเ้ ทวดามสี ุข ปราศจากทกุ ข์ และขอใหเ้ ทวดาคุม้ ครอง
ชาวโลกให้พน้ ภัย บทสวดนเ้ี ป็นบททีโ่ บราณาจารย์ประพันธข์ ้นึ
สะรัชชัง สะเสนงั สะพนั ธงุ นะรนิ ทงั ,
ปะรติ ตานภุ าโว สะทา รกั ขะตตู ิ,
ผะรติ ๎วานะ เมตตัง สะเมตตา ภะทนั ตา,
อะวิกขติ ตะจติ ตา ปะรติ ตัง ภะณนั ตุ.
ทา่ นผู้เจรญิ ทัง้ หลาย ผู้มีเมตตา, จงแผเ่ มตตาจิต ด้วยคิดวา่ ,
ขออานุภาพ พระปรติ ร, จงรักษาพระราชาผเู้ ป็นเจ้าแหง่ นรชน,
พร้อมด้วยราชสมบตั ิ, พร้อมด้วยราชวงศ์, พร้อมด้วยเสนามาตย,์
อย่ามีจิตฟงุ้ ซ่าน ตั้งใจสวดพระปริตร
• สะมนั ตา จักกะวาเฬสุ อัต๎ราคจั ฉันตุ เทวะตา,
ขอเชญิ เทวดาท้งั หลายในจักรวาลทงั้ หลายโดยรอบ, จงมาประชุมกนั ณ ท่นี ้
ี
สทั ธมั มัง มุนริ าชัสสะ สณุ นั ตุ สัคคะโมกขะทงั ,
ขอเชญิ ฟงั พระสทั ธรรมทชี่ ที้ างไปสสู่ วรรคแ์ ละนพิ พาน, ของพระจอมมนุ เี จา้ กนั เถดิ
สัคเค กาเม จะ รเู ป คริ สิ ขิ ะระตะเฏ จนั ตะลกิ เข วมิ าเน,
ขอเชิญเหล่าเทพเจา้ ซ่งึ สถติ อยู่ในสวรรค์ชัน้ กามภพก็ด,ี รูปภพกด็ ี,
และภมุ เทวดาซง่ึ สถิตอยู่ในวมิ าน, หรอื ยอดเขาและหุบผา ในอากาศก็ดี
ทเี ป รฏั เฐ จะ คาเม ตะรวุ ะนะคะหะเน เคหะวตั ถมุ ห๎ ิ เขตเต,
ในเกาะก็ด,ี ในแว่นแคว้นก็ด,ี ในบา้ นก็ด,ี ในตน้ พฤกษาและปา่ ชฏั กด็ ,ี
ในเรือนก็ดี, ในทไ่ี ร่นากด็ ี
17
ภมุ มา จายนั ตุ เทวา ชะละถะละวสิ ะเม ยกั ขะคนั ธพั พะนาคา,
เทพยดาทง้ั หลาย ซ่งึ สถติ ตามภาคพ้ืนดิน, รวมทั้งยกั ษ์ คนธรรพ์
และพญานาค, ซง่ึ สถิตอยู่ในน้ำ บนบก, และที่อันไมร่ าบเรียบก็ดี
ตฏิ ฐนั ตา สนั ติเก ยงั มนุ ิวะระวะจะนงั สาธะโว เม สุณันต.ุ
ซงึ่ อยใู่ นทใ่ี กล้เคียง, จงมาประชุมพร้อมกนั ในที่นี้,
คำใดเปน็ ของพระมุนีผปู้ ระเสรฐิ , ทา่ นสาธุชนท้ังหลาย, จงสดบั คำข้าพเจ้าน้ัน
ธัมมสั สะวะนะกาโล อะยมั ภะทันตา,
ดกู อ่ น ทา่ นผ้เู จรญิ ท้งั หลาย, กาลนี้เปน็ กาลฟังธรรม
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทนั ตา,
ดกู อ่ น ทา่ นผเู้ จริญทง้ั หลาย, กาลนเี้ ป็นกาลฟังธรรม
ธัมมสั สะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา.
ดูก่อน ทา่ นผู้เจรญิ ทง้ั หลาย, กาลน้ีเปน็ กาลฟงั ธรรม
หมายเหตุ ถ้าเป็นงานพธิ ีของพระโดยตรง เช่นพิธีเขา้ พรรษา ออกพรรษา มาฆบูชา วิสาขบชู า
หรอื พธิ ีหล่อพระ เปน็ ตน้ ท่านนยิ มเปลย่ี นตอนทา้ ย คือตอนทีว่ า่
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทนั ตา (๓ หน) เปลีย่ นเป็น
พทุ ธะทัสสะนะกาโล อะยมั ภะทันตา,
ธมั มัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทนั ตา,
สงั ฆะปะยิรปุ าสะนะกาโล อะยัมภะทันตา.
18
บทตน้ สวดมนต์และพระปริตรตา่ งๆ
ประวัติ
โดยทว่ั ไปพทุ ธศาสนกิ ชน มกั ทำบญุ โดยนมิ นตพ์ ระสงฆม์ าสวดสาธยาย
บทพระพุทธมนต์ ในพิธีมงคล หรือพิธีที่จัดข้ึนเพ่ือความสุขความเจริญ
เป็นสิริมงคลแก่การดำเนินชีวิตในวาระต่างๆ ซึ่งมักจะเรียกรวมกันว่า พิธ
ี
เจริญพระพุทธมนต์ คำว่า “พระพุทธมนต์” หมายถึง พระพุทธพจน
์
อันเป็นพระธรรมคำส่ังสอนของพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ที่มีปรากฏใน
พระไตรปิฏกบา้ ง เปน็ คำท่ีแต่งขน้ึ มาภายหลังบ้าง โดยถอื กนั วา่ พระพทุ ธมนต์
เป็นคำศักด์ิสิทธิ์ สามารถปัดป้องอันตรายต่างๆ ได้ จึงเรียกอีกอย่างว่า
“พระปริตร” คำว่า “ปริตร” มีความหมายว่า คุ้มครองรักษา หรือเครื่อง
คุ้มครองป้องกัน ซึ่งบทพระพุทธมนต์ที่นิยมว่าศักด์ิสิทธิ์เท่าที่ปรากฏรวบรวม
ไวม้ ี ๗ บท จงึ เรยี กวา่ เจด็ ตำนาน (ตามปกติคำวา่ ตำนาน จะหมายถึงเรื่อง
ราวนมนานท่ีเล่ากันสืบๆ มา แต่ในที่นี้เป็นการเรียกพระปริตรบทๆ หนึ่งว่า
ตำนาน ซ่ึงมีผู้สันนิษฐานว่า น่าจะแผลงมาจากคำว่า ตาณ ในภาษาบาลีท่
ี
แปลวา่ ตา้ นทาน หรอื ปอ้ งกนั เช่นเดยี วกับคำว่า ปริตร หรอื อาจจะหมายถึง
ตำนานอนั เป็นที่มาของแต่ละพระสตู รกเ็ ปน็ ได้)
การสวดพระปริตรหรอื เจด็ ตำนาน
เกิดข้ึนครั้งแรกในประเทศลังกา ราวพ.ศ. ๕๐๐ ด้วยว่าชาวลังกา
ที่นับถือพระพุทธศาสนาในขณะนั้น ประสงค์ให้พระสงฆ์ช่วยเหลือตนให้เกิด
ความเป็นสิริมงคล และป้องกันภยันตรายต่างๆ ด้วยการสวดมนต์และคาถา
ตามแบบอย่างพราหมณ์ ซ่ึงมีความเช่ือว่าผู้ทรงเวทย์จะทำให้เกิดความเป็น
สิริมงคล และป้องกันภยันตรายแก่มหาชนได้ ด้วยเหตุนี้พระสงฆ์ลังกาจึงได้
คิดวิธีสวดพระปริตรข้ึน โดยเลือกเอาพระสูตร หรือคาถาที่สรรเสริญคุณ
พระรตั นตรัย อันเกิดขึ้นเนื่องดว้ ยเหตกุ ารณต์ ่างๆ มาสวดเป็นมนต์
19
ปพุ พะภาคะนะมะการะ
ผนู้ ำสวดเพยี งผเู้ ดียว
หนั ทะ มะยงั พทุ ธัสสะ ภะคะวะโต ปพุ พะภาคะนะมะการงั กะโรมะ เส.
(เชญิ เถดิ เราทง้ั หลาย, ทำความนอบนอ้ มอนั เปน็ สว่ นเบอ้ื งตน้ ,
แดพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ เถดิ )
สวดพรอ้ มกนั
ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระผมู้ ีพระภาคเจ้า, พระองค์นนั้
ซ่งึ เป็นผไู้ กลจากกิเลส
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต ตรสั รชู้ อบไดโ้ ดยพระองคเ์ อง
อะระหะโต
สัมมาสมั พุทธัสสะ. (วา่ ๓ ครัง้ )
สะระณะคะมะนะปาฐะ
หันทะ มะยงั ตสิ ะระณะคะมะนะปาฐัง ภะณามะ เส.
(เชญิ เถดิ เราท้งั หลาย, จงกล่าวคาถาเพือ่ ระลกึ ถงึ พระรัตนตรัยเถดิ )
พุทธัง สะระณงั คัจฉาม,ิ ขา้ พเจ้าถือเอาพระพทุ ธเจา้ เปน็ สรณะ
ธมั มงั สะระณงั คัจฉามิ, ขา้ พเจา้ ถอื เอาพระธรรมเป็นสรณะ
สังฆงั สะระณงั คจั ฉาม.ิ ขา้ พเจา้ ถอื เอาพระสงฆเ์ ป็นสรณะ
ทตุ ิยัมปิ พทุ ธัง สะระณงั คัจฉามิ, แม้ครั้งทีส่ อง, ข้าพเจ้าถอื เอาพระพทุ ธเจา้ เป็นสรณะ
ทตุ ิยัมปิ ธมั มัง สะระณงั คัจฉามิ, แมค้ รั้งทส่ี อง, ข้าพเจา้ ถือเอาพระธรรมเปน็ สรณะ
ทตุ ิยัมปิ สงั ฆัง สะระณัง คจั ฉาม.ิ แมค้ รง้ั ทส่ี อง, ข้าพเจา้ ถอื เอาพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตะตยิ ัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉาม,ิ แมค้ ร้ังทส่ี าม, ข้าพเจา้ ถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ แม้ครั้งที่สาม, ข้าพเจ้าถอื เอาพระธรรมเปน็ สรณะ
ตะติยมั ปิ สงั ฆงั สะระณงั คจั ฉามิ. แมค้ รั้งที่สาม, ขา้ พเจ้าถอื เอาพระสงฆ์เป็นสรณะ
20
สจั จะกริ ยิ าคาถา
หนั ทะ มะยงั สัจจะกิรยิ ะคาถาโย ภะณามะ เส.
(เชิญเถดิ เราท้งั หลาย, สวดคาถาอนั ตัง้ ความสัตย์เถิด)
นัตถิ เม สะระณัง อญั ญัง พุทโธ เม สะระณงั วะรัง,
ที่พึ่งอน่ื ของขา้ พเจ้าไม่มี, พระพทุ ธเจ้าเป็นท่ีพ่งึ อันประเสริฐของข้าพเจา้
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต๑ โหตุ สัพพะทา.
ด้วยการกล่าวคำสตั ยน์ ้ี, ขอความสวัสดีจงมแี ก่ท่านทกุ เมอ่ื
นัตถิ เม สะระณัง อัญญงั ธัมโม เม สะระณัง วะรงั ,
ทพี่ ่งึ อ่ืนของขา้ พเจา้ ไมม่ ,ี พระธรรมเป็นทพ่ี ึง่ อนั ประเสรฐิ ของข้าพเจ้า
เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ โสตถิ เต๑ โหตุ สพั พะทา.
ด้วยการกลา่ วคำสตั ย์น,้ี ขอความสวสั ดจี งมแี กท่ า่ นทกุ เมอ่ื
นตั ถิ เม สะระณงั อัญญงั สงั โฆ เม สะระณัง วะรงั ,
ท่พี ่งึ อนื่ ของขา้ พเจ้าไมม่ ,ี พระสงฆ์เปน็ ทีพ่ ่ึงอนั ประเสริฐของขา้ พเจ้า
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต๑ โหตุ สัพพะทา.
ดว้ ยการกล่าวคำสตั ยน์ ้ี, ขอความสวัสดีจงมแี ก่ทา่ นทุกเมื่อ
มะหาการณุ ิโกนาโถติอาทกิ าคาถา
มะหาการณุ ิโก นาโถ อตั ถายะ สพั พะปาณินงั ,
ปูเรต๎วา ปาระมี สพั พา ปัตโต สมั โพธมิ ตุ ตะมงั ,
พระพุทธเจ้าผ้เู ปน็ ทพี่ ึง่ , ทรงประกอบด้วยพระมหากรณุ าอนั ยิ่งใหญ่,
ทรงบำเพญ็ พระบารมีทัง้ สิน้ , เพือ่ ประโยชนแ์ กส่ ัตว์ท้งั ปวง,
ทรงบรรลุสมั โพธิญาณอนั อดุ มแล้ว
เอเตนะ สัจจะวชั เชนะ มา โหนตุ สพั พปุ ัททะวา.
ดว้ ยการกลา่ วคำสัตยน์ ี้, ขออุปทั วะทง้ั หลายจงอยา่ ไดม้
ี
มหาการณุ ิโก นาโถ หติ ายะ สัพพะปาณนิ ัง,
ปเู รตว๎ า ปาระมี สัพพา ปตั โต สมั โพธมิ ตุ ตะมัง,
๑ สวดเพอื่ ผู้อ่นื วา่ เต (ท่าน) ถา้ เพือ่ ตนเองเปล่ยี นเป็น เม (ข้าพเจ้า)
21
พระพทุ ธเจา้ ผเู้ ป็นทีพ่ ึ่ง, ทรงประกอบด้วยพระมหากรณุ าอันย่งิ ใหญ,่
ทรงบำเพ็ญพระบารมีทัง้ สน้ิ , เพอ่ื เกอื้ กลู แก่สัตว์ท้ังปวง,
ทรงบรรลุสมั โพธญิ าณอนั อุดมแล้ว
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ มา โหนตุ สพั พุปัททะวา.
ดว้ ยการกลา่ วคำสตั ย์น,้ี ขออปุ ทั วะทง้ั หลายจงอย่าได้มี
มหาการณุ ิโก นาโถ สุขายะ สพั พะปาณนิ งั ,
ปเู รตว๎ า ปาระมี สพั พา ปตั โต สมั โพธิมุตตะมัง,
พระพทุ ธเจ้าผเู้ ปน็ ทพ่ี ่ึง, ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณาอันยง่ิ ใหญ,่
ทรงบำเพ็ญพระบารมที ัง้ สิน้ , เพื่อความสขุ แก่สัตวท์ งั้ ปวง,
ทรงบรรลสุ มั โพธญิ าณอันอุดมแล้ว
เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ มา โหนตุ สัพพุปัททะวา.
ดว้ ยการกลา่ วคำสตั ย์น้,ี ขออปุ ทั วะทัง้ หลายจงอยา่ ได้มี
เขมาเขมะสะระณะคะมะนะปะริทปี กิ าคาถา
หันทะ มะยัง เขมาเขมะสะระณะคะมะนะปะริทีปิกาคาถาโย ภะณามะ เส.
(เชิญเถดิ เราท้งั หลาย, กล่าวคาถาแสดงสรณะอนั เกษม และไมเ่ กษมเถดิ )
พะหงุ เว สะระณัง ยันติ ปพั พะตานิ วะนานิ จะ,
อารามะรกุ ขะเจตย๎ านิ มะนสุ สา ภะยะตัชชิตา,
มนุษยเ์ ป็นอันมาก เม่อื เกิดมีภยั คกุ คามแลว้ , กถ็ ือเอาภูเขาบา้ ง ปา่ ไมบ้ ้าง,
อารามและรกุ ขเจดยี ์บา้ งเปน็ สรณะ
เนตัง โข สะระณัง เขมัง เนตัง สะระณะมุตตะมัง,
น่ันมิใช่สรณะอันเกษมเลย, นัน่ มใิ ช่สรณะอนั สูงสดุ
เนตัง สะระณะมาคมั มะ สพั พะทุกขา ปะมจุ จะต,ิ
เขาอาศัยสรณะนัน่ แลว้ , ยอ่ มไม่พ้นจากทกุ ข์ท้ังปวงได้
โย จะ พทุ ธัญจะ ธมั มัญจะ สังฆญั จะ สะระณงั คะโต,
สว่ นผใู้ ดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแลว้
จตั ตาริ อะรยิ ะสจั จานิ สัมมปั ปัญญายะ ปสั สะติ,
เห็นอรยิ สัจคือความจรงิ อนั ประเสรฐิ ส่,ี ดว้ ยปญั ญาอันชอบ
22
ทุกขัง ทกุ ขะสะมุปปาทงั ทกุ ขัสสะ จะ อะติกกะมัง,
คือเห็นความทุกข์, เหตุให้เกดิ ทุกข์, ความกา้ วลว่ งทุกขเ์ สยี ได ้
อะริยญั จัฏฐงั คกิ งั มคั คัง ทกุ ขปู ะสะมะคามินงั ,
และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐ, เคร่ืองถึงความระงับทกุ ข์
เอตงั โข สะระณงั เขมัง เอตัง สะระณะมตุ ตะมงั ,
นนั่ แหละเปน็ สรณะอันเกษม, นน่ั เป็นสรณะอันสูงสุด
เอตัง สะระณะมาคมั มะ สพั พะทกุ ขา ปะมุจจะตีต.ิ
เขาอาศยั สรณะน่นั แล้ว, ย่อมพน้ จากทุกขท์ งั้ ปวงได
้
อะริยะธะนะคาถา
หันทะ มะยัง อะรยิ ะธะนะคาถาโย ภะณามะ เส.
(เชิญเถดิ เราทัง้ หลาย, กลา่ วคาถาสรรเสริญพระอริยทรพั ยเ์ ถิด)
ยัสสะ สทั ธา ตะถาคะเต อะจะลา สุปะติฏฐติ า,
ศรทั ธาในพระตถาคตของผูใ้ ด, ตง้ั มนั่ อย่างดไี ม่หวนั่ ไหว
สีลญั จะ ยัสสะ กลั ๎ยาณงั อะริยะกนั ตงั ปะสงั สติ งั ,
และศีลของผ้ใู ดงดงาม, เป็นท่ีสรรเสริญทพี่ อใจของพระอริยเจา้
สังเฆ ปะสาโท ยสั สตั ถิ อชุ ุภูตญั จะ ทสั สะนัง,
ความเลือ่ มใสของผูใ้ ดมีในพระสงฆ,์ และความเหน็ ของผใู้ ดตรง
อะทะลิทโทติ ตงั อาหุ อะโมฆนั ตสั สะ ชวี ิตงั ,
บัณฑิตกล่าวเรียกเขาผู้นั้นว่า คนไมจ่ น, ชวี ติ ของเขาไม่เป็นหมัน
ตัส๎มา สัทธญั จะ สลี ญั จะ ปะสาทัง ธมั มะทัสสะนัง,
อะนยุ ญุ เชถะ เมธาวี สะรงั พุทธานะ สาสะนนั ติ.
เพราะฉะนนั้ , เม่ือระลึกไดถ้ งึ คำส่งั สอนของพระพุทธเจ้าอยู,่
ผมู้ ปี ญั ญาควรก่อสร้างศรัทธา, ศีล ความเลอ่ื มใส และความเหน็ ธรรมให้เนอื งๆ
บุคคลควรเรง่ รบี ทำบญุ ควรห้ามจิตจากบาป
เพราะเม่ือทำบุญชา้ ไป ใจจะยินดใี นบาป.
23
ปัพพะโตปะมะสตุ ตะคาถา
หนั ทะ มะยงั ปัพพะโตปะมะสุตตะคาถาโย ภะณามะ เส.
(เชิญเถดิ เราท้ังหลาย, กลา่ วคาถาแสดงสมรภูมิแห่งความตายเถดิ )
ยะถาปิ เสลา วปิ ลุ า นะภัง อาหัจจะ ปพั พะตา,
สะมันตา อะนุปะริเยยยุง นปิ โปเถนตา จะตุททสิ า,
ภูเขาท้งั หลายแลว้ ดว้ ยหินอนั ไพบูลยส์ งู จรดทอ้ งฟ้า,
บดกลิ้งเข้ามาโดยรอบทั้ง ๔ ทิศ, แม้ฉนั ใด
เอวัง ชะรา จะ มัจจุ จะ อะธิวัตตนั ติ ปาณโิ น,
ความแก่และความตาย, ยอ่ มครอบงำสัตว์ทงั้ หลายฉนั นนั้
ขัตตเิ ย พ๎ราห๎มะเณ เวสเส สทุ เท จณั ฑาละ ปกุ กเุ ส,
คอื กษตั รยิ ์ พราหมณ์ คนพลเรือน, คนไพร่ คนจัณฑาล คนเทหยากเย่อื
นะ กิญจิ ปะรวิ ชั เชติ สพั พะเมวาภมิ ัททะต,ิ
มไิ ดย้ กเวน้ ใครๆ เลย, ย่อมย่ำยีสัตว์ท้ังปวงทเี ดยี ว
นะ ตัตถะ หตั ถีนัง ภมู ิ นะ ระถานัง นะ ปัตตยิ า,
ภมู แิ ห่งพลชา้ ง, ย่อมไม่มีในชราและมรณะนั้น,
ภูมิแหง่ พลรถกไ็ ม่มี, ภมู แิ ห่งพลทหารเทา้ ก็ไม่มี
นะ จาปิ มนั ตะยทุ เธนะ สักกา เชตุง ธะเนนะ วา,
อนึง่ ไมม่ ีใครอาจท่ีจะชนะชรามรณะนนั้ ได้,
ดว้ ยการสู้รบดว้ ยเวทมนต์หรือดว้ ยทรพั ย
์
ตสั ๎มา หิ ปัณฑิโต โปโส สัมปสั สงั อตั ถะมตั ตะโน,
เพราะฉะนั้นแล บรรพชติ ผูเ้ ป็นบัณฑติ มปี ัญญา, เมื่อเหน็ ประโยชน์ของตน
พทุ เธ ธมั เม จะ สังเฆ จะ ธีโร สัทธงั นิเวสะเย,
ควรทำศรัทธาให้ต้งั มน่ั ในพระพุทธเจ้า, และพระธรรมและพระสงฆ์
โย ธัมมะจารี กาเยนะ วาจายะ อทุ ะ เจตะสา,
ผ้ใู ดประพฤตธิ รรมดว้ ยกาย ดว้ ยวาจา หรอื ด้วยใจ
อเิ ธวะ นงั ปะสงั สนั ติ เปจจะ สคั เค ปะโมทะติ.
ย่อมสรรเสริญผ้นู ัน้ ในโลกนีน้ ่แี ล, ละโลกน้ไี ปแลว้ ยอ่ มปราโมทย์ในสวรรค์
24
นะมะการะสทิ ธิคาถา
ประวตั
ิ
บทนะมะการะสิทธิคาถาน้ี เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรสเพือ่ ใชส้ วดแทนบท สมั พทุ เธ ด้วยเหตผุ ลท่วี า่ บทสัมพทุ เธ
แสดงเหตุผลแบบมหายาน แต่บทสัมพุทเธก็ยังนิยมสวดกันอยู่ในปัจจุบัน ส่วนมาก
นิยมสวด นะมะการะสิทธิคาถาน้ีสลับกับบท สัมพุทเธ คือหากสวดบทสัมพุทเธก็ไม่
ต้องสวด นะมะการะสิทธิคาถา หรือหากสวดบทนะมะการะสิทธิคาถาแล้วก็ไม่ต้อง
สวดสัมพุทเธ แต่บางแห่งนิยมสวดทั้งสองบทในงานเดียวกันก็มี เนื้อหาของบท
นะมะการะสิทธิคาถานเ้ี ป็นการขออำนาจคุณพระศรรี ตั นตรยั ใหช้ ่วยดลบันดาลชยั ชนะ
และความสำเร็จให้เกิดข้ึน พร้อมกับปัดเป่าสรรพอันตรายและความไม่เป็นสิริมงคล
ให้มลายหายไป
โย จักขมุ า โมหะมะลาปะกฏั โฐ, ทา่ นพระองค์ใด, มพี ระปญั ญาจกั ษ
ุ
ขจดั มลทิน, คอื โมหะเสียแลว้
สามังวะ พุทโธ สุคะโต วมิ ตุ โต, ไดต้ รัสรู้เป็นพระพุทธเจา้
โดยลำพังพระองค์เอง, เสด็จไปดี พ้นไปแลว้
มารสั สะ ปาสา วนิ โิ มจะยนั โต, ทรงเปลอื้ งชมุ ชนอนั เปน็ เวไนยจากบว่ งแหง่ มาร
ปาเปสิ เขมงั ชะนะตัง วเิ นยยัง, นำมาใหถ้ ึงความเกษม
พุทธงั วะรนั ตัง สิระสา นะมาม,ิ ข้าพระพุทธเจา้ ขอถวายนมัสการ
พระพุทธเจ้าผ้บู วรพระองค์น้ัน
โลกสั สะ นาถัญจะ วินายะกญั จะ, ผู้เปน็ นาถะและเป็นผ้นู ำแห่งโลก
ตนั เตชะสา เต ชะยะสิทธิ โหต,ุ ด้วยเดชแหง่ พระพทุ ธเจ้านนั้ ,
ขอความสำเรจ็ แหง่ ชยั ชนะจงมแี กท่ ่าน
สพั พันตะรายา จะ วนิ าสะเมนต.ุ และขออนั ตรายท้ังมวลจงถึงความพินาศ
ธัมโม ธะโช โย วิยะ ตัสสะ สัตถุ, พระธรรมเจา้ เปน็ ดุจธงชัย
แห่งพระศาสดาพระองค์น้ัน
ทสั เสสิ โลกสั สะ วสิ ทุ ธิมคั คัง, แสดงทางแห่งความบริสุทธใ์ิ ห้แกโ่ ลก
นยิ ยานิโก ธัมมะธะรัสสะ ธารี, เปน็ คุณอนั คมุ้ ครองชนผูท้ รงธรรม
ประพฤตดิ แี ล้ว
สาตาวะโห สนั ติกะโร สุจณิ โณ, นำความสขุ มา ทำความสงบใหเ้ กิดขึ้น
ธัมมงั วะรันตงั สริ ะสา นะมามิ, ขา้ พระพุทธเจ้าขอถวายนมัสการ
พระธรรมอันบวรน้นั
25
โมหปั ปะทาลัง อปุ ะสนั ตะทาหงั , อนั ทำลายโมหะระงับความเร่าร้อน
ตนั เตชะสา เต ชะยะสิทธิ โหต,ุ ด้วยเดชแห่งพระธรรมเจ้านน้ั ,
ขอความสำเรจ็ แห่งชยั ชนะจงมแี ก่ท่าน
สพั พนั ตะรายา จะ วินาสะเมนตุ. และขออันตรายท้งั มวลจงถงึ ความพินาศ
สัทธัมมะเสนา สคุ ะตานุโค โย, พระสงฆเจา้ ใดเปน็ เสนาประกาศพระสทั ธรรม,
ดำเนนิ ตามพระศาสดาผูเ้ สดจ็ ไปดีแลว้
โลกสั สะ ปาปูปะกิเลสะเชตา, ผจญเสียซ่ึงอปุ กิเลสอันลามกของโลก
สันโต สะยงั สันตินโิ ยชะโก จะ, เป็นผสู้ งบเองด้วย,
ประกอบผอู้ ื่นไว้ในความสงบดว้ ย
สว๎ ากขาตะธมั มงั วทิ ติ ัง กะโรติ, ย่อมทำพระธรรมอันพระศาสดา
ตรัสไว้ดแี ลว้ ใหม้ ีผรู้ ู้ตาม
สังฆัง วะรนั ตงั สริ ะสา นะมามิ, ข้าพระพทุ ธเจ้าขอถวายนมัสการ
พระสงฆเจา้ ผู้บวรน้นั
พุทธานุพทุ ธัง สะมะสีละทฏิ ฐงิ , ผ้ตู รสั รู้ตามพระพุทธเจา้ ,
มศี ีลและทิฏฐิเสมอกัน
ตันเตชะสา เต ชะยะสทิ ธิ โหต,ุ ดว้ ยเดชแห่งพระสงฆเจ้าน้ัน,
ขอความสำเรจ็ แห่งชัยชนะจงมแี กท่ ่าน
สัพพันตะรายา จะ วินาสะเมนตุ. และขออนั ตรายท้งั มวลจงถึงความพนิ าศ
สมั พุทเธ
สัมพุทเธ อัฏฐะวีสัญจะ ท๎วาทะสัญจะ สะหัสสะเก,
ปญั จะสะตะสะหสั สานิ นะมามิ สริ ะสา อะหัง,
ขา้ พเจา้ ขอนอบน้อมสมเด็จพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ท้งั หลาย,
๕ แสน ๑ หม่นื ๒ พนั ๒๘ พระองค์นน้ั , ดว้ ยเศียรเกล้า
เตสงั ธมั มัญจะ สงั ฆญั จะ อาทะเรนะ นะมามหิ งั ,
ข้าพเจ้าขอนอบนอ้ มพระธรรมและพระอรยิ สงฆ์,
ของพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ เหล่านัน้ โดยความเคารพ
นะมะการานภุ าเวนะ หันต๎วา สัพเพ อปุ ทั ทะเว,
ดว้ ยอานภุ าพแหง่ การกระทำความนอบน้อมต่อพระรัตนตรยั ,
จงขจดั เสียซ่งึ อุปัทวะท้ังปวงให้หมดไป
26
อะเนกา อันตะรายาปิ วนิ ัสสนั ตุ อะเสสะโต.
แมอ้ ันตรายทั้งหลายทง้ั ปวง, จงพินาศไปโดยไมเ่ หลอื
สัมพุทเธ ปัญจะปญั ญาสัญจะ จะตวุ ีสะติสะหสั สะเก,
ทะสะสะตะสะหสั สาน ิ นะมามิ สิระสา อะหัง,
ข้าพเจา้ ขอนอบน้อมสมเดจ็ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าทง้ั หลาย,
๑ ล้าน ๒ หมนื่ ๔ พัน ๕๕ พระองคน์ นั้ , ดว้ ยเศยี รเกลา้
เตสัง ธัมมญั จะ สงั ฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามหิ ัง,
ข้าพเจา้ ขอนอบนอ้ มพระธรรมและพระอรยิ สงฆ์,
ของพระสมั มาสมั พุทธเจ้าเหล่าน้นั โดยความเคารพ
นะมะการานภุ าเวนะ หันต๎วา สพั เพ อปุ ัททะเว,
ดว้ ยอานภุ าพแหง่ การกระทำความนอบน้อมตอ่ พระรัตนตรัย,
จงขจดั เสียซง่ึ อุปัทวะทง้ั ปวงให้หมดไป
อะเนกา อนั ตะรายาป ิ วนิ สั สันตุ อะเสสะโต.
แม้อนั ตรายทงั้ หลายทง้ั ปวง, จงพนิ าศไปโดยไมเ่ หลือ
สมั พุทเธ นะวุตตะระสะเต อฏั ฐะจัตตาฬสี ะสะหสั สะเก,
วีสะติสะตะสะหัสสาน ิ นะมามิ สิระสา อะหัง,
ขา้ พเจ้าขอนอบนอ้ มสมเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าท้งั หลาย,
๒ ล้าน ๔ หม่ืน ๘ พนั ๑๐๙ พระองค์นน้ั , ดว้ ยเศยี รเกล้า
เตสงั ธัมมญั จะ สงั ฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามหิ งั ,
ข้าพเจา้ ขอนอบนอ้ มพระธรรมและพระอริยสงฆ,์
ของพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าเหล่าน้นั โดยความเคารพ
นะมะการานุภาเวนะ หันตว๎ า สพั เพ อปุ ัททะเว,
ดว้ ยอานุภาพแห่งการกระทำความนอบน้อมต่อพระรตั นตรยั ,
จงขจดั เสยี ซึ่งอุปทั วะทงั้ ปวงให้หมดไป
อะเนกา อันตะรายาปิ วนิ ัสสันตุ อะเสสะโต.
แมอ้ นั ตรายทง้ั หลายท้งั ปวง, จงพนิ าศไปโดยไม่เหลือ
คบคนเชน่ ใดกเ็ ปน็ เชน่ คนนน้ั
27
นะโมการะอัฏฐะกะคาถา
นะโม อะระหะโต สมั มา สัมพุทธัสสะ มะเหสโิ น,
ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระผู้มพี ระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ ,
ผ้แู สวงหาซ่งึ ประโยชนอ์ ันใหญ่
นะโม อตุ ตะมะธัมมัสสะ ส๎วากขาตัสเสวะ เตนิธะ,
ขอนอบน้อมแด่พระธรรมอนั สูงสดุ ในพระศาสนานี้, ท่พี ระองค์ตรสั ไว้ดแี ล้ว
นะโม มะหาสงั ฆัสสาปิ วิสทุ ธะสลี ะทฏิ ฐโิ น,
ขอนอบนอ้ มแด่พระสงฆ์หมใู่ หญ,่ ผู้มศี ีลและทิฏฐอิ นั หมดจด
นะโม โอมาตย๎ ารัทธสั สะ ระตะนตั ตะยัสสะ สาธุกัง,
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ทป่ี รารภดแี ลว้ , ให้สำเรจ็ ประโยชน์
นะโม โอมะกาตตี สั สะ ตสั สะ วตั ถุตตะยสั สะปิ,
ขอนอบนอ้ มแม้แต่วัตถุ ๓*, อนั ลว่ งพ้นโทษต่ำชา้ นน้ั
นะโม การปั ปะภาเวนะ วคิ จั ฉันตุ อปุ ัททะวา,
ด้วยความประกาศการกระทำความนอบนอ้ ม, อุปทั วะทัง้ หลายจงพินาศไป
นะโม การานุภาเวนะ สุวัตถิ โหตุ สัพพะทา,
ดว้ ยอานภุ าพแห่งการกระทำความนอบนอ้ ม, ขอความสวัสดจี งมีทกุ เมื่อ
นะโม การัสสะ เตเชนะ วิธิม๎หิ โหมิ เตชะวา.
ด้วยเดชแหง่ การกระทำความนอบนอ้ ม, เราจงเป็นผมู้ ีเดชในมงคลพิธีเถิด
* วตั ถุ ๓ คอื พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ
์
28
มังคะละปะรติ ตัง
พุทธมนต์สำหรับคุ้มครองรักษาให้มสี ิริมงคล ๓๘ ประการ
และใหม้ คี วามสำเร็จถึงความเจริญรุ่งเรืองทั้งปวง
ประวัต
ิ
เลา่ กนั มาว่า มนษุ ย์ในชมพูทวปี ไดถ้ กเถียงกันว่าอะไรหนอเป็นมงคล ฝา่ ยหนง่ึ
ว่าสิ่งที่เห็นเป็นมงคล อีกฝ่ายหน่ึงว่าเร่ืองท่ีได้ยินเป็นมงคล และอีกฝ่ายหน่ึงว่าเรื่อง
ทที่ ราบเป็นมงคล ต่างฝ่ายตา่ งยนื ยนั ความคดิ ของตนแตก่ ไ็ มส่ ามารถอธิบายให้ฝา่ ยอน่ื
ยอมรบั ได้ จงึ แตกเปน็ ๓ ฝา่ ย ปญั หาน้ไี ดแ้ พรไ่ ปสู่เทวโลกและพรหมโลก เทวดาและ
พรหม กแ็ ตกเปน็ ๓ ฝา่ ย เหมือนมนุษย์ (ยกเว้นทเี่ ปน็ พระอรยิ สาวก) แตป่ ญั หานีก้ ็
หาข้อยุตไิ ม่ได ้ เวลาผา่ นไป ๑๒ ปี พวกเทวดาจงึ ไปเฝา้ ท้าวสักกะ เพื่อให้ทา้ วสักกะ
ช่วยตัดสิน ท้าวสักกะ จึงได้มอบหมายให้เทพบุตรองค์หน่ึงมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ซง่ึ พระบรมศาสดาก็ทรงแสดงสิง่ อันเป็นมงคลสงู สดุ ๓๘ ประการน้ี ดงั น้
ี
พะหู เทวา มะนสุ สา จะ มังคะลานิ อะจนิ ตะยงุ ,
เทวดาองคห์ น่งึ ได้กราบทูลถามพระผู้มพี ระภาคเจ้าวา่ ,
หมูเ่ ทวดาและมนษุ ย์มากหลาย, มงุ่ หมายความเจริญก้าวหนา้ ,
ได้คิดถึงเรื่องมงคลแล้ว
อากงั ขะมานา โสตถานงั พ๎รหู ิ มงั คะละมุตตะมงั .
ขอพระองค์ทรงบอกทางมงคลอันสูงสดุ เถดิ ,
พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ทรงตรสั ตอบดงั น้วี า่
• อะเสวะนา จะ พาลานัง การไมค่ บคนพาล
ปณั ฑติ านัญจะ เสวะนา, การคบบณั ฑิต
ปชู า จะ ปชู ะนียานงั การบูชาตอ่ บุคคลควรบชู า
เอตัมมังคะละมตุ ตะมงั . กิจสามอยา่ งนี้ เป็นมงคลอนั สงู สดุ
ปะฏริ ปู ะเทสะวาโส จะ การอย่ใู นประเทศอันสมควร
ปุพเพ จะ กะตะปญุ ญะตา, การเป็นผูม้ ีบญุ ไดท้ ำไวแ้ ล้วในกาลก่อน
อตั ตะสัมมาปะณธิ ิ จะ การตัง้ ตนไว้ชอบ
เอตัมมงั คะละมุตตะมัง. กิจสามอยา่ งน้ี เปน็ มงคลอันสูงสุด
29
พาหสุ จั จญั จะ สิปปัญจะ การเป็นผูไ้ ด้ยนิ ได้ฟงั มาก, การมีศลิ ปวทิ ยา
วินะโย จะ สุสิกขโิ ต, วินยั ที่ศกึ ษาดีแลว้
สุภาสิตา จะ ยา วาจา วาจาทีเ่ ป็นสภุ าษติ
เอตัมมังคะละมตุ ตะมัง. กิจสอ่ี ยา่ งนี้ เปน็ มงคลอันสูงสุด
มาตาปติ อุ ปุ ฏั ฐานงั การบำรงุ เล้ยี งมารดาบดิ า
ปุตตะทารสั สะ สงั คะโห, การสงเคราะห์บตุ รและสงเคราะหภ์ รรยา
อะนากุลา จะ กมั มันตา การงานที่ไมย่ งุ่ เหยงิ สบั สน
เอตมั มังคะละมุตตะมงั . กิจสอ่ี ย่างน้เี ปน็ มงคลอันสูงสุด
ทานัญจะ ธมั มะจะริยา จะ การบำเพญ็ ทาน, การประพฤตธิ รรม
ญาตะกานญั จะ สงั คะโห, การสงเคราะห์หมญู่ าติ
อะนะวัชชานิ กมั มานิ การงานอันปราศจากโทษ
เอตมั มังคะละมุตตะมงั . กจิ สี่อย่างนี้ เปน็ มงคลอนั สูงสดุ
อาระตี วริ ะตี ปาปา การงดเว้นจากบาปกรรม
มชั ชะปานา จะ สญั ญะโม, การยับยงั้ ใจไวไ้ ดจ้ ากการดื่มน้ำเมา
อัปปะมาโท จะ ธมั เมสุ การไม่ประมาทในธรรมท้งั หลาย
เอตมั มังคะละมุตตะมงั . กจิ สามอยา่ งนี้ เปน็ มงคลอนั สูงสดุ
คาระโว จะ นิวาโต จะ ความเคารพ, ความออ่ นน้อมถ่อมตน
สันตุฏฐี จะ กะตญั ญตุ า, ความสนั โดษ, ความกตญั ญู
กาเลนะ ธัมมสั สะวะนัง การฟงั ธรรมตามกาล
เอตัมมงั คะละมตุ ตะมงั . กิจห้าอยา่ งนี้ เป็นมงคลอันสูงสุด
ขันตี จะ โสวะจัสสะตา ความอดทน, ความเป็นคนวา่ งา่ ย
สะมะณานญั จะ ทัสสะนัง, การพบเห็นผูส้ งบจากกเิ ลส
กาเลนะ ธมั มะสากจั ฉา การสนทนาธรรมตามกาล
เอตัมมังคะละมุตตะมงั . กจิ สอ่ี ย่างนี้ เปน็ มงคลอนั สูงสดุ
ตะโป จะ พ๎รหั ม๎ ะจะรยิ ญั จะ ความเพียรเผากิเลส, การประพฤติพรหมจรรย์
อะริยะสจั จานะ ทสั สะนัง, การเหน็ ความจรงิ ของพระอริยเจ้า
นิพพานะสจั ฉกิ ิริยา จะ การทำพระนพิ พานให้แจง้
เอตมั มงั คะละมุตตะมัง. กจิ สีอ่ ย่างน้ี เป็นมงคลอันสงู สุด
ผฏุ ฐัสสะ โลกะธมั เมหิ จติ ของผใู้ ดอันโลกธรรมทง้ั หลาย
จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะต,ิ ถูกตอ้ งแลว้ , ยอ่ มไม่หว่ันไหว
30
อะโสกัง วริ ะชัง เขมัง เป็นจิตไม่เศรา้ โศก, เปน็ จิตไร้ธลุ กี เิ ลส,
เป็นจติ เกษมศานต์
เอตมั มงั คะละมตุ ตะมงั . กจิ ส่อี ยา่ งน้ี เป็นมงคลอันสงู สดุ
เอตาทสิ านิ กตั ว๎ านะ สัพพตั ถะมะปะราชิตา,
สพั พัตถะ โสตถงิ คัจฉันติ ตันเตสัง มังคะละมตุ ตะมนั ติ.
เทวดาและมนษุ ย์ทง้ั หลาย, ไดก้ ระทำมงคลเช่นมงคลเหลา่ นี,้
ใหม้ ีในตนไดแ้ ลว้ , จงึ เปน็ ผไู้ มพ่ ่ายแพ้ในทที่ ้งั ปวง,
ย่อมถงึ ซึ่งความสวัสดีในทกุ สถาน, ข้อน้ันเปน็ มงคลอันสงู สุด,
ของเทวดาและมนุษยท์ ั้งหลายเหล่าน้ันโดยแท้, ด้วยประการฉะนี้แล
ระตะนะปะริตตัง
พุทธมนต์สำหรับใชข้ จัดปัดเปา่ คมุ้ ครองปอ้ งกัน โรคภยั ไข้เจบ็
และป้องกนั อนั ตรายตา่ งๆ
ประวตั
ิ
สมัยหนึ่ง เมืองเวสาลีเกิดภาวะแห้งแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้า
เสียหายแห้งเหี่ยวตาย เกิดทุพภิกขภัยใหญ่และมีโรคระบาด ผู้คนอดอยากล้มตาย
ซากศพจำนวนมาก ถูกนำไปท้ิงไว้นอกเมือง พวกอมนุษย์ได้กล่ินซากศพจึงพากัน
เข้าเมือง ทำอันตรายใหผ้ ้คู นลม้ ตายกนั มากยง่ิ ขึน้
เมื่อเกิดภัย ๓ ประการคือ ทุพภิกขภัย (ข้าวยากหมากแพง) อมนุษย์ภัย
(ภัยจากพวกอมนษุ ย)์ และโรคภยั (ภยั จากโรคระบาด) ขนึ้ ในเมอื งเวสาลอี ยา่ งทไี่ มเ่ คย
ปรากฏมากอ่ น เจา้ ลจิ ฉวี ๗,๗๐๗ องค์ ซงึ่ รว่ มกนั ปกครองเมอื งในระบอบสามคั คธี รรม
จงึ ใหป้ ระชาชนมาประชมุ เพอื่ รว่ มกนั พจิ ารณา หาความผดิ ของบรรดาเจา้ ลจิ ฉวี อนั นา่ จะ
เปน็ สาเหตใุ หเ้ กดิ ภยั ตา่ งๆ ดงั กลา่ ว แตก่ ห็ าไมพ่ บ ท้งั หมดจึงชว่ ยกนั หาวิธกี ำจดั ภัยน้ี
ให้สงบ
คนบางพวกเสนอให้นิมนต์ครูเดียรถีย์ท้ัง ๖ มาดับทุกข์ภัย แต่บางพวกเสนอ
ให้นิมนต์พระพุทธเจ้า ในท่ีสุดก็เห็นชอบมอบหมายให้เจ้าลิจฉวี ๒ องค์เป็นหัวหน้า
ไปนมิ นตพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ซง่ึ ขณะนน้ั ประทบั อยทู่ นี่ ครราชคฤหใ์ หเ้ สดจ็ มาเมอื งเวสาลี
พระพุทธเจ้าทรงรับนิมนต์ด้วยทรงทราบว่า เม่ือพระองค์แสดง ระตะนะสูตร
ในเมืองเวสาลีแล้ว อารักขาจะแผ่ไปตลอดแสนโกฏิจักรวาลในเวลาจบพระสูตร และ
ธรรมาภสิ มยั จักมีแก่สัตว์ ๘๔,๐๐๐ พระองค์จึงนำพระภิกษุ ๕๐๐ รูปเสด็จดำเนินไป
เมืองเวสาลตี ามลำนำ้ คงคา
31
เม่ือพระบรมศาสดาย่างพระบาทประทับบนแผ่นดินนครเวสาลี ก็เกิดฝนตก
ลงมาหา่ ใหญ่ น้ำฝนไหลนองแผ่นดิน สงู ถึงเขา่ บ้าง สูงถงึ เอวบ้าง พัดพาเอาซากศพ
ลอยลงแม่น้ำคงคาไปจนหมด ทำใหพ้ ื้นดินบริสทุ ธ์สิ ะอาดขน้ึ โรคระบาดกค็ ่อยสงบลง
พระผมู้ พี ระภาคเสดจ็ ถงึ ประตเู มอื งเวสาลใี นตอนเยน็ ขณะนนั้ ทา้ วสกั กะเทวราช
และเทพยดาศักด์ิใหญ่นำเสด็จอยู่หน้าขบวน พวกอมนุษย์ที่อยู่ในเมืองเกรงกลัว
อานภุ าพจงึ พากนั หลบหนไี ปเปน็ สว่ นมาก
พระบรมศาสดาทรงตรสั สอนระตะนะสตู รแกพ่ ระอานนท์ ใหพ้ ระอานนทพ์ รอ้ ม
เจา้ ลจิ ฉวที ้งั หลายเดนิ สาธยายใหร้ อบกำแพงเมอื งท้ัง ๓ ชั้นตลอดทง้ั คนื พวกอมนษุ ย์
ที่เหลืออยู่จึงพากันหลบหนีไปหมดสิ้นเพราะเกรงกลัวอานุภาพของระตะนะสูตรนี้ ภัย
ทงั้ หลายในเมืองเวสาลจี งึ สงบลง
เม่อื ภัยทง้ั หลายสงบลงแล้ว ชาวเวสาลีได้มาประชุมกันทก่ี ลางนคร และนมิ นต์
พระพุทธเจา้ มาแสดงธรรม พระพทุ ธเจ้าจึงทรงแสดงระตะนะสตู รทกุ วัน ตลอด ๗ วนั
ทำใหเ้ หลา่ สตั วค์ อื มนษุ ยแ์ ละเทวดาไดบ้ รรลธุ รรมถงึ วนั ละ ๘๔,๐๐๐
เมอื่ ทรงเหน็ วา่ ภัยทุกอย่างสงบเรียบร้อยแล้ว พระบรมศาสดาจึงเสด็จกลับกรุง
ราชคฤห
์
ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตาน,ิ หมูภ่ ตู เิ หลา่ ใดซงึ่ มาประชมุ กนั แล้วในทนี่ ้
ี
ภมุ มานิ วา ยานวิ ะ อันตะลกิ เข, สถติ อยู่ตามแผ่นดนิ ก็ด,ี
สถติ อยู่ในอากาศกด็ ี
สพั เพ วะ ภตู า สมุ ะนา ภะวนั ต,ุ ขอหม่ภู ูตทงั้ ปวงน้ัน, จงเปน็ ผมู้ ีใจดเี ถิด
อะโถปิ สกั กจั จะ สุณันตุ ภาสิตงั , และเชญิ ฟงั คำสดุดพี ระรตั นตรัย,
อันข้าพเจ้าจักกลา่ วโดยเคารพเถิด
ตสั ๎มา หิ ภตู า นสิ าเมถะ สัพเพ, ดกู อ่ นภตู ทั้งหลาย เพราะเหตุนน้ั แล,
ขอท่านทั้งหลายทงั้ ปวงจงฟงั ข้าพเจา้ เถิด
เมตตงั กะโรถะ มานุสยิ า ปะชายะ, ขอท่านทั้งหลาย, จงกระทำเมตตาจิต
ในหมมู่ นุษยช์ าติเถดิ
ทิวา จะ รัตโต จะ หะรันติ เย พะลงิ , ซงึ่ มนุษย์ท้งั หลาย,
ทำเทวตาพลอี ย่ทู ัง้ กลางวนั และกลางคนื
ตัสม๎ า หิ เน รกั ขะถะ อปั ปะมัตตา. เพราะเหตุน้นั แล ท่านทง้ั หลาย,
จงเปน็ ผไู้ ม่ประมาท,
ชว่ ยคุม้ ครองรักษาเขาเหล่าน้นั ด้วยเถดิ
32
• ยังกญิ จิ วิตตงั อิธะ วา หุรัง วา, สัคเคสุ วา ยัง ระตะนัง ปะณีตัง,
ทรพั ยเ์ ครือ่ งปล้ืมใจอันใดอันหนงึ่ , ในโลกน้ีกด็ ี ในโลกหน้าก็ด,ี
หรอื รตั นะอนั ใดอนั ประณีตในสวรรค
์
นะ โน สะมัง อัตถิ ตะถาคะเตนะ, ทรัพย์หรอื รัตนะน้ันๆ,
ทจ่ี ะเสมอด้วยพระตถาคตเจา้ ไม่มเี ลย
อิทัมปิ พทุ เธ ระตะนัง ปะณตี งั , เอเตนะ สัจเจนะ สวุ ตั ถิ โหต.ุ
แม้ข้อน้,ี จัดเป็นรตั นคุณอนั ประณีตในพระพทุ ธเจา้ ,
ดว้ ยคำสัตยน์ ี,้ ขอความสวสั ดีจงบงั เกดิ มีเถดิ
• ขะยัง วิราคัง อะมะตัง ปะณตี ัง, ยะทชั ฌะคา สักย๎ ะมุนี สะมาหโิ ต,
พระศากยมุนีเจ้า, ทรงมีพระหฤทัยดำรงมนั่ , ไดท้ รงบรรลุธรรมอนั ใด,
เป็นท่สี น้ิ กเิ ลส, เปน็ ท่ีสิ้นราคะ, เปน็ อมตะธรรมอนั ประณีต
นะ เตนะ ธัมเมนะ สะมตั ถิ กญิ จ,ิ สงิ่ ใดๆ ที่เสมอด้วยพระธรรมนั้น, ยอ่ มไมม่
ี
อิทัมปิ ธัมเม ระตะนงั ปะณตี ัง, เอเตนะ สจั เจนะ สุวัตถิ โหตุ.
แมข้ ้อนี้, จดั เปน็ รตั นคณุ อันประณตี ในพระธรรม,
ด้วยคำสัตย์น,้ี ขอความสวัสดจี งบงั เกิดมีเถิด
• ยัมพทุ ธะเสฏโฐ ปะรวิ ณั ณะยี สุจิง, สะมาธิมานนั ตะรกิ ัญญะมาหุ,
พระพุทธเจ้าผปู้ ระเสริฐสุด, ทรงสรรเสริญแลว้ ซ่งึ สมาธิอันใด,
วา่ เป็นธรรมอันสะอาด, บัณฑติ ทั้งหลาย กลา่ วถึงสมาธอิ นั ใด,
วา่ เป็นธรรมท่ใี ห้ผลโดยลำดับ
สะมาธนิ า เตนะ สะโม นะ วชิ ชะต,ิ สมาธอิ ืน่ ท่ีเสมอด้วยสมาธนิ ้นั , ยอ่ มไมม่ ี
อทิ ัมปิ ธมั เม ระตะนัง ปะณตี ัง, เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหต.ุ
แม้ข้อน้,ี จดั เป็นรัตนคุณอนั ประณตี ในพระธรรม,
ดว้ ยคำสัตย์น,ี้ ขอความสวัสดีจงบังเกดิ มเี ถิด
• เย ปุคคะลา อฏั ฐะ สะตงั ปะสัตถา, จตั ตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนต,ิ
บุคคลเหลา่ ใด นบั เรยี งองค์ได้เปน็ ๘,
นับเปน็ คไู่ ด้ ๔ ค่,ู อันสัตบรุ ษุ ท้ังหลายสรรเสรญิ แล้ว
เต ทกั ขิเณยยา สคุ ะตัสสะ สาวะกา, เอเตสุ ทนิ นานิ มะหัปผะลานิ,
บคุ คลเหลา่ นนั้ เปน็ สาวกของพระสุคตเจ้า, เป็นผู้ควรแกท่ กั ษณิ าทาน,
ทานทั้งหลายทีบ่ คุ คลถวายในท่านเหล่าน้ัน, ยอ่ มมผี ลเป็นอันมาก
อทิ ัมปิ สงั เฆ ระตะนัง ปะณตี ัง, เอเตนะ สัจเจนะ สุวตั ถิ โหตุ.
แมข้ อ้ น,้ี จัดเปน็ รตั นคุณอันประณีตในพระสงฆ์,
ด้วยคำสตั ยน์ ี,้ ขอความสวสั ดีจงบังเกิดมเี ถิด
33
• เย สปุ ปะยุตตา มะนะสา ทัฬ๎เหนะ, นกิ กามิโน โคตะมะสาสะนัม๎หิ,
พระอรยิ บุคคลท้ังหลายเหล่าใด, มใี จอนั ม่ันคง ไม่ยนิ ดใี นกาม,
ประกอบความเพียรดีแลว้ , ในศาสนาพระโคตมเจ้า
เต ปตั ตปิ ตั ตา อะมะตงั วคิ ัยห๎ ะ, ลทั ธา มธุ า นพิ พตุ งิ ภญุ ชะมานา,
พระอริยบุคคลท้ังหลายเหลา่ น้นั , บรรลคุ ณุ อนั ควรบรรลุ,
คือพระอรหัตตผลแล้ว, หย่ังเขา้ สู่พระนิพพานเปน็ อารมณ,์
ไดเ้ ข้าถงึ ซงึ่ ความดับกเิ ลส, แล้วเสวยอยูซ่ ่งึ พระนิพพาน,
อันเปน็ เคร่อื งดับแหง่ กิเลส
อิทมั ปิ สงั เฆ ระตะนัง ปะณีตัง, เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหต.ุ *
แมข้ อ้ น้ี, จดั เปน็ รตั นคณุ อนั ประณตี ในพระสงฆ์,
ด้วยคำสตั ยน์ ,้ี ขอความสวสั ดจี งบงั เกิดมเี ถดิ
ยะถนิ ทะขโี ล ปะฐะวิง สิโต สยิ า, จะตุพภิ วาเตภิ อะสมั ปะกัมปิโย,
เสาเข่ือนทฝ่ี งั ลงดนิ อยา่ งมนั่ คงแล้ว,
ลมท้ัง ๔ ทศิ ทพี่ ัดมา, ไมพ่ ึงหว่ันไหวได้ฉนั ใด
ตะถปู ะมงั สัปปุรสิ งั วะทาม,ิ โย อะรยิ ะสจั จานิ อะเวจจะ ปสั สะติ,
บุคคลใดเห็นอรยิ สจั ท้ังหลายโดยไมห่ วัน่ ไหว, เราเรยี กผนู้ นั้ ว่า,
เป็นสัตบุรุษผ้ไู มห่ วน่ั ไหว, อุปมาเหมอื นเสาเขอื่ นนนั้
อิทมั ปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณตี งั , เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหตุ.
แม้ข้อนี้, จัดเปน็ รัตนคุณอนั ประณีตในพระสงฆ์,
ด้วยคำสตั ยน์ ี,้ ขอความสวสั ดีจงบงั เกดิ มีเถิด
เย อะรยิ ะสัจจานิ วิภาวะยันต,ิ คมั ภรี ะปัญเญนะ สเุ ทสิตานิ,
บุคคลเหล่าใดทำอริยสจั ทั้งหลาย, อนั พระผู้มพี ระภาคเจ้า,
ผู้มีพระปัญญาอนั ลึกซง้ึ , ทรงแสดงไวด้ แี ลว้ , ใหแ้ จม่ แจง้ แกต่ นได้
กิญจาปิ เต โหนติ ภสุ ัปปะมตั ตา, นะ เต ภะวัง อฏั ฐะมะมาทิยนั ต,ิ
บุคคลเหลา่ น้นั , ถึงจะเปน็ ผปู้ ระมาทอยบู่ ้าง, แต่ทา่ นกย็ อ่ มไมถ่ อื เอาภพ,
มาเกดิ ในคำรพท่ี ๘ (พระโสดาบนั เกดิ อกี อย่างมากเพยี งเจด็ ชาต)ิ
อทิ ัมปิ สังเฆ ระตะนงั ปะณีตงั , เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหต.ุ
แม้ข้อน,้ี จัดเป็นรตั นคุณอนั ประณีตในพระสงฆ,์
ด้วยคำสตั ยน์ ้,ี ขอความสวสั ดีจงบงั เกิดมเี ถดิ
สะหาวัสสะ ทสั สะนะสมั ปะทายะ, ตย๎ สั สุ ธมั มา ชะหติ า ภะวันต,ิ
สักกายะทิฏฐิ วิจิกจิ ฉิตัญจะ, สีลัพพะตัง วาปิ ยะทตั ถิ กิญจิ,
* ถ้าสวดยอ่ ต่อดว้ ยบท ขีณัง หนา้ ๓๖
34
สงั โยชน์ ๓ ประการคอื , สักกายทฐิ ิ, วจิ ิกจิ ฉา, และสีลัพพตปรามาส,
ซึ่งเป็นกเิ ลสเครอ่ื งผูกสัตว์ไวใ้ นภพ, อันพระโสดาบันละไดแ้ ล้ว,
เพราะความถึงพร้อมแหง่ ญาณทัสนะ
จะตหู ะปาเยหิ จะ วิปปะมุตโต, ฉะ จาภฐิ านานิ อะภพั โพ กาตงุ ,
อนงึ่ พระโสดาบนั เป็นผูพ้ น้ ไดแ้ ล้ว, จากอบายภมู ทิ ้งั ๔, ทงั้ ไมอ่ าจที่จะทำอภิฐาน,
คือกรรมอนั หนกั ๖ ประการ (๑. ฆ่าแม่ ๒. ฆา่ พอ่ ๓. ฆ่าพระอรหนั ต์
๔. ทำพระพทุ ธเจา้ ใหห้ อ้ พระโลหติ ๕. ทำสงฆใ์ หแ้ ตกแยก ๖. ภกิ ษผุ ไู้ ปเขา้ รตี เดยี รถยี )์
อทิ ัมปิ สังเฆ ระตะนงั ปะณีตัง, เอเตนะ สัจเจนะ สุวตั ถิ โหต.ุ
แม้ข้อนี้, จัดเปน็ รัตนคุณอนั ประณีตในพระสงฆ์,
ด้วยคำสัตยน์ ,้ี ขอความสวสั ดจี งบังเกดิ มเี ถดิ
กิญจาปิ โส กมั มัง กะโรติ ปาปะกงั , กาเยนะ วาจายุทะ เจตะสา วา,
พระโสดาบนั น้นั , ยังทำความผิดเลก็ นอ้ ย, ทางกาย ทางวาจาหรอื ทางใจอยู่บา้ ง
อะภพั โพ โส ตสั สะ ปะฏจิ ฉะทายะ, อะภัพพะตา ทฏิ ฐะปะทสั สะ วตุ ตา,
พระโสดาบนั นั้น, ก็เป็นผไู้ มป่ กปิดความผดิ นนั้ ไว,้
เพราะการทีบ่ คุ คล, ผูเ้ ข้าถงึ กระแสพระนิพพานแล้ว,
จะปิดบงั กรรมชั่วของตนไว้นนั้ , พระตถาคตกลา่ วว่าไม่อาจปิดบังได
้
อทิ มั ปิ สงั เฆ ระตะนงั ปะณีตัง, เอเตนะ สัจเจนะ สวุ ตั ถิ โหต.ุ
แมข้ อ้ นี้, จดั เป็นรตั นคุณอันประณีตในพระสงฆ์,
ดว้ ยคำสตั ย์นี้, ขอความสวัสดีจงบังเกิดมีเถดิ
วะนัปปะคมุ เพ ยะถา ผสุ สิตัคเค, คมิ ห๎ านะมาเส ปะฐะมัส๎มงิ คมิ ๎เห,
พุ่มไมใ้ นป่าแตกยอดในเดือนตน้ คิมหนั ต,์ แห่งคิมหันตฤดูฉนั ใด
ตะถปู ะมัง ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ, นพิ พานะคามงิ ปะระมัง หติ ายะ,
พระตถาคตเจา้ ไดท้ รงแสดงธรรมอันประเสริฐ,
ซ่งึ เปน็ หนทางให้ถงึ พระนพิ พาน, เพื่อประโยชน์อยา่ งย่งิ แก่สตั วท์ ้งั หลาย,
ก็มีอปุ มาฉันนัน้
อทิ มั ปิ พทุ เธ ระตะนงั ปะณีตัง, เอเตนะ สจั เจนะ สุวัตถิ โหต.ุ
แม้ข้อน,ี้ กเ็ ป็นรตั นคุณอันประณตี ในพระพทุ ธเจา้ ,
ดว้ ยคำสตั ย์น,ี้ ขอความสวสั ดจี งบังเกิดมเี ถดิ
วะโร วะรญั ญู วะระโท วะราหะโร, อะนุตตะโร ธมั มะวะรัง อะเทสะย,ิ
พระตถาคตเจ้าทรงเปน็ ผปู้ ระเสรฐิ , ทรงเปน็ ผ้รู ู้ส่งิ อันประเสริฐ,
ทรงเป็นผูใ้ ห้สง่ิ อันประเสริฐ, ทรงเปน็ ผ้นู ำมาซึง่ สงิ่ อนั ประเสรฐิ ,
ทรงเป็นผไู้ ม่มีใครยงิ่ กว่า, ได้ทรงแสดงแลว้ ซึง่ พระธรรมอันประเสริฐ
35
อิทัมปิ พทุ เธ ระตะนัง ปะณตี ัง, เอเตนะ สัจเจนะ สวุ ัตถิ โหต.ุ
แม้ขอ้ น้,ี ก็เป็นรัตนคณุ อนั ประณีตในพระพทุ ธเจา้ ,
ด้วยคำสตั ย์น้ี, ขอความสวสั ดจี งบังเกิดมีเถิด
• ขณี ัง ปรุ าณัง นะวัง นตั ถิ สมั ภะวัง, วริ ตั ตะจติ ตายะติเก ภะวสั ม๎ งิ ,
กรรมเกา่ ของพระอริยบุคคลเหล่าใดส้ินแล้ว,
กรรมใหมท่ ีจ่ ะเกิดในภพใหม่ยอ่ มไมม่ ี, พระอริยบุคคลเหลา่ ใด,
มีจติ อันหนา่ ยแล้วในภพตอ่ ไป
เต ขณี ะพชี า อะวิรุฬห๎ ิฉนั ทา, นิพพนั ติ ธีรา ยะถายัมปะทโี ป,
พระอรหนั ต์เหล่านนั้ มพี ืชคือวิญญาณ,
อันจะเกดิ ในภพตอ่ ไปสิ้นแล้ว, ไม่มคี วามพอใจทจี่ ะเกดิ อกี ตอ่ ไป,
เปน็ ผมู้ ปี ญั ญา ย่อมนิพพาน, เหมือนดงั ดวงประทปี ทดี่ ับไปฉนั นนั้
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนงั ปะณตี งั , เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ.
แมข้ อ้ นี้, จดั เป็นรัตนคณุ อันประณตี ในพระสงฆ์,
ดว้ ยคำสัตยน์ ี้, ขอความสวสั ดีจงบังเกดิ มีเถดิ
ยานีธะ ภตู านิ สะมาคะตานิ, ภมุ มานิ วา ยานวิ ะ อันตะลิกเข,
ภูตประจำถ่นิ เหลา่ ใด, ประชมุ กันแลว้ ในพระนครก็ด,ี
ประชมุ กนั แลว้ ในอากาศก็ดี
ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปชู ิตัง, พทุ ธัง นะมัสสามะ สวุ ัตถิ โหต.ุ
เราทั้งหลายจงนมสั การพระพุทธเจา้ ผมู้ าแลว้ ,
ผซู้ งึ่ เทวดาและมนษุ ยบ์ ูชาแลว้ , ขอความสขุ สวัสดีจงบงั เกิดมีเถิด
ยานีธะ ภตู านิ สะมาคะตาน,ิ ภมุ มานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข,
ภตู ประจำถนิ่ เหลา่ ใด, ประชุมกนั แลว้ ในพระนครกด็ ,ี
ประชุมกนั แลว้ ในอากาศกด็ ,ี
ตะถาคะตงั เทวะมะนสุ สะปชู ิตงั , ธัมมงั นะมสั สามะ สุวัตถิ โหตุ.
เราทง้ั หลายจงนมัสการพระธรรมอันมาแลว้ ,
อันเทวดาและมนุษยบ์ ูชาแล้ว, ขอความสุขสวัสดจี งบังเกิดมีเถิด
ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ, ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลกิ เข,
ภูตประจำถนิ่ เหลา่ ใด, ประชุมกันแลว้ ในพระนครกด็ ,ี
ประชมุ กนั แล้วในอากาศก็ดี
ตะถาคะตงั เทวะมะนุสสะปชู ติ งั , สังฆงั นะมัสสามะ สุวตั ถิ โหต.ุ
เราท้งั หลายจงนมัสการพระสงฆผ์ ู้มาแล้ว, ผ้ซู ง่ึ เทวดาและมนุษยบ์ ูชาแล้ว,
ขอความสุขสวัสดีจงบงั เกิดมเี ถิด
36
กะระณยี ะเมตตะปะริตตงั
พุทธมนต์เพ่ือความเป็นมิตรและเมตตาแก่เทวดา มนุษย์ และอมนุษย์ทั้งหลายทำให้
หลับเป็นสุข ต่ืนเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของเทวดา เทพพิทักษ์รักษา ไม่มีภยันตราย
จิตเป็นสมาธิง่าย ใบหน้าผ่องใส มีสิริมงคล ไม่หลงสติในเวลาเสียชีวิต และเป็นพรหมเม่ือ
บรรลเุ มตตาฌาน
ประวตั ิ
สมัยหน่ึง เวลาก่อนเข้าพรรษา มีพระภิกษุ ๕๐๐ รูป มาเข้าเฝ้าขอรับ
กรรมฐานจากพระบรมศาสดาที่กรุงสาวัตถี ครั้นรับกรรมฐานแล้วก็ออกเดินทาง
ไปยังปัจจันตประเทศพักจำพรรษาในราวป่าแห่งหน่ึงซึ่งเป็นที่สัปปายะ ซึ่งชาว
ปัจจันตประเทศก็ได้เก้ือกูลบำรุงพระภิกษุเหล่านั้นเป็นอย่างดี ทำให้เหล่าพระภิกษุ
สามารถบำเพ็ญเพยี รเจรญิ สติภาวนาได้ทง้ั กลางวันและกลางคืน
เม่ือพระภิกษุผู้ทรงศีลมาเจริญภาวนาอยู่ตามโคนไม้ พวกรุกขเทวดาทั้งหลาย
ก็อยู่ไม่ได้ จำเป็นต้องลงจากวิมานของตนเองมามองดูอยู่ไกลๆ ว่าเม่ือไรหนอพระ
ภิกษุเหล่าน้ีจะไป เมื่อพิจารณาว่าบัดนี้เข้าพรรษาแล้วพระภิกษุเหล่านี้คงจะอยู่นาน
เปน็ แน่ พวกรกุ ขเทวดาจึงได้แสดงอาการจะใหพ้ ระภิกษุยา้ ยออกไป โดยการทำเสยี งท่ี
น่ากลัวและเนรมติ กายเป็นยักษม์ าปรากฏ หลอกหลอนต่อหน้าเวลากลางคนื
พระภิกษุเหล่านั้นหวาดกลัว หลงลืมสติ ปวดศีรษะ ร่างกายซูบผอม
ผิวเหลือง เป็นโรคผอมเหลือง ไม่อาจปฏิบัติสมณธรรมได้ หลังจากปรึกษากันแล้ว
จงึ พากนั ไปกราบทลู ถามพระบรมศาสดาวา่ สถานทนี่ นั้ ไมเ่ ปน็ ทส่ี ปั ปายะ (พอเหมาะพอสม
เป็นท่ีสบาย) หรืออยา่ งไร
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า เสนาสนะนั้นเป็นที่สัปปายะแล้ว พวกเธอ
เขา้ ไปอาศัยเสนาสนะน้นั นน่ั แหละจักบรรลุธรรม แตถ่ า้ พวกเธอปรารถนาความไม่มีภยั
จากเทวดาทั้งหลายก็จงพากนั เรยี นพระปริตรนี้
ครัน้ แล้ว พระผ้มู พี ระภาคเจา้ จึงได้ตรสั พระปรติ รนี้เพื่อใช้เจรญิ เมตตาและเพือ่
เจริญฌานอนั เปน็ บาทแหง่ วิปสั สนาแกภ่ ิกษเุ หลา่ นน้ั
กะระณียะมตั ถะกุสะเลนะ ยันตงั สนั ตัง ปะทงั อะภสิ ะเมจจะ,
กุลบุตรผฉู้ ลาดในประโยชน,์ ปรารถนาจะตรสั รบู้ ทคือพระนพิ พานอันสงบ
สักโก อชุ ู จะ สุหชุ ู จะ สุวะโจ จสั สะ มุทุ อะนะติมาน,ี
พึงเปน็ ผู้อาจหาญ ผ้ตู รง มั่นคงดี ผูว้ า่ งา่ ย, พึงเปน็ ผู้อ่อนโยน ไมเ่ ย่อหยิ่ง
37
สันตุสสะโก จะ สภุ ะโร จะ อัปปะกจิ โจ จะ สัลละหกุ ะวตุ ติ,
เปน็ ผสู้ นั โดษ เลยี้ งง่าย มีกิจนอ้ ย, ประพฤตติ นเบากายเบาจิต
สันตินท๎ริโย จะ นปิ ะโก จะ อปั ปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคทิ โธ,
มอี นิ ทรยี ์สงบระงับ, มีปัญญาเครอื่ งรักษาตน,
เปน็ ผู้ไม่คะนอง, ไม่คลกุ คลใี นสกุล
นะ จะ ขทุ ทัง สะมาจะเร กญิ จิ เยนะ วญิ ญู ปะเร อปุ ะวะเทยยงุ ,
ไม่พงึ ประพฤตทิ จุ ริตแม้กรรมเพียงเล็กนอ้ ย, เปน็ เหตุใหว้ ญิ ญชู นติเตยี นได้
สขุ โิ น วา เขมิโน โหนตุ สพั เพ สตั ตา ภะวันตุ สขุ ติ ตั ตา,
พงึ แผไ่ มตรีจิตไปในสัตวท์ ้ังหลายวา่ ,
ขอสตั ว์ทัง้ ปวงจงเปน็ สขุ มคี วามเกษมเถิด
เย เกจิ ปาณะภตู ตั ถิ ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา,
สัตว์มีชีวติ ทงั้ หลายเหลา่ ใดเหลา่ หนงึ่ , สตั วท์ ง้ั มวล, ทส่ี ะดุง้ กลวั ก็ดี ที่มัน่ คงก็ดี
ทฆี า วา เย มะหันตา วา มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา,
มีอตั ภาพยาวกด็ ี ใหญก่ ด็ ี, อตั ภาพปานกลาง เลก็ หรือละเอียดกด็
ี
ทฏิ ฐา วา เย จะ อะทฏิ ฐา เย จะ ทูเร วะสนั ติ อะวทิ ูเร,
ทีเ่ ราเห็นก็ดี ไมเ่ ห็นกด็ ,ี ท่ีอย่ไู กลกด็ ี อยู่ใกลก้ ด็ ี
ภตู า วา สมั ภะเวสี วา สัพเพ สัตตา ภะวนั ตุ สุขติ ตั ตา,
ท่เี กิดแล้วกด็ ี ทก่ี ำลงั แสวงหาที่เกิดกด็ ี, สตั ว์ทง้ั หมดน้ัน,
จงเป็นผ้มู ตี นถงึ ความสุขเถิด
นะ ปะโร ปะรัง นิกพุ เพถะ นาตมิ ัญเญถะ กัตถะจิ นัง กญิ จ,ิ
สัตว์อ่ืนไมพ่ ึงขม่ เหงสตั วอ์ ื่น, ไมพ่ ึงดูหมิ่นผู้หนงึ่ ผู้ใดในทใี่ ดๆ เลย
พ๎ยาโรสะนา ปะฏฆี ะสัญญา นาญญะมญั ญสั สะ ทกุ ขะมิจเฉยยะ,
ไม่พึงปรารถนาทุกข์แก่กนั และกนั , เพราะความกรว้ิ โกรธและความเคียดแคน้
มาตา ยะถา นยิ งั ปุตตงั อายสุ า เอกะปตุ ตะมะนุรักเข,
มารดาถนอมบุตรคนเดยี วผเู้ กิดในตน, ดว้ ยการยอมสละชีวิตไดฉ้ ันใด
เอวมั ปิ สัพพะภูเตสุ มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณงั .
ผู้ฉลาดพงึ เจรญิ เมตตาในสัตว์ทั้งปวง, ไมม่ ปี ระมาณ ฉนั นนั้
• เมตตัญจะ สัพพะโลกัสม๎ ิง มานะสมั ภาวะเย อะปะรมิ าณงั ,
ผูฉ้ ลาดพงึ เจริญเมตตาในสัตวท์ ้ังปวง, ไมม่ ีประมาณในโลกทงั้ สนิ้
อุทธัง อะโธ จะ ตริ ิยัญจะ อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง,
ท้งั เบื้องบน เบ้ืองตำ่ และเบ้อื งขวาง, ไมม่ ีขอบเขต ไม่มีเวร ไมม่ ศี ตั รู
38
ติฏฐญั จะรัง นิสินโน วา สะยาโน วา ยาวะตสั สะ วคิ ะตะมิทโธ,
ผู้เจรญิ เมตตาจติ นน้ั , ยืนอยู่กด็ ี เดินไปกด็ ี นงั่ แลว้ ก็ดี นอนแลว้ กด็ ี,
ตลอดเวลาท่ีตนยงั ตื่นอยู่
เอตงั สะติง อะธฏิ เฐยยะ พ๎รหั ม๎ ะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ,
ควรตั้งเมตตาสตินี้ใหม้ ัน่ ไว,้ บณั ฑิตท้งั หลาย, กล่าวถงึ การอยดู่ ว้ ยเมตตานว้ี ่า,
เป็นการอย่อู ย่างประเสริฐในพระธรรมวินยั นี้
ทฏิ ฐญิ จะ อะนุปะคัมมะ สีละวา ทสั สะเนนะ สัมปันโน,
บุคคลทมี่ เี มตตา ทลี่ ะความเห็นผิดแล้ว, มศี ีล ถึงพร้อมด้วยความเห็นชอบ
กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง นะ หิ ชาตุ คพั ภะเสยยงั ปนุ ะเรตีต.ิ
ขจัดความใคร่ในกามท้ังหลายเสียได้, ยอ่ มไมถ่ งึ ความเกิดในครรภ์อกี โดยแท้แล
ขนั ธะปะริตตงั
พุทธมนตส์ ำหรับค้มุ ครองปอ้ งกนั ภยั จากอสรพษิ และสตั วร์ า้ ยอนื่ ๆ
ประวตั ิ
สมยั หนึง่ พระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ เชตวันวหิ าร มีภิกษรุ ูปหน่งึ มรณภาพ
เพราะถูกงูกัดขณะกำลงั ผา่ ฟืนอยู่ทป่ี ระตเู รือนไฟ
พระบรมศาสดาจงึ แสดงปรติ รนว้ี า่ ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย หากภกิ ษรุ ปู นนั้ ไดเ้ จรญิ เมตตา
แผ่ถึงตระกูลพญางูท้ังสี่แล้ว งูก็จะไม่กัด แม้ดาบสท้ังหลายแต่ปางก่อนก็ปลอดภัย
เพราะไดเ้ จริญเมตตาพญางูท้งั ๔ ตระกลู คอื ตระกลู วริ ูปกั ข์ เอราบถ ฉัพยาบตุ ร และ
กณั หาโคตมกะ
(พญางทู ั้ง ๔ ตระกูลน้ี เปน็ ตระกูลงูใหญ่ คอื พญานาคชัน้ สูงทีม่ กี ำเนิดแบบ
โอปปาติกะ ตระกลู งวู ิรูปกั ขม์ ีกายสเี ขยี ว ตระกูลเอราบถมีกายสที อง ตระกลู ฉัพยาบุตร
มีกายสีเทา และตระกูลกณั หาโคตมกะมกี ายสีดำ)
วริ ูปกั เขหิ เม เมตตงั เมตตัง เอราปะเถหิ เม,
ขอไมตรจี ิตของเรา, จงมแี กพ่ ญางูตระกลู วริ ปู ักข,์
ขอไมตรีจิตของเรา, จงมีแกพ่ ญางตู ระกลู เอราบถ
ฉัพย๎ าปุตเตหิ เม เมตตัง เมตตงั กัณ๎หาโคตะมะเกหิ จะ,
ขอไมตรจี ติ ของเรา, จงมีแกพ่ ญางูตระกลู ฉพั ยาบุตร,
ขอไมตรจี ติ ของเรา, จงมแี ก่พญางตู ระกูลกัณหาโคตมกะ
39
อะปาทะเกหิ เม เมตตัง เมตตัง ทิปาทะเกหิ เม,
ขอไมตรจี ติ ของเรา, จงมีกบั สตั ว์ท่ไี มม่ ีเท้า,
ขอไมตรจี ติ ของเรา, จงมีกบั สัตว์ ๒ เท้า
จะตปุ ปะเทหิ เม เมตตัง เมตตัง พะหุปปะเทหิ เม,
ขอไมตรีจิตของเรา, จงมกี บั สัตว์ ๔ เทา้ ,
ขอไมตรีจติ ของเรา, จงมกี ับสตั วม์ เี ทา้ มาก
มา มงั อะปาทะโก หงิ สิ มา มัง หิงสิ ทิปาทะโก,
ขอสัตว์ทไ่ี ม่มีเทา้ อย่าได้เบยี ดเบียนเราเลย,
ขอสัตว์ท่ีมี ๒ เท้า อยา่ ไดเ้ บียดเบียนเราเลย
มา มงั จะตปุ ปะโท หิงสิ มา มัง หงิ สิ พะหปุ ปะโท,
ขอสตั วท์ ่มี ี ๔ เทา้ อย่าไดเ้ บยี ดเบยี นเราเลย,
ขอสตั ว์ท่มี เี ทา้ มาก อย่าได้เบยี ดเบียนเราเลย
สพั เพ สตั ตา สพั เพ ปาณา สัพเพ ภตู า จะ เกวะลา,
ขอสรรพสัตวผ์ ู้มีชวี ิตท้ังหลาย, สัตวผ์ ู้เกดิ แลว้ ทงั้ หมดท้ังส้นิ
สพั เพ ภัทร๎ านิ ปัสสนั ต ุ มา กญิ จิ ปาปะมาคะมา.
จงประสบพบแต่ความเจรญิ ท่วั กนั , ความทุกข์ช่วั ช้า
อย่าไดม้ าถึงสตั วผ์ ู้ใดผหู้ น่งึ เลย
• อปั ปะมาโณ พุทโธ, อปั ปะมาโณ ธมั โม, อัปปะมาโณ สังโฆ,
พระพทุ ธเจา้ ทรงพระคณุ หาประมาณมไิ ด,้
พระธรรมทรงพระคุณหาประมาณมิได,้
พระสงฆท์ รงพระคุณหาประมาณมไิ ด้
ปะมาณะวันตานิ สิริงสะปานิ,
อะหิ วจิ ฉิกา สะตะปะที อุณณานาภี สะระพู มสู กิ า,
บรรดาสัตวเ์ ลื้อยคลาน คอื , งู แมงป่อง ตะขาบ,
แมงมมุ ตุ๊กแก และหนู, ล้วนเป็นสตั วป์ ระมาณได้
กะตา เม รกั ขา กะตา เม ปะรติ ตา, ปะฏิกกะมนั ตุ ภตู านิ,
เราได้ทำการรักษาตัวแล้ว ป้องกนั ตัวแลว้ , ขอสตั ว์ทง้ั หลายจงพากันหลกี ไป
โสหัง นะโม ภะคะวะโต, นะโม สัตตนั นัง สมั มาสมั พุทธานัง.
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจา้ ,
และพระสัมมาสมั พุทธเจ้า ๗ พระองค์
40
โมระปะริตตัง
พุทธมนตส์ ำหรบั ป้องกนั ภัยภยั จากผคู้ ิดร้ายไม่ให้มาถงึ ตน
(คาถานกยงู ทอง)
ประวตั ิ
สมัยหน่ึง พระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร มีภิกษุ
รปู หน่งึ กระสันจะสกึ เพราะมาตคุ าม (สตร)ี พระบรมศาสดาจงึ ตรัสวา่ ดกู ่อน
ภกิ ษุ มาตคุ ามนน้ั ยอ่ มรบกวนจติ แมส้ ตั วผ์ เู้ ปยี่ มดว้ ยยศสงู ใหถ้ งึ ความพนิ าศได้
แล้วทรงนำเร่ืองในอดตี ชาตขิ องพระองคค์ รั้งเกดิ เปน็ นกยูงทองมาตรสั เล่า
สมัยหนึ่งพระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นนกยูงมีสีด่ังทอง นกยูงนี้จะรักษา
ชีวิตของตนเป็นอย่างดี ยามเช้าก่อนออกหากิน ก็จะข้ึนไปบนยอดเขาสูง
เฝา้ มองดวงอาทติ ยก์ ำลงั จะขนึ้ แลว้ ผกู พระปรติ รขน้ึ ตกเยน็ กจ็ ะกลบั มาทเ่ี ดมิ
ดูพระอาทิตย์กำลังจะตกแล้วร่ายพระปริตรน้ันอีกเช่นนี้ทุกวัน นกยูงก็อยู่
เป็นสุขและปลอดภัยมาช้านาน ต่อมามเหสีของพระเจ้าพรหมทัตทรงสุบิน
เหน็ นกยงู ทอง มาแสดงธรรมใหฟ้ งั พระนางจงึ ปรารถนาไดส้ ดบั พระธรรมตามนน้ั
จึงทูลต่อพระเจ้าพรหมทัต พระราชาจึงรับสั่งให้นายพรานไปจับนกยูงทอง
มาใหไ้ ดโ้ ดยใหจ้ บั เปน็ มใิ หจ้ บั ตาย แตน่ ายพรานพยายามอยถู่ งึ ๗ ปี กไ็ มส่ ามารถ
จบั นกยงู นไี้ ดเ้ พราะแมว้ า่ นกยงู จะเหยยี บบว่ งทน่ี ายพรานดกั เอาไวบ้ ว่ งกไ็ มค่ ลอ้ งเทา้
ตอ่ มาสมยั อน่ื มนี ายพรานเจา้ ปญั ญาคนหนง่ึ ใชว้ ธิ นี ำนกยงู ตวั เมยี ทฝี่ กึ ใหฟ้ อ้ นรำ
ขบั รอ้ งอยา่ งดแี ลว้ มาลอ่ นกยงู ทอง พอนกยงู ทองไดย้ นิ เสยี งนกยงู ตวั เมยี กม็ ใี จ
เรา่ รอ้ นดว้ ยกเิ ลส มสิ ามารถรา่ ยพระปรติ รไดเ้ ชน่ เคย สดุ ทา้ ยเลยตดิ บว่ งนายพราน
เมอ่ื ถกู นำมาตอ่ หนา้ พระพกั ตรพ์ ระเจา้ พรหมทตั นกยงู ไดเ้ ลา่ ถงึ อดตี ชาตขิ องตน
ให้ฟงั ว่า เคยเปน็ จักรพรรดคิ รองแควน้ นมี้ ากอ่ น เลา่ ถึงอานสิ งส์ของศลี ๕ ที่
ได้เคยบำเพ็ญมาจึงทำให้มีสีดั่งทอง แล้วแสดงธรรมกถาแก่พระเจ้าพรหมทัต
พระราชาทรงเลอื่ มใส ทำการสักการะเป็นการใหญ่ แลว้ ปลอ่ ยนกยูงกลบั ไปยงั
ถ่ินเดิม
อเุ ทตะยญั จักขุมา เอกะราชา หะรสิ สะวัณโณ ปะฐะวปิ ปะภาโส,
พระอาทิตย์เปน็ ดวงตาของโลก, เป็นเจา้ แหง่ แสงสวา่ ง
ทอแสงงามดจุ ทอง, สอ่ งสวา่ งเหนอื พืน้ ปฐพี
ตัง ตงั นะมสั สามิ หะรสิ สะวัณณัง ปะฐะวปิ ปะภาสงั ,
ข้าพเจา้ ขอนอบนอ้ มทา่ นผูเ้ จริญ, ผ้มู ีแสงสวา่ งเหนือแผ่นดินนนั้
41
ตะยชั ชะ คุตตา วหิ ะเรมุ ทวิ ะสงั ,
ขา้ พเจ้าอนั ท่านชว่ ยคุ้มกันแล้วในวันนี้, พงึ อยู่เป็นสุขตลอดวนั
เย พ๎ราหม๎ ะณา เวทะคุ สพั พะธัมเม,
พราหมณ์เหลา่ ใดผถู้ งึ เวทในธรรมทงั้ ปวง
เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันต,ุ
ขอพราหมณเ์ หลา่ นนั้ จงรบั ความนอบนอ้ มของขา้ พเจา้ , และคมุ้ ครองขา้ พเจา้ ดว้ ย
นะมตั ถุ พุทธานงั นะมตั ถุ โพธิยา,
ขา้ พเจา้ ขอนอบนอ้ มพระพุทธเจ้าทง้ั หลาย, ขอนอบนอ้ มแด่พระโพธญิ าณ
นะโม วิมุตตานงั นะโม วมิ ตุ ตยิ า,
ขอนอบน้อมแด่ทา่ นผู้หลดุ พน้ แลว้ , ขอนอบน้อมแดว่ ิมตุ ตธิ รรม
อมิ งั โส ปะรติ ตงั กตั ๎วา โมโร จะระติ เอสะนา.
นกยูงน้นั เจรญิ พระปรติ รน้ีแลว้ ,จึงเท่ียวไปแสวงหาอาหาร
อะเปตะยญั จักขมุ า เอกะราชา หะริสสะวัณโณ ปะฐะวปิ ปะภาโส,
พระอาทติ ย์เปน็ ดวงตาของโลก, เปน็ เจ้าแหง่ แสงสวา่ ง
ทอแสงงามดจุ ทอง, ส่องสวา่ งเหนอื พื้นปฐพแี ล้วอัสดงไป
ตัง ตงั นะมสั สามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง,
ข้าพเจา้ ขอนอบน้อมทา่ นผู้เจริญ, ผู้มีแสงสวา่ งเหนือแผ่นดนิ นัน้
ตะยัชชะ คตุ ตา วิหะเรมุ รัตติง,
ขา้ พเจ้าอนั ทา่ นชว่ ยคมุ้ กนั แล้วในวนั น,้ี พึงอยูเ่ ปน็ สขุ ตลอดคนื
เย พร๎ าห๎มะณา เวทะคุ สพั พะธมั เม,
พราหมณเ์ หลา่ ใดผถู้ งึ เวทในธรรมท้ังปวง
เต เม นะโม เต จะ มงั ปาละยันต,ุ
ขอพราหมณ์เหล่านน้ั จงรบั ความนอบนอ้ มของข้าพเจา้ ,
และคมุ้ ครองขา้ พเจา้ ดว้ ย
นะมัตถุ พทุ ธานัง นะมตั ถุ โพธิยา,
ขา้ พเจา้ ขอนอบนอ้ มพระพุทธเจา้ ทัง้ หลาย, ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระโพธญิ าณ
นะโม วิมุตตานงั นะโม วิมุตตยิ า,
ขอนอบน้อมแดท่ า่ นผ้หู ลดุ พ้นแลว้ , ขอนอบนอ้ มแด่วิมตุ ตธิ รรม
อมิ ัง โส ปะรติ ตงั กตั ว๎ า โมโร วาสะมะกปั ปะยีติ.
นกยูงนน้ั เจรญิ พระปริตรนแี้ ล้ว, จงึ สำเรจ็ การเขา้ พกั อยู่แล
42
วฏั ฏะกะปะริตตงั
พทุ ธมนต์สำหรบั ป้องกนั อัคคภี ยั (คาถานกคุ้ม)
ประวตั ิ
สมัยหน่ึงพระพุทธเจ้าพร้อมหมู่ภิกษุทรงเสด็จดำเนินมาตามมรรคา ขณะน้ัน
เกิดไฟป่าไหม้ลุกลามอยู่ ไฟโหมแรงใกล้เข้ามาโดยรอบเร่ือยๆ แต่เกิดอัศจรรย์ตรงที่
ไฟป่าไม่สามารถลุกลามเข้ามาในบริเวณรัศมี ๑๖ กรีส (๑ กิโลเมตร) โดยรอบ
ทพี่ ระพทุ ธเจา้ พรอ้ มสงฆส์ าวก ยนื ประทบั อยู่ ภกิ ษจุ งึ พากนั กราบทลู ถามพระผมู้ พี ระภาค
ในเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เป็นพลานุภาพของสัจจกิริยา คร้ังโบราณกาลของ
พระองคเ์ องสมัยพระองคเ์ สวยพระชาติเป็นลูกนกค้มุ ครัง้ นั้นเกดิ ไฟปา่ รนุ แรง บรรดา
ฝูงสัตว์ทั้งหลายต่างก็กลัวตายพากันหนีกันไปหมด รวมถึงพ่อแม่ของนกคุ้มด้วย
แต่ลกู นกคมุ้ โพธิสัตว์ยังไมส่ ามารถบินได้ จึงได้รำพงึ ถงึ ศลี และบารมีของพระพทุ ธเจา้
ท้ังหลายในอดีตแล้วทำสัจจกิริยา ด้วยอำนาจแห่งสัจจกิริยาน้ันแล ไฟท้ังหลายก็เป็น
อันดับไปด่ังเอาคบเพลิงจุ่มลงน้ำในรัศมี ๑๖ กรีส (๑ กิโลเมตร) โดยรอบและ
อานุภาพนี้จะยังคงอยู่ตลอดไปจนส้ินกัปป์นี้คือไฟจะไม่ลุกลามเข้ามาในสถานท่ีนั้น
ไดเ้ ลย (เรยี กกันวา่ กปั ปฏั ฐิตปิ าฏิหารยิ )์
อตั ถิ โลเก สลี ะคโุ ณ สัจจงั โสเจยยะนทุ ทะยา,
คุณของศลี ความสตั ย์ และความเอน็ ดู, มีอยู่ในโลก
เตนะ สัจเจนะ กาหามิ สจั จะกริ ยิ ะมะนตุ ตะรงั ,
ดว้ ยความสัตย์น้นั , ข้าพเจ้าจกั กระทำสัจจกริ ิยาอนั สูงสุด
อาวัชชติ ว๎ า ธมั มะพะลัง สะริตว๎ า ปพุ พะเก ชเิ น,
ข้าพเจา้ คำนงึ ถงึ กำลงั ของพระธรรม, ระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ ท้ังหลายในกาลก่อน
สัจจะพะละมะวสั สายะ สัจจะกิรยิ ะมะกาสะหงั ,
ขอกระทำสัจจกริ ยิ า, แสดงกำลังความสตั ย์ว่า
สันติ ปักขา อะปตั ตะนา สนั ติ ปาทา อะวญั จะนา,
ปีกของข้าพเจ้ามอี ยู่ แตย่ ังบินไปไมไ่ ด,้ เท้าของข้าพเจ้ามอี ยู่ แตย่ งั เดนิ ไม่ได้
มาตา ปิตา จะ นกิ ขันตา ชาตะเวทะ ปะฏิกกะมะ,
มารดาบิดาก็พากันบนิ ออกไปแลว้ , ดูก่อนไฟป่า จงกลับไปเถิด
สะหะ สจั เจ กะเต มยั ๎หัง มะหาปัชชะลิโต สขิ ี,
ครนั้ เมอื่ เราทำสัจจกิริยาแล้ว, เปลวไฟท่ลี กุ รงุ่ โรจน
์
43
วัชเชสิ โสฬะสะ กะรีสานิ อุทะกงั ปตั ๎วา ยะถา สิขี,
๑๖ กรีส กด็ บั ลง, ประหน่ึงเปลวไฟตกลงในน้ำ
สจั เจนะ เม สะโม นตั ถิ เอสา เม สจั จะปาระมตี ิ.
ส่ิงใดเสมอด้วยสัจจะของเราไมม่ ,ี นี้เปน็ สจั จบารมขี องเรา
อาฏานาฏยิ ะปะริตตงั
พทุ ธมนต์สำหรบั ป้องกันภัยจากอมนษุ ย์ และภตู ผีปศี าจ
ประวัต
ิ
ในสมัยพุทธกาล พระภิกษุสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าท่ีหลีกเร้นไปปฏิบัติ
สมณธรรมในราวป่า มักจะถูกพวกอมนุษย์ ได้แก่ คนธรรพ์บริวารของท้าวธตรฐ
กุมภัณฑ์บริวารของท้าววิรุฬหก นาคบริวารของท้าววิรูปักข์ และยักษ์บริวารของท้าว
กเุ วร บางพวก ซงึ่ ไมเ่ ลอื่ มใสในพระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ เบยี ดเบยี นไมส่ ามารถ
บำเพ็ญสมณธรรมได้
ท้าวเวสสุวัณและท้าวมหาราชท้ัง ๔ จึงประชุมกันท่ี อาฏานาฏิยะนคร
ในสวรรค์ช้ัน จาตุมหาราชิกา ได้ผูกมนต์ขึ้นมาบทหน่ึง ช่ือว่า อาฏานาฏิยอารักขา
มีจุดประสงค์ว่า หากอมนุษย์ตนใดทำร้ายผู้สาธยายมนต์บทนี้ จะต้องถูกลงโทษ
อยา่ งรนุ แรง เมอื่ ผกู มนตเ์ สร็จแล้ว ท้าวมหาราชทัง้ ๔ จงึ ไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา
ซึ่งประทับอยู่ที่เขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห์ กราบทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงรับ
อาฏานาฏยิ ปรติ ร ประทานแกพ่ ุทธบรษิ ทั สี่ เพือ่ ใช้เป็นเครือ่ งคุ้มครองรักษาพทุ ธบรษิ ัท
เหลา่ นน้ั ทง้ั ใหพ้ วกอมนษุ ยเ์ ลอื่ มใส ไมเ่ บยี ดเบยี นอบุ าสก อบุ าสกิ า ภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ ี
ท้ังหลาย ผู้สาธยายปริตรน้ี
วิปสั สิสสะ นะมตั ถ ุ จักขุมนั ตัสสะ สริ มี ะโต,
ขา้ พเจา้ ขอนอบน้อมแด่พระวิปสั สีพทุ ธเจา้ , ผู้มพี ระจักษุ มพี ระสริ
ิ
สขิ ิสสะปิ นะมตั ถุ สพั พะภตู านุกมั ปิโน,
ขอนอบน้อมแด่พระสิขีพุทธเจา้ , ผทู้ รงอนเุ คราะหแ์ กส่ ตั วท์ ่วั หน้า
เวสสะภุสสะ นะมตั ถ ุ นห๎ าตะกัสสะ ตะปัสสิโน,
ขอนอบน้อมแด่พระเวสสภูพทุ ธเจ้า, ผู้ทรงชำระกิเลส มคี วามเพยี ร
นะมตั ถุ กะกสุ ันธัสสะ มาระเสนัปปะมทั ทิโน,
ขอนอบน้อมแดพ่ ระกกุสันธพุทธเจา้ , ผทู้ รงย่ำยีมารและเสนามาร
44
โกนาคะมะนสั สะ นะมัตถ ุ พร๎ าห๎มะณสั สะ วุสมี ะโต,
ขอนอบน้อมแดพ่ ระโกนาคมนะพุทธเจ้า, ผู้ลอยบาปไปแล้ว อย่จู บพรหมจรรย์
กสั สะปสั สะ นะมัตถ ุ วิปปะมตุ ตัสสะ สพั พะธิ,
ขอนอบน้อมแด่พระกัสสปพุทธเจ้า, ผ้พู น้ พิเศษแลว้ ในธรรมท้งั ปวง
องั ครี ะสสั สะ นะมตั ถ ุ สักย๎ ะปตุ ตสั สะ สิรมี ะโต,
ขอนอบนอ้ มแด่พระอังครี สพทุ ธเจ้า, ศากยบุตร ผมู้ ีพระสริ
ิ
โย อมิ งั ธัมมะมะเทเสส ิ สัพพะทกุ ขาปะนทู ะนงั ,
พระพทุ ธเจ้าพระองค์ใด ได้ทรงแสดงธรรมน้ี,
อันเป็นเคร่ืองบรรเทาทกุ ขท์ ัง้ ปวง
เย จาปิ นพิ พตุ า โลเก ยะถาภตู ัง วิปสั สิสงุ ,
อน่งึ พระพทุ ธเจา้ เหล่าใดผ้ดู ับแล้วในโลก, ทรงเห็นแจง้ แล้วตามเป็นจริง
เต ชะนา อะปสิ ณุ า มะหันตา วตี ะสาระทา,
พระพทุ ธเจ้าเหลา่ น้ัน เปน็ ผู้ไมส่ อ่ เสียด,
เป็นผู้ยิง่ ใหญ่ ปราศจากความคร่ันครา้ ม
หิตงั เทวะมะนสุ สานงั ยงั นะมัสสันติ โคตะมัง,
เทวดาและมนษุ ยท์ งั้ หลาย, นอบน้อมพระพทุ ธเจา้ พระองค์ใด,
ผเู้ ปน็ โคตมโคตร, ผทู้ รงเกื้อกลู แก่ทวยเทพและมนุษย์
วชิ ชาจะระณะสัมปันนงั มะหันตัง วีตะสาระทงั ,
ผูท้ รงถงึ พรอ้ มดว้ ยวชิ ชาและจรณะ, เป็นผ้ยู ิง่ ใหญ่ ปราศจากความครน่ั คร้าม
วชิ ชาจะระณะสมั ปนั นงั พุทธงั วนั ทามะ โคตะมนั ต.ิ
ข้าพเจา้ ขอนมสั การพระพทุ ธเจ้าโคตม, ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยวชิ ชาและจรณะ
นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปปันนานัง มะเหสนิ งั ,
ข้าพเจ้าขอนอบนอ้ มแดพ่ ระพุทธเจา้ ท้ังหลายทั้งปวง,
ผแู้ สวงหาคณุ อนั ใหญ่ ซึง่ ได้อบุ ัตแิ ลว้
ตัณห๎ งั กะโร มะหาวีโร เมธงั กะโร มะหายะโส,
คือพระตัณหงั กร ผู้กล้าหาญ, พระเมธังกร ผู้มยี ศใหญ่
สะระณงั กะโร โลกะหิโต ทปี ังกะโร ชุตินธะโร,
พระสรณังกร ผ้เู กื้อกูลแก่โลก, พระทปี ังกร ผทู้ รงไว้ซึง่ ปญั ญาอนั รงุ่ เรือง
โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข มงั คะโล ปรุ ิสาสะโภ,
พระโกณฑัญญะ ผูเ้ ป็นประมุขแหง่ หมู่ชน, พระมังคละ ผู้เป็นบุรุษประเสรฐิ
สมุ ะโน สุมะโน ธโี ร เรวะโต ระตวิ ัฑฒะโน,
พระสมุ นะ ผูเ้ ป็นธีรบรุ ษุ มีพระหทัยงาม, พระเรวตะ ผู้เพ่ิมพูนความยนิ ด
ี
45
โสภิโต คณุ ะสัมปันโน อะโนมะทัสสี ชะนตุ ตะโม,
พระโสภิตะ ผสู้ มบรู ณด์ ้วยพระคุณ, พระอโนมทัสสี ผู้อดุ มอยใู่ นหมู่ชน
ปะทโุ ม โลกะปัชโชโต นาระโท วะระสาระถ,ี
พระปทุมะ ผู้ทำใหโ้ ลกสว่าง, พระนารทะ ผเู้ ปน็ สารถปี ระเสริฐ
ปะทุมตุ ตะโร สัตตะสาโร สเุ มโธ อปั ปะฏิปคุ คะโล,
พระปทมุ ตุ ตระ ผเู้ ป็นที่พ่ึงของหมสู่ ัตว,์ พระสุเมธะ ผูห้ าบุคคลเปรยี บมิได้
สุชาโต สัพพะโลกคั โค ปยิ ะทสั สี นะราสะโภ,
พระสชุ าตะ ผูเ้ ลศิ กว่าสตั ว์โลกท้งั ปวง,
พระปยิ ทัสสี ผูป้ ระเสรฐิ กว่าหมนู่ รชน
อตั ถะทสั สี การุณโิ ก ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท,
พระอตั ถทัสสี ผ้มู ีพระกรุณา, พระธรรมทสั สี ผู้บรรเทาความมดื
สิทธัตโถ อะสะโม โลเก ติสโส จะ วะทะตัง วะโร,
พระสิทธัตถะ ผู้หาบคุ คลเสมอมิได้ในโลก,
พระตสิ สะ ผู้ประเสรฐิ กวา่ นกั ปราชญ์ท้งั หลาย
ปุสโส จะ วะระโท พทุ โธ วิปัสสี จะ อะนปู ะโม,
พระปสุ สะ ผปู้ ระทานธรรมอันประเสรฐิ , พระวิปัสสี ผ้หู าท่ีเปรียบมิได้
สขิ ี สัพพะหโิ ต สัตถา เวสสะภู สุขะทายะโก,
พระสิขี ผู้เป็นศาสดาเก้ือกลู แก่สรรพสัตว์, พระเวสสภู ผปู้ ระทานความสุข
กะกุสันโธ สตั ถะวาโห โกนาคะมะโน ระณัญชะโห,
พระกกสุ ันธะ ผนู้ ำสัตวอ์ อกจากกันดารคือกเิ ลส,
พระโกนาคมนะ ผหู้ ักเสยี ซง่ึ ข้าศกึ คือกิเลส
กสั สะโป สริ ิสัมปนั โน โคตะโม สกั ย๎ ะปุงคะโว.
พระกสั สปะ ผสู้ มบรู ณ์ด้วยสริ ิ, พระโคตมะ ผปู้ ระเสรฐิ แห่งหมู่ศากยราช
เอเต จญั เญ จะ สัมพทุ ธา อะเนกะสะตะโกฏะโย,
พระพทุ ธเจา้ เหล่านก้ี ด็ ี เหล่าอ่ืนกด็ ี, หลายรอ้ ยโกฏ
ิ
สัพเพ พุทธา อะสะมะสะมา สพั เพ พทุ ธา มะหทิ ธิกา,
พระพุทธเจ้าเหลา่ น้นั ทงั้ หมดเสมอกนั , พระพทุ ธเจา้ เหล่านนั้ ล้วนมฤี ทธิ์มาก
สัพเพ ทะสะพะลูเปตา เวสารชั เชหปุ าคะตา,
ลว้ นประกอบดว้ ยทศพลญาณ (ญาณอันเปน็ กำลังสบิ ประการ),
ประกอบด้วยเวสารชั ชญาณ (ญาณทีท่ ำให้แกล้วกล้าอาจหาญ)
สัพเพ เต ปะฏชิ านันติ อาสะภัณฐานะมตุ ตะมัง,
พระพทุ ธเจา้ เหลา่ น้ันล้วนตรัสร้แู ลว้ , ซงึ่ อาสภฐานอนั อดุ ม
46
สหี ะนาทงั นะทนั เต เต ปะรสิ าสุ วิสาระทา,
พระพุทธเจา้ เหลา่ นัน้ เป็นผู้องอาจ ไมค่ ร่ันคร้าม,
บันลอื สีหนาทในบริษัทท้ังหลาย
พร๎ ัห๎มะจกั กัง ปะวัตเตนต ิ โลเก อัปปะฏวิ ัตตยิ งั ,
ยังพรหมจักรใหเ้ ปน็ ไป, อนั ใครๆ ยงั ไม่เคยทำให้เป็นไปในโลก
อุเปตา พทุ ธะธมั เมหิ อฏั ฐาระสะหิ นายะกา,
พระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น, ประกอบด้วยพทุ ธธรรมท้งั หลาย ๑๘ เป็นนายก
ทว๎ ัตตงิ สะลกั ขะณูเปตา สีตย๎ านพุ ๎ยัญชะนาธะรา,
ผปู้ ระกอบดว้ ยพระลกั ษณะ ๓๒ ประการ, และทรงซง่ึ อนพุ ยญั ชนะ ๘๐
พ๎ยามปั ปะภายะ สปุ ปะภา สพั เพ เต มุนิกญุ ชะรา,
มรี ัศมอี นั งามเป็นมณฑลข้างละวา,
พระพุทธเจ้าเหลา่ น้ันลว้ นเป็นมุนีอนั ประเสริฐ
พุทธา สัพพัญญโุ น เอเต สพั เพ ขีณาสะวา ชินา,
พระพุทธเจ้าเหลา่ นนั้ ลว้ นเป็นพระสพั พัญญู, ลว้ นเปน็ พระขณี าสพผู้ชนะ
มะหปั ปะภา มะหาเตชา มะหาปัญญา มะหพั พะลา,
มรี ศั มีมาก มีพระเดชมาก, มีพระปัญญามาก มพี ระกำลงั มาก
มะหาการณุ กิ า ธีรา สัพเพสานงั สขุ าวะหา,
มพี ระกรณุ ามาก เป็นนักปราชญ์, นำสุขมาเพือ่ สตั วท์ ้งั หลายท้งั ปวง
ทีปา นาถา ปะตฏิ ฐา จะ ตาณา เลณา จะ ปาณนิ ัง,
เป็นเกาะ เปน็ ท่ีพงึ่ และเปน็ ทอ่ี ยู่อาศัย,
เป็นทตี่ า้ นทานและเป็นทีเ่ ร้นของสัตว
์
คะตี พันธู มะหัสสาสา สะระณา จะ หเิ ตสโิ น,
เปน็ คติ เปน็ เผา่ พันธ์ุ เปน็ ทีย่ นิ ดียิง่ ,
เป็นทร่ี ะลกึ และทรงแสวงหาผลประโยชน
์
สะเทวะกัสสะ โลกัสสะ สัพเพ เอเต ปะรายะนา,
พระพทุ ธเจ้าเหล่าน้ัน, ลว้ นเป็นเบอื้ งหน้าของสัตวโ์ ลกและเทวโลก
เตสาหัง สริ ะสา ปาเท วันทามิ ปุริสตุ ตะเม,
ข้าพเจ้าขอวันทาพระบาทพระพทุ ธเจ้าเหล่าน้นั ด้วยเศยี รเกล้า,
และขอวันทาผู้เป็นบรุ ุษอนั อดุ ม
วะจะสา มะนะสา เจวะ วนั ทาเมเต ตะถาคะเต,
ขอวนั ทาพระตถาคต ด้วยวาจาและด้วยใจ
47
สะยะเน อาสะเน ฐาเน คะมะเน จาปิ สัพพะทา,
ในที่นอนด้วย ในทนี่ ่งั ดว้ ย ในที่ยืนดว้ ย, แมใ้ นท่เี ดินด้วย ในการทุกเมือ่ ด้วย
สะทา สุเขนะ รักขันต ุ พทุ ธา สันตกิ ะรา ตวุ ัง,
พระพทุ ธเจ้าผู้ทำความระงับ, จงรักษาทา่ นให้สขุ ในการทกุ เมือ่
เตหิ ต๎วัง รักขิโต สนั โต มุตโต สพั พะภะเยนะ จะ,
ท่านผพู้ ระพทุ ธเจ้าทรงรักษาแลว้ , จงเป็นผรู้ ะงบั พ้นแลว้ จากภัยทง้ั ปวง
สัพพะโรคะวินิมตุ โต สัพพะสนั ตาปะวัชชิโต,
และพน้ แลว้ จากโรคท้งั ปวง, เวน้ แล้วจากความเดอื ดร้อนทั้งปวง
สัพพะเวระมะติกกันโต นิพพุโต จะ ตุวงั ภะวะ.
ลว่ งเสียซึ่งเวรทัง้ ปวง, ท่านจงเป็นผู้ดับทกุ ข์ทั้งปวงดว้ ย
เตสงั สัจเจนะ สีเลนะ ขนั ติเมตตาพะเลนะ จะ,
ดว้ ยสัจจะ ดว้ ยศลี และดว้ ยกำลังแห่งขนั ต,ิ
และเมตตาของพระพุทธเจ้าเหล่านนั้
เตปิ ตมุ ๎เห* อะนุรกั ขนั ต ุ อาโรคเ๎ ยนะ สุเขนะ จะ.
แม้คณุ ธรรมเหลา่ นัน้ จงตามรกั ษาซ่งึ ทา่ นทง้ั หลาย,
ด้วยความเปน็ ผไู้ ม่มีโรคและด้วยความสขุ
ปรุ ัตถิมสั ม๎ งิ ทิสาภาเค สันติ ภตู า มะหทิ ธกิ า,
คนธรรพท์ ัง้ หลายมฤี ทธมิ์ าก มีอยู่ในดา้ นทศิ บรู พา
เตปิ ตมุ เ๎ ห* อะนรุ ักขนั ตุ อาโรคเ๎ ยนะ สุเขนะ จะ.
แม้คนธรรพเ์ หลา่ นน้ั จงตามรกั ษาซงึ่ ท่านทง้ั หลาย,
ด้วยความเป็นผู้ไมม่ โี รคและดว้ ยความสุข
ทกั ขณิ สั ๎มิง ทิสาภาเค สนั ติ เทวา มะหิทธิกา,
เทวดาท้งั หลายผมู้ ีฤทธม์ิ าก มอี ย่ใู นดา้ นทิศทักษิณ
เตปิ ตุมเ๎ ห* อะนรุ ักขนั ต ุ อาโรค๎เยนะ สเุ ขนะ จะ,
แมเ้ ทวดาเหลา่ นั้น จงตามรักษาซงึ่ ทา่ นท้ังหลาย,
ดว้ ยความเปน็ ผู้ไม่มีโรคและด้วยความสุข
ปัจฉมิ สั ม๎ งิ ทสิ าภาเค สนั ติ นาคา มะหิทธกิ า,
นาคท้ังหลายมีฤทธมิ์ าก มีอยูใ่ นด้านทิศปจั จิม
เตปิ ตมุ เ๎ ห* อะนรุ ักขนั ต ุ อาโรคเ๎ ยนะ สุเขนะ จะ,
แมน้ าคเหลา่ นั้น จงตามรกั ษาซึ่งทา่ นทงั้ หลาย,
ด้วยความเปน็ ผูไ้ ม่มโี รคและดว้ ยความสขุ
* ตมุ เ๎ ห หมายถงึ ท่าน ถา้ เปลี่ยนเปน็ อัม๎เห หมายถึง ข้าพเจ้า
48
อตุ ตะรัสม๎ งิ ทิสาภาเค สันติ ยักขา มะหิทธิกา,
ยกั ษท์ ง้ั หลายมีฤทธิม์ าก มอี ยูใ่ นดา้ นทิศอดุ ร
เตปิ ตุม๎เห* อะนุรกั ขันต ุ อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ,
แม้ยกั ษเ์ หล่าน้ัน จงตามรักษาซง่ึ ท่านท้งั หลาย,
ดว้ ยความเปน็ ผไู้ มม่ ีโรคและด้วยความสุข
ปรุ ิมะทสิ งั ธะตะรฏั โฐ ทักขเิ ณนะ วริ ุฬ๎หะโก,
ท้าวธตรฐ อยู่ประจำทิศบรู พา, ทา้ ววิรฬุ หก อย่ปู ระจำทศิ ทกั ษณิ
ปัจฉเิ มนะ วิรปู ักโข กเุ วโร อตุ ตะรงั ทิสัง,
ท้าววิรูปกั ข์ อยู่ประจำทศิ ปจั จิม, ทา้ วกุเวร อยปู่ ระจำทิศอุดร
จตั ตาโร เต มะหาราชา โลกะปาลา ยะสสั สิโน,
มหาราชทั้ง ๔ เหล่าน้ัน เป็นผู้มียศรกั ษาโลก
เตปิ ตมุ เ๎ ห* อะนรุ ักขันต ุ อาโรคเ๎ ยนะ สุเขนะ จะ.
แม้มหาราชเหลา่ นนั้ จงตามรักษาซึ่งท่านทงั้ หลาย,
ดว้ ยความเปน็ ผไู้ มม่ โี รคและด้วยความสุข
อากาสัฏฐา จะ ภุมมัฏฐา เทวา นาคา มะหิทธกิ า,
เทวดาและนาคทง้ั หลาย ผมู้ ีฤทธิ์มาก,
ซงึ่ สถติ อยใู่ นอากาศกด็ ี สถิตอยใู่ นภาคพ้นื ก็ด
ี
เตปิ ตมุ ๎เห* อะนรุ กั ขันตุ อาโรคเ๎ ยนะ สเุ ขนะ จะ.
แมเ้ ทวดาและนาคเหลา่ นัน้ , จงตามรกั ษาซึ่งท่านท้งั หลาย,
ดว้ ยความเป็นผูไ้ มม่ ีโรคและด้วยความสขุ
นตั ถิ เม สะระณัง อญั ญงั พุทโธ เม สะระณงั วะรัง,
ที่พึ่งอื่นของขา้ พเจา้ ไมม่ ี, พระพุทธเจา้ เป็นทพี่ ึง่ อันประเสริฐของข้าพเจา้
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต (เม) ชะยะมังคะลงั .
ดว้ ยการกล่าวคำสัตยน์ ี้ ขอชัยมงคลจงมีแกท่ า่ น (เรา)
นตั ถิ เม สะระณัง อัญญงั ธมั โม เม สะระณงั วะรงั ,
ที่พึ่งอ่นื ของขา้ พเจา้ ไม่มี, พระธรรมเปน็ ที่พึง่ อนั ประเสริฐของขา้ พเจา้
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต (เม) ชะยะมงั คะลงั .
ดว้ ยการกล่าวคำสัตยน์ ี้ ขอชยั มงคลจงมีแกท่ า่ น (เรา)
นตั ถิ เม สะระณงั อัญญัง สังโฆ เม สะระณงั วะรัง,
ที่พงึ่ อน่ื ของข้าพเจา้ ไมม่ ,ี พระสงฆ์เปน็ ทพี่ ่ึงอนั ประเสริฐของข้าพเจา้
เอเตนะ สัจจะวชั เชนะ โหตุ เต (เม) ชะยะมังคะลงั .
ดว้ ยการกลา่ วคำสัตย์นี้ ขอชยั มงคลจงมแี กท่ า่ น (เรา)
49
ยงั กิญจิ ระตะนัง โลเก วชิ ชะติ วิวิธัง ปถุ ุ,
รัตนะอันใดอันหนงึ่ ในโลก มีมากมายหลายอย่าง
ระตะนัง พุทธะสะมัง นัตถ ิ ตสั ๎มา โสตถี ภะวันตุ เต (เม).
รตั นะที่เสมอพระพุทธรตั นะยอ่ มไม่มี,
เพราะเหตนุ น้ั ขอความสวัสดจี งมแี กท่ า่ น (เรา)
ยงั กญิ จิ ระตะนงั โลเก วชิ ชะติ วิวธิ งั ปถุ ,ุ
รัตนะอันใดอนั หนงึ่ ในโลก มีมากมายหลายอย่าง
ระตะนัง ธมั มะสะมัง นัตถ ิ ตสั ๎มา โสตถี ภะวันตุ เต (เม).
รัตนะทเี่ สมอพระธรรมรตั นะย่อมไม่ม,ี
เพราะเหตุนัน้ ขอความสวัสดีจงมแี ก่ท่าน (เรา)
ยังกิญจิ ระตะนงั โลเก วชิ ชะติ ววิ ธิ ัง ปุถุ,
รตั นะอนั ใดอันหน่งึ ในโลก มมี ากมายหลายอยา่ ง
ระตะนัง สงั ฆะสะมัง นตั ถ ิ ตัสม๎ า โสตถี ภะวนั ตุ เต (เม).
รัตนะที่เสมอพระสังฆรัตนะยอ่ มไม่มี,
เพราะเหตนุ น้ั ขอความสวสั ดจี งมแี กท่ า่ น (เรา)
สักกตั ๎วา พุทธะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรงั ,
เพราะทำความเคารพพระพุทธรตั นะ, อนั เป็นดงั โอสถอันอุดมประเสรฐิ
หิตัง เทวะมะนุสสานงั พทุ ธะเตเชนะ โสตถินา,
นัสสนั ตุปัททะวา สัพเพ ทกุ ขา วูปะสะเมนตุ เต (เม).
เปน็ ประโยชนแ์ ก่เทวดาและมนุษยท์ ง้ั หลาย,
ด้วยเดชแหง่ พระพุทธเจ้า, ขออปุ ทั วะทั้งหลายจงพินาศไป,
ขอทุกขท์ ง้ั หลายของท่าน (เรา) จงสงบไป โดยสวสั ดเี ถิด
สกั กตั ๎วา ธัมมะระตะนัง โอสะถัง อตุ ตะมัง วะรงั ,
เพราะทำความเคารพพระธรรมรตั นะ, อนั เปน็ ดังโอสถอันอุดมประเสรฐิ
ปะรฬิ าหปู ะสะมะนงั ธมั มะเตเชนะ โสตถินา,
นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ภะยา วปู ะสะเมนตุ เต (เม).
สำหรับระงบั ความกระวนกระวาย, ดว้ ยเดชแห่งพระธรรม,
ขออปุ ทั วะทงั้ หลายจงพนิ าศไป, ขอภยั ทงั้ หลายของทา่ น (เรา) จงสงบไป โดยสวสั ดเี ถดิ
สักกตั ๎วา สงั ฆะระตะนัง โอสะถงั อตุ ตะมัง วะรงั ,
เพราะทำความเคารพพระสังฆรัตนะ, อันเปน็ ดังโอสถอนั อดุ มประเสรฐิ
อาหุเนยยงั ปาหุเนยยัง สังฆะเตเชนะ โสตถนิ า,
นัสสนั ตปุ ทั ทะวา สัพเพ โรคา วปู ะสะเมนตุ เต (เม).
50