ควรแกก่ ารบูชา ควรแก่การตอ้ นรับ, ด้วยเดชแห่งพระสงฆ,์
ขออปุ ทั วะทง้ั หลายจงพนิ าศไป, ขอโรคทงั้ หลายของทา่ น (เรา) จงสงบไป โดยสวสั ดเี ถดิ
สัพพีติโย ววิ ัชชนั ต ุ ความจญั ไรทัง้ ปวง จงบำราศไป
สพั พะโรโค วนิ ัสสะตุ, โรคทั้งปวงของท่านจงหาย
มา เต ภะวัตว๎ ันตะราโย อนั ตรายอย่ามีแกท่ า่ น
สุขี ทีฆายโุ ก ภะวะ, ทา่ นจงเป็นผู้มคี วามสุข มีอายุยนื
อะภวิ าทะนะสีลิสสะ ธรรม ๔ ประการ,
นจิ จัง วุฑฒาปะจายิโน, คือ อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ,
จัตตาโร ธมั มา วฑั ฒนั ต ิ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีปกตกิ ราบไหว,้
อายุ วัณโณ สขุ งั พะลงั . มีปกตอิ อ่ นน้อมต่อผใู้ หญ่ เปน็ นิตย์
องั คุลิมาละปะรติ ตัง
พทุ ธมนต์สำหรบั ทำนำ้ มนต์ใหค้ ลอดบุตรงา่ ย
ประวตั
ิ
สมัยหนึ่ง พระองคุลีมาลออกเท่ียวบิณฑบาต เห็นหญิงมีครรภ์คนหน่ึงกำลังเป็น
ทุกข์เพราะคลอดบุตรไม่ได้ ท่านเกิดความสงสารจึงกลับมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูล
ให้ทรงทราบ พระบรมศาสดาจึงตรัสสอนปริตรนี้แก่พระองคุลิมาล ซ่ึงท่านก็ได้นำกลับไป
สาธยายให้หญิงมีครรภ์น้ันฟัง เม่ือหญิงน้ันได้ฟังพระปริตรน้ี ก็คลอดบุตรได้โดยสะดวก
ไดร้ บั ความสวสั ดี ทง้ั มารดาและบตุ ร
ยะโตหงั ภะคนิ ิ อะรยิ ายะ ชาติยา ชาโต,
ดกู ่อนนอ้ งหญิง, ตงั้ แต่เวลาท่ีเราเกิดแลว้ โดยอริยชาต
ิ
นาภิชานามิ สญั จิจจะ ปาณัง ชวี ติ า โวโรเปตา,
จะแกลง้ ปลงสตั ว์มีชีวิตจากชีวติ ทัง้ รหู้ ามไิ ด
้
เตนะ สจั เจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คพั ภัสสะ.
ดว้ ยสจั จวาจาน้ี ขอความสวัสดีจงมีแก่ทา่ น,
ขอความสวสั ดจี งมแี กค่ รรภข์ องท่านเถิด
(สวด ๓ จบ)
51
โพชฌังคะปะรติ ตงั
พทุ ธมนต์สำหรบั ขจัดโรคภยั ไขเ้ จ็บ
ประวตั
ิ
โพชฌงค์เป็นองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ มี ๗ ประการ (จากท้ังหมด ๓๗
ประการในโพธิปักขิยธรรม) ประกอบด้วยสติ (ความระลึกได้) ธัมมะวิจยะ (ความ
เลือกเฟ้นธรรม) วิรยิ ะ (ความเพียร) ปตี ิ (ความอ่ิมเอมใจ) ปัสสัทธิ (ความสงบกาย
สงบใจ) สมาธิ (ความตง้ั จติ ม่ัน) และอุเบกขา (ความมใี จเป็นกลาง)
สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาประทับอยูท่ ีว่ ดั เวฬุวนั กรงุ ราชคฤห์ พระมหากัสสป
เถระ ได้อาพาธหนักอยู่ที่ถ้ำปิปผลิคูหา พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปเยี่ยม และแสดง
โพชฌงคเ์ จด็ ประการ
เมื่อพระเถระสดับโพชฌงค์เหล่านี้ เกิดความปีติว่า โพชฌงค์เจ็ดประการเคย
ปรากฏแก่เราในขณะรู้แจ้งสัจธรรมหลังออกบวชแล้วเจ็ดวัน คำสอนของพระพุทธองค์
เป็นทางพ้นทุกข์โดยแท้ ดำรดิ งั น้แี ล้ว พระเถระก็เกดิ ปีติ อิม่ เอบิ ใจ เลอื ดในกายและ
รูปธรรมอื่นผอ่ งใสโรคของพระเถระจึงอนั ตรธานไป เหมอื นหยาดน้ำกล้งิ ลงจากใบบวั
อีกสมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ยังตรัสโพชฌงค์เจ็ดประการแก่พระมหาโมคคัลลานะ
เถระผอู้ าพาธทภี่ เู ขาคชิ ฌกฏู ครน้ั พระเถระสดบั โพชฌงคน์ แ้ี ลว้ กห็ ายจากอาพาธนน้ั ทนั ที
อนึ่ง เมื่อพระพุทธองค์ทรงพระประชวรขณะประทับอยู่ที่วัดเวฬุวันนั้น
พระพุทธองค์ทรงรับสั่งให้พระจุนทะเถระสาธยายโพชฌงค์เจ็ด คร้ันสดับแล้วพระองค์
ก็ทรงหายจากพระประชวรนน้ั
โพชฌังโค สะตสิ ังขาโต ธัมมานัง วจิ ะโย ตะถา,
โพชฌงค์ ๗ ประการ คือ สติ ธรรมวจิ ยั
วิรยิ มั ปตี ปิ ัสสทั ธิ- โพชฌงั คา จะ ตะถาปะเร,
วิริยะ ปตี ิ ปัสสัทธิ เป็นโพชฌงคเ์ พ่ือเปน็ ไป
สะมาธเุ ปกขะโพชฌงั คา สัตเตเต สพั พะทสั สินา,
สมาธิ อเุ บกขา โพชฌงคเ์ หลา่ น,้ี เหล่านี้เปน็ ธรรมทง้ั ส้นิ ท่เี หน็ แลว้
มนุ นิ า สมั มะทกั ขาตา ภาวิตา พะหุลกี ะตา,
อันพระมุนเี จ้าตรสั ไว้ชอบแลว้ , อันบุคคลทำให้มากแล้ว
สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธยิ า,
ยอ่ มเปน็ ไปเพ่ือความรยู้ ิง่ , เพื่อนพิ พาน และเพอ่ื ความตรัสร
ู้
52
เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.
ด้วยการกล่าวคำสตั ยน์ ,้ี ขอความสวสั ดีจงมแี ก่ทา่ นทุกเม่ือ
เอกัสม๎ งิ สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กสั สะปัง,
ในสมยั หน่งึ พระโลกนาถ, ทอดพระเนตรพระโมคคัลลานะและพระกสั สะปะ
คิลาเน ทุกขเิ ต ทิส๎วา โพชฌงั เค สตั ตะ เทสะยิ,
เป็นไขถ้ งึ ทุกขเวทนาแล้ว, ทรงแสดงโพชฌงค์ ๗ ประการ
เต จะ ตงั อะภนิ ันทติ ว๎ า โรคา มุจจงิ สุ ตงั ขะเณ,
ท่านท้งั สองกเ็ พลดิ เพลินภาษิตน้นั , หายโรคในขณะนั้น
เอเตนะ สจั จะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.
ดว้ ยการกล่าวคำสตั ย์น้,ี ขอความสวสั ดีจงมแี กท่ ่านทุกเมื่อ
เอกะทา ธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต,
ครั้งหน่ึงแมพ้ ระธรรมราชา, อันความประชวรเบียดเบียนแลว้
จนุ ทัตเถเรนะ ตญั เญวะ ภะณาเปตว๎ านะ สาทะรงั ,
รับสัง่ ใหพ้ ระจนุ ทะเถระ, แสดงโพชฌงคน์ ั้นโดยยนิ ด
ี
สัมโมทิต๎วา จะ อาพาธา ตัม๎หา วุฏฐาสิ ฐานะโส,
หายความประชวรไปโดยฐานะ, ก็ทรงบนั เทงิ พระหฤทัย
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สพั พะทา.
ด้วยการกล่าวคำสตั ยน์ ้,ี ขอความสวสั ดจี งมแี ก่ท่านทุกเมือ่
ปะหนี า เต จะ อาพาธา ตณิ ณันนมั ปิ มะเหสนิ ัง,
ก็อาพาธทัง้ หลายนน้ั , พระมหาฤา ษีท้ัง ๓ องคไ์ ด้หายแลว้
มัคคาหะตะกเิ ลสา วะ ปตั ตานุปปตั ติธัมมะตงั ,
กเิ ลสอันมรรคกำจดั แล้ว, ถงึ ความไม่บงั เกิดอกี เปน็ ธรรมดา
เอเตนะ สจั จะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.
ดว้ ยการกล่าวคำสตั ยน์ ี,้ ขอความสวสั ดีจงมแี ก่ท่านทกุ เมอื่
ความแปรเปล่ียนจากของรกั ของชอบใจทกุ อยา่ ง จะตอ้ งมี
ฉะนนั้ จะพึงหาอะไรไดใ้ นสังขารนี้ ส่ิงท่เี กดิ ข้ึนมีขนึ้ ถูกปจั จัยปรุงแตง่
ลว้ นแตกสลายเป็นธรรมดา เป็นไปไมไ่ ดท้ ี่จะปรารถนาวา่ ของสิง่ น้นั อยา่ เสอื่ มสลายไปเลย
53
อะภะยะปะรติ ตัง
พทุ ธมนตส์ ำหรบั ปอ้ งกันการฝนั ร้าย แก้ลางร้ายใหเ้ ปน็ ดี
ประวตั
ิ
สมัยหนง่ึ พวกศากยวงศแ์ หง่ กบิลพัสด์ุกบั พวกโกลยิ วงศแ์ หง่ เทวทหะ ซ่งึ ต่าง
ก็เป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า เกิดทำศึกกันอันเน่ืองมาจากน้ำ แย่งชิงน้ำอุปโภค
บริโภคกัน แต่เดิมแม่น้ำโรหิณีอันเป็นเส้นชีวิตของสองพระนครเคยใช้ร่วมกัน ต่อมา
เกดิ ไหลผดิ ทางเขา้ ไปอยใู่ นเขตแดนของพวกโกลยิ ะ ไมอ่ าจจะแบง่ ปนั กนั ได้ เกดิ เปน็ ปาก
เปน็ เสยี งกนั เมอื่ ตกลงกนั ไมไ่ ด้ ทงั้ สองฝา่ ยจงึ ตดั สนิ กนั ดว้ ยแสนยานภุ าพทางการทหาร
พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณ จึงทรงมาปรากฏประทับยืนอยู่ท่ามกลางทัพท้ัง
๒ ฝ่าย ยกพระหัตถ์ท้ังสองข้ึนห้ามแล้วตรัสว่า “ระหว่างน้ำกับความเป็นพ่ีเป็นน้อง
อะไรสำคญั กวา่ กนั ” สองกษตั รยิ ส์ ำนกึ ไดจ้ งึ ยตุ ศิ กึ ขออภยั ตอ่ เบอื้ งพระพกั ตรพ์ ระพทุ ธองค์
กลบั คืนดกี นั เชน่ เดิม เหตกุ ารณค์ รั้งนัน้ เสมือนตืน่ ข้ึนจากฝันร้าย
ดว้ ยอานภุ าพแห่งพระรตั นตรัยย่อมขจดั เสียซึง่ ภัยให้พนิ าศไปดังนี้
๑. ลางอนั ช่วั รา้ ย ๒. อวมงคลใดๆ ๓. เสยี งนกสยองขวัญ
๔. บาปเคราะหต์ า่ งๆ ๕. ฝันอนั นา่ ตกใจ
พุทธตำนานน้ี เป็นปางประทานอภัย ห้ามไว้ซึ่งความหายนะ ส่ิงเลวร้ายท้ัง
ป
วงจะบรรเทาเบาบางไป และหายไปในท่ีสดุ
ยนั ทุนนมิ ติ ตงั อะวะมังคะลัญจะ, โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สทั โท,
ลางชว่ั รา้ ยอันใด, อวมงคลอันใด, เสียงนกเปน็ ทไ่ี ม่ชอบใจอันใด
ปาปคั คะโห ทุสสุปินงั อะกันตัง, พทุ ธานภุ าเวนะ วินาสะเมนตุ.
บาปเคราะห์อนั ใด, และฝันร้ายทไี่ ม่น่าปรารถนาอันใดมีอยู,่
ขอส่งิ เหล่าน้นั จงถึงความพนิ าศไป, ดว้ ยอานภุ าพแหง่ พระพทุ ธเจ้า
ยันทุนนิมติ ตัง อะวะมังคะลญั จะ, โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท,
ลางชวั่ รา้ ยอนั ใด, อวมงคลอันใด, เสียงนกเป็นที่ไม่ชอบใจอนั ใด
ปาปัคคะโห ทสุ สุปินัง อะกนั ตงั , ธมั มานภุ าเวนะ วินาสะเมนต.ุ
บาปเคราะหอ์ ันใด, และฝนั ร้ายทีไ่ มน่ า่ ปรารถนาอนั ใดมีอย่,ู
ขอส่งิ เหลา่ น้ันจงถึงความพินาศไป, ดว้ ยอานภุ าพแหง่ พระธรรม
ยันทนุ นิมติ ตงั อะวะมังคะลญั จะ, โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สทั โท,
ลางชวั่ รา้ ยอันใด, อวมงคลอนั ใด, เสยี งนกเป็นท่ไี มช่ อบใจอนั ใด
ปาปคั คะโห ทุสสปุ นิ งั อะกนั ตงั , สังฆานภุ าเวนะ วนิ าสะเมนต.ุ
บาปเคราะหอ์ นั ใด, และฝนั รา้ ยที่ไมน่ ่าปรารถนาอนั ใดมีอยู่,
ขอส่ิงเหล่าน้ันจงถึงความพินาศไป, ดว้ ยอานุภาพแห่งพระสงฆ์
54
เทวะตาอยุ โยชะนะคาถา
พุทธมนต์สำหรบั สง่ เทวดากลับเทวสถาน
ทกุ ขัปปัตตา จะ นทิ ทุกขา ภะยัปปตั ตา จะ นิพภะยา,
ขอสตั วท์ ัง้ หลายที่ประสบทกุ ข์ จงพน้ จากทกุ ข์, ทปี่ ระสบภัย จงพ้นจากภัย
โสกปั ปตั ตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพปิ ปาณโิ น,
และทปี่ ระสบโศก จงพน้ จากความโศกเสียเถดิ
เอตตาวะตา จะ อัมเ๎ หห ิ สมั ภะตัง ปุญญะสัมปะทัง,
สพั เพ เทวานโุ มทนั ตุ สัพพะสัมปัตติสทิ ธิยา,
ขอเหล่าทวยเทพทง้ั หลาย, จงไดอ้ นุโมทนาซ่งึ บญุ สมบตั ,ิ
อนั ข้าพเจ้าทงั้ หลายได้สรา้ งสมไวแ้ ลว้ นี้, เพ่ือความสำเรจ็ แห่งสมบัติทั้งปวง
ทานัง ทะทันตุ สทั ธายะ สลี งั รักขนั ตุ สพั พะทา,
มนษุ ย์ท้งั หลายจงใหท้ านดว้ ยใจศรัทธา, จงรักษาศีลในกาลท้ังปวง
ภาวะนาภริ ะตา โหนตุ คจั ฉันตุ เทวะตาคะตา.
จงเปน็ ผยู้ ินดีในการภาวนา, ทวยเทพท้ังหลายท่มี าแล้วขอเชิญกลับเถดิ
สัพเพ พุทธา พะลปั ปัตตา ปจั เจกานัญจะ ยัง พะลัง,
ด้วยพละธรรมแห่งพระพุทธเจา้ ท้ังหลาย,
ดว้ ยพละธรรมแหง่ พระปัจเจกพุทธเจา้ ทั้งหลาย
อะระหนั ตานัญจะ เตเชนะ รักขงั พันธามิ สัพพะโส.
และด้วยพละธรรมแห่งพระอรหันต์ท้ังหลาย,
ขอจงคมุ้ ครองรกั ษาโดยประการท้ังปวงเถดิ
อุณ๎หิสสะวิชะยะคาถา
ประวัต
ิ
พระคาถาบทนพี้ ระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงเมตตาประทานใหเ้ ทวดาองคห์ นงึ่ ชอ่ื เทพอณุ หสิ วชิ ยั
ท่ีตระหนักว่าถึงเวลาสิ้นอายุขัยไปใช้กรรมในภพอ่ืน แต่เทวดาองค์น้ีไม่ต้องการไปจุติใหม่
จึงทลู ขอต่อพระพทุ ธเจา้ และพระพทุ ธองคท์ รงแนะใหภ้ าวนาคาถาบทน้ี จะไดม้ อี ายยุ นื ยาว
นานตอ่ ไป เพอ่ื ท่จี ะได้ใช้เวลาทเี่ หลืออยู่นี้ บำเพญ็ ภาวนา ใชห้ นกี้ รรมทมี่ อี ยู่ ให้หมดไป
55
พระคาถาบทนี้ จึงมีพุทธานุภาพมาก ถ้าผู้ใดสวดเป็นประจำ นอกจากจะมีอายุ
ยนื ยาวกวา่ ปกติ แลว้ ยังจะแคล้วคลาดจากภยั พบิ ตั ิทง้ั ปวง มสี ุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บปว่ ยง่าย
และเปน็ พระคาถาทใ่ี ช้สวดในพระราชพิธสี ำคัญต่างๆ มาแต่โบราณถงึ ปจั จุบัน
อตั ถิ อณุ ๎หสิ สะ วชิ ะโย ธมั โม โลเก อะนตุ ตะโร,
พระธรรมอนั ชื่อวา่ อณุ หสิ วิชยั มอี ยู,่ เปน็ ธรรมอันยอดเยย่ี มในโลก
สพั พะสตั ตะหิตัตถายะ ตงั ต๎วงั คณั ๎หาหิ เทวะเต,
ดูกอ่ นเทวดา ท่านจงเรียนอุณหิสวิชัยธรรมนนั้ ,
เพ่อื ประโยชน์เกอื้ กูลแก่สรรพสตั ว์
ปะริวัชเช ราชะทัณเฑ อะมะนสุ เสหิ ปาวะเก,
พงึ หลีกเวน้ เสียได้ ซงึ่ ราชทณั ฑ,์ อมนษุ ย์ทั้งหลาย เพลงิ ไฟ
พย๎ ัคเฆ นาเค วเิ ส ภูเต อะกาละมะระเณนะ วา,
เหลา่ เสอื นาค สตั ว์มีพษิ ร้าย, รอดพน้ จากอกาลมรณะ
(ความตายในเม่ือยังไมถ่ ึงเวลาอนั ควร)
สมั พสั ๎มา มะระณา มตุ โต ฐะเปตว๎ า กาละมาริตงั ,
จากความตายทุกอย่างทุกประการ,
เวน้ เสยี แตก่ าลมรณะ (ความตายในเมือ่ ถงึ เวลาอนั ควร)
ตัสเสวะ อานภุ าเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา,
ดว้ ยอานภุ าพแหง่ อุณหิสวิชยั ธรรมน้ัน,
ขอเทวดาจงเป็นผมู้ คี วามสุขในกาลทกุ เมอื่
สุทธะสีลงั สะมาทายะ ธัมมัง สจุ ะรติ งั จะเร,
พึงสมาทานศีลอนั บรสิ ทุ ธิแ์ ลว้ , ประพฤตธิ รรมให้สจุ รติ
ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา,
ด้วยอานุภาพแหง่ อุณหิสวชิ ยั ธรรมนน้ั ,
ขอเทวดาจงเป็นผู้มีความสขุ ในกาลทุกเม่ือ
ลิกขิตัง จนิ ติตงั ปูชงั ธาระณงั วะจะนัง คะรุง,
พระธรรมนี้ เอามาเขียนไวก้ ็ดี นกึ คดิ ก็ดี บูชากด็ ี,
ทรงจำก็ดี บอกกล่าวโดยเคารพก็ดี
ปะเรสงั เทสะนงั สตุ ว๎ า ตัสสะ อายุ ปะวัฑฒะตีติ.
ฟังท่านทแี่ สดงแกผ่ ูอ้ นื่ กด็ ี จะทำใหม้ อี ายุเจรญิ แล
56
มงคลจกั รวาลใหญ
่
สิรธิ ิตมิ ะติเตโชชะยะสิทธิมะหิทธิ มะหาคณุ าปะรมิ ติ ะปุญญาธิการัสสะ
สพั พนั ตะรายะนวิ าระณะสะมัตถสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพทุ ธสั สะ
พระผ้มู พี ระภาคเจ้าเปน็ พระอรหันต,์ ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง,
มีบุญญาธิการอนั หาประมาณมไิ ด้, ดว้ ยพระฤทธิ์อนั ยิง่ ใหญ่,
ด้วยพระคุณอันย่งิ ใหญ่สำเร็จดว้ ยสริ ,ิ มีปญั ญาต้ังมั่น มีปัญญารูร้ อบ,
มีพระเดชพระชยั , สามารถหา้ มเสยี ซ่งึ สรรพอันตราย
ทว๎ ตั ตงิ สะมะหาปรุ สิ ะลกั ขะณานภุ าเวนะ ด้วยอานุภาพแห่งพระมหาบุรษุ ลกั ษณะ
๓๒ ประการ
อะสตี ๎ยานพุ ๎ยญั ชะนานภุ าเวนะ ดว้ ยอานภุ าพ แหง่ พระอนุพยัญชนะ ๘๐
อฏั ฐุตตะระสะตะมังคะลานภุ าเวนะ ด้วยอานภุ าพ แหง่ มงคล ๑๐๘ ประการ
ฉพั พณั ณะรงั สิยานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพ แหง่ พระรศั มวี รรณะ ๖ ประการ
เกตุมาลานภุ าเวนะ ดว้ ยอานภุ าพ แหง่ พระเกตุมาลา
ทะสะปาระมติ านุภาเวนะ ด้วยอานภุ าพ แหง่ พระบารมี ๑๐ ประการ
ทะสะอุปะปาระมิตานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพ แหง่ พระอปุ บารมี ๑๐ ประการ
ทะสะปะระมตั ถะปาระมิตานภุ าเวนะ ดว้ ยอานภุ าพ แหง่ พระปรมตั ถบารมี ๑๐ ประการ
สีละสะมาธปิ ัญญานภุ าเวนะ ดว้ ยอานุภาพ แห่งศีล สมาธิ ปญั ญา
พุทธานภุ าเวนะ ด้วยอานภุ าพ แหง่ พระพุทธรตั นะ
ธัมมานภุ าเวนะ ด้วยอานภุ าพ แห่งพระธรรมรตั นะ
สงั ฆานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพ แหง่ พระสังฆรตั นะ
เตชานภุ าเวนะ ด้วยอานภุ าพ แหง่ พระเดช
อิทธานภุ าเวนะ ด้วยอานุภาพ แห่งพระฤทธ์ิ
พะลานภุ าเวนะ ดว้ ยอานุภาพ แห่งพระกำลัง
เญยยะธมั มานภุ าเวนะ ด้วยอานุภาพ แห่งเญยยธรรม
จะตรุ าสตี สิ ะหสั สะธมั มกั ขนั ธานภุ าเวนะ ด้วยอานุภาพ แห่งพระธรรมขนั ธ์ ๘ หมน่ื
๔ พนั
นะวะโลกตุ ตะระธัมมานุภาเวนะ ดว้ ยอานุภาพ แห่งโลกุตรธรรม ๙ ประการ
อฏั ฐังคกิ ะมคั คานภุ าเวนะ ดว้ ยอานุภาพ แหง่ พระอรยิ มรรคมอี งค์
๘ ประการ
อัฏฐะสะมาปัตติยานุภาเวนะ ด้วยอานภุ าพ แหง่ พระสมาบตั ิ ๘ ประการ
ฉะฬะภิญญานภุ าเวนะ ด้วยอานภุ าพ แหง่ พระอภิญญา ๖ ประการ
57
จะตุสัจจะญาณานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพ แหง่ พระญาณในสจั จะ ๔
ทะสะพะละญาณานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพ แหง่ พระญาณมกี ำลงั ๑๐ ประการ
สัพพัญญุตะญาณานภุ าเวนะ ด้วยอานุภาพ แหง่ พระสัพพัญญุตญาณ
เมตตากะรุณามุทิตาอุเปกขานภุ าเวนะ ดว้ ยอานุภาพ แห่งพระเมตตา พระกรณุ า
พระมทุ ิตา พระอุเบกขา
สัพพะปะรติ ตานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพ แห่งพระปรติ รท้ังปวง
ระตะนตั ตะยะสะระณานภุ าเวนะ ดว้ ยอานุภาพ แหง่ การมพี ระรตั นตรยั
เปน็ ท่ีพ่ึง
ตุย๎หัง สัพพะโรคะโสกปุ ัททะวะ- แมเ้ หล่าโรค โศก อุปทั วะ ทุกข์ โทมนสั ,
ทกุ ขะโทมะนสั สปุ ายาสา วนิ สั สนั ต ุ ความคบั แค้นใจท้งั ปวงของทา่ นจงสิ้นไป
สัพพะอนั ตะรายาปิ วินัสสันต ุ แม้เหล่าอันตรายทง้ั ปวง จงสนิ้ สูญไป
สัพพะสังกัปปา ตยุ ๎หัง สะมชิ ฌันต ุ สรรพความคดิ ทง้ั หลายของทา่ นจงสำเรจ็
ดว้ ยด
ี
ทีฆายุตา ตุยห๎ ัง โหต ุ ความเปน็ ผมู้ อี ายุยืน จงมีแก่ทา่ น
สะตะวัสสะชีเวนะ สะมงั คโิ ก มคี วามพร้อมเพรยี งด้วยความเปน็ อย,ู่
โหตุ สัพพะทา ตลอดกาล ๑๐๐ ป
ี
อากาสะปัพพะตะวะนะภมู ิคงั คา เทพเจา้ ทงั้ หลาย, ผคู้ ุ้มครองอยู่ในอากาศ
มะหาสะมุททา อารักขะกา เทวะตา ในภเู ขา ปา่ ไม้, ภูมิสถาน แมน่ ้ำและมหาสมทุ ร
สะทา ตุม๎เห อะนุรกั ขันต.ุ จงตามรักษาท่านท้ังหลาย ทุกเม่อื เทอญ
นกั ขตั ตะยกั ข์
นักขัตตะยักขะภตู านัง ปาปคั คะหะนิวาระณา,
ความปอ้ งกันบาปเคราะห์ทง้ั หลาย,
แต่สำนกั แห่งเหล่านกั ษัตร ยกั ษแ์ ละภตู ได้มีแลว้
ปะริตตสั สานุภาเวนะ หันตว๎ า เตสัง อปุ ทั ทะเว.
ดว้ ยอานุภาพแหง่ พระปรติ ร, จงกำจัดเสียซ่งึ อุปัทวะทัง้ หลาย,
แตส่ ำนักแหง่ นักษัตร ยักษแ์ ละภูตเหล่านัน้
(สวด ๓ จบ)
58
บทท้ายธะชัคคะสูตร
พทุ ธมนตส์ ำหรบั ปอ้ งกนั และตอ่ สกู้ บั ศตั รหู มปู่ จั จามติ ร
ทำใหศ้ ตั รคู รนั่ ครา้ มและเกรงกลวั
ประวัต
ิ
สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ เชตวันวิหาร ทรงตรัสพุทธพจน์ถึง
สงครามระหวา่ งเทวดาและอสูรวา่
ในอดีตกาล มฆมาณพและสหายอีก ๓๒ คน ได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตร
ในสวรรคช์ ้ันดาวดงึ ส์ เหลา่ เทพในสวรรคพ์ ากนั เล้ยี งตอ้ นรบั ดว้ ยนำ้ คนั ธบาน เม่ือเหล่า
เทพพากันเมามายไม่ได้สติ มฆมาณพเทพบุตรและพระสหายซึ่งไม่ได้ดื่มน้ำคันธบาน
นั้นดว้ ย จึงจับเหล่าเทพโยนจาก เขาสเิ นรตุ กลงในมหาสมทุ รนทีสที นั ดร ดว้ ยอานุภาพ
ของเหล่าเทพที่ยังคงมีอยู่ จึงบังเกิดเทพนครข้ึนใหม่ภายใต้เขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของเทพ
เหล่านั้น และเทพเหล่านั้นมองเห็นโทษของการขาดสติจากการด่ืมน้ำคันธบาน จึงได้
เลกิ ด่มื เหลา้ เทพเหล่านัน้ จึงไดช้ ่ือใหม่วา่ อสรุ า หรอื อสรู
ส่วนมฆมาณพเทพบุตร เม่ือไล่เทพเจ้าถิ่นไปหมดแล้ว ก็ข้ึนปกครองสวรรค์
ช้ันดาวดึงส์สืบมา เป็นจอมเทพทรงพระนามว่า ท้าวสักกะเทวราช พระองค์ทรง
มอบหมายใหท้ า้ วมหาราชทง้ั ๔ จดั ทพั เทพบริวารอารกั ขาเขาสเิ นรไุ วเ้ พื่อปอ้ งกันเหลา่
อสูรยกทพั กลับมาแกแ้ คน้
แต่สมัยใดที่ต้นแคฝอยในอสูรพิภพผลิบาน พวกอสูรก็หวนคิดว่าต้นปาริฉัตร
ในสวรรค์ก็คงจะบานเหมือนกัน กาลน้ีเป็นกาลที่เราได้ร่ืนเริงกัน คิดแล้วก็โกรธท้าว
สักกะเทวราช และพวกเทวดา อสูรจงึ รวมกำลงั ยกทัพข้นึ มาทำสงครามกับเหลา่ เทวดา
สงครามระหว่างเทวดาและอสูรมบี อ่ ยครง้ั ผลัดกนั แพ้ ผลัดกันชนะ คราวใด
ท่ีฝ่ายเทวดาเพล่ยี งพลำ้ ถอยร่นหนอี สูรสูย่ อดเขาสิเนรุ จิตใจประหวัน่ พร่นั พรงึ ทอ้ แท้
และเกดิ ความกลวั เมอ่ื ไดเ้ หน็ ยอดธงของทา้ วสกั กะเทวราชโบกสะบดั อยู่ ความกลวั ของ
เทวดาเหล่านั้นกห็ ายไป เกิดความฮึกเหมิ และสามารถตอ่ ส้เู อาชนะพวกอสูรได
้
พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบว่า เม่ือภิกษุท้ังหลายไปอยู่ป่า หากเกิดความ
รสู้ ึกกลัวก็ให้ระลกึ ถงึ พระพทุ ธองค์ พระธรรม และพระสงฆ์ ความกลัวนนั้ กจ็ ะหายไป
เปรียบเหมือนเทวดาได้มองเห็นยอดธงของท้าวสักกะเทวราช ฉันนัน้
59
อะรญั เญ รกุ ขะมเู ล วา สุญญาคาเร วะ ภกิ ขะโว,
ดกู อ่ นภิกษทุ ั้งหลาย, เธอทงั้ หลายอยู่ในป่ากด็ ี,
อย่โู คนไม้ก็ดี, อยใู่ นเรือนวา่ งเปล่ากด็ ี
อะนุสสะเรถะ สมั พุทธัง ภะยัง ตุม๎หากะ โน สยิ า,
เธอพงึ ระลกึ ถึงพระพุทธเจา้ เถิด,
ภยั จะไมพ่ ึงมแี ก่เธอท้ังหลาย
โน เจ พทุ ธงั สะเรยยาถะ โลกะเชฏฐัง นะราสะภงั ,
ถ้าว่าเธอทง้ั หลายไมร่ ะลึกถึงพระพทุ ธเจา้ ,
ผูเ้ ปน็ ใหญ่ในโลก องอาจกวา่ นรชน
อะถะ ธัมมัง สะเรยยาถะ นิยยานกิ ัง สุเทสิตัง,
ทีนน้ั เธอพงึ ระลึกถงึ พระธรรม,
เครือ่ งนำออกจากทุกข์ ที่เราแสดงไวด้ แี ล้ว
โน เจ ธัมมัง สะเรยยาถะ นิยยานิกงั สุเทสิตงั ,
ถา้ เธอท้งั หลายไม่ระลกึ ถงึ พระธรรม,
เครื่องนำออกจากทุกข์ ทีเ่ ราแสดงไวด้ แี ลว้
อะถะ สงั ฆงั สะเรยยาถะ ปุญญักเขตตัง อะนตุ ตะรงั ,
ทนี ั้น เธอพึงระลกึ ถงึ พระสงฆ์,
ผู้เปน็ บุญเขต ไม่มนี าบญุ อื่นใดยง่ิ ไปกว่า
เอวัมพทุ ธัง สะรันตานงั ธัมมัง สังฆญั จะ ภกิ ขะโว,
ดกู ่อนภิกษทุ ง้ั หลาย, เมอ่ื เธอท้งั หลายระลกึ ถึงพระพุทธเจา้ ,
พระธรรมและพระสงฆ์อย
ู่
ภะยงั วา ฉมั ภติ ัตตัง วา โลมะหงั โส นะ เหสสะตตี .ิ
ความกลวั กด็ ี ความหวาดสะด้งุ กด็ ,ี
ความขนพองสยองเกล้าก็ดี จกั ไมม่ เี ลย
ความไม่เบียดเบยี นเปน็ สุขในโลก
60
พระสูตร
ธัมมะจกั กัปปะวตั ตะนะสตุ ตงั
ประวัติ
เมอื่ พระบรมศาสดาทรงตรสั รแู้ ลว้ เมอ่ื วนั ขน้ึ ๑๕ คำ่ เดอื นวสิ าขะ (เดอื น ๖)
พระองคไ์ ดท้ รงเสวยวมิ ตุ ตสิ ขุ พจิ ารณาทบทวนพระสทั ธรรมทพี่ ระองคท์ รงตรสั รแู้ จง้ แลว้
อยู่บริเวณริมฝ่งั แมน่ ้ำ เนรญั ชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานคิ ม แควน้ มคธ ต่อไปอีกเปน็
เวลา ๔๙ วนั จากนน้ั พระพทุ ธองค์ไดท้ รงพิจารณาหมู่สัตว์ ว่าหมสู่ ัตวท์ ง้ั หลายนั้น
เปรยี บเหมอื นบวั ๔ เหลา่ คอื หมสู่ ตั วท์ ม่ี ปี ญั ญาดี มปี ญั ญาปานกลาง มปี ญั ญานอ้ ย
และหมสู่ ัตว์ที่เบาปัญญา
ทรงพิจารณาดงั น้แี ลว้ พระบรมศาสดาจึงตดั สินพระทัยทีจ่ ะสัง่ สอนเวไนยสตั ว์
คือ หมู่สัตว์ที่มีปัญญาส่ังสอนได้ โดยจะเริ่มเทศนาแสดงพระสัทธรรมแก่ปัญจวัคคีย์
เป็นหมูแ่ รก
พระบรมศาสดาเสด็จพุทธดำเนินถึงป่าอิสิปะตะนะมฤคทายวัน ใกล้เมือง
พาราณสีและได้แสดง ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสูตร แก่ปัญจวัคคีย์ ประกอบด้วย
พราหมณ์ท้ัง ๕ คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ในวัน
ขน้ึ ๑๕ คำ่ เดอื นอาสาฬหะ (เดือน ๘) เปน็ ปฐมเทศนา
ธมั มะจกั กปั ปะวตั ตะนะสตู ร ทที่ รงแสดงน้ี คอื “พระสตู รวา่ ดว้ ยการยงั ธรรมจกั ร
ใหเ้ ปน็ ไป” หรอื “พระสตู รวา่ ดว้ ยการหมนุ วงลอ้ แหง่ ธรรม” ความวา่ สว่ นทส่ี ดุ ๒ อยา่ ง
คือ กามสุขัลลิกานุโยค การประกอบตนให้พัวพันในความสุขทางกาม ทางนี้ช่ือว่า
เป็นทางท่ีหย่อนเกินไป และ อัตตกิลมถานุโยค คือการทรมานกายทำตนให้ลำบาก
อันหาประโยชน์มิได้ ชื่อว่าเป็นทางท่ีตึงเกินไป แล้วพระพุทธองค์จึงทรงตรัสถึง
ทางสายกลาง อนั ไม่เข้าถงึ สว่ นท่สี ุดสองอยา่ งน้ี คอื ว่าดว้ ย มชั ฌมิ าปฏิปทา กอปร
ด้วยมรรคมีองค์ ๘ และว่าด้วย อรยิ สัจ ๔ อนั ทำใหพ้ ระองค์ สามารถปฏิญาณวา่
ทรงได้ตรสั รู้อนุตรสัมมาสัมโพธญิ าณ คือ ความตรัสรเู้ องโดยชอบอันยอดเย่ยี ม
หลงั จากจบปฐมเทศนาแลว้ โกณฑญั ญพราหมณ์ ไดธ้ รรมจกั ษุ มดี วงตาเหน็ ธรรม
ทูลขออุปสมบท ทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา ทำให้โลก มีพระรัตนตรัยครบ
ทั้งองค์ ๓ คอื พระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ
์
61
เอวัมเม สุตงั , อันขา้ พเจ้า (พระอานนท์)
ได้สดับมาแล้วอย่างนีว้ า่
เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจา้
พาราณะสยิ ัง วหิ ะระติ, ประทบั อยทู่ ี่ปา่ อิสปิ ะตะนะมฤคทายวนั ,
อิสิปะตะเน มิคะทาเย, ใกลเ้ มืองพาราณสี
ตตั ๎ระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ในกาลน้นั แล พระผมู้ ีพระภาคเจ้า,
ภิกขู อามันเตส,ิ ตรัสเตอื นพระภิกษปุ ัญจวคั คยี ์,
ให้ตง้ั ใจฟังภาษิตนีว้ ่า
เทว๎ เม ภิกขะเว อันตา ดกู อ่ นภิกษุท้ังหลาย ทส่ี ดุ สองอย่างน
้ี
ปพั พะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา, อนั บรรพชติ ไมค่ วรเสพ
โย จายัง กาเมสุ คือการประกอบตนให้พวั พนั ,
กามะสุขัลลกิ านุโยโค, ด้วยความใคร่ในกามท้งั หลายน้ีใด
หโี น เป็นธรรมอันเลว
คมั โม เป็นเหตใุ หต้ งั้ บ้านเรอื น
โปถชุ ชะนิโก เป็นของคนมกี ิเลสหนา
อะนะริโย ไม่ใช่ไปจากข้าศกึ คอื กเิ ลส
อะนัตถะสญั ห๎ โิ ต, ไมป่ ระกอบด้วยประโยชน์เลย, นอ้ี ยา่ งหนง่ึ
โย จายงั อัตตะกลิ ะมะถานโุ ยโค, อกี อย่างหน่ึงคือ,
การประกอบตนให้ลำบากเหลา่ น
้ี
ทกุ โข ทำให้เกิดทุกขแ์ กผ่ ู้ประกอบ
อะนะริโย ไมใ่ ช่ไปจากข้าศกึ คือกิเลส
อะนัตถะสญั ๎หิโต, ไม่ประกอบดว้ ยประโยชนเ์ ลย
เอเต เต ภกิ ขะเว ดกู ่อนภกิ ษุทงั้ หลาย, ขอ้ ปฏบิ ัตอิ ันเปน็ กลาง,
อุโภ อันเต อะนุปะคมั มะ, ไม่เขา้ ไปหาท่สี ุดแหง่ การกระทำสองอย่างน้ี มีอยู่,
มัชฌมิ า ปะฏปิ ะทา อันตถาคตไดต้ รัสรแู้ ล้ว ดว้ ยปัญญาอนั ยิ่ง
ตะถาคะเตนะ อะภสิ มั พุทธา,
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี ทำดวงตา ทำญาณเคร่ืองร,ู้
อุปะสะมายะ อะภญิ ญายะ ย่อมเป็นไปเพอื่ ความเข้าไปสงบระงับ,
สัมโพธายะ นิพพานายะ เพือ่ ความร้ยู ่ิง เพ่ือความรพู้ ร้อม,
สังวตั ตะต,ิ เป็นไปเพอื่ ความดบั คือพระนพิ พาน
62
กะตะมา จะ สา ภกิ ขะเว ดกู ่อนภิกษุทั้งหลาย, ขอ้ ปฏิบตั เิ ปน็ ทาง
มชั ฌิมา ปะฏปิ ะทา สายกลางน้ันเป็นอย่างไรเล่า,
ตะถาคะเตนะ อะภสิ มั พทุ ธา, อันตถาคตไดต้ รัสร้แู ลว้ ด้วยปัญญาอันยง่ิ
จกั ขกุ ะระณี ญาณะกะระณี ทำดวงตา ทำญาณเครอ่ื งร,ู้
อปุ ะสะมายะ อะภิญญายะ ย่อมเป็นไปเพอื่ ความเขา้ ไปสงบระงบั ,
สมั โพธายะ นพิ พานายะ เพื่อความรูย้ ่ิง เพอื่ ความรพู้ รอ้ ม,
สังวตั ตะติ, เป็นไปเพอื่ ความดบั คือพระนิพพาน
อะยะเมวะ อะริโย นีค้ ือขอ้ ปฏบิ ตั เิ ป็นหนทางอนั ประเสรฐิ ,
อัฏฐังคโิ ก มัคโค, ประกอบดว้ ยองค์แปดประการ
เสยยะถีทงั , ได้แกส่ งิ่ เหล่านีค้ อื
สมั มาทฏิ ฐิ สัมมาสงั กปั โป, ปญั ญาอนั เห็นชอบ, ความดำริชอบ
สัมมาวาจา สมั มากัมมนั โต วาจาชอบ, การงานชอบ,
สมั มาอาชีโว, การเล้ยี งชวี ติ ชอบ
สัมมาวายาโม สัมมาสะติ ความเพียรชอบ, ความระลกึ ชอบ,
สัมมาสะมาธิ, ความตงั้ ใจมัน่ ชอบ
อะยัง โข สา ภกิ ขะเว ดกู อ่ นภิกษทุ งั้ หลาย, นแ้ี ลคอื ข้อปฏิบัติ
มชั ฌมิ า ปะฏิปะทา อนั เป็นทางสายกลาง,
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา, ท่ตี ถาคตได้ตรสั รแู้ ลว้ ดว้ ยปัญญาอนั ยิง่
จกั ขกุ ะระณี ญาณะกะระณี ทำดวงตา ทำญาณเคร่อื งร,ู้
อุปะสะมายะ อะภิญญายะ ย่อมเป็นไปเพอื่ ความเขา้ ไปสงบระงับ,
สัมโพธายะ นิพพานายะ เพื่อความรู้ยิง่ เพื่อความรู้พรอ้ ม,
สังวัตตะต,ิ เปน็ ไปเพอ่ื ความดับ คือพระนิพพาน
อทิ ัง โข ปะนะ ภกิ ขะเว ดกู ่อนภกิ ษุทงั้ หลาย,
ทกุ ขงั อะริยะสัจจงั , ก็ความจริงคอื ทกุ ข์น้ี มีอยู่
ชาตปิ ิ ทุกขา ความเกดิ กเ็ ป็นทุกข์
ชะราปิ ทกุ ขา ความแกก่ เ็ ปน็ ทุกข์
มะระณมั ปิ ทกุ ขัง, ความตายกเ็ ปน็ ทกุ ข
์
โสกะปะรเิ ทวะทกุ ขะโทมะนสั - แม้ความโศก ความรำ่ ไรรำพนั ,
สุปายาสาปิ ทุกขา, ความไมส่ บายกาย ความไมส่ บายใจ,
ความคบั แค้นใจ กเ็ ป็นทุกข์
อัปปเิ ยหิ สัมปะโยโค ทกุ โข ความประสบกบั สิ่งไม่เป็นทรี่ กั ท่พี อใจก็เปน็ ทุกข
์
63
ปิเยหิ วปิ ปะโยโค ทุกโข ความพลดั พรากจากสง่ิ เปน็ ทรี่ กั ทพ่ี อใจ
กเ็ ปน็ ทกุ ข์
ยมั ปิจฉัง นะ ละภะติ มคี วามปรารถนาสงิ่ ใดไม่ได้สง่ิ นั้น
ตมั ปิ ทุกขงั , นัน่ กเ็ ป็นทกุ ข์
สงั ขติ เตนะ ปญั จปุ าทานกั ขนั ธา ว่าโดยยอ่ , อปุ าทานขนั ธ์ทง้ั ห้าเปน็ ตวั ทกุ ข์
ทกุ ขา,
อิทัง โข ปะนะ ภกิ ขะเว ดกู อ่ นภกิ ษุทั้งหลาย,
ทกุ ขะสะมทุ ะโย อะริยะสจั จงั , กค็ วามจริงคอื เหตุใหเ้ กิดทกุ ข์นี้ มอี ย
ู่
ยายัง ตัณ๎หา ความทะยานอยากน้
ี
โปโนพภะวิกา ทำใหเ้ กดิ ภพอกี
นนั ทิราคะสะหะคะตา อนั ประกอบอยูด่ ้วยความกำหนัด,
ดว้ ยอำนาจความเพลิน
ตัตร๎ ะตัต๎ราภนิ นั ทนิ ี, เป็นเครื่องให้เพลิดเพลนิ อยา่ งยิง่ ในอารมณน์ ้ันๆ
เสยยะถีทงั , ไดแ้ ก่สิ่งเหล่านี้คอื
กามะตัณห๎ า คือความทะยานอยากในอารมณ์ทใ่ี คร
่
ภะวะตัณห๎ า คือความทะยานอยากในความมีความเป็น
วิภะวะตณั ห๎ า, คอื ความทะยานอยากในความไม่มไี ม่เปน็
อทิ ัง โข ปะนะ ภิกขะเว ดกู ่อนภกิ ษุท้งั หลาย,
ทุกขะนิโรโธ อะรยิ ะสจั จงั , ก็ความจริงคือความดับไมเ่ หลือแห่งทุกขน์ ี้ มอี ยู
่
โย ตัสสาเยวะ ตณั ห๎ ายะ คือความดบั สนิทเพราะจางไปโดยไม่เหลอื ,
อะเสสะวิราคะนิโรโธ ของตัณหานัน้ นัน่ เอง
จาโค ความสละตณั หานน้ั
ปะฏินสิ สคั โค ความสลดั คืนตณั หานัน้
มตุ ติ ความปล่อยวางตัณหานน้ั
อะนาละโย, ความไม่พัวพนั แหง่ ตณั หานนั้
อิทงั โข ปะนะ ภกิ ขะเว ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย, กค็ วามจรงิ คือข้อ
ทุกขะนิโรธะคามนิ ี ปะฏปิ ะทา ปฏบิ ัต,ิ ทที่ ำสตั วใ์ ห้ลุถงึ ความดบั ไม่
อะริยะสจั จัง, เหลอื แหง่ ทุกขน์ ี้ มอี ยู่
อะยะเมวะ อะริโย น้คี ือข้อปฏิบตั ิเปน็ หนทางอันประเสรฐิ ,
อัฏฐังคิโก มัคโค, ประกอบดว้ ยองคแ์ ปดประการ
เสยยะถที ัง, ไดแ้ กส่ ิง่ เหลา่ น้ีคือ
64
สัมมาทิฏฐิ สมั มาสังกัปโป, ปัญญาอนั เหน็ ชอบ, ความดำรชิ อบ
สัมมาวาจา สมั มากัมมนั โต วาจาชอบ, การงานชอบ,
สัมมาอาชโี ว, การเลีย้ งชวี ิตชอบ
สัมมาวายาโม สัมมาสะติ ความเพียรชอบ, ความระลึกชอบ,
สมั มาสะมาธิ, ความต้งั ใจม่นั ชอบ
อิทัง ทกุ ขัง อะริยะสัจจันต ิ ดูกอ่ นภิกษทุ ้งั หลาย, จกั ษุไดเ้ กดิ ขึ้นแล้ว,
เม ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนสุ สุเตส ุ ญาณไดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ปัญญาได้เกิดข้นึ แล้ว,
ธัมเมสุ, จกั ขงุ อทุ ะปาทิ ญาณงั วชิ ชาได้เกิดข้ึนแลว้ , แสงสวา่ งได้เกิดข้นึ แลว้
อทุ ะปาทิ ปญั ญา อุทะปาทิ วิชชา แกเ่ รา, ในธรรมทง้ั หลาย, ที่เราไมไ่ ด้เคยฟงั
อทุ ะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ, แลว้ ในกาลก่อนวา่ , นีเ้ ป็นทุกขอรยิ สจั
ตัง โข ปะนทิ งั ทกุ ขัง ดูกอ่ นภิกษทุ งั้ หลาย, จักษุได้เกดิ ข้นึ แลว้ ,
อะรยิ ะสจั จงั ปะรญิ เญยยนั ติ เม ญาณไดเ้ กิดขึน้ แลว้ , ปัญญาได้เกดิ ข้ึนแล้ว,
ภิกขะเว, ปพุ เพ อะนะนุสสุเตส ุ วชิ ชาไดเ้ กดิ ข้ึนแล้ว, แสงสวา่ งไดเ้ กิดขนึ้ แลว้
ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง แกเ่ รา, ในธรรมท้ังหลาย, ทเ่ี ราไมไ่ ดเ้ คยฟัง
อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วชิ ชา แล้วในกาลก่อนว่า, กท็ ุกขอรยิ สัจนี้นน้ั แล,
อทุ ะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ, ควรกำหนดร
ู้
ตัง โข ปะนิทงั ทกุ ขัง ดกู ่อนภกิ ษุท้ังหลาย, จักษไุ ด้เกิดขนึ้ แลว้ ,
อะรยิ ะสัจจงั ปะริญญาตันติ เม ญาณได้เกดิ ข้ึนแล้ว, ปัญญาได้เกดิ ขึน้ แลว้ ,
ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนุสสุเตส ุ วิชชาไดเ้ กิดขนึ้ แล้ว, แสงสว่างไดเ้ กิดขนึ้ แลว้
ธมั เมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณงั แกเ่ รา, ในธรรมทงั้ หลาย, ที่เราไมไ่ ด้เคยฟงั
อุทะปาทิ ปญั ญา อุทะปาทิ วิชชา แล้วในกาลก่อนว่า, กท็ ุกขอรยิ สัจนน้ี นั้ แล,
อุทะปาทิ อาโลโก อทุ ะปาท,ิ อนั เราไดก้ ำหนดรู้แลว้
อิทัง ทุกขะสะมทุ ะโย ดูกอ่ นภกิ ษทุ ้งั หลาย, จักษไุ ด้เกดิ ขนึ้ แล้ว,
อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ญาณไดเ้ กิดขนึ้ แลว้ , ปัญญาได้เกดิ ขน้ึ แล้ว,
ปุพเพ อะนะนุสสเุ ตสุ ธมั เมส,ุ วชิ ชาไดเ้ กดิ ขึน้ แลว้ , แสงสว่างได้เกดิ ขึ้นแล้ว
จักขงุ อทุ ะปาทิ ญาณัง อุทะปาท ิ แกเ่ รา, ในธรรมทง้ั หลาย, ทเี่ ราไมไ่ ด้เคยฟงั
ปญั ญา อทุ ะปาทิ วิชชา อทุ ะปาทิ แล้วในกาลกอ่ นว่า, นี้เป็นทกุ ขสมุทยั
อาโลโก อทุ ะปาทิ, อรยิ สจั
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย, จักษุได้เกดิ ข้นึ แลว้ ,
อะรยิ ะสจั จงั ปะหาตพั พันติ เม ญาณไดเ้ กิดขน้ึ แลว้ , ปญั ญาไดเ้ กดิ ขึน้ แลว้ ,
ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ วชิ ชาได้เกดิ ข้นึ แลว้ , แสงสวา่ งไดเ้ กดิ ข้ึนแล้ว
65
ธมั เมส,ุ จกั ขงุ อุทะปาทิ ญาณัง แก่เรา, ในธรรมท้ังหลาย, ทีเ่ ราไม่ไดเ้ คยฟัง
อทุ ะปาทิ ปญั ญา อทุ ะปาทิ แลว้ ในกาลกอ่ นวา่ , ก็ทุกขสมทุ ัยอริยสจั
วชิ ชา อทุ ะปาทิ อาโลโก อทุ ะปาท,ิ นี้นั้นแล, ควรละเสยี
ตงั โข ปะนิทงั ทกุ ขะสะมทุ ะโย ดกู ่อนภิกษทุ ้งั หลาย, จกั ษไุ ดเ้ กิดข้ึนแล้ว,
อะริยะสัจจงั ปะหนี นั ติ เม ญาณได้เกดิ ขน้ึ แล้ว, ปญั ญาไดเ้ กดิ ข้นึ แล้ว,
ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนุสสเุ ตสุ วิชชาไดเ้ กดิ ขึน้ แล้ว, แสงสว่างไดเ้ กดิ ขน้ึ แล้ว
ธัมเมสุ, จักขงุ อทุ ะปาทิ ญาณัง แก่เรา, ในธรรมทง้ั หลาย, ท่ีเราไม่ได้เคยฟงั
อุทะปาทิ ปญั ญา อทุ ะปาทิ แล้วในกาลกอ่ นวา่ , ก็ทุกขสมทุ ยั อรยิ สจั
วิชชา อทุ ะปาทิ อาโลโก อทุ ะปาท,ิ นีน้ ้ันแล, อันเราได้ละแล้ว
อทิ งั ทุกขะนิโรโธ ดูกอ่ นภกิ ษุทัง้ หลาย, จกั ษไุ ดเ้ กดิ ข้ึนแลว้ ,
อะริยะสัจจนั ติ เม ภกิ ขะเว, ญาณได้เกิดขึน้ แลว้ , ปัญญาได้เกิดขึ้นแลว้ ,
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมส,ุ วชิ ชาไดเ้ กดิ ขน้ึ แล้ว, แสงสวา่ งไดเ้ กดิ ขึ้นแลว้
จักขุง อทุ ะปาทิ ญาณงั อทุ ะปาท ิ แกเ่ รา, ในธรรมท้งั หลาย, ท่เี ราไม่ไดเ้ คยฟงั
ปญั ญา อุทะปาทิ วชิ ชา อุทะปาทิ แลว้ ในกาลก่อนว่า, นี้เปน็ ทกุ ขนิโรธะอรยิ สจั
อาโลโก อทุ ะปาท,ิ
ตงั โข ปะนทิ ัง ทุกขะนิโรโธ ดกู อ่ นภิกษุทง้ั หลาย, จักษไุ ดเ้ กิดขนึ้ แลว้ ,
อะรยิ ะสัจจงั สจั ฉกิ าตัพพันติ เม ญาณไดเ้ กดิ ขึ้นแลว้ , ปัญญาไดเ้ กิดขน้ึ แล้ว,
ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนสุ สุเตสุ วชิ ชาไดเ้ กดิ ขึ้นแลว้ , แสงสว่างได้เกดิ ขึ้นแล้ว
ธัมเมสุ, จักขงุ อทุ ะปาทิ ญาณัง แก่เรา, ในธรรมท้ังหลาย, ท่เี ราไม่ได้เคยฟัง
อุทะปาทิ ปญั ญา อทุ ะปาทิ แลว้ ในกาลก่อนวา่ , ก็ทกุ ขนโิ รธะอรยิ สจั
วิชชา อทุ ะปาทิ อาโลโก อทุ ะปาทิ, น้นี ั้นแล, ควรทำใหแ้ จ้ง
ตงั โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ ดกู ่อนภกิ ษทุ ั้งหลาย, จักษุได้เกดิ ขึ้นแลว้ ,
อะรยิ ะสจั จัง สจั ฉิกะตันติ เม ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว, ปัญญาไดเ้ กิดขน้ึ แล้ว,
ภกิ ขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ วชิ ชาได้เกิดขึ้นแล้ว, แสงสว่างได้เกดิ ขึน้ แลว้
ธมั เมสุ, จักขงุ อทุ ะปาทิ ญาณงั แกเ่ รา, ในธรรมทั้งหลาย, ท่ีเราไมไ่ ด้เคยฟัง
อทุ ะปาทิ ปญั ญา อทุ ะปาทิ แลว้ ในกาลกอ่ นวา่ , กท็ กุ ขนโิ รธะอริยสจั
วชิ ชา อุทะปาทิ อาโลโก อทุ ะปาท,ิ นนี้ น้ั แล, อันเราได้ทำให้แจ้งแลว้
อิทงั ทกุ ขะนโิ รธะคามินี ดกู อ่ นภกิ ษุทงั้ หลาย, จักษุได้เกิดข้ึนแล้ว,
ปะฏปิ ะทา อะริยะสัจจนั ติ เม ญาณไดเ้ กดิ ขึ้นแลว้ , ปัญญาได้เกิดข้ึนแลว้ ,
ภิกขะเว, ปพุ เพ อะนะนุสสุเตสุ วชิ ชาไดเ้ กดิ ขนึ้ แล้ว, แสงสว่างไดเ้ กดิ ขนึ้ แลว้
ธมั เมส,ุ จกั ขุง อทุ ะปาทิ แก่เรา, ในธรรมทัง้ หลาย, ที่เราไม่ไดเ้ คยฟัง
66
ญาณงั อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ แล้วในกาลก่อนว่า, น้ีเปน็ ทกุ ขนิโรธะคามนิ ี
วชิ ชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาท,ิ ปฏปิ ทาอริยสจั
ตงั โข ปะนทิ ัง ทุกขะนโิ รธะคามินี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, จักษไุ ดเ้ กิดข้ึนแล้ว,
ปะฏปิ ะทา อะรยิ ะสจั จงั ภาเวตพั พนั ติ ญาณได้เกดิ ขน้ึ แลว้ , ปญั ญาไดเ้ กิดขน้ึ แล้ว,
เม ภกิ ขะเว, ปุพเพ อะนะนสุ สเุ ตสุ วชิ ชาไดเ้ กิดขึน้ แลว้ , แสงสว่างไดเ้ กิดขึน้ แล้ว
ธัมเมสุ, จกั ขงุ อุทะปาทิ ญาณัง แกเ่ รา, ในธรรมทงั้ หลาย, ท่ีเราไมไ่ ด้เคยฟงั
อทุ ะปาทิ ปญั ญา อุทะปาท ิ แล้วในกาลกอ่ นว่า, กท็ กุ ขนิโรธะคามนิ ี
วิชชา อทุ ะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ, ปฏปิ ทาอรยิ สจั น้ีน้นั แล, ควรให้เจริญ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ดูก่อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย, จักษไุ ด้เกดิ ขึ้นแลว้ ,
ปะฏิปะทา อะรยิ ะสัจจงั ภาวติ นั ติ ญาณได้เกิดขนึ้ แล้ว, ปญั ญาได้เกิดขน้ึ แลว้ ,
เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนสุ สเุ ตสุ วชิ ชาไดเ้ กดิ ขึน้ แลว้ , แสงสว่างไดเ้ กิดขึ้นแลว้
ธมั เมส,ุ จกั ขงุ อทุ ะปาทิ ญาณงั แกเ่ รา, ในธรรมท้ังหลาย, ที่เราไมไ่ ด้เคยฟงั
อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาท ิ แล้วในกาลก่อนวา่ , ก็ทุกขนโิ รธะคามิน
ี
วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อทุ ะปาทิ, ปฏปิ ทาอรยิ สจั น้ีนั้นแล, อันเราเจรญิ แล้ว
ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว ดูกอ่ นภกิ ษทุ ้งั หลาย, ปญั ญาอนั ร
ู้
อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ, เหน็ ตามความเปน็ จริง,
เอวันตปิ ะริวฏั ฏัง ท๎วาทะสาการัง ในอริยสัจ ๔ เหล่านข้ี องเรา, ซึ่งมรี อบ ๓
ยะถาภูตงั ญาณะทัสสะนัง นะ มอี าการ ๑๒ อย่างน,ี้ ยงั ไมห่ มดจด
สุวสิ ทุ ธงั อะโหสิ, เพียงใดแล้ว
เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก ดกู อ่ นภิกษุทัง้ หลาย เราจะไดย้ ืนยนั ตนว่า,
โลเก สะมาระเก สะพร๎ ัหม๎ ะเก, เป็นผตู้ รสั รพู้ ร้อมเฉพาะ, ซึ่งปัญญาเครอ่ื ง
สสั สะมะณะพ๎ราห๎มะณิยา ปะชายะ ตรัสร้ชู อบ, ไมม่ ีความตรัสรู้อื่นจะยง่ิ กวา่
สะเทวะมะนสุ สายะ, อะนตุ ตะรงั ในโลก, เป็นไปกบั ดว้ ยเทวดา มาร พรหม
สมั มาสมั โพธิง อะภสิ มั พทุ โธ ในหมสู่ ตั ว,์ ทงั้ สมณพราหมณ์ เทวดา
ปัจจัญญาสิง, และมนุษย์ ไม่ไดเ้ พียงน้ัน
ยะโต จะ โข เม ภกิ ขะเว ดกู อ่ นภิกษุทงั้ หลาย ก็เมื่อใดแล, ปัญญาอัน
อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสจั เจสุ, ร้เู หน็ ตามความเป็นจรงิ ,
เอวันตปิ ะริวฏั ฏงั ท๎วาทะสาการัง ในอรยิ สัจ ๔ เหล่านีข้ องเรา, ซึ่งมรี อบ ๓
ยะถาภตู งั ญาณะทสั สะนัง มอี าการ ๑๒ อยา่ งนี,้
สวุ ิสุทธงั อะโหส,ิ หมดจดดีแล้ว
67
อะถาหงั ภกิ ขะเว สะเทวะเก โลเก เมือ่ นน้ั เราจงึ ไดย้ ืนยันตนวา่ , เปน็ ผู้ตรสั ร
ู้
สะมาระเก สะพ๎รหั ม๎ ะเก, พรอ้ มเฉพาะ, ซง่ึ ปัญญาเครอ่ื งตรสั รูช้ อบ,
สสั สะมะณะพ๎ราหม๎ ะณยิ า ปะชายะ ไมม่ คี วามตรสั ร้อู น่ื จะย่งิ กวา่ ในโลก,
สะเทวะมะนุสสายะ, อะนุตตะรัง เปน็ ไปกบั ดว้ ยเทวดา มาร พรหม
สัมมาสัมโพธงิ อะภสิ ัมพุทโธ ในหมูส่ ัตว,์ ท้งั สมณพราหมณ์ เทวดา
ปจั จัญญาสิง, และมนุษย์
ญาณญั จะ ปะนะ เม ก็แล ปัญญาอนั รเู้ ห็นไดเ้ กิดข้นึ แล้ว
ทัสสะนงั อทุ ะปาทิ, แกเ่ ราวา่
อะกปุ ปา เม วมิ ตุ ต,ิ อะยะมันตมิ า ความหลุดพ้นของเราไม่กลบั กำเริบ,
ชาติ, นัตถทิ านิ ปุนพั ภะโวต,ิ ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว, บดั นี้ ไมม่ ีความเกดิ อีก
อิทะมะโวจะ ภะคะวา, พระผู้มีพระภาคเจา้ ,
ได้ตรสั ธมั มะจกั กปั ปะวัตตะนะสตู รน้ีแลว้
อตั ตะมะนา ปญั จะวัคคยิ า ภิกขู ภิกษปุ ญั จวคั คยี ์ก็มีใจยนิ ดี, ชืน่ ชมใน
ภะคะวะโต ภาสิตงั อะภนิ นั ทุง, พระภาษติ ของพระผ้มู ีพระภาคเจ้า
อมิ สั ๎มญิ จะ ปะนะ ขณะท่พี ระผูม้ พี ระภาคเจา้ , ตรสั เทศนา
เวยยากะระณัส๎มงิ ภญั ญะมาเน, พระภาษติ นอ้ี ยู่
อายัส๎มะโต โกณฑญั ญัสสะ วิระชัง ธรรมจกั ษุ อันปราศจากธุล,ี ปราศจากมลทิน
วตี ะมะลัง ธัมมะจกั ขงุ อทุ ะปาทิ, ได้เกดิ ข้นึ แลว้ , แกพ่ ระผมู้ อี ายโุ กณฑญั ญะ
ยงั กญิ จิ สะมุทะยะธมั มงั วา่ ส่งิ ใดสง่ิ หน่งึ , มีความเกดิ ข้นึ เปน็ ธรรมดา,
สพั พนั ตงั นโิ รธะธัมมันต,ิ ส่ิงทัง้ ปวงน้ัน ย่อมมีความดบั ไปเป็นธรรมดา
ปะวตั ติเต จะ ภะคะวะตา กค็ รนั้ เมือ่ ธรรมจกั ร, อนั พระผมู้ ีพระภาคเจ้า
ธมั มะจักเก, ให้เปน็ ไปแล้ว
ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, เหลา่ ภุมเทวดา, กย็ งั เสยี งใหบ้ นั ลอื ลัน่
เอตมั ภะคะวะตา พาราณะสยิ ัง ว่าน่ันจกั รคือธรรม, ไมม่ ีจกั รอ่นื ยิ่งกว่า,
อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนตุ ตะรงั อันพระผูม้ ีพระภาคเจา้ ให้เป็นไปแล้ว,
ธมั มะจักกัง ปะวัตตติ งั , ทป่ี า่ อสิ ปิ ะตะนะมฤคทายวนั , ใกล้เมอื ง
อปั ปะฏิวตั ติยงั สะมะเณนะ วา พาราณสี, อนั สมณพราหมณ์ เทวดา
พ๎ราหม๎ ะเณนะ วา เทเวนะ วา มาร พรหม และใคร ๆ ในโลก,
มาเรนะ วา พร๎ หั ๎มนุ า วา ยงั ให้เปน็ ไปไมไ่ ด้ ดงั นี้
เกนะจิ วา โลกัส๎มินติ,
68
ภุมมานงั เทวานัง สทั ทัง เทวดาเหลา่ ชั้นจาตมุ หาราช,
สุต๎วา, จาตมุ มะหาราชิกา เทวา ได้ฟงั เสียงของเทวดาเหลา่ ภมุ เทวดาแล้ว,
สทั ทะมะนุสสาเวสุง, กย็ งั เสยี งให้บันลือลน่ั
จาตุมมะหาราชกิ านัง เทวานงั เทวดาเหลา่ ชั้นดาวดงึ ส,์
สทั ทงั สุตว๎ า, ตาวะตงิ สา เทวา ได้ฟังเสียงของเทวดาเหลา่ ช้ันจาตุมหาราช
สทั ทะมะนสุ สาเวสงุ , แล้ว, กย็ ังเสยี งใหบ้ นั ลือล่ัน
ตาวะติงสานัง เทวานงั สทั ทัง เทวดาเหล่าช้ันยามา, ได้ฟังเสียงของเทวดา
สตุ ๎วา, ยามา เทวา เหลา่ ชั้นดาวดงึ สแ์ ล้ว,
สทั ทะมะนุสสาเวสงุ , กย็ ังเสยี งให้บันลือลัน่
ยามานงั เทวานัง สทั ทงั สุต๎วา, เทวดาเหลา่ ชนั้ ดุสิต, ได้ฟงั เสยี งของเทวดา
ตุสติ า เทวา สัททะมะนสุ สาเวสงุ , เหล่าช้นั ยามาแลว้ , ก็ยงั เสียงใหบ้ นั ลือล่ัน
ตุสิตานัง เทวานัง สัททงั สตุ ๎วา, เทวดาเหล่าชนั้ นมิ มานรดี, ไดฟ้ ังเสยี งของ
นิมมานะระตี เทวา เทวดาเหลา่ ชน้ั ดสุ ติ แลว้ ,
สทั ทะมะนุสสาเวสงุ , กย็ งั เสียงใหบ้ ันลอื ล่นั
นิมมานะระตนี ัง เทวานงั สทั ทัง เทวดาเหลา่ ชั้นปรนมิ มิตวสวดั ตี,
สตุ ว๎ า, ปะระนมิ มติ ะวะสะวัตตี ไดฟ้ งั เสียงของเทวดาเหลา่ ชัน้ นิมมานรดแี ล้ว,
เทวา สัททะมะนสุ สาเวสงุ , ก็ยงั เสยี งให้บันลอื ลน่ั
ปะระนมิ มติ ะวะสะวตั ตนี งั เทวานัง เทพเจ้าเหลา่ ใดท่เี กิดในหมู่พรหม,
สทั ทัง สุตว๎ า, พ๎รหั ๎มะกายิกา ได้ฟังเสยี งของเทวดาเหลา่ ชน้ั
เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสุง,* ปรนิมมติ วสวัดตีแลว้ , ก็ยงั เสยี งใหบ้ นั ลือลน่ั
เอตมั ภะคะวะตา พาราณะสิยัง วา่ นนั่ จกั รคือธรรม ไมม่ จี กั รอืน่ ยงิ่ กว่า,
อิสปิ ะตะเน มคิ ะทาเย อะนุตตะรัง อันพระผู้มีพระภาคเจ้าใหเ้ ป็นไปแล้ว,
ธมั มะจกั กัง ปะวัตติตัง, ที่ป่าอิสปิ ะตะนะมฤคทายวัน,
อัปปะฏิวัตตยิ งั สะมะเณนะ วา ใกล้เมืองพาราณส,ี อันสมณพราหมณ์
พ๎ราห๎มะเณนะ วา เทเวนะ วา เทวดา มาร พรหม และใครๆ ในโลก,
มาเรนะ วา พ๎รัห๎มนุ า วา ยังให้เป็นไปไมไ่ ด้ ดงั นี้
เกนะจิ วา โลกสั ม๎ นิ ติ,
อติ ิหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ โดยขณะครเู่ ดียวนั้น,
มหุ ตุ เตนะ, ยาวะ พร๎ หั ๎มะโลกา เสียงขึ้นไปถงึ พรหมโลก,
สัทโท อัพภคุ คัจฉิ, ด้วยประการฉะนี
้
69
อะยัญจะ ทะสะสะหสั สี โลกะธาตุ, ทัง้ หม่ืนโลกธาตนุ
้ี
สงั กมั ปิ สมั ปะกัมปิ สมั ปะเวธิ, ไดห้ วนั่ ไหวสะเทือนสะท้านลัน่ ไป
อปั ปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส ท้ังแสงสวา่ งอนั ย่ิงไม่มีประมาณ,
โลเก ปาตุระโหสิ, ไดป้ รากฏแลว้ ในโลก
อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวงั , ล่วงเทวานภุ าพของเทวดาทง้ั หลายเสียหมด
อะถะโข ภะคะวา ลำดบั น้นั แล พระผู้มพี ระภาคเจ้า,
อุทานัง อุทาเนสิ, ไดท้ รงเปลง่ อุทานวา่
อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ, โกณฑญั ญะไดร้ แู้ ลว้ หนอ,
อญั ญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญต,ิ ผู้เจริญ โกณฑัญญะไดร้ ูแ้ ลว้ หนอ
อิตหิ ิทัง อายัส๎มะโต เพราะเหตุนน้ั , นามว่า อัญญาโกณฑญั ญะ
โกณฑัญญัสสะ, อญั ญาโกณฑัญโญ น้ีนั่นเทียว, ได้มแี ล้วแก่พระผู้มอี ายุ
เตว๎ วะ นามงั , อะโหสตี .ิ โกณฑญั ญะ, ด้วยประการฉะน้แี ล
* ถา้ จะสวดเตม็ ให้แทน ปะระนมิ มิตะวะสะวัตตี เทวานัง สัททัง สุตว๎ า, พ๎รัห๎มกายกิ า เทวา สัททะ
มะนสุ สาเวสงุ ด้วย.
ปะระนมิ มติ ะวะสะวัตตี เทวานัง เทพเจา้ เหล่าชั้นพรหมปาริสชั ชา, ได้ฟังเสียง
สัททัง สุต๎วา, พร๎ ัหม๎ ะปารสิ ัชชา ของเทวดาเหล่าชัน้ ปรนิมมติ วสวดั ตแี ล้ว,
เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, กย็ งั เสยี งใหบ้ ันลอื ล่นั
พร๎ ัหม๎ ะปารสิ ัชชานัง เทวานัง เทพเจ้าเหลา่ ช้ันพรหมปโรหติ า, ได้ฟงั เสียง
สทั ทงั สตุ ว๎ า, พ๎รัห๎มะปะโรหิตา ของเทพเจา้ เหล่าช้ันพรหมปาริสัชชาแล้ว,
เทวา สัททะมะนุสสาเวสงุ , ก็ยงั เสียงใหบ้ นั ลอื ลัน่
พร๎ หั ๎มะปะโรหติ านัง เทวานัง เทพเจา้ เหล่าช้นั มหาพรหม, ได้ฟังเสียง
สทั ทัง สุตว๎ า, มะหาพร๎ หั ม๎ า ของเทพเจ้าเหล่าช้ันพรหมปโรหติ าแล้ว,
เทวา สัททะมะนสุ สาเวสงุ , ก็ยงั เสียงใหบ้ ันลือลนั่
มะหาพ๎รัห๎มานงั เทวานงั เทพเจ้าเหลา่ ชนั้ ปรติ ตาภาพรหม, ได้ฟังเสยี ง
สัททงั สุต๎วา, ปะรติ ตาภา ของเทพเจ้าเหล่าช้นั มหาพรหมแล้ว,
เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสุง, ก็ยังเสียงให้บนั ลอื ลั่น
ปะรติ ตาภานงั เทวานัง เทพเจา้ เหล่าชนั้ อปั มาณาภาพรหม,ไดฟ้ งั เสียง
สทั ทงั สุต๎วา, อัปปะมาณาภา ของเทพเจ้าเหล่าชนั้ ปรติ ตาภาพรหมแลว้ ,
เทวา สทั ทะมะนสุ สาเวสุง กย็ ังเสยี งให้บันลือล่นั
70
อปั ปะมาณาภานงั เทวานงั สทั ทงั สตุ ว๎ า, เทพเจา้ เหล่าช้ันอาภัสสราพรหม,ไดฟ้ งั เสยี ง
อาภสั สะรา เทวา สัททะมะนสุ สาเวสุง, ของเทพเจา้ เหลา่ ชน้ั อปั มาณาภาพรหมแลว้ ,
กย็ งั เสยี งใหบ้ นั ลอื ลัน่
อาภสั สะรานัง เทวานงั สทั ทงั สุต๎วา, เทพเจ้าเหลา่ ชนั้ ปริตตสภุ าพรหม,ไดฟ้ งั เสยี ง
ปะริตตะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสงุ , ของเทพเจา้ เหลา่ ชน้ั อาภัสสราพรหมแลว้ ,
ก็ยงั เสยี งให้บันลือลั่น
ปะรติ ตะสภุ านัง เทวานงั สัททงั สุตว๎ า, เทพเจา้ เหลา่ ชน้ั อปั ปมาณสภุ าพรหม, ไดฟ้ งั เสยี ง
อปั ปะมาณะสภุ า เทวา สทั ทะมะนสุ สาเวสงุ , ของเทพเจ้าเหล่าชั้นปริตตสุภาพรหมแลว้ ,
กย็ ังเสียงใหบ้ นั ลือลั่น
อปั ปะมาณะสภุ านงั เทวานงั สทั ทงั สตุ ว๎ า, เทพเจา้ เหลา่ ชน้ั สภุ กณิ หกาพรหม, ไดฟ้ งั เสยี ง
สภุ ะกณิ หะกา เทวา สทั ทะมะนสุ สาเวสงุ , ของเทพเจา้ เหลา่ ชนั้ อปั ปมาณสภุ าพรหมแลว้ ,
กย็ ังเสยี งให้บนั ลือลนั่
สุภะกณิ หะกานงั เทวานัง สัททงั สุต๎วา, เทพเจ้าเหลา่ ชั้นเวหัปผลาพรหม, ได้ฟงั เสียง
เวหัปผะลา เทวา สทั ทะมะนสุ สาเวสุง, ของเทพเจา้ เหล่าช้ันสภุ กิณหกาพรหมแล้ว,
กย็ งั เสยี งให้บนั ลอื ล่นั
เวหปั ผะลานงั เทวานงั สัททัง สตุ ว๎ า, เทพเจา้ เหลา่ ชนั้ อวหิ าพรหม, ได้ฟงั เสยี ง
อะวหิ า เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสุง, ของเทพเจา้ เหลา่ ชั้นเวหัปผลาพรหมแลว้ ,
กย็ ังเสียงใหบ้ ันลือลน่ั
อะวหิ านงั เทวานงั สทั ทงั สุตว๎ า, เทพเจ้าเหลา่ ชนั้ อตัปปาพรหม, ไดฟ้ งั เสยี ง
อะตปั ปา เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสุง, ของเทพเจา้ เหล่าชั้นอวิหาพรหมแลว้ ,
ก็ยงั เสียงใหบ้ ันลือล่นั
อะตัปปานงั เทวานงั สทั ทัง สตุ ๎วา, เทพเจ้าเหล่าชั้นสทุ ัสสาพรหม, ได้ฟงั เสยี ง
สุทัสสา เทวา สทั ทะมะนสุ สาเวสุง, ของเทพเจ้าเหลา่ ชนั้ อตัปปาพรหมแล้ว,
กย็ งั เสยี งให้บันลอื ลั่น
สทุ ัสสานงั เทวานัง สทั ทงั สุต๎วา, เทพเจา้ เหล่าชน้ั สทุ ัสสพี รหม, ได้ฟงั เสียง
สทุ สั สี เทวา สัททะมะนสุ สาเวสุง, ของเทพเจา้ เหลา่ ช้นั สุทสั สาพรหมแลว้ ,
ก็ยังเสยี งใหบ้ นั ลอื ลนั่
สทุ สั สนี งั เทวานงั สัททัง สุต๎วา, เทพเจา้ เหลา่ ชน้ั อกนฎิ ฐกาพรหม, ไดฟ้ งั เสยี ง
อะกะนฏิ ฐะกา เทวา สทั ทะมะนสุ สาเวสงุ , ของเทพเจ้าเหลา่ ชั้นสทุ ัสสพี รหมแล้ว,
ก็ยงั เสียงให้บันลอื ลัน่
หมายเหตุ ในพระไตรปิฎกใช้คำว่า พ๎รัห๎มะกายิกา ไม่ได้แจงชื่อพรหมแต่ละช้ัน ส่วนชื่อพรหมท้ัง ๑๕ ชั้นนี้
อรรถกถาจารย์ได้แต่งขยายความขึ้นภายหลัง ทั้งน้ีไม่ได้รวมรูปพรหมชื่อ อสัญญี (พรหมลูกฟัก) เนื่องจากเป็น
พรหมมขี ันธ์เดียว คอื รูปขนั ธ์ไม่สามารถยงั เสยี งให้บันลือลัน่ ได
้
71
อะนตั ตะลกั ขะณะสตุ ตัง
ประวตั
ิ
พระพุทธเจ้าทรงจำพรรษา ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันทรงสั่งสอนบรรพชิต
ท้งั ๔ รูปท่เี หลืออยูน่ ั้น ดว้ ยพระธรรมเทศนาตา่ งๆ ต่อมาทา่ นวปั ปะกบั ท่านภทั ทิยะ
ไดธ้ รรมจกั ษดุ วงตาเหน็ ธรรม ทูลขออปุ สมบท พระบรมศาสดาทรงประทานเอหภิ กิ ขุ
อุปสัมปทาให้ และต่อมาท่านมหานามะกับท่านอัสสชิได้ธรรมจักษุ ทูลขออุปสมบท
และพระผ้มู ีพระภาคเจ้าทรงประทาน เอหภิ ิกขุอุปสัมปทาให้เช่นกัน
ครัน้ พระภิกษุปญั จวคั คียต์ ัง้ อยใู่ นที่พระสาวกและมีอนิ ทรีย์ มีศรทั ธา แก่กลา้
สมควรสดับธรรมจำเริญวิปัสสนาเพื่อวิมุตติสุขเบื้องสูงแล้ว คร้ันถึงวันแรม ๕ ค่ำ
เดือน ๙ พระบรมศาสดา จึงได้แสดงพระธรรมส่ังสอนพระภิกษุปัญจวัคคีย์ด้วย
“อนัตตลักขณสตู ร” คอื พระสตู รทแ่ี สดง ลักษณะแห่งเบญจขนั ธ์ คอื รูป เวทนา
สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ลว้ นไมเ่ ทยี่ ง เปน็ ทกุ ข์ เปน็ อนตั ตาไมค่ วรยดึ มนั่ วา่ เปน็ ตวั ตน
ของเรา ใหล้ ะวาง เมอื่ พระบรมศาสดาตรสั พระธรรมเทศนา แสดงอนตั ตลกั ขณสตู รอยู่
จติ ของพระภกิ ษปุ ญั จวคั คยี ผ์ พู้ จิ ารณาภมู ธิ รรมตามกระแสเทศนานน้ั พน้ แลว้ จากอาสวะ
ไม่ถอื มน่ั ดว้ ยอปุ าทาน สำเร็จเปน็ พระอรหันตท์ ้งั หมด
คร้งั นั้น มพี ระอรหันตเ์ กดิ ขึ้นแล้วในโลก ๖ องค์ คือ องค์สมเดจ็ พระสัมมา-
สัมพทุ ธเจ้า ๑ กบั พระอรยิ สาวก ๕ คือ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ๑ พระวัปปะ ๑
พระภทั ทยิ ะ ๑ พระมหานามะ ๑ พระอัสสชิ ๑ รวมเป็น ๖ ด้วยประการฉะน
ี้
เอวัมเม สุตงั , อนั ขา้ พเจ้า (คอื พระอานนท)์
ไดส้ ดับมาแล้วอย่างนี้วา่
เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สมยั หน่งึ พระผู้มพี ระภาคเจ้า
พาราณะสิยงั วหิ ะระต,ิ ประทบั อยู่ ณ ป่าอิสปิ ะตะนะมฤคทายวนั ,
อิสิปะตะเน มิคะทาเย, ใกลเ้ มอื งพาราณส
ี
ตัต๎ระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ในกาลน้ันแล พระผู้มพี ระภาคเจ้า,
ภกิ ขู อามนั เตส,ิ ตรสั เตือนภกิ ษปุ ญั จวคั คยี ์,
ให้ตงั้ ใจฟงั ภาษติ น้ีว่า
รูปัง ภิกขะเว อะนตั ตา, ดูกอ่ นภิกษุทั้งหลาย,
รปู คือรา่ งกายนี้ ไมใ่ ชต่ วั ตน
รปู ญั จะ หทิ ัง ภิกขะเว ดูก่อนภกิ ษุทง้ั หลาย,
อตั ตา อะภะวสิ สะ, ก็หากว่ารปู นี้เป็นตวั ตนแลว้ ไซร้
72
นะยทิ ัง รปู งั อาพาธายะ รูปนกี้ ค็ งไม่เปน็ ไปเพอื่ อาพาธ (ความลำบาก)
สังวตั เตยยะ,
ลพั เภถะ จะ รเู ป, ทัง้ ยงั จะได้ตามความปรารถนาในรูปว่า
เอวงั เม รูปงั โหตุ ขอรูปของเราจงเปน็ อยา่ งน้เี ถิด,
เอวงั เม รปู งั มา อะโหสตี ิ, อยา่ ไดเ้ ปน็ อย่างน้นั เลย
ยัสม๎ า จะ โข ภกิ ขะเว ดูก่อนภกิ ษุทงั้ หลาย,
รูปงั อะนัตตา, ก็เพราะเหตทุ ร่ี ูปไมใ่ ช่ตัวตน
ตัส๎มา รปู งั อาพาธายะ สงั วตั ตะติ, รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ (ความลำบาก)
นะ จะ ลพั ภะติ รเู ป, และไม่ได้ตามความปรารถนาในรูปว่า
เอวัง เม รูปงั โหตุ ขอรปู ของเราจงเป็นอยา่ งน้เี ถดิ ,
เอวัง เม รปู ัง มา อะโหสีต,ิ อย่าไดเ้ ป็นอยา่ งนัน้ เลย
เวทะนา อะนัตตา, เวทนา คอื ความเสวยอารมณ์ ไมใ่ ชต่ วั ตน
เวทะนา จะ หิทัง ภกิ ขะเว ดกู ่อนภิกษทุ งั้ หลาย,
อตั ตา อะภะวสิ สะ, ก็หากวา่ เวทนานี้เป็นตวั ตนแลว้ ไซร้
นะยทิ งั เวทะนา อาพาธายะ สงั วตั เตยยะ, เวทนานีก้ ค็ งไม่เปน็ ไปเพอ่ื อาพาธ
ลพั เภถะ จะ เวทะนายะ, ท้งั ยงั จะได้ตามความปรารถนาในเวทนาวา่
เอวัง เม เวทะนา โหตุ ขอเวทนาของเราจงเป็นอย่างนเี้ ถดิ ,
เอวงั เม เวทะนา มา อะโหสีต,ิ อยา่ ไดเ้ ป็นอย่างนั้นเลย
ยสั ๎มา จะ โข ภิกขะเว ดกู ่อนภิกษุทั้งหลาย,
เวทะนา อะนตั ตา, กเ็ พราะเหตทุ เ่ี วทนาไม่ใช่ตัวตน
ตสั ม๎ า เวทะนา อาพาธายะ สังวัตตะต,ิ เวทนาจึงเป็นไปเพ่ืออาพาธ
นะ จะ ลพั ภะติ เวทะนายะ, และไม่ได้ตามความปรารถนาในเวทนาว่า
เอวงั เม เวทะนา โหตุ ขอเวทนาของเราจงเปน็ อยา่ งน้ีเถิด,
เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสีต,ิ อยา่ ไดเ้ ปน็ อยา่ งนน้ั เลย
สัญญา อะนัตตา, สญั ญา คอื ความจำ ไมใ่ ช่ตวั ตน
สญั ญา จะ หทิ ัง ภิกขะเว ดูก่อนภกิ ษทุ ั้งหลาย,
อัตตา อะภะวสิ สะ, ก็หากว่าสญั ญาน้เี ปน็ ตัวตนแลว้ ไซร้
นะยทิ งั สัญญา อาพาธายะ สงั วตั เตยยะ, สญั ญานี้ก็คงไมเ่ ป็นไปเพอ่ื อาพาธ
ลพั เภถะ จะ สญั ญายะ, ท้ังยงั จะไดต้ ามความปรารถนาในสญั ญาวา่
เอวัง เม สัญญา โหตุ ขอสัญญาของเราจงเปน็ อยา่ งนีเ้ ถิด,
เอวัง เม สญั ญา มา อะโหสีต,ิ อย่าได้เปน็ อย่างนัน้ เลย
73
ยสั ม๎ า จะ โข ภิกขะเว ดกู ่อนภกิ ษุทัง้ หลาย,
สัญญา อะนตั ตา, กเ็ พราะเหตุที่สัญญาไมใ่ ชต่ ัวตน
ตสั ๎มา สัญญา อาพาธายะ สงั วตั ตะต,ิ สญั ญาจงึ เป็นไปเพือ่ อาพาธ
นะ จะ ลพั ภะติ สญั ญายะ, และไม่ได้ตามความปรารถนาในสัญญาวา่
เอวัง เม สญั ญา โหต ุ ขอสญั ญาของเราจงเป็นอยา่ งนเี้ ถิด,
เอวัง เม สญั ญา มา อะโหสตี ,ิ อยา่ ได้เป็นอย่างนนั้ เลย
สงั ขารา อะนัตตา, สังขาร คือความคิดนกึ ปรุงแต่ง ไม่ใช่ตวั ตน
สังขารา จะ หิทงั ภิกขะเว ดกู ่อนภกิ ษุทง้ั หลาย,
อัตตา อะภะวสิ สงั ส,ุ ก็หากว่าสงั ขารน้ีเปน็ ตัวตนแล้วไซร้
นะยทิ งั สงั ขารา อาพาธายะ สงั วตั เตยยงุ , สงั ขารนก้ี ็คงไม่เปน็ ไปเพ่อื อาพาธ
ลัพเภถะ จะ สงั ขาเรสุ, ทง้ั ยงั จะได้ตามความปรารถนาในสังขารวา่
เอวงั เม สงั ขารา โหนตุ ขอสงั ขารของเราจงเป็นอยา่ งนี้เถิด,
เอวัง เม สังขารา มา อะเหสุนต,ิ อย่าไดเ้ ป็นอย่างน้ันเลย
ยสั ม๎ า จะ โข ภกิ ขะเว ดกู อ่ นภิกษุทั้งหลาย,
สังขารา อะนัตตา, กเ็ พราะเหตทุ ่ีสงั ขารไมใ่ ช่ตวั ตน
ตัส๎มา สังขารา อาพาธายะ สังวัตตนั ติ, สังขารจงึ เปน็ ไปเพ่ืออาพาธ
นะ จะ ลพั ภะติ สงั ขาเรส,ุ และไม่ไดต้ ามความปรารถนาในสงั ขารวา่
เอวงั เม สงั ขารา โหนตุ ขอสงั ขารของเราจงเปน็ อยา่ งน้ีเถดิ ,
เอวงั เม สงั ขารา มา อะเหสุนต,ิ อย่าได้เป็นอยา่ งนน้ั เลย
วญิ ญาณัง อะนัตตา, วญิ ญาณ คือความรแู้ จง้ อารมณ์ ไมใ่ ชต่ วั ตน
วญิ ญาณญั จะ หิทัง ภกิ ขะเว ดกู อ่ นภิกษทุ ้ังหลาย,
อัตตา อะภะวสิ สะ, ก็หากว่าวิญญาณน้ีเป็นตวั ตนแล้วไซร
้
นะยทิ งั วญิ ญาณงั อาพาธายะ สงั วตั เตยยะ, วิญญาณน้กี ค็ งไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ
ลัพเภถะ จะ วญิ ญาเณ, ท้งั ยังจะไดต้ ามความปรารถนาในวญิ ญาณว่า
เอวัง เม วิญญาณงั โหตุ ขอวิญญาณของเราจงเปน็ อย่างนเ้ี ถิด,
เอวงั เม วญิ ญาณงั มา อะโหสีติ, อย่าได้เปน็ อย่างนั้นเลย
ยสั ๎มา จะ โข ภกิ ขะเว ดกู อ่ นภกิ ษทุ ้งั หลาย,
วิญญาณงั อะนตั ตา, กเ็ พราะเหตุท่วี ิญญาณไม่ใชต่ ัวตน
ตสั ม๎ า วญิ ญาณงั อาพาธายะ สงั วตั ตะต,ิ วญิ ญาณจงึ เป็นไปเพ่อื อาพาธ
นะ จะ ลัพภะติ วิญญาเณ, และไม่ได้ตามความปรารถนาในวิญญาณวา่
74
เอวัง เม วิญญาณงั โหตุ ขอวิญญาณของเราจงเป็นอยา่ งนีเ้ ถิด,
เอวัง เม วิญญาณัง มา อะโหสตี ,ิ อย่าไดเ้ ป็นอยา่ งน้ันเลย
ตงั กิง มญั ญะถะ ภิกขะเว ภกิ ษทุ งั้ หลาย, เธอจะสำคญั ความขอ้ นเี้ ปน็ ไฉน
รูปงั นิจจัง วา อะนิจจงั วาต,ิ รูป เท่ยี งหรือไม่เทย่ี ง ?
อะนิจจงั ภันเต, ภกิ ษุเหล่านัน้ กราบทูลว่า, ไมเ่ ที่ยง พระเจา้ ขา้
ยัมปะนานจิ จัง ทกุ ขงั วา ตัง ก็สิง่ ใดไมเ่ ท่ยี ง,
สุขงั วาต,ิ สง่ิ นั้นเปน็ ทกุ ข์หรือเป็นสุขเล่า ?
ทุกขัง ภันเต, เป็นทกุ ข์ พระเจ้าข้า
ยมั ปะนานจิ จัง ทุกขัง ก็สิ่งใดไมเ่ ท่ียง เป็นทุกข์,
วิปะรณิ ามะธมั มัง, มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
กลั ลงั นุ ตงั สะมะนปุ สั สติ ุง, ควรแลว้ หรือ ที่เราจะตามเห็นส่ิงนัน้
เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎ม ิ วา่ นั่นของเรา นัน่ เป็นเรา,
เอโส เม อัตตาติ, นน่ั เปน็ ตัวตนของเรา ?
โน เหตงั ภันเต, ไมค่ วรเห็นอยา่ งน้นั พระเจา้ ข้า
ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว ภกิ ษทุ ง้ั หลาย, เธอจะสำคญั ความขอ้ นเี้ ปน็ ไฉน
เวทะนา นิจจา วา อะนจิ จา วาติ, เวทนา เที่ยงหรอื ไมเ่ ที่ยง ?
อะนจิ จา ภนั เต, ไม่เทย่ี ง พระเจา้ ข้า
ยัมปะนานิจจงั ทกุ ขงั วา ตงั ก็สง่ิ ใดไมเ่ ที่ยง,
สขุ งั วาต,ิ สง่ิ น้ันเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเลา่ ?
ทุกขงั ภนั เต, เป็นทกุ ข์ พระเจ้าขา้
ยัมปะนานจิ จงั ทุกขัง กส็ ง่ิ ใดไมเ่ ที่ยง เป็นทุกข,์
วิปะรณิ ามะธัมมัง, มคี วามแปรปรวนเป็นธรรมดา
กัลลัง นุ ตัง สะมะนปุ สั สิตุง, ควรแล้วหรือ ทีเ่ ราจะตามเห็นส่งิ นั้น
เอตัง มะมะ เอโสหะมสั ๎มิ ว่านน่ั ของเรา นัน่ เปน็ เรา,
เอโส เม อัตตาติ, นนั่ เปน็ ตัวตนของเรา ?
โน เหตงั ภนั เต, ไม่ควรเห็นอยา่ งนัน้ พระเจา้ ข้า
ตัง กิง มัญญะถะ ภกิ ขะเว ภกิ ษทุ ง้ั หลาย, เธอจะสำคญั ความขอ้ นเี้ ปน็ ไฉน
สัญญา นิจจา วา อะนิจจา วาติ, สัญญา เท่ยี งหรอื ไม่เท่ยี ง ?
อะนจิ จา ภันเต, ไมเ่ ที่ยง พระเจา้ ข้า
ยัมปะนานจิ จงั ทุกขงั วา ตัง กส็ ิง่ ใดไมเ่ ที่ยง,
สขุ ัง วาต,ิ ส่งิ นัน้ เปน็ ทุกขห์ รือเปน็ สุขเลา่ ?
75
ทกุ ขงั ภนั เต, เปน็ ทุกข์ พระเจา้ ข้า
ยัมปะนานิจจัง ทกุ ขงั ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เปน็ ทกุ ข์,
วิปะริณามะธมั มงั , มคี วามแปรปรวนเปน็ ธรรมดา
กัลลัง นุ ตงั สะมะนปุ สั สติ ุง, ควรแลว้ หรือ ทเ่ี ราจะตามเหน็ สิง่ น้ัน
เอตงั มะมะ เอโสหะมัส๎ม ิ ว่านน่ั ของเรา นั่นเปน็ เรา,
เอโส เม อัตตาติ, นน่ั เป็นตัวตนของเรา ?
โน เหตัง ภนั เต, ไม่ควรเหน็ อย่างนน้ั พระเจ้าข้า
ตงั กิง มญั ญะถะ ภิกขะเว ภกิ ษทุ งั้ หลาย, เธอจะสำคญั ความขอ้ นเ้ี ปน็ ไฉน
สังขารา นจิ จา วา อะนิจจา วาติ, สังขาร เท่ยี งหรอื ไมเ่ ท่ยี ง?
อะนิจจา ภันเต, ไม่เทย่ี ง พระเจา้ ข้า
ยัมปะนานจิ จัง ทกุ ขงั วา ตงั ก็สิ่งใดไมเ่ ทยี่ ง,
สขุ งั วาติ, สิ่งนนั้ เป็นทุกขห์ รอื เป็นสขุ เลา่ ?
ทุกขงั ภันเต, เปน็ ทกุ ข์ พระเจา้ ขา้
ยัมปะนานิจจัง ทกุ ขงั กส็ ิง่ ใดไมเ่ ทย่ี ง เปน็ ทกุ ข,์
วิปะริณามะธมั มัง, มีความแปรปรวนเปน็ ธรรมดา
กัลลงั นุ ตงั สะมะนุปัสสิตงุ , ควรแลว้ หรือ ทเ่ี ราจะตามเห็นสิ่งนั้น
เอตงั มะมะ เอโสหะมัส๎ม ิ ว่านน่ั ของเรา นนั่ เป็นเรา,
เอโส เม อัตตาติ, น่นั เป็นตวั ตนของเรา ?
โน เหตงั ภนั เต, ไม่ควรเห็นอยา่ งนน้ั พระเจา้ ข้า
ตงั กงิ มญั ญะถะ ภิกขะเว ภกิ ษทุ งั้ หลาย, เธอจะสำคญั ความขอ้ นเี้ ปน็ ไฉน
วญิ ญาณัง นิจจงั วา อะนจิ จงั วาติ, วิญญาณ เทีย่ งหรอื ไมเ่ ทยี่ ง?
อะนจิ จัง ภนั เต, ไมเ่ ทย่ี ง พระเจ้าข้า
ยัมปะนานจิ จงั ทกุ ขัง วา ตัง ก็สิ่งใดไมเ่ ท่ยี ง,
สุขัง วาต,ิ ส่ิงน้ันเป็นทุกข์หรอื เป็นสขุ เล่า ?
ทุกขัง ภนั เต, เป็นทกุ ข์ พระเจา้ ขา้
ยมั ปะนานิจจัง ทุกขัง ก็สง่ิ ใดไม่เที่ยง เปน็ ทุกข,์
วปิ ะริณามะธัมมัง, มคี วามแปรปรวนเปน็ ธรรมดา
กัลลงั นุ ตัง สะมะนปุ สั สติ ุง, ควรแลว้ หรือ ทเ่ี ราจะตามเหน็ สงิ่ นน้ั
เอตัง มะมะ เอโสหะมสั ม๎ ิ วา่ นนั่ ของเรา นั่นเปน็ เรา,
เอโส เม อัตตาต,ิ น่นั เป็นตัวตนของเรา ?
โน เหตงั ภันเต, ไม่ควรเหน็ อยา่ งน้ัน พระเจ้าข้า
76
ตัสม๎ าติหะ ภิกขะเว, ดกู ่อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย, ก็เพราะเหตุนน้ั แล
ยงั กญิ จิ รูปัง รูปอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง,
อะตตี านาคะตะปจั จุปปันนงั , ทั้งท่ีเปน็ อดตี อนาคต และปัจจบุ นั
อชั ฌัตตงั วา พะหิทธา วา, ภายในกต็ าม ภายนอกกต็ าม
โอฬาริกงั วา สุขุมัง วา, หยาบกต็ าม ละเอียดก็ตาม
หนี ัง วา ปะณตี ัง วา, เลวก็ตาม ประณตี กต็ าม
ยนั ทเู ร สนั ติเก วา, อยูไ่ กลกต็ าม อยใู่ กลก้ ต็ าม
สพั พงั รูปงั , รูปท้ังหมดนน้ั
เนตัง มะมะ เนโสหะมัสม๎ ิ เธอท้งั หลาย, พงึ เหน็ ดว้ ยปัญญาอนั ชอบ,
นะ เมโส อตั ตาต,ิ ตามความเป็นจรงิ อย่างนวี้ า่ ,
เอวะเมตัง ยะถาภูตัง นัน่ ไมใ่ ชข่ องเรา นนั่ ไม่เปน็ เรา,
สัมมปั ปญั ญายะ ทัฏฐพั พัง, น่นั ไม่ใชต่ วั ตนของเรา
ยา กาจิ เวทะนา เวทนาอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่
อะตตี านาคะตะปัจจุปปนั นา, ทัง้ ทเี่ ปน็ อดตี อนาคต และปัจจบุ ัน
อชั ฌัตตา วา พะหทิ ธา วา, ภายในกต็ าม ภายนอกก็ตาม
โอฬาริกา วา สุขุมา วา, หยาบก็ตาม ละเอยี ดกต็ าม
หีนา วา ปะณตี า วา, เลวกต็ าม ประณีตก็ตาม
ยา ทเู ร สันติเก วา, อยไู่ กลกต็ าม อยใู่ กลก้ ต็ าม
สัพพา เวทะนา, เวทนาท้ังหมดนั้น
เนตงั มะมะ เนโสหะมัส๎มิ เธอทง้ั หลาย, พึงเหน็ ดว้ ยปญั ญาอันชอบ,
นะ เมโส อตั ตาติ, ตามความเปน็ จริงอย่างนวี้ ่า,
เอวะเมตงั ยะถาภตู ัง นัน่ ไมใ่ ชข่ องเรา นนั่ ไมเ่ ปน็ เรา,
สมั มปั ปญั ญายะ ทฏั ฐัพพัง, น่นั ไมใ่ ช่ตัวตนของเรา
ยา กาจิ สญั ญา สัญญาอยา่ งใดอย่างหนึ่ง
อะตีตานาคะตะปจั จปุ ปนั นา, ทงั้ ทเี่ ป็นอดตี อนาคต และปัจจุบนั
อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา, ภายในกต็ าม ภายนอกก็ตาม
โอฬาริกา วา สขุ ุมา วา, หยาบก็ตาม ละเอยี ดก็ตาม
หีนา วา ปะณีตา วา เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม
ยา ทเู ร สนั ติเก วา, อยไู่ กลกต็ าม อยใู่ กลก้ ต็ าม
สพั พา สญั ญา, สญั ญาทง้ั หมดนั้น
77
เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ เธอท้งั หลาย, พงึ เหน็ ด้วยปญั ญาอนั ชอบ,
นะ เมโส อตั ตาต,ิ ตามความเปน็ จริงอย่างนว้ี ่า,
เอวะเมตงั ยะถาภูตัง น่นั ไม่ใชข่ องเรา นน่ั ไมเ่ ปน็ เรา,
สมั มปั ปัญญายะ ทฏั ฐพั พงั , นน่ั ไม่ใช่ตวั ตนของเรา
เย เกจิ สงั ขารา สังขารเหล่าใดเหลา่ หน่งึ
อะตตี านาคะตะปจั จุปปันนา, ทง้ั ทเ่ี ปน็ อดีต อนาคต และปจั จุบัน
อชั ฌัตตา วา พะหิทธา วา, ภายในกต็ าม ภายนอกก็ตาม
โอฬาริกา วา สุขมุ า วา, หยาบก็ตาม ละเอียดกต็ าม
หนี า วา ปะณตี า วา, เลวกต็ าม ประณีตกต็ าม
เย ทเู ร สนั ติเก วา, อยู่ไกลก็ตาม อยู่ใกลก้ ต็ าม
สพั เพ สังขารา, สงั ขารทัง้ หมดน้ัน
เนตงั มะมะ เนโสหะมัส๎มิ เธอทัง้ หลาย, พงึ เห็นด้วยปัญญาอันชอบ,
นะ เมโส อัตตาติ, ตามความเปน็ จริงอย่างนว้ี ่า,
เอวะเมตัง ยะถาภตู งั นัน่ ไม่ใช่ของเรา นนั่ ไม่เป็นเรา,
สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐพั พงั , นน่ั ไมใ่ ชต่ วั ตนของเรา
ยังกญิ จิ วญิ ญาณัง วญิ ญาณอยา่ งใดอย่างหนงึ่
อะตตี านาคะตะปัจจุปปันนัง, ทง้ั ท่เี ป็นอดตี อนาคต และปจั จุบัน
อชั ฌัตตัง วา พะหิทธา วา, ภายในกต็ าม ภายนอกก็ตาม
โอฬาริกัง วา สขุ มุ ัง วา, หยาบก็ตาม ละเอยี ดกต็ าม
หีนัง วา ปะณตี งั วา, เลวก็ตาม ประณีตกต็ าม
ยนั ทเู ร สันตเิ ก วา, อยไู่ กลกต็ าม อยใู่ กลก้ ็ตาม
สพั พัง วญิ ญาณัง, วิญญาณท้ังหมดนั้น
เนตงั มะมะ เนโสหะมัส๎มิ เธอทง้ั หลาย, พึงเหน็ ด้วยปัญญาอันชอบ,
นะ เมโส อัตตาติ, ตามความเป็นจริงอย่างนี้วา่ ,
เอวะเมตัง ยะถาภตู ัง นนั่ ไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เปน็ เรา,
สัมมัปปัญญายะ ทฏั ฐัพพงั , นั่นไม่ใชต่ วั ตนของเรา
เอวงั ปัสสงั ภกิ ขะเว ดกู ่อนภิกษทุ งั้ หลาย,
สุต๎วา อะรยิ ะสาวะโก, อริยสาวกผู้ได้สดบั แล้วอย่างน้
ี
รปู ัสม๎ ิงปิ นพิ พินทะต,ิ ยอ่ มเบอื่ หน่ายในรปู
เวทะนายะปิ นิพพนิ ทะติ, ย่อมเบอ่ื หน่ายในเวทนา
สัญญายะปิ นิพพินทะต,ิ ยอ่ มเบื่อหน่ายในสญั ญา
78
สังขาเรสุปิ นิพพินทะติ, ยอ่ มเบือ่ หนา่ ยในสงั ขาร
วิญญาณสั ม๎ งิ ปิ นิพพนิ ทะติ, ยอ่ มเบื่อหน่ายในวญิ ญาณ
นิพพินทัง วิรัชชะต,ิ เม่อื เบื่อหนา่ ย ยอ่ มคลายกำหนัด
วริ าคา วิมุจจะต,ิ เมื่อคลายกำหนัด จติ ย่อมหลุดพ้น
วิมุตตัสม๎ งิ วิมตุ ตะมติ ิ ญาณัง โหติ, เมอ่ื จติ หลุดพ้นแล้ว,
ย่อมมีญาณหยง่ั รวู้ ่า จิตหลุดพน้ แล้ว
ขณี า ชาติ, วุสิตงั พ๎รหั ม๎ ะจะริยงั , รชู้ ัดวา่ ชาติส้ินแล้ว, พรหมจรรยอ์ ยู่จบแลว้ ,
กะตงั กะระณียัง, นาปะรงั กจิ ทีค่ วรทำ ไดก้ ระทำสำเรจ็ แลว้ ,
อติ ถตั ตายาติ ปะชานาตีติ, กิจอ่ืนเพอ่ื ความเป็นอยา่ งนี้ มไิ ดม้ ีอีกแลว้
อทิ ะมะโวจะ ภะคะวา, พระผู้มพี ระภาคเจา้ ,
ได้ตรสั อะนัตตะลกั ขะณะสูตรนจ้ี บลง
อัตตะมะนา ปัญจะวคั คยิ า ภิกข ู ภกิ ษปุ ญั จวคั คียต์ า่ งกม็ ใี จยินด,ี
ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินนั ทุง, ช่ืนชมในพระภาษติ ของพระผู้มพี ระภาคเจ้า
อมิ ัสม๎ ญิ จะ ปะนะ ขณะท่ีพระผมู้ ีพระภาคเจ้า,
เวยยากะระณัส๎มงิ ภญั ญะมาเน, ตรสั เทศนาพระภาษติ น้อี ยู่
ปัญจะวคั คิยานัง ภกิ ขนู ัง ภิกษุปัญจวคั คยี ์กม็ ีจติ หลดุ พ้นแลว้ ,
อะนปุ าทายะ, จากอาสวะท้งั หลาย, เพราะไมย่ ดึ ม่ันถอื มั่น
อาสะเวหิ จิตตานิ วมิ ุจจิงสูติ. ดว้ ยอุปาทาน, ดังนี้แล
ภกิ ษุเหน็ แกก่ ารกินดี
ภิกษทุ งั้ หลาย! ในภายภาคหนา้ จะมภี ิกษผุ ู้ต้องการความเอรด็ อร่อยในอาหาร
เมื่อเปน็ เชน่ นัน้ อยู่ จักเลกิ รา้ งจากการเทยี่ วบิณฑบาต
จักเหนิ หา่ งทน่ี งั่ อันเป็นปา่ และปา่ ชัฏอนั เงยี บสงดั
จักมวั่ สุม ชมุ นมุ กันอยู่ ในยา่ นหม่บู า้ น นิคม และเมอื งหลวง
และจกั แสวงหาสิ่งอนั ไม่สมควร หลายแบบหลายวธิ ี
เพราะความตอ้ งการความเอร็ดอรอ่ ยในอาหารน้นั เปน็ เหตุ
ภกิ ษุท้ังหลาย! นี้ เป็นภยั ในอนาคต ทย่ี ังไม่เกิดขึ้นในบดั นี้ แต่จกั เกดิ ข้ึนในเวลาตอ่ ไป
พวกเธอท้ังหลายพึงสำนกึ ไว้ ครัน้ ได้สำนึกแลว้ ก็พงึ พยายามกำจัดภัยนนั้ เสยี .
ปญฺจก. องฺ. ๒๒ /๑๒๔ /๘o
79
อาทิตตะปะรยิ ายะสุตตัง
ประวัต
ิ
หลังจากท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์แล้ว ต่อมา
พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรดยสกุลบุตรและสหายอีก ๕๕ คน และทรงส่ง
พระอรหันตสาวกท้ัง ๖๐ องค์น้ันให้จาริกไปทิศต่างๆ เพ่ือเผยแผ่พระสัทธรรม
ส่วนพระบรมศาสดาไดเ้ สด็จไปยัง อรุ ุเวลาประเทศ ทรงแสดงปาฏหิ าริย์ทำลายทิฏฐิของ
ชฎลิ บูชาไฟ ๓ พี่น้อง คือ อุรเุ วละกสั สปะ นทีกสั สปะ และคยากสั สปะ ทมี่ บี รวิ าร
๑,๐๐๐ จนชฎลิ พากันออกบวชท้งั สน้ิ
ต่อมาพระผู้มีพระภาค เสด็จจาริกไปสู่ตำบลคยาสีสะ ทรงพิจารณาว่าธรรมใด
หนอจะเป็นท่พี อใจ ธรรมใดหนอจะเปน็ ท่สี ัปปายะ (พอเหมาะพอสม เป็นท่ีสบาย) แก่
ภิกษเุ หล่าน้ี ทรงตกลงพระทยั วา่ ภิกษุเหลา่ นเ้ี คยบูชาไฟมาก่อน พระองคจ์ ึงทรงแสดง
อาทติ ตปริยายสูตร เปรยี บเทยี บส่งิ ทั้งปวงวา่ เป็นของร้อน
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมมีนัยวา่
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่ิงท้ังปวงเป็นของร้อน ก็อะไรเล่าช่ือว่า ส่ิงท้ังปวงเป็น
ของรอ้ น?
อายตนะภายใน คือตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ เปน็ ของร้อน อายตนะภายนอก
คือรูป รส กล่ิน เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เปน็ ของรอ้ น เวทนาคือ ความเสวย
อารมณ์เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือไมส่ ุขไมท่ ุกข์ ก็เปน็ ของรอ้ น
รอ้ นเพราะไฟคอื ราคะ โทสะ และโมหะ
รอ้ นเพราะความเกิด ความแก่ ความเจบ็ และความตาย
ร้อนเพราะไฟ คือความโศก ความรำ่ ไรรำพัน ความทกุ ขก์ าย ทกุ ขใ์ จ และความ
คบั แคน้ ใจ เมอื่ เหน็ จรงิ วา่ นเี่ ปน็ ของรอ้ น จติ จงึ จะเบอ่ื หนา่ ย คลายกำหนดั และหลดุ พน้
เมอื่ นนั้ ชาตกิ ็สิ้น กิจทีค่ วรทำอีกไมม่ ”ี
เม่ือพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระภาษิตนี้อยู่ จิตของภิกษุ ๑,๐๐๐ รูปนั้น
พน้ แล้ว จากอาสวะทั้งหลาย
เอวมั เม สุตัง, อนั ข้าพเจา้ (พระอานนท์) ไดส้ ดับมาแล้วอย่างนว้ี า่
เอกงั สะมะยงั ภะคะวา, สมัยหน่ึง พระผู้มีพระภาคเจ้า
คะยายัง วิหะระติ คะยาสีเส, เสด็จประทบั อยทู่ ี่คยาสีสะประเทศ,
ใกล้แม่นำ้ คยา
สทั ธงิ ภิกขสุ ะหสั เสนะ, กับด้วยภกิ ษพุ ันหนง่ึ
80
ตตั ร๎ ะ โข ภะคะวา ภกิ ขู อามนั เตส,ิ ในกาลนั้นแล พระผ้มู พี ระภาคเจา้ ,
ตรสั เตือนพระภกิ ษทุ ั้งหลาย, ใหต้ ้งั ใจฟงั ภาษิตนีว้ า่
สพั พัง ภกิ ขะเว อาทิตตงั , ดกู ่อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ส่ิงทงั้ ปวงเปน็ ของรอ้ น
กญิ จะ ภกิ ขะเว สพั พงั อาทติ ตงั , ดูกอ่ นภกิ ษุทงั้ หลาย,
กอ็ ะไรเลา่ ชอื่ วา่ ส่งิ ทัง้ ปวงเปน็ ของรอ้ น
จักขงุ ภิกขะเว อาทิตตงั , ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย จกั ษุ (คอื ตา) เปน็ ของรอ้ น
รูปา อาทิตตา, รูปทง้ั หลาย เปน็ ของรอ้ น
จักขวุ ิญญาณงั อาทติ ตงั , วญิ ญาณอาศัยจักษเุ ป็นของร้อน
จักขสุ ัมผัสโส อาทติ โต, สมั ผัสอาศัยจกั ษุเป็นของรอ้ น
ยมั ปิทัง จกั ขุสัมผัสสะปัจจะยา ความร้สู กึ อารมณ์นี้,
อุปปชั ชะติ เวทะยติ ัง, เกดิ ขึ้นเพราะจกั ษสุ มั ผัสเป็นปัจจัย, แมอ้ นั ใด
สุขัง วา ทุกขงั วา เปน็ สขุ ก็ด,ี ทุกข์ก็ดี,
อะทกุ ขะมะสขุ งั วา, ไม่ใชท่ ุกข์ ไมใ่ ชส่ ขุ กด็ ี
ตมั ปิ อาทติ ตงั , แม้อันนน้ั กเ็ ปน็ ของรอ้ น
เกนะ อาทิตตัง, รอ้ นเพราะอะไร
อาทติ ตัง ราคคั คินา รอ้ นเพราะไฟคือราคะ,
โทสคั คนิ า โมหคั คนิ า, เพราะไฟคือโทสะ, เพราะไฟคอื โมหะ
อาทิตตัง ชาตยิ า ร้อนเพราะความเกิด, เพราะความแก่
ชะรามะระเณนะ, และความตาย
โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ ร้อนเพราะความโศก เพราะความร่ำไรรำพัน,
โทมะนัสเสหิ อปุ ายาเสหิ เพราะความทุกข์ เพราะความเสยี ใจ,
เพราะความคบั แค้นใจทั้งหลาย
อาทิตตันติ วะทาม,ิ เราจงึ กลา่ วว่าเปน็ ของร้อน
โสตงั อาทติ ตัง, โสตะ (คือหู) เปน็ ของร้อน
สทั ทา อาทติ ตา, เสยี งท้งั หลายเปน็ ของรอ้ น
โสตะวญิ ญาณงั อาทิตตงั , วิญญาณอาศัยโสตะเป็นของรอ้ น
โสตะสมั ผัสโส อาทิตโต, สัมผสั อาศยั โสตะเป็นของรอ้ น
ยัมปทิ งั โสตะสัมผสั สะปจั จะยา ความรู้สกึ อารมณ์นี้, เกิดข้นึ
อปุ ปชั ชะติ เวทะยติ งั , เพราะโสตะสัมผสั เปน็ ปัจจัย, แมอ้ ันใด
สขุ งั วา ทุกขงั วา เป็นสขุ ก็ดี, ทกุ ขก์ ด็ ,ี
อะทุกขะมะสขุ งั วา, ไม่ใช่ทกุ ข์ ไมใ่ ช่สขุ กด็ ี
81
ตัมปิ อาทิตตงั , แมอ้ ันนัน้ ก็เปน็ ของรอ้ น
เกนะ อาทติ ตงั , ร้อนเพราะอะไร
อาทติ ตัง ราคคั คินา ร้อนเพราะไฟคือราคะ,
โทสัคคินา โมหัคคนิ า, เพราะไฟคือโทสะ, เพราะไฟคือโมหะ
อาทติ ตงั ชาติยา รอ้ นเพราะความเกดิ , เพราะความแก่
ชะรามะระเณนะ, และความตาย
โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทกุ เขหิ ร้อนเพราะความโศก เพราะความร่ำไรรำพนั ,
โทมะนัสเสหิ อปุ ายาเสหิ เพราะความทุกข์ เพราะความเสยี ใจ,
เพราะความคบั แคน้ ใจทง้ั หลาย
อาทิตตนั ติ วะทามิ, เราจงึ กล่าววา่ เป็นของร้อน
ฆานัง อาทติ ตงั , ฆานะ (คอื จมูก) เปน็ ของรอ้ น
คันธา อาทติ ตา, กล่นิ ท้งั หลายเปน็ ของรอ้ น
ฆานะวญิ ญาณัง อาทิตตัง, วญิ ญาณอาศัยฆานะเปน็ ของรอ้ น
ฆานะสมั ผัสโส อาทติ โต, สมั ผสั อาศยั ฆานะเปน็ ของร้อน
ยัมปทิ ัง ฆานะสัมผสั สะปจั จะยา ความรสู้ ึกอารมณ์น้ี, เกิดขึ้น
อปุ ปัชชะติ เวทะยิตัง, เพราะฆานะสมั ผสั เปน็ ปัจจยั , แมอ้ นั ใด
สุขัง วา ทุกขงั วา เป็นสุขกด็ ี, ทุกขก์ ็ด,ี
อะทกุ ขะมะสขุ งั วา, ไม่ใชท่ กุ ข์ ไม่ใช่สุขกด็
ี
ตัมปิ อาทิตตัง, แม้อนั น้นั กเ็ ป็นของร้อน
เกนะ อาทิตตัง, ร้อนเพราะอะไร
อาทติ ตงั ราคัคคนิ า รอ้ นเพราะไฟคอื ราคะ,
โทสัคคินา โมหัคคินา, เพราะไฟคอื โทสะ, เพราะไฟคือโมหะ
อาทิตตัง ชาติยา รอ้ นเพราะความเกดิ , เพราะความแก่
ชะรามะระเณนะ, และความตาย
โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำ่ ไรรำพัน,
โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ เพราะความทุกข์ เพราะความเสยี ใจ,
เพราะความคบั แค้นใจทัง้ หลาย
อาทติ ตันติ วะทามิ, เราจึงกล่าววา่ เป็นของรอ้ น
ชิวห๎ า อาทติ ตา, ชิวหา (คือล้ิน) เป็นของร้อน
ระสา อาทติ ตา, รสทั้งหลายเปน็ ของรอ้ น
ชวิ ห๎ าวิญญาณงั อาทิตตงั , วิญญาณอาศยั ชิวหาเปน็ ของรอ้ น
82
ชวิ ๎หาสัมผัสโส อาทิตโต, สมั ผสั อาศัยชิวหาเปน็ ของรอ้ น
ยมั ปทิ ัง ชิวห๎ าสัมผัสสะปัจจะยา ความรสู้ กึ อารมณ์น,ี้ เกิดขน้ึ
อุปปัชชะติ เวทะยติ งั , เพราะชวิ หาสมั ผัสเป็นปัจจยั , แม้อนั ใด
สขุ งั วา ทกุ ขัง วา เป็นสขุ ก็ดี, ทกุ ข์กด็ ,ี
อะทกุ ขะมะสุขัง วา, ไมใ่ ช่ทุกข์ ไม่ใชส่ ุขกด็ ี
ตัมปิ อาทิตตงั , แม้อันน้นั ก็เป็นของร้อน
เกนะ อาทิตตงั , ร้อนเพราะอะไร
อาทิตตัง ราคัคคนิ า ร้อนเพราะไฟคือราคะ,
โทสัคคินา โมหัคคนิ า, เพราะไฟคือโทสะ, เพราะไฟคอื โมหะ
อาทิตตัง ชาติยา ร้อนเพราะความเกดิ , เพราะความแก่
ชะรามะระเณนะ, และความตาย
โสเกหิ ปะรเิ ทเวหิ ทกุ เขหิ ร้อนเพราะความโศก เพราะความร่ำไรรำพนั ,
โทมะนสั เสหิ อปุ ายาเสหิ เพราะความทกุ ข์ เพราะความเสียใจ,
เพราะความคับแค้นใจทง้ั หลาย
อาทติ ตนั ติ วะทามิ, เราจงึ กล่าววา่ เป็นของร้อน
กาโย อาทิตโต, กายเปน็ ของร้อน
โผฏฐพั พา อาทติ ตา, โผฏฐัพพะ (คอื สัมผัสท่ีมาถกู ต้องกาย)
เปน็ ของรอ้ น
กายะวญิ ญาณงั อาทิตตัง, วิญญาณอาศยั กายเปน็ ของร้อน
กายะสัมผสั โส อาทติ โต, สมั ผสั อาศยั กายเป็นของรอ้ น
ยัมปทิ ัง กายะสมั ผสั สะปัจจะยา ความรูส้ ึกอารมณน์ ,ี้ เกิดขึ้น
อปุ ปัชชะติ เวทะยิตงั , เพราะกายสมั ผสั เปน็ ปจั จยั , แมอ้ นั ใด
สขุ ัง วา ทุกขัง วา เป็นสุขกด็ ,ี ทกุ ข์กด็ ี,
อะทกุ ขะมะสขุ งั วา, ไมใ่ ชท่ กุ ข์ ไม่ใช่สขุ ก็ดี
ตมั ปิ อาทติ ตงั , แม้อันนน้ั กเ็ ปน็ ของรอ้ น
เกนะ อาทิตตัง, รอ้ นเพราะอะไร
อาทิตตัง ราคัคคินา ร้อนเพราะไฟคือราคะ,
โทสคั คนิ า โมหัคคนิ า, เพราะไฟคือโทสะ, เพราะไฟคือโมหะ
อาทติ ตัง ชาตยิ า รอ้ นเพราะความเกิด, เพราะความแก่
ชะรามะระเณนะ, และความตาย
83
โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำ่ ไรรำพนั ,
โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ เพราะความทกุ ข์ เพราะความเสียใจ,
เพราะความคับแค้นใจท้งั หลาย
อาทติ ตนั ติ วะทามิ, เราจึงกล่าวว่าเป็นของรอ้ น
มะโน อาทิตโต, มนะ (คือใจ) เปน็ ของรอ้ น
ธมั มา อาทติ ตา, ธรรมทงั้ หลาย (คอื อารมณท์ เ่ี กดิ กบั ใจ) เปน็ ของรอ้ น
มะโนวญิ ญาณงั อาทิตตัง, วิญญาณอาศัยมนะเป็นของร้อน
มะโนสัมผสั โส อาทติ โต, สัมผัสอาศยั มนะเป็นของร้อน
ยมั ปทิ งั มะโนสัมผสั สะปัจจะยา ความรสู้ กึ อารมณน์ ,้ี เกิดข้นึ
อปุ ปัชชะติ เวทะยติ ัง, เพราะมโนสมั ผสั เปน็ ปจั จัย, แม้อนั ใด
สุขงั วา ทกุ ขัง วา เป็นสขุ ก็ดี, ทกุ ขก์ ด็ ี,
อะทกุ ขะมะสขุ งั วา, ไมใ่ ชท่ ุกข์ ไม่ใช่สุขก็ด
ี
ตัมปิ อาทติ ตงั , แมอ้ นั นนั้ ก็เปน็ ของรอ้ น
เกนะ อาทิตตัง, ร้อนเพราะอะไร
อาทติ ตัง ราคคั คนิ า รอ้ นเพราะไฟคือราคะ,
โทสัคคนิ า โมหคั คนิ า, เพราะไฟคือโทสะ, เพราะไฟคือโมหะ
อาทติ ตงั ชาตยิ า ชะรามะระเณนะ, รอ้ นเพราะความเกดิ , เพราะความแก่ และความตาย
โสเกหิ ปะรเิ ทเวหิ ทุกเขหิ ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำ่ ไรรำพนั ,
โทมะนัสเสหิ อปุ ายาเสหิ เพราะความทกุ ข์ เพราะความเสยี ใจ,
เพราะความคับแค้นใจทัง้ หลาย
อาทติ ตนั ติ วะทามิ, เราจงึ กลา่ ววา่ เป็นของรอ้ น
เอวัง ปสั สัง ภกิ ขะเว ดกู อ่ นภกิ ษทุ ั้งหลาย,
สุตว๎ า อะริยะสาวะโก, อริยสาวกผไู้ ดส้ ดับแล้ว มาเหน็ อย่อู ย่างน้ี
จกั ขุส๎มงิ ปิ นิพพินทะติ, ย่อมเบอ่ื หน่ายทัง้ ในจกั ษุ
รเู ปสปุ ิ นิพพินทะติ, ย่อมเบือ่ หน่ายทง้ั ในรูปทั้งหลาย
จกั ขุวญิ ญาเณปิ นพิ พนิ ทะติ, ยอ่ มเบ่ือหน่ายท้งั ในวิญญาณอาศยั จกั ษุ
จกั ขสุ มั ผสั เสปิ นิพพินทะติ, ยอ่ มเบ่ือหนา่ ยทัง้ ในสมั ผสั อาศัยจกั ษุ
ยมั ปทิ ัง จักขุสมั ผสั สะปจั จะยา ความรูส้ กึ อารมณน์ ี,้ เกิดขึ้น
อปุ ปชั ชะติ เวทะยติ ัง, เพราะจักษุสมั ผัสเป็นปัจจยั , แมอ้ นั ใด
สุขงั วา ทกุ ขัง วา เปน็ สุขกด็ ,ี ทกุ ขก์ ็ด,ี
อะทุกขะมะสขุ ัง วา, ไม่ใช่ทกุ ข์ ไมใ่ ช่สุขกด็ ี
84
ตสั ม๎ งิ ปิ นพิ พนิ ทะต,ิ ยอ่ มเบอื่ หนา่ ยท้ังในความร้สู ึกน้ัน
โสตัส๎มงิ ปิ นพิ พินทะติ, ย่อมเบ่ือหนา่ ยท้ังในโสตะ
สทั เทสปุ ิ นพิ พินทะติ, ย่อมเบื่อหน่ายทัง้ ในเสยี งท้ังหลาย
โสตะวิญญาเณปิ นพิ พินทะต,ิ ย่อมเบอ่ื หนา่ ยทัง้ ในวิญญาณอาศยั โสตะ
โสตะสมั ผสั เสปิ นพิ พนิ ทะต,ิ ยอ่ มเบื่อหนา่ ยท้ังในสัมผัสอาศัยโสตะ
ยมั ปิทงั โสตะสัมผสั สะปจั จะยา ความรูส้ ึกอารมณน์ ี,้ เกดิ ขน้ึ
อปุ ปัชชะติ เวทะยิตงั , เพราะโสตะสัมผสั เปน็ ปจั จยั , แม้อันใด
สขุ ัง วา ทกุ ขงั วา เปน็ สขุ ก็ด,ี ทกุ ข์ก็ดี,
อะทกุ ขะมะสุขงั วา, ไม่ใชท่ กุ ข์ ไม่ใชส่ ุขกด็ ี
ตัสม๎ ิงปิ นิพพนิ ทะติ, ย่อมเบื่อหน่ายทง้ั ในความรสู้ กึ น้ัน
ฆานัสม๎ งิ ปิ นพิ พนิ ทะต,ิ ยอ่ มเบอ่ื หน่ายทั้งในฆานะ
คันเธสุปิ นพิ พนิ ทะติ, ยอ่ มเบอื่ หนา่ ยทัง้ ในกลิ่นท้งั หลาย
ฆานะวญิ ญาเณปิ นพิ พนิ ทะติ, ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยทงั้ ในวญิ ญาณอาศัยฆานะ
ฆานะสัมผสั เสปิ นพิ พนิ ทะต,ิ ยอ่ มเบ่ือหน่ายทัง้ ในสัมผสั อาศยั ฆานะ
ยัมปทิ ัง ฆานะสัมผัสสะปัจจะยา ความรสู้ ึกอารมณ์น้ี, เกดิ ขึน้
อุปปัชชะติ เวทะยติ งั , เพราะฆานะสัมผัสเปน็ ปัจจยั , แม้อนั ใด
สุขัง วา ทุกขงั วา เป็นสุขกด็ ,ี ทกุ ข์ก็ดี,
อะทุกขะมะสขุ ัง วา, ไมใ่ ช่ทกุ ข์ ไม่ใชส่ ุขกด็ ี
ตสั ๎มิงปิ นิพพินทะต,ิ ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยท้ังในความรสู้ กึ น้ัน
ชวิ ๎หายะปิ นิพพินทะต,ิ ย่อมเบ่อื หนา่ ยทัง้ ในชิวหา
ระเสสุปิ นพิ พนิ ทะต,ิ ยอ่ มเบ่อื หนา่ ยทงั้ ในรสท้งั หลาย
ชิว๎หาวิญญาเณปิ นพิ พนิ ทะต,ิ ยอ่ มเบือ่ หนา่ ยท้งั ในวิญญาณอาศัยชิวหา
ชิวห๎ าสัมผสั เสปิ นพิ พนิ ทะติ, ยอ่ มเบื่อหน่ายท้ังในสัมผัสอาศัยชิวหา
ยมั ปิทัง ชิว๎หาสัมผสั สะปจั จะยา ความรสู้ ึกอารมณ์น้,ี เกิดขน้ึ
อปุ ปชั ชะติ เวทะยิตัง, เพราะชวิ หาสมั ผัสเป็นปจั จยั , แม้อันใด
สุขงั วา ทกุ ขัง วา เปน็ สขุ กด็ ,ี ทกุ ข์ก็ดี,
อะทุกขะมะสุขัง วา, ไม่ใชท่ กุ ข์ ไมใ่ ช่สขุ กด็
ี
ตัส๎มงิ ปิ นพิ พินทะติ, ยอ่ มเบอ่ื หน่ายท้งั ในความรู้สึกน้ัน
กายสั ๎มงิ ปิ นิพพนิ ทะติ, ย่อมเบ่ือหนา่ ยทง้ั ในกาย
โผฎฐัพเพสุปิ นพิ พินทะต,ิ ยอ่ มเบ่อื หน่ายท้ังในโผฎฐัพพะทั้งหลาย
กายะวิญญาเณปิ นพิ พนิ ทะต,ิ ย่อมเบอ่ื หน่ายทงั้ ในวิญญาณอาศยั กาย
85
กายะสัมผสั เสปิ นิพพินทะต,ิ ยอ่ มเบื่อหนา่ ยทง้ั ในสัมผัสอาศัยกาย
ยมั ปิทงั กายะสัมผัสสะปจั จะยา ความรู้สกึ อารมณน์ ,้ี เกิดข้นึ
อุปปัชชะติ เวทะยติ ัง, เพราะกายสมั ผสั เปน็ ปัจจัย, แมอ้ นั ใด
สุขัง วา ทุกขงั วา เปน็ สุขก็ด,ี ทุกข์ก็ด,ี
อะทุกขะมะสขุ ัง วา, ไม่ใชท่ กุ ข์ ไมใ่ ช่สุขก็ด
ี
ตัสม๎ งิ ปิ นพิ พินทะติ, ยอ่ มเบ่ือหน่ายทง้ั ในความรสู้ กึ นน้ั
มะนสั ๎มิงปิ นพิ พินทะติ, ย่อมเบอื่ หน่ายทงั้ ในมนะ
ธัมเมสปุ ิ นพิ พินทะต,ิ ย่อมเบ่อื หนา่ ยทงั้ ในธรรมทัง้ หลาย
มะโนวิญญาเณปิ นิพพินทะติ, ย่อมเบอื่ หนา่ ยท้ังในวิญญาณอาศัยมนะ
มะโนสัมผสั เสปิ นพิ พนิ ทะติ, ย่อมเบ่อื หนา่ ยทัง้ ในสมั ผัสอาศยั มนะ
ยมั ปิทัง มะโนสัมผัสสะปัจจะยา ความรู้สึกอารมณน์ ี้, เกิดข้ึน
อปุ ปชั ชะติ เวทะยิตงั , เพราะมโนสมั ผัสเป็นปจั จัย, แมอ้ นั ใด
สุขงั วา ทุกขัง วา เป็นสุขกด็ ,ี ทุกข์กด็ ,ี
อะทกุ ขะมะสุขงั วา, ไม่ใชท่ ุกข์ ไม่ใชส่ ุขกด็ ี
ตสั ม๎ งิ ปิ นพิ พินทะต,ิ ยอ่ มเบอื่ หนา่ ยทั้งในความรู้สึกน้ัน
นพิ พนิ ทัง วิรชั ชะต,ิ เมื่อเบอื่ หนา่ ย ย่อมคลายกำหนัด
วริ าคา วิมุจจะติ, เพราะคลายกำหนัด จติ ย่อมหลุดพ้น
วมิ ตุ ตสั ม๎ งิ วมิ ตุ ตะมติ ิ ญาณงั โหต,ิ เพราะจติ หลดุ พ้นแลว้ , ยอ่ มมีญาณหยั่งรวู้ า่
จติ หลุดพ้นแลว้
ขณี า ชาต,ิ วสุ ติ ัง พร๎ หั ๎มะจะรยิ งั , รชู้ ัดว่าชาตสิ ้ินแล้ว, พรหมจรรยอ์ ยจู่ บแล้ว,
กะตัง กะระณยี งั , นาปะรงั กจิ ท่ีควรทำ ได้กระทำสำเรจ็ แลว้ ,
อิตถตั ตายาติ ปะชานาตตี ิ, กิจอ่ืนเพื่อความเป็นอยา่ งนี้ มิได้มอี กี แล้ว
อิทะมะโวจะ ภะคะวา, พระผู้มพี ระภาคเจา้ ,
ได้ตรสั อาทติ ตะปะริยายะสูตรนีแ้ ล้ว
อัตตะมะนา เต ภกิ ข ู ภิกษเุ หล่าน้ันก็มใี จยนิ ดี,
ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทงุ , ช่นื ชมในพระภาษิตของพระผมู้ พี ระภาคเจ้า
อิมัสม๎ ิญจะ ปะนะ ขณะท่ีพระผูม้ พี ระภาคเจา้ ,
เวยยากะระณัสม๎ ิง ภัญญะมาเน, ตรสั เทศนาพระภาษิตน้ีอย
ู่
ตัสสะ ภกิ ขสุ ะหัสสัสสะ ภกิ ษพุ ันรปู นนั้ ก็มีจติ หลดุ พน้ แล้ว,
อะนปุ าทายะ, จากอาสวะทั้งหลาย, เพราะไมย่ ดึ ม่นั ถอื มน่ั
อาสะเวหิ จติ ตานิ วมิ ุจจงิ สูต.ิ ด้วยอุปาทาน, ดงั นีแ้ ล
86
ธมั มะนิยามะสตุ ตัง
ประวัติ
สมัยหนงึ่ พระพุทธเจ้า ผู้ทรงไวซ้ ่งึ พระมหากรณุ าธิคณุ ประทับอยู่ทวี่ ัดเชตวนั
วิหาร คร้ังน้ัน พระพทุ ธองค์ตรสั เรยี กพระภิกษุทง้ั หลายมาเข้าเฝ้า เมอ่ื ภกิ ษุท้งั หลาย
รับทราบไดเ้ ขา้ เฝ้า พระพุทธองคไ์ ดต้ รัสธรรมนิยาม ดงั ต่อไปน
ี้
ภกิ ษทุ ้ังหลาย ท้ังที่พระตถาคต คือ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย จักเกิดขน้ึ หรอื ไม่
ก็ตาม ธาตุ คือ สิ่งทรงตัวเองอยู่ได้อันนั้น ดำรงอยู่ได้โดยธรรมดาของมันอย่างนั้น
สิ่งท่ีถูกกำหนดมาตามธรรมดาของมันว่า จะเป็นอย่างน้ัน พระพุทธองค์ผู้ทรง
เป็นตถาคต ตรัสรู้ธาตุนั้น ทรงรู้แจ้งด้วยพระปัญญาอันย่ิง เป็นส่ิงท่ีไม่เคยมีใคร
รู้มาก่อนว่า “สังขารท้ังหลายท้ังปวงไม่เที่ยง สังขารท้ังหลายท้ังปวงเป็นทุกข์ ธรรม
ทั้งหลายท้ังปวงเป็นอนัตตา” คร้ันได้ตรัสรู้แล้ว ได้หยั่งรู้แล้ว จึงนำมาบอกกล่าว
นำมาแสดง บัญญัติต้ังไว้เปิดเผยให้ทราบ จำแนกแยกแยะ ทำให้เข้าใจง่ายว่า
“สงั ขารทั้งหลายทั้งปวงไมเ่ ทย่ี ง สงั ขารทง้ั หลายท้งั ปวงเปน็ ทกุ ข์ ธรรมท้งั หลายทงั้ ปวง
เป็นอนัตตา”
ครั้นพระพุทธองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณ ได้ตรัสแสดงดังกล่าวมานี้
ภิกษุท้ังหลายเหล่านั้น มีความซาบซึ้ง ยินดีเพลิดเพลินในพระธรรมท่ีพระพุทธองค
์
ทรงแสดง
เอวมั เม สตุ งั , อนั ขา้ พเจา้ (คอื พระอานนท)์
ไดส้ ดบั มาแล้วอย่างน้
ี
เอกงั สะมะยงั ภะคะวา, สมยั หนง่ึ พระผู้มีพระภาคเจา้
สาวัตถิยงั วิหะระติ, เสด็จประทบั อยใู่ กล้เมืองสาวตั ถี
เชตะวะเน อะนาถะปณิ ฑกิ สั สะ, ณ วดั เชตวนั อารามของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐ
ี
อาราเม,
ตัตร๎ ะ โข ภะคะวา ภิกขู ในกาลคร้งั นนั้ , พระผู้มีพระภาค
อามันเตสิ ภิกขะโวติ, เจ้าได้ตรัสเตือนภกิ ษุท้ังหลายว่า,
ดกู ่อนภกิ ษทุ ้ังหลาย
ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ภิกษทุ ัง้ หลาย ทลู รบั
ปจั จัสโสสุง. พระผมู้ ีพระภาคเจ้าวา่ , พระพทุ ธเจ้าข้า
ภะคะวา เอตะทะโวจะ, พระผ้มู พี ระภาคเจ้าจงึ มีดำรสั ว่า
87
อุปปาทา วา ภกิ ขะเว แมเ้ ราตถาคตจะมาบงั เกดิ ก็ตาม,
ตะถาคะตานงั อะนปุ ปาทา วา หรอื ไมบ่ ังเกิดกต็ าม
ตะถาคะตานงั ,
ฐติ า วะ สา ธาตุ ธมั มัฏฐิตะตา ธาตสุ งิ่ ที่เปน็ อยูแ่ ทน้ ัน้ , ตั้งอยู่ มอี ย,ู่
ธมั มะนยิ ามะตา. ปรากฏมอี ยแู่ ล้วเปน็ ธรรมดาคอื
สัพเพ สงั ขารา อะนจิ จาต.ิ สงั ขารเคร่ืองปรุงแตง่
เป็นรูปนามท้งั หลายไมเ่ ที่ยง
ตงั ตะถาคะโต อะภิสมั พชุ ฌะติ เราตถาคตรู้พรอ้ มถงึ ความมีอย่นู นั้
อะภิสะเมต,ิ
อะภสิ มั พชุ ฌติ ว๎ า อะภิสะเมตว๎ า เม่อื ร้พู รอ้ ม ถงึ ความมอี ยู่
อาจกิ ขะติ เทเสติ, และเปน็ ไป
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปต,ิ จึงกล่าวแสดงบัญญตั ิแต่งตง้ั
วิวะระติ วิภะชะติ อตุ ตานกี ะโรต,ิ จำแนกโดยเปิดเผยให้เขา้ ใจวา่
สพั เพ สังขารา อะนจิ จาติ. สงั ขารเครอ่ื งปรงุ แตง่ เปน็ รปู นามทงั้ หลายไมเ่ ทยี่ ง
อุปปาทา วา ภกิ ขะเว แมเ้ ราตถาคตจะมาบังเกิดก็ตาม,
ตะถาคะตานัง อะนุปปาทา วา หรอื ไม่บังเกิดกต็ าม
ตะถาคะตานัง,
ฐติ า วะ สา ธาตุ ธมั มฏั ฐิตะตา ธาตสุ งิ่ ท่ีเปน็ อยู่แท้นัน้ , ตง้ั อยู่ มีอย่,ู
ธัมมะนิยามะตา, ปรากฏมอี ยแู่ ลว้ เปน็ ธรรมดาคอื
สพั เพ สังขารา ทุกขาติ. สังขารเครื่องปรุงแต่ง
เป็นรปู นามทง้ั หลายเป็นทุกข
์
ตงั ตะถาคะโต อะภิสมั พชุ ฌะติ เราตถาคตร้พู ร้อมถึงความมีอยู่นั้น
อะภิสะเมต,ิ
อะภิสัมพชุ ฌติ ๎วา อะภิสะเมต๎วา เม่ือรู้พรอ้ ม ถงึ ความมีอยู่
อาจิกขะติ เทเสติ, และเป็นไป
ปัญญะเปติ ปฏั ฐะเปต,ิ จงึ กลา่ วแสดงบัญญตั แิ ละแตง่ ตั้ง
ววิ ะระติ วิภะชะติ อุตตานกี ะโรติ, จำแนกโดยเปดิ เผยใหเ้ ข้าใจว่า
สัพเพ สังขารา ทุกขาติ. สงั ขารเครอื่ งปรงุ แตง่ เปน็ รปู นามทง้ั หลายเปน็ ทกุ ข
์
อุปปาทา วา ภิกขะเว แมเ้ ราตถาคตจะมาบงั เกิดกต็ าม,
ตะถาคะตานัง อะนปุ ปาทา วา หรือไม่บังเกิดกต็ าม
ตะถาคะตานัง,
88
ฐิตา วะ สา ธาตุ ธมั มัฏฐิตะตา ธาตุส่ิงทเ่ี ป็นอย่แู ทน้ ัน้ , ตง้ั อยู่ มอี ยู่,
ธมั มะนยิ ามะตา, ปรากฏมีอยู่แลว้ เปน็ ธรรมดาคือ
สัพเพ ธัมมา อะนตั ตาติ. ส่ิงทัง้ หลายท้งั ปวงนัน้ ไม่ใช่ตัวตน
ตัง ตะถาคะโต อะภิสมั พชุ ฌะติ เราตถาคตรพู้ ร้อมถงึ ความมีอยู่นน้ั
อะภสิ ะเมต.ิ
อะภิสมั พชุ ฌติ ๎วา อะภิสะเมต๎วา เมือ่ รพู้ รอ้ ม ถึงความมีอยู่ และเป็นไป
อาจกิ ขะติ เทเสติ,
ปัญญะเปติ ปฏั ฐะเปต,ิ จึงกล่าวแสดงบัญญตั แิ ละแต่งตั้ง
ววิ ะระติ วิภะชะติ อตุ ตานกี ะโรติ, จำแนกโดยเปดิ เผยใหเ้ ขา้ ใจวา่
สัพเพ ธมั มา อะนตั ตาติ. สง่ิ ทงั้ หลายทัง้ ปวงนัน้ ไมใ่ ช่ตวั ตน
อทิ ะมะโวจะ ภะคะวา, เม่อื พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรสั จบลง
อตั ตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต ภกิ ษุทง้ั หลายเหล่าน้นั , มีใจเพลิดเพลินยินด,ี
ภาสิตงั อะภินันทนุ ต.ิ ในภาษิตของพระผมู้ พี ระภาคเจ้า, ดงั น้ี
ภิกษุโอเ้ อ
้
ภิกษุทั้งหลาย! มลู เหตุ ๘ อยา่ งเหลา่ นี้ ย่อมเป็นไปเพ่ือความเส่ือมเสยี
สำหรับภกิ ษุ ผู้ยังไมจ่ บกิจแห่งการปฏบิ ัตเิ พอ่ื ลถุ ึงนิพพาน มูลเหตุ ๘ อยา่ งไดแ้ ก
่
๑. ความเป็นผู้พอใจในการทำงานกอ่ สร้าง
๒. ความเปน็ ผู้พอใจในการคยุ
๓. ความเปน็ ผูพ้ อใจในการนอน
๔. ความเปน็ ผูพ้ อใจในการจบั กลุ่มคลกุ คลีกัน
๕. ความเปน็ ผไู้ มส่ ำรวมตา หู จมกู ล้ิน กาย และใจ
๖. ความเป็นผไู้ มร่ จู้ ักประมาณในการกิน
๗. ความเปน็ ผพู้ อใจในการกระทำเพ่อื ให้เกิดสัมผัส สนกุ สบายทางกาย
๘. ความเป็นผูพ้ อใจในการขยายกิจการงานตา่ งๆ ให้โยกโยโ้ อ้เอเ้ น่นิ ช้า
ภกิ ษุทัง้ หลาย! มลู เหตุ ๘ อย่างเหล่านี้ แล ยอ่ มเปน็ ไปเพื่อความเสื่อมเสยี
สำหรับภกิ ษุ ผู้ยังไม่จบกจิ แห่งการปฏิบตั เิ พ่ือลถุ งึ นิพพาน.
* อฏฺฐฺก. อง.ฺ ๒๓ /๓๔๓ /๑๘๓
89
มะหาสะมะยะสตุ ตงั
ประวัต
ิ
มหาสมัยสูตร เป็นสูตรว่าด้วยสมัยเป็นท่ีประชุมใหญ่ของเหล่าเทพ ในยุคของ
พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จะมีการประชุมใหญ่ของเหล่าเทวดาท้ังหลายเช่นนี้เพียง
ครง้ั เดยี ว เทวดาทัง้ หลายจึงพากนั คิดวา่ พวกเราจะฟงั พระสตู รน้ี เมือ่ พระผู้มพี ระภาคเจา้
แสดงมหาสมยั สตู รจบลง เทวดาจำนวนหน่ึงแสนโกฏิได้บรรลพุ ระอรหันต์
พระสูตรนจ้ี งึ เป็นท่ีรักท่ชี อบใจของพวกเทวดา เทวดาท้งั หลายต่างก็คดิ ว่าเปน็ พระ
สูตรของตน เม่ือสวดพระสูตรนี้จะทำให้เหล่าเทวดาท้ังหลายประชุมกัน เมื่อเทวดา
ประชุมกันก็จะทำให้สิ่งที่ไม่ดีท้ังหลายถอยห่างออกไป เป็นการป้องกันสิ่งท่ีไม่ดีไม่ให้เข้า
มาใกลต้ วั เรานน้ั เอง
เนื้อหาในพระสูตรนี้ได้แสดงไว้ว่า เทวดาทั้งหลายเม่ือทราบว่า พระบรมศาสดา
ประทับอย่ทู ่ปี ่ามหาวันใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ พรอ้ มด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป ล้วนเปน็ พระอรหันต์
บวชจากราชตระกลู ตา่ งก็กล่าววา่ นส้ี มัยแหง่ การประชมุ ใหญ่ในป่ามหาวัน พวกเราจกั ไป
ชมความงดงามของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกผู้หมดจด ต่างก็แต่งคาถากล่าว
สรรเสริญ พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก เทวดาที่มาประชุมกันในวันนั้นมีจำนวนมากมาย
ภิกษุบางรูปก็เห็นเทวดาร้อยหน่ึง บางรูปก็เห็นพันหนึ่ง บางรูปก็เห็นหม่ืนหน่ึง บางรูปก็
เหน็ แสนหนง่ึ บางรปู ก็เหน็ ไม่มที ่ีสิน้ สุด แตกตา่ งกนั ไปตามกำลงั ญาณของแตล่ ะองค
์
ในยุคของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีการประชุมเทวดาจำนวนมากเช่นนี้ก็
เพียงครั้งเดียว พระพุทธองค์ได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า เทวดาในโลกธาตุสิบมาประชุม
กันเพื่อชมตถาคตและหมู่ภิกษุสงฆ์ เทวดาประมาณเท่านี้แหละได้เคยประชุมกันเพ่ือชม
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตกาล แล้วพระองค์ก็ทรงแนะนำเทวดา
แตล่ ะจำพวกให้ภกิ ษุทงั้ หลายฟงั ตามลำดับ ต้งั แต่ภมุ เทวดาไปจนถึงพรหมโลก
เอวัมเม สตุ ัง. อันข้าพเจา้ (คอื พระอานนท์)
ได้สดบั มาแลว้ อย่างน้ี
เอกงั สะมะยงั ภะคะวา, สมยั หนึ่ง พระผมู้ พี ระภาคเจา้
สกั เกสุ วหิ ะระติ เสดจ็ ประทับอย่ใู นสกั กชนบท
กะปลิ ะวตั ถสุ ม๎ ิง มะหาวะเน, ณ ปา่ มหาวนั ใกล้กรงุ กบลิ พสั ดุ์
มะหะตา ภิกขสุ ังเฆนะ สัทธงิ กบั ดว้ ยภิกษุสงฆห์ มใู่ หญ่
ปญั จะมตั เตหิ ภิกขสุ ะเตหิ คอื ภิกษปุ ระมาณห้าร้อย
สัพเพเหวะ อะระหันเตห,ิ ล้วนเป็นพระอรหันต์ทง้ั หมด
90
ทะสะหิ จะ โลกะธาตูห ิ อน่งึ เทวดาทัง้ หลาย, ก็มาแลว้ จาก
เทวะตา เยภุยเยนะ โลกธาตุ ๑๐ โดยมาก,
สนั นปิ ะตติ า โหนต,ิ เปน็ ผู้ประชมุ กันแลว้
ภะคะวนั ตงั ทสั สะนายะ เพ่อื ทัสสนาพระผมู้ พี ระภาคเจา้
ภิกขุสังฆญั จะ, และภกิ ษสุ งฆ
์
อะถะโข จะตนุ นงั ครน้ั นน้ั แล ความปริวติ กน้ี,
สทุ ธาวาสะกายกิ านงั เทวานงั ได้มแี ก่เทวดาชนั้ สทุ ธาวาส ๔ องคว์ ่า
เอตะทะโหส,ิ
อะยัง โข ภะคะวา สกั เกส ุ พระผู้มีพระภาคเจา้ นี้แล ประทบั อยู่ ณ ป่ามหาวัน,
วิหะระติ กะปิละวัตถุส๎มิง ใกล้กรุงกบลิ พสั ดใ์ุ นสกั กชนบท
มะหาวะเน,
มะหะตา ภกิ ขุสงั เฆนะ สัทธิง กบั ด้วยภกิ ษสุ งฆ์หมใู่ หญ,่
ปัญจะมัตเตหิ ภิกขสุ ะเตหิ คือภกิ ษปุ ระมาณหา้ รอ้ ย
สัพเพเหวะ อะระหนั เตห,ิ ล้วนเป็นพระอรหันตท์ ัง้ หมด
ทะสะหิ จะ โลกะธาตหู ิ อน่งึ เทวดาทั้งหลาย ก็มาแล้วจาก
เทวะตา เยภุยเยนะ โลกธาตุ ๑๐ โดยมาก,
สนั นปิ ะตติ า โหนติ, เป็นผู้ประชมุ กนั แลว้
ภะคะวันตงั ทสั สะนายะ เพื่อทสั สนาพระผู้มพี ระภาคเจ้าและภิกษสุ งฆ์
ภกิ ขุสงั ฆญั จะ,
ยนั นูนะ มะยมั ปิ อย่ากระน้นั เลย แมเ้ ราทั้งหลาย,
เยนะ ภะคะวา พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทบั โดยท่ใี ด,
เตนปุ ะสังกะเมยยามะ, พึงเขา้ ไปโดยทีน่ น้ั
อุปะสงั กะมติ ว๎ า ครน้ั เข้าไปใกลแ้ ลว้ ,
ภะคะวะโต สนั ตเิ ก พึงกล่าวคาถาเฉพาะองคล์ ะคาถา,
ปจั เจกะคาถา ภาเสยยามาติ, ในสำนักของพระผ้มู ีพระภาคเจา้
อะถะโข ตา เทวะตา, ครัง้ นน้ั แล เทวดาทง้ั หลายน้ัน
เสยยะถาปิ นามะ พะละวา ปรุ โิ ส เปรียบเหมอื นบุรษุ ผ้มู ีกำลงั ,
สมั มญิ ชติ งั วา พาหงั ปะสาเรยยะ พงึ เหยยี ดแขนท่ีงอออก,
ปะสารติ งั วา พาหงั สมั มญิ เชยยะ, หรือพงึ คแู้ ขนทเ่ี หยียดออกแล้วเขา้ มา
เอวะเมวะ สุทธาวาเสสุ อย่างเดยี วกันฉนั นั้น, ไดอ้ ันตรธาน
เทเวสุ อันตะระหิตา จากเทวโลกชัน้ สุทธาวาส,
ภะคะวะโต ปรุ ะโต ปาตุระหังส,ุ มาปรากฏเบือ้ งพระพกั ตร์ของพระผู้มีพระภาคเจา้
91
อะถะโข ตา เทวะตา คร้ังนัน้ แล เทวดาทง้ั หลายน้ัน,
ภะคะวันตัง อะภิวาเทต๎วา ถวายอภิวาทพระผ้มู พี ระภาคเจา้ ,
เอกะมนั ตัง อฏั ฐงั ส,ุ ไดย้ นื อยสู่ ว่ นขา้ งหน่งึ
เอกะมนั ตงั ฐติ า โข เอกา เทวะตา เทวดาองค์หนง่ึ ซง่ึ ยนื อยู่แลว้ สว่ นขา้ งหนงึ่ แล,
ภะคะวะโต สันตเิ ก อมิ งั ได้ภาษติ คาถาน้ี, ในสำนักของ
คาถัง อะภาส.ิ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ว่า
มะหาสะมะโย ปะวะนัสม๎ งิ วนั นเี้ ป็นมหาสมัยในปา่ มหาวนั ,
เทวะกายา สะมาคะตา, หมูเ่ ทวดาท้ังหลายมาประชมุ กนั แลว้
อาคะตมั ๎หะ อิมงั ธมั มะสะมะยงั เราเปน็ ผมู้ าแลว้ สูธ่ รรมสมัยนี,้
ทกั ขติ าเยวะ อะปะราชติ ะสงั ฆนั ต.ิ ไดเ้ ห็นพระพุทธเจา้ และพระสงฆ์
อะถะโข อะปะรา เทวะตา ลำดบั นั้นแล เทวดาอีกองค์หนึ่ง
ภะคะวะโต สันตเิ ก อิมัง ได้ภาษติ คาถานี้, ในสำนักของ
คาถงั อะภาส.ิ พระผ้มู ีพระภาคเจ้าว่า
ตัตร๎ ะ ภกิ ขะโว สะมาทะหงั สุ, พระภกิ ษทุ ั้งหลายในที่ประชมุ นน้ั ม่นั คงแลว้
จิตตงั อัตตะโน อชุ ุกะมะกงั สุ, ไดท้ ำจติ ของตนใหต้ รง
สาระถีวะ เนตตานิ คะเหตว๎ า เหมือนสารถี ถอื เชือกทัง้ หลายยนื อยู่,
อนิ ทร๎ ยิ านิ รกั ขนั ติ ปัณฑิตาต.ิ ท่านเปน็ บัณฑิต รักษาอนิ ทรีย์ทง้ั หลาย ดังน้
ี
อะถะโข อะปะรา เทวะตา ลำดับน้นั แล เทวดาอกี องคห์ น่ึง
ภะคะวะโต สันติเก อมิ งั ได้ภาษิตคาถานี้, ในสำนกั ของ
คาถัง อะภาส.ิ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ว่า
เฉต๎วา ขลี ัง เฉตว๎ า ปะลีฆัง, ภิกษทุ ้งั หลายเหล่าน้นั ตัดกเิ ลส
ดุจตะปู, ตดั กิเลสดจุ ล่มิ สลัก
อินทะขลี งั โอหัจจะมะเนชา, ถอนกเิ ลสดจุ เสาเข่อื นแลว้ , เปน็ ผู้ไม่หว่ันไหว
เต จะรันติ สุทธา วมิ ะลา ท่านเปน็ ผู้หมดจด ไม่มีมลทินเทีย่ วไป,
จักขุมะตา สทุ ันตา สสุ ู ทา่ นเปน็ พระนาคะหน่มุ , มีดวงตา
นาคาต.ิ ทรมานดีแลว้ ดังน
ี้
อะถะโข อะปะรา เทวะตา ลำดับนั้นแล เทวดาอีกองค์หนึ่ง
ภะคะวะโต สนั ติเก อิมัง คาถัง ไดภ้ าษิตคาถาน้ี, ในสำนักของ
อะภาส.ิ พระผ้มู พี ระภาคเจ้าว่า
92
เย เกจิ พทุ ธัง สะระณงั ชนทง้ั หลายเหลา่ ใดเหล่าหนงึ่ ,
คะตา เส, ถึงพระพทุ ธเจา้ ว่าเปน็ สรณะ
นะ เต คะมิสสนั ติ อะปายะภมู งิ , ชนทง้ั หลายเหล่านน้ั , จกั ไมไ่ ปสู่อบายภมู ิ
ปะหายะ มานสุ ัง เทหงั ละกายเปน็ ของมนุษยแ์ ล้ว,
เทวะกายัง ปะรปิ ูเรสสนั ตตี .ิ จกั ยงั กายทิพยใ์ หบ้ ริบูรณด์ งั นี
้
อะถะโข ภะคะวา ภกิ ขู ลำดบั น้นั แล พระผูม้ ีพระภาคเจ้า,
อามนั เตส,ิ รับสั่งกับภกิ ษทุ ัง้ หลายวา่
เยภุยเยนะ ภิกขะเว ทะสะสุ ภิกษุท้ังหลาย เทวดาทัง้ หลาย
โลกะธาตูสุ เทวะตา สนั นิปะตติ า ในโลกธาตุ ๑๐, ประชมุ กนั แล้วโดยมาก,
โหนติ, ตะถาคะตงั ทัสสะนายะ เพื่อทัสสนาตถาคตและภกิ ษสุ งฆ
์
ภิกขุสงั ฆัญจะ,
เยปิ เต ภกิ ขะเว อะเหสุง ภกิ ษุทง้ั หลาย, พระผ้มู ีพระภาค
อะตีตะมทั ธานงั อะระหนั โต อรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ท้ังหลายนั้น,
สมั มาสัมพุทธา, แม้ใด ได้มแี ล้วในอดตี กาล
เตสมั ปิ ภะคะวนั ตานัง เทวดาทั้งหลาย มีประมาณเท่านี้แหละ,
เอตะปะระมาเยวะ เทวะตา ไดเ้ ปน็ ผปู้ ระชมุ กนั แลว้ เพอื่ ทสั สนาพระผมู้ พี ระภาค,
สันนิปะติตา อะเหสุง, อรหันตสมั มาสมั พุทธเจ้าท้งั หลายแม้นนั้
เสยยะถาปิ มัย๎หงั เอตะระหิ, แมเ้ หมือนเทวดาท้งั หลาย, ประชุมกัน
เพ่ือทสั สนาเราในบัดนี
้
เยปิ เต ภกิ ขะเว ภะวิสสันติ ภกิ ษุทัง้ หลาย, พระผู้มพี ระภาค
อะนาคะตะมัทธานงั อรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ท้ังหลายน้นั ,
อะระหันโต สัมมาสมั พุทธา, แมใ้ ด จักมใี นอนาคต
เตสมั ปิ ภะคะวนั ตานัง เทวดาท้งั หลาย มปี ระมาณเทา่ นแ้ี หละ,
เอตะปะระมาเยวะ เทวะตา จกั เป็นผปู้ ระชมุ กันแล้วเพ่ือทสั สนา
สันนปิ ะติตา ภะวสิ สนั ต,ิ พระผู้มีพระภาค, อรหันตสัมมาสัมพทุ ธเจ้า
ทั้งหลายแม้น้นั
เสยยะถาปิ มัย๎หัง เอตะระห,ิ แมเ้ หมอื นเทวดาทัง้ หลาย, ประชมุ กัน
เพ่ือทสั สนาเราในบดั นี้
อาจกิ ขิสสามิ ภกิ ขะเว ภิกษทุ ้ังหลาย, เราจกั บอกชอ่ื
เทวะกายานัง นามาน,ิ ของพวกเทวดาทง้ั หลาย
93
กติ ตะยิสสามิ ภิกขะเว ภิกษุทั้งหลาย, เราจักกำหนดชือ่
เทวะกายานงั นามานิ, ของพวกเทวดาท้งั หลาย
เทสิสสามิ ภกิ ขะเว ภิกษุท้งั หลาย, เราจักแสดงชื่อ
เทวะกายานงั นามานิ, ของพวกเทวดาทั้งหลาย
ตงั สุณาถะ ทา่ นท้งั หลาย จงฟงั ซึง่ การแสดงช่อื ของเทวดานั้น,
สาธกุ ัง มะนะสกิ ะโรถะ จงทำในใจใหส้ ำเร็จประโยชน์เถิด,
ภาสสิ สามีต.ิ เราจกั ภาษติ ณ บดั น
ี้
เอวัมภนั เตติ โข เต ภกิ ขู ภกิ ษทุ ้งั หลายเหลา่ น้นั , ทูลรบั แต่พระผู้มี
ภะคะวะโต ปจั จสั โสสุง. พระภาคเจ้าว่า, อยา่ งนน้ั พระเจา้ ขา้ ดงั นแี้ ล
ภะคะวา เอตะทะโวจะ. พระผู้มีพระภาคเจา้ จงึ ไดต้ รัสภาษิตน้ีวา่
สิโลกะมะนุกัสสามิ เราจะทำสโิ ลก, คอื ถอ้ ยคำทปี่ ระพนั ธ
์
ยัตถะ ภมุ มา ตะทสั สิตา, ผกู เปน็ คำฉนั ท,์ ภมุ เทวดาทัง้ หลาย
อาศยั แลว้ ในท่ใี ด, ภกิ ษุทง้ั หลาย อาศยั แล้วในทน่ี ้ัน
เย สติ า คริ ิคพั ภะรัง ภิกษุทงั้ หลายเหล่าใด, อาศยั แล้วซงึ่ ซอกแหง่ ภเู ขา
ปะหิตัตตา สะมาหิตา, มีตนอนั ส่งไปแล้ว, ต้งั จิตม่นั เปน็ อันมาก
ปถุ ู สหี าวะ สัลลนี า ซ่อนเรน้ อยูแ่ ลว้ ดังราชสหี ์,
โลมะหังสาภสิ ัมภุโน, ครอบงำเสียซงึ่ ขนพองสยองเกลา้
โอทาตะมะนะสา สทุ ธา มีใจผุดผอ่ ง หมดจด,
วิปปะสนั นะมะนาวลิ า, ใสสะอาด ไมข่ ่นุ มวั
ภิยโย ปญั จะสะเต ญัต๎วา พระศาสดา, ทรงทราบภกิ ษทุ ่ีอย่
ู
วะเน กาปลิ ะวตั ถะเว, ณ ป่ามหาวัน, ใกล้กรงุ กบลิ พสั ด์หุ า้ รอ้ ยเศษ,
ตะโต อามนั ตะยิ สัตถา แตน่ น้ั จึงตรสั เรยี กพระสาวกทัง้ หลาย,
สาวะเก สาสะเน ระเต, ผู้ยินดีแล้วในพระศาสนาว่า
เทวะกายา อะภกิ กนั ตา ภกิ ษทุ ัง้ หลาย หมเู่ ทวดาม่งุ มากนั แลว้ ,
เต วชิ านาถะ ภกิ ขะโว, ท่านท้งั หลายจงรู้จักหมู่เทวดาเหล่านั้น
เต จะ อาตัปปะมะกะรงุ ภกิ ษเุ หล่านัน้ สดบั พุทธศาสนแ์ ลว้ ,
สุต๎วา พทุ ธัสสะ สาสะนงั , ไดก้ ระทำความเพยี ร เจริญทพิ ยจ์ กั ษญุ าณ
เตสัมปาตุระหุ ญาณัง ทพิ ยจ์ ักษุญาณ เครอื่ งเห็นพวกอมนษุ ย,์
อะมะนสุ สานะ ทัสสะนงั , ไดป้ รากฏแล้วแกท่ ่าน
94
อปั เปเก สะตะมัททกั ขงุ ภกิ ษุท้ังหลายบางพวก ได้เห็นอมนษุ ย์ ๑ รอ้ ย,
สะหัสสัง อะถะ สัตตะรงิ , บางพวก ไดเ้ ห็นอมนุษย์ ๗ พัน
สะตงั เอเก สะหสั สานัง บางพวก ได้เห็นอมนษุ ย์ ๑ แสน
อะมะนสุ สานะมทั ทะสุง,
บางพวก ไดเ้ ห็นอมนุษย์ไมม่ กี ำหนด,
อปั เปเกนันตะมัททักขุง อมนษุ ย์ท้ังหลาย ไดแ้ ผไ่ ปแล้วทวั่ ทิศ
ทสิ า สพั พา ผฏุ า อะหุง, พระศาสดาผู้มดี วงตา, ทรงใครค่ รวญ
ตญั จะ สัพพงั อะภญิ ญายะ ทราบเหตนุ ั้นสนิ้ แล้ว, แตน่ นั้ จึงตรสั เรียก
วะวักขิต๎วานะ จกั ขุมา, พระสาวก, ผยู้ นิ ดีแลว้ ในศาสนาวา่
ตะโต อามนั ตะยิ สตั ถา ภิกษทุ งั้ หลาย หมเู่ ทวดามาประชุมกันแล้ว,
สาวะเก สาสะเน ระเต,
ทา่ นทง้ั หลายจงรจู้ กั หมูเ่ ทวดาเหล่าน้นั
เทวะกายา อะภกิ กนั ตา เราจักบอกแกท่ า่ นทงั้ หลาย,
เต วิชานาถะ ภกิ ขะโว, ด้วยวาจาโดยลำดับ
เย โวหงั กติ ตะยิสสามิ ยกั ษ์ทง้ั หลาย ๗ พนั
คริ าหิ อะนปุ ุพพะโส. เป็นภุมเทวดา, อาศัยอยกู่ รุงกบิลพสั ด
ุ์
สัตตะสะหัสสา วะ ยักขา มีฤทธิ์ มอี านภุ าพ,
ภุมมา กาปิละวัตถะวา, มรี ศั มี มียศ
อทิ ธมิ ันโต ชุติมันโต ยินดีมุ่งมาสู่ป่ามหาวนั ,
วณั ณะวันโต ยะสสั สิโน, เป็นทป่ี ระชมุ แหง่ ภิกษุทง้ั หลาย
โมทะมานา อะภิกกามงุ ยกั ษ์ทัง้ หลาย ๖ พัน อยทู่ ีเ่ ขาเหมวตา,
ภกิ ขนู ัง สะมติ ิง วะนัง. มีรศั มตี า่ งๆ กนั
ฉะสะหัสสา เหมะวะตา มีฤทธ์ิ มีอานุภาพ,
ยกั ขา นานตั ตะวณั ณิโน, มรี ัศมี มยี ศ
อิทธิมนั โต ชุตมิ ันโต ยนิ ดมี งุ่ มาสปู่ ่ามหาวนั ,
วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, เป็นทป่ี ระชุมแหง่ ภิกษทุ ้ังหลาย
โมทะมานา อะภกิ กามงุ ยกั ษ์ทัง้ หลาย ๓ พนั อยทู่ ีเ่ ขาสาตาครี ,ี
ภิกขูนงั สะมิติง วะนงั . มีรศั มีตา่ งๆ กนั
สาตาคริ า ตสิ ะหสั สา มีฤทธิ์ มอี านุภาพ,
ยักขา นานตั ตะวัณณโิ น, มรี ัศมี มยี ศ
อทิ ธมิ ันโต ชุติมนั โต
วัณณะวนั โต ยะสสั สิโน,
95
โมทะมานา อะภิกกามุง ยนิ ดมี ุ่งมาสู่ป่ามหาวนั ,
ภิกขูนัง สะมติ งิ วะนัง. เป็นท่ีประชมุ แห่งภิกษทุ ั้งหลาย
อจิ เจเต โสฬะสะสะหัสสา ยกั ษ์ทง้ั หลายเหล่านั้น รวมเปน็ หมื่น ๖ พนั ,
ยกั ขา นานตั ตะวัณณิโน, มีรศั มีตา่ งๆ กนั
อทิ ธิมันโต ชุติมนั โต มีฤทธ์ิ มอี านุภาพ,
วณั ณะวันโต ยะสัสสโิ น, มีรัศมี มียศ
โมทะมานา อะภิกกามงุ ยนิ ดมี งุ่ มาสู่ปา่ มหาวัน,
ภิกขูนัง สะมิตงิ วะนงั . เปน็ ทีป่ ระชุมแหง่ ภิกษทุ ้งั หลาย
เวสสามิตตา ปญั จะสะตา ยกั ษ์ท้ังหลาย ๕๐๐ อยู่ที่เขาเวสสามิต,
ยักขา นานัตตะวัณณโิ น, มรี ัศมีตา่ งๆ กัน
อิทธิมันโต ชตุ ิมนั โต มฤี ทธ์ิ มีอานุภาพ,
วณั ณะวันโต ยะสัสสิโน, มรี ัศมี มยี ศ
โมทะมานา อะภิกกามงุ ยนิ ดมี ่งุ มาสู่ปา่ มหาวัน,
ภกิ ขนู งั สะมิตงิ วะนัง. เป็นที่ประชุมแหง่ ภิกษุทง้ั หลาย
กมุ ภิโร ราชะคะหโิ ก ยกั ษช์ อื่ กุมภีร์ อยู่แล้วในกรงุ ราชคฤห์,
เวปลุ ลสั สะ นิเวสะนงั , เขาชือ่ เวปุลละ เป็นที่อยู่ของยักษ์ช่ือกมุ ภีร์น้ัน
ภิยโย นงั สะตะสะหสั สัง ยักษ์ทงั้ หลายแสนเศษ, เขา้ ไปเฝ้า
ยักขานงั ปะยิรุปาสะต,ิ ยักษช์ อ่ื กุมภรี น์ นั้
กมุ ภโิ ร ราชะคะหิโก ยักษช์ อ่ื กมุ ภรี ์ ผอู้ ยู่แลว้ ในกรุงราชคฤห,์
โสปาคะ สะมติ งิ วะนัง, แมน้ ้ัน กไ็ ดม้ าแล้วสู่ปา่ มหาวนั ,
เปน็ ทีป่ ระชุมแห่งภิกษทุ ัง้ หลาย
ปรุ ิมัญจะ ทิสงั ราชา ท้าวธตรฐ ผอู้ ยดู่ า้ นทศิ บูรพา,
ธะตะรัฏโฐ ปะสาสะต,ิ ปกครองอยซู่ งึ่ ทศิ นน้ั
คนั ธัพพานงั อาธปิ ะติ เปน็ อธิบดีของพวกคนธรรพ์,
มะหาราชา ยะสัสสิ โส, เธอเป็นมหาราช มยี ศ
ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว แมบ้ ตุ รท้ังหลายของเธอเป็นอันมาก,
อินทะนามา มะหัพพะลา, มีนามวา่ อินทร์ มีกำลงั มาก
อทิ ธมิ ันโต ชุติมันโต มฤี ทธ์ิ มอี านภุ าพ,
วัณณะวนั โต ยะสสั สโิ น, มรี ศั มี มยี ศ
โมทะมานา อะภิกกามุง ยนิ ดมี งุ่ มาสูป่ ่ามหาวนั ,
ภิกขนู ัง สะมติ งิ วะนัง. เปน็ ท่ปี ระชมุ แหง่ ภกิ ษทุ ั้งหลาย
96
ทักขณิ ัญจะ ทสิ งั ราชา ท้าววริ ุฬหก ผู้อยดู่ ้านทศิ ทกั ษิณ,
วริ ฬุ ๎โห ตปั ปะสาสะต,ิ ปกครองอยูซ่ ง่ึ ทิศนั้น
กุมภัณฑานงั อาธิปะติ เป็นอธิบดีของพวกกมุ ภณั ฑ,์
มะหาราชา ยะสัสสิ โส, เธอเป็นมหาราช มียศ
ปตุ ตาปิ ตสั สะ พะหะโว แมบ้ ุตรทง้ั หลายของเธอเปน็ อนั มาก,
อนิ ทะนามา มะหพั พะลา, มีนามวา่ อนิ ทร์ มีกำลังมาก
อิทธิมนั โต ชตุ ิมนั โต มีฤทธ์ิ มอี านุภาพ,
วณั ณะวนั โต ยะสสั สโิ น, มีรัศมี มยี ศ
โมทะมานา อะภกิ กามงุ ยินดีมงุ่ มาสู่ปา่ มหาวัน,
ภิกขูนัง สะมติ งิ วะนงั . เป็นที่ประชมุ แหง่ ภิกษทุ ั้งหลาย
ปจั ฉิมญั จะ ทิสัง ราชา ท้าววิรูปกั ข์ ผอู้ ยู่ดา้ นทศิ ปจั จมิ ,
วิรูปกั โข ปะสาสะติ, ปกครองอยูซ่ ง่ึ ทศิ น้ัน
นาคานัง อาธปิ ะต ิ เป็นอธบิ ดีของพวกนาค,
มะหาราชา ยะสัสสิ โส, เธอเปน็ มหาราช มยี ศ
ปุตตาปิ ตสั สะ พะหะโว แมบ้ ุตรทง้ั หลายของเธอเป็นอนั มาก,
อินทะนามา มะหัพพะลา, มีนามวา่ อนิ ทร์ มีกำลังมาก
อิทธิมันโต ชตุ มิ นั โต มฤี ทธ์ิ มอี านุภาพ,
วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ
โมทะมานา อะภิกกามงุ ยินดีม่งุ มาสู่ป่ามหาวัน,
ภกิ ขนู ัง สะมิตงิ วะนัง. เป็นทป่ี ระชมุ แห่งภกิ ษุทง้ั หลาย
อุตตะรญั จะ ทิสงั ราชา ทา้ วกเุ วร ผ้อู ยดู่ า้ นทิศอดุ ร,
กุเวโร ตปั ปะสาสะต,ิ ปกครองอยู่ซงึ่ ทศิ น้ัน
ยักขานงั อาธปิ ะต ิ เปน็ อธบิ ดขี องพวกยักษ,์
มะหาราชา ยะสสั สิ โส, เธอเป็นมหาราช มียศ
ปุตตาปิ ตสั สะ พะหะโว แม้บุตรท้งั หลายของเธอเป็นอนั มาก,
อินทะนามา มะหพั พะลา, มนี ามวา่ อินทร์ มกี ำลังมาก
อทิ ธมิ ันโต ชตุ มิ ันโต มีฤทธ์ิ มีอานภุ าพ,
วัณณะวันโต ยะสัสสโิ น, มีรัศมี มียศ
โมทะมานา อะภิกกามุง ยินดมี ุ่งมาสู่ป่ามหาวัน,
ภกิ ขนู ัง สะมติ ิง วะนัง. เปน็ ที่ประชุมแห่งภกิ ษทุ ง้ั หลาย
97
ปรุ มิ ะทิสงั ธะตะรฏั โฐ ท้าวธตรฐเป็นใหญ่ทศิ บูรพา,
ทกั ขิเณนะ วิรฬุ ห๎ ะโก, ท้าววริ ฬุ หกเปน็ ใหญท่ ิศทกั ษิณ
ปัจฉเิ มนะ วิรูปักโข ท้าววริ ูปักขเ์ ป็นใหญท่ ศิ ปจั จมิ ,
กเุ วโร อตุ ตะรงั ทสิ ัง, ทา้ วกุเวรเปน็ ใหญ่ทิศอุดร
จตั ตาโร เต มะหาราชา มหาราชทง้ั ๔ นนั้ ,
สะมันตา จะตโุ ร ทสิ า, ยงั ทิศทง้ั ๔ โดยรอบให้รุ่งเรอื ง,
ทัททัลละมานา อฏั ฐงั สุ ประทบั อยใู่ นปา่ มหาวัน
วะเน กาปลิ ะวตั ถะเว, ใกลก้ รงุ กบิลพัสด์
ุ
เตสัง มายาวิโน ทาสา บ่าวทัง้ หลายของมหาราชท้งั ๔ น้นั ,
อาคู วัญจะนิกา สะฐา, มมี ายาลอ่ ลวงโออ้ วดเจ้าเลห่ ์ มาดว้ ยกัน คือ
มายา กุเฏณฑุ เวเฏณฑุ กุเฏณฑุ ๑ เวเฏณฑุ ๑ วฏิ ู ๑
วฏิ ู จะ วิฏโุ ต สะหะ, วิฏตุ ะ ๑
จนั ทะโน กามะเสฏโฐ จะ จนั ทนะ ๑ กามเสฏฐะ ๑
กินนุฆัณฑุ นิฆณั ฑุ จะ, กินนุฆัณฑุ ๑ นิฆณั ฑุ ๑
ปะนาโท โอปะมญั โญ จะ ปนาทะ ๑ โอปมญั ญะ ๑
เทวะสโู ต จะ มาตะล,ิ เทวะสูตะ ๑ มาตลิ ๑
จติ ตะเสโน จะ คันธัพโพ จิตตเสนะ ๑ คนั ธพั พะ ๑
นะโฬราชา ชะโนสะโภ, นโฬราชะ ๑ ชโนสภะ ๑
อาคู ปญั จะสโิ ข เจวะ ปัญจสขิ ะ ๑ ติมพรู ๑ สรุ ิยวจั ฉสา ๑
ตมิ พะรู สุริยะวัจฉะสา, ก็มาท้ังนั้น
เอเต จญั เญ จะ ราชาโน คันธรรพราชาทง้ั หลายเหลา่ น้ัน
คันธัพพา สะหะ ราชุภิ, และเหล่าอื่น, กับดว้ ยเทวราชทัง้ หลาย
โมทะมานา อะภิกกามุง ยนิ ดีมงุ่ มาสู่ปา่ มหาวัน,
ภกิ ขนู ัง สะมิติง วะนงั . เป็นท่ปี ระชมุ แหง่ ภกิ ษทุ ัง้ หลาย
อะถาคู นาภะสา นาคา อนงึ่ นาคทง้ั หลายอยู่ในสระ ชื่อนาสภะบา้ ง,
เวสาลา สะหะตัจฉะกา, อยู่ในเมืองเวสาลบี ้าง, กับด้วยบริษัทแหง่
ตจั ฉกนาคราช กม็ า
กัมพะลัสสะตะรา อาคู กมั พลนาคและอัสสตรนาคก็มา,
ปายาคา สะหะ ญาตภิ ,ิ นาคผูอ้ ย่ใู นป่า ชอ่ื ปายาคะ,
กับด้วยญาตทิ งั้ หลาย ก็มา
98
ยามนุ า ธะตะรฏั ฐา จะ นาคผอู้ ยใู่ นแม่น้ำยมุนา เกดิ ใน
อาคู นาคา ยะสัสสิโน, สกุลธตรฐ, ผูม้ ียศบรวิ าร ก็มา
เอราวณั โณ มะหานาโค เอราวณั เทพบตุ รผูเ้ ปน็ ช้างใหญ่,
โสปาคะ สะมติ งิ วะนงั , แมเ้ ขากม็ าสปู่ า่ มหาวนั , เปน็ ทป่ี ระชมุ แหง่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย
เย นาคะราเช สะหะสา สัตว์ทวิชาตเิ ป็นทิพย์ มีปีกมตี าอัน
หะรันติ, ทิพพา ทชิ า บริสุทธิ์, คือพญาครฑุ เหล่าใด,
ปกั ขิ วิสทุ ธะจักขู, นำนาคราชไปได้ โดยฉับพลัน
เวหายะสา เต พญาครุฑเหล่าน้นั ได้มาโดยอากาศ,
วะนะมชั ฌะปัตตา, ถงึ ท่ามกลางแห่งป่ามหาวนั ,
จติ ร๎ า สปุ ัณณา อติ ิ เตสะ นามัง, ชอ่ื ของพญาครุฑเหล่านัน้ วา่ จติ รสุบรรณ
อะภะยันตะทา นาคะราชานะมาส,ิ ในกาลนนั้ อภยั ได้มีแลว้ แก่นาคราชท้ังหลาย,
สปุ ณั ณะโต เขมะมะกาสิ พทุ โธ, พระพทุ ธเจา้ ได้ทรงกระทำพญานาค,
ใหเ้ กษมจากพญาสบุ รรณ
สณั ห๎ าหิ วาจาหิ อุปะวะหะยันตา, พญานาคกับพญาสุบรรณ, เจรจากนั
นาคา สุปัณณา ด้วยวาจาไพเราะ, กระทำพระพทุ ธเจา้ ให้เป็นสรณะ
สะระณะมะกงั สุ พทุ ธัง,
ชิตา วะชิระหตั เถนะ พวกอสรู ซ่งึ อยใู่ นสมุทร, อนั วชริ หตั ถ์
สะมทุ ทัง อะสุรา สิตา, คอื พระอินทร์ ได้รบชนะแล้ว
ภาตะโร วาสะวัสเสเต นาคและสบุ รรณน้ัน เป็นผ้มู ีฤทธิ์ มียศ,
อทิ ธิมันโต ยะสัสสิโน, เคยเป็นพ่นี อ้ งของท้าววาสวะ คือพระอินทร
์
กาละกัญชา มะหาภิส๎มา พวกกาลกัญชาอสรู มีกายใหญ่พลิ กึ ก็มา,
อะสรุ า ทานะเวฆะสา, พวกทานะเวฆะสาอสรู ก็มา
เวปะจิตติ สจุ ิตติ จะ เวปจติ ติอสูรกม็ า สจุ ติ ติอสูรกม็ า,
ปะหาราโท นะมุจี สะหะ, และปหาราทอสูรกม็ า, นมจุ พี ญามารก็มาดว้ ย
สะตัญจะ พะลปิ ุตตานงั บุตรของพลอิ สูร ๑ ร้อย,
สพั เพ เวโรจะนามะกา, มีชือ่ วา่ ไพโรจน์ทั้งหมด
สันนัยหิตว๎ า พะลิง เสนัง ผกู สอดเครื่องเสนาอันมีกำลงั ,
ราหุภทั ทะมปุ าคะมุง, เขา้ ไปใกลอ้ สุรินทราหูแลว้ กล่าววา่
สะมะโยทานิ ภทั ทันเต ดูก่อนท่านผู้เจรญิ บัดนเ้ี ปน็ สมัยกาลทป่ี ระชุมกนั ,
ภิกขนู ัง สะมิติง วะนงั . ดังนแ้ี ลว้ ได้เข้าไปสู่ป่ามหาวนั ,
เปน็ ทีป่ ระชุมแห่งภิกษทุ ง้ั หลาย
99
อาโป จะ เทวา ปะฐะวี จะ เทวดาทง้ั หลาย ชอ่ื อาโปด้วย ชอื่ ปฐวีด้วย,
เตโช วาโย ตะทาคะมุง, ช่ือเตโชดว้ ย ชอื่ วาโยด้วย ก็มาในกาลนัน้
วะรุณา วารณุ า เทวา เทวดาท้งั หลาย ชอ่ื วรณุ ะดว้ ย ช่ือ วารุณะดว้ ย,
โสโม จะ ยะสะสา สะหะ, ช่อื โสมะ และช่อื ยสะ กม็ าด้วยกัน
เมตตากะรณุ ากายกิ า เทวดาทั้งหลาย ผู้บงั เกดิ แลว้ ,
อาคู เทวา ยะสสั สโิ น, ดว้ ยเมตตาและกรณุ าฌาน, เปน็ ผ้มู ียศ ก็มา
ทะเสเต ทะสะธา กายา พวกแหง่ เทวดาทั้งหลาย ๑๐ เหล่านี,้
สพั เพ นานัตตะวณั ณิโน, ตั้งอย่แู ล้วโดยส่วน ๑๐,
ล้วนมรี ศั มีตา่ งๆ กันทง้ั หมด
อทิ ธมิ นั โต ชตุ ิมนั โต มีฤทธิ์ มอี านภุ าพ,
วณั ณะวนั โต ยะสัสสโิ น, มีรศั มี มียศ
โมทะมานา อะภิกกามุง ยินดมี ่งุ มาสปู่ า่ มหาวนั ,
ภกิ ขูนัง สะมติ ิง วะนัง. เป็นท่ปี ระชมุ แห่งภิกษทุ ั้งหลาย
เวณฑู จะ เทวา สะหะลี จะ เทวดาท้ังหลาย ช่อื เวณฑดู ว้ ย ชื่อสหลีดว้ ย,
อะสะมา จะ ทุเว ยะมา, ชอื่ อสมาดว้ ย ชอื่ ยะมะดว้ ย ทั้ง ๒ พวก กม็ า
จนั ทัสสูปะนิสา เทวา เทวดาท้ังหลายผูอ้ าศยั พระจันทร,์
จนั ทะมาคู ปุรักขิตา, กระทำพระจันทรไ์ วเ้ บอ้ื งหนา้ ก็มา
สรุ ยิ สั สูปะนิสา เทวา เทวดาทัง้ หลายผ้อู าศยั พระอาทติ ย์,
สรุ ิยะมาคู ปุรักขิตา, กระทำพระอาทติ ย์ไว้เบอื้ งหนา้ ก็มา
นกั ขตั ตานิ ปุรักขิตว๎ า เทวดาทัง้ หลาย, กระทำนกั ษตั รฤกษ
์
อาคู มนั ทะพะลาหะกา, ทง้ั หลายไว้เบ้ืองหนา้ ก็มา,
มนั ทะพะลาหกเทวดาทงั้ หลายก็มา
วะสนู งั วาสะโว เสฏโฐ แม้ท้าวสกั กะวาสะวะ ปุรนิ ทะทะ, ผปู้ ระเสรฐิ
สักโกปาคะ ปุรินทะโท, กว่าสรุ เทวดาทัง้ หลายกเ็ สด็จมา
ทะเสเต ทะสะธา กายา หมู่แห่งเทวดาท้งั หลาย ๑๐ เหลา่ นี้,
สัพเพ นานัตตะวณั ณิโน, ต้ังอยแู่ ลว้ โดยสว่ น ๑๐,
ลว้ นมรี ัศมตี า่ งๆ กันทั้งหมด
อทิ ธมิ นั โต ชุติมันโต มีฤทธ์ิ มีอานภุ าพ,
วัณณะวันโต ยะสสั สโิ น, มรี ศั มี มียศ
100