The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2022-07-19 22:32:15

สวดมนต์แปล

สวดมนต์แปล

บทสวดมนตต์ ่างๆ และบทแผเ่ มตตา

ธาตุปะฏกิ ลู ะปัจจะเวกขะณะปาฐะ


หนั ทะ มะยัง ธาตุปะฏกิ ลู ะปจั จะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.

(เชิญเถดิ เราทง้ั หลาย, จงสวดบาลเี ป็นเครอ่ื งพจิ ารณาปัจจัย ๔

โดยความเป็นธาตปุ ฏิกลู เถดิ )



(พจิ ารณาจวี ร)

ยะถาปัจจะยัง ปะวตั ตะมานัง ธาตมุ ตั ตะเมเวตัง

สงิ่ เหล่าน้ีเปน็ สักวา่ ธาตุตามธรรมชาติเท่าน้นั ,

กำลังเป็นไปตามเหตุตามปจั จัยอยูเ่ นืองนจิ

ยะททิ ัง จวี ะรงั , ตะทปุ ะภุญชะโก จะ ปุคคะโล

สง่ิ เหล่านีค้ ือ จีวร (อบุ าสก-อุบาสิกาว่า อาภรณ์), และคนผู้ใชส้ อยจวี รนนั้

ธาตุมัตตะโก เป็นสักวา่ ธาตตุ ามธรรมชาติ

นสิ สัตโต มไิ ด้เป็นสัตวะอนั ยงั่ ยนื

นชิ ชีโว มใิ ช่ชีวะอันเปน็ บรุ ษุ บคุ คล

สญุ โญ, วา่ งเปล่าจากความหมายแห่งความเปน็ ตัวตน

สัพพานิ ปะนะ อมิ านิ จีวะรานิ อะชคิ ุจฉะนยี าน,ิ

กจ็ วี รท้ังหมดนี้ ไม่เปน็ ของนา่ เกลียดมาแต่เดิม

อมิ งั ปูติกายงั ปตั ว๎ า ครัน้ มาถูกเข้ากับกายอนั เน่าอย่เู ป็นนจิ นแี้ ลว้ ,

อะติวิยะ ชคิ ุจฉะนยี านิ ชายันต.ิ ย่อมกลายเป็นของน่าเกลียดอย่างย่ิงไปด้วยกนั

(พจิ ารณาอาหาร)

ยะถาปัจจะยงั ปะวตั ตะมานงั ธาตุมตั ตะเมเวตงั

ส่ิงเหลา่ นี้เปน็ สกั ว่าธาตุตามธรรมชาตเิ ทา่ นัน้ ,

กำลังเป็นไปตามเหตุตามปจั จยั อยู่เนืองนิจ

ยะทิทัง ปิณฑะปาโต, ตะทปุ ะภญุ ชะโก จะ ปุคคะโล

สงิ่ เหลา่ นี้คอื อาหารบณิ ฑบาต, และคนผู้บรโิ ภคอาหารบณิ ฑบาตนัน้

ธาตุมตั ตะโก เปน็ สกั ว่าธาตตุ ามธรรมชาต

นสิ สตั โต มิไดเ้ ปน็ สัตวะอนั ย่ังยืน

นิชชีโว มใิ ช่ชีวะอันเป็นบรุ ุษบคุ คล

สุญโญ, ว่างเปลา่ จากความหมายแหง่ ความเปน็ ตวั ตน

สพั โพ ปะนายัง ปิณฑะปาโต อะชิคุจฉะนีโย,

ก็อาหารบณิ ฑบาตทงั้ หมดนี้ ไม่เปน็ ของนา่ เกลยี ดมาแตเ่ ดมิ


151

อมิ งั ปูติกายงั ปตั ว๎ า คร้ันมาถูกเข้ากับกายอันเน่าอย่เู ป็นนจิ นแ้ี ลว้ ,

อะตวิ ยิ ะ ชคิ ุจฉะนโี ย ชายะต.ิ ยอ่ มกลายเป็นของน่าเกลียดอยา่ งยง่ิ ไปด้วยกนั


(พิจารณาทอี่ ย่อู าศยั )

ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานงั ธาตุมตั ตะเมเวตัง

สิง่ เหลา่ นเ้ี ป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติเทา่ น้นั ,

กำลงั เป็นไปตามเหตตุ ามปจั จยั อยู่เนอื งนิจ

ยะทิทัง เสนาสะนัง, ตะทุปะภญุ ชะโก จะ ปุคคะโล

สิ่งเหลา่ นคี้ อื เสนาสนะ, และคนผ้ใู ช้สอยเสนาสนะน้นั

ธาตุมตั ตะโก เปน็ สักว่าธาตุตามธรรมชาติ

นิสสัตโต มิไดเ้ ปน็ สัตวะอันย่ังยืน

นิชชโี ว มใิ ชช่ ีวะอันเปน็ บรุ ษุ บคุ คล

สญุ โญ, วา่ งเปลา่ จากความหมายแห่งความเปน็ ตัวตน

สพั พานิ ปะนะ อิมานิ เสนาสะนานิ อะชคิ ุจฉะนียาน,ิ

กเ็ สนาสนะทั้งหมดนี้ ไมเ่ ป็นของนา่ เกลียดมาแตเ่ ดิม

อมิ ัง ปูตกิ ายัง ปตั ว๎ า คร้นั มาถกู เขา้ กบั กายอนั เน่าอยเู่ ปน็ นจิ น้แี ล้ว,

อะติวิยะ ชิคจุ ฉะนยี านิ ชายนั ต.ิ ย่อมกลายเป็นของน่าเกลียดอย่างยง่ิ ไปด้วยกนั


(พจิ ารณายารักษาโรค)

ยะถาปจั จะยงั ปะวตั ตะมานงั ธาตมุ ัตตะเมเวตงั

สิ่งเหล่านเ้ี ป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติเทา่ นั้น,

กำลังเป็นไปตามเหตตุ ามปัจจยั อยู่เนอื งนิจ

ยะทิทัง คิลานะปัจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล

สง่ิ เหล่านคี้ ือ เภสัชบรขิ ารอันเกอื้ กลู แก่คนไข,้ และคนผู้บรโิ ภคเภสัชบริขารนนั้

ธาตุมตั ตะโก เป็นสักว่าธาตตุ ามธรรมชาติ

นิสสตั โต มไิ ด้เปน็ สัตวะอนั ยงั่ ยืน

นชิ ชีโว มิใช่ชวี ะอันเป็นบรุ ษุ บุคคล

สญุ โญ, วา่ งเปล่าจากความหมายแห่งความเปน็ ตวั ตน

สัพโพ ปะนายงั คิลานะปจั จะยะเภสชั ชะปะรกิ ขาโร อะชิคุจฉะนีโย,

กค็ ลิ านเภสัชบรขิ ารท้ังหมดนี,้ ไม่เป็นของนา่ เกลียดมาแตเ่ ดมิ

อมิ งั ปูตกิ ายงั ปตั ๎วา คร้ันมาถกู เข้ากับกายอันเนา่ อย่เู ปน็ นิจนีแ้ ลว้ ,

อะตวิ ยิ ะ ชิคุจฉะนโี ย ชายะติ. ยอ่ มกลายเป็นของน่าเกลยี ดอยา่ งยง่ิ ไปดว้ ยกัน ดงั น้


152

ตงั ขะณกิ ะปัจจะเวกขะณะปาฐะ


หนั ทะ มะยงั ตงั ขะณิกะปัจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส

(เชญิ เถิด เราทัง้ หลาย, จงกลา่ วบาลเี ปน็ เคร่อื งพจิ ารณาปัจจัย ๔ ในขณะนี้เถดิ )



(พจิ ารณากอ่ นใช้สอยจีวร)

ปะฏสิ งั ขา โยนโิ ส จวี ะรงั ปะฏเิ สวาม,ิ เรายอ่ มพจิ ารณาโดยแยบคายแลว้ นงุ่ หม่ จวี ร

ยาวะเทวะ สตี สั สะ ปะฏิฆาตายะ, เพยี งเพ่อื บำบัดความหนาว

อณุ ห๎ สั สะ ปะฏิฆาตายะ, เพือ่ บำบดั ความรอ้ น

ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสริ ิงสะปะสมั ผัสสานัง ปะฏฆิ าตายะ,

เพอื่ บำบดั สัมผสั อนั เกิดจากเหลือบ ยงุ ลม แดด, และสัตว์เล้อื ยคลานท้ังหลาย

ยาวะเทวะ หิรโิ กปนิ ะปะฏจิ ฉาทะนตั ถงั .

และเพียงเพอ่ื ปกปิดอวัยวะอันให้เกดิ ความละอาย


(พิจารณากอ่ นบริโภคอาหาร)


ปะฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาตงั ปะฏิเสวาม,ิ

เรายอ่ มพจิ ารณาโดยแยบคายแลว้ บริโภคบิณฑบาต

เนวะ ท๎วายะ นะ มะทายะ นะ มณั ฑะนายะ นะ วภิ สู ะนายะ,

ไม่ใชเ่ ป็นไปเพ่ือความเพลดิ เพลนิ สนุกสนาน, ไมใ่ ช่เปน็ ไปเพอ่ื ความเมามนั ,

ไม่ใชเ่ ป็นไปเพอ่ื ประดบั , ไมใ่ ช่เปน็ ไปเพื่อตกแต่ง

ยาวะเทวะ อมิ ัสสะ กายัสสะ ฐติ ยิ า ยาปะนายะ

วหิ ิงสปุ ะระติยา พ๎รหั ๎มะจะรยิ านคุ คะหายะ,

แตใ่ ห้เปน็ ไปเพยี งเพ่อื ความต้ังอยไู่ ด้แห่งกายน,ี้ เพ่ือความเป็นไปได้ของอตั ภาพ,

เพือ่ ระงับความลำบากทางกาย, เพอื่ อนุเคราะหแ์ ก่การประพฤติพรหมจรรย์

อิติ ปรุ านัญจะ เวทะนงั ปะฏหิ งั ขามิ นะวัญจะ เวทะนงั นะ อปุ ปาเทสสาม,ิ

ดว้ ยการทำอยา่ งน,ี้ เราย่อมระงบั เสียได้ ซ่ึงทกุ ขเวทนาเกา่ คอื ความหิว,

และไม่ทำทกุ ขเวทนาใหมใ่ หเ้ กิดขึ้น

ยาตร๎ า จะ เม ภะวสิ สะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวหิ าโร จาติ.

อน่ึง ความเป็นไปโดยสะดวกแหง่ อตั ภาพนีด้ ว้ ย, ความเปน็ ผู้หาโทษมไิ ด้ดว้ ย,

และความเป็นอยโู่ ดยผาสกุ ดว้ ย, จกั มแี ก่เรา ดงั นี้


153

(พจิ ารณากอ่ นใช้สอยเสนาสนะ)

ปะฏิสงั ขา โยนิโส เสนาสะนัง ปะฏเิ สวาม,ิ

เรายอ่ มพิจารณาโดยแยบคายแล้วใชส้ อยเสนาสนะ

ยาวะเทวะ สีตสั สะ ปะฏิฆาตายะ, เพยี งเพือ่ บำบดั ความหนาว

อณุ ๎หสั สะ ปะฏิฆาตายะ, เพอ่ื บำบัดความร้อน

ฑงั สะมะกะสะวาตาตะปะสริ งิ สะปะสมั ผสั สานัง ปะฏิฆาตายะ,

เพื่อบำบดั สัมผัสอันเกดิ จากเหลอื บ ยงุ ลม แดด, และสตั วเ์ ลอ้ื ยคลานท้งั หลาย

ยาวะเทวะ อุตปุ ะรสิ สะยะวิโนทะนงั ปะฏสิ ลั ลานารามตั ถงั .

เพียงเพ่ือบรรเทาอันตรายอนั จะพงึ มจี ากดินฟ้าอากาศ,

และเพือ่ ความเปน็ ผู้ยินดีในทีห่ ลกี เร้นสำหรบั ภาวนา


(พิจารณาก่อนบริโภคยา)


ปะฏสิ งั ขา โยนโิ ส คลิ านะปจั จะยะเภสัชชะปะรกิ ขารัง ปะฏเิ สวาม,ิ

เราย่อมพจิ ารณาโดยแยบคายแล้ว, บรโิ ภคเภสชั บรขิ ารอนั เกือ้ กูลแก่คนไข้

ยาวะเทวะ อุปปันนานัง เวยยาพาธกิ านัง เวทะนานัง ปะฏฆิ าตายะ,

เพยี งเพือ่ บำบดั ทกุ ขเวทนา, อนั บงั เกิดขึ้นแลว้ มอี าพาธต่าง ๆ เป็นมลู

อพั ๎ยาปชั ฌะปะระมะตายาติ.

เพอ่ื ความเป็นผไู้ ม่มโี รคเบยี ดเบียนเปน็ อย่างยิ่ง, ดังน
้ี



อะตตี ะปัจจะเวกขะณะปาฐะ


หนั ทะ มะยงั อะตีตะปจั จะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.


(เชิญเถิด เราทงั้ หลาย, จงกล่าวบาลเี ปน็ เครอื่ งพิจารณาปจั จยั ๔ ทีล่ ว่ งกาลแลว้ เถิด)


(พิจารณาภายหลังการใชส้ อยจวี ร)


อัชชะ มะยา อะปัจจะเวกขิต๎วา ยงั จวี ะรงั ปะริภตุ ตงั ,

จวี ร (อุบาสก-อบุ าสกิ าว่า อาภรณ์) ใดอันเรานุ่งห่มแลว้ ไม่ทนั พจิ ารณาในวันนี้

ตงั ยาวะเทวะ สตี สั สะ ปะฏิฆาตายะ,

จวี รนน้ั เรานุ่งหม่ แล้ว เพยี งเพอ่ื บำบัดความหนาว

อณุ ๎หสั สะ ปะฏิฆาตายะ,

เพอ่ื บำบดั ความร้อน

ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสมั ผัสสานงั ปะฏิฆาตายะ,

เพื่อบำบัดสัมผสั อันเกิดจากเหลอื บ ยุง ลม แดด, และสัตว์เล้อื ยคลานท้ังหลาย


154

ยาวะเทวะ หริ ิโกปินะปะฏจิ ฉาทะนัตถัง.

เพยี งเพ่อื ปกปิดอวยั วะอันให้เกิดความละอาย


(พจิ ารณาภายหลังการบรโิ ภคบิณฑบาต)


อัชชะ มะยา อะปัจจะเวกขติ ๎วา โย ปิณฑะปาโต ปะริภุตโต,

บณิ ฑบาตใดอนั เราบรโิ ภคแลว้ ไม่ทันพิจารณาในวนั นี้

โส เนวะ ท๎วายะ นะ มะทายะ นะ มัณฑะนายะ นะ วภิ สู ะนายะ,

บิณฑบาตน้นั เราบรโิ ภคแล้ว, ไม่ใชเ่ ป็นไปเพ่ือความเพลดิ เพลนิ สนุกสนาน,

ไม่ใชเ่ ปน็ ไปเพ่อื ความเมามนั , ไมใ่ ชเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ประดบั , ไม่ใช่เปน็ ไปเพ่อื ตกแต่ง

ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายสั สะ ฐิตยิ า ยาปะนายะ

วหิ ิงสุปะระติยา พ๎รัหม๎ ะจะริยานคุ คะหายะ,

แตใ่ ห้เป็นไปเพยี งเพื่อความต้ังอยไู่ ด้แหง่ กายนี้, เพอื่ ความเป็นไปได้ของอตั ภาพ,

เพ่อื ระงับความลำบากทางกาย, เพื่ออนเุ คราะหแ์ กก่ ารประพฤตพิ รหมจรรย

อติ ิ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฏหิ งั ขามิ นะวัญจะ เวทะนงั นะ อปุ ปาเทสสาม,ิ

ดว้ ยการทำอย่างนี้, เราย่อมระงบั เสียได้ ซง่ึ ทุกขเวทนาเกา่ คอื ความหิว,

และไมท่ ำทกุ ขเวทนาใหม่ใหเ้ กดิ ข้นึ

ยาตร๎ า จะ เม ภะวสิ สะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาต.ิ

อนึ่ง ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอตั ภาพนีด้ ้วย, ความเปน็ ผหู้ าโทษมไิ ด้ด้วย,

และความเป็นอยู่โดยผาสกุ ด้วย, จกั มีแก่เรา ดังน
้ี

(พจิ ารณาภายหลังการใชส้ อยเสนาสนะ)


อัชชะ มะยา อะปัจจะเวกขติ ๎วา ยัง เสนาสะนัง ปะริภตุ ตงั ,

เสนาสนะใดอันเราใชส้ อยแลว้ ไม่ทนั พิจารณาในวันน้

ตงั ยาวะเทวะ สตี สั สะ ปะฏิฆาตายะ,

เสนาสนะนนั้ เราใชส้ อยแลว้ เพยี งเพ่ือบำบดั ความหนาว

อณุ ๎หสั สะ ปะฏิฆาตายะ,

เพ่ือบำบดั ความรอ้ น

ฑงั สะมะกะสะวาตาตะปะสิรงิ สะปะสัมผสั สานัง ปะฏิฆาตายะ,

เพือ่ บำบัดสัมผสั อันเกดิ จากเหลอื บ ยงุ ลม แดด, และสตั ว์เล้ือยคลานทัง้ หลาย

ยาวะเทวะ อตุ ุปะรสิ สะยะวโิ นทะนงั ปะฏสิ ลั ลานารามตั ถงั .

เพียงเพื่อบรรเทาอันตราย อนั จะพงึ มจี ากดนิ ฟ้าอากาศ,

และเพ่ือความเปน็ ผยู้ ินดีในท่หี ลีกเร้นสำหรับภาวนา


155

(พิจารณาภายหลังการบริโภคคลิ านเภสัช)


อชั ชะ มะยา อะปัจจะเวกขติ ว๎ า โย คลิ านะปัจจะยะเภสชั ชะปะรกิ ขาโร

ปะริภุตโต,

คิลานเภสชั บรขิ ารใดอนั เราบริโภคแลว้ ไมท่ นั พิจารณาในวนั น้

โส ยาวะเทวะ อุปปนั นานงั เวยยาพาธกิ านงั เวทะนานัง ปะฏิฆาตายะ,

คลิ านเภสัชบรขิ ารน้ันเราบริโภคแล้ว เพยี งเพือ่ บำบดั ทุกขเวทนา,

อนั บังเกิดขน้ึ แลว้ มีอาพาธต่างๆ เป็นมลู

อพั ๎ยาปัชฌะปะระมะตายาติ.

เพอ่ื ความเปน็ ผไู้ ม่มีโรคเบียดเบียนเป็นอยา่ งยงิ่ , ดังนี้




อะภณิ ๎หะปจั จะเวกขะณะปาฐะ


ชะรา ธัมโมม๎หิ ชะรัง อะนะตโี ต, (ตา)*

เรามคี วามแกเ่ ปน็ ธรรมดา จักล่วงพ้นความแก่ไปไมไ่ ด้

พะยาธธิ มั โมมห๎ ิ พะยาธงิ อะนะตีโต, (ตา)*

เรามคี วามเจบ็ ไข้เป็นธรรมดา จักลว่ งพ้นความเจ็บไข้ไปไมไ่ ด

มะระณะธัมโมม๎หิ มะระณัง อะนะตีโต, (ตา)*

เรามคี วามตายเปน็ ธรรมดา จกั ลว่ งพน้ ความตายไปไมไ่ ด

สพั เพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว,

เราจกั ละเว้นเปน็ ตา่ งๆ, คอื ว่าจะตอ้ งไดพ้ ลัดพรากจากของรักของเจริญใจทง้ั ส้ินไป

กัมมสั สะโกม๎หิ กัมมะทายาโท (ทา)* กัมมะโยนิ

กมั มะพนั ธุ กมั มะปะฏิสะระโณ, (ณา)*

เรามีกรรมเปน็ ของของตน, มีกรรมเป็นผ้ใู หผ้ ล,

มีกรรมเปน็ แดนเกดิ , มีกรรมเปน็ ผตู้ ิดตาม, มกี รรมเปน็ ที่พึ่งอาศัย

ยงั กัมมัง กะรสิ สามิ กลั ย๎ าณงั วา ปาปะกงั วา

ตสั สะ ทายาโท (ทา)* ภะวสิ สามิ,

เราจกั ทำกรรมอนั ใดไว้, เปน็ บุญหรอื เป็นบาป,

เราจกั เป็นทายาท, คอื ว่า จะตอ้ งไดร้ ับผลของกรรมน้นั สบื ไป

เอวัง อมั ๎เหหิ อะภณิ ๎หงั ปัจจะเวกขติ ัพพงั .

เราทัง้ หลายควรพจิ ารณาอย่างนี้ ทกุ วันๆ เถดิ


* ในวงเล็บ ( ) สำหรับสตรสี วด


156

กายะคะตาสะตภิ าวะนา


อะยัง โข เม กาโย กายของเราน้ีแล

อทุ ธัง ปาทะตะลา เบ้อื งบนแตพ่ ืน้ เท้าขึ้นมา

อะโธ เกสะมตั ถะกา เบ้ืองตำ่ แตป่ ลายผมลงไป

ตะจะปะริยันโต มหี นังหุ้มอย่เู ปน็ ทสี่ ดุ รอบ

ปโุ ร นานปั ปะการสั สะ อะสจุ โิ น เต็มไปด้วยของไมส่ ะอาดมีประการต่างๆ

อตั ถิ อิมัส๎มงิ กาเย มีอยู่ในกายนี้

เกสา คือ ผมทงั้ หลาย โลมา คอื ขนทงั้ หลาย

นะขา คือ เลบ็ ทง้ั หลาย ทนั ตา คือ ฟนั ทัง้ หลาย

ตะโจ คือ หนงั มังสงั คือ เน้ือ

นะหารู คอื เอ็นท้งั หลาย อัฏฐิ คอื กระดูกทั้งหลาย

อัฏฐิมิญชัง เยอ่ื ในกระดกู วกั กงั ม้าม

หะทะยัง หัวใจ ยะกะนงั ตบั

กโิ ลมะกัง พังผืด ปหิ ะกงั ไต

ปปั ผาสงั ปอด อันตงั ไส้ใหญ

อันตะคณุ งั ไสน้ อ้ ย อทุ ะรยิ ัง อาหารใหม่

กะรสี ัง อาหารเก่า

มัตถะเก มตั ถะลุงคงั เยอ่ื ในสมองศรี ษะ

ปิตตงั น้ำดี เสม๎หงั น้ำเสลด

ปุพโพ น้ำเหลอื ง โลหิตัง น้ำเลอื ด

เสโท นำ้ เหงอ่ื เมโท น้ำมันข้น

อัสสุ น้ำตา วะสา นำ้ มนั เหลว

เขโฬ น้ำลาย สงิ ฆาณกิ า นำ้ มูก

ละสิกา น้ำไขข้อ มตุ ตงั นำ้ มูตร

เอวะมะยัง เม กาโย กายของเรานีอ้ ย่างน้ี

อุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเทา้ ข้นึ มา

อะโธ เกสะมตั ถะกา เบ้ืองต่ำแตป่ ลายผมลงไป

ตะจะปะริยันโต มหี นังหมุ้ อยู่เป็นท่ีสุดรอบ

ปุโร นานัปปะการสั สะ อะสจุ ิโน. เต็มไปด้วยของไมส่ ะอาด

มีประการตา่ งๆ อยา่ งนี้แล


157

คำนมสั การรอยพระพทุ ธบาท


(นำ) หนั ทะ มะยงั ปาทะลญั ชะนะปาฐัง ภะณามะ เส.

วันทามิ พุทธงั ภะวะปาระตณิ ณัง,

ข้าพเจ้าขอนมัสการพระพทุ ธเจ้า, ผขู้ า้ มพน้ ฝัง่ แห่งภพ

ตโิ ลกะเกตงุ ติภะเวกะนาถัง,

ผเู้ ป็นธงชยั ของไตรโลก, ผ้เู ปน็ นาถะอนั เอกของไตรภพ

โย โลกะเสฏโฐ สะกะลงั กิเลสงั , เฉต๎วานะ โพเธสิ ชะนงั อะนันตัง.

ผปู้ ระเสริฐในโลก ตดั กิเลสทง้ั สิ้นไดแ้ ล้ว, ช่วยปลกุ ชนหาทสี่ ดุ มไิ ด,้

ใหต้ รสั รมู้ รรคผลและนพิ พาน

ยัง นมั มะทายะ นะทยิ า ปุริเน จะ ตเี ร,

รอยพระบาทใด อันพระพุทธองค์ไดท้ รงแสดงไว้,

ในหาดทรายแทบฝ่ังแม่น้ำนัมมะทา

ยงั สจั จะพันธะคริ เิ ก สมุ ะนา จะ ลคั เค,

รอยพระบาทใด อันพระพทุ ธองค์ได้ทรงแสดงไว,้

เหนือเขาสจั จะพนั ธแ์ ละเหนอื ยอดเขาสมุ ะนา

ยัง ตตั ถะ โยนะกะปเุ ร มนุ โิ น จะ ปาทัง,

รอยพระบาทใด อันพระพุทธองคไ์ ด้ทรงแสดงไว,้ ในเมอื งโยนะกะ

ตงั ปาทะลัญชะนะมะหัง สิระสา นะมาม.ิ

ขา้ พเจา้ ขอนมัสการพระบาท และรอยพระบาทน้ันๆ, ของพระมนุ ดี ว้ ยเศยี รเกล้า

สุวัณณะมาลิเก สวุ ัณณะปพั พะเต, สมุ ะนะกูเฏ

โยนะกะปุเร นมั มะทายะ นะทิยา, ปัญจะปาทะวะรัง

ฐานัง อะหงั วนั ทามิ ทูระโต.

ขา้ พเจ้าขอนมสั การสถานทีม่ รี อยพระบาทอันประเสรฐิ ,

๕ สถานแต่ท่ีไกล, คือท่ีเขาสุวรรณะมาลิกะ ๑, ที่เขาสวุ รรณะบรรพต ๑,

ที่ยอดเขาสุมะนะกูฏ ๑, ทีโ่ ยนะกะบรุ ี ๑, ท่แี ม่นำ้ นมั มะทา ๑

อจิ เจวะมัจจนั ตะนะมสั สะเนยยัง, นะมสั สะมาโน ระตะนัตตะยงั ยงั ,

ขา้ พเจา้ ขอนมสั การอยูซ่ งึ่ พระรัตนตรยั ใด,

อนั บุคคลควรไหว้โดยส่วนย่ิงอย่างน,ี้ ด้วยประการฉะนี

ปญุ ญาภสิ นั ทงั วิปลุ งั อะลตั ถัง,

ได้แลว้ ซง่ึ กองบุญอันไพบลู ย์


158

ตัสสานุภาเวนะ หะตนั ตะราโย.

ขออำนาจแหง่ พระรัตนตรยั นนั้ , จงกำจดั ภัยอนั ตรายเสียเถิด

อามันตะยามิ โว ภกิ ขะเว,

ดูกอ่ นภิกษทุ งั้ หลาย เราขอเตอื นท่านทั้งหลาย

ปะฏิเวทะยามิ โว ภิกขะเว,

ดกู ่อนภกิ ษทุ ั้งหลาย, เราขอให้ท่านทง้ั หลายทราบไวว้ า่

ขะยะวะยะธัมมา สังขารา,

สงั ขารทัง้ หลายมคี วามเสอื่ มสน้ิ ไปเป็นธรรมดา

อัปปะมาเทนะ สมั ปาเทถาต.ิ

ขอท่านทงั้ หลายจงยังประโยชนต์ นและประโยชนท์ ่าน,

ให้ถึงพร้อมด้วยความไมป่ ระมาทเถดิ , ดว้ ยประการฉะนี้แล




ทสธรรมสูตร


ทะสะอิเม ภกิ ขะเว ธัมมา ดกู ่อนภิกษทุ ั้งหลาย

ปัพพะชเิ ตนะ ธรรมสบิ ประการน้,ี อนั บรรพชิต

อะภณิ ๎หัง ปจั จะเวกขิตัพพัง, ควรพิจารณาเนอื งๆ

กะตะเม ทะสะ, สบิ อยา่ งนี้คือ

• เววณั ณิยัมหิ อชั ฌปู ะคะโตติ, บัดน้ีเรามีเพศตา่ งจากคฤหสั ถแ์ ล้ว,

อาการกริ ิยาใดๆ ของสมณะ,

เราต้องทำอาการกริ ยิ าน้ันๆ

• ปะระปะฏิพัทธา เม ชวี ิกาต,ิ การเลี้ยงชพี ของเราเน่ืองดว้ ยผู้อน่ื ,

เราควรทำตัวใหเ้ ขาเล้ยี งงา่ ย

• อัญโญ เม อากัปโป กะระณโี ยติ, อาการกายวาจาอยา่ งอน่ื ,

ที่เราจะต้องทำให้ดขี นึ้ ไปกว่าน้,ี

ยงั มีอยูอ่ ีก มิใชเ่ พียงเทา่ นี

• กจั จิ นุ โข เม อตั ตา ตวั เราเองตเิ ตยี นตวั เราเอง

สลี ะโต นะ อปุ ะวะทะตีติ, โดยศลี ไดห้ รอื ไม

• กจั จิ นุ โข มัง อะนุวจิ จะ ทา่ นผู้รู้ใคร่ครวญแล้ว,

วญิ ญู สะพร๎ ัหม๎ ะจารี สีละโต ตเิ ตยี นตวั เราโดยศลี

นะ อปุ ะวะทันตีติ, ไดห้ รอื ไม่


159

• สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ เราจะละเว้นเป็นตา่ งๆ, คอื วา่

นานาภาโว วินาภาโวต ิ จะตอ้ งไดพ้ ลดั พรากจากของรัก

ของเจริญใจทงั้ ส้ินไป

• กมั มสั สะโกม๎หิ กมั มะทายาโท เรามกี รรมเปน็ ของๆ ตน,

กมั มะโยนิ กมั มะพันธ ุ มีกรรมเปน็ ผูใ้ ห้ผล, มีกรรมเป็น

กมั มะปะฏสิ ะระโณ, แดนเกดิ , มีกรรมเป็นผู้ติดตาม,

ยงั กัมมัง กะรสิ สามิ มีกรรมเปน็ ที่พ่ึงอาศยั , เราจักทำ

กัลย๎ าณัง วา ปาปะกัง วา กรรมอันใดไว้, เปน็ บุญหรือ

ตสั สะ ทายาโท ภะวสิ สามีติ, เปน็ บาป, เราจกั เป็นทายาท, คือว่า

จกั ตอ้ งไดร้ บั ผลของกรรมนัน้ สบื ไป

• กะถัมภูตัสสะ เม วันคนื ลว่ งไปๆ, บัดนีเ้ รา

รตั ตนิ ทิวา วตี ปิ ะตันตตี ิ, ทำอะไรอยู

• กจั จิ นุ โขหงั เรายินดีในที่สงัดหรอื ไม่

สุญญาคาเร อะภริ ะมามตี ิ,

• อัตถิ นุ โข เม คุณวเิ ศษของเรามอี ยู่หรือไม,่

อตุ ตะรมิ ะนสุ สะธัมมา, ทีจ่ ะทำใหเ้ ราเป็นผไู้ มเ่ กอ้ เขิน,

อะละมะริยะญาณะทัสสะนะวเิ สโส ในเวลาเพ่ือนบรรพชติ

อะธิคะโต, โสหงั ปัจฉเิ ม กาเล ถามในกาลภายหลัง

สะพร๎ หั ๎มะจารีหิ ปุฏโฐ นะ

มงั กุ ภะวสิ สามตี ,ิ

อิเม โข ภิกขะเว ทะสะ ธมั มา ดูก่อนภกิ ษุทั้งหลาย ธรรมสบิ ประการน
ี้
ปัพพะชิเตนะ อันบรรพชิต,

อะภณิ ห๎ งั ปจั จะเวกขติ ัพพาติ. ควรพิจารณาเนอื งๆ อยา่ งนี้แล




คนผู้มที รพั ย์มาก มเี งนิ ทองของกินเหลือเฟือ

กินของอร่อยเพยี งคนเดยี ว นั้นเปน็ ทางแหง่ ความเส่อื ม


160

พรหมวหิ าระผะระณะปาฐะ


หนั ทะ มะยงั พร๎ ห๎มะวิหาระผะระณะปาฐัง ภะณามะ เส.

(เชิญเถิด เราท้ังหลาย, จงสวดแผ่ธรรมอนั เป็นเครอ่ื งอยู่ของพรหม เถดิ )



(คำแผ่เมตตาตนเอง)

อะหงั สขุ ิโต โหมิ, ขอให้ขา้ พเจ้าจงมคี วามสขุ

นิททกุ โข โหมิ, จงเปน็ ผปู้ ราศจากทุกข์

อะเวโร โหม,ิ จงเปน็ ผปู้ ราศจากเวร

อพั ย๎ าปชั โฌ โหมิ, จงเป็นผู้ไม่พยาบาทเบียดเบียนซึง่ กันและกัน

อะนีโฆ โหม,ิ จงเปน็ ผู้ไม่มที กุ ขก์ ายทุกข์ใจ

สุขี อัตตานงั ปะรหิ ะราม.ิ จงรกั ษาตนอยเู่ ปน็ สุขเถดิ



(เมตตาสัตว์)

สัพเพ สตั ตา สุขติ า โหนตุ, ขอสตั วท์ งั้ หลายทงั้ ปวง, จงเปน็ ผถู้ งึ ความสขุ เถดิ

สพั เพ สัตตา อะเวรา โหนต,ุ ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง, จงเป็นผู้ไมม่ ีเวรกันเถดิ

สพั เพ สตั ตา อัพย๎ าปชั ฌา โหนต,ุ ขอสตั ว์ทงั้ หลายท้งั ปวง,

จงอยา่ ได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกนั และกันเถิด

สัพเพ สัตตา อะนีฆา โหนตุ, ขอสัตว์ทง้ั หลายทั้งปวง,

จงเปน็ ผ้ไู มม่ ีทกุ ข์กายทกุ ข์ใจเถดิ

สัพเพ สตั ตา สุขี อัตตานงั ขอสัตว์ทงั้ หลายทง้ั ปวง, จงรักษาตน

ปะริหะรันต,ุ อย่เู ปน็ สุขเถิด



(กรุณา)

สัพเพ สัตตา สัพพะทกุ ขา ขอสตั วท์ ั้งหลายทงั้ ปวง, จงพน้ จากทกุ ข์

ปะมุจจันตุ, ทั้งมวลเถิด



(มทุ ิตา)

สัพเพ สตั ตา ลทั ธะสัมปัตติโต ขอสตั วท์ ง้ั หลายทั้งปวง,

มา วิคจั ฉันต,ุ จงอยา่ ได้พรากจากสมบตั ิอนั ตนไดแ้ ล้วเถดิ




161

(อุเบกขา)


สัพเพ สตั ตา กัมมัสสะกา กมั มะทายาทา กัมมะโยนิ กัมมะพนั ธ

กัมมะปะฏิสะระณา,

สัตวท์ ง้ั หลายท้ังปวง, มีกรรมเป็นของของตน, มกี รรมเป็นผู้ให้ผล,

มีกรรมเป็นแดนเกิด, มีกรรมเป็นผู้ตดิ ตาม, มีกรรมเปน็ ท่พี ึง่ อาศัย

ยงั กมั มงั กะรสิ สนั ติ กัลย๎ าณัง วา ปาปะกัง วา ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสนั ติ.

จักทำกรรมอนั ใดไว้ เป็นบญุ หรอื เป็นบาป,

จกั ต้องเป็นทายาท, คอื ว่า จกั ต้องไดร้ ับผลของกรรมนน้ั สืบไป




คำแผ่เมตตาอุทิศส่วนกศุ ล


สัพเพ สัตตา สะทา โหนตุ อะเวรา สุขะชีวโิ น,

ขอให้สัตวท์ ั้งหลาย อยา่ ได้มีเวรแกก่ ันและกันเลย,

จงเป็นผ้ดู ำรงชพี อยูเ่ ปน็ สขุ ทุกเมือ่ เถดิ

กะตัง ปุญญังผะลงั มยั ๎หงั สพั เพ ภาคี ภะวันตุ เต.

ขอให้สตั วท์ ัง้ หลาย จงได้เสวยผลบญุ ,

ท่ขี ้าพเจา้ ได้บำเพญ็ ดว้ ย กาย วาจา ใจ แล้วนัน้ เทอญ




อุททิสสะนาธิฏฐานะคาถา


หนั ทะ มะยงั อุททสิ สะนาธฏิ ฐานะคาถาโย ภะณามะ เส.

(เชิญเถิด เราทงั้ หลาย, จงสวดคาถาอทุ ิศบญุ และอธิษฐานเถดิ )



อมิ ินา ปุญญะกัมเมนะ ด้วยบุญน้ีอทุ ศิ ให้

อุปชั ฌายา คุณตุ ตะรา, อปุ ัชฌายผ์ เู้ ลิศคุณ

อาจะริยปู ะการา จะ แลอาจารยผ์ ูเ้ ก้อื หนุน

มาตาปติ า จะ ญาตะกา, (ปยิ า มะมงั *) ทงั้ พอ่ แม่แลปวงญาติ

สุริโย จนั ทมิ า ราชา สรู ยจ์ นั ทร์และราชา

คณุ ะวันตา นะราปิ จะ, ผูท้ รงคุณหรอื สงู ชาต

พ๎รหั ม๎ ะมารา จะ อินทา จะ พรหมมารและอนิ ทราช

โลกะปาลา จะ เทวะตา, ทั้งทวยเทพและโลกบาล


* ปิยา มะมัง หมายถึง บคุ คลอนั เปน็ ทร่ี ักท้งั ในชาตินีแ้ ละชาติที่ผา่ นๆ มา


162

ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ ยมราชมนษุ ยม์ ติ ร

มชั ฌตั ตา เวรกิ าปิ จะ, ผ้เู ป็นกลาง ผูจ้ องผลาญ

สัพเพ สตั ตา สขุ ี โหนต ุ ขอใหเ้ ป็นสขุ ศานตทิ์ ุกทัว่ หนา้ อยา่ ทุกข์ทน

ปญุ ญานิ ปะกะตานิ เม, บุญผองท่ีขา้ พเจ้าทำ จงชว่ ยอำนวยศุภผล

สขุ ัง จะ ติวธิ ัง เทนต ุ ให้สขุ สามอย่างลน้

ขิปปงั ปาเปถะ โว มะตงั . ให้ลถุ ึงนิพพานพลนั

อิมนิ า ปุญญะกัมเมนะ ด้วยบญุ นี้ท่ีเราทำ

อมิ ินา อทุ ทิเสนะ จะ, แลอทุ ิศให้ปวงสตั ว

ขปิ ปาหงั สลุ ะเภ เจวะ เราพลนั ไดซ้ ึ่งการตัด

ตณั ๎หุปาทานะเฉทะนงั , ตวั ตัณหา อุปาทาน

เย สนั ตาเน หนิ า ธมั มา สิ่งชว่ั ในดวงใจ

ยาวะ นพิ พานะโต มะมงั , กว่าเราจะถงึ นพิ พาน

นสั สนั ตุ สัพพะทา เยวะ มลายสน้ิ จากสนั ดาน

ยตั ถะ ชาโต ภะเว ภะเว, ทุกๆ ภพทเ่ี ราเกิด

อชุ จุ ิตตงั สะติปัญญา มีจติ ตรงและสติ ทัง้ ปัญญาอันประเสริฐ

สลั เลโข วิริยัมห๎ ินา, พรอ้ มทงั้ ความเพียรเลิศเปน็ เครือ่ งขดู กิเลสหาย

มารา ละภนั ตุ โนกาสงั โอกาสอยา่ พงึ มี แกห่ มู่มารสิ้นทัง้ หลาย

กาตุญจะ วริ เิ ยสุ เม, เปน็ ช่องประทุษร้าย ทำลายลา้ งความเพยี รจม

พทุ ธาทปิ ะวะโร นาโถ พระพทุ ธผูบ้ วรนาถ

ธมั โม นาโถ วะรุตตะโม, พระธรรมท่พี งึ่ อดุ ม

นาโถ ปจั เจกะพุทโธ จะ พระปจั เจกะพุทธสม

สงั โฆ นาโถตตะโร มะมงั , ทบพระสงฆท์ พ่ี ง่ึ ผยอง

เตโสตตะมานุภาเวนะ ด้วยอานภุ าพน้ัน

มาโรกาสัง ละภันตุ มา, ขอหมมู่ าร อย่าไดช้ ่อง

ทะสะปญุ ญานุภาเวนะ ดว้ ยเดชบุญท้ังสบิ ปอ้ ง

มาโรกาสงั ละภนั ตุ มา. อย่าเปดิ โอกาสแกม่ าร เทอญ


ความบรสิ ทุ ธแ์ิ ละไมบ่ ริสทุ ธิ์ เปน็ ของรู้ไดเ้ ฉพาะตัว


163

ปัตติทานะคาถา (ยอ่ )


หันทะ มะยัง ปัตติทานะคาถาโย ภะณามะ เส.

(เชญิ เถดิ เราท้งั หลาย, เชิญกล่าวคาถาอทุ ศิ ผลบุญเถิด)



ปุญญัสสิทานิ กะตัสสะ ขอสัตว์ท้ังหลายไม่มที สี่ ดุ ไม่มปี ระมาณ,

ยานัญญานิ กะตานิ เม, จงเปน็ ผู้มสี ่วนแห่งบุญ, ทข่ี ้าพเจา้ ไดท้ ำในบดั นี,้

เตสัญจะ ภาคโิ น โหนตุ แลแหง่ บญุ ท้งั หลายอื่นท่ขี า้ พเจ้าไดท้ ำแลว้

สตั ตานนั ตาปปะมาณะกา,

เย ปยิ า คุณะวนั ตา จะ คือชนเหลา่ ใดเปน็ ท่รี ัก ผู้มีคุณ,

มยั ห๎ งั มาตาปิตาทะโย, มมี ารดาและบดิ าของข้าพเจ้าเปน็ ตน้

ทฏิ ฐา เม จาปย๎ ะทิฏฐา วา ทีข่ ้าพเจ้าไดเ้ หน็ หรอื แมไ้ ม่ได้เห็น, แลสตั ว

อัญเญ มชั ฌตั ตะเวรโิ น, ทง้ั หลายอน่ื ทเี่ ป็นกลาง, แลมีเวรกนั ต้งั อย่ใู นโลก

สตั ตา ติฏฐนั ติ โลกสั ๎มิง

เต ภมุ มา จะตุโยนิกา, เกดิ ในภูมิ ๓ เกิดในกำเนิด ๔,

ปญั เจกะจะตโุ วการา มขี ันธ์ ๕ แลขนั ธ์ ๑ แลขันธ์ ๔,

สังสะรนั ตา ภะวาภะเว, ทอ่ งเทย่ี วอยูใ่ นภพน้อยแลภพใหญ

ญาตงั เย ปตั ตทิ านมั เม สตั วเ์ หล่าใดทราบการใหส้ ่วนบุญของข้าพเจ้าแลว้ ,

อะนุโมทันตุ เต สะยงั , ขอสัตวเ์ หล่าน้ันจงอนโุ มทนาเองเถดิ

เย จมิ ัง นัปปะชานนั ติ กส็ ตั ว์เหลา่ ใด, ยังไม่ทราบการให้สว่ นบญุ ของ

เทวา เตสัง นิเวทะยุง, ข้าพเจา้ นี้, ขอเทพท้ังหลายพึงแจ้งแกส่ ตั ว์เหลา่ น้ัน

มะยา ทนิ นานะ ปญุ ญานัง เพราะเหตคุ ืออนโุ มทนาบญุ ท้ังหลาย

อะนโุ มทะนะเหตุนา, ทข่ี ้าพเจ้าใหแ้ ลว้

สพั เพ สตั ตา สะทา โหนตุ ขอสัตวท์ ้งั ปวง จงอย่ามเี วร อย่เู ป็นสุขเสมอเถิด

อะเวรา สขุ ะชีวโิ น,

เขมัปปะทญั จะ ปปั โปนตุ แลจงถงึ ทางอันเกษมเถิด, ขอความหวงั อันดี

เตสาสา สิชฌะตงั สภุ า. ของสตั ว์เหล่านั้น, จงสำเร็จเทอญ




แม้กายจะกระสบั กระสา่ ย ก็อย่าใหจ้ ิตกระสับกระสา่ ย 


164

เทวะตาทปิ ตั ติทานะคาถา (ย่อ)


หนั ทะ มะยงั เทวะตาทิปตั ตทิ านะคาถาโย ภะณามะ เส.

(เชิญเถิด เราท้ังหลาย, เชญิ กล่าวคาถาอุทศิ สว่ นบุญให้เทวดากนั เถดิ )



ยา เทวะตา สันติ วหิ าระวาสนิ ,ี เทวดาท้งั หลายเหล่าใด, มปี กตอิ ย่ใู นวิหาร

ถูเป ฆะเร โพธิฆะเร ตะหงิ ตะหิง, สงิ สถิตทเ่ี รอื นพระสถปู ทเ่ี รอื นโพธิใ์ นที่นั้นๆ

ตา ธมั มะทาเนนะ ภะวนั ตุ ปชู ติ า, เทวดาทง้ั หลายเหลา่ น้นั ,

เป็นผ้อู นั เราทง้ั หลายบูชาแล้วด้วยธรรมทาน

โสตถงิ กะโรนเตธะ วิหาระมัณฑะเล, ขอจงทำซึ่งความเจรญิ ในมณฑลวิหารน้ี

เถรา จะ มัชฌา นะวะกา จะ ภิกขะโว, พระภกิ ษุทัง้ หลายทีเ่ ป็นเถระกด็ ี,

ทเ่ี ป็นกลางกด็ ี ทยี่ ังใหม่ก็ดี

สารามกิ า ทานะปะตี อปุ าสะกา, อุบาสก-อบุ าสิกาทงั้ หลาย, ทเี่ ป็นทานาบดี

พร้อมดว้ ยอารามิกชนก็ด

คามา จะ เทสา นิคะมา จะ อสิ สะรา, ทีเ่ ปน็ ชาวบา้ นกด็ ี ทเี่ ป็นชาวเมืองก็ดี,

ท่เี ปน็ ชาวนคิ มกด็ ี ทีเ่ ปน็ อสิ ระก็ดี

สัปปาณะภูตา สุขติ า ภะวันตุ เต, ชนท้งั หลายเหลา่ น้นั จงเปน็ ผมู้ ีความสขุ

ทุกเมอื่ เถดิ

ชะลาพชุ า เยปิ จะ อณั ฑะสมั ภะวา, สตั วท์ ้งั หลายท่เี กดิ จากครรภก์ ด็ ,ี

ท่ีเกดิ จากฟองไขก่ ด็ ี

สงั เสทะชาตา อะถะโวปะปาตกิ า, ที่เกิดในเถา้ ไคลก็ดี ทีเ่ กดิ ขน้ึ โตทเี ดยี วก็ดี

นยิ ยานิกัง ธมั มะวะรงั ปะฏิจจะ เต, สัตว์ท้ังหลายแมท้ ้งั ปวงเหล่าน้นั ,

ได้อาศยั ซ่ึงธรรมอันประเสรฐิ

เปน็ นิยยานกิ ธรรม, ประกอบในอนั ทจี่ ะ

นำผ้ปู ฏิบตั ,ิ ใหอ้ อกจากสังสารทกุ ข์

สัพเพปิ ทกุ ขัสสะ กะโรนตุ สงั ขะยัง, จงกระทำซง่ึ ความสนิ้ ไปแหง่ ทกุ ขเ์ ถิด

ฐาตุ จิรงั สะตัง ธัมโม ขอธรรมของสัตบุรุษทัง้ หลายจงตง้ั อยูน่ าน,

ธมั มัทธะรา จะ ปุคคะลา, อน่งึ ขอบุคคลท้ังหลาย,

ผู้ทรงไวซ้ งึ่ ธรรมจงดำรงอยนู่ าน


165

สังโฆ โหตุ สะมคั โค วะ ขอพระสงฆจ์ งมีความสามัคคี

อตั ถายะ จะ หติ ายะ จะ, พรอ้ มเพรียงกนั , ในอันทจี่ ะทำประโยชน ์

และสิง่ อันเกอ้ื กูลเถิด

อัมเ๎ ห รกั ขะตุ สทั ธมั โม ขอพระสัทธรรมจงรักษาไว้ซงึ่ เราทั้งหลาย,

สพั เพปิ ธัมมะจาริโน, ผปู้ ระพฤติธรรมทัง้ ปวงน้นั

วฑุ ฒงิ สัมปาปุเณยยามะ ขอเราท้ังหลาย พงึ ถงึ พร้อมซ่ึงความ

ธัมเม อะรยิ ัปปะเวทเิ ต. เจรญิ ในธรรม, ทพี่ ระอรยิ เจา้ ประกาศไวแ้ ลว้ เถดิ .




ตโิ ลกะวชิ ะยะราชะปตั ตทิ านะคาถา (แบบกรวดน้ำแบบยอ่ )


ยงั กญิ จิ กสุ ะลงั กมั มัง กศุ ลกรรม อย่างใดอย่างหนงึ่

กัตตพั พงั กริ ิยัง มะมะ, เปน็ กิจซ่งึ ควรฝกั ใฝ่

กาเยนะ วาจามะนะสา ด้วยกาย วาจาใจ

ตทิ ะเส สคุ ะตัง กะตัง, เราทำแล้ว เพื่อไปสวรรค์

เย สัตตา สญั ญิโน อตั ถิ สัตวใ์ ด มสี ญั ญา

เย จะ สัตตา อะสัญญโิ น, หรือหาไม่ เป็นอสัญญ

กะตงั ปุญญะผะลงั มยั ห๎ ัง ผลบญุ ขา้ ทำนั้น

สัพเพ ภาคี ภะวนั ตุ เต, ทกุ ๆ สตั ว์ จงมีส่วน

เย ตงั กะตัง สวุ ิทติ งั สัตว์ใดรู้ ก็เป็นอนั

ทนิ นงั ปญุ ญะผะลัง มะยา, วา่ ข้าให้ แล้วตามควร

เย จะ ตตั ถะ นะ ชานันติ สัตว์ใด มริ ู้ถ้วน

เทวา คนั ตว๎ า นิเวทะยุง, ขอเทพเจา้ จงเลา่ ขาน

สัพเพ โลกัมห๎ ิ เย สัตตา   ปวงสัตว์ ในโลกีย ์

ชีวนั ตาหาระเหตกุ า, มีชีวติ ดว้ ยอาหาร

มะนญุ ญงั โภชะนัง สัพเพ จงได้ โภชน์สำราญ

ละภันตุ มะมะ เจตะสาติ. ตามเจตนา ของข้าเทอญ




ชอ่ื ว่าที่ลับของผู้ทำบาปกรรม ไมม่ ใี นโลก


166

โหตุ สัพพัง สุมังคะลงั สุมงั คะละคาถา

รกั ขนั ตุ สัพพะเทวะตา,
สพั พะพุทธานุภาเวนะ ขอสรรพมงคลอันดจี งมี

โสตถี โหนตุ นิรันตะรงั . ขอเหล่าเทวดาทั้งปวงจงรักษาทา่ น

โหตุ สัพพงั สุมังคะลัง ดว้ ยอานุภาพแห่งพระพทุ ธเจา้ ทั้งหลาย

รกั ขันตุ สัพพะเทวะตา, ขอความสวัสดีจงมชี ั่วนิรันดร์

สัพพะธมั มานภุ าเวนะ ขอสรรพมงคลอันดีจงมี

โสตถี โหนตุ นริ ันตะรงั . ขอเหล่าเทวดาทัง้ ปวงจงรักษาทา่ น

โหตุ สัพพงั สุมังคะลงั ด้วยอานุภาพแหง่ พระธรรมเจา้ ทงั้ หลาย

รกั ขันตุ สัพพะเทวะตา, ขอความสวัสดจี งมีชั่วนริ นั ดร์

สัพพะสงั ฆานุภาเวนะ ขอสรรพมงคลอนั ดีจงม

โสตถี โหนตุ นิรนั ตะรัง. ขอเหลา่ เทวดาท้งั ปวงจงรกั ษาทา่ น


ด้วยอานภุ าพแห่งพระสงฆเจ้าท้ังหลาย


ขอความสวสั ดีจงมีชัว่ นิรันดร


บุคคลผ้ทู ำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ

ก็ไมพ่ ึงพน้ จากกรรมช่วั ได้,


หนไี ปในท่ามกลางมหาสมทุ ร ก็ไมพ่ งึ พน้ จากกรรมชว่ั ได,้

หนีเข้าไปสูซ่ อกภเู ขา ก็ไมพ่ งึ พน้ จากกรรมชว่ั ได้,

(เพราะ) เขาอยแู่ ลว้ ในประเทศแหง่ แผ่นดนิ ใด


พงึ พ้นจากกรรมชัว่ ได,้ ประเทศแหง่ แผน่ ดินนั้น หามอี ยไู่ ม่.


167

เมตตายังกิญจ

(บทแผ่เมตตาของ หลวงปชู่ อบ ฐานสโม)


ยังกิญจิ กุสะลัง กัมมัง สัพเพหิ กะเตหิ กะตัง ปุญญัง โน, อะนุโมทันตุ
สุณันตุ โภนโต เย เทวา อัส๎มิง ฐาเน อะธิคะตา ทีฆายุกา สะทา โหนตุ สุขิตา

โหนตุ ทุกขา ปะมุจจันตุ, มาตาปิตา สุขิตา โหนตุ ทุกขา ปะมุจจันตุ, สัพเพ
ญาตกิ า สขุ ิตา โหนตุ ทกุ ขา ปะมุจจันต,ุ สพั เพ อะญาติกา สุขติ า โหนตุ ทกุ ขา
ปะมจุ จนั ต,ุ สพั เพ ปสิ า สพั เพ ยกั ขา สพั เพ เปตา สขุ ติ า โหนตุ ทกุ ขา ปะมจุ จนั ต,ุ
สพั เพ อาจะริยปุ ชั ฌายา สุขติ า โหนตุ ทกุ ขา ปะมจุ จนั ต,ุ สัพเพ นักขัตตา สุขิตา
โหนตุ ทุกขา ปะมุจจันตุ, สัพเพ เทวา สุขิตา โหนตุ ทุกขา ปะมุจจันตุ, สัพเพ
สัมปัตตนี งั สะมชิ ฌันตุ โว.




คำแปล


กุศลกรรมอย่างใดอย่างหน่ึงที่เหล่าท่านได้กระทำแล้ว บุญอันเราทั้งหลายกระทำแล้ว
จงอนุโมทนาเถิด ขอท่านผู้เจริญท้ังหลายโปรดฟัง เทวดาเหล่าใดอยู่ในที่ไกล จงมีอายุยืน

จงมีความสุข จงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงตลอดกาลเถิด, มารดาบิดาจงมีความสุข จงพ้นจาก
ทกุ ขท์ งั้ ปวงตลอดกาลเถดิ , ญาตทิ งั้ หลายจงมคี วามสขุ จงพน้ จากทกุ ขท์ งั้ ปวงตลอดกาลเถดิ ,
ผู้ไม่ใช่ญาติท้ังหลายจงมีความสุข จงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงตลอดกาลเถิด, ปีศาจทั้งหลาย
ยกั ษท์ ้งั หลาย เปรตทงั้ หลาย จงมคี วามสุข จงพน้ จากทุกข์ท้ังปวงตลอดกาลเถิด, อปุ ชั ฌาย์
อาจารย์ทั้งหลายจงมีความสุข จงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงตลอดกาลเถิด, เหล่านักษัตรทั้งหลาย
จงมีความสุข จงพ้นจากทุกข์ท้ังปวงตลอดกาลเถิด, เทวดาท้ังหลายจงมีความสุข จงพ้น
จากทกุ ขท์ ง้ั ปวงตลอดกาลเถดิ , สมบตั ิทัง้ ปวงจงสำเร็จประโยชนแ์ กท่ ่านเถดิ


ถึงจะท่องจำตำราได้นอ้ ย

แตป่ ระพฤตชิ อบธรรมละราคะ โทสะ และโมหะได้


รู้แจ้งเห็นจรงิ มจี ติ หลดุ พ้นไม่ยดึ มัน่ ถอื มั่น

ท้งั ปจั จบุ ันและอนาคต


เขายอ่ มไดร้ ับผลทพ่ี งึ ไดจ้ ากการบวช


168

เมตตานิสงั สะสุตตะปาฐะ


หนั ทะ มะยงั เมตตานสิ งั สะสุตตะปาฐงั ภะณามะ เส.

(เชิญเถดิ เราทั้งหลาย, ทำการกล่าวอานสิ งส์แห่งการเจริญเมตตากันเถดิ )


เอวัมเม สุตงั , อันขา้ พเจา้ (คือพระอานนท)์

ได้สดบั มาแล้วอยา่ งนี้

เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สมัยหนง่ึ พระผมู้ พี ระภาคเจา้

สาวัตถยิ งั วิหะระติ, เสดจ็ ประทบั อยทู่ ่ีเชตวันมหาวหิ าร,

เชตะวะเน อะนาถะปณิ ฑิกัสสะ, อารามของอนาถะบณิ ฑิกะคฤหบดี

อาราเม, แหง่ สาวัตถี

ตตั ๎ระ โข ภะคะวา ในการน้ันแล พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ,

ภิกขู อามนั เตสิ ภิกขะโวต,ิ ตรัสเรยี กพระภิกษุทงั้ หลายวา่

ดกู อ่ นภิกษทุ ้ังหลาย

ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ภิกษเุ หล่านน้ั ทูลรับวา่

ปจั จสั โสสุง, ขา้ แต่พระองคผ์ ู้เจริญ

ภะคะวา เอตะทะโวจะ, พระผู้มพี ระภาคเจา้ ได้ตรัสคำนวี้ ่า

เมตตายะ ภิกขะเว ดกู ่อนภกิ ษุทง้ั หลาย,

เจโตวมิ ุตติยา, เมตตาอันเปน็ ไปเพื่อความหลุดพ้นแหง่ จิตน้ี

อาเสวิตายะ ภาวิตายะ อันบคุ คลบำเพญ็ จนคนุ้ แลว้ ,

พะหุลกี ะตายะ, ทำให้มากแลว้ คือชำนาญใหย้ ิง่

ยานกี ะตายะ ทำให้เปน็ ที่พ่ึงของใจ,

วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ และทำให้เป็นท่ีอยู่ของใจตง้ั ไวเ้ ป็นนิจ,

ปะรจิ ิตายะ สุสะมารทั ธายะ, อนั บุคคลสงั่ สมอบรมแลว้ บำเพ็ญให้มากแล้ว

เอกาทะสานิสงั สา ปาฏกิ งั ขา, ย่อมมีอานสิ งสส์ บิ เอด็ ประการ อย่างนี้

กะตะเม เอกาทะสะ, อานิสงสส์ บิ เอด็ ประการ อะไรบ้าง

สขุ ัง สุปะต ิ ผูเ้ จรญิ เมตตาจติ นน้ั ย่อมหลบั เปน็ สขุ ,

สขุ ัง ปะฏิพชุ ฌะติ, เม่อื ต่นื ข้นึ ก็ยอ่ มอยู่เป็นสขุ

นะ ปาปะกงั สปุ ินงั ปัสสะติ, หลบั อยกู่ ็ไม่ฝนั ร้าย

มะนุสสานัง ปิโย โหต ิ เปน็ ทีร่ ักของเหล่ามนุษย์ทัง้ หลาย,

อะมะนุสสานัง ปิโย โหต,ิ และเป็นท่รี กั ของเหล่าอมนษุ ย์ทง้ั หลาย


169

เทวะตา รักขนั ติ, เทวดาย่อมคมุ้ ครองรักษา

นาสสะ อัคคิ วา วสิ ัง วา ไฟกด็ ี ยาพษิ กด็ ี ศัสตรากด็ ,ี

สัตถงั วา กะมะติ, ยอ่ มทำอนั ตรายไมไ่ ด้เลย

ตวุ ะฏงั จิตตัง สะมาธิยะติ, จิตย่อมเป็นสมาธไิ ดร้ วดเร็วอย่างยิ่ง

มขุ ะวัณโณ วปิ ปะสที ะต,ิ ผวิ หนา้ ย่อมผ่องใส

อะสมั มฬุ ๎โห กาลัง กะโรต,ิ เป็นผ้ไู ม่ลุ่มหลงเมื่อทำกาลกิริยาตาย

อุตตะรงิ อัปปะฏวิ ิชฌนั โต เม่อื ยงั ไมบ่ รรลคุ ุณวเิ ศษ อันยง่ิ ๆ ขึ้นไป,

พร๎ ัหม๎ ะโลกปู ะโค โหติ. ย่อมเปน็ ผเู้ ขา้ ถงึ พรหมโลกแล

เมตตายะ ภิกขะเว ดูกอ่ นภิกษุทัง้ หลาย,

เจโตวิมุตติยา, เมตตาอนั เป็นไปเพื่อความหลุดพน้ แห่งจติ นี้ 

อาเสวิตายะ ภาวิตายะ อนั บคุ คลบำเพญ็ จนค้นุ แล้ว,

พะหลุ กี ะตายะ, ทำใหม้ ากแล้วคอื ชำนาญใหย้ ่ิง

ยานกี ะตายะ ทำให้เป็นท่พี ่งึ ของใจ,

วัตถุกะตายะ อะนฏุ ฐติ ายะ และทำใหเ้ ปน็ ท่อี ยู่ของใจต้งั ไวเ้ ป็นนจิ ,

ปะรจิ ติ ายะ สุสะมารัทธายะ, อันบุคคลสงั่ สมอบรมแล้วบำเพ็ญใหม้ ากแล้ว

อิเม เอกาทะสานิสังสา ปาฏกิ ังขาต,ิ ย่อมมอี านสิ งส์สบิ เอ็ดประการอยา่ งนแี้ ล

อทิ ะมะโว จะ ภะคะวา, พระผ้มู พี ระภาคเจ้า,

ไดต้ รสั ธรรมปริยายอนั นแี้ ลว้

อตั ตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต พระภิกษุท้ังหลายเหลา่ น้นั , ก็มใี จยนิ ดี

ภาสิตัง อะภนิ นั ทนุ ต.ิ พอใจในภาษติ ของพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ,

ดว้ ยประการฉะนแ้ี ล




เม่อื โลกสันนิวาส อนั ไฟลกุ โพลงอยเู่ ปน็ นติ ย์,

พวกเธอยงั จะรา่ เริง บันเทงิ อะไรกันหนอ?


เธอทั้งหลายอันความมดื ปกคลมุ แล้ว

ทำไมจึงไมแ่ สวงหาประทปี เลา่ ?


170

จะตุรปั ปะมญั ญาปาฐะ


หนั ทะ มะยงั จะตุรปั ปะมัญญาปาฐัง ภะณามะ เส.

(เชญิ เถิด เราทง้ั หลาย, ทำการกล่าวเมตตาไมม่ ปี ระมาณทง้ั สท่ี ิศกันเถดิ )

อัตถิ โข เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปสั สะตา อะระหะตา สัมมาสมั พทุ เธนะ,

จะตัสโส อปั ปะมัญญาโย สมั มะทักขาตา.

พระผู้มีพระภาคเจา้ , ตรสั แสดงเมตตาไม่มีประมาณทั้งสี่ทิศ, ไวช้ อบแลว้ มีอย ู่

อิธะ ภิกขุ เมตตาสะหะคะเตนะ เจตะสา เอกัง ทสิ ัง ผะริตว๎ า วหิ ะระติ,

บรรดาภกิ ษทุ ้งั หลาย, ผ้มู ใี จประกอบดว้ ย เมตตา,

แผไ่ ปโดยตลอดทิศท่ี ๑ อยู่ (ทศิ ตะวันออก)

ตะถา ทุติยัง ตะถา ตะตยิ งั ตะถา จะตตุ ถัง,

ทิศท่ี ๒ ด้วย (ทิศใต้) ทศิ ที่ ๓ ด้วย (ทศิ ตะวันตก)

ทิศท่ี ๔ ด้วย (ทิศเหนือ) ก็อย่างนน้ั

อิติ อทุ ธะมะโธ ตริ ยิ งั สพั พะธิ สัพพตั ตะตายะ สัพพาวันตงั โลกงั ,

ทงั้ ในทิศเบื้องบน ทศิ เบ้ืองตำ่ ทิศเบ้อื งขวาง,

ตลอดจนสรรพสตั ว์ทง้ั ปวงในโลก, ดงั น้ีอยู

เมตตาสะหะคะเตนะ เจตะสา, วิปุเลนะ มะหคั คะเตนะ

อปั ปะมาเณนะ อะเวเรนะ อพั ๎ยาปัชเฌนะ ผะริตว๎ า วหิ ะระต.ิ

มีใจประกอบด้วย เมตตา (ปรารถนาให้เปน็ สขุ ) อันไพบูลยเ์ ตม็ ที่

เปน็ จิตใหญ,่ ไม่มีเวรไมม่ ีความเบียดเบยี น, มสี ัตวห์ าประมาณมิไดเ้ ปน็ อารมณ์,

แผ่ไปในท่ที ัง้ ปวง เป็นเคร่ืองอย
ู่
กะรณุ าสะหะคะเตนะ เจตะสา เอกัง ทิสัง ผะรติ ๎วา วหิ ะระติ,

ผู้มใี จประกอบดว้ ย กรณุ า, แผ่ไปโดยตลอดทศิ ที่ ๑ อยู่ (ทิศตะวนั ออก)

ตะถา ทตุ ยิ งั ตะถา ตะตยิ งั ตะถา จะตตุ ถงั ,

ทศิ ท่ี ๒ ด้วย (ทิศใต้) ทิศที่ ๓ ด้วย (ทศิ ตะวันตก)

ทศิ ที่ ๔ ด้วย (ทศิ เหนือ) กอ็ ยา่ งน้นั

อติ ิ อทุ ธะมะโธ ตริ ิยัง สพั พะธิ สัพพตั ตะตายะ สพั พาวันตงั โลกงั ,

ทั้งในทศิ เบ้ืองบน ทศิ เบือ้ งต่ำ ทิศเบ้อื งขวาง,

ตลอดจนสรรพสตั ว์ทั้งปวงในโลก, ดังนี้อยู่

กะรุณาสะหะคะเตนะ เจตะสา, วปิ ุเลนะ มะหคั คะเตนะ

อัปปะมาเณนะ อะเวเรนะ อัพย๎ าปัชเฌนะ ผะริตว๎ า วหิ ะระติ.


171

มีใจประกอบดว้ ย กรุณา (ปรารถนาจะใหพ้ ้นจากทกุ ข)์

อนั ไพบูลย์เต็มท่ี เป็นจติ ใหญ่, ไมม่ ีเวรไม่มคี วามเบยี ดเบียน,

มีสตั ว์หาประมาณมไิ ด้เปน็ อารมณ์, แผไ่ ปในทท่ี งั้ ปวง เป็นเครอ่ื งอยู

มทุ ิตาสะหะคะเตนะ เจตะสา เอกงั ทิสงั ผะรติ ว๎ า วหิ ะระติ,

ผู้มใี จประกอบดว้ ย มทุ ิตา, แผไ่ ปโดยตลอดทิศที่ ๑ อยู่ (ทศิ ตะวันออก)

ตะถา ทุติยงั ตะถา ตะตยิ งั ตะถา จะตตุ ถัง,

ทศิ ที่ ๒ ด้วย (ทิศใต)้ ทิศที่ ๓ ด้วย (ทิศตะวนั ตก)

ทิศท่ี ๔ ดว้ ย (ทศิ เหนอื ) กอ็ ย่างนั้น

อติ ิ อุทธะมะโธ ตริ ิยงั สพั พะธิ สพั พัตตะตายะ สพั พาวันตัง โลกงั ,

ทง้ั ในทศิ เบื้องบน ทิศเบอ้ื งตำ่ ทิศเบ้อื งขวาง,

ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งปวงในโลก, ดงั น้อี ย
ู่
มทุ ติ าสะหะคะเตนะ เจตะสา, วปิ ุเลนะ มะหัคคะเตนะ

อปั ปะมาเณนะ อะเวเรนะ อัพ๎ยาปัชเฌนะ ผะรติ ๎วา วิหะระต.ิ

มใี จประกอบด้วย มทุ ติ า (ความยนิ ดเี ม่ือผูอ้ ่นื ไดด้ ี)

อนั ไพบลู ยเ์ ต็มที่ เปน็ จิตใหญ่, ไม่มีเวรไมม่ คี วามเบียดเบียน,

มีสตั วห์ าประมาณมไิ ด้เปน็ อารมณ์, แผไ่ ปในทท่ี ้งั ปวง เป็นเครือ่ งอยู่

อเุ ปกขาสะหะคะเตนะ เจตะสา เอกัง ทิสงั ผะริต๎วา วหิ ะระต,ิ

ผู้มีใจประกอบด้วย อเุ บกขา, แผ่ไปโดยตลอดทศิ ท่ี ๑ อยู่ (ทิศตะวนั ออก)

ตะถา ทุตยิ ัง ตะถา ตะตยิ ัง ตะถา จะตตุ ถงั ,

ทศิ ที่ ๒ ด้วย (ทศิ ใต)้ ทิศท่ี ๓ ด้วย (ทศิ ตะวนั ตก)

ทศิ ท่ี ๔ ดว้ ย (ทิศเหนอื ) กอ็ ยา่ งนน้ั

อติ ิ อุทธะมะโธ ตริ ยิ งั สัพพะธิ สัพพตั ตะตายะ สพั พาวันตงั โลกงั ,

ท้งั ในทศิ เบ้อื งบน ทิศเบ้อื งต่ำ ทศิ เบ้ืองขวาง,

ตลอดจนสรรพสตั ว์ทง้ั ปวงในโลก, ดงั น้อี ย่

อเุ ปกขาสะหะคะเตนะ เจตะสา, วปิ เุ ลนะ มะหัคคะเตนะ

อัปปะมาเณนะ อะเวเรนะ อัพ๎ยาปัชเฌนะ ผะรติ ๎วา วิหะระติ.

ผมู้ ีใจประกอบดว้ ย อเุ บกขา (ความวางเฉย) อนั ไพบูลยเ์ ต็มท่ี เป็นจติ ใหญ่,

ไม่มเี วรไมม่ คี วามเบยี ดเบยี น, มสี ัตว์หาประมาณมิได้เปน็ อารมณ์,

แผ่ไปในท่ีทั้งปวง เปน็ เครื่องอยู่

อมิ า โข เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา

อะระหะตา สมั มาสัมพทุ เธนะ, จะตสั โส อปั ปะมญั ญาโย สมั มะทกั ขาตาต.ิ

พระผมู้ ีพระภาคเจ้า, ตรสั แสดงเมตตาไม่มปี ระมาณทั้งสี่ทศิ ,

ไวช้ อบแลว้ อยา่ งนี้ ด้วยประการฉะนแ้ี ล


172

บทสวดมนต์พิเศษ

ปาระมี ๓๐ ทัส (แบบครบู าศรวี ิชัย)


หนั ทะ มะยงั ติงสะปาระมี คาถาโย ภะณามะ เส.

(เชญิ เถดิ เราทั้งหลาย, มากลา่ วคาถาบารมี ๓๐ ทสั กนั เถดิ )



ทานะ ปาระมี สัมปนั โน, ทานะ อุปะปาระมี สมั ปันโน,

ทานะ ปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน,

เมตตา ไมตรี กะรณุ า มทุ ติ า อเุ ปกขา ปาระมีสมั ปันโน, อิตปิ ิ โส ภะคะวา.

สีละ ปาระมี สัมปนั โน, สีละ อุปะปาระมี สมั ปนั โน,

สีละ ปะระมัตถะปาระมี สมั ปนั โน,

เมตตา ไมตรี กะรณุ า มทุ ิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปนั โน, อิตปิ ิ โส ภะคะวา.

เนกขมั มะ ปาระมี สมั ปันโน, เนกขัมมะ อุปะปาระมี สมั ปันโน,

เนกขัมมะ ปะระมัตถะปาระมี สมั ปันโน,

เมตตา ไมตรี กะรณุ า มุทิตา อเุ ปกขา ปาระมีสัมปนั โน, อิตปิ ิ โส ภะคะวา.

ปญั ญา ปาระมี สมั ปนั โน, ปัญญา อปุ ะปาระมี สมั ปนั โน,

ปัญญา ปะระมตั ถะปาระมี สัมปันโน,

เมตตา ไมตรี กะรณุ า มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสมั ปันโน, อติ ิปิ โส ภะคะวา.

วิริยะ ปาระมี สมั ปนั โน, วริ ิยะ อปุ ะปาระมี สัมปันโน,

วริ ิยะ ปะระมตั ถะปาระมี สัมปนั โน,

เมตตา ไมตรี กะรณุ า มุทิตา อเุ ปกขา ปาระมสี มั ปันโน, อิติปิ โส ภะคะวา.

ขันตี ปาระมี สัมปนั โน, ขนั ตี อปุ ะปาระมี สัมปนั โน,

ขนั ตี ปะระมัตถะปาระมี สมั ปันโน,

เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทติ า อเุ ปกขา ปาระมีสัมปันโน, อิติปิ โส ภะคะวา.

สัจจะ ปาระมี สมั ปนั โน, สัจจะ อุปะปาระมี สมั ปนั โน,

สจั จะ ปะระมตั ถะปาระมี สัมปันโน,

เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อเุ ปกขา ปาระมีสัมปันโน, อิติปิ โส ภะคะวา.

อะธฏิ ฐานะ ปาระมี สัมปันโน, อะธิฏฐานะ อุปะปาระมี สมั ปันโน,

อะธิฏฐานะ ปะระมตั ถะปาระมี สมั ปันโน,

เมตตา ไมตรี กะรณุ า มทุ ติ า อุเปกขา ปาระมสี มั ปนั โน, อิตปิ ิ โส ภะคะวา.


173

เมตตา ปาระมี สัมปนั โน, เมตตา อปุ ะปาระมี สัมปนั โน,

เมตตา ปะระมตั ถะปาระมี สัมปันโน,

เมตตา ไมตรี กะรณุ า มทุ ติ า อุเปกขา ปาระมีสัมปนั โน, อติ ปิ ิ โส ภะคะวา.

อเุ ปกขา ปาระมี สัมปนั โน, อุเปกขา อุปะปาระมี สมั ปันโน,

อเุ ปกขา ปะระมตั ถะปาระมี สัมปันโน,

เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทติ า อเุ ปกขา ปาระมีสมั ปันโน, อิติปิ โส ภะคะวา.

ทะสะ ปาระมี สัมปันโน, ทะสะ อุปะปาระมี สมั ปนั โน,

ทะสะ ปะระมัตถะปาระมี สัมปนั โน,

เมตตา ไมตรี กะรณุ า มุทติ า อเุ ปกขา ปาระมีสมั ปันโน, อิตปิ ิ โส ภะคะวา.

พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉามิ

ธัมมัง สะระณัง คจั ฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ นะมามิหัง.




คำอธิบาย


การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในชาติน้ันๆ บารมีที่บำเพ็ญนั้นคือ ทานบารมี

ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี
เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี รวมเรียกว่าบารมี ๓๐ (โดยแบ่งเป็นบารมีช้ันธรรมดา

๑๐ (บารมี) บารมี ชนั้ กลาง ๑๐ (อปุ บารม)ี และบารมชี ั้นสูง ๑๐ (ปรมัตถบารมี) รวมเปน็
บารมี ๓๐ ประการ)

๑. ทานบารมี พระโพธิสตั ว์ทรงบำเพญ็ ทานบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเปน็ พระเจ้า
สีวิราช ทรงบำเพ็ญทานอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร และทรงบำเพ็ญ
ทานปรมัตถบารมีในขณะท่ีเสวยพระชาติเป็นกระต่ายปา่ สสบัณฑิต

๒. ศีลบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญศีลบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญาช้าง
ฉัตทันต์เล้ียงมารดา ทรงบำเพ็ญศีลอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญานาคภูริทัต
ทรงบำเพญ็ ศลี ปรมัตถบารมีในขณะทเ่ี สวยพระชาติเปน็ พญานาคสงั ขปาละ

๓. เนกขัมมบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมีในขณะที่เสวยพระชาติ
เปน็ อโยฆรราชกมุ าร ทรงบำเพญ็ เนกขมั มอปุ บารมใี นขณะทเี่ สวยพระชาตเิ ปน็ หตั ถปิ าลกมุ าร
และทรงบำเพ็ญเนกขมั มปรมตั ถบารมี ในขณะทเ่ี สวยพระชาติเปน็ พระเจ้าจูฬสุตโสม

๔. ปัญญาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็น
สัมภวกุมาร ทรงบำเพ็ญปัญญาอุปบารมีในขณะท่ีเสวยพระชาติเป็นอำมาตย์วิธุรบัณฑิต
และทรงบำเพ็ญปัญญาปรมตั ถบารมใี นขณะที่เสวยพระชาติเปน็ เสนกบัณฑิต


174

๕. วริ ิยบารมี พระโพธิสตั ว์ทรงบำเพญ็ วิริยบารมีในขณะทเ่ี สวยพระชาติเป็นพญากปิ
ทรงบำเพ็ญวิริยอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสีลวมหาราช และทรงบำเพ็ญ
วิรยิ ปรมตั ถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเปน็ พระมหาชนก

๖. ขันติบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญขันติบารมีในขณะท่ีเสวยพระชาติเป็น

จูฬธัมมปาลราชกุมาร ทรงบำเพ็ญขันติอุปบารมีในขณะท่ีเสวยพระชาติเป็นธัมมิกเทพบุตร
และทรงบำเพ็ญขันติปรมตั ถบารมใี นขณะท่เี สวยพระชาตเิ ป็นขันติวาทีดาบส

๗. สัจจบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญสจั จบารมีในขณะที่เสวยพระชาตเิ ป็นวฏั ฏกะ
(ลูกนกคุ้ม) ทรงบำเพ็ญสัจจอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญาปลาช่อน และทรง
บำเพญ็ สจั จปรมัตถบารมีในขณะท่ีเสวยพระชาติเป็นพระเจา้ มหาสตุ โสม

๘. อธิษฐานบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมีในขณะท่ีเสวยพระชาติ
เป็นพญากุกกุระ ทรงบำเพ็ญอธิษฐานอุปบารมีในขณะท่ีเสวยพระชาติเป็น มาตังคบัณฑิต
และทรงบำเพ็ญอธษิ ฐานปรมตั ถบารมีในขณะทีเ่ สวยพระชาตเิ ป็นพระเตมิยราชกุมาร

๙. เมตตาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็น
สวุ รรณสามดาบส ทรงบำเพญ็ เมตตาอปุ บารมใี นขณะทเี่ สวยพระชาตเิ ปน็ กณั หาทปี ายนดาบส
และทรงบำเพญ็ เมตตาปรมตั ถบารมีในขณะที่เสวยพระชาตเิ ป็นพระเจ้าเอกราช

๑๐. อุเบกขาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติ
เป็นกัจฉปบัณฑิต ทรงบำเพ็ญอุเบกขาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญามหิส และ
ทรงบำเพ็ญอุเบกขาปรมัตถบารมใี นขณะที่เสวยพระชาตเิ ปน็ โลมหงั สบัณฑติ




* การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในชาติหนึ่งๆ มิใช่ว่าจะทรงบำเพ็ญบารมีเพียงอย่างใด

อย่างหน่ึง เชน่ ทรงบำเพญ็ ทานบารมี หรือทรงบำเพญ็ ศลี บารมีอย่างเดียวเท่านั้น แตใ่ นชาติเดียวกันน้ัน
ได้บำเพ็ญบารมีหลายอย่างควบคู่กันไป แต่อาจเด่นเพียงบารมีเดียว ท่ีเหลือนอกนั้นเป็นบารมีระดับ
รองๆ ลงไป เช่น ในชาติท่ีเป็นพระเวสสันดรทรงบำเพ็ญบารมีครบทั้ง ๑๐ บารมี แต่เด่นทางด้าน
ทานบารมี


ความรูจ้ ักพอ เปน็ ทรัพยอ์ ยา่ งยิ่ง


175

คาถาโพธบิ าท

(คาถาป้องกนั ภยั สิบทิศ)


คาถาโพธิบาทคือ พระคาถาป้องกันภัยโดยการสวดระลึกถึง พระพุทธคุณ

พระธรรมคุณ พระสังฆคุณไปในทศิ ตา่ งๆ ขออานุภาพของพระพทุ ธคุณ พระธรรมคณุ
พระสงั ฆคณุ ขจดั ทกุ ข์ โรคภยั และเคราะหท์ งั้ หลาย บางแหง่ เรยี กวา่ คาถาปอ้ งกนั ภยั
สบิ ทศิ และบางแหง่ เรยี กวา่ คาถาสะเดาะเคราะห์ กม็ ี เปน็ พระคาถาปอ้ งกนั ภยนั ตรายตา่ งๆ
เวลาออกเดินทางไกล หรอื อยู่ภายในบา้ น




๑. บรู พารสั ๎มิง พระพทุ ธะคณุ ัง

ขอพระพุทธคุณ  จงมาปกปอ้ งคมุ้ ครองในทศิ บรู พา (ทิศตะวนั ออก)

บรู พารัส๎มงิ พระธัมเมตงั

ขอพระธรรมคุณ  จงมาปกป้องคุม้ ครองในทศิ บูรพา (ทิศตะวนั ออก)

บูรพารัสม๎ งิ พระสงั ฆานัง

ขอพระสงั ฆคณุ   จงมาปกป้องคุม้ ครองในทศิ บูรพา (ทศิ ตะวนั ออก)

ทุกขะโรคะภะยัง ววิ ัญชัยเย

ขอให้ทุกข์ โรค ภยั จงสูญหายไป

สัพพะทุกข์ สพั พะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย

สัพพะเคราะห์ เสนียดจญั ไร วิวญั ชยั เย

ให้ทุกขท์ ้ังปวง โศกทง้ั ปวง โรคท้งั ปวง ภัยทงั้ ปวง,  

เคราะหห์ ามยามร้าย และเสนยี ดจัญไรทง้ั ปวง จงสญู หายไป

สพั พะธะนงั สพั พะลาภงั ภะวันตุ เม

ขอให้ทรัพย์ทงั้ ปวง ลาภท้งั ปวง จงเกดิ แก่ข้าพเจ้า

รักขันตุ สุรักขนั ตุ.

ขออานภุ าพพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์,

และสง่ิ ศักด์สิ ทิ ธ์ทิ งั้ ปวง จงมาปกปกั รักษาด้วยเถิด

๒. อาคเนยร์ ัส๎มิง พระพทุ ธะคณุ งั อาคเนย์รสั ๎มงิ พระธมั เมตัง

อาคเนย์รสั ๎มงิ พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวญั ชยั เย

สพั พะทุกข์ สพั พะโศก สัพพะโรค สพั พะภัย

สัพพะเคราะห์ เสนียดจญั ไร ววิ ัญชยั เย สพั พะธะนงั

สพั พะลาภัง ภะวันตุ เม รกั ขันตุ สรุ กั ขันต.ุ


176

๓. ทกั ษิณรัสม๎ ิง พระพุทธะคุณัง ทกั ษณิ รัส๎มิง พระธัมเมตงั

ทักษณิ รัสม๎ งิ พระสังฆานัง ทกุ ขะโรคะภะยงั ววิ ญั ชยั เย

สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สพั พะโรค สัพพะภยั

สัพพะเคราะห์ เสนยี ดจัญไร ววิ ญั ชยั เย สพั พะธะนัง

สัพพะลาภัง ภะวนั ตุ เม รักขันตุ สรุ กั ขันตุ.

๔. หรดีรัส๎มงิ พระพุทธะคณุ ัง หรดรี ัสม๎ ิง พระธมั เมตัง     

หรดีรสั ๎มงิ พระสังฆานงั ทุกขะโรคะภะยัง ววิ ญั ชยั เย

สพั พะทกุ ข์ สัพพะโศก สพั พะโรค สพั พะภยั

สพั พะเคราะห์ เสนยี ดจญั ไร ววิ ญั ชยั เย สพั พะธะนัง

สพั พะลาภัง ภะวนั ตุ เม รักขนั ตุ สุรักขนั ต.ุ

๕. ปัจจิมรัสม๎ ิง พระพุทธะคุณัง ปัจจมิ รัสม๎ งิ พระธมั เมตัง

ปัจจมิ รสั ม๎ ิง พระสงั ฆานัง ทกุ ขะโรคะภะยงั ววิ ัญชัยเย

สัพพะทกุ ข์ สพั พะโศก สัพพะโรค สัพพะภยั

สัพพะเคราะห์ เสนียดจญั ไร ววิ ัญชยั เย สพั พะธะนงั

สัพพะลาภัง ภะวันตุ เม รักขันตุ สรุ ักขนั ต.ุ

๖. พายพั รสั ๎มงิ พระพทุ ธะคุณัง พายพั รัสม๎ ิง พระธัมเมตงั

พายพั รสั ๎มงิ พระสังฆานัง ทกุ ขะโรคะภะยัง ววิ ัญชยั เย

สพั พะทุกข์ สพั พะโศก สพั พะโรค สัพพะภัย

สัพพะเคราะห์ เสนียดจญั ไร วิวญั ชัยเย สัพพะธะนงั

สพั พะลาภัง ภะวนั ตุ เม รักขนั ตุ สุรักขนั ต.ุ

๗. อุดรรสั ๎มงิ พระพุทธะคุณงั อดุ รรสั ๎มงิ พระธมั เมตัง

อุดรรสั ม๎ ิง พระสงั ฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง ววิ ญั ชัยเย

สัพพะทกุ ข์ สัพพะโศก สพั พะโรค สัพพะภยั

สพั พะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวญั ชยั เย สัพพะธะนงั

สัพพะลาภงั ภะวันตุ เม รักขันตุ สรุ กั ขนั ตุ.


177

๘. อิสานรัสม๎ ิง พระพุทธะคณุ งั อิสานรสั ม๎ ิง พระธัมเมตัง

อิสานรสั ๎มงิ พระสังฆานงั ทกุ ขะโรคะภะยัง ววิ ัญชยั เย

สพั พะทกุ ข์ สัพพะโศก สพั พะโรค สัพพะภัย

สพั พะเคราะห์ เสนียดจัญไร ววิ ญั ชยั เย สพั พะธะนัง

สัพพะลาภัง ภะวนั ตุ เม รกั ขันตุ สุรกั ขนั ต.ุ


๙. อากาศรสั ๎มิง พระพทุ ธะคณุ ัง อากาศรสั ๎มงิ พระธมั เมตัง

อากาศรสั ม๎ งิ พระสังฆานงั ทุกขะโรคะภะยงั วิวัญชยั เย

สัพพะทกุ ข์ สพั พะโศก สพั พะโรค สัพพะภยั

สัพพะเคราะห์ เสนียดจญั ไร ววิ ญั ชัยเย สพั พะธะนงั

สพั พะลาภงั ภะวันตุ เม รักขันตุ สรุ กั ขนั ต.ุ


๑๐. ปฐวรี ัสม๎ ิง พระพุทธะคณุ งั ปฐวีรสั ๎มงิ พระธัมเมตงั

ปฐวรี สั ม๎ งิ พระสงั ฆานงั ทกุ ขะโรคะภะยัง ววิ ัญชยั เย

สพั พะทุกข์ สพั พะโศก สพั พะโรค สัพพะภยั

สพั พะเคราะห์ เสนียดจัญไร ววิ ญั ชัยเย

สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เม รักขนั ตุ สรุ กั ขนั ต.ุ



หมายเหตุ

๑. ทศิ บูรพา คอื ทศิ ตะวันออก ๖. ทศิ พายพั คอื ทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือ
๒. ทิศอาคเนย์ คอื ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ๗. ทศิ อุดร คือ ทศิ เหนือ

๓. ทศิ ทักษิณ คอื ทิศใต้ ๘. ทิศอิสาน คอื ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

๔. ทิศหรดี คอื ทิศตะวนั ตกเฉียงใต้ ๙. ทิศอากาศ คือ ทศิ เบอื้ งบน

๕. ทศิ ปจั จิม คือ ทิศตะวนั ตก ๑๐. ทิศปฐวี คอื ทิศเบ้ืองล่าง








คนโง่ คนพาล ไม่ควรเปน็ ผู้นำ


178

คาถามงคลจักรวาลแปดทิศ


อมิ สั ม๎ งิ มงคลจกั รวาลท้งั แปดทศิ

ประสิทธิ จงมาเป็นกำแพงแก้วทั้งเจด็ ชั้น

มาปอ้ งกนั หอ้ มล้อมรอบครอบท่วั อนตั ตา

ราชะเสมานาเขตเตสะมันตา สะตะโยชะนะ สะตะสะหัสสานิ

พุทธะชาละปะริกเขตเต รกั ขนั ตุ สุรกั ขันต.ุ

ขอเหลา่ เทวดาในร้อยพันจักรวาล ในรอ้ ยโยชน์โดยรอบเขตราชสีมา

ในรอบเขตขา่ ยของพระพุทธเจ้า จงรกั ษา จงรักษาใหด้ ี

อิมัส๎มิง มงคลจักรวาลทง้ั แปดทศิ

ประสิทธิ จงมาเปน็ กำแพงแกว้ ท้ังเจด็ ชั้น

มาป้องกันห้อมล้อมรอบครอบทัว่ อนตั ตา

ราชะเสมานาเขตเตสะมันตา สะตะโยชะนะ สะตะสะหสั สานิ

ธัมมะชาละปะรกิ เขตเต รักขนั ตุ สรุ กั ขนั ต.ุ

ขอเหล่าเทวดาในรอ้ ยพันจักรวาล ในรอ้ ยโยชนโ์ ดยรอบเขตราชสมี า

ในรอบเขตข่ายของพระธรรมเจ้า จงรักษา จงรักษาให้ดี

อิมัส๎มงิ มงคลจกั รวาลทั้งแปดทิศ

ประสทิ ธิ จงมาเป็นกำแพงแกว้ ทัง้ เจด็ ชั้น

มาป้องกนั หอ้ มลอ้ มรอบครอบทั่วอนัตตา

ราชะเสมานาเขตเตสะมันตา สะตะโยชะนะ สะตะสะหสั สานิ

ปัจเจกะพุทธะชาละปะริกเขตเต รกั ขนั ตุ สรุ กั ขนั ตุ.

ขอเหล่าเทวดาในรอ้ ยพนั จักรวาล ในรอ้ ยโยชนโ์ ดยรอบเขตราชสมี า

ในรอบเขตขา่ ยของพระปัจเจกพุทธเจ้า จงรกั ษา จงรักษาใหด้ ี

อมิ ัส๎มงิ มงคลจักรวาลทง้ั แปดทิศ

ประสิทธิ จงมาเปน็ กำแพงแกว้ ท้ังเจ็ดช้ัน

มาปอ้ งกันหอ้ มลอ้ มรอบครอบท่วั อนตั ตา

ราชะเสมานาเขตเตสะมันตา สะตะโยชะนะ สะตะสะหสั สานิ

สังฆะชาละปะริกเขตเต รักขนั ตุ สุรกั ขันตุ.

ขอเหล่าเทวดาในร้อยพันจกั รวาล ในร้อยโยชน์โดยรอบเขตราชสีมา

ในรอบเขตขา่ ยของพระสงั ฆเจา้ จงรกั ษา จงรกั ษาใหด้ ี


179

พระคาถาชนิ บญั ชร


พระคาถานี้เป็นคาถาศักด์ิสิทธ์ิ ตกทอดมาจากลังกา ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ
พระพฒุ าจารย์ (โต พรหมรงั ส)ี คน้ พบในคมั ภรี โ์ บราณ และไดด้ ดั แปลงแตง่ เตมิ ใหด้ ขี น้ึ
เป็นเอกลักษณ์พิเศษ ผู้ใดสวดภาวนา พระคาถาน้ีเป็นประจำสม่ำเสมอ จะทำให้เกิด
ความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ศัตรูไม่กล้ากล้ำกราย มีเมตตามหานิยม ขจัดภัยตลอด
จนคุณไสยต่างๆ เพื่อให้เกิดอานุภาพยิ่งขึ้น ก่อนเจริญภาวนาให้ต้ังนะโม ๓ จบ


ล้วระลึกถึงคุณของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรงั ส)ี และต้ังคำอธษิ ฐานว่า

ปุตตะกาโม ละเภ ปุตตัง ธะนะกาโม ละเภ ธะนงั

อตั ถิ กาเย กายะญายะ เทวานัง ปิยะตัง สุตตะวา

อติ ปิ ิโส ภะคะวา ยะมะราชาโน ทา้ วเวสสวุ ัณโณ


มะระณงั สุขงั อะระหงั สคุ ะโต นะโมพุทธายะ

เริ่มบทพระคาถาชินบญั ชร

๑. ชะยาสะนาคะตา พทุ ธา เชตะวามารงั สะวาหะนงั ,

จะตุสจั จาสะภัง ระสงั เย ปวิ งิ สุ นะราสะภา.

พระพุทธเจา้ และพระนราสภาท้งั หลาย, ผ้ปู ระทบั น่ังแล้วบนชัยบลั ลงั ก์,

ทรงพชิ ติ พระยามาราธริ าช ผพู้ รง่ั พร้อมดว้ ยเสนาราชพาหนะ,

แล้วเสวยอมตรส คืออรยิ สจั ธรรมท้ังสี่ประการ,

เป็นผ้นู ำสรรพสัตวใ์ หข้ ้ามพน้ จากกิเลส และ กองทกุ ข์

๒. ตณั ห๎ ังกะราทะโย พทุ ธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา,

สพั เพ ปะติฏฐิตา มัย๎หงั มัตถะเก เต มุนิสสะรา.

มี ๒๘ พระองคค์ ือ พระผู้ทรงพระนามว่าตณั หงั กรเป็นอาท,ิ

พระพุทธเจ้าผจู้ อมมนุ ที ้ังหมดน้นั

๓. สีเส ปะตฏิ ฐโิ ต มัย๎หัง พทุ โธ ธัมโม ทะวิโลจะเน,

สงั โฆ ปะตฏิ ฐิโต มัย๎หงั อเุ ร สัพพะคุณากะโร.

ข้าพระพทุ ธเจา้ ขออญั เชญิ มาประดษิ ฐานเหนอื เศยี รเกล้า,

องค์สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ประดษิ ฐานอย่บู นศรี ษะ,

พระธรรมอยทู่ ดี่ วงตาทง้ั สอง, พระสงฆผ์ เู้ ปน็ อากรบอ่ เกดิ แหง่ สรรพคณุ อยทู่ อี่ ก

๔. หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปตุ โต จะ ทกั ขิเณ,

โกณฑัญโญ ปฏิ ฐภิ าคสั ม๎ ิง โมคคัลลาโน จะวามะเก.

พระอนุรทุ ธะอยทู่ ี่ใจ, พระสารบี ุตรอยเู่ บือ้ งขวา,

พระโมคคลั ลานะอยูเ่ บ้ืองซ้าย, พระอญั ญาโกณฑญั ญะอย่เู บ้อื งหลงั


180

๕. ทกั ขิเณ สะวะเน มัย๎หัง อาสงุ อานนั ทะราหุโล,

กัสสะโป จะ มะหานาโม อภุ าสุง วามะโสตะเก.

พระอานนทก์ บั พระราหุลอยูห่ ูขวา, พระกสั สะปะกับพระมหานามะอยู่ทีห่ ซู า้ ย

๖. เกสะโต ปิฏฐิภาคัส๎มิง สรุ ิโย วะ ปะภังกะโร,

นิสนิ โน สิรสิ ัมปันโน โสภโิ ต มนุ ปิ ุงคะโว.

มุนีผู้ประเสรฐิ คอื พระโสภติ ะผูส้ มบูรณด์ ว้ ยสริ ,ิ

ดังพระอาทติ ยส์ ่องแสงอยู่ท่ที กุ เส้นขน, ตลอดร่างทั้งข้างหน้าและขา้ งหลัง

๗. กุมาระกัสสะโป เถโร มะเหสี จติ ตะวาทะโก,

โส มัยห๎ งั วะทะเน นจิ จงั ปะตฏิ ฐาสิ คณุ ากะโร.

พระเถระกมุ าระกสั สะปะผูแ้ สวงบุญ,

ทรงคณุ อันวเิ ศษมวี าทะอนั วจิ ิตรไพเราะ, อย่ทู ป่ี ากเป็นประจำ

๘. ปุณโณ อังคุลิมาโล จะ อปุ าลี นนั ทะสวี ะล,ี

เถรา ปัญจะ อเิ ม ชาตา นะลาเฏ ตลิ ะกา มะมะ.

พระปณุ ณะ พระองคลุ ิมาล พระอบุ าลี พระนันทะและพระสวี ะลี,

พระเถระทัง้ ๕ นี้ จงปรากฏเกิดเป็นกระแจะจณุ เจมิ ทีห่ นา้ ผาก

๙. เสสาสตี ิ มะหาเถรา วิชติ า ชนิ ะสาวะกา,

เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา,

ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมงั เคสุ สัณฐติ า.

ส่วนพระอสีตมิ หาเถระท่เี หลอื ผ้มู ีชยั ,

และเป็นพระโอรสเปน็ พระสาวก ของพระพุทธเจ้าผู้ทรงชยั ,

แตล่ ะองค์ล้วนรุ่งเรืองไพโรจน์ดว้ ยเดชแหง่ ศลี ,

ให้ดำรงอยทู่ ่วั อวยั วะนอ้ ยใหญ่

๑๐. ระตะนงั ปุระโต อาสิ ทกั ขเิ ณ เมตตะสตุ ตะกัง,

ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม องั คุลิมาละกัง.

พระรัตนสูตรอยูเ่ บือ้ งหนา้ , พระเมตตาสตู รอย่เู บื้องขวา,

พระองั คลุ ิมาลปรติ ร อยู่เบ้ืองซ้าย, พระธะชคั คะสูตรอย่เู บอื้ งหลัง

๑๑. ขนั ธะโมระปะริตตญั จะ อาฏานาฏยิ ะสตุ ตะกงั ,
อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสณั ฐิตา.

พระขนั ธปริตร พระโมรปริตร และพระอาฏานาฏยิ สตู ร,

เปน็ เคร่อื งกางกน้ั ดุจหลงั คาอยู่บนนภากาศ


181

๑๒. ชนิ ะนานาวะระสงั ยุตตา สตั ตะปาการะลงั กะตา,

วาตะปติ ตาทสิ ญั ชาตา พาหริ ัชฌตั ตปุ ัททะวา.

อน่ึง พระชนิ เจา้ ทง้ั หลาย นอกจากทไี่ ด้กล่าวมาแลว้ น,้ี

ผ้ปู ระกอบพร้อมดว้ ยกำลงั นานาชนิด, มีศลี าทคิ ณุ อนั มนั่ คง,

สตั ตะปราการเป็นอาภรณ์, มาต้ังล้อมเปน็ กำแพงคมุ้ ครองเจด็ ช้นั

๑๓. อะเสสา วนิ ะยัง ยนั ตุ อะนนั ตะชินะเตชะสา,
วะสะโต เม สะกจิ เจนะ สะทา สมั พทุ ธะปญั ชะเร.

ดว้ ยเดชานุภาพแหง่ พระอนนั ตชนิ เจ้า, ไมว่ า่ จะทำกจิ การใดๆ,

เมือ่ ข้าพระพุทธเจา้ เข้าอาศยั อยใู่ นพระบญั ชรแวดวงกรงล้อม,

แหง่ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ , ขอโรค อปุ ทั วะ ทุกขท์ งั้ ภายนอกและภายใน,

จงถูกกำจัดให้พินาศไปอยา่ ได้เหลอื

๑๔. ชนิ ะปญั ชะระมชั ฌัม๎หิ วหิ ะรันตัง มะหตี ะเล,
สะทา ปาเลนตุ มงั สัพเพ เต มะหาปรุ ิสาสะภา.

ขอพระมหาบรุ ุษ ผู้ทรงพระคณุ อันล้ำเลศิ ทั้งปวงนั้น,

จงอภิบาลข้าพระพทุ ธเจา้ ผู้อยใู่ นภาคพนื้ ,

ท่ามกลางพระชินบัญชร ขา้ พระพุทธเจา้ ไดร้ ับการคมุ้ ครอง,

ปกปกั รักษาภายในเป็นอนั ดี ฉะนแี้ ล

๑๕. อิจเจวะมนั โต สุคุตโต สรุ ักโข,

ชนิ านุภาเวนะ ชิตุปัททะโว,

ธัมมานุภาเวนะ ชติ าริสงั โฆ,

สังฆานภุ าเวนะ ชติ นั ตะราโย,

สทั ธมั มานภุ าวะปาลโิ ต จะรามิ ชินะปญั ชะเรติ.

ข้าพระพทุ ธเจา้ ได้รบั การอภิบาล ด้วยคณุ านภุ าพแห่งสทั ธรรม,

ชนะเสยี ไดซ้ ่ึงอุปัทวอนั ตรายใดๆ ด้วยอานุภาพแหง่ พระชินะพทุ ธเจา้ ,

ชนะขา้ ศกึ ศัตรูด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม,

ชนะอนั ตรายทง้ั ปวงด้วยอานภุ าพแห่งพระสงฆ,์

ขอขา้ พระพทุ ธเจา้ จงไดป้ ฏบิ ตั ิและรักษาดำเนินไป,

โดยสวสั ดเี ป็นนจิ นิรันดรเทอญ




182

ยอดพระกณั ฑ์ไตรปฎิ ก


๑. อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อะระหงั วจั จะโส ภะคะวา.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา สมั มาสมั พทุ โธ วจั จะโส ภะคะวา.

อิติปิ โส ภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน วัจจะโส ภะคะวา.

อิติปิ โส ภะคะวา สุคะโต วัจจะโส ภะคะวา.

อิตปิ ิ โส ภะคะวา โลกะวทิ ู วจั จะโส ภะคะวา.

อะระหนั ตัง สะระณัง คัจฉาม.ิ

อะระหนั ตัง สิระสา นะมามิ.

สัมมาสัมพทุ ธงั สะระณงั คัจฉามิ.

สมั มาสัมพทุ ธงั สริ ะสา นะมาม.ิ

วิชชาจะระณะสัมปนั นงั สะระณัง คัจฉาม.ิ

วชิ ชาจะระณะสัมปันนงั สริ ะสา นะมามิ.

สุคะตัง สะระณงั คัจฉาม.ิ

สคุ ะตัง สริ ะสา นะมามิ.

โลกะวทิ ัง สะระณงั คัจฉาม.ิ

โลกะวทิ ัง สิระสา นะมาม.ิ

๒. อิติปิ โส ภะคะวา อะนตุ ตะโร วจั จะโส ภะคะวา.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา ปรุ สิ ะธมั มะสาระถิ วจั จะโส ภะคะวา.

อติ ิปิ โส ภะคะวา สตั ถา เทวะมะนสุ สานงั วัจจะโส ภะคะวา.

อิติปิ โส ภะคะวา พทุ โธ วจั จะโส ภะคะวา.

อะนุตตะรัง สะระณัง คัจฉาม.ิ

อะนุตตะรัง สิระสา นะมาม.ิ

ปรุ สิ ะทมั มะสาระถิ สะระณงั คจั ฉาม.ิ

ปรุ สิ ะทมั มะสาระถิ สริ ะสา นะมามิ.

สตั ถา เทวะมะนสุ สานัง สะระณัง คจั ฉามิ.

สัตถา เทวะมะนุสสานงั สิระสา นะมามิ.

พทุ ธงั สะระณัง คัจฉาม.ิ

พุทธงั สริ ะสา นะมามิ.


183

๓. อติ ปิ ิ โส ภะคะวา รปู ะขนั โธ อะนจิ จะลกั ขะณะปาระมิ จะ สมั ปนั โน.

อิตปิ ิ โส ภะคะวา เวทะนาขนั โธ อะนจิ จะลกั ขะณะปาระมิ จะ สมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา สัญญาขันโธ อะนจิ จะลักขะณะปาระมิ จะ สัมปันโน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา สงั ขาระขนั โธ อะนจิ จะลกั ขะณะปาระมิ จะ สมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา วิญญาณะขนั โธ อะนจิ จะลกั ขะณะปาระมิ จะ สัมปนั โน.

๔. อิตปิ ิ โส ภะคะวา ปะฐะวีธาตุสะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อาโปธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.

อติ ิปิ โส ภะคะวา เตโชธาตุสะมาธญิ าณะสมั ปันโน.

อติ ิปิ โส ภะคะวา วาโยธาตุสะมาธญิ าณะสัมปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อากาสะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.

อิตปิ ิ โส ภะคะวา วิญญาณะธาตสุ ะมาธิญาณะสัมปนั โน.

อติ ิปิ โส ภะคะวา จักกะวาฬะธาตุสะมาธญิ าณะสัมปันโน.

๕. อติ ปิ ิ โส ภะคะวา จาตมุ มะหาราชกิ าธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา ตาวะตงิ สาธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา ยามาธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา ตสุ ติ าธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา นมิ มานะระตธี าตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา ปะระนมิ มติ ะวะสะวตั ตธี าตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา กามาวะจะระธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา รปู าวะจะระธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อะรปู าวะจะระธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา โลกตุ ตะระธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

๖. อติ ปิ ิ โส ภะคะวา ปะฐะมะฌานะธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา ทตุ ยิ ะฌานะธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา ตะตยิ ะฌานะธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา จะตตุ ถะฌานะธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา ปญั จะมะฌานะธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

๗. อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อากาสานญั จายะตะนะธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา วญิ ญาณญั จายะตะนะธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.


184

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อากญิ จญั ญายะตะนะธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา เนวะสญั ญานาสญั ญายะตะนะธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

๘. อติ ปิ ิ โส ภะคะวา โสตาปตั ตมิ คั คะธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา สะกทิ าคามมิ คั คะธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อะนาคามมิ คั คะธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อะระหตั ตะมคั คะธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา โสตาปตั ตผิ ะละธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา สะกทิ าคามผิ ะละธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อะนาคามผิ ะละธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อะระหตั ตะผะละธาตสุ ะมาธญิ าณะสมั ปนั โน.

๙. กสุ ะลา ธมั มา, อติ ปิ ิ โส ภะคะวา, อะอา ยาวะชวี งั พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉาม,ิ
ชัมภูทีปัญจะ อิสสะโร, กุสะลา ธัมมา, นะโม พุทธายะ, นะโม ธัมมายะ, นะโม
สงั ฆายะ, ปญั จะ พทุ ธา นะมามหิ งั , อา ปา มะ จุ ปะ, ที มะ สงั องั ข,ุ สงั วิ ธา ปุ
กะ ยะ ปะ, อปุ ะสะชะสะเห ปาสายะโสฯ

โส โส สะ สะ อะ อะ อะ อะ น,ิ เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว, อะ สงั วิ สุ โล ปุ
สะ พุ ภะ, อสิ ะวาสุ สสุ ะวาอ,ิ กสุ ะลา ธมั มา, จติ ตวิ อิ ตั ถ.ิ

อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง, อะอา ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ,

สาโพธปิ ญั จะ อสิ สะโร ธมั มา.

กสุ ะลา ธมั มา, นนั ทะววิ งั โก, อติ ิ สมั มาสมั พทุ โธ, สคุ ะลาโน ยาวะชวี งั พทุ ธงั
สะระณงั คจั ฉาม.ิ

๑๐. จาตมุ มะหาราชกิ า อสิ สะโร กสุ ะลา ธมั มา อติ ิ วชิ ชาจะระณะสมั ปนั โน อุ

อุ ยาวะชวี งั พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉาม.ิ

ตาวะตงิ สา อสิ สะโร กสุ ะลา ธมั มา นนั ทะปญั จะ สคุ ะโต โลกะวทิ ู มะหาเอโอ

ยาวะชวี งั พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉาม.ิ

ยามา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา พรหมาสัททะ ปัญจะ สัตตะ สัตตา ปาระม

อะนตุ ตะโร ยะมะกะขะ ยาวะชวี งั พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉาม.ิ

ตุสิตา อิสสะโร กุสะลาธัมมา ปุยะปะกะ ปุริสะทัมมะสาระถิ ยาวะชีวัง พุทธัง

สะระณงั คจั ฉาม.ิ


185

นมิ มานะระตี อสิ สะโร กสุ ะลา ธมั มา เหตโุ ปวะ สตั ถา เทวะมะนสุ สานงั ตะถา
ยาวะชวี งั พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉาม.ิ

ปะระนมิ มติ ะวะสะวตั ตี อสิ สะโร กสุ ะลา ธมั มา สงั ขาระขนั โธ ทกุ ขงั อะนจิ จงั
อะนตั ตา รปู ะขนั โธ พทุ ธะปะผะ ยาวะชวี งั พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉาม.ิ

พรหมา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา นัตถิปัจจะยา วินะปัญจะ ภะคะวะตา ยาวะ
นพิ พานงั สะระณงั คจั ฉามิ ฯ

๑๑. นะโม พุทธัสสะ นะโม ธัมมัสสะ นะโม สังฆัสสะ พุทธิลาโภกะลา

กะระกะนา เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหนตุ หลุ ู หลุ ู หลุ ู สะวาหายะ.

นะโม พทุ ธสั สะ นะโม ธมั มสั สะ นะโม สงั ฆสั สะ วติ ติ วติ ติ วติ ติ มติ ติ มติ ต

มติ ติ จติ ติ จติ ติ วตั ติ วตั ติ มะยะสุ สวุ ตั ถิ โหนตุ หลุ ู หลุ ู หลุ ู สะวาหายะ.

อนิ ทะสาวงั มะหาอนิ ทะสาวงั พรหมะสาวงั มะหาพรหมะสาวงั จกั กะวตั ตสิ าวงั
มะหาจกั กะวตั ตสิ าวงั เทวาสาวงั มะหาเทวาสาวงั อสิ สี าวงั มะหาอสิ สี าวงั มนุ สี าวงั
มะหามนุ สี าวงั สปั ปรุ สิ ะสาวงั มะหาสปั ปรุ สิ ะสาวงั พทุ ธะสาวงั ปจั เจกะพทุ ธะสาวงั
อะระหตั ตะสาวงั สพั พะสทิ ธวิ ชิ ชาธาระณงั สาวงั สพั พะโลกาอริ ยิ านงั สาวงั เอเตนะ
สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหนต.ุ

สาวัง คุณัง วะชะ พะลัง เตชัง วิริยัง สิทธิ กัมมัง ธัมมัง สัจจัง นิพพานัง

โมกขงั คยุ หะกงั ทานงั สลี งั ปญั ญา นกิ ขงั ปญุ ญงั ภาคะยงั ยะสงั ตปั ปงั สขุ งั สริ ิ
รปู งั จะตวุ สี ะตเิ ทสะนงั เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหนตุ หลุ ู หลุ ู หลุ ู สะวาหายะ ฯ

๑๒. นะโม พทุ ธสั สะ ทกุ ขงั อะนจิ จงั อะนตั ตา รปู ะขนั โธ เวทะนาขนั โธ สญั ญา
ขนั โธ สงั ขาระขนั โธ วญิ ญาณะขนั โธ นะโม อติ ปิ ิ โส ภะคะวา.

นะโม ธมั มสั สะ ทกุ ขงั อะนจิ จงั อะนตั ตา รปู ะขนั โธ เวทะนาขนั โธ สญั ญาขนั โธ
สงั ขาระขนั โธ วญิ ญาณะขนั โธ นะโม สวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม.

นะโม สงั ฆสั สะ ทกุ ขงั อะนจิ จงั อะนตั ตา รปู ะขนั โธ เวทะนาขนั โธ สญั ญาขนั โธ
สงั ขาระขนั โธ วญิ ญาณะขนั โธ นะโม สปุ ะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ วาหะ
ปะรติ ตงั .

นะโม พุทธายะ มะอะอุ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา ยาวะตัสสะ หาโยโมนะ

อุอะมะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา อุอะมะอะ วันทา นะโม พุทธายะ นะอะกะต

นสิ ะระณะ อาระปะขทุ ธงั มะอะอุ ทกุ ขงั อะนจิ จงั อะนตั ตา ฯ


186

ยอดพระกณั ฑ์ไตรปิฎก (แปล)


๑. พระผูม้ ีพระภาคเจ้านน้ั เป็นผู้ไกลจากกเิ ลส

พระผู้มีพระภาคเจา้ นน้ั เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองคเ์ อง

พระผูม้ ีพระภาคเจ้านน้ั ทรงถงึ พรอ้ มดว้ ยความรแู้ ละความประพฤติ

พระผ้มู ีพระภาคเจ้าน้นั เป็นผเู้ สดจ็ ไปดีแลว้

พระผมู้ ีพระภาคเจา้ น้ัน เป็นผู้รู้แจ้งโลก

ขา้ พเจา้ ขอถึงพระองคผ์ ู้เปน็ พระอรหันต์ ว่าเปน็ ท่ีพ่ึงกำจัดภยั ได้จริง

ข้าพเจา้ ขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ ด้วยเศยี รเกลา้

ข้าพเจา้ ขอถงึ พระองค์ผูท้ รงตรสั รูเ้ องโดยชอบ ว่าเปน็ ท่ีพ่ึงกำจัดภัยไดจ้ รงิ

ขา้ พเจ้าขอนอบน้อมพระองคผ์ ตู้ รัสรูเ้ องโดยชอบ ดว้ ยเศยี รเกลา้

ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผถู้ ึงพร้อมด้วยความรูแ้ ละความประพฤติว่า

เปน็ ทพี่ ่งึ กำจดั ภยั ได้จริง

ขา้ พเจา้ ขอนอบน้อมพระองคผ์ ถู้ ึงพร้อมดว้ ยความรูแ้ ละความประพฤติ ดว้ ยเศยี รเกล้า

ขา้ พเจา้ ขอถึงพระองคผ์ ู้เสดจ็ ไปดีแล้ว ว่าเปน็ ทพ่ี ง่ึ กำจดั ภยั ไดจ้ รงิ

ขา้ พเจ้าขอนอบนอ้ มพระองค์ผเู้ สด็จไปดีแล้ว ด้วยเศียรเกล้า

ขา้ พเจ้าขอถงึ พระองคผ์ รู้ ู้แจ้งโลก วา่ เปน็ ท่พี งึ่ กำจดั ภัยไดจ้ ริง

ขา้ พเจา้ ขอนอบนอ้ มพระองคผ์ รู้ ูแ้ จ้งโลก ดว้ ยเศียรเกล้า

๒. พระผมู้ ีพระภาคเจ้านั้น เปน็ อนุตตโร คือ ยอดเยยี่ ม

พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นนายสารถผี ้ฝู กึ บุรษุ

พระผู้มพี ระภาคเจา้ นน้ั เปน็ ศาสดาของเทวดาและมนษุ ยท์ ั้งหลาย

พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นนั้ เป็นผตู้ ่นื จากกิเลส

ขา้ พเจา้ ขอถงึ พระองคผ์ ยู้ อดเย่ยี ม วา่ เป็นท่พี ่งึ กำจดั ภยั ได้จรงิ

ขา้ พเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ยอดเยี่ยม ด้วยเศียรเกลา้

ขา้ พเจา้ ขอถงึ พระองค์ผเู้ ป็นสารถีผู้ฝกึ บรุ ุษ วา่ เปน็ ท่ีพ่งึ กำจัดภัยไดจ้ ริง

ขา้ พเจา้ ขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็นนายสารถีผฝู้ กึ บุรษุ ด้วยเศียรเกลา้

ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนษุ ย์ วา่ เป็นท่ีพ่ึงกำจดั ภยั ไดจ้ ริง

ขา้ พเจา้ ขอนอบนอ้ มพระองคผ์ ูเ้ ปน็ ศาสดาของเทวดาและมนษุ ย์ ด้วยเศียรเกล้า

ขา้ พเจา้ ขอถึงพระองคผ์ ู้ตน่ื จากกเิ ลส วา่ เป็นทพ่ี ่งึ กำจดั ภยั ไดจ้ ริง

ขา้ พเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผตู้ ่ืนจากกิเลส ดว้ ยเศยี รเกลา้

๓. พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นน้ั รูปขนั ธ์ เป็นอนจิ จลักษณะ แต่พระบารมีถงึ พรอ้ มแล้ว

พระผูม้ ีพระภาคเจา้ น้ัน เวทนาขนั ธ์ เป็นอนิจจลกั ษณะ แต่พระบารมีถงึ พรอ้ มแลว้

พระผู้มีพระภาคเจ้านน้ั สญั ญาขันธ์ เปน็ อนจิ จลักษณะ แตพ่ ระบารมีถึงพร้อมแล้ว


187

พระผ้มู พี ระภาคเจ้านน้ั สังขารขันธ์ เปน็ อนจิ จลกั ษณะ แต่พระบารมถี ึงพรอ้ มแล้ว

พระผมู้ พี ระภาคเจา้ น้นั วญิ ญาณขนั ธ์ เปน็ อนจิ จลกั ษณะ แตพ่ ระบารมีถึงพรอ้ มแลว้

๔. พระผู้มพี ระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพรอ้ มดว้ ยญาณหยั่งรู้อันตั้งมั่นดีแลว้ ในธาตุ คอื ธาตดุ ิน

พระผู้มพี ระภาคเจา้ น้ัน ทรงถงึ พร้อมดว้ ยญาณหยง่ั รอู้ นั ตง้ั มัน่ ดีแลว้ ในธาตุ คอื ธาตนุ ้ำ

พระผมู้ พี ระภาคเจ้านน้ั ทรงถงึ พรอ้ มดว้ ยญาณหยง่ั รู้อนั ตง้ั มัน่ ดีแลว้ ในธาตุ คือธาตุไฟ

พระผู้มีพระภาคเจา้ นน้ั ทรงถงึ พรอ้ มดว้ ยญาณหยั่งรอู้ ันตั้งมั่นดีแลว้ ในธาตุ คอื ธาตุลม

พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นั้น ทรงถึงพรอ้ มดว้ ยญาณหยง่ั รู้อนั ต้ังมั่นดีแล้วในธาตุ คืออากาศธาตุ

พระผู้มพี ระภาคเจา้ นั้น ทรงถึงพร้อมด้วยญาณหยั่งรู้อนั ต้ังมน่ั ดแี ลว้ ในธาตุ คอื วิญญาณธาตุ

พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถงึ พร้อมดว้ ยญาณหยั่งรู้อนั ตง้ั มั่นดแี ลว้ ในธาตุ คือจักรวาลธาต

๕. พระผมู้ ีพระภาคเจา้ นัน้ ทรงถึงพรอ้ มด้วยญาณหยง่ั รู้อนั ตั้งมนั่ ดีแลว้ ในธาตุ

อนั เป็นไปในสวรรค์ชน้ั จาตุมหาราช

พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นน้ั ทรงถึงพรอ้ มด้วยญาณหยง่ั รู้อนั ตง้ั มน่ั ดแี ล้วในธาตุ

อันเป็นไปในสวรรคช์ น้ั ดาวดึงส์

พระผู้มพี ระภาคเจา้ นน้ั ทรงถงึ พร้อมด้วยญาณหยง่ั ร้อู นั ตง้ั ม่นั ดแี ล้วในธาตุ

อันเป็นไปในสวรรคช์ ั้นยามา

พระผมู้ พี ระภาคเจ้านน้ั ทรงถึงพร้อมด้วยญาณหย่งั รอู้ ันตั้งมั่นดแี ลว้ ในธาตุ

อันเปน็ ไปในสวรรคช์ ั้นดุสิต

พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นั้น ทรงถงึ พร้อมดว้ ยญาณหยง่ั รู้อนั ตง้ั มั่นดีแลว้ ในธาตุ

อนั เปน็ ไปในสวรรคช์ ั้นนิมมานรดี

พระผู้มีพระภาคเจ้านน้ั ทรงถงึ พร้อมด้วยญาณหยงั่ รู้อันตง้ั มนั่ ดแี ล้วในธาตุ

อนั เป็นไปในสวรรค์ชั้นปรนิมมติ วสวตั ตี

พระผมู้ ีพระภาคเจ้านั้น ทรงถงึ พรอ้ มดว้ ยญาณหยั่งรูอ้ นั ตง้ั มั่นดแี ลว้ ในธาตุ

อนั เป็นไปในกามาวจรภูมิ

พระผู้มพี ระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพรอ้ มดว้ ยญาณหย่ังรอู้ นั ตั้งมั่นดแี ลว้ ในธาตุ

อนั เปน็ ไปในรูปาวจรภมู ิ

พระผู้มพี ระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยญาณหยัง่ รอู้ ันตง้ั มน่ั ดีแล้วในธาตุ

อนั เปน็ ไปในอรปู าวจรภมู ิ

พระผมู้ ีพระภาคเจา้ นน้ั ทรงถึงพรอ้ มด้วยญาณหยั่งรอู้ ันตง้ั มน่ั ดแี ล้วในธาตุ

อนั เปน็ ไปในโลกตุ ตรภูมิ

๖. พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นั้น ทรงถงึ พรอ้ มดว้ ยญาณหยั่งร้อู นั ตัง้ มั่นดแี ล้วในธาตุ

อนั เป็นไปในปฐมฌาน

พระผู้มีพระภาคเจ้านน้ั ทรงถึงพรอ้ มดว้ ยญาณหยง่ั รู้อนั ตง้ั มน่ั ดีแล้วในธาตุ

อนั เป็นไปในทตุ ิยฌาน


188

พระผู้มพี ระภาคเจา้ นน้ั ทรงถึงพร้อมด้วยญาณหยงั่ รู้อันตั้งมน่ั ดีแลว้ ในธาตุ

อันเป็นไปในตติยฌาน

พระผู้มีพระภาคเจ้านน้ั ทรงถงึ พรอ้ มด้วยญาณหย่งั รอู้ ันตง้ั ม่นั ดีแลว้ ในธาตุ

อันเปน็ ไปในจตตุ ถฌาน

พระผูม้ ีพระภาคเจา้ นั้น ทรงถึงพรอ้ มด้วยญาณหยงั่ รอู้ ันตั้งมั่นดแี ลว้ ในธาตุ

อันเปน็ ไปในปัญจมฌาน

๗. พระผมู้ ีพระภาคเจา้ นั้น ทรงถงึ พร้อมด้วยญาณหยง่ั รู้อนั ตั้งมัน่ ดแี ลว้ ในธาตุ

อันเปน็ ไปในอรปู าวจรภมู ิ คือ อากาสานัญจายะตะนะ

พระผมู้ ีพระภาคเจ้าน้นั ทรงถงึ พร้อมด้วยญาณหยั่งรอู้ นั ตั้งมน่ั ดีแล้วในธาตุ

อนั เปน็ ไปในอรปู าวจรภมู ิ คอื วิญญาณัญจายะตะนะ

พระผู้มพี ระภาคเจา้ น้ัน ทรงถึงพรอ้ มดว้ ยญาณหย่ังรู้อนั ตง้ั มนั่ ดแี ล้วในธาตุ

อนั เป็นไปในอรปู าวจรภมู ิ คอื อากญิ จัญญายะตะนะ

พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นั้น ทรงถงึ พรอ้ มด้วยญาณหยั่งรู้อนั ตั้งมั่นดีแลว้ ในธาตุ

อันเป็นไปในอรปู าวจรภมู ิ คอื เนวะสญั ญานาสัญญายะตะนะ

๘. พระผมู้ ีพระภาคเจ้านน้ั ทรงถงึ พรอ้ มด้วยญาณหยง่ั รู้อันตง้ั มั่นดีแล้วในธาตุ

อันเปน็ ไปในพระโสดาปัตตมิ รรค

พระผู้มพี ระภาคเจา้ นั้น ทรงถึงพร้อมดว้ ยญาณหย่งั รอู้ ันตงั้ มั่นดีแล้วในธาตุ

อนั เปน็ ไปในพระสกทิ าคามีมรรค

พระผมู้ พี ระภาคเจ้านนั้ ทรงถงึ พรอ้ มด้วยญาณหยั่งร้อู นั ตั้งมั่นดีแลว้ ในธาตุ

อันเป็นไปในพระอนาคามีมรรค

พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นน้ั ทรงถึงพร้อมด้วยญาณหยง่ั รู้อนั ตง้ั มน่ั ดแี ล้วในธาตุ

อนั เปน็ ไปในพระอรหัตตมรรค

พระผมู้ ีพระภาคเจ้านน้ั ทรงถงึ พร้อมดว้ ยญาณหยง่ั รอู้ นั ตั้งมน่ั ดแี ลว้ ในธาตุ

อนั เปน็ ไปในพระโสดาปตั ติผล

พระผมู้ ีพระภาคเจ้านั้น ทรงถงึ พรอ้ มด้วยญาณหย่ังร้อู นั ตง้ั มน่ั ดแี ลว้ ในธาตุ

อันเปน็ ไปในพระสกทิ าคามผี ล

พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นน้ั ทรงถงึ พร้อมดว้ ยญาณหยั่งรู้อนั ต้งั มัน่ ดีแล้วในธาตุ

อันเปน็ ไปในพระอนาคามผี ล

พระผู้มพี ระภาคเจ้านัน้ ทรงถงึ พร้อมดว้ ยญาณหยั่งร้อู นั ตั้งมั่นดีแลว้ ในธาตุ

อันเป็นไปในพระอรหตั ตผล

๙. ธรรมะฝ่ายกุศล, พระผ้มู พี ระภาคเจา้ น้นั , ขา้ พเจา้ ขอถงึ พระพุทธเจ้าว่าเปน็ ทพี่ ึ่งตลอดชวี ติ ,

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เปน็ อสิ ระแห่งชมพทู วปี , ธรรมฝ่ายกศุ ล,

ขอนอบนอ้ มแด่พระพุทธเจา้ , ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระธรรมเจ้า,


189

ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระสังฆเจา้ , ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระพุทธเจ้าหา้ พระองค,์

ด้วยหวั ใจพระวินยั ปฎิ ก, ดว้ ยหวั ใจพระสุตตันตปิฎก, ด้วยหวั ใจพระอภธิ รรมปิฎก,

ดว้ ยมนต์คาถา

ด้วยหวั ใจมรรคสผี่ ลสน่ี ิพพานหนึ่ง, ดว้ ยหวั ใจพระเจ้าสบิ ชาตแิ สดงการบำเพ็ญบารมสี บิ ,

ดว้ ยหวั ใจพระพุทธคณุ เกา้ (นวหรคุณ), ดว้ ยหัวใจพระไตรรตั นคุณ, ธรรมะฝา่ ยกุศล,

มีนัยวจิ ติ รพสิ ดาร

พระผู้มีพระภาคเจา้ น้นั เปน็ ผไู้ กลจากกเิ ลส,

ข้าพเจา้ ขอถงึ พระพทุ ธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต, มนต์คาถา

ธรรมะฝา่ ยกศุ ล, มนต์คาถา, พระผ้มู ีพระภาคเจ้าเป็นผตู้ รัสรเู้ องโดยชอบแล้ว,

ข้าพเจา้ ขอถึงพระพทุ ธเจ้าว่าเปน็ ที่พง่ึ ตลอดชีวิต

๑๐. ธรรมะฝา่ ยกศุ ล พระผูม้ พี ระภาคเจ้า เป็นผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยความร้แู ละความประพฤติ

ขา้ พเจา้ ขอถึงพระพทุ ธเจา้ วา่ เปน็ ที่พึ่งตลอดชวี ิต เปน็ อิสระถึงสวรรค์ช้ันจาตุมหาราชกิ า

ธรรมะฝ่ายกุศล พระผมู้ พี ระภาคเจา้ เปน็ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผรู้ ูแ้ จ้งโลก

ขา้ พเจา้ ขอถงึ พระพทุ ธเจ้าว่าเปน็ ท่พี ง่ึ ตลอดชวี ติ เป็นอสิ ระถึงสวรรค์ชน้ั ดาวดึงส์

ธรรมะฝา่ ยกศุ ล ดว้ ยความศรัทธาต่อพระพรหม

ดว้ ยบารมอี ันยอดเยี่ยมของพระโพธิสตั ว์ทง้ั หา้ ข้าพเจา้ ขอถึงพระพทุ ธเจ้า

วา่ เปน็ ทีพ่ ึ่งตลอดชีวติ เป็นอสิ ระถึงสวรรคช์ ้นั ยามา

ธรรมะฝ่ายกุศล พระผมู้ ีพระภาคเจ้า ผู้เปน็ นายสารถีผู้ฝกึ บรุ ุษ

ข้าพเจา้ ขอถงึ พระพุทธเจา้ ว่าเปน็ ท่ีพึ่งตลอดชีวิต เป็นอสิ ระถงึ สวรรคช์ ั้นดุสิต

ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มพี ระภาคเจ้าพระองค์ผูเ้ ป็นศาสดาของเทวดาและมนษุ ยท์ ้ังหลาย

ขา้ พเจ้าขอถงึ พระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งตลอดชวี ิต เปน็ อสิ ระถึงสวรรค์ชน้ั นิมมานรดี

ธรรมะฝา่ ยกุศล พระผมู้ ีพระภาคเจา้ เป็นผ้รู ู้แจ้ง สังขารขันธ์ รปู ขันธ์ เปน็ ของไม่เท่ียง

เป็นความทุกข์ ไมใ่ ช่เป็นตัวตนของเราจรงิ ข้าพเจา้ ขอถงึ พระพุทธเจ้า

ว่าเปน็ ท่พี ง่ึ ตลอดชีวิต เปน็ อสิ ระถงึ สวรรคช์ น้ั ปรนิมมติ วสวัตตี

ธรรมะฝ่ายกศุ ล ขา้ พเจา้ ขอถึงพระพทุ ธเจา้ ว่าเป็นที่พึง่ ตลอดชวี ิต

เป็นอิสระถงึ พรหมโลก ขา้ พเจ้าขอถงึ พระผ้มู ีพระภาคเจ้า

ว่าเป็นที่พง่ึ ตราบเท่าเขา้ ส่พู ระนพิ พาน

๑๑. ขอนอบน้อมแดพ่ ระพทุ ธเจ้า ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระธรรมเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า

ด้วยการสวดมนต์พระคาถานแ้ี ละดว้ ยการกลา่ วคำสตั ย์ปฏิญาณ

ขอความสวสั ดจี งมแี กข่ ้าพเจา้ เถดิ

ขอนอบน้อมแด่พระพทุ ธเจา้ ขอนอบน้อมแดพ่ ระธรรมเจ้า ขอนอบนอ้ มแด่พระสังฆเจา้

ดว้ ยการสวดมนต์พระคาถานี้ ขอความสวสั ดจี งมแี ก่ขา้ พเจา้ เถดิ


190

ด้วยการสวดมนตพ์ ระคาถามหาทิพมนต์ และด้วยการกลา่ วคำสตั ยป์ ฏญิ าณนี้

ขอความสวัสดีจงมีแกข่ ้าพเจ้าเถดิ

ดว้ ยการสวดมนตพ์ ระคาถาน้ี และด้วยการกล่าวคำสตั ยป์ ฏญิ าณ

ขอความสวัสดจี งมีแก่ข้าพเจา้ เถดิ

๑๒. ขา้ พเจา้ ขอนอบนอ้ มแด่พระพุทธเจา้ ผ้เู ข้าถึงรูปขันธ ์ เวทนาขนั ธ์ สญั ญาขนั ธ์ สังขารขนั ธ์

วญิ ญาณขันธ์ เป็นทกุ ข์ ไมเ่ ทย่ี ง มิใชต่ วั ตนของเราจริง

ขา้ พเจ้าขอนอบน้อมพระผู้มพี ระภาคเจา้ พระองค์นัน้

ขา้ พเจา้ ขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจา้ รูปขนั ธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขนั ธ์

สงั ขารขันธ์ วญิ ญาณขนั ธ์ เปน็ ทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจรงิ

ขา้ พเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมทพ่ี ระผ้มู ีพระภาคเจ้าตรัสไวด้ ีแล้ว

ข้าพเจา้ ขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจา้ ผู้เขา้ ถึงรูปขนั ธ์ เวทนาขนั ธ์ สญั ญาขันธ์

สงั ขารขันธ์ วญิ ญาณขนั ธ์ เปน็ ทุกข์ ไม่เทยี่ ง มิใช่ตวั ตนของเราจริง

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆส์ าวกของพระพทุ ธเจ้า ผปู้ ฏบิ ตั ดิ แี ล้ว

ขา้ พเจา้ ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระพทุ ธเจา้ ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระธรรมเจา้

ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระสงั ฆเจา้ และด้วยพระธรรมคำส่งั สอนถงึ ความไม่เท่ยี ง เปน็ ทุกข์

มใิ ชต่ ัวตนของเราจริง


อรยิ สงฆ์สาวกของพระผูม้ ีพระภาค

เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผูค้ วรของตอ้ นรับ

เป็นผคู้ วรของทำบุญ เปน็ ผ้คู วรทำอัญชลี

เป็นนาบญุ ของโลกทีไ่ ม่มนี าบุญอ่นื ยง่ิ กวา่


ชนเหล่าใดเลื่อมใสในอรยิ สงฆ์

ชนเหลา่ น้นั ช่ือว่าเล่ือมใสในสิง่ ทเี่ ลิศ

ก็วิบากอนั เลิศย่อมมแี ก่บุคคลผู้ทเี่ ลอ่ื มใสในสงิ่ ท่เี ลิศ


191

คำบูชาพระบรมสารรี กิ ธาตุ


อติ ปิ ิ โส ภะคะวา นะมามหิ งั ตัง ภะคะวันตงั , ปะระมะสารีริกะธาตุยา สัทธิง
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชชาจะระณะสัมปันโน, สุคะโต, โลกะวิทู, อะนุตตะโร

ปุรสิ ะทมั มะสาระถิ, สัตถา เทวะมะนสุ สานงั , พทุ โธ, ภะคะวาต.ิ

อุกาสะ วันทามิ ภนั เต เจติยัง สัพพัง สพั พตั ถะ ฐาเน สุปะตฏิ ฐติ ัง,

ข้าแตพ่ ระองคผ์ ู้เจรญิ , ข้าพเจา้ ขอถือโอกาสไหวพ้ ระเจดยี ,์

พระบรมสารีริกธาตุอนั ตงั้ ไว้ดแี ลว้ ในทที่ ัง้ ปวง

พทุ ธะสารีรงั คะธาตุง มะหาโพธงิ พทุ ธะรปู งั คันธะกุฏงิ จะตรุ าสตี สิ ะหสั เส

ธมั มักขนั เธ,

พระสารีรงั คะธาตขุ องพระพุทธเจ้า, ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ, พระพุทธรูป,

พระคันธกุฎขี องพระพทุ ธเจา้ และพระธรรมท้ังหลาย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ

สพั เพตัง ปะทะเจตยิ ัง สกั การตั ถัง,

เพอื่ สกั การะเจดยี ์ คอื รอยพระบาทเหล่านน้ั ทง้ั หมดทง้ั สน้ิ

อะหงั วนั ทามิ ธาตโุ ย, ข้าพเจา้ ขอไหวพ้ ระธาตุทั้งหลาย

อะหัง วนั ทามิ สพั พะโส, ขา้ พเจา้ ขอไหวโ้ ดยประการท้ังปวง

อิจเจตงั ระตะนัตตะยัง อะหงั วนั ทามิ สพั พะทา.

ขา้ พเจ้าขอไหวซ้ ึ่งพระรัตนตรัยเหลา่ นน้ั , ในกาลทุกเม่ือดว้ ยอาการดงั นีแ้ ล




ดกู อ่ นภิกษทุ ้ังหลาย พรหมจรรย์น้ีเราประพฤต

มิใชเ่ พอื่ หลอกลวงคน มใิ ช่เพอ่ื ใหค้ นบ่นเพอ้ ถงึ

มใิ ช่เพอ่ื หวังอานิสงส์คอื ลาภสกั การะ และการสรรเสริญของชาวโลก

มิใชเ่ พ่ือเป็นหวั หน้าทิศาปาโมกข์ หรือวา่ เพือ่ ใหค้ นร้จู กั เรา


แทจ้ รงิ แล้ว พรหมจรรย์นเี้ ราประพฤติ

เพ่ือสังวระ คอื ความสำรวมระวงั

เพือ่ ปหานะ คอื การละ

เพื่อวิราคะ คอื ความคลายกำหนดั


เพอื่ นโิ รธะ คอื ความดับสนิท (หลดุ พ้น)


192

บทปลงสงั ขาร (มนษุ ยเ์ ราเอย๋ )


มนษุ ยเ์ ราเอย๋ เกิดมาทำไม นพิ พานมีสขุ อยูใ่ ยมไิ ป


ตัณหาหนว่ งหนกั หน่วงชักหน่วงไว ้ ฉนั ไปมิได้

ตัณหาผกู พนั ห่วงน้นั พันผูก ห่วงลูกหว่ งหลาน


หว่ งทรพั ยศ์ ฤงคาร จงสละเสียเถิด จะไดไ้ ปนิพพาน

ข้ามพน้ ภพสาม     ยามหนมุ่ สาวน้อย หนา้ ตาแช่มช้อย


งามแลว้ ทุกประการ     แก่เฒา่ หนังยาน ลว้ นแต่เครื่องเหม็น


เอ็นใหญเ่ ก้าร้อย     เอ็นนอ้ ยเกา้ พัน มันมาทำเขญ็ ใจ    

ใหร้ ้อนใหเ้ ย็น     เมอื่ ยขบทงั้ ตัว ขนค้วิ กข็ าว    


นัยน์ตากม็ วั      เส้นผมบนหัว ดำแล้วกลบั หงอก


หน้าตาเว้าวอก     ดูนา่ บดั สี จะลกุ ก็โอย    

จะนั่งก็โอย     เหมือนดอกไม้โรย ไมม่ เี กสร    

จะเข้าทีน่ อน     พงึ สอนภาวนา พระอนิจจัง    

พระอนัตตา     เราทา่ นเกดิ มา รังแตจ่ ะตาย    
ผดู้ เี ข็ญใจ     กต็ ายเหมือนกนั เงนิ ทองท้ังนั้น    
มติ ดิ ตวั ไป     ตายไปเปน็ ผ ี ลกู เมียผัวรัก    

เขาชักหน้าหนี     เขาเหมน็ ซากผี เป่อื ยเนา่ พุพอง    
หม่ญู าติพีน่ ้อง     เขาหามเอาไป เขาวางลงไว ้    
เขานงั่ รอ้ งไห้     แลว้ กลบั คนื มา อยแู่ ต่ผ้เู ดยี ว    
ปา่ ไมช้ ายเขียว     เหลยี วไมเ่ หน็ ใคร เหน็ แต่ฝงู แรง้     

เหน็ แตฝ่ งู กา     เหน็ แตฝ่ งู หมา ย้ือแยง่ กนั กนิ     
ดูน่าสมเพช     กระดูกกเู อ๋ย เรยี่ รายแผน่ ดนิ     

แรง้ กาหมากิน     เอาเปน็ อาหาร เท่ียงคืนสงดั     
ตื่นขน้ึ มนิ าน     ไม่เหน็ ลกู หลาน พีน่ อ้ งเผ่าพนั ธ์ ุ    

เหน็ แต่นกเคา้      จับเจา่ เรยี งกนั เห็นแต่นกแสก    

ร้องแรกแหกขวัญ     เห็นแตฝ่ ูงผ ี ร้องไหห้ ากนั     

มนษุ ย์เราเอ๋ย     อยา่ หลงนกั เลย ไมม่ ีแกน่ สาร    

อตุ สา่ หท์ ำบญุ      ค้ำจุนเอาไว้ จะได้ไปสวรรค ์    

จะได้ทนั พระพุทธเจ้า จะไดเ้ ขา้ พระนพิ พาน อะหงั  วนั ทามิ

สัพพะโส อะหัง  วนั ทาม ิ นิพพานะปัจจะโย โหต.ุ


193

บทปลงสังขาร (เกศาผมหงอก)


เกศาผมหงอก บอกวา่ ตัวเฒ่า ฟนั ฟางผมเผา้ เเกเ่ เล้วทุกประการ

ตามืดหูหนกั รา้ ยนักสาธารณ์ บม่ ิเปน็ เเกน่ สาร ใช่ตัวตนของเรา

เเต่ลว้ นเป่ือยเนา่ เคร่ืองประดับกายเรา โสโครกทั้งตัว เเข้งขามอื สน่ั

เสน้ สายพันพัว เหน็ น่าเกลียดกลวั อยใู่ นตัวเรา ให้มนึ ให้เมือ่ ย

ให้เจ็บให้เหน่อื ย ไปทัว่ เสน้ ขน เเก่เเล้วโรคา เขา้ มาหาตน

ไดค้ วามทกุ ขท์ น โสกาอาวรณ์ จะนง่ั ก็โอย จะลุกก็โอย

เหมอื นดอกไม้โรย ไม่มีเกสร เเก่เเล้วโรคา เข้ามาวิงวอน
ได้ความทกุ ขร์ ้อน ท่ัวกายอนิ ทรยี ์ ครั้นสิ้นลมปาก กลับกลายหายจาก

เรียกกนั ว่าผี ลกู รกั ผัว(เมยี )รัก เขาชักหน้าหนี เขาว่าซากผี

เป่อื ยเนา่ พพุ อง เขาเสียมไิ ด้ เขาไปเยีย่ มมอง เขาบ่ไดต้ อ้ ง

เกลียดกลวั นักหนา เขาผกู คอรัด มือเท้าเขามดั รดั รงึ ตรึงตรา

เขาหามเอาไป ทิ้งไว้ป่าช้า เขากลับคืนมา สูเ่ หยา้ เรือนพลนั

ตนอยู่เอกา อย่กู ับหมหู มา ยอื้ คร่าพลั วนั ทรพั ยส์ นิ ของตน

ขนมาปันกนั ข้าวของทั้งนั้น ไมใ่ ชข่ องเรา เมอ่ื ตนยงั อยู่

เรยี กว่าของก ู เดย๋ี วนเ้ี ป็นของเขา เเต่เงนิ ใสป่ าก เขายังควักล้วงเอา

ไปเเตต่ วั เปล่า เนา่ ทั่วสรรพางคก์ าย อยู่ในปา่ รก ไดย้ นิ เสยี งนก

กกึ ก้องดงยาง ไดย้ ินหมาไน รอ้ งไหค้ รวญคราง ใจจิตอ้างวา้ ง

วเิ วกวังเวง มีหมู่นกเเขวก บินมารอ้ งเเรก เเถกขวญั ของตน

เหลียวไมเ่ ห็นใคร อกใจวังเวง ใหอ้ ยูค่ ร้ืนเครง รำพึงถงึ ตวั

ตายไปเปน็ ผี เขาไม่ไยดี ท้ิงไว้น่ากลัว ยงิ่ คดิ ยง่ิ พรน่ั

กายสั่นระรัว รำพงึ ถงึ ตวั อยู่ในป่าช้า ผัวมง่ิ สนิ ทรัพย์

ย่งิ เเลยิ่งลบั ไม่เหน็ ตามมา เห็นเเต่ศลี ทาน เมตตาภาวนา

ตามเลีย้ งรักษา อนุ่ เน้อื อ่นุ ใจ ศลี ทานมาช่วย ไดเ้ ปน็ เพื่อนม้วย

เมอ่ื ตนตายไป ตบเเต่งสมบัติ นพรตั นโ์ พยภยั เลิศลำ้ อำไพ

อัตตกิเลสมากมี ศีลพาไปเกิด ได้วิมานเลิศ ประเสรฐิ โฉมศรี

นางฟา้ เเห่ลอ้ ม ห้อมล้อมมากม ี ขบั กลอ่ มดีดสี ฟงั เสียงบรรเลง

บรรเลงสมบัต ิ เเก้วเก้าเนาวรัตน์ นับนอ้ ยไปหรือ คุณพระทศพล

ทีต่ นนับถือ พระธรรมนัน้ หรอื ส่ังสอนทุกวนั พระสงฆ์องคอ์ ารีรัก

มาเปน็ ปิ่นปัก พระกรรมฐาน เอออวยสมบตั ิ นพรตั นโ์ อฬาร


194

ดีกว่าลูกหลาน ประเสรฐิ เพริศเพรา ลูกผัว(เมยี )ทีร่ กั บม่ ิเป็นตำหนกั

รักเขาเสียเปลา่ เขามติ ามช่วย เพ่ือนมว้ ยดว้ ยเรา ไปหลงรักเขา


เห็นไม่เป็นการ รักตนดีกว่า จำศีลภาวนา บำเพญ็ ศีลทาน

จะได้ช่วยตน ให้พ้นสงสาร ลถุ ึงสถาน ไดว้ ิมานทอง

ผใู้ ดใจพาล หลงรักลกู หลาน จะต้องจำจอง เปน็ ห่วงตณั หา
เข้ามารบั รอง ตายไปจะตอ้ ง ตกจตุรบาย.*










อานนท.์ .. เราจกั ไมพ่ ยายามทำกะพวกเธออยา่ งทะนุถนอม

เหมอื นพวกช่างหม้อทำกบั หมอ้ ทีย่ งั เปียก ยงั ดิบอยู่

อานนท.์ .. เราจักขนาบแลว้ ขนาบอีก ไม่มหี ยดุ

อานนท.์ .. เราจักชี้โทษแล้ว ช้โี ทษอีก ไม่มีหยดุ

ผใู้ ดมมี รรคผลเป็นแกน่ สาร ผ้นู ั้นจักทนอยู่ได

คนเราควรมองผมู้ ปี ัญญาใดๆ ท่ีคอยกล่าวคำขนาบอยูเ่ สมอไปวา่

คือ "คนช้ขี มุ ทรัพย์" และควรคบบณั ฑิตทเี่ ปน็ เช่นน้ัน

เมอื่ คบหากับบัณฑิตเชน่ นัน้ ยอ่ มมแี ต่ดีโดยส่วนเดียว


*จตรุ บาย หมายถึง สถานท่อี ันปราศจากความเจริญ ๔ อยา่ ง คอื

๑.นรก ๒.เปรต ๓.อสรุ กาย ๔.สัตว์เดรัจฉาน


195

บทปลงสงั ขาร (สงั ขารรา่ งกาย)


สังขารร่างกาย ต้องตายเปน็ ผ ี อยู่ในโลกนี้ ไม่มแี กน่ สาร

ทรัพยส์ ินเงินทอง เปน็ ของสาธารณ์ ไมใ่ ช่ของท่าน ลกู หลานต้องลา

อยา่ มัวประมาท โอกาสยงั มี อย่าหลงโลกยี ์ จะมปี ญั หา

โลกนีแ้ ท้จรงิ เป็นสิง่ มายา เป็นส่ิงลวงตา ใช่วา่ จีรงั

สงั ขารร่างกาย อยู่ไม่กปี่ ี กต็ ายเปน็ ผี ไมม่ คี วามหวงั

เกิดแก่เจ็บตาย รา่ งกายผุพัง ทุกวันเดินทาง สู่ยังกองฟอน

จะหา้ มไม่ฟงั จะร้ังไม่อย่ ู เป็นสง่ิ สมมต ิ ตามพทุ ธะสอน

อำนาจใดๆ อย่าไปวงิ วอน ใหช้ ่วยเราตอน ในวนั ส้ินใจ

สงั ขารเรานี้ เป็นส่ิงทสี่ ังเวช มันเปน็ สาเหต ุ สงั เกตเอาไว ้

เดยี๋ วร้อนเด๋ียวหนาว ปวดรา้ วอาลยั หิวอ่มิ เกินไป ก็ไมอ่ ย่นู าน

หนาวกจ็ ะตาย รอ้ นไปกจ็ ะแย ่ ลำบากแท้ๆ น่ีแลสงั ขาร

ตอ้ งกนิ ต้องถา่ ย ทนไปทุกวัน ดูน่าสงสาร คิดกันให้ดี

สังขารรา่ งกาย ท่วั ไปเน่าเหมน็ มขี องกากเดน มองเหน็ ทุกท

ไหลเขา้ ไหลออก ย้อนยอกมากมี ล้วนเป็นสิ่งท ่ี มอี ยทู่ ั่วกัน

น้ำเลอื ดน้ำหนอง ลว้ นของปฏิกลู ไหลมาเป็นมลู พอกพนู หลายชั้น

ข้างนอกเน่าเหมน็ มองเห็นทกุ วนั อกี ข้างในนน้ั ล้วนข้นั ไมง่ าม

สังขารร่างกาย ไมใ่ ชต่ วั ตน เกิดมาเปน็ คน ไมพ่ ้นโดนหาม

ตอ้ งนอนเปลอื ยกาย ใหไ้ ฟลกุ ลาม เมอื่ เจา้ โดนหาม ส่เู ชิงตะกอน

ผู้ดีเขญ็ ใจ กต็ ายเหมอื นกนั อยา่ หลงสังขาร ปลงกนั ไว้ก่อน

ลูกหลานหญงิ ชาย สง่ ไดแ้ น่นอน กแ็ คก่ องฟอน แลว้ ยอ้ นกลบั มา

สงั ขารร่างกาย ลว้ นตายเป็นศพ ถูกแผ่นดินกลบ อยู่ในป่าช้า

หม่หู นอนชอนไช ตอมไตก่ ายา เป็นเหยื่อนกกา หมูหมาในดง

กระดูกเกลอื่ นกลาด เร่ียราดทว่ั ไป เอน็ เล็กเอน็ ใหญ่ ไรจ้ ดุ ประสงค์

ตอ้ งถูกทอดทิ้ง นอนกลิง้ ในดง เปน็ ป่ารกพง เฝา้ ดงกนั ดาร

กระทำให้แจ้ง เจาะแทงตลอด ให้จิตนีป้ ลอด หลดุ ลอดสงั ขาร

หยุดความกระหาย ม่งุ ไปนพิ พาน ไม่หลงสังขาร ท่ัวกันด้วยเถิด

จะไดห้ ยุดเกิด มันไม่ประเสริฐ ตราบใดยังเกดิ อยูใ่ นสงสาร

รบี ภาวนา เพือ่ ละอัตตา ขา้ มพ้นมายา ท่ัวหนา้ กันเทอญ.




196

ไมใ้ กลฝ้ ่งั


พอ่ แม่กแ็ กเ่ ฒา่ จำจากเจา้ ไม่อยนู่ าน จะพบจะพอ้ งพาน

เพียงเส้ยี ววารของคนื วัน ใจจรงิ ไมอ่ ยากจาก เพราะยงั อยากเห็นลกู หลาน

แต่ชพี มทิ นทาน ย่อมรา้ วรานสลายไป ขอเถดิ ถ้าสงสาร

อย่ากล่าวขานให้ช้ำใจ คนแก่ชะแรวัย คิดเผลอไผลเป็นแนน่ อน

ไมร่ กั กไ็ มว่ ่า เพียงเมตตาช่วยอาทร ใหก้ นิ และให้นอน

คลายทุกข์ผอ่ นพอสุขใจ เม่ือยามเจ้าโกรธขงึ้ ให้นึกถึงเม่ือเยาวว์ ัย

รอ้ งไหย้ ามปว่ ยไข้ ได้ใครเลา่ เฝา้ ปลอบโยน เฝา้ เล้ียงจนเติบใหญ่

แมเ้ หนือ่ ยกายก็ยอมทน หวงั เพียงจะได้ผล เตบิ โตจนสงา่ งาม

ขอโทษถ้าทำผิด ขอใหค้ ดิ ทุกโมงยาม ใจแทม้ ีแตค่ วาม

หวังคอยช่วยอำนวยชยั ต้นไมท้ ่ใี กลฝ้ ัง่ มหี รอื หวงั อยู่นานได้


นั หน่งึ คงล้มไป ทง้ิ ฝ่งั ไวใ้ ห้วังเวง ....


กลอนปลง


เม่อื เจา้ มา มอี ะไร มาด้วยเจา้ เจา้ จะเอา แตส่ ขุ สนกุ ไฉน

เมือ่ เจ้ามา มอื เปล่า เจ้าจะเอาอะไร เจา้ กไ็ ป มอื เปลา่ เหมือนเจา้ มา

ออกจากครรภ์ มารดา แก้ผ้าร้อง อแุ วก้ ้อง เผชญิ ทกุ ข์ และสขุ า

เตบิ โตขึ้น ม่งุ หาเงนิ เพลนิ ชวี า แทก้ ห็ า ทกุ ขส์ ารพดั มารดั ตน

ยศและลาภ หาบไป ไมไ่ ดแ้ น ่ มีเพยี งแต่ ตน้ ทุน บญุ กศุ ล

ทรัพย์สมบัติ ทิง้ ไว้ ให้ปวงชน แม้รา่ งตน เขากเ็ อา ไปเผาไฟ

ทีเ่ คยรัก กจ็ ะลมื ไมป่ ล้ืมจติ ทเ่ี คยหลง เคยตดิ ไม่พิสมยั

ท่ีเคยคู่ เคียงขา้ ง ไมห่ ่างไกล ท่เี คยใกล้ กก็ ลับหลบ ไมพ่ บพาน

ทเ่ี คยกอด จุมพิต สนิทแนบ ท่เี คยแอบ อิงกลบั เมนิ ไมเ่ ดินผ่าน

ท่ีเคยย้มิ สรวลสันต์ ทกุ วันวาร ทเ่ี คยหวาน ก็กลบั ขม ระทมทรวง

มามือเปล่า ไปมอื เปล่า อยา่ เศร้าโศก กเิ ลสโลก ในมนุษย์ ทส่ี ดุ หวง

กอดกองข้ี และซากศพ พบภาพลวง รีบตัดบว่ ง โลกยี ์ หลบหนีไป

เกดิ -กำมือแน่น รอ้ งไห้ บอกใจรู้ วา่ ยดึ อยู่ จิตหมายม่นั จงึ หวนั่ ไหว

ตาย-แบมอื ไม่ตอ้ งถาม บอกความนัย วา่ ตายไป เหลอื มือเปลา่ เหมอื นเจา้ มา

ให้ปลงตก ในชีวิต สะกดิ เจา้ เลกิ มัวเมา กอบโกย และโหยหา

ลาภยศสขุ สรรเสริญ และเงินตรา เมอื่ มรณา ก็สูญลับ ดับตามตวั

ใหป้ ลอ่ ยวาง คนื โลก สิน้ โศกเศรา้ กลับมือเปลา่ เป่าเสกมนต์ ไวบ้ นหัว

แล้วทำจิต เปน็ อิสระ ละตนตวั พ้นดีชั่ว กลับโลกทิพย์ นพิ พานเอย.


197

รูปน้ี มแี ต่เนา่ รปู เนา่

ไมม่ ี นาทีใด
ไหลออก และไหลเข้า ทุกคำ่ เชา้ เนา่ เรอื่ ยไป

กลิน่ เหม็น กระเซ็นพรู ทไ่ี ม่เน่า เราเฝ้าดู

นำ้ ลาย ทั้งคายกลืน ลว้ นของเนา่ เราเห็นอยู ่

อาหาร ชกู ำลัง พินจิ ดู รนู้ า่ ชัง

ใส่ปาก เคลา้ นำ้ ลาย เหมน็ เหลือฝืน กลืนกันจัง

ของดี นิยมกัน ปรงุ ดีดี มีหวานมัน

ใส่ปาก หมดราคา น่าเกลยี ดหลาย ในใจฉนั

ถงึ ค่า มากกวา่ ทอง มีคา่ มาก ย่ิงอยากลอง

กลนื ส่ง ลงลำคอ คายออกมา เอารวมกอง

อรอ่ ยแล้ว ล้ิมรสเลย กองขายได้ ไม่มเี ลย

ขับถา่ ย ไหลออกมา พอพน้ ศอ รสทเ่ี คย

ส่งกล่นิ ไม่นา่ ดม กลับแปรเปลยี่ น เปน็ อาจม

เข้าออก มไิ ด้หยุด เหมน็ นักหนา แทบเป็นลม

ดูเถดิ ในเราท่าน ทำหนา้ ยน่ หลีกพ้นไป

อาบนำ้ ไมท่ ันแห้ง ซำ้ ซ้ำสดุ จะทนทาน

เปน็ เหงอ่ื ไมน่ า่ เชย อย่าให้ผา่ น พ้นไปเลย

ผายลม ดมทกุ ท ี เนา่ แสดง ออกตามเคย

เนา่ ใน ไขออกมา ซาบซึมท่วั ทงั้ กายา

รูปเน่า อยูเ่ ปน็ นิตย์ เหมน็ สดุ ท่ี กวนนาสา

จะไร้ ทพี่ ึง่ พงิ บอกให้รู้ ดคู วามจรงิ

ต่ืนเช้า เราลา้ งหนา้ อยา่ ได้คดิ มคี วามหย่งิ

ลา้ งเนา่ เอาทิ้งไป ยามตอ้ งทงิ้ รูปนไ้ี ป

อาบนำ้ เปน็ ประจำ เห็นไหมวา่ ลา้ งอะไร

ไมล่ ้าง เหมน็ นกั หนา เพราะเนา่ ใน ไหลออกมา

เสือ้ ผ้า ราคาดี ทำการชำ-ระกายา

เหม็นเหลอื นา่ เบ่ือใจ ทนไมไ่ ด้ วนุ่ วายไป

หอ่ รปู น้ี มิทนั ไร

เปล้อื งออกไป เอาใหม่มา


198

เดี๋ยวกิน เดี๋ยวต้องถา่ ย รูปนไี้ ซร้ ยงุ่ นักหนา

บำรุง ทุกเวลา อยูจ่ นกว่า จะแตกตาย

พนิ ิจ ดูใหด้ ี ความเนา่ มี กอ่ นทำลาย

รอเน่า เมอ่ื ตอนตาย ไมไ่ ด้เหน็ เนา่ ทกุ วัน

รปู เน่า เหมอื นกนั หมด จงคิดงด อวดดีกนั

เราเขา เน่าทัง้ นัน้ เอาดีกัน ท่ีตรงไหน

รูปสวย และรูปทราม ทง้ั รูปงาม สักเพยี งใด

เนา่ ส้นิ อย่าสงสัย ใหห้ ยาดฟ้า ลงมาดนิ

รูปสงู และรปู ต่ำ อีกรปู ดำ ขาวโสภิณ

เน่าอยู่ เป็นอาจณิ กลายเป็นดนิ ไปตามกัน

พเิ คราะห์ ใหเ้ หน็ จริง อยา่ มวั วิ่ง เป็นกังหัน

ใหพ้ บ สาระกนั ก่อนรปู เนา่ เขา้ โลง เอย.




คำไหว้พระพุทธเจา้ ๕ พระองค


อะระหัง สัมมาสัมพทุ โธ นะโม ข้าพเจา้ จะไหวพ้ ระพทุ ธเจ้า ๕ พระองค์

องค์ท่ี ๑ ช่อื ว่า พระกะกุสนั โธ

องคท์ ี่ ๒ ชอ่ื ว่า พระโกนาคะมะโน

องค์ที่ ๓ ชอ่ื ว่า พระกัสสะโป

องคท์ ี่ ๔ ช่ือว่า พระโคตะโม

องค์ท่ี ๕ ชือ่ วา่ พระศรอี ะรยิ ะเมตไตรโย

เมื่อจิตดับไป ขออย่าได้ใหลหลง ตั้งจิตจำนง จงใจพระนิพพาน ขอให้พบดวงแก้ว
ขอใหแ้ คลว้ ออกจากบว่ งมาร ขอให้พบพระเมตไตรย์ ขอใหไ้ กลจากมาร พระเกตุ พระแก้ว
พระจุฬามณี พระศรีสรรเพชญ์ พระองค์เสด็จเข้าสู่พระนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านส่ังไว้ว่า

ใหภ้ าวนา ทกุ ขัง อะนจิ จงั อะนตั ตาติ.


199

รายนามผ้จู ดั พิมพ์หนังสอื พุทธมนตแ์ ปล
(ชุดที
่ ๑)


คณุ แม่รชั ดา ทองสมบรู ณ์
นายวรี ะศักดิ์ ทองสมบูรณ์
นางนุชนาฏ ทองสมบูรณ์
นายชนวรี ์ ทองสมบูรณ์
นายชนกิ านต์ ทองสมบรู ณ์
ครอบครวั ทองสมบูรณแ์ ละญาตพิ ่ีนอ้ งทุกคน
ด้วยอานิสงส์แห่งบุญที่ได้จัดพิมพ์หนังสือเล่มน้ี คณะผู้จัดทำขอน้อม
ถวายเพอื่ เป็นอาจารยิ บูชาแด่องค์หลวงปู่เพียร วริ ิโย วดั ป่าหนองกอง อ.บา้ นผือ
จ.อดุ รธานี ดว้ ยน้อมสักการะบูชาอย่างสงู สุด และขออุทิศส่วนกุศลทานในครั้งนี้
ใหแ้ กบ่ ดิ ามารดา ครอู ปุ ชั ฌายอ์ าจารย์ ญาตสิ นทิ มติ รสหาย ผมู้ พี ระคณุ เจา้ กรรม
นายเวร ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลายท่ัวไตรโลกธาตุ ขออานิสงส์แห่งธรรมทาน
ในครั้งนี้จงดลบันดาลให้ครอบครัวของข้าพเจ้ารวมถึงผู้ที่มีส่วนช่วยในการจัดทำ
หนังสือเล่มน้ี ประสบแต่ความสุขความเจริญ ท้ังทางโลกและทางธรรม ขอให้
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสติ สมาธิ และปัญญา มีดวงตาเห็นธรรม รู้แจ้งแทงตลอด
ในคำสั่งสอนของพระพุทธเจา้ จนถึงทีส่ ุดแห่งกองทกุ ขท์ ัง้ ส้นิ นี้เทอญ

200


Click to View FlipBook Version