บทท่ี 5
วัฒนธรรมไทยสำหรับครู
ประเทศไทยมีวัฒนธรรมท่ีแสดงถงึ ความรุ่งเรืองในประวัติศาสตร์ประกาศเอกลักษณ์ ศักด์ิศรี
และความสามัคคี นาความเป็นปึกแผ่นม่ันคงมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์รวมนาใจของชนในชาติ
มีพระพุทธศาสนาเป็นธงชัยในการดาเนินชีวิตของสังคมไทย กระแสวัฒนธรรมไทยได้มีวิวัฒนาการ
ต่อเน่ืองอย่างไม่หยุดยังนับตังแต่ก่อนยุคสุโขทัยมาจนถึงปัจจุบัน วัฒนธรรมไทย คือ ความเป็นแบบ
แผนด้านความคิด ความเชือ่ และการแสดงออกของการกระทาอันเป็นวถิ ีชีวิต ความเปน็ อยขู่ องมนุษย์
ในสังคมไทยในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างตามถิ่นท่ีอยู่อาศัยหรือภูมิภาคนัน ๆ มีการสร้าง
ระเบียบกฎเกณฑ์ แนวทางการปฏิบัติ การจัดระเบียบสังคมตลอดจนความเช่ือ ศาสนา ค่านิยม
ความรู้ และเทคโนโลยีต่าง ๆ นาประยุกต์และใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ทางธรรมชาติท่ีมี โดยมี
“วัฒนธรรม” เป็นเครื่องมือในการวัดความเจริญงอกงามทางด้านวัตถุหรือด้านจิตใจ อีกทังเป็น
ตัวกาหนดแนวทางวิถีการดาเนินชีวิต ให้เปน็ ไปตามแบบแผนทางสังคม รวมถึงเปน็ ตัวชีวัดความเส่ือม
ของสังคม
พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติพุทธศักราช 2485 กาหนดความหมายของ วัฒนธรรม
ไว้ว่า หมายถึง ลักษณะท่ีแสดงถึงความเจริญงอกงามความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความกลมเกลียว
ก้าวหน้าของชาติ และศีลธรรมอันดีของประชาชน ทังได้ระบุลักษณะวัฒนธรรมอันจะพึงกาหนดพระ
ราชกฤษฎีกาได้เป็นความละเอียดปลีกย่อยออกไปอีกด้วย ประกอบไปด้วย 1). ความเป็นระเบียบ
เรี ย บ ร้ อ ย ใน ก า ร แ ต่ ง ก า ย จ ร ร ย า ม าร ย า ท ใน ท่ี ส าธ าร ณ ส ถ า น ห รื อ ที่ ป ร า ก ฏ แ ก่ ส าธ าร ณ ะ ช น
2). ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการปฏิบัติตนและปฏิบัติต่อบ้านเรือน 3). ความเป็นระเบียบ
เรียบร้อยในการประพฤติตนอันนามาซึ่งเกียรติของชาติไทยและพระพุทธศาสนา 4). ความมี
สมรรถภาพและมารยาทเก่ียวกับวธิ ีดาเนินงานอาชีพ 5).ความเจริญงอกงาม แห่งจิตใจและมีศีลธรรม
ของประชาชน 6).ความเจรญิ กา้ วหนา้ ในทางวรรณกรรมและศิลปกรรม 7). ความนิยมไทย
ควำมหมำยของวฒั นธรรมไทย
การศึกษาความหมายของวัฒนธรรมไทยจากแนวคิดของนักวิชาการหรือนักสังคมวิทยาได้
กลา่ วไว้ดังนี
พระยาอนุมานราชธน (ม.ป.ป.: 16) ได้ให้ความหมายของวัฒนธรรมไว้วา่ วัฒนธรรม คือ สงิ่ ที่
มนุษย์ได้เรียนรู้การเปลี่ยนแปลงปรับปรุงหรือผลิตสร้างขึนใหม่เพื่อความเจริญงอกงามในวิถีชีวิตที่มี
การดารงอยู่ร่วมกัน เป็นทังความคิดเห็นหรือการกระทาของมนุษย์ในส่วนรวมที่เป็นลักษณะเดียวกัน
และปรากฏให้เห็นเป็นภาษา ความเชื่อ ระเบียบ ประเพณีและยังสามารถเลียนแบบและถ่ายทอดสืบ
ทอดต่อกนั มาทางวัฒนธรรมได้
นิพนธ์ สุขสวัสด์ิ (2524: 2) กล่าวได้ว่า วัฒนธรรม คือความเจริญงอกงามสิ่งดีงามท่ีมนุษย์
สร้างขึนหรือเรียกกันว่ามรดกวัฒนธรรมทางสังคม เพราะวฒั นธรรมเป็นส่ิงทีม่ นุษย์ได้รบั การถ่ายทอด
และการสืบทอดมาจากบรรพบรุ ุษต่อ ๆ กนั มาจนถึงอนุชนร่นุ หลัง
130
ประภาศรี สีหะอาไพ (2533: 471) กล่าวว่า วัฒนธรรม คือ ปัญญา ความรู้สึก และกิริยา
อาการท่ีมนุษย์แสดงออกให้เห็นเป็นส่ิงต่าง ๆ ตลอดจนนิสัย ความประพฤติในส่วนรวม ซ่ึงไม่ได้
เกิดขึนเองตามธรรมชาติ สภาพแห่งความเจริญงอกงาม และมีวิวัฒนาการเป็นความเจริญอยู่เรื่อย
ถือเป็นมรดกแห่งสังคม เพราะมนุษย์เป็นทายาทรับช่วงไว้ เพ่ือเป็นจารีตประเพณีสืบต่อกันไว้ไม่ขาด
ตอน เกิดเป็นวธิ ีของสังคมความผาสกุ ความเจริญในชีวิต
สุพัตรา สุภาพ (2536: 107) ให้ความหมายของวัฒนธรรมว่า มีความหมายครอบคลุมถึงทุก
สง่ิ ทุกอย่างอันเป็นแบบแผนในความคิด และการกระทาท่ีแสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมของ
ชนกลุ่มใดกลุ่มหน่ึงหรือสังคมใดสังคมหน่ึง มนุษย์ได้คิดสร้างระเบียบกฎเกณฑ์ วิธีการในการปฏิบัติ
การจัดระเบียบ ตลอดจนความเช่ือ ค่านิยมความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ ในการควบคุมและใช้
ประโยชน์จากธรรมชาติ
พวงผกา ประเสริฐศิลป์ (2541: 3) ได้ให้ความหมายของวัฒนธรรมว่า หมายถึง ข้อกาหนดที่
ใหม้ นุษย์ปฏิบัติ เพอื่ ก่อให้เกิดความเจรญิ งอกงามทังทางด้านกายวาจาและใจไปพรอ้ ม ๆ กันจะมีเพยี ง
อย่างใดอยา่ งหนงึ่ ไมไ่ ด้
พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช 2553 (2553: 1) ได้ให้ความหมายของ
วฒั นธรรมไวว้ า่ วัฒนธรรมเป็นวิถกี ารดาเนินชีวติ ความคดิ ความเชอ่ื ค่านยิ ม จารีตประเพณี พิธกี รรม
และภูมิปัญญา ซ่ึงกลุ่มชนและสังคมได้ร่วมสร้างสรรค์ ส่ังสม ปลูกฝัง สืบทอด เรียนรู้ ปรับปรุง และ
เปลีย่ นแปลง เพอื่ ใหเ้ กิดความเจริญงอกงามทงั ทางด้านจติ ใจและวตั ถุอย่างสนั ติสขุ และยัง่ ยนื
จากความหมายข้างต้น สรุปได้ว่า วัฒนธรรมไทย หมายถึง วิถีการดาเนินชีวิตของคนไทยท่ี
เป็นแบบแผนของการประพฤติท่ีดีงาม และการแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดในสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ี
ผู้คนในสังคมไทยสามารถรับรู้ เข้าใจ ซาบซึง ยอมรับ และปฏิบัติร่วมกันได้ในสังคมไทย ทังในด้าน
ภาษาและวัฒนธรรม มารยาท การแต่งกาย ประเพณีและพิธีการทางศาสนา ศิลปกรรม นาฏกรรม
และการละเล่นที่แสดงออกถึงความเจริญงอกงาม ร่วมถึงการสร้างสรรค์พัฒนาวัฒนธรรมขึนมาใหม่
อย่างต่อเน่อื ง จนเกดิ เป็นวฒั นธรรมไทย
ควำมสำคญั ของวัฒนธรรมไทย
วัฒนธรรมไทยเป็นสื่อ เครื่องมือ สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นไทย วัฒนธรรมไทยจึงมี
ความสาคัญอย่างยิ่งกับคนไทย วัฒนธรรม เป็นสิ่งท่ีมนุษย์ทาให้เกิดขึน เพื่อความมีสภาพและความ
เป็นอยู่ท่ีต่างจากสัตว์ทังหลาย เป็นสิ่งท่ีทาให้สังคมมีระเบียบแบบแผนมีความสงบสุข และมีความ
เจริญก้าวหน้าทังทางวัตถุและจิตใจ วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือวัดและเคร่ืองกาหนดความเจริญหรือ
ความเสอ่ื มของคนในสังคม ขณะเดียวกันวัฒนธรรมยังกาหนดชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมแต่ละ
สังคมนัน ๆ ได้อีกด้วย ดังนัน วัฒนธรรมจึงมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของคนในสังคม ความ
เจริญกา้ วหน้าของประเทศชาตเิ ป็นอยา่ งมาก หากสงั คมใดมีวฒั นธรรมทีด่ ีงามเหมาะสมแล้ว สงั คมนัน
ย่อมเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ตรงกันข้ามหากสังคมใดมีวัฒนธรรมท่ีล้าหลัง มีแบบของความ
ประพฤตทิ ่ไี มด่ ีมีคา่ นยิ มท่ีไม่เหมาะสมสังคมนนั ก็ยากท่เี จริญกา้ วหน้า และอาจสูญเสียความเป็นชาติได้
เพราะถูกรุกรานทางวัฒนธรรม ดังพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระวชิระเกล้าเจ้าอยู่หัว ความ
ตอนหน่ึงวา่
131
“...คำท้ังหลำยในคำปฏิญำณ อันนั้นคือคำที่สวยงำมมำกและ
ครบถ้วน คือหน้ำท่ีรำชองครักษ์มีหน้ำที่รักษำชำติ บ้ำนเมือง รักษำสถำบัน
รักษำประชำชน ในเวลำเดียวกันรักษำควำมถูกต้องในประเทศ ให้เป็นไปตำม
วัฒนธรรมของประเทศไทย เพรำะว่ำประเทศไทยเป็นประเทศท่ีเก่ำแก่ มี
วฒั นธรรม มีประวัติศำสตร์ มีสถำบัน มีประชำชน ตลอดจนบรรพบุรุษของเรำก็
ได้ทุ่มเทรักษำบ้ำนเมืองมำพ้นควำมวุ่นวำย พ้นอุปสรรคมำมำกมำย
เพรำะฉะน้ันรำชองครักษ์คือ รักษำ สืบทอด สืบสำน ต่อยอด ทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ทำในส่ิงท่ีเป็นผลดีต่อส่วนรวมต่อประชำชน โดยนึกถึงประวัติศำสตร์ นึกถึง
วัฒนธรรมและนึกถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของชำติ เพรำะว่ำประวัติศำสตร์
ขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศ ค่ำนิยมที่ถูกต้องของประเทศ ไม่ใช่สิ่งท่ี
ลำ้ สมัย เป็นสง่ิ ทจ่ี ะต้องดำรงรักษำตอ่ ไป...”
พระรำชดำรสั ของพระบำทสมเดจ็ พระวชริ ะเกลำ้ เจำ้ อยู่หัว
พระรำชทำนแก่พล.อ.ประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชำ นำยกรฐั มนตรี
และผูเ้ ขำ้ เฝำ้ ฯ ทลู ละอองธุลีพระบำทแสดงควำมจงรกั ภักดี
และถวำยสตั ยป์ ฏญิ ำณ
ณ ศำลำดุสดิ ำลัย สวนจิตรลดำ พระรำชวังดสุ ติ
14 เมษำยน 2562
วฒั นธรรม เปน็ กรอบหรือแบบแผนการดาเนินชีวิตของสังคม ทาให้ทุกคนมีประเพณีทีป่ ฏิบัติ
ได้อย่างเหมาะสม เพ่ือให้เกิดการกระทบ และหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกัน หรือ ความวุ่นวาย น้อยลง
วัฒนธรรมท่ีดีจะช่วยส่งเสริมให้สังคมมีความเจริญก้าวหน้ามีความเป็นระเบียบวินัยความสร้างให้
มนุษยม์ คี วามขยันประหยดั อดทนเห็นประโยชนส์ ว่ นรวมมากกวา่ ประโยชน์ส่วนตน
ณรงค์ เสง็ ประชา (2539: 19 - 20) ไดส้ รปุ ความสาคัญของวฒั นธรรมไว้ ดงั นี
1. วัฒนธรรมช่วยแก้ปัญหาและสนองความต้องการต่างๆของมนุษย์ มนุษย์พ้นจากอันตราย
สามารถเอาชนะธรรมชาตไิ ด้ เพราะมนุษยส์ รา้ งวัฒนธรรมขนึ มาชว่ ย
2. วัฒนธรรมช่วยเหน่ียวรังสมาชิกในสังคมให้มีความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน และสังคมท่ีมี
วัฒนธรรมเดียวกนั ย่อมจะมคี วามรูส้ กึ ผกู พันเปน็ พวกเดยี วกัน
3. วัฒนธรรมเป็นเคร่ืองแสดงเอกลักษณ์ของชาติ ชาติท่ีมีวัฒนธรรมสูงย่อมได้รับการยกย่อง
และเปน็ หลกั ประกนั ความม่ันคงของชาติ
4. วัฒนธรรมเป็นเคร่ืองกาหนดพฤติกรรมของคนในสังคม ช่วยให้ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
สขุ ภายใตว้ ฒั นธรรมทางบรรทัดฐาน ที่จะช่วยจัดระเบียบความสัมพนั ธข์ องคนในสงั คม
5. วัฒนธรรมช่วยให้ประเทศชาติมีความเจริญรุ่งเรืองถาวร โดยเฉพาะอย่างย่ิง ถ้า
ชาตินันมีวัฒนธรรมที่ดี มีเจตคติที่ดีในการดาเนินชีวิตท่ีเหมาะสม ยึดม่ันในหลักแห่งเหตุผลใน
การดาเนนิ ชวี ิต ขยนั ประหยัดอดทน มรี ะเบยี บวนิ ัยท่ีดี สงั คมก็จะเจริญรงุ่ เรอื ง
132
จากความสาคัญของวัฒนธรรมข้างต้นอาจกล่าวได้ว่า วัฒนธรรม เป็นปัจจัยสาคัญ
ในการดาเนินชีวิตของมนุษย์ท่ีสามารถช่วยให้มนุษย์และสังคมพัฒนาขึนอย่างเป็นลาดับ ไม่มีที่สินสุด
ทังนีต้องขึนอยู่กับความสามารถของมนุษย์ในการปรับปรุงรับวัฒนธรรมหรือสร้างวัฒนธรรมที่
เหมาะสมขึนมาใช้เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสังคมท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบัน และก่อให้เกิดประโยชน์
แก่การดารงชีวิตในสังคม ดังนัน วัฒนธรรมไทยจึงเป็นเครื่องมือกาหนดการดาเนินชีวิตของคนใน
สงั คมไทยให้ปฏบิ ัติตนเป็นแนวเดียวกันและเป็นเครื่องมือในการดาเนินชวี ติ ให้อยู่ร่วมกันอย่างมคี วามสุข
ประเภทของวัฒนธรรม
วฒั นธรรมสามารถแบง่ ออกได้ตามข้อกาหนดหรือแนวคดิ ทางสังคมวทิ ยาดงั เชน่
สุพัตรา สุภาพ (2542: 35) ไดแ้ บ่งประเภทของวฒั นธรรม ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี
1. วัฒนธรรมท่ีเป็นวัตถุ (Material Culture) ซึ่งได้แก่ ส่ิงประดิษฐ์และเทคโนโลยี
ต่างๆ ท่ีมนุษย์คิดค้นผลิตขึนมา เช่น สิ่งก่อสร้าง อาคารบ้านเรือน อาวุธยุทโธปกรณ์ เคร่ืองอานวย
ความสะดวกต่าง ๆ เป็นต้น
2. วัฒนธรรมท่ีไม่ใช่วัตถุ (Non-Material Culture) หมายถงึ อุดมการณ์ ค่านิยม
แนวคิด ภาษา ความเช่ือทางศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิการเมืองกฎหมาย วิธีการกระทา
และแบบแผนในการดาเนนิ ชีวิต ซึ่งมลี ักษณะเป็นนามธรรม (Abstract) ทมี่ องเห็นไมไ่ ด้
แต่นักสังคมวิทยาบางท่านเห็นว่า แนวคิดที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมข้างต้นที่กล่าวมานันอาจยัง
สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี
1. วัฒนธรรมทำงวัตถุ (Material) ได้แก่ วัตถุส่ิงของเคร่ืองใช้ต่าง ๆ ที่มนุษย์
สรา้ งขนึ มาเพือ่ นามาใช้ในสังคม เช่น ปจั จัยส่ี อันได้แก่ท่ีอยูอ่ าศยั อาหาร เสอื ผ้า ยารักษาโรค เป็นต้น
2. วัฒนธรรมควำมคิด (Idea) หมายถึง วัฒนธรรมท่ีเก่ียวกับความรู้สึกนึกคิด
ทัศนคติ ความเช่ือต่างๆ ท่ีมีการแสดงออกทางด้านนามธรรม เช่น ความเชื่อในเรื่องการตายแล้ว
เกิดใหม่ ความเชื่อในเร่ืองกฎแห่งกรรม ความเชอื่ โชคลาง ตลอดจนเรื่องลกึ ลับ นิยายตานานปรัมปรา
วรรณคดี สภุ าษิตและอดุ มการณ์ตา่ ง ๆ
3. วัฒนธรรมด้ำนบรรทัดฐำน (Norm) เป็นเร่ืองของการประพฤติ ปฏิบัติตาม
ระเบียบแบบแผนที่สังคมกาหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม
ซ่ึงแบง่ ออกเปน็ ประเภทย่อย ๆ ดังนี
3.1 วัฒนธรรมทางสังคม (Social Culture) เป็นวัฒนธรรมท่ีเก่ียวกับการ
ประพฤตหิ รือมารยาททางสงั คม เชน่ การไหว้ การจับมือทักทาย การเขา้ แถว การแตง่ ชดุ ดาไปงานศพ
3.2 วัฒนธรรมท่ีเกี่ยวข้องกับกฎหมาย (Legal Culture) เป็นวัฒนธรรมท่ี
กอ่ ใหเ้ กดิ ความเปน็ ระเบยี บและกฎเกณฑ์ เพื่อให้คนในสังคมอยดู่ ้วยกันอยา่ งมีความสขุ
3.3 วัฒนธรรมท่ีเก่ียวกับจิตใจและศีลธรรม (Moral Culture) วัฒนธรรม
ประเภทนีใชเ้ ป็นแนวทางในการดาเนนิ ชวี ิตในสงั คม เช่น ความซ่ือสตั ย์สุจริต ความเมตตากรุณา ความ
เออื เฟอ้ื เผ่ือแผ่
133
พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช 2485 (อ้างถึงในณรงค์ เส็งประชา, 2539:
19-20) ได้แบง่ ประเภทของวัฒนธรรมออกเปน็ 4 ประเภท ไดแ้ ก่
1. คติธรรม คือ วัฒนธรรมที่เกี่ยวกับหลักในการดาเนินชีวิต ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของ
จิ ต ใจ แ ล ะ ได้ ม าจ าก ศ าส น า เพื่ อ ใช้ เป็ น แ น ว ท างใน ก ารด าเนิ น ชี วิต ข อ งสั งค ม เช่ น
ความเสยี สละ ความขยนั หมน่ั เพียร การประหยดั อดออม ความกตญั ญู ความอดทน การทาดไี ดด้ ี
2. เนติธรรม คือ วัฒนธรรมทางกฎหมาย รวมทังระเบียบประเพณีท่ียอมรับนับถือ
กนั วา่ มีความสาคัญพอๆ กับกฎหมาย เพ่อื ให้คนในสังคมอยรู่ ว่ มกันอยา่ งมคี วามสุข
3. สหธรรม คือ วัฒนธรรมทางสังคม รวมทังมารยาทต่าง ๆ ที่จะติดต่อหรือ
เกี่ยวข้องกับสังคม เช่น มารยาทในการรับประทานอาหาร มารยาทในการติดต่อกับบุคคลต่าง ๆ
ในสังคม
4. วัตถุธรรม คือ วัฒนธรรมทางวัตถุ เช่น เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค บ้านเรือน
อาคารส่งิ ก่อสรา้ งต่าง ๆ สะพาน ถนน รถยนต์ เครื่องคอมพิวเตอร์
สานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (2549) ได้แบง่ วัฒนธรรมออกเปน็ 5 สาขาตาม
UNESCO ประกอบดว้ ย
1. สำขำมนษุ ยศำสตร์ ไดแ้ ก่ วัฒนธรรมท่ีว่าดว้ ยขนมธรรมเนียมประเพณี คุณธรรม
ศลี ธรรม ศาสนา ปรชั ญา ประวตั ิศาสตร์ โบราณคดี มารยาทในสงั คม การปกครอง กฎหมาย เปน็ ต้น
2. สำขำศิลปะ ได้แก่ วรรณคดี ดนตรี นาฏศิลป์ วิจิตรศิลป์ สถาปัตยกรรม
ประตมิ ากรรม จิตรกรรม เปน็ ตน้
3. สำขำช่ำงฝีมือ ได้แก่ วัฒนธรรมในเรื่องการเย็บปักถักร้อย การแกะสลัก
การทอผ้า การจักสาน การทาเคร่ืองเขิน การทาเครื่องเงินเคร่ืองทอง การจัดดอกไม้ การประดิษฐ์
การทาเครื่องป้นั ดนิ เผา เป็นต้น
4. สำขำคหกรรมศิลป์ ได้แก่ วัฒนธรรมในเรื่องอาหาร การประกอบอาหาร ความรู้
เรอื่ งการดูแลบ้านเรือนทอี่ ยู่อาศัย ความรู้เรือ่ งยา การรจู้ ักใชย้ า การอบรมเลียงดูเดก็ ความร้ใู นการอยู่
รว่ มกันเปน็ ครอบครัว เปน็ ต้น
5. สำขำกีฬำและนันทนำกำร ได้แก่ วฒั นธรรมในเรอ่ื งการละเล่น มวยไทย ฟันดาบ
สองมือ กระบี่กระบอง การเลียงนกเขา การละเล่นพืนบ้าน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไทยอย่างแท้จริง
จะไม่เหมอื นกบั ของชาตอิ นื่ ๆ ถึงแมจ้ ะเรยี นแบบกนั กไ็ มเ่ หมอื นกนั
อย่างไรก็ดี การแบ่งประเภทของวัฒนธรรมออกเป็นแต่ละประเภท ซึ่งมีความแตกต่างกนั นัน
โดยมีสาเหตุมาจากเกณฑ์การแบ่งวัฒนธรรม วัฒนธรรมจะแบ่งออกเป็นกี่ประเภทก็ขึนอยู่กับบริบท
ทางสังคมวิทยา ยุคสมัย และความเจริญงอกงามทางวัฒนธรรม ทังวัฒนธรรมดังเดิมที่ได้รับ
การสืบทอด ปรับปรุง พัฒนา หรือเป็นวัฒนธรรมที่สร้างสรรค์ขึนมาใหม่ ดังนัน ผู้ที่จะเป็นครู จึงต้อง
เรียนรู้ เข้าใจ วิเคราะห์ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และนาไปปรับใช้ในการประพฤติปฏิบัติตน
การจัดการเรียนรู้ให้ทันยุคสมัย และอบรมสั่งสอนศิษย์ให้อยู่ในระเบียบวินัยของสังคม เพื่อการอยู่
ร่วมกันอยา่ งมีความสขุ
134
ลักษณะสำคญั ของวฒั นธรรมไทย
วฒั นธรรมไทยมีลกั ษณะสาคญั ตามท่กี ระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2553) ได้อธบิ ายไว้ ดังนี
1. นับถือระบบเครือญาติ มีค่านิยมเคารพผู้อาวุโส เมื่อมีการทางานหรือการติดต่อ
ประสานงาน คนไทยมักจะนึกถึง ญาติพี่น้องของตนเองก่อนเสมอ และอยู่ร่วมกันด้วยระบบอุปถัมภ์ มี
ความเชอ่ื ฟงั คาสง่ั และให้ความเคารพแกผ่ ู้ท่อี าวโุ สกวา่ ทังในด้านอายหุ รืออายุงาน
2. ยึดถือในบญุ กุศล เชื่อในกฎแห่งกรรมตามหลักพระพุทธศาสนา มไี มตรีจติ ต่อผอู้ ่ืน
ชอบทาบุญตามโอกาสสาคัญของชวี ติ
3. มีแบบแผนพธิ ีกรรมประกอบกิจการหรือประเพณีต่าง ๆ ตงั แตเ่ กดิ จนถึงตาย
4. มีวิถีชีวิตเกษตรกรรม ยอมรับความสาคัญของธรรมชาติ สังคมไทยมีการดาเนิน
ชีวิตโดยพ่ึงพาการเกษตรเป็นอันดับต้นๆของประเทศ วัฒนธรรมจะเกี่ยวกับความเช่ือท่ีเน่ืองด้วย
ธรรมชาติ เชน่ ประเพณแี ห่นางแมว เพอ่ื ขอฝน การทาขวัญขา้ วเพ่อื บูชาพระแม่โพสพ เปน็ ตน้
5. นิยมความสนุกสนานดาเนินชีวิตแบบสบาย ๆ คนไทยชอบความสนุกสนานใช้
ชีวิตแบบเรียบง่าย และค่อยๆเป็นค่อยๆไป ช่ืนชอบสิ่งที่เป็นเร่ืองตลกขบขัน ส่ิงท่ีทาให้จิตใจร่าเริง
แจ่มใส
6. เป็นวัฒนธรรมแบบผสมผสาน เกิดวัฒนธรรมแบบผสมขึนเข้าด้วยกัน เช่น ไทย
จนี ฝรง่ั แขก ฯลฯ ก่อใหเ้ กดิ วฒั นธรรมแบบผสมผสาน อาทิ เทศกาลคริสตม์ าส
7. ยึดมั่น จงรักภักดี และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ สังคมไทย เกี่ยวเนื่องกับ
สถาบันพระมหากษัตริย์นับตังแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี โดยมีพระมหากษัตริย์ เป็นผู้ดูแล อุปถัมภ์
และปัดเป่าความเดือดร้อนให้กับประชาชนมาจนถึงปัจจุบัน และท่ีสาคัญ คือ พระมหากษัตริย์เป็น
ผู้รักษาเอกราชอธิปไตยและแผ่นดินไทยไว้ให้อนุชนรุ่นหลังด้วยพระปรีชาสามารถ สถาบัน
พระมหากษัตรยิ จ์ งึ เป็นทีย่ ดึ เหน่ียวจติ ใจและศูนยร์ วมศรัทธาของประชาชนคนไทย เขา้ ไวเ้ ป็นหน่งึ เดียว
รูธ เบเนดกิ ต์ (Ruth Benedict, 1943: 34-45) ไดบ้ รรยายลกั ษณะพเิ ศษของคนไทยไวว้ า่
1. คนไทยรักสนุก "... คนไทยรัฐชีวิตสนุกสนานและการสังสรรค์ บุคลิกของคนไทย
แทบไม่กังวลถึงปัญหายุ่งยากใด ๆ คนไทยมีความสุขโดยไม่เอาใจใส่ส่ิงใด ๆ ความสนุกสนานและ
ความรื่นเริงมักจัดอยู่ในรูปแบบของงานบุญ และงานนักขัตฤกษ์ท่ีสาคัญในชีวิตของคนไทยและ
วัฒนธรรมไทย คนไทยชอบด่ืมเหล้า เพราะเหล้าทาใหส้ บายใจ และไม่มคี วามรสู้ ึกหดหู่..."
2. คนไทยชอบทาบุญ "... คนไทยเน้นความสุขในโลกนีมากกว่าความสุขในชีวิตหน้า
การทาบุญของคนไทยมิใช่การทาบุญเพื่อให้บรรลุถงึ โลกุตระ หากแต่เป็นหลักจรยิ ธรรมที่เก่ียวกับการ
ดาเนินชีวิต ซ่ึงเป็นพืนฐานของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ทาบุญมักเป็นกิจกรรมร่วมกับเพื่อน
บ้าน เป็นกิจกรรมทเี่ พลดิ เพลิน ก่อใหเ้ กิดความสัมพันธอ์ ันดีในชุมชน..."
3. คนไทยรักสงบ ใจเย็น อ่อนน้อม"... คนไทยไม่ชอบแสดงออกซึ่งความโกรธและ
ความรุนแรง หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์และการทะเลาะวิวาทในท่ีชุมชน ใครมบี คุ ลกิ ภาพทีใ่ จเยน็ นับถือ
ผูท้ ่อี าวโุ สกวา่ หรอื ผหู้ ลกั ผู้ใหญ่และมีความออ่ นนอ้ ม พยายามหลีกเลี่ยงการขดั แย้งและการเผชญิ หน้า
กบั ผอู้ ื่น..."
4. ผู้ชายเป็นใหญ่ในสังคม"... การส่ังสอนของพระพุทธศาสนา และการที่ชายมีสิทธ์ิ
ในการบวชเป็นภิกษุ สามเณรในพระพุทธศาสนา ส่งเสริมบทบาท ฐานะให้ผู้ชายสูงกว่าผู้หญิง ผู้ชาย
135
เป็นผู้นาและมีอานาจทางสังคมในขณะท่ีผู้หญิงต้องเชื่อฟังพ่อแม่และสามี มีหน้าท่ีในการดูแล
บ้านเรือน เลียงดูอบรมลูกและปรนนบิ ัตสิ ามี..."
จากลักษณะของวัฒนธรรมไทยข้างต้น ทาให้วัฒนธรรมไทยมีความเป็นเอกลักษณ์ และ
แสดงออกถึงความเป็นชาติได้เปน้ อย่างดี อีกทงั ยังแสดงออกถึงลกั ษณะนสิ ัยของคนไทยอกี ด้วย
วฒั นธรรมกำรแสดงควำมเคำรพ
วัฒนธรรมการแสดงความเคารพท่ีเป็นวัฒนธรรมไทยนัน เป็นวัฒนธรรมท่ีแสดงออกถึง
ความเคารพ อ่อนน้อม และให้เกียรติซึ่งกันและกันในสังคมต่าง ๆ การไหว้เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่
ถกู สั่งสมมาจากบรรพบุรุษผ่านการส่ังสม ปลูกฝัง ถ่ายทอด จากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบัน การไหว้เป็น
วัฒนธรรมที่แสดงออกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนและเป็นเอกลักษณ์ท่ีสาคัญของคนไทย กรมส่งเสริม
วฒั นธรรม (2556: 2 - 4) ได้อธบิ ายถงึ การไหวไ้ ว้ ดังนี
1. กำรไหว้ (วันทนา หรือ วนั ทา) เป็นการแสดงความเคารพโดยการประนมมือ แล้วยกมอื ทัง
สองข้างขึนตรวจบนใบหน้า แสดงให้เห็นว่า เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูง การไหว้แบบไทย
แบง่ ออกเปน็ 3 ระดบั ตามระดับบคุ คล ดงั นี
ระดับท่ี 1 กำรไหวพ้ ระ ไดแ้ ก่ การไหวพ้ ระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมถึงปูชนยี สถาน
ปูชนียวัตถุท่ีเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนา ในกรณีที่ไม่สามารถกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ได้ ให้
ประนมมอื แลว้ ยกขึนพร้อมกับการค้อมศีรษะลง ให้หัวแม่มือจรดหว่างคิว ปลายนิวชีหน้าส่วนบนของ
หน้าผาก ดังภาพตัวอย่าง
ภำพที่ 5.1 การไหวพ้ ระภาพซ้ายมือประนมมือแล้วยกขนึ พรอ้ มกับการค้อมศรี ษะลง
ภาพขวามอื ใหห้ ัวแม่มอื จรดหวา่ งคิว ปลายนวิ ชหี นา้ สว่ นบนของหนา้ ผาก
สาธติ โดยเด็กชายสารนิ แสงตวงกิต โรงเรียนเทพศิรนิ ทร์
ท่ีมำ: พาณี เพชรอินทร์ (ถา่ ยภาพ)
136
ระดับท่ี 2 กำรไหว้ผู้ท่ีมีพระคุณหรือผู้ที่มีอำยุมำกกว่ำ ได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ
แม่ ครู อาจารย์ หรอื ผู้ที่เราเคารพนบั ถือ ให้ประนมมือแล้วยกขึน พร้อมกับคอ้ มศีรษะลง ให้หัวแม่มือ
จรดปลายจมกู ปลายนวิ ชีแนบหวา่ งคิว ดังภาพตวั อย่าง
ภำพท่ี 5.2 การไหว้ผู้ท่ีมีพระคุณหรือผู้ท่ีมีอายุมากกว่า ภาพซ้ายมือประนมมือแล้ว
ยกขึนพร้อมกับการค้อมศีรษะลง ภาพขวามือให้หัวแม่มือจรดปลายจมูกปลายนิวชี
แนบหว่างควิ สาธติ โดยเด็กชายสาริน แสงตวงกิต โรงเรียนเทพศริ ินทร์
ทีม่ ำ: พาณี เพชรอนิ ทร์ (ถ่ายภาพ)
ระดับที่ 3 กำรไหว้บุคคลทั่ว ๆ ไปที่เรำเคำรพนับถือ หรือผู้ท่ีมีอำยุมำกกว่ำเล็กน้อย
ให้ประนมมือ แล้วยกขึนพร้อมค้อมศีรษะลง ใหห้ ัวแม่มือจรดปลายคาง ปลายนวิ ชีแนบปลายจมูก
สาหรับการไหว้ทัง 3 ระดับนี จะใช้แสดงความเคารพผู้ที่มีอายุเท่ากันหรือเพื่อนกันได้ด้วย
โดยยืนตรงไหว้ไม่ต้องค้อมศีรษะลง อน่ึง สาหรับผู้หญิง การไหว้ทัง 3 ระดับนี อาจจะถอยข้างใดข้าง
หนึ่งตามถนัดไปข้างหลังครึ่งก้าว แล้วย่อเข่าลงพอสมควรพร้อมกับยกมือขึนไหว้ กรณีไหว้ผู้เสมอกัน
ให้ ยนื ตรงไหว้ ดังภาพตวั อยา่ ง
ภำพท่ี 5.3 การไหว้บุคคลท่ัว ๆ ไปที่เราเคารพนับถือ หรือผู้ท่ีมีอายุมากกว่าเล็กน้อย
ภาพซ้ายมือให้ประนมมือ แลว้ ยกขนึ พรอ้ มค้อมศีรษะลง
ภาพขวามอื ให้หัวแม่มอื จรดปลายคาง ปลายนิวชแี นบปลายจมูก
สาธติ โดยเดก็ ชายสารนิ แสงตวงกิต โรงเรยี นเทพศริ ินทร์
ทีม่ ำ: พาณี เพชรอนิ ทร์ (ถา่ ยภาพ)
137
2. กำรกรำบ เป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมท่ีคล้ายคลึงกับการไหว้ แต่การกล้าแสดงออกถึงความ
เคารพและความอ่อนน้อมอย่างที่สุด วัฒนธรรมไทยมีการกราบมาตังแต่สุโขทัยเป็นราชธานีโดยการ
กราบพระมหากษัตรยิ ์ พระภกิ ษสุ งฆ์ และผทู้ ใ่ี หค้ วามเคารพ สืบเน่อื งมาจนถึงปจั จุบนั
กระทรวงวฒั นธรรม (2556: 4 -10) ได้อธิบายการกราบไว้ดังนี
2.1 กำรกรำบ (อภวิ าท) เปน็ การแสดงเคารพอย่างสูงมี 2 แบบ คอื
2.1.1 กรำบแบบเบญจำงคประดิษฐ์ เป็นการใช้อวัยวะทัง 5 คอื หน้าผาก
มอื ข้อศอก และเขา่ ทงั สองขา้ งสัมผัสกบั พืน การกราบมี 3 จงั หวะ ดังนี
ท่ำเตรยี ม
ชำย น่ังคุกเข่า ตวั ตรง ปลายเท้าทงั สองข้างตัง ปลายเท้าและส้นเทา้ ชิดกัน นั่งบน
ส้นเทา้ เขาทงั สองขา้ งงานกนั พอประมาณ เม่อื ทงั สองวางคว่า ๆ เหนอื เขา่ ทังสองข้าง นิวชิดกนั (ท่าเทพบุตร)
หญิง น่ังคุกเข่า ตัวตรง ปลายเท้าราบ เข่าถึงปลายเท้าชิดกัน น่ังบนส้นเท้า
มือทังสองคว่าเหนือเข่าทงั สองขา้ ง นิวชดิ กัน (ทา่ เทพธดิ า)
ทำ่ กรำบ
จังหวะที่ 1 (อญั ชล)ี ยกมือขึนในทา่ ประนมมอื
ภำพท่ี 5.4 กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ชายหญิง จังหวะท่ี 1 อัญชลี
สาธติ โดยเดก็ ชายสาริน แสงตวงกติ โรงเรียนเทพศริ ินทร์ และ
เดก็ หญงิ พมิ พกานต์ สุรวัฒนานนท์ โรงเรยี นศึกษานารี
ทมี่ ำ: พาณี เพชรอนิ ทร์ และโสภณ ศรีคาภา (ถา่ ยภาพ)
138
จงั หวะที่ 2 (วนั ทนา หรอื วันทา) ยกมือขึนไหวต้ ามระดบั ท่ี 1 การไหวพ้ ระ
ภำพที่ 5.5 กราบแบบเบญจางคประดษิ ฐ์ชายหญงิ จงั หวะท่ี 2 วนั ทนา หรือ วันทา
สาธิตโดยเดก็ ชายสารนิ แสงตวงกิต โรงเรียนเทพศริ ินทร์ และ
เดก็ หญิงพมิ พกานต์ สรุ วัฒนานนท์ โรงเรียนศกึ ษานารี
ท่มี ำ: พาณี เพชรอินทร์ และโสภณ ศรคี าภา (ถา่ ยภาพ)
จงั หวะท่ี 3 (อภิวาท) ทอดมือทังสองลงพร้อม ๆ กัน ใช้มือและแขนทังสอง
ข้างราบกับพืน คว่ามือห่างกันเล็กนอ้ ย พอให้หน้าผากจรดพืนกับมือทังสอง
ภำพที่ 5.6 กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ชายหญงิ จังหวะท่ี 3 อภวิ าท
สาธิตโดยเดก็ ชายสารนิ แสงตวงกติ โรงเรยี นเทพศิรินทร์ และ
เดก็ หญิงพมิ พกานต์ สุรวฒั นานนท์ โรงเรยี นศกึ ษานารี
ทมี่ ำ: พาณี เพชรอนิ ทร์ และโสภณ ศรีคาภา (ถา่ ยภาพ)
139
ชำย ศอกทงั สองตอ่ จากเข่าข้างล่างไปกับพนื ตัวไมโ่ ก่ง
หญงิ ศอกทงั สองข้างครอ่ มเข่าเล็กน้อย ราบไปกบั พนื หลงั ไม่โก่ง
ทาสามจังหวะให้ครบ 3 ครัง ยกมือขึนไหว้ในท่าไหว้พระ และวางมือคว่าลงเหนือเข่าทังสอง
ขา้ ง ในทา่ เตรียมกราบ จากนันใหเ้ ปล่ียนอริ ยิ าบถตามความเหมาะสม
2.1.2 กำรกรำบผู้ใหญ่ เป็นการกราบผู้ท่ีมีพระคุณและผู้ท่ีมีอายุมาก ได้แก่ ปู่ ย่า
ตา ยาย พ่อ แม่ ครู อาจารย์ หรือผู้ท่ีเราเคารพ ผู้กราบทังชายและหญิงน่ังพับเพียบ ทอดมือทังสอง
ข้างลงพร้อมกัน ให้แขนทังสองข้างคร่อมเข่าอยู่ที่ด้านล่างเพียงอย่างเดียว มือประนมตังกับพืนไม่แบ
มอื ค้อมตัวลงให้หน้าผากแตะส่วนบนของมือท่ีประนม ในขณะกราบไม่กระดกมือ ไม่กระดกนิวมือขึน
รับหน้าผาก กราบเพียงครังเดียว จากนัน ให้เปล่ียนอิริยาบถโดยการนั่งสารวมประสานมือ แล้วเดิน
เขา่ ถอยหลังพอประมาณ แล้วจงึ ลุกจากไป
ภำพท่ี 5.7 การกราบผ้ใู หญ่
สาธติ โดย นายทรงศกั ด์ิ ปน่ิ ประดับ และเด็กชายสารนิ แสงตวงกติ โรงเรยี นเทพศิรนิ ทร์
ท่ีมำ: พาณี เพชรอินทร์ (ถ่ายภาพ)
2.2 กำรถวำยบังคม เป็นราชประเพณีถวายความเคารพพระมหากษัตริย์ในงานพระราชพิธี
สาคัญ กอ่ นทจี่ ะถวายบังคมต้องน่ังอย่ใู นทา่ เตรยี มคือ นงั่ คกุ เข่าปลายเท้าตัง น่ังบนส้นเท้าเช่นเดียวกัน
ทังชายหญิง มือทังสองวางคว่าเหนือเข่าทังสองข้าง ชายน่ังแยกเข่าได้เล็กน้อยหญิงน่ังเข่าชิด การ
ถวายบังคมแบง่ ออกเปน็ 3 จงั หวะ ดังนี
140
จังหวะท่ี 1 ยกมอื ขนึ ประนมระหวา่ งอกและลาคอ ปลายนวิ ตังขนึ แนบตัวไม่กางศอก
ภำพท่ี 5.8 สาธิตการถวายบังคมจงั หวะที่ 1 สาธติ โดยเดก็ ชายสารนิ แสงตวงกติ โรงเรียนเทพศิรนิ ทร์
ทมี่ ำ: พาณี เพชรอินทร์ (ถ่ายภาพ)
จงั หวะท่ี 2 ยกมอื ที่ประนมขนึ ใหป้ ลายนิวหวั แม่มอื จรดหนา้ ผากเงยหนา้ ขนึ เล็กน้อย
ภำพท่ี 5.9 สาธติ การถวายบงั คมจงั หวะที่ 2 สาธิตโดยเดก็ ชายสาริน แสงตวงกติ โรงเรยี นเทพศริ ินทร์
ทม่ี ำ: พาณี เพชรอนิ ทร์ (ถา่ ยภาพ)
141
จงั หวะท่ี 3 ลดมือกลับลงตามเดิมมาอยใู่ นจงั หวะท่ี 1
ภำพท่ี 5.10 สาธติ การถวายบงั คมจงั หวะท่ี3 สาธิตโดยเด็กชายสาริน แสงตวงกติ โรงเรียนเทพศริ ินทร์
ทมี่ ำ: พาณี เพชรอนิ ทร์ (ถ่ายภาพ)
ทาให้ครบสามครัง โดยจบลงอย่างจังหวะที่ 1 แล้วจึงลดมือลงวางคว่าเหนือเข่าทังสองข้าง
การถวายบงั คมดังกล่าวนี หญิงมีโอกาสใช้น้อย จะใช้ในกรณีท่ีมีชายกับหญิงไปถวายบังคมร่วมกนั ถ้า
หญิงลว้ นใหใ้ ชว้ ิธหี มอบกราบ
2.3 กำรหมอบกรำบ ใช้แสดงความเคารพตังแต่พระมหากษัตริย์ลงมาจนถึงพระบรมวงศานุวงศ์
ในโอกาสที่เข้าเฝ้า ฯ โดยน่ังพับเพียบเก็บปลายเท้า แล้วจึงหมอบลง ให้ศอกทังสองข้างถึงพืนคร่อม
เข่าที่อยู่ด้านล่างเพียงเข่าเดียว ประสานมือ เมื่อจะกราบให้ประนมมือก้มศีรษะลง หน้าผากแตะ
ส่วนบนของมือที่ประนม เม่ือกลับแล้วนั่งในท่าหมอบเข้าเฝ้า ฯ อีกครังหนึ่ง แล้วน่ังในท่าพับเพียบ
ตามเดิม วฒั นธรรมการแสดงความเคารพ โดยการไหว้และการกราบ เป็นวัฒนธรรมการทกั ทายเวลา
พบปะกันหรือเวลาจากกัน เป็นการแสดงถึงการมีสัมมาคารวะ และการให้เกียรติซ่ึงกันและกันท่ี
นอกเหนือจากคาว่า “สวสั ดี” โดยเป็นภาษาท่าทางท่ีใช้แสดงความเคารพ แสดงความหมายของการ
ขอบคุณ การขอโทษ การยกย่อง การระลึกถึง เป็นเอกลักษณ์และมรดกทางวัฒนธรรมของ
ชนชาติไทย
ภำพที่ 5.11 การสาธิตการหมอบกราบ
ทม่ี ำ: https://kanlayamilk5556.wordpress.com
142
วฒั นธรรมกำรแต่งกำย
วัฒนธรรมการแต่งกาย ตังแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันของคนไทยนันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ผา่ นววิ ัฒนาการจนเปน็ รปู แบบอย่างท่เี ห็นในปจั จุบัน
1. กำรแต่งกำยตำมกำลเทศะ
การแต่งกายให้สุภาพและถูกต้องตามกาลเทศะ จะทาให้ผู้แต่งกายมีบุคลิกภาพท่ีดี
เปน็ ท่ีน่าจดจาหรอื ช่นื ชม ทาใหเ้ กิดความประทบั ใจในครงั แรกทพ่ี บเห็น
พันธกร อุทธิตสาร (ม.ป.ป.: 1) กลา่ วถึงการแตง่ กายให้ถูกตอ้ งตามกาลเทศะไว้ ดงั นี
1.1 สถานท่ีราชการ ควรใส่สีสุภาพ เรียบร้อย รองเท้าเป็นรองเท้าหุ้มส้น รองเท้า
และกระเป๋าควรเป็นสีท่ีเข้ากัน ไม่ควรสวมเสือปล่อยชายออกนอกกระโปรง กางเกง กลัดกระดุมทุก
เมด็ ไม่ควรสวมรองเทา้ แตะ
1.2 งานพิธีมงคลสมรส งานเลียงต้อนรับ งานเต้นรา งานวันเกิด ซึ่งเป็นงานรื่นเริง
งานมงคล ควรสวมเสอื ผ้าทห่ี รหู ราเล็กน้อย รองเทา้ หุ้มสน้ หรือสวมสูท (สาหรบั ท่านผู้ชาย)
1.3 งานอวมงคลหรืองานศพ สุภาพบุรุษ สวมชุดสีเข้มหรือสูท รองเท้าคัทชู ถ้าสวมชุด
สากลจะติดแขนทุก ที่ข้างซ้ายเหนือศอก สุภาพสตรี สวมเสือคอปิดสีดา สีขาวดา รองเท้าหุ้มส้น ไม่สวม
เคร่ืองประดับมากเกินไป ไม่ใส่เครือ่ งประดับที่มสี ีสัน
1.4 งานบุญ ไม่ควรสวมกางเกงรัดรูปหรือกระโปรงสัน หรือควรแต่งกายให้สุภาพ
1.5 การไปพบผใู้ หญ่ ควรแตง่ กายให้สภุ าพไม่สวมแวน่ ตาดา
1.6 การไปเข้าเฝ้าฯ ในงานพระราชพิธี ราชพิธี หรืองานสโมสรสันนิบาต
ต้องแต่งตามหมายกาหนดคาส่ังหรือแต่งตามระเบียบที่วางไว้ ซ่ึงอาจเป็นเคร่ืองแบบปกติหรือ
เครื่องแบบเต็มยศ เคร่ืองยศประดับ เคร่ืองราชอิสรยาภรณ์ สวมสายสะพายหรือเคร่ืองราชอิสรยาภรณ์
(สาหรับเครอ่ื งแบบปกติ)
วัฒนธรรมการแต่งกายเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย มีความสวยงาม สุภาพ เรียบร้อย และ
เหมาะแก่การดารงชีวิตประจาวัน การแต่งกายท่ีถูกต้อง เหมาะสมตามกาลเทศะจะช่วยให้ผู้พบเห็นมี
ทศั นคติทด่ี ีตอ่ การได้พบเหน็ ผทู้ แี่ ต่งกาย
มำรยำทกำรตดิ ต่อสอื่ สำรทำงสังคม
มารยาทในสังคม เป็นเคร่ืองมือแต่ละสังคมกาหนดขึน เพ่ือการประพฤติปฏิบัติเป็นแนว
เดียวกันตามความนิยม ค่านิยมของคนในแต่ละสังคมตามยุคสมัย และการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุค
โลกาภิวัตน์ มารยาททางสังคมในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน สังคมไทยเป็นสังคมที่มีแบบแผน จารีต
ขนบธรรมเนียม การประพฤติปฏิบัติมาตังแต่โบราณ ถูกส่ังสม ปลูกฝัง และถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
มารยาทในสังคมไทยมีอยู่มากมาย ในท่ีนีจะยก มารยาททางสังคมไทยที่ครูควรเรียนรู้และปฏิบัติ
ดังต่อไปนี
1. มำรยำทกำรติดต่อส่ือสำรภำยในสถำนศึกษำ คือ การสื่อสารภายในท่ีดี ที่จะช่วยสร้าง
ความเข้าใจในนโยบายของผู้บริหาร และเป็นสิ่งเช่ือมความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรในหน่วยงาน องค์กร
สถานศึกษา และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในทางบวก เพราะนโยบายการบริหารงานการ
จัดการขององคก์ รเปน็ สว่ นสาคัญ และเพื่อให้การดาเนินงานบรรลเุ ป้าหมายทวี่ างไว้
143
2. มำรยำทในกำรติดต่อระหว่ำงนักเรียน/นักศึกษำกับครู อำจำรย์
ขันธ์ชัย อธิเกียรติ (ออนไลน์ . 2557: 1 ) ได้อธิบายมารยาทในการติดต่อกับครูอาจารย์
ไว้ ดังนี
2.1 หากต้องการตดิ ต่อกบั อาจารย์ การไปพบดว้ ยตนเองจะดีทีส่ ุด
2.2 เมอื่ ไปพบอาจารยค์ วรแต่งกายสุภาพเรียบร้อย
2.3 เม่ือพบกัน นักศึกษาควรกล่าวทักทาย แนะนาชื่อ สถานภาพ และธุระของตน
อย่างคร่าว ๆ จากนัน จงึ สอบถามความสะดวกของอาจารย์ เพราะการพบกันครังแรกควรเป็นการเข้า
พบเพ่ือขอนัดวันหรอื นดั เวลา ไม่ใช่ไปครงั แรกแล้วจะต้องไดท้ าธรุ ะของตนเลย เชน่
- สวัสดีครับอาจารย์ ผมชื่อ สมพงษ์ เรยี นวชิ า CTH 4111 กับอาจารย์ครับ
ผมจะมาขอดูคะแนนเกบ็ ไม่ทราบวา่ อาจารยส์ ะดวกเวลาไหนครบั
- สวัสดีค่ะ หนูช่ือ สมใจ เป็น นักศึกษาวิชาเอกภาษาไทย จะมาขอ
คาปรกึ ษาเร่อื งการลงเรียนวชิ าเอกค่ะ อาจารยพ์ อจะมีเวลาไหมคะ
2.4 หากอาจารย์ไม่ว่าง นักศึกษาควรนัดหมายวันเวลาอ่ืน โดยยึดความสะดวกของ
อาจารยเ์ ปน็ หลกั
2.5 เมอ่ื เสร็จธรุ ะ ควรกลา่ วขอบคณุ ทกุ ครัง
2.6 หากอาจารย์ไม่อยู่ที่ห้อง ควรมาพบวันอ่ืน หรือสอบถามอาจารย์ท่านอ่ืนหรือ
เจ้าหนา้ ที่วา่ อาจารยจ์ ะอยู่ช่วงไหน ทงั นีควรใชภ้ าษาสุภาพและนอบนอ้ ม
2.7 หากจะมบี นั ทึกสัน (note) ถึงอาจารย์ ใหเ้ ขียนแลว้ ใส่กลอ่ งรบั ข้อความหน้าหอ้ ง
หรือใส่ในลินชักอาจารย์ (เชน่ ทต่ี ึก EOB ชัน 1) ถ้าไมม่ ีกลอ่ งรับข้อความ ควรฝากกบั เจ้าหน้าที่ ไม่ควร
ติดแถบกาวบนประตู และควรใชข้ ้อความเชน่ ดังนี
เรียน ....(ชือ่ อาจารย์ พร้อมตาแหน่งทางวิชาการ)
ดิฉัน ชอื่ -สกลุ เลขประจาตวั เรียนวชิ า... ในภาคเรยี นท.ี่ .. ปกี ารศึกษา....
มคี วามประสงค์จะ.... จงึ ขอความกรณุ า....
ลงชอ่ื นกั ศึกษา
ลงวนั เวลาที่เขยี นบันทกึ (บันทึกสันไม่ต้องมี "คาลงท้าย" เหมือนจดหมาย)
- นักศึกษาอาจเขียนเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้อาจารย์ติดต่อกลบั เป็นทางเลือกหนึ่ง
ก็ได้แต่ไม่ใช่บังคับให้โทรกลับ
- นักศึกษาอาจเขียนแจ้งไว้ว่า จะกลับมาพบอาจารย์อีกครังในวันใด แต่
ไม่ใช่การบังคับให้อาจารย์อยู่รอ เพียงเป็นการแจ้งว่าจะมาหาอีกครัง หรือจะมารับงานกลับคืน หรือ
มาขอรับคาตอบ เป็นต้น (ส่วนวิธีการแจ้งกลับนักศึกษา อาจารย์จะเป็นผู้เลือกเอง เช่น อาจจะฝาก
เอกสารไว้กบั เจา้ หนา้ ท่ี หรือติดข้อความไวห้ นา้ ประต)ู
2.8 หากนักศึกษาต้องการติดต่ออาจารย์ทางโทรศัพท์มือถือ ควรขอเบอร์และขอ
อนญุ าตจากอาจารย์ นักศึกษาไม่ควรขอเบอร์โทรศพั ทข์ องอาจารย์จากผอู้ นื่ เพราะเบอรโ์ ทร.มือถือถือ
เป็นข้อมูลส่วนตัว การโทรถึงอาจารย์โดยได้เบอร์มาจากท่ีอ่ืนและการนาเบอร์โทรของอาจารย์ไป
เผยแพร่โดยไม่ได้รบั อนญุ าต ถือเป็นเร่อื งท่เี สยี มารยาท
144
2.9 เมื่อมีความจาเป็นต้องติดต่ออาจารย์ทางโทรศัพท์ (โดยได้รับเบอร์มาอย่าง
ถกู ตอ้ งแล้ว) ควรเลือกช่วงเวลาทเี่ หมาะสม โดยพจิ ารณา ดังนี
- ช่วงวันและเวลาราชการ ถือเป็นเวลาทางานในฐานะอาจารย์ นักศึกษา
สามารถโทรติดต่อพูดคุยในเร่ืองเรียนหรือกิจธุระที่เก่ียวกับงานต่างๆ ได้ แต่ขณะเดียวกัน ช่วงเวลานี
อาจารยก์ ็อาจตดิ สอน ตดิ ประชมุ หรอื ตดิ ธรุ ะอ่ืนได้ นกั ศึกษาควรสอบถามความสะดวก ก่อนพดู คุยกิจธุระ
- ช่วงเลิกงานและวันหยุด ถือเป็นเวลาส่วนตัว ก่อนเร่ิมสนทนา นักศึกษา
ควรขอโทษท่ีโทรมารบกวน
- ช่วงเช้าตรู่หรือกลางดึก ไมค่ วรโทรอย่างยงิ่ เว้นแต่ไดร้ บั อนุญาต
2.10 การสนทนาทางโทรศัพท์ ควรเร่ิมตน้ ดงั นี
- ทักทายอาจารย์
- ขออภยั ทโ่ี ทรมารบกวน
- แนะนาตวั อยา่ งสัน
"ผมเป็นนักศึกษาปรญิ ญาตรรี ามคาแหงครับ"
"หนเู ป็นนกั ศกึ ษาที่เรียนวิชา CTH4111 กบั อาจารยค์ ่ะ"
- แจ้งจดุ ประสงค์อยา่ งย่อ
"ต้องการปรึกษาเรื่องการเรยี นครับ"
"จะขอสอบถามเร่อื งผลการเรียนค่ะ"
- ขอเวลาพูดรายละเอยี ดหรือขอนัดหมายเวลา
"อาจารยส์ ะดวกให้คาปรึกษาเวลานไี หมครบั "
"อาจารยส์ ะดวกใหเ้ ข้าพบเมื่อไรดีคะ"
- พดู รายละเอียด (ถ้าได้รบั อนุญาต)
- กล่าวจบการสนทนาและกลา่ วขอบคุณ
2.11 การส่งข้อความสัน (SMS) ทางโทรศัพท์มอื ถอื เป็นเรื่องท่ีควรหลีกเล่ยี ง เว้นแต่
ได้รับอนุญาต หรือได้แจ้งอาจารย์ไว้ล่วงหน้า หรือเป็นธุระด่วน ทังนี ไม่จาเป็นต้องกลา่ วทักทายหรอื มี
ข้อความเยิ่นเย้อ แต่ควรลงช่ือตัวเองทุกครัง การติดต่อในฐานะผู้น้อยสื่อสารกับผู้ใหญ่กรณีอื่น ก็ใช้
แนวทางเทียบเคยี งข้างตน้ โดยปรับใชไ้ ปตามบคุ คลและกาลเทศะให้เหมาะสม
3. มำรยำทกำรติดต่อภำยในหน่วยงำน องค์กร สถำนศึกษำ เป็นสิ่งจาเป็นอย่างย่ิงสาหรับ
กิจกรรมและการดาเนนิ งานต่าง ๆ ทจ่ี ะเกิดขนึ ในหน่วยงาน องคก์ ร สถานศึกษา ทังนี หากการส่ือสาร
ภายในหน่วยงาน องค์กร สถานศึกษามีความชัดเจน ก็จะส่งผลให้การปฏิบัติงานตามนโยบายเป็นไป
ในทิศทางเดียวกัน บุคลากรเกิดความพึงพอใจ และเข้าใจนโยบายได้อย่างชัดเจน และส่งผลต่อ
ประสิทธิภาพในการดาเนนิ งาน
3.1 มำรยำทกำรติดต่อส่ือสำรดว้ ยวำจำ
นาตยา เกรียงชัยพฤกษ์ และคณะ (2561: 5) ได้กล่าวถึงการติดต่อส่ือสารด้วยวาจา
สรุปได้ดงั นี
3.1.1 ควรติดต่อผู้ท่ีอยู่ในตาแหน่งระดับต่า หรือผู้ประสานงานก่อน อาทิ
เลขานกุ าร และควรขออนุญาตก่อนเขา้ พบทุกครัง
145
3.1.2 เม่ือได้รับการอนุญาตควรแนะนาตัว และชีแจงจุดประสงค์หรือสาเหตุ
ที่ขอตดิ ต่อ
3.1.3 ควรพูดให้เป็นประโยค มีจังหวะ นาเสียงมีทังเบาและค่อยเพิ่ม
ความเรว็ หรอื ช้าของการพูด
3.1.4 ใช้กริยาท่าทางที่สุภาพ เช่น การกลอกตา การจ้องตา การพยักหน้า
การก้มโคง้ การแสดงออกทางสีหน้า การสมั ผสั และการใชม้ อื
3.1.5 เม่ือเสร็จธุระ ควรกล่าวคาขอบคุณและขออนุญาตลากลับพร้อมการ
ยกมอื ไหว้ทุกครงั เสมอ
3.2 มำรยำทกำรติดต่อสอ่ื สำรด้วยสำร
กะรัต เทพศิริ (2556: 9-10) ได้กล่าวถึง มารยาทในการติดต่อสื่อสารด้วยสารสรุป
ดงั นี
3.2.1 พิจารณาข้อความหรือข้อมูลในการสื่อสารว่ามีความถูกต้องมากน้อย
เพียงใด และหากเป็นเรื่องใหม่ ควรท่ีจะโทรแจ้งใหท้ ราบกอ่ นเสมอ
3.2.2 ควรมีการร่างและเขียนหนังสือให้ถูกต้องก่อนนาส่งให้กับหน่วยงาน
ที่เราต้องการตดิ ต่อสืส่ ารดว้ ย
3.2.3 เม่ือได้รับความอนุเคราะห์แล้ว ควรมีหนังสือขอบคุณกลับไปยัง
หน่วยงานนัน ๆ ภายในองค์กร ในส่วนการติดต่อภายในสถานศึกษาด้วยสาร ในกรณีที่ครูต้องการ
ตดิ ต่อภายในสถานศึกษา จะต้องใช้ บันทกึ ข้อความ หนงั สือราชการ
3.3 มำรยำทกำรตดิ ต่อสื่อสำรโดยใช้เครือ่ งมือสือ่ สำร
รัตนาภรณ์ ศรีพยัคฆ์ (2553: 15) กล่าวถึง การใช้เคร่ืองมือส่ือสาร เช่น โทรศัพท์
โทรสาร จดหมาย อิเล็กทรอนิกส์เปน็ เครื่องมอื สือ่ สารทร่ี วดเร็ว ประหยัดเวลา มแี นวทางปฏิบัติดงั นี
3.3.1 ก่อนเริ่มประสาน คิดก่อนว่า เราต้องการอะไร เมื่อไร ที่ไหน
อย่างไร ควรติดตอ่ ใคร หนว่ ยงานใด
3.3.2 ควรมีบัญชีโทรศัพท์ของบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไว้เป็นการ
สว่ นตวั เพื่อจะไดต้ ิดตอ่ สือ่ สารในสถานการณเ์ ร่งด่วน และเบอรโ์ ทรศัพทส์ ่วนกลาง
3.3.3 เม่ือติดต่อกับผู้ใด ควรจดช่ือและเบอร์โทรศัพท์ของผู้นันไว้ใช้ติดต่อ
ในโอกาสตอ่ ไป บางครงั ทาเป็นบัญชไี วใ้ นปกแฟ้มเร่ืองนัน ๆ
3.3.4 ควรประสานกบั ระดับเดยี วกนั หรอื ต่ากวา่ กอ่ น
3.3.5 ใช้คาพูดสุภาพให้เกียรติคู่สนทนาแม้รู้ว่าเขามีตาแหน่งต่ากว่า และไม่
ควรพดู ยกตนข่มท่าน
3.3.6 อาจหาข้อมูลก่อนว่า ผู้ที่เราจะโทรติดต่อ เป็นผู้ใด ตาแหน่งหน้าท่ีใด
อายุเทา่ ใด เม่ือสนทนากนั อาจเรยี ก พ่ี นอ้ ง ทา่ น จะทาใหเ้ ขารสู้ กึ ดี
3.3.7 การอ่อนน้อมถ่อมตนดว้ ยความจริงใจ มกั เป็นท่พี อใจของผู้อน่ื
3.3.8 ในการประสานงานครังท่ี 2 หลังจากรู้จักกันแล้ว อาจทักทายหรือ
ซกั ถามดว้ ยความหว่ งใย จรงิ ใจ เกยี่ วกบั เรื่อง สขุ ภาพ การงาน ฯลฯ ก่อนประสานเรอ่ื งงาน
3.3.9 กล่าวคาขอบคณุ ทุกครงั กอ่ นจบการสนทนา
146
3.3.10 เม่ือรับปากเร่ืองใดไว้ต้องรีบทา เช่น จะรีบส่งโทรสารไปให้จะรีบทา
หนังสือไป
กระบวนการทางานของการติดต่อหน่วยงาน องค์กร สถานศึกษา เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
จะต้องทาให้การติดต่อสอื่ สารอย่างมีขันตอน ชัดเจน เพอ่ื ให้เกิดความเข้าใจท่ีตรงกัน เกดิ ความร่วมมือ
และการประสานงานอยา่ งมีประสิทธภิ าพ เพ่ือให้การติดต่อนันๆสามารถบรรลเุ ป้าหมาย และประสบ
ผลสาเร็จด้วยดี
4. มำรยำทกำรติดต่อสื่อสำรภำยนอกหน่วยงำน องค์กร สถำนศึกษำ คือ การติดต่อ
ภายนอกหน่วยงานนันจะแตกต่างจากการติดต่อภายในหน่วยงานมากนัก แต่ก็มีรายละเอียดที่
แตกตา่ งกันอยู่บ้าง การเรียนร้มู ารยาทในการติดต่อหน่วยงาน องค์กร สถานศึกษาท่คี รคู วรรู้ ดังนี
4.1 มำรยำทกำรตดิ ตอ่ ส่ือสำรดว้ ยวำจำ
4.1.1 กำรพบปะดว้ ยตนเอง
รัตนาภรณ์ ศรีพยัคฆ์ (2553: 15-17) กล่าวถึง การพบปะด้วยตนเองว่า
เป็นการประสานงานที่ดีที่สุดเพราะได้พบหน้า ได้เห็นบุคลิกลักษณะ สีหน้าท่าทางของผู้ติดต่อทังสอง
ฝ่าย มีเวลาในการซักถามทาความเข้าใจกันได้อย่างพอเพียง เพราะทังสองฝ่ายต้องวางมือจากงาน
อ่ืนๆ ทังหมด มีข้อเสีย คือ ใช้เวลามาก มักใช้การพบปะในกรณีที่เป็นเรื่องนโยบาย เป็นเร่ืองสาคัญ
หรือมีรายละเอียดมาก หรือต้องการให้เกียรติให้ความสาคัญแก่อีกฝ่ายหน่ึง หรือต้องการสร้าง
ความรู้สึกที่ดีแก่อีกฝ่ายหน่ึง ให้เขารู้สึกว่า เราให้ความสาคัญแก่เขาด้วยการมาพบด้วยตนเอง มี
แนวทางปฏิบัตดิ งั นี
- ควรเตรียมหัวข้อหารือไปให้พร้อม และจดบันทึกไว้หากอีกฝ่าย
ไม่ได้บันทึก เราอาจบันทึกสันๆ ใส่กระดาษโน้ตไว้ให้เขา หรือเตรียมพิมพ์รายการไปล่วงหน้า เพ่ือให้
เขามบี ันทึกชว่ ยจา และใช้สงั่ การขนั ต้นแก่บุคลากรในหนว่ ยงานของเขาได้
- เม่ือรับปากเรื่องใดไว้ต้องรีบทา เช่น จะรีบส่งเอกสารไปให้หรือ
จะรบี ทาหนังสือไป
4.1.2 มำรยำทกำรติดต่อสื่อสำรด้วยสำร ได้กล่าวถึง การประสานงาน
ด้วยหนังสือใช้ในกรณีที่เป็นงานประจาท่ีทังสองหน่วยงาน ทราบระเบียบปฏิบัติอยู่แล้ว มีแนวทาง
ปฏิบัติดังนี
- หากเปน็ เร่ืองใหม่ ควรประสานทางโทรศัพทก์ ่อนเสมอ
- ตัวอย่างเร่ืองท่ีอาจต้องมีหนังสือไป หลังจากโทรติดต่อด้วยวาจา
แล้ว เช่น ขอขอ้ มลู ขอหารือ ขอทราบความตอ้ งการขอรับการสนับสนนุ ขอความอนเุ คราะห์ ฯลฯ
- การรา่ งหนงั สอื ควรให้ถกู หลกั การ ถูกต้อง ถูกใจ (ผู้รบั )
- การรา่ งหนังสอื ขอรับการสนับสนุน หรอื ขอความอนุเคราะห์ ควร
ประกอบดว้ ย 1) เหตุที่มหี นังสือมา 2) ยกย่องหนว่ ยงานท่ีจะขอรบั การสนับสนนุ /ขอความอนุเคราะห์
3) เร่ืองราวที่ต้องการขอรับการสนับสนุน/ขอความอนุเคราะห์ 4) ตังความหวังที่จะได้รับการ
สนับสนุน/ขอความอนุเคราะห์ 5) ขอบคุณ
147
- การร่างหนังสือขอความร่วมมือ ควรประกอบด้วย 1) เหตุท่ีมี
หนังสือมา 2) ความจาเป็นและเรื่องที่จะขอความร่วมมือ 3) เรื่องราวที่ต้องการขอความร่วมมือ
4) ตังความหวงั ทีจ่ ะได้รับความรว่ มมอื 5) ขอบคณุ
- เม่ือได้รับการสนับสนุน การอนุเคราะห์แล้ว ควรมีหนังสือไป
ขอบคุณหนว่ ยงานนันๆ เสมอ เพือ่ สานความสัมพนั ธ์ไวส้ าหรบั โอกาสตอ่ ไป
ในกรณีการติดต่อภายนอกสถานศึกษาด้วยสาร ในกรณีที่ครูต้องการติดต่อ
หน่วยงาน องค์กรสถานศึกษาภายนอกจะต้องใช้ หนงั สือราชการหรอื เอกสารที่ทางหนอ่ ยงานราชการ
ออกให้
มำรยำทกำรพดู
กระทรวงวัฒนธรรม (ออนไลน์, 2558: 1) การพูดมีความสาคัญต่อชีวิตมนุษย์เป็นอันมากไม่
ว่าจะอยู่ท่ีใดประกอบกับกิจการงานใดหรือคบหา สมาคมกับผู้ใด ผู้ท่ีประสบความสาเรจ็ ในธุรกิจ การ
งาน การคบหาสมาคมกับผู้อ่ืนตลอดจนการทาประโยชน์แก่สังคม ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีประสิทธิภาพใน
การพูดทังสินการพูดมีความสาคัญต่อตนเอง เพราะถ้าผู้พูดมีศิลปะในการพูดก็จะเป็นคุณแก่ตนเอง
ส่วนในด้านสังคมนัน เนื่องจากเราต้องคบหาสมาคมและพ่ึงพาอาศัยกัน การที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมี
ความสุขนนั จาเป็นต้องเป็นคนท่ี "พดู ดี” คอื พูดไพเราะ นา่ ฟัง และพูดถูกต้องด้วยมารยาทในการพูด
1 มำรยำทกำรพดู ระหว่ำงบุคคล
1.1 เรื่องทพ่ี ูดควรเปน็ เรอ่ื งทท่ี ัง 2 ฝา่ ย มคี วามสนใจและพอใจรว่ มกนั
1.2 ไม่พูดเรื่องของตนเองมากจนเกินไป ควรฟังในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งพูด
ไมส่ อดแทรกเมอื่ เขาพดู ยงั ไมจ่ บ
1.3 พูดตรงประเด็น อาจออกนอกเรื่องบา้ งพอผ่อนคลายอารมณ์
1.4 เคารพความคิดเหน็ ของผอู้ ่นื ไมบ่ ังคบั ใหผ้ ู้อ่นื เชอ่ื หรือคดิ เหมือนตน
2. มำรยำทกำรพดู ทส่ี ำธำรณะ
การพูดในที่สาธารณะตอ้ งรักษามารยาทให้มากกว่าการพูดระหว่างบุคคล เพราะการ
พูดในที่สาธารณะนัน ย่อมมีผู้ฟังซ่ึงมาจากที่ต่าง ๆ กัน มีวัยวุฒิ คุณวุฒิ และพืนฐานความรู้ ความ
สนใจและรสนิยมต่างกันไป มารยาทในการพูดระหว่างบุคคลอาจนามาใช้ได้และควรปฏิบัติเพ่ิมเติม
ดงั นี
2.1 แตง่ กายใหส้ ภุ าพเรยี บร้อยเหมาะแก่โอกาสและสถานท่ี
2.2 มาถึงสถานทพี่ ดู ใหต้ รงเวลาหรอื กอ่ นเวลาเลก็ นอ้ ย
2.3 ก่อนพูดควรแสดงความเคารพต่อผฟู้ ังตามธรรมเนียมนิยม
2.4 ไมแ่ สดงกิริยาอาการอันไมส่ มควรต่อหนา้ ที่ประชมุ
2.5 ใช้คาพูดทใี่ ห้เกียรตแิ กผ่ ู้ฟงั เสมอ
2.6 ไม่พดู พาดพิงถึงเรื่องส่วนตัวของบุคคลอ่นื ในท่ปี ระชุม
2.7 ไมพ่ ดู หยาบโลนหรือตลกคะนอง
2.8 พดู ให้ดงั พอไดย้ ินทั่วกนั และไม่พูดเกนิ เวลาที่กาหนด
148
การส่ือสารด้วยการพูดไม่ว่าจะเป็นการพูดกับคนเพียงคนเดียวหรือพูดกับคนจานวนมาก
จาเป็นอย่างย่ิงท่ีผู้พูดทุกคนต้องมีมารยาท ถ้าขาดหรือละเลยต่อมารยาทในการพูด แล้วอาจทาให้
การพูดประสบความลม้ เหลว หรอื ไม่ประสบความสาเรจ็ ได้
3. มำรยำทกำรพดู ที่ประชมุ
ชชู าติ อารีจิตรานสุ รณ์ (ม.ป.ป.: 1) ไดก้ ลา่ วถงึ มารยาทในการประชุมไว้ ดังนี
3.1 เตรยี มตัวใหพ้ ร้อมก่อนการประชุม เช่น อ่านรายงานการประชุมมาล่วงหน้า
3.2 เข้าร่วมประชมุ ให้ตรงเวลาหรือมากอ่ นเวลาประชมุ เล็กนอ้ ย
3.3 ปฏิบัตติ ามระเบยี บหรอื ข้อบงั คับของที่ประชมุ
3.4 ใหเ้ กียรติประธานทีป่ ระชุม
3.5 ให้เกียรติผู้เข้าร่วมประชุมด้วยการเคารพความคิดเห็น และไม่คอยจับผิด
ซึ่งกันและกัน
3.6 ไมค่ วรแสดงพฤติกรรมใด ๆ ทีจ่ ะทาลายบรรยากาศการประชุม
3.7 แยกเรื่องสว่ นตัวออกจากเรอื่ งของท่ีประชุม
3.8 มีส่วนร่วมในการประชุม โดยร่วมแสดงความคิดเห็น หรือให้ข้อมูลที่เป็น
ประโยชนต์ ่อการประชมุ อย่างสนั ๆ แตไ่ ดใ้ จความ
3.9 เปน็ นกั ฟังท่ีดีโดยจับประเดน็ ให้ถกู ต้องก่อนพดู
3.10 ยกมือขออนุญาตก่อน เมื่อประธานท่ีประชุมอนุญาตแล้ว
จึงพูดแสดงความคิดเห็น
3.11 ในการกล่าวแสดงความคิดเห็นให้กล่าวตอ่ ประธานที่ประชุม ไม่ควรกล่าวกับผู้
รว่ มประชุมโดยตรง
3.12 ควรพดู แต่ในสิง่ ท่ีกาลังประชมุ ไม่ควรพูดนอกเรือ่ ง หรอื ไรส้ าระ
3.13 ควรพูดด้วยเหตุผลมากกว่าใช้อารมณ์ หลกี เล่ียงการโตเ้ ถียงท่ไี ม่จาเป็น
3.14 ไมค่ วรพูดจาหยาบคายดหู มน่ิ เสียดสีหรือไม่สุภาพ
3.15 ไมค่ วรพูดวกวน ซาซาก หรือซาประเดน็ กบั ผู้อน่ื
3.16 ไมค่ วรพูดคนเดียวมากเกนิ ไป
3.17 สอดแทรกเพอ่ื ประนีประนอมการโต้เถียงท่ีไม่จาเป็นที่เกดิ ขึน
3.18 พิจารณาข้อมูลและผลกระทบอยา่ งละเอียดก่อนลงมตใิ ด ๆ
3.19 ไมค่ วรนาเรอื่ งลับของที่ประชมุ ไปเปิดเผยนอกห้องประชมุ
3.20 ควรอยรู่ ่วมประชมุ จนกวา่ จะเลิกประชมุ
มารยาทถือเปน็ สิง่ จาเปน็ อยา่ งย่ิงในการอยู่ในสงั คมที่มวี ัฒนธรรมเดยี วกนั และการมมี ารยาท
ถือเป็นส่วนหนงึ่ ที่จะทาให้การติดต่อประสานงาน และการดาเนนิ งานหรือกิจกรรมต่าง ๆ เปน็ ไปอยา่ ง
ราบร่นื และประสบความสาเร็จ
149
สรุป
วฒั นธรรมไทย หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างท่ีคนไทยสร้างขึนและปรากฏอยู่ในสังคมไทย รวมถึง
ภาษา เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ขนบธรรมเนียมประเพณี ระเบียบแบบแผนการดาเนินชีวิตที่สังคม
ยอมรับ กฎหมาย ความเช่ือ วัฒนธรรมไทยเป็นมรดกที่สืบทอดกันมาตังแต่บรรพบุรุษ ถ้าไม่มี
วัฒนธรรม มนุษย์ก็สามารถเกิดขึนมาได้ แต่จะไม่ แตกต่างกับสัตว์อ่ืนๆ วัฒนธรรมไทยติดตัวมาแต่
กาเนิดและเกิดขึนท่ามกลางวัฒนธรรมและต้องเรียนรู้ให้เจริญงอกงามทังทางวัตถุและจิตใจ เพื่อ
การดารงชวี ิตในสังคมไทยอยา่ งมีความสขุ และยั่งยืน
150
กจิ กรรมทำ้ ยบท
1. จงบอกความหมายของวัฒนธรรม โดยสังเขป
2. ระบุความสาคัญของวฒั นธรรมที่มีอิทธพิ ลต่อการดารงชีวิต
3. วฒั นธรรมตามทัศนะของนักศกึ ษา สามารถบง่ ประเภทไดอ้ ยา่ งไร จงอธิบาย
4. วัฒนธรรมไทยทส่ี าคัญในการติดต่อหรือพบปะคืออะไร เพราะอะไร
5. วฒั นธรรมไทยกาหนดบทบาทใดให้คนในสังคม จงอธบิ าย
6. วฒั นธรรมในจานวน 5 สาขา ที่ถูกแบง่ ประเภทตาม UNESCO สาขาใดทมี่ ีผลต่อนกั ศึกษา
มากที่สุด เพราะอะไร
7. จงบอกคุณคา่ ของวัฒนธรรมไทย
8. ครมู บี ทบาทอย่างไรในกำรเรียนรู้และถ่ำยทอดวฒั นธรรมไทย จงอธบิ าย
9. วฒั นธรรมไทยทม่ี ผี ลตอ่ การประกอบวชิ าชพี ครูคืออะไร เพราะอะไร
10. ในฐานะท่ีนกั ศึกษาเปน็ นักศึกษาครู นักศึกษามีวิธีการอยา่ งไรในการนาวัฒนธรรมไทยไป
ปรับใชใ้ นการจดั การเรยี นรใู้ นชันเรียนตามสาขาวชิ าท่ีนกั ศึกษากาลงั ศึกษาอยู่
151
เอกสำรอำ้ งอิง
กรมส่งเสรมิ วัฒนธรรม สถาบันวัฒนธรรมศึกษา กลมุ่ ไทยศึกษา กระทรวงวฒั นธรรม. (2556).
มำรยำทไทย. (พมิ พ์ครังท่ี 6). กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์องค์การสงเคราะห์ทหารผา่ นศึก
ในพระบรมราชปู ถัมภ.์
กรมสง่ เสริมวฒั นธรรม สานกั งานคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงวัฒนธรรม. (2553).
พระรำชบญั ญัตวิ ฒั นธรรมแห่งชำติ พุทธศักรำช 2553. กรงุ เทพฯ:
สานักงานคณะกรรมการกฤษฎกี า กระทรวงวฒั นธรรม.
กรมส่งเสรมิ วฒั นธรรม สานกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ กระทรวงวฒั นธรรม. (2549).
ประเภทวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: สานกั งานคณะกรรมการวัฒนธรรมแหง่ ชาติ
กระทรวงวัฒนธรรม.
กระทรวงวัฒนธรรม. (2558). มำรยำทในกำรพูด.[ออนไลน์]. เข้าถึงไดจ้ าก
https://www.m-culture.go.th/young_th/article_view.php?nid=349. สืบคน้ เม่อื
18 มกราคม 2563.
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2553). หนังสอื เรยี นรำยวชิ ำพนื้ ฐำน หน้ำที่พลเมอื ง วัฒนธรรมและ
กำรดำเนนิ ชวี ิตในสังคม. กรงุ เทพฯ: สกสค. ลาดพร้าว.
กะรัต เทพศิริ. (2556). รูปแบบกำรสื่อสำรภำยในองค์กรของบุคลำกร คณะบริหำรธุรกิจ
มหำวิทยำลัยแม่โจ้. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยแม่โจ้.
กัลยา เตียนมีผล.(2557). กำรถวำยควำมเคำรพพระมหำกษัตริย์. [ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก
https://kanlayamilk5556.wordpress.com.สบื คน้ เมอ่ื 20 กรกฎาคม 2563.
ขันธ์ชัย อธิเกียรติ. (2557). มำรยำทในกำรติดต่อขอพบครูอำจำรย์.[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
http://www.edu.ru.ac.th/cur/index.php/component/content/article?id=166.
สืบคน้ เม่ือ 18 มกราคม 2563.
ชูชาติ อารีจิตรานุสรณ์. (ม.ป.ป.) บทควำมด้ำนกำรบริหำร-มำรยำทในกำรประชุม. ขอนแก่น:
มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ .
นาตยา เกรียงชัยพฤกษ์ และคณะ. (2561). สังคมในกำฬสินธ์ุ. วารสารวิชาการแพรวากาฬสินธ์ุ
มหาวิทยาลยั กาฬสนิ ธุ์. ปีที่ 5 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม – สงิ หาคม 2561).
นพิ นธ์ สขุ สวัสด์ิ. (2524). วรรณคดเี ก่ยี วกบั ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย. (พิมพ์ครังท่ี 2).
พิษณโุ ลก: มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ พิษณุโลก.
ประภาศรี สีหะอาไพ. (2533). ปรทิ ัศนว์ ัฒนธรรมในภำษำไทยและวรรณคดไี ทย. กรงุ เทพฯ:
ไทยวฒั นาพาณชิ ย์.
พวงผกา ประเสรฐิ ศิลป์. (2541). ศลิ ปะและวัฒนธรรมไทย. (พมิ พค์ รงั ท่ี 3). กรุงเทพฯ:
อมรการพิมพ์.
พันธกร อุทธติ สาร (ม.ป.ป.). เอกสำรประกอบคำสอน มำรยำทไทยกำรแต่งกำย. เชียงราย:
มหาวิทยาลัยราชภฏั เชียงราย.
ณรงค์ เสง็ ประชา. (2539). สังคมวทิ ยำ. กรงุ เทพฯ: พิทักษ์อกั ษร.
152
รัตนาภรณ์ ศรีพยคั ฆ.์ (2553). เทคนิคกำรประสำนงำน (Cooperation Technique). กรงุ เทพฯ:
สานกั งานปลัดกระทรวงมหาดไทย สถาบนั ดารงราชานุภาพ.
สุพัตรา สุภาพ. (2536). สงั คมและวฒั นธรรมไทย คำ่ นิยม ครอบครัว ศำสนำ ประเพณี.
(พมิ พ์ครังท่ี 8). กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพาณิชย์.
. (2542). สังคมวิทยำ. กรงุ เทพฯ: ไทยวัฒนาพานชิ .
อนุมานราชธน,พระยา. (ม.ป.ป.) วัฒนธรรม. กรงุ เทพฯ: กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธิการ.
Ruth Benedict. (1943). Thai Culture and Behavior. Office of War Information, Bureau
of Overseas Intelligence, University of Michigan.
เป็นเบ้าหลอมโดยผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคมที่เกิดการเรียนรู้
เกิดจิตสานึก เกิดความผูกพันและความจงรักภักดีต่อวัฒนธรรมองค์กร
ในสถานศึกษา สังคมในชุมชน สังคมในประเทศชาติ ให้เป็นชุมชนแห่ง
การเรียนรู้ หรือสงั คมแห่งการแลกเปล่ยื นเรียนรู้
การปฏบิ ัตติ นตามวัฒนธรรมไทย : ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ลักษณา เกยรุ าพนั ธ์
บทที่ 6
การปฏบิ ตั ิตนตามวฒั นธรรมไทย
วัฒนธรรมไทยเป็นเคร่ืองกำหนดทิศทำงในกำรดำเนินชีวิตของมนุษย์ในสังคมและเป็นสิ่งท่ี
มนุษย์คิด ประดิษฐ์ สร้ำงสรรค์ เปลี่ยนแปลง ปรับปรุงหรือผลิตขึ้น เป็นภูมิปัญญำ เป็นเอกลักษณ์
และเป็นแบบอย่ำงท่ีเกิดจำกกำรเรยี นรู้ แนวทำงกำรปฏิบตั ิ กำรถ่ำยทอดทั้งทำงตรงหรือทำงอ้อมจำก
บรรพบุรุษจำกรุ่นสู่รุ่น และมีพ้ืนฐำนมำจำกสภำพแวดล้อมทำงด้ำนเศรษฐกิจ ทำงกำรเมือง และทำง
สังคมที่แสดงออกถึงควำมเข้มแข็ง ควำมเจริญงอกงำมที่สืบทอดกันมำเป็นกำรประพฤติปฏิบัติ
อันดีงำม ที่ปรำกฏและสืบทอดมำเป็นภำษำ ศิลปวัฒนธรรม ควำมเชื่อ ค่ำนิยม และขนบธรรมเนียม
ประเพณี เปน็ ตน้
วัฒนธรรมไทย
ประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่แสดงถึงควำมรุ่งเรืองในประวัติศำสตร์ประกำศเอกลักษณ์ศักดิ์ศรี
และควำมสำมัคคี นำควำมเป็นปึกแผ่นม่ันคง มีพระมหำกษัตรยิ ์ทรงเป็นศูนย์รวมน้ำใจของชนในชำติ
มีพุทธศำสนำเป็นธงชัยในกำรดำเนินชีวิตของสังคมไทย กระแสวัฒนธรรมไทยได้วิวัฒนำกำรต่อเนื่อง
อยำ่ งไม่หยดุ ย้งั นบั ตั้งแตก่ อ่ นสมยั สโุ ขทัยมำจนถงึ ปัจจุบัน (ประภำศรี สีหอำไพ, 2550: 1)
1. ความเปน็ มาของวฒั นธรรมไทย
กำรขุดค้นแหล่งโบรำณคดี สำมำรถแบ่งระยะเวลำวิวัฒนำกำรของกลุ่มวัฒนธรรมท่ีสำคัญ
เช่น กลุ่มวัฒนธรรมบ้ำนเชียง ซึ่งพบว่ำมีอำยุถึง 5,600 ปี มีหลักฐำนเคร่ืองใช้ ภำชนะ แสดงกำรต้ัง
หลักแหล่งที่อยู่อย่ำงถำวร เครื่องมือเครื่องใช้ แสดงโบรำณวัตถุ และเทคนิควิธีกำรใช้ศิลปะ
วำดลวดลำยและทำเคร่ืองปั้นดินเผำ เครื่องมือ โลหะสำริด ซึ่งต่อมำได้ก้ำวหน้ำมำกย่ิงข้ึน จึงถึงทำ
เครือ่ งมือเหล็กได้ใน 3,600 ปี ท่ีผ่ำนมำ (กรมศิลปำกร, 2527: 10) สังคมไทยเป็นสังคมที่มีวฒั นธรรม
เป็นของตนเอง ซ่ึงส่ังสมมำเป็นเวลำนำนนับพันปี สะท้อนให้เห็นวิถีควำมเป็นไทย ซ่ึงเป็นมรดกของ
บรรพบุรุษจนกลำยเป็นเอกลักษณ์ของไทย ที่มีคุณค่ำควรยึดถือเป็นแนวทำงปฏิบัติ สืบทอดกันมำช้ำ
นำน และเปน็ สงิ่ ท่แี สดงถึงควำมเปน็ ชำตไิ ทย (สพุ ัตรำ สุภำพ, 2545: 146) โดยมที ่ีมำดังน้ี
1.1 วัฒนธรรมไทยท่ีเรำมีกำรปฏิบัติกันอยู่ ส่วนหน่ึงเป็นของคนรุ่นก่อน ๆ หรือ
บรรพบุรษุ ของเรำได้ถ่ำยทอดมำยังอนชุ ำตรุน่ หลงั
1.2 จำกกำรที่เรำได้ติดต่อกับชำติอื่น ๆ ท่ีเกี่ยวข้องด้วย ชนชำติที่มีอิทธิพลต่อ
วัฒนธรรมไทย คือ มอญ ขอม อินเดีย จีน และชำติตะวันตก สำหรับมอญและขอม 2 ชำตินี้รับ
อิทธิพลมำจำกอินเดีย สง่ิ ใดมีประโยชนก์ น็ ำมำดัดแปลงเป็นวัฒนธรรมไทย
2. ลกั ษณะของวฒั นธรรมไทย
วัฒนธรรมไทย (วิชัย ภู่โยธิน และคณะ, 2553: 35-40) ได้รับกำรพัฒนำโดยลำดับ
อันเน่ืองมำจำกอิทธิพลของส่ิงแวดล้อมทำงสังคม และสิ่งแวดล้อมทำงธรรมชำติ และควำมสำมำรถ
ของสังคมไทย จึงก่อให้เกิดกำรสร้ำงสรรค์หล่อรวมกันเป็นวัฒนธรรมซ่ึงลักษณะเฉพำะเป็นวัฒนธรรม
ทีม่ ลี กั ษณะเด่น ๆ หลำยอยำ่ งดงั นี้
154
2.1 กำรมีพระพุทธศำสนำเป็นศำสนำประจำชำติ สังคมไทยรับเอำพระพุทธศำสนำ
เป็นที่นับถือของชำวไทย มำต้ังแต่ก่อนสุโขทัย คนไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศำสนำถึงร้อยละ 95
หลักคำส่ังสอนสำคญั ของพทุ ธศำสนำคือ สอนให้ละเว้นควำมช่ัว ทำควำมดี ทำจิตใจให้บรสิ ทุ ธิ์ วถิ ีชีวิต
ของคนไทยจะมีพุทธศำสนำเข้ำมำเกี่ยวข้องเสมอ เช่น กำรบวช กำรแต่งงำน กำรทำบุญขึ้นบ้ำนใหม่
2.2 กำรมีพระมหำกษัตริย์เป็นประมุข สังคมไทยมีพระมหำกษัตริย์เป็นประมุข
สบื ทอดมำแต่โบรำณถึงปัจจุบัน จะเห็นได้จำกกำรถวำยควำมจงรักภักดีในวำระต่ำง ๆ แสดงถึงควำม
ยึดมั่นในพระองค์ ซ่ึงชว่ ยเสริมสร้ำงใหส้ ถำบนั พระมหำกษตั ริยม์ คี วำมสำคัญตอ่ สังคมเป็นอย่ำงยง่ิ
2.3 อักษรไทยและภำษำไทย สังคมไทยมีอักษรใช้มำนำนตั้งแตส่ มัยสุโขทยั โดยได้รับ
อิทธิพลจำกขอม และได้รับกำรพัฒนำโดยพ่อขุนรำมคำแหงมหำรำช จัดเป็นเอกลักษณ์ที่น่ำภูมิใจ
เพรำะภำษำถอื วำ่ เปน็ อำรยธรรมขน้ั สูง
2.4 ประเพณีไทย เป็นส่ิงแสดงถึงวิถีชีวิตของคนไทยท้ังในอดีตและปัจจุบัน ซ่ึง
ส่วนมำกเกี่ยวข้องกับพระพุทธศำสนำ อำจมีคติลัทธิศำสนำอื่นผสมอยู่ด้วย ซึ่งสืบเนื่องมำแต่โบรำณ
ประเพณที ีน่ ำมำปฏิบตั กิ นั เช่น ประเพณกี ำรบวช ประเพณีกำรแตง่ งำน
2.5 วัฒนธรรมท่ีเป็นปัจจัยพื้นฐำนในกำรดำรงชีวิต ได้แก่ ปัจจัยส่ี คือ เคร่ืองนุ่งห่ม
ท่ีอย่อู ำศยั อำหำร ยำรักษำโรค
2.6 ศิลปกรรมไทย เป็นวัฒนธรรมที่เกิดจำกกำรเพียรพยำยำมของมนุษย์ในกำรปรุงแต่ง
ชีวิตควำมเป็นอยูใ่ หด้ ีขึ้น
กล่ำวโดยสรุป ลักษณะทำงวัฒนธรรมจัดเป็นมรดกทำงสังคม (Social Heritage) และมี
องค์ประกอบที่สำคัญ คือ ควำมรู้ ควำมสำมำรถที่ปรุงแต่งและถ่ำยทอดอันเกิดจำกกำรเรียนรู้
กำรศึกษำ กำรฝึกอบรม ควำมเป็นระเบียบเรียบร้อย จนกลำยเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี
ที่สอดคล้องข้องกับวิถีชีวิต ตำมลักษณะของกลุ่มชนทำงสังคมท่ีมีกำรบูรณำกำร (Integrate) สู่ควำม
เปน็ ลักษณะเฉพำะทเ่ี รยี กวำ่ “เอกลกั ษณข์ องชำติ”
3. หน้าท่แี ละความสาคญั ของวฒั นธรรมไทย
วัฒนธรรมไทยเป็นกำรสั่งสมประสบกำรณ์ทุกส่ิงทุกอย่ำงที่เป็นแบบแผนในกำร
ดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทุกสังคม ที่ยึดถือปฏิบัติสืบทอดต่อกันมำจำกรุ่นสู่รุ่น ซ่ึงเกิดจำกกำรเรียนรู้
กำรสร้ำงสม มที ง้ั ที่เปน็ วัตถุ เชน่ ศลิ ปะ สิ่งก่อสร้ำง และท่ไี มใ่ ชว่ ัตถุ เช่น ควำมเช่อื ศีลธรรม ประเพณี
หน้ำที่ที่สำคัญของวัฒนธรรม คือ กำหนดรูปแบบของสถำบันต่ำง ๆ ในสังคมกำหนดบทบำท
ควำมสัมพันธ์หรือพฤติกรรมของบุคคล ทำหน้ำที่ควบคุมสังคม ทำหน้ำที่เป็นเคร่ืองหมำยหรือ
สัญลักษณ์ ที่แสดงว่ำสังคมแต่ละสังคมมีควำมแตกต่ำงกัน ทำให้เกิดควำมเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันใน
สังคม เป็นปัจจัยสำคัญในกำรสร้ำง หล่อหลอมบุคลิกภำพท่ีพึงประสงค์ให้แก่สมำชิกในสังคม ทำให้
สมำชิกและสังคมตระหนักถึงควำมหมำย วตั ถุประสงค์และคุณค่ำแห่งกำรดำรงชีวิตของตน และสร้ำง
หรือจัดแบบแผนควำมประพฤติและกำรปฏิบัติหรือแบบแผนของพฤติกรรมให้แก่บุคคลยึดถือปฏิบัติ
รว่ มกัน (สนธยำ พลศร,ี 2545: 168-169)
ควำมสำคัญของวัฒนธรรม ได้แก่ เป็นสิ่งท่ีกำหนดรูปแบบของสถำบันทำงสังคม กำหนด
บทบำทควำมสัมพันธ์หรือพฤติกรรมของมนุษย์ตำมสถำนภำพและบทบำทของตน ควบคุมมนุษย์และ
สังคม ให้ประพฤติปฏิบัติตำมบรรทัดฐำนที่กำหนดไว้เป็นสัญลักษณ์และมรดกของสังคม สร้ำงควำม
155
เป็นอันหนึ่งอนั เดียวกัน หลอ่ หลอมและกำหนดบุคลิกภำพให้แก่สมำชกิ ในสังคม ทำให้บุคคลตระหนัก
ถงึ ควำมหมำยและวัตถุประสงค์ของกำรมชี ีวิตอยู่ในสังคม เป็นเคร่ืองมือสำคัญในกำรปรับตัวมนุษย์ให้
เข้ำกับสิ่งแวดล้อมและนำส่ิงแวดล้อมมำใช้ประโยชน์ได้อย่ำงเหมำะสม เป็นปัจจัยสำคัญในกำรพัฒนำ
มนษุ ยแ์ ละสังคม เป็นส่งิ ที่ทำให้มนษุ ยแ์ ตกต่ำงจำกสตั วป์ ระเภทอ่นื ๆ (สนธยำ พลศรี, 2545 : 184)
การปฏบิ ัติตนตามวัฒนธรรมไทยในสถานศกึ ษา
วัฒนธรรม คือ วิถีแห่งชีวิตของมนุษย์ในสังคม เป็นแบบแผนในกำรปฏิบัติท่ีแสดงออกถึง
ควำมเป็นนักคิดในสถำนกำรณ์ต่ำง ๆ เข้ำใจ ยอมรับและเป็นพื้นฐำนของกำรปฏิบัติร่วมกัน
อนั จะนำไปสูก่ ำรพัฒนำคุณภำพชวี ติ ของมนษุ ย์ในสังคมนั้นได้อยำ่ งปกตสิ ขุ
1. ความหมายเชิงปฏิบตั ิการของวัฒนธรรม
วัฒนธรรม หมำยถึง ควำมเจริญงอกงำม ซ่ึงเป็นผลจำกระบบควำมสัมพันธ์ระหว่ำง
มนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสังคม และมนุษย์กับธรรมชำติ จำแนกออกเป็น 3 ด้ำน คือ จิตใจ สังคม
และวัตถุ มีกำรสั่งสมและสืบทอดจำกคนรุ่นหน่ึงไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จำกสังคมหนึ่งไปสู่อีกสังคมหน่ึง
จนกลำยเป็นแบบแผนที่สำมำรถเรียนรู้และก่อให้เกิดผลิตกรรมและผลิตผล ท้ังที่เป็นรูปธรรมและ
นำมธรรม กำรอนุรกั ษ์ ฟ้ืนฟู พัฒนำ ถ่ำยทอด ส่งเสริม แลกเปลี่ยน และเพื่อสรำ้ งเสริมดลุ ยภำพ และ
ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงมนุษย์ สังคม และธรรมชำติ ซึ่งจะช่วยให้มนุษย์สำมำรถดำรงชีวิตอย่ำงมี
สนั ติภำพ สนั ตสิ ุข และอสิ รภำพ อนั เป็นพืน้ ฐำนแหง่ อำรยธรรมของมนษุ ยชำติ
วฒั นธรรมในสถานศกึ ษา (โรงเรียน)
ในกำรดำเนนิ งำนขององค์กำรตำ่ งๆ จะมีรูปแบบกำรกระทำและวัฒนธรรมเป็นของตนเองซ่ึง
มีอิทธิพลต่อกำรปฏิบัติงำนของบุคลำกรในองค์กำร (นิติพล ภูตะโชติ, 2559: 134) องค์กำรต่ำง ๆ
จึงมีควำมพยำยำมในกำรสร้ำงและแสวงหำวัฒนธรรมท่มี ีควำมเหมำะสมกับองคก์ ำรของตน เพื่อทำให้
เกิดประสิทธิภำพสูงสุดในกำรทำงำนของบุคลำกรในองค์กำร วัฒนธรรมองค์กำรเป็นปัจจัยท่ีสำคัญ
อย่ำงยิ่งในกำรบริหำรงำนองค์กำรให้บรรลุผลสำเร็จ เป็นเคร่ืองมือที่ช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภำพและ
ประสิทธิผลของบุคลำกร โรงเรียนสถำนศึกษำหน่วยงำนหนึ่งในระบบสังคมก็เหมือนควำมหมำยของ
วัฒนธรรมหนว่ ยงำนหรอื องค์กำรซ่งึ นำมำปรบั ให้เขำ้ กบั บริบทในโรงเรียนของตน
1. ความหมายของวัฒนธรรมในสถานศึกษา (โรงเรียน)
สมคิด บำงโม (2558: 42) ได้ให้ควำมหมำยของวัฒนธรรมองค์กำรไว้ว่ำ หมำยถึง ควำมคิด
แบบแผนปฏบิ ัติงำนและกำรดำรงชวี ิตของบคุ ลำกรในองค์กำรหน่ึง ๆ ซ่ึงบุคลำกรส่วนใหญ่ในองค์กำร
ยอมรบั และปฏบิ ตั เิ ป็นประเพณีและใช้เปน็ แบบแผนในกำรปฏบิ ตั ิตนในฐำนะสมำชกิ ขององคก์ ำร
นิติพล ภูตะโชติ (2559: 135) ได้ให้ควำมหมำยของวัฒนธรรมองค์กำรไว้ว่ำ หมำยถึง
แบบแผนท่ีเก่ียวข้องกับควำมคิด ค่ำนิยม ควำมเข้ำใจ ควำมเชื่อ ควำมรู้สึกของสมำชิกในองค์กำร ซึ่ง
เป็นบรรทัดฐำนเพ่ือให้สมำชิกประพฤติปฏิบัติสืบทอดกันไปสู่สมำชิกรุน่ ใหม่ วัฒนธรรมแต่ละองค์กำร
จะมีควำมแตกต่ำงกัน ซ่ึงแต่ละองค์กำรจะมีกำรสร้ำงระเบียบแบบแผนเพื่อให้สมำชิกปฏิบัติร่วมกัน
อิทธิพลของวัฒนธรรมองค์กำรจะมีผลต่อพฤติกรรมของบุคลำกรในองค์กำรหลำยอย่ำง เช่น
ควำมร่วมมือของสมำชิก กำรตัดสินใจ กำรปฏิบัติงำน สมำชิกในองค์กำรจะมีควำมรู้สึกผูกพันต่อ
156
องค์กำร นอกจำกนั้น วัฒนธรรมองค์กำรยังมีผลต่อควำมสำเร็จและประสิทธิภำพของกำรทำงำนใน
องค์กำรด้วย
วอลเลอร์ (Waller, 1932: 78-90) เป็นคนแรกที่ใช้คำว่ำวัฒนธรรมโรงเรียน (School
Culture) ไดก้ ลำ่ ววำ่ โรงเรียนเป็นระบบสังคมทปี่ ระกอบด้วยครูและนักเรียนที่ต้องมกี ระบวนกำรเรียน
กำรสอนท่ีไม่เหมือนกับกำรทำงำนของเคร่ืองจักรแต่โรงเรียนต้องมีโครงสร้ำงบรรทัดฐำนเป็นของ
ตนเอง
แคทเตทเตอร์ (Castetter, 1986: 20) ได้กล่ำวว่ำ วัฒนธรรมโรงเรียนเป็นแนวทำงปฏิบัติท่ี
ได้รับกำรยอมรับเป็นลักษณะของสถำบัน เป็นประเพณีและค่ำนิยม ซึ่งมีแนวโน้มท่ีปรำกฏเป็นส่วน
สำคัญโรงเรียน โดยมีเป้ำหมำยของค่ำนิยมนำไปสู่แผนปฏิบัติงำน ซ่ึงทำให้บุคลำกรในโรงเรียนเข้ำใจ
ได้ว่ำจะทำอะไร และจะทำให้ดีได้อย่ำงไร วัฒนธรรมโรงเรียนยังรวมถึง บรรทัดฐำน ควำมคำดหวัง
ควำมคดิ และอุดมคติ ซง่ึ ทกุ โรงเรยี นตำ่ งมีวัฒนธรรมเฉพำะเป็นของตน
เซอร์จิโอวำนนี่ และสตรำรัทท์ (Sergiovanni and Straratt,1988: 103) ได้กล่ำวว่ำ
วัฒนธรรมโรงเรียนเป็นตัวกำหนดสัญลักษณ์ กฎเกณฑ์ของพฤติกรรม พิธีกำร และเร่ืองรำวที่เล่ำสู่กัน
มำนำนซง่ึ เน้นถงึ ค่ำนิยมและควำมเชือ่ วำ่ สมำชิกขององค์กำรจะต้องมสี ่วนร่วมดว้ ย
แบร์ และคณะ (Beare and et al, 1989: 199) ได้กล่ำวว่ำวัฒนธรรมโรงเรียนหมำยถึงสิ่ง
ทั้งหลำยเกิดขึ้นจำกบูรณำกำรรูปแบบควำมคิด โครงสร้ำงและประสบกำรณ์ของบุคลำกรในโรงเรียน
เป็นส่ิงที่มีคุณสมบัติเฉพำะที่ดำเนินกำรอยู่ในโรงเรียน เป็นแนวปฏิบัติเพ่ือใช้ในกำรแก้ไขปัญหำของ
โรงเรียนทั้งภำยในและภำยนอก ซึ่งเป็นกำรปฏิบัติต่อเนื่องกันมำเป็นเวลำนำนและได้รับกำรถ่ำยทอด
ไปยังบคุ ลำกรของโรงเรยี นใหเ้ ป็นแนวปฏบิ ตั ิเพอื่ ใหโ้ รงเรยี นบรรลุเป้ำหมำยต่อไป
จำกแนวคิดของนักวิชำกำรตำมที่ได้กล่ำวมำข้ำงต้น สรุปว่ำ วัฒนธรรมในสถำนศึกษำ
(โรงเรียน) หมำยถึงควำมเช่ือ ทัศนคติ แบบแผน พฤติกรรม ที่เป็นบรรทัดฐำนและแนวทำงปฏิบัติ
ท่ีเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละสถำนศึกษำ (โรงเรียน) เพ่ือมุ่งสู่เป้ำหมำยและวิสัยทัศน์ของสถำนศึกษำ
(โรงเรยี น)
2. ความสาคญั ของวัฒนธรรมโรงเรยี น
จอมพงศ์ มงคลวนิช (2556: 239) ได้กล่ำวถึงควำมสำคัญของวัฒนธรรมองค์กำรไว้ว่ำ
วฒั นธรรมท่ีเข้มแข็งเปน็ วัฒนธรรมทีม่ ีน้ำหนักมำก คนเห็นพอ้ งต้องกันและยอมรบั มำกจงึ เปลี่ยนแปลง
ยำก วัฒนธรรมที่เข้มแข็งจะมีผลตอ่ กำรควบคุมพฤติกรรมได้มำก และทำให้สมำชิกขององค์กำรมีแรง
ยดึ เหน่ียวกันสูง มีควำมจงรักภักดแี ละผูกพันตอ่ องค์กำรมำก ในองค์กำรทำงกำรทหำรหรือในองค์กำร
ของชำวเกำหลีและญ่ีปุ่นจะมีวัฒนธรรมองค์กำรท่ีมีน้ำหนักและมีควำมเข้มแข็งมำกกว่ำองค์กำรแบบ
ตะวันตกซ่ึงเน้นปัจเจกบคุ คลอันเป็นผลมำจำกกำรไดร้ ับอิทธิพลจำกวฒั นธรรมประจำชำตินน้ั เอง
แบร์ และคณะ (Beare and et al, 1989: 97-98) ได้กล่ำวว่ำ วัฒนธรรมที่แข็งแกร่งจะเป็น
สิ่งยึดโยงใหท้ ุกหน่วยและบุคลำกรทกุ คนในโรงเรยี นเป็นน้ำหนงึ่ ใจเดยี วกัน
แกลทธอร์น (Glatthorn, 1990: 104) ได้กล่ำวว่ำ วัฒนธรรมของโรงเรียนมีอิทธิพลต่อครูท้ัง
ทำงตรงและทำงออ้ ม
โกเอนส์ และโกลเวอร์ (Goens and Clover, 1991: 257) ได้กล่ำวว่ำ วัฒนธรรมมีอิทธิพล
ต่อกำรบรหิ ำรโรงเรียนอย่ำงมำก
157
แฮนสัน (Hanson, 1991: 68-69) ได้กล่ำวว่ำ วัฒนธรรมโรงเรียนเป็นเครื่องยึดเหน่ียวให้
บุคลำกรมีควำมเป็นน้ำหน่ึงใจเดียวกันและเป็นเคร่ืองมือยึดโยงให้กิจกำรต่ำง ๆ ในโรงเรยี นดำเนินไป
ไดอ้ ยำ่ งต่อเนื่อง
รีด (Reid, 1992: 58-59) ได้กล่ำวว่ำ วัฒนธรรมมีหน้ำที่สำคัญต่อโรงเรียน 3 ประกำร คือ
เป็นเคร่ืองมือ วิธีกำรและเทคนิคที่ทำให้โรงเรียนบรรลุวัตถุประสงค์ เป็นระเบียบ กฎเกณฑ์ในกำร
ปฏิบตั ิงำนของบุคลำกร และเป็นทศิ ทำงให้แตล่ ะคนสำมำรถปฏบิ ัติงำนไปสู่เปำ้ หมำยตำมค่ำนยิ มของตน
สรุปได้ว่ำ วัฒนธรรมในสถำนศึกษำที่เข้มแข็ง สำมรถทำให้สมำชิกในองค์กรมีควำมผูกพัน
และยึดม่ันต่อค่ำนิยม และปฏิบัติตำมวัตถุประสงค์ขององค์กร ยำกที่จะเปล่ียนแปลง และยังเพิ่ม
ควำมมีวิสัยทัศน์ที่ดีขององค์กร หรือสถำนศึกษำ จัดได้ว่ำ วัฒนธรรมในสถำนศึกษำหรือโรงเรียน
มคี วำมสำคัญตอ่ กำรปฏิบัตงิ ำนทง้ั ทำงตรงและทำงอ้อมในสงั คมปจั จบุ นั
การปฏิบัตติ นตามคุณลกั ษณะและหน้าท่ีของวัฒนธรรมไทยในชมุ ชนและสงั คม
กำรปฏิบัติตนในสังคมหรือวัฒนธรรมในองค์กร ชุมชน และสังคม เป็นเร่ืองเกี่ยวกับค่ำนิยม
ควำมเชื่อของคนในสังคม ซ่ึงแต่ละชุมชนในสังคมมีควำมคิดเห็นที่หรือแนวปฏิบัติแตกต่ำงกันสำหรับ
เรื่องคุณลักษณะและแนวปฏิบัตขิ องวัฒนธรรมแต่ละองค์กรท่ีนักวิชำกำรได้ให้ควำมคิดเห็นพอสรุปได้
ดงั น้ี
นิติพล ภตู ะโชติ (2559: 136) ไดก้ ลำ่ ววำ่ ลกั ษณะของวัฒนธรรมองค์กำรมีลักษณะที่สำคัญได้แก่
1. สำมำรถเรียนรู้ได้ (Learned) วัฒนธรรมองค์กำรสำมำรถสร้ำงกำรเรียนรู้ โดยผ่ำนกำร
สงั เกต จดจำ และมกี ำรเรียนร้จู ำกประสบกำรณ์ต่ำง ๆ
2. มีลักษณะร่วมกัน (Shared) วัฒนธรรมองค์กำรจะมีลักษณะเป็นสิ่งท่ีคนในกลมุ่ หรือใน
สังคมยอมรับร่วมกัน มีกำรประพฤติปฏิบัติร่วมกัน เช่น กำรจัดงำนทำบุญปีใหม่ กำรจัดงำน
เกษยี ณอำยุขำ้ รำชกำร
3. มีกำรถ่ำยทอดได้ (Trans generational) วัฒนธรรมองค์กำรสำมำรถถ่ำยทอดและ
ส่งผำ่ นจำกคนรุน่ หนึง่ ไปยงั อีกรนุ่ หนง่ึ ตอ่ ไปได้
4. มีอิทธิพลต่อกำรรับรู้ของคน (Influences Perception) วัฒนธรรมองค์กำรเป็น
ตัวกำหนดและสร้ำงรูปแบบของพฤติกรรม กำหนดแนวคิด กำหนดมุมมอง สร้ำงกำรรับรู้ให้แก่คนใน
องค์กำรทำใหเ้ กิดจิตสำนกึ ควำมผกู พัน ควำมจงรกั ภกั ดตี ่อองค์กำรท่ีตนทำงำนอยู่
5. มีกำรปรับตัวและเปลี่ยนแปลงได้ (Adaptive) วัฒนธรรมองค์กำรขึ้นอยู่กับบุคคลใน
องค์กรว่ำจะมีกำรปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงอย่ำงไร บุคคลในองค์กำรจะเป็นส่ิงสำคัญในกำรปรับตัว
และเปล่ียนแปลงวัฒนธรรมองค์กำร ดังนั้น วัฒนธรรมองค์กำรจะมีกำรเปลี่ยนแปลงมำกหรือน้อย
เพียงใดยอ่ มขึน้ อยกู่ บั บคุ คลในองค์กำรนั้น
เซอร์จิโอวำนน่ี และสตรำรัทท์ (Sergiovanni and Straratt, 1988: 104-105) ได้ให้แนวคิด
เกย่ี วกบั ลกั ษณะของวัฒนธรรมโรงเรียนว่ำประกอบดว้ ยลกั ษณะ 3 ประกำรดังน้ี
1. สำมำรถสัมผัสและสังเกตเห็นได้ ได้แก่ คำพูด วิธีกำรประพฤติปฏิบัติ และสิ่งที่
ปรำกฏแก่สำยตำ พฤติกรรมดังกล่ำวจะปรำกฏให้เห็น ได้แก่ ระเบียบแบบแผน พิธีกำร และ
สัญลกั ษณอ์ ่นื ๆ ท่ีปฏบิ ตั ิกนั ในโรงเรียน
158
2. ทัศนะของบุคลำกร เป็นส่วนของวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับระเบียบปฏิบัติงำน
รว่ มกนั และบรรทดั ฐำนท่บี ุคลำกรยอมรับ
3. ค่ำนิยม แสดงให้เห็นข้อตกลงท่ีครูมีร่วมกัน ปรำกฏให้เห็นอยู่ในลักษณะที่เป็น
นโยบำยหรอื ปรชั ญำของโรงเรียน
อัลเวสสัน (Alvesson, 1993: 50) ได้กล่ำวว่ำ ลักษณะของวัฒนธรรมองค์กำรว่ำมีลักษณะที่
สำคญั กล่ำวคอื
1. เป็นพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้อย่ำงสม่ำเสมอ (Regularly Observed Behavior)
เช่น กำรใช้ภำษำในกำรติดต่อส่ือสำร พิธีกำรต่ำง ๆ และรูปแบบของพฤติกรรมท่ีบุคคลในองค์กำร
ยอมรับ
2. มีบรรทัดฐำน (Norm) ซึ่งยึดถือเป็นมำตรฐำนของพฤติกรรมและแนวทำงในกำร
ปฏิบตั ริ ว่ มกันวำ่ ส่ิงใดจะตอ้ งทำมำกนอ้ ยแค่ไหนในกำรปฏบิ ตั งิ ำน
3. ค่ำนิยมที่มีลักษณะเด่น (Dominant Value) เป็นค่ำนิยมส่วนใหญ่ท่ีบุคคลใน
องค์กำรยอมรับ ให้กำรสนับสนุน และคำดหวังในกำรปฏิบัติงำนร่วมกัน เช่น คุณภำพของงำน และ
ประสิทธภิ ำพของงำน
4. มีปรัชญำขององค์กำร (Philosophy) เป็นควำมเชื่อขององค์กำรเกี่ยวกับกำร
ปฏบิ ัติงำนและกำรใหบ้ รกิ ำร
5. มีกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ (Rule) เป็นระเบียบแบบแผน และแบบอย่ำงในกำร
ปฏิบัติงำนซ่งึ สมำชกิ จะต้องเรียนรเู้ พื่อประสิทธิภำพของกล่มุ
6. มีบรรยำกำศขององค์กำร (Organizational Climate) ซึ่งเป็นสมำชิกของ
องคก์ ำรกำหนดข้นึ จำกปฏิสมั พนั ธข์ องบุคคลในองค์กำรและนอกองค์กำรดว้ ย
สำหรับและแนวปฏบิ ัติของวัฒนธรรมองคก์ ร คือ กำรสนับสนนุ ให้เกิดแนวคิดและแนวปฏิบัติ
ทีใ่ ห้สมำชิกยอมรับในกำรจัดระเบียบ กำรตัดสินใจในกิจกรรมท่ีต้องปฏิบัติอยเู่ สมอ ตลอดจนเพ่ือกำร
แก้ไขปัญหำองค์กรท่ีต้ังอยู่บนควำมหลำกหลำยทำงวัฒนธรรมในสังคมให้มีสิทธิเท่ำเทียมกันในเร่ือง
ของกำรศึกษำเปน็ สำคัญเทำ่ ที่กำลังสำมำรถจะพัฒนำได้
จำกกำรศึกษำแนวคิดของนักวิชำกำรข้ำงต้น กำรปฏิบัติตนตำมลักษณะของสังคมไทยใน
สถำนศึกษำ ชุมชนและสังคมมีควำมสอดคล้องกับแนวคิดของแพตเตอร์สัน เพอร์ก้ี และพำร์เกอร์
(Patterson, Purkey and Parker, 1986: 50-51) ตำมตัวบ่งชี้ท้ัง 10 ซ่ึงสอดคล้องกับอัตลักษณ์ทำง
วฒั นธรรมของสถำนศึกษำและบรบิ ทของชุมชน สังคม ซงึ่ วฒั นธรรมโรงเรียน หมำยถึง ค่ำนยิ ม ควำม
เช่ือ ทัศนคติ แบบแผน พฤติกรรม ท่ีเป็นบรรทัดฐำนและแนวทำงปฏิบัติที่เป็นอัตลักษณ์ในโรงเรียน
เพ่ือมงุ่ ส่เู ปำ้ หมำยและวิสยั ทัศนข์ องโรงเรยี น โดยมีสภำพใหป้ รำกฏเห็น 10 ด้ำน ดงั น้ี
1. ควำมมุ่งประสงค์ของโรงเรยี น หมำยถึง กำรท่ีโรงเรียนมีกำรประชำสัมพันธ์ช้ีแจงถึงควำม
มุ่งประสงค์ของโรงเรียน ซ่ึงบุคลกำรในสถำนศึกษำมีส่วนในกำรกำหนด เพ่ือเป็นแนวทำงพื้นฐำนใน
กำรปฏิบัติงำนและประเมนิ ผลร่วมกนั
2. กำรมอบอำนำจ หมำยถึง กำรท่ีโรงเรียนเห็นควำมสำคัญในกำรมอบอำนำจในกำร
ตัดสินใจแก่ครูในโรงเรียนในบำงสถำนกำรณ์ พร้อมท้ังให้โอกำสในกำรรับรู้ข่ำวสำรและกำรได้รับ
159
ปัจจัยต่ำง ๆ ในกำรปฏิบัติงำนแก่ครูในโรงเรียนอย่ำงเท่ำเทียมกันและมีกำรกำหนดขอบเขตของ
อำนำจเป็นลำยลักษณ์อกั ษร
3. กำรตัดสินใจ หมำยถึง กำรที่โรงเรียนเปิดโอกำสให้ครูเข้ำมำมีส่วนร่วมในกำรตัดสินใจ
ในกจิ กำรต่ำง ๆ ของโรงเรยี น มีข้อมูลสำรสนเทศท่ถี ูกต้องและเป็นปัจจุบัน ทั้งนโ้ี ดยขึ้นอยู่กับบทบำท
และงำนที่ครูปฏิบตั ิ
4. ควำมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ หมำยถึง กำรที่โรงเรียนถือว่ำครูในโรงเรียนเป็น
หุ้นส่วนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในโรงเรียน พยำยำมที่จะให้ควำมช่วยเหลือ และพัฒนำคุณภำพชีวิต
ของนกั เรยี นและบุคลำกรทกุ คนในโรงเรียน ก่อให้ครูเกดิ ควำมพงึ พอใจและควำมรักตอ่ โรงเรียน
5. ควำมไว้วำงใจ หมำยถึง กำรท่ีโรงเรียนเชื่อม่ันในควำมสำมำรถของครูว่ำจะทำงำนอย่ำงดี
ท่ีสุดเพื่อโรงเรียน ถ้ำครูมีโอกำสเลือกทำงำนตำมควำมต้องกำรและให้ควำมไว้วำงใจแล้ว ครูสำมำรถ
ตัดสินใจได้อย่ำงดี เกิดควำมไว้วำงใจ ควำมเช่ือมั่น ควำมอบอุ่น ควำมยอมรับนับถือในควำมเป็น
มนุษย์และทำใหโ้ รงเรยี นสำมำรถดำเนินงำนไดจ้ นบรรลุวัตถุประสงค์
6. ควำมมีคุณภำพ หมำยถึง โรงเรยี นคำนงึ ถึงคุณภำพของครู ตลอดจนสร้ำงขวัญและกำลังใจ
ให้กับครู โดยสร้ำงบรรยำกำศภำยในโรงเรียนให้มีกำรแบ่งปัน กำรร่วมมือกัน ให้กำลังใจ ซ่ึงกันและ
กันภำยในโรงเรียนเพอ่ื ใหเ้ กิดกำรทำงำนอย่ำงมีคุณภำพ
7. กำรยอมรับ หมำยถึง โรงเรียนเปิดโอกำสและยอมรับควำมคิดเห็นท่ีดีของครู รวมทั้ง
ยอมรับในควำมสำเร็จของผลงำนของครูและนักเรียน ซึ่งมีอิทธิพลต่อควำมรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรม
ของครู อกี ทง้ั มบี ทบำทต่อควำมสำเร็จและล้มเหลวของงำน
8. ควำมเอ้ืออำทร หมำยถึง กำรท่ีโรงเรียนเอำใจใส่ดูแลครู สร้ำงควำมใกล้ชิดต่อ
ผ้ใู ต้บงั คับบัญชำ และจัดสวสั ดิกำรท่เี หมำะสม รวมท้ังสนบั สนุนควำมกำ้ วหน้ำให้บคุ ลำกรในโรงเรียนมี
กำรพฒั นำอยำ่ งตอ่ เน่ือง
9. ควำมซื่อสัตย์สุจริต หมำยถึง กำรท่ีโรงเรียนเห็นคุณค่ำของควำมซื่อสัตย์ควำมมำนะ
พยำยำมของครูที่ปฏบิ ัตงิ ำนอยำ่ งสม่ำเสมอ ใหค้ ำชมเชยและผลตอบแทนตำมหลกั จริยธรรม
10. ควำมหลำกหลำยของบุคลำกร หมำยถึง บุคลำกรภำยในสถำนศึกษำหรอื โรงเรียนมีควำม
หลำกหลำยหรอื แตกต่ำงกันได้แก่ ควำมคิดเห็น หรอื วธิ ีคดิ ค่ำนิยม บคุ ลกิ ภำพ ครอบครวั ควำมพรอ้ ม
ในกำรปฏิบัตงิ ำน กำรยืดหย่นุ ในกำรปฏิบตั งิ ำน กำรผสมผสำนในกำรปฎิบัติงำน
การเชอื่ มโยงการปฏบิ ตั ิตนตามวฒั นธรรมไทยในสถานศกึ ษา ชมุ ชน และสงั คมไทย
จำกคุณลักษณะและแนวทำงกำรปฏิบัติทำงวัฒนธรรมไทย ของชุมชนในแต่ละ
สังคม ซ่ึงสอดคล้องกับวิถีกำรดำเนนิ ชวี ิตกับวัฒนธรรมไทยทส่ี ่งผลต่อควำมผูกพัน สถำนศึกษำซึ่งเป็น
ชมุ ชนแหง่ กำรเรียนรู้ทำงสังคมที่บ่มเพำะ กระบวนกำรขัดเกลำทำงสังคมให้สมำชิกในชุมชน
ของตน ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคดิ ของนกั วชิ ำกำรต่อไปนี้
แบร์ และคณะ (Bearer and et al, 1989: 97-98) ได้กล่ำวว่ำ วฒั นธรรมท่ีแข็งแกร่งจะเป็น
สงิ่ ท่ยี ึดโยงให้ทุกหนว่ ยและบุคลำกรทุกคนในสถำนศกึ ษำ เป็นนำ้ หนง่ึ ใจเดียวกัน
พิบูล ทีปะปำล (2551: 71) ได้อธิบำยเพิ่มเติมว่ำ วัฒนธรรมขององค์กรมีส่วนช่วยทำหน้ำท่ี
สำคัญคอื ชว่ ยเสริมสรำ้ งควำมภักดีแกบ่ คุ ลำกร
160
จอมพงศ์ มงคลวนิช (2556: 239) ได้กล่ำวว่ำ วัฒนธรรมองค์กำรมีควำมสำคัญ เพรำะ
วัฒนธรรมที่เข้มแข็งจะมีผลต่อกำรควบคุมพฤติกรรมได้มำก และทำให้สมำชิกขององค์กำรมีแรงยึด
เหน่ียวกันสูง มีควำมจงรักภักดีและผูกพันต่อองค์กำรมำก ตลอดจนสอดคล้องกับนิติพล ภูตะโชติ
(2559: 142) ที่กล่ำวว่ำ วัฒนธรรมทำให้สมำชิกเกิดควำมผูกพัน ควำมภำคภูมิใจ ควำมจงรักภักดีต่อ
องคก์ ำรน้ัน
จำกกำรศึกษำแนวคิดของนักวิชำกำรดังกล่ำว กำรปฏิบัติตนตำมวัฒนธรรมไทยใน
สถำนศึกษำ (โรงเรยี น) ส่งผลต่อกำรพัฒนำคุณภำพชีวิตของกำรทำงำน เสริมสร้ำงควำมผูกพันในเชิง
บวก ลดควำมขดั แย้ง กำรรักและหวงแหน ควำมภำคภูมิใจในวัฒนธรรมขององคก์ รของสมำชิก ทุ่มเท
ต่อกำรทำงำนได้ดียิ่งข้ึน รวมถึงกำรเชื่อมโยง กำรปฏิบัติตนตำมวัฒนธรรมไทยในสถำนศึกษำใน
กจิ กรรมต่ำงๆ ไดอ้ ย่ำงมคี ณุ คำ่ อย่ำงต่อเนือ่ งต่อไป
161
สรุป
วัฒนธรรมไทย เป็นเคร่ืองหมำยที่บ่งบอกของควำมเป็นชำติแห่งอำรยธรรมท่ีเครื่องกำหนด
ทิศทำง แนวทำงในกำรดำเนินชีวติ ของมนษุ ยใ์ นแต่ละสังคมท่ีถำ่ ยทอดวัฒนธรรมจำกรุ่นส่รู ุ่น ประกอบ
ไปด้วย วัฒนธรรมที่มิใช่วัตถุ อันได้แก่ ควำมเชื่อ ค่ำนิยม ศำสนำ กฎหมำย ขนบธรรมเนียมประเพณี
ฯลฯ และวัฒนธรรมที่เป็นวัตถุ ได้แก่ ศิลปวัฒนธรรม โบสถ์ วิหำร สถำปัตยกรรม ประติมำกรรม
จิตรกรรม ฯลฯ เป็นสิ่งท่ีมนุษย์สร้ำงขึ้น ตำมลักษณะของกลุ่มทำงสังคมนั้น ๆ ท่ีมีกำรบูรณำกำร
(Integrate) เรียกว่ำ “เอกลักษณ์ของชำติ” ถ่ำยทอดสู่กำรเรียนรู้ในสถำนศึกษำ ชุมชน สังคม เพ่ือให้
เป็นแนวปฏิบัติสืบทอดสู่สมำชิกของสังคมรุ่นใหม่ ๆ ซึ่งส่งผลและสร้ำงควำมสำคัญ ควำมแข็งแกร่ง
ใหก้ ับวัฒนธรรมในองค์กรทำงสังคมท่เี กี่ยวกับควำมเชื่อ ค่ำนิยม องค์ควำมรู้ ขนบธรรมเนียมประเพณี
ศิลปวัฒนธรรม ที่มีคุณลักษณะอันดีงำม เป็นเบ้ำหลอมโดยผ่ำนกระบวนกำรขัดเกลำทำงสังคมที่เกิด
กำรเรียนรู้ เกิดจิตสำนึก เกิดควำมผูกพันและควำมจงรักภักดีต่อวัฒนธรรมองค์กรในสถำนศึกษำ
สงั คมในชุมชน สังคมในประเทศชำติ ใหเ้ ป็นชมุ ชนแห่งกำรเรียนรู้หรอื สังคมแห่งกำรแลกเปลืย่ นเรียนรู้
เกิดกำรพัฒนำท่ีเจริญก้ำวหน้ำ และเป็นสังคมแห่งวัฒนธรรมที่ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมำ จำกอดีต
จนถึงปัจจบุ นั
162
กจิ กรรมท้ายบท
1. วัฒนธรรมไทยหมำยถึงอะไร
2. วฒั นธรรมไทยไดร้ ับอิทธิพลมำจำกชำติใดบ้ำง
3. วฒั นธรรมไทยในสถำนศึกษำมีควำมหมำยวำ่ อย่ำงไร
4. วฒั นธรรมไทยในสถำนศึกษำมคี วำมสำคญั อยำ่ งไรบ้ำง
5. เพรำะเหตใุ ด วฒั นธรรมไทยในสถำนศกึ ษำท่ีเขม็ แขง็ จึงมคี วำมสำคัญตอ่ กำรปฎิบตั งิ ำนท้งั
ทำงตรงและทำงอ้อมในสังคม
6. วัฒนธรรมแหง่ กำรเรียนรู้หรือชุมชนแห่งกำรเรียนรหู้ มำยถึงอะไร
7. เพรำะเหตุใด กระบวนกำรขดั เกลำทำงสงั คม เพิ่มประสิทธภิ ำพในกำรดำเนินชีวิตให้กับ
สมำชิกในสังคมอยำ่ งสมดุล
8. จงอธบิ ำย กำรเสริมสร้ำงวัฒนธรรมเชิงบวก มำพอเขำ้ ใจ
9. จงอธิบำย ควำมเป็นพลเมืองแหง่ วัฒนธรรม มำพอเข้ำใจ
10. เพรำะเหตุใด วัฒธรรมไทยจึงเปน็ เคร่ืองหมำยและบ่อเกิดแหง่ อำรยธรรม จงอธิบำย
163
เอกสารอ้างอิง
กรมศลิ ปำกร. (2527). พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาตบิ า้ นเชียง. กรงุ เทพฯ: หอรตั นชัยกำรพิมพ.์
จอมพงศ์ มงคลวนชิ . (2556). การบริหารองค์การและบคุ ลากรทางการศึกษา. พมิ พ์คร้ังที่ 2.
กรงุ เทพฯ : จฬุ ำลงกรณ์มหำวิทยำลัย.
นติ ิพล ภตู ะโชติ. (2559). พฤตกิ รรมองคก์ าร (Organizational Behavior). พมิ พค์ รง้ั ท่ี 3. กรงุ เทพฯ
: จฬุ ำลงกรณม์ หำวิทยำลัย.
ประภำศรี สหี อำไพ. (2550). วัฒนธรรมทางภาษา. พิมพ์คร้ังท่ี 3. กรุงเทพฯ: จุฬำลงกรณ์
มหำวิทยำลัย.
พบิ ลู ทีปะปำล. (2551). การจดั การเชิงกลยุทธ์ (Strategic Management). กรุงเทพฯ: อรม.
มนชญำ ดลุ ยำกร. (2553). การศกึ ษาวฒั นธรรมโรงเรียนที่มีอิทธผิ ลต่อความผูกพนั ของครตู า่ งชาติใน
โรงเรียนนานาชาติ. วทิ ยำนพิ นธ์ ศศ.ม. (ภำษำและวฒั นธรรมเพ่ือกำรสือ่ สำรและกำรพัฒนำ).
นครปฐม : บัณฑติ วิทยำลัย มหำวิทยำลยั มหดิ ล.
วชิ ัย ภโู่ ยธิน และคณะ. (2553). หนา้ ที่พลเมือง วฒั นธรรมและการดาเนนิ ชวี ิตในสงั คม ม.4-ม.6.
กรงุ เทพฯ: อักษรเจรญิ ทศั น.์
สนธยำ พลศรี. (2545). ทฤษฎีและหลักการพฒั นาชมุ ชน. กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร.์
สมคดิ บำงโม. (2558). องคก์ ารและการจดั การ (Organization and Management). พิมพค์ ร้งั ท่ี
7. กรุงเทพฯ : วทิ ยพฒั น์.
สุพตั รำ สุภำพ. (2545). เอกสารการสอนชดุ วิชาพัฒนาวรรณคดี. พิมพ์ครงั้ ท่ี 5. กรุงเทพฯ:
อรุณกำรพมิ พ์.
Alvesson, M. (1993). Cultural perspective on Organizations. Cambridge, MA:
Cambridge University.
Bennett A.C. and Tibbitts, S.J. (1989). Maximizing Quality Performance in Health Care
Facilities. Rockville, MD: Aspen.
Castetter, W.B. (1986). The Personal Function in Educational Administration. 4 th ed.
New York: MacMillan.
Glatthorn, A.A. (1990). Supervision Leadership: Introduction to Instructional
Supervision. Glenview, IL: Scott Foresman.
Goens, G.A. and Clover, R.C. (1991). Mastering School Reform. Boston, MA: Allyn and
Bacon.
Greenberg, J. and Baron, R.A. (1993). Behavior in the Organizations. 4 th ed. New
York: Simon and Schuster.
Hanson, E.M. (1991). Educational Administration and Organizational Behavior.
Boston, MA: Allyn and Bacon.
Patterson, J.L. Purkey, S.C. and Parker, J.V. (1986). Productive School Systems for a
Non-Ration World. Virginia: ACSD.
Reid, I. (1992). The Sociological of School and Education. London: Paul Chapmen.
164
Sergiovanni, T.J. and Strarratt, R.J. (1988). Supervision Human Perspectives. 4 th ed.
New York : McGraw Hill.
Waller, W. (1932). The Sociology of Teaching. New York : Wiley.
บรรณานุกรม
กรมศลิ ปากร. (2527). พพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาตบิ า้ นเชียง. กรงุ เทพฯ: หอรตั นชัยการพิมพ์.
กรมส่งเสริมวฒั นธรรม สถาบันวัฒนธรรมศกึ ษา กลมุ่ ไทยศกึ ษา กระทรวงวัฒนธรรม. (2556).
มารยาทไทย. พิมพค์ ร้ังที่ 6. กรุงเทพฯ: โรงพิมพอ์ งคก์ ารสงเคราะห์ทหารผ่านศึก
ในพระบรมราชูปถมั ภ์.
กรมสง่ เสริมวัฒนธรรม สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงวัฒนธรรม. (2553).
พระราชบญั ญตั วิ ัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช 2553. กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการ
กฤษฎกี า กระทรวงวฒั นธรรม.
กรมสง่ เสริมวัฒนธรรม สานักงานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ กระทรวงวฒั นธรรม. (2549).
ประเภทวฒั นธรรม. กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ
กระทรวงวัฒนธรรม.
กรองแกว้ อยสู่ ุข. (2558). พฤตกิ รรมองค์กร. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
กระทรวงวฒั นธรรม. มารยาทในการพูด. เข้าถงึ เมือ่ 18 มกราคม 2563. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก
https://www.m-culture.go.th/young_th/article_view.php?nid=349.
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2545). แบบฝกึ ประกอบการสอนตามแผนการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน
ภาษาอังกฤษ. พิมพ์คร้งั ท่ี 3. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้าว.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2553). หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน หนา้ ท่ีพลเมือง วัฒนธรรมและการดาเนิน
ชีวิตในสังคม. กรุงเทพฯ: สกสค. ลาดพรา้ ว.
กะรัต เทพศริ ิ. (2556). รปู แบบการสอื่ สารภายในองค์กรของบุคลากร คณะบริหารธุรกจิ
มหาวิทยาลัยแม่โจ.้ เชียงใหม่: มหาวทิ ยาลัยแมโ่ จ้.
กัลยา เตยี นมีผล. (2557). การถวายความเคารพพระมหากษัตริย์. เขา้ ถงึ เม่ือ 20 กรกฎาคม 2563.
เขา้ ถงึ ได้จาก https://kanlayamilk5556.wordpress.com.
กัลยา ยวนมาลยั . (2539). การอา่ นเพ่อื ชวี ติ . กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
กาชยั ทองหลอ่ . (2552). หลกั ภาษาไทย. กรุงเทพฯ: รวมสาสน์ .
กดิ านันท์ มลิทอง. (2548). เทคโนโลยีและการสื่อสารเพ่ือการศึกษา. กรงุ เทพฯ: หา้ งหุ้นสว่ นจากดั อรุณ
การพิมพ.์
กติ มิ า อมรทัต. (2543). ศิลปะการพดู ให้ตรงึ ใจคน. กรงุ เทพฯ: เยลโล่การพิมพ์.
เกรียงศักดิ์ เจรญิ วงศศ์ ักด.ิ์ (2561). ความสาคัญของภาษาอังกฤษ. เข้าถึงเม่อื 18 เมษายน 2563.
เข้าถงึ ไดจ้ าก https://www.facebook.com/drdancando/ posts/2046566432022689/.
เกดิ ศริ ิ ชมภกู าวิน. (2556). รายงานการวิจัยเรือ่ ง การใช้กิจกรรมเชิงปฏิสัมพันธ์เพอ่ื สง่ เสรมิ
ความสามารถในการฟัง-พูดภาษาอังกฤษของนักศึกษา. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี
ราชมงคลลา้ นนา ภาคพายพั .
ขนั ธช์ ยั อธเิ กียรต.ิ (2557). มารยาทในการติดตอ่ ขอพบครูอาจารย์. เข้าถึงเม่ือ 18 มกราคม 2563.
เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.edu.ru.ac.th/cur/index.php/ component/ content/
article?id.
166
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏบ้านสมเดจ็ เจ้าพระยา. (ม.ป.ป.). รูปแบบการเขยี นบทความ
ข้อกาหนดการเตรยี มตน้ ฉบับ. เขา้ ถึงเม่ือ 15 พฤษภาคม 2563. เขา้ ถงึ ได้จาก
http://ejs.bsru.ac.th/edujournal/index.php?cont=publication.
คณาจารย์ โปรแกรมวิชาภาษาไทย. (2547). การส่ือสารด้วยภาษาไทย (Communication in Thai
Language). กรุงเทพฯ: คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จ
เจา้ พระยา.
คณาจารย์สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศ์ าสตรแ์ ละสังคมศาสตร.์ (2563). GEL 1001
การใช้ภาษาไทย (Thai Usage). สาขาวชิ าภาษาไทย คณะมนุษย์ศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สวนสุนันทา.
จรรยา ทองดี. (2553). ศาสตรแ์ ละศิลป์แห่งภาษาไทย 2 (Science and Art of Thai II).พิมพ์คร้ังท่ี 2.
สมทุ รสาคร: แอ๊ปปา้ พริน้ ตง้ิ กรปุ๊ .
จอมพงศ์ มงคลวนชิ . (2556). การบรหิ ารองคก์ ารและบคุ ลากรทางการศึกษา. พิมพค์ ร้ังท่ี 2.
กรงุ เทพฯ : จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
จนิ ดา งามสุทธิ. (2531). การพูด. กรงุ เทพฯ: โอ.เอส.พร้นิ ต้ิงเฮาส์.
จิรวฒั น์ เพชรรตั น์ และอมั พร ทองใบ. (2556). การอ่านและการเขยี นทางวิชาการ (Academic
Reading and Writing). กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร์.
จิราภรณ์ อัจฉริยะประสิทธิ์. (2558). “การพัฒนาทักษะการฟัง” เอกสารประกอบการเรียนการสอน
รหัสวิชา GEL 1101 รายวิชาการใช้ภาษาไทย. สานักวิชาการศึกษาท่ัวไปและนวัตกรรมการ
เรียนรู้อเิ ลก็ ทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยราชภฏั สวนสุนันทา.
จุไรรตั น์ ลักษณะศิร.ิ (2540). ภาษากบั การสอื่ สาร (ฉบับปรบั ปรุง). นครปฐม: มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร.
. (2556). ภาษาไทยเพอื่ การสื่อสาร. นครปฐม: โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลัยศิลปากร.
ชาญชัย ชัยสุขโกศล. (2556). Hate Speech และข้อมูลท่ีอันตราย : ทางเลือกวิธีตอบโต้ทางการเมือง
(Hate Speech & Harmful Information : Alternatives for Political Response).
ศูนยศ์ ึกษาและพัฒนาสนั ติวธิ ี มหาวิทยาลัยมหิดล.
ชูชาติ อารีจิตรานุสรณ์. (ม.ป.ป.). บทความด้านการบริหาร-มารยาทในการประชุม. ขอนแก่น:
มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ .
ไชยวฒั น์ อารีโรจน.์ (2557). การพฒั นาแบบฝึกทักษะการพูดรายงานการศึกษาค้นคว้าสาหรบั นักเรยี น
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย
ภาควชิ าหลกั สูตรและวิธีสอน บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร.
ญาณิศา สู่ทรงดี และสุชาดา รัตนวาณิชย์พันธ์. (2555,มกราคม – เมษายน). ความสามารถในการฟัง
ภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสารของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด
สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จังหวัดสุรินทร์. วารสารมหาวิทยาลัย
นครพนม. 2(1), หน้า 55.
ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และคณะ. (2539). หนงั สือเรียน ชว่ งชน้ั ที่ 3 ภาษาไทย ม.1. นนทบรุ ี:
ไทยร่มเกล้า.
ณรงค์ เสง็ ประชา. (2539). สงั คมวิทยา. กรงุ เทพฯ: พทิ กั ษ์อกั ษร.
167
ณรงศักดิ์ สอนใจ และทินวัฒน์ สร้อยกุดเรือ. (2551). “การฟังและการอ่านเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ”
เอกสารคาสอนวชิ า ศิลปะการใช้ภาษาไทยเพ่อื การสอ่ื สาร. พมิ พ์ครั้งที่ 2. กรงุ เทพฯ:
คณะกรรมการเผยแพรผ่ ลงานวิชาการ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
ถนอมวงศ์ ล้ายอดมรรคผล. (2529). “การพัฒนาสมรรถภาพในการอ่าน” เอกสารการสอนชุดวิชาการ
อ่านหนว่ ยที่ 9-15. พมิ พ์คร้งั ที่ 4. นนทบรุ ี: มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช.
ทัศนีย์ กระต่ายอินทร์ และ สุภิตร อนุศาสตร์. (2542). ภาษาไทยเพื่อการส่ือสารและการสืบค้น
(เอกสารประกอบการเรยี น). ลพบุรี: ภาควชิ าภาษาไทยและบรรณารกั ษศ์ าสตร์
สถาบันราชภฏั เทพสตรี.
ทนิ วฒั น์ มฤคพทิ กั ษ.์ (2548). พดู ไดพ้ ูดเปน็ . พิมพค์ รง้ั ท่ี 20. กรงุ เทพฯ: โอ.เอส. พร้ินติ้งเฮา้ , 2548.
. (2548). พดู ได-้ พูดเปน็ : ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ การพดู . กรุงเทพฯ: ฟาร์โกลิบ.
ทพิ ยส์ เุ นตร อนมั บตุ ร. (2551). การอา่ นเพอื่ การวิเคราะห.์ กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
ทศิ นา แขมมณี. (2550). รูปแบบการเรียนการสอนทางเลอื กที่หลากหลาย. กรุงเทพฯ:
จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
นาตยา เกรียงชัยพฤกษ์ และคณะ. (2561,พฤษภาคม – สิงหาคม). สังคมในกาฬสินธ์ุ.
วารสารวชิ าการแพรวากาฬสินธุ์ มหาวิทยาลยั กาฬสนิ ธ์.ุ 5(2).
นิติพล ภตู ะโชติ. (2559). พฤติกรรมองค์การ (Organizational Behavior). พิมพ์ครง้ั ที่ 3. กรงุ เทพฯ
: จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
นิธิ เอยี วศรีวงศ์. (13-19 มกราคม 2555). “โทสวาท” มติชนสดุ สัปดาห์. หนา้ 25.
นพิ นธ์ ทิพยศ์ รีนิมติ . (2542). หลักการพูด. สงขลา: งานส่งเสริมการผลติ ตารา มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ .
นพิ นธ์ สุขสวัสดิ์. (2524). วรรณคดเี กย่ี วกบั ขนบธรรมเนียมประเพณไี ทย. พิมพ์คร้งั ท่ี 2. พิษณุโลก:
มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.
บารมีบญุ แสงจันทร.์ (2558). “การพัฒนาทกั ษะการเขีบน” เอกสารประกอบการเรียนการสอน
รหัสวชิ า GEL 1101 รายวชิ าการใช้ภาษาไทย. สานักวิชาการศกึ ษาทัว่ ไป
และนวัตกรรมการเรยี นรู้ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา.
บุญยงค์ เกศเทศ. (2549). วิธีคดิ วธิ เี ขียน. กรงุ เทพฯ: หลักพิมพ์.
ประภาศรี สีหอาไพ. (2533). ปริทศั นว์ ฒั นธรรมในภาษาไทยและวรรณคดไี ทย. กรุงเทพฯ:
ไทยวฒั นาพาณิชย.์
. (2550). วฒั นธรรมทางภาษา. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 3. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ประยูร ทรงศิลป.์ (2549). หลกั การอา่ นและการเขยี นคาไทย. กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั ธนบุร.ี
ประสงค์ รายณสุข. (2528). การพดู เพอ่ื ประสทิ ธผิ ล. กรงุ เทพฯ: ภาควชิ าภาษาไทย
และภาษาตะวันออก คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ.
ประสทิ ธิ์ กาพย์กลอน และคณะ. (2545). การเตรียมเพ่อื การพูดและการเขียน. กรงุ เทพฯ:
มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.
ปราณีต ม่วงนวล, ลักษณา เกยุราพันธ์, จีรภรณ์ กิจเจริญ และ ศราวุฒิ สมัญญา. (2561). ภาษาและ
วัฒนธรรมสาหรับครู (Language and Culture for Teacher). พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ:
สหธรรมกิ .
168
ปราณีต ม่วงนวล. (2562). การฟัง การพูดเพ่ือสัมฤทธิผล ( Listening and Speaking for
Achievement). กรุงเทพฯ: สหธรรมกิ .
. (2560). การอา่ นคิดวเิ คราะห์ (Analytical Reading). กรงุ เทพฯ: สหธรรมิก.
. (2557). วัฒนธรรมไทยในภาษาและวรรณคด.ี (Thai Culture in Language and
Literature). สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏบา้ นสมเด็จเจ้าพระยา.
. (2558). อ้มุ บญุ : ละเมดิ สิทธิ หรอื คา้ มนุษย์. บทความอ่านเสริมในวชิ าสังคมไทยและ
สังคมโลก คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเดจ็ เจ้าพระยา.
. (2556). เอกสารประกอบการสอน (ฉบับปรบั ปรุง) วชิ าหลกั การอ่านและการเขยี นคาไทย
(Reading and Writing Systems in Thai) รหสั วชิ า 1002221. สาขาวชิ าภาษาไทย คณะ
ครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั บ้านสมเด็จเจ้าพระยา.
เปลอ้ื ง ณ นคร. (2542). การใช้ภาษาไทย. กรงุ เทพฯ: ต้นอ้อ.
โปรแกรมวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จ
เจ้าพระยา. (2547). ภาษาไทยเพ่ือการส่ือสารและการสืบค้น (Thai for Communication
and Information Retrieval). กรุงเทพฯ: สหธรรมกิ .
ผะอบ โปษะกฤษณะ. (2536). ภาษาไทยของเราที่มีเอกลักษณ์และการใช้ภาษาไทยมาตรฐาน.
กรุงเทพฯ: โครงการตาราและเอกสารวชิ าการ มหาวทิ ยาลัยสยาม.
. (2541). ลักษณะเฉพาะของภาษาไทย การเขยี น การอา่ น การพดู การฟงั และราชาศัพท์.
กรุงเทพฯ: รวมสาส์น.
พชร บัวเพียร. (2536). วาทวิทยา กลยุทธ์การพูดอย่างมีประสิทธิผลในทุกโอกาส. พิมพ์คร้ังท่ี 2.
กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ Bj. Plate Processor.
พยัต วุฒิรงค์. (2557). การจัดการนวัตกรรม : ทรัพยากร องค์กรแห่งการเรียนรู้ และนวัตกรรม.
กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
พรพิมล ริยาย และ ธนางกรู ขาศร.ี (2555). รายงานการวิจัยเรือ่ ง การพฒั นาทกั ษะการฟงั -พูด
ภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย. ภาควิชาศึกษา
ทัว่ ไป และสาขาวชิ าภาษาอังกฤษเพอื่ การสื่อสาร คณะสงั คมศาสตร์และศลิ ปศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยนอรท์ เชยี งใหม.่
พร้อมภัค บึงบวั และคณะ. การเขียนบทความวิชาการและการเขยี นบทความวิจัย. เขา้ ถงึ เมื่อ 15
พฤษภาคม 2561. เข้าถงึ ไดจ้ าก http://www.nidtep.go.th/2017/publish/
doc/20180515.pdf.
พระมหาเสาวนันท์ สุภาจาโร และสุรพงษ์ คงสัตย์. (2559). ภาษาอังกฤษเบื้องต้น. พิมพ์คร้ังที่ 3.
พระนครศรอี ยุธยา: มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณ์ราชวทิ ยาลัย.
พระยาโกมารกลุ มนตรี. (รวบรวม). (2503). โคลงทาย และ วิสัชนา. พมิ พ์ครงั้ ที่ 2. พระนคร:
โรงพิมพบ์ ารุงนุกูลกจิ .
พระราชวรมุนี. (ประยุทธ์ ปยุตโต). (2528). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพฯ:
มหาจฬุ าลงกรณ์ราชวทิ ยาลัย.
พวงผกา ประเสรฐิ ศิลป.์ (2541). ศิลปะและวฒั นธรรมไทย. พิมพค์ รงั้ ท่ี 3. กรุงเทพฯ: อมรการพิมพ์.
169
พันธกร อุทธิตสาร. (ม.ป.ป.). เอกสารประกอบคาสอน มารยาทไทยการแต่งกาย. เชียงราย:
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงราย.
พชิ ญ์ พงษ์สวัสด์.ิ (11 มิถุนายน 2556). “ถ้อยคาแหง่ ความเกลียดชัง (Hate Speech) : มีหรือไมม่ ี ?”
มติชน. หน้า 2.
พิบลู ทปี ะปาล. (2551). การจดั การเชิงกลยุทธ์ (Strategic Management). กรงุ เทพฯ: อรม.
พีรดร แกว้ สาย และทิพย์สดุ า จันทร์แจ่มหลา้ . (2556). เมืองสร้างสรรค์ : แนวทางการพัฒนาเมอื งจาก
สนิ ทรพั ย์สรา้ งสรรค์ทอ้ งถนิ่ ไทย. กรงุ เทพฯ: จรลั สนิทวงศก์ ารพมิ พ.์
ภัทรกานต์ ภัทรธารง. (2560). การเปิดรับและความคิดเห็นต่อเนื้อหาประทุษวาจา (Hate Speech)
ของผู้รบั สารส่ือออนไลน์: กรณีศึกษาเฟซบ๊กุ แฟนเพจ “หยุดดัดจรติ ประเทศไทย”.
วิทยานิพนธ์วารสารศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาสื่อสารมวลชน คณะวารสารศาสตร์และ
สื่อสารมวลชนมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์
ภาษิตา วิสารสุข. (2556). ภาษาไทย คนไทยต้อง พดู -อ่าน-เขยี นเปน็ . กรุงเทพฯ: แพรธรรม.
มกราพนั ธ์ จฑู ะรสก. (2556). การคิดอยา่ งเป็นระบบ : การประยกุ ตใ์ ชใ้ นการเรยี นการสอน
(ฉบบั ปรบั ปรุง). กรงุ เทพฯ: ธนาเพรส.
มนชญา ดุลยากร. (2553). การศึกษาวัฒนธรรมโรงเรียนท่ีมีอิทธิผลต่อความผูกพันของครูต่างชาติใน
โรงเรียนนานาชาติ. วิทยานิพนธ์ ศศ.ม. (ภาษาและวัฒนธรรมเพ่ือการสื่อสารและการพัฒนา).
นครปฐม : บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล.
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. (2520). ศัพท์ทานกุ รม สื่อสารมวลชน มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.
พระนคร: แผนกอสิ ระวารสารศาสตร์ และสอื่ สารมวลชน มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์
ยาขอบ. (2553). เล่าป่ผี พู้ นมมือให้แกช่ นทุกช้นั . กรุงเทพฯ: นวสาสน์ การพิมพ.์
รัตนาภรณ์ ศรีพยัคฆ์. (2553). เทคนิคการประสานงาน (Cooperation Technique). กรุงเทพฯ:
สานกั งานปลดั กระทรวงมหาดไทย สถาบันดารงราชานุภาพ.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนพรรษา 7 รอบ 5
ธันวาคม 2554. กรุงเทพฯ: ราชบณั ฑติ ยสถาน.
ราชบณั ฑิตสถาน. (2546). พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ: นานมบี คุ ส์.
รุ่งพนอ รักอยู่ และสุชาดา รัตนวาณิชย์พันธ์. (2560,กันยายน – ธันวาคม). ความสามารถด้านการฟัง
ภาษาอังกฤษเพ่อื ความเข้าใจของนักศึกษาไทยท่ีเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ
ในสถาบันการพลศกึ ษาในเขตภาคกลาง. วารสารชุมชนวิจยั . 11(3), หนา้ 91.
รุง่ เพชร ศรอี ุทุมพร. (2561). เกง่ ไวยากรณอ์ ังกฤษ พชิ ิตความสาเร็จ (ฉบบั ปลดลอ๊ ก). กรงุ เทพฯ:
พมิ พ์สวย.
โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษน่าน Festallor Education. ความสาคัญของภาษาอังกฤษในด้านต่างๆ.
เข้าถึงเมอื่ 8 พฤษภาคม 2563. เข้าถึงได้จาก https://www.festallor-
edu.com/post/why-english-is-important.
ลนิ ดา เกณฑม์ า. (2551). การฟงั และการพดู เพือ่ สมั ฤทธิผล. กรงุ เทพฯ: สหธรรมกิ .
วรเดช จันทรศร. (2555). ปรัชญาของการบริหารภาครัฐแนวใหม่ : ทฤษฎี องคค์ วามรู้ และการปฏิรปู .
กรงุ เทพฯ: สหายบล็อกและการพิมพ.์
170
วรวิทย์ นิเทศศิลป.์ (2551). ส่ือและนวตั กรรมแหง่ การเรียนร.ู้ ปทุมธานี: สกายป๊กส์.
วรางคณา จันทร์คง. (ม.ป.ป.). บทความวิชาการกับบทความวิจัย เหมือนหรือต่างกันอย่างไร. จุลสาร
สาขาวิทยาศาสตรส์ ุขภาพออนไลน์ มหาวิทยาลยั สุโขทยี ธรรมาธิราช. เข้าถึงเม่อื 8 พฤษภาคม
2563. เข้าถงึ ไดจ้ าก https://www.stou.ac.th/Schools/Shs/booklet/ book573/
rsearch573.
วัลลภา เทพหัสดนิ ณ อยธุ ยา. (2541). “หลกั การเขียนทว่ั ไป” ภาษาไทย 2. นนทบุรี: เอสพพี รน้ิ ต้งิ .
วจิ ติ ร อาวะกุล. (2527). เพอ่ื การพดู การฟังและการประชุมท่ดี ี. พิมพค์ รง้ั ที่ 2. กรงุ เทพฯ:
ไทยวัฒนาพานิช.
วิชัย ภู่โยธิน และคณะ. (2553). หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรมและการดาเนินชีวิตในสังคม ม.4-ม.6.
กรุงเทพฯ: อกั ษรเจรญิ ทัศน์.
วิรชั ลภริ ตั นกุล. (2543). วาทนิเทศและวาทศิลป์: หลกั ทฤษฎแี ละวธิ ีปฏิบัตยิ คุ สหัสวรรษใหม่.
กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร์.
วิไลศกั ด์ิ ก่งิ คา. (2559). ภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.
วีระ ไทยพานิชย. (2535). ศิลปะการพดู . กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง.
ศรีจนั ทร์ วชิ าตรง. (2542). หลักภาษาไทย. กรงุ เทพฯ: สถาบนั ราชภฏั พระนคร.
สนธยา พลศร.ี (2545). ทฤษฎีและหลกั การพัฒนาชุมชน. กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร.์
สมคิด บางโม. (2558). องค์การและการจัดการ (Organization and Management). พมิ พ์ครั้งท่ี 7.
กรงุ เทพฯ: วิทยพฒั น์.
สมจติ ชิวปรีชา. (2535). วาทวทิ ยา. กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร.์
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดารงราชานุภาพ. (2554). เสภาเร่ือง ขุนช้างขุนแผน เล่ม 1.
กรุงเทพฯ: เพชรกะรตั .
สมบัติ คชสิทธิ์, จันทนี อินทรสูต และธนกร สุวรรณพฤฒ. (2560). การจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
ให้กบั ผู้เรียนยุค THAILAND 4.0. วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์ (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์).
7(2), หน้า 175-186.
สมบัติ จาปาเงนิ และสาเนียง มณีกาญจน์. (2539). หลกั นกั อ่าน. พิมพ์ครง้ั ท่ี 2. กรุงเทพฯ:
ต้นออ้ แกรมมี.่
สวนิต ยมาภัย และถิรนนั ท์ อนวัชศริ ิวงศ.์ (2547). หลักการพูด: หน้าทีช่ มุ ชนส่ือมวลชนและในองค์กร.
พมิ พค์ รงั้ ท่ี 10. กรงุ เทพฯ: วันดดี กี รุ๊ป.
สวนิต ยมาภยั . (2531). “การสอ่ื สารด้วยภาษา” เอกสารการสอนชดุ วชิ า การใช้ภาษาไทย.
พมิ พค์ รง้ั ท่ี 8. กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช.
สอางค์ ดาเนินสวัสดิ์ และคณะ. (2546). “ลักษณะการอ่าน” หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน
ภาษาไทย ช่วงช้นั ที่ 4. กรุงเทพฯ: พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.).
สุจริต เพยี รชอบ และสายใจ อนิ ทรัมพรรย.์ (2538). วิธีสอนภาษาไทยระดบั มธั ยมศึกษา. กรุงเทพฯ:
จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
สุทธิชยั ปัญญโรจน์. (2556). พูดเกง่ เขียนเกง่ รวยก่อน. กรงุ เทพฯ: เพชรประกาย.
สนุ ทรภู.่ (2505). วรรณคดไี ทยเรื่อง พระอภัยมณ.ี พิมพ์คร้ังท่ี 2. พระนคร: โรงพมิ พค์ ุรุสภา.
171
สุนันท์ อัญชลีนุกูล. (2547). ระบบคาภาษาไทย. พิมพ์คร้ังที่ 2. กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่ผลงาน
ทางวชิ าการ คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
สนุ นั ทา ม่ันเศรษฐวิทย์. (2551). “ความรู้พืน้ ฐานทางการอา่ น” เอกสารการสอนชดุ วิชา
การใช้ภาษาไทยหนว่ ยท่ี 1 – 8. นนทบรุ ี: มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช.
สพุ ัตรา สภุ าพ. (2536). สงั คมและวฒั นธรรมไทย ค่านยิ ม ครอบครัว ศาสนา ประเพณี. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 8.
กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพาณชิ ย.์
. (2542). สงั คมวิทยา. กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ .
. (2545). เอกสารการสอนชดุ วิชาพัฒนาวรรณคดี. พมิ พ์คร้งั ที่ 5. กรงุ เทพฯ: อรณุ การพมิ พ์.
สเุ มธ แสงนมิ่ นวล และไอศูรย์ ดีรตั น์. (2548). แนวทางตวั อยา่ งการพดู ในโอกาสตา่ งๆ (ภาค 2).
พิมพค์ ร้ังท่ี 6. กรงุ เทพฯ: บุ๊คแบงก์.
สุริวงศ์ เกิดพันธ.์ุ (2537). การพูดตอ่ หนา้ ประชมุ ชน. นครปฐม: มหาวทิ ยาลัยศิลปากร.
แสงระวี ดอนบวั แก้ว. (2558). กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
หรพิ ล ธรรมนารกั ษ์. (2558). นวตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา: ยุคดจิ ิทลั . กรงุ เทพฯ:
ทริปเพ้ลิ กรปุ๊ .
อนุชา โนมาบุตร. (2555). การพัฒนาโมเดลการแพร่นวัตกรรมการเรียนรู้: กรณีศึกษานวัตกรรมการ
เรยี นรู้ตามแนวคอนสตรคั ตวิ ิสต์. ขอนแก่น: วิทยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบณั ฑิต สาขาวิชา
เทคโนโลยกี ารศกึ ษาบัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น.
อนุมานราชธน,พระยา. (ม.ป.ป.). วัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธิการ.
อรวรรณ ปิลันธนโ์ อวาท. (2540). การพดู เพ่ือธรุ กิจ. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 5. กรงุ เทพฯ:
จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
อังชรนิ ทร์ ทองปาน. (2559). การสอนภาษาองั กฤษเป็นภาษาต่างประเทศ. นครราชสมี า:
โฟโต้บุ๊ค ดอทเน็ต.
A. S. Hornby. (2005). Oxford Advanced Learner's Dictionary. New York: Oxford
University Press.
Adler, Mortimer J. (1959). How to Read a Book. New York: Simon and Schester.
Aja Frost. (n.a.). 48 Questions That'll Make Awkward Small Talk So Much Easier.
เข้าถึงเม่ือ 18 เมษายน 2563. เข้าถึงได้จาก https://www.themuse.com/advice/48-
questions-thatll-make-awkward-small-talk-so-much-easier.
Alvesson, M. (1993). Cultural perspective on Organizations. Cambridge, MA:
Cambridge University.
Arlin Cuncic. (2020). Preparing for Small Talk: A List of the Best and Worst Topics.
เข้าถึงเม่ือ 18 เมษายน 2563. เข้าถึงได้จาก https://www.verywellmind.com/small-
talk-topics-3024421.
Bennett A.C. and Tibbitts, S.J. (1989). Maximizing Quality Performance in Health Care
Facilities. Rockville, MD: Aspen.
172
Brown, James W., Lewis, Richard B., and Harcleroad, Fred F. ( 1985) . AV Instruction:
Technology, Media, and Methods. 6th ed. New York: Mcgrow-Hill Book
Company.
Byrne. (1986). Teaching Oral English. London: Longman.
Castetter, W.B. (1986). The Personal Function in Educational Administration. 4th ed.
New York: MacMillan.
Cook, V. (1991). Second Language Learning and Language Teaching. London:
Edward Arnold.
Dr. Bambi - Everyday English. ภาษาองั กฤษรอบตวั small talk. เขา้ ถึงเม่อื 18 เมษายน 2563.
เข้าถงึ ไดจ้ าก https://www.facebook.com/ DrBambiThailand/ posts/
510737992291923/.
Edgar H. Sturtevant. (1991). An Introduction to Linguistic Science. New Haven: Yale
University Press, .
Gagne, Robert M. and Leslie J. Briggs. ( 1979) . Principles of Instruction Design. 2nd ed.
New York: Holt, Rinehart and Winston.
Glatthorn, A.A. (1990). Supervision Leadership: Introduction to Instructional
Supervision. Glenview, IL: Scott Foresman.
Goens, G.A. and Clover, R.C. (1991). Mastering School Reform. Boston, MA: Allyn and
Bacon.
Good, Carter V. (1973). Dictionary of Education. 3rd ed. New York: Mc Graw – Hill.
Goodman, K.S. (1970). Reading Process and Program. IIIinois: National Council of
Teachers of English.
Greenberg, J. and Baron, R.A. (1993). Behavior in the Organizations. 4th ed. New York:
Simon and Schuster.
Hancock, Alan. (1977). Planning for Educational Mass Media. London: Longman.
Hanson, E.M. (1991). Educational Administration and Organizational Behavior. Boston,
MA: Allyn and Bacon.
Keltner, John W. (1970). Interpersonal Speech Communication : Element and
Structure. California: Wad Worth Publishing Company Inc.
Mackey, William F. (1967). Language Teaching Analysis. ERIC. Indiana University,
Press: Bloomington.
Patterson, J.L. Purkey, S.C. and Parker, J.V. (1986). Productive School Systems for a
Non-Ration World. Virginia: ACSD.
Reid, I. (1992). The Sociological of School and Education. London: Paul Chapmen.
Richarods, j. and Rodgers, T. ( 2002) . Approaches and Methods in Language Teaching.
2nd ed. USA: Cambridge University Press.
Rogers, Everett M. (2003). Diffusion of Innovations. New York: The Free Press.
173
Samovar, Larry A. and Mills, jack. (1968). Oral Communication :Massage and Response.
2 nd ed. Dubuque, lowa: W.M.C Brown.
Sergiovanni, T.J. and Strarratt, R.J. (1988). Supervision Human Perspectives. 4th ed.
New York: McGraw Hill.
Underwood, Mary. (1993). Teaching Listening. 5th ed. New York: Longman.
W. Nelson Francis. (1958). The Structure of American English. New York: The Ronald
Press Company.
Waller, W. (1932). The Sociology of Teaching. New York : Wiley.
Wallstreetenglish. จะพัฒนาทักษะการพูดภาษาองั กฤษได้อย่างไร?. เข้าถึงเม่ือ 8 พฤษภาคม 2563.
เข้าถึงได้จาก www.wallstreetenglish.in.th./เรียนภาษาอังกฤษ/จะพัฒนาทักษะการพูด
ภาษา.Yuliya, Geikhman. (n.a.). Be Social: 7 English Small Talk Topics for Starting
Friendly Conversations. เ ข้ า ถึ ง เ ม่ื อ 18 เ ม ษ า ย น 2563. เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก
https://www.fluentu.com/ blog/english/english-small-talk/.