ทักษะการสอ่ื สารและวัฒนธรรมสำ� หรบั ครู
Communication skills and Culture for Teachers
กล่มุ วชิ าชีพครู คณะครศุ าสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภฏั บ้านสมเดจ็ เจา้ พระยา
ทกั ษะการส่ือสารและวฒั นธรรมส�ำหรับครู
Communication skills and Culture for Teachers
โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ปราณตี มว่ งนวล
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ลักษณา เกยรุ าพันธ์
อาจารย์จรี ภรณ์ กิจเจริญ
อาจารย์ศราวุฒิ สมญั ญา
ผู้ทรงคณุ วฒุ ิตรวจพจิ ารณาเอกสาร:
รองศาสตราจารย์ ดร.ธญวรรณ ก๋าคา
รองศาสตราจารย์ ดร.ชลลดา พงศ์พฒั นโยธิน
รวบรวมและจัดท�ำตน้ ฉบบั
ศราวุฒิ สมัญญา
ISBN: 978-974-373-634-6
ข้อมูลทางบรรณานกุ รมหอสมดุ แห่งชาติ
ทกั ษะการสื่อสารและวฒั นธรรมสำ� หรบั ครู = Communication skills and culture for teachers.--
กรุงเทพฯ : คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเดจ็ เจา้ พระยา, 2563.
184 หนา้ .
1. ครู. I. ปราณตี ม่วงนวล. II. ชือ่ เรือ่ ง
371.1
ISBN 978-974-373-634-6
พมิ พ์คร้งั ที่ 1 สิงหาคม 2563 จำ� นวน 1,000 เลม่
ออกแบบปก ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ แฝงกมล เพชรเกลย้ี ง
สงวนลิขสทิ ธต์ิ ามพระราชบัญญตั ิลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิม่ เตมิ ) พ.ศ. 2558
ห้ามลอกเลียนแบบ หรือคัดลอกสว่ นใดส่วนหน่ึงของหนงั สือเล่มนี้
ยกเวน้ แต่ได้รบั อนญุ าตเปน็ ลายลักษณ์อักษรจากผเู้ ขียน
หนังสือยมื เรยี น หรือแจกฟรี (ห้ามจำ� หน่าย)
จัดทำ� โดย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั บา้ นสมเดจ็ เจา้ พระยา
1061 ซอย 15 ถนนอิสรภาพ แขวงหิรญั รูจี เขตธนบรุ ี กรุงเทพฯ 10600
โทร. 02-473-7000 ตอ่ 5000 โทรสาร : 02-472-5712 E-mail : [email protected]
https://www.edu.bsru.ac.th
พิมพท์ ่ี โรงพิมพ์ หจก.วรานนท์ เอน็ เตอรไ์ พรส์
6, 8 ซอย 13 ถนนสะแกงาม แขวงแสมดำ� เขตบางขุนเทยี น กรงุ เทพมหานคร 10150
โทร. 02-894-9050-3 E-mail : [email protected]
คำนำ
หนังสือทักษะการสื่อสารและวัฒนธรรมสาหรับครู (Communication skills and
Culture for Teachers) ประกอบด้วยเนื้อหาสาระจานวน 6 บท ได้แก่ บทที่ 1 ภาษาไทย
สาหรับครู บทท่ี 2 ทักษะการสื่อสาร บทที่ 3 เทคนิคการนาเสนอข้อมูลเพ่ือการส่ือสาร บทที่ 4
ภาษาอังกฤษสาหรับครู บทท่ี 5 วัฒนธรรมไทยสาหรับครู และ บทที่ 6 การปฏิบัติตาม
วฒั นธรรมธรรมไทย
อนึ่ง เพื่อเป็นสารประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าของนิสิต นักศึกษาและผู้ที่สนใจ
การนาเสนอสาระในภาษาและวัฒนธรรมสาหรับครูน้ี มาจากการค้นคว้า รวบรวมองค์ความรู้
ทักษะ ประสบการณ์และจากการศึกษาเอกสาร ตารา รวมถึงวรรณกรรมที่เก่ียวข้องแล้วเรียบ
เรียงข้อมูล ซ่ึงในแต่ละบทจะมีความสัมพันธ์ต่อเน่ืองกันโดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้เรียนมีความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะการสื่อภาษาและวัฒนธรรมสาหรับครู การฟัง การพูด การอ่าน
การเขียนคาไทยอย่างถูกต้อง การตระหนักถึงคณุ ค่าของภาษากับวัฒนธรรมไทย และการธารง
ไว้ซ่ึงความเป็นไทยพร้อมท้ังสามารถเผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมไทยสู่เยาวชน รวมไปถึงการ
สื่อสารด้วยภาษาต่างประเทศเพื่อให้การสื่อสารมีความเป็นสากลมากย่ิงขึ้น และเทคนิคการ
นาเสนอข้อมูลเพื่อการส่ือสารโดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในรูปแบบต่าง ๆ เพ่ือพัฒนา
รปู แบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในมีความทันสมัยในยุคโลกาภิตน์ จึงหวังว่าการตอบ
คาถามท้ายบทจะอานวย ประโยชน์ให้ผู้อ่านได้ทบทวนความรู้ ความเข้าใจอย่างชัดเจน
พอสมควร
ขอขอบคุณกลุ่มวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
ที่ให้โอกาสได้ถ่ายทอดความรู้และมวลประสบการณ์ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงเกี่ยวกับ ทักษะ
การสอื่ สารและวฒั นธรรมสาหรบั ครู รวมถงึ การเป็นครูมืออาชีพในอนาคต
รองศาสตราจารย์ ดร.ปราณีต มว่ งนวล
ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร.ลกั ษณา เกยรุ าพันธ์
อาจารย์จรี ภรณ์ กิจเจริญ
อาจารย์ศราวฒุ ิ สมญั ญา
เมษายน 2563
สารบัญ
คานา หนา้
สารบัญ ก
สารบัญตาราง ช
สารบัญภาพ ซ
บทท่ี 1 ภาษาไทยสาหรบั ครู 1
ความหมายของภาษา 1
ความสาคัญของภาษาไทย 2
การฝกึ ปฏบิ ตั ิการฟัง 2
2
1. ความหมายของการฟัง 3
2. ความสาคัญของการฟัง 3
3. หลักการฟงั 6
4. วัตถปุ ระสงค์ของการฟัง 7
5. ขั้นตอนของการฟัง 7
6. วธิ ีการฝกึ ทักษะการฟัง 9
ตวั อย่างการฝึกปฏิบตั ิการฟงั 11
การฝกึ ปฏิบตั ิการพูด 11
1. ความหมายของการพูด 11
2. ความสาคัญของการพูด 11
3. ประเภทของการพูด 13
4. การเตรยี มเรือ่ งพูด 16
5. วธิ ีการฝึกทกั ษะการพูด 17
6. การฝึกพูดในโอกาสตา่ ง ๆ 19
ตัวอยา่ งการฝึกปฏิบตั กิ ารพดู 20
การฝึกปฏบิ ตั ิการอา่ น 20
1. ความหมายของการอา่ น 21
2. ความสาคญั ของการอ่าน 21
3. วตั ถปุ ระสงค์ของการอ่าน 22
4. รปู แบบการอา่ น 23
5. ลกั ษณะของการอ่าน 26
6. ขัน้ ตอนการอ่าน 27
ตวั อยา่ งการฝึกปฏิบัติการอ่าน 29
การฝึกปฏบิ ตั กิ ารเขยี น
ข หน้า
29
สารบญั (ต่อ) 29
30
บทท่ี 1 ภาษาไทยสาหรบั ครู (ตอ่ ) 30
1. ความหมายของการเขียน 31
2. ความสาคัญของการเขียน 34
3. วัตถปุ ระสงค์ของการเขยี น 35
4. หลกั การเขยี น 36
39
ตัวอย่างการฝึกปฏิบตั กิ ารเขียน 39
สรุป 39
กิจกรรมท้ายบท 40
เอกสารอ้างองิ 42
บทที่ 2 ทกั ษะการสื่อสาร 44
ทักษะการสื่อสารดว้ ยการฟัง 44
45
1. ขน้ั ตอนการพัฒนาทักษะการฟัง 47
2. ประเภทของการฟงั 47
3. การฟงั อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ 51
4. ลกั ษณะการฟงั ท่ดี ี 54
5. มารยาทการฟังทด่ี ี 57
ตวั อย่างการส่ือสารทกั ษะการฟัง 57
ทักษะการส่ือสารดว้ ยการพูด 60
1. ประเภทของการพูดในโอกาสตา่ ง ๆ 61
2. หลกั การพูดในโอกาสต่าง ๆ 62
ตัวอย่างทักษะการส่อื สารการพูด 64
ทักษะการส่อื สารการอ่าน 64
1. การพฒั นาทักษะการอ่าน 67
2. ความสมั พนั ธ์ของการอ่านคดิ 68
3. คณุ ลกั ษณะของนกั อ่านคิดวเิ คราะห์ 68
ตวั อย่างทักษะการส่อื สารการอ่าน 70
ทกั ษะการส่ือสารการเขยี น
1. ประเภทของการเขียน
2. การเขียนโครงเร่ือง
3. การวเิ คราะหผ์ อู้ ่าน
4. ลกั ษณะของงานเขียนท่ีดี
ตวั อย่างทกั ษะการสอ่ื สารการเขียน
สารบัญ(ตอ่ ) ค
บทที่ 2 ทกั ษะการส่ือสาร (ตอ่ ) หน้า
ทักษะการสอ่ื สารอยา่ งสร้างสรรค์ 71
71
1. การใชภ้ าษา 71
1.1 ศัพทส์ แลง 72
1.2 คาต้องห้าม 73
1.3 Hate Speech (ประทุษวาจา) 76
1.4 คารนื่ หู 77
81
ทักษะสมั พันธ์ 82
สรุป 83
กจิ กรรมทา้ ยบท 85
เอกสารอ้างองิ 85
บทท่ี 3 เทคนคิ การนาเสนอข้อมูลเพ่ือการส่ือสาร 86
การใช้ภาษา 86
ประเภทของอวจั นภาษา 87
87
1. เทศภาษา 88
2. กาลภาษา 88
3. เนตรภาษา 89
4. สมั ผสั ภาษา 89
5. อาการภาษา 89
6. วัตถภุ าษา 90
7. ปริภาษา 91
ความสัมพนั ธร์ ะหว่างวจั นภาษาและอวจั นภาษา 92
การใชส้ อ่ื และนวัตกรรมในการสื่อสาร 92
ความหมายของสื่อการเรยี นการสอน 93
หลกั การเลอื กสอื่ การเรยี นการสอน 93
นวัตกรรมและเทคโนโลยที างการศกึ ษา 93
1. ความหมายของนวตั กรรม 93
93
1.1 นวัตกรรม 94
2. ความหมายของเทคโนโลยี
2.1 เทคโนโลยี
3. ความหมายของเทคโนโลยีการศกึ ษา
การประยุกตใ์ ช้นวัตกรรมกับการนาเสนอผลงาน
ง
สารบญั (ต่อ) หนา้
95
บทที่ 3 เทคนคิ การนาเสนอขอ้ มูลเพอื่ การสื่อสาร (ต่อ) 96
เทคนคิ การนาเสนอผลงานวิชาการ 96
98
1. แนวทางการเขียนบทความวชิ าการ 99
2. แนวทางการนาเสนอบทความทางวิชาการ 100
สรปุ 101
กติ จกรรมทา้ ยบท 101
เอกสารอา้ งองิ 104
บทท่ี 4 ภาษาอังกฤษสาหรับครู 104
ความสาคญั ของภาษาอังกฤษ 105
การใช้ภาษาอังกฤษในสถานศึกษา 105
1. การจัดการเรยี นรภู้ าษาอังกฤษในยุค THAILAND 4.0 106
2. การจดั การเรยี นรูภ้ าษาองั กฤษในยุคศตวรรษท่ี 21 106
ทกั ษะการส่ือสารภาษาองั กฤษ 106
ความรพู้ ้ืนฐานทางภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย คาศัพท์ ประเภทของคา รปู แบบประโยค 111
และไวยากรณ์ 112
1. คาศัพท์ 113
2. วิธีการเรยี นร้คู าศัพท์ 113
3. ประเภทของคา 114
4. รูปแบบประโยค 115
ทักษะทางภาษาอังกฤษ 115
ทกั ษะการฟงั 117
1. กจิ กรรมการฟังภาษาอังกฤษ 117
2. วิธกี ารฝึกการฟังภาษาองั กฤษ 118
3. เทคนิคการฟงั ภาษาองั กฤษ 118
ทกั ษะการพดู 119
1. กิจกรรมการฝึกทกั ษะการพูด 119
2. การพฒั นาทกั ษะการพดู 122
3. การฝกึ ฝนทักษะการพดู 124
ทักษะการอ่าน
1. กจิ กรรมการสอนทักษะการอา่ น
ทักษะการเขียน
การสนทนาแบบ Small talk
สารบัญ(ตอ่ ) จ
บทท่ี 4 ภาษาอังกฤษสาหรับครู(ต่อ) หน้า
1. การตั้งคาถาม 124
2. บทสนทนาภาษาองั กฤษสน้ั ๆ 125
126
สรปุ 127
กจิ กรรมท้ายบท 128
เอกสารอ้างอิง 129
บทท่ี 5 วัฒนธรรมไทยสาหรบั ครู 129
ความหมายของวัฒนธรรมไทย 130
ความสาคัญของวฒั นธรรมไทย 132
ประเภทของวัฒนธรรม 134
ลักษณะสาคัญของวฒั นธรรมไทย 135
วัฒนธรรมการแสดงความเคารพ 135
137
1.การไหว้ 142
2.การกราบ 142
วัฒนธรรมการแต่งกาย 142
1.การแต่งกายตามกาลเทศะ 142
มารยาทการตดิ ตอ่ สื่อสารทางสงั คม 143
1.มารยาทการติดต่อส่ือสารภายในสถานศกึ ษา 144
2.มารยาทในการติดต่อระหวา่ งนักเรยี น/นกั ศึกษากบั ครู อาจารย์ 146
3.มารยาทการตดิ ตอ่ ภายในหน่วยงาน องค์กร สถานศึกษา 147
4.มารยาทการตดิ ต่อสื่อสารภายนอกหนว่ ยงาน องค์กร สถานศกึ ษา 147
มารยาทการพูด 147
1.มารยาทการพดู ระหวา่ งบคุ คล 148
2.มารยาทการพดู ทสี่ าธารณะ 149
3.มารยาทการพดู ทปี่ ระชมุ 150
สรปุ 151
กจิ กรรมทา้ ยบท 153
เอกสารอ้างอิง 153
บทที่ 6 การปฏบิ ัตติ นตามวัฒนธรรมไทย 153
วัฒนธรรมไทย 153
1. ความเปน็ มาของวัฒนธรรมไทย
2. ลกั ษณะของวัฒนธรรมไทย
ฉ
สารบญั (ต่อ) หนา้
154
บทที่ 6 การปฏบิ ตั ติ นตามวัฒนธรรมไทย(ต่อ) 155
3. หนา้ ทแ่ี ละความสาคัญของวฒั นธรรมไทย 155
155
การปฏิบตั ิตนตามวฒั นธรรมไทยในสถานศึกษา 155
1. ความหมายเชงิ ปฏบิ ตั ิการของวฒั นธรรม 156
157
วัฒนธรรมในสถานศึกษา (โรงเรียน) 159
1. ความหมายของวฒั นธรรมในสถานศึกษา (โรงเรียน) 161
2. ความสาคัญของวฒั นธรรมโรงเรยี น 162
163
การปฏิบตั ิตนตามคุณลกั ษณะและหนา้ ที่ของวัฒนธรรมไทยในชมุ ชนและสงั คม 165
การเช่อื มโยงการปฏบิ ตั ิตนตามวัฒนธรรมไทยในสถานศึกษา ชุมชน และสงั คมไทย
สรุป
กิจกรรมท้ายบท
เอกสารอ้างอิง
บรรณานกุ รม
สารบญั ตาราง
ตารางที่ หน้า
3.1 เทศภาษา 86
3.2 กาลเวลา 87
3.3 เนตรภาษา 87
3.4 สัมผัสภาษา 88
3.5 อาการภาษา 88
3.6 วัตถุภาษา 89
3.7 ปริภาษา 89
สารบญั ภาพ
ภาพท่ี หนา้
1.1 นกั ศกึ ษาฟังการบรรยายจากอาจารยแ์ ละฟงั จากส่อื อนิ เทอร์เนต็ 9
1.2 Live : ศบค. แถลงสถานการณ์ ไวรัสโควิด-19 ThairathTV 10
1.3 ฝกึ การพูดโดยการวางโครงร่าง 19
1.4 ฝกึ การพูดต่อหนา้ ทีป่ ระชุม 20
2.1 ธรรมเทศนา พระเมธีวชโิ รดม “จงมชี วี ติ ทไี่ ดใ้ ช้ชีวิต” 45
2.2 ฟงั เพลง 46
2.3 การประกวดสุนทรพจน์ : เดก็ ชายเพม่ิ พูน แตง่ ชาติ และ นางสาวฐานติ า กลบั กระโทก 55
2.4 ความสัมพันธ์ของการอา่ นคดิ ในรปู แบบตา่ ง ๆ 60
2.5 ทีมมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้าสมเด็จเจ้าพระยารับโล่รางวัลชนะเลิศการแข่งขัน 70
70
สักวากลอนสดนกั ศกึ ษาสาขาวิชาภาษาไทย (ค.บ.) 106
2.6 เพมิ่ ทักษะการใช้ภาษา 135
4.1 ความรู้พนื้ ฐานทส่ี ่งผลต่อทักษะทางภาษาอังกฤษ 136
5.1 การไหวพ้ ระภาพซา้ ยมอื ประนมมอื แลว้ ยกขน้ึ พร้อมกับการค้อมศีรษะลง 136
ภาพขวามอื ใหห้ ัวแม่มอื จรดหวา่ งคิ้ว ปลายนว้ิ ชหี้ น้าสว่ นบนของหน้าผาก 137
สาธติ โดยเด็กชายสาริน แสงตวงกติ โรงเรียนเทพศริ นิ ทร์ 138
5.2 การไหว้ผู้ท่ีมีพระคุณหรือผู้ที่มีอายุมากกว่า ภาพซ้ายมือประนมมือแล้วยกข้ึน 138
พร้อมกับการค้อมศีรษะลง ภาพขวามือให้หัวแม่มือจรดปลายจมูกปลายนิ้วช้ี
แนบหวา่ งค้วิ สาธติ โดยเด็กชายสารนิ แสงตวงกิต โรงเรียนเทพศริ นิ ทร์
5.3 การไหว้บุคคลทั่ว ๆ ไปที่เราเคารพนับถือ หรือผู้ท่ีมีอายุมากกว่าเล็กน้อย
ภาพซ้ายมือให้ประนมมือ แล้วยกข้ึนพร้อมค้อมศีรษะลงภาพขวามือให้หัวแม่มือ
จรดปลายคาง ปลายน้ิวชี้แนบปลายจมูกสาธิตโดยเด็กชายสาริน แสงตวงกิต
โรงเรยี นเทพศิรนิ ทร์
5.4 กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ชายหญงิ จงั หวะที่ 1 อญั ชลี
สาธติ โดยเด็กชายสารนิ แสงตวงกิต โรงเรยี นเทพศิรนิ ทร์ และ
เด็กหญงิ พมิ พกานต์ สุรวฒั นานนท์ โรงเรยี นศึกษานารี
5.5 กราบแบบเบญจางคประดษิ ฐ์ชายหญงิ จังหวะท่ี 2 วันทนา หรือ วันทา
สาธติ โดยเดก็ ชายสาริน แสงตวงกติ โรงเรยี นเทพศิรนิ ทร์ และ
เด็กหญิงพิมพกานต์ สรุ วัฒนานนท์ โรงเรยี นศึกษานารี
5.6 กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ชายหญงิ จังหวะท่ี 3 อภวิ าท
สาธติ โดยเดก็ ชายสารนิ แสงตวงกติ โรงเรยี นเทพศิรินทร์ และ
เด็กหญงิ พิมพกานต์ สรุ วัฒนานนท์ โรงเรยี นศกึ ษานารี
ฌ หน้า
139
สารบัญภาพ(ต่อ) 140
140
ภาพที่ 141
5.7 การกราบผ้ใู หญ่สาธิตโดย นายทรงศักด์ิ ปนิ่ ประดบั และ 141
เดก็ ชายสารนิ แสงตวงกติ โรงเรยี นเทพศิรนิ ทร์
5.8 สาธิตการถวายบังคมจังหวะที่ 1 สาธติ โดยเด็กชายสารนิ แสงตวงกิต
โรงเรยี นเทพศิรนิ ทร์
5.9 สาธิตการถวายบงั คมจังหวะที่ 2 สาธติ โดยเด็กชายสารนิ แสงตวงกิต
โรงเรยี นเทพศริ ินทร์
5.10 สาธติ การถวายบงั คมจงั หวะท่ี3 สาธิตโดยเด็กชายสารนิ แสงตวงกติ
โรงเรยี นเทพศริ ินทร์
5.11 การสาธติ การหมอบกราบ
ภาษาไทยสาหรับครู : รองศาสตราจารย์ ดร.ปราณตี ม่วงนวล
บทที่ 1
ภาษาไทยสาหรบั ครู
ภาษาไทย เป็นภาษาประจาชาติไทย เป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของคนไทยทุกคน ฉะน้ัน
บุคคลท่ีจะเป็นครู ย่อมมีความจาเป็นอย่างย่ิงท่ีต้องมีความรู้ ความเข้าใจและมีการฝึกฝนทักษะการใช้
ภาษาไทยท้ังการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนอย่างถูกต้อง ดังพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จ
พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสนิ ทรมหาวชิราลงกรณพระวชิรเกล้าเจ้าอย่หู ัว เมื่อครั้งยังดารงพระอิสริยยศ
สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกฎุ ราชกุมาร ในพิธีพระราชทานปรญิ ญาบัตรแก่ผ้สู าเร็จการศกึ ษา
จากสถาบนั ราชภัฏ ณ อาคารใหม่ สวนอมั พร เมื่อวนั ท่ี 12 มีนาคม 2543 ความตอนหน่งึ ว่า
“...การนิยมไทย เช่น การใช้ภาษาไทยให้ถูกตอ้ ง การประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตน
ใหเ้ หมาะสมตามขนบนยิ มของคนไทย การศึกษาและรักษาส่ิงท่ีเปน็
เอกลักษณข์ องไทย เป็นตน้ เปน็ วถิ ที างสาคัญประการหนงึ่ ทจ่ี ะดารงไว้
ซ่งึ ความม่นั คงและความเป็นชาติของไทยเรา บัณฑติ ควรพจิ ารณา
ให้เห็นความสาคญั และปฏิบัติตนให้เปน็ แบบอยา่ งอนั ดี เพอ่ื ชกั นาผอู้ ืน่
ให้เกิดความช่นื ชมนยิ มไทย...”
ความหมายของภาษา
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2554 (ราชบัณฑิตยสถาน, 2556: 868-869)
ให้ความหมายของภาษา วา่ ภาษา น. ถอ้ ยคาทใ่ี ช้พูดหรอื เขียนเพ่อื สื่อความของชนกลมุ่ ใดกลุ่มหนึ่ง เช่น
ภาษาไทย ภาษาจีน หรอื เพอ่ื สือ่ ความเฉพาะวงการ เช่น ภาษาราชการ ภาษากฎหมาย ภาษาธรรม และ
มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของภาษาไว้ สรุปได้ว่า ภาษา หมายถึง การวางเง่ือนไขใน
การสื่อสารของกลมุ่ หรือสังคมนั้น ๆ โดยเข้าใจร่วมกันว่าเงื่อนไขหรือรหัสท่ีกาหนดไว้ หมายถึงอะไร ซึ่ง
ใช้สือ่ สารความคิด ความเขา้ ใจและความรู้สึกของผู้ส่ือ ไปยังผรู้ ับโดยอาศยั ภาษาเปน็ เครอื่ งส่ือความ โดย
ภาษาต้องประกอบด้วยระบบ ความหมาย และโครงสร้าง เพื่อให้เข้าใจตรงกันผู้อยู่ในกลุ่มหรือ
สังคมนน้ั ๆ จงึ ต้องเรียนรภู้ าษาซ่ึงกันและกัน (ประภาศรี สหี อาไพ, 2550: 15, กาชยั ทองหลอ่ , 2552:
1, Sturtevant, 1947: 2, Francis, 1958: 15)
ภาษาไทยสาหรับครู จึงหมายถึง การใช้ภาษาทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนใน
การส่ือสารของผู้ที่เป็นครู กับ ผู้เรียน กับสังคมในสถานศึกษา และชุมชนโดยเข้าใจร่วมกันว่าเงื่อนไข
หรือรหัสท่ีกาหนดไว้ หมายถึงอะไรซึ่งใช้สื่อสารความคิด ความเข้าใจและความรู้สึกของผู้สื่อ ไปยังผู้รับ
โดยอาศัยภาษาเป็นเคร่ืองส่ือความ โดยภาษาต้องประกอบด้วยระบบ ความหมาย และโครงสร้าง
เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั ครแู ละผู้อยู่ในกลุม่ หรอื สังคมนน้ั ๆ จึงตอ้ งเรียนรู้ภาษาซง่ึ กันและกนั
2
ความสาคญั ของภาษาไทย
ภาษาไทยมีความสาคัญในการสื่อสารในสงั คมไทย นอกจากเป็นเอกลัษณ์ความเป็นชาติ ความมี
วัฒนธรรม ความมีประวัติศาสตรช์ าติไทยที่รุ่งเรือง ทุกคนชาวไทยภาคภูมิใจ ดังท่ี ผะอบ โปษะกฤษณะ
(2536: 1-2) กล่าวไว้ว่า คนไทยเป็นผู้มีโชคดีที่ได้มีภาษาของเราเอง และมีตัวอักษรไทยเป็นตัวอักษร
ประจาชาติ อันเป็นมรดกอันล้าค่าท่ีบรรพบุรุษได้สร้างไว้ เป็นเคร่ืองแสดงว่าไทยเราเป็นชาติที่มี
วัฒนธรรมสูงส่งมาแต่โบราณกาล และรักษาความเป็นเอกราชย่ังยืนมาถึง 700 กว่าปี คนไทยผู้เป็น
เจ้าของภาษาควรจะได้ภาคภูมิใจ ที่ชาติไทยใช้ภาษาไทยเป็นภาษาประจาชาติ รักษาความเป็นเอกราช
ภาษาเป็นศักด์ิศรีของชาตเิ ป็นท่ียอมรับกนั ทัว่ ไป ประเทศไทยแม้จะเปน็ ประเทศที่มีอาณาเขตเล็ก และก็
มิได้มีอาวุธยุทโธปกรณ์อันทันสมัยใดๆ แต่ก็รักษาความเป็นเอกราชมาได้เป็นเวลายาวนาน ภาษาไทย
เป็นปัจจัยมูลฐานที่ทาให้ชาติไทยดารงความเป็นเอกราช คนไทยอยู่เย็นเป็นสุขกันตลอดมา ดังพระราช
นพิ นธ์ปลกุ ใจในสมเด็จพระมหาธรี ราชเจ้าวา่ “แม้ชาตยิ อ่ ยยับอับจน บคุ คลจะสุขอยอู่ ยา่ งไร”
ภาษาเป็นวัฒนธรรมท่ีสาคัญท่ีสุดของชาติ เพราะภาษาเป็นส่ือให้ติดต่อกัน และทาให้
วัฒนธรรมอื่น ๆ เจริญข้ึน ปราณีต ม่วงนวล (2557: 4-8) ได้สรุปความสาคัญของภาษาไทยไว้กล่าวคือ
ภาษาเป็นเคร่ืองแสดงว่าไทยเราเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมมาต้ังแต่โบราณ และรักษาความเป็นเอกราชได้
ยั่งยืน อีกท้ังยังเป็นศูนย์กลางยึดเหนี่ยวคนทั้งชาติ จากการใช้ภาษาและเป็นวัฒนธรรมของชาติ ซ่ึง
ความสาคัญของภาษาไทยสรุปได้ดังนี้ 1) เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร 2) เป็นเครื่องมือในการ
เรียนรู้และแสวงหาความรู้ 3) เป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน 4) เป็นเครื่องมือในการบันทึก
5) เป็นเครือ่ งมอื สรา้ งเอกภาพของชาติ และ 6) เปน็ เครือ่ งมอื ชว่ ยจรรโลงใจ
การฝกึ ปฏิบัตกิ ารฟงั
ก่อนที่จะฝึกปฏิบัติการฟัง ควรทาความเข้าใจกับความหมาย ความสาคัญของการฟัง หลักการ
ฟัง วัตถปุ ระสงคข์ องการฟงั และขนั้ ตอนของการฟัง เพ่ือใหก้ ารฟงั สมั ฤทธผ์ิ ลและสามารถนาไปใชไ้ ด้
1. ความหมายของการฟงั
การฟังเป็นทักษะทางภาษาที่มนุษย์ใช้มากที่สุด พจนานุกรมฉบับราชบัณ ฑิตยสถาน
พ.ศ. 2554 (ราชบัณฑิตยสถาน, 2556: 858) ให้ความหมายคาว่า ฟัง หมายถึง ก. ต้ังใจสดับ คอยรับ
เสียงด้วยหู ได้ยิน เช่ือ ทาตามถ้อยคา รวมถึงนักวิชาการไทยและต่างประเทศ ได้ให้ความหมายของ
การฟังไว้ กล่าวคือ การฟัง เป็นการรับรู้เร่ืองราวต่าง ๆ จากแหล่งของเสียง ซ่ึงอาจจะรับรู้ผ่านผู้พูด
โดยตรง หรือรับรู้ผ่านอุปกรณ์บันทึกเสียงแบบต่าง ๆ โดยแหล่งเสียงจะส่งผ่านประสาทสัมผัสทางหู
เข้ามา แล้วผู้ฟังเกิดการรับรู้ความหมายของเสียงท่ีได้ยิน จากน้ันนาความหมายท่ีได้รับรู้ไปพิจารณา
ทาความเข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้พูด ประเมนิ ค่าสารที่ได้ฟังและสามารถนาสารท่ีได้จากการฟังไปปฏบิ ัติ
ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจาวันของตนเองได้ (จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ, 2556: 105, Cook, 1991: 62,
Underwood, 1993: 1)
3
2. ความสาคัญของการฟงั
การฟังเป็นกระบวนการรับสารท่ีเราใช้มากที่สุดในชีวิตประจาวัน เช่น การติดต่อสื่อสารใน
ชวี ิตประจาวันของมนุษย์ มนุษยส์ ามารถติดตอ่ ส่ือสารการฟงั โดยผา่ นสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ได้แก่ โทรศพั ท์
วิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ จากผลการวิจัย Language Teaching Analysis ของ แมคคี (Mackey, 1967:
559) พบว่า ในวันหนึ่ง ๆ มนุษย์จะมีการฟัง 48 % การพูด 23 % การอ่าน 16 % และ การเขียน 13
% การสอื่ สารในชวี ิตประจาวัน มนุษย์รับสารด้วยการฟังมาตง้ั แต่เม่อื เริ่มรับรสู้ ิ่งแวดลอ้ มต่าง ๆ ไม่ว่าจะ
เป็นเสียงดนตรีท่ีไพเราะ เสียงธรรมชาติหรือเสียงมนุษย์ การฟัง จึงเป็นทักษะทางภาษาท่ีมนุษย์ใช้มาก
ทสี่ ุด ชาโมวาร์และมิลล์ (Samovar & Mill, 1968: 36) กล่าววา่ มนษุ ย์ใช้เวลาในการฟังประมาณ 40-
50 % ของเวลาท่ีใช้ในการติดตอ่ สื่อสาร ส่วนแคลทเ์ นอร์ (Keltner, 1970: 26-27) พบว่าผู้ที่สามารถ
ติดต่อสื่อสารอย่างได้ผลต้องใช้เวลาในการฟังถึง 42 % จากการค้นพบดังกล่าว จะเห็นว่ามนุษย์ต้องใช้
ทักษะการฟังในขณะท่ีติดต่อส่ือสารอย่างมาก อีกท้ังการฟังเป็นทักษะส่งเสริมความคิดและความฉลาด
รอบรู้ เป็นพหูสูต (ผู้สดบั ตรับฟังมาก) ทาให้ประสบความสาเร็จและก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ (พระราชวรมุนี, 2528: 274-275) และ ปราณีต ม่วงนวล (2562: 50-51) ได้สรุป
ความสาคญั ของการฟังไว้ กล่าวคือ การฟังเป็นทักษะสง่ เสริมความคิดและความฉลาดรอบรู้ ผ้ทู ่ีสามารถ
ติดต่อส่ือสารอย่างได้ผลต้องใชเ้ วลาในการฟังให้มากเพื่อ 1) ได้รับความรู้ 2) ทาให้รู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ
3) ให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ 4) ช่วยยกระดับจิตใจ 5) ได้รับความบันเทิง 6) ช่วยพัฒนาทักษะการพูด
7) เปิดใจยอมรับความมีเหตุมีผล 8) สร้างความเข้าใจอันดีระหว่างคนในสังคม 9) เป็นเคร่ืองมือช่วยสืบ
ทอดมรดกทางวัฒนธรรมไทย 10) ช่วยลดความเป็นอัตตา 11) ยอมรับการแสดงความคิดเห็นของผู้อื่น
และ 12) การเป็นผ้ฟู ังทาให้เข้าถึงปัญหาและหาทางแก้ปัญหาไดต้ รงจดุ
3. หลักการฟัง
การฟังอย่างมีประสิทธิภาพทาให้ผู้ฟังได้รับความรู้และความเพลิดเพลิน ซึ่งจะช่วยพัฒนา
สติปัญญาให้เจริญงอกงามได้ การจะฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพน้ัน ผู้ฟังควรรู้หลักการฟังเพ่ือนาไป
พัฒนาทักษะการฟังของตนเอง ทั้งต้องหมั่นฝึกฝนและพัฒนาประสิทธิภาพในการฟังอย่างสม่าเสมอ
(จริ าภรณ์ อจั ฉริยะประสทิ ธิ์, 2558: 95-97)
1. หลักการฟังท่วั ไป
หลักการฟงั ทีด่ ที ีผ่ ู้ฟงั ควรฝึกฝนอย่เู สมอเพือ่ เพ่ิมประสิทธภิ าพในการฟัง มหี ลกั ใหญๆ่ ดังน้ี
1.1 มสี มาธิในการฟัง การมีสมาธเิ ป็นพื้นฐานของพฤตกิ รรมการฟังท่ดี ี ผู้ฟังควรมีสมาธิ
ในการฟังอยู่เสมอ การมีสมาธิจะเร่ิมมาจากความต้ังใจฟัง มีใจจดจ่อต่อเรื่องท่ีได้ฟัง ไม่วอกแวกต่อ
ส่ิงรบกวนต่าง ๆ การมีสมาธิในการฟงั ยังจะทาใหผ้ ู้ฟังมีกริ ยิ าท่าทางทีส่ ารวมอกี ดว้ ย
1.2 พยายามจับประเด็นสาคัญ วิธีการฟังท่ีดีนอกจากต้องใช้สมาธิในการฟังแล้ว ผู้ฟัง
ควรพยายามจับประเด็นสาคัญของเร่ืองทุกครั้งที่ฟัง การจับประเด็นสาคัญเริ่มมาจากผู้ฟังกาหนด
จุดมุ่งหมายในการฟังไว้แล้ว ฟังอย่างตั้งใจตลอดเรื่อง จดบันทึก และพยายามจับสาระสาคัญโดยใช้
การพิจารณาจากพืน้ ฐานความรู้และประสบการณ์ และสุดท้ายให้สรุปประเดน็ สาคญั ของเรอื่ ง
1.3 พิจารณาไตร่ตรองเร่ืองท่ีฟัง เป็นการฟังแล้วนาเร่ืองท่ีฟังมาวิเคราะห์แยกแยะ
ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น หาสาระความรู้จากเรื่องที่ฟัง แล้วนามาพิจารณาประเมินค่าว่าน่าเช่ือถือ มี
ประโยชน์หรือเหมาะแกก่ ารนาไปปฏบิ ตั ติ ามหรอื ไม่
4
วิธีการฟังที่ดีข้างต้นเป็นหลักการฟังท่ีสาคัญ สามารถนาไปปรับใช้กับการฟังได้ทุกประเภท
อย่างไรก็ตาม การจะฟังได้อย่างดีมีประสิทธิภาพน้ัน ต้องอาศัยความต้ังใจและหม่ันฝึกฝนของผู้ฟังอยู่
เสมอดว้ ย
2. หลกั การฟังสารประเภทตา่ ง ๆ
การฟังสารประเภทต่าง ๆ ผู้ฟังควรรู้วิธีการฟังและลักษณะของสาร เพื่อให้ได้รับประโยชน์
สงู สุด หลักการฟังสารแยกได้กว้าง ๆ เป็น 3 ประเภท ดงั น้ี
2.1 การฟังสารประเภทให้ความรู้ สารที่ให้ความรู้จะมีลักษณะเนื้อหาท่ีมุ่งให้สาระ
ความรู้และข้อเท็จจริงแก่ผู้ฟังมากกว่ามุ่งให้ความเพลิดเพลิน เช่น เร่ืองทางวิชาการ เร่ืองที่มี
สาระประโยชน์ ข่าวสาร ฯลฯ การฟังสารท่ีให้ความรู้มีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้เกิดความรู้ความเข้าใจ
สามารถนาความรู้น้ันไปปรับใช้ได้ในการดาเนินชีวิต ตลอดจนทาให้เกิดการคิดและการตัดสินใจ โดย
ผู้ฟังเลือกฟังสารประเภทนี้ได้จากหลายแหล่ง เช่น ฟังบรรยายในช้ันเรียน ฟังสัมมนา ฟังวิทยุ ดังที่
ณรงศักด์ิ สอนใจ และ ทินวัฒน์ สร้อยกุดเรือ (2551: 86-87) กล่าวไว้ว่า “การฟังและการอ่านเพื่อ
ความรู้มิใช่เพียงการอ่านตารับตารา บทเรียนหรือการฟังบรรยายในรายวิชาเท่าน้ัน แต่ยังหมายรวมถึง
การรับสารในหลายลักษณะท่ีช่วยเสริมสร้างความรู้ให้กับผู้รับสารทั้งการฟังวิทยุ ชมโทรทัศน์” การฟัง
สารประเภทให้ความรู้จึงเลือกฟงั ไดห้ ลากหลาย หลักการฟงั สารประเภทใหค้ วามรู้ มีดังน้ี
2.1.1 ควรฟังอย่างตงั้ ใจและฟงั ตลอดทงั้ เร่ือง
2.1.2 ควรจดบันทึกประเด็นสาคัญ เพื่อให้เข้าใจเน้ือหาของสารและไว้เตือน
ความจา
2.1.3 พยายามจับใจความสาคัญของเรอ่ื งใหไ้ ด้
2.1.4 ควรวิเคราะห์และตีความสารที่ได้ฟังว่าส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง ส่วนใด
เปน็ ข้อคดิ เห็น และพิจารณาว่าเชือ่ ถือไดม้ ากน้อยเพียงใด
2.1.5 ฟังแล้วลองต้ังคาถาม หรือนาเสนอประเด็นท่ีต้องการอภิปราย เพ่ือ
ทบทวนความเข้าใจและเพิ่มพูนความรู้ (กรณีท่ีเป็นการฟังในชั้นเรียน งานสัมมนา หรืองานประชุม
กลุม่ ยอ่ ย)
2.1.6 พิจารณาถ้อยคาภาษาว่ามีลักษณะอย่างไร โดยท่ัวไปแล้วสารประเภท
ใหค้ วามรูม้ ักใช้ถ้อยคาภาษาท่ตี รงไปตรงมา ชดั เจน
2.1.7 หลังการฟัง ผูฟ้ ังควรทบทวนสง่ิ ที่ไดฟ้ งั
สารท่ีให้ความรู้จะช่วยให้ผู้ฟังได้เพ่ิมพูนความรู้และได้ฝึกคิดพิจารณา ซึ่งเป็นการพัฒนา
สติปัญญา ผู้ฟังจึงควรฝึกฝนทักษะการฟังสารประเภทนี้อย่างสม่าเสมอ เป็นท่ีน่าสังเกตว่า การฟังสาร
ที่ให้ความรู้บางประเภทก็เข้าใจยาก เช่น เน้ือหาของบทเรียนที่มีความลึกซ้ึง ซับซ้อน ผู้ฟังต้องใช้
ความอดทนและต้ังใจเพ่ือให้เกิดความเข้าใจ นอกจากน้ีสารประเภทข่าว บทสัมภาษณ์หรือบทแสดง
ความคิดเห็น ผู้ฟังก็ควรพิจารณาให้รอบคอบถ่ีถ้วนก่อนท่ีจะปักใจเช่ือ ดังน้ันการฟังสารท่ีให้ความรู้
บางประเภทผู้ฟงั จงึ จาเปน็ ตอ้ งฟังอย่างเข้าใจและมวี จิ ารณญาณควบคกู่ ันไปด้วย
2.2 การฟังสารประเภทโน้มน้าวใจ สารประเภทโน้มน้าวใจเป็นสารที่พบได้ใน
ชีวิตประจาวันมากที่สุด สารประเภทน้ีอาจมาจากสื่อมวลชน มาจากคาบอกเล่าจากปากสู่ปาก มักมี
ลักษณะโฆษณา ชวนเช่ือ ชักจูงและโน้มน้าวใจให้เช่ือหรือปฏิบัติตาม ด้วยการใช้ถ้อยคาท่ีน่าเชื่อถือ มี
5
อิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิด เช่น การโฆษณาสินค้า การหาเสียง การขอร้อง ฯลฯ การฟังสารประเภทน้ี
จงึ ควรใชว้ จิ ารณญาณในการฟังเสมอ หลกั การฟงั สารประเภทโนม้ นา้ วใจ มีดังน้ี
2.2.1 ตงั้ ใจฟังตลอดทง้ั เรอ่ื ง
2.2.2 ควรแยกแยะให้ไดว้ า่ ผู้พูดมีจุดหมายอยา่ งไร
2.2.3 พิจารณาวา่ จุดมงุ่ หมายนั้นดีหรือไม่ เป็นประโยชนห์ รือไม่
2.2.4 ควรใช้วจิ ารณญาณในการฟงั พิจารณาความสมเหตสุ มผล
2.2.5 พิจารณาการใช้ภาษาว่าเป็นอย่างไร โดยท่ัวไปแล้วสารประเภทโน้ม
น้าวใจมักใชภ้ าษาในลักษณะชักจูง ชวนเช่อื และเรา้ อารมณ์
2.2.6 ประเมินค่าว่าควรเชื่อถือ หรือควรนาไปปฏิบัติตามหรือไม่ ไม่ควร
คล้อยตามง่าย ๆ
2.3 การฟังสารประเภทจรรโลงใจ สารประเภทจรรโลงใจ คือสารท่ีมุ่งให้ผู้ฟังได้รับ
ความสุข ได้ขอ้ คิด ทาใหค้ ลายความทุกข์ ได้รบั ความเพลิดเพลิน เกิดความซาบซึ้ง เกิดจนิ ตภาพ รวมถึง
ยกระดับจิตใจ อาจได้จากการฟังบทเพลง คาประพันธ์ บทละคร พระธรรมเทศนา โอวาทสุนทรพจน์
เปน็ ต้น หลกั การฟังสารทีจ่ รรโลงใจ มดี ังนี้
2.3.1 ทาจิตใจใหผ้ ่อนคลาย
2.3.2 ต้ังใจฟังและฟงั ใหต้ ลอดทัง้ เร่อื ง
2.3.3 จับสาระสาคญั ใหไ้ ดว้ ่าตอ้ งการสอ่ื ความหมายอะไรโดยการฟงั อย่างเขา้ ใจ
2.3.4 พจิ ารณาสารทไี่ ดฟ้ ังวา่ มีเหตมุ ผี ลสอดรบั กันอย่างไร
2.3.5 พิจารณาลักษณะการใช้ภาษาว่าเป็นอย่างไร เหมาะสมกับเน้ือหา
หรอื ไม่ โดยทว่ั ไปสารประเภทจรรโลงใจมักจะใช้ภาษาท่ีสละสลวย มภี าพพจน์ ทาให้เกิดจนิ ตภาพ
2.3.6 หลังการฟังสารประเภทโอวาทหรือพระธรรมเทศนา ผู้ฟังควรทบทวน
ว่าสารทไี่ ดฟ้ งั นน้ั มปี ระโยชน์อย่างไร ควรแกก่ ารนาไปปฏิบตั ิตามหรือไม่
หลักการฟังสารประเภทต่าง ๆ ข้างต้น เป็นแนวทางในการฟังสารให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้ฟัง
ควรนาไปฝึกฝน โดยอาจฝกึ ฝนจากเร่ืองใกลต้ ัว เช่น นักศึกษาเรมิ่ ฝึกฟังสารท่ีให้ความรจู้ ากการบรรยาย
บทเรยี นของอาจารย์ในชน้ั เรยี น หรือลองฝึกฟังโฆษณาสินค้าในโทรทัศน์โดยใช้หลักการฟังสารประเภท
โนม้ น้าว เป็นตน้ การฝึกฝนทักษะการฟงั อย่เู สมอจะทาใหส้ ามารถพัฒนาการฟังให้มีคุณภาพได้
3. การพัฒนาทักษะการฟงั
การฟังให้เกิดประสิทธิภาพ ผู้ฟังจะต้องเข้าใจขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อพัฒนาทักษะการฟังให้
มปี ระสทิ ธภิ าพ การพัฒนาการฟงั ให้เกดิ ประสิทธภิ าพ มขี นั้ ตอนดงั นี้
3.1 สรา้ งความสนใจและความต้องการทจ่ี ะฟงั
3.2 กาหนดวตั ถปุ ระสงคใ์ นการฟัง
3.3 ฝึกสมาธิ ผฟู้ งั ควรต้งั ใจฟงั มีสมาธิกับเร่ืองท่ีกาลังฟัง
3.4 ฝึกการจดบนั ทึก ในขณะฟงั ผฟู้ งั ควรจดบันทกึ ขอ้ มูลท่ีสาคัญไปด้วย
3.5 ฝึกจับใจความสาคัญ
3.6 ฝกึ สรุปความ
3.7 ฝึกวเิ คราะห์สาร
3.8 ฝกึ ใช้วิจารณญาณในการฟัง
6
4. หลกั การฟงั อยา่ งสรา้ งสรรค์
การฟังที่ดีนั้นผู้ฟังจะต้องรู้จักวิธีการฟังและการเลือกสารท่ีจะฟัง รวมไปถึงต้องรู้จักวิธีการ
เลือกสอ่ื ในการฟังเพอ่ื ทาให้การฟงั นัน้ เป็นการฟังทสี่ รา้ งสรรค์ โดยมีหลกั การ ดงั นี้
4.1 ผู้ฟงั ตอ้ งศึกษาทาความเข้าใจความรู้พ้ืนฐานทางภาษา ความหมายของคา สานวน
ขอ้ ความและประโยคทีบ่ รรยาย
4.2 ผฟู้ งั ตอ้ งศกึ ษาประเภทของสารและสามารถแยกแยะไดว้ า่ เป็นประเภทอะไร
4.3 ผู้ฟังต้องรู้จักเลือกสื่อให้เหมาะสมและสร้างสรรค์ โดยควรศึกษาประเภทของส่ือ
ก่อนฟัง
4. วตั ถุประสงคข์ องการฟัง
การฟงั ที่ดีผู้ฟงั ควรฝึกฝนและพัฒนาทักษะการฟังของตนเองอยู่เสมอ (ปราณีต มว่ งนวล, 2560:
26-27) เพ่ือให้สามารถทาความเข้าใจส่ิงท่ีได้ฟังอย่างชัดเจน การฟังโดยมีการตั้งวัตถุประสงค์ในการฟัง
ไว้ลว่ งหน้าเปน็ วธิ ีหนง่ึ ท่ีช่วยพฒั นาทักษะการฟงั วตั ถปุ ระสงค์ของการฟงั สรปุ ได้ 7 ประการ ดงั น้ี
1. ฟังเพ่ือใหเ้ กิดความรู้ นักเรยี นนักศึกษาเปน็ กลุ่มทใี่ ช้วตั ถุประสงคน์ ้ีโดยตรง ผู้เรยี นจะต้องฟัง
บรรยายของครูอาจารย์ ฟังวิทยากร ฟังเสวนา ฟงั อภปิ รายและฟังการรายงานของเพื่อน
2. ฟังเพ่ือความบันเทิงและผ่อนคลาย เป็นการฟังเพ่ือให้เกิดเพลิดเพลิน ความสนุกสนาน ผ่อน
คลายความเครียดจากการทางาน ภาวะแวดล้อม ความวิตกกังวลจากการดาเนินชีวิตในสังคม เช่น
การฟงั เพลง ฟงั และชมการแสดงดนตรี ฟังเร่อื งเบาสมอง ฟังการอา่ นทานองเสนาะ เปน็ ต้น
3. ฟังเพ่ือให้เกิดความคิดและการตัดสินใจเช่น การฟังปราศรัยหาเสียง ฟังโฆษณาสินค้า ฟัง
การขอร้อง วิงวอน ฯลฯ การฟังลักษณะน้ีผู้ฟังจะต้องใช้วิจารณญาณในการฟังมากที่สุด และต้อง
ประเมินค่าสิ่งท่ีได้ฟังว่ามีเหตุมีผลน่าเช่ือถือหรือไม่ เพื่อการตัดสินใจอย่างถูกต้อง เช่น ฟังการปราศรัย
หาเสียง ผูฟ้ ังควรตั้งใจฟังและหาสาระสาคญั จากส่ิงท่ไี ด้ฟงั
4. ฟังเพ่ือสร้างความเข้าใจ เป็นการฟังความคิดเห็น ความรู้สึกของผู้อ่ืน เพื่อเข้าใจบุคคลหรือ
เรื่องน้ันๆ เป็นการสร้างความเข้าใจร่วมกันและลดความขัดแย้งต่างๆ การฟังเพ่ือสร้างความเข้าใจ
รว่ มกนั เกดิ ขนึ้ ไดใ้ นทุกระดบั ช้ัน ตัง้ แต่ระดบั ครอบครวั จนถึงระดับชาตแิ ละนานาชาติ
5. การฟังเพ่ือแสดงความคิดเห็น เป็นการฟังท่ีต้องเกิดจากความต้ังใจและการคิดพิจารณาเพ่ือ
ประกอบการแสดงความคิดเห็น โดยการแสดงความคิดเห็นเป็นกระบวนการท่ีเก่ียวข้องกับการประเมิน
คณุ ค่าของสาร ฉะนั้นผู้ฟังจึงต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบและพิจารณาถึงความเหมาะสมในการถา่ ยทอด
ความคิดเห็นนั้นเป็นภาษาพูดหรือภาษาเขียนด้วย การฟังเพ่ือแสดงความคิดเห็นนี้มักปรากฏในการฟัง
การสมั มนา การเสวนา การอภิปราย เป็นตน้
6. ฟังเพ่ือให้ได้คติชีวิตหรือความจรรโลงใจ เป็นการฟังท่ีก่อให้เกิดสติปัญญาและวิจารณญาณ
ยกระดับจิตใจ คา้ ชจู ติ ใจใหส้ ูงข้นึ และประณตี ขึน้ เชน่ การฟังธรรมะ ฟังเทศน์ ฟังสุนทรพจน์ เปน็ ตน้
7. ฟังเพ่ือพัฒนาสมองและรักษาสุขภาพจิต เป็นการฟังท่ีมีลักษณะเฉพาะเจาะจงเพ่ือพัฒนา
สมองและรักษาสุขภาพจิต เช่น ให้ทารกในครรภ์ฟังเสียงเพลง เช่ือว่าเป็นการพัฒนาสมอง การฟังเสียง
ตามธรรมชาติ
7
ผู้ฟังที่ดีต้องตั้งวัตถุประสงค์ของการฟังทุกคร้ังเพื่อสร้างแนวทางในการฟังเรื่องราวต่างๆ ซ่ึงจะ
ทาให้ผู้ฟังสามารถเตรียมความพร้อมก่อนฟัง เพื่อให้เกิดความเข้าใจเน้ือหาสาระ ได้ประโยชน์และ
สามารถประเมินคา่ สงิ่ ทีไ่ ดฟ้ งั ได้ชัดเจนตรงประเดน็
5. ข้ันตอนของการฟัง
การฟังที่มีประสิทธภิ าพ คือ การฟังอย่างมีวิจารณญาณ เพราะนอกจากฟังเพ่ือการรับสารแล้ว
ยังต้องคิดวิเคราะห์ ประเมินค่าสารน้ันเพ่ือนาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวันอย่างแท้จริงตาม
จดุ มงุ่ หมายท่ีต้ังไว้ และมีกระบวนการการฟังเพื่อรับสารประกอบดว้ ย 6 ขน้ั ตอน ดงั น้ี
ไดย้ นิ รบั ฟงั ทาความเขา้ ใจ นาไปใช้ให้เกิดประโยชน์
(รับสาร รับร)ู้ (ตีความ–เข้าใจ)
5.1 ข้ันได้ยินเสียง กระบวนการฟังจะเร่ิมต้นตั้งแต่การได้ยินเสียงจากแหล่งของเสียง
ซึ่งมีลักษณะเป็นคลื่นไฟฟ้าผ่านอากาศเข้ามายังประสาทสัมผัสทางหู หรือท่ีเรียกว่าโสตประสาท ซึ่งจะ
รบั เสยี งเหล่าน้นั ผา่ นเขา้ ไปยงั สมอง
5.2 ขั้นรับรู้ เมื่อเสียงผ่านเข้าไปยังสมองแล้ว สมองจะจาแนกเสียงพยางค์ไปตาม
ลักษณะโครงสร้างทางไวยากรณ์ของภาษา หากเป็นเสียงในภาษาท่ีผู้ฟังรู้จักและเข้าใจจะเกิดการรับรู้
แตห่ ากผู้ฟงั ไม่ร้จู กั เสยี งท่ผี ่านเขา้ มาก็จะไมเ่ กิดความหมายใด ๆ
5.3 ข้ันตคี วาม เปน็ ข้ันท่ีผู้ฟังแปลความหมาย หรอื ตีความในความหมาย ของประโยค
หรือสง่ิ ทีไ่ ด้ยินได้ฟงั
5.4 ข้ันเข้าใจ เป็นขั้นการฟังซึ่งผู้ฟังสามารถเข้าใจความหมายของใจความสาคัญของ
ผู้พูดได้อย่างถกู ต้อง
5.5 ขั้นพิจารณา เปน็ ขั้นท่ตี ้องวเิ คราะห์ ไตร่ตรอง ซึ่งขึน้ อยู่กับความสามารถของผ้ฟู ัง
ที่จะตัดสินว่าเร่ืองท่ีได้ยินได้ฟังมานั้น เป็นความจริงเพียงใด น่าเช่ือถือได้หรือไม่ ยอมรับได้หรือไม่ และ
เปน็ ประโยชนต์ อ่ ตนเองหรือไม่
5.6 ขั้นการนาไปใช้ เม่ือพิจารณาสารเรียบร้อยแล้ว ผู้ฟังจะนาความรคู้ วามเข้าใจท่ีได้
จากการฟังไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ต่อตนเองและสงั คมต่อไป
6. วธิ กี ารฝึกทักษะการฟงั
การฟัง มีความสาคัญและจาเป็นในการดาเนินชีวิต การจะเป็นผู้ฟังที่ดีไม่ได้หมายถึงการได้ยิน
ชัดเจนและฟังจนจบเรื่อง เพราะนั่นเป็นเพียงข้ันตอนแรกของการฟังเท่านั้น แต่การเป็นผู้ฟังท่ีดีจะต้องเข้าใจ
ส่ิงท่ีได้ยินซึ่งต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนหลายประการร่วมกัน (จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ, 2556: 108-109) และ
จากทรรศนะของนักวิชาการอีกหลายท่านรวมถึงประสบการณ์ในการสอนของผู้เขียน สรุปวิธีการในการฝึก
ทกั ษะการฟังได้ ดังนี้
8
1. สนใจฟัง การสนใจฟังข้อความหรือเรื่องราวทั้งในวงสนทนาการบรรยายหรืออ่ืน ๆ เป็น
ส่งิ จาเป็นโดยเฉพาะเมื่อเราหวงั ท่จี ะเขา้ ใจหรอื ได้ประโยชนจ์ ากเร่ืองท่ีฟัง การฟงั แต่ละครั้งจึงควรฝกึ ให้มี
สมาธิจดจ่อกับเร่ืองที่ฟัง พยายามมุ่งความสนใจไปในเร่ืองที่กาลังฟัง โดยไม่ให้มีเรื่องอื่น ๆ มารบกวน
ความคิด เพราะการปล่อยให้มีความคิดเร่ืองอื่นเข้ามาปะปนเรื่องท่ีกาลังฟังย่อมไม่เป็นประโยชน์ตามที่
กาหนดจดุ มุง่ หมายไว้
2. ช่างสังเกต ขณะท่ีฟังควรสังเกตอวัจนภาษาของผู้พูด เพราะการสื่อสารนั้นไม่ได้มีแต่วัจ
นภาษาเท่าน้ัน หากเป็นการฟังจากบุคคลโดยตรง เราควรสังเกตกิริยาท่าทาง สายตา สีหน้า น้าเสียง
ของผู้พูด หรือถ้าเป็นการฟังโดยผ่านสื่ออื่น ๆ อาจต้องสังเกตการใช้เสียง เช่น เสียงหนัก เสียงเบา
เสียงสูง เสียงแหลม เสียงตะโกน เสียงกระซิบ เป็นต้น และการใช้น้าเสียง เช่น น้าเสียงสดใส น้าเสียง
เกรี้ยวกราด น้าเสียงท้อแท้ น้าเสียงประชดประชัน เป็นต้น การสังเกตอวัจนภาษานี้จะช่วยให้เข้าใจ
ความคดิ และวัตถปุ ระสงคข์ องผู้พูดได้ชดั เจนมากขึ้น
3. เปิดใจกว้าง ผู้ฟังท่ีดีควรเปิดใจกว้างยอมรับความคิดเห็นของผู้อ่ืน โดยพยายามตัดอคติที่มี
ต่อผู้พูดและเร่ืองท่ีฟังแม้จะไม่เห็นด้วยหรือไม่ชอบก็ควรฟังให้จบเร่ืองโดยยังคงความสนใจท่ีจะฟังด้วย
การพยายามวางใจเป็นกลาง และทาความเข้าใจความคิดของผู้พูดเพ่ือนามาพิจารณาแยกแยะภายหลัง
การฟังเร่ืองราวทุกเรื่องด้วยใจเปิดกว้างเป็นการให้โอกาสตนเองได้เรียนรู้เรื่องราวที่หลากหลาย ท้ังท่ีรู้
แลว้ และยงั ไมร่ ู้ ทงั้ ท่ีเห็นด้วยและไมเ่ หน็ ดว้ ย เพอื่ จะได้พัฒนาตนเองในด้านการคดิ พจิ ารณาด้วย
4. หมั่นฝึกฝน พยายามฝึกฟงั เรื่องให้หลากหลายไม่จากัดประเภทและขอบเขตเน้ือหา เช่น บท
สนทนาข่าวบทความปาฐกถาการอภิปรายโต้วาที นิทานเร่ืองเล่า เป็นต้น ในช่วงเริ่มต้นของการฝึกฝน
อาจเลือกฟังเรื่องสั้น ๆ ก่อน แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มความยาวของเรื่องข้ึน ขณะที่ฟังควรฟังด้วยความสนใจ
และต้ังใจ พยายามจดจาสว่ นทส่ี าคญั และทดสอบความเข้าใจเร่อื งทีฟ่ งั ดว้ ยการนาเอาส่วนสาคัญท่ีจาไว้
มาเล่าต่อ โดยสังเกตผู้ฟังเร่ืองท่ีเราเล่าว่าเขาสามารถรับรู้และเข้าใจเรื่องท่ีเราเล่าได้หรือไม่ การฝึกฝน
ดังกลา่ วนคี้ วรหมั่นทาอยา่ งต่อเนอื่ ง ทักษะการฟังจะคอ่ ย ๆ พฒั นาขนึ้
5. จดบันทึก เมื่อมีจุดมุ่งหมายท่ีชัดเจนว่าต้องการได้ประโยชน์จากการฟัง โดยเฉพาะการฟัง
เพ่ือแสวงหาข้อมูลและความรู้ ควรใช้หลกั การคิดไปจดไปเพราะเป็นวิธีหน่ึงที่ช่วยสร้างสมาธิ ด้วยเหตุท่ี
สมองสายตาและมือทางานประสานกันอย่างสม่าเสมอ เมื่อฟังแล้วควรคิดเรียบเรียงถ้อยคาให้กระชับ
แล้วจึงจดแบบสรุปเฉพาะส่วนที่สาคัญเพ่ือช่วยเตือนความจา ไมค่ วรฟังแล้วจดตามทุกคาพูดเพราะอาจ
จดไม่ทัน ด้วยเหตุทอี่ ัตราการพูดย่อมเร็วกว่าการเขียน และเมื่อกลับมาอ่านกไ็ ม่เข้าใจเนอ่ื งจากข้อความ
ท่ีจดไม่มีความต่อเนื่อง และท่ีสาคัญคือไม่ได้ติดตามเรื่องท่ีฟัง มุ่งม่ันแต่จะจดซึ่งในท้ายท่ีสุดแล้วก็จะ
ไมไ่ ดป้ ระโยชน์จากการฟังตามทคี่ าดหวัง
9
ตัวอยา่ งการฝกึ ปฏิบตั ิการฟัง
ตัวอย่างท่ี 1 ฝึกฟังการบรรยายจากอาจารย์ และฟงั จากส่ืออนิ เทอร์เนต็ /ศึกษาเรียนรู้
ผลสมั ฤทธิ์: ได้รับความร้/ู นวตั กรรมทางการศึกษา
ภาพที่ 1.1 นกั ศกึ ษาฟังการบรรยายจากอาจารย์ และฟังจากสื่ออินเทอร์เนต็
ท่มี า: ปราณีต ม่วงนวล (ถา่ ยภาพ)
แบบบันทึกการฝกึ ฟัง
เนอ้ื หา/สาระ ทีไ่ ดฟ้ งั ...................................................................................................... ............
ประเดน็ สาคญั …………………………………………………………………………….......................................
ศึกษาเรยี นรู้ ……………………………………………………………………………..........................................
วิเคราะหเ์ น้อื หา ................................................................................................... .......................
ความคดิ รวบยอด ........................................................................................................................
องคค์ วามรู้ ................................................................................................................. .................
แหล่งศึกษาค้นควา้ เพม่ิ เตมิ .........................................................................................................
บูรณาการความรกู้ บั ศาสตร์วิชาอืน่ .............................................................................................
ข้อสังเกตจากการฟัง ...................................................................................................................
นวัตกรรมจากการฟงั ..................................................................................................................
การนาไปใช้/การประยุกตใ์ ช้ .......................................................................................................
10
ตวั อยา่ งที่ 2 ฝึกฟังขา่ วสารจากสื่ออินเทอรเ์ น็ต
ผลสมั ฤทธิ์: ไดร้ บั ข้อมูล ขา่ วสารทที่ นั เหตุการณ์ ทนั โลก
ภาพท่ี 1.2 Live: ศบค. แถลงสถานการณ์ ไวรัสโควิด-19 ThairathTV
ทีม่ า: ศนู ย์บรหิ ารสถานการณ์แพรร่ ะบาดของโรคตดิ ตอ่ เช้อื ไวรสั โคโรนา 2019, 2563
แบบบันทึกการฝกึ ฟงั
สถานการณท์ ี่ไดฟ้ งั ........................................................................................................... ............
ข่าวสาร ขอ้ มูลในประเทศไทย/ทว่ั โลก ........................................................................................
คาแนะนา ……………………………………………………………………………..............................................
ความร่วมมือต่อสังคม ..................................................................................................................
แนวทางการปฏบิ ัติตน .................................................................................................................
วเิ คราะห์สถานการณ์ .......................................................................................................... ........
ผลกระทบตอ่ : ตนเอง/ครอบครวั ...............................................................................................
: สังคมไทย/สงั คมโลก ..........................................................................................
การฝกึ ทักษะการฟัง การเป็นผู้ฟังที่ดีจะต้องเข้าใจส่ิงท่ีได้ยินซ่ึงต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนหลาย
ประการร่วมกัน เช่น 1) สนใจฟังข้อความหรือเรื่องราว 2) ช่างสังเกต ควรสังเกตกิริยาท่าทาง สายตา
สีหน้า น้าเสียงของผู้พูด 3) เปิดใจกว้าง ยอมรับความคิดเห็นของผู้อ่ืน 4) หมั่นฝึกฝน ฝึกฟังเร่ืองให้
หลากหลาย และ 5) จดบันทกึ ควรใช้หลกั การคิดไปจดไป
จากตัวอย่างการฝึกทักษะฟังข้างต้น เป็นเพียงบางส่วนในแต่ละเรื่องราว ผู้เรียน หรือผู้ที่สนใจ
ศึกษา เมื่อศึกษาและฝึกปฏิบัตแิ ล้วสามารถนามาประยกุ ต์ใช้กับเรื่องราวท่ีต้องการฟงั หรือท่ีจาเป็นต้อง
ฟังให้สมั ฤทธิ์ผลตามวตั ถุประสงค์
11
การฝึกปฏบิ ัติการพดู
การพูด เป็นการการใชถ้ อ้ ยคา น้าเสียง รวมทง้ั กิรยิ าอาการถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความรู้
ความเข้าใจ หรอื ความต้องการของผูพ้ ูดเพื่อให้ผู้ฟงั รับรู้และเข้าใจความรู้สกึ หรือความต้องการของผู้พูด
และเกิดการตอบสนองเปน็ ที่เข้าใจกันไดต้ ามจุดมุ่งหมายของผู้พดู
1. ความหมายของการพดู
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (ราชบัณฑิตยสถาน, 2556: 843) ได้ให้
ความหมายไว้ว่า พูด หมายถึง ก. เปล่งเสียงออกเป็นถ้อยคา พูดจา และนักวิชาการอีกหลายท่านได้ให้
ความหมายไว้ว่า การพูด เป็นการถ่ายทอดความคิดความรู้ความเข้าใจ อารมณ์และความรู้สึกของผู้พูด
ด้วยถ้อยคา น้าเสียงและกิริยาท่าทางให้แก่ผู้ฟังได้รับรู้สาร หรือเรื่องราวตามจุดมุ่งหมายของผู้พูด
(สวนติ ยมาภยั และถิรนนั ท์ อนวชั ศริ ิวงศ์, 2547: 11, จไุ รรตั น์ ลกั ษณะศริ ิ, 2556: 255)
2. ความสาคญั ของการพดู
การพูดเป็นส่ิงจาเป็นและมีคุณค่าอย่างยิ่งสาหรับบุคคลทุกอาชีพไม่ว่าจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน จะ
ทาอะไร มนุษย์จะต้องอาศัยการพูดเป็นเครื่องมือท่ีสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจซ่ึงกันและกัน ส่งผลให้
เกิดทักษะในการเขียน การอ่าน ในทุกยุคทุกสมัยผู้ที่พูดดี พูดเป็นย่อมมีโอกาสประสบความสาเร็จใน
การติดตอ่ ส่ือสาร
จากผลวิจยั ของ แรงกนิ (Paul T. Rankin) อดีตผู้อานวยการฝ่ายดแู ลกิจการของโรงเรียนมัธยม
ในเมืองดีทรอยท์ ได้ศึกษาพบว่า เวลาในการสื่อสารทางการพูดมีมากถึง 3 เท่าของการสื่อสารทาง
การเขยี นที่เป็นเช่นนี้เพราะมนุษย์จะต้องติดต่อส่อื สารระหว่างกันเพื่อทาความเข้าใจกัน (กิตมิ า อมรทตั ,
2543: 9) ในทานองเดียวกัน สุทธชิ ัย ปัญญโรจน์ (2556: 13-15) กลา่ วถึงความสาคัญของการพดู ไว้ว่า
การพูดมีความสาคัญกับคนเรา บุคคลที่พูดเก่งส่ือสารเก่งมักจะได้รับผลประโยชน์ต่างๆ มากมาย ได้แก่
1) มักเป็นที่นิยมของบุคคลโดยทั่วไป 2) จะทาให้เป็นนักค้นคว้า นักวิจารณ์ นักวิเคราะห์ นักคิด นัก
สังเกต 3) ทาให้เกิดความทะเยอทะยาน อยากมีช่ือเสียง ทาให้เกิดการปรับปรุงตนเอง 4) ทาให้เป็นผู้มี
การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี 5) ทาให้ได้มีตาแหน่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมือง
ด้านวิชาการ ตาแหน่งในหน้าท่ีการบริหารงาน 6) ทาให้สามารถเพ่ิมรายได้ให้สูงข้ึน และ 7) ได้เพ่ือน
เพม่ิ มากขนึ้
กล่าวโดยสรุป การพูดมีความสาคัญต่อมนุษย์ทุกคนทุกอาชีพ เพราะมนุษย์ต้องใช้การพูด
ถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ต่าง ๆ เพ่ือสร้างความเข้าใจท่ีต้องการส่ือสารกัน การพูดยัง
ช่วยเสริมสร้างความเจรญิ กา้ วหน้าให้กบั ชวี ติ เป็นพ้ืนฐานในการสร้างความเช่ือม่ันความศรทั ธาในบุคคล
ไดอ้ ีกดว้ ย
3. ประเภทของการพูด
การพูดโดยท่ัวไปจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการพูด และแบ่งตามวิธี
พูดมรี ายละเอียด ดังนี้
1. การพดู ทีแ่ บง่ ตามจดุ มุ่งหมาย
สมจิต ชิวปรีชา (2535: 35-37) ได้อธิบายถึงการพูดทแ่ี บ่งตามจุดมงุ่ หมายไว้ว่า จุดมุ่งหมายใน
การพดู มี 3 แบบ สรปุ ได้ดังน้ี
12
1.1 การพูดเพื่อให้ความรู้
การพูดเพื่อให้ความรู้เป็นการพูดอธิบายชี้แจง แสดงเหตุผลเก่ียวกับเร่ืองใดเรื่อง
หน่ึงโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ผู้ฟังได้รับความรู้ ความเข้าใจเน้ือหาสาระอย่างครบถ้วน ผู้พูดจึงต้องมี
ความรู้เรื่องท่ีจะพูดเป็นอย่างดี ต้องศึกษาค้นคว้าและเรียบเรียงให้เป็นลาดับถูกต้อง ในกรณีที่ผู้ฟังมี
ปัญหาซักถาม จะต้องตอบคาถาม หรืออธิบายซ้าให้ชัดเจน การพูดแบบน้ีมักใช้ในโอกาสท่ีมีการอบรม
ปฐมนเิ ทศ บรรยายสรุป รวมถงึ การสอนในชน้ั เรยี นด้วย
1.2 การพดู เพื่อจงู ใจหรอื โน้มนา้ วใจ
การพูดเพ่ือจูงใจหรือโน้มน้าวใจเป็นการพูดเพื่อให้ผู้ฟังเช่ือถือ มีความเห็นคล้อย
ตามและปฏบิ ัติตาม ผู้พดู จะต้องใสอ่ ารมณ์ ความรูส้ ึกทจี่ รงิ ใจประกอบการพดู เพ่ือแสดงใหเ้ หน็ ว่าผู้พูดมี
ความเช่ือเชน่ นั้น รวมทั้งปฏิบัติอย่างนนั้ มาแล้ว การพูดแบบน้มี ักจะพบในโอกาสต่างๆ เชน่ การปลุกเร้า
ให้เกิดปฏิกิริยามวลชน การชักชวนให้ประชาชนไปลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง การโน้มน้าวใจให้ใช้สินค้า
ไทย การเชญิ ชวนใหบ้ ริจาคเงนิ สมทบกองทนุ ตา่ ง ๆ เปน็ ตน้
1.3 การพดู เพอ่ื จรรโลงใจ
การพูดเพื่อจรรโลงใจเป็นการพูดถงึ คุณงามความดี ความประณีตงดงาม คุณคา่ อัน
น่านิยม ตลอดจนเร่ืองราวท่ีสนุกสนานบันเทิงใจ เพ่ือให้ผู้ฟังเกิดความเพลิดเพลิน รู้สึกสบายใจ การพูด
แบบนจ้ี ะใชใ้ นโอกาสท่ีมีการแสดงความยนิ ดี การกล่าวสดดุ ียกยอ่ งบคุ คล การกล่าวในงานรน่ื เริงท่จี ัดขึ้น
ในโอกาสตา่ ง ๆ
2. การพดู ทแ่ี บ่งตามวธิ ีการพูด
สุริวงศ์ เกิดพันธุ์ (2537: 98 -102) อธิบายเกี่ยวกับการพูดท่ีแบ่งตามวิธีการพูดว่ามี 4 แบบ
สรุปได้ดังนี้
2.1 การพดู โดยไม่มีการเตรียมตวั ล่วงหน้า
การพูดโดยไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า มักเกิดจากการได้รับเชิญให้พูดโดย
กะทันหันเม่ืออยู่ในสถานการณ์ที่จาเป็นบางอย่าง เช่น กล่าวอวยพรคู่บ่าวสาวในงานมงคลสมรสหรือ
แสดงความคดิ เห็นในขณะที่มีการอภปิ รายสัมมนา ฯลฯ การพูดแบบนมี้ ักจะได้ผลน้อยท่ีสุดเมื่อเทยี บกับ
แบบอนื่ ๆ
2.2 การพดู โดยการอา่ นต้นฉบบั ทเ่ี ตรยี มมา
การพูดโดยการอ่านต้นฉบับ โดยปกติจะใช้กับการพูดบางประเภทที่จาเป็นต้อง
ใช้วิธีอ่านเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดต่าง ๆ ท่ีอาจเกิดข้ึน การพูดแบบน้ีได้แก่ การพูดเป็นทางการ เช่น
พระราชดารัสเปิดการประชุมรัฐสภา การแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรี การกล่าวเปิด-ปิด
การประชุมสัมมนา ฯลฯ แม้วา่ การพูดแบบน้ีจะมุง่ ทีค่ วามถูกตอ้ งครบถ้วนของเนื้อหาสาระ การใช้ภาษา
ท่ีประณีต และบรรยากาศท่ีเป็นพิธีการ แต่น้าเสียงการพูด การใช้สายตา และการเคล่ือนไหวของ
ร่างกายเป็นส่งิ สาคัญท่ีตอ้ งคานงึ ถงึ
2.3 การพูดโดยการท่องจาเนือ้ หา
การพูดโดยการท่องจาเนื้อหาคล้ายคลึงกับการพูดโดยการอ่านจากต้นฉบับ คือ
จะต้องเตรียมเขียนต้นฉบับไว้แล้วท่องจาท้ังหมด จากนั้นจึงพูดจากท่ีท่องจาไว้ วิธีพูดแบบน้ีมีข้อดี คือ
ผพู้ ูดสามารถถ่ายทอดเนื้อหาได้ท้ังหมดและสามารถใช้ภาษาให้ราบร่ืนประณีตเท่าที่เตรยี มไว้ในต้นฉบับ
อีกทั้งยังสามารถใช้อากัปกิริยาท่าทางต่าง ๆ ประกอบได้อย่างเหมาะสม ซ่ึงจะเป็นธรรมชาติมากกว่า
13
การอ่านจากต้นฉบบั สว่ นข้อบกพร่องของการพูดแบบนี้ก็คอื หากผู้พูดไม่เตรียมตวั ล่วงหน้าอยา่ งดีจะลืม
เน้อื หาทีท่ ่องจาไว้ ผู้ที่ฝึกพูดใหม่ ๆ จะกังวลกบั เน้ือหาจนทาให้ไม่มองผฟู้ ัง เหม่อลอยเพื่อนกึ เนื้อหาหรือ
พดู ซ้าข้อความเดิมเพราะนึกประโยคตอ่ ไปไมอ่ อก
2.4 การพดู โดยการจาโครงเร่อื ง
การพูดโดยการจาโครงเร่ืองคือ การพูดจากความเข้าใจ เป็นวิธีการพูดที่ถือว่าดี
ท่ีสุดในการพูดแบบต่าง ๆ เพราะจะเป็นการพูดอย่างแท้จริง มีความเป็นธรรมชาติ ผู้พูดสามารถ
ถ่ายทอดเนื้อหาสาระ และแสดงท่าทางประกอบการพูดได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะต้องพูดให้เหมือน
ต้นฉบับทุกคาพูด ผู้พูดอาจปรับหัวข้อ การพูดได้ตลอดเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และ
ปฏิกริ ิยาของผฟู้ ัง การพูดแบบนีต้ ้องอาศัยการเตรียมตัวล่วงหน้า ผ้พู ูดตอ้ งรู้วา่ จะพูดหัวข้อเรื่องอะไร ใช้
เวลาเทา่ ใด พูดในโอกาสใด
กล่าวโดยสรุป การแบ่งประเภทของการพูดโดยท่ัวไปจะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ การพูดตาม
จุดมุ่งหมาย ได้แก่ 1) การพูดเพ่ือให้ความรู้ เป็นการพูดอธิบายชี้แจง แสดงเหตุผลเก่ียวกับเร่ืองใดเรื่อง
หนึ่ง 2) การพูดเพื่อจูงใจหรือโน้มน้าวใจ เปน็ การพดู เพือ่ ให้ผู้ฟังเชอื่ ถอื มีความเห็นคลอ้ ยตามและปฏิบัติ
ตาม 3) การพูดเพ่ือจรรโลงใจ เป็นการพูดถึงคุณงามความดี และ การพูดตามวิธีการพูด 1) การพูดโดย
ไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า 2) การพูดโดยการอ่านต้นฉบับท่ีเตรียมมา 3) การพูดโดยการท่องจาเน้ือหา
4) การพดู โดยการจาโครงเรือ่ งคือ การพดู จากความเขา้ ใจ เป็นวิธีทถี่ ือวา่ ดีทีส่ ดุ ในการพูดแบบต่าง ๆ
4. การเตรียมเร่ืองพูด
1. การเตรียมเร่ืองพดู
การเตรยี มเร่อื งพูด ถือเปน็ ภารกิจทีส่ าคัญย่ิงของผพู้ ูด เพราะส่วนท่เี ป็นเนื้อเร่ืองนัน้ จะเป็นส่วน
ท่ีใช้เวลาพูดมากที่สุด หัวใจสาคัญที่สุดของการพูด คือการเตรียมเน้ือหาที่จะนามาพูด เพราะการพูดจะ
มีเน้ือหาสาระหรือผู้ฟังจะได้รับประโยชน์ ได้แง่คิด หรือได้ความรู้มากน้อยเพียงใดก็อยู่ตรงเนื้อเรื่อง
นั่นเอง ดังน้ัน ก่อนที่จะพูดให้ใครฟัง ผู้พูดควรพิถีพิถันในการค้นคว้าหาข้อมูลเก่ียวกับเรื่องน้ันให้พร้อม
ขั้นตอนในการเตรียมเร่ืองพูดน้ัน แบ่งได้ 3 ข้ันตอน คือ ข้ันเลือกเรื่อง ขั้นวางโครงเรื่อง และขั้นค้นคว้า
รวบรวม
1.1 ขั้นเลือกเร่ือง ในกรณีที่ผู้พูดมีโอกาสเป็นผู้กาหนดเร่ืองด้วยตนเอง ผู้พูดจะต้อง
เลือกเร่ืองที่ตรงกับความต้องการของผู้ฟังให้มากท่ีสุด จึงจาเป็นต้องมีการวิเคราะห์ผู้ฟัง การเลือกเรื่อง
พูดที่แปลกไม่เหมือนคนอ่ืนจะทาให้ผู้พูดประสบความสาเร็จในการพูดมากกว่าใคร หลักควรปฏิบัติ
มดี ังนี้
1.1.1 เลือกเรื่องท่ีมีเนื้อหาตรงกับความต้องการของผู้ฟัง คือ เป็นเรื่องที่ผู้ฟัง
สนใจเน้ือหาที่พูดน้ันเก่ียวข้องกับผู้ฟังและเหมาะสมกับผู้ฟัง โดยผู้พูดจะต้องวิเคราะห์ผู้ฟังมาก่อน
ลว่ งหน้า
1.1.2 เลือกเรื่องทผ่ี ู้พูดถนัดและมีความสนใจมากทีส่ ุด เพราะการพูด ในเรื่อง
ท่ตี นถนัดและสนใจจะทาให้การพดู มปี ระสิทธิภาพ
1.1.3 เลือกเร่ืองที่ผู้พูดมีความรู้จริงหรือรู้ดีอยู่แล้ว อีกท้ังสามารถค้นคว้าหา
ขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ ได้ เนอ้ื เรอ่ื งมคี วามสอดคล้องกับทัศนคติ ความเช่ือ และค่านยิ มของผฟู้ งั
1.1.4 เลือกเรื่องท่ีเหมาะกับระดับสติปัญญาของผู้ฟัง ผู้พูดจะต้องมีจิตวิทยา
ในการวเิ คราะหผ์ ้ฟู ังวา่ ผฟู้ ังมีสติปัญญาหรือระดับการศึกษาอยา่ งไร
14
1.1.5 เลอื กเร่ืองให้เหมาะกับเวลาท่ีกาหนดและโอกาสที่พูด นักพูดทด่ี ีจะต้อง
พดู ให้ตรงตามเวลาทก่ี าหนดให้ และควรพิจารณาว่าควรจะพูดเร่ืองใดใหเ้ หมาะสมกับโอกาสน้นั
1.2 ข้นั วางโครงเรือ่ ง การวางโครงเรื่อง ได้แก่ การวางแผนการว่าจะพูดประเด็นใดบา้ ง
จึงจะน่าสนใจ โครงร่างเป็นการวางแนวทางกว้าง ๆ ตามลาดับประเด็นท่ีจะพูด เพื่อให้เป็นไปตาม
วัตถุประสงค์ได้โดยง่าย เพราะโครงเร่ืองถือเป็นเครื่องมือท่ีจะช่วยให้ความคิดของผู้พูดชัดเจนขึ้น เป็น
ประโยชน์ในการตรวจสอบการจัดระเบียบเนื้อเรื่อง ช่วยให้การพูดคร้ังน้ันไม่สับสน ไม่วกวน และโครง
เร่ืองจะช่วยในการคน้ คว้ารวบรวมข้อมูลได้เป็นอย่างดี การวางโครงเร่ืองถอื เป็นยุทธการสาคัญในการพูด
ประสิทธ์ิ กาพย์กลอน และคณะ (2545: 178 -179) กล่าวว่า ถ้าผู้พูดวางโครงเรื่องดี การพูดจะดีมี
ความตอ่ เนือ่ งเป็นระเบยี บ ผู้ฟงั ไม่เบ่ือหน่าย และได้แนะนาหลกั ในการวางโครงเรือ่ งไว้ ดังน้ี
1.2.1 การวางโครงเรื่องตามลาดับเวลา คือ พูดไปตามลาดับว่าเหตุการณ์ใด
เกิดก่อนให้พูดก่อน เช่น การพูดชีวประวัติบุคคล จะต้องเริ่มต้ังแต่สถานที่เกิด การศึกษา การงาน ชีวิต
ครอบครวั การยกย่องสรรเสรญิ จากสังคม และจบลงด้วยการตาย เป็นตน้
1.2.2 วางเน้ือเรื่องตามลาดับสถานท่ี ใช้ในการพูดเก่ียวกับการเคล่ือนไหว
การเดนิ ทางการจัดสถานที่ใหด้ าเนนิ ไปตามลาดบั พืน้ ที่ไม่วกวนกลบั ไปกลบั มา
1.2.3 วางเร่ืองตามลาดับเน้ือเรื่อง ต้องเรียงลาดับเน้ือหาให้ถูกต้องเหมาะสม
เป็นไปตามลาดับ เช่น จากเร่ืองที่ง่ายไปเร่ืองยาก จากเหตุไปผล เป็นต้น การลาดับเช่นน้ีเหมาะกับ
การพดู เชิงวชิ าการ พูดแสดงความคิดเห็น หรือการเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
1.2.4 วางโครงเร่ืองตามลาดับข้อความ หรือการจัดเรอื่ ง เป็นการจัดข้อความ
ประเภทเดียวกันไว้เป็นหมวดหมู่เดียวกัน ทั้งนี้ ลินดา เกณฑ์มา (2551: 112-113) ได้ให้ข้อควรสังเกต
ไว้ดังนี้
1) ควรวางหวั ข้อใหญ่ที่มนี ้าหนักมากสดุ ไว้ตอนต้นและตอนท้าย โดย
นาหัวขอ้ เล็ก มเี หตุผลน้อยกวา่ ไวต้ รงกลาง เพราะคนฟงั มักจาตอนแรกกับตอนสดุ ท้ายไดด้ กี วา่ ตอนอื่นๆ
2) หากพูดเรื่องเกย่ี วกับวิชาการหรือเรอ่ื งที่มีความซบั ซอ้ น ให้เร่ิมต้น
จากหัวข้อท่ีง่ายท่ีสุดไปสู่หัวข้อทีย่ ากท่ีสุด เพราะตามปกติส่วนท่ีง่ายมักเป็นพื้นฐานความเข้าใจในส่วนที่
ยากสลบั ซับซ้อนต่อไปอีกด้วย
3) วางโครงเร่ืองให้มเี งือ่ นงาแกผ่ ู้ฟัง วิธีนี้เป็นการสร้างความสงสยั ให้
เกิดแก่ผู้ฟังเพือ่ ตอ้ งการให้อยากติดตามเรื่อง ทงั้ นี้ตอ้ งอาศยั ศิลปะในการสรา้ งปมของผพู้ ูด ฉะนัน้ จะต้อง
มกี ารคดิ ท่ดี ีและถกู ต้องตามแนวทางท่ีคดิ วา่ ผู้ฟงั สว่ นใหญส่ นใจ
1.3 ข้นั ค้นคว้ารวบรวม นกั พดู ทีด่ จี ะตอ้ งนาเสนอข้อมูลทเี่ ป็นความจริง รวบรวมข้อมูล
ให้ม่ันใจเสียก่อน โดยมีข้อเตือนใจท่ีสาคัญประการหน่ึง คือ ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรก็ตาม เร่ือง ๆ นั้นเรา
จะตอ้ งรดู้ ีทส่ี ดุ และแหลง่ ขอ้ มลู ทส่ี ามารถจะอานวยความสะดวกใหแ้ กผ่ ้พู ดู ได้ มดี ังตอ่ ไปน้ี
1.3.1 แหล่งข้อมูลจากบุคคล ได้แก่ การพูดคุย สัมภาษณ์ผู้รู้ ในเร่ืองที่
ต้องการทราบ ซ่ึงเป็นแหล่งข้อมูลท่ีผู้พูดสามารถค้นหาได้ตลอดเวลา จากการท่องเท่ียว จากการพูดคุย
กับบุคคลท่ีเราได้มีโอกาสในการสนทนา
1.3.2 แหล่งข้อมูลจากสื่อส่ิงพิมพ์ ได้แก่ การค้นคว้าจากหนังสือหรือสื่อ
สิ่งพิมพ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในห้องสมุดหรือสถานที่ต่าง ๆ นักพูดท่ีดีจะต้องเป็นนักอ่านท่ีดีด้วย เพ่ือช่วยให้มี
ข้อมูลเกบ็ ไว้เป็นความรูต้ อ่ ยอดตอ่ ไป
15
1.3.3 แหล่งข้อมูลจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ นักพูดที่ดีจะต้องติดตามข่าวสาร มี
ข้อมูลท่ีทันสมัย รู้ความเคล่ือนไหวในสถานการณ์ต่างๆ ทั่วโลก แหล่งข้อมูลท่ีจะช่วยได้ในกรณีน้ีได้
นอกจากแหล่งข้อมูลจากส่ือสิ่งพิมพ์แล้ว ยังมีแหล่งข้อมูลจากส่ืออิเล็กทรอนิกส์อีกด้วย การติดตาม
ขอ้ มลู ต่าง ๆ จากสอ่ื อย่างต่อเนือ่ ง จะช่วยทาให้นักพดู มคี วามรมู้ ากขึน้
2. การจัดลาดบั เนื้อเรอ่ื ง
การพูดที่มีระบบนั้น จะต้องดาเนินตามขั้นตอน และมีการเตรียมส่วนต่างๆ ของการพูด
ให้ครบถ้วนอย่างเหมาะสม โดยทั่วไปการพูดแต่ละคร้ังจะมี 4 ข้ันตอน ได้แก่ การทักทายผู้ฟัง บทนา
เนอ้ื เรื่อง บทสรุป
2.1 การทักทายผู้ฟัง โดยปกติก่อนท่ีจะเร่ิมพูดแต่ละคร้ัง ผู้พูดจาเป็นต้องสร้าง
สมั พนั ธภาพทดี่ ี และสร้างความร้สู กึ ทีด่ ีต่อผ้ฟู งั เพอื่ เป็นการทักทาย
2.1.1 การทกั ทายในการพดู ทเี่ ป็นทางการ ไดแ้ ก่ การกล่าวเปดิ หรือปิดงานพิธี
ต่างๆ การสัมมนา การอภิปราย การกล่าวสุนทรพจน์ เป็นต้น คากล่าวทักทายจะมีคาท่ีแสดงความให้
เกียรติ หรือแสดงความเคารพ เชน่ กราบเรยี น เรียน หรือสวัสดี
2.1.2 การทักทายในการพูดที่เป็นก่ึงทางการ หรือไม่เป็นทางการ เช่น
การประชุม การกล่าวต้อนรับ การให้โอวาท การสัมภาษณ์ เป็นต้น คากล่าวทักทายจะใช้ยศ ตาแหน่ง
หน้าทีก่ ารงาน แล้วตามมาดว้ ยคาท่แี สดงความสนิทสนม เช่น ทน่ี บั ถือ ท่ีเคารพ ทนี่ า่ รัก เปน็ ตน้
2.2 บทนา หรือการเกริ่นเรื่อง เป็นการพูดเกริ่นที่มาของเรื่อง ปัญหา และกระตุ้นให้
ผู้ฟังเกิดความสนใจ ผู้พูดจะต้องระมัดระวังในการกล่าวบทนามาก เพราะถ้าสามารถกล่าวได้ดีจะทาให้
ผู้ฟังเลื่อมใสในตัวผู้พูด และจงู ใจให้ผู้ฟังตงั้ ใจฟังเรื่องที่ทีผ่ ู้พูดจะเสนอต่อไป ขณะท่ี ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์
(2548: 19) ได้อธิบายถึงปัจจัยแห่งความสาเร็จด้านการพูดว่า ประกอบดว้ ย คานา ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ
10 เน้ือหาสาระในการพดู มีสดั สว่ นร้อยละ 50 บคุ ลิกภาพทว่ั ไปรอ้ ยละ 10 ศิลปะการแสดงออกร้อยละ
10 และสรุปจบอีกร้อยละ 10 นอกจากน้ียังเสนอว่า บทนา การข้ึนต้นนั้น ต้องรวบรัดเร้าอารมณ์ ตรง
ประเด็นและชวนใหต้ ิดตาม ควรหลกี เล่ยี งการออกตัว การขออภยั การถอ่ มตัวและการออ้ มค้อม
2.2.1 การขึ้นตน้ แบบพาดหวั ขา่ ว โดยใชข้ อ้ ความทีน่ ่าตน่ื เตน้ เรา้ ใจ
2.2.2 ขึ้นต้นด้วยการต้ังคาถาม เป็นการทาให้ผู้ฟังเกิดความสงสัย และอยาก
ทราบคาตอบ โดยคาถามนัน้ จะตอ้ งมสี าระและสามารถเชอ่ื มโยงกับเร่ืองท่ีพดู ได้
2.2.3 ข้ึนต้นดว้ ยการอ้างกวี สุภาษติ สานวน คาคม หรอื วาทะของบุคคลสาคญั
2.2.4 ขน้ึ ตน้ ด้วยการกล่าวยกยอ่ งให้เกียรติผู้ฟังอยา่ งคมคาย
2.2.5 นาดว้ ยตวั อย่างหรอื นทิ านที่นา่ สนใจและเขา้ กับเร่อื งที่พูด
2.2.6 นาดว้ ยการอธิบายโดยใช้ภาพเป็นองคป์ ระกอบ
2.2.7 นาดว้ ยเรื่องกว้างๆ ก่อนแล้วคอ่ ยนาเข้ามาหาหวั ขอ้ สาคัญเป็นการเกริ่น
ใหผ้ ูฟ้ ังร้วู า่ เราพูดเร่ืองใด
2.2.8 นาด้วยการกล่าวถึงความสาคญั ของเรอื่ งทจี่ ะพูด
2.3 เนื้อเรื่อง นอกจากการเสนอบทนาอย่างดีแลว้ เนื้อเรื่องก็เป็นส่วนหน่ึงของการพูด
ซงึ่ ถอื เป็นส่วนท่ีสาคัญท่ีสุด ดังน้ัน การเตรียมเนื้อเรื่อง ควรมีการเตรียมมาอย่างดีมีการเรียงลาดับความ
ท่ีดไี ม่วกวน มเี หตมุ ผี ลสอดคล้องกนั
16
2.3.1 ด้านการดาเนินเรื่อง ดาเนินเรื่องตามลาดับเวลา ตามลาดับสถานที่
จากสิ่งที่ใกล้ตัวไปสู่ส่ิงท่ีไกลตัว โดยการให้คาจากัดความ ด้วยการแบ่งแยกเป็นหมวดหมู่ ด้วยเหตุและ
ผล หรอื แบบแก้ปัญหาด้วยวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์
2.3.2 ดา้ นการขยายความเนอื้ เรือ่ ง โดยการพดู ย้าความ การพูดแสดงตัวอย่าง
การเปรียบเทียบ การอ้างผู้ทรงคุณวุฒิ การให้คาจากัดความ การพรรณนา การบรรยาย หรือ การใช้
โสตทศั นปู กรณ์
2.4 บทสรุป การสรุป เป็นการกล่าวตอนสุดท้ายของเร่ือง เป็นการขมวดความคิดเห็น
ของผู้พูด บทสรุปเป็นส่วนสาคัญท่ีสุดส่วนหนึ่งที่ผู้พูดจะสร้างความประทับใจให้ผู้ฟังเป็นการส่งท้าย
นักพูดทดี่ จี ึงพงึ ตระหนกั ว่าการสรุปเร่อื ง ควรสนั้ ควรใหแ้ ง่คดิ ใหผ้ ู้ฟังไดไ้ ตร่ตรองได้คิดต่อไป
2.4.1 การอ้างสุภาษิต สานวน คาคม หรือคาพูดของบุคคลสาคัญ ซึ่งมี
ใจความเก่ยี วข้องกบั เรอ่ื งทพ่ี ดู มาเปน็ บทสรุป เปน็ การทิง้ ทา้ ยหรือกล่าวรวบรดั ทมี่ ปี ระโยชน์
2.4.2 การต้ังคาถามเพื่อใหผ้ ู้ฟังไดค้ ิด เป็นวิธกี ารที่ให้ผ้ฟู ังได้เก็บไปคิดหลังจากการ
กลา่ วจบลงแลว้
2.4.3 การฝากข้อคิด
2.4.4 การกล่าวขอรอ้ ง ชกั จูงหรอื ยวั่ ยุให้ผูฟ้ งั ปฏิบัตติ าม
2.4.5 การกลา่ วทานองพยากรณ์ เปน็ การกลา่ วเหตุการณท์ ี่จะเกิดข้ึนล่วงหน้า
เป็นการกล่าวสรุป โดยการวิเคราะห์เหตุการณ์จากเหตแุ ละผล
2.4.6 การสรุปลงด้วยการใหพ้ ร
การเตรียมเร่ืองพูดและการเตรียมส่ือนาเสนอ ท้ังการพูดได้ พูดดี พูดเก่ง พูดเป็น ผู้พูดจะ
ประสงคใ์ ห้การพูดออกมาเปน็ แบบใด ต้องมีการเตรยี มความพรอ้ มใน 5 อยา่ ง คือ 1) ทางกาย 2) ทางใจ
3) ด้านข้อมูล ท้ังเรื่องท่ีจะพูดและข้อมูลความต้องการของผู้ฟัง 4) ด้านสื่ออุปกรณ์และส่ิงแวดล้อมใน
การพูด และ 5) ด้านเทคนิคการนาเสนอ ต้องคมชัด ตรงประเด็น เปิดโอกาสให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมแสดง
ความคดิ เห็น ให้เกียรติผฟู้ ังและตรงเวลา
5. วิธกี ารฝกึ ทกั ษะการพดู
ทักษะการพูด เป็นการพูดท่ีมีการจัดระเบียบ ข้ันตอน และความไพเราะของการพูด เพียงแต่
ทุกคนมีความมั่นใจวา่ “เราทาได้” และหม่ันฝึกซ้อมมีวินัยในตัวเองโดยฝึกทักษะการพูดอยา่ งสม่าเสมอ
ตอ่ เนอ่ื ง จะเปน็ สิง่ ยนื ยันว่า “เราทาได้” จรงิ
การฝึกทักษะการพูดน้ันมีหลายวิธีการ อาทิ การทดลองจับเวลาในการพูดแต่ละครั้ง เพ่ือให้
เหมาะสมกับระยะเวลา ความสนใจของผู้ฟังและสังเกตข้อบกพร่องต่าง ๆ ทั้งบุคลิกภาพ สีหน้า ท่าทาง
ประกอบการพูด ระดับของการใช้ภาษา การออกเสยี ง อักขระถูกต้อง ชัดเจน แลว้ นามาปรับปรุงพัฒนา
อยู่เสมอ ซ่ึงการสังเกตนี้ ผู้พูดสามารถใช้กระจกเงา หรือคนในครอบครัวหรือเพื่อน ๆ ช่วยเป็นผู้ฟัง
บุคคลเหล่าน้ีจะเป็นกระจกเงาที่ดีมาก เพราะจะได้คาติ–ชม และคาแนะนาที่ตรงไปตรงมาอีกด้วย ซึ่ง
สอดคล้องกับผลการวิจัยของ พรพิมล ริยาย และ ธนางกูร ขาศรี (2555: 25 -26) ได้ศึกษาการพัฒนา
ทักษะการฟัง-พูดภาษาอังกฤษของนักศึกษาช้ันปีที่ 1 โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย พบว่า
ทักษะการพูดภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว การพูดถูกตามหลักไวยากรณ์ การทดสอบการออกเสียง
และการพูดโดยใช้ภาษากายในการสื่อสาร หลังการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียมีทักษะน้อยกว่า
กอ่ นการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอรฯ์ ในทานองเดียวกนั ไชยวฒั น์ อารโี รจน์ (2557: 100-101) ได้ศึกษา
17
การพัฒนาแบบฝึกทักษะการพูดรายงานการศึกษาค้นคว้าสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 พบว่า
ความสามารถด้านการพูดรายงานการศึกษาค้นคว้า หลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการพูดรายงาน
การศึกษาค้นคว้า มีค่าเท่ากับร้อยละ 85.46 สูงกว่าเกณฑ์การประเมินร้อยละ 80 อย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .05 ดังท่ี เบริ์น (Byrne, 1986: 10-11) อธิบายไว้ว่า การสอนการพูด จาเป็นต้องฝึก
ผู้เรียน 2 อย่าง คือ 1) ฝึกในการใช้ส่วนท่ีคงที่ของภาษา ได้แก่ เสียง รูปแบบไวยากรณ์ และคาศัพท์
และ 2) โอกาสสาหรับแต่ละคนได้แสดงออก ผู้สอนต้องให้ความสนใจในเรื่องความถูกต้องและ
ความคล่องแคล่วในข้ันท่ีแตกต่างกันของระดับการเรียนในข้ันต้นควรเน้นความถูกต้อง ส่วนในขั้นสูง
ควรเน้นความคล่องแคล่ว
6. การฝึกพูดในโอกาสต่าง ๆ
การฝึกพูดที่ได้ผลดีน้ัน ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ (2548: 7) และอรวรรณ ปิลันธน์โอวาท (2540:
59) มีความเห็นสอดคล้องกันว่า การพูดที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยการเรียนรู้และการฝึกฝนจาก
ประสบการณ์และหลักเกณฑ์ จนสามารถพูดได้ดีมีประสิทธิภาพ ส่วนการฝึกพูดในโอกาสต่าง ๆ
ประสงค์ รายณสุข (2528: 119-207) อธิบายแนวทางการฝึกพูดไว้ว่ามี 3 ข้นั ดงั น้ี
ขัน้ ที่ 1 ข้นั ฝึกทักษะพื้นฐานทางการพูด ไดแ้ ก่
1. การทรงตัว (Posture) คือ ท่าทางการยืน การน่ัง ในขณะพูดจะต้องวางท่าทางอย่างไรให้
เหมาะสม สงา่ งาม
2. การใช้สายตา (Eye Contact) การใช้สายตาท่ีเหมาะสมและผู้พูดควรมองสบตาผู้ฟัง มอง
ผฟู้ ังอย่างทว่ั ถึง และใช้สายตาในขณะพดู ให้เหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อเร่ืองที่พดู
3. การแสดงออกทางใบหน้า (Face Expression) การแสดงออกทางใบหน้าของผู้พูด คือ มี
หน้าตาย้ิมแย้มแจ่มใส แสดงถึงความพอใจที่ได้พูด และการแสดงสีหน้าของผู้พูดจะต้องสอดคล้องกับ
เนอ้ื เรอ่ื งทพี่ ูดและกิรยิ าทา่ ทาง
4. การแสดงท่าทาง (Gesture) ได้แก่ การเคล่ือนไหว ลาดับการใช้มอื แขน ไหล่ ศีรษะ เปน็ ต้น
ซ่ึงเป็นสิ่งหน่ึงท่ีสร้างความสนใจ ดึงดูดผู้ฟัง ช่วยสื่อความหมายให้ดีข้ึนและช่วยผ่อนคลายความเครียด
ของผพู้ ดู การแสดงท่าทางทเี่ หมาะสมจะต้องทาให้สอดคล้องกบั เรื่องที่พดู และเป็นธรรมชาติ
5. การใช้เสียงและน้าเสียงในการพูด (Voice Tone) คือ ผู้พูดจะต้องรู้จักใช้เสียงและ น้าเสียง
ในการพูดให้เหมาะสมกับเร่ืองท่ีพูด ได้แก่ พูดเสียงดังพอเหมาะ จังหวะการพูดเหมาะสม ไม่เร็วหรือช้า
พูดมรี ะดบั เสียงสูง-ตา่ นา่ ฟัง เหมาะกับเรือ่ ง พดู มีนา้ เสียงน่าฟัง และออกเสียงพูดไดช้ ัดเจนถกู ต้อง
ขั้นท่ี 2 ข้นั เตรยี มบทพูด
การเตรยี มบทพูด สาคญั ทสี่ ุดในการพูด ซงึ่ ผพู้ ูดจะตอ้ งเตรยี มตวั ล่วงหน้าโดยมขี ้นั ตอน ดังน้ี
1. การเตรียมเนื้อเร่ือง ต้ังแต่ขั้นเริ่มคิดว่าจะพูดเร่ืองใด ขั้นเขียนโครงเรื่อง (Outline) เพื่อ
กาหนดแนวทางในการพูดและการเรียงลาดับหัวเรื่องที่จะพูดไม่ให้สับสนและง่ายต่อการจดจา ข้ัน
การคน้ คว้า เปน็ ขั้นทต่ี ้องหาเนือ้ เรื่องมาเขียนในโครงเร่อื ง โดยการอา่ น การสัมภาษณ์ การสนทนากับผู้รู้
หรอื ประสบการณข์ องผู้พดู เปน็ ตน้
2. การจัดเนื้อเรื่อง เพ่ือเตรียมพูดจะช่วยทาให้เนื้อหาที่พูดต่อเน่ืองกันอย่างมีระบบโดยกระทา
ไดด้ ังน้ี
2.1 คาปฏิสันถารหรือคาทักทายผู้ฟัง ก่อนเร่ิมการพูดต้องทักทายหรือปฏิสันถารกับ
ผูฟ้ ังกอ่ น เพราะเป็นมารยาททดี่ ขี องผู้พดู
18
2.2 คานาหรืออารัมภบท ซ่ึงจะต้องเรียกร้องความสนใจจากผู้ฟังอย่างมากคานาที่ดี
ต้องดึงดูดความในใจ เรียกร้อง ชักจูง โน้มน้าวความสนใจของผู้ฟัง ซ่ึงมีวิธีการทาได้หลายวิธี เช่น ใช้
คาถาม คาประพันธ์ เป็นตน้
2.3 ตัวเน้ือเรอ่ื ง ซ่งึ เป็นหวั ใจของเรือ่ งท่พี ดู มวี ิธกี ารดาเนนิ เร่อื งดงั นี้
ดาเนินเรื่องแบบตามลาดับวัน เวลา คือ พูดจากอดีตมาปัจจุบัน หรือจากปัจจุบัน
ไปสู่อดีต ดาเนินเร่ืองแบบลาดับสถานที่ เช่น จากใกล้ไปไกล ฯลฯ ดาเนินเรื่องแบบใช้คาจากัดความ
หรืออธิบายขยายความ ดาเนนิ เรอื่ งแบบจัดเป็นหมวดหมู่ วิธีน้ีทาให้เน้ือเร่ืองมีระเบียบไม่สับสน ดาเนิน
เรื่องด้วยเหตุและผล คือ พดู จากเหตมุ าผล หรอื พดู จากผลมาสเู่ หตุ และดาเนนิ เรื่องด้วยการแกไ้ ขปัญหา
โดยใชว้ ธิ ีทางวทิ ยาศาสตร์
2.4 การสรุป เป็นการช้ีหรือเน้นให้ผู้ฟังเห็นความสาคัญของเร่ืองท่ีพูด มีความสาคัญ
เช่นเดียวกันกับคานา การพูดสรุปที่ดี ต้องสร้างความประทับใจ และผู้ฟังจดจาได้ซึ่งมีวิธีการสรุปได้
หลายวิธี เชน่ เรยี กร้อง ชักชวน ใชค้ าถามฝากให้คิด หรือสรา้ งความหวงั เป็นตน้
ขนั้ ที่ 3 ขัน้ ฝึกพดู
การฝึกพูดเป็นข้ันสาคัญท่ีจะทาให้การพูดประสบความสาเร็จ ในการฝึกพูดมีทั้งพูดอย่างเป็น
ทางการและไม่เป็นทางการ การฝึกพูดอย่างไม่เป็นทางการ โดยฝึกด้วยตนเองตามหลักการและทฤษฎี
ฝึกฟังนักพูดทั่วไปและมีชื่อเสียง แล้ววิเคราะห์ว่าควรทาตามข้อใดจึงเหมาะสมแล้วทดลองทาตาม
จากนั้นฝึกพูดอยู่เสมอ โดยฝึกพูดคนเดียวหน้ากระจก ฝึกพูดต่อหน้าคนในบ้าน หรือคนรู้จัก หรือหา
โอกาสพูดในสถานการณจ์ รงิ และฝกึ โดยใชเ้ ทปบันทึกเสียงเพ่ือปรับปรุงแก้ไขในด้านน้าเสียงและทานอง
การพูด สาหรับการฝึกอย่างเป็นทางการเป็นการฝึกตามสถาบัน การฝึกพูดในสถานศึกษา เป็นการฝึก
พูดต่อหน้าผู้ฟังมีรูปแบบการฝึก เช่น การฝึกพูดในสถานการณ์จาลอง หรือการแสดงบทบาทสมมติ ฝึก
พูดโดยฉบั พลัน และฝึกพูดโดยเตรียมตวั ลว่ งหน้า
ผะอบ โปษะกฤษณะ (2541: 132) ไดใ้ หข้ ้อเสนอแนะเกี่ยวกบั การฝึกพูด ดงั น้ี
การพูดจะสอนกันแต่หลักหรือทฤษฎีไมไ่ ด้ จาเป็นอย่างยง่ิ ที่จะต้องได้รับการฝึกฝน ผู้ที่ยงั ไมเ่ คย
พูดเลยจะพูดดีขึ้นถ้าได้พูดบ่อย ๆ การฝึกพูดจะเร่ิมได้ก็ต่อเม่ือได้เตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้วสิ่งท่ี
จาเป็นจะต้องฝึกก็คือ ตัวผู้พูดเอง ตัวผู้พูดเป็นส่วนสาคัญอย่างย่ิง การฝึกพูดควรจะได้ฝึกสง่ิ ที่ง่าย ๆ ไป
ก่อน ได้แก่ ส่ิงท่ีรู้แล้ว หรือที่มีประสบการณ์มาแล้ว เม่ือเตรียมเร่ืองเรียบร้อยแล้วก็เร่ิมฝึกด้วย
การปรับปรงุ เสียงใหเ้ ขา้ กบั ข้อความให้กลมกลนื กับสีหน้าทา่ ทาง ตอ้ งหัดพูดเสยี งดังๆ เพื่อสงั เกตดูว่าส่ิง
เหล่าน้ีเหมาะสมกลมกลืนกันเพียงใด การพูดจึงต้องอาศัยการฝึกฝน หาความรู้ ความชานาญว่า ทา
อย่างไรจึงจะให้จับใจคน ดังน้ันจึงควรนาขั้นตอนการฝึกพูดท้ัง 3 ข้ัน และแนวทางของนักวิชาการ
หลายๆ ท่านมาใช้ตั้งแต่การฝึกทักษะการพูดในโอกาสต่าง ๆ เก่ียวกับการทรงตัว การใช้สายตา
การแสดงสีหน้า การแสดงท่าทาง การออกเสียง การใช้น้าเสียง การใช้ถ้อยคา การเตรียมบทพู ด
การเตรียมเนื้อเรื่อง การจัดเนื้อเร่ือง และขั้นการฝึกพูด มีการฝึกซ้อมก่อนพูด ฝึกในบทบาทสมมุติ
ฝึกดว้ ยตนเองและฝึกในโอกาสตา่ ง ๆ ตามเรื่องทก่ี าหนด
19
ตวั อย่างการฝึกปฏิบัติการพดู
ตัวอย่างที่ 1 ฝกึ การพดู โดยการวางโครงร่างเรอื่ งทีจ่ ะพดู
กล่าวคาปฏิสนั ถาร (ทกั ทายผู้ฟังด้วยการให้เกยี รติ) ....................................................................
เกรน่ิ นาใหน้ ่าสนใจ ทนั สมยั นิยม เหมาะสมกับผ้ฟู งั ....................................................................
. เข้าเรือ่ ง ตรงประเด็น ดาเนนิ เรือ่ งตามลาดบั ไม่วกวน (ตามโครงรา่ งทวี่ างไว)้ .............................
. กลา่ วสรปุ ดว้ ยคาคม (ส้นั ๆ มคี วามหมายชัดเจน หรือฝากเป็นนัย ข้อคดิ ) ...................................
ภาพที่ 1.3 ฝกึ การพดู โดยการวางโครงรา่ ง
ท่มี า: ยทุ ธนา ชนุ เกษา (วาดภาพ)
ตัวอย่างที่ 2 บทพดู “บา้ นแหง่ ความสาเรจ็ บ้านสมเดจ็ เจ้าพระยา”
ในโอกาสที่นักศกึ ษาเรียนจบรายวิชา การฟัง การพดู เพ่ือสัมฤทธผิ ล
ท่านผ้มู เี กยี รติทเ่ี คารพทุกท่าน
บ้านหลังแรกมีพ่อแม่ให้ความรัก ความอบอุ่น เลี้ยงดูให้เราเติบโต จนกระท่ังเราต้องก้าวออก
จากบ้านเพื่อก้าวไปหาความสาเร็จในชีวิต ก็ยากนักจะมีบ้านหลังใดจะให้ความรู้สึกประหน่ึงบ้าน
นอกจาก “บ้านแห่งความสาเร็จ บ้านสมเดจ็ เจ้าพระยา”
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเดจ็ เจา้ พระยา สถานศึกษาทีไ่ ม่เพียงแค่ให้ความรูแ้ ก่นักศึกษา แต่
ยังได้เติมเต็มคุณค่าของคาว่าชีวิต จากวันแรกที่ใครหลายคนแบกเอาความฝันเข้ามาสู่บ้านหลังน้ี ย่อม
ได้รับการบรรจงก่อร่างสร้างฝันให้เปน็ ความจริงด้วยกระบวนการความรู้และอารมณ์จากครูอาจารย์ ทุก
รอยยิ้มและคราบน้าตาคือขั้นตอนการหล่อหลอมทักษะให้นักศึกษามีคุณธรรมประจาใจ วินัยประจาตน
เปี่ยมล้นรับผดิ ชอบ มอบใจให้องคก์ ร เอ้อื อาทรแบ่งปัน สร้างสรรค์ความรู้ใหม่ ร่วมใจพัฒนา เพ่ือนาพา
สู่ความสาเร็จ เป็นบณั ฑิตท่ีมีคณุ วฒุ ิ เปน็ พลเมืองท่มี ีคุณภาพในศตวรรษที่ 21
แม้กงล้อแห่งกาลเวลาจะหมุนเคล่ือนไปสักกี่รอบ ประตูบ้านหลังน้ีก็ยังเปิดต้อนรับคนที่เรียก
ตนเองว่า “ลูกเจ้าพ่อ” ลูกของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ทุกครั้งที่
ก้าวกลับมาเสมือนได้กลับมาบ้านของตนเอง และเช่ือว่าทุกความทรงจาไม่เคยจืดจางไปจากหัวใจของ
เราทุกคน
แมน คลา้ ยสุวรรณ
20
ภาพท่ี 1.4 ฝึกการพดู ต่อหนา้ ทป่ี ระชมุ
ทีม่ า: ภาณวุ ัช ม่วงนวล (ถา่ ยภาพ)
กล่าวโดยสรุป การฝึกปฏิบัติการพูด จะเป็นผู้ที่พูดดี พูดเป็น พูดเก่งควรใฝ่หาข้อมูลที่ถูกต้อง
ทันสมัย น่าสนใจสาหรับสังคมผู้ฟัง หากผู้พูดนาหลักธรรม “หัวใจนักปราชญ์” ประกอบด้วย สุ (สุตะ)
หมายถึง การฟัง ฟังจากผู้รู้ให้มาก จิ (จิตตะ) หมายถึง คิด ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ปุ (ปุจฉา) มีคาถามก็
ถามผู้รู้ ลิ (ลิขิต) จดบันทึกข้อมูล เรื่องราวที่สาคัญไว้ เม่ือถึงเวลาท่ีจะต้องใช้ผู้พูดจะมีความเช่ือม่ันใน
ความพร้อมของข้อมูล มีความม่ันใจในการแสดงออกสู่สายตาผู้ฟัง หม่ันฝึกฝนการพูดด้วยตนเองอย่าง
สม่าเสมอมีความศรัทธาในตัวเองย่อมก่อเกิดประโยชน์เกื้อหนุนให้การพูดสัมฤทธิผลอย่างสมบูรณ์
ดังสานวนไทยทว่ี า่ “สบิ ปากว่าไมเ่ ทา่ ตาเหน็ สบิ ตาเหน็ ไม่เท่าลงมอื ทา”
การฝกึ ปฏิบตั กิ ารอ่าน
ก่อนจะฝึกปฏิบัติการอ่านควรทาความเข้าใจในเร่ืองความหมาย ความสาคัญของการอ่าน
วัตถปุ ระสงคข์ องการอา่ น ลักษณะของการอ่านและขน้ั ตอนการอ่าน จะชว่ ยใหก้ ารอา่ นสมั ฤทธผิ ล
1. ความหมายของการอ่าน
การอ่านเป็นกระบวนการพัฒนาทักษะทางการรับรู้ความหมายของคา สัญลักษณ์ ความรู้
ความคิด ความรู้สึกตามเจตนาของผู้เขียน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2554
(ราชบัณฑิตยสถาน, 2556: 1405) ให้ความหมายคาว่า อ่าน ก. ว่าตามตัวหนังสือ ถ้าออกเสียงด้วย
เรียกว่า อ่านออกเสียง ถ้าไม่ต้องออกเสียงเรียกว่า อ่านในใจ สังเกตหรือพิจารณาดูเพื่อให้เข้าใจ เช่น
อ่านสีหน้า อ่านริมฝีปาก อ่านใจ ตีความ เช่น อ่านรหัส อ่านลายแทง คิด นับ (ไทยเดิม) รวมถึง
นักวิชาการอีกหลายท่านได้ให้ความหมายของการอ่านไว้โดยรวมความได้ว่า การอ่าน คือ การแปล
สัญลักษณ์ออกมาเป็นคาพูด ผสมผสานตัวอักษรออกเสียงเป็นคา หรือประโยค เป็นการรับรู้ตัวอักษรที่
ปรากฏในสารเพื่อหาความหมายของคาและประโยค นาไปสู่การเข้าใจเร่ืองราวของสาร เพื่อถ่ายโยง
ความคิด ความรจู้ ากผู้เขียนถงึ ผู้อา่ น โดยผ้อู ่านใช้กระบวนการคดิ ในการสร้างความเข้าใจ คาดคะเนและ
ประเมินค่าเรื่องท่ีอ่าน แล้วเลือกนาไปใช้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ตรงตาม
วัตถุประสงค์ของผู้อ่าน (ทิพย์สุเนตร อนัมบุตร, 2551: 5, Mortimer J. Adler, 1959: 27,
Goodman, 1970: 5-11)
21
2. ความสาคญั ของการอ่าน
การอ่านมีความสาคัญอย่างมากต่อการดาเนินชีวิตของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย และในยุคสมัย
โลกาภิวัตน์ เป็นการเปิดโลกทัศน์ทางการอ่านหลากหลายช่องทางท่ีสามารถเลือกสรรการอ่านที่
เหมาะสมตอบสนองความจาเป็นและความต้องการของผู้อ่าน มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง
ความสาคัญของการอ่านไว้สรุปได้ว่า การอ่านมีความสาคัญ เพราะเป็นเคร่ืองมือช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจ
บริบทของสังคมท้ังวิถีชีวิต สภาพสังคมและได้รับรู้ถึงวิวัฒนาการของสังคมต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
รวมถึงสิ่งแวดล้อมท่ีอยู่รอบตัว ส่งเสริมให้ผู้อ่านมีพัฒนาการในความรู้และความคิดช่วยให้เห็นรูปแบบ
ของสารประเภทต่าง ๆ มีมุมมองโลกท่ีกว้างไกลมีความเข้าใจสภาวะการเปล่ียนแปลงและปัญหาที่
เกิดขึ้นในสังคมไทยและสังคมโลกผ่านสื่อจากการอ่าน (สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์,
2538: 136, ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และคณะ, 2546: 55-56, จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ,
2556: 5, ปราณีต ม่วงนวล, 2560: 4)
3. วตั ถุประสงคข์ องการอ่าน
การอ่านหนังสือของแตล่ ะคนนนั้ มีวตั ถปุ ระสงค์หลายประการ (ปราณีต มว่ งนวล, 2560: 4-5)
ทัง้ นี้อาจแบ่งวัตถปุ ระสงคใ์ นการอา่ น ไดด้ ังน้ี
1. อ่านเพ่ือความรู้ เป็นการอ่านเพื่อต้องการรู้ในสิ่งที่ผ้อู ่านมีปัญหา หรืออ่านเพ่ือให้มีความรู้ใน
วิชาการต่าง ๆ เพ่ือจะได้ศึกษาเรื่องใดเร่ืองหนึ่งท่ีสนใจ เช่น อ่านหนังสือสารคดี อ่านหนังสือวิชาการ
อา่ นบทความจากส่อื ออนไลน์ เป็นต้น
2. อ่านเพื่อความบันเทิง เป็นการอ่านท่ีมุ่งผ่อนคลายอารมณ์ เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลิน เช่น
อา่ นหนังสือประเภทบันเทงิ คดี นวนยิ าย เรอ่ื งสน้ั เร่ืองขาขนั การต์ ูน เป็นต้น
3. อ่านเพ่ือความทันสมัย เป็นการอ่านเพ่ือให้ทราบข้อมูล ข่าวสารเป็นปัจจุบัน เช่น การอ่าน
จากเว็บไซต์อินเทอรเ์ นต็ เพื่อทราบข้อมูลประกอบการลงทุนทางธุรกิจ ตลาดหุ้น ราคาทอง ราคาน้ามัน
ข้อมลู พยากรณ์อากาศท่ัวโลก เปน็ ตน้
4. อ่านเพื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ถ้อยคาในสงั คมปัจจุบนั เป็นการอา่ นเพ่อื รูแ้ ละเขา้ ใจ ส่วน
การจะนามาใช้หรือไม่ น้ันต้องใช้วิจารณญาณในความถูกต้องเหมาะสม ตัวอย่างคาท่ีใช้สื่อสารกันใน
Line และใน Facebook เช่น เด๋ว แทน เด๋ียว 55555 แทน ขามาก หรือ คร๊าบบบบ แทน ครับผม
รักมากกกกกกกกกกกก แทน รักมากไมม่ ีที่สน้ิ สดุ เปน็ ต้น
5. อ่านเพ่ือฆ่าเวลา เป็นการอ่านท่ีไม่คาดหวังด้านความรู้และเนื้อหาสาระมากนัก อ่านเพ่ือใช้
เวลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์ เช่น อา่ นในรถไฟฟ้า ขณะรอรถไฟ รอรถประจาทางหรือรอเพื่อน เป็นต้น
6. อ่านเพื่อสนองความสนใจของตนเอง เป็นการอ่านเพ่ือตอบสนองความต้องการในสิ่งท่ีสนใจ
เช่น อ่านงานเขียน อ่านบทประพันธ์ ด้วยความสนใจในวรรณศิลป์ สนใจกลวิธีของผู้แต่ง สนใจใน
แนวคดิ ของงานเขยี นน้นั ๆ อาจเปน็ รอ้ ยกรอง รอ้ ยแก้ว หรือเป็นวรรณกรรมประเภทใดก็ได้
7. อ่านเพื่อกิจธุระหรืออ่านเพ่ือผลประโยชน์ทางใดทางหนึ่งด้วยความจาเป็น เป็นการอ่านงาน
เขียนเพ่ือประโยชน์ของตนเอง หรือเพ่ือช่วยเหลือบุคคลอ่ืน เช่น อ่านระเบียบการต่าง ๆ ก่อนสมัคร
เรยี นหรอื สมัครงาน อ่านกฎระเบียบ ข้อบังคับที่เก่ียวข้องกับการติดตอ่ ประสานงาน อ่านหนังสือสัญญา
กเู้ งิน อ่านพนิ ัยกรรมท่ผี ้อู ่านมีผลประโยชน์เก่ยี วขอ้ ง เปน็ ต้น
22
8. อ่านเพ่ือประโยชน์ในการเข้าสังคม เป็นการอ่านเพื่อจะได้เป็นส่วนหน่ึงของกลุ่มคนในสังคม
ท่ีเราติดต่ออยู่ด้วย เพ่ือจะได้เข้าใจการสนทนาหรือมีส่วนร่วมกับเรื่องราวที่กาลังอยู่ในความนิยมหรือ
ไม่นิยมของกลมุ่ สังคมนนั้
9. อ่านเพ่ือพัฒนาสมอง ในการดาเนินชีวิตกับการปฏิบัติงานประจาในแต่ละวันโดยใช้ความรู้
เดิมๆ ไม่อ่าน ไม่ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม เสมือนเราเติมน้าแห่งปัญญาไว้เต็มบ่อสมองแล้วใช้บริโภค
อุปโภคไปเรื่อยโดยไม่สนใจท่ีจะขวนขวายเติมเต็มน้าแห่งปัญญา วันหน่ึงน้าจะหมดไป นั่นหมายถึงเรา
ไม่มีความรู้ใหม่ๆ ท่ีจะนามาใช้ให้ทันยุคสมัยแล้ว ดังนั้นการอ่านมากเป็นหนทางหนึ่งท่ีใช้มากที่สุดและ
บังเกดิ ผลโดยตรงแก่ตวั ผอู้ ่าน
10. อ่านเพื่อพัฒนาจิตใจ เป็นการอ่านเพื่อจรรโลงใจ เพ่ือยกระดับจิตใจให้สูงข้ึน ช่วยเพ่ิมพูน
คุณธรรม เช่น อ่านหนังสือธรรมะ โอวาท สุนทรพจน์ สารคดีสร้างสรรค์ เป็นต้น เม่ือผู้อ่านได้อ่านสาร
ดังกล่าวแลว้ จะเกิดความรูส้ ึกผ่อนคลายความตึงเครยี ด เกิดจนิ ตนาการ เกิดมโนทัศน์มองเห็นภาพ เกิด
ความซาบซ้ึงและได้รับความสขุ ใจ อีกทั้งยังอาจช่วยยกระดบั จิตใจใหส้ ูงข้ึนได้ดว้ ย
11. อ่านเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ การอ่านเรื่องราวต่างๆ ทาให้ซึมซับท้ังสาระ วิธีการและ
ความสัมพันธ์ในสิ่งท่ีอ่าน เมื่อพบสิ่งแวดล้อมในบริบทที่เป็นจริง ทาให้เกิดความมั่นใจในตนเอง
ตัวอย่างเช่น การอ่านวรรณคดีเรื่องสามก๊ก นอกจากจะได้รับความรู้ด้านตาราพิชัยสงครามเกี่ยวกับ
การวางแผนการรบ ความฉลาดหลักแหลมของตัวละครทั้งขงเบ้ง ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน เล่าปี่ผู้ชาญฉลาด
อ่อนน้อมถ่อมตนยกมือไหว้คนทุกชนชั้น โจโฉ ผู้มีไหวพริบดีเลิศ มีความชานาญในเรื่องพิชัยสงคราม
มีความรู้ทางอักษรศาสตร์ ซุนกวน เป็นผู้มีสติปัญญาดี จิตใจดี รักความยุติธรรม มีความรู้กว้างกวางท้ัง
วิชาทหารและการปกครอง มีผลให้ผู้อ่านหลายคนได้ความม่ันใจในตัวเอง เช่น อ่านแล้วมีความคิดว่า
ต้องสงา่ งามดว้ ยความซอ่ี สตั ย์ ห้าวหาญ แขง็ แรง เด็ดเดี่ยวเหมอื นกวนอู เป็นตน้
กล่าวโดยสรุป การอ่านหนังสือย่อมให้ประโยชน์แตกต่างกันสาหรับคนแต่ละคนและในโอกาส
ต่างๆ กัน ผู้อ่านจึงต้องกาหนดวัตถุประสงค์ในการอ่าน และอา่ นด้วยวิธีการท่ีเหมาะสมเพื่อจะให้ตนเอง
บรรลุวัตถุประสงคน์ ั้น ซงึ่ วัตถปุ ระสงค์ในการอ่านโดยทั่วไป ได้แก่ อ่านเพื่อความรู้ อ่านเพ่ือความบนั เทิง
อ่านเพื่อฆ่าเวลา อ่านเพื่อสนองความสนใจของตนเอง อ่านเพ่ือกิจธุระ หรืออ่านเพื่อประโยชน์ทางใด
ทางหนึ่งด้วยความจาเป็น อ่านเพ่ือประโยชน์ในการเข้าสังคมและอ่านเพ่ือพัฒนาจิตใจ ซ่ึงทาให้ผู้อ่าน
ได้รับความสขุ ใจและเปน็ การชว่ ยยกระดับจติ ใจให้สงู ขึ้น
4. รูปแบบการอา่ น
รูปแบบการอ่านจาแนกเป็นรูปแบบใหญๆ่ ได้ 2 รูปแบบ (ปราณีต ม่วงนวล, 2560: 6-8) ได้แก่
1) การอา่ นแบบได้สาระ และ 2) การอ่านแบบได้อรรถรส ดงั นี้
1. การอ่านแบบได้สาระ เป็นการอ่านท่ีต้องต้ังใจ มีสมาธิในการอ่านโดยมีวัตถุประสงค์ใน
การอ่านทช่ี ัดเจน วา่ เพ่อื รู้ หรอื เข้าใจอะไร จะนาไปใช้ในการใด ดงั ตัวอยา่ ง
23
ตัวอยา่ ง อา่ นเพ่ือตระหนักถึงคุณคา่ ของมิตรแท้
“ข้าพเจ้า เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ทั้งสามคนน้ีอยู่ต่างเมือง วันน้ีได้มาพบกัน จะต้ังสัตย์
สบถ เป็นพี่น้องร่วมท้องกัน เป็นน้าใจเดียวซ่ือสัตย์ต่อกันสืบไปจนวันตาย จะได้ช่วยทานุบารุง
แผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุข ถ้ามีภัยอันตรายสิ่งใดแลรบศึกเสียที ข้าพเจ้ามิได้ทิ้งกันจะแก้กันกว่า
จะตายทั้งสาม แลความสัตย์น้ีข้าพเจ้าได้สาบานต่อหน้าเทวดาทั้งปวงจงเป็นทิพยพยาน
ถ้าสืบไปภายหน้าข้าพเจ้าทั้งสามมิได้ซื่อตรงต่อกันขอให้เทวดาสังหารผลาญชีวิตให้ประจักษ์
แก่ตาโลก”
ท่ีมา: ยาขอบ (2553: 41)
2. การอ่านแบบได้อรรถรส เป็นการอ่านแบบสบายๆ ไม่เครียด จะอ่านหนังสือ
ประเภทใดข้ึนอยู่กับความพอใจอาจมีสาระ หรือไม่มีสาระก็ได้ แต่เม่ืออ่านแล้วได้อรรถรส
ต่าง ๆ เชน่ เศร้าสะเทือนใจ ความรู้สึกพลัดพราก ความรัก ความสุข ความปิติยินดี ความโกรธ
เปน็ ต้น ดงั ตวั อย่าง
ตัวอย่าง อ่านเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนพลายแก้วบวชเณร มีความตั้งใจศึกษา
เล่าเรยี น และปรารถนาจะเป็นทหารเหมอื นขนุ ไกรผูเ้ ปน็ พอ่
จะกลา่ วถึงพลายแกว้ แววไว เม่ือบิดาบรรลยั แม่พาหนี
ไปอาศยั อยู่ในกาญจนบรุ ี กับนางทองประศรีผมู้ ารดา
อยู่มาจนเจ้าเจรญิ วัย อายนุ ัน้ ไดถ้ งึ สิบห้า
ไม่วายคิดถงึ พ่อทม่ี รณะ แต่นกึ ตรึกตรามากวา่ ปี
อยากจะเป็นทหารชาญชยั ใหเ้ หมอื นพ่อขุนไกรทีเ่ ป็นผี
จงึ ออ้ นวอนมารดาได้ปราณี ลกู นจี้ ะใคร่ร้วู ชิ าการ
พระสงฆอ์ งคใ์ ดวิชาดี แมจ่ งพาลกู นไี้ ปฝากทา่ น
ใหเ้ ป็นอุปชั ฌาย์อาจารย์ อธษิ ฐานบวชลูกเปน็ เณรไว้ ฯ
ท่ีมา: สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดารงราชานุภาพ (2554: 86)
5. ลักษณะของการอ่าน
การอ่านหนังสือหรือสง่ิ พิมพ์แต่ละประเภทนั้น ผอู้ ่านย่อมมีกลวิธีในการอา่ นแตกตา่ งกันออกไป
ตามวัตถุประสงค์และประเภทของหนังสือที่อ่าน นักวิชาการด้านการอ่าน แบ่งลักษณะการอ่านไว้
ไม่แตกต่างกัน (กัลยา ยวนมาลัย, 2539: 26-27, สอางค์ ดาเนินสวัสดิ์ และคณะ, 2546: 88, สุนันทา
มัน่ เศรษฐวิทย์, 2551: 17-20) ซ่งึ สรุปได้เปน็ 4 ประเภท ดงั น้ี
5.1 การอ่านอย่างคร่าว ๆ เป็นการอ่านเพื่อค้นหาเอกสารอ้างอิงสาหรับใช้ในการ
ค้นคว้า หรือการหาส่ือใหม่ ๆ ในห้องสมุด โดยอ่านเพียงช่ือเรื่อง ช่ือผู้แต่ง อ่านสารบัญเร่ือง ว่ามี
อะไรบา้ ง หรืออา่ นเนอ้ื หาบางตอนอย่างรวดเร็ว
วธิ ีการอ่าน ผู้อ่านจะใชก้ ารเคลือ่ นสายตาอย่างรวดเร็ว จากบรรทัดบนสดุ สู่บรรทัดล่าง โดย
ข้ามคา กลุ่มคา และประโยคที่ไม่สาคัญ เพ่ือค้นหาคาสาคัญ หรือคาตอบตามที่ต้องการโดยการขีดเส้น
ใตห้ รอื คาท่ีเปน็ ตวั หนา
24
5.2 การอ่านเร็ว เป็นการอ่านหนังสือพิมพ์ รายงาน หรือหนังสืออ่ืนๆ ที่ไม่ต้องการ
ศึกษาให้ละเอียดนัก อาจใช้การอา่ นสารท่ีทาให้เกิดความเพลิดเพลิน เช่น อ่านนิทาน เร่อื งสนั้ นวนิยาย
และสื่อการอา่ นอนื่ ๆ ท่ชี ่วยให้ผอู้ า่ นไดร้ ับความผ่อนคลายทางจติ ใจ
วธิ กี ารอ่าน ผู้อ่านจะเคล่ือนสายตาอย่างรวดเรว็ จากซา้ ยไปขวา โดยไม่เคล่อื นใบหน้า เพราะ
จะทาให้เกิดความเม่ือยล้าทางสายตา ต่อจากนั้นสายตาจะรับรู้ตัวอักษรเป็นกลุ่มคา ประโยคหรือเป็น
ข้อความ เพ่ือสั่งให้สมองแปลความอย่างรวดเร็ว ก่อนท่ีจะเคล่ือนสายตาผ่านไปรับรู้ประโยคอื่น ๆ เป็น
การอ่านท่ีเร่งรบี เพราะความจากัดของเวลา
5.3 การอ่านปกติ เป็นการอ่านเพื่อนค้นหาข้อมูล และตอบคาถาม อาจใช้ในการทา
แบบฝึกหัดหรือทารายงาน หรือใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการศึกษาในเร่ืองที่เก่ียวข้อง อ่านแล้วจดบันทึก
เพ่ือสรุปเน้ือเรื่องแต่ละตอน เป็นการอ่านเพ่ือทาความเข้าใจ หรือต้องการให้รอบรู้ การอ่านปกติมักจะ
ใช้กับการอ่านเอกสารทมี่ คี วามยากง่ายอยู่ในระดบั ปานกลาง
วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคล่ือนสายตาจากซ้ายไปขวาโดยมิได้เร่งรีบเพื่อรับรู้คา กลุ่มคา
ประโยคและเรื่องท้ังหมดเพื่อให้สมองแปลความ หากมีส่วนใดยังไม่เข้าใจก็จะอ่านซ้า และพิจารณาให้ถี่
ถ้วนจนกว่าจะเกิดการรับรู้ท่ีชัดเจน เป็นการอ่านโดยไม่ได้เร่งรัด แต่ต้องการให้บรรลุผลตาม
วตั ถปุ ระสงคม์ ากกว่าที่จะเนน้ ในเรือ่ งของเวลา
5.4 การอ่านละเอียด เป็นการอ่านเพื่อตรวจสอบรายละเอียดของเร่ืองในทุกประเด็น
โดยไม่พลาดความหมายของคาหรือกลุ่มคา นอกจากน้ันยังเป็นการประเมินค่าเรื่องที่อ่าน เรียงลาดับ
เหตุการณ์และติดตามทิศทางของเร่ือง เพื่อไม่ให้พลาดประเด็นสาคัญ สรุปเร่ืองด้วยภาษาของตนเอง
รวมทั้งแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลเกี่ยวกับเร่ืองที่อ่านและวิเคราะห์การนาเสนอผลงานของผู้เขียน
ไดถ้ ูกตอ้ ง
วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคลื่อนสายตาผ่านทุกตัวอักษรของคา กลุ่มคา และประโยคโดยจะทา
ความเข้าใจความหมายท้ังทางตรงและทางนัย เพื่อให้ได้ข้อมูลตรงตามวัตถุประสงค์ท่ีต้องการสารท่ีใช้
วิธีการอ่านประเภทน้ีมักเป็นสารวิชาการ จึงต้องใช้เวลาในการอ่านมากกว่าสารประเภทอ่ืนๆ เพราะ
ตอ้ งการความละเอียดรอบคอบ
การอ่านแต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันและใช้กับเน้ือหาต่างกัน ผู้อ่านจึงควร
พิจารณาว่า จะใช้การอ่านในลักษณะใดบ้างในชีวิตประจาวันและพิจารณาว่าตัวเรามีประสิทธิภาพใน
การอ่านหรือไม่ โดยใช้หลกั เกณฑใ์ นการพจิ ารณาเปน็ ขัน้ ตอน ดังนี้
1. เขา้ ใจรายละเอยี ดของเนื้อเรอ่ื ง
2. จบั ใจความสาคญั หรอื ประเด็นสาคญั ของเรอ่ื งได้
3. สรปุ ความคดิ หลักของเรอ่ื งได้
4. ลาดับความคิดในเร่อื งได้
5. คาดคะเนเหตุการณ์ทปี่ รากฏในเรื่องหรอื เหตกุ ารณท์ ี่จะเกิดขนึ้ ต่อไปได้
จรรยา ทองดี (2553: 129-130) อธิบายถึงลักษณะของการอ่านไวว้ ่า การอา่ นมหี ลายลักษณะ
ข้ึนอยู่กับวัตถปุ ระสงค์ของผู้อา่ นและประเภทของสื่อการอ่าน ลักษณะของการอา่ น มีดงั น้ี
1. การอ่านสารวจ เป็นการอ่านอย่างรวดเร็วเพ่ือให้รู้ลักษณะโครงสร้างของข้อเขียน ลักษณะ
พิเศษของข้อเขียน สานวนภาษา เน้ือเร่ืองโดยสังเขป การอ่านลักษณะนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งใน
25
การเลือกสรรสิ่งพิมพ์เพ่ือการค้นคว้า การหาแนวเรื่องสาหรับการเขียนรายงานและการรวบรวม
บรรณานกุ รมเพ่ือการเขยี นงานทางวิชาการและการคน้ คว้า
2. การอา่ นขา้ ม เป็นการอา่ นอย่างรวดเร็วเพ่ือให้เข้าใจเน้ือหาสาระของขอ้ เขียน โดยเลือกอา่ น
เฉพาะข้อความเพียงบางตอนท่ีตรงกับความต้องการเทา่ น้ัน
3. การอ่านผ่าน เป็นการกวาดสายตาอย่างรวดเร็วไปยังข้อความท่ีเป็นเป้าหมายท่ีต้องการใน
ข้อเขยี นซึ่งอาจเป็นคาสาคญั ตัวอักษร หรอื สัญลักษณ์ เม่ือพบแล้วจึงอ่านรายละเอียดเฉพาะข้อความท่ี
ตอ้ งการเทา่ นั้น
4. การอ่านจับประเด็น เป็นการอา่ นโดยทาความเขา้ ใจสาระสาคัญของเรื่อง ในขณะท่ีอ่าน มัก
ใช้กบั การอา่ นขอ้ เขียนท่ีไม่ยาวมากนัก การอา่ นเร็ว ๆ หลาย ๆ คร้ังจะชว่ ยให้จบั ประเด็นได้ วิธีการอ่าน
จับประเด็นทาได้ด้วยการสังเกตคาสาคัญ คาท่ีพบบ่อยๆ และมีความหมายเกี่ยวข้องกับเร่ืองจดจา
ประโยคสาคัญ สังเกตคาสาคัญท่ีมีอยู่ในประโยค ซึ่งมักมีประเด็นเดียว เร่ืองท่ีเป็นการอธิบายหรือเร่ือง
เชิงอภิปราย ประเด็นสาคัญจะอยู่ท่ีแนวคิดหรือเหตุผล สาหรับย่อหน้าที่เป็นความนาหรือความสรุป
ทุกประโยคในข้อความดังกล่าว มักเป็นประโยคสาคัญที่บอกสาระสาคัญของเรื่อง บันทึกประโยคสาคัญ
หรือคัดลอกไว้เพ่ือเรียบเรียงเป็นสาระสาคัญของเร่ือง หากไม่มีประโยคสาคัญที่ชัดเจน ผู้อ่านต้องอ่าน
ด้วยความตงั้ ใจ จับประเด็นแลว้ เรียบเรยี งเป็นข้อความเอง แล้วจดบนั ทึกไว้
5. การอ่านสรุปความ เป็นความสามารถในการตีความหมายเรื่องที่อ่านได้ถูกต้อง ชัดเจน
เขา้ ใจเรื่องราวเปน็ อยา่ งดี สามารถแยกส่วนสาระทีส่ าคัญ สว่ นใดเป็นขอ้ เท็จจริงหรอื เปน็ ขอ้ คดิ เหน็ สว่ น
ใดเปน็ ความคิดหลกั หรอื ความคิดรองได้ ประมวลประเด็นสาคัญของเรือ่ งได้อย่างครบถ้วน สรปุ แต่ละย่อ
หน้า แต่ละตอน และสรุปจากท้ังเร่ืองได้ การอ่านสรุปความควรอ่านอย่างคร่าว ๆ ครั้งหน่ึงให้พอรู้เรื่อง
ก่อน แล้วจึงอ่านรายละเอียดอีกคร้ังเพื่อให้เข้าใจเร่ืองราวอย่างดี จากนั้นต้ังคาถามถามตนเองว่า เรื่อง
นั้นเกี่ยวกับอะไร มีสาระอย่างไร และจบลงอย่างไร สุดท้ายเรียบเรียงเนื้อหาโดยใช้คาและข้อความ
บางตอนจากต้นฉบบั ประกอบการสรุปความ
6. การอ่านวิเคราะห์ เป็นการอ่านเพื่อค้นคว้า ต้องมีการวิเคราะห์ความหมายของข้อความ
ทั้งน้ีเพราะผู้เขียนอาจใช้คาและสานวนภาษาที่ต้องทาความเข้าใจ และต้องตีความหมาย ซึ่งอาจเป็น
ภาษาที่มีความหมายโดยนัยหรอื ความหมายเฉพาะของผู้เขยี น
จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (2556: 7) อธิบายว่า การอ่านแบ่งออกเป็น 4 ประเภท
คือ การอ่านคร่าว ๆ การอ่านเร็ว การอ่านปกติ และการอ่านละเอียด การอ่านคร่าว ๆ เป็น การอ่าน
ข้ามคา กลุ่มคา หรือประโยคเพ่ือตรวจดูเฉพาะหัวข้อหรือคาสาคัญ การอ่านเร็ว เป็นการอ่านท่ีใช้
การเคล่ือนย้ายสายตาอย่างรวดเร็วโดยการรับรู้เป็นคา กลุ่มคา หรือประโยค เพ่ือความเข้าใจเรื่องราว
โดยใช้เวลาที่จากัด การอ่านปกติ เป็นการอ่านท่ีมิได้เร่งรีบต้องการความเข้าใจในเร่ืองราวโดยไม่พลาด
ประเดน็ สาคัญ และการอ่านละเอียด เป็นการอ่านเพื่อวิเคราะห์คา กลุ่มคาและประโยค สารที่ใช้วิธีอ่าน
ประเภทน้ีจึงมักเป็นสารวิชาการ ใช้ภาษาท่ียากและมีเร่ืองราวซับซ้อน การอ่านแต่ละประเภทมี
วัตถุประสงค์ต่างกันและใช้กับเนื้อหาต่างกัน ผู้อ่านควรพิจารณาลักษณะการอ่านของตนว่ามี
ประสิทธิภาพหรือไม่ โดยใช้เกณฑ์การประเมินด้านความเข้าใจ รายละเอยี ด จับใจความสาคญั ของเรื่อง
สรุปความคิดหลัก ลาดับความคิดในเรื่อง และคาดคะเนเหตุการณ์ท่ีไม่ปรากฏในเร่ือง หรือเหตุการณ์ที่
จะเกดิ ขนึ้ ต่อไป
26
กล่าวโดยสรุป ลักษณะของการอ่าน มีดังนี้ 1) การอ่านสารวจหรือการอ่านอย่างคร่าว ๆ เป็น
การอ่านอย่างรวดเร็ว เพ่ือค้นหาคาสาคัญหรือคาตอบท่ีต้องการ 2) การอ่านเร็วหรือการอ่านข้ามเป็น
การอ่านอย่างรวดเร็ว เพ่ือเข้าใจเนื้อหาสาระของข้อเขียน 3) การอ่านปกติหรือการอ่านผ่านเป็น
การกวาดสายตาอย่างรวดเร็วไปยังข้อความหรือคาสาคัญท่ีต้องการ 4) การอ่านอย่างละเอียด หรือ
การอ่านจับประเด็น เป็นการอ่านโดยทาความเข้าใจสาระของเรื่อง 5) การอ่านสรุปความเป็น
การตีความหมายเร่ืองที่อ่านได้ถูกต้องชัดเจน มีความเข้าใจเรื่องเป็นอย่างดี และ 6) การอ่านวิเคราะห์
เปน็ การอ่านเพื่อคน้ คว้าโดยมกี ารวิเคราะห์ความหมายของข้อความ
6. ขั้นตอนการอ่าน
คณาจารย์ โปรแกรมวิชาภาษาไทย คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
บา้ นสมเด็จเจ้าพระยา (2547: 46-49) อธิบายว่า การอ่านหนังสือนับเป็นศิลปะอย่างหนึง่ วิธตี ่าง ๆ ใน
การอา่ นทีด่ คี วรดาเนินการตามขั้นตอนอย่างเปน็ ระบบ ซึง่ กลา่ วโดยสรปุ ได้ ดังน้ี
1. ขนั้ ก่อนอา่ น
1.1 ผู้อ่านต้องรู้จักประเภทของหนังสือท่ีอ่าน และต้องให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
ของการอา่ นในขณะนัน้
1.2 สังเกตส่วนประกอบสาคัญของหนังสือ ซึ่งสมบัติ จาปาเงิน และ สาเนียง
มณีกาญจน์ (2539: 18-20) กล่าวสรุปไว้ว่า หนังสือท่ัวไปจะมีส่วนต่าง ๆ 4 ส่วน คือ ส่วนปก ส่วนต้น
เลม่ สว่ นตวั เรอ่ื งและส่วนทา้ ย
1.3 เลือกใช้วิธีการอ่านหนังสือที่เหมาะสมกับประเภทของงานท่ีอ่าน เช่น การอ่าน
ตาราเพ่ือการศึกษา ควรอ่านอย่างละเอียด ใช้ความพินิจพิเคราะห์ ทาความเข้าใจทุกบททุกตอน
การอ่านเพื่อแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินค่า ต้องอ่านอย่างถี่ถ้วน รอบคอบ การอ่าน
หนังสอื ประเภทบันเทิงคดี เพ่ือคลายความเครียด อาจอ่านอยา่ งรวดเรว็ ไม่จาเป็นต้องละเอยี ดลออมาก
การอา่ นเพอ่ื ค้นหาคาตอบเฉพาะเร่ือง อาจใช้วิธกี ารอ่านอยา่ งครา่ ว ๆ เป็นตน้
2. ข้นั การอ่าน
ข้ันการอ่านหนังสือเป็นขั้นที่มีความสาคัญมาก ผู้อ่านจะประสบความสาเร็จหรือล้มเหลวน้ัน
กข็ ึน้ อยูก่ บั ขนั้ การอา่ นนเ้ี อง ในข้ันนส้ี ิ่งทผ่ี ้อู า่ นควรปฏบิ ัติ มีดงั น้ี
2.1 ดา้ นอริ ยิ าบถ
2.1.1 นั่งให้เต็มเก้าอี้ พิงพนักในท่าสบาย ถ้าเก้าอ้ีไม่มีพนัก ก็ให้อ่านอย่าง
ม่ันคง ตัวตรง เท้าแตะพื้นให้พอดี ถ้าเก้าอ้ีสูง ควรมีม้านั่งเล็ก ๆ สาหรับวางเท้า ไม่น่ังหลังงอ เพราะจะ
ทาให้เสียบคุ ลิกภาพ
2.1.2 ไม่ก้มหนา้ อา่ นนาน ๆ ถ้ารู้สึกเมื่อย ควรบริหารด้วยการโคลงศีรษะเป็น
วงจากซ้ายไปขวา และจากขวามาซา้ ย หรอื อาจกม้ เงยหน้าบา้ ง
2.1.3 ไม่นอนอ่านหนังสือ โดยเฉพาะนอนคว่า เพราะจะทาให้เม่ือยแขนท่ี
ค้ายนั ปวดหลังและปวดคอในทสี่ ดุ
2.1.4 ใช้สายตาให้เหมาะสม กล่าวคือ ไม่อ่านทีละคา ควรอ่านแบบกวาด
สายตาให้สมั พนั ธก์ ับความคดิ
27
2.2 ด้านจิตใจ
2.2.1 ต้องมีสมาธิ คือ พยายามควบคมุ จิตใจไม่ให้ลอ่ งลอยไปเร่ืองอ่ืนๆ แต่ให้
จดจ่ออยูก่ ับเร่ืองทอ่ี า่ นโดยเฉพาะ
2.2.2 สร้างความสนใจในเร่ืองที่อ่าน และอ่านอย่างต่อเนื่อง ทาความเข้าใจ
กอ่ นจะอา่ นบทหรอื ตอนต่อไป
2.3 ดา้ นการคิด
2.3.1 จับใจความสาคัญหรือความคิดสาคัญให้ได้และสามารถแยกได้ว่า
ข้อความตอนใดเป็นใจความสาคัญ ตอนใดเป็นใจความรอง ข้อความตอนใดเป็นข้อเท็จจริง ตอนใดเป็น
ความคดิ เห็น
2.3.2 วิเคราะหแ์ ละพิจารณาเหน็ ความสมั พนั ธ์ของเน้ือหาสาระแต่ละตอน
2.3.3 ประมวลความคดิ เห็นของผ้เู ขยี น เขา้ ใจความหมายท้ังระดบั ตนื้ และลกึ
2.3.4 ข้อความตอนใดมีความสาคัญน่าสนใจ ควรทาเคร่ืองหมายเป็น
ขอ้ สังเกตไว้
3. ข้ันหลังการอา่ น
3.1 สรุปส่วนสาคัญให้ได้ว่าเรือ่ งที่อ่านเป็นเรอื่ งเกี่ยวกบั ใคร ทาอะไร ที่ไหน เมื่อไร ทา
อยา่ งไร เกดิ ผลอยา่ งไร รวมแล้วเรอ่ื งนี้กล่าวถงึ อะไร มีใจความสาคญั หรือประเด็นสาคัญอยา่ งไร
3.2 ถ้ายังจับใจความหรือประเด็นสาคัญไม่ได้ ต้องอ่านช้าๆ อีกครั้งหนึ่ง จะอ่านหมด
ทง้ั เล่มหรอื เฉพาะตอนท่ตี ้องการก็ได้
3.3 วิเคราะห์ วิจารณ์และประเมินค่า ผู้อ่านควรบอกได้ว่าหนังสือน้ัน ดี หรือ ไม่ดี
อย่างไร อาจแสดงความคิดเห็น สนับสนุน คัดค้าน ขัดแย้งหรือแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมด้วย
เหตุผลอนั สมควร
กล่าวโดยสรุป การอ่านเป็นกระบวนการพัฒนาทักษะทางการรับรู้ท้ังความหมายของคา
ประโยค สัญลักษณ์ ความรู้ความเขา้ ใจ ความคิดเห็น ความรู้สกึ ตามเจตนาของผู้เขียน รวมถึงมโนทัศน์
และการต่อยอดทางความคิดจากสารท่ีได้อ่านนาไปสู่ความเป็นรูปธรรมในการสร้างสรรค์นวัตกรรม
ดังนั้น ผู้อ่านจาเป็นท่ีจะต้องเรียนรู้และเข้าใจหลักของการอ่าน โดยต้องทราบความหมายของการอ่าน
และความสาคัญของการอ่าน ในการอ่านทุกเร่ืองย่อมมีวัตถุประสงค์ท่ีแตกต่างกันตามรูปแบบของ
การอ่าน ลกั ษณะและข้ันตอนของการอ่าน
ตัวอยา่ งการฝกึ ปฏิบตั กิ ารอา่ น
การอ่านให้มีประสิทธิภาพตามที่ผูอ้ ่านตั้งวัตถปุ ระสงค์ไว้ การหม่ันฝึกปฏิบัติบ่อยๆ นอกจากทา
ให้เกิดความเคยชินกับการอ่านและการได้รับความรู้มากมายท่ีผู้เขียนแต่ละท่านได้ถ่ายทอดไว้แล้วนั้น
ยังสรา้ งเสริมทกั ษะในการอ่านสารแตล่ ะรูปแบบใหเ้ กิดสมั ฤทธิผล
ตวั อย่างที่ 1 อา่ นคาประพันธ์กลอนสภุ าพ ในวรรณคดีเรอ่ื ง พระอภัยมณี ของสนุ ทรภู่ ตอนท่ี 1
พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา แล้วถอดคาประพันธ์และตีความ กล่าวคือ ในขณะท่ี ท้าวสุทัศน์
เตรียมการให้พระอภัยมณี ศรีสุวรรณไปเรียนวิชาเพ่ือ “สืบวงศ์กษัตริย์” และหลังจากเรียนวิชาสาเร็จ
แล้วกลบั มารายงานให้พระบิดาทรงทราบ พระอภัยมณี ศรีสุวรรณทูลพระบิดาในการไปเรยี นวิชาดนตรี
28
และการยุทธ์มา แต่ท้าวสุทัศน์ไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก ความโกรธน้ันร้อนแรงดั่งไฟที่แผดเผาหัวใจ
ทงั้ ท้าวสุทัศน์ พระอภัยมณี และศรสี วุ รรณ ดังคาประพันธ์
พระเชษฐาทลู แถลงแจ้งคดี ลูกเรียนกลดนตรีชานาญชาญ
ศรีสวุ รรณนน้ั เรยี นในการยทุ ธ์ เพลงอาวุธเขม้ แขง็ กาแหงหาญ
ทงั้ สองสิ่งย่ิงยวดวิชาการ ใครจะปานเปรียบไดน้ ั้นไม่มี ฯ
ท้าวสุทัศน์ฟงั อรรถโอรสราช บรมนาถขัดข้องให้หมองศรี
โกรธกระทืบบาทาแล้วพาที อย่าอวดดเี ลยกไู มพ่ อใจฟัง
ทมี่ า: สุนทรภู่ (2505: 7)
ตัวอย่างท่ี 2 เม่ืออ่านสารแล้วจะทาให้เห็นคุณค่าสารท่ีอ่านและประเมินค่าของสารว่า
ตอบสนองวัตถุประสงค์ของการอ่านได้เพียงใด และมีส่ิงใดบ้างที่สามารถนาไปใช้ หรือประยุกต์ใช้กับ
การดาเนินชีวิตได้บ้าง โดยสามารถต้ังคาถามตัวเองว่า อ่านเรื่องราวดังกล่าวแล้วรู้ว่าอ่านเร่ืองอะไร ใคร
ทาอะไร อย่างไร ท่ีไหน มีผลกระทบโดยตรงกับใคร โดยอ้อมกับใคร หรือไม่ ถ้ามีจะมีแนวทาง/วิธีการ
แก้ไขอยา่ งไร หรอื ป้องกนั ไมใ่ หเ้ กิดขน้ึ ได้อยา่ งไร ดังขอ้ ความ ...
“ผลการสารวจและวเิ คราะห์ข้อมลู จากการศึกษา “เกาะเล็กเร่ืองใหญ่: เจาะท้องถิน่ สนิ ทรัพย์
สร้างสรรค์ บางกะเจ้า” เริ่มจากการค้นหาทักษะและความรู้ที่มีอยู่ในบางกะเจ้า ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์
สาคัญ พบวา่ ภายในพื้นท่ีบางกะเจ้ามีการจัดการความรู้ท่ีครบวงจรโดยบุคคลภายในพื้นที่ กล่าวคือ มี
การสร้างองค์ความรู้ การเก็บรวบรวมความรู้ การสืบทอดความรู้ และการเผยแพร่ความรู้ การสร้าง
ความรู้ภายในชุมชนบางกะเจ้ามีสองแบบ แบบแรกคือ ความรู้ที่เกิดจากการนาองค์ความรู้ภายในมา
ประยุกต์ให้เข้ากับสภาพหรือวิถีชีวิตในปัจจุบัน ตัวอย่างคือ การพัฒนาลูกประคบธัญพืชสมุนไพร
ซ่ึงเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของชุมชนบางกะเจ้าเองที่แสดงถึงการผสมผสานความรู้เดิม ความรู้ใหม่
เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์อย่างลงตัว และแบบที่สองคือ ความรู้ที่เกิดจากการนาองค์ความรู้
จากภายนอกมาผสมผสานกับความร้ภู ายในพื้นที่ ตัวอยา่ งคือ ธูปหอมสมนุ ไพรไล่ยุง ที่เป็นการนาทกั ษะ
ความรูจ้ ากภายนอกมาพฒั นาจนกลายเป็นเอกลกั ษณข์ องตนเอง”
ทม่ี า: พรี ดร แกว้ สาย และ ทิพยส์ ุดา จนั ทรแ์ จ่มหล้า (2556: 77-78)
สรุปการฝึกปฏิบัติการอ่าน เพ่ือให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวผู้อ่านเอง และการนาประโยชน์จาก
การอ่านไปใช้กับบริบทของการดาเนินชีวิตในสังคม และอาชีพได้อย่างเหมาะสม การหมั่นฝึกปฏิบัติ
การอ่านตามรูปแบบของการอ่าน ลักษณะของการอ่าน และข้ันตอนของการอ่าน จะสร้างเสริมทักษะ
การอา่ นให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ใหก้ ารอา่ นมีประสทิ ธิภาพ
29
การฝึกปฏิบัติการเขียน
การเขียนภาษาไทยให้ถูกต้องเป็นสิ่งจาเป็น เนื่องจากการเขียนเป็นทักษะการใช้ภาษาไทยที่
สาคัญ เป็นการถ่ายทอดความรู้ ความสามารถ ความต้องการ อารมณ์และความรู้สึกของผู้เขียนไปยัง
ผู้อ่าน ดังน้ันผู้เขียนจึงต้องเป็นผู้ที่อ่านมาก เขียนมาก ต้องอาศัยการสังเกต การจดจา ต้องใช้ภาษาท่ี
สามารถส่ือสารได้ตรงตามความต้องการ และมีความรู้ในเรื่องการเขียนให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ใน
การใช้ภาษา ซึ่งเป็นเคร่ืองช่วยเชิดชูงานเขียนให้มีคุณค่าย่ิงขึ้น และช่วยให้การส่ือสารระหว่างผู้ส่งสาร
กับผรู้ ับสารเกดิ สัมฤทธผิ ล ทั้งยังเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมทางภาษาไวใ้ ห้คงอย่คู ่ชู าติไทยตลอดไป
1. ความหมายของการเขียน
ปราณีต ม่วงนวล (2556: 65) ได้ให้ความหมายของการเขียน ไว้ว่า หมายถึง การถ่ายทอด
ความรู้ ความรู้สึกนึกคิด เรื่องราวประสบการณ์ต่าง ๆ ไปสู่ผู้อื่นโดยใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือใน
การถ่ายทอดไปยังผู้รับได้อย่างกว้างไกล สอดคล้องกับ บารมีบุญ แสงจันทร์ (2558: 167) กล่าวไว้ว่า
การเขียน หมายถึง การถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกของผู้เขียนโดยผ่านการถ่ายทอดทางภาษาที่เกิดข้ึน
จากความรู้สึกนกึ คิด ประสบการณ์ หรอื จินตนาการ
กล่าวโดยสรุป การเขยี น คือ การถ่ายทอดเร่ืองราว ความร้สู ึกนกึ คดิ อารมณ์ ประสบการณแ์ ละ
จนิ ตนาการของผเู้ ขียนผ่านตวั อกั ษร หรือสัญลกั ษณ์ไปสูผ่ ู้อา่ น
2. ความสาคญั ของการเขยี น
วัฒนธรรมทางภาษาเข้ามามีบทบาทสาคัญในการท่ีจะคงสาระไว้เป็นหลักฐานในช่วงเวลาท่ี
ยาวนานกว่าการฟัง การพูด ดังน้ันทักษะการเขียนจึงเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญของการสื่อสารที่คง
หลกั ฐานอา้ งอิงไวไ้ ด้
ประยูร ทรงศลิ ป์ (2549: 53) กล่าวถึงความสาคัญของคาไทยไว้ว่า การเขียนเป็นทักษะการใช้
ภาษาไทยที่สาคัญ เป็นการถ่ายทอดความรู้ ความต้องการ อารมณ์และความร้สู ึกของผู้เขียนไปยังผู้อ่าน
ดังนั้นผู้เขียนจึงควรต้องใช้ภาษาที่สามารถสื่อสารได้ตรงตามความต้องการ ความรู้ในเร่ืองการเขียนคา
ไทยให้ถูกต้อง จะเป็นพ้ืนฐานช่วยให้การเขียนส่ือสารประสบผลสาเร็จ ขณะที่ ภาษิตา วิสารสุข (2556:
14) กล่าวถึงความสาคัญของการเขียนภาษาไทยอย่างถูกต้องไว้ว่า ระหว่างการพูดกับการเขียนน้ัน
การเขียนมีปัญหามากกว่าการพูด เนื่องจากแม้จะพูดผิดเพี้ยนไปบ้างก็พอคาดเดาความหมายและเพ่ือ
ส่ือสารได้เข้าใจอยู่บ้าง แต่สาหรับด้านการเขียน หากเขียนผิดแค่พยัญชนะตัวเดียว หรือวรรคตอนผิด
อาจทาให้ความหมายเปล่ียนแปลงไปมากทีเดียว ส่งผลให้เกิดการส่ือสารที่สร้างความเข้าใจผิดอาจ
ก่อให้เกิดความเสียหายตามมาได้ เพ่ือให้เกิดเอกภาพในการเขียนภายใต้มาตรฐานเดียวกันและถูกต้อง
ตามอักขรวิธีของภาษาไทย จึงถือเป็นเรื่องจาเป็นท่ีเราจะต้องมีความรู้เก่ียวกับโครงสร้างและไวยากรณ์
ของภาษาไทยท่ีถกู ต้องตามหลกั เกณฑแ์ ละการนาไปใช้
กล่าวโดยสรุปได้ว่า การเขียนภาษาไทยอย่างถูกต้องมีความสาคัญต่อการดาเนินชีวิตของคน
ไทยโดยที่ไม่สามารถหลีกเล่ียงได้ ท้ังทางการสื่อสาร ฟัง พูด อ่าน เขียนให้เข้าใจสารตรงกันทั้งผู้ส่งสาร
และผู้รับสาร ตลอดจนการนาไปใช้เพื่อเป็นพ้ืนฐานในการสร้างเสริมการพัฒนาความรู้และทักษะด้าน
งานวชิ าการและการประกอบอาชีพ
30
3. วตั ถุประสงคข์ องการเขียน
คณาจารย์โปรแกรมวิชาภาษาไทย คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
บา้ นสมเด็จเจา้ พระยา (2547: 46-48) จาแนกวัตถปุ ระสงค์ของการเขียน ไวด้ ังนี้
1. เพื่อเปน็ การเล่าเร่อื ง เชน่ เล่าประวตั ิ เล่าเหตุการณ์ เลา่ ประสบการณ์ ฯลฯ
2. เพ่ืออธิบาย เชน่ อธบิ ายวิธกี ารทา วธิ กี ารใช้ อธบิ ายหลักธรรมคาสอน
3. เขียนเพื่อโฆษณาจูงใจ เชน่ โฆษณาสนิ ค้า ชกั จงู ใจใหค้ ลอ้ ยตาม เหน็ ด้วย และปฏบิ ัติ
4. เขียนเพือ่ ปลุกใจ ผูเ้ ขยี นมีเจตนาให้ผ้อู า่ นมคี วามคดิ เหน็ เหมือนกบั ตน
5. การเขียนเพื่อแสดงความคิดเห็นและแนะนา เช่น ข้อเขียนแสดงความคิดเห็นท่ี
ปรากฏอยู่ในหนงั สอื พมิ พท์ วั่ ไป
6. เขียนเพ่ือบอกให้ทราบข้อเท็จจริง เช่น การเขียนประกาศ คาชี้แจง คาส่ัง ระเบียบ
ขอ้ บงั คบั แถลงการณ์
7. เขียนเพ่ือสร้างจินตนาการ เชน่ เร่ืองส้ัน นวนยิ าย
4. หลกั การเขยี น
การเขียนเป็นการสื่อความหมายไปยังผู้อ่าน โดยผู้เขียนใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร
ไปยงั ผูอ้ า่ น เพื่อให้เกิดประสทิ ธิผลตามวัตถปุ ระสงค์ ควรคานงึ ถึงขน้ั ตอนการเขยี น ดังนี้
1. การเลือกเร่ืองที่จะเขียน ควรเลือกเรื่องที่ตนเองมีความรู้ ความคิด และ
ประสบการณเ์ กี่ยวกบั เรื่องนนั้ เป็นอย่างดที ่สี ดุ
2. จะต้องตั้งวัตถุประสงค์ในการเขียนให้ชัดเจนว่า ต้องการให้ผู้อ่านได้รับสิ่งใดหรือ
เขียนเพื่ออะไร เช่น ให้ผู้อ่านได้รับความรู้ ความบันเทิง ได้ทราบข้อปฏิบัติ ทราบเหตุผล ได้วิธีการ
แก้ปัญหา ได้ข้อคิด ได้หลกั ทฤษฎี เพื่อปลุกใจ ให้เช่ือ ส่ังสอนอบรม เพื่อวิเคราะห์วิจัย ล้อเลียน เสียดสี
เป็นต้น ซึ่งการต้ังวัตถุประสงค์การเขียนน้ันจะต้องสอดคล้องเหมาะสมและเกิดประโยชน์กับ
กล่มุ เปา้ หมายด้วย
3. การรวบรวมความคิดโดยการวางโครงเร่ือง การวางโครงเรื่องเป็นสิ่งสาคัญ ถ้าโครง
เรื่องดีการเรียบเรียงเนื้อหาก็จะเป็นไปตามลาดับ โครงเร่ืองคือใจความสาคัญในย่อหน้าแต่ละย่อหน้า
ของเร่ืองน้ันๆ งานเขียนที่ดีจะต้องมีการลาดับความ มีขอบเขต และมีความสัมพันธ์กับชื่อเรื่องโดย
จะต้องเร่มิ จากบทนา เน้อื เรอื่ ง และบทสรุป
กล่าวโดยสรุป การฝึกปฏิบัติการเขียนน้ัน ควรศึกษาทาความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย
ความสาคัญของการเขียน แล้วกาหนดวัตถุประสงค์ในการเขียนให้ชัดเจน ปฏิบัติตามหลักการเขียน
ตั้งแต่ การเลือกเร่ืองที่จะเขียน วัตถุประสงค์ชัดเจน รวบรวมความคิดโดยการวางโครงเร่ือง และอ่าน
ทบทวนตรวจดูความสัมพันธ์ของช่ือเรื่อง บทนา เน้ือเร่ือง และบทสรุป ให้มีความสัมพันธ์กันเมื่ออ่าน
แล้วเห็นถงึ ความเป็นเอกภาพ
31
ตวั อยา่ งการฝึกปฏบิ ตั กิ ารเขยี น
การฝึกปฏิบัติการเขียน เป็นการทบทวนความรู้ความเข้าใจว่าถูกต้องเพียงใดและการลงมือฝึก
เขียนบ่อยๆ จะเป็นการสร้างวินัยในการใฝ่หาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ท้ังการฟังให้มาก พูดเป็น
อ่านใหม้ าก สะสมบม่ เพาะขอ้ มลู สกู่ ารเขยี นท่ีมีคุณคา่ เป็นประโยชน์ตอ่ ผ้อู น่ื และสังคม
ตัวอยา่ งท่ี 1 การเขียนโครงการทางวิชาการโดยทั่วไป ประกอบด้วย 11 หวั ขอ้ หลัก ซ่ึงปัจจุบัน
หน่วยงานจะเพ่ิมหัวขอ้ ความสอดคลอ้ งด้านแผน/ยทุ ธศาตรก์ ารพฒั นาเขา้ ไปด้วย
1. ช่ือโครงการ ………………………………………………………………………………………………………………
2. หนว่ ยงานทรี่ บั ผดิ ชอบโครงการ …………………………………………………………………………………..
3. ผ้รู ับผิดชอบโครงการ ………………………………………………………………………………………………….
4. หลักการและเหตุผล …………………………………………………………………………………………………..
5. วัตถปุ ระสงค์และเป้าหมาย …………………………………………………………………………………………
6. วธิ ีดาเนินการ …………………………………………………………………………………………………………….
7. แผนปฏิบัตงิ าน ………………………………………………………………………………………………………….
8. ระยะเวลาในการดาเนนิ โครงการ …………………………………………………………………………………
9. งบประมาณและทรพั ยากรทต่ี ้องใช้ ……………………………………………………………………………..
10. การติดตามและประเมนิ ผลโครงการ ………………………………………………………………………….
11. ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะได้รับ ……………………………………………………………………………………….
ตัวอย่างที่ 2 การเขียนหนังสือราชการ เช่น บันทึกข้อความ และหนังสือติดต่อหน่วยงาน
ภายนอก ประกอบด้วยข้อมูลแบ่งเป็น 3 สว่ น ได้แก่ 1) เหตุ ที่ต้องทาหนังสือน้ี 2) ความประสงค์ที่ต้อง
ระบใุ ห้ชดั เจน และ 3) การขออนญุ าต หรอื อนุมตั ิ
32
ตัวอยา่ ง การเขียนบันทึกขอ้ ความ
บนั ทึกข้อความ
ส่วนราชการ กลมุ่ วชิ าชพี ครู คณะครุศาสตร์ โทรศัพท์ ๕๐๗๔
ท่ี อว ๐๖๔๓.๐๖/
วนั ที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๓
เรื่อง ขออนมุ ัติโครงการทศั นศกึ ษา “วฒั นธรรมไทยทรงดา”
เรียน คณบดีคณะครศุ าสตร์
ด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนวิชา ภาษาและวัฒนธรรมสาหรับครู รหัสวิชา (๑๐๐๑๒๐๑)
กาหนดให้นักศึกษาชั้นปีที่ ๒ ภาคเรียนท่ี ๒ ปึการศึกษา ๒๕๖๒ จานวน ๘๒ คน ได้ศึกษาเรียนรู้ภาษา
และวัฒนธรรมจากแหล่งเรยี นรู้จริง
ในการนี้เพี่อใหน้ ักศึกษาได้รบั ประสบการณ์ตรงจากแหล่งเรียนรู้จริง อาจารย์ผูส้ อนวิชาภาษา
และวัฒนธรรมสาหรับครู จึงได้จัดทาโครงการทัศนศึกษา “วัฒนธรรมไทยทรงดา” ณ ชุมชนไทยทรงดา
ตาบลดอนคา อาเภอบางแพ จังหวดั ราชบรุ ี ในวันเสารท์ ่ี ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๓ (รายละเอียดดังแนบ) โดย
มอี าจารย์ผูส้ อนวิชาภาษาและวฒั นธรรมสาหรับครู จานวน ๓ คน เป็นผูด้ แู ลนักศกึ ษา
จงึ เรียนมาเพ่ือโปรดพจิ ารณา
(..........................................)
อาจารย์ผูส้ อนวชิ าภาษาและวัฒนธรรมสาหรับครู
33
ตัวอย่าง การเขียนหนงั สือติดต่อกับหน่วยงานภายนอก
ท่ี อว ๐๖๔๓.๐๖/ มหาวิทยาลยั ราชภฏั บ้านสมเด็จเจ้าพระยา
๑๐๖๑ ถนนอิสรภาพ แขวงหิรัญรูจี
เขตธนบุรี กรงุ เทพฯ ๑๐๖๐๐
๓ มกราคม ๒๕๖๓
เร่อื ง เรยี นเชญิ เปน็ ผเู้ ชีย่ วชาญตรวจสอบความตรงเชงิ เน้ือหาเครื่องมือในการทาบัณฑติ นิพนธ์
เรยี น ....................................................
สงิ่ ท่สี ่งมาด้วย แบบประเมนิ ความสอดคล้องของเคร่ืองมือโดยผ้เู ชยี่ วชาญ จานวน ๑ ชุด
ด้วย ............................................................ นักศึกษาระดับปริญญาตรีหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชา ......................... มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กาลังทาบัณฑิตนิพนธ์เร่ือง
“................................................................................” โดยมี ...........................................เป็นอาจารยน์ ิเทศก์และท่ี
ปรึกษาบัณฑิตนิพนธ์ ในการทาบัณฑิตนิพนธ์คร้ังน้ีนักศึกษาจาเป็นต้องตรวจสอบความเที่ยงตรงของ
เครื่องมือเพื่อให้ได้เครื่องมือที่สมบูรณ์ท่ีสุด ทางมหาวิทยาลัยเห็นว่าท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ
และประสบการณ์ในเร่ืองดงั กล่าว
จึงใคร่ขอความอนุเคราะห์จากท่านช่วยกรุณาเป็นผู้เช่ียวชาญตรวจสอบความสอดคล้องของ
เนื้อหา สานวนภาษา ข้อบกพร่องต่างๆ พร้อมทั้งเสนอแนะเพื่อให้นักศึกษาได้แก้ไขเครื่องมือให้เกิด
ความสมบูรณ์ยง่ิ ข้นึ ก่อนนาไปทดลองใชแ้ ละดาเนินการต่อไป
จงึ เรียนมาเพ่ือโปรดพิจารณาให้ความอนุเคราะห์ จะเป็นพระคณุ ย่ิง
ขอแสดงความนบั ถือ
(..............................................)
คณบดคี ณะครศุ าสตร์
คณะครศุ าสตร์
โทร. ๐-๒๔๗๓๗๐๐๐ ต่อ ๕๐๐๐
34
สรุป
การฝึกปฏิบัติการฟัง การพูด การอ่านและการเขียนนั้น ล้วนจาเป็นต้องฝึกปฏิบัติให้เกิดทักษะ
การใช้ให้ถูกต้องจะฝึก แล้วใช้สื่อสารได้ถูกต้องเหมาะสม ควรศึกษารายละละเอียดให้เข้าใจ ชัดเจน
แม่นยา ตระหนักรู้ถึงคุณค่าต้ังแต่ ภาษา การฝึกปฏิบัติการฟัง ความหมาย ความสาคัญของการฟัง
หลักการ วตั ถุประสงค์ของการฟัง ข้ันตอนการฟัง วธิ ีการฝึกฟัง/บันทึกการฟัง ในส่วนการฝึกปฏิบัติการ
พูด นอกจากเรียนรู้เกี่ยวกับความหมาย ความสาคัญของการพูดยังควรต้องศึกษาประเภทของการพูด
การเตรียมเรื่องพูด วิธีการฝึกทักษะการพูดและการฝึกพูดในโอกาสต่างๆ สาหรับการฝึกปฏิบัติการอ่าน
แล้วนอกจากการทาความเข้าใจกับความหมาย ความสาคัญของการอ่าน วัตถุประสงค์ของการอ่าน ยัง
ต้องเรียนรู้ถึงรูปแบบการอ่าน ลักษณะของการอ่าน และขั้นตอนในการอ่านจึงฝึกปฏิบัติการอ่านได้ตรง
ตามวัตุประสงค์ท่ีกาหนดไว้ และในขั้นตอนของการถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึกนึกคิดมาในรูปแบบของ
การเขียน การฝึกปฏิบัติการเขียน จึงควรหาความรู้และทาความเข้าใจในความหมาย ความสาคัญของ
การเขียน จุดประสงค์และหลักการของการเขียน หากหมั่นฝึกปฏิบัติการฟัง การพูด การอ่านและ
การเขยี นอย่างสมา่ เสมอยอ่ มส่งผลให้เป็นผทู้ ีม่ ีทกั ษะในการใช้ภาษาท่ีดยี ่งิ ข้ึน
35
กจิ กรรมท้ายบท
1. อภปิ รายเกีย่ วกับความแตกตา่ งระหวา่ งการไดย้ นิ กับ การฟัง พร้อมยกตวั อยา่ งประกอบ
2. อธบิ ายถึง การนาขนั้ ตอนของการฝึกปฏบิ ัติการฟงั เพอื่ ใหก้ ารฟังเกิดประสทิ ธภิ าพใน
การดาเนนิ ชีวิตและการประกอบอาชพี
3. ฝึกฟังสาระ เรอ่ื งราวจากส่ืออินเทอรเ์ น็ตและบนั ทกึ ประโยชน์ท่ไี ด้จากการฟงั
4. รา่ งบทพูดกลา่ วขอบคณุ ในโอกาสทส่ี ถานศึกษากลา่ วต้อนรบั ครคู นใหม่
5. การอ้างสุภาษิต สานวน คาคม หรือคาพูดของบุคคลสาคัญ มาเป็นบทสรุปในการพูดน้ันมี
ประโยชนต์ ่อผูพ้ ูดและผู้ฟังอย่างไร
6. บาหลี เป็นนกั ศึกษาท่ีขบั เสภาไดไ้ พเราะจบั ใจคนฟัง แต่เป็นคนข้ีอายไม่กล้าพูด บาหลี
พยายามที่จะฝกึ พูดใหด้ ีในโอกาสไปแขง่ ขนั อา่ นทานองเสนาะ ภายในกาหนดเวลาอีก 30 วันข้างหนา้ :
จะนาเสนอแนวทางการฝึกพูดให้บาหลีนาไปปฏบิ ตั ิอย่างไรบ้าง
7. “การอา่ นเปน็ ประจา อ่านทกุ ประเภทชว่ ยใหผ้ ู้อ่านเขา้ ใจสังคม สามารถสร้างความเข้าใจ
บคุ คลในสงั คมได้เป็นอย่างดี” ท่านเหน็ ด้วยหรือไม่ อยา่ งไร
8. ฝึกวิเคราะหข์ ้อมูล/ขา่ วสารจากสงั คมออนไลน์ กอ่ นการตดั สนิ ใจกดไลท์ กดแชร์
9. ฝกึ เขียนบันทึกประจาวนั จากความคิดสร้างสรรคข์ องตนเอง หรือเหตกุ ารณ์สาคัญๆ ที่ไดพ้ บ
เห็นสกั 4 สปั ดาห์ แล้วมาอา่ นเพ่อื ดพู ัฒนาการทางทกั ษะการเขยี นและทกั ษะสัมพนั ธท์ างภาษา
10. อภิปรายเกยี่ วกับความแตกตา่ งระหวา่ ง การเขียนเพ่ือแสดงความคิดเห็น กับ การเขียนเพื่อ
โฆษณาจงู ใจ โดยยกตวั อยา่ งประกอบใหช้ ดั เจน
36
เอกสารอ้างอิง
กลั ยา ยวนมาลัย. (2539). การอา่ นเพื่อชวี ิต. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
กิตมิ า อมรทตั . (2543). ศลิ ปะการพูดให้ตรึงใจคน. กรงุ เทพฯ: เยลโลก่ ารพมิ พ.์
กาชยั ทองหล่อ. (2552). หลักภาษาไทย. กรุงเทพฯ: รวมสาส์น.
คณาจารย์ โปรแกรมวิชาภาษาไทย. (2547). การสื่อสารดว้ ยภาษาไทย (Communication in Thai
Language). กรงุ เทพฯ: คณะมนษุ ยศ์ าสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั
บ้านสมเดจ็ เจ้าพระยา.
จรรยา ทองดี. (2553). ศาสตร์และศิลปแ์ ห่งภาษาไทย 2 (Science and Art of Thai II).
(พมิ พ์ครง้ั ที่ 2) สมุทรสาคร: แอป๊ ปา้ พริน้ ติ้ง กร๊ปุ .
จิรวฒั น์ เพชรรตั น์ และอมั พร ทองใบ. (2556). การอ่านและการเขียนทางวิชาการ (Academic
Reading and Writing). กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร์.
จิราภรณ์ อจั ฉรยิ ะประสทิ ธิ์. (2558). “การพัฒนาทักษะการฟัง” เอกสารประกอบการเรียนการสอน
รหัสวิชา GEL 1101 รายวิชาการใช้ภาษาไทย. สานักวิชาการศึกษาทวั่ ไปและนวัตกรรม
การเรียนร้อู เิ ล็กทรอนิกส์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสวนสุนนั ทา.
จุไรรตั น์ ลกั ษณะศริ ิ. (2556). ภาษาไทยเพอื่ การสือ่ สาร. นครปฐม: โรงพมิ พ์มหาวิทยาลัยศิลปากร.
ไชยวัฒน์ อารโี รจน.์ (2557). การพฒั นาแบบฝึกทักษะการพดู รายงานการศึกษาคน้ ควา้ สาหรบั
นกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3. วิทยานิพนธ์ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาการสอน
ภาษาไทย ภาควชิ าหลักสูตรและวิธสี อน บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยศิลปากร.
ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และคณะ. (2546). หนงั สอื เรียน ชว่ งชั้นท่ี 3 ภาษาไทย ม. 1. นนทบุรี:
ไทยรม่ เกลา้ .
ณรงศกั ดิ์ สอนใจ และทนิ วัฒน์ สร้อยกุดเรอื . (2551). “การฟงั และการอา่ นเพ่ือวัตถปุ ระสงคเ์ ฉพาะ”
เอกสารคาสอนวชิ า ศลิ ปะการใชภ้ าษาไทยเพอื่ การสื่อสาร. (พมิ พ์ครัง้ ที่ 2). กรงุ เทพฯ:
คณะกรรมการเผยแพรผ่ ลงานวชิ าการ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
ทนิ วัฒน์ มฤคพิทกั ษ์. (2548). พูดได้พูดเป็น. (พิมพ์ครง้ั ท่ี 20). กรุงเทพฯ: โอ.เอส. พรน้ิ ติ้งเฮ้า.
. (2548). พูดได้-พดู เปน็ : ศาสตร์และศลิ ปแ์ หง่ การพูด. กรุงเทพฯ: ฟารโ์ กลบิ .
ทิพยส์ ุเนตร อนัมบุตร. (2551). การอ่านเพ่ือการวเิ คราะห.์ กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.
บารมีบุญ แสงจันทร์. (2558). “การพัฒนาทกั ษะการเขบี น” เอกสารประกอบการเรยี นการสอน
รหัสวชิ า GEL 1101 รายวชิ าการใชภ้ าษาไทย. สานักวิชาการศึกษาทวั่ ไป และนวัตกรรม
การเรยี นรูอ้ ิเล็กทรอนิกส์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนสุนันทา.
ประภาศรี สีหอาไพ. (2550). วัฒนธรรมทางภาษา. (พิมพค์ ร้งั ท่ี 3) กรุงเทพฯ:
จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
ประยูร ทรงศิลป.์ (2549). หลกั การอ่านและการเขยี นคาไทย. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบรุ .ี
ประสงค์ รายณสุข. (2528). การพูดเพื่อประสิทธิผล. กรุงเทพฯ: ภาควิชาภาษาไทยและ
ภาษาตะวันออก คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ.
ประสทิ ธ์ิ กาพย์กลอน และคณะ. (2545). การเตรยี มเพ่ือการพูดและการเขียน. กรงุ เทพฯ:
มหาวิทยาลัยรามคาแหง.