The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2022-07-19 22:32:15

สวดมนต์แปล

สวดมนต์แปล

โมทะมานา อะภกิ กามงุ ยนิ ดีมงุ่ มาสปู่ า่ มหาวนั ,

ภิกขูนัง สะมติ ิง วะนงั . เปน็ ที่ประชมุ แหง่ ภิกษทุ ั้งหลาย

อะถาคู สะหะภู เทวา อนงึ่ เทวดาทง้ั หลาย ชือ่ สหภกู ็มา,

ชะละมัคคิสิขาริวะ, มรี ศั มีรงุ่ เรอื งดุจเปลวประทปี

อะริฏฐะกา จะ โรชา จะ ช่ืออรฏิ ฐกะและช่อื โรชะก็มา ,

อมุ มา ปปุ ผะนภิ าสิโน, มีรัศมีดุจสแี หง่ ดอกผักตบ

วะรุณา สะหะธัมมา จะ ชอ่ื วรณุ ะ และชื่อสหธรรม,

อัจจตุ า จะ อะเนชะกา, ชอ่ื อจั จุตะ และชอื่ อเนชกะ

สุเลยยะรจุ ริ า อาคู ช่ือสุเลยยะรจุ ิระ ก็มา,

อาคู วาสะวะเนสโิ น, ชือ่ วาสะวะเนสินะ ก็มา

ทะเสเต ทะสะธา กายา หมู่แห่งเทวดาทงั้ หลาย ๑๐ เหลา่ นี้,

สพั เพ นานัตตะวณั ณิโน, ตงั้ อยูแ่ ล้วโดยสว่ น ๑๐,

ลว้ นมีรศั มีตา่ งๆ กันทั้งหมด

อิทธมิ ันโต ชตุ มิ นั โต มีฤทธ์ิ มีอานภุ าพ,

วณั ณะวันโต ยะสสั สิโน, มรี ศั มี มยี ศ

โมทะมานา อะภกิ กามงุ ยนิ ดมี ุง่ มาสูป่ ่ามหาวนั ,

ภกิ ขนู งั สะมิตงิ วะนงั . เป็นที่ประชมุ แห่งภกิ ษุทัง้ หลาย

สะมานา มะหาสะมานา เทวดาทง้ั หลาย ชอ่ื สมานะ ชอ่ื มหาสมานะ,

มานุสา มานุสตุ ตะมา, ชอื่ มานุสะ ชอื่ มานุสตุ ตมะ

ขฑิ ฑาปะทสู กิ า อาคู ชือ่ ขิฑฑาปทูสกิ ะ ก็มา,

อาคู มะโนปะทสู กิ า, ชอื่ มโนปทูสกิ ะ กม็ า

อะถาคู หะระโย เทวา อนง่ึ เทวดาท้งั หลาย ช่ือหรยะ กม็ า,

เย จะ โลหิตะวาสโิ น, เทวดาชื่อโลหิตะวาสี กม็ า

ปาระคา มะหาปาระคา เทวดาทงั้ หลาย ชือ่ ปารคะ, ชื่อมหาปารคะ

อาคู เทวา ยะสสั สโิ น, ผ้มู ียศ กม็ า

ทะเสเต ทะสะธา กายา หมูแ่ หง่ เทวดาทง้ั หลาย ๑๐ เหลา่ น้,ี

สพั เพ นานัตตะวณั ณิโน, ตั้งอยแู่ ลว้ โดยส่วน ๑๐,

ล้วนมรี ัศมตี า่ งๆ กนั ท้งั หมด

อิทธมิ ันโต ชตุ ิมันโต มฤี ทธิ มีอานุภาพ,

วณั ณะวันโต ยะสสั สิโน, มีรศั มี มยี ศ


101

โมทะมานา อะภกิ กามุง ยนิ ดีมุ่งมาส่ปู ่ามหาวัน,

ภิกขูนัง สะมิติง วะนงั . เปน็ ท่ปี ระชุมแหง่ ภกิ ษุทง้ั หลาย

สกุ กา กะรมุ ๎หา อะรณุ า เทวดาท้ังหลาย ช่อื สกุ กะ ชอื่ กรมุ หะ, ช่อื อรณุ ะ

อาคู เวฆะนะสา สะหะ, ช่อื เวฆะนะสะ กม็ าดว้ ยกัน

โอทาตะคยั ๎หา ปาโมกขา เทวดาท้งั หลาย ชอื่ โอทาตะคยั หะ

อาคู เทวา วิจักขะณา, ผูเ้ ป็นหัวหน้า, ช่ือวจิ ักขณะ ก็มา

สะทามัตตา หาระคะชา ชอ่ื สทามตั ตะ ชอ่ื หาระคะชะ,

มิสสะกา จะ ยะสสั สโิ น, และชือ่ มสิ สกะ ผู้มยี ศ ก็มา

ถะนะยัง อาคา ปะชนุ โน ปะชนุ นะเทพบตุ ร ซ่งึ คำรามให้ฝนตก

โย ทิสา อะภวิ สั สะต,ิ ทว่ั ทิศก็มา

ทะเสเต ทะสะธา กายา หมูแ่ ห่งเทวดาทงั้ หลาย ๑๐ เหล่าน,้ี

สัพเพ นานัตตะวัณณิโน, ต้ังอยูแ่ ล้วโดยส่วน ๑๐,

ล้วนมีรัศมีตา่ งๆ กนั ทงั้ หมด

อิทธิมนั โต ชุติมนั โต มฤี ทธิ์ มีอานุภาพ,

วณั ณะวนั โต ยะสัสสิโน, มรี ศั มี มยี ศ

โมทะมานา อะภิกกามงุ ยินดมี ่งุ มาสู่ปา่ มหาวนั ,

ภิกขูนงั สะมิตงิ วะนัง. เป็นท่ีประชมุ แหง่ ภกิ ษทุ ัง้ หลาย

เขมยิ า ตุสิตา ยามา เทวดาทง้ั หลาย ชอ่ื เขมิยะ ช่อื ตุสิตะ, ชอื่ ยามะ

กัฏฐะกา จะ ยะสสั สโิ น, และช่ือกฏั ฐกะ ผมู้ ยี ศ กม็ า

ลัมพติ ะกา ลามะเสฏฐา ช่ือลมั พิตะกะ ชื่อลามะเสฏฐะ,

โชตนิ ามา จะ อาสะวา, ชือ่ โชตินามะ และชื่ออาสวะ

นมิ มานะระติโน อาคู ช่ือนมิ มานรดี ก็มา,

อะถาคู ปะระนิมมติ า, อนึ่ง เทวดาท้ังหลาย ชอื่ ปะระนิมมิตะ กม็ า

ทะเสเต ทะสะธา กายา หมู่แห่งเทวดาทงั้ หลาย ๑๐ เหลา่ นี้,

สัพเพ นานัตตะวัณณโิ น, ตั้งอยแู่ ล้วโดยส่วน ๑๐,

ล้วนมีรัศมีต่างๆ กันทั้งหมด

อิทธิมนั โต ชุตมิ นั โต มีฤทธิ์ มีอานภุ าพ,

วัณณะวันโต ยะสัสสโิ น, มรี ัศมี มยี ศ

โมทะมานา อะภิกกามงุ ยนิ ดมี ุง่ มาสปู่ ่ามหาวัน,

ภิกขูนงั สะมิติง วะนงั . เป็นทปี่ ระชุมแห่งภกิ ษทุ ้งั หลาย


102

สัฏเฐเต เทวะนิกายา หม่เู ทวดาทัง้ หลาย ๖๐ น้,ี

สัพเพ นานตั ตะวณั ณิโน, ล้วนมรี ัศมตี ่างๆ กนั ท้ังหมด

นามันวะเยนะ อาคัญฉงุ มาแลว้ โดยกำหนดช่อื ,

เย จญั เญ สะทิสา สะหะ, เทวดาท้ังหลายเหล่าอ่นื นน้ั

กม็ าพร้อมกัน, ดว้ ยคิดว่า

ปะวุตถะชาติมักขีลงั เราทง้ั หลาย จักเหน็ พระนาค ผ้ปู ราศจากชาต,ิ

โอฆะติณณะมะนาสะวัง, ผู้ไมม่ ีกเิ ลสดุจตะปู, ผู้มโี อฆะอนั ขา้ มไดแ้ ล้ว,

ทกั เขโมฆะตะรงั นาคงั ผู้ไมม่ ีอาสวะพ้นจากโอฆะ,

จันทงั วะ อะสิตาติตงั , ผ้ลู ว่ งกรรมดำ คืออกุศลไดแ้ ล้ว,

ดุจพระจนั ทรพ์ ้นจากเมฆะพลาหก ฉะนนั้

สุพร๎ หั ม๎ า ปะระมัตโต จะ สพุ รหมกับปรมตั ตพรหม,

ปตุ ตา อิทธมิ ะโต สะหะ, ผู้เป็นบุตรของผ้มู ีฤทธ์ิ ก็มาด้วย

สันนงั กุมาโร ตสิ โส จะ สันนงั กมุ ารพรหมกับติสสพรหม,

โสปาคะ สะมิตงิ วะนงั , แม้เขากม็ าสปู่ า่ มหาวนั ,

เป็นทีป่ ระชมุ แหง่ ภิกษทุ งั้ หลาย

สะหัสสะพ๎รหั ๎มะโลกานัง ทา้ วมหาพรหม ย่อมปกครองพรหมโลกพนั หน่ึง

มะหาพ๎รัหม๎ าภิตฏิ ฐะต,ิ

อปุ ะปันโน ชุติมันโต บังเกดิ แลว้ ในพรหมโลก มีอานภุ าพ,

ภิสม๎ ากาโย ยะสัสสิ โส, มกี ายใหญโ่ ต มียศ กม็ า

ทะเสตถะ อิสสะรา อาคู พรหมท้งั หลาย ๑๐, เป็นอสิ ระในพวก

ปัจเจกะวะสะวตั ตโิ น, พรหมพันหน่ึงนัน้ กม็ า,

มอี ำนาจอันเป็นไปต่างๆ กนั

เตสญั จะ มชั ฌะโต อาคา มหาพรหมนน้ั ช่ือหาริตะ อนั บริวารแวดล้อมแลว้ ,

หาริโต ปะรวิ ารโิ ต, มาในทา่ มกลางแห่งพรหมทง้ั หลายเหล่านน้ั

เต จะ สพั เพ อะภกิ กันเต มารเสนา ไดเ้ หน็ พวกเทวดา,

สนิ เท เทเว สะพ๎รหั ม๎ ะเก, พรอ้ มด้วยพระอนิ ทร์ พระพรหม,

มาระเสนา อะภกิ กามิ ทัง้ หมดนน้ั กม็ าดว้ ย,

ปสั สะ กณั ห๎ สั สะ มันทิยัง, แล้วกลา่ ววา่ ท่านจงดคู วามเขลาของพวกขา้ ศกึ

เอถะ คัณ๎หะถะ พันธะถะ พญามารจึงกลา่ วว่า, ทา่ นทงั้ หลายจงมา

ราเคนะ พันธะมตั ถุ โว, จับพวกเทวดาเหลา่ นผี้ กู ไว้,

ความผูกดว้ ยราคะ จงมีแก่ทา่ นทงั้ หลาย


103

สะมนั ตา ปะรวิ าเรถะ ทา่ นทัง้ หลาย จงแวดลอ้ มไวโ้ ดยรอบ,

มา โว มญุ จติ ถะ โกจิ นัง, ทา่ นทงั้ หลาย อยา่ ปลอ่ ยใครๆ ไป

อติ ิ ตัตถะ มะหาเสโน พญามาร บังคับเสนามาร, ในทป่ี ระชมุ นนั้ ดังน้

กณั ห๎ ะเสนัง อะเปสะยิ,

ปาณนิ า ตะละมาหจั จะ แลว้ ตบพ้ืนแผน่ ดนิ ดว้ ยฝา่ มือ,

สะรัง กัต๎วานะ เภระวัง, กระทำเสียงน่ากลัว

ยะถา ปาวสุ สะโก เมโฆ เหมอื นมหาเมฆยังฝนใหต้ ก,

ถะนะยันโต สะวชิ ชุโก, คำรามอยู่ เป็นไปกบั ดว้ ยฟา้ แลบ

ตะทา โส ปจั จุทาวัตต ิ ในกาลนน้ั พญามารนน้ั , ไมย่ งั ใครใหเ้ ป็น

สังกทุ โธ อะสะยัง วะเส, ไปในอำนาจ, กลับเกิดความรูส้ ึกเสยี ใจ

ตัญจะ สพั พงั อะภิญญายะ พระศาสดาผูม้ ดี วงตา, พิจารณาแล้ว

วะวกั ขติ ๎วานะ จกั ขมุ า, ทราบเหตุนั้นทงั้ ส้ิน, แตน่ น้ั จงึ ตรสั เรยี ก

ตะโต อามันตะยิ สัตถา ซง่ึ พระสาวกท้ังหลาย, ผยู้ นิ ดีแล้วในพระศาสนาว่า

สาวะเก สาสะเน ระเต,

มาระเสนา อะภิกกนั ตา ภกิ ษทุ ง้ั หลาย มารเสนามาแล้ว,

เต วชิ านาถะ ภิกขะโว, ท่านทงั้ หลาย จงรจู้ ักเขา

เต จะ อาตปั ปะมะกะรุง ภกิ ษุเหล่าน้นั สดับพทุ ธศาสนแ์ ลว้ ,

สุตว๎ า พทุ ธสั สะ สาสะนงั , ไดก้ ระทำความเพยี ร,

เจรญิ ทพิ ย์จักษุญาณเห็นแล้ว

วีตะราเคหิ ปกั กามุง มารเสนา ไดห้ ลีกไปจากภิกษทุ ง้ั หลาย,

เนสัง โลมมั ปิ อิญชะยงุ , ผปู้ ราศจากราคะ,

ไมย่ ังแม้โลมชาตขิ องท่านใหไ้ หวได

สพั เพ วิชติ ะสงั คามา พญามารกล่าวสรรเสริญว่า,

ภะยาตตี า ยะสัสสโิ น, พระสาวกทั้งหลายของพระพทุ ธองคท์ ง้ั หมด,

โมทันติ สะหะ ภเู ตหิ มีสงครามชนะแลว้ ลว่ งความกลวั เสียได้,

สาวะกา เต ชะเนสุตาติ. มียศปรากฏแลว้ ในประชมุ ชน,

บันเทงิ อย่ดู ้วยกบั ความเปน็ พระอริยะ,

บงั เกดิ ข้ึนแล้วในศาสนา ดังน้ีแล


โภคทรพั ย์ ยอ่ มฆา่ คนมีปญั ญาทราม


104

มาติกา

ธัมมะสงั คณิ ีมาตกิ าปาฐะ


หนั ทะ มะยงั ธัมมะสงั คิณมี าติกะคาถาโย ภะณามะ เส.

(เชญิ เถิด เราทั้งหลาย, ทำการกลา่ วคาถาพรรณนาแม่บทแห่งธรรมเถิด)



• กุสะลา ธมั มา ธรรมท่เี ป็นกุศล ก็ม

อะกสุ ะลา ธัมมา ธรรมท่เี ป็นอกุศล กม็

อัพย๎ ากะตา ธัมมา, ธรรมทไ่ี ม่เปน็ ทั้งกุศลและอกศุ ล ก็มี

• สขุ ายะ เวทะนายะ สัมปะยตุ ตา ธมั มา ธรรมทป่ี ระกอบดว้ ยความรสู้ กึ เปน็ สขุ กม็

ทกุ ขายะ เวทะนายะ สัมปะยุตตา ธมั มา ธรรมที่ประกอบดว้ ยความรู้สึกเป็นทกุ ข์ กม็ ี

อะทุกขะมะสขุ ายะ เวทะนายะ ธรรมทีป่ ระกอบด้วยความรสู้ ึก

สัมปะยตุ ตา ธมั มา, ไม่สุขไมท่ กุ ข์ กม็ ี

• วิปากา ธัมมา ธรรมท่ีเป็นผล ก็มี

วปิ ากะธมั มะธัมมา ธรรมที่เปน็ เหตแุ ห่งผล กม็ ี

เนวะวปิ ากะนะวิปากะธมั มะธัมมา, ธรรมทท่ี ง้ั ไมเ่ ปน็ ผล, และไมเ่ ปน็ เหตแุ หง่ ผล กม็

• อปุ าทินนุปาทานยิ า ธัมมา ธรรมทถ่ี กู ยึดมัน่ ,

และเป็นท่ตี ัง้ แห่งความยึดมนั่ กม็ ี

อะนปุ าทนิ นปุ าทานิยา ธมั มา ธรรมทีไ่ มถ่ ูกยดึ มนั่ ,

แตเ่ ปน็ ท่ีตงั้ แห่งความยึดมั่น ก็มี

อะนปุ าทนิ นานปุ าทานยิ า ธัมมา, ธรรมทที่ งั้ ไม่ถกู ยดึ มน่ั ,

และไม่เป็นท่ตี ั้งแห่งความยึดม่นั กม็ ี

• สังกิลฏิ ฐะสังกิเลสกิ า ธมั มา ธรรมท่เี ศร้าหมอง,

และเป็นทีต่ งั้ แหง่ ความเศร้าหมองได้ ก็ม ี

อะสังกลิ ิฏฐะสังกิเลสกิ า ธัมมา ธรรมทีไ่ มเ่ ศรา้ หมอง,

แตเ่ ปน็ ทีต่ งั้ แห่งความเศร้าหมองได้ กม็ ี

อะสังกลิ ิฏฐาสังกเิ ลสกิ า ธัมมา, ธรรมท่ที ง้ั ไม่เศรา้ หมอง,

และไม่เป็นท่ตี ้ังแหง่ ความเศร้าหมองได้ ก็มี

• สะวติ กั กะสะวจิ ารา ธมั มา ธรรมที่มีวิตก คือ ความตรกึ ,

และมวี ิจาร คือความตรอง ก็มี

อะวติ กั กะวจิ าระมตั ตา ธมั มา ธรรมท่ีไม่มีวติ ก มีแตว่ ิจาร ก็ม ี

อะวติ กั กาวจิ ารา ธัมมา, ธรรมท่ีไม่มที ้ังวติ ก และวิจาร กม็ ี


105

• ปีตสิ ะหะคะตา ธมั มา ธรรมทเ่ี ป็นไปพรอ้ มกับความเอบิ อม่ิ ใจ กม็ ี

สุขะสะหะคะตา ธัมมา ธรรมทีเ่ ป็นไปพรอ้ มกับความสขุ กม็

อเุ ปกขาสะหะคะตา ธมั มา, ธรรมทีเ่ ป็นไปพร้อมกบั ความวางเฉย ก็ม

• ทสั สะเนนะ ปะหาตัพพา ธัมมา ธรรมทพ่ี งึ ละด้วยทัสสนะ กม็ ี

ภาวะนายะ ปะหาตัพพา ธมั มา ธรรมท่ีพงึ ละด้วยภาวนา ก็มี

เนวะทัสสะเนนะ นะภาวะนายะ ธรรมที่ละมิได้ดว้ ยทัง้ ทัสสนะ,

ปะหาตพั พา ธมั มา, และละมไิ ด้ดว้ ยภาวนา กม็ ี

• ทสั สะเนนะ ปะหาตพั พะเหตุกา ธัมมา ธรรมมสี าเหตทุ ีพ่ ึงละด้วยทัสสนะ ก็มี

ภาวะนายะ ปะหาตพั พะเหตกุ า ธมั มา ธรรมมีสาเหตทุ ีพ่ งึ ละดว้ ยภาวนา ก็มี

เนวะทัสสะเนนะ นะภาวะนายะ ธรรมมีสาเหตทุ ่ีละมไิ ดด้ ้วยทง้ั ทัสสนะ,
ปะหาตพั พะเหตกุ า ธมั มา, และละมไิ ดด้ ้วยภาวนา กม็ ี

• อาจะยะคามิโน ธมั มา ธรรมทีน่ ำไปสกู่ ารส่งั สม ก็ม

อะปะจะยะคามิโน ธัมมา ธรรมทีน่ ำไปสคู่ วามปราศจากการสงั่ สม กม็ ี

เนวาจะยะคามิโน ธรรมทีไ่ ม่นำไปท้ังสกู่ ารส่ังสม,

นาปะจะยะคามิโน ธัมมา, และสคู่ วามปราศจากการส่ังสม ก็มี

• เสกขา ธมั มา ธรรมทีเ่ ปน็ ของอริยบุคคล,

ผยู้ ังตอ้ งศึกษาอยู่ กม็ ี

อะเสกขา ธัมมา ธรรมท่ีเป็นของผ้บู รรลุอรหัตตผล,

ซ่ึงไมต่ ้องศึกษาแลว้ ก็ม ี

เนวะเสกขานาเสกขา ธัมมา, ธรรมทไี่ ม่เป็นท้ังของผู้ยังตอ้ งศกึ ษา,

และผู้ไมต่ อ้ งศึกษา กม็

• ปะรติ ตา ธัมมา ธรรมทม่ี ถี งึ สภาวะยังเล็กนอ้ ย กม็ ี

มะหคั คะตา ธัมมา ธรรมท่ีมีถงึ สภาวะใหญ่แล้ว กม็ ี

อปั ปะมาณา ธมั มา, ธรรมทมี่ ีถงึ สภาวะประมาณมิได้ ก็มี

• ปะรติ ตารัมมะณา ธมั มา ธรรมทม่ี ีสภาวะยงั เล็กนอ้ ยเปน็ อารมณ์ ก็มี

มะหัคคะตารมั มะณา ธัมมา ธรรมทมี่ สี ภาวะใหญ่แลว้ เปน็ อารมณ์ กม็

อปั ปะมาณารมั มะณา ธมั มา, ธรรมที่มสี ภาวะอันประมาณมไิ ด้

เป็นอารมณ์ ก็มี

• หนี า ธัมมา ธรรมอยา่ งทราม ก็ม ี
มัชฌิมา ธมั มา ธรรมอย่างกลาง ก็ม

ปะณตี า ธมั มา, ธรรมอยา่ งประณตี กม็ ี


106

• มิจฉัตตะนิยะตา ธัมมา ธรรมที่แน่นอนฝ่ายผิด ก็ม

สัมมัตตะนิยะตา ธมั มา ธรรมท่แี นน่ อนฝ่ายถูก ก็มี

อะนยิ ะตา ธมั มา, ธรรมทไี่ ม่แน่นอน ก็มี

• มคั คารมั มะณา ธัมมา ธรรมทม่ี ีมรรคเป็นอารมณ์ กม็ ี

มัคคะเหตกุ า ธัมมา ธรรมทม่ี มี รรคเป็นเหตุ กม็ ี

มคั คาธปิ ะติโน ธัมมา, ธรรมท่ีมมี รรคเป็นประธาน กม็

• อปุ ปันนา ธัมมา ธรรมทเ่ี กดิ ข้ึนแลว้ กม็ ี

อะนปุ ปนั นา ธมั มา ธรรมทย่ี ังไม่เกดิ ขนึ้ ก็มี

อุปปาทิโน ธัมมา, ธรรมท่ีจกั เกิดขน้ึ กม็ ี

• อะตตี า ธัมมา ธรรมท่เี ปน็ อดตี ก็ม ี

อะนาคะตา ธมั มา ธรรมที่เป็นอนาคต กม็

ปัจจปุ ปันนา ธมั มา, ธรรมท่ีเปน็ ปัจจบุ ัน ก็ม ี

• อะตีตารัมมะณา ธมั มา ธรรมท่มี อี ดีตเปน็ อารมณ์ ก็ม

อะนาคะตารมั มะณา ธมั มา ธรรมท่ีมีอนาคตเป็นอารมณ์ กม็ ี

ปัจจปุ ปันนารัมมะณา ธมั มา, ธรรมทม่ี ปี ัจจุบนั เป็นอารมณ์ กม็ ี

• อัชฌัตตา ธัมมา ธรรมภายใน ก็มี

พะหทิ ธา ธัมมา ธรรมภายนอก กม็ ี

อชั ฌตั ตะพะหทิ ธา ธมั มา, ธรรมทัง้ ภายในและภายนอก ก็ม

• อชั ฌัตตารมั มะณา ธมั มา ธรรมมีสภาวะภายในเปน็ อารมณ์ ก็ม

พะหทิ ธารมั มะณา ธมั มา ธรรมมีสภาวะภายนอกเป็นอารมณ์ กม็ ี

อัชฌัตตะพะหทิ ธารัมมะณา ธมั มา, ธรรมมสี ภาวะทั้งภายใน

และภายนอกเป็นอารมณ์ กม็

• สะนิทัสสะนะสปั ปะฏฆิ า ธมั มา ธรรมทเี่ ห็นได้ และกระทบได้ ก็มี

อะนิทสั สะนะสปั ปะฏฆิ า ธัมมา ธรรมทีเ่ หน็ ไมไ่ ด้ แต่กระทบได้ กม็ ี

อะนิทสั สะนาปปะฏฆิ า ธมั มา, ธรรมทั้งที่เหน็ ไมไ่ ด,้ และกระทบไม่ได้ กม็


ไดล้ าภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เส่ือมยศ นนิ ทา สรรเสริญ สขุ และทุกข์

สิง่ เหลา่ นี้เป็นธรรมดาในหมมู่ นษุ ย์ ไม่มีความเทย่ี งแทแ้ น่นอน


อยา่ เศรา้ โศกเลย ท่านจะเศรา้ โศกไปทำไม


107

วิปัสสะนาภูมิปาฐะ


ปญั จกั ขันธา, ขันธ์ห้าคอื

รปู กั ขนั โธ, รปู ขนั ธ์คอื รปู กาย

เวทนากขันโธ, เวทนาขนั ธ์คือความเสวยอารมณท์ างกายและทางใจ

สญั ญากขันโธ, สัญญาขันธ์คือความจำไดห้ มายรู้

สงั ขารกั ขันโธ, สังขารขนั ธ์คอื ความนึกคดิ ปรุงแต่ง

วญิ ญาณักขันโธ. วิญญาณขนั ธ์คอื ความร้แู จ้งในอารมณ์

ท๎วาทะสายะตะนาน.ิ อายตนะทั้งหลายสบิ สอง (คือ อายตนะ

ภายในหก อายตนะภายนอกหก) ได้แก

จักข๎วายะตะนงั รปู ายะตะนงั , อายตนะคือตา, อายตนะคอื รูป

โสตายะตะนัง สัททายะตะนงั , อายตนะคอื หู, อายตนะคอื เสียง

ฆานายะตะนงั คนั ธายะตะนัง, อายตนะคือจมูก, อายตนะคอื กลิ่น

ชิวห๎ ายะตะนัง ระสายะตะนงั , อายตนะคือล้นิ , อายตนะคือรส

กายายะตะนงั โผฏฐัพพายะตะนัง, อายตนะคือกาย, อายตนะคือ

โผฏฐพั พะ (สัมผัสทีม่ าถูกต้องกาย)

มะนายะตะนัง ธมั มายะตะนงั . อายตนะคอื ใจ, อายตนะคอื ธรรมารมณ์

(อารมณท์ ่มี าสมั ผสั ใจ)

อัฏฐาระสะ ธาตุโย. ธาตุทง้ั หลายสบิ แปด ไดแ้ ก่

จกั ขุธาตุ รูปะธาตุ ธาตคุ อื จกั ษ,ุ ธาตุคือรูป,

จักขุวญิ ญาณะธาต,ุ ธาตุคอื จกั ษุวิญญาณ (ความรูท้ างตา)

โสตะธาตุ สทั ทะธาตุ ธาตคุ ือห,ู ธาตคุ อื เสียง,

โสตะวิญญาณะธาต,ุ ธาตุคอื โสตะวิญญาณ (ความรู้ทางหู)

ฆานะธาตุ คันธะธาตุ ธาตคุ อื จมกู , ธาตคุ ือกลน่ิ , ธาตุคอื

ฆานะวิญญาณะธาต,ุ ฆานะวญิ ญาณ (ความรู้ทางจมูก)

ชวิ ๎หาธาตุ ระสะธาตุ ธาตคุ อื ล้นิ , ธาตุคอื รส, ธาตคุ อื

ชิวห๎ าวญิ ญาณะธาตุ, ชวิ หาวิญญาณ (ความรู้ทางล้ิน)

กายะธาตุ โผฏฐพั พะธาตุ ธาตคุ อื กาย, ธาตคุ ือโผฏฐัพพะ

กายะวิญญาณะธาต,ุ ธาตุคอื กายะวิญญาณ (ความรู้ทางกาย)

มะโนธาตุ ธัมมะธาต ุ ธาตุคอื ใจ, ธาตคุ ือธรรมารมณ์,

มะโนวญิ ญาณะธาต.ุ ธาตคุ อื มโนวิญญาณ (ความรู้ทางใจ)


108

พาวีสะตินทร๎ ยิ าน.ิ อินทรยี ์ทงั้ หลายยีส่ บิ สอง ได้แก

จกั ขนุ ทร๎ ยิ งั โสตนิ ทร๎ ยิ งั ฆานนิ ทร๎ ยิ งั อนิ ทรยี ค์ อื ตา, อินทรียค์ อื ห,ู อินทรียค์ ือจมูก,

ชวิ ห๎ นิ ทร๎ ยิ งั กายนิ ทร๎ ยิ งั มะนนิ ทร๎ ยิ งั , อนิ ทรยี ค์ อื ลน้ิ , อินทรีย์คือกาย, อินทรยี ์คือใจ

อิตถนิ ทร๎ ยิ ัง ปรุ สิ นิ ทร๎ ิยงั อินทรยี ค์ อื หญิง, อนิ ทรยี ์คอื ชาย

ชวี ติ ินท๎ริยัง, อินทรยี ค์ ือชวี ติ

สุขินทร๎ ยิ งั ทุกขินท๎รยิ งั อนิ ทรีย์คือสุขกาย, อนิ ทรีย์คอื ทุกขก์ าย

โสมะนัสสินท๎ริยัง โทมะนัสสนิ ท๎ริยงั อนิ ทรีย์คือสุขใจ, อนิ ทรยี ค์ ือทุกข์ใจ

อุเปกขนิ ทร๎ ิยงั , อินทรีย์คอื ไม่สุขใจ ไม่ทุกขใ์ จ

สัทธินท๎รยิ ัง วิริยินทร๎ ิยัง อนิ ทรีย์คือศรทั ธา, อนิ ทรียค์ อื ความเพยี ร,

สะตนิ ท๎ริยัง สะมาธนิ ทร๎ ิยงั อินทรยี ์คอื สติ, อนิ ทรีย์คอื สมาธ,ิ

ปัญญนิ ท๎ริยงั , อินทรีย์คอื ปญั ญา

อะนญั ญะตญั ญัสสามตี ินทร๎ ิยงั อนิ ทรยี ค์ ืออัธยาศยั ทมี่ ่งุ บรรลุมรรคผล

อญั ญนิ ท๎ริยัง อญั ญาตาวนิ ท๎ริยงั . อินทรยี ์คอื การตรสั รู้สัจจธรรม

อินทรียค์ อื อรหตั ตผลญาณ,

ซงึ่ เป็นอินทรียแ์ หง่ พระขณี าสพ

จตั ตาริ อะรยิ ะสัจจาน.ิ อริยสจั ๔

(คือความจรงิ อนั ประเสรฐิ ส่ีประการ) ได้แก่

ทุกขงั อะรยิ ะสจั จัง, อรยิ สจั คือทกุ ข์ ๑

ทกุ ขะสะมทุ ะโย อะริยะสัจจงั , อรยิ สจั คอื ทกุ ขสมุทัย ๑ (เหตใุ หเ้ กิดทกุ ข)์

ทกุ ขะนโิ รโธ อะรยิ ะสจั จงั , อรยิ สจั คอื ทกุ ขนโิ รธ ๑ (ธรรมเป็นทด่ี บั ทกุ ข์)

ทกุ ขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อรยิ สัจคอื ทุกขนโิ รธคามนิ ีปฏิปทา ๑

อะรยิ ะสจั จัง. (ข้อปฏบิ ตั ใิ หถ้ ึงธรรมเป็นท่ีดบั ทุกข์)




ผูถ้ ึงธรรม ไม่เศรา้ โศกถึงสง่ิ ท่ีล่วงแลว้ ไม่พร่ำเพอ้ ถงึ สิ่งท่ียงั ไม่มาถึง
ดำรงอยดู่ ้วยส่ิงทเี่ ปน็ ปัจจบุ ัน ฉะน้นั ผิวพรรณจงึ ผอ่ งใส

ส่วนชนท้ังหลายผยู้ ังอ่อนปญั ญา เฝา้ แตฝ่ ันเพ้อถึงส่ิงที่ยงั ไมม่ าถึง
และหวนละห้อยถงึ ความหลังอันลว่ งแลว้ จึงซูบซดี หม่นหมอง
เสมอื นต้นออ้ สด ที่เขาถอนข้นึ ท้งิ ไวใ้ นท่ีกลางแดด


109

ปะฏิจจะสะมปุ ปาทะปาฐะ


อะวชิ ชาปจั จะยา สงั ขารา, สังขาระปจั จะยา วญิ ญาณงั ,

เพราะอวชิ ชา เป็นปัจจัยใหเ้ กิดสงั ขาร, เพราะสงั ขาร เป็นปจั จยั ให้เกิดวิญญาณ

วญิ ญาณะปจั จะยา นามะรูปงั , นามะรปู ะปจั จะยา สะฬายะตะนัง,

เพราะวิญญาณ เปน็ ปัจจยั ใหเ้ กดิ นามรปู , เพราะนามรปู เป็นปัจจัยให้เกิดสฬายตนะ

สะฬายะตะนะปัจจะยา ผสั โส, ผสั สะปจั จะยา เวทะนา,

เพราะสฬายตนะ เปน็ ปัจจยั ใหเ้ กิดผสั สะ, เพราะผัสสะ เปน็ ปจั จัยใหเ้ กิดเวทนา

เวทะนาปัจจะยา ตณั ห๎ า, ตัณห๎ าปัจจะยา อปุ าทานงั ,

เพราะเวทนา เป็นปจั จยั ให้เกิดตัณหา, เพราะตณั หา เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน

อุปาทานะปัจจะยา ภะโว, ภะวะปัจจะยา ชาติ,

เพราะอุปาทาน เปน็ ปัจจัยให้เกดิ ภพ, เพราะภพ เป็นปจั จัยให้เกดิ ชาต

ชาติปัจจะยา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนสั สปุ ายาสา สัมภะวันต.ิ

เพราะชาติ เปน็ ปัจจัยใหเ้ กิดชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนสั อปุ ายาส

เอวะเมตัสสะ เกวะลสั สะ ทุกขักขนั ธสั สะ, สะมุทะโย โหติ.

เป็นอันว่า กองทุกขท์ ้งั มวลย่อมเกิดข้นึ , ด้วยประการอย่างนี้

อะวชิ ชายะเตว๎ วะ อะเสสะวริ าคะนโิ รธา สงั ขาระนโิ รโธ,

เพราะอวิชชาดบั สนทิ ไม่เหลือ, ดว้ ยปราศจากราคะ, สังขารจึงดับ

สังขาระนโิ รธา วญิ ญาณะนโิ รโธ, เพราะสงั ขารดบั วิญญาณจึงดบั

วิญญาณะนโิ รธา นามะรูปะนโิ รโธ, เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดบั

นามะรปู ะนโิ รธา สะฬายะตะนะนิโรโธ, เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ

สะฬายะตะนะนิโรธา ผัสสะนโิ รโธ, เพราะสฬายตนะดบั ผัสสะจงึ ดบั

ผัสสะนโิ รธา เวทะนานโิ รโธ, เพราะผสั สะดบั เวทนาจงึ ดบั

เวทะนานโิ รธา ตณั ๎หานโิ รโธ, เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ

ตัณ๎หานโิ รธา อุปาทานะนิโรโธ, เพราะตณั หาดบั อุปาทานจงึ ดับ

อปุ าทานะนิโรธา ภะวะนโิ รโธ, เพราะอปุ าทานดบั ภพจึงดับ

ภะวะนิโรธา ชาตนิ โิ รโธ, เพราะภพดบั ชาติจึงดบั

ชาตินิโรธา ชะรามะระณงั โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ.

เพราะชาติดบั , ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข์ โทมนัส อปุ ายาส จึงดับ

เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขนั ธัสสะ, นิโรโธ โหต.ิ

เปน็ อนั ว่า กองทกุ ข์ทงั้ มวลย่อมดับ, ด้วยประการฉะนีแ้ ล


110

พระอภิธรรม ๗ คมั ภีร

ประวตั ิ


ลำดบั นน้ั สมเดจ็ พระบรมศาสดา ทรงพทุ ธดำรวิ า่ “พทุ ธประเพณแี หง่ พระพทุ ธเจา้
ในอดีตกาล เมื่อทำยมกปาฏิหาริย์แล้ว เสด็จจำพรรษา ณ ท่ีใด” ทรงพิจารณาด้วย

อตีตังสญาณ ก็เห็นแจ้งประจักษ์ว่า เสด็จจำพรรษาในดาวดึงส์เทวโลก แล้วตรัสแสดง

อภิธรรมปิฎกท้ัง ๗ ปกรณ์ ถวายในไตรมาส เพื่อกระทำการสนองคุณ พุทธมารดา

ที่พระชนนีต้ังไว้แทบบาทมูลพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตว่า “ขอให้นางได้เป็น
มารดาของพระบรมครเู หน็ ปานดงั พระพทุ ธองค”์ ความปรารถนาอนั นนั้ กส็ ำเรจ็ สมประสงค์
และพระชนนีมีพระคุณแก่พระตถาคตเป็นอันมาก ยากที่จะได้ตอบสนองพระคุณ
พระมารดา ทรงจนิ ตนาการดงั นแ้ี ลว้ เสดจ็ ลกุ จากรตั นบลั ลงั ก์ ขน้ึ สดู่ าวดงึ สเ์ ทวโลกประทบั
นงั่ เหนือกมั พลศิลาอาสน์ ณ ดาวดึงส์เทวโลก

ในกาลน้ัน พระอินทร์ เม่ือทอดพระเนตรเห็น จึงประกาศให้เหล่าทวยเทพ

ได้ทราบท่ัวกัน เทพเจ้าท้ังหลายตลอดหมื่นจักรวาลได้มาประชุมกัน ถวายนมัสการแล้ว
ประทับนั่งอยู่โดยรอบพระพุทธองค์ เม่ือไม่ทรงเห็นพระพุทธมารดา จึงตรัสถาม
พระอินทร์ พระอินทร์จึงเสด็จไปตามพระสิริมหามายาเทพบุตร ณ ดุสิตเทวโลก

เม่ือพระพุทธมารดา ได้สดับทรงพระปีติปราโมทย์ เสด็จมายังดาวดึงส์เทวโลกสู่สำนัก
พระบรมครู ถวายนมัสการ ประทับน่ังอยู่เบ้ืองขวาแห่งพระผู้มีพระภาค พลางดำริว่า
“ข้าพเจ้านี้มีบุญยิ่งนัก มิเสียทีท่ีอุ้มท้องมาได้พระโอรสอันประเสริฐเห็นปานน้ี” ส่วน
พระพุทธองค์มีพระทัยปรารถนาจะสนองคุณพระมารดา จึงดำริว่า “พระคุณแห่ง
พระมารดาทีท่ ำไว้แกต่ ถาคตน้ยี ิ่งใหญ่นัก สุดทีจ่ ะคณานบั ได้วา่ กวา้ งหนาและลึกซ้ึงปานใด
และธรรมอนั ใดจึงจะสมควรที่จะทดแทนพระคุณได้ พระวนิ ยั ปิฎกและพระสตุ ตนั ตปฎิ กก็
ยังน้อยนัก มิเท่าคุณแห่งพระมารดาเห็นควรแต่พระอภิธรรมปิฎกที่จะพอยกขึ้นช่ังเท่ากัน
ได้” ดำริดงั นแี้ ลว้ กวักพระหัตถ์เรียกพระพทุ ธมารดาว่า “ดกู ่อนชนนี มานเ่ี ถดิ ตถาคต
จะใช้ค่าน้ำนมข้าวป้อนของมารดา อันเล้ียงตถาคตน้ีมาแต่อเนกชาติในอดีตภพ” แล้ว
กระทำพุทธมารดาเป็นประธานตรัสอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์ ให้สมควรแก่ปัญญาบารม

มสี งั คณิ ี วภิ งั ค์ ธาตกุ ถา ปคุ คลบญั ญตั ิ กถาวตั ถุ ยมก และมหาปฏั ฐาน กาลเม่ือสมเดจ็
พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอภิธรรม ๗ คัมภรี จ์ บลง องค์พระสริ ิ-
มหามายาเทพบตุ ร พทุ ธมารดา ก็บรรลโุ สดาปตั ติผล ประกอบดว้ ยนยั ๑ พนั บรบิ ูรณ์




111

พระสงั คณิ ี


กุสะลา ธัมมา ธรรมทัง้ หลายทเี่ ป็นกศุ ล, ใหผ้ ลเปน็ ความสขุ

อะกุสะลา ธมั มา ธรรมทั้งหลายทเี่ ป็นอกุศล, ให้ผลเป็นความทกุ ข

อัพ๎ยากะตา ธมั มา, ธรรมทง้ั หลายทเี่ ป็นอพั ยากฤต, เปน็ จติ กลางๆ อย่

กะตะเม ธัมมา กุสะลา, ธรรมเหลา่ ใดเป็นกศุ ล

ยัสม๎ งิ สะมะเย ในสมัยใด

กามาวะจะรงั กสุ ะลัง จติ ตัง อุปปนั นงั โหติ,

โสมะนัสสะสะหะคะตัง ญาณะสมั ปะยตุ ตัง,

กามาวจรกศุ ลจติ ทรี่ ว่ มด้วยโสมนสั คอื ความยนิ ดี,

ประกอบด้วยญาณ คือปัญญาเกิดขึน้

รูปารัมมะณัง วา จะเป็นรูปารมณ,์ คือยนิ ดใี นรปู เป็นอารมณ์ก็ดี

สทั ทารัมมะณงั วา, จะเป็นสทั ทารมณ์, คอื ยนิ ดใี นเสยี งเป็นอารมณ์ก็ดี

คันธารมั มะณงั วา จะเป็นคันธารมณ์, คือยนิ ดใี นกล่ินเปน็ อารมณก์ ด็

ระสารัมมะณัง วา, จะเป็นรสารมณ์, คือยินดีในรสเปน็ อารมณ์ก็ดี

โผฏฐัพพารมั มะณงั วา จะเปน็ โผฏฐัพพารมณ์,

คือยินดใี นสง่ิ ทก่ี ระทบถูกต้องกายเป็นอารมณ์ก็ดี

ธมั มารมั มะณัง วา, จะเป็นธรรมารมณ์, คอื ยินดใี นธรรมเปน็ อารมณ์กด็ ี

ยัง ยงั วา ปะนารัพภะ, ปรารภอารมณใ์ ดๆ กด็ ี

ตสั ม๎ งิ สะมะเย ผสั โส โหติ อะวกิ เขโป โหต,ิ ในสมยั นนั้ ผสั สะและความไมฟ่ งุ้ ซา่ นยอ่ มม

เย วา ปะนะ ตสั ม๎ ิง สะมะเย อีกอยา่ งหนึง่ ในสมยั น้นั ธรรมเหล่าใด,

อญั เญปิ อตั ถิ ปะฏิจจะสะมปุ ปนั นา แม้อื่นมอี ยู่เปน็ ธรรมที่ไม่มรี ปู ,

อะรูปิโน ธมั มา, อาศยั กันและกันเกิดข้ึน

อเิ ม ธัมมา กสุ ะลา. ธรรมเหล่านเี้ ปน็ กุศล ใหผ้ ลเป็นความสขุ


ผู้ท่มี ัวเพลิดเพลนิ ประมาทอยกู่ บั ส่งิ ทีช่ อบใจ สง่ิ ท่รี ักและสงิ่ ทีเ่ ป็นสุข

จะถูกส่งิ ที่ไม่ชอบ ไม่รกั และความทุกข์เขา้ มาครอบงำ


ส่งิ ท่ีไมน่ า่ ยนิ ดี มกั จะปลอมมาในรปู ที่นา่ ยนิ ดี สง่ิ ทีไ่ มน่ า่ รัก มักจะมาในรูปแหง่ ส่งิ ทน่ี า่ รัก

ความทกุ ขม์ ักจะมาในรูปแหง่ ความสขุ เพราะดงั น้ี คนจงึ ประมาทมัวเมากันนัก


112

พระวภิ ังค์


ปญั จกั ขันธา, ขนั ธห์ า้ คอื สว่ นประกอบหา้ อยา่ ง, ทรี่ วมเขา้ เปน็ ชวี ติ ไดแ้ ก

รูปกั ขันโธ, รูปขันธ,์ คือรา่ งกายน้ี ประกอบดว้ ยธาตุ ๔

เวทะนากขนั โธ, เวทนาขันธ์ คอื ความรสู้ กึ เสวยอารมณ,์

ท่ีเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเฉยๆ

สญั ญากขนั โธ, สัญญาขันธ์ คอื ความจำไดห้ มายรใู้ นอารมณ์ ๖

สังขารักขนั โธ, สงั ขารขนั ธ์ คือความคดิ ทีป่ รุงแต่งจิต,

ใหด้ ีหรอื ช่ัวหรอื เป็นกลางๆ

วญิ ญาณักขนั โธ, วญิ ญาณขนั ธ์ คอื ความรแู้ จง้ ในอารมณ์ ทางอายตนะทงั้ ๖

ตัตถะ กะตะโม รปู ักขันโธ, บรรดาขันธ์ทง้ั หมด รปู ขนั ธเ์ ป็นอยา่ งไร

ยงั กิญจิ รปู ัง รปู อย่างใดอยา่ งหนึง่

อะตตี านาคะตะปัจจปุ ปันนัง, ทเ่ี ป็นอดตี อนาคต และปจั จุบัน

อชั ฌตั ตงั วา พะหทิ ธา วา, ภายในกต็ าม ภายนอกกต็ าม

โอฬารกิ งั วา สขุ ุมัง วา, หยาบกต็ าม ละเอียดกต็ าม

หนี ัง วา ปะณีตัง วา, เลวก็ตาม ประณตี กต็ าม

ยงั ทเู ร วา สนั ติเก วา, อยูไ่ กลก็ตาม อยู่ใกล้ก็ตาม

ตะเทกัชฌัง อะภสิ ัญญหู ิตว๎ า อะภิสงั ขปิ ิต๎วา, ย่นกลา่ วรวมกัน

อะยัง วุจจะติ รูปักขันโธ. เรียกว่ารปู ขนั ธ




พระธาตกุ ะถา


สังคะโห อะสงั คะโห, การสงเคราะห์ การไมส่ งเคราะห์ คือ

สงั คะหิเตนะ อะสังคะหิตัง, ส่ิงทไ่ี มส่ งเคราะหเ์ ขา้ กับสิ่งท่สี งเคราะหแ์ ล้ว

อะสังคะหิเตนะ สงั คะหติ งั , ส่งิ ทีส่ งเคราะห์เขา้ กบั สง่ิ ท่สี งเคราะหไ์ มไ่ ด

สังคะหเิ ตนะ สังคะหติ งั , ส่ิงท่สี งเคราะหเ์ ข้ากบั ส่งิ ทส่ี งเคราะหไ์ ด้

อะสังคะหเิ ตนะ อะสงั คะหติ ัง, สงิ่ ทไ่ี มส่ งเคราะห์เขา้ กับส่งิ ทส่ี งเคราะห์ไม่ได

สมั ปะโยโค วิปปะโยโค, การอยู่ด้วยกัน การพลัดพรากกนั คือ

สมั ปะยตุ เตนะ วปิ ปะยตุ ตัง, การพลดั พรากจากสง่ิ อันเป็นท่ีรกั

วิปปะยุตเตนะ สมั ปะยุตตงั , การประสบกับสิง่ อันไมเ่ ปน็ ทรี่ ัก

อะสงั คะหิตัง. จัดเป็นสงิ่ ทีส่ งเคราะห์ไม่ได


113

พระปุคคะละปัญญตั ติ


ฉะ ปัญญัตติโย, บัญญัติ ๖ ประการ, อนั บัณฑิตผรู้ ู้พึงบญั ญัตขิ ้ึน คอื

ขันธะปัญญตั ติ, การบัญญตั ธิ รรมท่ีเป็นหมวดหมกู่ ันเรียกวา่ ขันธ์ มี ๕

อายะตะนะปญั ญัตต,ิ การบัญญตั ธิ รรมอนั เป็นบอ่ เกดิ แหง่ ทุกขแ์ ละไมท่ กุ ข,์

เรยี กว่าอายตนะ มี ๑๒

ธาตุปญั ญัตต,ิ การบญั ญตั ธิ รรมทที่ รงตวั อยเู่ รียกว่าธาตุ มี ๑๘

สจั จะปัญญัตติ, การบัญญัติธรรมทเ่ี ปน็ ของจรงิ เรยี กวา่ สัจจะ มี ๔,

คอื อริยสจั ๔

อินท๎รยิ ะปัญญัตต,ิ การบัญญัติธรรมท่ีเป็นใหญ่เรยี กว่าอนิ ทรีย์ มี ๒๒

ปคุ คะละปญั ญตั ติ, การบัญญัติจำพวกบุคคลของบุคคลท้ังหลาย

กิตตาวะตา ปคุ คะลานงั ปุคคะละปญั ญัตต,ิ บุคคลบญั ญัตขิ องบุคคลมีเท่าไร

สะมะยะวิมุตโต อะสะมะยะวิมตุ โต, ผู้พน้ ในกาลบางคราว, ผพู้ น้ อยา่ งเด็ดขาด

กุปปะธัมโม อะกุปปะธมั โม, ผมู้ ีธรรมท่ีกำเริบได้, ผมู้ ีธรรมท่ีกำเริบไม่ได

ปะรหิ านะธัมโม อะปะรหิ านะธัมโม, ผ้มู ีธรรมทีเ่ สอ่ื มได,้ ผมู้ ีธรรมท่ีเสือ่ มไม่ได

เจตะนาภัพโพ อะนรุ กั ขะนาภัพโพ, ผ้มู ีธรรมทีค่ วรแกเ่ จตนา,

ผู้มีธรรมทค่ี วรแก่การรกั ษา

ปถุ ชุ ชะโน โคตร๎ ะภ,ู ผูเ้ ปน็ ปถุ ุชน, ผูค้ ร่อมโคตร (ผู้กา้ วสอู่ ริยธรรม)

ภะยปู ะระโต อะภะยปู ะระโต, ผูเ้ ว้นชัว่ เพราะกลัว, ผู้เว้นชวั่ ไม่ใช่เพราะกลวั

ภัพพาคะมะโน อะภัพพาคะมะโน, ผคู้ วรแกม่ รรคผลนพิ พาน,

ผู้ไมค่ วรแกม่ รรคผลนพิ พาน

นิยะโต อะนิยะโต, ผเู้ ทย่ี ง, ผไู้ ม่เทยี่ ง

ปะฏิปนั นะโก ผะเล ฐิโต ผู้ปฏิบตั ิอริยมรรค, ผตู้ ั้งอยู่ในอริยผล

อะระหา อะระหตั ตายะ ปะฏิปนั โน. ผเู้ ป็นพระอรหนั ต์, ผูป้ ฏิบัตเิ พื่อเปน็ พระอรหันต




เมือ่ เรือนถูกไฟไหม้แลว้ เจ้าของเรอื นขนเอาภาชนะใดออกไปได้

ภาชนะน้นั ย่อมเปน็ ประโยชน์แก่เขา สว่ นสงิ่ ของท่ีมิไดข้ นออกไป ย่อมถูกไฟไหม้ ฉันใด


บคุ คลถกู ชราและมรณะครอบงำแลว้ ก็ฉันนัน้ ควรนำออกดว้ ยการให้ทาน

เพราะทานที่บุคคลให้แล้ว ชื่อวา่ นำออกดแี ลว้


114

พระกะถาวัตถุ


ปคุ คะโล อุปะลพั ภะต,ิ คน้ หาบุคคลไมไ่ ดใ้ นปรมัตถ,์

สจั ฉกิ ตั ถะปะระมัตเถนาต,ิ คือความหมายอันแทจ้ ริงหรอื ?

อามนั ตา, ถูกแลว้

โย สจั ฉกิ ตั โถ ปะระมัตโถ ปรมตั ถ์คือความหมายอนั แทจ้ ริงอนั ใดมีอย,ู่

ตะโต โส ปุคคะโล อปุ ะลัพภะติ, คน้ หาบุคคลน้ันไม่ไดโ้ ดยปรมัตถ์,

สจั ฉิกตั ถะปะระมัตเถนาต,ิ คือความหมายอนั แท้จริงอนั นั้นหรือ

นะ เหวงั วตั ตพั เพ, ท่านไมค่ วรกล่าวอยา่ งนน้ั

อาชานาหิ นคิ คะหงั หัญจ,ิ ท่านจงรูน้ คิ หะ (การขม่ ปราม) เถิด

ปุคคะโล อุปะลัพภะต,ิ ถา้ ทา่ นคน้ หาบุคคลไมไ่ ด้โดยปรมตั ถ์

สัจฉกิ ัตถะปะระมตั เถนะ, คือโดยความหมายอนั แท้จรงิ แลว้

เตนะ วะตะ เร วัตตพั เพ, ทา่ นก็ควรกล่าวดว้ ยเหตุนน้ั ว่า

โย สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ ปรมตั ถ์คอื ความหมายอันแทจ้ รงิ อันใดมีอยู่,

ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, เราคน้ หาบคุ คลนัน้ ไม่ได้โดยปรมตั ถ์,

สัจฉกิ ัตถะปะระมตั เถนาต,ิ มจิ ฉา. คอื โดยความหมายอันแท้จรงิ นนั้ , อนั น้ันจงึ ผดิ




พระยะมะกะ


เย เกจิ กุสะลา ธัมมา, ธรรมบางเหล่าเปน็ กศุ ล

สพั เพ เต กุสะละมูลา, ธรรมเหลา่ นั้นทงั้ หมดมกี ุศลเปน็ มูล

เย วา ปะนะ กสุ ะละมูลา, อกี อยา่ งหนึ่ง ธรรมเหลา่ ใดมกี ุศลเป็นมูล

สพั เพ เต ธมั มา กุสะลา, ธรรมเหล่าน้ันท้งั หมดกเ็ ป็นกศุ ล

เย เกจิ กุสะลา ธมั มา, ธรรมบางเหล่าเปน็ กศุ ล

สพั เพ เต กุสะละมเู ลนะ เอกะมลู า, ธรรมเหล่าน้นั ทงั้ หมด,

มีมูลอันเดยี วกบั ธรรมทมี่ กี ุศลเป็นมูล

เย วา ปะนะ กุสะละมเู ลนะ เอกะมลู า, อกี อย่างหนึ่ง, ธรรมเหลา่ ใดมมี ลู

อนั เดยี วกบั ธรรมทมี่ กี ศุ ลเป็นมูล

สพั เพ เต ธมั มา กสุ ะลา. ธรรมเหลา่ นน้ั ทง้ั หมดเปน็ กศุ ล


115

เหตปุ ัจจะโย, พระมะหาปัฏฐาน

อารมั มะณะปจั จะโย,
อะธิปะติปัจจะโย, ธรรมทมี่ เี หตุเปน็ ปจั จัย

อะนนั ตะระปจั จะโย, ธรรมทม่ี ีอารมณ์เปน็ ปัจจัย

สะมะนันตะระปจั จะโย, ธรรมที่มอี ธบิ ดเี ป็นปัจจยั

สะหะชาตะปจั จะโย, ธรรมทม่ี ีปัจจยั ไม่มอี ะไรค่นั ในระหว่าง

อัญญะมัญญะปัจจะโย, ธรรมทม่ี ีปัจจยั มีทส่ี ดุ เสมอกัน

นสิ สะยะปจั จะโย, ธรรมทเ่ี กดิ พร้อมกบั ปจั จยั

อุปะนิสสะยะปัจจะโย, ธรรมทเ่ี ปน็ ปัจจัยของกนั และกัน

ปเุ รชาตะปัจจะโย, ธรรมทีม่ นี ิสยั เปน็ ปัจจยั

ปจั ฉาชาตะปจั จะโย, ธรรมทีม่ ีอปุ นสิ ยั เป็นปัจจัย

อาเสวะนะปัจจะโย, ธรรมทม่ี ีการเกดิ กอ่ นเป็นปจั จัย

กัมมะปัจจะโย, ธรรมทีม่ ีการเกดิ ภายหลงั เป็นปจั จัย

วปิ ากะปัจจะโย, ธรรมทีม่ กี ารเสพเปน็ ปจั จัย

อาหาระปัจจะโย, ธรรมท่ีมีกรรมเปน็ ปัจจยั

อนิ ท๎ริยะปจั จะโย, ธรรมที่มวี ิบากเป็นปัจจยั

ฌานะปจั จะโย, ธรรมท่ีมีอาหารเปน็ ปัจจัย

มคั คะปจั จะโย, ธรรมที่มอี ินทรียเ์ ป็นปัจจัย

สมั ปะยตุ ตะปจั จะโย, ธรรมทีม่ ีฌานเปน็ ปัจจยั

วปิ ปะยตุ ตะปัจจะโย, ธรรมท่มี ีมรรคเปน็ ปัจจยั

อัตถปิ ัจจะโย, ธรรมท่ีมีการประกอบเป็นปจั จัย

นัตถิปัจจะโย, ธรรมที่ไมม่ กี ารประกอบเปน็ ปจั จยั

วคิ ะตะปัจจะโย, ธรรมที่มีปจั จัย

อะวิคะตะปัจจะโย. ธรรมทีไ่ ม่มปี จั จยั

ธรรมทม่ี กี ารอยู่ปราศจากเป็นปัจจยั

ธรรมท่ีมกี ารอยู่ไม่ปราศจากเป็นปจั จยั


ท่านด่าเราผูไ้ มด่ ่าอยู่ ทา่ นโกรธต่อเราผู้ไมโ่ กรธอยู่
ทา่ นมาทะเลาะกบั เราผไู้ ม่ทะเลาะอยู่ เราไม่รบั คำด่าเปน็ ต้นของทา่ นนัน้ พราหมณ์

ดังนน้ั คำด่าเปน็ ต้นนั้น จงึ เป็นของท่านผ้เู ดียว


116

บังสุกลุ ตาย


อะนิจจา วะตะ สงั ขารา อปุ ปาทะวะยะธัมมิโน,

สังขารทัง้ หลายไมเ่ ทีย่ งหนอ, มคี วามเกดิ ขึ้นแล้ว ย่อมเส่ือมไปเป็นธรรมดา

อุปปชั ชิตว๎ า นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโม สโุ ข.

เมอื่ เกดิ ข้ึนแล้วย่อมดบั ไป, ความเขา้ ไปสงบระงับแห่งสังขารเหลา่ นั้นได้,

ยอ่ มนำมาซง่ึ ความสุข

สัพเพ สัตตา มะรันติ จะ มะริงสุ จะ มะริสสะเร,

สตั ว์ทง้ั หลายท้งั ปวง, ท่ีกำลังตายอยู่เดย๋ี วนก้ี ็ดี, ที่จักตายต่อไปก็ด

ตะเถวาหงั มะริสสามิ นตั ถิ เม เอตถะ สงั สะโย.

ตวั ของเรากจ็ กั ตายอย่างน้นั เหมือนกนั แล, ความสังสยั ในเรอื่ งตายน,้ี

ไมม่ แี กเ่ ราเลย




บังสุกลุ เปน็


อะจริ ัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวงิ อะธิเสสสะติ,

รา่ งกายนีค้ งไมน่ านหนอ, จักนอนทบั ซ่ึงแผ่นดิน

ฉฑุ โฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรตั ถังวะ กะลงิ คะรงั .

คร้นั ปราศจากวิญญาณ อนั เขาทิ้งเสยี แล้ว, ประดจุ ดังวา่ ทอ่ นไมแ้ ละท่อนฟืน,

หาประโยชน์มไิ ด ้


คาถาตา่ งๆ

ภัทเทกะรตั ตะคาถา


หนั ทะ มะยัง ภทั เทกะรัตตะคาถาโย ภะณามะ เส.

(เชญิ เถดิ เราท้ังหลาย, จงกลา่ วคาถาแสดงผู้มรี าตรีเดียวเจริญเถิด)



อะตีตงั นานวาคะเมยยะ นปั ปะฏิกังเข อะนาคะตัง,

บุคคลไมค่ วรตามคดิ ถงึ สงิ่ ทลี่ ่วงไปแล้วด้วยอาลยั ,

และไม่พึงพะวงถึงสง่ิ ทย่ี งั ไมม่ าถงึ

ยะทะตตี มั ปะหนี นั ตงั อปั ปัตตญั จะ อะนาคะตัง,

ส่ิงเปน็ อดตี ก็ละไปแลว้ , ส่งิ เป็นอนาคตก็ยงั ไมม่ า


117

ปจั จุปปันนญั จะ โย ธมั มัง ตัตถะ ตัตถะ วปิ ัสสะติ,

ผ้ใู ดเหน็ ธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นนั้ ๆ อย่างแจ่มแจ้ง

อะสังหริ ัง อะสังกปุ ปัง ตัง วิทธา มะนุพ๎รูหะเย,

ไม่งอ่ นแงน่ คลอนแคลน, เขาควรพอกพูนอาการเชน่ นนั้ ไว้

อชั เชวะ กจิ จะมาตปั ปงั โก ชญั ญา มะระณัง สเุ ว,

ความเพยี รเปน็ กิจทีต่ อ้ งทำวันนี้, ใครจะรูค้ วามตาย แมพ้ รงุ่ น้ี

นะ หิ โน สังคะรนั เตนะ มะหาเสเนนะ มัจจนุ า,

เพราะการผัดเพยี้ นต่อมัจจรุ าชซงึ่ มเี สนามาก, ยอ่ มไม่มีสำหรับเรา

เอวงั วิหารมิ าตาปิง อะโหรัตตะมะตนั ทิตงั ,

ตงั เว ภทั เทกะรตั โตต ิ สนั โต อาจกิ ขะเต มนุ ีต.ิ

มุนีผูส้ งบ ยอ่ มกลา่ วเรียกผู้มคี วามเพียรอย่เู ช่นน้ัน,

ไม่เกียจคร้านทงั้ กลางวนั กลางคืนว่า, ผ้เู ปน็ อย่แู มเ้ พียงราตรีเดียว ก็น่าชม




ติลกั ขะณาทิคาถา


หนั ทะ มะยัง ตลิ ักขะณาทคิ าถาโย ภะณามะ เส.

(เชิญเถิด เราท้ังหลาย, กล่าวคาถาแสดงพระไตรลกั ษณ์เปน็ เบ้อื งต้นเถดิ )



สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปญั ญายะ ปัสสะต,ิ

เมอ่ื ใดบุคคลเหน็ ด้วยปญั ญาว่า, สงั ขารทง้ั ปวงไมเ่ ทีย่ ง

อะถะ นิพพินทะติ ทกุ เข เอสะ มัคโค วิสุทธยิ า,

เมื่อนน้ั ยอ่ มเหน่ือยหนา่ ยในส่ิงทเ่ี ป็นทุกขท์ ่ีตนหลง,

นัน่ แหละ เปน็ ทางแห่งพระนพิ พาน, อันเป็นธรรมหมดจด

สพั เพ สงั ขารา ทกุ ขาต ิ ยะทา ปญั ญายะ ปัสสะติ,

เมอื่ ใดบุคคลเห็นดว้ ยปัญญาว่า, สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์

อะถะ นิพพนิ ทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วสิ ทุ ธิยา,

เม่ือน้ัน ยอ่ มเหนื่อยหนา่ ยในส่ิงทีเ่ ป็นทุกขท์ ีต่ นหลง,

น่นั แหละ เป็นทางแหง่ พระนิพพาน, อนั เปน็ ธรรมหมดจด

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปญั ญายะ ปัสสะติ,

เมอื่ ใดบุคคลเหน็ ด้วยปญั ญาวา่ , ธรรมทง้ั ปวงเป็นอนัตตา


118

อะถะ นิพพนิ ทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วสิ ุทธยิ า,

เมื่อนน้ั ย่อมเหนอ่ื ยหน่ายในส่งิ ทีเ่ ปน็ ทุกขท์ ่ีตนหลง,

นน่ั แหละ เป็นทางแหง่ พระนพิ พาน, อนั เปน็ ธรรมหมดจด

อัปปะกา เต มะนุสเสส ุ เย ชะนา ปาระคามโิ น,

ในหมู่มนษุ ยท์ ั้งหลาย, ผทู้ ี่ถงึ ฝงั่ แห่งพระนพิ พานมนี อ้ ยนัก

อะถายงั อิตะรา ปะชา ตีระเมวานธุ าวะต,ิ

หมมู่ นษุ ยน์ อกน้ัน ย่อมว่ิงเลาะอย่ตู ามฝั่งในน่ีเอง

เย จะ โข สมั มะทกั ขาเต ธมั เม ธัมมานวุ ัตตโิ น,

ก็ชนเหล่าใด ประพฤติสมควรแก่ธรรม, ในธรรมทต่ี รัสไว้ชอบแลว้

เต ชะนา ปาระเมสสนั ต ิ มจั จุเธยยัง สุทตุ ตะรัง,

ชนเหล่านั้น จักถึงฝ่งั แหง่ พระนิพพาน, ข้ามพน้ บ่วงแห่งมัจจรุ าชทีข่ ้ามได้ยากนัก

กัณห๎ ัง ธมั มัง วิปปะหายะ สกุ กัง ภาเวถะ ปณั ฑิโต,

จงเป็นบณั ฑิตละธรรมดำเสีย แลว้ เจรญิ ธรรมขาว

โอกา อะโนกะมาคัมมะ วิเวเก ยตั ถะ ทรู ะมัง,

ตตั ร๎ าภิระติมิจเฉยยะ หิตว๎ า กาเม อะกญิ จะโน,

จงมาถงึ ในทไี่ ม่มีนำ้ จากทม่ี ีน้ำ, จงละกามเสยี เปน็ ผูไ้ มม่ ีความกงั วล,

จงยนิ ดเี ฉพาะต่อพระนิพพาน, อันเป็นที่สงัดซง่ึ สัตวย์ ินดไี ด้โดยยาก

ปะรโิ ยทะเปยยะ อัตตานงั จติ ตกั เ๎ ลเสหิ ปัณฑิโต,

บัณฑติ ควรยงั ตนใหผ้ อ่ งแผว้ , จากเคร่ืองเศรา้ หมองแห่งจิตท้งั หลาย

เยสัง สมั โพธิยังเคสุ สัมมา จิตตัง สภุ าวติ งั ,

จิตอนั บัณฑติ ทัง้ หลายเหลา่ ใด, อบรมดีแลว้ โดยถูกตอ้ ง,

ในองค์เปน็ เหตตุ รัสรู้ทง้ั หลาย

อาทานะปะฏนิ สิ สคั เค อะนุปาทายะ เย ระตา,

บัณฑติ ทง้ั หลายเหลา่ ใดไม่ถือมั่น, ยนิ ดีแลว้ ในอนั สละความยึดถอื

ขีณาสะวา ชตุ มิ นั โต เต โลเก ปะรินพิ พตุ าต.ิ

บณั ฑิตทัง้ หลายเหลา่ น้นั ยอ่ มเปน็ ผูไ้ มม่ ีอาสวะ, มคี วามโพลงดบั สนทิ ในโลก,

ดงั นแี้ ล




เพราะละความยดึ มนั่ ถอื ม่ันได้ทง้ั หมด ทกุ ข์จึงไมเ่ กิด


119

ธัมมุทเทส ๔


อุปะนียะติ โลโก, โลกคอื หมูส่ ตั ว์อนั ชรานำไป

อทั ธุโว, ไม่มีความย่งั ยืน

อะตาโณ โลโก, โลกไมม่ ีผตู้ ่อตา้ น

อะนะภิสสะโร, ไมม่ ใี ครเป็นผู้ยง่ิ ใหญ

อสั สะโก โลโก, โลกไมม่ ีอะไรเป็นของๆ ตน

สพั พัง ปะหายะ คะมะนียงั , จำตอ้ งละทง้ิ สิง่ ทัง้ สนิ้ แล้วตอ้ งไป

อูโน โลโก, โลกยังพรอ่ งอยู่

อะตติ โต, เป็นผไู้ ม่อม่ิ ไม่เบือ่

ตณั ๎หา ทาโส. จึงตอ้ งตกเป็นทาสของตณั หา




ภาระสตุ ตะคาถา


ภาระ หะเว ปญั จักขันธา, ขนั ธท์ ง้ั หา้ เปน็ ของหนักแล

ภาระหาโร จะ ปคุ คะโล, กบ็ คุ คลเปน็ ผแู้ บกของหนักพาไป

ภาราทานงั ทกุ ขัง โลเก, การแบกถือของหนกั เปน็ ความทกุ ข์ในโลก

ภาระนกิ เขปะนัง สุขัง, การสลดั ของหนกั ทิง้ ลงเสีย เปน็ ความสุข

นกิ ขิปิต๎วา คะรงุ ภารัง, พระอรยิ เจา้ สลัดทิ้งของหนกั ลงเสียแลว้

อญั ญงั ภารัง อะนาทิยะ, ทั้งไม่หยบิ ฉวยของหนักอันอืน่ ข้ึนมาอีก

สะมลู ัง ตณั ห๎ ัง อพั พยุ ห๎ ะ, เป็นผู้ถอนตัณหาพร้อมทั้งรากไดแ้ ลว้

นิจฉาโต ปะรนิ พิ พุโตต.ิ เปน็ ผหู้ มดความปรารถนาแลว้ ,

ดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ ปรนิ พิ พาน




ความรักความอาลัยเปน็ สาเหตแุ ห่งทุกข์

เพราะฉะนัน้ คนมีรกั มากเท่าใด ก็มที กุ ข์มากเท่าน้ัน

มรี ักหน่งึ มีทกุ ข์หน่งึ มรี ักสบิ มที กุ ขส์ ิบ มรี กั รอ้ ยมที กุ ข์ร้อย

ความทกุ ข์ยอ่ มเพิ่มขน้ึ ตามปรมิ าณแห่งความรัก

เหมอื นความรอ้ นท่เี กดิ แตไ่ ฟ ย่อมเพิม่ ขึน้ ตามจำนวนเชือ้ ทเ่ี พม่ิ ข้นึ


120

สลี ุทเทสะปาฐะ


หันทะ มะยงั สีลทุ เทสะปาฐงั ภะณามะ เส.

(เชญิ เถดิ เราท้ังหลาย, ทำการกล่าว สีลุทเทสปาฐะคาถากนั เถดิ )



ภาสติ ะมิทงั เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา

อะระหะตา สัมมาสัมพทุ เธนะ,

สมเด็จพระผมู้ พี ระภาคผูร้ เู้ ห็น, ผเู้ ปน็ พระอรหนั ตสมั มาสัมพุทธเจ้า พระองคน์ ั้น,

ได้ทรงภาษติ ไวด้ ังน้วี า่

สัมปนั นะสลี า ภิกขะเว วิหะระถะ สัมปนั นะปาฏิโมกขา,

ภกิ ษุทง้ั หลาย ท่านทง้ั หลายจงเป็นผู้มีศลี ถึงพร้อมแลว้ ,

มปี าฏโิ มกขถ์ ึงพร้อมแลว้ อย่เู ถิด

ปาฏโิ มกขะสังวะระสงั วตุ า วิหะระถะ อาจาระโคจะระสมั ปันนา,

ท่านทงั้ หลายจงเป็นผู้สำรวมแลว้ , ด้วยความสำรวมในพระปาฏิโมกข,์

มอี าจาระคอื มารยาท มโี คจระคอื ทีเ่ ทยี่ ว, ถึงพรอ้ มแลว้ อยู่เถิด

อะณมุ ัตเตสุ วชั เชสุ ภะยะทสั สาวี สะมาทายะ สกิ ขะถะ สกิ ขาปะเทสตู ,ิ

พวกทา่ นจงเป็นผู้มปี กตเิ ห็นภยั ในโทษทง้ั หลาย,

มาตรว่าเล็กนอ้ ย, สมาทานศกึ ษาในสกิ ขาบททงั้ หลายเถิด

ตสั ๎มาตหิ ัมเ๎ หหิ สิกขติ ัพพงั ,

เพราะฉะนนั้ อนั เราทง้ั หลายควรสำเหนียกดงั น้วี ่า

สมั ปนั นะสลี า วหิ ะริสสามะ สมั ปนั นะปาฏิโมกขา,

เราทงั้ หลาย จกั เปน็ ผู้มีศลี ถึงพร้อมแลว้ , มีปาฏโิ มกข์ถึงพรอ้ มแล้ว

ปาฏิโมกขะสังวะระสังวตุ า วิหะรสิ สามะ อาจาระโคจะระสัมปันนา,

เราทงั้ หลายจกั เป็นผู้สำรวมแลว้ , ด้วยความสำรวมในพระปาฏโิ มกข์,

มีอาจาระคอื มารยาท มโี คจระคือทเ่ี ทย่ี ว, ถงึ พร้อมแลว้ อยู่เถิด

อะณุมตั เตสุ วชั เชสุ ภะยะทสั สาวี สะมาทายะ สิกขิสสามะ สกิ ขาปะเทสตู ,ิ

เราท้ังหลาย จักเปน็ ผ้มู ีปกตเิ ห็นภัยในโทษท้งั หลาย,

มาตรว่าเลก็ นอ้ ย, สมาทานศกึ ษาในสกิ ขาบททัง้ หลายดงั น้ี

เอวัญหิ โน สิกขิตัพพัง.

อันเราทั้งหลาย ควรสำเหนียกอยา่ งนแี้ ล




121

ตายะนะคาถา


หนั ทะ มะยงั ตายะนะคาถาโย ภะณามะ เส.

(เชิญเถิด เราทัง้ หลาย, ทำการกล่าว ตายะนะคาถากันเถดิ )



ฉินทะ โสตงั ปะรักกัมมะ กาเม ปะนูทะ พ๎ราห๎มะณะ,

ทา่ นจงพยายามตัดตัณหา เพียงดังกระแสน้ำเสยี ,

จงถ่ายถอนกามทั้งหลายเสยี เถดิ นะพราหมณ์

นปั ปะหายะ มนุ ิ กาเม เนกัตตะมุปะปัชชะติ,

เพราะพระมนุ ีไม่ละกามทั้งหลายแลว้ , จะเข้าถึงความเปน็ คนผู้เดียวไมไ่ ด้

กะยริ า เจ กะยริ าเถนัง ทัฬ๎หะเมนัง ปะรักกะเม,

ถา้ จะทำกพ็ งึ ทำกิจนนั้ เถิด, แตพ่ งึ บากบ่นั ทำกิจน้นั ให้จรงิ

สิถโิ ล หิ ปะรพิ พาโช ภยิ โย อากิระเต ระชงั ,

เพราะสมณธรรมเครื่องละเวน้ ท่ียอ่ หย่อน, ยิ่งโปรยโทษดุจธลุ ี

อะกะตัง ทุกกะฏงั เสยโย ปจั ฉา ตปั ปะติ ทกุ กะฏงั ,

ความชั่วไม่ทำเสยี เลยดีกวา่ , เพราะทำแล้ว ยอ่ มเดือดร้อนในภายหลัง

กะตญั จะ สุกะตงั เสยโย ยัง กตั ว๎ า นานตุ ปั ปะติ,

ทำความดนี ั้นแหละดกี วา่ , เพราะทำแลว้ ยอ่ มไม่เดือดรอ้ นในภายหลงั

กโุ ส ยะถา ทคุ คะหโิ ต หัตถะเมวานุกันตะติ,

หญา้ คาท่ีบคุ คลจบั ไมด่ ี ย่อมบาดมือตนเองฉนั ใด

สามัญญัง ทปุ ปะรามตั ถงั นิระยายปู ะกัฑฒะต,ิ

ความเป็นสมณะ อนั บรรพชิตรกั ษาไม่ด,ี ย่อมฉดุ ไปนรกฉันนั้น

ยังกิญจิ สิถิลัง กัมมัง สงั กลิ ิฏฐัญจะ ยงั วะตัง,

การงานอันใดอันหน่ึงทย่ี ่อหยอ่ นด้วย, ความประพฤตอิ นั ใดที่เศรา้ หมองแลว้ ดว้ ย

สงั กัสสะรัง พ๎รหั ม๎ ะจะริยัง นะ ตงั โหติ มะหปั ผะลนั ต.ิ

พรหมจรรยอ์ ันใดท่ตี นระลกึ ดว้ ยความรงั เกียจ,

กจิ สามอย่างนนั้ ยอ่ มเป็นของไมม่ ผี ลมาก, ดังน้ี


กาลเวลากล็ ่วงไป คืนวนั กผ็ า่ นไป ช่วงแห่งวยั กล็ ะไปตามลำดบั

เมือ่ มองเหน็ ภัยในมรณะอยู่ฉะนี้ ควรละอามิสในโลกเสยี มงุ่ สูส่ ันตเิ ถิด


122

โอวาทะปาฏิโมกขาทปิ าฐะ

ประวตั ิ


โอวาทปาฏโิ มกข์ เปน็ คำสอนหวั ใจของพระพทุ ธศาสนา มพี ระพทุ ธพจน์ ๓ คาถากงึ่
คอื การไมท่ ำความช่วั ทั้งปวง ๑ การบำเพญ็ แต่ความดี ๑ การทำจิตของตนใหผ้ ่องใส ๑
ในการประชุมสงฆ์ ณ วัดเวฬุวันมหาวิหารท่ีเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาตเช่นนี้มีครั้งเดียว
คือในปีแรกหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ๙ เดือน อันประกอบด้วยองค์ ๔ ดังน
ี้
เป็นวนั มาฆะฤกษ,์ ภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยไม่ได้นดั หมาย, ภกิ ษุท้งั หมดนัน้
ล้วนเปน็ พระอรหันตขณี าสพผูไ้ ดอ้ ภิญญา ๖, เปน็ เอหิภกิ ขุอุปสมั ปทา (พระพุทธเจา้ ทรง
บวชให้)

การประชมุ ครงั้ นัน้ เป็นวันท่พี ระสารีบตุ รบรรลอุ รหนั ต์ พระพุทธองค์จึงได้สถาปนา
พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ให้เป็นคู่อัครสาวก ตรัสว่าสาวกบารมีญาณท้ังสอง
ท่านน้ีได้บำเพ็ญบารมีมาเต็มเป่ียมแล้ว นับด้วยอสงไขยกำไรแสนมหากัป จากน้ัน

ทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ในท่ามกลางประชุมสงฆ์อันมีภิกษุ ปุราณชฎิล ๑,๐๐๐ รูป


ภิกษุบริวารของพระสารบี ุตรและพระโมคคัลลานะ อกี ๒๕๐ รูป


หันทะ มะยงั โอวาทะปาฏโิ มกขาทปิ าฐะคาถาโย ภะณามะ เส.

(เชิญเถดิ เราทงั้ หลาย, ทำการกล่าวคาถา โอวาทปาฏิโมกข์กนั เถิด)



อทุ ทฏิ ฐงั โข เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปสั สะตา อะระหะตา

สัมมาสมั พทุ เธนะ, โอวาทะปาฏิโมกขัง ตีหิ คาถาห.ิ

พระผ้มู พี ระภาคเจา้ ทรงยกโอวาทปาฏิโมกข์, ข้นึ แสดงด้วยพระคาถา ๓ บท กึ่งว่า

ขนั ตี ปะระมัง ตะโป ตีตกิ ขา, ขนั ติ คอื ความอดกลัน้ เป็นธรรมเครื่อง

เผากิเลสอย่างยิง่

นพิ พานัง ปะระมัง วะทนั ติ พทุ ธา, ผรู้ ู้ทัง้ หลาย กล่าวพระนิพพานวา่ เป็นธรรมอนั ยิ่ง

นะ หิ ปพั พะชโิ ต ปะรปู ะฆาต,ี ผู้กำจัดสตั วอ์ ่นื อยู่ ไมช่ อื่ วา่ เป็นบรรพชติ เลย

สะมะโณ โหติ ปะรงั วเิ หฐะยนั โต. ผู้ทำสตั วอ์ ืน่ ให้ลำบากอยู่ ไมช่ ่อื วา่ เป็นสมณะเลย

สพั พะปาปัสสะ อะกะระณัง การไมท่ ำบาปท้งั ปวง,

กสุ ะลัสสปู ะสมั ปะทา, การทำกศุ ลให้ถงึ พรอ้ ม

สะจิตตะปะรโิ ยทะปะนัง การชำระจติ ของตนให้ขาวรอบ,

เอตัง พทุ ธานะ สาสะนงั , ธรรม ๓ อย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของ

พระพุทธเจ้าทง้ั หลาย


123

อะนูปะวาโท อะนปู ะฆาโต การไมพ่ ูดรา้ ย การไมท่ ำรา้ ย,

ปาฏิโมกเข จะ สงั วะโร, การสำรวมในปาฏโิ มกข

มตั ตัญญุตา จะ ภัตตัส๎มงิ ความเป็นผู้รปู้ ระมาณในการบรโิ ภค,

ปันตญั จะ สะยะนาสะนงั , การนอน การนงั่ ในทีอ่ นั สงัด

อะธจิ ิตเต จะ อาโยโค ความหมนั่ ประกอบในการทำจิตใหย้ ง่ิ ,

เอตงั พุทธานะ สาสะนันต.ิ ธรรม ๖ อยา่ งน้ี เปน็ คำสงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย




ธัมมะคาระวาทคิ าถา


หันทะ มะยงั ธมั มะคาระวาทคิ าถาโย ภะณามะ เส.


(เชิญเถิด เราทง้ั หลาย, จงกล่าวคาถาแสดงความเคารพพระธรรมเถิด)

เย จะ อะตตี า สัมพทุ ธา เย จะ พทุ ธา อะนาคะตา,

โย เจตะระหิ สมั พทุ โธ พะหุนนงั โสกะนาสะโน,

พระพุทธเจ้าบรรดาทล่ี ่วงไปแลว้ ดว้ ย, ทีย่ ังไม่มาตรสั ร้ดู ้วย,

และพระพุทธเจ้าผู้ขจัดโศกของมหาชนในกาลบดั นี้ดว้ ย

สัพเพ สทั ธมั มะคะรุโน วหิ ะรงิ สุ วิหาติ จะ,

อะถาปิ วิหะริสสันติ เอสา พุทธานะธมั มะตา,

พระพุทธเจ้าทัง้ ปวงนนั้ , ทกุ พระองค์เคารพพระธรรม,

ได้เปน็ มาแลว้ ดว้ ย, กำลงั เปน็ อยู่ด้วย, และจักเป็นอยู่ด้วย,

เพราะธรรมดาของพระพทุ ธเจ้าทั้งหลายเป็นเช่นนนั้ เอง

ตสั ม๎ า หิ อตั ตะกาเมนะ มะหัตตะมะภิกังขะตา,

สัทธัมโม คะรุกาตัพโพ สะรัง พุทธานะสาสะนัง,

เพราะฉะน้ัน บุคคลผูร้ ักตน, หวงั อย่เู ฉพาะคุณเบือ้ งสูง, เมอ่ื ระลึกได้

ถึงคำส่ังสอนของพระพทุ ธเจา้ อย่,ู จงทำความเคารพพระธรรม

นะ หิ ธมั โม อะธัมโม จะ อโุ ภ สะมะวปิ ากโิ น,

ธรรมและอธรรมจะมีผลเหมือนกันทง้ั สองอย่าง หามไิ ด

อะธมั โม นิระยัง เนติ ธัมโม ปาเปติ สุคะตงิ ,

อธรรมย่อมนำไปนรก, ธรรมยอ่ มนำไปถึงสุคต

ธมั โม หะเว รักขะติ ธมั มะจารงิ , ธรรมแหละยอ่ มรกั ษาผปู้ ระพฤติธรรมเป็นนิจ

ธมั โม สุจิณโณ สขุ ะมาวะหาติ, ธรรมที่ประพฤตดิ ีแลว้ ย่อมนำสุขมาใหต้ น

เอสานิสังโส ธมั เม สจุ ิณเณ. น่เี ป็นอานิสงสใ์ นธรรมท่ตี นประพฤติดีแล้ว


124

อารักขะกัมมัฏฐาน


พุทธานสุ สะติ เมตตา จะ อะสภุ ัง มะระณัสสะติ,

อจิ จมิ า จะตุรารกั ขา กาตัพพา จะ วิปัสสะนา.

ภาวนาทั้ง ๔ น้ี คือ, พทุ ธานสุ สติระลึกถงึ พระคณุ พระพุทธเจา้ ,

เมตตาปรารถนาจะใหเ้ ป็นสุข, อสภุ ะพจิ ารณากายให้เปน็ ของไม่งาม,

มรณสั สตริ ะลึกถึงความตาย, ช่ือว่าจตรุ ารกั ษ์และวิปัสสนาอันพึงบำเพญ็

วสิ ุทธะธมั มะสันตาโน อะนตุ ตะรายะ โพธยิ า,

โยคะโต จะ ปะโพธา จะ พทุ โธ พุทโธติ ญายะเต.

พระพทุ ธเจา้ มพี ระสนั ดานอนั บรบิ ูรณ,์ ด้วยพระธรรมอนั บริสุทธ์ิ,

อนั สตั วโ์ ลกรู้อยวู่ ่า พทุ โธๆ ดงั นี้, เพราะพระปัญญาตรสั รอู้ ยา่ งเย่ียม,

เพราะทรงชักโยงหม่สู ตั วไ์ ว้ในธรรมปฏบิ ตั ิ, และทรงปลุกใจหมู่สัตว์ใหต้ ่นื อยู่

นะรานะระติรัจฉานะ เภทา สัตตา สุเขสโิ น,

สพั เพปิ สขุ โิ น โหนตุ สุขิตตั ตา จะ เขมิโน.

สัตวท์ ้ังหลาย, ต่างโดยมนุษย์ อมนุษย์และดริ จั ฉาน, เปน็ ผ้แู สวงหาความสุข,

ขอสัตวเ์ หลา่ น้นั แมท้ ั้งสน้ิ , จงเป็นผ้ถู งึ ซงึ่ ความสขุ ,

และเป็นผู้เกษมสำราญ ถึงซ่งึ ความสขุ เถิด

เกสะโลมาทฉิ ะวานัง อะยะเมวะ สะมุสสะโย,

กาโย สพั โพปิ เชคจุ โฉ วณั ณาทโิ ต ปะฏกิ กุโล.

กายนีแ้ ล เป็นท่ปี ระชุมแห่งซากศพ, มีผม ขน เปน็ ต้น,

แม้ทั้งสน้ิ เป็นของนา่ เบื่อหน่าย, เป็นปฏิกลู โดยส่วน มสี ี เป็นต้น

ชวี ติ นิ ท๎ริยุปัจเฉทะ- สงั ขาตะมะระณัง สิยา,

สัพเพสังปีธะ ปาณนี ัง ตัณหิ ธุวงั นะ ชีวติ ัง.

ความตาย กลา่ วคือ, ความแตกขาดแห่งชวี ิตินทรยี ์,

พึงมีแก่สัตวท์ ง้ั หลายในโลกน้,ี เพราะความตายเป็นของเทย่ี ง,

ชีวิตความเปน็ อยู่เป็นของไมเ่ ทีย่ งแล




แม้ผู้ใดพึงมชี วี ติ อย่ถู ึง ๑๐๐ ปี ผู้นัน้ กม็ คี วามตายอยูเ่ บือ้ งหน้า

ความตายไม่ละเวน้ ใครๆ ย่อมย่ำยสี ัตวท์ ง้ั หมดทเี ดียว


125

ปฐมพทุ ธภาสติ คาถา

ประวตั ิ


เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ หมดกิเลสอาสวะท้ังปวง ในเวลาก่อนรุ่งอรุณ

ท่ีใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ริมฝ่ังแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลา แคว้นมคธ ทรงเปล่ง
อุทานเย้ยตัณหาด้วยความเบิกบานพระทัย เป็นพระคาถาว่า “อเนกชาติสํสารํ
......ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา” ต่อมาพระอานนท์ทูลถาม จึงทรงตรัสเล่าให้พระอานนท์
ฟงั อีกครง้ั



หันทะ มะยงั ปะฐะมะพุทธะภาสติ ะคาถาโย ภะณามะ เส.

(เชญิ เถดิ เราทง้ั หลาย, จงกล่าวคาถาพทุ ธภาษิตครั้งแรกของพระพทุ ธเจ้าเถดิ )



อะเนกะชาติสงั สารัง สนั ธาวิสสัง อะนพิ พิสัง,

เมอ่ื เรายงั ไม่พบญาณ, ได้แลน่ ท่องเที่ยวไปในสงสารเป็นอเนกชาติ

คะหะการงั คะเวสนั โต ทกุ ขา ชาติ ปนุ ัปปนุ ัง,

แสวงหาอยู่ซึง่ นายช่างปลูกเรอื น,

คือตัณหาผ้สู รา้ งภพ, การเกดิ ทุกคราวเปน็ ทุกข์รำ่ ไป

คะหะการะกะ ทิฏโฐสิ ปนุ ะ เคหัง นะ กาหะสิ,

นแ่ี น่ะ นายชา่ งปลกู เรือน, เรารู้จักเจา้ เสยี แลว้ ,

เจา้ จะทำเรือนใหเ้ ราไมไ่ ดอ้ กี ตอ่ ไป

สัพพา เต ผาสกุ า ภคั คา คะหะกฏู งั วิสงั ขะตัง,

โครงเรอื นท้งั หมดของเจ้าเราหักเสยี แล้ว, ยอดเรือนเราก็รื้อเสยี แลว้

วสิ งั ขาระคะตงั จติ ตัง ตณั ๎หานงั ขะยะมัชฌะคา.

จิตของเราถึงแลว้ , ซงึ่ สภาพท่ีอะไรปรงุ แตง่ ไมไ่ ด้อีกตอ่ ไป,

มนั ได้ถึงแล้ว ซง่ึ ความสิน้ ไปแห่งตณั หา, คอื ถึงนิพพาน


สตั วท์ ง้ั ปวงยอ่ มกลวั ความตาย สตั ว์ทั้งปวงย่อมหวาดหวน่ั ตอ่ อาชญา

ชีวิตเปน็ ท่รี ักของทุกคน เราฉันใด สตั วเ์ หล่านี้กฉ็ นั นัน้


สัตวเ์ หล่านฉ้ี นั ใด เรากฉ็ ันน้นั นกึ ถึงเขา เอาตวั เราเข้าเทียบแลว้

ไม่ควรเขน่ ฆา่ ไมค่ วรใหส้ งั หารกัน


126

พทุ ธอทุ านคาถา


โพธกิ ถา ว่าดว้ ยเหตกุ ารณ์แรกตรัสรู


ประวตั


เม่ือพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทรงเสวยวิมุตติสุข
คือความสุขที่เกิดจากการหลุดพ้นจากกิเลส ท่ีใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ใกล้ฝ่ังแม่น้ำ

เนรญั ชราเป็นเวลา ๗ วนั ระหว่างนั้น ทรงพิจารณาปฏจิ จสมปุ บาท ท้งั แบบตามลำดบั
และทวนลำดบั ตลอดช่วงหวั คำ่ ต้งั แต่เวลา ๑๘.๐๐ – ๒๑.๐๐ น. (ปฐมยาม) พรอ้ มกับ
ทรงเปลง่ อุทานคาถา สลบั กับพิจารณาปฏิจจสมุปบาทในเวลาน้ันดว้ ย



หนั ทะ มะยงั พทุ ธะอทุ านะคาถาโย ภะณามะ เส.

(เชิญเถิด เราทง้ั หลาย, จงกล่าวคาถาพทุ ธอุทานเถิด)



ยะทา หะเว ปาตภุ ะวนั ติ ธัมมา อาตาปิโน ฌายะโต พร๎ าห๎มะณสั สะ,

เมอื่ ใดแล ธรรมทง้ั หลาย, ปรากฏแกพ่ ราหมณ์ผู้มคี วามเพยี รเพง่ อยู่

อะถัสสะ กงั ขา วะปะยันติ สัพพา ยะโต ปะชานาติ สะเหตุธมั มงั .

เมื่อนั้น, ความสงสัยท้งั ปวงของพราหมณน์ ้นั ย่อมสน้ิ ไป,

เพราะมารแู้ จ้งธรรมพร้อมทั้งเหตุ

ยะทา หะเว ปาตภุ ะวันติ ธมั มา อาตาปโิ น ฌายะโต พร๎ าห๎มะณัสสะ,

เม่ือใดแล ธรรมทั้งหลาย, ปรากฏแกพ่ ราหมณผ์ มู้ ีความเพียรเพ่งอยู่

อะถัสสะ กงั ขา วะปะยันติ สพั พา ยะโต ขะยงั ปจั จะยานัง อะเวทิ.

เม่ือนัน้ , ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นัน้ ยอ่ มส้นิ ไป,

เพราะไดร้ คู้ วามส้นิ แห่งปัจจยั ทั้งหลาย

ยะทา หะเว ปาตุภะวันติ ธัมมา อาตาปิโน ฌายะโต พ๎ราหม๎ ะณัสสะ,

เมื่อใดแล ธรรมท้ังหลาย, ปรากฏแก่พราหมณ์ผ้มู คี วามเพยี รเพง่ อยู่

วธิ ูปะยงั ตฏิ ฐะติ มาระเสนงั สโู รวะ โอภาสะยะมนั ตะลกิ ขันต.ิ

เม่อื นัน้ , พราหมณน์ ัน้ ย่อมกำจดั มารและเสนาเสียได,้

ดจุ พระอาทติ ย์อุทัยกำจัดความมดื , และส่องแสงสวา่ งอย่ใู นอากาศ ฉะนั้น


127

จลุ ชยั ยะมงคลคาถา (ชยั น้อย)


ประวัต


บทสวดนี้ช่ือ จุลชัยยะมงคลคาถาหรือชัยมงคลคาถา ประพันธ์ในสมัยล้านช้าง
ร่มขาว ประเทศลาว โดยพระมหาปาสมนั ตระมหาเถร ว่าดว้ ยชยั ชนะของพระพทุ ธเจ้า
ตอ่ เทพ พรหม ครฑุ นาค ปศี าจ ฯลฯ และอวมงคลทง้ั หลาย นยิ มสวดในแถบลมุ่ นำ้ โขง
ทง้ั ฝง่ั ลาวและฝงั่ ไทย ยคุ สมยั หลวงปเู่ สาร์ หลวงปมู่ นั่ หลวงปชู่ อบ พระไตรโลกาจารย์
นยิ มสวดมาก โดยเฉพาะในงานพธิ ี ทา่ นกลา่ วไวว้ า่ ถา้ มศี กึ สงคราม หรอื มคี วามยงุ่ ยาก
เกดิ ขน้ึ ในบา้ นเมอื ง หรอื แมแ้ ตใ่ นครอบครวั ถา้ สาธยายบทนเ้ี ปน็ ประจำ จะชว่ ยคลค่ี ลาย
สถานการณ์ได้



นะโม เม พุทธะเตชสั สา ระตะนัตตะยะธัมมิกา,

เตชะปะสิทธิ ปะสเี ทวา นารายะบระเมสุรา.

สิทธพิ ร๎ ห๎มา จะ อินทา จะ จะตุโลกา คมั ภีรักขะกา,

สะมุททา ภตู งุ คังคา จะ สะหรัมพะชยั ะปะสิทธิ ภะวนั ตุ เต.

ชัยะ ชยั ะ ธระณิ ธระณี อุทะธิ อทุ ะธี นะทิ นะท,ี

ชยั ะ ชยั ะ คะคนละตนละนสิ ัย นิรัยสัยเสนนะเมรรุ าชชะพลนระช.ี

ชยั ะ ชัยะ คมั ภรี ะโสมภี นาเคนทะนาคี ปสี าจจะ ภูตะกาล,ี

ชยั ะ ชยั ะ ทุนนมิ ติ ตะโรคี ชยั ะ ชัยะ สงิ คีสุทาทานะมุขะชา.

ชัยะ ชัยะ วะรุณณะมุขะสาต๎รา ชยั ะ ชยั ะ จัมปาทินาคะกลุ ะคนั ถก,

ชัยะ ชัยะ คัชชะคนนะตรุ ง สกุ ระภุชงสีหะเพยี คฆะทีปา.

ชยั ะ ชยั ะ วะรณุ ณะมุขะยาตร๎ า ชติ ะ ชิตะ เสนนาริปนุ ะสทุ ธนิ ระด,ี

ชยั ะ ชยั ะ สขุ าสุขาชวี ี ชัยะ ชัยะ ธระณีตะเลสะทาสชุ ัยยา.

ชัยะ ชยั ะ ธระณสี านตนิ สะทา ชยั ะ ชัยะ มังกะราชรญั ญาภะวคั เค,

ชยั ะ ชัยะ วะรณุ ณะยักเข ชัยะ ชยั ะ รกั ขะเส สุระภูชะเตชา.

ชยั ะ ชัยะ พ๎รหม๎ เมนทะคะณา ชัยะ ชยั ะ ราชาธริ าชสาชชัย,

ชัยะ ชัยะ ปะฐะวิง สพั พัง ชยั ะ ชัยะ อระหนั ตา ปจั เจกะพทุ ธะสาวงั .

ชัยะ ชัยะ มะเหสุโร หะโรหะรนิ เทวา ชัยะ ชัยะ พ๎รหม๎ มาสรุ กั โข,

ชยั ะ ชัยะ นาโค วิรุฬห๎ ะโก วิรูปักโข จนั ทิมา ระวิ.

อนิ โท จะ เวนะเตยโย จะ กเุ วโร วะรโุ ณปิ จะ,

อัคคิ วาโย จะ ปาชณุ ๎โห กุมาโร ธะตะรฏั ฐะโก.


128

อัฏฐาระสะ มะหาเทวา สทิ ธติ าปะสะอาทะโย,

อิสิโน สาวะกา สพั พา ชยั ะ ราโม ภะวันตุ เต.

ชัยะ ธัมโม จะ สงั โฆ จะ ทะสะปาโล จะ ชยั ะกงั ,

เอเตนะ ชยั ะ เตเชนะ ชัยะ โสตถี ภะวันตุ เต,

เอเตนะ พทุ ธะ เตเชนะ โหตุ เต ชัยะมงั คะลัง.

ชยั โยปิ พทุ ธัสสะ สริ ีมะโต อะยัง มารสั สะ จะ ปาปมิ ะโต ปะราชะโย,

อุคโฆ สะยัมโพธมิ ณั เฑ ปะโมทติ า ชัยะ ตะทา พ๎รหม๎ ะคะณา มะเหสิโน.

ชยั โยปิ พุทธสั สะ สริ ีมะโต อะยงั มารสั สะ จะ ปาปมิ ะโต ปะราชะโย,

อคุ โฆ สะยัมโพธิมัณเฑ ปะโมทติ า ชยั ะ ตะทา อินทะคะณา มะเหสิโน.

ชัยโยปิ พุทธัสสะ สริ มี ะโต อะยัง มารัสสะ จะ ปาปมิ ะโต ปะราชะโย,

อคุ โฆ สะยมั โพธมิ ัณเฑ ปะโมทิตา ชยั ะ ตะทา เทวาคะณา มะเหสโิ น.

ชยั โยปิ พทุ ธัสสะ สริ ีมะโต อะยงั มารสั สะ จะ ปาปมิ ะโต ปะราชะโย,

อุคโฆ สะยัมโพธมิ ณั เฑ ปะโมทติ า ชัยะ ตะทา สุปัณณะคะณา มะเหสโิ น.

ชัยโยปิ พทุ ธสั สะ สิรมี ะโต อะยงั มารสั สะ จะ ปาปมิ ะโต ปะราชะโย,

อุคโฆ สะยัมโพธิมณั เฑ ปะโมทิตา ชัยะ ตะทา นาคาคะณา มะเหสิโน.

ชยั โยปิ พทุ ธสั สะ สิรมี ะโต อะยัง มารัสสะ จะ ปาปมิ ะโต ปะราชะโย,

อุคโฆ สะยมั โพธมิ ณั เฑ ปะโมทิตา ชยั ะ ตะทา สะหรมั พะคะณา มะเหสโิ น.

ชะยันโต โพธิยา มเู ล สกั ๎ยานัง นนั ทิวัฑฒะโน,

เอวัง ตว๎ ัง วิชะโย โหหิ ชะยสั สุ ชะยะมังคะเล.

อะปะราชิตะปัลลงั เก สเี ส ปะฐะวโิ ปกขะเร,

อะภิเสเก สพั พะพุทธานัง อัคคัปปตั โต ปะโมทะต.ิ

สนุ กั ขตั ตงั สมุ ังคะลัง สุปะภาตงั สุหุฏฐิตัง,

สุขะโณ สมุ ุหตุ โต จะ สุยฏิ ฐัง พร๎ ัหม๎ ะจารสิ ,ุ

ปะทกั ขิณัง กายะกัมมัง วาจากมั มงั ปะทักขณิ ัง,

ปะทักขณิ งั มะโนกมั มัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา,

ปะทักขิณานิ กัต๎วานะ ละภนั ตัตเถ ปะทักขิเณ.

เต อตั ถะลทั ธา สขุ ติ า วิรุฬ๎หา พทุ ธะสาสะเน,

อะโรคา สุขิตา โหถะ สะหะ สพั เพหิ ญาติภิ.


หมายเหตุ ตัวทีข่ ีดเส้นใต้ บ ธ น ให้อ่านออกเสียง บอ ธอ นอ เชน่ ธระณี ใหอ้ ่านออกเสียง ธอระณี ตวั ฑ
อ่านออกเสียง ด เชน่ มณั เฑ อ่าน มันเด


129

สณุ ันตุ โภนโต เย เทวา อสั ม๎ งิ ฐาเน อะธคิ ะตา

ทีฆายุกา สะทา โหนตุ สขุ ิตา โหนตุ สพั พะทา

รกั ขนั ตุ สัพพะสตั ตานงั รกั ขันตุ ชนิ ะสาสะนัง,

ยา กาจิ ปัตถะนา เตสงั สัพเพ ปเู รนตุ มะโนระถา.

ยตุ ตะกาเล ปะวัสสันต ุ วสั สงั วัสสา วะลาหะกา,

โรคาจุปทั ทะวา เตสงั นวิ าเรนตุ จะ สัพพะทา,

กายะสุขัง จิตติสุขัง อะระหันตุ ยะถาระหงั .

อติ ิ จลุ ละชยั ะสทิ ธมิ งั คะลัง สะมนั ตัง.




คำแปลพอสงั เขป


บทสวดนพ้ี รรณนาชยั ชนะของพระพทุ ธเจา้ เหนือหมู่มารท้ังปวง อมนุษย์ ยกั ษ์ ภตู ผี
ปศี าจ ทง้ั ลว่ งพน้ อำนาจทา้ วจตโุ ลกบาลทงั้ ๔ พระอนิ ทร์ พระพรหม พญานาคราช และเทวดา
ทกุ ๆ ชน้ั อาวุธทั้งหลาย ทง้ั ลมและไฟ ก็ทำอันตรายไม่ได้

พระพรหม พระอนิ ทร์ เทวดาทง้ั หลาย ผมู้ เี ดชานภุ าพมาก ทงั้ หมพู่ ญานาค หมพู่ ญาครฑุ
ผู้มีศักดายิ่งใหญ่ ต่างชื่นชมชอบใจในชัยชนะของพระพุทธเจ้า ต่อหมู่มาร ณ โพธิบัลลังก์
เป็นชัยชนะที่เป็นอุดมมงคล ทั้งเป็นฤกษ์ดียามดีและขณะดี ท่ีได้ประกาศพรหมจรรย์อัน
บริสุทธิ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอความสวัสดีมีชัย จงมีแก่ท่านด้วยเดชแห่ง
คุณพระรตั นตรัย

ขอเทวดาผมู้ ศี กั ดใ์ิ หญ่ ๑๘ พระองค์ จงมารกั ษาทา่ น ทง้ั พระฤาษี พระสาวก พระธรรม
พระสงฆ์ จงมาอวยชยั ขอความสวสั ดมี ชี ยั จงมแี ดท่ า่ น ดว้ ยเดชแหง่ คณุ พระรตั นตรยั

ขอให้ท่านจงได้รับประโยชน์และความสุข ทั้งเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนาขอให้
มอี ายยุ นื ยาว ปรารถนาสงิ่ หนง่ึ ประการใด ขอใหไ้ ดด้ งั ใจประสงคแ์ ละปราศจากโรคภยั ทง้ั หลาย
ทง้ั ปวง ทง้ั หา่ งไกลความทุกข์ ขอใหป้ ระสบสขุ ท้งั กายและใจ


ถ้าภรรยาและสามี หวังที่จะได้พบกันทงั้ ในชาตนิ แ้ี ละชาตหิ น้า

ท้งั คู่พงึ มศี รทั ธาเสมอกนั มีศลี เสมอกนั มีจาคะเสมอกัน


มปี ญั ญาเสมอกัน พวกเขาย่อมจะได้พบกนั ทั้งในชาตนิ แ้ี ละชาติหนา้


130

พธิ ีฉัน


ถวายพรพระ (อติ ิปิ โส, พุทธะชะยะมังคะละคาถา, ชะยะปะริตร)


อติ ปิ ิ โส


อติ ิปิ โส ภะคะวา เพราะเหตอุ ย่างนๆ้ี , พระผู้มพี ระภาคเจ้านั้น

อะระหัง เปน็ ผไู้ กลจากกิเลส

สัมมาสัมพุทโธ, เปน็ ผูต้ รัสรูช้ อบไดโ้ ดยพระองคเ์ อง

วิชชาจะระณะสมั ปันโน เปน็ ผู้ถึงพร้อมด้วยวชิ ชาและจรณะ

สุคะโต เป็นผไู้ ปแลว้ ด้วยดี

โลกะวิทู, เปน็ ผ้รู ู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง

อะนตุ ตะโร ปุรสิ ะทัมมะสาระถิ เปน็ ผู้สามารถฝกึ บุรุษท่ีสมควรฝกึ ได

อย่างไมม่ ใี ครยิ่งกว่า

สัตถา เทวะมะนุสสานงั เปน็ ครผู สู้ อนของเทวดาและมนุษยท์ ัง้ หลาย

พุทโธ เปน็ ผรู้ ู้ ผูต้ ืน่ ผเู้ บิกบานด้วยธรรม

ภะคะวาติ. เปน็ ผู้มคี วามจำเริญ

จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว,์ ดงั นี

ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรมเปน็ ส่งิ ที่พระผ้มู พี ระภาคเจ้า,

ไดต้ รสั ไว้ดีแล้ว

สันทฏิ ฐิโก เปน็ สง่ิ ที่ผู้ศึกษาและปฏบิ ตั ิพงึ เห็นได้

ด้วยตนเอง

อะกาลโิ ก เป็นสงิ่ ทปี่ ฏบิ ตั ิได้และให้ผลไดไ้ ม่จำกัดกาล
เอหปิ ัสสโิ ก, เปน็ สิง่ ทีค่ วรกล่าวกับผู้อน่ื ว่า ทา่ นจงมาดเู ถดิ

โอปะนะยโิ ก เป็นสิ่งทค่ี วรนอ้ มเขา้ มาใสต่ ัว

ปัจจัตตงั เวทติ ัพโพ วิญญูหีติ. เป็นสง่ิ ท่ีผูร้ กู้ ็รู้ได้เฉพาะตน, ดงั นี

สุปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,

สงฆ์สาวกของพระผ้มู พี ระภาคเจา้ หมู่ใด, ปฏบิ ัตดิ แี ลว้

อชุ ุปะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,

สงฆส์ าวกของพระผู้มพี ระภาคเจา้ หมู่ใด, ปฏบิ ตั ิตรงแลว้

ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,

สงฆ์สาวกของพระผมู้ ีพระภาคเจ้าหม่ใู ด,

ปฏิบตั เิ พอื่ รู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกขแ์ ลว้


131

สามีจปิ ะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,

สงฆ์สาวกของพระผมู้ ีพระภาคเจา้ หมใู่ ด, ปฏิบตั สิ มควรแล้ว

ยะทิทงั ได้แก่บุคคลเหลา่ น้ีคือ

จัตตาริ ปุริสะยคุ านิ อัฏฐะ ปรุ ิสะปคุ คะลา,

คู่แห่งบุรษุ ๔ คู่ นับเรยี งตัวบุรุษได้แปดบรุ ษุ

เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, นัน่ แหละ สงฆส์ าวกของพระผูม้ ีพระภาคเจ้า
อาหเุ นยโย เป็นสงฆ์ควรแกส่ กั การะท่ีเขานำมาบชู า

ปาหุเนยโย เป็นสงฆค์ วรแก่สักการะท่ีเขาจัดไวต้ ้อนรบั

ทักขเิ ณยโย เป็นผ้คู วรรบั ทักษิณาทาน

อญั ชะลกิ ะระณโี ย, เปน็ ผู้ท่ีบุคคลทว่ั ไปควรทำอัญชล

อะนุตตะรงั ปญุ ญักเขตตงั โลกัสสาต.ิ เปน็ เนื้อนาบญุ ของโลก,

ไมม่ ีนาบุญอื่นย่ิงกว่า, ดงั น
้ี



พทุ ธะชะยะมังคะละคาถา

ประวัต


บทพาหุงมหากา เปน็ บทสวดมนต์ท่ี สมเด็จพระพนรัตน์ วดั ป่าแก้ว ไดถ้ วายให้
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไว้สวดเป็นประจำพระองค์ กล่าวถึงชัยชนะ ๘ ครั้ง

ของพระพุทธเจ้าท่ีมีต่อ พญาวัสสวัดตีมาร อาฬวกะยักษ์ ช้างนาฬาคีรี องคุลิมาล

นางจญิ จมานวิกา สจั จะกะนคิ รนถ์ พญานันโทปนนั ทนาคราช และทา่ นท้าวผกาพรหม
เป็นชัยชนะท่ีพระพุทธองค์ ทรงได้มาด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ และด้วยอำนาจแห่งบารมี


ธรรมโดยแท้

พาหุง สะหัสสะมะภินมิ มติ ะสาวุธนั ตงั ,

คร๎ เี มขะลงั อทุ ติ ะโฆระสะเสนะมารงั ,

ทานาทธิ ัมมะวิธินา ชิตะวา มุนนิ โท,

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลาน.ิ *

พระจอมมนุ ไี ดเ้ อาชนะพญามาร,

ผูเ้ นรมิตแขนมากตงั้ พัน ถืออาวุธครบมือ,

ขีช่ ้างครีเมขละ, มาพรอ้ มกบั เหล่าเสนามาร


* ถา้ สวดเปน็ ทำนองมคธใช้ ชะยะมังคะลคั คงั


132

ซึง่ โห่ร้องกกึ กอ้ ง, ด้วยวธิ ีอธษิ ฐานถึงทานบารมี เป็นต้น,

ขอชัยมงคลท้งั หลายจงมีแกท่ า่ น, ด้วยเดชแห่งพระพทุ ธชัยมงคลน้นั เถดิ

มาราติเรกะมะภยิ ุชฌติ ะสัพพะรตั ตงิ ,

โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถทั ธะยกั ขงั ,

ขนั ตสี ุทันตะวิธินา ชติ ะวา มนุ ินโท,

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลาน.ิ *

พระจอมมนุ ีไดเ้ อาชนะยกั ษ์ชอ่ื อาฬวกะ

ผู้มจี ติ หยาบกระด้าง ผไู้ มม่ ีความอดทน,

มคี วามพิลกึ นา่ กลัวกวา่ พญามาร,

ซ่ึงไดเ้ ขา้ มาต่อสอู้ ยา่ งยิง่ ยวด, จนตลอดคนื ยันรงุ่ ,

ดว้ ยวิธีทรมานอนั ดี คอื ขนั ติ ความอดทน,

ขอชัยมงคลทง้ั หลายจงมแี กท่ ่าน,

ด้วยเดชแหง่ พระพุทธชัยมงคลนน้ั เถิด

นาฬาคิรงิ คะชะวะรงั อะตมิ ัตตะภูตัง,

ทาวัคคจิ กั กะมะสะนวี ะ สุทารุณนั ตงั ,

เมตตัมพุเสกะวธิ ินา ชิตะวา มนุ ินโท,

ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลาน.ิ *

พระจอมมุนไี ดเ้ อาชนะช้างตวั ประเสรฐิ ช่อื นาฬาคิร,ี

เปน็ ชา้ งเมายิ่งนกั และแสนจะดรุ า้ ย,

ประดุจไฟปา่ และจกั ราวธุ และสายฟ้า,

ดว้ ยวธิ ีรดลงด้วยน้ำ คอื ความมีพระทัยเมตตา,

ขอชยั มงคลท้ังหลายจงมีแกท่ า่ น,

ดว้ ยเดชแหง่ พระพุทธชัยมงคลน้ันเถดิ

อุกขิตตะขคั คะมะติหตั ถะสุทารณุ ันตงั ,

ธาวันตโิ ยชะนะปะถงั คุลิมาละวนั ตงั ,

อิทธีภสิ งั ขะตะมะโน ชิตะวา มุนนิ โท,

ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลาน.ิ *

พระจอมมุนที รงมีพระทยั , ในการจะกระทำอิทธปิ าฏิหาริย,์

จงึ ไดเ้ อาชนะโจรชอื่ องคุลิมาล (ผูม้ พี วงคือนิว้ มอื มนษุ ย)์ ,

ผแู้ สนจะร้ายกาจมีฝีมอื , ถอื ดาบวงิ่ ไล่พระองคไ์ ป สิน้ ระยะทาง ๓ โยชน์,


* ถา้ สวดเปน็ ทำนองมคธใช้ ชะยะมังคะลัคคงั


133

ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมแี กท่ า่ น,

ดว้ ยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนน้ั เถดิ

กัตว๎ านะ กฏั ฐะมุทะรงั อวิ ะ คัพภินยี า,

จิญจายะ ทุฎฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ,

สนั เตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มนุ ินโท,

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ.*

พระจอมมนุ ีได้เอาชนะคำกล่าวใสร่ า้ ย,

ของนางจญิ จมาณวิกา, ซ่ึงทำอาการประหน่ึงว่ามคี รรภ,์

เพราะทำไมม้ สี ัณฐานอนั กลม ผูกไว้ทหี่ นา้ ทอ้ ง,

ด้วยวิธีทรงสมาธิอนั งาม, คือความสงบระงับพระทัย,

ให้ตั้งม่นั นง่ิ เฉย ในทา่ มกลางหมูช่ น,

ขอชยั มงคลทง้ั หลายจงมแี กท่ ่าน, ดว้ ยเดชแห่งพระพทุ ธชยั มงคลนนั้ เถิด

สัจจงั วหิ ายะ มะติสจั จะกะวาทะเกตุง,

วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภตู ัง,

ปญั ญาปะทีปะชะลิโต ชติ ะวา มุนนิ โท,

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ.*

พระจอมมุนี ผูร้ ่งุ เรอื งด้วยแสงสว่างคอื ปัญญา,

ได้เอาชนะสัจจกะนิครนถ,์

ผู้มคี วามคิดม่งุ หมาย, ในการจะละเสยี ซง่ึ ความสตั ย์,

มีใจคดิ จะยกถอ้ ยคำของตน,

ให้สงู ประดุจยกธง และมใี จมดื มนย่ิงนัก,

ดว้ ยเทศนาญาณวธิ ,ี คอื รอู้ ชั ฌาสยั แลว้ ตรสั เทศนาให้ถกู ใจ,

ขอชัยมงคลทง้ั หลายจงมีแกท่ ่าน, ด้วยเดชแหง่ พระพทุ ธชัยมงคลนนั้ เถดิ

นนั โทปะนันทะภชุ ะคงั วิพธุ งั มะหทิ ธิง,

ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยนั โต,

อิทธูปะเทสะวิธินา ชติ ะวา มุนินโท,

ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลานิ.*

พระจอมมนุ ไี ดเ้ อาชนะพญานาคราช,

ชือ่ นันโทปนนั ทะ ผูม้ คี วามรผู้ ิด มฤี ทธ์มิ าก,

ดว้ ยวิธีบอกอบุ าย, ใหพ้ ระโมคคลั ลานเถระ พุทธชโิ นรส,


* ถา้ สวดเป็นทำนองมคธใช้ ชะยะมงั คะลคั คงั


134

เนรมิตกายเปน็ นาคราช, ไปทรมานพญานาค ชื่อนนั โทปนนั ทะนัน้ ,

ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมแี ก่ท่าน, ดว้ ยเดชแห่งพระพุทธชยั มงคลนนั้ เถดิ

ทุคคาหะทฏิ ฐิภชุ ะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง,

พร๎ ัห๎มงั วสิ ุทธชิ ุติมทิ ธิพะกาภิธานัง,

ญาณาคะเทนะ วิธนิ า ชิตะวา มุนนิ โท,

ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลาน.ิ *

พระจอมมุนไี ดเ้ อาชนะพรหม,

ผูม้ นี ามวา่ ทา้ วผกาพรหมผู้มฤี ทธ,ิ์ มีความสำคัญตนว่า,

เปน็ ผ้รู ุ่งเรืองดว้ ยคุณอันบริสุทธ,ิ์ มมี อื อันทา้ วภุชงค์ คือทิฏฐิทีต่ นถอื ผิด,

รัดรึงไว้แน่นแฟน้ แลว้ , ด้วยวิธวี างยาคือ ทรงแสดงเทศนาให้ถูกใจ,

ขอชยั มงคลทงั้ หลายจงมแี กท่ ่าน, ด้วยเดชแหง่ พระพุทธชัยมงคลน้นั เถดิ

เอตาปิ พุทธะชะยะมงั คะละอฏั ฐะคาถา,

โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตนั ที,

หติ ว๎ านะเนกะวิวธิ านิ จุปทั ทะวาน,ิ

โมกขงั สุขงั อะธคิ ะเมยยะ นะโร สะปญั โญ.

บุคคลใดมปี ัญญา ไมเ่ กียจครา้ น, สวดกด็ ี ระลกึ ถึงกด็ ี,

ซงึ่ พระพุทธชยั มงคล ๘ คาถา, แมเ้ หลา่ นท้ี กุ วันๆ,

บุคคลน้นั จะพึงละเสียได้, ซงึ่ ความจัญไรอนั ตรายทั้งหลาย,

และเขา้ ถึงวิโมกความหลุดพ้น, คอื พระนิพพาน อนั บรมสขุ น้ันแล




ชะยะปะริตร


มะหาการณุ โิ ก นาโถ หติ ายะ สพั พะปาณินัง,

ปเู รต๎วา ปาระมี สพั พา ปตั โต สมั โพธิมตุ ตะมัง,

พระผมู้ พี ระภาคเจา้ เป็นท่พี ึ่ง, ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณาอนั ยงิ่ ใหญ่,

ทรงบำเพ็ญพระบารมีท้งั ส้นิ , เพื่อประโยชน์เกือ้ กูลแก่สตั ว์ท้ังปวง,

ทรงบรรลสุ ัมโพธิญาณอนั อดุ มแลว้

เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ โหตุ เต๑ ชะยะมงั คะลงั .

ด้วยการกลา่ วคำสัตยน์ ้ี, ขอชยั มงคลพึงมแี ก่ท่าน


* ถา้ สวดเป็นทำนองมคธใช้ ชะยะมงั คะลัคคัง

๑ ถา้ สวดใหค้ นอื่นใชค้ ำวา่ เต สวดใหต้ วั เองใช้คำว่า เม (เต แปลวา่ ท่าน - เม แปลวา่ ข้าพเจา้ )


135

ชะยันโต โพธยิ า มเู ล สักย๎ านัง นันทิวฑั ฒะโน,

เอวงั ตว๎ ัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมงั คะเล,

ขอจงมชี ยั ชนะเหมอื นพระพทุ ธเจ้า, ผ้เู ปน็ ที่เคารพรกั ของเจ้าศากยะ,

ทรงชนะพญามาร ณ โคนต้นโพธพิ ฤกษ,์ ขอท่านจงชนะ ได้รบั ชยั มงคลเถิด

อะปะราชติ ะปลั ลังเก สเี ส ปะฐะวโิ ปกขะเร,

อะภิเสเก สัพพะพทุ ธานงั อคั คัปปัตโต ปะโมทะติ.

ขอใหบ้ รรลุถึงความเปน็ เลศิ เบกิ บานใจ,

เหมอื นพระพุทธเจา้ , บรรลธุ รรมอันประเสรฐิ เบิกบานพระทัย,

เหนือบลั ลังก์แห่งชัยชนะ, ณ พื้นปฐพีอันประเสริฐเลศิ แผ่นดิน,

เปน็ ท่ีตรสั รู้ของพระพทุ ธเจา้ ทุกๆ พระองค์

สนุ ักขัตตงั สุมงั คะลัง สุปะภาตงั สุหฎุ ฐิตัง,

สุขะโณ สุมุหตุ โต จะ สยุ ิฏฐัง พร๎ ัหม๎ ะจาริส,ุ

วันท่ีทำความดที งั้ ทางกาย ทางวาจาและทางใจ,

ชื่อว่าเป็นฤกษด์ ี มงคลด,ี ยามร่งุ ดี ยามต่ืนดี,

ขณะดีและครดู่ ,ี ทานท่ีถวายแกผ่ ปู้ ระพฤตพิ รหมจรรย์ ในวันนั้น, เป็นทานดี

ปะทักขณิ งั กายะกมั มัง วาจากมั มัง ปะทักขณิ งั ,

ปะทักขณิ ัง มะโนกมั มัง ปะณิธี เต ปะทกั ขณิ า,

ปะทักขิณานิ กตั ว๎ านะ ละภันตัตเถ ปะทกั ขิเณ.

กายกรรม วจกี รรม มโนกรรม, และความตง้ั ใจทท่ี ำในวนั นน้ั เปน็ การกระทำทดี่ ,ี

เม่อื ทำความดแี ล้ว ย่อมได้รับผลด




คำอธิบาย


คำแปล “พาหงุ มหากา” หรอื “พทุ ธชยั มงคลคาถา” มอี ยู่ ๘ บท และมคี วามมงุ่ หมาย
แตกต่างกนั ทงั้ แปดบท กลา่ วคอื

บทที่ ๑ สำหรบั เอาชนะศตั รหู มูม่ าก เชน่ ในการสรู้ บ

บทท่ี ๒ สำหรบั เอาชนะใจคนทกี่ ระด้างกระเดอ่ื งเปน็ ปฏิปักษ์

บทที่ ๓ สำหรับเอาชนะสตั วร์ ้ายหรือคูต่ ่อสู้

บทที่ ๔ สำหรบั เอาชนะโจร

บทที่ ๕ สำหรับเอาชนะการแกลง้ ใสร่ ้ายกลา่ วโทษหรือคดคี วาม

บทท่ี ๖ สำหรบั เอาชนะการโต้ตอบ


136

บทที่ ๗ สำหรับเอาชนะเล่หเ์ หล่ียมกุศโลบาย

บทท่ี ๘ สำหรบั เอาชนะทฏิ ฐิมานะของคน

เราจะเห็นได้ว่า ของดีวิเศษอยู่ในนี้ และถ้าพูดถึงการท่ีจะเอาชนะหรือการแสวงหา
ความมีชัย ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรนอกเหนือไปจาก ๘ ประการท่ีกล่าวข้างต้น ก่อนท่ีจะ
สวดมนต์บทนี้ ควรจะต้องทำความเข้าใจคำอธิบายบทต่างๆ ให้แจ่มแจ้งไว้ก่อน จึงจะเกิด
ความเล่ือมใสในบทสวด

ในบทท่ี ๑. เป็นเร่ืองผจญมาร ซ่ึงมีเรื่องว่าพญามารและเสนามารยกพลใหญ่หลวงมา
พระพุทธเจ้าก็ทรงสามารถเอาชนะได้ จึงถือเป็นบทท่ีใช้สำหรับเอาชนะศัตรูหมู่มาก เช่น

ในการส้รู บ

ในบทท่ี ๒. เรอื่ งเล่าว่า มยี ักษต์ นหนึง่ ชอื่ อาฬะวกะ เป็นผู้มจี ิตกระด้างและมีกำลัง
ย่ิงกวา่ พญามารพยายามมาใชก้ ำลังทำร้ายพระองค์อยจู่ นตลอดคนื ยันร่งุ พระพุทธองค์ก็ทรง
ทรมานยกั ษต์ นนี้ให้พา่ ยแพ้ไปได้จงึ ถือเป็นบทที่ใชเ้ อาชนะปฏปิ ักษห์ รือค่ตู ่อสู้

ในบทที่ ๓. มีเรื่องว่าเมื่อพระเทวทัตทรยศต่อพระพุทธเจ้า ได้จัดการให้คนปล่อย

ช้างสาร ซึ่งเป็นช้างเมายิ่งนักและแสนจะดุร้ายช่ือนาฬาคีรี เพ่ือมาทำร้ายพระพุทธเจ้า แต่
เมื่อช้างมาถงึ กไ็ มท่ ำร้าย จงึ ถือเปน็ บทที่ใช้เอาชนะสตั วร์ า้ ย

ในบทท่ี ๔. เป็นเรื่องขององคุลีมาล ซึ่งเรารู้กันแพร่หลาย คือ องคุลีมาลฆ่าคนและ
ตดั นว้ิ มอื ได้ ๙๙๙ เหลอื อกี นว้ิ เดยี วจะครบพนั กม็ าพบพระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธองคท์ รงสามารถ
เอาชนะทำให้องคุลีมาลเลิกเป็นโจรและยอมเข้ามาบวช กลายเป็นสาวกองค์สำคัญองค์หนึ่ง
จึงถอื เป็นบททใี่ ชเ้ อาชนะโจรผูร้ ้าย

ในบทที่ ๕. หญงิ คนหนงึ่ มนี ามวา่ จญิ จมาณวกิ า ใสร่ า้ ยพระพทุ ธเจา้ โดยเอาไมก้ ลมๆ
ใส่เข้าที่ท้องแล้วก็ไปเที่ยวป่าวข่าวให้เล่าลือว่าต้ังครรภ์กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรง
เอาชนะ ให้ความจริงปรากฏแก่คนท้ังหลายว่าเป็นเรื่องกล่าวร้ายใส่โทษพระองค์โดยแท

จงึ ถือเป็นบทท่ใี ชเ้ อาชนะคดีความหรือการกลา่ วรา้ ยใสโ่ ทษ

ในบทที่ ๖. เปน็ เร่อื งที่พระพทุ ธเจา้ ทรงเอาชนะสัจจะกะนิครนถ์ ซ่งึ เปน็ คนเจ้าโวหาร
เข้ามาโตต้ อบกบั พระพุทธเจ้าจงึ ถือเปน็ บทที่ใชเ้ อาชนะในการโตต้ อบ

ในบทท่ี ๗. เป็นเร่ืองที่พระพุทธเจ้า ให้พระโมคคัลลานะอัครมหาสาวกไปต่อสู้
เอาชนะพญานาคชอื่ นันโทปนันทะ ผมู้ เี ล่หเ์ หล่ยี มในการตอ่ ส้มู ากหลาย จึงถือเปน็ บทที่ใช้
เอาชนะเลห่ เ์ หล่ียมกศุ โลบาย

ในบทที่ ๘. เปน็ เรอ่ื งท่พี ระพุทธเจา้ ทรงเอาชนะ ผกาพรหม ผู้มที ิฏฐิแรงกลา้ สำคญั ว่า
ตนเป็นผู้ท่ีมีความสำคัญท่ีสุด แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงสามารถทำให้ผกาพรหมยอมละท้ิง

ทฏิ ฐมิ านะ จงึ ถือเป็นบทท่ใี ช้เอาชนะทฏิ ฐิมานะของคน


137

อะนโุ มทะนาวธิ ี

อะนโุ มทะนารัมภะคาถา


ยะถา วารวิ ะหา ปรู า หว้ งนำ้ ทีเ่ ต็ม, ยอ่ มยงั สมทุ รสาคร


ปะรปิ เู รนติ สาคะรัง, ใหบ้ รบิ ูรณไ์ ดฉ้ ันใด

เอวะเมวะ อโิ ต ทนิ นัง เปตานงั ทานทท่ี ่านอุทิศใหแ้ ลว้ ในโลกน้ี,
อุปะกัปปะต,ิ ยอ่ มสำเรจ็ ประโยชน,์

แกผ่ ทู้ ล่ี ะโลกนไี้ ปแลว้ ไดฉ้ นั นนั้

อจิ ฉติ ัง ปตั ถิตงั ตุมห๎ งั ขออฏิ ฐผลท่ที า่ นปรารถนาแล้ว ต้ังใจแลว้

ขปิ ปะเมวะ สะมิชฌะต,ุ จงสำเร็จโดยฉับพลนั

สพั เพ ปูเรนตุ สงั กปั ปา ขอความดำริทงั้ ปวงจงเต็มที ่

จันโท ปณั ณะระโส ยะถา, เหมือนพระจันทรใ์ นวันเพ็ญ

มะณิ โชติระโส ยะถา. เหมอื นแกว้ มณีอนั สว่างไสว ควรยินด




สามัญญานุโมทะนาคาถา


สพั พีตโิ ย ววิ ัชชันตุ ความจญั ไรท้งั ปวงจงบำราศไป

สัพพะโรโค วนิ ัสสะตุ, โรคท้ังปวงของทา่ นจงหาย

มา เต ภะวัต๎วนั ตะราโย อนั ตรายอย่ามแี กท่ า่ น

สุขี ทฆี ายโุ ก ภะวะ, ท่านจงเปน็ ผู้มคี วามสุข มอี ายยุ นื

อะภวิ าทะนะสีลิสสะ นิจจัง พรส่ปี ระการ คือ อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ,

วุฑฒาปะจายโิ น, จัตตาโร ธมั มา ย่อมเจริญแกบ่ คุ คล ผู้มีปกตกิ ราบไหว้,

วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง. มปี กตอิ ่อนน้อมต่อผ้ใู หญ่ เปน็ นิตย ์

ภะวะตุ สพั พะมังคะลัง ขอสรรพมงคลจงมีแก่ทา่ น,

รกั ขนั ตุ สพั พะเทวะตา, ขอเหล่าเทวดาท้งั ปวง จงรักษาทา่ น

สพั พะพทุ ธานภุ าเวนะ ดว้ ยอานภุ าพแห่งพระพุทธเจา้ ทง้ั ปวง,

สะทา โสตถี ภะวนั ตุ เต. ขอความสวัสดที ง้ั หลาย จงมแี ก่ท่านทกุ เมอื่

ภะวะตุ สัพพะมงั คะลัง ขอสรรพมงคลจงมแี ก่ท่าน,

รกั ขันตุ สัพพะเทวะตา, ขอเหลา่ เทวดาทั้งปวง จงรักษาท่าน

สัพพะธมั มานุภาเวนะ ด้วยอานภุ าพแห่งพระธรรมท้งั ปวง,

สะทา โสตถี ภะวันตุ เต. ขอความสวสั ดที งั้ หลาย จงมีแกท่ ่านทุกเมอื่


138

ภะวะตุ สพั พะมังคะลัง ขอสรรพมงคลจงมีแกท่ า่ น,

รักขนั ตุ สัพพะเทวะตา, ขอเหล่าเทวดาทง้ั ปวง จงรกั ษาท่าน

สพั พะสงั ฆานุภาเวนะ ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ท้งั ปวง,

สะทา โสตถี ภะวนั ตุ เต. ขอความสวัสดีทงั้ หลาย จงมีแก่ทา่ นทกุ เมือ่




มงคลจกั รวาลน้อย


สัพพะพทุ ธานุภาเวนะ ด้วยอานุภาพแหง่ พระพุทธเจ้าทั้งปวง

สัพพะธมั มานภุ าเวนะ ด้วยอานภุ าพแห่งพระธรรมทงั้ ปวง

สพั พะสงั ฆานุภาเวนะ ด้วยอานภุ าพแหง่ พระสงฆ์ท้ังปวง

พุทธะระตะนงั ธัมมะระตะนัง ดว้ ยอานุภาพแหง่ รตั นะทงั้ สามคอื

สังฆะระตะนัง ตณิ ณัง พทุ ธรตั นะ ธรรมรตั นะ สงั ฆรตั นะ

ระตะนานงั อานภุ าเวนะ

จะตรุ าสตี สิ ะหสั สะธมั มกั ขนั ธานภุ าเวนะ ด้วยอานุภาพแหง่ พระธรรมขันธ์

แปดหมน่ื สี่พนั

ปฏิ ะกัตตะยานภุ าเวนะ ดว้ ยอานภุ าพแห่งพระไตรปฎิ ก

ชินะสาวะกานุภาเวนะ ด้วยอานภุ าพแห่งสาวกพระชนิ เจ้า

สพั เพ เต โรคา สัพเพ เต ภะยา โรคท้ังหลายของท่าน, ภยั ท้งั หลายของท่าน

สพั เพ เต อนั ตะรายา สพั เพ เต อนั ตรายท้ังหลายของท่าน,

อปุ ทั ทะวา อปุ ัทวะทง้ั หลายของทา่ น

สพั เพ เต ทุนนิมิตตา สพั เพ เต นิมิตร้ายทัง้ หลายของทา่ น, สง่ิ ไม่เป็น

อะวะมงั คะลา วนิ ัสสันตุ, มงคลทั้งหลายของท่าน, จงพนิ าศไป

อายวุ ัฑฒะโก ธะนะวัฑฒะโก ความเจริญดว้ ยอายุ ความเจรญิ ด้วยทรัพย์

สริ วิ ัฑฒะโก ยะสะวฑั ฒะโก ความเจริญด้วยสริ ิ ความเจริญดว้ ยยศ

พะละวฑั ฒะโก วัณณะวฑั ฒะโก ความเจรญิ ด้วยกำลงั ความเจริญด้วยวรรณะ

สุขะวัฑฒะโก โหตุ สัพพะทา. ความเจรญิ ดว้ ยความสขุ , จงมแี กท่ า่ นในกาลทงั้ ปวง

ทุกขะโรคะภะยา เวรา ความทกุ ข์ โรค ภัย และเวรทง้ั หลาย,

โสกา สตั ตุ จุปัททะวา, ความโศก ศตั รู และความช่วั ท้งั ปวง

อะเนกา อันตะรายาปิ วินัสสันต ุ อันตรายทั้งหลายเป็นอเนกประการ,

จะ เตชะสา. จงพินาศไปดว้ ยเดชะ


139

ชะยะสทิ ธิ ธะนัง ลาภัง ความชนะ ความสำเร็จ ทรพั ย์และลาภ,

โสตถิ ภาคย๎ ัง สุขัง พะลัง, ความสวสั ดี ความมโี ชค, ความสุขและกำลงั

สริ ิ อายุ จะ วัณโณ จะ โภคงั สิริ อายุ วรรณะ โภคทรพั ย์,

วฑุ ฒี จะ ยะสะวา, ความเจรญิ และความเป็นผู้มียศ

สะตะวสั สา จะ อายู จะ การไดอ้ ายุยืนเปน็ ร้อยปี,

ชีวะสทิ ธี ภะวันตุ เต. และความสำเรจ็ กจิ ในความเปน็ อยู,่

จงมีแก่ท่านในกาลทกุ เม่ือ เทอญ



(มงคลจกั รวาลนอ้ ย ตงั้ แต่ อายวุ ฑั ฒะโก ถงึ โหตุ สพั พะทา นนั้ ถา้ ผรู้ บั พรเปน็ สตรี ทา่ นนยิ ม
เปล่ียนดังน้ี อายุวัฑฒะกา ธะนะวัฑฒะกา สิริวัฑฒะกา ยะสะวัฑฒะกา พะละวัฑฒะกา วัณณะ
วฑั ฒะกา สขุ ะวฑั ฒะกา โหตุ สัพพะทา. นอกน้นั เหมือนกัน)



กาละทานะสุตตะคาถา


กาเล ทะทันติ สะปัญญา วะทัญญู วตี ะมจั ฉะรา,

ผ้มู ปี ัญญารอบรู้, และปราศจากความตระหน
่ี
กาเลนะ ทนิ นงั อะรเิ ยส ุ อุชภุ ูเตสุ ตาทิส.ุ

ยอ่ มถวายทานตามกาลสมยั , ในพระอรยิ เจา้ ทงั้ หลายผู้ประพฤติตรงคงท
่ี
วิปปะสนั นะมะนา ตัสสะ วิปุลา โหติ ทกั ขิณา,

เมอื่ มีใจเลอ่ื มใสศรัทธาแล้ว, ทักษิณาทานยอ่ มมีผลอันไพบลู ย์

เย ตตั ถะ อะนุโมทนั ต ิ เวยยาวจั จงั กะโรนติ วา.

ชนท้งั หลายเหล่าใดรว่ มอนโุ มทนา, หรือชว่ ยกระทำการขวนขวายในทานน
ี้
นะ เตนะ ทักขิณา โอนา เตปิ ปุญญสั สะ ภาคโิ น,

ทักษิณาทานน้ัน มไิ ด้บกพรอ่ งไป, ด้วยเหตแุ ห่งการอนโุ มทนานน้ั เลย,

แมช้ นผรู้ ว่ มอนโุ มทนา, กม็ สี ว่ นแหง่ บญุ นั้นดว้ ย

ตัสม๎ า ทะเท อปั ปะฏวิ านะจติ โต ยตั ถะ ทนิ นัง มะหัปผะลัง,

เพราะฉะนั้น เมอ่ื บุคคลมจี ติ ไม่ทอ้ ถอยในทาน, ทานนนั้ ยอ่ มมผี ลมาก

ปุญญานิ ปะระโลกัส๎มิง ปะตฏิ ฐา โหนติ ปาณินนั ต.ิ

บุญทีท่ ำแลว้ ยอ่ มเปน็ ทพ่ี ่งึ ของทา่ นทงั้ หลาย, ในกาลขา้ งหน้าได้แล




140

วหิ าระทานะคาถา


สีตัง อณุ ห๎ ัง ปะฏิหันต ิ ตะโต วาฬะมคิ านิ จะ,

เสนาสนะยอ่ มป้องกันเย็นร้อน และสัตว์ร้าย

สิริงสะเป จะ มะกะเส สิสเิ ร จาปิ วุฏฐโิ ย.

งแู ละยุง ฝนทีต่ ้งั ขึน้ ในสสิ ริ ฤด

ตะโต วาตาตะโป โฆโร สญั ชาโต ปะฏิหัญญะติ,

แต่น้นั ลมและแดดอันกล้า เกิดขึน้ แล้วยอ่ มบรรเทาไป

เลนัตถัญจะ สขุ ตั ถญั จะ ฌายิตุง จะ วปิ ัสสติ งุ .

วิหาระทานัง สังฆัสสะ อคั คงั พุทเธหิ วณั ณติ งั ,

การถวายวิหารแกส่ งฆ์, เพ่อื พำนักอยู่ เพ่อื ความสุข,

เพ่ือเพง่ พิจารณา และเพ่ือเห็นแจ้ง,

พระพทุ ธเจา้ สรรเสรญิ วา่ เป็นทานอันเลศิ

ตัส๎มา หิ ปัณฑโิ ต โปโส สมั ปสั สัง อัตถะมัตตะโน.

เพราะเหตนุ ัน้ แล บุรษุ บัณฑิต เม่อื เล็งเห็นประโยชน์ตน

วิหาเร การะเย รัมเม วาสะเยตถะ พะหสุ สเุ ต,

พึงสรา้ งวิหารอันร่ืนรมย์, ใหภ้ ิกษุทงั้ หลาย ผู้เปน็ พหูสตู อยเู่ ถดิ

เตสงั อนั นญั จะ ปานญั จะ วตั ถะเสนาสะนานิ จะ.

อนงึ่ พงึ ถวายข้าวนำ้ ผา้ เสนาสนะแกท่ า่ นเหล่านนั้

ทะเทยยะ อุชุภเู ตสุ วิปปะสนั เนนะ เจตะสา,

ดว้ ยน้ำใจอันเลื่อมใสในท่านผูซ้ อื่ ตรง

เต ตสั สะ ธมั มงั เทเสนต ิ สัพพะทกุ ขาปะนูทะนงั ,

ยัง โส ธมั มะมิธัญญายะ ปะรนิ พิ พาตย๎ ะนาสะโวต.ิ

เขารู้ธรรมอนั ใดในโลกนแี้ ลว้ , เป็นผไู้ มม่ ีอาสวะปรินพิ พาน,

เขาย่อมแสดงธรรมนนั้ , อนั เป็นเคร่ืองบรรเทาทกุ ข์ทงั้ ปวงแกท่ า่ น ดงั นแ้ี ล


เขามีสว่ น เลวบ้าง ช่างหวั เขา จงเลือกเอา สว่ นท่ีดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบา้ ง ยังนา่ ดู ส่วนทีช่ ่ัว อยา่ ไปรู้ ของเขาเลย


(ทา่ นพุทธทาสภิกข)ุ


141

เทวะตาทสิ สะทกั ขณิ านโุ มทะนาคาถา


ยสั ๎มิง ปะเทเส กปั เปติ วาสงั ปัณฑติ ะชาตโิ ย,

บณั ฑิตชาติ สำเรจ็ การอย่ใู นประเทศสถานท่ใี ด

สีละวนั เตตถะ โภเชต๎วา สญั ญะเต พ๎รหั ม๎ ะจาริโน.

พึงเชญิ เหล่าท่านผู้มศี ีลสำรวมระวงั , ประพฤติพรหมจรรย์ เล้ียงดกู ันในที่น้ัน

ยา ตัตถะ เทวะตา อาสุง ตาสงั ทักขณิ ะมาทเิ ส,

เทวดาเหลา่ ใดมใี นทีน่ ัน้ , ควรอทุ ศิ ทักษณิ าทานเพอื่ เทวดาเหลา่ นน้ั ด้วย

ตา ปูชติ า ปชู ะยันต ิ มานติ า มานะยันติ นัง.

เทวดาท่ไี ดบ้ ชู าแล้ว ทา่ นยอ่ มบชู าบา้ ง, ท่ีได้นบั ถอื แล้ว ทา่ นยอ่ มนับถือบา้ ง

ตะโต นงั อะนุกัมปันติ มาตา ปตุ ตังวะ โอระสัง,

แตน่ นั้ ท่านย่อมอนุเคราะห์เขา, ประหน่งึ มารดาอนุเคราะห์บตุ รผู้เกิดจากอก

เทวะตานกุ มั ปิโต โปโส สะทา ภัท๎รานิ ปัสสะติ.

บุรษุ ได้อาศยั เทวดาอนเุ คราะห์แลว้ , กจิ การใดที่ทำ ย่อมเจริญทุกเมื่อ แล





อัคคัปปะสาทะสตุ ตะคาถา


อคั คะโต เว ปะสนั นานงั อัคคงั ธัมมงั วชิ านะตัง,

เมื่อบุคคลร้จู ักธรรมอนั เลศิ , เลอ่ื มใสแลว้ โดยความเป็นของเลศิ

อคั เค พุทเธ ปะสันนานัง ทักขเิ ณยเย อะนตุ ตะเร.

เลอ่ื มใสแล้วในพระพุทธเจ้าผ้เู ลศิ , ซึ่งเปน็ ทักขิเณยบุคคลอันยอดเยยี่ ม

อัคเค ธมั เม ปะสันนานัง วริ าคูปะสะเม สเุ ข,

เลือ่ มใสแล้วในพระธรรมอันเลศิ ,

ซ่ึงเปน็ ธรรมอนั ปราศจากราคะ, สงบระงับและเปน็ สุข

อัคเค สงั เฆ ปะสันนานงั ปุญญักเขตเต อะนุตตะเร.

เลอื่ มใสแล้วในพระสงฆผ์ เู้ ลิศ, ซ่ึงเป็นเนื้อนาบุญอยา่ งยอดเยยี่ ม

อคั คัส๎มิง ทานัง ทะทะตงั อัคคงั ปญุ ญัง ปะวัฑฒะต,ิ

ถวายทานในทา่ นผเู้ ลิศนน้ั , บญุ ที่เลิศกย็ ่อมเจริญ

อคั คัง อายุ จะ วณั โณ จะ ยะโส กิตติ สขุ งั พะลงั .

อายุ วรรณะ สุขะ พละ ยศ และเกียรติคณุ ท่ีเลศิ , ยอ่ มเจริญ


142

อัคคัสสะ ทาตา เมธาวี อคั คะธมั มะสะมาหิโต,

ผ้มู ีปญั ญายอ่ มใหท้ านแก่ท่านผเู้ ลศิ , และเปน็ ผู้ตั้งมัน่ อยู่ในธรรมอนั เลศิ

เทวะภโู ต มะนุสโส วา อคั คัปปตั โต ปะโมทะตีต.ิ

จะไปเกดิ เป็นเทวดา หรือเกิดเปน็ มนษุ ย์ก็ตาม,

ย่อมถงึ ความเปน็ ผเู้ ลศิ บนั เทงิ อย,ู่ ดงั นแี้ ล




โภชะนะทานานโุ มทะนาคาถา


อายโุ ท พะละโท ธโี ร วณั ณะโท ปะฏภิ าณะโท,

ผู้มปี ัญญายอ่ มใหอ้ ายุ ให้กำลัง, ใหว้ รรณะ และปฏภิ าณ

สขุ ัสสะ ทาตา เมธาวี สุขงั โส อะธคิ จั ฉะติ.

ผมู้ ปี ัญญาให้ความสขุ ย่อมไดป้ ระสพสุข

อายุง ทัต๎วา พะลัง วณั ณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท,

บุคคลผูใ้ ห้อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ และปฏภิ าณ

ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยตั ถูปะปัชชะตีติ.

จะไปเกิดในท่ใี ดๆ ยอ่ มเปน็ ผู้มีอายยุ ืน, มยี ศในทีน่ ัน้ ๆ ดังนี้




อาทิยะสตุ ตะคาถา


ภุตตา โภคา ภะฏา ภัจจา วติ ิณณา อาปะทาสุ เม,

โภคะทั้งหลาย เราได้บรโิ ภคแลว้ , บคุ คลทัง้ หลายท่ีควรเลย้ี ง

เราไดเ้ ลย้ี งแลว้ , อนั ตรายทงั้ หลาย เราไดข้ า้ มพน้ ไปแล้ว

อุทธคั คา ทักขณิ า ทนิ นา อะโถ ปัญจะ พะลี กะตา.

ทักษณิ าทีเ่ จรญิ ผล เราได้ให้แล้ว, อนึ่ง พลหี า้ * เราได้ทำแล้ว

อปุ ัฏฐติ า สลี ะวันโต สัญญะตา พ๎รัหม๎ ะจารโิ น,

ท่านผมู้ ีศีลสำรวมแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์ เราไดบ้ ำรุงแล้ว

ยะทตั ถัง โภคะมจิ เฉยยะ ปณั ฑโิ ต ฆะระมาวะสงั .

บัณฑติ ผูค้ รองเรือน ปรารถนาโภคะเพื่อประโยชน์อนั ใด


* พลีห้า หมายถงึ ๑. ญาตพิ ลี สงเคราะห์ญาติ ๒. อตถิ ิพลี ต้อนรบั แขกผูม้ าเยอื น ๓. ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทศิ
ใหผ้ ตู้ าย ๔. ราชพลี ถวายใหห้ ลวงมภี าษอี ากรเปน็ ตน้ ๕. เทวตาพลี ทำบญุ อทุ ิศให้เทวดา


143

โส เม อัตโถ อะนุปปตั โต กะตงั อะนะนุตาปยิ งั ,

ประโยชน์นน้ั เราไดบ้ รรลแุ ลว้ ,

กรรมไม่เปน็ ทีต่ ้งั แห่งความเดือดร้อนภายหลงั เราไดท้ ำแล้ว

เอตงั อะนสุ สะรัง มจั โจ อะริยะธัมเม ฐิโต นะโร.

นรชนผู้จะตอ้ งตาย เมื่อตามระลึกถงึ คุณขอ้ นีอ้ ยู่, ย่อมเป็นผตู้ ้ังอยใู่ นอริยธรรม

อิเธวะ นงั ปะสงั สันติ เปจจะ สัคเค ปะโมทะตตี .ิ

เทวดาและมนุษยท์ ง้ั หลาย ยอ่ มสรรเสรญิ นรชนนน้ั ในโลกน,ี้

นรชนน้นั ละโลกนไ้ี ปแล้ว ย่อมบันเทงิ ในสวรรค์ ดงั นี้แล




ระตะนัตตะยานภุ าวาทิคาถา


ระตะนตั ตะยานภุ าเวนะ ระตะนตั ตะยะเตชะสา,

ดว้ ยอานภุ าพแหง่ พระรัตนตรยั , ดว้ ยเดชแหง่ พระรัตนตรยั

ทกุ ขะโรคะภะยา เวรา โสกา สตั ตุ จุปัททะวา.

ความทกุ ข์ โรค ภยั และเวรทง้ั หลาย, ความโศก ศัตรู และความชวั่ ท้ังปวง

อะเนกา อนั ตะรายาปิ วินสั สันตุ อะเสสะโต,

อันตรายท้ังหลายเปน็ อเนกประการ, จงพินาศไปโดยไม่เหลอื

ชะยะสิทธิ ธะนงั ลาภงั โสตถิ ภาคย๎ งั สุขงั พะลงั .

ความชนะ ความสำเร็จ ทรพั ย์และลาภ, ความสวสั ดี ความมีโชค, ความสขุ และกำลัง

สริ ิ อายุ จะ วัณโณ จะ โภคัง วฑุ ฒี จะ ยะสะวา,

สิริ อายุ วรรณะ โภคทรัพย์, ความเจริญและความเป็นผมู้ ียศ

สะตะวสั สา จะ อายู จะ ชีวะสิทธี ภะวนั ตุ เต.

การได้อายุยืนเปน็ ร้อยป,ี และความสำเร็จกจิ ในความเปน็ อย,ู่

จงมแี กท่ ่านในกาลทุกเมือ่ เทอญ




ปญั ญายอ่ มประเสรฐิ กวา่ ทรัพย์


144

โส อตั ถะลัทโธ


โส อตั ถะลัทโธ สุขิโต วิรฬุ ๎โห พทุ ธะสาสะเน,

ทา่ นชายจงเปน็ ผมู้ ปี ระโยชนอ์ นั ไดแ้ ลว้ , ถงึ แลว้ ซง่ึ ความสขุ , เจรญิ ในพระพทุ ธศาสนา

อะโรโค สุขิโต โหหิ สะหะ สัพเพหิ ญาตภิ .ิ

เป็นผู้ไม่มโี รค ถงึ แล้วซึ่งความสุข, พร้อมกบั ด้วยญาตทิ งั้ หลาย

สา อัตถะลัทธา สุขติ า วิรุฬห๎ า พุทธะสาสะเน,

ทา่ นหญงิ จงเปน็ ผมู้ ปี ระโยชนอ์ นั ไดแ้ ลว้ , ถงึ แลว้ ซง่ึ ความสขุ , เจรญิ ในพระพทุ ธศาสนา

อะโรคา สขุ ติ า โหหิ สะหะ สพั เพหิ ญาติภ.ิ

เปน็ ผูไ้ ม่มโี รค ถงึ แล้วซง่ึ ความสุข, พรอ้ มกบั ด้วยญาติท้งั หลาย

เต อัตถะลทั ธา สขุ ิตา วริ ฬุ ห๎ า พทุ ธะสาสะเน,

ทา่ นชายและท่านหญงิ จงเปน็ ผู้มีประโยชน์อันได้แลว้ ,

ถึงแล้วซึง่ ความสุข, เจรญิ ในพระพทุ ธศาสนา

อะโรคา สขุ ติ า โหถะ สะหะ สพั เพหิ ญาติภ.ิ

เป็นผู้ไม่มีโรค ถึงแลว้ ซึ่งความสุข, พรอ้ มกบั ดว้ ยญาติทั้งหลาย




ติโรกุฑฑะกัณฑะสุตตะคาถา (ย่อ)


อะทาสิ เม อะกาสิ เม ญาติมติ ตา สะขา จะ เม,

เม่ือบุคคลมาระลึกถึงอปุ การคณุ , อันท่านได้กระทำแลว้ ,

แกต่ นในกาลกอ่ นว่า, ผู้นี้ได้ใหส้ ิ่งน้ีแกเ่ รา, ผูน้ ้ีชว่ ยทำกิจนขี้ องเรา,

ผู้นีเ้ ป็นญาติเป็นมติ รของเราดังน้ี

เปตานัง ทกั ขณิ ัง ทัชชา ปพุ เพ กะตะมะนุสสะรงั .

ก็ควรใหท้ กั ษิณานุปาทาน, เพอ่ื ผ้ทู ลี่ ะโลกนไี้ ปแล้วนนั้

นะ หิ รณุ ณงั วา โสโก วา ยา วัญญา ปะรเิ ทวะนา,

การรอ้ งไหก้ ด็ ี, การเศรา้ โศกกด็ ี, หรอื การรำ่ ไรรำพันอยา่ งอน่ื กด็ ,ี

บคุ คลไม่ควรทำอยา่ งนน้ั เลย

นะ ตัง เปตานะมัตถายะ เอวงั ตฏิ ฐนั ติ ญาตะโย.

เพราะวา่ การรอ้ งไหเ้ ป็นตน้ นนั้ , ไมเ่ ปน็ ประโยชน์ แกญ่ าติท้งั หลาย,

ผทู้ ่ีละโลกน้ีไปแล้ว, ญาตทิ ัง้ หลายย่อมต้ังอยูอ่ ยา่ งนน้ั

• อะยัญจะ โข ทักขิณา ทินนา สงั ฆัมหิ สุปะติฏฐติ า,

ก็ทักษิณานุปาทานน้แี ล, อนั ทา่ นได้ให้แล้ว, ประดษิ ฐานไวด้ แี ล้วในพระสงฆ


145

ทีฆะรัตตงั หติ ายสั สะ ฐานะโส อุปะกัปปะติ.

ยอ่ มสำเรจ็ ประโยชนเ์ ก้อื กลู , แกผ่ ู้ท่ลี ะโลกน้ไี ปแลว้ นัน้ , ตลอดกาลนานตามฐานะ

โส ญาตธิ ัมโม จะ อะยัง นิทัสสโิ ต,

ญาติธรรมน้ันทา่ นได้แสดงให้ปรากฏแล้ว, แกญ่ าตทิ ้ังหลายผู้ทีล่ ะโลกน้ีไปแลว้

เปตานะ ปชู า จะ กะตา อุฬารา.

และบูชาอย่างยง่ิ ท่านก็ได้ทำแลว้ , แกญ่ าตทิ ง้ั หลายผู้ทลี่ ะโลกนไ้ี ปแลว้ นน้ั

พะลญั จะ ภิกขนู ะมะนปุ ปะทนิ นงั ,

กำลงั แหง่ ภกิ ษุทั้งหลาย, ช่ือว่าท่านได้เพิม่ ใหแ้ ล้วดว้ ย

ตุมเ๎ หหิ ปุญญงั ปะสุตงั อะนัปปะกันต.ิ

บุญไม่นอ้ ยเลยที่ทา่ นได้ขวนขวายแลว้ , ดงั นี้แล




เกณิยานุโมทะนาคาถา


อัคคหิ ุตตัง มขุ า ยัญญา สาวิตติ ฉันทะโส มุขัง,

ยัญทง้ั หลาย มกี ารบชู าไฟเป็นหวั หน้า, สาวิตติฉนั ท*์ เป็นประมุขแหง่ ฉันทศาสตร์

(เปน็ ศลิ ปศาสตรอ์ ย่างหนึ่งในศลิ ปศาสตรส์ บิ แปดประการ)

ราชา มขุ งั มะนุสสานงั นะทนี งั สาคะโร มขุ งั .

พระมหาราช เป็นประมขุ แหง่ มนษุ ยน์ กิ ร, สมุทรสาคร เปน็ ประมขุ แหง่ แม่นำ้ ท้งั ปวง

นกั ขตั ตานงั มุขงั จนั โท อาทิจโจ ตะปะตงั มขุ ัง,

ดวงจนั ทร์เปน็ ประมขุ แห่งดาวนักษตั รฤกษ์,

ดวงอาทิตย์ เป็นประมขุ แห่งของทมี่ แี สงรอ้ นทั้งหลาย ฉนั ใด

ปญุ ญะมากงั ขะมานานงั สงั โฆ เว ยะชะตัง มุขงั .

สงฆย์ ่อมเปน็ ประมุขแห่งทายกผู้หวังบุญ บำเพญ็ ทาน ฉนั นั้น

ภะณสิ สามะ มะยัง คาถา กาละทานัปปะทปี ิกา,๑

เราจกั กลา่ วคาถา แสดงอานิสงส์ของการให้ตามกาล

เอตา สณุ นั ตุ สกั กจั จัง ทายะกา ปุญญะกามโิ น.

ขอทายกทั้งหลาย ผูต้ อ้ งการบุญ จงตงั้ ใจฟังคาถาเหล่านีเ้ ถดิ




* เปน็ ฉันทท์ ีต่ อ้ งสาธยายกอ่ นในการสาธยายพระเวทย

๑ แบบน้ี นำสวด กาละทานะสตุ ตะคาถา

ถา้ นำสวด วิหาระทานะคาถา เปลีย่ นทีข่ ีดเสน้ ใต้ให้เปน็ วหิ าระทานะทปี ิกา


146

สงั คะหะวัตถคุ าถา


ทานัญจะ เปยยะวชั ชัญจะ อตั ถะจะริยา จะ ยา อิธะ,

การให้ทาน ๑ ถ้อยคำอันไพเราะ ๑ การบำเพ็ญประโยชน์ ๑

สะมานัตตะตา จะ ธมั เมสุ ตัตถะ ตัตถะ ยะถาระหัง.

เอเต โข สังคะหา โลเก ระถัสสาณวี ะ ยายะโต,

การเปน็ ผู้ประพฤตติ นสม่ำเสมอ (เสมอต้นเสมอปลาย) ในธรรมนน้ั ๆ ตามควร ๑,

เหลา่ น้แี ล เป็นธรรมเครอ่ื งสงเคราะห์ในโลก,

เปรยี บเหมอื นลิ่มสลกั (ทห่ี ัวเพลา) คมุ รถทแ่ี ล่นไปอยู่ ฉะน้นั

เอเต จะ สังคะหา นาสส ุ นะ มาตา ปุตตะการะณา,

ละเภถะ มานัง ปชู งั วา ปติ า วา ปตุ ตะการะณา,

ถ้าธรรมเคร่อื งสงเคราะหเ์ หล่านี้ไมพ่ ึงมไี ซร,้

มารดา หรือ บดิ า กจ็ ะไมพ่ ึงได้รบั ความนับถือ หรอื บชู าจากบตุ ร

ยัส๎มา จะ สังคะหา เอเต สะมะเวกขนั ติ ปณั ฑิตา,

กเ็ พราะเหตทุ ่ีบณั ฑติ ท้งั หลาย, ยงั เหลยี วแลธรรม เครอ่ื งสงเคราะหเ์ หล่านีอ้ ยู่

ตสั ๎มา มะหตั ตัง ปปั โปนต ิ ปาสังสา จะ ภะวนั ติ เตต.ิ

เพราะเหตนุ นั้ บณั ฑติ เหลา่ นนั้ จงึ ไดร้ บั ความเปน็ ใหญ,่ และเปน็ ทนี่ า่ สรรเสรญิ ดงั นแี้ ล




ทานานโุ มทะนาคาถา


อันนัง ปานัง วตั ถัง ยานัง มาลา คันธงั วเิ ลปะนัง,

เสยยาวะสะถงั ปะทีเปยยงั ทานะวตั ถู อิเม ทะสะ.

ทานวัตถุ ๑๐ อยา่ งเหล่าน้ี คอื ขา้ ว นำ้ ผา้ ยานพาหนะ,

ระเบียบดอกไม้ ของหอม เคร่อื งลบู ไล้, ท่นี อน ท่พี กั อาศยั และเคร่ืองประทีป

อนั ทะโน พะละโท โหติ วตั ถะโท โหติ วัณณะโท,

ผู้ใหข้ า้ ว ชอื่ ว่าให้กำลัง, ผู้ให้ผ้า ชอ่ื วา่ ใหว้ รรณะ

ยานะโท สุขะโท โหติ ทีปะโท โหติ จักขุโท.

ผู้ให้ยานพาหนะ ช่ือวา่ ใหค้ วามสุข, ผู้ให้ประทปี ชื่อว่าใหด้ วงตา

มะนาปะทายี ละภะเต มะนาปงั อคั คัสสะ ทาตา ละภะเต ปุนัคคัง,

ผู้ให้ของทพี่ อใจ ย่อมไดข้ องทพี่ อใจ, ผูใ้ หว้ ตั ถอุ นั เลิศ ย่อมไดว้ ัตถุอันเลิศ

วะรัสสะ ทาตา วะระลาภิ โหติ เสฏฐะนัทโท เสฏฐะมเุ ปติ ฐานงั .

ผใู้ หข้ องดี ยอ่ มได้ของดี, ผูใ้ ห้ฐานะอนั ประเสรฐิ ย่อมเขา้ ถงึ ฐานะอนั ประเสรฐิ


147

อัคคะทายี วะระทายี เสฏฐะทายี จะ โย นะโร,

นรชนใดให้ของทเี่ ลิศ ให้ของที่ด,ี และใหฐ้ านะอนั ประเสริฐ

ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยตั ถูปะปัชชะตีต.ิ

นรชนน้นั ไปเกิดในที่ใดๆ, ย่อมเปน็ ผมู้ ีอายยุ นื มียศ ในท่ีน้นั ๆ

เอเตนะ สัจจะวชั เชนะ สวุ ตั ถิ โหตุ สพั พะทา,

อาโรคิยะสขุ ญั เจวะ กุสะลญั จะ อะนามะยัง.

ดว้ ยสจั จะวาจาภาษิตน,ี้ ขอความสขุ ความสวสั ดี ความไม่มโี รค,

และอนามยั เป็นอันดี จงมีแกท่ ่านท้งั หลายทกุ เมอื่

สทิ ธะมัตถุ สิทธะมตั ถุ สิทธะมตั ถุ อิทงั ผะลัง,

ขอผลทงั้ ปวงน้ี จงเป็นผลสำเร็จ จงเปน็ ผลสำเรจ็ จงเป็นผลสำเร็จ

เอตัสม๎ ิง ระตะนัตตะยสั ม๎ งิ สมั ปะสาทะนะเจตะโส.

แกท่ า่ นผ้มู ีใจเลือ่ มใสในพระรัตนตรัยนัน้ เทอญ




สภุ าสติ ะคาถา


สาธรุ โู ป จะปาสังโส ท๎วารตั ตะเยนะ สจั จะวา,

ผูม้ คี วามสัตย์ ดว้ ยทวารทัง้ สาม, ครบทง้ั กาย วาจา ใจ ดจี ริง ควรสรรเสรญิ

ฉนั โท จะวริ ยิ ัง จิตตงั วมิ งั สา จาตถะสาธกิ า.

ความพอใจในการกระทำหนง่ึ ความเพยี รหน่งึ ,

การมใี จจดจ่อหนง่ึ ปัญญาทีร่ ู้เลือกเฟน้ หนงึ่ ,

ท้ังสส่ี ง่ิ นี้ ให้ประโยชนน์ ้ันๆ สำเร็จทุกกจิ การ

ทะทายะ อิรติ า วาจา โสตนุ า อะนุการินา,

วาจาทีบ่ ุคคลกล่าวดว้ ยความเอน็ ดูและกรุณา, ควรที่ผู้ฟงั จะทำตาม

โสตูหิ อะนุกาตพั พา เมตตะ จิตเตนะภาสติ า.

วาจาของทา่ นผมู้ ีจิตเมตตากลา่ ว ผู้ฟงั ทงั้ หลายพึงทำตาม

โสตหู ิ สฏุ ฐุ โสตพั พา อตั ถะกาเมนะ ภาสติ า,

วาจาท่ีผปู้ รารถนาประโยชน์กลา่ ว, ผฟู้ ังพงึ ฟงั ให้ดี โดยเคารพเถดิ

กะตัสสะ นัตถิ ปะฏกิ ารัง ปะเควะตงั ปะรกิ ขติ งั .

ส่งิ ท่ตี นทำแล้วจะทำคืนไมไ่ ด้, ผู้จะทำควรพิจารณาเสยี ก่อนแลว้ จงึ ทำ

อะวจิ นิ ติยะ กะตัง กัมมัง ปจั ฉาตาปายะ วตั ตะเต,

กรรมทีบ่ ุคคลทำโดยไม่ไดค้ ิด, เป็นไปเพอ่ื เดือดร้อนเม่ือภายหลงั


148

กะยิรา เจ กะยิราเถนงั เอวนั ตงั ตงั สะมิชฌะต.ิ

ถ้าจะทำแล้วก็ให้ทำจริงๆ จึงจะดี, ทำอยา่ งน้ี กิจนั้นๆ ก็จะสำเรจ็ ไดโ้ ดยประสงค

รกั เขยยะ อตั ตะโน สาธงุ ละวะณัง โลณะตงั ยะถา,

ให้รักษาคณุ ความดขี องตนไว,้ ดังเกลอื รกั ษาความเคม็ ไว้ ฉะน้ัน

สัมมาปะฏิเวกขติ ว๎ า ตัง ตัง กะเรยยะอสิ สะโร.

บคุ คลควรพจิ ารณาใหด้ ีใหช้ อบเสยี ก่อน จึงค่อยทำกิจการน้นั ๆ

กะเรยยงั กิญจิ ปาสังสงั เอวงั โนสสา นตุ ัปปะนัง,

ทำกิจอนั ใดทผี่ ้รู สู้ รรเสรญิ , อย่างนจ้ี งึ จะไมม่ ีความรอ้ นใจเม่ือภายหลัง

สมั มขุ า ยาทสิ งั จิณณงั ปะรมั มขุ าปิ ตาทสิ งั .

ตอ่ หน้าคนประพฤติเชน่ ไร, ถึงลับหลังคน กใ็ หป้ ระพฤติเชน่ น้ัน

ภูมเิ ว สาธรุ ูปานงั กะตญั ญู กะตะเวทิตา,

ความเปน็ ผู้กตญั ญูกตเวที เปน็ พ้ืนฐานของคนดีทั้งหลาย

สทุ าชชะโว อะโนลิโน กพุ พัง ปะรมั มขุ า อะปิ.

ผูซ้ อื่ ตรงดีไม่ทอ้ ถอย, เมื่อทำกจิ การแมใ้ นท่ีลับหลงั

รักขะมาโน สะโต รักเข อปั ปตั โตโน จะ อลุ ละเป,

ผ้จู ะรกั ษาใหม้ สี ตริ ะวังรกั ษา, อน่ึง เมอื่ ยงั ไม่ถึงอย่าพึงพูดอวด

อตั ตาหิ อตั ตะโน นาโถ โกหิ นาโถ ปะโร สยิ า.

ตนแลเปน็ ท่ีพง่ึ ของตน, ใครผู้อนื่ จะเป็นท่ีพ่งึ แก่ตนได

ปะฏกิ ัจเจวะตงั กะยิรา ยังชญั ญา หติ ะมัต ตะโน,

ถา้ ร้วู า่ ส่ิงใดเปน็ ประโยชนแ์ ก่ตนแล้ว, พึงรบี กระทำกิจนั้นๆ เถดิ

สะทตั ถะ ปะสโุ ต สิยา สะทตั ถะ ปะระมา อตั ถา.

พงึ เป็นผ้ขู วนขวายในประโยชน์ของตนเถิด,

ประโยชน์ทัง้ หลาย มีประโยชนข์ องตนเป็นอย่างยง่ิ

ขนั ตะยาภยิ โย นะ วชิ ชะต ิ สามัญเญ สะมะโณ ติฏเฐ,

สิ่งอ่ืนๆ ไม่มยี ิง่ กวา่ ขันตคิ วามอดทน, ตนเป็นสมณะ พงึ ตัง้ อย่ใู นธรรมของสมณะ

ปเู รยยะ ธมั มะมตั ตะโน อุจโจหิ อจุ จะตงั รกั ขงั .

พงึ บำเพญ็ ธรรมของตนๆ ใหบ้ รบิ รู ณเ์ ถดิ , ตนเปน็ คนใจสงู ใหร้ กั ษาความใจสงู ของตนไว้

คณุ ะวา จาตตะโน คณุ งั สาธุโข ทุลละโภ โลเก,

ผมู้ ีคุณความดใี ห้รักษาคุณความดขี องตนไว้ให้ดี, คณุ ความดหี ายากยิ่งนักในโลก

อะสาธุ สลุ ะโภ สะทา.

สิ่งท่ีไมด่ ีไม่ชอบหาง่ายทกุ เมื่อ


149

เทวะตาภสิ ัมมันตะนะคาถา


ยานีธะ  ภตู านิ สะมาคะตานิ หมภู่ ตู เหลา่ ใดซ่งึ มาประชุมกันแล้วในทีน่ ้ี

ภุมมานิ วา ยานิ วะ อนั ตะลกิ เข, สถิตอยูต่ ามแผ่นดนิ ก็ด ี สถติ อยู่ในอากาศก็ด ี

สัพเพ วะ ภตู า สุมะนา ภะวันตุ ขอหมู่ภตู เหล่าน้นั ทงั้ ปวง จงเปน็ ผู้มใี จดี

อะโถปิ สกั กัจจะ  สณุ นั ต ุ ภาสติ งั . และจงฟังสภุ าษติ โดยเคารพ

สภุ าสิตัง กญิ จปิ ิ โว ภะเณมุ เราจะขอกล่าวสุภาษิตบางประการแกพ่ วกทา่ น
ปญุ เญ สะตปุ ปาทะกะรัง อะปาปัง, ซงึ่ เปน็ ภาษติ ทก่ี อ่ ให้เกดิ สติในบญุ ไมเ่ ปน็ บาป

ธมั มปู ะเทสัง อะนุการะกานงั เปน็ อบุ ายเคร่ืองแนะนำธรรม,

สำหรบั ผูใ้ ครจ่ ะทำตาม

ตสั ๎มา  หิ ภตู านิ สะเมนตุ สัพเพ. เพราะฉะนนั้ แล หม่ภู ตู ทัง้ ปวงจงสดบั ตรบั ฟงั  

เมตตงั   กะโรถะ มานุสิยา  ปะชายะ ขอทา่ นจงกระทำความเมตตา,

คือความรกั ความปรารถนาดแี กม่ นุษย์

ภเู ตสุ  พาฬห๎ งั   กะตะภัตตกิ ายะ, ผ้กู ระทำความภักดีอย่างมัน่ คงในหมภู่ ูตทัง้ ปวง

ทิวา  จะ รตั โต จะ  หะรนั ติ เย พะลงิ มนษุ ย์ทง้ั หลายเหล่าใด, ทำพลีกรรม

ท้งั กลางวนั และกลางคืน

ปจั โจปะการัง  อะภิกงั ขะมานา. มคี วามปรารถนายิ่ง ซง่ึ การตอบแทน

เต โข มะนุสสา ตะนกุ านุภาวา มนุษย์เหลา่ นั้นแลเป็นผู้มอี านภุ าพนอ้ ย

ภตู า  วเิ สเสนะ  มะหทิ ธกิ า จะ, ส่วนท่านทงั้ หลายเปน็ ภูตทม่ี ีฤทธ์ิมากตา่ งๆ กนั

อะทิสสะมานา มะนเุ ชหิ ญาตา ถงึ จะเปน็ ผทู้ ี่มองไม่เหน็ ตวั ,

พวกมนษุ ยก์ ็ร้จู กั กันอยูแ่ ลว้

ตัส๎มา  หิ เน รกั ขะถะ  อัปปะมตั ตา. เพราะฉะนั้นแล ขอภตู ทั้งหลาย

จงเป็นผไู้ มป่ ระมาท,

ปกปกั รกั ษามนษุ ย์เหล่าน้ันเถดิ


คนน่ังนิ่ง เขาก็นนิ ทา คนพดู มาก เขากน็ นิ ทา

แม้แตค่ นพูดพอประมาณ เขาก็นนิ ทา

คนไม่ถูกนนิ ทา ไม่มีในโลก


150


Click to View FlipBook Version