The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้เทอม 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

แผนการจัดการเรียนรู้เทอม 1

แผนการจัดการเรียนรู้เทอม 1

๕. สาระการเรียนรู้ ตัวอย่างการตีความข้อมูลจากหลักฐานที่แสดงเหตุการณ์สำคัญในสมัยอยุธยาและธนบุรี ความสำคัญของการตีความทางประวัติศาสตร์ ๖. กิจกรรมการเรียนรู้(วิธีสอนแบบ ธรรมสากัจฉา) ขั้นที่ 1 นำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูเล่านิทาน เรื่อง กระต่ายตื่นตูม ให้นักเรียนฟัง จากนั้นให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ ปัญหาที่เกิดขึ้น 2. ครูขออาสาสมัครนักเรียนเพื่อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา 3. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - จากเหตุการณ์ในนิทาน เรื่อง กระต่ายตื่นตูม ตรงกับสำนวนไทยว่าอะไรบ้าง (แนวคำตอบ : กระต่ายตื่นตูม, ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด) - นักเรียนเห็นด้วยหรือไม่ว่า การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ คือ การสื่อสารให้ทุกคนมีความเข้าใจ ตรงกันชัดเจน เพราะเหตุใด (แนวคำตอบ : พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นที่ 2 สอน 1. แสวงหาความรู้ 4. ครูให้นักเรียนช่วยกันอธิบายว่า การตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ควรมีหลักการอย่างไร ครู ตรวจสอบความถูกต้อง และอธิบายให้นักเรียนทุกคนมีความเข้าใจชัดเจน 5. ครูแจกใบความรู้ เรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับการตีความทางประวัติศาสตร์ ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกัน ศึกษา 6. ครูแจกบัตรคำ ซึ่งเป็นข้อความบางตอนของหลักฐานทางประวัติศาสตร์เพื่อให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม (กลุ่มเดิม) ร่วมกันทดลองตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โดยศึกษาค้นคว้าจาก หนังสือเรียน และใบความรู้ 7. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - ชาวต่างชาติมักไม่เข้าใจวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้ง แต่เพราะเหตุใดจึงมีการศึกษาหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ ประเภทลายลักษณ์อักษรหลายชิ้นที่เป็นบันทึกของชาวต่างชาติ (แนวคำตอบ : เป็นการศึกษาภาพลักษณ์ของประเทศไทยในทรรศนะของชาวต่างชาติ) 2. ค้นพบความรู้/สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ 8. สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มนำความรู้ที่ได้จากการศึกษา มาผลัดกันอธิบายแลกเปลี่ยนความรู้กันภายใน กลุ่มจนสมาชิกทุกคนมีความเข้าใจชัดเจน 9. ครูแจกใบงานที่ 1.2 เรื่อง การตีความทางประวัติศาสตร์ ให้สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มช่วยกันทำ 10. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - การศึกษาศักราชมีความสำคัญกับการตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างไร (แนวคำตอบ : มีความสำคัญในการเรียงลำดับเหตุการณ์)


3. วิเคราะห์และประเมินค่าความรู้ 11. ตัวแทนกลุ่มนำเสนอผลงานในใบงานที่ 1.2 หน้าชั้นเรียน ครูตรวจสอบความถูกต้องและให้ ข้อเสนอแนะ 4. พิสูจน์ความรู้หรือปฏิบัติ 12. สมาชิกแต่ละกลุ่มผลัดกันนำเสนอการตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์จากบัตรคำที่กลุ่มของตน ได้รับ โดยให้เพื่อนสมาชิกกลุ่มอื่นร่วมกันแสดงความเห็นว่ามีความเข้าใจตรงกันหรือไม่ 13. ครูให้นักเรียนแต่ละคนช่วยกันยกตัวอย่างสาเหตุของปัญหาในการตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และร่วมกันเสนอแนะแนวทางแก้ไข ขั้นที่ 3 สรุป 14. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความสำคัญของการตีความทางประวัติศาสตร์ ๗. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ ๗.๑ สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียน ประวัติศาสตร์ ม.2 2. ใบความรู้ เรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับการตีความทางประวัติศาสตร์ 3. นิทานเรื่อง กระต่ายตื่นตูม 4. บัตรคำ 5. ใบงานที่ 1.2 เรื่อง การตีความทางประวัติศาสตร์ ๗.๒ แหล่งการเรียนรู้ ๑. ห้องสมุดโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ๒. ห้องสมุดมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ๘. กระบวนการวัดผลและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ เครื่องมือวัด วิธีการวัด เกณฑ์การวัดและ ประเมินผล 1. นักเรียนอธิบายการ ตีความของหลักฐานได้(K) ใบงาน ตรวจใบงาน ร้อยละ 70 ผ่าน เกณฑ์ 2. นักเรียนสามารถนำเสนอ การตีความหลักฐานได้(P) แบบประเมินการนำเสนอ ประเมินการนำเสนอ ระดับคุณภาพ ๒ ผ่านเกณฑ์ 3. นักเรียนกระตือรือร้นใน การเรียนรู้เรื่อง การตีความ หลักฐาน (A) แบบประเมินพฤติกรรมในการ ทำงานเป็นรายบุคคล ประเมินพฤติกรรมในการ ทำงานเป็นรายบุคคล ระดับคุณภาพ ๒ ผ่านเกณฑ์


๙. บันทึกผลหลังสอน ๙.1 ปัญหาที่เกิดขึ้น ..……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………..….……………………………………………………………………………………………………………………………………… ๙.2 วิธีการแก้ปัญหา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๙.3 ผลการแก้ปัญหา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ……………..…………………………ครูผู้สอน (นายคณาธิป ผิวบุญเรือง) ….……./……….…./……….. ๑0. ความคิดเห็นของครูพี่เลี้ยง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ……………………………………ครูพี่เลี้ยง (นางสาวยุพิน จักรทองดี) ………./…….……./………... ๑๑. ความคิดเห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………………… (นางสาวยุพิน จักรทองดี) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ………./……..……./………..


๑๒. ความคิดเห็นของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………………… ( ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดวงสมร กิจโกศล ) รองผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ………./……..……./………..


ใบความรู้ แนวคิดเกี่ยวกับการตีความทางประวัติศาสตร์ ผู้ใชเอกสารหลักฐาน ตองซื่อสัตย์ต่อเอกสารหลักฐานและผูอาน โดยไมตีความบิดเบือนหลักฐาน หรือปดบัง หลักฐานที่ขัดแยงกับคําตอบที่ตนตองการ การวิเคราะหตีความ หมายถึง ความพยายามที่จะถอดความหรือเรื่องราวจาก ขอสนเทศที่ปรากฏในเอกสารหลักฐานดวยใจเปนกลางโดยจะตองดึงภาพจากความบันดาลใจความเขาอกเขาใจในอดีต เพื่อสรางความเคลื่อนไหว ความขัดแยง ชัยชนะ ภูมิภาพ ความยากลําบาก พลังของสังคมอดีตแตละสวนขึ้นมาใหได โดยไมนําคานิยม หรือวัฒนธรรมสมัยของตนไปวินิจฉัยอดีต อันตรายอยางสําคัญที่เกิดจากการตีความ คือ ผูตีความมักจะใสขอความตามความรูที่ตนมีอยูเพิ่มเติมเขาไปใน การตีความจากเอกสารหลักฐาน เปนเหตุใหเกิดการบิดเบือนความจริงโดยไมไดตั้งใจ ตัวอยาง การสรางองคความรูเกี่ยวกับ การเรียนรูวิชามวย และความสามารถดานศิลปะการตอสูของพระยาพิชัย (ดาบหัก) ของงานเขียนประวัติพระยาพิชัย ผูสรางหลักฐานมีความรูทางเชิงมวย จะใสความรูของตนเองลงไปหรือผู เขียนมีความรูศิลปะการตอสูดวยดาบ จะใสความรูของตนเองเขาไป ผูใชเอกสารหลักฐานเหลานี้อางอิงในงานเขียน บทความหรืองานวิจัยเกี่ยวกับท้องถิ่นตองกลั่นกรองใหรอบคอบ อีกกรณีหนึ่งคือการตีความเอกสาร หลักฐานที่เปนวรรณกรรม กฎหมายตองวิเคราะหตีความใหรอบคอบ เพราะ เรื่องราวที่ปรากฏในวรรณกรรม หรือกฎหมายอาจจะเปนเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และนํามาเขียนวรรณกรรม หรือเขียน กฎหมายออกมาใชแกไขเมื่อเกิดเหตุการณนี้อีก แตอาจไมเกิดจริงก็มี เพราะบางเหตุการณ์ที่ระบุในวรรณคดีหรือใน กฎหมายยังไมไดเกิด แตผูสรางหลักฐาน มีความรูและประสบการณ์จากสังคมอื่น ไดนํามาเขียนไวในวรรณกรรมหรือ กฎหมาย ถาไมรอบคอบอาจจะตีความผิดวา เหตุการณที่ปรากฏในงานวรรณกรรม กฎหมายเกิดขึ้นจริงในสังคมที่ศึกษา สําหรับหลักฐานที่เปนสนธิสัญญาจะตองตีความอยางระมัดระวังมาก เนื่องจากมีกฎเกณฑเกี่ยวกับการทํา สนธิสัญญาไววาตองใชคําสุภาพและมีมารยาท ผูใชเอกสารหลักฐานที่เปนสนธิสัญญา ต้องใช้ความรอบคอบในการทํา ความเขาใจกับการใชสํานวนภาษา และจุดมุงหมายที่แทจริงของการทําสัญญา มิฉะนั้นอาจทําใหตีความผิดไปจากความ จริง กอใหเกิดการนําเสนอภาพความสัมพันธที่ผิดไปจากความจริง ดังนั้นผูใชเอกสารหลักฐาน ตอง คํานึงถึงแนวคิดหลักในการตีความ 2 ประการ คือ ประการแรก ตีความ เอกสารหลักฐานนั้นบอกอะไรบาง ประการที่สอง คือ ตีความในขั้นลึกและกวาง คือ ตีความวา ขอความเรื่องราวที่ปรากฏในเอกสารหลักฐานนั้น มีขอมูลใดแฝงเรนอยูอีกบาง ที่ผูสรางหลักฐานไมไดบอกไวชัดเจนเหมือนขอความอื่น ๆ ซึ่งผูใชเอกสารหลักฐานตองวิ เคราะหตีความ สร้างองคความรูขึ้นใหมเพื่อเปนเอกสารหลักฐานชั้นรองตอไป


นิทาน เรื่อง กระต่ายตื่นตูม กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง มีดงตาลกับต้นมะตูมอยู่ติดทะเล ด้านทิศตะวันตกของป่านั้น ณ ที่ดงตาลนั้นมีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ใต้ต้นตาลใกล้ต้นมะตูมต้นหนึ่ง วันหนึ่ง เจ้า กระต่ายออกเที่ยวหากินอิ่มแล้ว กลับมานอนพักผ่อนอยู่ใต้ใบตาลแห้ง กำลังนอนคิดเพลินๆ อยู่ว่า “ถ้าหากแผ่นดินนี้ ถล่ม เราจะไปอยู่ที่ไหนหนอ” ทันใดนั้นเองผลมะตูมสุกลูกหนึ่งได้หล่นลงมาถูกใบตาลเสียงดังลั่นเจ้ากระต่ายนึกว่าเป็น เสียงแผ่นดินถล่ม จึงร้องขึ้นสุดเสียงว่า “แผ่นดินถล่มแล้วๆ ” พร้อมกับกระโดดวิ่งหนีไปสุดชีวิตโดยไม่เหลียวหลังมาดู เลย กระต่ายตัวอื่นๆ เห็นมันวิ่งหนีอะไรมาสุดชีวิตจึงร้องถามมันว่า “เจ้าวิ่งหนีอะไรมา” มันทั้งวิ่งทั้งร้องตอบว่า “รีบ หนีเร็ว แผ่นดินถล่มแล้วๆ” กระต่ายจำนวนนับพันต่างก็รีบวิ่งหนีตายตามมันไปด้วย สัตว์ป่านานาชนิดเมื่อทราบข่าวต่าง ก็วิ่งหนีตามกระต่ายไป ฝูงสัตว์วิ่งหนีตามกันมาเป็นทิวแถว ราชสีห์เห็นสัตว์น้อยใหญ่วิ่งกันมาฝุ่นฟุ้งกระจุยจึงร้องถามไป ว่า “พวกเจ้าวิ่งหนีอะไรมา” ได้รับคำตอบว่า “เจ้านาย แผ่นดินที่โน้นถล่มแล้ว พวกเราวิ่งหนีตาย” แล้วก็วิ่งไปต่อ บ่าย หน้าไปทางหน้าผาสูงชันโดยไม่รู้ตัว ราชสีห์ด้วยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลายเกรงว่าจะตกเหวตายเสียหมด จึงวิ่งไปดัก ข้างหน้าพร้อมกับคำรามเสียงดังลั่นขึ้น 3 ครั้ง สัตว์ทั้งหลายพอได้ยินเสียราชสีห์ก็พากันตกใจกลัว ตื่นจากภวังค์และ หยุดวิ่ง ราชสีห์จึงถามว่า “ใครเห็นแผ่นดินถล่มบ้าง” พวกสัตว์บอกว่า “ช้างเห็นขอรับ” ช้างบอกว่า “เสือเห็น” เสือ บอกว่า “แรดเห็น” แรดบอกว่า “ควายเห็น” ควายบอกว่า “หมูป่าเห็น” หมูป่าบอกว่า “กวางเห็น” กวางบอกว่า “กระต่ายเห็น” พวกกระต่าย จึงชี้บอกว่า “กระต่ายตัวนี้เห็นแผ่นดินถล่มครับ..นาย” ราชสีห์จึงถามกระต่ายตัวนั้นว่า เป็นจริงหรือเปล่า กระต่ายตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงๆ นายท่าน ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนพักผ่อนอยู่ใต้ใบตาลก็มีเสียง ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น ข้าพเจ้าจึงวิ่งหนีตายมานี่ละ.... นายท่าน” เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ราชสีห์จึงบอกให้สัตว์ทั้งหลายรออยู่ที่ตรงนั้นส่วนตนและเจ้ากระต่ายได้เดินกลับไปดู สถานที่ต้นเหตุ ตรวจดูเห็นผมมะตูมสุกลูกหนึ่งวางอยู่ก็เข้าใจทันที จึงกลับมาบอกสัตว์ทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายเลิก กลัวได้แล้ว เสียงแผ่นดินถล่ม เป็นเสียงผลมะตูมสุกหล่นกระทบใบตาลแห้งดอก เลิกกลัวได้แล้ว” สัตว์ทั้งหลายอาศัย ราชสีห์จึงเอาชีวิตรอดมาได้ พระพุทธองค์จึงตรัสพระคาถาว่า “พวกคนโง่เขลายังไม่ทันรู้เรื่องราวแจ่มแจ้ง ฟังคนอื่นโจษขาน ก็พากันตื่น ตระหนก พวกเขาเชื่อคนง่าย ส่วนคนเหล่าใดเป็นนักปราชญ์ เพียบพร้อมด้วยศีลและปัญญา ยินดีในความสงบ และ เว้นไกลจากการทำชั่ว คนเหล่านั้นหาเชื่อคนอื่นง่ายไม่” นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ก่อนจะเชื่ออะไรใคร ควรพิจารณาตรวจสอบความเป็นจริงเสียก่อน เพื่อความถูกต้องจะได้ไม่เป็นเช่นกระต่าย ตื่นตูม


บัตรคำ ผ้าเยียรบับกับการแต่งกายในราชสำนักไทย “...พระนารายน์มหาราชซงเผยพระบัญชรสเด็ดออกไห้เราเฝ้า พระมหากสัตรพระองค์นี้ ซงพระมาลายอดแหลม คล้ายกันกับหมวกยอดที่เราเคยไช้กันไนประเทสฝรั่งเสสไนกาลก่อน แต่ริมไม่กว้างกว่าหนึ่งนิ้ว พระมาลานั้นมีสายรัดทำด้วย ไหมทาบไต้พระหนุ ซงฉลองพระองค์เยียระบับสีเพลิงสลับทอง สอดพระแสงกริดไว้ที่รัด พิตรอันวิจิตรงดงาม และซงพระ ธำมรงค์อันมีค่าทุกนิ้วพระหัถ...” เอกสารจดหมายเหตุฟอร์บัง เหตุการณ์ปลายสมัยกรุงธนบุรี “.......อยู่ภายหลังกรุงธนบุรีเกิดโกลี พันศรีพันลาเป็นต้นฟ้องว่า ขุนนางและราษฎรขายข้าวเกลือลงสำเภา โยธาบดีผู้รับ ฟ้องกราบทูล รับสั่งให้เร่งเงินที่ขุนนางราษฎรขายข้าวเกลือ ให้เฆี่ยนเร่งเงินเข้าท้องพระคลัง ร้อนทุกเส้นหญ้า สมณราษฎรไม่ มีสุข ยุคเข็ญเป็นที่สุดในปลายแผ่นดิน เงินในคลังในหาย 2,000 เหรียญๆ ละ 1 บาท 3 สลึง 1 เฟื้อง แพรเหลือง 10 ม้วน รับสั่งเรียกหาไม่ได้ ชาวคลังต้องเฆี่ยนใส่ไฟย่างแสนสาหัส ท่านสงสัยว่าข้างในขโมยเงินในคลัง จนพระมาตุจฉาพระพี่นางเธอ ให้จำหม่อมเจ้านัดดาแทนมารดาเจ้าแทนอยู่งาน คนรำใหญ่ให้เฆี่ยนคนละ 150 คนละ 100 คนละ 50 คนรำเล็กให้พ่อให้ แม่พี่น้องทาสรับพระราชอาญา 100 ให้เจ้าตัวแต่คนละ 20 ที คนละ 10 ทีตามรับสั่ง” จดหมายเหตุความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพธิ์) การแต่งงานของชาวสยาม “...งานนี้จัดขึ้นที่บ้านฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งเจ้าบ่าวต้องเอาเป็นธุระปลูกโรงสำหรับทำพิธีขึ้นหลังหนึ่งโดยเฉพาะ ในบริเวณ ที่ห่างออกไปจากเรือนใหญ่ และจากที่นั่นก็นำคู่บ่าวสาวไปสู่เรือนหอซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวอีกหลังหนึ่ง เป็นภาระของเจ้าบ่าว ที่จะต้องปลูกสร้างขึ้นด้วยทุนรอนของตนเองเหมือนกัน เรือนหอตั้งอยู่ภายในรั้วไม้ไผ่ภายในบริเวณบ้านบิดามารดาของ ฝ่ายหญิง คู่แต่งงานใหม่จะพำนักอยู่ที่เรือนหอนี้3-4 เดือน แล้วจึงแยกออกไปปลูกเรือนอยู่ในที่แห่งใหม่ตามใจชอบของ ตนเองต่อไป” จดหมายเหตุลาลูแบร์


แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่อง ที่ตรงกับระดับคะแนน ลำดับ ที่ ชื่อ-สกุล ของผู้รับการ ประเมิน ความมีวินัย ความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ เสียสละ การรับฟัง ความคิดเห็น การแสดงความ คิดเห็น การตรงต่อ เวลา รวม 20 คะแนน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 ลงชื่อ .................................................... ผู้ประเมิน ................ /................ /................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ารตดัสินคณุภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต ่ากว่า 10 ปรับปรุง


แบบประเมิน การนำเสนอผลงาน คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน ประเมินการนำเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการที่กำหนดแล้วขีด ✓ ลงในช่อง ที่ตรงกับระดับคะแนน ลำดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ความคิดสร้างสรรค์ 3 วิธีการนำเสนอผลงาน 4 การนำไปใช้ประโยชน์ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ.................................................... ผู้ประเมิน ................ /................ /................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 4 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องบางส่วน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องมาก ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ารตดัสินคณุภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต ่ากว่า 10 ปรับปรุง


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สาระการเรียนรู้ที่ 4 ประวัติศาสตร์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ความสำคัญของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เวลาเรียน 5 ชั่วโมง เรื่องที่ 4 การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เวลาเรียน 1 ชั่วโมง วัน____เดือน________พ.ศ.____ ครูผู้สอน นายคณาธิป ผิวบุญเรือง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้ ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ สามารถ ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ ตัวชี้วัด ส 4.1 ม.2/3 เห็นความสำคัญของการตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ ๒. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถบอกความสำคัญของการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ได้(K) 2. นักเรียนสามารถสืบค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ได้ในเรื่องการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลได้ (P) 3. นักเรียนให้ความร่วมมือเรื่อง การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์(A) 3. คุณลักษณะอันพึงประสงค์/สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ๓.๑ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ใฝ่เรียนรู้ 2. มุ่งมั่นในการทำงาน ๓.๒ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ๑. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการแก้ปัญหา 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ๔. สาระสำคัญ การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล มีความสำคัญต่อการค้นหาความจริงประวัติศาสตร์ และอำนวยความสะดวกใน การนำเสนอข้อมูล


๕. สาระการเรียนรู้ 1. ตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารต่างๆ ในสมัยอยุธยาและธนบุรี (เชื่อมโยงกับ มฐ. ส 4.3) เช่น ข้อความ บางตอนในพระราชพงศาวดารอยุธยา จดหมายเหตุชาวต่างชาติ 2. ความสำคัญของการวิเคราะห์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ๖. กิจกรรมการเรียนรู้ (วิธีสอนโดยเน้นกระบวนการ : กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ) ขั้นที่ 1 สังเกต 1. ครูให้นักเรียนอ่านลิลิตตะเลงพ่าย ตอน ทัพหน้าไทยปะทะ หงสาวดี แล้วแปลสรุปเป็นใจความสำคัญสั้นๆ จากนั้นวิเคราะห์และสังเคราะห์ให้นักเรียนฟังว่ามีสาระสำคัญ คือ กล่าวถึงประเพณีการรบในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งขณะนั้น อยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 2. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - นักเรียนพบข้อสังเกตอะไรบ้าง เกี่ยวกับประเพณีการรบในสมัยกรุงศรีอยุธยา (แนวคำตอบ : เครื่องทรงของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชซึ่งทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพ การบรรเลงดนตรี ก่อนการรบเพื่อให้นักรบเกิดความฮึกเหิม และอาวุธที่ใช้ใน การรบ) ขั้นที่ 2 อธิบาย 3. ครูให้นักเรียนศึกษาความรู้เรื่อง การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล จากหนังสือเรียน แล้วบันทึกลงในแบบบันทึก การอ่าน 4. ครูขออาสาสมัครเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการวิเคราะห์และสังเคราะห์หลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเภท วรรณคดี ว่ามีข้อควรระวังอย่างไร โดยให้นักเรียนแยกแยะส่วนที่เป็นความจริง ข้อเท็จจริง และความคิดเห็นของ ผู้บันทึก รวมทั้งวิเคราะห์สาเหตุของเหตุการณ์และผลที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้น 5. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - ข้อเท็จจริงกับความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างไร เช่น (แนวคำตอบ : ข้อเท็จจริง คือ ข้อความที่แสดงถึงเหตุการณ์ ความเป็นมาต่างๆ ส่วนความคิดเห็น คือ อารมณ์และความรู้สึกของผู้เขียนที่สอดแทรกอยู่ในข้อมูล) ขั้นที่ 3 รับฟัง 6. ครูสุ่มนักเรียนให้แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจากนักเรียนที่เป็นอาสาสมัคร โดยครูอธิบายว่า ต้องเป็นการแสดง ความคิดเห็นอย่างสมเหตุสมผล รับฟังความคิดเห็นของเพื่อน ไม่ใช้อารมณ์และความคิดของตนเองเป็นใหญ่ 7. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - การวิเคราะห์เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกจากหลายที่มา และมีเนื้อหาขัดแย้งกัน ควรมีวิธีการ วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลอย่างไร (แนวคำตอบ : พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นที่ 4 เชื่อมโยงความสัมพันธ์ 8. ครูแจกใบความรู้ เรื่อง ตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ให้สมาชิกแต่ละกลุ่มศึกษา และเชื่อมโยง ความเข้าใจของตนเองกับความรู้ใหม่ 9. ครูแจกใบงานที่ 1.3 เรื่อง การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม (กลุ่มเดิมจากแผนการ จัดการเรียนรู้ที่ 1) ช่วยกันทำ โดยศึกษาข้อมูลตัวอย่างจาก หนังสือเรียน


10. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - นักเรียนสามารถนำการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไปใช้ในการรับข่าวสารใน ชีวิตประจำวันได้หรือไม่ อย่างไร (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นที่ 5 วิจารณ์ 11. ครูให้ตัวแทนของแต่ละกลุ่มผลัดกันนำเสนอใบงานที่ 1.3 หน้าชั้นเรียน แล้วให้สมาชิกกลุ่มอื่นช่วยกันวิจารณ์ ผลงาน ของเพื่อน โดยจำแนกข้อดี ข้อด้อย พร้อมยกเหตุผลและข้อเสนอแนะประกอบการวิจารณ์ 12. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - นักเรียนเห็นด้วยกับการเพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวในการนำเสนอข้อมูลทางประวัติศาสตร์หรือไม่ อย่างไร (แนวคำตอบ : พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นที่ 6 สรุป 13. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความสำคัญของการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ โดยให้ นักเรียนบันทึกข้อมูลลงในสมุด ๗. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ ๗.๑ สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียน ประวัติศาสตร์ ม.2 2) ใบความรู้ เรื่อง ตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ 3) ลิลิตตะเลงพ่าย ตอน ทัพไทยปะทะหงสาวดี 4) ใบงานที่ 1.3 เรื่อง การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล ๗.๒ แหล่งการเรียนรู้ ๑. ห้องสมุดโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ๒. ห้องสมุดมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี


๘. กระบวนการวัดผลและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ เครื่องมือวัด วิธีการวัด เกณฑ์การวัดและ ประเมินผล 1. นักเรียนบอกความสำคัญ ของการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลทาง ประวัติศาสตร์ได้(K) ใบงาน ตรวจใบงาน ร้อยละ 70 ผ่าน เกณฑ์ 2. นักเรียนสามารถสืบค้น ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ได้ใน เรื่องการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลได้ (P) แบบประเมินพฤติกรรมในการ ทำงานรายบุคคลและกลุ่ม ประเมินพฤติกรรมในการ ทำงานรายบุคคลและกลุ่ม ระดับคุณภาพ ๒ ผ่านเกณฑ์ 3. นักเรียนให้ความร่วมมือ เรื่อง การวิเคราะห์และ สังเคราะห์ข้อมูลจากหลักฐาน ทางประวัติศาสตร์(A) แบบประเมินพฤติกรรมในการ ทำงานรายบุคคล ประเมินพฤติกรรมในการ ทำงานรายบุคคล ระดับคุณภาพ ๒ ผ่านเกณฑ์ ๙. บันทึกผลหลังสอน ๙.1 ปัญหาที่เกิดขึ้น ..……………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๙.2 วิธีการแก้ปัญหา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๙.3 ผลการแก้ปัญหา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ……………..…………………………ครูผู้สอน (นายคณาธิป ผิวบุญเรือง) ….……./……….…./………..


๑0. ความคิดเห็นของครูพี่เลี้ยง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ……………………………………ครูพี่เลี้ยง (นางสาวยุพิน จักรทองดี) ………./…….……./………... ๑๑. ความคิดเห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………………… (นางสาวยุพิน จักรทองดี) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ………./……..……./……….. ๑๒. ความคิดเห็นของผู้บริหาร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………………… ( ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดวงสมร กิจโกศล ) รองผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ………./……..……./………..


ใบความรู้ แนวคิดเกี่ยวกับการตีความทางประวัติศาสตร์ ผู้ใชเอกสารหลักฐาน ตองซื่อสัตย์ต่อเอกสารหลักฐานและผูอาน โดยไมตีความบิดเบือนหลักฐาน หรือป ดบังหลักฐานที่ขัดแยงกับคําตอบที่ตนตองการ การวิเคราะหตีความ หมายถึง ความพยายามที่จะถอดความหรือ เรื่องราวจาก ขอสนเทศที่ปรากฏในเอกสารหลักฐานดวยใจเปนกลางโดยจะตองดึงภาพจากความบันดาลใจความ เขาอกเขาใจในอดีต เพื่อสรางความเคลื่อนไหว ความขัดแยง ชัยชนะ ภูมิภาพ ความยากลําบาก พลังของสังคม อดีตแตละสวนขึ้นมาใหได โดยไมนําคานิยม หรือวัฒนธรรมสมัยของตนไปวินิจฉัยอดีต อันตรายอยางสําคัญที่เกิดจากการตีความ คือ ผูตีความมักจะใสขอความตามความรูที่ตนมีอยูเพิ่มเติมเข าไปในการตีความจากเอกสารหลักฐาน เปนเหตุใหเกิดการบิดเบือนความจริงโดยไมไดตั้งใจ ตัวอยาง การสรางองคความรูเกี่ยวกับ การเรียนรูวิชามวย และความสามารถดานศิลปะการตอสูของพระ ยาพิชัย (ดาบหัก) ของงานเขียนประวัติพระยาพิชัย ผูสรางหลักฐานมีความรูทางเชิงมวย จะใสความรูของตนเอง ลงไปหรือผูเขียนมีความรูศิลปะการตอสูดวยดาบ จะใสความรูของตนเองเขาไป ผูใชเอกสารหลักฐานเหลานี้อา งอิงในงานเขียนบทความหรืองานวิจัยเกี่ยวกับท้องถิ่นตองกลั่นกรองใหรอบคอบ อีกกรณีหนึ่งคือการตีความเอกสาร หลักฐานที่เปนวรรณกรรม กฎหมายตองวิเคราะหตีความใหรอบคอบ เพราะเรื่องราวที่ปรากฏในวรรณกรรม หรือกฎหมายอาจจะเปนเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และนํามาเขียนวรรณกรรม หรือเขียนกฎหมายออกมาใชแกไขเมื่อเกิดเหตุการณนี้อีก แตอาจไมเกิดจริงก็มี เพราะบางเหตุการณ์ที่ระบุใน วรรณคดีหรือในกฎหมายยังไมไดเกิด แตผูสรางหลักฐาน มีความรูและประสบการณ์จากสังคมอื่น ไดนํามาเขียน ไวในวรรณกรรมหรือกฎหมาย ถาไมรอบคอบอาจจะตีความผิดวา เหตุการณที่ปรากฏในงานวรรณกรรม กฎหมายเกิดขึ้นจริงในสังคมที่ศึกษา สําหรับหลักฐานที่เปนสนธิสัญญาจะตองตีความอยางระมัดระวังมาก เนื่องจากมีกฎเกณฑเกี่ยวกับการทํา สนธิสัญญาไววาตองใชคําสุภาพและมีมารยาท ผูใชเอกสารหลักฐานที่เปนสนธิสัญญา ต้องใช้ความรอบคอบใน การทําความเขาใจกับการใชสํานวนภาษา และจุดมุงหมายที่แทจริงของการทําสัญญา มิฉะนั้นอาจทําใหตีความ ผิดไปจากความจริง กอใหเกิดการนําเสนอภาพความสัมพันธที่ผิดไปจากความจริง ดังนั้นผูใชเอกสารหลักฐาน ตอง คํานึงถึงแนวคิดหลักในการตีความ 2 ประการ คือ ประการแรก ตีความ เอกสารหลักฐานนั้นบอกอะไรบาง ประการที่สอง คือ ตีความในขั้นลึกและกวาง คือ ตีความวา ขอความเรื่องราวที่ปรากฏในเอกสารหลักฐาน นั้น มีขอมูลใดแฝงเรนอยูอีกบาง ที่ผูสรางหลักฐานไมไดบอกไวชัดเจนเหมือนขอความอื่น ๆ ซึ่งผูใช เอกสารหลักฐานตองวิเคราะหตีความ สร้างองคความรูขึ้นใหมเพื่อเปนเอกสารหลักฐานชั้นรองตอไป


นิทาน เรื่อง กระต่ายตื่นตูม กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง มีดงตาลกับต้นมะตูมอยู่ติด ทะเลด้านทิศตะวันตกของป่านั้น ณ ที่ดงตาลนั้นมีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ใต้ต้นตาลใกล้ต้นมะตูมต้นหนึ่ง วัน หนึ่ง เจ้ากระต่ายออกเที่ยวหากินอิ่มแล้ว กลับมานอนพักผ่อนอยู่ใต้ใบตาลแห้ง กำลังนอนคิดเพลินๆ อยู่ว่า “ถ้า หากแผ่นดินนี้ถล่ม เราจะไปอยู่ที่ไหนหนอ” ทันใดนั้นเองผลมะตูมสุกลูกหนึ่งได้หล่นลงมาถูกใบตาลเสียงดังลั่น เจ้ากระต่ายนึกว่าเป็นเสียงแผ่นดินถล่ม จึงร้องขึ้นสุดเสียงว่า “แผ่นดินถล่มแล้วๆ ” พร้อมกับกระโดดวิ่งหนีไป สุดชีวิตโดยไม่เหลียวหลังมาดูเลย กระต่ายตัวอื่นๆ เห็นมันวิ่งหนีอะไรมาสุดชีวิตจึงร้องถามมันว่า “เจ้าวิ่งหนีอะไรมา” มันทั้งวิ่งทั้งร้องตอบ ว่า “รีบหนีเร็ว แผ่นดินถล่มแล้วๆ” กระต่ายจำนวนนับพันต่างก็รีบวิ่งหนีตายตามมันไปด้วย สัตว์ป่านานาชนิด เมื่อทราบข่าวต่างก็วิ่งหนีตามกระต่ายไป ฝูงสัตว์วิ่งหนีตามกันมาเป็นทิวแถว ราชสีห์เห็นสัตว์น้อยใหญ่วิ่งกันมา ฝุ่นฟุ้งกระจุยจึงร้องถามไปว่า “พวกเจ้าวิ่งหนีอะไรมา” ได้รับคำตอบว่า “เจ้านาย แผ่นดินที่โน้นถล่มแล้ว พวก เราวิ่งหนีตาย” แล้วก็วิ่งไปต่อ บ่ายหน้าไปทางหน้าผาสูงชันโดยไม่รู้ตัว ราชสีห์ด้วยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย เกรงว่าจะตกเหวตายเสียหมด จึงวิ่งไปดักข้างหน้าพร้อมกับคำรามเสียงดังลั่นขึ้น 3 ครั้ง สัตว์ทั้งหลายพอได้ยิน เสียราชสีห์ก็พากันตกใจกลัว ตื่นจากภวังค์และหยุดวิ่ง ราชสีห์จึงถามว่า “ใครเห็นแผ่นดินถล่มบ้าง” พวกสัตว์บอกว่า “ช้างเห็นขอรับ” ช้างบอกว่า “เสือเห็น” เสือบอกว่า “แรดเห็น” แรดบอกว่า “ควายเห็น” ควายบอกว่า “หมูป่าเห็น” หมูป่าบอกว่า “กวางเห็น” กวาง บอกว่า “กระต่ายเห็น” พวกกระต่าย จึงชี้บอกว่า “กระต่ายตัวนี้เห็นแผ่นดินถล่มครับ..นาย” ราชสีห์จึงถาม กระต่ายตัวนั้นว่าเป็นจริงหรือเปล่า กระต่ายตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงๆ นายท่าน ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอน พักผ่อนอยู่ใต้ใบตาลก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น ข้าพเจ้าจึงวิ่งหนีตายมานี่ละ.... นายท่าน” เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ราชสีห์จึงบอกให้สัตว์ทั้งหลายรออยู่ที่ตรงนั้นส่วนตนและเจ้ากระต่ายได้เดิน กลับไปดูสถานที่ต้นเหตุ ตรวจดูเห็นผมมะตูมสุกลูกหนึ่งวางอยู่ก็เข้าใจทันที จึงกลับมาบอกสัตว์ทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายเลิกกลัวได้แล้ว เสียงแผ่นดินถล่ม เป็นเสียงผลมะตูมสุกหล่นกระทบใบตาลแห้งดอก เลิกกลัวได้ แล้ว” สัตว์ทั้งหลายอาศัยราชสีห์จึงเอาชีวิตรอดมาได้ พระพุทธองค์จึงตรัสพระคาถาว่า “พวกคนโง่เขลายังไม่ทันรู้เรื่องราวแจ่มแจ้ง ฟังคนอื่นโจษขาน ก็พากัน ตื่นตระหนก พวกเขาเชื่อคนง่าย ส่วนคนเหล่าใดเป็นนักปราชญ์ เพียบพร้อมด้วยศีลและปัญญา ยินดีในความ สงบ และ เว้นไกลจากการทำชั่ว คนเหล่านั้นหาเชื่อคนอื่นง่ายไม่” นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ก่อนจะเชื่ออะไรใคร ควรพิจารณาตรวจสอบความเป็นจริงเสียก่อน เพื่อความถูกต้องจะได้ไม่เป็นเช่น กระต่าย ตื่นตูม


บัตรคำ ผ้าเยียรบับกับการแต่งกายในราชสำนักไทย “...พระนารายน์มหาราชซงเผยพระบัญชรสเด็ดออกไห้เราเฝ้า พระมหากสัตรพระองค์นี้ ซงพระมาลายอด แหลม คล้ายกันกับหมวกยอดที่เราเคยไช้กันไนประเทสฝรั่งเสสไนกาลก่อน แต่ริมไม่กว้างกว่าหนึ่งนิ้ว พระมาลานั้นมีสาย รัดทำด้วยไหมทาบไต้พระหนุ ซงฉลองพระองค์เยียระบับสีเพลิงสลับทอง สอดพระแสงกริดไว้ที่รัด พิตรอันวิจิตร งดงาม และซงพระธำมรงค์อันมีค่าทุกนิ้วพระหัถ...” เอกสารจดหมายเหตุฟอร์บัง เหตุการณ์ปลายสมัยกรุงธนบุรี “.......อยู่ภายหลังกรุงธนบุรีเกิดโกลี พันศรีพันลาเป็นต้นฟ้องว่า ขุนนางและราษฎรขายข้าวเกลือลงสำเภา โยธาบดีผู้รับฟ้องกราบทูล รับสั่งให้เร่งเงินที่ขุนนางราษฎรขายข้าวเกลือ ให้เฆี่ยนเร่งเงินเข้าท้องพระคลัง ร้อนทุก เส้นหญ้า สมณราษฎรไม่มีสุข ยุคเข็ญเป็นที่สุดในปลายแผ่นดิน เงินในคลังในหาย 2,000 เหรียญๆ ละ 1 บาท 3 สลึง 1 เฟื้อง แพรเหลือง 10 ม้วน รับสั่งเรียกหาไม่ได้ ชาวคลังต้องเฆี่ยนใส่ไฟย่างแสนสาหัส ท่านสงสัยว่าข้างใน ขโมยเงินในคลัง จนพระมาตุจฉาพระพี่นางเธอให้จำหม่อมเจ้านัดดาแทนมารดาเจ้าแทนอยู่งาน คนรำใหญ่ให้เฆี่ยน คนละ 150 คนละ 100 คนละ 50 คนรำเล็กให้พ่อให้แม่พี่น้องทาสรับพระราชอาญา 100 ให้เจ้าตัวแต่คนละ 20 ที คนละ 10 ทีตามรับสั่ง” จดหมายเหตุความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพธิ์) การแต่งงานของชาวสยาม “...งานนี้จัดขึ้นที่บ้านฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งเจ้าบ่าวต้องเอาเป็นธุระปลูกโรงสำหรับทำพิธีขึ้นหลังหนึ่งโดยเฉพาะ ใน บริเวณ ที่ห่างออกไปจากเรือนใหญ่ และจากที่นั่นก็นำคู่บ่าวสาวไปสู่เรือนหอซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวอีกหลังหนึ่ง เป็นภาระของ เจ้าบ่าว ที่จะต้องปลูกสร้างขึ้นด้วยทุนรอนของตนเองเหมือนกัน เรือนหอตั้งอยู่ภายในรั้วไม้ไผ่ภายในบริเวณ บ้านบิดามารดาของ ฝ่ายหญิง คู่แต่งงานใหม่จะพำนักอยู่ที่เรือนหอนี้ 3-4 เดือน แล้วจึงแยกออกไปปลูก เรือนอยู่ในที่แห่งใหม่ตามใจชอบของตนเองต่อไป” จดหมายเหตุลาลูแบร์


แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่อง ที่ตรงกับระดับคะแนน ลำดับ ที่ ชื่อสกุล ของ ผู้รับ การ ประเมิน ความมีวินัย ความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ เสียสละ การรับฟัง ความคิดเห็น การแสดง ความคิดเห็น การตรงต่อ เวลา รวม 20 คะแนน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 ลงชื่อ.................................................... ผู้ประเมิน ................ /................ /................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ารตดัสินคณุภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต ่ากว่า 10 ปรับปรุง


แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่อง ที่ตรงกับระดับคะแนน ลำดับ ที่ ชื่อสกุล ของ ผู้รับ การ ประเมิน ความ ร่วมมือกัน ทำกิจกรรม การแสดง ความคิดเห็น การรับฟัง ความคิดเห็น ความตั้งใจ ทำงาน การแก้ไข ปัญหา/หรือ ปรับปรุง ผลงานกลุ่ม รวม 20 คะแนน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 ลงชื่อ.................................................... ผู้ประเมิน ................ /................ /................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ารตดัสินคณุภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต ่ากว่า 10 ปรับปรุง


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ สาระการเรียนรู้ที่ ๔ ประวัติศาสตร์ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการของอาณาจักรอยุธยา เวลาเรียน ๑๐ ชั่วโมง เรื่องที่ ๑ การสถาปนาอาณาจักรและปัจจัยที่มีผลต่อความเจริญรุ่งเรือง เวลาเรียน ๑ ชั่วโมง วัน____เดือน________พ.ศ.____ ครูผู้สอน นายคณาธิป ผิวบุญเรือง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตฐานการเรียนรู้ ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก ความภูมิใจและธำรงความเป็นไทย ตัวชี้วัด ม.2/1 วิเคราะห์พัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาและธนบุรีในด้านต่างๆ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถสรุปเรื่องราวก่อนการสถาปนาอาณาจักรอยุธยาได้(K) 2. นักเรียนสามารถวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรอยุธยาได้(P) 3. นักเรียนตะหนักถึงความสำคัญเรื่อง การสถาปนาอาณาจักร (A) ๓. คุณลักษณะอันพึงประสงค์/สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ๓.๑ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๑. มีวินัย ๒. ใฝ่เรียนรู้ ๓. มุ่งมั่นในการทำงาน ๓.๒ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ๑. ความสามารถในการสื่อสาร ๒. ความสามารถในการคิด ๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา ๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 4. สาระสำคัญ ก่อนการสถาปนาอาณาจักรอยุธยา มีชุมชนตั้งอยู่ก่อนแล้ว พระเจ้าอู่ทองทรงรวบรวมดินแดน และ สถาปนาอาณาจักรอยุธยา โดยมีปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อความเจริญรุ่งเรือง


5. สาระการเรียนรู้ - การสถาปนาอาณาจักรอยุธยา - ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรอยุธยา 6. กิจกรรมการเรียนรู้(วิธีสอนแบบ KWL) ขั้นที่ 1 K (What you know) 1. ครูเปิดเพลงอยุธยารำลึก ให้นักเรียนฟัง แล้วให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาของ เพลงที่ได้ฟัง 2. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - อาณาจักรอยุธยาตั้งอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะแก่การป้องกันข้าศึกอย่างไร (แนวคำตอบ : มีสภาพเป็นเกาะ มีแม่น้ำล้อมรอบ ข้าศึกไม่สามารถปิดล้อมได้นาน เพราะต้องถอยทัพ กลับเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก) 3. ครูแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน คละกันตามความสามารถ คือ เก่ง ปานกลางค่อนข้างเก่ง ปาน กลางค่อนข้างอ่อน และอ่อน 4. ครูให้นักเรียนดูแผนที่แสดงสภาพภูมิศาสตร์ของอาณาจักรอยุธยา จากนั้นครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกัน ระดมสมองเรื่อง ก่อนการสถาปนาอาณาจักรอยุธยา ลงในใบงานที่ 2.1 เรื่อง การสถาปนาอาณาจักร อยุธยาและปัจจัยที่มีผล ต่อความเจริญรุ่งเรือง โดยเขียนลงในช่อง K 5.นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - ปัจจัยใดที่ส่งผลต่อความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรอยุธยา (แนวคำตอบ : พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน) 6. ครูเปิดเพลงอยุธยารำลึก ให้นักเรียนฟัง แล้วให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาของ เพลงที่ได้ฟัง 7. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - อาณาจักรอยุธยาตั้งอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะแก่การป้องกันข้าศึกอย่างไร (แนวคำตอบ : มีสภาพเป็นเกาะ มีแม่น้ำล้อมรอบ ข้าศึกไม่สามารถปิดล้อมได้นาน เพราะต้องถอยทัพ กลับเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก) ขั้นที่ 2 W (What you want to know) 7. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาเรื่อง ก่อนการสถาปนาอาณาจักรอยุธยา จากหนังสือเรียน หรือหนังสือ ค้นคว้าเพิ่มเติม โดยอ่านอย่างคร่าวๆ 8. ครูแจกใบความรู้ที่ 1-3 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษา ตามประเด็นดังต่อไปนี้ - ใบความรู้ที่ 1 เรื่อง การสถาปนาอาณาจักรอยุธยา - ใบความรู้ที่ 2 เรื่อง ความสำคัญของที่ตั้งและสภาพภูมิประเทศของอาณาจักรอยุธยา - ใบความรู้ที่ 3 เรื่อง ทรัพยากรธรรมชาติและพระมหากษัตริย์ของอาณาจักรอยุธยา 9. ครูให้สมาชิกแต่ละกลุ่มช่วยกันเขียนคำถามที่ตนอยากทราบ ลงบนกระดานในรูปแผนผังความคิด โดยครู ช่วยจัดข้อความที่เป็นความคิดให้เป็นประเด็นที่ชัดเจน แล้วให้แต่ละกลุ่มบันทึกลงในใบงานที่ 2.1 ช่อง W


10. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด ข้อ 1-2 เช่น 1. นักเรียนทราบได้อย่างไรว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ (แนวคำตอบ : พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน) 2. นักเรียนคิดว่า การเลือกชัยภูมิในการสร้างบ้านแปลงเมืองมีผลต่อความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร หรือไม่ อย่างไร (แนวคำตอบ : พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน ขั้นที่ 3 L (What you have learned) 11. ครูให้นักเรียนศึกษาความรู้เรื่องเดิมอีกครั้ง โดยอ่านอย่างละเอียดและพยายามหาคำตอบในสิ่งที่ตนตั้ง คำถามไว้แล้วเขียนข้อมูลที่ได้ลงในใบงานที่ 2.1 ช่อง L 12. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด ข้อ 1-2 เช่น 1. ความเป็น “เกาะเมือง” ของอาณาจักรอยุธยามีผลต่อความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรอย่างไร (แนวคำตอบ : พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน) 2. การที่อาณาจักรอยุธยาตั้งอยู่กึ่งกลางเส้นทางเดินเรือระหว่างอินเดียและจีน ก่อให้เกิดผลดีต่อพัฒนาการ ของอาณาจักรอยุธยาอย่างไร (แนวคำตอบ : พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน 13. นักเรียนนำข้อมูลที่ได้มาปรับแผนผังความคิดเดิมที่นักเรียนเขียนไว้ในใบงานที่ 2.1 ซึ่งอาจจะมีการตัดทอน เพิ่ม หรือจัดระบบข้อมูลใหม่ให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น 14. นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอข้อมูลของตนจากใบงานที่ 2.1 ในรูปแบบตาราง KWL 15. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - เพราะเหตุใด การศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยาจึงมักศึกษาจากหลักฐานงานเขียนของชาวตะวันตก (แนวคำตอบ : เอกสารของไทยมีรายละเอียดน้อย และมักเขียนประวัติศาสตร์เพื่อเชิดชูชาติไทยเพียงด้าน เดียว) 16. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้หลังเรียน 7. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียน ประวัติศาสตร์ ม.2 2. หนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม (2.1)นิโกลาส์แชร์แวส. 2517. ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม. กรุงเทพมหานคร. กรมศิลปากร. (2.2)ลาลูแบร์. 2510. จดหมายเหตุลาลูแบร์. สันต์ ท.โกมลบุตร แปล. กรุงเทพมหานคร : ก้าวหน้า. 3. ใบความรู้ที่ 1 เรื่อง การสถาปนาอาณาจักรอยุธยา 4. ใบความรู้ที่ 2 เรื่อง ความสำคัญของที่ตั้งและสภาพภูมิประเทศของอาณาจักรอยุธยา 5. ใบความรู้ที่ 3 เรื่อง ทรัพยากรธรรมชาติและพระมหากษัตริย์ของอาณาจักรอยุธยา


6. เพลงอยุธยารำลึก 7. ใบงานที่ 2.1 เรื่อง การสถาปนาอาณาจักรอยุธยาและปัจจัยที่มีผลต่อความเจริญรุ่งเรือง 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 1. ห้องสมุดโรงเรียน 2. ห้องสมุดโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 3. แหล่งข้อมูลสาระสนเทศ - http://www.ayutthayalocal.go.th/content/history - https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/31344 ๘. กระบวนการวัดผลและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ เครื่องมือวัด วิธีการวัด เกณฑ์การวัดและ ประเมินผล 1. นักเรียนสามารถสรุป เรื่องราวก่อนการ สถาปนาอาณาจักร อยุธยาได้(K) ใบงานที่ 2.1 ตรวจใบงานที่ 2.1 ร้อยละ 70 ผ่าน เกณฑ์ 2. นักเรียนสามารถ วิเคราะห์ปัจจัยที่ ส่งเสริมความ เจริญรุ่งเรืองของ อาณาจักรอยุธยาได้(P) แบบประเมินพฤติกรรมใน การทำงานกลุ่ม ประเมินพฤติกรรมในการทำงาน กลุ่ม ระดับคุณภาพ ๒ ผ่านเกณฑ์ 3. นักเรียนตะหนักถึง ความสำคัญเรื่อง การ สถาปนาอาณาจักร (A) แบบสังเกตพฤติกรรม สังเกตพฤติกรรม ระดับคุณภาพ ๒ ผ่านเกณฑ์ ๙. บันทึกผลหลังสอน ๙.1 ปัญหาที่เกิดขึ้น ..……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………..….……………………………………………………………………………………………………………………………………… ๙.2 วิธีการแก้ปัญหา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


๙.3 ผลการแก้ปัญหา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ……………..…………………………ครูผู้สอน (นายคณาธิป ผิวบุญเรือง) ….……./……….…./……….. ๑0. ความคิดเห็นของครูพี่เลี้ยง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ……………………………………ครูพี่เลี้ยง (นางสาวยุพิน จักรทองดี) ………./…….……./………... ๑1. ความคิดเห็นของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………………… ( ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดวงสมร กิจโกศล ) รองผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ………./……..……./………..


ใบความรู้ เรื่องที่ 1 การสถาปนาอาณาจักรอยุธยา กรุงศรีอยุธยามีชื่อเดิมที่ปรากฏในเอกสารชั้นต้นที่เป็นศิลาจารึก และตำนานบางเรื่องว่า "กรุงอโยธยา" ซึ่งเป็นการนำชื่อ เมืองของพระรามในเรื่องรามเกียรติ์มาใช้ชื่อกรุงอโยธยาคงจะถูกเปลี่ยนเป็นกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นชื่อที่รู้จักกันทั่วไปใน ปัจจุบันนี้ ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ความเป็นมาของกรุงศรีอยุธยานั้น ปรากฏในลักษณะของตำนาน โดยเฉพาะตำนานเรื่องท้าวอู่ทองนั้นปรากฏในหลาย ท้องที่ บางเรื่อง กล่าวถึงความเกี่ยวข้องกับดินแดนแถบจังหวัดกำแพงเพชร บางเรื่องปรากฏเป็นตำนานของบริเวณที่ ราบลุ่มแม่น้ำภาคกลางในจังหวัดสุพรรณบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เมืองนครศรีธรรมราชก็มีตำนานที่เล่าถึงท้าว อู่ทองกับพระยาศรีธรรมาโศกราช ที่ตกลงรวมดินแดนนครศรีธรรมราชเข้ากับกรุงอโยธยาก่อนการสถาปนากรุงศรี อยุธยา บางตำนานในหนังสือพงศาวดารเหนือที่รวบรวมไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ กล่าวถึง การเป็นเมืองที่สืบเนื่องมาจากเมืองลพบุรีซึ่งเป็นเมืองที่เก่าแก่ และมีเครือข่ายที่ชัดเจนจากหลักฐานด้านโบราณคดีว่า มี ความเกี่ยวข้องกับราชอาณาจักรกัมพูชา ถ้าไม่คำนึงถึงเรื่องมิติของเวลา ตำนานต่างๆ เกี่ยวกับท้าวอู่ทอง และเรื่องในพงศาวดารเหนือ สามารถสะท้อนภาพซึ่ง ประกอบเข้าเป็นกรุงศรีอยุธยาได้ อย่างไรก็ดี พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ที่กล่าวถึงเมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเมื่อ พ.ศ.1893 นั้น ได้กล่าวถึงสมเด็จพระราเมศวรโอรสของสมเด็จพระรามาธิบดีว่าได้ไป ครองเมืองลพบุรี อีกทั้งเอกสารที่เป็นจดหมายเหตุของจีนได้เรียกกรุงศรีอยุธยาเมื่อแรกสถาปนาว่า “หลอหู” ซึ่งเป็นคำ เดียวกับที่จีนใช้เรียกเมืองลพบุรีมาก่อน จึงสันนิษฐานได้ว่า ราชวงศ์ของสมเด็จพระรามาธิบดีผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยา นั้น มีความสืบเนื่องมาจากเมืองลพบุรีที่เป็นศูนย์อารยธรรมเก่าแก่แห่งที่ราบลุ่มแม่น้ำภาคกลางมาก่อน และเมื่อได้ พิจารณาประกอบกับหลักฐานทางโบราณคดีที่มีการพบที่อยุธยา ได้แก่ เศียรพระพุทธรูปขนาดใหญ่ซึ่งเป็นศิลปะก่อน สมัยอยุธยา ที่วัดธรรมิกราช พระพนัญเชิงซึ่งสร้างก่อนเวลาการสถาปนากรุงศรีอยุธยา พระพุทธรูปทั้งสององค์มีรูปแบบ ศิลปะที่เรียกว่า ศิลปะอู่ทองรุ่นแรกที่ได้รับอิทธิพลของศิลปะลพบุรีด้วย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ชี้อย่างชัดเจนว่า ได้มีการขยายตัว ของเมืองลพบุรีลงมาทางใต้บริเวณเกาะเมืองอยุธยา ก่อนที่จะมีการสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นเมืองหลวง เมื่อ พ.ศ. 1893 การขยายตัวของเมืองลพบุรีลงมาที่อยุธยา คงจะมีขึ้นตั้งแต่ประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 18 เมื่อพิจารณาในด้าน ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ ก็อาจอธิบายได้ว่า เป็นการขยายที่ตั้งการค้าออกไปใกล้ทะเลเพื่อการค้า เพราะอยุธยามีลำน้ำ เจ้าพระยา ซึ่งเรือเดินทะเลใหญ่สามารถเข้ามาถึงตัวเมืองได้ อีกทั้งที่ตั้งของอยุธยาเป็นที่รวมของแม่น้ำหลายสาย จึงมี ลักษณะเป็นชุมทางที่สามารถติดต่อเข้าไปยังแผ่นดินได้หลายทิศทาง เป็นแหล่งรวมสินค้าที่ส่งมาจากที่ต่างๆ และเป็น ตลาดกลางขนาดใหญ่ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับทั้งภายในทวีปและดินแดนโพ้นทะเลได้เป็นอย่างดี


กรุงศรีอยุธยานั้น เมื่อสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการ ก็เป็นเมืองที่มีพื้นฐานอันเป็นเครือข่ายของเมืองลพบุรีซึ่งเป็นเมือง ใหญ่แต่โบราณแล้ว ส่วนเรื่องพระเจ้าอู่ทองในตำนานของเมืองนครศรีธรรมราชได้แสดงให้เห็นว่า เป็นดินแดนที่ได้รับ การผนวกเข้ากับอยุธยาก่อนเวลาการสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ปรากฏ เรื่องราวการรวบรวมดินแดนนครศรีธรรมราชในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาซึ่งเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่เวลาของการ สถาปนา แต่กลับปรากฏในบันทึกของชาวยุโรปในสมัยอยุธยาตอนต้นว่า ดินแดนตลอดแหลมมลายูนั้นเป็นของสยาม ซึ่ง มีศูนย์กลางเป็นเมืองใหญ่อยู่ที่กรุงศรีอยุธยา ในพระราชพงศาวดารฉบับที่เขียนในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีการกล่าวถึงกษัตริย์องค์ต่อมาหลังจากสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเสด็จสวรรคตว่า มาจากเมืองสุพรรณบุรี ด้วยท่าทีที่มีอำนาจ แล้วขึ้นเสวยราชสมบัติต่อมา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ได้มีการขยายความในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับที่เขียนใน ภายหลังว่า กษัตริย์จากสุพรรณบุรีนี้คือ พ่องั่ว ผู้เป็นพี่มเหสีของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แม้ว่าจะเป็นเอกสารที่เขียน ขึ้นในภายหลังก็ตาม แต่เรื่องราวต่อๆ มา ในพระราชพงศาวดาร ก็สามารถให้ภาพรวมว่า ในช่วงระยะเวลาแรกแห่งการ สถาปนากรุงศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ. 1893 - 1952 นั้น กรุงศรีอยุธยามีกษัตริย์ที่ผลัดกันครองราชบัลลังก์อยู่ 2 สาย สายหนึ่งคือ สายที่สืบราชตระกูลมาจากสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ผู้สถาปนาเมือง และอีกสายหนึ่งคือ ราชตระกูล ที่มาจากเมืองสุพรรณบุรี การผลัดกันขึ้นสู่ราชบัลลังก์ของทั้ง 2 ราชตระกูลนั้น เป็นการยึดอำนาจมาจากอีกฝ่ายหนึ่ง ชื่อของเมืองสุพรรณบุรี มีที่มาจากหนังสือพระราชพงศาวดารเช่นเดียวกับชื่อของกรุงศรีอยุธยา เพราะจากเอกสาร ชั้นต้นที่เป็นศิลาจารึก หรือเรื่องในตำนานบางเรื่องนั้น ชื่อเดิมของเมืองสุพรรณบุรีในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นนั้นคือ เมืองสุพรรณภูมิ ศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงที่เล่าเรื่องราวในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ก่อนเวลาการ สถาปนากรุงศรีอยุธยา ได้กล่าวถึงชื่อเมืองสุพรรณภูมิรวมอยู่ในกลุ่มเมือง ที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของที่ราบลุ่มแม่น้ำภาค กลาง คือ เมืองแพรก (ในจังหวัดชัยนาท) เมืองสุพรรณภูมิ เมืองราชบุรี เมืองเพชรบุรี ซึ่งในท้องที่ของเมืองเหล่านี้ล้วนมี โบราณสถานที่มีอายุไม่น้อยกว่าเมืองลพบุรีอยู่ด้วย ดังนั้น การที่พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาได้ระบุชื่อเมือง สุพรรณภูมิอยู่รวมกับดินแดนของกรุงศรีอยุธยาในลักษณะของเมืองที่มีอำนาจ ที่เจ้าเมืองสามารถเข้ามาสืบราชบัลลังก์ กรุงศรีอยุธยาได้ด้วยนั้น แสดงว่า นอกจากการเกิดขึ้นของกรุงศรีอยุธยา จะเป็นการสืบอำนาจต่อจากเมืองลพบุรี โดย การสืบราชวงศ์ของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แล้ว ยังประกอบด้วยดินแดนของสุพรรณภูมิที่มีกษัตริย์ต่างราชวงศ์ ปกครองสืบทอดกันมาอยู่ด้วยอีกส่วนหนึ่ง ดินแดนของกรุงศรีอยุธยา จึงมีอาณาเขตที่กว้างขวางครอบคลุมพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ของที่ราบลุ่มแม่น้ำภาคกลาง ทั้งหมด มีอิทธิพลครอบงำตลอดทั้งแหลมมลายู และพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การรวมตัวระหว่าง ดินแดนที่สืบมาจากเมืองลพบุรีเดิมกับดินแดนของสุพรรณภูมินั้น สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากการเป็นเครือญาติ ที่สืบ เนื่องมาจากการสมรสกันของราชวงศ์ทั้งสอง พระราชพงศาวดาร กรุงศรีอยุธยาบางฉบับที่เขียนขึ้นภายหลัง ที่กล่าวว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 แห่งสุพรรณภูมิ หรือขุนหลวงพ่องั่ว เป็นพี่มเหสีของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 นั้น อาจ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดการรวมตัวกันของดินแดนทั้งสองได้ กลายเป็นราชอาณาจักรที่มีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงที่ ชาวต่างประเทศเรียกว่า ราชอาณาจักรสยาม โดยมีกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีหรือเมืองหลวง


เรื่องที่ 2 ความสำคัญของที่ตั้งและสภาพภูมิประเทศของอาณาจักรอยุธยา นิโกลาส์ แชร์แวส ชาวฝรั่งเศส เข้ามาในอาณาจักรอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้เขียนบันทึกถึงลักษณะ ภูมิประเทศของอยุธยาไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยามไว้ว่า “.......ราชอาณาจักรสยามมีแม่น้ำใหญ่ 3 สาย แม่น้ำสายสำคัญไหลผ่านนครหลวงลงไปสู่อ่าว ซึ่งกว้างประมาณ 1 ลี้ (4 กม.) จากปากน้ำนี้ไปถึงนครหลวงมีระยะทางประมาณ 30 ลี้ (120 กม.) เรือขนาด 300-400 ตัน สามารถแล่นไป ตามแม่น้ำนี้ได้ ส่วนเรือขนาดใหญ่จะต้องรอที่ปากน้ำ เพราะติดสันดอนจนกว่าน้ำจะขึ้นจึงแล่นเข้าแม่น้ำได้ ชายน้ำมี ความลึกจึงเหมาะแก่พ่อค้าที่จะนำเรือเข้าจอดทอดสมอชิดกำแพงเมือง และทอดสะพานขนถ่ายสินค้าขึ้นท่าเรือได้ สะดวก แม่น้ำยังมีลำคลองมากมายหลายสายไหลผ่านเข้าสู่ที่ราบลุ่มและบริเวณตัวเมือง ทำให้มีสภาพเหมือนกับเมือง เวนีซ ลำคลองอันเป็นทางแยกของแม่น้ำสายที่ล้อมตัวเมืองอยู่นั้น มีความกว้างและเป็นเส้นตรงมาก มีความลึก พอที่จะรับ เรือใหญ่ได้.......” โจส เซาเต็น พ่อค้าชาวฮอลันดา ได้บันทึกถึงความสำคัญของที่ตั้งอาณาจักรอยุธยา ไว้ว่า “.....พระนครศรีอยุธยา จึงอยู่ในภูมิฐานที่ดีและมั่นคงสุดวิสัยที่ข้าศึกศัตรูจะโจมตียึดครองได้ง่ายๆ เพราะทุกๆ ปี น้ำ จะท่วมขึ้นมาถึง 6 เดือน ทั่วท้องที่นอกกำแพงเมืองจึงเป็นการบังคับให้ศัตรูอยู่ไม่ได้ ต้องล่าถอยทัพไปเอง.......และ พระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานีและเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ บรรดาขุนนางข้าราชการเจ้านายทั้งหลายทั้งปวง ก็อยู่ที่พระนครศรีอยุธยานี้ เมืองๆ นี้ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ในแม่น้ำเจ้าพระยา ท้องที่รอบนอกเป็นที่ราบไปทั่วทุกทิศ รอบกรุงศรีอยุธยามีกำแพงหินสร้างอย่างหนาแน่นแข็งแรง เป็นนครหลวงที่กว้างขวางใหญ่มาก ภายในพระนครมี โบสถ์วิหารวัดวาอารามสร้างขึ้นติดๆกัน ประชาชนพลเมืองผู้อาศัยอยู่ก็อาศัยอยู่หนาแน่น.......” ขณะที่ เดอ ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศส เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้เขียนบันทึก เรื่องจดหมายเหตุลาลูแบร์บรรยายที่ตั้งของอาณาจักรอยุธยา ไว้ว่า “.......ตัวเมืองซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองนั้นตั้งอยู่บนเกาะซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายๆ กับถุงย่าม ปากถุงอยู่ทางทิศ ตะวันตก มีแม่น้ำใหญ่ไหลมาบรรจบกับคลองหลายสาย ซึ่งไหลเป็นวงรอบกรุงทางด้านเหนือและแยกลงไปทางด้านใต้ เป็นหลายแพรกด้วยกัน.......”


เรื่องที่ 3 ทรัพยากรธรรมชาติและพระมหากษัตริย์ของอาณาจักรอยุธยา บาทหลวงตาชาร์ด ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาในอาณาจักรอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้กล่าวถึง ความ อุดมสมบูรณ์ของอาณาจักรอยุธยาในจดหมายเหตุ การเดินทางสู่ประเทศสยามของบาทหลวงตาชาร์ด ไว้ว่า “.......ทิวทัศน์ของแม่น้ำงดงามนัก ทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่มอยู่เป็นอาจิณ และเบื้องหลังออกไป เป็น ท้องทุ่งอันไพศาลแลสุดสายตาเต็มไปด้วยต้นข้าว บริเวณซึ่งเป็นที่ราบต่ำน้ำจะท่วมนานเป็นเวลาถึงครึ่งปี ฝนซึ่งตกลงมา ติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือนนั้น ทำให้น้ำในแม่น้ำล้นฝั่งและท่วมเข้าไปในแผ่นดิน เหตุนี้เองจึงทำให้ผืนดินมีโอชะอุดม สมบูรณ์นัก.......” ในขณะที่ ฟาน ฟลีต เป็นพ่อค้าชาวเนเธอร์แลนด์ เข้ามาในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ได้เขียนพรรณนาเรื่องอาณาจักร สยามไว้น่าสนใจว่า “.....ภายในเมืองทั้งหลายและศูนย์ชุมชนอื่นๆ ประชาชนหาเลี้ยงชีพโดยการค้าขาย การทำงานในวัง การเดินเรือสำเภา เรือใบ และเรือแบบพื้นเมือง การประมงและการอุตสาหกรรมและประดิษฐกรรมที่ใช้ฝีมือ โดยการทำทองและเงิน รูปพรรณอย่างชำนาญ ประชาชนในหมู่บ้านและชนบททำงานในลักษณะทาส ทำงานในไร่นา เพาะปลูกธัญพืชทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าว และยังมีครามเปียกเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นพวกเขายังปลูกไม้ผลทุกประเภท โดยเฉพาะ มะพร้าว สิริ และต้นหมาก พวกเขาเลี้ยงม้าขนาดเล็ก วัว หมู แกะ ห่าน เป็ด ลูกไก่ นกพิราบ และสัตว์ที่ฝึกให้เชื่องอย่าง อื่นๆ อีกมาก อาหารระหว่างปีที่อุดมสมบูรณ์จะมีราคาถูกมาก (เพราะของกินจะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับราคาข้าวสูงหรือ ต่ำ) และในเมื่อมีผลผลิตอุดมสมบูรณ์ก็สามารถส่งเป็นสินค้าออกไปยังประเทศใกล้เคียงได้มาก นอกจากประเทศสยาม จะมีความอุดมสมบูรณ์ มีอาหารล้นเหลือ ยังมีวัสดุอื่นๆ อีกเป็นอันมา เป็นต้นว่าอิฐ กระเบื้อง ไม้ซุง มีเหล็กอยู่เล็กน้อย (ซึ่งได้จากหัวเมืองโคราชสีมา) และวัสดุอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการสร้างป้อม โบสถ์ บ้านเรือน เรือ เรือสำเภา เรือ ท้องแบน......” ฟานฟลีต ยังได้เขียนพรรณนาเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรสยาม ไว้ว่า “.......ขบวนแห่และข้าราชบริพารของพระเจ้าแผ่นดินใหญ่โตหรูหรา พระองค์ทรงปรากฏพระองค์ในที่สาธารณะน้อย ครั้ง แต่โดยปกติทรงให้พวกคนสำคัญและข้าราชการเข้าเฝ้าวันละ 3 ครั้ง ตอนเช้าตรู่ พวกตัวแทนและพวกคนซึ่งนำ ของบรรณาการมาถวายเข้าเฝ้า ในเวลาบ่ายพระองค์ทรงปรึกษาหารือกับพวกที่ปรึกษาลับและคนสำคัญที่สุด และตอน ตะวันตกดินทรงไปยังที่ประชุมสำหรับพวกข้าราชการ พระเจ้าแผ่นดินมักปรากฏพระองค์ในฉลองพระองค์ที่มีราคา ประทับบนบัลลังก์ปิดทองหรูหรา และทรงสวมมงกุฎกษัตริย์......” นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการปฏิบัติต่อพระมหากษัตริย์ของประชาชนชาวสยามไว้ว่า “.......ถึงแม้ว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงมีที่ประทับสวยๆมากมายทั่วประเทศซึ่งพระองค์อาจไปพักผ่อนหาความสำราญได้ แต่ พระองค์ก็ไม่ค่อยเสด็จออกไปนอกพระราชวัง....เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จผ่านไพร่ฟ้าประชาชนทุกคนที่อยู่ตามถนนจะ คุกเข่าลงพนมมือและก้มศีรษะลงบนพื้น นี่เป็นวิธีการเคารพ.......ห้ามคนมองดูพระราชมารดา พระมเหสีและสนม หรือ พระโอรสธิดาของพระเจ้าแผ่นดิน และผู้คนต้องเบือนหน้าไปเสียเมื่อพระบรมวงศานุวงศ์เหล่านั้นเสด็จผ่าน พวกชาวต่างประเทศหรือพวกเอกอัครราชทูตต่างประเทศเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้มองได้......”


เอกสารประกอบการสอน เพลงอยุธยารำลึก/อยุธยาเมืองเก่า คำร้อง - ทำนอง : สุรินทร์ ปิยานันท์ ขับร้อง : จินตนา สุขสถิตย์ อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน จิตใจอาวรณ์มาเล่าสู่กันฟัง อยุธยาแต่ก่อนนี้ยัง เป็นดั่งเมืองทองของพี่น้องเผ่าพงศ์ไทย เดี๋ยวนี้ซิเป็นเมืองเก่า ชาวไทยแสนเศร้าถูกข้าศึกรุกราน ชาวไทยทุกคนหัวใจร้าวราน ข้าศึกเผาผลาญแหลกลาญวอดวาย เราชนชั้นหลังฟังแล้วเศร้าใจ อนุสรณ์เตือนให้ชาวไทยจงมั่น สมัครสมานร่วมใจกันสามัคคี คงจะไม่มีใครกล้าราวีชาติไทย


ใบงานที่ 2.1 ค ำชี้แจง ให้นักเรียนศึกษาหัวข้อที่ก าหนด แล้วบันทึกตามล าดับขั้นตอน K (ผู้เรียนรู้อะไรบ้ำง) W (ผู้เรียนต้องกำรรู้อะไรบ้ำง) L (ผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรบ้ำง) กำรสถำปนำอำณำจักรอยุธยำ และปัจจัยที่มีผลต่อควำมเจร ิ ญร่ง ุ เร ื อง


แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม ชื่อกลุ่ม ชั้น คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่อง ที่ตรงกับระดับคะแนน ลำดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1 การแบ่งหน้าที่กันอย่างเหมาะสม 2 ความร่วมมือกันทำงาน 3 การแสดงความคิดเห็น 4 การรับฟังความคิดเห็น 5 ความมีน้ำใจช่วยเหลือกัน รวม ลงชื่อ .................................................... ผู้ประเมิน ................ /................ /................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์กำรตดัสินคุณภำพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภำพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต ่ากว่า 10 ปรับปรุง


แบบบันท ึ กการสังเกตและประเมินผลพฤติกรรมรายบุคคล คร้ังที่………… เรื่อง ................................................................ รหัสวิชา .......................... ภาคเรียนที่…....ปี การศึกษา………… ช้นั................โรงเรียน .................................. ล าดับที่ ชื่อ – สกุล พฤติกรรม / ระดับคะแนน ความสนใจใน การท า กิจกรรม การมีส่วนร่วม ในการแสดง ความคิดเห็น การตอบ ค าถาม การยอมรับฟัง ความคิดเห็น ผู้อื่น ท างานตามที่ ได้รับ มอบหมาย รวม 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 เกณฑ์การให้คะแนน เกณฑ์การประเมิน คะแนนเต็ม 15 คะแนน ระดับ 3 หมายถึง มีพฤติกรรมในระดับ ดี คะแนน 13 - 15 หมายถึง ดี ระดับ 2 หมายถึง มีพฤติกรรมในระดับ ปานกลาง คะแนน 9 - 12 หมายถึง ปานกลาง ระดับ 1 หมายถึง มีพฤติกรรมในระดับ ปรับปรุง คะแนน 5 - 8 หมายถึง ปรับปรุง เกณฑ์ การผ่าน ร้อยละ 60 ( 9 คะแนน ) ลงชื่อ ................................................ ( ) ครูผู้สอน / ผู้ประเมิน


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ สาระการเรียนรู้ที่ ๔ ประวัติศาสตร์ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการของอาณาจักรอยุธยา เวลาเรียน ๑๐ ชั่วโมง เรื่องที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของอาณาจักรอยุธยา เวลาเรียน ๑ ชั่วโมง วัน____เดือน________พ.ศ.____ ครูผู้สอน นายคณาธิป ผิวบุญเรือง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้ ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก ความภูมิใจและธำรงความเป็นไทย ตัวชี้วัด ม.2/1 วิเคราะห์พัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาและธนบุรีในด้านต่างๆ ม.2/2 วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรอยุธยา 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถอธิบายลักษณะการเมืองการปกครองสมัยอยุธยาได้(K) 2. นักเรียนสามารถเขียนสรุปรูปแบบการจัดการปกครองในสมัยต่างๆ ได้(P) 3. นักเรียนเห็นคุณค่าเรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของอาณาจักรอยุธยา (A) ๓. คุณลักษณะอันพึงประสงค์/สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ๓.๑ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๑. มีวินัย ๒. ใฝ่เรียนรู้ ๓. มุ่งมั่นในการทำงาน ๓.๒ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ๑. ความสามารถในการสื่อสาร ๒. ความสามารถในการคิด ๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา ๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต


4. สาระสำคัญ การเมืองการปกครองของอาณาจักรอยุธยามีพัฒนาการจากสมัยอยุธยาตอนต้นจนถึงตอนปลาย ซึ่งมีความ สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางสังคมโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพและดำรงฐานะธรรมราชา 5. สาระการเรียนรู้ - พัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาในด้านการเมืองการปกครอง ๖. กิจกรรมการเรียนรู้(วิธีสอนโดยเน้นกระบวนการ : กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด) ขั้นนำ ขั้นที่ 1 สังเกต 1. ครูให้นักเรียนจับบัตรคำรายพระนามพระมหากษัตริย์ที่ปกครองอาณาจักรอยุธยา แล้วบอกเรื่องราวที่ นักเรียนทราบตามความรู้เดิมเกี่ยวกับความสำคัญที่มีต่อประวัติศาสตร์ของอาณาจักรอยุธยา 2. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - ฐานะของพระมหากษัตริย์ไทยสมัยอยุธยา แตกต่างจากปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร (แนวคำตอบ : พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นสอน ขั้นที่ 2 จำแนกความแตกต่าง 3. ครูให้นักเรียนรวมกลุ่ม จากนั้นครูแจกใบงานที่ 2.2 เรื่อง พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองของ อาณาจักรอยุธยา ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม 4. สมาชิกแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาความรู้เรื่อง พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองสมัยอยุธยา จากหนังสือ เรียนและหนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม จากนั้นเปรียบเทียบรูปแบบการปกครองของอาณาจักรอยุธยาแต่ละช่วง ในประเด็นต่อไปนี้ - อาณาจักรอยุธยาปกครองโดยราชวงศ์ใดบ้าง - พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยา มีลักษณะอย่างไร - การจัดการปกครองในสมัยอยุธยาแต่ละสมัย มีความแตกต่างกันอย่างไร 5. สมาชิกแต่ละกลุ่มบันทึกความรู้ที่ได้ลงในใบงานที่ 2.2 เรื่อง พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองของ อาณาจักรอยุธยา 6. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรอยุธยายาวนานถึง417ปีคือปัจจัยใด (แนวคำตอบ : พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน) 7. ครูและนักเรียนร่วมกันเฉลยคำตอบในใบงานที่ 2.2 จากนั้น ครูสรุปความแตกต่างของการเมืองการ ปกครองในแต่ละช่วงสมัยให้นักเรียนฟัง


ขั้นสรุป 8. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปองค์ความรู้ 9. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสักถามข้อสงสัย 7. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียน ประวัติศาสตร์ ม.2 2) หนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม - ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. 2516. “ลักษณะการปกครอง ประเทศสยามแต่โบราณ” ในประวัติศาสตร์และการเมือง. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 3) บัตรคำ เรื่อง การปกครองอาณาจักรอยุธยา 4) ใบงานที่ 2.2 เรื่อง พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองของอาณาจักรอยุธยา 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 1. ห้องสมุดโรงเรียน 2. ห้องสมุดโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 3. แหล่งข้อมูลสาระสนเทศ - https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/31273 - https://kannika3721.wordpress.com/2014/1224/ ๘. กระบวนการวัดผลและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ เครื่องมือวัด วิธีการวัด เกณฑ์การวัดและ ประเมินผล 1. นักเรียนสามารถ อธิบายลักษณะการเมือง การปกครองสมัยอยุธยา ได้(K) ใบงานที่ 2.2 ตรวจใบงานที่ 2.2 ร้อยละ 70 ผ่าน เกณฑ์ 2. นักเรียนสามารถ เปรียบเทียบรูปแบบการ จัดการปกครองในสมัย ต่างๆ ได้(P) แบบประเมินการ นำเสนอผลงาน ประเมินการนำเสนอผลงาน ระดับคุณภาพ ๒ ผ่านเกณฑ์ 3. นักเรียนเห็นคุณค่าเรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ของอาณาจักรอยุธยา (A) แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ประเมินคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ระดับคุณภาพ ๒ ผ่านเกณฑ์


๙. บันทึกผลหลังสอน ๙.1 ปัญหาที่เกิดขึ้น ..……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………..….……………………………………………………………………………………………………………………………………… ๙.2 วิธีการแก้ปัญหา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๙.3 ผลการแก้ปัญหา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ……………..…………………………ครูผู้สอน (นายคณาธิป ผิวบุญเรือง) ….……./……….…./……….. ๑0. ความคิดเห็นของครูพี่เลี้ยง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ……………………………………ครูพี่เลี้ยง (นางสาวยุพิน จักรทองดี) ………./…….……./………... ๑1. ความคิดเห็นของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………………… ( ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดวงสมร กิจโกศล ) รองผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ………./……..……./………..


บัตรคำ เรื่อง การปกครองอาณาจักรอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 สมเด็จพระราเมศวร สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (เจ้าสามพระยา) สมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ สมเด็จพระมหินทราธิราช สมเด็จ พระมหาธรรมราชาธิราช สมเด็จพระนเรศวร มหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม สมเด็จพระเจ้า ประสาททอง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเพทราชา พระเจ้าเสือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บรมโกศ สมเด็จพระที่นั่ง สุริยาศน์อัมรินทร์


ใบงานที่ 2.2 ค ำชี้แจง ให้นักเรียนศึกษาความรู้เรื่อง พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองของอาณาจักรอยุธยา แล้วสรุปองค์ความรู้เขียนเป็นผังมโนทัศน์ พัฒนำกำรด้ำนกำรเมืองกำรปกครอง ของอำณำจักรอยุธยำ พัฒนำกำรด้ำนกำรเมืองกำรปกครอง ของอำณำจักรอยุธยำ การบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลาง การบริหารราชการแผ่นดินส่วนหัวเมือง


แบบประเมิน กำรน ำเสนอผลงำน ค ำชี้แจง : ให้ ผู้สอน ประเมินการน าเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการที่ก าหนด แล้วขีด ✓ ลงใน ช่อง ที่ตรงกับระดับคะแนน ล ำดับที่ รำยกำรประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ความคิดสร้างสรรค์ 3 วิธีการน าเสนอผลงาน 4 การน าไปใช้ประโยชน์ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ....................................................ผู้ประเมิน ................ /................ /................ เกณฑ์กำรให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 4 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องบำงส่วน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องมำก ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ำรตดัสินคุณภำพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภำพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต ่ากว่า 10 ปรับปรุง


แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ค ำชี้แจง : ให้ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลง ในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้ำน รำยกำรประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. รักชำติศำสน์ กษตัริย์ 1.1 ยืนตรงเมื่อได้ยินเพลงชาติ ร้องเพลงชาติได้ และอธิบายความหมาย ของเพลงชาติ 1.2 ปฏิบัติตนตามสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองดี 1.3 ให้ความร่วมมือ ร่วมใจ ในการท ากิจกรรมกับสมาชิกในโรงเรียนและ ชุมชน 1.4 เข้าร่วมกิจกรรมและมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่สร้างความสามัคคี ปรองดอง และเป็นประโยชน์ต่อโรงเรียน ชุมชน และสังคม ชื่นชมความ เป็นชาติไทย 1.5 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ ปฏิบัติตนตามหลักของศาสนา อย่างสม ่าเสมอ เป็นแบบอย่างที่ดีของศาสนิกชน 1.6 เข้าร่วมกิจกรรมและมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน พระมหากษัตริย์ตามที่โรงเรียนและชุมชนจัดขึ้น ชื่นชมในพระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ 2. ซื่อสตัย์สจุริต 2.1 ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นจริง 2.2 ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง ละอาย และเกรงกลัวที่จะกระท าความผิด ท าตาม สัญญาที่ตนให้ไว้กับเพื่อน พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง และครู เป็นแบบอย่าง ที่ดีด้านความซื่อสัตย์ 2.3 ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วยความซื่อตรง ไม่หาประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้อง และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนด้านความซื่อสัตย์ 3. มีวินัย รบัผิดชอบ 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับของครอบครัว และโรงเรียน ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกิจกรรม ต่างๆ ในชีวิตประจ าวัน และรับผิดชอบในการท างาน 4. ใฝ่ เรียนรู้ 4.1 แสวงหาข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ 4.2 มีการจดบันทึกความรู้อย่างเป็นระบบ 4.3 สรุปความรู้ได้อย่างมีเหตุผล 5. อย่อูย่ำงพอเพียง 5.1 ใช้ทรัพย์สินของตนเอง เช่น สิ่งของ เครื่องใช้ ฯลฯ อย่างประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแลอย่างดี และใช้เวลาอย่างเหมาะสม 5.2 ใช้ทรัพยากรของส่วนรวมอย่างประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแล อย่างดี


คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้ำน รำยกำรประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 5.3 ปฏิบัติตนและตัดสินใจด้วยความรอบคอบ มีเหตุผล 5.4 ไม่เอาเปรียบผู้อื่น และไม่ท าให้ผู้อื่นเดือดร้อน พร้อมให้อภัยเมื่อผู้อื่น กระท าผิดพลาด 5.5 วางแผนการเรียน การท างานและการใช้ชีวิตประจ าวันบนพื้นฐาน ของความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร 5.6 รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม และสภาพแวดล้อม ยอมรับ และปรับตัว อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 6. มุ่งมนั่ ในกำร ท ำงำน 6.1 มีความตั้งใจและพยายามในการท างานที่ได้รับมอบหมาย 6.2 มีความอดทนและไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรคเพื่อให้งานส าเร็จ 7. รักควำมเป็ นไทย 7.1 มีจิตส านึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย 7.2 เห็นคุณค่าและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจิตสำธำรณะ 8.1 รู้จักช่วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูท างาน 8.2 อาสาท างาน ช่วยคิด ช่วยท า และแบ่งปันสิ่งของ และช่วยแก้ปัญหา ให้ผู้อื่น 8.3 ดูแล รักษาทรัพย์สินของห้องเรียน โรงเรียน ชุมชน 8.4 เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ของโรงเรียนและชุมชน ลงชื่อ....................................................ผู้ประเมิน ................ /................ /................ เกณฑ์กำรให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่ำงสม ่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครงั้ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบำงครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ำรตดัสินคณุภำพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภำพ 91 - 108 ดีมาก 73 - 90 ดี 54 - 72 พอใช้ ต ่ากว่า 54 ปรับปรุง


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๘ กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ สาระการเรียนรู้ที่ ๔ ประวัติศาสตร์ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการของอาณาจักรอยุธยา เวลาเรียน ๑๐ ชั่วโมง เรื่องที่ 2 พัฒนาการด้านการเมืองการปกครอง (ต่อ) เวลาเรียน ๑ ชั่วโมง วัน____เดือน________พ.ศ.____ ครูผู้สอน นายคณาธิป ผิวบุญเรือง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้ ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทยมีความรัก ความภูมิใจและธำรงความเป็นไทย ตัวชี้วัด ม.2/1 วิเคราะห์พัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาและธนบุรีในด้านต่างๆ ม.2/2 วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรอยุธยา 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถอธิบายลักษณะการเมืองการปกครองสมัยอยุธยาได้(K) 2. นักเรียนสามารถเขียนสรุปรูปแบบการจัดการปกครองในสมัยต่างๆ ได้(P) 3. นักเรียนเห็นคุณค่าเรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของอาณาจักรอยุธยา (A) ๓. คุณลักษณะอันพึงประสงค์/สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ๓.๑ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๑. มีวินัย ๒. ใฝ่เรียนรู้ ๓. มุ่งมั่นในการทำงาน ๓.๒ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ๑. ความสามารถในการสื่อสาร ๒. ความสามารถในการคิด ๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา ๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 4. สาระสำคัญ การเมืองการปกครองของอาณาจักรอยุธยามีพัฒนาการจากสมัยอยุธยาตอนต้นจนถึงตอนปลาย ซึ่งมีความ สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางสังคมโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพและดำรงฐานะธรรมราชา


๕. สาระการเรียนรู้ - พัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาในด้านการเมืองการปกครอง ๖. กิจกรรมการเรียนรู้(วิธีสอนโดยเน้นกระบวนการ : กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด) ขั้นนำ 1. ครูและนักเรียนทบทวนความรู้เดิมในชั่วโมงที่แล้ว 2. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - ฐานะของพระมหากษัตริย์ไทยสมัยอยุธยา แตกต่างจากปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร (แนวคำตอบ : พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นสอน ขั้นที่ 3 หาลักษณะร่วม 3. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองของอาณาจักรอยุธยาเป็น การเปลี่ยนแปลงในลักษณะของการปรับปรุงเพื่อจัดระบบระเบียบจากปัญหาและอุปสรรคที่พบจาก การปกครองโดยที่ยังคงรูปแบบพื้นฐานของการปกครองในลักษณะเดิม 4. สมาชิกแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ถึงสาเหตุของการปรับปรุงรูปแบบการปกครองในแต่ละยุคสมัย ของอาณาจักรอยุธยา ในประเด็นต่อไปนี้ - พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มีลักษณะอย่างไร - การจัดรูปแบบการปกครองแต่ละสมัยมีสิ่งใดที่คล้ายคลึงกัน 5. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปภาพรวมพัฒนาการด้านการเมืองการปกครองของอาณาจักอยุธยาลงบนกระดาน โดยครูเป็นผู้เติมเต็มให้สมบูรณ์ 6. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - นักเรียนเข้าใจว่า คำว่า “ธรรมราชา” และ “สมมติเทพ” หมายความว่าอย่างไร (แนวคำตอบ : พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นที่ 4 ระบุชื่อความคิดรวบยอด ๗. ครูให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพื้นฐานการเมืองการปกครองของอาณาจักรอยุธยา ๘. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ที่ได้เป็นแนวคิดสั้นๆเพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น ๙. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด เช่น - การจัดการปกครองในสมัยอยุธยามีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งเป็นเพราะเหตุใด (แนวคำตอบ : พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นที่ 5 ทดสอบและนำไปใช้ ๑0. ครูแจกใบงานที่ 2.3 เรื่อง ลักษณะการเมืองการปกครองของอาณาจักรอยุธยา ให้สมาชิกแต่ละกลุ่มช่วยกัน หาคำตอบ ๑1. ครูตรวจสอบความรู้ของนักเรียนโดยการสุ่มตัวแทนของแต่ละกลุ่มผลัดกันนำเสนอคำตอบใน ใบงานที่ 2.3 หน้าชั้นเรียน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกลุ่มอย่างมีเหตุผล ขั้นสรุป 12. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เรื่อง พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองของอาณาจักรอยุธยา


Click to View FlipBook Version