37
ปราณตี มว่ งนวล. (2562). การฟัง การพูดเพื่อสัมฤทธิผล (Listening and Speaking for
Achievement). กรงุ เทพฯ: สหธรรมิก.
. (2560). การอา่ นคดิ วเิ คราะห์ (Analytical Reading). กรุงเทพฯ: สหธรรมิก.
. (2557). วฒั นธรรมไทยในภาษาและวรรณคด.ี (Thai Culture in Language and
Literature). สาขาวชิ าภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั บ้านสมเดจ็ เจ้าพระยา.
. (2556). เอกสารประกอบการสอน (ฉบับปรับปรงุ ) วิชาหลกั การอ่านและการเขียนคาไทย
(Reading and Writing Systems in Thai) รหัสวชิ า 1002221. สาขาวชิ าภาษาไทย
คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา.
ปราณตี มว่ งนวล ลักษณา เกยุราพนั ธ์ จีรภรณ์ กจิ เจรญิ และ ศราวฒุ ิ สมญั ญา. (2561). ภาษาและ
วัฒนธรรมสาหรับครู (Language and Culture for Teacher). (พมิ พ์คร้งั ที่ 2).
กรุงเทพฯ: สหธรรมิก.
ผะอบ โปษะกฤษณะ. (2536). ภาษาไทยของเราท่ีมีเอกลักษณแ์ ละการใช้ภาษาไทยมาตรฐาน.
กรงุ เทพฯ: โครงการตาราและเอกสารวชิ าการ มหาวทิ ยาลัยสยาม.
. (2541). ลักษณะเฉพาะของภาษาไทย การเขยี น การอา่ น การพดู การฟงั และราชาศัพท.์
กรุงเทพฯ: รวมสาส์น.
พระราชวรมนุ .ี (ประยทุ ธ์ ปยุตโต). (2528). พจนานกุ รมพุทธศาสตรฉ์ บับประมวลธรรม.
กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.
พรพมิ ล ริยาย และ ธนางกูร ขาศรี. (2555). รายงานการวจิ ยั เรอ่ื ง การพฒั นาทักษะการฟัง-พดู
ภาษาองั กฤษของนกั ศกึ ษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอรม์ ลั ตมิ ีเดีย.
ภาควิชาศกึ ษาทว่ั ไป และสาขาวชิ าภาษาองั กฤษเพอ่ื การสื่อสาร คณะสังคมศาสตร์และ
ศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนอรท์ –เชียงใหม่.
พีรดร แก้วสาย และ ทพิ ย์สุดา จนั ทรแ์ จ่มหลา้ . (2556). เมืองสร้างสรรค์: แนวทางการพัฒนาเมอื ง
จากสินทรพั ยส์ ร้างสรรค์ทอ้ งถนิ่ ไทย. กรุงเทพฯ: จรัลสนิทวงศก์ ารพิมพ์.
ภาษติ า วิสารสขุ . (2556). ภาษาไทย คนไทยตอ้ ง พดู -อ่าน-เขียนเป็น. กรุงเทพฯ: แพรธรรม.
ยาขอบ. (2553). เล่าป่ีผพู้ นมมอื ใหแ้ ก่ชนทุกช้นั . กรุงเทพฯ: นวสาสน์ การพมิ พ์.
ราชบัณฑติ ยสถาน. (2556). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกยี รติ
พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั เนอื่ งในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลมิ พระชนพรรษา
7 รอบ 5 ธันวาคม 2554. กรุงเทพฯ: ราชบณั ฑิตยสถาน.
ลินดา เกณฑ์มา. (2551). การฟงั และการพดู เพื่อสมั ฤทธิผล. กรุงเทพฯ: สหธรรมกิ .
ศนู ยบ์ รหิ ารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรสั โคโรนา 2019. “ศบค. แถลงสถานการณ์
ไวรัสโควดิ -19”. ศบค. แถลงสถานการณ์ ไวรัสโควิด-19 ThairathTV. สบื ค้นเมอื่ วันท่ี 30
เมษายน 2563, เข้าถงึ ไดจ้ าก. https://www.youtube.com/watch?v=JelcFQCyYbE
สมจิต ชวิ ปรีชา. (2535). วาทวิทยา. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร.์
สมบัติ จาปาเงนิ และ สาเนียง มณกี าญจน์. (2539). หลกั นักอ่าน. (พิมพ์ครงั้ ที่ 2). กรุงเทพฯ:
ต้นออ้ แกรมมี่.
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดารงราชานุภาพ. (2554). เสภาเรือ่ ง ขนุ ช้างขนุ แผน เลม่ 1.
กรงุ เทพฯ: เพชรกะรัต.
38
สวนติ ยมาภยั และถิรนันท์ อนวัชศริ ิวงศ์. (2547). หลกั การพูด: หน้าทช่ี มุ ชนสอื่ มวลชนและ
ในองค์กร. (พมิ พค์ รั้งที่ 10). กรงุ เทพฯ: วนั ดีดีกร๊ปุ .
สอางค์ ดาเนินสวัสด์ิ และคณะ. (2546). “ลักษณะการอ่าน” หนังสือเรียนสาระการเรยี นรู้
พ้นื ฐานภาษาไทย ช่วงชนั้ ท่ี 4. กรงุ เทพฯ: พฒั นาคุณภาพวิชาการ (พว.).
สจุ รติ เพยี รชอบ และสายใจ อนิ ทรมั พรรย.์ (2538). วธิ ีสอนภาษาไทยระดบั มัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ:
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
สทุ ธชิ ยั ปญั ญโรจน์. (2556). พดู เกง่ เขียนเกง่ รวยก่อน. กรุงเทพฯ: เพชรประกาย.
สุนทรภ.ู่ (2505). วรรณคดีไทยเร่อื ง พระอภยั มณี. (พิมพ์คร้ังท่ี 2) พระนคร: โรงพิมพ์ครุ ุสภา.
สนุ ันทา ม่นั เศรษฐวิทย์. (2551). “ความร้พู ้ืนฐานทางการอ่าน” เอกสารการสอนชดุ วชิ า การใช้
ภาษาไทยหน่วยท่ี 1 – 8. นนทบรุ ี: มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช.
สุรวิ งศ์ เกิดพนั ธ์ุ. (2537). การพูดตอ่ หนา้ ประชุมชน. นครปฐม: มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร.
อรวรรณ ปลิ นั ธน์โอวาท. (2540). การพูดเพ่ือธรุ กิจ. (พิมพค์ รั้งที่ 5). กรงุ เทพฯ:
จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
Adler, Mortimer J. (1959). How to Read a Book. New York: Simon and Schester.
Byrne. (1986). Teaching Oral English. London: Longman.
Cook, V. (1991). Second Language Learning and Language Teaching. London:
Edward Arnold.
Edgar H. Sturtevant. (1947). An Introduction to Linguistic Science. New Haven: Yale
Univercity Press.
Goodman, K.S. (1970). Reading Process and Program. IIIinois: National Council of
Teachers of English.
Keltner, John W. (1970). Interpersonal Speech Communication: Element and
Structure. California: Wad Worth Publishing Company Inc.
Mackey, William F. (1967). Language Teaching Analysis. ERIC. Indiana University, Press:
Bloomington.
Samovar, Larry A. and Mills, jack. (1968). Oral Communication: Massage and
Response. (2 nded.). Dubuque, lowa: W.M.C Brown.
Underwood, Mary. (1993). Teaching Listening. (5th ed.). New York: Longman.
W. Nelson Francis. (1958). The Structure of American English. New York: The Ronald
Press Company.
ทกั ษะการสื่อสาร : รองศาสตราจารย์ ดร.ปราณตี ม่วงนวล
บทที่ 2
ทกั ษะการส่อื สาร
สังคมปัจจุบันในศตวรรษท่ี 21 การติดต่อส่ือสารใช้หลากหลายช่องทาง โดยเฉพาะช่องทาง
สังคมออนไลน์ (Social Network) หรือ การทางานท่ีบ้าน (Work From Home) การประชุมกลุ่ม
ด้วยซูม (Zoom) โปรแกรมประชุมออนไลน์ยอดนิยมในยุคน้ี ล้วนใช้เทคโนโลยีที่ย่นระยะทาง
ประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย แต่การทางานเสมือนอยู่ในห้องประชุมเดียวกัน อยา่ งไรก็ตามสังคม
มนุษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยงการพบปะพูดคุย ติดต่อส่ือสารใกล้ชิดบ้าง ไกลบ้างตามโอกาส ดังนั้นทักษะ
การส่ือสารท้ังการฟัง การพูด การอ่านและการเขียนยังมีความสาคัญจาเป็นต้องใช้ในชีวิตประจาวัน
เน้ือหาในบทนี้เป็นการพัฒนาเพื่อต่อยอดจากการฝึกปฏิบัติจริงในบทท่ี 1 เพื่อให้เกิดทักษะสู่การ
นาไปใช้อย่างถูกตอ้ งและเกิดประสทิ ธิผล
ทักษะการส่อื สารดว้ ยการฟงั
ทักษะการส่ือสารด้วยการฟัง ควรมีการการพัฒนาทักษะการสื่อสารการฟังอย่างถูกต้องตาม
ขน้ั ตอน เพ่อื ใหเ้ กดิ ประสทิ ธิผลในการฟงั ผฟู้ งั จะตอ้ งเขา้ ใจขน้ั ตอนการปฏบิ ัติเพ่อื การพัฒนาทักษะการฟัง
1. ขน้ั ตอนการพฒั นาทักษะการฟัง
1.1 สร้างความสนใจและความต้องการท่ีจะฟัง การฟังอย่างมีประสิทธิภาพควรเร่ิม
มาจากการพัฒนาให้ผู้ฟังมีนิสัยรักการฟัง โดยการฝึกฟังเรื่องต่าง ๆ ท่ีจะช่วยพัฒนาทักษะการฟังอยู่
เสมอ ใหค้ วามสนใจกับเรือ่ งทฟี่ งั แมเ้ รอื่ งที่ฟังจะไมต่ รงกบั ความสนใจของตนเองก็ตาม
1.2 กาหนดวัตถุประสงค์ในการฟัง ผู้ฟังควรกาหนดวัตถุประสงค์ในการฟังทุกคร้ัง
และควรกาหนดให้ชัดเจนด้วย เช่น ฟังเพ่ือความรู้ หรือฟังเพ่ือความบันเทิง เป็นต้น การกาหนด
วัตถุประสงค์จะช่วยสร้างแนวทางในการฟัง ทาให้ผู้ฟังได้เตรียมความพรอ้ มอย่างเหมาะสม ซ่ึงจะช่วย
ใหผ้ ้ฟู ังสามารถจบั ประเดน็ สาคญั ของสารที่ฟงั ไดง้ า่ ยขึ้น
1.3 ฝกึ สมาธิ ผฟู้ ังควรต้ังใจฟัง มีสมาธิกบั เรอื่ งที่กาลงั ฟัง ไมพ่ ยายามสนใจตอ่ สง่ิ รอบ
ข้าง เพ่ือให้ได้ข้อมูลครบถ้วน ตรงตามวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้ หรือหากมีข้อสงสัยจะได้เตรียมสอบถามผู้
พูดได้อย่างตรงประเด็น การมีสมาธิในการฟังจะทาให้ผู้ฟังสามารถจดบันทึกประเด็นสาคัญได้อย่าง
ครบถว้ น
1.4 ฝึกการจดบันทึก ในขณะฟัง ผู้ฟังควรจดบันทึกข้อมูลท่ีสาคัญไปด้วย การจด
บันทึกนั้นไม่จาเป็นต้องจดทุกคาพูดเพราะจะทาให้พะวงกับการจดให้ทัน การจดบันทึกไม่มีรูปแบบท่ี
ตายตัว ข้ึนอยู่กับวิธีการและความถนัดของผู้ฟังแต่ละคน อาจบันทึกในรูปของคาย่อ คาส้ัน ๆ
ข้อความส้ัน ๆ ทาเคร่ืองหมายหรือทาเป็นตารางหรือแผนภาพก็ได้ เม่ือจดบันทึกเสร็จ ผู้ฟังควรนามา
เรยี บเรยี งในแบบสรุปความเพ่อื ทาใหเ้ กิดความเข้าใจและอ่านทบทวนเรื่องที่ฟงั ได้สะดวก
1.5 ฝึกจับใจความสาคัญ การจับใจความสาคัญเป็นข้ันตอนที่สาคัญของการพัฒนา
ทักษะการฟัง เน้ือหาของสารแต่ละประเภทจะประกอบด้วยส่วนที่เป็นใจความสาคัญและส่วนที่เป็น
รายละเอียดซึ่งผู้ฟังจะต้องแยกแยะให้ออก ผู้ฟังควรฟังเร่ืองราวตลอดทั้งเร่ืองอย่างต้ังใจและพยายาม
40
หาใจความสาคัญว่าคืออะไร การจับใจความสาคัญสามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฟังและฝึกจับใจความสาคัญ
บ่อย ๆ
1.6 ฝึกสรปุ ความ ในขณะฟงั ผู้ฟังควรจดรายละเอยี ดท่สี าคญั ไปดว้ ยหากสามารถทา
ในขณะฟังได้จากน้ันให้ลองสรุปความ การสรุปความอาจอยู่ในรูปแบบของการสรุปความ ที่เป็นลาย
ลกั ษณ์อกั ษรหรอื การพูดเพื่อสรุปความก็ได้
1.7 ฝึกวิเคราะห์สาร การวิเคราะห์สารคือการแยกแยะเน้ือหาสาระของสารว่ามีก่ี
ประเด็น ก่ีประเภท ส่วนใดคือข้อเท็จจริงและส่วนใดคือข้อคิดเห็น โดยผู้ฟังจะต้องตั้งใจฟังสารตลอด
ท้ังเร่ือง ขณะฟังให้พยายามสังเกตถ้อยคา สีหน้า และน้าเสียงของผู้พูดเพราะส่วนที่ลงเสียงหนักหรือ
เน้นเสียงมกั เป็นส่วนท่ีสาคญั การวเิ คราะหส์ ารจะช่วยใหจ้ ับใจความสาคญั ได้งา่ ยขึน้
1.8 ฝึกใช้วิจารณญาณในการฟัง จัดเป็นกระบวนการคิดข้ันสูง มีความซับซ้อน การ
ฟังอย่างมีวิจารณญาณจะต้องเริ่มจากความตั้งใจและความเข้าใจเร่ืองท่ีฟังทั้งหมดเสียก่อน แล้วจึง
นามาพิจารณา ใครค่ รวญ โดยใช้ความรู้ ความคิด เหตผุ ลและประสบการณ์ของตนประกอบ ผฟู้ ังควร
พิจารณาให้ได้ว่าผู้พูดมีวัตถุประสงค์ในการพูดอย่างใด มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด มี
ความจรงิ ใจหรอื ไม่ สารท่ไี ด้ฟังมคี วามน่าเชือ่ ถือเพียงใด และควรแกก่ ารนาไปปรับใชก้ บั ชวี ิตหรือไม่
2. ประเภทของการฟงั
การฟังสารโดยท่ัวไป (ปราณีต ม่วงนวล, 2562: 57-60) จาแนกการฟังสารเป็น 3 ประเภท
ดังน้ี 1) การฟังการสื่อสารระหว่างบุคคลและการสื่อสารภายในกลุ่ม 2) การฟังการสื่อสารสาธารณะ
และ 3) การฟังสื่ออเิ ลก็ ทรอนิกส์
2.1 การฟงั การสื่อสารระหว่างบุคคล และการส่ือสารภายในกลมุ่
การฟังการสื่อสารระหว่างบุคคล คือ การสนทนา การทักทาย การซักถาม และการฟัง
การส่ือสารภายในกลุ่ม เป็นการส่ือสารที่มีสมาชิกกลุ่มต้ังแต่สามคนข้ึนไปสื่อสารกัน ซึ่งอาจเป็นการ
ส่ือสารภายในองค์กร หน่วยงาน เพ่ือระดมสมอง ระดมความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะ เช่น การ
ประชุม สมั มนา การอภิปราย เปน็ ต้น
หลักในการฟังการสื่อสารระหว่างบุคคล ได้แก่ 1) ปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นได้ทุกคน ไม่ว่าจะ
เป็นคนระดับใด เพศใด หรือแม้แต่คนที่ไม่เคยรู้จักกนั มาก่อน 2) สนใจฟังสารอยู่ตลอดเวลา และแสดง
ปฏกิ ิริยาตอบสนองผูส้ ่งสารท้งั วัจนภาษา และอวัจนภาษา และ 3) มีมารยาทในการฟงั ใช้คาพูดสุภาพ
แสดงอาการสนใจ ซกั ถามและสนบั สนุนบ้างตามความเหมาะสม
อุปสรรคในการฟังเพื่อการสื่อสารระหว่างบุคคลโดยสรุป มีดังน้ี 1) มีอคติต่อคู่สนทนา
2) ความคดิ เหน็ ขดั แย้งกัน และ 3) อวยั วะในการฟังบกพร่อง 4) รับสารจากคนต่างวฒั นธรรม
หลักในการฟังการส่ือสารภายในกลุ่ม ได้แก่ 1) มีส่วนร่วมในการสื่อสาร 2) ศึกษาข้อเท็จจริง
ขอ้ มูล ข่าวสารต่างๆ มาล่วงหนา้ 3) อ่านเอกสารท่ีได้รับในการฟังประกอบ 4) ฟังอย่างสงบ อดทน มี
มารยาท และ 5) แสดงความรู้ในเวลาท่ีเหมาะสม
41
อุปสรรคของการส่ือสารภายในกลุ่มโดยสรปุ มีดังนี้ 1).แยกตวั ออกจากกระบวนการสื่อสาร/ไม่
ติดตามเร่ืองราวท่ีกาลังประชุม/ไม่เสนอความคิดเห็น 2) เป็นฝ่ายค้านตลอดเวลา 3) ผูกขาดการพูดคน
เดียว และ 4) สภาพแวดลอ้ มของสถานทไ่ี ม่เออื้ อานวย
2.2 การฟังการสอ่ื สารสาธารณะ
การส่อื สารสาธารณะเป็นการสือ่ สารท่ีมคี นจานวนมาก แบ่งบทบาทชัดเจนว่าใครเป็นผูส้ ่งสาร
และผรู้ ับสาร แม้จะไมไ่ ด้ระบุกลุ่มผู้ฟังไว้โดยเฉพาะ แตผ่ ู้ฟังมกั จะเป็นผมู้ ีความรู้ ความสนใจ ความคิด
และคา่ นิยมใกล้เคียงกบั ผูส้ ่งสาร เช่น การฟงั ปาฐกถา การฟงั บรรยายหรอื การฟังปราศรยั
การฟังคาบรรยาย คาบรรยาย หมายถึง การพูดช้ีแจงหรืออธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังหรือ
เขียนเพือ่ ชแี้ จง หรืออธบิ ายเร่อื งราวต่างๆ ใหอ้ า่ นโดยเฉพาะขอ้ ความทเี่ ป็นความรู้
หลักการฟังคาบรรยาย ก่อนการฟังคาบรรยายควรปฏิบัติ ดังน้ี 1) ผู้ฟังควรตระหนักถึง
จุดมุ่งหมายการฟังให้ชัดเจนว่า การฟังคาบรรยายเป็นการฟังเพ่ือความรู้ในศาสตร์หรือวิชาการต่างๆ
ท่ตี นกาลงั ศกึ ษาอยู่ขณะน้ี 2) ผู้ฟังต้องทราบวา่ การฟังคาบรรยายคร้ังนจ้ี ะฟังจากบุคคลที่เป็นผู้ส่งสารโดยตรง
หรือฟังจากส่ือ 3) ผฟู้ ังต้องเตรียมความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องทฟ่ี ัง 4) ผู้ฟงั ควรเลือกที่นั่งให้เหมาะสม ควร
น่ังในตาแหน่งที่มองเห็นผู้พูด และได้ยินเสียงผู้พูดชัดเจน และ 5) ผู้ฟังควรเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ให้
ครบถ้วน เช่น ดนิ สอ ปากกา สมุดบันทึก เปน็ ตน้
ขณะฟังคาบรรยายควรปฏบิ ัติ ดงั น้ี 1) ผู้ฟังต้องตั้งใจฟังคาบรรยาย 2) ผู้ฟงั ตอ้ งมสี มาธขิ ณะที่
ฟัง 3) ผู้ฟังต้องมีมารยาทในการฟัง 4) ผู้ฟังต้องมีปฏิกิริยาสัมพันธ์กับผู้พูด เช่น การพยักหน้า ส่ัน
ศรี ษะ ยิม้ เป็นตน้ 5) ผฟู้ ังควรวางใจเป็นกลาง และ 6) ผูฟ้ ังควรจดบันทกึ สาระสาคญั ของการบรรยาย
หลังการฟังคาบรรยายควรปฏิบัติ ดังนี้ 1) ผู้ฟังควรทบทวนเรื่องราวท่ีบันทึกไว้ขณะท่ีฟัง
ในทันทีที่มีโอกาส 2) ผู้ฟังควรนาเน้ือหาสาระของคาบรรยายท่ีได้ฟังไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และ
3) ผฟู้ ังควรนาเนอ้ื หาสาระท่ีฟงั มาแลกเปล่ียนเรียนรกู้ บั เพื่อน ๆ เพื่อให้มีความคิดกวา้ งไกลมากขึ้น
หลักการฟังการสื่อสารสาธารณะ มีดังนี้ 1) ศึกษาผู้พูดและเรื่องท่ีจะฟังมาล่วงหน้า 2) มี
สมาธิ และ 3) พยายามฟังและจบั ประเดน็ สาคัญ
อุปสรรคของการฟังการสื่อสารสาธารณะ สรุปได้ดังนี้ 1) ขาดความรู้และประสบการณ์ใน
เร่อื งทฟ่ี ัง 2) ไม่ร้จู ักภูมหิ ลงั ของผู้พูด และ 3) ไมม่ ีความกระตอื รือร้นในการฟัง
2.3 การฟังส่ืออิเล็กทรอนิกส์
เป็นการฟังสารผ่านส่ือต่างๆ ได้แก่ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ภาพยนตร์ สื่อ
อนิ เทอรเ์ นต็ เปน็ การสือ่ สารทางเดียวทม่ี บี ทบาทมากที่สุดในปจั จุบนั
หลักการฟังส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วย 1) มีวิจารณญาณในการฟัง 2) ฟังอย่างรู้เท่าทัน
ผสู้ ง่ สาร และ 3) จดั สรรเวลาให้เหมาะสม
อุปสรรคในการฟังส่ืออิเล็กทรอนิกส์ สรุปได้ดังนี้ 1) สัญญานอินเทอร์เน็ต (Wifi) ขัดข้อง
2) สื่อชารุด เสียงขาดหาย ภาพพร่ามัว 3) สารเข้าใจยากเกินไป สลับซับซ้อนเกินไป 4) ผู้รับสาร หาก
ฟงั จากสอ่ื แหลง่ เดียวทาใหค้ วามคิดไมก่ วา้ ง และ 5) สิ่งแวดล้อมไม่เออ้ื อานวย
42
กล่าวโดยสรุป การฟังสารประเภทต่างๆ จากการฟังการสอื่ สารระหว่างบุคคลและการสอ่ื สาร
ภายในกลมุ่ การฟังการส่อื สารสาธารณะและการฟังสอ่ื อเิ ล็กทรอนิกส์ น้ันล้วนข้ึนอยกู่ ับความต้องการ
หรือ วัตถุประสงค์ของผู้ฟัง หากเป็นการฟังโดยความสมัครใจ ไม่ได้เพียงทาตามหน้าท่ี หรือถูก
กาหนดใหต้ อ้ งฟัง การฟงั จะไดผ้ ลสมั ฤทธิ์ดกี วา่ และเป็นการพฒั นาทักษะการส่อื สารด้วยการฟังอีกดว้ ย
3. การฟงั อย่างมีประสทิ ธภิ าพ
การฟังจะเกิดประสิทธิภาพได้ข้ึนอยู่กับความสามารถของผู้ฟัง ซ่ึงจะต้องเริ่มจากการจับ
ใจความสาคญั ของเรื่อง ที่ฟังใหไ้ ด้วา่ ประเด็นสาคญั ทีน่ าเสนอน้ันเป็นเรื่องราวเกย่ี วกับสิ่งใด เพ่ือจะได้
นาข้อมูลท่ีได้น้ันมาวิเคราะห์หาส่วนประกอบต่าง ๆ ของเรื่องน้ัน ๆ เช่น ส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง ส่วน
ใดเป็นข้อคิดเห็น เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นน้ัน มีสาเหตุมาจากอะไร เป็นต้น หรือในบางคร้ัง อาจต้อง
ตคี วามเรื่องราววา่ ผู้พดู ต้องการท่ีจะส่ือความหมายได้ เพราะในบางครงั้ อาจไมไ่ ด้แปลความหมายตรง
ตามถ้อยคา ซ่ึงต้องอาศัยจากการฟังน้าเสียงท่าทางหรืออื่น ๆ เป็นส่วนประกอบในการแปล
ความหมายที่แท้จรงิ นอกจากน้ันผู้ฟังยังตอ้ งสามารถประเมินคุณค่าของเร่ืองที่ฟังได้วา่ เรื่องท่ีฟังนั้นดี
หรือไมเ่ พียงใด การประเมินคา่ นนั้ ต้องอาศัยองคป์ ระกอบหลายอย่างเป็นเครอ่ื งตัดสิน เชน่ หลักเกณฑ์
หรือทฤษฎีเกี่ยวกับเร่ืองน้ัน ๆ ความคิดประสบการณ์ของผู้ฟัง เป็นต้น อาจทาให้ผลท่ีได้ออกมา
แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เมื่อฟังแล้วผู้ฟังต้องสามารถบันทึกข้อมูล ที่
เป็นสาระสาคัญของเร่ืองท่ีฟังได้ เพื่อจะไดท้ บทวนความจาและสามารถนาข้อมูลต่าง ๆ เหล่าน้ันไปใช้
ใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสดุ ได้
อย่างไรก็ตามผู้ฟังจะต้องตั้งใจและมีสมาธิกับส่ิงท่ีฟังเพ่ือจะได้ประมวลผลเรื่องราวต่างๆ ได้
ถูกต้องสามารถนามาวิเคราะห์ประเมินค่าและบันทกึ ข้อมูลได้ถูกต้อง เพ่ือประโยชน์แก่ตนเองและการ
นาไปถ่ายทอดสผู่ อู้ ่นื ต่อไปได้ ดังนี้
1. เพ่ือพัฒนาองค์ความรู้ เพิ่มพูนประสบการณ์การฟังเรื่องราวต่างๆ จากผู้เช่ียวชาญหลาย
สาขาหรือผู้มีประสบการณ์ จะมีสว่ นชว่ ยให้ผฟู้ งั ไดร้ ับความรู้ต่าง ๆ เพมิ่ ขนึ้ หรือได้รับมุมมองแง่คดิ ใหม่
ต่างไปจากทีเ่ รามอี ยู่ จะสง่ ผลตอ่ พัฒนาการทางสตปิ ญั ญาของผู้ฟัง รวมทัง้ มีส่วนช่วยคดิ ใครค่ รวญหรือ
ประเมินคุณค่าของข้อมูล เช่น การฟังเรื่องราวจากนักปราชญ์ท้องถ่ินที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเร่ืองราวของ
ท้องถิ่นน้ัน ๆ ก็จะทาให้เราได้รับความรู้เพิ่มเติมข้ึน การฟังข้อมูลเก่ียวกับการพัฒนาระบอบ
ประชาธิปไตยในมุมมองของนักวิชาการและมุมมองของนักการเมอื ง ก็อาจมีความคิดเห็นทแ่ี ตกต่างกัน
ผฟู้ ังสามารถนาข้อมูลเหล่าน้นั มาพิจารณาแนวทางความเปน็ ไปได้ เป็นต้น
เม่ือเราเป็นผู้ฟังมากแล้วรู้จักท่ีจะนามาพิจารณาความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือส่ิงอื่นใด
ที่มีประโยชน์แล้ว นอกจากจะทาให้ผู้ฟังเป็นผู้มีความรู้แล้วยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟังอีกหลาย
ประการ เช่น ทาให้เข้าใจบคุ คลอ่ืนได้อย่างดี เพ่ือให้อยรู่ ่วมกันในสังคมได้อยา่ งมีความสุข ทาให้ผ้ฟู ังมี
ขอ้ มูลประกอบการตดั สินใจอย่างถี่ถว้ น เปน็ ตน้
2. เพ่ือคุณคา่ ทางอารมณ์และจิตใจ การฟังเร่ืองราวที่มผี ลในทางท่ีดีตอ่ จติ ใจของผู้ฟงั จะสง่ ผล
ตอ่ อารมณ์ และสุขภาพจิตของผู้ฟงั ท่จี ะก่อให้เกิดความสุขรวม ท้ังเรื่องราวทางสุนทรียะท่ีจะก่อให้เกิด
ความซาบซ้ึงข้ึนในจิตใจของผู้ฟังด้วย เช่น การฟังธรรมะ จะช่วยยกระดับจิตใจของผู้ฟังให้สูงขึ้น การ
ฟงั คาส่ังสอนของบิดา เพ่ือเปน็ แนวทางในการดาเนินชีวติ การฟังคาปลอบประโลมให้คลายความเศร้า
หมอง การฟังเพลงสากลเพ่ือความเพลดิ เพลนิ และสร้างความคนุ้ ชนิ กบั ถ้อยคาภาษาองั กฤษ เป็นตน้
43
ญาณิศา สู่ทรงดี และสุชาดา รัตนวาณิชย์พันธ์ (2555: 55) ได้ศึกษาเก่ียวกับความสามารถ
ในการฟังภาษาอังกฤษเพื่อการส่ือสารของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด
สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จังหวัดสุรินทร์ พบว่า 1) นักเรียนกลุ่มตัวอย่างมี
ความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารอยู่ในระดับต่ากว่าเกณฑ์ท่ีกระทรวงศึกษาธิการ
กาหนด ร้อยละ 44.96 2) นักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษในระดับ
ประโยค อยู่ในเกณฑ์พอใช้ แต่พบว่านักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีความสามารถในการฟังระดับข้อความ
(บทสนทนาและบทพูดสั้น ๆ) อยู่ในระดับต่ากว่าเกณฑ์ ท่ีกาหนดโดยกระทรวงศึกษาธิการ 3) เม่ือ
เปรียบเทียบความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างตามขนาด
ของโรงเรียน พบว่า นักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสาร
แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 สอดคล้องกับผลการวิจัยของ เกิดศิริ ชมภูกาวิน
(2556: 26) ได้ศึกษาการใช้กิจกรรมเชิงปฏิสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมความสามารถ ในการฟัง -พูด
ภาษาอังกฤษของนักศึกษา พบว่า ค่าต่าสุดของคะแนนความสามารถในการฟัง พูดภาษาอังกฤษของ
นักศึกษาก่อนและหลังการทดสอบเท่ากับ 7 และ 11 คะแนน ตามลาดับ ค่าสูงสุดของคะแนน
ความสามารถในการฟัง พูดภาษาอังกฤษของนักศึกษาก่อนและหลังการทดสอบของนักศึกษาก่อน
และหลังการทดสอบเท่ากับ 18 และ 19 คะแนนตามลาดับ ค่าเฉล่ียของคะแนนความสามารถในการ
ฟัง พูดภาษาอังกฤษของนักศึกษาก่อนการทดสอบเท่ากับ 13.07 และ16.2 คะแนน ตามลาดับ จึง
สรุปได้ว่านักศึกษาสาขาวิชาระบบสารสนเทศทางคอมพิวเตอร์ช้ันปีที่ 3 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช
มงคลล้านนา เขตพน้ื ท่ีภาคพายัพ เชียงใหม่ (จอมทอง) ทีไ่ ดร้ ับการสอนโดยใช้กิจกรรมเชิงปฏิสมั พันธ์
มีความสามารถในการฟัง พูดภาษาอังกฤษเพ่ิมข้ึน ในทานองเดียวกัน รุ่งพนอ รักอยู่ และสุชาดา
รัตนวาณิชย์พันธ์ (2560: 91) ได้วิจัยเกี่ยวกับความสามารถด้านการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ
ของนักศึกษาไทยที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ ในสถาบันการพลศึกษาในเขตภาคกลาง
พบว่า 1) ความสามารถด้านการฟังภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจของนักศึกษาไม่เท่ากับเกณฑ์ของ
กระทรวงศึกษาธกิ าร ท่ีกาหนดให้ความสามารถระดับพอใช้เท่ากับ 24 คะแนน โดยมีค่าเฉล่ียคะแนน
ความสามารถด้านการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ เท่ากับ 15.27 คะแนน จัดอยู่ในระดับไม่ผ่าน
ส่วนค่าเฉลี่ยคะแนนรายวิทยาเขตอยู่ระหว่าง 14.32-16.10 คะแนน อยู่ในระดับไม่ผ่านทุกวิทยาเขต
เช่นเดียวกัน 2) ความสามารถด้านการฟังภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจของนักศึกษาในวิทยาเขต
ต่างกันมีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความสามารถด้านการฟัง
ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักศึกษาที่สังกดั คณะวชิ าตา่ งกัน มีความแตกต่างกนั อยา่ งมีนัยสาคัญ
ทางสถิตทิ รี่ ะดับ .05 จานวน 1 คู่ คือคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพกบั คณะศลิ ปศาสตร์
กล่าวโดยสรุป การฟังอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ฟังควรมีความต้ังใจ มีสมาธิและมีวัตถุประสงค์
ในการฟงั อยา่ งชัดเจน ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ เพิ่มพูนประสบการณ์จากการฟังเรอื่ งราวต่าง ๆ
2) เพื่อคุณค่าทางอารมณ์และจิตใจ ซึ่งการฟังเรื่องราวท่ีมีผลในทางท่ีดีต่อจิตใจของผู้ฟังจะส่งผลต่อ
อารมณ์ และสุขภาพจิตของผู้ฟังเอง 3) เพื่อพัฒนาความสามารถในการฟัง 4) เพ่ือความเข้าใจใน
เร่ืองราวหรือสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ฟัง และ 5) เพ่ือนาเร่ืองราวหรือส่ิงต่าง ๆ ที่ได้ฟังไปส่ือสารอย่างมี
ประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามการท่ีมีวัตถุประสงค์ในการฟังอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีความจาเป็นต้องฝึก
44
การฟังบ่อย ๆ จะโดยการใช้กิจกรรมสัมพันธ์ใด ๆ ก็เลือกตามความเหมาะสม จะช่วยพัฒนา
ความสามารถในการฟงั ใหม้ ีประสิทธภิ าพเพมิ่ ยง่ิ ข้นึ
4. ลักษณะการฟังท่ดี ี
ปัจจุบันน้ีผู้พูดท่ีดีน้ันหาง่ายแต่ผู้ฟังท่ีดีกลับหายากทั้งพูดเป็นและฟังเป็นนั้นเราฝึกกันได้
เพราะถือว่าเป็นเรื่องของทักษะที่มนุษย์ทุกคนสามารถฝึกฝนได้ (พชร บัวเพียร, 2536: 49) ลักษณะ
ของการฟงั ทด่ี ี มดี ังน้ี
1. ตั้งใจฟัง ไมพ่ ูดคุยหรือวพิ ากษ์วจิ ารณ์ ขณะฟังมีความอดทน
2. ใชค้ วามคิดขณะฟัง ให้คดิ ตามไปดว้ ยทาความเข้าใจ
3. เตรียมให้พร้อม ถ้าเป็นไปได้ควรศึกษาเรื่องที่จะฟังล่วงหน้าเพื่อจะได้เข้าใจง่าย
ขน้ึ รวมท้ังการเตรียมวสั ดุอปุ กรณท์ ่ีจะใช้ตลอดจนถึงรา่ งกายและจิตใจ
4. ไปถึงก่อนเวลา ถ้าเราไปสายอาจจะพลาดโอกาสฟังเรอื่ งสาคัญกไ็ ด้
5. บันทึกเพอ่ื กันลมื การจดบันทกึ เรอ่ื งทีฟ่ ังจะชว่ ยใหจ้ ดจาไวไ้ ดน้ าน
6. มปี ญั หาควรซกั ถามปรึกษา หรอื หาความรู้เพ่ิมเติม
7. หลีกเลี่ยงส่ิงรบกวนเลือกสภาพแวดล้อมที่ดีเพ่ือเอื้ออานวยต่อการฟังโดยฝึกตน
ให้มีสมาธใิ นการฟงั
5. มารยาทการฟังท่ดี ี มารยาทการฟังทด่ี ตี อ้ งสอดคลอ้ งกับลักษณะการฟงั ทด่ี ี ดังนี้
1. มคี วามตัง้ ใจและพร้อมทจี่ ะฟัง
2. มีสมาธิ ตดิ ตามเนื้อหาทีฟ่ ังโดยตลอด
3. มจี ติ ใจเป็นกลาง ไม่มอี คตใิ นทางใดทางหนึง่ ทจี่ ะนาไปสูก่ ารจบั ผดิ
4. ให้เกยี รตผิ พู้ ดู ไม่แสดงกิริยาดูหม่ินหรือก้าวร้าวและใหเ้ กยี รตสิ ถานท่ี
5. ไมแ่ สดงอาการใดๆ เป็นการรบกวนสมาธิของผูพ้ ูดหรือผูร้ ่วมฟัง
6. ใหค้ วามร่วมมอื หากการพดู เรอ่ื งนัน้ ๆ ต้องการใหผ้ ฟู้ ังมสี ว่ นรว่ ม
7. บนั ทึกเรอ่ื งราวท่ีไดฟ้ ังอย่างถูกต้องตามลาดบั
8. มีความสารวมในการนั่งฟังด้วยกิริยาสุภาพเรียบร้อยถูกต้องตามวัฒนธรรม ไม่
แสดงอาการงว่ งเหงาหาวนอน
9. หากมีข้อสงสัยจะถาม ควรรอจังหวะท่ีเหมาะสม ขออนุญาตถามด้วยน้าเสียง
สภุ าพหา้ มประชดประชนั หรอื ลองภูมิ
10. แสดงกริ ิยาขอบคุณตามธรรมเนยี มปฏบิ ัตเิ มื่อผพู้ ดู พูดจบ
ศาสตราจารย์ Dr. Ralph Nichols (อ้างถึงใน วิจิตร อาวะกุล, 2527: 73-74) ได้กล่าวถึงวิธี
ปรับปรุงสมรรถภาพของการฟังไว้ สรุปได้ดงั น้ี 1) ฝึกการฟัง โดยการฝึกหัดใช้สมองในเรอื่ งท่ียาวและ
ยากบ่อย ๆ 2) อย่าทาเป็นคนเก่งทุกเร่อื ง 3) อย่าเป็นคนที่ฟังเขาพูดอย่างหน่ึง แปลความหมายไปอีก
อย่างหนึ่งในทางที่ไม่ถูกต้อง 4) ฝึกให้เป็นคนใจเย็นและสร้างความอดทนในการฟังเรื่อง หรือส่ิงที่
แสลงหูตนเอง 5) ตั้งใจฟังจริง ๆ วางตัวให้เป็นกลาง 6) อย่าด่วนตัดสินใจว่าเร่ืองท่ีฟังไม่น่าสนใจ
7) พยายามควบคุมจิตใจ สติอารมณ์ และฟังเรื่องที่บางคร้ังอาจขัดแย้งกับความรู้สึกของตน 8) ค้นหา
จดุ ที่นา่ สนใจหรือใจความสาคัญของเร่ือง 9) สังเกตทว่ งทานอง น้าเสียง การเน้น การเคล่อื นไหวต่างๆ
ของผู้พดู 10) ใชเ้ วลาท่ฟี งั คดิ ตาม ทบทวน วเิ คราะหเ์ นอ้ื หาเรือ่ งทีฟ่ ัง และ 11) หลีกเลีย่ งอปุ สรรคการฟงั
45
กล่าวโดยสรุป ลักษณะการฟังที่ดี ได้แก่ 1) มีความต้ังใจที่จะฟัง 2) ไปถึงก่อนเวลา 3) มีสมาธิ
ใช้ความคิดขณะฟัง 4) จดบันทึกเรื่องราว 5) ไม่มีอคติต่อผู้พูด หรือเร่ืองท่ีฟัง 6) มีปัญหาควรซักถาม
7) เลือกสภาพแวดล้อมที่ดีเพ่ือเอ้ืออานวยต่อการฟัง และ ควรมีมารยาทการฟังท่ีดี และวิธีการ
ปรบั ปรุงสมรรถภาพของการฟังเพ่ือให้การฟังมีประสิทธิภาพบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ ประกอบด้วย
1) ฝึกการฟังโดยใช้สมองในเร่ืองท่ียาวและยากบ่อยๆ 2) อย่าทาเป็นคนเก่งทุกเร่ือง 3) อย่าเป็นคนท่ี
ฟังเขาพูดอย่างหนึ่ง แปลความหมายไปอีกอย่างหน่ึง 4) ฝึกเป็นคนใจเย็นและมีความอดทน 5) ต้ังใจ
ฟังโดยวางตัวเป็นกลาง 6) อย่าด่วนตัดสินใจว่าเรื่องท่ีฟังไม่น่าสนใจ 7) พยายามควบคุมจิตใจ สติ
อารมณ์ เม่ือฟังเรื่องท่ีอาจขัดแย้งกับความรู้สึก 8) หาจุดท่ีน่าสนใจของเรื่อง 9) สังเกตท่วงทานอง
น้าเสียง การเน้น การเคล่ือนไหวต่างๆ ของผู้พูด 10) ใช้เวลาคิดวิเคราะห์เนื้อหาเร่ืองที่ฟัง และ 11)
หลกี เลยี่ งอุปสรรคการฟงั
ตัวอยา่ งการสอ่ื สารทกั ษะการฟัง
ตัวอยา่ งท1ี่ ฟังธรรมเทศนาเพื่อพัฒนาองค์ความรู้
ผลสัมฤทธ์ิ: ได้รับแนวทางการดาเนินชีวิต/วิเคราะห์หลักธรรมคาสอน/บูรณาการสัจธรรม
กับธรรมชาต/ิ จรรโลงใจ
ภาพท่ี 2.1 ธรรมเทศนา พระเมธวี ชิโรดม “จงมชี ีวิต ทีไ่ ด้ใชช้ วี ิต”
ที่มา: ว.วชิรเมธี, 2563
คดิ วิเคราะหจ์ ากการฟงั
หลักธรรม คาสอนของพระพทุ ธเจ้า
ความกตัญญู
สิง่ ที่แม่ตอ้ งการจากลูก
เงนิ
ความเหงา/ความใกลช้ ิด
ความต้องการทแ่ี ท้จริง
บรู ณาการสจั ธรรมกับองคก์ ร
ขอ้ คดิ จากการฟงั
แนวทางการดาเนนิ ชีวติ
จรรโลงใจ
46
ตวั อย่างท่ี 2 ฟงั เพลงเพ่อื คุณคา่ ทางอารมณ์และจติ ใจ
ภาพที่ 2.2 ฟังเพลง
ทีม่ า: วันเฉลมิ มว่ งนวล (วาดภาพ)
คิดวเิ คราะห์จากการฟัง
ฟังเพลง
ความไพเราะ/ความเพลดิ เพลิน
เนือ้ เพลง
ทานองเพลง
การใชภ้ าษา
ถอ้ ยคา
สาระ
ความรกั
กับดัก
ขอ้ คดิ จากการฟัง
นามาประยกุ ต์ใช้
กล่าวโดยสรุป การท่ีเราจะสามารถเข้าใจความรสู้ ึกนึกคิดของผู้อื่นนั้น จาเป็นต้องรับฟังก่อน
เป็นลาดับแรกไม่พูดแต่ฝ่ายเดียวหรือโต้แย้งตลอดเวลา เรามกั พบเสมอวา่ ผู้พูดมีความตงั้ ใจอย่างหน่ึง
แต่ผู้ฟังฟังแล้วเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่ง ทั้งน้ีเป็นการบกพร่องของการส่ือความหมายหรือขาดทักษะการ
พดู หรือขาดทักษะการฟัง ซึ่งจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติอยู่เสมอ ฉะน้ันทักษะการส่ือสารการฟัง ผูฟ้ ังจะ
พัฒนาทักษะการฟังได้ดี จึงควรทาความเข้าใจในขั้นตอนของการพัฒนาทักษะการฟัง ประเภทของ
การฟงั การฟังอย่างมีประสทิ ธภิ าพ ตลอดจนลกั ษณะการฟงั ทด่ี ีและมารยาทการฟังท่ีดี มนษุ ย์ทุกคนมี
พรสวรรค์มากน้อยแตกต่างกัน แต่พรแสวง หมายถึงการพัฒนาทักษะนั้น ทุกคนทาได้หากมีความ
เพียรพยายามศึกษาหาความรู้ หาโอกาสเรยี นรู้ หาโอกาสฝึกฝนพัฒนา “Learning by Doing” (การ
เรียนรโู้ ดยการกระทา) ความสาเรจ็ ย่อมเกดิ ข้นึ อยา่ งแน่นอน
47
ทักษะการส่อื สารดว้ ยการพูด
ในท่ีนีไ้ ด้คานึงถึงความจาเป็นในการพัฒนาทักษะการส่ือสารด้วยการพูดของผู้ท่ีจะเป็นครู ซ่ึง
จาเป็นต้อง พูดดี พูดเป็น สื่อสารได้เข้าใจตรงกันระหว่างผู้สอน ผู้เรียน ผู้ร่วมงาน และผู้ปกครอง
เพราะครูเป็นความหวังของชุมชน เป็นคนสาคัญของสังคมรอบๆ สถานศึกษา ดังนั้นการพูดในโอกาส
ต่าง ๆ มีความจาเป็นอย่างมากที่ครูควรทาได้ และสามารถทาได้ดี จึงสมควรทาความเข้าใจ
รายละเอยี ดของการพดู ในโอกาสตา่ งๆ
1. ประเภทของการพดู ในโอกาสต่าง ๆ
ฉัตรา บุนนาค สุวรรณี อุดมผล และวรรณี พุทธเจรญิ ทอง (2522: 290-291) ได้แบ่งการพูด
ในโอกาสต่างๆ เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) การพูดโดยกะทันหัน 2) การพูดโดยเตรียมมาก่อน และ 3)
การอ่านจากตน้ ฉบบั ที่เตรียมไว้ สรปุ ไดด้ ังนี้
1. การพูดโดยกะทันหัน เป็นการพูดที่ผู้พูดมิได้รู้ตัวล่าวงหน้านานนัก ส่วนมากมักจะได้รับ
การบอกกล่าวว่าจะเชญิ ให้พูดก็ตอ่ เม่ืออยู่ในงานน้ันๆ แล้ว หรอื ก่อนหน้าที่จะพูดไมม่ ากนัก เชน่ การ
กล่าวคาอวยพร การกล่าวต้อนรับ การให้โอวาท เป็นต้น ข้อแนะนาสาหรับผู้ที่จะต้องพูดโดยมิได้รู้ตัว
ลว่ งหน้า คือ
1.1 พยายามระงับความตื่นเต้น ต้องคุมสติให้ดี อย่ากังวลเกี่ยวกับตนเอง พยายาม
สร้างความมนั่ ใจใหต้ นเองว่า จะตอ้ งสามารถพดู ได้ดี
1.2. เตรียมนึกถึงเนื้อหาท่ีจะพูด โดยคิดว่า จะพูดในฐานะอะไร พูดในโอกาสอะไร
สภาพงานในขณะนั้นเป็นอย่างไร มีอะไรจะนามากล่าวถึงได้บ้างหรือไม่ ผู้พูดก่อนหน้าเราได้พูดอะไร
ไปบ้างแล้ว มีแง่มุมใดท่ีเราจะหยิบยกมากล่าวถึงได้อีก พยายามนึกถึงประสบการณ์ที่ได้พบมาว่าใน
โอกาสต่างๆ เหล่านี้เราเคยได้ฟังผู้อื่นพูดวา่ อย่างไรไว้บ้าง พยายามนึกถึงคาคมทจ่ี ะหยบิ ยกมาพูด เมื่อ
ได้ลู่ทางท่ีจะพูดแล้ว ส่ิงท่ีควรนึกไว้ล่วงหน้าคือ จะข้ึนต้นอย่างไรจึงจะเรียกความสนใจจากผู้ฟังได้ดี
และจะสรุปอย่างไรจึงจะประทับใจผู้ฟัง สิ่งท่ีควรระลึกไวเ้ สมอก็คือ อยา่ พูดยาวเกินไป พยายามพดู ให้
สน้ั กระชับได้ความครบตามต้องการ แต่มุ่งไปในทางท่ีแสดงคารมคมคายและความรู้สกึ ซ่ึงเฉียบแหลม
ทางดา้ นความคิดจะดีกวา่
1.3. เมอื่ จะลุกไปพูด พยายามระงบั ความประหม่าให้ได้อาจจะหายใจลึก ๆ 2-3 ครั้ง
ทาท่าสงบ แต่อย่าแสดงอาการลังเลหรือไม่เต็มใจ ขณะพูดอย่าพูดเร็วเกินไป ควรคิดไปพูดไปและมี
การเนน้ หรอื เวน้ จงั หวะให้ดตี ามหลักท่วั ไปของการพูด
2. พดู โดยเตรียมมาก่อนเป็นการพูดท่ีผู้พูดทราบล่วงหนา้ วา่ จะพูดในโอกาสไหน พูดใหใ้ ครฟัง
ดังนั้นผู้พูดมีโอกาสที่จะเตรียมตัวได้เต็มที่ กรณีน้ีควรปฏิบัตติ ามหลกั การเตรยี มตัวสาหรบั พูด ในเรื่อง
การเตรียมตัวก่อนเขยี นและพูด พยายามฝึกซ้อมให้ดี เมื่อถงึ เวลาพูดพยายามทาความเข้าใจและจดจา
ส่ิงท่ีจะพูดให้ได้เพ่ือพูดได้คล่องและถ้าไม่จาเป็นก็ไม่ควรนาต้นฉบับไปด้วย เช่น การกล่าวสุนทรพจน์
เปน็ ต้น
3. การอ่านจากต้นฉบับที่เตรียมไว้เป็นการพูดท่ีมีการเตรียมร่างข้อความท่ีจะพูดไว้ทั้งหมด
และนาข้อความน้ันไปอ่านแทนการพูด มักใช้ในกรณีท่ีต้องรักษาเวลาอย่างเคร่งครัด หรือต้องรักษา
ความถูกต้อง เพราะอาจจะเป็นสิ่งท่ีจะมีการนาไปอ้างอิง หรือการพูดท่ีเป็นทางการ เช่น คาปราศรัย
ของบุคคลสาคัญเป็นต้น การพูดประเภทนี้บางครั้งผู้พูดก็อาจจะเป็นผู้ร่างข้อความที่จะอ่าน แต่
48
บ่อยครั้งท่ีผู้พูดจะมิใช่ผู้ร่างข้อความในต้นฉบับเอง ดังน้ันไม่ว่าผู้พูดจะร่างข้อความเองหรือไม่ก็ตาม
ควรมีการฝึกซ้อม เพื่อให้สามารถเน้น เว้นจังหวะ ทาเสียงสูงต่าได้อย่างถูกต้อง และสามารถอ่านได้
อย่างคล่องแคล่ว ถ้าเป็นไปได้ควรทดลองอ่านออกเสียงด้วย ในขณะที่อ่านต่อหน้าท่ีชุมชนพยายาม
อย่าก้มหน้ามากเกินไปขณะท่ีอา่ น และควรจะมีบางช่วงท่ีพูดข้อความในต้นฉบับโดยไมไ่ ด้อ่าน เพ่ือให้
เวลาประสานสายตากับผู้ฟังบ้าง เมื่อจะข้ึนหน้าใหม่ควรพยายามจาข้อความในตอนท้ายให้ได้ เพื่อจะ
ได้พลิกอ่านหน้าต่อไปได้โดยไม่หยุดชะงัก การจบั ต้นฉบับควรทาอย่างสบาย ๆ และบางครั้งอาจจะใช้
มือทาท่าประกอบใหเ้ ข้ากับเนื้อหาไดบ้ ้าง
วิรัช ลภริ ัตนกุล (2543: 194-198) แบง่ การพดู ในโอกาสตา่ งๆ เป็นประเภทสาคญั ๆ ดงั นี้
1. การพูดกล่าวคาแนะนา (Speeches of Introduction) การพูดกล่าวคาแนะนา ส่วนมาก
มกั จะเป็นการกล่าวคาแนะนาบุคคลและกลุม่ บคุ คลตัวอย่าง ท่ีเห็นได้ชดั เจนท่ีสดุ ในชีวติ ประจาวนั ของ
เราคือ การกล่าวคาแนะนาวิทยากรหรือ ผู้บรรยายพิเศษ และคณะผู้อภิปราย ซ่ึงผู้ท่ีจะทาหน้าที่ใน
การแนะนากค็ ือผู้ที่เป็นพิธีกร (M.C.) หรือผู้ดาเนินการอภิปราย (Moderator) รวมทั้งบุคคลอ่ืนที่อาจ
สามารถทาหนา้ ที่น้ีได้ เช่น อาจารย์ผู้สอนในวิชาใดวิชาหนึ่ง เชิญผู้บรรยายพิเศษมาจากหน่วยงานอื่น
เพ่ือมาบรรยายเสริมความรู้และประสบการณ์แก่นักศึกษา อาจารย์ผู้นั้นก็อาจทาหน้าที่เป็นผู้พูด
แนะนาบรรยายพิเศษ หรือในกรณีท่ีนักศึกษาจัดกิจกรรมพิเศษขึ้นท่ีสถาบัน และเชิญวิทยากรจาก
ภายนอกมาพูดให้ความรู้แกผ่ ู้ฟังในหอประชุม นักศึกษาก็สามารถทาหน้าที่พูดแนะนาวิทยากรให้ผู้ฟัง
ร้จู ักเป็นต้น
จุดมุง่ หมายของการพดู และกลา่ วแนะนา
การพูดกล่าวคาแนะนานี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างความสนใจเบื้องต้นแก่ผู้ฟังและให้ผู้ฟังได้
ทราบรายละเอียดต่าง ๆ ว่าผู้พูดเป็นใคร มาจากไหน เช่ียวชาญทางด้านใด ฯลฯ เพ่ือกระตุ้นให้ผู้ฟัง
เกิดความสนใจตัวผู้พูดเป็นลาดับแรก หน้าท่ีของผู้กล่าวคาแนะนาและวิธีการแนะนา ผู้กล่าว
คาแนะนาจะต้องกล่าวคาแนะนาให้ผู้ฟังทราบว่า ผู้พูดคือใคร มีตาแหน่งอะไร มีความรู้ประสบการณ์
มากน้อยเพียงไร มีความสาคัญเกี่ยวกับเรื่องที่พูดอย่างไรบ้าง ฯลฯ เป็นต้น การกล่าวคาแนะนาผู้พูด
เช่น แนะนาวิทยากรและผู้อภิปราย ผู้กล่าว คาแนะนาพึงระลึกไว้เสมอว่าตนมีหน้าท่ีเพียงกล่าว
แนะนาให้ผู้ฟังรู้จักวิทยากรเท่านั้น การพูดแนะนาจึงควรแนะนาอย่างสั้น ๆ กะทัดรัดพอเป็นสังเขป
พิธีกรหรือผู้กล่าวแนะนาบางคนพูดแนะนาราวกบั วา่ ตนเองเป็นวทิ ยากรหรือผู้อภิปราย ทาให้ผู้ฟังเกิด
ความเบ่ือหน่ายและราคาญ เพราะผู้ฟังต้ังใจมาฟังวิทยากรและผู้อภิปรายพูด แต่มิได้ตั้งใจมาฟังพิธีกร
พูดแทนผู้อภิปราย อนึ่งข้อบกพร่องที่พบเห็นอยู่เสมอก็คือ ผู้กล่าวคาแนะนาบางคนแนะนา
ผู้อภิปราย โดยบรรยายถึงความสนิทสนมส่วนตัวที่ตนมีอยู่กับผู้อภิปราย พร้อมกับเร่ืองราวส่วนตัว
อย่างที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องท่ีจะอภิปรายยืดยาว ผู้กล่าวคาแนะนาบางคนก็แนะนาผู้อภิปรายโดยนาเอา
เร่ืองส่วนตวั ทไ่ี ม่น่าเปดิ เผยของผู้อภิปรายมาแนะนาให้ผ้ฟู ังฟัง เพื่อแสดงให้ผู้ฟังเหน็ วา่ ตนมีความสนิท
สนมกับผู้อภิปรายมากสามารถหยอกล้ออย่างรุนแรงได้ ซึ่งเป็นการกระทาที่ไม่ควร แม้ผู้กล่าว
คาแนะนาจะเป็นเพื่อนสนิทกับผู้อภิปรายขนาดใดก็ตาม แต่ในท่ีสาธารณะเช่นนั้นผู้กล่าวคาแนะนา
ควรรู้จักกาลเทศะและความเหมาะสม การแนะนาเช่นน้ันอาจจะทาให้ผู้อภิปรายอับอายแกผ่ ู้ฟัง หรือ
บางครั้งกอ็ าจจะสร้างความไม่พอใจให้แกผ่ ู้อภิปรายได้ เพราะถอื ว่าเป็นการไม่ให้เกยี รติกันและไมร่ ู้จัก
หนา้ ที่ของตัวเอง ฉะน้นั ผกู้ ลา่ วคาแนะนานา่ จะตอ้ งระมดั ระวังในข้อนีใ้ หด้ ดี ้วย
49
นอกจากน้ี ผู้กล่าวคาแนะนาบางคนแนะนาผู้อภิปรายโดยกล่าวถึงประวัติผู้อภิปรายอย่าง
ละเอียดคล้ายวิชาประวตั ิศาสตร์ วิธกี ารเช่นน้ที าใหเ้ สียเวลาเกินความจาเป็นและสร้างความราคาญแก่
ผู้ฟัง จึงใคร่จะย้าไว้อีกครั้งว่า ผู้กล่าวคาแนะนาจะต้องรู้หน้าท่ีของตนเป็นอย่างดีนั่นคือ ผู้กล่าว
คาแนะนาทาหน้าท่ีแนะนาผ้ฟู ังเพื่อให้เกิดความสนใจในตวั ผู้พดู รวมทั้งเรื่องท่ีพูดและทาหน้าที่ในการ
กระตนุ้ ผู้ฟังให้เกิดความเล่ือมใสศรทั ธาในตวั ผูพ้ ดู เพ่ือผฟู้ ังจะไดเ้ ชอ่ื ถอื และปฏิบตั ติ ามในสิง่ ท่ผี ู้พูดพูด
2. การพูดเพื่อมารยาทอันดี (Speeches of Courtesy) การพูดเพ่ือมารยาทที่ดี เป็นการพูด
เนอ่ื งในวาระและโอกาสพิเศษอกี ประการหนึ่ง ซ่ึงแบ่งออกเป็น
2.1 การกลา่ วตอ้ นรับแขกผ้มู เี กยี รติทีม่ าเย่ียมเยยี น (Welcoming Visitors) ในวาระ
หรือโอกาสที่มีแขกผู้มีเกียรติมาเย่ียมเยียนหน่วยงานของเราย่อมต้องมีการกล่าวต้อนรับซ่ึงส่วนมาก
มักจะทาเป็นพิธีการ โดยปกติผู้ท่ีจะทาหน้าท่ีกล่าวต้อนรับคือ ผู้บริหารของหน่วยงาน เช่น ถ้าเป็น
หน่วยงานภาคเอกชน ผู้ท่ีจะกล่าวต้อนรับคือ ประธานกรรมการบริษัทหรือรองประธานบริษัท ถ้าเป็น
หน่วยงานราชการระดับกรมได้แก่ อธิบดี ถ้าเป็นสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ได้แก่
อธิการบดี ถ้าเป็นหน่วยงานระดับมหาวิทยาลัย ได้แก่ คณบดี เป็นต้น อย่างไรก็ตามในบางกรณี
ผู้บริหารของหน่วยงานอาจมอบหมายให้ผู้ใดผู้หน่ึงกล่าวต้อนรับแทนก็ได้ เช่น มอบหมายให้
ผ้อู านวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ หรอื นกั ประชาสมั พันธ์ของหน่วยงานเปน็ ผ้กู ลา่ วต้อนรับ
2.2 การกล่าวตอบรับการต้อนรับ (Responding to a Welcome) เป็นการกล่าว
ตอบ แสดงความขอบคุณและความประทับใจซาบซ้ึงต่างๆ ที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น การกล่าว
ตอบการต้อนรับน้ีอาจใช้วิธีพูดปากเปล่าฉับพลัน (Impromptu Speech) หรืออาจกล่าวตอบโดย
เตรียมการล่วงหน้ามาแล้ว เช่น ใช้วิธีการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ (Reading from Manuscript)
จุดมุ่งหมายของการพูดเพื่อมารยาทอันดีการพูดเพื่อมารยาทท่ีดีมีจุดมุ่งหมายแสดงออกถึงความใส่ใจ
ดว้ ยการสร้างความรสู้ ึกท่ีดแี ละความประทับใจทีด่ ีของท้งั สองฝ่ายคือผู้พูดและผู้ฟงั ฉะน้ันส่งิ ท่ีสาคัญท่ี
ควรคานึงสาหรับการพูดเพ่ือมารยาทท่ีดีก็คือความชื่นชมยินดี ความสุภาพอ่อนโยน ความเป็นมิตร
ไมตรที ดี่ ตี อ่ กันดว้ ยความรสู้ ึกทีจ่ รงิ ใจ
3. การพูดเพื่อสดุดีสรรเสริญ (Speeches of Tribute) การพูดเพื่อสดุดีสรรเสริญ เป็นการ
พดู สดุดยี กยอ่ งสรรเสรญิ ในคุณสมบัติทดี่ เี ด่น หรือความสาเร็จอันยิง่ ใหญข่ องบุคคล ซง่ึ พูดในวาระหรือ
โอกาสมอบรางวัล โล่เกียรติยศ เงินทุน ประกาศนียบัตร หรือในพิธีระลึกคุณงามความดีแห่งบุคคล
เช่น การกลา่ วสดดุ ีบุคคลทไ่ี ด้รับการคดั เลอื กและยกย่องให้เปน็ มารดาดีเด่นหรอื แมต่ ัวอย่าง การกล่าว
สดุดียกย่องผู้ได้รับรางวัลเกียรติยศในฐานะท่ีเป็นพลเมืองดี หรือผู้เสียสละต่อส่วนร่วม การกล่าวสดุดี
ยกย่องผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นบุคคลแห่งปี (Man of the Year) ฯลฯ เป็นต้น โดยมีจุดมุ่งหมายของ
การพูดเพื่อระลึกถึงคุณงามความดี สร้างความซาบซ้ึงประทับใจอาลัยรัก นอกจากน้ีการพูดเพ่ือสดุดี
สรรเสรญิ ยังแบ่งออกเปน็
50
3.1 การกล่าวสดุดีเพอื่ ระลกึ เตือนความทรงจา (Memorial Service) การกล่าวสดุดี
เพ่ือระลกึ เตือนความทรงจามักจะจัดในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ (Ceremonies) ที่เวยี นมาบรรจบ
ครบรอบ เพ่ือเป็นอนุสรณ์ในการระลึกถึงคุณงามความดีของบุคคลท่ีมีชื่อเสียง สร้างสรรค์ประโยชน์
และเสียสละต่อส่วนร่วม ซึ่งบุคคลเหล่านี้ได้ล่วงลับไปแล้ว แต่ช่ือเสียงและคุณงามความดียังคงจารึก
อยู่ในความทรงจาของประชาชนตลอดไป เช่น พิธีสดุดีวีรกรรมของนักรบในอดีตที่พลีชีพเพื่อชาติ
ฯลฯ เปน็ ตน้
3.2 คากล่าวในการมอบอุทิศ (Dedications) คากล่าวในการมอบอุทิศใช้พูดเนื่องใน
วาระพิเศษต่าง ๆ เช่น การเปิดตึกอาคารใหม่ อนุสาวรีย์ สวนสาธารณะ ฯลฯ ซ่ึงสร้างข้ึนเป็นเกียรติ
หรือเป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจาและราลึกถึงของบุคคลและกลุ่มบุคคล ฉะนั้นในการทาพิธีเปิด
สงิ่ ก่อสร้างเหล่านี้ เช่น อนุสาวรีย์ ก็จะมีการกล่าวมอบอุทิศและสดุดเี กียรติคุณของบุคคลเหล่าน้ี เช่น
การกลา่ วสดุดีเน่อื งในโอกาสเปดิ อนสุ าวรยี ์บคุ คลสาคัญ เปน็ ต้น
3.3 คากล่าวในการอาลา (Farewells) คากล่าวในการอาลา เป็นคากล่าวในวาระ
พิเศษเนื่องในโอกาสท่ีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลพ้นจากตาแหน่ง หรือจะต้องย้ายหรือจากสถานท่ีแห่งใด
แหง่ หน่งึ เชน่ ขา้ ราชการทรี่ บั ราชการมาจนอายคุ รบเกษยี ณ พนักงานอาวุโสของบริษทั ท่ีทางานมาจน
เกษียณอายุ นิสิต/นักศึกษาสาเร็จการศึกษาจากสถาบัน คณะกรรมการชุดเดิมที่พ้นวาระตามกาหนด
เพื่อนร่วมงานท่ีย้ายงานไปหน่วยอื่น ฯลฯ ในกรณีเหล่าน้ีอาจมีการจัดเล้ียงอาลา (Farewell Party)
เช่น จัดเลี้ยงอาลาให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ซ่ึงได้รับคาส่ังย้ายไปอยู่จังหวัดอ่ืน ประชาชนอาลัยรักผู้ว่าฯ
มาก การจัดเล้ียงอาลาชวี ิตราชการเพ่ือเป็นเกียรติแก่ข้าราชการท่ีอายุครบเกษียณ ประธานในการจัด
งานก็จะข้นึ กล่าวคาสดุดีถึงคุณงามความดีและคาอาลา หรือตัวอย่างอ่ืน ๆ เชน่ การจัดเล้ียงอาลาชีวิต
ราชการเพ่ือเป็นเกียรติแก่ข้าราชการผู้นั้น และแสดงความรู้สึกอาลัยที่ต้องจากไปเพราะอายุครบ
เกษยี ณ เมื่อกลา่ วเสรจ็ ขา้ ราชการผ้นู ้ันก็จะขน้ึ กลา่ วตอบอาลาเพ่ือนร่วมงานและหน่วยงานที่ตนเคยอยู่
ด้วยความอาลยั
4. การพูดเพื่อเพิ่มพูนความปรารถนาดี (Speeches for Good Will) ในปัจจุบันการพูดเพื่อ
เพ่ิมพูนความปรารถนาดี มีบทบาทสาคัญมากในวงการต่าง ๆ ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการ
ดาเนินงานประชาสมั พนั ธ์ (Public Relations) ขององค์การตา่ ง ๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ซึ่งใชใ้ น
การพูดเพื่อเพ่ิมพูนความปรารถนาดีเป็นส่ือในการสร้างความสัมพันธ์กับประชาชน เพ่ือให้ประชาชน
เกิดความนิยมและสนับสนุนองค์การ การพูดเพ่ือเพ่ิมพูนความปรารถนาดีมักจะใช้ในวาระและโอกาส
ต่าง ๆ เช่น การจัดการประชุมและพบปะร่วมกัน การจัดโครงการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ การจัด
นิทรรศการ การแสดงและกิจกรรมเพ่ือชุมชนในวาระเช่นนี้จะเป็นโอกาสอันดีสาหรับองค์การ
หน่วยงานต่าง ๆ ท่ีจะประชาสัมพนั ธ์ใหป้ ระชาชนทราบถึง การดาเนนิ งาน กจิ กรรมและผลงานตา่ ง ๆ
ดว้ ยวธิ ีเผยแพร่ผ่านส่ือต่าง ๆ รวมท้ังวิธีการพูดเพื่อเพ่ิมพูดความปรารถนาดี การพดู เพ่ือเพ่ิมพูนความ
ปรารถนาดีเป็นการพูดท่ีต้องอาศัยความสุภาพอ่อนน้อมและความจริงเป็นสาคัญ ควรหลีกเล่ียงการ
พูดโอ้อวดเกินความจริงหรือการยกตนข่มท่าน ทั้งนี้เพราะการพูดท่ีแสดงถึงความปรารถนาดีเพ่ือ
เพม่ิ พูนความปรารถนาดี การสรา้ งความนิยมและสนบั สนุนจากกลุ่มผูฟ้ ัง
51
กล่าวโดยสรุป การพูดในโอกาสต่าง ๆ แบ่งตามโอกาสได้ 3 ประเภท คือ 1) การพูดโดย
กะทันหัน 2) การพูดโดยเตรียมมาก่อน 3) การอ่านจากต้นฉบับท่ีเตรียมไว้ ท้ังนี้เม่ือแยกประเภทตาม
การใช้ในแต่ละโอกาสได้ 4 ประเภท คือ 1) การพูดกล่าวคาแนะนา 2) การพูดเพื่อมารยาทอันดี
3) การพูดเพ่ือสดดุ ีสรรเสริญ และ 4) การพูดเพอ่ื เพ่ิมพูนความปรารถนาดี ดงั น้นั การพูดจะสัมฤทธิ์ผล
เพยี งใด ผพู้ ูดควรหมนั่ ฝกึ ฝนตามกาลเทศะและโอกาสทเี่ หมาะสม
2. หลักการพดู ในโอกาสต่าง ๆ
วิจติ ร อาวะกลุ (2527: 43) อธบิ ายหลักการพูดในโอกาสตา่ งๆ ของสังคมไว้ ดังนี้
1. การใช้คาพูดแต่ละครั้งต้องมีการเลือกใช้อย่างมีเหตุผล ถูกต้องเหมาะสมและ
สอดคล้องต่อภาวะ เวลา บคุ คล นโยบาย วัตถุประสงค์ กฎหมาย ขนบธรรมเนียม ประเพณีค่านิยม กระแส
ประชามติ ความหมายของถ้อยคา ข้อความ การใช้ถ้อยคาให้เกิดผลตามที่คาดไว้ต้องการให้เป็น
คาพูดท่ีคมคาย ประทับใจ ฯลฯ คาทใี่ ช้จงึ ต้องพจิ ารณาประเภท ชนิด ลักษณะ น้าหนกั ของคาท่ีใช้
2. การใช้ความคิดไตร่ตรองถึงความถูกต้องเหมาะสม สอดคล้องต่อภาวะ เวลา
บุคคล นโยบาย วัตถุประสงค์ กฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณี ค่านิยม ฯลฯ คิดอย่างมีหลักเกณฑ์
แบบแผน เงื่อนไข มิใช่คิดพูดอย่างเล่ือนลอย ไม่พูดพล่อย ๆ ไม่คิดสรุปเอาง่าย ๆ ไม่เชื่ออย่างงมงาย
ไมม่ ักงา่ ยในการพดู รอบคอบ ระมัดระวังคาพูดท่อี าจจะเกิดการหมน่ิ ประมาทต่อผอู้ ื่นดว้ ย
3. การใช้ศิลปะ ลีลาแห่งภาษา หมายถึง การใช้ภาษาจากความหมาย ความนุ่มนวล
ความรุนแรง ความหนักแน่น การเลือกสรรถ้อยคาสานวนรสนิยมของการใช้ภาษาให้มีหลายนัย
ประโยคความหมายสลับซับซ้อน ต้องการให้เข้าใจง่ายหรือยาก การให้แปลความหมายในระยะต่าง ๆ
กันการพิจารณาความหมาย
4. การฝึกฝนการใช้ภาษาอย่างมเี หตุผล การฝึกฝนใหเ้ กิดสติปญั ญาแตกฉาน การหา
เหตุผลตัวอย่างสนับสนุนคาพูด การพิสูจน์ให้เห็นจริง การตัดสินใจว่าควรพูดหรือไม่ควรพูด ถูกต้อง
หรือผิด ฝกึ ฝนการพูดและคดิ แต่ในสิง่ ทีเ่ ปน็ เหตุผลเป็นประโยชน์
วรี ะ ไทยพานชิ (2535: 51-59) ได้กลา่ วถึง หลักสาคัญของการพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ ไวด้ ังน้ี
1. ต้องเป็นการพูดส้ันๆ การพูดส้ันๆ นี้จะให้ผลได้ครบสมบูรณ์ก็เหมือนกับการพูดยาว ๆ แต่
พูดยากกว่าก็ตรงท่ีว่าจะต้องเตรียมโครงเรื่องเป็นอย่างดี เพ่ือให้จบในเวลาที่กาหนดการเตรียมโครง
เร่ืองน้ันเป็นการจัดกระบวนการความคิดที่เป็นลูกโซ่ต่อเน่ือง ผู้พูดเองก็จาได้ง่ายผู้ฟังก็เข้าใจง่ายข้ึน
เพราะเป็นความคิดต่อเน่ืองท่ีประมวลไว้แล้ว ทาให้แบ่งเวลาได้ถูกคือ ไม่เอ้อไม่อ้า ไม่ต้องหยุดคิดนาน
และไมว่ กวน
2. เน้นความเชื่อร่วม การที่จะเร่งเร้าให้เกิดความสนใจในการพูดโอกาสต่างๆ ต้องเน้นความ
เช่ือรว่ มเป็นสาคญั การที่จะก่อให้เกิดความเชื่อร่วมนม้ี หี ลัก 3 ข้อ คือ
2.1 เขาทาอะไรอยู่ พูดเรื่องท่เี ขาทา
2.2 เขารู้สึกอะไร พดู เรอ่ื งทีเ่ ขารูส้ กึ
2.3 เขามคี วามภูมิใจอะไร พดู ถงึ ความภมู ใิ จนัน้
ขอเน้นว่าการพูดทุกชนิดอย่าโกหกเป็นอันขาด ฉะนั้น เขาทาอะไรอยู่พูดเร่ืองที่เขาทาเขา
ภูมิใจอะไรเราพูดถึงความภูมิใจน้ัน ไม่ได้โกหกจริงอยู่ปกติแล้ว ผู้ฟังน้ันชอบคายออยู่เหมือนกันแต่ไม่
ชอบถกู ยอหรือแกล้งยอ ดังน้นั ตอ้ งฉลาดพอทจ่ี ะยอคนอยา่ งถูกต้อง
52
ตัวอย่างเช่น ตาคุณเหมือนตาหงส์ คิ้วราชสีห์ จมูกเสือ พอปากคุณปากหมา วิธีที่เขาจะเล่ียง
คือ “ปากคุณบางเฉียบแสดงว่าใจเด็ด คิดอย่างไรก็พูดอย่างน้ันโดยไม่กลัวใคร” แต่ท่ีแท้ก็มี
ความหมายเหมือนเดมิ ทก่ี ลา่ วนเี้ ปน็ ตัวอย่างใหเ้ หน็ วา่ ไมโ่ กหกและไมแ่ กลง้ ยอ
3. ต้องเตรียมพร้อม เราอย่าดูถูกตัวเอง ไปในงานใดก็ตาม โอกาสใดก็ตาม อย่าดูถูกตัวเองว่า
เขาจะไม่เชิญเราพูด โดยเฉพาะในโอกาสข้างหน้าคุณมีมากมาย อาจเป็นในหมู่ญาติมิตร ผู้ร่วมงาน
หรือในชุมชนที่คุณอยู่อาศัย ฉะน้ันเตรียมไว้เลยว่า ถ้าเขาเชิญเราจะพูดอะไร การเตรียมน้ีอาจเตรียม
มาจากท่ีอื่น ๆ หรืออาจเตรียมเดี๋ยวนั้นเลย ได้ยินเขาพูดอะไรกันบ้าง ใครทาอะไรเด่นพิเศษ เขารู้สึก
อยา่ งไรกันนาข้ึนมาใช้เลย ถ้านกึ ไมท่ นั ก็เตรยี มการพดู ในระหวา่ งทเี่ ดนิ จะไปพดู
4. ในโอกาสทาหน้าท่ีแนะนาผู้พูด ไม่ควรแนะนาผู้พูดจนเลิศลอยจนขวยเขินหรือเกินความ
จริง ไมค่ วรแนะนาผู้พูดว่าเป็นผู้มีความสามารถมากท่ีสุด และไม่มีผใู้ ดท่ีมีความสามารถในด้านนี้เกินผู้
พดู ดังนนั้ จึงไม่ควรแนะนาความสามารถเชิงการพูดของผู้พูด
จินดา งามสุทธิ (2531: 108-109) ได้แนะแนวทางและหลักการของการพูดในโอกาสต่าง ๆ
ไว้ดงั น้ี
1. การกล่าวแนะนาผู้พดู ในการเชิญผู้อนื่ มาพูด เชน่ ปาฐกถา อภิปราย โต้วาที ฯลฯ เราอาจ
ต้องอยู่ในฐานะที่ต้องแนะนาผู้พูดให้ผู้ฟังได้รู้จัก เช่น เราอาจเป็นโฆษก เป็นประธานโต้วาที ฯลฯ เรา
ควรทาหนา้ ทีข่ องเราได้ การแนะนาผ้พู ดู มหี ลักดังนี้
1.1 พยายามพดู ให้สนั้ ที่สุด บรรยากาศควรเปน็ กันเองพอสมควร
1.2 ข้อความทจ่ี ะพดู มีดังน้ี
1.2.1 หวั ขอ้ เรอื่ งท่จี ะพูดในขณะน้ัน
1.2.2 โอกาสทจี่ ะพดู ในวันนน้ั
1.2.3 แนะนาผู้พูด ส่ิงท่ีควรพูดถึงก็คือ ชื่อ สกุล คุณวุฒิการศึกษา
ความสามารถพิเศษ ตาแหน่งการงานท้ังในปัจจุบันและอดีต (ถ้ามี) แต่ต้องไม่เอ่ยเร่ืองส่วนตัว เช่น
รา่ รวย มลี กู แล้ว ฯลฯ
1.3 สิ่งท่ไี ม่ควรทาในการกลา่ วแนะนาผู้พูด
1.3.1 อย่ายกยอผพู้ ดู จนเกนิ จริงจนผู้พดู ประหม่าหรือกระดาก
1.3.2 อย่าเอาตวั เองเข้าไปเกี่ยวข้อง
1.3.3 อยา่ ใชท้ า่ ทางประกอบการพดู ใหม้ ากนกั
1.3.4 อย่าพูดถงึ สิง่ ท่เี ราไมร่ ู้แน่นอนเกี่ยวกบั ตัวผพู้ ูดใหล้ ะเลยไปเสีย
1.3.5 อย่าพดู ให้นานเกินไป ไม่ควรเกิน 5 นาที
2. การกล่าวขอบคุณผู้พูด เม่ือผู้พูดพูดจบแล้ว เราจึงเป็นผู้กล่าวเชิญให้พูดจะต้องกล่าวสรุป
และขอบคุณ การสรุปควรสรุปให้เห็นถึงประโยชนท์ ่ีไดร้ ับอย่างส้นั ท่ีสดุ และกลา่ วขอบคุณ
3. การกล่าวมอบของขวัญหรือรางวัล การพูดแบบนี้กาหนดไม่ได้ว่าเป็นพิธีการเพียงใด
เพราะข้ึนอยู่กบั โอกาสและสภาพ ของงาน หลกั กวา้ งๆ.ทค่ี วรยึดถอื คือ
3.1 พูดให้สน้ั ไมค่ วรเกนิ 5 นาที
3.2 แสดงความจริงใจ อันแสดงได้ด้วยการแสดงท่าทางและคาพูดซึ่งต้องเตรียมมา
ใหด้ ี อาจใช้วิธอี า่ นจากต้นร่าง หรือเตรยี มมาพดู กไ็ ด้
53
3.3 คากล่าวควรสรรเสริญผไู้ ด้รับรางวัล แต่ไมค่ วรยกยอให้เกินจริงหรือพูดให้ผู้ไมไ่ ด้
รบั รางวัลหรอื ผอู้ ่นื เสียใจ
3.4 การพูดไม่ควรเน้นถึงของขวัญหรือรางวัล ควรพูดถึงความหมายของการให้
มากกว่า
3.5 วิธีมอบของขวญั ควรเปน็ ดงั นี้
3.5.1 ให้ผู้รบั ไดเ้ ห็นของอย่างชัดเจน โดยผพู้ ดู อย่ายืนบัง
3.5.2 แขกในพิธไี ดเ้ หน็ ของอย่างชดั เจน โดยผู้พูดส่งของใหผ้ รู้ บั ในทางเฉยี ง
3.5.3 ถ้าของเป็นเหรยี ญตรา เข็มกลดั ฯลฯ ผ้ใู ห้ควรประดบั ใหด้ ้วย
4. การกล่าวต้อนรับของขวัญหรือรางวัล ในบางคร้ังผู้รับของขวัญอาจจะต้องกล่าวตอบ แต่
อาจจะไม่มกี ไ็ ดถ้ า้ มกี ารกลา่ วตอบ ผูร้ บั จะต้องไดร้ บั ทราบลว่ งหนา้ เกณฑ์ในการกลา่ วตอบ มีดังนี้
4.1 พดู สั้น ไม่ควรยาวกว่าคากลา่ วของผ้มู อบ
4.2 ภาษาทใ่ี ชเ้ ปน็ พธิ ีรีตองนอ้ ยกว่าคากล่าวมอบเล็กน้อย
4.3 ข้อความที่จะพดู ควรเป็นดงั นี้
4.3.1 แสดงความยินดีอย่างจริงใจ แสดงความขอบคุณ แต่อย่าแสดง
การดีใจจนออกหนา้ และอย่าพดู ถึงของนน้ั
4.3.2 แสดงว่าเราเป็นผู้เหมาะสมแก่ของขวัญน้ัน โดยไม่ออกตัวทานองท่ี
เราไมเ่ หมาะสมทจ่ี ะไดร้ บั รางวลั แต่กต็ อ้ งแสดงอาการถอ่ มตน
4.3.3 ถ้าเราเป็นตวั แทนของกลุ่ม เราต้องกล่าวถงึ ผ้รู ว่ มงานของเราดว้ ย
4.3.4 การถือของกลับ ตอ้ งเป็นไปอยา่ งเชิดชู
5. การกล่าวตอ้ นรับ
โอกาสในการกล่าวต้อนรับคือ เม่ือมีผู้มาเย่ียมเยียน ลักษณะการพูดอาจเป็นแบบง่ายที่สุด
จนถึงพธิ ีมากที่สุด มหี ลักการพดู กวา้ งๆ.คอื
5.1 พดู ใหส้ ้นั ๆ ไมค่ วรเกนิ 15 นาที
5.2 ใชภ้ าษาสภุ าพเรียบๆ.แตแ่ สดงความยินดตี อ้ นรบั อย่างจริงใจ
5.3 ให้ความรูเ้ กีย่ วกบั สถาบนั ของเราแก่ผ้มู าเยือน ถ้ามีเอกสารแจกก็จะดี
5.4 ร้เู รือ่ งเกี่ยวกบั ประวตั ิและงานของผมู้ าเยอื น เพ่ือจะได้พดู ยกย่องสถาบนั ของเขา
5.5 ควรพูดถึงความร่วมมอื ระหวา่ งสถาบนั ทง้ั สองทงั้ ในอดีตปจั จุบนั และอนาคต
6. การกล่าวตอบขอบคณุ การตอ้ นรับ
การกล่าวนอี้ าจจะมีหรือไม่มีก็ได้ บางทีเราอาจต้องพูดโดยไม่ทนั รู้ตัวจึงควรเตรยี มไวบ้ ้าง การ
พูดเปน็ ทานองเดยี วกันกบั การกล่าวต้อนรับ คือ
6.1 กลา่ วขอบคุณ
6.2 เปรียบเทียบและกลา่ วถึงสถาบนั ท้งั สองในด้านความสมั พันธอ์ ันดี
7. การพูดในโอกาสเข้ารับตาแหน่งใหม่ เม่ือเราเข้ารับตาแหน่งใหม่ในฐานะผู้บริหารหรือ
หัวหน้า เราต้องหาโอกาสแสดงตัวต่อผู้บังคับบัญชา ให้เห็นว่าเราเป็นผู้มีความสามารถมีบุคลิกภาพ
น่าเชื่อถือ การพูดในโอกาสน้ีจะต้องทาทันทีภายในสิบวันแรกที่เข้ารับตาแหน่ง ข้อความที่จะพูดควร
เปน็ ดังน้ี
54
7.1 แสดงความยนิ ดีที่ได้รบั เกยี รตมิ าทางานในตาแหนง่ นัน้ รว่ มกับผ้ใู ตบ้ ังคบั บญั ชา
7.2 แสดงให้เห็นว่าเรารู้ในงานน้นั ๆ.ดี โดยพดู ถึงความสาคญั ของสถาบันนัน้ ๆ.
7.3 พดู ถงึ หลกั การและอุดมคตขิ องสถาบนั นัน้ ท่ีเคยมี ท่ีมอี ยู่
สรุป การพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ดังนั้นผู้พูดจะพูดได้ดี พูดได้น่าฟังและถูกใจผู้ฟัง ผู้พูด
จะต้องมีการเตรียมพร้อม ท้ังการเตรียมตัว (ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ) เตรียมเร่ืองท่ีจะพูด เตรียมสื่อ
อุปกรณ์และควรศึกษาข้อมูลทั่วไปของผู้ฟัง สถานที่และบริบทแวดล้อม มีการฝึกซ้อมพูดเพื่อเพ่ิม
ความเช่ือม่ันให้กับตัวเอง เม่ือถึงเวลาพูดจะสามารถพูดด้วยความม่ันใจและประสบความสาเร็จตาม
ความม่งุ หมายท่ีตง้ั ไว้
ตัวอยา่ งทักษะการสื่อสารการพูด
ตัวอย่างท่ี 1 บทสนุ ทรพจน์
บทสนุ ทรพจน์ “เฉลมิ ราชย์ ฉลองทศรัชสมยั ”
ทา่ นประธาน คณะกรรมการ และผู้มเี กยี รติท่เี คารพ
ประเทศชาติ คืออุทยานที่พรั่งพร้อมด้วยแมกไม้เมตตาธรรม งามล้าด้วยสายน้าความรัก
หนักแน่นด้วยภูผาความจริงใจ สดใสด้วยบรรยากาศการเกือกูล ความงดงามเหล่านีไม่ใช่ธรรมชาติ
บันดาลให้มี แต่เป็นสองมือมนุษย์นีท่ีบันดาลให้เป็น และนับเป็นบุญของชี วิตชาวไทยที่มี
พระมหากษัตริย์เป่ียมพระอัจฉริยภาพ ทรงเป็นดั่งสมมติเทพท่ีก่อเกือภารกิจเนรมิตความร่มเย็นเป็น
สขุ แกส่ ่วนรวม
238 ปี ใต้ร่มพระบารมีจักรีวงศ์ ความม่ันคงของชาติเกิดจากจอมราชัน ธ ทรงมุ่งมั่นบ้าบัด
เข็ญบ้าเพญ็ ธรรมบ้ารงุ สขุ ผา่ นพระราชกรณียกจิ ท่ีแสดงให้เห็นถงึ น้าพระราชหฤทัยใสสะอาด ทรงเป็น
ดัง่ รากแกว้ ทีห่ ยง่ั รากฐานคา้ จนุ ต้นไมท้ ี่ชอ่ื ว่าประเทศไทย ให้แตกกอต่อกิง่ เป็นความปกตสิ ขุ
วงล้อแห่งกาลเวลาน้าพาชีวิตชาวไทยมาสู่ใต้ร่มพระบารมีแห่งพระมหากษัตริย์รัชกาลท่ี 10
นับเป็นม่ิงมงคลของแผ่นดิน เม่ือพระองค์เสด็จขึนครองราชย์เป็น “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้า
เจา้ อยู่หัว” เมื่อวนั ที่ 5 พฤษภาคม พทุ ธศักราช 2562 เสียงรอ้ งสง่ ทรงพระเจรญิ กระหม่ึ ก้องกลางห้อง
หัวใจของประชาราษฎร์ตลอดช่วงเวลาในพระราชพิธี และภาพความทรงจ้าเมื่อพระองค์ประทับ ณ
พระราชยานพุดตาลทองเสด็จเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค ตลอดเวลากว่า 7
ช่ัวโมงท่ีประทับในพืนท่ีจ้ากัดนัน แสดงให้เห็นถึงขัตติยะมานะของพระองค์ และเมื่อแย้มพระสรวล
เปรียบเหมือนฟ้าหลั่งน้าทิพย์มาชโลมหัวใจแผ่นดิน เรารู้แล้วว่า “ฟ้าใหม่” ในวันนีทาบทาสีทองท่ัว
ท้องฟ้าไทย
พระราชกรณี ย กิจ พระบ าทส มเด็จ พระเจ้าอยู่ หั วเป็ น ป ระห นึ่ งโองการสวรรค์ที่บั น ด าล
ความสุขสงบสู่แผ่นดิน ด้วยทรงมีพระราชปณิธานที่จะท้าให้ประเทศชาติม่ังคง ทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าโปรดกระหม่อมให้หน่วยงานต่าง ๆ และประชาชนบ้าเพ็ญสาธารณประโยชน์ ผ่านโครงการจิต
อาสา “เราท้าความดี ด้วยหัวใจ” วันนีน้าในคูคลองจึงไร้ส่ิงปฏิกูล ถนนหนทางจึงสะอาด อากาศจึง
ปลอดโปร่ง เพราะจิตอาสาที่ผลักดันให้เป็นรูปธรรม หมวกสีฟ้า ผ้าพันคอสีเหลือง พร้อมบัตร
55
ประชาชนจิตอาสา ที่พร้อมจะเดินตามรอยพระยุคลบาทด้วยการท้าความดีตามศักยภาพท่ีตนเอง
สามารถท้าได้ ถึงจะไม่ได้รับผลลัพธ์แม้แตค่ ้าขอบคุณ หัวใจกต็ ้องตามรอยต่อไปเยยี่ งผู้ปดิ ทองหลังพระ
เมื่อใดท่ีคนในชาติปรากฏพลังจิตอาสาให้กันและกัน ร่วมแก้ปัญหา ก่อจิตส้านึก เพื่อท่ีจะก้าวไป
ข้างหน้า เมื่อนันผลลัพธ์คือความร่มเย็นเป็นสุขร่วมกัน และนี่ก็คือเทิดพระเกียรติในโอกาส “เฉลิม
ราชย์ ฉลองทศรชั สมัย” อย่างแทจ้ รงิ
ในฤดูแลง้ ไม้ต่างๆ จะผลัดใบเปลือยเปล่าเห็นกง่ิ ก้านโกร๋น ในฤดูฝนไม้ทังป่าจะสวมอาภรณ์
ชุดใหม่เป็นสีเขียวขจีทังป่า คนไทยได้ผา่ นฤดูกาลอันโศกเศร้าเสียใจมาแล้ว วันนีเราได้เข้าสู่ฤดูกาลอัน
น่าปลืมปตี ิ ที่มีพระมหากษัตริยพ์ ระองค์ใหม่มาสืบสานพระราชปณิธานพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน
เราชาวไทยจึงแสดงความจงรกั ภักดีแดร่ าชวงศ์จกั รีตลอดไป
บุญของโลกโชคของไทยในวันนี พระบารมีจอมไท้แผ่ไพศาล
เทิดพระเกียรตทิ ศมนิ ทร์ปิ่นดวงมาน สบื สายธารสันตธิ รรมน้าสุข
เดก็ ชายเพิ่มพนู แต่งชาติ นกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนสาธติ
มหาวิทยาลยั ราชภฏั บ้านสมเดจ็ เจา้ พระยา กรงุ เทพมหานคร
ภาพที่ 2.3 การประกวดสุนทรพจน์: เดก็ ชายเพ่มิ พนู แตง่ ชาติ และ นางสาวฐานิตา กลับกระโทก
ที่มา: แมน คลา้ ยสุรรณ (ถ่ายภาพ)
56
ตวั อยา่ งที่ 2 ทกั ษะการพดู ในโอกาสต่างๆ
คากลา่ วอวยพรเนอ่ื งในพิธอี ุปสมบท
ท่านนายอ้าเภอและผู้มีเกียรติท่ีเคารพทุกท่าน ผมในฐานะเจ้าภาพงานพิธีอุปสมบทนาย
สมศักดิ์ ชมพูเพชร บุตรชายคนโตของผม ขอขอบพระคุณท่านนายอ้าเภอและท่านผมู้ ีเกียรติทังหลาย
ท่ีให้เกียรติอันสงู สุดตอ่ ครอบครวั ของผม มาร่วมงานพิธีอุปสมบทในวนั นี ครอบครัวและตระกลู ของผม
จะจดจ้าพระคุณนีตลอดไป ถ้าหากท่านมีกิจการหรืองานใด ๆ กรุณาแจ้งให้ผมทราบด้วย ผมมีความ
เต็มใจและถือเป็นเกียรติท่ีจะไปร่วมงานของทุกท่านด้วย ค้ากล่าวให้โอวาทของท่านนายอ้าเภอเมื่อ
สักครู่นี ท่ีชมเชยครอบครัวผมและให้โอวาทพ่อนาคให้หมั่นศึกษาธรรมะ ในระหว่างอุปสมบทเพื่อให้
คุ้มค่าของการเป็นลูกผู้ชาย ท่ีเกิดมาครังหนึ่งในชาตินีได้เป็นผู้ใฝ่หาธรรมะ เจริญรอยตามองค์
พระศาสดาผู้มีคุณอันประเสริฐของเรา ผมในฐานะบิดาของพ่อนาคขอน้อมรับ และจะพยายามให้พ่อ
นาคไดป้ ระพฤตปิ ฏิบตั ิตามโอวาทที่ทา่ นได้ใหไ้ ว้
ส้าหรับท่านเจ้าอาวาสแห่งวัดนครธรรม ท่านก็มีเมตตาอย่างสูงยิ่ง ผมได้ไปกราบนมัสการ
ท่านขอฝากลูกชายเพื่ออุปสมบท ท่านก็รับด้วยความเต็มใจและให้ค้าแนะน้าท่ีเป็นประโยชน์ต่อพิธี
อุปสมบทในวนั นเี ปน็ อเนกประการ ผมและครอบครัวจะจดจ้าพระคุณของทา่ นตลอดไปเชน่ กนั
ท่านผู้มีเกียรติท่ีเคารพงานพิธีอุปสมบทในวันนี คงจะมีข้อบกพร่องไม่มากก็น้อย ผมขอน้อม
รับ ต้องขออภัย และขอขอบพระคุณท่านอีกครังหนึ่ง ผมขออาราธนาคุณพระ-ศรีรัตนตรัยและสิ่ง
ศักดสิ์ ิทธ์ิท่ที า่ นเคารพนับถอื รวมทังส่วนบุญของท่านทไ่ี ดม้ ารว่ มงานพิธีอุปสมบทในวันนี จงบันดาลให้
ทา่ นและครอบครวั ประสบสุขสมหวงั ตลอดไป
โดย นายไตรรงค์ ชมภเู พชร
ทม่ี า: สเุ มธ แสงนมิ่ นวล และไอศูรย์ ดีรตั น์ (2548: 45-46)
คากล่าวเน่อื งในงานเลย้ี งสง่ ขา้ ราชการย้ายไปรับตาแหนง่ ใหม่
เรียน ท่านปลัดอาวุโส ปลัดอ้าเภอ หัวหน้าส่วนราชการ และข้าราชการอ้าเภอทุกท่าน
นับเป็นโอกาสดีอีกครังหน่ึงพวกเราทุกคนทังอ้าเภอท่ีมาพร้อมเพียงกันท่ีนี่ เพ่ือเลียงส่งคุณสมชาย ไฝ่
เจริญ ปลัดอ้าเภอของเรา ซ่ึงเป็นที่ทราบกันดีว่าท่านจะย้ายไปด้ารงต้าแหน่งหัวหน้าฝ่ายทะเบียน
อา้ เภอเฉลิมพระเกยี รติ ปลดั สมชายได้ทา้ งานอยูก่ ับผม เป็นเวลา 2 ปี ซง่ึ ในระยะเวลาดังกล่าวท่านได้
พิสูจน์ให้เห็นว่า ท่านเป็นเพชรน้าหนึ่งของกรมการปกครอง และของอ้าเภอของเราคนหน่ึงทีเดียว
ท่านท้างานอย่างขยันขันแข็งแก้ปัญหาได้เฉียบขาด และเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ เข้ากับทุกคนได้
เป็นอย่างดี การท่ีท่านสอบได้เล่ือนเป็นระดับ 6 และต้องไปด้ารงตา้ แหน่งท่ีสูงขึนเจรญิ ขึน ย่อมพิสูจน์
ได้ว่าท่านเป็นผู้มีความสามารถขนาดไหน การท่ีท่านต้องย้ายไปนีนับว่าไปเพื่อความก้าวหน้าอย่างย่ิง
เราทุกคนรู้สึกดีใจปลืมใจไปกับท่านที่ได้ย้ายไปสู่ต้าแหน่งท่ีสูงขึน เป็นธรรมดาที่ท่านเป็นที่รักใคร่และ
ได้ท้าประโยชน์แก่อ้าเภอและประชาชนไว้เป็นอย่างมาก พวกเราจึงอดทจ่ี ะเสียดายไม่ได้ แตค่ วามเป็น
ชีวิตนักปกครองไม่อาจท่ีจะยึดหรืออยู่กับท่ีหนึ่งที่ใดได้ จะต้องมีการโยกย้ายเปล่ียนแปลง และมี
โอกาสทจ่ี ะไดย้ า้ ยกลับมารว่ มงานกันอีก
57
ดังนันในโอกาสนี ก็ขอให้ปลัดสมชายประสบความส้าเร็จในชีวิตการงานมีความก้าวหน้า
ยิ่งขึนไป และขอให้ทา่ นเดินทางไปรับตา้ แหน่งใหมโ่ ดยสวสั ดิภาพ
โดย นายอนันต์ชัย ยะสกั
ที่มา: สเุ มธ แสงนมิ่ นวล และไอศรู ย์ ดรี ัตน์ (2548: 84-85)
สรุป การพูดในสถานการณ์ต่าง ๆ ในแต่ละโอกาสนั้น เป็นการแสดงออกของสมาชิก
สังคมน้ัน ๆ มอบความน่าเช่ือถือที่สังคมนั้นมีต่อท่านในแต่ละโอกาส ดังนั้น ท่านควรศึกษาและทา
ความเข้าใจถงึ ประเภทของการพูดในโอกาสตา่ งๆ ทุกสถานการณ์ ทัง้ การพดู โดยกะทนั หนั การพูดโดย
เตรียมมาก่อน และการอ่านจากต้นฉบับท่ีเตรียมไว้ รวมถึงการพูดกล่าวคาแนะนา การพูดเพื่อ
มารยาทอันดี หลักการพูดในโอกาสต่าง ๆ อย่างไรก็ดีควรมีความเข้าใจทักษะการพูดในโอกาสต่าง ๆ
เกี่ยวกับการทรงตัว การใช้สายตา การแสดงสีหน้า การแสดงท่าทาง การออกเสียง การใช้น้าเสียง
การใช้ถ้อยคา การเตรียมบทพูดเก่ียวกับการเตรียมเนื้อเรื่อง การจัดเนื้อเร่ือง และการฝึกพูด ควรมี
การฝึกซ้อมก่อนพูด ฝึกซ้อมในบทบาทสมุมติ ฝึกซ้อมด้วยตนเองและ ฝึกซ้อมในโอกาสต่างๆ ตาม
เนื้อท่ีที่กาหนด และหัวใจของความสัมฤทธิผลในการพูดนั้น คือ ต้องหม่ันฝึกซ้อมพูด มีวินัยและมี
ศรัทธาในตัวเอง เพื่อเพ่ิมความเช่ือมั่นให้แกต่ ัวเองและเม่ือถึงเวลาพดู จะสามารถนาทักษะการส่ือสาร
มาใช้ได้ดี พูดดว้ ยความม่ันใจ
ทักษะการสื่อสารการอ่าน
การอ่านมีความสาคัญต่อการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง เนื่องจากการอ่านหนังสือมี
ความหมายต่อการดาเนินชีวิตเป็นอย่างมาก หากผู้อ่านมีความสามารถทางการอ่านได้ดี และสามารถ
นาความรู้หรือประสบการณ์ที่ได้จากการอ่านมาปรับตนเองให้อยู่ได้อย่างเป็นสุขในสังคมโลกาภิวัตน์
ขณะท่ีทุกประเทศในโลกเป็นหมู่บ้านเดียวกัน (Global Village) มีการติดต่อส่ือสารกันได้ตลอดเวลา
ไร้ขีดจากัดของเวลา หรือพื้นท่ี พรมแดน ด้วยนวัตกรรม (Innovation) ในระบบเครือข่าย (Social
Network) การทางานที่บ้าน (Work from Home) และ สานักงานท่ีบ้าน (Home Office) ด้วย
การติดต่อ ส่ือสารที่รวดเร็วทั้งภาพ แสง สี เสียงคมชัดผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ดังนั้นผู้ที่มีทักษะ
การอ่านดี ย่อมเก็บเกี่ยวข้อมูลได้รวดเร็วและถูกต้อง ทั้งน้ีผู้ท่ีจะมีทักษะการอ่านท่ีดี ควรศึกษาการ
พัฒนาทักษะการอ่าน การอ่านเพื่อการคิดอย่างสร้างสรรค์ การอ่านอย่างมีวิจารณญาณ และมีความ
เปน็ คณุ ลกั ษณะของนกั อา่ นคิดวิเคราะห์ มรี ายละเอียดดงั นี้
1. การพฒั นาทักษะการอ่าน
การอ่านหนังสือทุกประเภทจะบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ท่ีผู้อ่านต้ังไว้เพียงใดนั้น สามารถ
พฒั นาทกั ษะการอ่านใหไ้ ด้ผลดี ด้วยการปฏบิ ัติดงั นี้
1.1 กอ่ นอ่าน ควรเตรยี มความพรอ้ มในด้านตา่ ง ๆ ประกอบดว้ ย
1.1.1 ดา้ นรา่ งกาย ต้องไมม่ อี าการเหนื่อยลา้ อ่อนเพลีย หิว อ่ิมมากเกนิ ไป หรืองว่ งนอน
1.1.2 ด้านจิตใจ ควรมีความใส่ใจ ตั้งใจอ่าน คิดวิเคราะห์สารท่ีอ่าน คิดอย่างเป็นระบบ
มีเหตมุ ผี ล ไม่ปลอ่ ยจติ คดิ ฟุ้งซ่าน
58
1.1.3 จัดส่ิงแวดล้อมเพื่อการอ่าน เช่น มีแสงสว่างเพียงพอ อากาศเย็นสบาย ไม่มีเสียง
รบกวน เปน็ ต้น
1.1.4 เตรียมอุปกรณ์การบันทึก เมื่อต้องการบันทึกข้อมูลไว้ใช้ประโยชน์ หรือ
ป้องกันการลืม ควรเตรียมดินสอ ปากกา สมุด หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โน้ตบุ๊ค เครื่อง
บนั ทกึ เสียง เป็นตน้
1.1.5 เตรยี มสารท่ตี อ้ งการอ่าน ให้ตรงตามวัตถปุ ระสงคท์ ่ตี ้งั ไว้
1.2 ขณะอา่ น
ในการอ่านสารควรมีวตั ถุประสงคใ์ นการอ่าน ซง่ึ ควรต้ังวัตถุประสงค์ไว้ก่อน ท้ังนี้อาจกาหนด
ไว้ในใจ หรอื จดบันทกึ ไวว้ า่ จะอา่ นเรือ่ งอะไร ตอ้ งการรู้หรือเข้าใจอะไร
กรณีที่อ่านในใจ ต้องมีสมาธิในการอ่านควรจับใจความให้ได้ และฝึกการคิดอย่างสร้างสรรค์
เปน็ ระบบ ดังตัวอย่าง
ตัวอย่าง อ่านในใจ จับใจความ “แนวโน้มหนึ่งในปรัชญาของการบริหารภาครัฐจะยึดหลัก
ของธรรมาภิบาล” การปรับตัวเมอ่ื เข้าสู่สังคมไทย สังคมโลกในศตวรรษท่ี 21 คิดอย่าง เป็นระบบเพ่ือ
การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของประชาชนให้มคี วามเสมอภาคและเขา้ ถึงบริการของรฐั อยา่ งทว่ั ถึง
ระดับธรรมาภิบาลของแต่ละประเทศจะมีมากน้อยเพียงใดขึนอยู่กับระบอบการปกครอง
กระบวนการใช้อ้านาจรัฐในการบริหารจัดการพัฒนาทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคม ความชอบ
ธรรมของรัฐบาลความรับผิดชอบของฝ่ายการเมืองและข้าราชการ ความโปร่งใสของระบบบริหาร
ราชการ ความมีอิสระของสื่อกลไกในการตรวจสอบการใช้อ้านาจรัฐ การส่งเสริมสิทธ์ิมนุษย์ชน
การด้าเนินการตามหลักนิตธิ รรมและความสามารถของรัฐในการน้านโยบายสาธารณะไปสู่การปฏิบัติ
ให้บังเกิดผล
ที่มา: วรเดช จันทรศร (2555: 65)
ในกรณีอ่านออกเสียง สารท่ีเป็นร้อยแก้วควรออกเสยี งคาใหถ้ ูกต้องชัดเจนตามหลกั ไวยากรณ์
หากเป็นการอ่านสารท่ีเป็นร้อยกรอง นอกจากการออกเสียงคาอย่างถูกต้องแล้ว ควรศึกษา
ฉันทลักษณ์ของคาประพันธ์ เพ่ือการอ่านที่ถูกต้อง และการถอดคาประพันธ์ การตีความได้ถูกต้อง
ดังตวั อยา่ ง
ตัวอย่าง อ่านคาประพันธ์ กลอนสุภาพ “รู้จักฉันไหม” ของ ศาสตราจารย์ ดร.วัลลภา เทพ
หัสดิน ณ อยุธยา กล่าวถึง เช้ือไวรัสโควิด-19 ท่ีระบาดหนักท่ัวโลก และหลายประเทศต้อง “ล็อก
ดาวน์” (Lockdown) หรือ “ปิดเมือง” เป็นมาตรการสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ุ
ใหม่ (โควดิ -19) คานี้เร่ิมรู้จักกันทั่วโลกเม่ือวันท่ี 23 มกราคม 2563 (ค.ศ. 2020) เม่ือรัฐบาลจีนสั่งปิด
เมืองอฮู่ น่ั มณฑลหูเป่ย์ ต้นตอการแพร่ระบาด (เมือ่ ปลายปี ค.ศ. 2019) สาหรับประเทศไทย รัฐบาลมี
นโยบาย “อยู่บ้าน หยุดเช้ือ เพ่ือชาติ” ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2563 ในการรับมือและป้องกันการ
แพร่ระบาด คาประพันธ์น้ีบอกถึงลักษณะทางกายภาพ ความร้ายกาจของเช้ือไวรัสโควิด-19 และ
วิธกี ารท่ีควรปฏิบัติตนใหป้ ลอดภัยจากการแพร่ระบาด ดงั คาประพันธ์
59
ฉันตวั เลก็ ย่งิ กวา่ ไรไร้สัญชาติ ทังไร้ญาติขาดบา้ นทอ่ี าศยั
จงึ ชอบเกาะมนษุ ย์เล่นเป็นจิตใจ ไม่มใี ครเหน็ ฉนั หรอกบอกตรงตรง
ฉนั ถนัดแพรเ่ ชือผุดดุจ ฝุ่นผง
เหมือนพวกคุณอยู่ รายรอบชอบสมั ผสั ไม่ต้องงงแพรเ่ ป็นพันในวนั เดยี ว
ทังน้าลายไอจามกระเซ็นลง ชีพชุมชนจะถกู ผลาญ พาลหวาดเสยี ว
ต้องท่องเท่ียวหาปอดคนมาปรนเปรอ
ถา้ คุณไมห่ ยุดรูอ้ ยู่กับบา้ น ผู้คนรา้ งห่างหายไปหาเก้อ
เพราะโควดิ อยา่ งฉันมนั ปราดเปรยี ว ฉนั เลยเอ๋อลาลบั กลบั ภพภูมิ
มาวนั นฉี ันชกั จะ เควง้ ควา้ ง
ขาดท่ีแพร่เชือรา้ ยใหพ้ วกเธอ
วัลลภา เทพหัสดิน ณ อยธุ ยา (25 มี.ค. 2563)
1.3 หลังการอ่าน
เมื่ อ อ่ า น ส า ร แ ล้ ว จ ะ ท าให้ เห็ น คุ ณ ค่ าส า ร ที่ อ่ า น แ ล ะ ป ร ะ เมิ น ค่ า ข อ งส าร ว่ า ต อ บ ส น อ ง
วัตถุประสงค์ของการอ่านได้เพียงใด และมีส่ิงใดบ้างที่สามารถนาไปใช้ หรือประยุกต์ใช้กับการดาเนิน
ชวี ิตได้บ้าง โดยสามารถตั้งคาถามตัวเองว่า อ่านเร่ืองราวดังกล่าวแล้วรู้ว่าอ่านเรื่องอะไร ใคร ทาอะไร
อย่างไร ท่ีไหน มีผลกระทบโดยตรงกับใคร โดยอ้อมกับใคร หรือไม่ ถ้ามีจะมีแนวทาง/วิธีการแก้ไข
อย่างไร หรอื ปอ้ งกนั ไมใ่ ห้เกดิ ขึ้นได้อย่างไรดงั ตัวอย่าง
ตัวอย่าง อมุ้ บุญ: ละเมิดสิทธิ หรอื ค้ามนษุ ย์
ด้วยเหตุผลใดก็ตาม การอุ้มบุญเป็นพัฒนาการทางการแพทย์ท่ีเพ่ิมโอกาสให้ผู้หญิงท่ีมีบุตร
ยากได้มีทายาทสมใจ แต่ส่ิงส้าคญั ท่ีควรคา้ นึงถงึ ให้มากที่สุด คือสง่ิ ต่างๆ ทเ่ี ด็กได้รับและต้องด้ารงชวี ิต
อยู่ในสิ่งแวดล้อม เพราะหน่ึงชีวิตท่ีเกิดมาด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธ์ุก็เป็นเด็กคนหน่ึง ท่ีต้องการ
การเลียงดูด้วยความรั ความเอาใจใส่ทังทางด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อให้เขาเติบโตเป็นพลเมืองดีมี
คุณภาพของชาติต่อไปในอนาคต จึงได้แต่คาดหวังการอุ้มบุญไว้ว่าอย่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ของสตรีและเดก็ อย่าไดเ้ ป็นการค้ามนุษย์ หรือเห็นสรีระของมนุษย์เป็นเพยี ง “อะไหล่” ทค่ี นมีเงนิ ทุน
สูงก็สามารถ ซือหา มาได้ นเ่ี ปน็ สญั ญาณเตอื นแลว้ กระมงั ว่า สงั คมโลกตอ้ งร่วมกนั ดแู ลกนั และกัน
ทมี่ า: ปราณตี มว่ งนวล (2558: 6)
วิเคราะห์: ในสังคมปัจจุบัน มีข่าวปรากฏท้ังทางหนังสือพิมพ์และส่ือออนไลน์ ว่ามี
การว่าจ้างสตรีตั้งครรภโ์ ดยใชเ้ ทคโนโลยชี ว่ ยเจรญิ พนั ธ์ุ อยา่ งไรก็ตามผเู้ กย่ี วขอ้ งควรตระหนักว่า เดก็ ท่ี
เกิดมาด้วยเทคโนโลยีนั้น ก็เป็นเด็กคนหน่ึงท่ีต้องการการเล้ียงดูด้วยความรักความเอาใจใส่ทั้งทาง
ร่างกายและจิตใจ ให้เขาเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีมีคุณภาพของชาติต่อไปได้ ดังน้ันการอุ้มบุญจึงควร
คานึงถึงคณุ ธรรมจรยิ ธรรมและกฎหมาย เพอ่ื ท่จี ะไม่เปน็ การละเมิดสิทธิมนษุ ยชน หรือการค้ามนุษย์
60
2. ความสัมพันธ์ของการอ่านคดิ
การอ่านคิดวิเคราะห์ (ปราณีต ม่วงนวล, 2560: 119-121) เป็นกุญแจสาคัญในการเปิด
ประตูสู่การอ่านเพื่อการคิดอย่างสร้างสรรค์ เพ่ือการคิดอย่างมีวิจารณญาน เพื่อการคิดอย่างเป็น
ระบบ เพ่ือการคิดแบบองค์รวม และคิดคาดคะเนและคาดการณ์อนาคต ซึ่งการอ่านเพ่ือกระบวนการ
ของการคิดในทุก ๆ รูปแบบล้วนมีความสัมพันธ์กันและมาจากการอ่านคิดวิเคราะห์ท้ังสิ้น มี
รายละเอยี ดดังภาพที่ 2.4
คดิ คดิ คิด
สรา้ ง วเิ คราะห์ คาดการณ์
อนาคต
สรรค์ อา่ นคิด คิด
คิด
อยา่ งมี คิด แบบ
วจิ ารณญาณ อยา่ งเป็น องค์รวม
ระบบ
ภาพท่ี 2.4 ความสัมพันธ์ของการอ่านคิดในรูปแบบตา่ งๆ
ทีม่ า: ปราณตี ม่วงนวล (2560: 120)
1. การอ่านคิดวิเคราะห์ เป็นการรับรู้ข้อมูลหรือสารที่เป็นความรู้ความคิดแล้วเกิด
กระบวนการคิดพิจารณาไตร่ตรอง ใคร่ครวญ จาแนกแยกแยะ ข้อมูล หรือวัตถุสิ่งของ หรือเรื่องราว
ต่างๆ เหตุการณ์ต่าง ๆ ขององค์ประกอบออกเป็นส่วน ๆ แล้วจัดหมวดหมู่ เพ่ือตีความก่อนจึงจะ
นาไปสู่การอ่านเพื่อการคิดอย่างสร้างสรรค์ ซ่ึงเป็นการคิดดี ไม่คิดร้ายต่อใคร ไม่คิดก้าวล่วงสิทธิของ
ผูอ้ ่ืน ก่อนพูดต้องคิดก่อนแล้วจึงพูดเร่ืองที่เป็นประโยชน์ ไม่สรา้ งความเดือดร้อนให้ใครเลือกปฏิบัติใน
สิ่งที่ดีงามถูกต้องตามครรลองครองธรรมของวัฒนธรรมประเพณี สรรสร้างสิ่งใหม่ นาไปใช้ให้เกิด
ประโยชน์แก่สังคมสว่ นรวม และหมัน่ ใส่ใจพฒั นาอยา่ งต่อเน่อื ง
2. การอ่านคิดวิเคราะห์ เป็นการส่งกระบวนการคิดต่อไปยังการอ่านเพ่ือการคิดอย่างมี
วิจารณญาณ ซ่ึงเป็นการอ่านระดับสูงที่ผู้อ่านต้องใช้สติปัญญา และความสามารถในการวิเคราะห์
วนิ ิจฉัย ดว้ ยเหตุผลในสิ่งที่อา่ นว่า มีความถกู ต้องน่าเชื่อถือหรือไม่ ซึ่งประกอบไปด้วยการตีความ การ
วเิ คราะห์ การสงั เคราะห์ และการประเมินค่า
61
3. การอ่านคิดวิเคราะห์ เป็นการส่งกระบวนการคิดในการจาแนกแยกแยะ และจัดหมวดหมู่
ของความคิดไปในการอ่านเพื่อคิดอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล มีหลักเกณฑ์
และวิธีคิดท่ีหลากหลาย โดยองค์ประกอบย่อยต่าง ๆ มีปฏิสัมพันธ์เช่ือมโยงกันเป็นองค์รวมและมี
อทิ ธพิ ลตอ่ ข้ันตอนตอ่ ไปในพฤติกรรมของระบบ
4. การอ่านคดิ วิเคราะห์ เป็นการเชือ่ มโยงทางความคิดและเหตผุ ล ความเป็นไปได้ด้วยการคิด
แบบองค์รวม ซึ่งเป็นการคิดท่ีทาให้ปรากฏเป็นรูป หรอื ประกอบให้เป็นรูป หรือเป็นเรื่องขึ้นในใจเป็น
ภาพรวม ซ่ึงมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับองค์ประกอบย่อย ๆ อีกมากมาย เช่น คน ในภาพรวมไม่ได้
หมายถึงเพียงแค่ภาพที่มองเห็นด้วยตาเท่าน้ัน แต่ต้องกอปรด้วยคุณธรรม จริยธรรมในความเป็น
มนุษย์อกี ด้วย
5. การอ่านคิดวิเคราะห์ เป็นการเชื่อมโยงการพัฒนาทางความคิดจากความทรงจาในอดีตไป
สู่การคาดคะเนและคาดการณ์อนาคต ในเหตุการณ์ เร่ืองราวหรือการพัฒนาส่ิงประดิษฐ์ให้ก่อเกิด
คุณประโยชน์แก่มนุษย์โลกมากมาย เช่น การพัฒนารถรางมาเป็นรถไฟและมาเป็นรถไฟความเร็วสูง
จากเคร่ืองร่อน มาเป็นเคร่ืองบิน เป็นต้น เป็นการอ่านประวัติศาสตร์ทางความคิดให้เกิดการพัฒนา
คาดการณ์ไปสู่การคิดเพื่อการวางแผนรองรับความเป็นมนุษย์ของโลกอนาคตอย่างมีเหตุผลเป็นไปได้
และมคี วามคลาดเคลอ่ื นนอ้ ยท่สี ุด
3. คุณลกั ษณะของนกั อ่านคิดวิเคราะห์
สาหรบั การอา่ นคดิ วเิ คราะห์นั้น นกั อ่านควรมีคุณลักษณะของนักอ่านคิดวิเคราะห์ ดังนี้
1. มคี วามสนใจใฝร่ ู้ สาระ เรื่องราวที่สร้างสรรค์
2. เปน็ คนชา่ งสังเกต มีความสุขุม คดิ ไตรต่ รองอยา่ งรอบคอบ
3. จาแนกและจัดหมวดหมขู่ ้อมูล
4. ตัง้ ขอ้ คาถามเพ่ือค้นหาคาตอบ/ศกึ ษาข้อมลู /ถามผรู้ ู้
5. นาแนวความคดิ ที่ไดไ้ ปทดลองใชเ้ พ่ือหาข้อบกพร่อง
6. นาผลจากการทดลองใชม้ าคิดต่อเพ่อื ปรับปรุงตามหลกั การเหตุผล
7. เปดิ ใจกวา้ งรับการเรียนรูแ้ ละนวัตกรรมใหม่ๆ
8. ยอมรับความคิดเห็นของผู้อ่ืน พิจารณาความเช่ือมโยงทางความคิดด้วยเหตุผลและ
ข้อเท็จจริง
9. พัฒนาการอ่านและการคิดของตนเองอยเู่ สมอ
กล่าวโดยสรุป ทักษะการส่ือสารในการอ่าน ผู้อ่านควรเรียนรู้การพัฒนาทักษะการอ่าน ทั้ง
ก่อนอ่าน ขณะอ่าน หลังอ่านและหาความสัมพันธ์ของการอ่านคิดวิเคราะห์ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการ
อ่านเพ่ือการคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดอย่างเป็นระบบการคิดแบบองค์
รวม คิดคาดคะเนและคาดการณ์อนาคต ทั้งน้ีผู้อ่านต้องมีคุณลักษณะของนกั อ่านคดิ วิเคราะห์ด้วยการ
อา่ นจะไดส้ ัมฤทธิผล
62
ตวั อยา่ งทกั ษะการสือ่ สารการอ่าน
ตัวอย่างที่ 1 อ่านโคลงทาย ของพระยาโกมารกุลมนตรี ตามแบบการเขียนสมัย พ.ศ. 2467
อ่านตามฉันทลักษณ์ แล้วจึงถอดความ แปลความ ได้คติธรรมในการดารงชีวิตอย่างไม่ประมาท ดัง
คาประพนั ธ์
มีใจตรงซ่ือรู้ รกั สัตย์
มสี ติขม่ จ้ากัด จติ ตไ์ ด้
ยากแคน้ กส็ นั ทดั ทนอด
ใหท้ รัพย์ใครกใ็ ห้ เฉพาะผคู้ วรของ
พระยาโกมารกุลมนตรี (2503: 12)
อ่านแล้วแปลความ ตีความได้และวิเคราะห์: หลักในการดาเนินชีวิต คือได้คติธรรมใน
การดารงชีวิตอย่างไม่ประมาท ปฏิบัติตนมีใจที่ซื่อตรง รักษาคาพูด มีสติ อดทนต่อความทุกข์
ยากลาบาก และมกี ารแบ่งปันทรัพย์ ส่งิ ของแกผ่ อู้ ืน่ ในการอนั ควร
ตัวอยา่ งที่ 2 อา่ นคดิ วิเคราะห์: การคดิ แบบคาดการณอ์ นาคต
บัณฑิตรจู้ ักคิดวเิ คราะห์
ทิศทางของการปฏิรูปอุดมศึกษาไทยในอนาคตต้องสอนให้ผู้เรียนและสร้างคนไทยให้คนที่มี
ความคิด วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ให้เป็น Smart Consumer ร้จู ักและม่ันใจท่ีรับหรือไม่รับสิ่งใด โดยเฉพาะ
ตัดสินใจเลือกที่จะกระท้าหรือไม่กระท้าส่ิงใด เพราะอะไร รูปแบบการเรียนการสอนในเชิงของ
Crystal-Based Instruction ควรได้รับการพัฒนาและสง่ เสรมิ ขนึ อยา่ งจริงจัง การเรียนรู้และคดั เลอื ก
ระบบและแนวคิดใหม่ๆ ทางอุดมศึกษามาใช้ต้องคิด คัด และเลือกอย่างฉลาด พอให้ทันกับวิธีคิดของ
โลกและนานาชาติที่ต่างเน้นการเรียนรู้ในเชิงคิดวิเคราะห์ (Critical Pedagogy) กันอย่างกว้างขวาง
แต่ของเรากลับมองข้ามไป นอกจากคิดวิเคราะห์แล้วเราจะต้องสร้างความคิดและความรู้ของเราเอง
ขึนมาด้วย
ทม่ี า: มกราพันธ์ุ จูฑะรสก (2556: 144-145)
อ่านคิดวิเคราะห์: การคิดแบบคาดการณ์อนาคต จากตัวอย่างนี้ ผู้เขียนแสดงทัศนะใน
การคาดการณ์อนาคตเกี่ยวกับคุณลักษณะของบัณฑิต ว่า การจัดศึกษาในระดับอุดมศึกษาของไทย
ควรปรับตัว ปรับยุทธศาสตร์ในการจัดการศึกษาให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์ วจิ ารณ์ อย่างม่ันใจ ตัดสินใจ
เลือกที่จะกระทาหรือไม่กระทาส่ิงใดด้วยเหตุผลและสร้างองค์ความรู้ข้ึนมา ดังน้ัน การเรียนรู้
การคัดเลือกระบบ และแนวคดิ ใหม่ ๆ ควรให้ทันกับการเปลยี่ นแปลงของวถิ ไี ทยและวิถโี ลก
63
การตั้งคาถาม เมื่ออ่านคดิ วเิ คราะหแ์ ลว้ คิดแบบคาดการณอ์ นาคต
1. คนไทยมกั มองการศกึ ษาอย่างไร
2. รูจ้ ัก Smart Consumer อยา่ งไรบ้าง
3. รูปแบบการเรียนการสอนในเชิงของ Crystal-Based Instruction เหมาะสมกับ
ธรรมชาติและบริบทของคนไทยมากน้อยเพียงใด
4. การศกึ ษาไทย การศกึ ษานานาชาติ การศกึ ษาโลก ควรเปน็ อยา่ งไร
5. เหน็ ดว้ ยหรือไมก่ ับการเรยี นรู้ท่ีเน้นการคดิ วเิ คราะห์ (Critical Pedagogy)
6. ในช่วงหลังของภาวะโรคระบาด (โควิด-19) สาหรับประเทศไทยน่าจะหลังเดือน
พฤษภาคม 2563 เรา (ภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน) มีแผนจัดการศึกษาให้ลูกหลาน
อย่างไร
7. เรา (คนไทย) มองการศึกษาจากอดีตถึงปัจจุบันแล้วคิดแผนการศึกษาในอนาคต
อกี สบิ ปีของเยาวชนอย่างไรบา้ ง
ประโยชน์ของการอา่ น
การอา่ นทาให้ผู้อา่ นได้ประโยชนห์ ลายดา้ นอยา่ งหลากหลาย สามารถสรปุ ได้ ดังน้ี
1. ช่วยพัฒนาตนเองใหไ้ ดค้ วามรแู้ ละความเพลิดเพลินในเนอ้ื หาที่อา่ น
2. ช่วยให้ผูอ้ า่ นเข้าใจสังคม สร้างความเขา้ ใจบคุ คลในสังคมใหด้ ขี ้ึน
3. ได้ความรู้ทางภาษา สามารถเห็นความเปล่ียนแปลงของภาษาท่ีแตกต่างกันตาม
ช่วงเวลาในขณะนั้น ซงึ่ สามารถเก็บรวบรวมข้อมลู ทางภาษานาไปใชไ้ ด้
4. สามารถวิเคราะห์ความแตกต่างของระดับการใช้ภาษาของผู้เขียนสารประเภท
ตา่ ง ๆ และเลอื กภาษาที่เหมาะสมไปใชใ้ นการปฏบิ ตั ิงานของตนได้
5. การติดตามอ่านขา่ วสารอย่างสม่าเสมอทุกวัน ทาให้มีพฒั นาการในการอ่านสูงขึ้น
และสามารถติดตามความกา้ วหนา้ ทีเ่ ปล่ยี นแปลงไปและนามาปรับใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ต่อไป
6. การอ่านช่วยผ่อนคลายความเครียด และยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้อ่านใช้เวลาว่าง
ใหเ้ ป็นประโยชน์ตอ่ ตนเอง
7. เป็นการตอบสนองความต้องการอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ทาให้ได้รู้ในสิ่งที่
อยากร้ทู ัง้ ยังชว่ ยยกระดับความคิด จิตใจ ภูมิปัญญาใหส้ งู ข้ึน
8. ทาให้ผู้อ่านเกิดความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ทั้งยังสร้างเสริมบุคลิกภาพให้เป็นผู้ท่ี
สามารถเผชิญสถานการณใ์ หมๆ่ ได้ดว้ ยความม่ันใจ
9. ช่วยเร้าความสนใจ ผู้อ่านสามารถเลือกอ่านหนังสือที่เหมาะกับอารมณ์และ
รสนยิ มของตน ทาใหไ้ ดร้ ับความสุขใจและเปน็ เคร่ืองมือใหม้ ีความพงึ พอใจโลกทีเ่ ราอาศยั อยนู่ ้ี
การอ่านให้ประโยชน์หลายประการ ท้ังในด้านภูมิปัญญา การพัฒนาความรู้ ความคิด
สร้างสรรค์ การมีบุคลิกภาพท่ีดีมีความมั่นใจในตัวเอง การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในสังคมอย่าง
เหมาะสมตามกาลเทศะ การรู้เท่าทันข่าวสารข้อมูลจากการส่ือสารและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่
รวดเร็วในสังคมที่ทุกคนเป็นสมาชิกของหมู่บ้านโลก (Global Village) สามารถรับทราบข้อมูล
ข่าวสาร เหตุการณ์ที่เกิดข้ึนของทุกมุมโลกผ่านช่องทางการอ่านสื่ออินเทอร์เน็ต รวมถึงอรรถรสที่ได้
64
จากการอ่านหลากหลายสาระและความเพลิดเพลิน อีกท้ังยังให้ประโยชน์ต่อการจรรโลงสังคมและ
ประเทศชาติ ดว้ ยการนาความรมู้ าพฒั นาให้ก้าวหน้าตอ่ ไป
สรุปการอ่านเป็นกระบวนการพัฒนาทักษะทางการรับรู้ทั้งความหมายของคา ประโยค
สัญลักษณ์ ความรู้ความเข้าใจ ความคิดเห็น ความรู้สึก ตามเจตนาของผู้เขียน รวมถึงมโนทัศน์ และ
การต่อยอดทางความคิดจากสารที่ได้อ่านนาไปสู่ความเป็นรปู ธรรมในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ดังน้ัน
ผู้อ่านจาเป็นที่จะต้องเรียนรู้และพัฒนาทักษะในการอ่านแต่ละประเภท ท้ังน้ีเพื่อให้เกิดประโยชน์ท้ัง
ต่อตัวผู้อา่ นเองและการนาประโยชน์จากการอา่ นไปใชก้ ับบริบทของการดาเนนิ ชวี ติ ในสังคมและอาชีพ
ได้อยา่ งเหมาะสม
ทักษะการส่อื สารการเขียน
การเขียนภาษาไทยให้ถูกต้องเป็นส่ิงจาเป็น เนื่องจากการเขียนเป็นทักษะการใช้ภาษาไทยที่
สาคัญ เป็นการถ่ายทอดความรู้ ความสามารถ ความต้องการ อารมณ์และความรู้สึกของผู้เขียนไปยัง
ผู้อ่าน ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องเป็นผู้ที่อ่านมาก เขียนมาก ต้องอาศัยการสังเกต การจดจา ต้องใช้ภาษาที่
สามารถส่ือสารได้ตรงตามความต้องการ และมีความรู้ในเร่ืองการเขียนให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ใน
การใช้ภาษา ซ่ึงเป็นเคร่ืองช่วยเชิดชูงานเขียนให้มคี ุณคา่ ย่ิงข้ึน และช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้สง่ สาร
กับผู้รับสารเกิดสัมฤทธิผล ทั้งยังเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมทางภาษาไว้ให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
ดังที่ วัลลภา เทพหัสดิน ณ อยุธยา (2541: 304) ได้ให้ทัศนะไว้ว่า การเขียนเป็นส่ิงจาเป็นสาหรับ
มนุษย์ทุกชาติ ทุกภาษา เนื่องจากภาษาเขียนช่วยให้การสื่อสารความหมายแจ่มชัดขึ้น และเป็น
หลักฐานในการเผยแพรค่ วามรู้ ทาให้ข้อความรู้ต่างๆ ในโลกยังอยู่ได้โดยม่ันคง ฉะนั้นผู้เขียนจะเขียน
งานแต่ละประเภท ควรวางโครงเรื่องให้ชัดเจน คานึงถึงคุณลักษณะของงานเขียนที่ดี วิเคราะห์ผู้อ่าน
ว่าเหมาะกบั งานเขียนประเภทใด และประโยชนท์ ีผ่ ู้อ่านจะได้รับ
1. ประเภทของการเขยี น
การเขยี นแบ่งออกเป็นประเภทไดห้ ลายลกั ษณะ ดงั น้ี
1.1 แบ่งตามโอกาสทเี่ ขยี น ไดแ้ ก่
1) การเขียนในโอกาสท่ีเป็นทางการ เช่น การเขียนจดหมายราชการ เขียน
สานวนคดีความ เขียนพระราชบัญญัติ พระราชกาหนด ตารา ผลงานทางวิชาการ บันทึกรายงานการ
ประชมุ โครงการ รายงานทางวชิ าการ การเขียนบทความวิจัยลงวารสารวิจยั การเขียนย่อความ และ
การเขยี นเอกสารสทิ ธิ์
65
ตัวอย่าง แบบการเขียนบทความวิจัยลงวารสารวจิ ัย
ช่อื โครงการวจิ ัย เรอื่ ง.................................................................................. ...........................
ภาษาองั กฤษ.............................................................................................. ........................
ช่ือ – สกุล และหนว่ ยงานพรอ้ มทอี่ ย่แู ละปีท่ที า้ วิจัย ….....................................
ภาษาองั กฤษ......................
ทา้ วจิ ัยเมือ่ พ.ศ.……………....
บทคดั ย่อ
บทความวจิ ยั นี มวี ตั ถุประสงค์เพ่ือ .....................................................................................
(บอกวธิ วี ิจยั ) ..................................................... ผลการวิจัยพบว่า......................................................
ค้าสา้ คญั 1...................... 2...................... 3...................... 4.......................... ( 3 – 4 คา้ )
Abstract
The Objectives of the research article were to .…………………………………………........
(แปลจากบทคดั ย่อภาษาไทย) .............................................................................................
Keywords 1...................... 2...................... 3...................... 4........ ..............
1. ความสา้ คญั และทมี่ าของปญั หาท่ีทา้ การวจิ ัย (ความยาวประมาณ หนา้ กระดาษ A4)
2. โจทยว์ จิ ัย
2.1 .....................................................................
2.2 .....................................................................
3. วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั
3.1 เพ่อื ...................................................................
3.2 เพอ่ื ...................................................................
3.3 เพือ่ ...................................................................
4. สมมตฐิ านการวจิ ัย (ถา้ มี)
4.1 .........................................................................
4.2 .........................................................................
5. ประโยชนท์ ีไ่ ดร้ ับจากการวจิ ยั
5.1 .........................................................................
5.2 .........................................................................
5.3 .........................................................................
6. วิธีการด้าเนนิ การวิจยั (ความยาวประมาณ หนา้ กระดาษ A4)
7. ผลการวิจยั มีตาราง / รปู ภาพ / แผนภูมปิ ระกอบ ถา้ วิจยั เชงิ คุณภาพให้ใสร่ ปู ภาพ 1 – 2 รปู
(ความยาวประมาณ 2 หน้ากระดาษ A4)
3
8. สรุปผลการวิจยั (สรปุ ผลการวิจยั ตามวัตถปุ ระสงค์ + สมมตฐิ านการวจิ ยั เทา่ นนั )
(ความยาวประมาณ หนา้ กระดาษ A4)
66
9. อภิปรายผลการวิจยั (ความยาวประมาณ 1 หนา้ กระดาษ A4)
3
10. ข้อเสนอแนะ
10.1 ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย .................................
10.2 ข้อเสนอแนะสา้ หรับผ้ปู ฏิบตั ิ ............................
10.3 ขอ้ เสนอแนะสา้ หรับการวิจัยตอ่ ไป ..........................
11. บรรณานุกรม / เอกสารอ้างอิง (เฉพาะทีม่ อี า้ งอิงในบทความวิจยั เทา่ นัน)
12. ภาคผนวก (ถา้ ม)ี
13. ค้าขอบคุณ ....................................................................... ........
1.2 การเขียนในโอกาสท่ีไม่เป็นทางการ ส่วนใหญ่เป็นการเขียนมุ่งเพ่ือผลประโยชน์
ทางธุรกจิ หรือเป็นการรายงานผลการปฏิบัติงานตามโครงการ เชน่ การเขียนจดหมายส่วนตัว บันทึก
ประจาวัน เร่ืองสั้นนวนิยาย บทละคร สารคดี รายงานข่าว รายงานการฝึกอบรม/ศึกษาดูงาน
บทความ คาขวญั เปน็ ตน้
ตัวอย่าง การเขียนบทความส้ัน ๆ จากผู้ร่วมโครงการฯ ในการรายงานการฝึกอบรม
หรอื ศึกษาดงู าน
English is Fun
เป็น การเรียนท่ีสนุกสนานและมีความสุขกับเจ้าของภาษา ณ St Giles Central กรุง
ลอนดอน UK โดยการสนับสนนุ จากคณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั บา้ นสมเดจ็ เจ้าพระยา มีวัตถุ
ปรสงค์เพ่ือให้กรรมการบริหารคณะครุศาสตร์ได้พัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารโดยตรงจาก
เจา้ ของภาษา เรยี นรจู้ ากแหลง่ เรียนร้จู ริง สถานการณ์จริง
โอกาส ในการศึกษาเรียนรู้เก่ียวกับการฝึกทักษะการฟังและการพูดจากกิจกรรมต่างๆ ใน
ห้องเรียน ฝึกการฟังแล้วสรุปใจความส้าคัญ ฝึกฟังเรื่องราวจากสื่อต่างๆ แล้วส่ือสารให้ผู้อ่ืนเข้าใจได้
ด้วยการพูด ฝึกทักษะการพูดในสถานการณ์ต่างๆ ที่ได้พบเห็นแต่ละวันที่ UK ฝึกพูดแสดงความ
คิดเห็นจากส่ิงท่ีได้ฟัง ได้พบเห็นโดยเน้นการฝึกปฏิบัติให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมและการ
เชื่อมโยงทักษะการฟังการพูดดว้ ยการสนทนาอยา่ งเป็นกนั เองกับผูส้ อนท่ีเป่ียมดว้ ยความสามารถสอง
ท่านคือ MS. Shophia และ Mr. Nail
ที่ UK ให้อะไรนอกเหนือจากทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษ การพักอาศัยอยู่กับ
Family นอกจากประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว สิ่งที่ได้ฝึกฝนใช้ภาษาในทุกวันทุกคืน คือการส่ือสารกับ
Host ที่แสนใจดีมี มิตรไมตรีดูแลอาหารการกิน อ่ิมเช้า อิ่มเย็น ช่วยแนะน้าการเดินทางและมีเวลา
ก่อนกลบั ประเทศไทย Host พาไปเยี่ยมชมธรรมเนยี มปฏบิ ตั ทิ ่โี บสถ์ในพนื ทช่ี มุ ชน
ขอ ขอบคุณคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ท่ีให้โอกาสแก่
บุคลากรในการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษอย่างสร้างสรรค์ ขอบคุณเพ่ือนร่วมเดินทางทุกคน
ความมีนา้ ใจ เปน็ ภาพตราตรงึ ยง่ิ คิดถงึ มียมิ ไดท้ ุกวัน
67
2. แบ่งตามรูปแบบของงานเขียน ได้แก่
2.1 งานเขยี นร้อยแกว้
2.2 งานเขียนรอ้ ยกรอง
3. แบ่งโดยยึดบุคคลท่ีเกย่ี วขอ้ งในการสือ่ สาร ไดแ้ ก่
3.1 การเขียนส่ือสารระหวา่ งบคุ คลตอ่ บุคคล
3.2 การเขียนสื่อสารภายในกลุม่ เช่น การเขียนสือ่ สารภายในองคก์ ร
3.3 การเขยี นสอื่ สารระหวา่ งมวลชนกับสาธารณะชน เช่น การเขียนข่าวสารในหนังสือ
ผู้เขียนจาเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับประเภทของการเขียน เน่ืองจากเป็นสิ่งจาเป็นในการเป็น
แนวทางท่ีจะช่วยให้ผู้เขียนสามารถเลือกเร่ืองเขียนส่ือสารได้ถูกต้องตรงตามความมุ่งหมาย แล้วเริ่ม
วางโครงเร่ือง เพ่ือกาหนดส่วนต่าง ๆ เช่น บทนาท่ีน่าสนใจ ระบุประเด็นสาคัญที่จะเขียนในส่วน
เนื้อเรื่องที่เป็นเอกภาพมีความสัมพันธ์กันตลอดเรื่อง และสรุปเรื่องท่ีชัดเจน ในที่น้ีจะนาเสนอข้ันตอน
ในการเขียนโครงเร่ืองเพ่ือเป็นกรอบกว้างๆ ในการเขียน ผู้เขียนจะได้ยืดหยุ่นความคิดและข้อมูลได้
โดยไม่ปดิ กนั้ ความคดิ สร้างสรรค์
2. การเขียนโครงเรอื่ ง
การเขียนโครงเร่ือง เป็นการกาหนดข้ันตอนเพ่ือเป็นแนวทางในการเขียนโครงเรื่องให้ดาเนิน
ไปตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียน (คณาจารย์สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สวนสนุ นั ทา, 2563: 105-106)
ข้ันตอนการเขียนโครงเร่อื ง
1. ข้ันระดมความคิด เป็นการรวบรวมความคิดในเร่ืองที่จะเขียน ซึ่งอาจได้จาก
ประสบการณ์การค้นคว้ารวบรวมข้อมูล การสัมภาษณ์หรือวิธีอื่นใดที่ผู้เขียนพิจารณาแล้วว่าก็มีความ
เกย่ี วข้องกบั เร่อื งท่ีเขยี น
2. ขั้นจัดสรรความคิด เป็นขั้นตอนต่อเน่ืองจากข้ันระดมความคิดผู้เขียนนาข้อมูล
ทง้ั หมดทไี่ ด้มาพจิ ารณาเลอื กใช้เฉพาะขอ้ มูลท่ีเกย่ี วข้องจรงิ ๆ ท่จี ะไม่ทาให้งานเขียนกว้างเกินไป หรือ
ไมไ่ ด้สดั ส่วนกับหวั ข้ออื่น ๆ
3. ข้ันจัดหมวดหมู่ความคิด เป็นขั้นตอนท่ีผู้เขียนนาข้อมูลท่ีเลือกใช้จริงจากการ
จัดสรรแล้วมาจดั หมวดหมู่ไว้โดยพิจารณาประเดน็ ยอ่ ยของเรื่องไว้เป็นพวก ๆ
68
4. ขั้นจัดลาดับความคิด เป็นการนาความคิดท่ีจัดหมวดหมู่ไว้มาเรียบเรียงให้เป็น
ลาดับต่อเน่อื งการลาดบั ความคดิ เกีย่ วกบั เร่ืองราวต่าง ๆ สามารถใชว้ ธิ กี ารได้หลายวธิ ี เช่น เรียงลาดับ
ตามความเขา้ ใจ ตามความสาคญั ตามลาดบั เวลา ตามทศิ ทาง ฯลฯ
5. ขนั้ เขยี นเปน็ ตัวโครงเร่ืองทส่ี มบรู ณ์แบบ
3. การวเิ คราะหผ์ ู้อา่ น
การเขียนเป็นกระบวนการส่งสารมีผู้อ่านเป็นผู้รับสาร ดังน้ัน ก่อนลงมือเขียน ผู้เขียนควร
คานึงว่า จะเขียนให้ใครอ่าน โดยวิเคราะห์ความแตกต่างของผู้อ่านในเร่ืองของกลุ่มคน เพศ วัย
การศึกษา รายได้ อาชีพเพราะบุคคลท่ีมีความแตกต่างกัน ย่อมมีความสนใจในการอ่านที่ต่างกันด้วย
เช่น เด็ก จะสนใจอ่านเร่ืองจินตนาการวิทยาศาสตร์ วัยรุ่นจะสนใจอ่านเรื่อง การเดินทาง
ประวัติศาสตร์ ส่วนผู้ใหญ่จะสนใจอา่ นเร่ืองท่เี ป็นธรรมชาตขิ องมนุษย์ ความสาเร็จของบคุ คลในอาชีพ
ต่างๆ ธรรมะในการดารงชีพ ผหู้ ญิงสนใจอา่ นเรอื่ งเครื่องประดับ ของใช้ แฟช่ัน เรือ่ งรักหวานๆ ผ้ชู าย
อ่านเร่ืองชา่ ง เครื่องยนตก์ ลไก เร่อื งผจญภยั เป็นต้น
ขณะที่ผู้อ่านมีความสาคัญต่อการเขียนเป็นอย่างมาก ผู้เขียนจึงควรวิเคราะห์กลุ่มผู้อ่าน
เพื่อให้ได้ข้อมูลของผู้อ่านอย่างชัดเจน ซึ่งได้สรุปทัศนะของนักวิชาการหลายท่านที่ได้เสนอเทคนิค
การวเิ คราะห์ผู้อา่ นไว้ดงั น้ี
1. ผอู้ ่านอยูใ่ นกลุ่มอาชพี ใด มีรายไดเ้ ปน็ อย่างไร
2. ผูอ้ า่ นมีอายุเฉล่ยี เทา่ ใด มีการศึกษาระดับใดบา้ ง
3. ผู้อา่ นมเี พศใดบ้าง
4. ผอู้ ่านมีความรูเ้ รอื่ งท่ีผเู้ ขยี นจะเขียนนัน้ แลว้ หรอื ไม่ มากนอ้ ยเพยี งใด
5. ผูอ้ า่ นควรทราบขอ้ มูลอะไรบา้ งเกีย่ วกับหวั ข้อนน้ั
6. ผูอ้ ่านมีทัศนคติต่อเรอื่ งท่ีเขียนอยา่ งไร
7. ข้อมูลประเภทใดทีผ่ อู้ ่านยอมรบั เชื่อถือและสนใจ
8. เขียนอยา่ งไรใหเ้ หมาะกับผู้อา่ นในกลุ่ม เพศ วยั การศึกษา รายได้ และอาชีพ
9. ประโยชนแ์ ละคณุ ค่าท่ีผอู้ ่านคาดหวังและควรไดร้ ับจากเรอื่ งที่เขยี น
4. ลกั ษณะของงานเขียนที่ดี
ลักษณะของงานเขียนที่ดี ในทัศนะของนักวิชาการหลายท่าน ให้ความเห็นว่า งานเขียนที่ดี
ตอ้ งขึ้นอยกู่ ับประเภทของงานเขียนดว้ ย เช่น งานเขียนวชิ าการ งานเขียนบันเทิงคดี นวนิยาย สารคดี
ฯลฯ หรือร้อยแก้ว ร้อยกรอง ถ้าเป็นงานเขียนท่ัวไป อาจมองในเบ้ืองต้น เช่นลกั ษณะของย่อหน้าต้อง
มีเอกภาพ สารัตถภาพ และสัมพันธภาพ ทั้งน้ีเพราะย่อหน้าถือว่าเป็นองค์ประกอบของงานเขียน
ประเภทต่าง ๆ ดังท่ีกล่าว หากเขียนย่อหน้าได้แล้วงานเขียนอื่นๆ ก็จะดีตามมา ทั้งนี้มีความสัมพันธ์
กับการคิดด้วย เช่น เนื้อหาสัมพันธ์กับชื่อเรื่องการเลือกใช้คา (Word Choice) ได้หลากหลาย
เหมาะสมกบั งานเขยี น งานเขียนทดี่ จี งึ ควรมลี ักษณะ ดงั นี้
1. วิเคราะห์ผู้อ่าน ก่อนจะลงมือเขียนทุกครั้ง ผู้เขียนควรตระหนักให้แน่ชัดว่า จะ
เขียนให้กับใครอ่าน โดยวิเคราะห์ความแตกต่างของผู้อ่านในด้าน เพศ อายุ การศึกษา รายได้ อาชีพ
เพราะบุคคลท่ีมีความแตกตา่ งกนั ย่อมมีความสนใจในการอา่ นทไ่ี ม่เหมอื นกนั
69
2. กาหนดจุดมุ่งหมายในงานเขียน ในการเขียนแต่ละครั้ง ผู้เขียนต้องกาหนด
จุดมุ่งหมายในงานเขียนว่าจะเขียนเพื่อจุดมุ่งหมายใด เน่ืองจากจุดมุ่งหมายในการเขียนท่ีแตกต่างกัน
จะมีวิธีการเขียนที่ต่างกัน จุดมุ่งหมายในการเขียนมีอยู่หลายประการ เช่น การเขียนเพื่อให้ความรู้
การเขยี นเพอ่ื โนม้ น้าวใจ การเขยี นเพอื่ แสดงความคดิ เหน็ การเขียนเพื่ออธิบาย เปน็ ตน้
3. มีการรวบรวมและเรียบเรียงเนอ้ื หาเปน็ ระบบ
4. หัวข้อเรื่อง น่าสนใจ เหมาะสมกับเหตุการณ์ปัจจุบันทันสมัย และมีแนวทางการ
เขยี นทเ่ี ปน็ งานใหม่ทกี่ อ่ ให้เกดิ องค์ความรูใ้ หม่
5. มีการกาหนดเนื้อหาหลายๆย่อหน้าเพ่ือให้คนอ่านรู้สึกพักสายตาและมีกาลังใจใน
การอ่านเนื้อหาบทถดั ไป
6. มีความชัดเจน ผู้เขียนต้องเลือกใช้คาท่ีมีความหมายชัดเจน ส่ือความหมายให้
ผู้อา่ นเข้าใจไดต้ ามวัตถุประสงค์ อ่านเขา้ ใจงา่ ย ไมค่ ลมุ เครอื
7. มีความถูกต้อง ในการเขียนต้องคานึงถึงความถูกต้องทั้งในด้านการใช้ภาษา และ
ระดบั ภาษา ให้เหมาะสมกับบุคคลและกาลเทศะ มกี ารอ้างองิ ท่ีถูกตอ้ งตามหลักการอ้างอิง มีความถูก
ต้องของเน้อื หาตามข้อเทจ็ จรงิ
8. ใช้ภาษาในการสื่อสารที่ทุกวัยสามารถเข้าถึง สร้างประโยชน์และความรู้ให้กับ
ผอู้ ่าน นาไปปรบั ใช้ในชวี ติ ได้จรงิ
9. มีความกะทัดรัด ท่วงทานองการเขียนจะต้องมีลักษณะใช้ถ้อยคาน้อยแต่ได้
ความหมายชัดเจน
10. มคี วามเรยี บงา่ ย งานเขียนที่ใช้คาธรรมดาท่ีเข้าใจงา่ ย ไม่ใช้คาฟุ่มเฟือย ไม่เขียน
อย่างวกวน ไม่ใช้คาปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ จะมีผลทาให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจและเกิดความรู้สึกกับงาน
เขยี นนัน้ ได้งา่ ย
11. มีความสร้างสรรค์ โดยมีความสร้างสรรค์ทางความคิดของผู้เขียน โดยผู้อ่าน
ได้รับประโยชน์ จากงานเขียนน้ัน อีกท้ังมีความสร้างสรรค์ทางด้านการใช้ภาษา เช่น การสรรคา การ
ใช้โวหาร การใช้ภาพพจน์ เพ่อื ทาให้ผู้อา่ นเกิดจินตภาพ และสรา้ งความประทับใจใหแ้ กผ่ ู้อ่าน
12. มีความตรงประเด็น การเขียนให้ตรงประเด็น ต้องยึด 3 หลัก คือ ความมี
เอกภาพ สัมพันธภาพ และสารัถภาพ ในการเขียนท่ีดีควรมีความเป็นเอกภาพ คือ ความเป็นอันหนึ่ง
อันเดียวกัน หมายถึง ไม่ควรเขียนนอกเรื่อง นอกประเด็นจากหัวข้อเรื่องที่กาหนดไว้ มีสัมพันธภาพ
คือ มีความสัมพันธ์กัน หมายถึง ข้อความแต่ละข้อความหรือแต่ละย่อหน้าจะต้องมีความสัมพันธ์
เก่ียวเนอื่ งกนั มสี ารัตถภาพ คือ การเนน้ สาระสาคัญของยอ่ หนา้ แตล่ ะยอ่ หน้าและของเร่อื งทั้งหมด
13. มีน้าหนัก มีลักษณะเร้าความสนใจ สร้างความประทับใจ ซ่ึงเป็นผลมาจากการ
เน้นคา การเรยี ง ลาดับคาในประโยค การใชภ้ าพพจน์
14. มีกลวิธีการดาเนินเรื่องท่ีน่าสนใจก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ หรืองาน
สร้างสรรค์สูส่ ังคม ชวนให้ผอู้ ่านคดิ ตาม
15. บางตอนของเนื้อหา อาจนาเสนอในลักษณะ “ภาษาพูด” เพื่อผู้อ่านรู้สึกผ่อน
คลาย เกิดมโนภาพมากยงิ่ ขึน้ และมภี าพประกอบภายในเล่มทนี่ ่าสนใจ
16. ผ่านการพิสูจนอ์ ักษรโดยผูเ้ ชยี่ วชาญ
70
17. รปู เลม่ ออกแบบไดท้ ันสมัย ดงึ ดดู ความสนใจผู้อ่าน
กล่าวโดยสรุป ทักษะการสื่อสารการเขียน ควรพิจารณาถึงประเภทของงานเขียนว่า เป็น
ประเภทร้อยแก้ว หรอื ร้อยกรอง ต้องการส่อื สารไปท่ีใคร เพ่ือวตั ถุประสงค์อะไร แล้วกาหนดโครงเร่อื ง
เพ่ือระดมข้อมูล ระดมความคิด เพ่ือวางโครงเร่ือง แล้วดาเนินตามข้ันตอนของโครงเรื่องที่วางไว้ ท้ัง
การเขียนคานาที่จูงใจผู้อ่าน การดาเนินเร่ืองแต่ละย่อหน้า มีความเป็นเอกภาพ ทุกย่อหน้าตลอดทั้ง
เรอ่ื งมสี ัมพนั ธภาพต่อกัน และสรุปจบได้กระชับมคี วามสมบูรณ์ มีลักษณะของงานเขียนท่ีดีมีคณุ ค่าต่อ
ผู้อา่ น
ตวั อยา่ งทกั ษะการสอื่ สารการเขยี น
ตัวอย่างที่ 1 การเขียนคาประพันธ์ “ข้าวพอเพียง” แสดงให้เห็นถึงการถ่ายทอดความ
จงรกั ภกั ดที ี่พสกนิกรชาวไทยท่มี ีต่อพระเจ้าแผ่นดิน
กระสอบนอ้ ยคอ่ ยวางองิ บนหิงพระ ก่อนพ่อจะยกมอื ไหว้จบเหนือเกล้า
ลูก...น่ีคือขา้ วพอเพียง เลียงพวกเรา พ่อไดม้ าหลังกราบเฝ้าพระเจา้ แผ่นดนิ
ขา้ วถุงนเี พอื่ ครอบครวั และตัวตน ขา้ วมงคลมีคา่ กว่าทรพั ย์สิน
ข้าววิเศษล้วนแฝงนยั ใหย้ ลยนิ แม้ไม่กนิ กอ็ ่มิ ใจไปนริ นั ดร์
เพราะทุกเม็ดเป่ียมธรรมบ้ารงุ จิต ใครค่ รวญคดิ พอเพียงเลย่ี งโศกศัลย์
ประเมนิ การประมาณอยูร่ ูเ้ ทา่ ทัน คือความฝันอนั สูงสุดผุดทางชัย
ข้าวของพอ่ ดั่งบทเรยี นลูกเรยี นรู้ ชพี เชิดชูช่นื นยิ ามความย่ิงใหญ่
สองพอ่ ลกู ตา่ งสบตาประสาใจ นา้ ตาไหลเกินทจี่ ะสาธยาย ฯ
แมน คล้ายสวุ รรณ
ตัวอย่างที่ 2 การเข้าสสู่ นามทดสอบเพ่อื เพม่ิ ทักษะการใชภ้ าษา
ภาพที่ 2.5 ทีมมหาวทิ ยาลัยราชภัฏบา้ นสมเดจ็ เจ้าพระยา
รับโลร่ างวลั ชนะเลศิ การแข่งขนั สกั วากลอนสด ภาพที่ 2.6 เพ่ิมทกั ษะการใชภ้ าษา
นักศึกษาสาขาวชิ าภาษาไทย (ค.บ.) ท่ีมา: ภาพที่ 9-10 โครงการแข่งขนั สักวากลอนสด
71
สรุป การพัฒนาทักษะการส่ือสารดว้ ยการเขียนนั้น เป็นทักษะการถ่ายทอดความรู้ ความรูส้ ึก
นกึ คิด ความคิดเห็น รวมถึงมโนทศั น์ของผู้เขียนมาเป็นลายลักษณ์อกั ษร สัญลักษณ์ต่างๆ มายังผู้อ่าน
ดังน้ันการจะเขียนงานอย่างมีคุณภาพได้ ผู้เขียนต้องสะสมความรู้ ทักษะประสบการณ์จากการฟัง
การพูด การอ่าน แล้วผ่านกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบจึงส่งสารงานเขียนที่ดีมีประโยชน์มายัง
ผ้อู า่ น
ทักษะการสอ่ื สารอย่างสรา้ งสรรค์
1. การใชภ้ าษา
คนไทยใช้ภาษาเพื่อส่ือสารโดยคานึงถงึ ผู้ฟังเป็นสาคัญ การเลือกใช้ภาษาเพ่ือให้เข้ากับบุคคล
โอกาส เวลา หรือที่เรียกว่ากาลเทศะด้วย คาสแลง คาต้องห้ามและคารื่นหูเป็นตัวอย่างยืนยันวิถีคิด
ของคนไทยได้ดีประการหน่ึงว่า เราไม่ควรพูดคาใด คาใดท่ีควรเลือกใช้ในการส่งสาร เพื่อแสดง
ความสุภาพและเป็นทักษะการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ทาให้ผู้ฟังพอใจไปพร้อม ๆ กับเข้าใจสาระ
เร่ืองราวของผู้ส่งภาษา ในท่ีน้ีจะได้อธิบายถึงภาษาพูด ภาษาเขียน การเลือกใช้ถ้อยคาสาหรับ
การสือ่ สารอยา่ งสร้างสรรค์ และการหลีกเลย่ี งการใช้ถ้อยคาที่ไมส่ ุภาพ หรอื อาจทาใหผ้ ู้ฟังรสู้ กึ ไม่ดี
1.1 ศัพท์สแลง (ราชบัณฑิตสถาน, 2546: 1140) คาว่า สแลง หมายถึง ถ้อยคา
สานวนที่ใช้เข้าใจกันเฉพาะกลุ่มหรือระยะเวลาหนึง่ ไม่ใชภ่ าษาที่ยอมรับว่าถูกต้อง มาจากคาว่า Slang
ในภาษาองั กฤษ
เปลื้อง ณ นคร (2542: 57) กล่าวถึงการใช้คาสแลงในสังคมไทยสมัยรชั กาลพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไว้ว่า คาสแลงมีประจาทุกภาษาทุกสมัย ในรัชกาลที่ 5 เริ่มพูดกันมากใน
ราชสานักก่อน และเรียกว่า ศัพท์แผลง คือ เป็นคาแผลงๆ มีรวมอยู่ในทา้ ยหนังสือพระราชนพิ นธ์พระ
ราชพิธีสิบสองเดือน คาเหล่าน้ันเวลาน้ีไม่ใช้พูดกันแล้ว เพราะคาสแลงเป็นคาชั่วแล่น ยังมีเหลืออยู่
บ้าง แตค่ วามหมายแปรไปเสยี แล้ว เช่น คาว่าเก๋ มาจากคาภาษาองั กฤษว่า Gay เดิมความหมายว่า โอ่
โถงมีเรื่องเล่าว่าครั้งรัชกาลที่ 5 เสด็จอินเดีย ผู้ตามเสด็จเริ่มแต่งตัวอย่างฝรั่ง มีข้าราชการคน
หนึ่งผูกเนคไท คร้ังนั้นเรียกว่า ผูกคอสีแดง มีข้าราชการอีกคนหนึ่งเรียนรู้ภาษาอังกฤษมาบ้าง จึงพูด
ชมเป็นภาษาอังกฤษใช้คาวา่ Gay ผู้อื่นไม่รู้ภาษาอังกฤษก็เอาคาว่า Gay มาพูดออกเสียงเป็น เก๋ ส่วน
ผู้ที่รู้ภาษาอังกฤษเห็นก็ขาที่ได้ยินออกเสียง Gay เป็น เก๋ ก็เลยพูดล้อคาว่า เก๋ เลยติดในคาพูดเล่น
เป็นสแลงสมัยนน้ั
จากข้อความท่ียกมาข้างต้น น่าสังเกตว่าศัพท์สแลงมีความเก่ียวพันกับสถานการณ์และเวลา
หรือยุคสมัย โดยมีกระบวนการทาให้ “เกิด” คาข้ึน แต่ถ้าจะ “ดับ” ก็ขึ้นอยู่กับความนิยมของผู้ใช้
ภาษาสมัยนั้นเป็นสาคัญ กล่าวคือ ถ้ามีผู้เสนอคาสแลงเข้าในสาระบบภาษาแล้วติดหูติดปาก คนใน
สังคมใช้กันอย่างแพร่หลาย ศัพท์สแลงน้ันก็อาจกลายเป็นคาใหม่ในภาษา กรณีของคาว่า เก๋ ดังท่ีได้
ยกตัวอย่างไปในพจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 (2546: 137) ให้คาจากัดความวา่ เก๋
หมายถงึ งามเข้าที
72
อนึ่ง สุนันท์ อัญชลีนุกูล (2547: 116) ให้เง่ือนไขสาคัญอันทาให้นิยามของศัพท์
สแลงชัดเจนและเข้ากับสถานการณ์วัฒนธรรมกับการใช้ภาษาสมัยใหม่ นั่นคือ ศัพท์สแลงต้องเป็น
“ภาษาปากที่ใช้มากในหมู่วัยร่นุ ” ด้วย ดงั ตัวอยา่ ง
จา๊ บ หมายถงึ สดใส ทันสมยั แบบวัยรุ่น
แจว๋ หมายถงึ สวย ยอดเยีย่ ม เกง่ ดี ลา้ เลศิ
ปิ๊ง หมายถึง ถูกตาต้องใจ ชอบพอรกั ใคร่
แห้ว หมายถึง ผิดหวงั ไมส่ มหวัง
กกิ๊ หมายถึง ไม่ใชเ่ พอื่ น แต่ไม่ใชแ่ ฟน
เน้ยี บ หมายถึง เรียบร้อย เปน็ ระเบียบ
เจง๋ หมายถึง ยอดเยย่ี ม
สุดตีน หมายถึง สุดยอด
อารามบอย หมายถงึ เด็กวดั
1.2 คาตอ้ งห้าม
คาต้องห้าม (Taboo Word) คือ คาที่ไม่ควรใช้หรือหลีกเล่ียงที่จะใช้ในการสื่อสาร
คาว่า “ห้าม” คือการห้ามใช้คา เหตุแห่งการหา้ มอาจเน่อื งมาจากความกลวั ซึ่งเกิดจากใจคน เช่น กลัว
ผี จงึ ห้ามเอ่ยถึงผีตอนกลางคนื ห้ามเพราะเกรงหรือเพราะคาน้ันเก่ียวเน่ืองกับของสูง เช่น ห้ามเอ่ยถึง
พระเจ้า นามของพระเจ้า เป็นต้น นอกจากนี้ก็อาจห้ามเพราะเกี่ยวโยงถึงความเป็นอยู่ของภาษา
มาตรฐาน และห้ามเพราะเมื่อผวนแล้วเป็นคาท่เี ก่ียวเน่ืองกับเรอ่ื งเพศ เรื่องต่า ในท่ีนี้จะกล่าวถึงเพียง
3 ประเภท คือ คาหยาบหรือคาต่า คาตัด และคาผวน เน่ืองจากปรากฏมากในการใช้ภาษา มี
รายละเอยี ดดังนี้
1) คาหยาบหรือคาต่า หมายถึง คาท่ีขาดรสแห่งความงาม ฟังแล้วระคายหู สุภาพชนไม่
ใช้พดู จากันไมใ่ ชใ้ นภาษาเขียน หนังสือธุรกิจ หนังสือราชการ หรอื ตาราวชิ าการ ตัวอย่างคาหยาบคายหรือ
คาต่าที่ไม่ควรใช้ เช่น คานามท่ีใช้เรียกอวัยวะเพศชายหญิง คาอุทาน (เฮ้ย เหี้ย สัตว์ แม่หลุด) คาสบถ
(แม่ง) คาลงท้ายประโยค (ว่ะ โว้ย) คาสรรพนามบางคา (กู มึง) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คาหยาบหรือคาต่า
ไม่ใช่คาท่ีห้ามใช้โดยส้ินเชิงเพียงแต่ถ้าจะใช้ต้องคานึงถึงบริบทในการใช้อยา่ งย่ิง โดยเฉพาะถ้าหากจะใช้ใน
ภาษาเขียน (เปลอื้ ง ณ นคร, 2542: 50)
2) คาตดั หมายถงึ คาที่ตัดหรือกร่อนออกมาจากคาเตม็ ท่ีเป็นภาษามาตรฐาน คาตัด
อาจใช้ในภาษาพูดเฉพาะที่ไม่เป็นทางการได้ แต่ตามหลักแล้วไม่ควรใช้ในภาษาระดับทางการ เพราะ
จะทาให้ภาษาวบิ ตั ิได(้ บุญยงค์ เกศเทศ, 2549: 70) เชน่
กโิ ลกรัม, กิโลเมตร ตดั เป็น โล
มหาวทิ ยาลัย ตัดเปน็ มหาลยั , หมาไล
พจิ ารณา ตัดเปน็ พนิ า, พจิ นา
วิทยาลยั ตดั เปน็ วิไล, วดิ ไล
ผลผลิต ตัดเปน็ ผลผติ
73
3) คาผวน คือ คาท่ีพูดย้อนทวนกลับโดยพยัญชนะต้นเป็นตัวเดิม แต่กลับสระผสม
และตวั สะกด ซงึ่ เปน็ ลักษณะพเิ ศษในภาษาไทย คาผวนของไทยมีทง้ั ที่ผวนแลว้ ไม่หยาบ และผวนแล้ว
หยาบ ตวั อย่างคาผวนที่ผวนแลว้ ไมห่ ยาบ หรอื ไมพ่ บคาหยาบโดยตรง มีดังต่อไปน้ี
พักรบ ผวนเปน็ พบรัก
นกั ร้อง ผวนเปน็ น้องรัก
สาวน้อย ผวนเปน็ สอยนา้ ว
หมาตาย ผวนเปน็ หมายตา
กลว้ ยไม้ ผวนเปน็ ใกลม้ ว้ ย
ทอ้ งไมร่ บั ผวนเป็น ทบั ไม่รอ้ ง
สแี ดง ผวนเปน็ แสงดี
สอยดาว ผวนเปน็ สาวดอย
ดาเนิน ผวนเปน็ เดินนา
ร้องไห้ ผวนเปน็ ไร้ห้อง
นายรอ้ ย ผวนเป็น น้อยราย
ส่วนคาท่ีผวนแล้วหยาบหรือมีความหมายสองแง่สองง่ามเป็นคาท่ีควรหลีกเล่ียง คนไทย
คานงึ ถึงลักษณะเฉพาะของภาษาไทยดา้ นน้คี ่อนขา้ งมาก บางคร้งั จงึ ตกั เตอื นใหร้ ะมัดระวังและกาหนด
คาเลอื กใช้แทน มตี ัวอย่างดังนี้
เจด็ อย่าง ควรใชว้ า่ เจ็ดสงิ่ เจ็ดสว่ น เจ็ดประการ
ฤาษแี ปดตน ควรใช้วา่ ฤาษีแปดรปู
ปลี ควรใชว้ ่า ปลกี ล้วย
คนสวย ควรใช้ว่า คนงาม
จดุ เลย้ี ว ควรใช้วา่ ที่ใหเ้ ลยี้ ว
เหน็ ควรดว้ ย ควรใช้วา่ เห็นสมควร เหน็ ควร เหมาะสมแล้ว
ส่หี น ควรใชว้ ่า สี่ครง้ั สี่คราว
คนป่วย ควรใช้ว่า ผปู้ ว่ ย คนเจ็บ
ตากแดด ควรใชว้ ่า ผึง่ แดด
อีเห็น ควรใช้วา่ นางเห็น
สาหรับคาท่ีพูดแล้วหยาบคายหรือเกิดคาใหม่ที่มีความหมายสองแง่สองง่าม ตัวอย่าง เช่น
สที อง ลาคลอง ลองขับ ไหหลา เหน็ หมี พบหอยกับหมี หอกสามสี คนไม่สวย ผีจับหวั เป็นต้น เหลา่ นี้
ไม่ควรใช้ในการสอื่ สาร
1.3 Hate Speech (ประทษุ วาจา)
ราชบัณฑิตยสภาได้บัญญัติคาว่า “Hate Speech” เป็นภาษาไทยภายใต้ศัพท์
บัญญัติวิชาการในส่วนของศัพท์วรรณกรรรมว่า “ประทุษวาจา” เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2557 โดย
อาศัยคาอธิบายศัพท์ ปฺรทุษฺ จากพจนานุกรรมสันสกฤตของ Monier Williams ว่า to commit an
offence againt someone ดังนั้น Hate Speech หรือ ประทุษวาจา จึงหมายถึง คาพูดท่ีเป็น
74
การข่มขู่ คุกคาม สบประมาท หรือย่ัวยุให้เกิดความเกลียดชัง การเลือกปฏิบัติ หรือความรุนแรง
มกั เป็นเร่อื งเช้อื ชาติ ศาสนา สีผวิ เพศ เปน็ ตน้
ขณะที่เฟซบุ๊กนิยามว่า คือเน้ือหาที่โจมตีบุคคลไปที่สีผิว เช้ือชาติชาติกาเนิด ภูมิภาค เพศ
สภาพ เพศวิถี คนพิการ หรือผู้ป่วยโรครุนแรง อย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊กพยายามคัดกรองเพื่อสร้าง
ความชัดเจนในเร่ืองขบขันที่อาจนาไปสู่เนื้อหาท่ีไม่เหมาะสมได้ ซึ่งรวมถึงเน้ือหาที่ผู้โพสต์ไม่ได้ตั้งใจท่ี
จะสรา้ งความเกลยี ดชงั ดว้ ย เชน่ มุขตลก เดี่ยวไมค์โครโฟน เนื้อเพลงที่ได้รบั ความนยิ ม
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการยังมีการถกเถียงเก่ียวกับคาจากัดความของ Hate Speech ใน
แงม่ มุ อื่นเพ่ือใหเ้ กิดความครอบคลุมยง่ิ ขึน้ อาทิ
ชาญชัย ชัยสุขโกศล (2556) ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวใน
งานวิจัยเรื่อง Hate Speech และข้อมูลที่อันตราย: ทางเลือกวิธีตอบโต้ทางการเมือง (Hate
Speech & Harmful Information: Alternatives for Political Response) ว่า “Hate Speech”
เป็นการแสดงออก ทั้งทางคาพูด ข้อเขียนและการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อ่ืน ๆ ท่ีมุ่งโจมตี ประจาน
สบประมาทหรือข่มขู่ผู้ถูกกล่าวถึงอย่างร้ายแรง (Extreme) ถึงข้ันท่ีประหนึ่งเป็นรูปแบบหน่ึงของ
การทาร้ายหรือก่อภยันตรายต่อผู้ที่ถูกกล่าวถึงได้แม้ว่าการรุกเร้าจะหยุดอยู่ ณ จุดหนึ่งใกล้เคียงมาก
กอ่ นที่จะถงึ จุดที่เป็นการส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรงทางกายภาพต่อมนุษย์หรอื วัตถุสิ่งของ แม้โดยปกติ
Hate Speech ใช้ประเด็นเรื่องสีผิว เช้ือชาติ ศาสนาและเพศ เป็นแกนเร่ืองหลัก แต่ก็สามารถขยาย
ครอบคลุมได้แทบประเด็นทัง้ ชนชั้น ฐานะทางเศรษฐกิจ การศึกษา อดุ มการณ์ ฯลฯ ซ่ึงเป็นการขยาย
ความประทุษวาจาให้เห็นภาพชัดเจนมากย่ิงขึ้นและเป็นการครอบคลุมประเด็นที่ถูกใช้ประทุษวาจา
จากคาจากัดความของราชบัญฑติ ยสภา
นิธิ เอียวศรีวงศ์ (2555) ใช้คาว่า“โทสวาท” เพ่ือแปลความหมาย Hate Speech ใน
ภาษาไทยและให้ความหมายโทสวาทว่า ต้องเกี่ยวกับความเกลียดและมุ่งจะเผยแพร่ความเกลียดน้ัน
ให้กว้างขวางในหมู่สาธารณชน เป็นการจุดประกายความเกลียดชังแก่กลุ่มศาสนา ชาติพันธ์ุ สีผิว
ประเทศอื่นๆ ลัทธิอ่ืน ฯลฯ ไม่ใช่บุคคลเป็นคนคนไป แต่ต้องมุ่งสร้างความเกลียดแก่ “กลุ่ม” และ
ความเป็นกลุ่มมักเกิดข้ึนแก่เหย่ือของความเกลียดโดยเขาเลือกไม่ได้ เช่น เกิดมาในศาสนานั้น ๆ เกิด
มาในกลุ่มชาติพันธ์ุน้ัน ๆ หรือเกิดมาเป็นพลเมืองของประเทศนั้นๆ รวมถึงการทาให้เหย่ือสูญเสีย
ความเปน็ มนุษย์ลงไปดว้ ย นับตงั้ แตเ่ หยียดใหก้ ลายเปน็ สัตว์ที่นา่ รังเกยี จ จนถึงเป็นศตั รขู องชาติ
ขณะที่ พิชญ์ พงษ์สวัสด์ิ (2556) ให้คาจากัดความว่า Hate Speech ในแง่ท่ีมาหรือส่ิงท่ีทา
ให้เกิดการส่ือสารเนื้อหาสร้างความเกลียดชังและให้ทัศนะเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างการสื่อสาร
สร้างความเกลียดชังและการหม่ินประมาทว่าหมายถึง ถ้อยคาท่ีแสดงความเกลียดชัง แต่การแปล
ความหมายเช่นน้ีอาจไม่ครบถ้วน เพราะอาจคาบเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย ซึ่งวัดได้
จากการดารงอยูข่ องการลงโทษที่มจี านวนอยู่ไม่นอ้ ย แต่กไ็ ม่ใช่เร่อื งเดียวกัน (แม้ว่าตวั ถอ้ ยคาอาจดวู ่า
แปลตรงตัวว่า ถ้อยคา+ความเกลียดชัง) ท้ังนี้ อาจพิจารณาในแง่ความขัดแย้งในสังคมท่ีดารงอยู่และ
เมื่อผ่านการกระทาที่เรียกว่า Hate Speech แล้ว มีแนวโน้มหรือเชื่อได้ว่าจะก่อให้เกิดความรุนแรง
ข้ึน (ไม่ว่าจะมองว่าความรุนแรงนั้นเป็นเร่ืองทางกายภาพหรือเป็นเร่ืองท่ีบาดเจ็บทางจิตใจ อารมณ์
ความรู้สึกก็ตาม) ซึ่งในแง่นี้คือ ทาให้ความขัดแย้งน้ันกระจายตัวออกไปหรือยกระดับข้ึน ท้ังนี้ ความ
ขัดแย้งในสังคมมาจากอคติและการเลือกปฏิบัติจากอดีตสู่ปัจจุบัน ที่ไม่ได้เชิดชูส่งเสริมความเป็น
75
มนุษย์และความเท่าเทียมกัน ซ่ึงมักวนเวียนกับเรื่องของชนชั้น วรรณะ เพศสภาวะ สีผิว ศาสนา
ความเชือ่ และชาตพิ ันธ์ุต่างๆ แต่เรื่องเหล่าน้ีไม่ใชเ่ ร่ืองเดียวกับความแตกต่างหลากหลายทางความคิด
และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (Free Speech) ซ่ึงก็เป็นคุณค่าอีกชุดหนึ่งท่ีได้รับการเชิดชูใน
สังคมเสรีและเป็นรากฐานของสงั คมประชาธิปไตย
Anthony Cortese (2006 อ้างถึงใน ภัทรกานต์ ภัทรธารง, 2560: 28-29) ระบุว่าประทุษ
วาจามีระดับความรุนแรงท่ีแตกต่างกันขึ้นอยู่กับเนื้อหา วิธีการส่ือสาร และเจตนาของผู้ส่งสาร โดย
สามารถแบง่ ไดเ้ ป็น 4 ระดบั จากรุนแรงน้อยท่สี ดุ ไปถงึ รุนแรงมากท่สี ุด ดงั นี้
ระดบั 1 การแบง่ แยกแบบไม่ตงั้ ใจต่อกลุ่มเป้าหมาย (Unintentional Discrimination)
ระดับ 2 การตั้งใจแบ่งแยก/กีดกัน/สร้างความเป็นเขา-เราต่อกลุ่มเป้าหมาย (Conscious
Discrimination)
ระดับ 3 การยั่วยุให้เกดิ ความเกลยี ดชังต่อกลุ่มเป้าหมาย (Inciting Discriminatory Hatred)
ระดับ 4 การย่ัวยุให้มีการใชค้ วามรนุ แรงต่อกลมุ่ เปา้ หมาย (Inciting Discriminatory Violence)
ผลการการศึกษาวิจยั ของ ภัทรกานต์ ภัทรธารง (2560) เร่ือง การเปดิ รับและความคิดเห็นต่อ
เนื้อหาประทุษวาจา (Hate Speech) ของผู้รับสารส่ือออนไลน์: กรณีศึกษาเฟซบุ๊กแฟนเพจ “หยุด
ดดั จรติ ประเทศไทย” พบว่า 1) ลักษณะทางประชากร ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชพี รายได้
ภูมิลาเนาของผู้ติดตาม (Follower) ไม่มีความแตกต่างในการเปิดรับเนื้อหาประทุษวาจา (Hate
Speech) ในส่ือออนไลน์ 2) เพศและอายุของผู้ติดตาม (Follower) ท่ีแตกต่างกันจะมีความแตกต่าง
ในความคิดเห็นด้านความรุนแรงตอ่ เนื้อหาประทุษวาจา (Hate Speech) ในสอ่ื ออนไลน์ ขณะที่ระดับ
การศึกษาอาชีพ รายได้ ภูมิลาเนาของผู้ติดตาม (Follower) ไม่มีความแตกต่างในความคิดเห็นด้าน
ความรนุ แรงต่อเนื้อหาประทุษวาจา (Hate Speech) ในส่ือออนไลน์ 3) ลักษณะทางประชากร ได้แก่
เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ ภูมิลาเนาของผู้ติดตาม (Follower) ไม่มีความแตกต่างใน
ความคิดเห็นด้านความเหมาะสมต่อเน้ือหาประทุษวาจา (Hate Speech) ในส่ือออนไลน์ 4) การเปิด
รับเน้ือหาประทุษวาจา (Hate Speech) ในสื่อออนไลน์ของผู้ติดตาม (Follower) ไม่มีความสัมพันธ์
กบั ความคดิ เหน็ ดา้ นความเหมาะสมตอ่ เนื้อหาประทุษวาจา (Hate Speech) ในส่อื ออนไลน์
จากแนวคิดประทุษวาจาในสังคมไทยยังเป็นประเด็นใหม่ท่ีมีการถกเถียงและข้อเสนอ
หลากหลายแง่มุมเก่ียวกับการนิยามคาจากัดความ โดยส่วนใหญ่นักวิชาการและผลการวิจัยต่างมี
ความเห็นว่า ประทุษวาจาเป็นปัจจัยท่ีส่งผลกระทบในทางลบต่อสังคมที่อาจพัฒนาไปสู่ความรุนแรง
ทางกายภาพได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งในที่นี้ ได้จากัดความว่า Hate Speech เป็นถ้อยคาหรือรูปภาพท่ี
ถูกโพสต์ลงในสื่อออนไลน์หรือด้วยการสื่อสารในช่องทางอ่ืนทั้งการพูด และการเขียน โดยมีเจตนา
ชัดเจนในการแสดงความเกลียดชังต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลไปที่ฐานอัตลักษณ์ร่วมด้านการเมืองของ
บุคคลหรือกลุ่มบุคคล เช่น กลุ่มคนเสื้อแดง สลิ่ม แมลงสาบ เป็นต้น ทั้งนี้ ถ้อยคา หรือรูปภาพ
ดังกล่าวมีลักษณะการด่า ภาษาหยาบคาย รุนแรง ดูถูก เหยียดหยาม การสร้างความเข้าใจผิด
การนิยามคนอื่นในเชิงลดคุณค่ากลายเป็นตัวตลก รู้สึกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่ใช่พวกเดียวกันปฏิเสธ
การอยู่ร่วมกัน การกีดกันออกจากสังคม การตีตราประทับภาพเหมารวมตายตัวในเชิงลบ การยุยง
ปลุกป่ัน ปลุมระดมให้ผู้อ่ืนร่วมเกลียดชัง สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงกับผู้ที่เห็นต่าง การระดมกาลัง
76
ไล่ล่าขู่คุกคาม การลงทัณฑ์ทางสังคม รุมประณามอย่างรุนแรงด้วยกลุ่มบุคคล การประกาศเป็นศัตรู
หรือฝ่ายตรงขา้ ม การเนรเทศ หรอื นาไปสกู่ ารประกาศเข่นฆ่า
ดังน้ันในความเป็นครู ผู้ซ่ึงเป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้และมวลประสบการณ์ จึงจาเป็นท่ีควร
ตอ้ งให้ความรู้ และเจตนาในการใช้ถ้อยคาภาษาอยา่ งถูกตอ้ งชดั เจน แนะนาด้วยเหตดุ ว้ ยผลใหเ้ ยาวชน
รู้ถึงพิษภัยท่ีเกิดจากการใช้ Hate Speech ได้พยายามหลีกการใช้ถ้อยคาท่ีจะก่อให้เกิดการทาร้าย
ความรู้สกึ บ่ันทอนกาลงั ใจกัน หรอื การแบ่งพวกแบ่งฝ่ายดว้ ยอคติ สังคมไทยด้ังเดิมอยูก่ ันแบบพี่น้อง
ถอ้ ยทีถอ้ ยอาศยั กัน อย่รู ่วมกนั ได้อยา่ งสันติสขุ
1.4 คาร่นื หู
คาร่นื หู คือ คาทคี่ วรใช้ในการส่ือสารเป็นคาทแ่ี สดงความสุภาพ ได้ขอ้ สังเกตไว้หลาย
ประการในเรอื่ งการทาภาษาให้สภุ าพหรอื ทาภาษาให้ “ร่นื หู” (ศรจี ันทร์ วชิ าตรง, 2542: 162-167)
ข้อสังเกตที่น่าสนใจประการแรกก็คือ เรามีวิธีการเติมคาบางคาในภาษาเพื่อให้เกิดความ
สภุ าพ ร่ืนหู ถือเปน็ การให้เกียรติผู้ทีก่ าลังสื่อสารด้วยหรือผู้ที่เราเอ่ยถึง ดังตัวอย่างประโยคว่า “วันนี้
ท่านอาจารย์ป่วย” คาว่า “ ท่าน” ในประโยคนี้เป็นสรรพนามบุรุษที่ 3 เอามานาหน้าคาว่า
“อาจารย์” มีนัยยะยกย่องให้เกียรติสูงขึ้นนอกจากน้ี ในคาว่า “คุณพ่อคุณแม่” จะเห็นได้วา่ เติมคาว่า
“คณุ ” ซึ่งเปน็ สรรพนามบรุ ษุ ท่ี 2 ไวห้ นา้ คานาม ทาใหเ้ ปน็ คาทสี่ ุภาพ ยกย่องบดิ ามารดายิ่งขน้ึ
นอกจากการเติมหนา้ คาแล้ว กอ็ าจมีการเตมิ คาลงท้าย ดงั น้ี
คาวา่ “ คะ ครับ จ๊ะ ” มักใชก้ บั ขอ้ ความท่ีเป็นคาถาม สงั เกตตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้
ชุดที่ 1 ชดุ ที่ 2
กินขา้ วหรือยัง กินขา้ วหรือยงั คะ
ไปไหนมา ไปไหนมาจะ๊
ผมรักคุณนะ ผมรกั คณุ นะครับ
จากตัวอย่างการเปรียบเทียบ จะเห็นได้ว่า ตัวอย่างชุดท่ี 2 เม่ือเติมคาลงท้ายลงไป
ความหมายของถ้อยคาท้งั หมดจะไพเราะร่นื หูกว่าประโยคในตัวอยา่ งชดุ ที่ 1
ข้อความที่เป็นคาตอบก็เช่นเดียวกันไม่ว่าจะตอบรับหรือตอบปฏิเสธถ้าหากมีคาลงท้ายจะ
แสดงออกทางภาษามคี วามสุภาพไพเราะสละสลวยยง่ิ ข้ึน
ส่วนประการต่อมา คาบางคาในภาษาไทยสามารถใช้คาอื่นแทนได้โดยไม่เปล่ียนแปลง
ความหมาย แต่ให้ความรู้สึกท่ีดีแก่ผู้ฟังมากกว่า อาจเรียกว่าเป็นการใช้คาในเชิงเปรียบเทียบ
ดงั ตัวอย่าง
ผอม ใชว้ ่า ซบู บอบบาง หนุ่ นางแบบ
โกหก ใช้วา่ เล่านิทาน นักปัน้ เรื่อง
คนชรา คนแก่ ใชว้ ่า ผูส้ งู อายุ ผอู้ าวุโส ผทู้ ่อี าบน้าร้อนมาก่อน
ขี้เกียจ ใช้ว่า ขยันน้อย
โง่ ใชว้ ่า ฉลาดนอ้ ย
คนขี้เหนยี ว ใช้วา่ ไมช่ อบจา่ ยเงนิ
เกลยี ด ใช้วา่ ไม่ชอบ
77
คาบางคามีความหมายไม่ต่างกัน แต่อาจเป็นความนิยมของสังคมซึ่งเห็นพ้องกันว่าเม่ือใช้
แล้วมคี วามหมาย “รืน่ หู” และทาให้พึงพอใจมากกวา่ มตี ัวอยา่ งดังนี้
ซอ้ื อะไรคะ, ซ้ืออะไรอีกคะ ใช้ว่า ขาดเหลอื อะไรไหมคะ
ใช้ว่า รับอะไรดคี ะ
ใช้ว่า รบั อะไรเพมิ่ ดีคะ
นอกจากนี้ คานามหลายคาในภาษาไทยมีความหมายโยงใยหรือนาไปเปรียบเทียบกับของ
หยาบของลบั ได้ ก็มขี อ้ กาหนดให้เปล่ยี นเป็นอกี อย่างซึ่งฟงั ดูไพเราะมากกวา่ ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี
ปลาสลดิ ใหใ้ ชว้ ่า ปลาใบไม้
ปลาช่อน ให้ใช้วา่ ปลาหาง
สากกะเบอื ให้ใชว้ า่ ไมต้ ีพรกิ
อน่ึง การทาคาสภุ าพไพเราะรน่ื หูยังปรากฏในคาอน่ื ๆ ของไทยอกี เปน็ จานวนมาก เชน่
หมา ใหใ้ ชว้ ่า สุนัข
วัว ใหใ้ ชว้ า่ โค
ควาย ใหใ้ ช้วา่ กระบือ
หวั ให้ใชว้ ่า ศรี ษะ
ผักบ้งุ ให้ใช้วา่ ผักทอดยอด
ผักกระเฉด ใหใ้ ช้ว่า ผกั รู้นอน
ข้ี ให้ใชว้ า่ มูล
เยยี่ ว ใหใ้ ชว้ ่า ปสั สาวะ
ดอกซ่อนชู้ ให้ใชว้ ่า ดอกซอ่ นกล่ิน
กล่าวโดยสรุป ทักษะการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ศัพท์สแลง คาต้องห้าม Hate Speech
และคาร่นื หู แสดงใหเ้ หน็ ชดั เจนว่าการใช้ภาษาของคนไทยผกู พันอย่กู บั บรบิ ทสงั คมเป็นสาคญั ซ่งึ เป็น
มูลเหตุที่ทาให้เกิดภาษาสุภาพ 4 ประการ คือ ใช้เพื่อแสดงออกเรื่องความสุภาพอ่อนโยน แสดงออก
เร่ืองความเคารพและให้เกียรติผู้ท่ีสนทนาด้วย เป็นส่ิงวัดระดับการแสดงออกทางวัฒนธรรมของผู้ใช้
ภาษา และเพ่ือให้คาไพเราะย่งิ ขึน้ นัน่ หมายถงึ การเลือกใช้ภาษาอยา่ งเหมาะสมถกู ต้องตามกาลเทศะดว้ ย
ทกั ษะสัมพนั ธ์
การนาทักษะทางภาษาทั้ง 4 ได้แก่ ฟัง พูด อ่าน และเขียน มาสัมพันธ์กับทักษะการคิด แล้ว
ถอดรหัส (Decode) ภาษานั้นออกมาเป็นสาร (Message) หรือใจความสาคัญ กระบวนการของการ
ถอดรหัสนั้นต้องอาศัยกลวิธีต่าง ๆ เช่น การแปลความ การถอดความ การสรุปความ การย่อความ
การขยายความ และการตีความ เป็นต้น การใช้กระบวนการตา่ ง ๆ เหลา่ น้ี จะเป็นเครอ่ื งยืนยันให้เห็น
วา่ ภาษาเป็นเร่อื งของการสัมพันธ์ทักษะท่ีต้องทาเป็นกระบวนการหรือเป็นข้ันตอน อีกท้ังกระบวนการ
ท่ีกล่าวน้ีจะเอื้อให้การถอดรหสั ภาษาเป็นไปอย่างกว้างขวาง ลุ่มลึก ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
78
กลวธิ ใี นการสร้างกระบวนการทกั ษะสัมพันธท์ างภาษา มีดังน้ี
1. การแปลความ เป็นกิจกรรมทางภาษาท่ีสัมพันธ์เก่ียวเนื่องกับ “กระบวนการรับสาร” ทั้ง
ทักษะการอ่านและการฟัง ซ่ึงกระบวนการดังกล่าวมีส่วนเสริมสร้างให้ทักษะการรับสารเป็นไปอย่าง
สร้างสรรค์ ซ่ึงในที่นี้จะกล่าวเฉพาะทักษะการอ่าน การแปลความหรือการอ่านแปลความเป็น
กระบวนการท่ีมุ่งให้ผู้อ่านทาความเข้าใจกับ “ถ้อยคา” ตลอดจนสัญลักษณ์ต่าง ๆ หรือมุ่งให้เข้าใจ
“สาระ” ของสารน้ันอย่างกว้างๆ เช่น ควรทราบนิยามของคาหรือสื่อสัญลักษณ์ต่าง ๆ วา่ หมายถึงสิ่ง
ใดหรือใช้แทนสิ่งใด ซึ่งถ้าผู้อ่านไม่ทราบความหมายก็ต้องค้นคว้า เช่น ค้นคว้าจากพจนานุกรม หรือ
การแปลศัพท์ หรือถ้อยคา สานวน ในศาสตร์สาขาต่าง ๆ ก็ตอ้ งอาศยั พจนานุกรมเฉพาะสาขา ซึ่งอาจ
อย่ใู นรูปของศัพท์บัญญตั ิเฉพาะสาขาน้นั ๆ ก็ได้
2. การถอดความ ในภาษาไทยมักใช้เฉพาะกับบทประพันธ์ที่เป็นร้อยกรอง ซ่ึงเรียกรวมว่า
การถอดคาประพันธ์ คือ การกล่าวซ้าความเดิมโดยเปลี่ยนภาษาให้เข้าใจง่ายย่ิงข้ึนโดยเปล่ียนจาก
ภาษากวีให้เป็นภาษาร้อยแก้วท่ีใช้สื่อความหมายในชีวิตประจาวัน การถอดความไม่จาเป็นต้องแปล
ทุกตัวอักษร แต่พยายามเก็บความเดิมไว้อย่างครบถ้วน การถอดความกับการแปลความนั้นมี
ความสัมพนั ธ์กนั ท่ี การถอดความต้องอาศัยการแปลความด้วย
3. การย่อความ คือ การเก็บใจความสาคัญของเร่ืองต่างๆ แล้วเรียบเรียงขึ้นมาใหม่โดยใช้
สานวนภาษาของตนเอง ข้อความท่ีเรียบเรียงใหม่นั้นจะต้องมีความกระชับ รัดกุม สละสลวย และมี
ใจความสาคัญถูกตอ้ ง ครบถว้ น โดยการเขยี นย่อความจากเรื่องท่อี า่ นมหี ลัก ดงั นี้
3.1 ขั้นแรก ต้องอ่านเร่ืองท่ีจะย่อนั้นตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียดเสียก่อน เพื่อให้
เข้าใจเร่ืองโดยรวมและเข้าใจวา่ ผู้แตง่ ตอ้ งการเสนอความคดิ ใดเป็นสาคัญ
3.2 ข้ันต่อมา คือ อ่านเรื่องอีกครั้งหนึ่งโดยจับใจความสาคัญในแต่ละย่อหน้าและ
บันทึกเป็นวลี หรือประโยคด้วยภาษาของตนเอง แต่อย่างไรก็ตามบางย่อหน้าเป็นข้อความที่มี
รายละเอียดหรือ ประเดน็ ไมส่ าคญั ผู้ย่อความกค็ วรพิจารณาย่อหน้านัน้ ๆ ตามความเหมาะสม
3.3 ผู้ย่อความจะต้องพิจารณาแต่ละย่อหน้าว่าส่วนใดเป็นพลความ ส่วนใดเป็น
ใจความสาคัญ ในการจับใจความสาคัญจะต้องแยกพลความ หรือความประกอบออกจากใจความ
สาคญั
3.4 ขั้นตอนสุดท้าย คือ เมื่อจับใจความสาคัญของท้ังเรื่องหมดแล้ว ก็เรียบเรียง
เนอื้ หา ให้ถูกตอ้ งตามรูปแบบของการย่อความ
4. การจับใจความสาคัญ คือ การทผ่ี ู้อา่ นเขา้ ถงึ สาระสาคัญของข้อเขียนในแงต่ ่างๆ เช่น เนื้อ
เรื่องสาคัญ ความรู้หรือข้อมูลท่ีน่าสนใจ แนวคิดหรือเจตคติทส่ี าคัญของผ้เู ขียน การอ่านให้เข้าใจเรื่อง
ที่อ่านถือเป็นหัวใจของการอ่าน เพราะเป็นการอ่านที่เน้นให้เห็นถึงจุดสาคัญของเร่ือง โดยท่ัวไป
การเขียนเร่ืองหนึ่ง ๆ นั้นจะประกอบด้วยข้อมูลท่ีเป็นใจความสาคัญ และพลความเท่าน้ัน แล้ว
เรยี บเรียงดว้ ยภาษาของตนเอง
ใจความสาคัญ คือ ความคิดสาคัญของผู้เขียนที่แสดงไว้ในงานเขียนเป็นใจความสาคัญและ
เด่นท่ีสุดในย่อหน้า เป็นแก่นของย่อหน้าท่ีสามารถครอบคลุมเนื้อความในประโยคอ่ืนๆ ในย่อหน้าน้ัน
ได้ ถ้าได้ตัดเน้ือความของประโยคอ่ืนออกหมดจะมีประโยคใจความสาคัญเพียงประโยคเดียว หรือ
อย่างมากไม่เกินสองประโยค (ถนอมวงศ์ ล้ายอดมรรคผล, 2529: 542)
79
5. การสรุปความ การอ่านสรุปความ เป็นการอ่านท่ีต่อเนื่องจากการอ่านจับใจความสาคัญ
เมื่อผู้อ่านสามารถจับใจความสาคัญได้ ย่อมสรุปประเด็นสาคัญของการอ่านแต่ละครั้งได้ จุไรรัตน์
ลักษณะศิริ (2540: 229-237) ไดแ้ นะนาวธิ กี ารสรปุ ความ สรุปได้ดงั นี้
5.1 อ่านเร่ืองที่ต้องการสรุป 2 ครั้ง ครั้งแรกอ่านคร่าวๆ ให้เข้าใจเรื่องหรือจับ
ใจความโดยรวมก่อน แล้วจึงอ่านครั้งที่สอง เพื่อจับใจความสาคัญที่เป็นความคิดหลักของผู้เขียนใน
แต่ละ ย่อหน้า (หรือกลุ่มย่อหน้า) ถ้าย่อหน้าใดผู้เขียนไม่ได้แสดงประโยคใจความสาคัญไว้เด่นชัด
ผู้สรุปต้องพิจารณาความคดิ หลกั ดว้ ยตนเอง แลว้ สรปุ ออกมาเปน็ ภาษาของตนเอง
5.2 เรียบเรียงใจความที่ได้มาจากแต่ละย่อหน้าด้วยภาษาของตนเองอย่างกระชับ
รัดกุม และเช่ือมโยงความคิดหลกั ในแต่ละข้อความด้วยคาเชื่อมที่เหมาะสม เป็นเหตุเป็นผลตามลาดับ
ขนั้ ตอน บางครัง้ อาจเรียงลาดบั ความคิดหลักเสียใหม่ เพอื่ ใหก้ ารเขียนรดั กมุ ยง่ิ ขนึ้
ดังนั้น การอ่านสรุปความควรดาเนนิ การตามข้ันตอนต่อไปนี้
ข้ันที่ 1 อ่านผ่าน ๆ โดยตลอดเพื่อให้รู้ว่าเรื่องน้ันว่าด้วยเรื่องอะไร จุดใดท่ีเห็นว่าเป็น
จุดสาคัญของเร่อื ง
ขั้นที่ 2 อ่านโดยละเอียด โดยอ่านตลอดอีกคร้ัง ทาคามเข้าใจให้ชัดเจน และเห็น
ความสัมพนั ธร์ ะหว่างความคิดตา่ ง ๆ ในเรอ่ื ง โดยอาจมกี ารขดี เส้นใต้ขอ้ ความท่ีเห็นวา่ สาคัญไว้
ขั้นท่ี 3 อ่านซ้าเฉพาะตอนท่ไี มเ่ ข้าใจและตรวจสอบความเข้าใจในบางแห่งให้แนน่ อน
ข้ันที่ 4 ทดสอบความเข้าใจด้วยการตอบคาถามสั้นๆ เกี่ยวกับประเด็นของเร่ืองและใจความ
สาคญั เชน่ ถามวา่ เร่ืองอะไร ทไี่ หน เม่อื ไร อย่างไร ทาไม เป็นต้น
ข้นั ที่ 5 เรียบเรียงใจความสาคญั และรายละเอียดท่ีจาเป็นด้วยภาษาของตนเองท่ีเห็นว่าจะทา
ให้เข้าใจเรื่องได้ชัดเจนถูกต้องท่ีสุด โดยอาจให้รายละเอียดท่ีจาเป็นของใจความสาคัญเพ่ิมเติมให้ได้
เนื้อความท่ีสมบูรณ์
6. การขยายความ การอ่านขยายความ เป็นการอ่านเพื่อขยายความคิดของผู้อ่านให้ลึกซึ้ง
กว้างไกลมากย่ิงกว่าข้อความที่อ่านพบ ทั้งนี้อาจขยายได้โดยเพ่ิมเหตุผล ข้อเท็จจริง หรือการ
ยกตัวอย่างประกอบเพ่ือ ให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย ทัศนีย์ กระต่ายอินทร์ และ สุภิตร อนุศาสตร์.
(2542: 168) ไดใ้ ห้ขอ้ คดิ เกี่ยวกบั การขยายความไว้ ดังนี้
6.1 การขยายความต้องใช้ภาษาดี ถูกต้องและเข้าใจง่าย เหมาะสาหรับ
กลุ่มเป้าหมายไม่วา่ จะเปน็ การขยายโดยการพดู หรอื การเขียน
6.2 เน้ือหาสาระถูกต้องเหมาะสม โดยเฉพาะข้อมูลต่าง ๆ ท่ียกมาอ้างอิงต้องมี
การตรวจสอบใหแ้ นช่ ัดไมผ่ ดิ พลาด มีการขยายความที่ลึกซ้ึงและสรา้ งสรรค์
6.3 เรยี งลาดับเนื้อหาอย่างเป็นระบบให้มีความสัมพันธ์ต่อเน่ืองกัน อาจลาดับความ
เร่ืองที่เกิดก่อนไปสู่เร่ืองที่เกิดภายหลัง หรืออาจลาดับเร่ืองไปตามความสาคัญ หรือลาดับเรื่องไปตาม
เหตผุ ล เป็นตน้
6.4 ถ้าเป็นการขยายความโดยการเขียน รูปแบบการเขียนและการพิมพ์ ต้อง
เหมาะสมแบ่งหัวข้อให้ลดหลัน่ ตามลาดบั
กล่าวโดยสรุป ทักษะทางภาษาที่จาเป็นอย่างย่ิงในชีวิตประจาวัน ได้แก่ ทักษะการฟัง
ประกอบด้วยจุดมุ่งหมายของการฟัง ข้ันตอนของการฟัง หลักการฟัง มารยาทของการฟังที่ดี ทักษะ
80
การพูดประกอบด้วย ประเภทของการพูดในโอกาสต่าง ๆ การฝึกพูดในโอกาสต่าง ๆ ทักษะการอ่าน
ประกอบดว้ ย วตั ถุประสงค์ของการอา่ น ลกั ษณะของการอ่าน ข้ันตอนการอ่าน ประโยชน์ของการอ่าน
และทักษะการเขียน ประกอบดว้ ย จุดประสงคข์ องการเขยี น หลักการเขยี น ประเภทของการเขยี น ซ่ึง
ในแต่ละวันมนุษย์ใช้ทักษะท้ัง 4 ในการติดต่อสื่อสารกัน โดยไม่สามารถหลีกเล่ียงได้ การฝึกฝนและ
พฒั นาทกั ษะทางการฟัง พดู อา่ น และเขียนให้เพิ่มพูนอยเู่ สมอจะช่วยให้ผใู้ ชภ้ าษาประสบความสาเร็จ
ในการดาเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ ทักษะทั้ง 4 มีลักษณะสัมพันธ์เกื้อหนุนกันผู้ท่ีมี
ความสามารถรบั สารได้ดี แสดงถึงการมีทกั ษะการฟัง การอ่านทด่ี ีก็จะสามารถส่งสารกอปรดว้ ยทักษะ
การพูดและทักษะการเขียนได้ดีเช่นกัน ดังนั้นการศึกษาทักษะทางภาษา และกระบวนการทักษะ
สัมพันธ์ทางภาษา รวมถึงทักษะการแปลความ การถอดความ การย่อความ การจับใจความสาคัญ
การสรุปความและการขยายความ ลว้ นแต่เปน็ ส่งิ ทจี่ าเป็นและเปน็ ประโยชน์ต่อผศู้ กึ ษาอย่างมาก
81
สรปุ
ในการสร้างเสริมและพัฒนาทักษะการสื่อสารทั้งการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน และการ
เลอื กใชถ้ ้อยคาภาษาใหถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมกับกาลเทศะ มีความไพเราะ ไมใ่ ชส้ านวนถ้อยคาท่ีรุนแรง ทา
ร้ายจิตใจผู้ฟัง คือ ทักษะการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ซ่ึงเป็นกระบวนการทักษะสัมพันธ์ โดยทุก
ข้ันตอนนั้นมีกระบวนการคิดเป็นกลไกสาคัญทางานควบคู่ด้วยกันตลอด ผู้ท่ีจะเป็นครูจึงควรต้อง
ศึกษาและพัฒนาในรายละเอียดให้ถ่องแท้ชัดเจนในเร่ืองต่อไปนี้ คือ 1) ทักษะการสื่อสารทั้งการฟัง
ท้ังข้ันตอนการพัฒนาทักษะการฟัง ประเภทของ การฟัง การฟังอย่างมีประสิทธิภาพ ลักษณะและ
มารยาทการฟังที่ดี 2) ทักษะการสื่อสารการพูด ประกอบด้วย ประเภทของการพูดในโอกาสต่าง ๆ
และหลักการพูดในโอกาสต่าง ๆ 3) ทักษะการสื่อสารการอ่าน ประกอบด้วย การพัฒนาทักษะการ
อ่าน ความสัมพันธ์ของการอ่านคิด คุณลักษณะของนักอ่านคิดวิเคราะห์ ประโยชน์ของการอ่าน 4)
ทกั ษะการสื่อสารการเขียน ประเภทของการเขียน การเขยี นโครงเร่ืองและข้ันตอนการเขียนโครงเร่ือง
การวิเคราะห์ผู้อ่าน และลักษณะงานเขียนท่ีดี 5) ทักษะการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ประกอบด้วย
การใช้ภาษา ศัพท์สแลง คาต้องห้าม Hate Speech คาร่ืนหู 6) ทักษะสัมพันธ์ ท้ังทักษะการฟัง พูด
อ่าน เขียนและกระบวนการคดิ การหม่นั ฝกึ ฝนและพัฒนาจะช่วยเพ่ิมพูนทกั ษะใหส้ ัมฤทธิผลในทักษะ
การใชภ้ าษา
82
กจิ กรรมท้ายบท
1. อธิบายถึง การนาข้ันตอนของการพัฒนาทักษะการฟัง เพ่ือให้การฟังเกิดประสิทธิภาพใน
การดาเนินชวี ติ และการประกอบอาชีพ
2. จากคาประพนั ธ์ ทา่ นฟังแล้วทา่ นมคี วามคิดเหน็ อยา่ งไร
“โยกเยกเอย นา้ ทว่ มเมฆ
กระต่ายลอยคอ หมาหางงอกอดคอโยกเยก”
3. อภิปรายเก่ียวกับการนาขั้นตอนของการพูดในโอกาสต่างๆ เพ่ือนาไปประยุกต์ใช้กับท่าน
อยา่ งเหมาะสม
4. จากคาประพันธ์: ท่านมีความคดิ เห็นอยา่ งไรเกย่ี วกบั ทกั ษะการสอื่ สารด้วยการพดู
“ถงึ บางพูดพูดดีเปน็ ศรีศักด์ิ มีคนรักรสถ้อยอรอ่ ยจิต
แมน้ พูดชั่วตวั ตายทาลายมิตร จะชอบผดิ ในมนุษยเ์ พราะพดู จา”
(นริ าศภเู ขาทอง: กลอนสนุ ทรภู่)
5. อภปิ รายเกี่ยวกับคุณลักษณะของนักอ่านคดิ วเิ คราะห์ โดยแสดงเหตผุ ลสนับสนนุ ด้วย
6. คากลา่ วที่วา่ “ใครอา่ นวรรณคดเี ร่ืองสามกก๊ จบ 3 รอบ เปน็ คนที่คบไม่ได้”
ทา่ นมีความเชอ่ื หรือไม่ มีเหตผุ ลสนับสนุนอย่างไร
7. อธิบายเก่ียวกับการนาการเขียนแต่ละประเภทไปใช้ในการปฏิบัติงานอาชีพครู พร้อม
ยกตวั อยา่ งประกอบ
8. แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานเขียนท่ีท่านมีความประสงค์ที่จะอ่านเป็นอย่างมาก ว่ามี
ลักษณะเปน็ งานเขียนทดี่ ีอย่างไร
9. วเิ คราะหเ์ ปรยี บเทียบระหว่าง ศัพท์สแลง คาต้องห้าม ประทุษวาจา (Hate Speech) และ
คารนื่ หู กับบริบทของสังคมไทย
10. วเิ คราะหท์ กั ษะสัมพนั ธท์ างภาษา กับการนาไปใชใ้ นอาชีพ พร้อมแสดงตัวอยา่ งทเี่ ป็นรปู ธรรม
83
เอกสารอ้างองิ
เกิดศิริ ชมภูกาวิน. (2556). รายงานการวิจัยเรื่อง การใช้กิจกรรมเชิงปฏิสัมพันธ์เพื่อส่งเสริม
ความสามารถในการฟัง-พูดภาษาอังกฤษของนักศึกษา. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
ล้านนา ภาคพายัพ เชยี งใหม่.
คณาจารย์สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์. (2563). GEL 1001 การใช้
ภาษาไทย(Thai Usage). สาขาวิชาภาษาไทย คณ ะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนสนุ ันทา.
จนิ ดา งามสทุ ธ.ิ (2531). การพดู . กรุงเทพฯ: โอ.เอส.พร้ินตงิ้ เฮาส์.
จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ. (2540). ภาษากับการส่ือสาร (ฉบับปรับปรุง). นครปฐม: มหาวิทยาลัย
ศิลปากร.
ชาญชัย ชัยสุขโกศล. (2556). Hate Speech และข้อมูลที่อันตราย: ทางเลือกวิธีตอบโต้ทาง
ก า ร เ มื อ ง (Hate Speech & Harmful Information: Alternatives for Political
Response). ศนู ยศ์ กึ ษาและพัฒนาสันตวิ ธิ ี มหาวิทยาลยั มหดิ ล.
ถนอมวงศ์ ล้ายอดมรรคผล. (2529). “การพัฒนาสมรรถภาพในการอ่าน” เอกสารการสอนชุด
วิชาการอา่ นหนว่ ยท่ี 9-15. (พิมพ์ครง้ั ที่ 4). นนทบรุ ี: มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.
ทศั นยี ์ กระต่ายอินทร์ และ สุภติ ร อนุศาสตร์. (2542). ภาษาไทยเพอื่ การสอื่ สารและการสบื ค้น
(เอกสารประกอบการเรียน). ลพบรุ ี: ภาควชิ าภาษาไทยและบรรณารกั ษ์ศาสตร์
สถาบนั ราชภฏั เทพสตรี.
นิธิ เอียวศรวี งศ.์ (2555). “โทสวาท.” มติชนสดุ สัปดาห์. (ฉบบั วันท่ี 13-19 มกราคม 2555),
หน้า 25.
ญาณศิ า สู่ทรงดี และสุชาดา รตั นวาณิชยพ์ นั ธ์. (2555). ความสามารถในการฟังภาษาองั กฤษ
เพ่ือการสื่อสารของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขต
พ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จังหวัดสุรินทร์. วารสารมหาวิทยาลัยนครพนม. ปีท่ี 2
ฉบับท่ี 1(มกราคม – เมษายน 2555), หนา้ 55.
บญุ ยงค์ เกศเทศ. (2549). วิธคี ดิ วิธเี ขียน. กรงุ เทพฯ: หลักพมิ พ.์
ปราณีต ม่วงนวล. (2562). การฟงั การพูดเพ่อื สมั ฤทธผิ ล (Listening and Speaking for
Achievement). กรงุ เทพฯ: สหธรรมกิ .
. (2560). การอ่านคิดวเิ คราะห์ (Analytical Reading). กรงุ เทพฯ: สหธรรมกิ .
. (2558). อุ้มบุญ: ละเมิดสิทธิ หรือ ค้ามนุษย์. บทความอ่านเสริมในวิชาสังคมไทยและ
สังคมโลก คณะมนุษย์ศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจา้ พระยา.
เปล้อื ง ณ นคร. (2542). การใช้ภาษาไทย. กรงุ เทพฯ: ต้นออ้ .
พชร บัวเพยี ร. (2536). วาทวิทยา กลยุทธ์การพูดอย่างมีประสทิ ธผิ ลในทกุ โอกาส. (พมิ พ์ครั้งที่ 2).
กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ Bj. Plate Processor.
พระยาโกมารกุลมนตร.ี (รวบรวม). (2503). โคลงทาย และ วสิ ัชนา. (พิมพค์ รง้ั ท่ี 2). พระนคร:
โรงพมิ พบ์ ารงุ นุกลู กิจ.
84
พิชญ์ พงษ์สวสั ด์.ิ (2556). “ถ้อยคาแหง่ ความเกลียดชัง (Hate Speech): มหี รือไม่มี ?.” มติชน,
(11 มิถุนายน 2556), หนา้ 2.
ภัทรกานต์ ภัทรธารง. (2560). การเปิดรับและความคิดเห็นต่อเนือหาประทุษวาจา (Hate
Speech)ของผู้รับสารสื่อออนไลน์: กรณีศึกษาเฟซบุ๊กแฟนเพจ“หยุดดัดจริตประเทศไทย”.
วิทยานิพนธ์วารสารศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาส่ือสารมวลชน คณะวารสารศาสตร์และ
สอื่ สารมวลชนมหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์.
มกราพันธ์ จูฑะรสก. (2556). การคิดอย่างเป็นระบบ: การประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน
(ฉบบั ปรบั ปรงุ ). กรงุ เทพฯ: ธนาเพรส.
ราชบัณฑิตสถาน. (2546). พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรงุ เทพฯ: นานมบี ุคส.์
รุ่งพนอ รักอยู่ และสุชาดา รัตนวาณิชย์พันธ์. (2560). ความสามารถด้านการฟังภาษาอังกฤษเพื่อ
ความเข้าใจของนักศึกษาไทยท่ีเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ ในสถาบันการพล
ศึกษาในเขตภาคกลาง. วารสารชุมชนวิจัย. ปีที่ 11 ฉบับที่ 3 (กันยายน - ธันวาคม 2560),
หนา้ 91.
วรเดช จันทรศร. (2555). ปรัชญาของการบริหารภาครัฐแนวใหม่: ทฤษฎี องค์ความรู้ และ
การปฏริ ูป.กรงุ เทพฯ: สหายบล็อกและการพิมพ์.
ว.วชั รเมธี. “จงมชี วี ิตทไี่ ด้ ใชช้ ีวิต”. “ใชช้ ีวติ ” โดย ท่าน ว.วชริ เมธี. สืบค้นเม่อื วันท่ี 1
พฤษภาคม 2563, เขา้ ถึงได้จาก.https://www.youtube.com/watch?v=VNpUYS6Z9TQ.
วัลลภา เทพหัสดนิ ณ อยุธยา. (2541). “หลักการเขียนท่วั ไป” ภาษาไทย 2. นนทบรุ ี: เอสพีพรน้ิ ต้ิง.
วจิ ติ ร อาวะกุล. (2527). เพื่อการพูด การฟังและการประชุมทด่ี .ี (พิมพค์ รั้งท่ี 2) กรุงเทพฯ:
ไทยวัฒนาพานชิ .
วิรัช ลภิรัตนกุล. (2543). วาทนิเทศและวาทศิลป์: หลักทฤษฎีและวิธีปฏิบัติยุคสหัสวรรษใหม่.
กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร.์
วีระ ไทยพานชิ ย. (2535). ศลิ ปะการพูด. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั รามคาแหง.
ศรจี ันทร์ วชิ าตรง. (2542). หลกั ภาษาไทย. กรุงเทพฯ: สถาบันราชภัฏพระนคร.
สุนนั ท์ อัญชลีนุกลู . (2547). ระบบคา้ ภาษาไทย. (พิมพ์ครั้งท่ี 2). กรงุ เทพฯ: โครงการเผยแพรผ่ ลงาน
ทางวชิ าการ คณะอักษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
สุเมธ แสงนิ่มนวล และไอศรู ย์ ดรี ตั น.์ (2548). แนวทางตวั อย่างการพูดในโอกาสตา่ งๆ (ภาค 2).
(พมิ พค์ ร้งั ที่ 6). กรงุ เทพฯ: บคุ๊ แบงก์.