The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ทักษะการสื่อสารและวัฒนธรรมสำหรับครู โดย คณาจารย์กลุ่มวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ทักษะการสื่อสารและวัฒนธรรมสำหรับครู

ทักษะการสื่อสารและวัฒนธรรมสำหรับครู โดย คณาจารย์กลุ่มวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

Keywords: ทักษะการสื่อสารและวัฒนธรรมสำหรับครู

เทคนิคการนาเสนอขอ้ มูลให้เกิดประสิทธิผลโดย
การใชภ้ าษาด้วยวจั นภาษา และอวัจนภาษา
การใช้ส่ือและนวัตกรรม ต้งั แตก่ ารเลอื กใช้ส่อื
การประยุกตใ์ ชน้ วตั กรรมกับการนาเสนอ
รวมถงึ เทคนิคการนาเสนองานวิชาการ
เทคนคิ การนาเสนอข้อมูล : รองศาสตราจารย์ ดร.ปราณีต ม่วงนวล

ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ลกั ษณา เกยรุ าพนั ธ์
อาจารยจ์ ีรภรณ์ กจิ เจรญิ
อาจารย์ศราวุฒิ สมญั ญา



บทที่ 3
เทคนิคการนาเสนอขอ้ มลู เพือ่ การส่ือสาร

การนาเสนอข้อมูลในทุกประเภท ท้ังข้อมูลด้านวิชาการ ข้อมูลด้านธุรกิจ ข้อมูลสถิติด้านต่าง ๆ
หรือข้อมูลด้านอ่ืน ๆ ก็ตาม นอกจากความแม่นยาด้านข้อมูลแล้ว การนาเสนอยังต้องใช้เทคนิคต่าง ๆ ใน
การนาเสนอเพื่อให้การนาเสนอน้ัน ๆ บรรลุตามวัตถุประสงค์ ในบทนี้จะอธิบายถึงเทคนิคการนาเสนอ
ข้อมูลให้เกิดประสิทธิผลโดยการใช้ภาษาด้วยวัจนภาษา และอวัจนภาษา การใช้สื่อและนวัตกรรม ตั้งแต่
การเลอื กใช้ส่ือ การประยกุ ต์ใชน้ วัตกรรมกบั การนาเสนอ รวมถึงเทคนคิ การนาเสนองานวิชาการ

การใชภ้ าษา

การใช้ภาษาในการนาเสนอข้อมูล เพ่ือส่ือสารให้เนื้อหาสาระของข้อมูลจากผู้นาเสนอซึ่งทา
หน้าท่ีเป็นผู้ส่งสารท่ีเหมาะสมกับการรับรู้ และทักษะการใช้ภาษาของผู้รับสาร ผู้นาเสนอที่จะประสบ
ความสาเร็จในการใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสาร จึงควรทาความเข้าใจภาษาท่ีใช้ในการสื่อสาร ทั้ง 2
ประเภท ได้แก่ วจั นภาษา และอวัจนภาษา

ศัพทานุกรม สื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2520: 7) ได้ให้ความเห็นไว้ว่า
การจาแนกประเภทของการส่ือสารหากพิจารณาโดยถือสัญลักษณ์ของข่าวสารเป็นมาตรการ ซ่ึงอาจ
แยกการส่ือสารออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1) Verbal Communication หมายถึง การสื่อสารโดย
อาศัยคาเป็นสัญลักษณ์ 2) Nonverbal Communication หมายถึง การสื่อสารที่อาศัยสัญลักษณ์
อยา่ งอื่นนอกเหนอื ไปจากคา เช่น กิริยาทา่ ทาง หรือเครอ่ื งหมาย

นิพ น ธ์ ทิพ ย์ศ รีนิมิต ( 2542: 11) ได้ก ล่าวไว้ว่า ภ า ษ าที่ม นุษ ย์ใช้สื่อ ส ารใน
ชีวิตประจาวันอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดคือ ภาษาท่ีใช้ถ้อยคา (วัจนภาษา) อย่างหนึ่งและ
ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคา(อวัจนภาษา) อีกอย่างหนึ่ง ภาษาท้ังสองชนิดน้ีแม้จะมีความสาคัญต่อการส่ือสาร
ดว้ ยกัน แตจ่ ะมีบทบาททแ่ี ตกต่างกัน ดงั นี้

1. วัจนภาษา หมายถึง ภาษาที่ใช้ถ้อยคาหรือลายลักษณ์อักษรในการส่ือความหมายเสียงพูด
ท่ีมนุษย์ตกลงกันเพ่ือทาหน้าที่แทนมโนภาพของสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์ด้วยกันสามารถรับรู้ได้ทางประสาท
สัมผัสต่างๆ ได้แก่ ทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย ส่วนลายลักษณ์อักษร ก็ถือเป็นถ้อยคาเช่นกันเพราะ
ลายลักษณ์อกั ษรถอื เปน็ เครอื่ งมือแทนเสียงพูด

2. อวัจนภาษา หมายถึง ภาษาที่เกิดจากกิริยาอาการต่างๆ ของมนุษย์รวมทั้งเครื่องหมาย
หรือสัญญาณอย่างอ่ืนที่นอกเหนือไปจากถ้อยคา เช่น การชาเลือง การจ้อง การย้ิม การขมวดค้ิว
นิว่ หน้า หรือ การปรบมอื เปน็ ต้น

โปรแกรมวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้าน
สมเดจ็ เจา้ พระยา (2547: 6-8) อธิบายภาษาทใ่ี ชใ้ นการส่ือสารแบง่ เป็น 2 ประเภท คือ

1. ภาษาถ้อยคา หรือวัจนภาษา (Verbal Language) ได้แก่ คาพูดหรือตวั อักษรทีก่ าหนดตก
ลงใช้ร่วมกันในสังคม ภาษาถ้อยคาจึงหมายถึงภาษาท่ีมนุษย์สร้างข้ึนอย่างมีระบบ มีหลักเกณฑ์ทาง

86

ภาษาหรือไวยากรณ์ ซ่ึงคนในสังคมนั้นต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจและใช้ภาษาในการฟัง พูด อ่าน เขียน
และคิด

2. ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคา หรือ อวัจนภาษา (Non-verbal Language) หมายถึง สัญลักษณ์ หรือ
รหัสท่ีไม่ใช่ตัวอักษร หรือคาพูด แต่เป็นท่ีเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร มีจุดมุ่งหมายที่จะ
ส่ือสารและเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง อวัจนภาษา ประกอบด้วย 1) อาการภาษา 2) สัมผัสภาษา
3) ปรภิ าษา 4) เทศภาษา 5) กาลภาษา 6) กล่นิ -รส 7) ภาพ 8) สี และ 9) ลกั ษณะและขนาดของตัวอักษร

กล่าวโดยสรุป การใช้ภาษาในการสื่อสาร ทั้งสองประเภท ได้แก่ วัจนภาษา เป็นการส่ือสาร
ด้วยภาษาที่ใช้ถ้อยคาหรือลายลักษณ์อักษรในการส่ือความหมายเสียงพูดที่สังคมมนุษย์ตกลงกันเพื่อ
ทาหน้าที่แทนมโนภาพของส่งิ ต่าง ๆ และอวจั นภาษา เป็นการส่ือสารทีเ่ กดิ จากกิรยิ าอาการต่างๆ ของ
มนษุ ยร์ วมทั้งเครอื่ งหมาย หรือสัญลักษณ์อื่นนอกเหนือไปจากคาพูด ซ่ึงเป็นท่ีเข้าใจร่วมกันระหว่าง
ผู้ส่งสารและผู้รบั สาร

ประเภทของอวจั นภาษา

สวนิต ยมาภัย (2531: 41-48) ได้จาแนกประเภทของอวัจนภาษาไว้ 7 ประการ
ประกอบด้วย เทศภาษา กาลภาษา เนตรภาษา สมั ผสั ภาษา อาการภาษา วัตถุภาษาและปริภาษา จะ
นาเสนอในรปู แบบตารางเปรียบเทียบพฤตกิ รรมการส่ือสาร กับ ความหมาย เพือ่ ความเข้าใจไดช้ ัดเจน
ยง่ิ ขึ้น ซึง่ ไดน้ าเสนอไวใ้ นหนงั สอื การฟัง การพูดเพ่อื สัมฤทธผิ ล (ปราณตี มว่ งนวล, 2562: 108-111)

1. เทศภาษา หมายถึง ภาษาที่ปรากฏขึ้นจากลักษณะของสถานที่ที่บุคคลทาการส่ือสารกัน
อยู่ รวมทง้ั จากชว่ งระยะท่ีบุคคลทาการสอ่ื สารอยหู่ า่ งจากกนั

พฤติกรรมการสือ่ สาร ความหมาย
- นั่งใกล้ชดิ กนั - คนรกั กนั คนสนิทชิดเชื้อกัน
- น่งั ท่หี ัวโตะ๊ ในเวลารับประทานอาหาร - คนสาคัญ หรือเจา้ ภาพ
- ผู้น้อยนงั่ หา่ ง ๆ หรือนัง่ ในระดับตา่ กวา่ - ให้ความเคารพ ให้เกยี รติ หรอื ยาเกรง
ผใู้ หญ่ในเวลาสนทนา - เรือ่ งที่พดู มีความสาคญั จรงิ จัง และ
- วทิ ยากรยนื พูดอยูก่ ลางห้องด้านหน้าของ เปน็ การเป็นงาน
ผู้ฟงั หา่ งจากผฟู้ ังเล็กน้อย - เรอื่ งที่พูดไมส่ าคัญมากนกั เพียงแต่
- วทิ ยากรยืนพูดอยู่ด้านใดดา้ นหนึง่ ของ ตอ้ งการให้ผู้ฟังทราบ
ห้องห่างจากผู้ฟงั พอประมาณ

ตารางท่ี 3.1 เทศภาษา
ทมี่ า: นิพนธ์ ทิพย์ศรนี ิมติ (2542: 12)

87

2. กาลภาษา หมายถึง การใชเ้ วลาเปน็ สอ่ื บ่งบอกเจตนาของผู้ส่งสารท่ีมตี ่อผรู้ บั สาร

พฤติกรรมการส่อื สาร ความหมาย
- ไปตรงตามเวลาทนี่ ดั หมาย - ให้ความเคารพ ใหเ้ กยี รตแิ ละเหน็
- ไปผิดเวลาที่นัดหมาย
- โทรศพั ทไ์ ปหาในเวลาเชา้ ตรู่ ความสาคญั
- ไปน่ังรอเพ่ือขอพบทงั้ ๆ ท่ยี ังไมถ่ ึงเวลา - ไมใ่ หเ้ กยี รติ ไม่ให้ความสาคัญ
เร่มิ งาน ไมส่ นใจ
- ส่งบตั รเชิญล่วงหนา้ พอสมควร - มีเร่อื งดว่ น เร่อื งร้ายแรง หรือเร่อื ง
ไม่สบายใจ
- มีเร่ืองเดือดร้อน ธุระดว่ น
- ใหค้ วามสาคญั ต้งั ใจจรงิ ให้เกียรติ

ตารางที่ 3.2 กาลเวลา
ที่มา: นิพนธ์ ทิพย์ศรนี มิ ิต (2542: 12)

3. เนตรภาษา หมายถึง ภาษาท่ีเกิดจากการใช้ดวงตาหรือสายตาของผู้ส่งสารเพ่ือสื่ออารมณ์
ความรู้สกึ นึกคดิ ความประสงค์ และทศั นคตไิ ปยังผรู้ ับสาร

พฤติกรรมการสือ่ สาร ความหมาย
- เบ่งิ ตา - ตกใจ แปลกใจ ต่นื เตน้
- หรีต่ าขมวดค้วิ - สงสัยคร่นุ คดิ ไม่แน่ใจ
- ขยบิ ตา - หา้ มปราบ หรอื รกู้ นั
- สอดส่องสายตาไปมา - อยากรู้อยากเห็นกาลงั มองหาอะไรอยู่
- ยืนทอดสายตา - ครนุ่ คิด ปล่อยใจใหว้ า่ ง
- มองดว้ ยหางตา - เหยยี ดหยาม ดแู คลน
- หยดุ คาพดู และมองสบตาไปยงั คู่สนทนา - เปิดโอกาสให้ค่สู นทนาได้พดู
กาลงั รอคาตอบ

ตารางที่ 3.3 เนตรภาษา
ท่ีมา: นิพนธ์ ทพิ ยศ์ รนี ิมติ (2542: 13)

88

4. สัมผัสภาษา หมายถึง ภาษาที่เกิดจาการใช้อาการสัมผัสของผู้สื่อสาร เพื่อสื่อความรู้สึก
อารมณ์ และความในใจไปยังผ้รู ับสาร

พฤตกิ รรมการสื่อสาร ความหมาย
- ลูบ หรอื แตะศรี ษะเด็กเบา ๆ - ปลอบใจ ให้กาลังใจ
- จบั แก้มเดก็ เล็กๆ - รกั ใคร่ เอ็นดู
- กุมมือ - ให้ความอบอนุ่ ปลอบใจให้กาลังใจ
- จับมอื (วฒั นธรรมตะวันตก) - ทักทาย ผูกไมตรี แสดงความเป็นมิตร
- สมั ผสั แขนควรจับเบา ๆ - เห็นอกเห็นใจ ให้กาลังใจ
- ผลักอก - แสดงการเปน็ ศัตรู
- คล้องแขนหรือโอบหลังระหว่างหนุ่มสาว - แสดงความรักใคร่

ตารางที่ 3.4 สัมผสั ภาษา
ทม่ี า: นิพนธ์ ทพิ ย์ศรนี มิ ิต 2542: 13)

5. อาการภาษา หมายถึง ภาษาท่ีใช้สื่อสารในรูปการเคล่ือนไหวของร่างกาย เช่น การเคลื่อนไหวศีรษะ
แขน ขา และลาตัว เป็นตน้

พฤตกิ รรมการสื่อสาร ความหมาย
- พยกั หน้า - เหน็ ดว้ ย ตกลง ยอมรบั
- การสั่นศรี ษะ - ไม่เห็นด้วย ไม่ตกลง ไมย่ อมรบั
- เอามือแตะไหล่ - เตอื นสติ ใหเ้ พลาๆ ลงบ้าง
- การแบมอื คว่าออกข้างตัว - ใหน้ ง่ั ลง
- การชี้มอื - แสดงทิศทาง
- บิดตัว - เม่อื ยขบ เกียจครา้ น
- นง่ั กอดเข่า - หมดหวัง ส้ินใจ
- นอนมอื กา่ ยหน้าผาก - ทกุ ข์ใจ กงั วลใจ
- ปรบมือ - แสดงความยินดี ใหเ้ กียรติ
- ประนมมือ โคง้ คานบั ทาวันทยาหัตถ์ - แสดงความเคารพ
- การเอางาน - การแสดงความเคารพดว้ ยมอื ก่อนรบั
ของพระราชทานจากพระเจ้าแผ่นดนิ

ตารางท่ี 3.5 อาการภาษา
ท่ีมา: นิพนธ์ ทิพย์ศรนี มิ ติ (2542: 14)

89

6. วัตถุภาษา หมายถึง ภาษาที่เกิดจากการเลือกวัตถุมาใช้เพ่ือแสดงความหมายบางประการให้
ปรากฏ วัตถใุ นท่ีนีห้ มายถึงส่งิ ของทุกขนาด ทกุ ลักษณะ รวมท้งั เครอื่ งแต่งกายและเครื่องประดับทุกชนดิ

พฤตกิ รรมการส่ือสาร ความหมาย
- เปลวเทียน - แสงสวา่ งแหง่ ชีวติ
- ดอกลัน่ ทม - ความทกุ ขร์ ะทม
- ธงชาติ - ความเป็นเอกราช
- ปรญิ ญาบัตร - ผูท้ ่ีมีการศึกษา

ตารางท่ี 3.6 วัตถุภาษา
ที่มา: นพิ นธ์ ทพิ ย์ศรีนิมิต (2542: 14)

7. ปริภาษา หมายถึง ภาษาท่ีเกิดจากการใช้น้าเสียงประกอบคาพูด น้าเสียงถือเป็นอวัจน
ภาษา แตม่ ีสว่ นแนบสนิทกับถ้อยคาจนยากที่จะแยกออกจากกันได้ นา้ เสยี งมหี ลายมิติ ได้แก่ ความดัง
ระดบั ความทุ้มแหลม ความเรว็ จังหวะความชนั เจน และคุณภาพของอวยั วะทท่ี าให้เกิดเสยี ง

พฤตกิ รรมการสอื่ สาร ความหมาย
- ไม่ ผมไม่เอา - ปฏิเสธอย่างเรยี บๆ
- ไม่ผมไม่เอา๊ - ปฏิเสธเสียงสูงแสดงความไมพ่ อใจ
- หนูว่าเขาเปน็ คนดี - ดี
- หนวู า่ เขาเป็นคนดีด๊ ี - ดีมาก
- ตาย! เธอหรือน่ี - ความประหลาดใจ
- ตา๊ ยตาย! เธอหรอื น่ี - ประหลาดใจมาก

ตารางที่ 3.7 ปรภิ าษา
ทีม่ า: นพิ นธ์ ทิพย์ศรีนมิ ิต (2542: 15)

ความสมั พันธร์ ะหวา่ งวัจนภาษาและอวจั นภาษา

กรองแก้ว อยู่สุข (2535: 172-173) อธิบายการใช้ภาษากาย หรืออวัจนภาษา ว่า
“การแสดงกิริยา ท่าทาง การแสดงสีหน้า การเคล่ือนไหวของร่างกาย ฯลฯ จะช่วยให้เราเข้าใจ
พฤติกรรมของคนได้ เพราะภาษาท่ีคนแสดงออกทางกายนั้นทุกอย่างมีความหมายการแสดงออก
เหล่าน้ีถ้าใช้ประกอบคาพูดและน้าเสียงของผู้พูดแล้ว จะบอกอะไร ๆ ได้หลายอย่างทาให้รู้ได้ว่า เขา
โกรธ กา้ วร้าว กลัว หรอื พอใจก็ได้” ดังน้ันขณะที่สือ่ สารควรสังเกตอวัจนภาษาประกอบไปด้วย จึงจะ
ทาให้เขา้ ใจความหมายไดด้ ีข้ึนดังคากล่าวทวี่ ่า “การกระทาพดู ไดด้ งั กว่าและถกู ต้องกว่าคาพดู ”

นิพนธ์ ทิพย์ศรีนิมิต (2542: 15-16) ได้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างวัจนภาษาและ
อวัจนภาษาไว้ว่า ในการสื่อสารบุคคลย่อมใช้ท้ังวัจนภาษาและอวัจนภาษาควบคู่กันไป ทั้งน้ีเพ่ือให้

90

การส่ือความหมายดังกล่าวมีความชัดเจนและมองเห็นภาพได้เด่นชัดย่ิงข้ึน ความสัมพันธ์ระหว่าง
วจั นภาษาและอวจั นภาษา จาแนกได้ 4 ลักษณะ คือ

1. ซ้ากนั หมายถงึ การใช้ทางคาพูดและกิริยาทา่ ทางประกอบการ เช่น อาจารยถ์ ามนกั ศึกษา
ว่า “ใครตอบคาถามน้ไี ดบ้ า้ ง” “ผมตอบไดค้ รับ” มนตรีพูดพร้อมกับยกมอื ขนึ้ ประกอบคาพูด

2. แย้งกัน หมายถึง การใชอ้ วจั นภาษาแยกกับคาพดู เช่น สมศกั ด์ิพูดกับสมชายวา่ “ผมมธี ุระ
ด่วนที่ต้องรีบไปเดี๋ยวนี้” พูดแล้วสมศักด์ิยังคงน่ังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เช่นเดิมโดยที่มิได้ลุกขึ้น หรือรีบ
ไปอย่างทีพ่ ดู

3. แทนกัน หมายถึง การใช้อวจั นภาษาแทนคาพูด เชน่ การกวักมือแทนการเรยี กให้เข้ามาหา
การพยักหน้า แทนการตอบรับ หรือการสา่ ยหนา้ แทนการปฏเิ สธเป็นต้น

4. เสริมกัน หมายถึง การใช้อวจั นภาษาชว่ ยเสริมหรือเพมิ่ น้าหนกั ของคาพดู เพื่อแสดงอารมณ์
หรอื แสดงภาพใหเ้ หน็ เด่นชัดข้ึน เชน่

“ผมร้สู กึ ปวดศีรษะมาก” ปิยะพูดพร้อมกบั กุมขมับท้ัง 2 ขา้ ง
“เหมน็ กลิ่นอะไรเนยี่ ” อษุ าพดู พรอ้ มกับยกมอื ข้นึ ปิดจมูก
“ผมรกั แม่ของผมมากทส่ี ุด” รักชาตพิ ูดพรอ้ มกบั กางแขนออกไปเต็มเหยยี ดท้ัง 2 ข้าง
อวัจนภาษากับความสมั พันธใ์ นชวี ิตประจาวนั
โปรแกรมวิชาภาษาไทย คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏบา้ นสมเด็จ
เจ้าพระยา (2547: 8) อธิบายไว้ว่า วัจนภาษาและอวัจนภาษาล้วนมีความสัมพันธ์กับการส่ือสารใน
ฐานะท่ีเป็นรหัส กล่าวคือ เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนสาร การท่ีเราจะเข้ารหัส คือส่งสาร หรือถอดรหัส
คือรบั สารได้ดีนั้น จะต้องใช้ทักษะทางภาษาซ่ึงเกิดขึ้นจากการฝึกฝนเป็นประจา ทักษะการใช้ภาษาใน
การส่งสาร ได้แก่การพูด และการเขียน ทักษะการใช้ภาษาในการรับสาร ได้แก่ การฟังและการอ่าน
ถ้าเราฝึกฝนจนชานาญจะเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดารงชีวิต
อยู่ในโลกยุคข้อมลู ข่าวสาร อันเน่ืองมาจากความเจรญิ กา้ วหน้าทางเทคโนโลยกี ารส่ือสาร จาเป็นอยา่ ง
ยิ่งที่เราจะต้องฝึกฝนตนเองให้สามารถใช้ภาษาในการส่ือสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท้ังในฐานะผู้ส่ง
สารและผู้รับสาร กล่าวโดยสรุป การสื่อสารในชีวิตประจาวัน การใช้อวัจนภาษานับว่ามีความสาคัญ
เป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ไปพร้อม ๆ กับวัจนภาษา โดยเฉพาะต่อสุขภาพจิตและขวัญของการทางาน
เพราะถ้าบุคคลหน้าตาบูดบึ้งเข้าหากัน ใช้วาจาไม่ถนอมน้าใจกัน ผลก็คือ มนุษย์สัมพันธ์ สุขภาพจิต
และขวัญในการทางาน เสื่อมโทรมลง ในทางตรงกันข้ามหากใช้คาพูดดีต่อกัน ย้ิมแย้มเข้าหากัน ก็จะ
เกดิ ขวัญและกาลงั ใจ บรรยากาศในการทางาน นา่ ทางาน เกิดความร่วมมอื ร่วมใจกนั ในการท่ีจะแกไ้ ข
ปัญหาตา่ ง ๆ ใหส้ าเรจ็ ลลุ ว่ งไปไดด้ ว้ ยดี มปี ระสิทธภิ าพการสอ่ื สารเกดิ สัมฤทธผิ ลตามวัตถปุ ระสงค์

การใช้สอื่ และนวัตกรรมในการส่ือสาร

การส่ือสารเป็นพื้นฐานสาคัญต่อวิถีการดาเนินชีวิตของมนุษย์ ถ่ายทอดประสบการณ์ทาง
วัฒนธรรมหรือทักษะการเรียนรู้ เป็นประบวนการส่ือสาร ช่วยสร้างความเข้าใจในสังคมมนุษย์
เทคโนโลยีทางการส่ือสาร ซ่ึงเป็นรูปแบบของนวัตกรรมใหม่ ๆ ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงและเป็น
ช่องทางหนึ่งท่ีตอบสนองการเรียนรู้ของมนุษย์ในยุคดิจิตัล กระบวนการเรียนการสอนของ
สถาบันการศึกษาเกือบทุกระดับมีแบบแผนการจัดทาสื่อ กิจกรรม และรูปแบบการเรียนรู้ที่มีผู้เรียน

91

เป็นศูนย์กลาง โดยมีวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและวัฒนธรรม เป็นแนวพื้นฐานแห่งการพัฒนาท่ีช่วย
เสริมสรา้ งกระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจให้แก่มนุษย์ในสังคม เพื่อให้การจัดการศึกษาสอดคล้องกับ
การพัฒนาในยุคแห่งการเปล่ียนแปลงการพัฒนาการใช้ส่ือเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา จึง
เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีมีการบูรณาการท่ีช่วยเสริมสร้างผลการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ จาเป็นต้อง
ทราบ ขอบเขต แนวคิด หลกั การ ทฤษฎี ของเทคโนโลยี ส่อื นวตั กรรม ดงั มีรายละเอียดดงั นี้

ความหมายของสื่อการเรียนการสอน

กดิ านนั ท์ มลิทอง (2548: 100) ไดใ้ หค้ วามหมายไว้ว่า สื่อการเรยี นการสอน หมายถึง สอ่ื ใด
ก็ตามไม่ว่าจะเป็นเทปบันทึกเสียง สไลด์ วิทยุ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ แผนภูมิ รูปภาพ ฯลฯ ซ่ึงเป็นวัสดุ
บรรจเุ นอื้ หาเกี่ยวกับการเรียนการสอน หรือเป็นอปุ กรณ์เพอ่ื ถ่ายทอดเนื้อหาจากวัสดุสิ่ง สงิ่ เหล่าน้ีเป็น
วัสดุอุปกรณ์ทางกายภาพที่นามาในเทคโนโลยีทางการศึกษา เป็นสิ่งท่ีใช้เป็นเครื่องมือหรือช่องทาง
สาหรับทาให้การสอนของผู้สอนส่งไปถึงผู้เรียน ทาให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์
หรือจุดมุ่งหมายท่ีผู้สอนวางไว้ไดเ้ ป็นอยา่ งดี

วรวิทย์ นิเทศศิลป์ (2551: 12) ไดใ้ หค้ วามหมายไวว้ า่ สอ่ื การเรยี นการสอน หมายถึง ผู้สอน
นาเอาวัสดุอุปกรณ์มาคิดค้น ดัดแปลง บรรจุข้อมูลของเนื้อหาตามรายวิชาท่ีสอน และนาไปใช้
ประกอบการสอน มกี ารคิด

ทิศนา แขมมณี (2550: 10) ได้ให้ความหมายไว้ดังน้ี ส่ือการเรียนการสอน หมายถึง
สือ่ กลางที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้ในสิ่งท่ีไม่ร้หู รอื อยากจะเรยี นรู้ ทาให้เกิดความคิด ความอ่าน
และเกิดความเจริญงอกงามทางสติปัญญาซึ่งองค์ประกอบที่สาคัญท่ีก่อให้เกิดการเรียนรู้ จากแนวคิด
นักการศึกษา กาเย่ (Gagne) ประกอบด้วย ผู้เรียน (Learner) มีระบบสัมผัสและระบบประสาทใน
การรับรู้สิ่งเร้า (Stimulus) คือ สถานการณ์ต่างๆ ท่ีเป็นส่ิงเร้าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และการ
ตอบสนอง (Response) คือ พฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนจากากรเรียนรู้สื่อประสมหรือสื่อมัลติมีเดีย
(Multimedia) หรือสอื่ หลายแบบ

หริพล ธรรมนารกั ษ์ (2558: 176) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ส่ือการเรียนการสอน หมายถงึ สิ่ง
ตา่ งๆ ที่ใช้เป็นเครื่องมือหรอื ช่องทางสาหรับการถ่ายทอดหรือนาความรู้ ประสบการณ์ไปยังผู้เรียนให้
ได้เรยี นรตู้ ามวัตถุประสงค์ที่ผ้สู อนตัง้ ไว้

บราวน์ และคนอื่น ๆ (Brown and Others, 1985: 32) ได้กล่าวไว้ว่า ส่ือการเรียนการ
สอนได้แก่ อุปกรณ์ทั้งหลายท่ีช่วยเสนอความรู้ให้แก่ผู้เรียนจนเกิดผลการเรียนท่ีดี ท้ังน้ีมีความหมาย
รวมถึง กิจกรรมต่าง ๆ ท่ีไม่เฉพาะแต่สิ่งท่ีเป็นวัตถุหรือเคร่ืองมือเท่าน้ัน เช่น การศึกษานอกสถานท่ี
การแสดงบทบาทสมมุติ นาฏการ การสาธติ การทดลอง ตลอดจนการสัมภาษณ์ และการสารวจ เปน็ ต้น

จากนิยามของนักวิชาการ ส่ือการเรียนการสอน หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ หรือเทคนิควิธี ที่
เป็นสื่อหรือตัวกลางช่วยนาถ่ายทอดเนื้อหาสาระความรู้ต่าง ๆ จากผู้สอนหรือจากแหล่งความรู้ไปยัง
ผู้เรียน เป็นส่ิงท่ีช่วยให้เนื้อหาบทเรียนมีความกระจ่างชัด ทาให้ผู้มีผลการเรียนรู้ที่บรรลุตาม
วตั ถปุ ระสงคข์ องการจดั การเรียนการสอนในแตล่ ะรายวชิ าของหลกั สูตร

92

หลักการเลอื กสอ่ื การเรียนการสอน

สื่อการสอนมีอยู่หลากหลายรูปแบบหลากหลายประเภท ในการเลือกสื่อการสอนมี
ความสาคัญมากต่อกระบวนการเรียนการสอน และส่ือการเรียนการสอนไม่สามารถใช้ได้ทุก
สถานการณ์ ในการตัดสินใจเลือกใช้สื่อการสอนต้องพิจารณาถึงปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ได้มีนักวิชาการ
ได้เสนอแนวทางพอสรุปไดด้ งั นี้

กดิ านันท์ มลิทอง (2548: 109-110) ได้เสนอแนวทางในการเลือกสื่อการเรียนการสอนโดย
ผ้สู อนต้องตงั้ วัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรมในการเรยี นให้แน่นอนก่อน เพ่ือใชว้ ัตถุประสงค์นั้นเป็นตวั ชน้ี า
ในการเลือกสื่อการเรียนการสอนท่ีเหมาะสม นอกจากน้ันยังมีหลักการอื่น ๆ เพื่อประกอบการ
พิจารณา ดงั น้ี

1. สือ่ นั้นตอ้ งสัมพันธ์กบั เนอ้ื หาบทเรยี นและจดุ มุ่งหมายที่จะสอน
2. เลือกส่ือท่ีมีเน้ือหาถกู ต้อง ทันสมัย น่าสนใจ และเป็นสื่อที่จะให้ผลต่อการเรียนการสอน
มากทสี่ ดุ ช่วยให้ผู้เรยี นเขา้ ใจเนอื้ หาวิชานัน้ ได้ดีเป็นลาดบั ขั้นตอน
3. เป็นสือ่ ท่ีเหมาะสมกับวัย ระดบั ช้ัน ความรู้ และประสบการณข์ องผเู้ รยี น
4. สอ่ื น้ันควรสะดวกในการใช้ มีวธิ ใี ช้ไม่ยุ่งยากซับซอ้ นจนเกินไป
5. ตอ้ งเปน็ ส่อื ทีม่ ีคุณภาพเทคนิคการผลิตทด่ี ี มีความชดั เจนและเปน็ จรงิ
6. ราคาไม่แพงจนเกนิ ไปหรือผลิตเองควรคุม้ กบั เวลาและการลงทนุ
จากหลักการนี้สรุปได้ว่า การจะเลือกสื่อมาใช้ในการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพน้ัน
ผสู้ อนจะตอ้ งมคี วามร้คู วามสามารถและทกั ษะในเรื่องต่าง ๆ ดงั น้ี
1. การกาหนดวัตถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรมและจดุ มุ่งหมายในการเรยี นการสอน
2. จุดมุ่งหมายในการนาสื่อมาใช้ประกอบหรือร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อใช้นา
บทเรยี น ใช้ในการประกอบคาอธบิ าย ใช้เพ่ือเพิ่มพูนประสบการณแ์ ก่ผ้เู รยี น หรอื ใช้เพื่อสรปุ บทเรยี น
3. ต้องเข้าใจลักษณะเฉพาะของส่ือชนิดตา่ งๆ แต่ละชนิดว่า สามารถเร้าความสนใจและให้
ความหมายต่อประสบการณ์การเรยี นร้แู ก่ผู้เรียนได้อย่างไรบา้ ง เช่น หนังสือเรียนและสื่อส่ิงพิมพ์อ่ืนๆ
ใช้เพ่ือเป็นความรู้พ้ืนฐานและอ้างอิงของจริงและของจาลองใช้เพ่ือให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง
แผนภูมิ แผนภาพ และแผนสถิติ ใช้เพ่ือต้องการเน้นหรือเพื่อแสดงให้เป็นส่วนประกอบหรือ
เปรียบเทียบข้อมูล สไลด์และเคร่ืองฉายโปรเจ็คเตอร์ใชเ้ พ่ือเสนอภาพน่ิงขนาดใหญ่ให้ผู้เรยี นได้เห็นท้ัง
ช้นั คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนใชเ้ พื่อจดั การเรียนการสอนรายบุคคลท้ังหลายเหล่าน้ี เปน็ ต้น

นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศกึ ษา

นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา เป็นกระบวนการหน่ึงของการเรียนการสอนท่ีมี
ความสาคัญต่อการพัฒนาการศึกษา การนานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาบูรณาการ ก่อให้เกิด
ประโยชน์ต่อการศึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม และเพ่ือให้เข้าใจในบริบทของนวัตกรรมและ
เทคโนโลยีทางการศึกษา และการนาไปใช้หรือพัฒนา ผ่านการออกแบบ การจัดการ การประเมินผลท่ี
มปี ระสทิ ธภิ าพ และประสิทธิผลพอสรปุ ไดด้ ังนี้

93
1. ความหมายของนวตั กรรม

1.1 นวัตกรรม (Innovation) มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า Innovate แปลว่า
to renew หรอื to modify มนี ักการศกึ ษาหลายทา่ นไดใ้ ห้ความหมายของ “นวัตกรรม” ไวด้ งั นี้

โรเจอร์ส (Rogers, 2003: 11) ได้ให้ความหมายของนวัตกรรมว่า นวัตกรรม คือ
ความคดิ การกระทาหรือวัตถุใหม่ ๆ ซ่ึงถูกรบั ร้วู ่าเปน็ สิ่งใหม่ ๆ ด้วยตัวบุคคลแตล่ ะคนหรือหน่วยอืน่ ๆ
ของการยอมรับในสงั คม

พยัต วุฒิวงค์ (2557: 9) กลา่ วว่า นวัตกรรมเปน็ ความคิด วธิ ีการ การกระทาหรือสิ่ง
ใหม่ ๆ ที่นามาทาให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคม หรือนามาเพื่อปรับปรุงการทางานให้มี
ประสิทธิภาพดีกว่าเดิม แม้ว่าความคิด วิธีการ การกระทาหรือส่ิงใหม่ๆ น้ันอาจจะเคยใช้ในสังคมอ่ืน
ไดผ้ ลดมี าแล้วกต็ าม แต่ถ้านามาใชใ้ หเ้ กิดความเปลีย่ นแปลงในสังคมอกี แหง่ หน่ึงกจ็ ัดว่าเป็นนวัตกรรม

อนุชา โสมาบุตร (2555: 42) กล่าวว่า นวัตกรรมเป็น แนวคิด การกระทา
ส่งิ ประดิษฐ์หรือวิธกี ารใหมห่ รือที่ไดร้ ับการพัฒนาปรับปรุงมาจากสิง่ เดิม โดยตอ้ งผ่านการทดลอง วิจัย
หรือกระบวนการพัฒนา ปรับปรุงด้วยวิธีการที่น่าเชื่อถือและเป็นท่ียอมรับ และสามารถนามาเพ่ิม
ประสิทธภิ าพในการปฏิบัติงานหรือแกไ้ ขปญั หาของงานได้

กล่าวโดยสรุปได้ว่า นวัตกรรม หมายถึง ส่ิงประดิษฐ์ (วัสดุ อุปกรณ์) หรือเทคนิควิธีการใหม่ ๆ
ซ่ึ งอาจป รั บ ป รุ งของเก่ าที่ มี อยู่ เดิ มให้ ให ม่ ห รื อดี ข้ึ น แล้ วน าม าใช้ ใน การป ฏิ บั ติ งาน เพ่ื อให้ งาน มี
ประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น

2. ความหมายของเทคโนโลยี
2.2 เทคโนโลยี (Technology) เป็นคามาจากภาษากรีกว่า Techne หมายถึง

ศิลปะ วิทยาศาสตร์ หรือทักษะ (Art,Science or Skill) และมาจากคาภาษาลาตินว่า Texere
มีความหมายว่าการสาน (to Weave) หรือการสร้าง (to Construct) ในภาษากรีกมีคาว่า
Technologia หมายถึง การกระทาอย่างมีระบบ (Systematic treatment) เมื่อพิจารณาจากรูป
ศพั ทภ์ าษาองั กฤษจะมคี วามหมายดังน้ี

Techno แปลว่า วิธกี าร
Logy แปลวา่ วชิ าหรือการศกึ ษาเกีย่ วกับ
เทคโนโลยี หมายถึง ศาสตร์ท่ีว่าด้วยเทคนิควิธีการหรือวิธีปฏิบัติโดยใช้ความรู้ทาง
วทิ ยาศาสตร์หรือความรูอ้ ่ืน ๆ มาประยุกต์อย่างเป็นระบบ เม่อื นาเทคโนโลยีมาใช้ในการศกึ ษาเรียกว่า
เทคโนโลยกี ารศึกษา
3. ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษา
แนวคิดเก่ียวกับเทคโนโลยีการศึกษา ในทัศนะของนักการศึกษาหรือนักเทคโนโลยีการศึกษา
มีอยู่ 2 แนวคดิ คือ 1) แนวคิดทางวทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ และ 2) แนวคิดทางพฤตกิ รรมศาสตร์
เทคโนโลยีการศึกษาตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์กายภาพ เป็นการประยุกต์วิทยาศาสตร์
กายภาพ (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ) กับเทคโนโลยีการช่างหรือวศิ วกรรม (เคร่ืองฉายต่าง ๆ เครอ่ื งบันทกึ เสียง
วทิ ยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ) มาใชเ้ ปน็ อุปกรณก์ ารเรยี นการสอน
เทคโนโลยีการศึกษาตามแนวคิดทางพฤติกรรมศาสตร์ จะพิจารณาเทคโนโลยีการศึกษาใน
เชิงการปฏิบัติทางการศึกษาให้สอดคล้องกับพฤติกรรมมนุษย์ โดยนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์

94

จิตวิทยา มานุษยวิทยา สังคมวิทยา กระบวนการกลุ่ม การสื่อสาร ตลอดจนความรู้ทางช่าง และ
เครื่องมอื ตา่ ง ๆ มาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรยี นการสอน

จากแนวคดิ ทั้ง 2 จึงมผี ใู้ หน้ ยิ ามของเทคโนโลยกี ารศกึ ษาออกเป็น 2 ลักษณะเชน่ กนั ดังนี้
กูด (Good,1973: 529) ได้ให้ความหมาย ของเทคโนโลยีการศึกษาไว้ว่า เป็นการประยุกต์
หลักการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเครือ่ งมือเพ่ือนามาใชใ้ นการเรียนการสอน
แฮนคอค (Hancock,1977: 5) กล่าวไว้ว่า เทคโนโลยีการศึกษา คือ การผสมผสานความคิด
ความเข้าใจในการปฏิบัติงานระหว่างคนกับเครื่องมือและวัสดุ อย่างมีระบบโดยมีวัตถุประสงค์ในการ
พฒั นาปรบั ปรุงกระบวนการเรียนการสอนใหม้ ีประสทิ ธภิ าพยิ่งขนึ้
กาเย่ และบริกส์ (Gagne and Briggs, 1979: 22) ได้นิยามไว้ว่า เทคโนโลยีการศึกษา คือ
ความรู้ทั้งมวลที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบระบบการเรียนการสอนโดยครอบคลุม 3 ประการ
ต่อไปนี้คือ 1) ความแตกต่างระหว่างบุคคลในการเรียนรู้ 2) ทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้อง เช่น
การเสริมแรง การวางเง่ือนไข เป็นต้น 3) เคร่ืองมืออุปกรณ์ที่เป็นประดิษฐ์กรรมทางวิทยาศาสตร์และ
วิศวกรรมศาสตร์
โดยสรุปเทคโนโลยีทางการศึกษา เปน็ การประยุกตเ์ อาแนวคิดหลักการ ทฤษฎี วิธกี าร วัสดุ
อุปกรณ์ต่างๆ เข้ามาใช้กับการศึกษาอย่างเป็นระบบ โดยการผ่านกระบวนการพัฒนาทางการศึกษา
อย่างเป็นระบบ การบริหารจัดการรวมถึงการประเมินผล เพ่ือให้การศึกษามีผลการเรียนรู้ที่มี
ประสทิ ธิภาพ (Efficiency) และประสิทธผิ ล (Productivity)

การประยุกต์ใช้นวตั กรรมกบั การนาเสนอผลงาน

การเลือกสื่อการเรียนการสอน มีรูปแบบที่มีความหลากหลาย สิ่งที่สาคัญต้องเลือกส่ือหรือ
นวัตกรรมทางการศึกษาท่ีสอดคล้องกับบทเรียน และจุดมุ่งหมายท่ีจะสอน รวมถึงมีประโยชน์ ความ
เหมาะสมกับผูเ้ รยี นมากท่ีสดุ

สาหรบั การประยุกต์หรือการออกแบบการใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมกับการนาเสนอผลงานที่
มีประสิทธิภาพต่อการประยุกต์การใช้นวัตกรรมในการนาเสนอผลงานเพื่อการเรียนรู้ สามารถนา
เทคโนโลยมี าประยกุ ตใ์ ช้กบั ผ้เู รยี น ได้แก่

1. คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction)
2. การเรยี นการสอนโดยใช้เว็บเป็นหลกั (Web-based Instruction)
3. มลั ติมีเดีย (Multimedia)
4. อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์บุ๊ค (e-book)
5. ระบบการเรียนการสอนทางไกล (Distance Learning)
6. วดิ โี อเทเลคอมเฟอเรนซ์ (Video Conference)
7. ระบบวดิ โี อออนดีมานด์ (Video on Demand)
8. อนิ เทอร์เน็ต (Internet)
9. การจัดการเรียนการสอนหรือบทเรียนสาเรจ็ รูป m-Learning (mobile learning)
10. เทคโนโลยี Augmented Reality หรอื AR

95

ดังน้ันการให้ความสาคัญกับการพัฒนานวัตกรรมและใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือผลิตส่ือ
การสอนวิชาชีพ จึงเป็นการศึกษาที่ต้องเข้าใจสภาพของเทคโนโลยีในปัจจุบัน และเทคโนโลยีที่ใช้ใน
การเรียนการสอนเพ่อื ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผเู้ รยี นเพื่อประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพต่อไป
(หริพล ธรรมนารกั ษ,์ 2558: 13)

เทคนคิ การนาเสนอผลงานวิชาการ

ผลงานทางวิชาการ คือ การนาความรู้มาสร้างเป็นชิ้นงานที่เป็นรูปธรรม เช่น หนังสือ ตารา
บทความ เป็นต้น โดยคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ) ได้ให้คาจากัด
ความของผลงานทางวิชาการ ประกอบด้วย เอกสารประกอบการสอน เอกสารคาสอน บทความ
ทางวิชาการ ตารา หนังสือ งานวิจัย ผลงานทางวิชาการในลักษณะอ่ืน ๆ และผลงานทางวิชาการ
รับใช้สังคม อน่ึงผลงานทางวิชาการที่นักศึกษาสามารถทาได้ คือ การเขียนบทความทางวิชาการ
การทางานวิจัย การเขียนหนังสือ ตารา และการทาผลงานทางวิชาการในลักษณะอ่ืน เช่น งานแปล
หนังสือ เป็นต้น แต่ในส่วนนี้ขอเสนอให้นักศึกษาฝึกทาผลงานทางวิชาการในรูปแบบของการเขียน
บทความทางวิชาการ โดยในลาดับแรก นักศึกษาควรทาความเข้าใจเกี่ยวกับนิยามของบทความ
วชิ าการกอ่ น

บทความวิชาการ หมายถึง งานเขียนทางวิชาการซ่ึงมีการกาหนดประเด็นท่ีต้องการอธิบาย
หรือวิเคราะห์อย่างชัดเจน ท้ังนี้มีการวิเคราะห์ประเด็นดังกล่าวทางหลักวิชาการจนสามารถสรุปผล
การวิเคราะห์ในประเด็นนั้นได้ อาจเป็นการนาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ มาประมวลร้อยเรียงเพ่ือ
วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ โดยที่ผู้เขียนแสดงทัศนะทางวิชาการของตนได้อย่างชัดเจน ด้วยรูปแบบ
เป็นบทความท่ีมีความยาวไม่มากนัก ประกอบด้วยการนาความท่ีแสดงเหตุผลหรือที่มาของประเดน็ ที่
ต้องการอธิบายหรือวิเคราะห์กระบวนการอธิบายหรือวิเคราะห์ และบทสรุปมีการอ้างอิงและ
บรรณานุกรมท่ีครบถว้ นและสมบรู ณ์ (กระทรวงอดุ มศึกษา วทิ ยาศาสตร์ วจิ ัยและนวัตกรรม, ม.ป.ป.)

ถ้าจะทาความเข้าใจแบบง่าย ๆ บทความวิชาการ ก็คือ งานเขียนทางวิชาการชนิดหน่ึง
(Academic Writing) ท่ีผู้เขียนมีการนาเสนอความรู้ ประสบการณ์ หรือแนวคิดของตนเองในเชิง
วิชาการ มีรูปแบบการเขียนงานตามองค์ประกอบของการเขียนบทความวิชาการ และสุดท้ายมี
การนาเสนอผลงานสู่ธารณะ โดยบทความทางวิชาการมีหลายรูปแบบ ได้แก่ บทความวิช าการ
(Academic Article) บทความวจิ ัย (Research Article) และบทความปริทัศน์ (Reviewed Article)
เป็นต้น ในท่ีน้ีขอเสนอการเขียนบทความวิชาการ (Academic Article) ซ่ึงมีรายละเอียดของวิธีการ
เขียน และการนาเสนอ ดงั ตอ่ ไปนี้คอื

องค์ประกอบของบทความวิชาการ ประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่และส่วนย่อย (วรางคณา จันทร์คง,
2557 และพร้อมภัค บึงบัวและคณะ, 2561) ดงั น้คี ือ

1. สว่ นนา ประกอบด้วย
1.1 ชือ่ เรอ่ื ง
1.2 รายละเอยี ดของผูเ้ ขยี น เช่น ช่ือนามสกุล สถานะ ตาแหน่ง ท่ีทางาน
เป็นต้น
1.3 บทคัดย่อ (Abstract)

96
1.4 คาสาคัญ (Keyword)

2. ส่วนเน้ือหา ประกอบดว้ ย
2.1 ความนา
2.2 เน้อื ความ
2.3 บทสรปุ

3. ส่วนทา้ ย คือ ส่วนของการอ้างอิงทา้ ยเล่ม หรือบรรณานุกรม
1. แนวทางการเขยี นบทความวิชาการ

1. ช่ือเร่ือง เปรียบเสมือนหน้าตาของผู้เขียน ดังนั้นชื่อเร่ืองควรเป็นช่ือที่น่าดึงดูดใจ อยู่ใน
กระแสความสนใจของคนหรอื เปน็ เรือ่ งทท่ี นั สมยั

2. รายละเอยี ดของผู้เขยี น เช่น ชอ่ื นามสกุล สถานะ ตาแหนง่ ทที่ างาน เป็นตน้
3. บทคัดย่อ คือการสรุปงานท่ีได้เขียนไว้ทั้งหมด นามาสรุปเป็นบทคดั ยอ่ ควรเขียนสรปุ แบบ
สัน้ ๆ กระชับแต่ได้ใจความท่ีสาคัญ โดยท่ัวไปวิธกี ารเขียนมักจะเขียนด้วยการเกริ่นนาส่ิงท่ีได้ทา และ
ผลสรปุ เขยี นด้วยความยาวทีไ่ ม่ควรเกิน 15 บรรทดั
4. คาสาคัญ คือคาที่แสดงถึงความสาคัญท่ีเก่ียวข้องกับบทความ เป็นคาท่ีจาเป็นที่ขาดไม่ได้
ให้เลือกคาสาคัญประมาณ 3-5 คา
5. ความนา เป็นส่วนที่ผู้เขียนเกริ่นนาเพื่อนาเข้าสู่เน้ือหาหลัก ถ้าผู้เขียนเขียนไม่น่าสนใจก็
อาจจะส่งผลใหผ้ อู้ า่ นไม่อยากอา่ นต่อได้ การเขยี นควรเขยี นแบบเชือ่ มโยงให้เขา้ สู่เน้อื หาแบบน่าสนใจ
6. เนื้อความ เป็นส่วนท่ีสาคัญท่ีผู้เขียนนาเสนอเนื้อหาสาระให้ผู้อ่านได้ทราบ การเขียนควร
เขียนเรยี งลาดบั อยา่ งเป็นขนั้ เป็นตอน นาเสนอดว้ ยภาษาที่เข้าใจง่าย
7. บทสรุป เปน็ การสรุปประเด็นสาคญั ๆ ท่ไี ด้กลา่ วไว้ข้างต้น
8. เอกสารอ้างอิง ส่วนน้ีเป็นการอ้างอิงท้ายเล่ม ให้ใช้วิธีการเขียนอ้างอิงแบบใดแบบหน่ึง
โดยสว่ นใหญจ่ ะใช้รปู แบบ APA ซ่งึ ในปจั จุบันเปน็ รปู แบบ APA6
2. แนวทางการนาเสนอบทความทางวิชาการ
การนาเสนอบทความวชิ าการ มแี นวทางการปฏิบตั ิ ดงั นค้ี อื
1. ศึกษาแหล่งเผยแพร่ เช่น ต้องการเผยแพร่บทความไปยังวารสารใด ให้ทาการศึกษาว่า
วารสารนั้นรับบทความประเภทใด เช่น Burapha Science Journal (วารสารวิทยาศาสตร์บูรพา)
เปน็ วารสารวิชาการประเภทวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยรี ะดบั ชาติ ถา้ นักศกึ ษาเขียนบทความทางการ
ศึกษาและขอติดต่อไปลงบทความ ก็คงจะไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของวารสาร ดังน้ัน
นักศึกษาต้องติดต่อแหล่งเผยแพร่ท่ีตรงกับบทความ เชน่ วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
รบั บทความทม่ี ีการนาเสนอเนอื้ หาเกี่ยวข้องกบั ด้านการศึกษา มนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ เปน็ ตน้
2. ศึกษารูปแบบการพิมพ์ตามข้อกาหนดของวารสาร ตัวอย่างเช่น วารสารครุศาสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภัฏบา้ นสมเดจ็ เจ้าพระยา มรี ูปแบบการเขียนบทความ (คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัย
ราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา, ม.ป.ป.) ดงั นค้ี อื

2.1 ขนาดกระดาษ A4 พิมพ์ด้วย Microsoft Word for Window
2.2 ระยะห่างจากขอบบนและซ้ายของกระดาษ 1.25 นิ้ว จากขอบล่างและขวาของ
กระดาษ 1 นว้ิ

97
2.3 ตัวอกั ษร ใชอ้ ักษรโบรวาลเลยี นวิ (Browallia New)

• ช่ือเรอ่ื ง ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ขนาด 16 พอยท์ กลางหนา้ ตัวหนา
• ช่อื ผเู้ ขยี น ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ขนาด 14 พอยท์ ชดิ ขวา ตัวหนา
• บทคดั ย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

- ช่อื “บทคัดย่อ” และ “Abstract” ขนาด 14 พอยท์ ชิดซ้าย ตัวหนา
- รายละเอียดบทคัดย่อ ขนาด 14 พอยท์ ชิดขอบซ้าย-ขวา ตวั ธรรมดา
- คาสาคญั (Keyword) ขน้ึ บรรทดั ใหม่ ขนาด 14 พอยท์ ชดิ ซ้าย
ตัวหนา สว่ นขอ้ ความของคาสาคญั เป็นตัวธรรมดา
• บทความ
- หัวข้อใหญ่ เว้น 1 บรรทัด ชดิ ซา้ ย ขนาด 14 พอยท์ ตัวหนา
- หวั ขอ้ รอง ยอ่ หน้า 0.5 น้วิ ขนาด 14 พอยท์ ตัวหนา
- ขอ้ ความ ย่อหน้า 0.5 น้วิ ชิดขอบซ้าย-ขวา ตวั ธรรมดา
- ใชต้ ัวเลขอารบคิ เทา่ นัน้
3. ติดต่อเจ้าหนา้ ที่หรือผูท้ เี่ ก่ียวขอ้ งเพอื่ ขอลงบทความวิชาการ ปฏิบัตติ ามคาแนะนาและ
เงอื่ นไขของวารสารทุกประการ
ก า ร เขี ย น บ ท ค ว า ม ท า ง วิ ช า ก า ร เป็ น ทั ก ษ ะ ก า ร เขี ย น อ ย่ า ง ห นึ่ ง ที่ ต้ อ ง อ า ศั ย ค ว า ม รู้
ความสามารถ และประสบการณ์ในการทางาน สาหรับคนที่อยู่แวดวงวิชาการจาเป็นต้องเขียน
บทความวชิ าการ จะเพื่อประโยชน์ใดก็ตาม เช่น เพื่อเป็นผลงานสาหรับตนเองในการเล่ือนวิทยฐานะ
ตาแหน่ง หรือเพ่ือเผยแพร่ความรู้หรือแบ่งปันความรู้ให้กับผู้อื่น เป็นต้น สาหรับคนที่ไม่เคยทางานใน
ลักษณะนี้มาก่อน การเริ่มต้นอาจจะเป็นส่ิงที่ยากถึงยากมาก ขอให้ศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องของแนวทาง
วิธีการ ลักษณะ รูปแบบ ภาษาทใี่ ชใ้ นการเขียน และที่สาคัญงานเขียนจะไมอ่ ยู่กับตวั เรา ดงั นนั้ จึงต้อง
ศกึ ษาวธิ กี ารเผยแพร่สสู่ าธารณะดว้ ย

98

สรุป

เทคนิคการนาเสนอข้อมูลให้เกิดประสิทธิผลโดยการใช้ภาษาน้ันประกอบด้วย 1) วัจนภาษา
เปน็ การส่อื สารด้วยภาษาท่ีใชถ้ ้อยคา หรือลายลักษณอ์ ักษรในการส่ือความหมายเสยี งพูดทส่ี ังคมตกลง
กันเพื่อทาหน้าที่แทนมโนภาพของส่ิงต่าง ๆ และ 2) อวัจนภาษา เป็นการส่ือสารที่เกิดจากกิริยา
อาการต่างๆ ของมนุษย์รวมทั้งเครอ่ื งหมาย หรือสัญลักษณ์อ่ืนนอกเหนือไปจากคาพูด ซึ่งเป็นท่ีเข้าใจ
รว่ มกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร โดยจาแนกไว้ 7 ประเภท คือ เทศภาษา กาลภาษา เนตรภาษา
สัมผัสภาษา อาการภาษา วัตถุภาษา และปริภาษา บุคคลย่อมใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษาในการ
สื่อสารควบคู่กันไป ดังน้ันวัจนภาษาและอวัจนภาษาจึงมีความสัมพันธ์กันชนิดท่ีไม่ควรแยกกันใช้
เพ่ือให้งานและภารกิจต่าง ๆ สาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเกิดสัมฤทธิผลตามวัตถุประสงค์ เพ่ือให้การ
จัดการเรียนรู้มีความทันสมัยทันต่อยุคโลกาภิวัตน์จาเป็นจะต้องมีการพัฒนาสร้างนวัตกรรมและ
เทคโนโลยีสารสนเทศ ในการผลิตสื่อการสอนเพื่อทาให้ผู้เรียนเกิดความสนใจที่จะศึกษาหาความรู้ใน
รปู แบบทมี่ ที ันสมัยและเกิดประโยชนส์ ูงสดุ แก่ผูเ้ รยี น

99

กจิ กรรมทา้ ยบท

1. จงยกตวั อย่างการสื่อสารโดยใชว้ จั นภาษา และอวัจนภาษา แลว้ วิเคราะหภ์ าษาท่ีใช้ในการส่ือสาร
2. จงอธบิ ายถงึ ความสัมพันธข์ องวจั นภาษาและอวัจนภาษาพรอ้ มทัง้ ยกตัวอย่างประกอบ
3. แสดงการวเิ คราะห์ การใช้ท่าทาง กิริยาอาการ ลักษณะที่มองเหน็ เหลา่ นว้ี ่ามคี วามหมายอย่างไร

3.1 ยักค้ิวแล้วอมยมิ้
3.2 จับสองมอื บบี เบาๆ แล้วมองตา
3.3 ตกแต่งห้องทางานดว้ ยไม้กระถาง
4. นวตั กรรมและเทคโนโลยีมีประโยชนต์ ่อการเรียนการสอนอย่างไรบา้ ง จงอธบิ าย
5. จงอธิบายหลักการท่ดี ีของการเลือกสื่อการเรียนการสอนมีอะไรบ้าง
6. เพราะเหตุใด เทคโนโลยีทางการศึกษาตามแนวคิดของ กาแย และ บริกส์ (Gagne and
Bhiggs, 1979) เป็นระบบการเรียนการสอนท่ีได้รับความยกย่องว่าเป็นเทคโนโลยีทางการศึกษาที่
ครอบคลุมและมปี ระสทิ ธิภาพมาก
7. เทคโนโลยีและนวตั กรรมทางการศกึ ษาท่สี าคัญมากในยุคดจิ ิทลั ได้แก่อะไรบา้ ง
8. ผลงานทางวิชาการ คอื อะไร มอี ะไรบา้ ง
9. นกั ศึกษาสามารถทาผลงานทางวิชาการใดไดบ้ า้ ง
10. บทความทางวิชาการ คือ อะไร มีส่วนประกอบอะไรบ้าง และนักศึกษามีวิธีการเขียน
อย่างไร

100

เอกสารอา้ งองิ

กรองแกว้ อยสู่ ุข. (2535). พฤติกรรมองคก์ ร. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
กดิ านันท์ มลิทอง. (2548). เทคโนโลยีและการสื่อสารเพ่อื การศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: อรุณการพมิ พ์.
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเดจ็ เจ้าพระยา. (ม.ป.ป.). รูปแบบการเขยี นบทความ - ข้อกาหนดการ

เตรียมตน้ ฉบบั . สืบคน้ เมอื่ วนั ที่ 15 พฤษภาคม 2563 เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://ejs.bsru.ac.th/
edujournal/index.php?cont=publication.
ทศิ นา แขมมณ.ี (2550).รปู แบบการเรยี นการสอนทางเลอื กทห่ี ลากหลาย.กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
นิพนธ์ ทพิ ยศ์ รนี ิมติ . (2542). หลักการพดู . สงขลา: งานส่งเสริมการผลิตตารา มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ.
ปราณีต ม่วงนวล. (2562). การฟงั การพูดเพื่อสมั ฤทธผิ ล (Listening and Speaking for Achievement).
กรงุ เทพฯ: สหธรรมิก.
โปรแกรมวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา.
(2547). ภาษาไทยเพื่อการส่ือสารและการสืบค้น (Thai for Communication and Information
Retrieval). กรงุ เทพฯ: สหธรรมกิ .
พรอ้ มภคั บงึ บัวและคณะ. การเขียนบทความวิชาการและการเขยี นบทความวจิ ัย. สืบคน้ เม่อื วันท่ี 15 พฤษภาคม
2561 เข้าถงึ ไดจ้ าก http://www.nidtep.go.th/2017/publish/doc/20180515.pdf.
พยัต วุฒิรงค์. (2557). การจัดการนวัตกรรม: ทรัพยากร องค์กรแห่งการเรียนรู้ และนวัตกรรม. กรุงเทพฯ:
สานักพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. (2520). ศพั ทท์ านุกรม ส่ือสารมวลชน มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. พระนคร:
แผนกอิสระวารสารศาสตร์ และสอ่ื สารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์
สวนติ ยมาภัย. (2531). “การส่ือสารด้วยภาษา” เอกสารการสอนชุดวชิ า การใชภ้ าษาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 8).
กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช.
วรวทิ ย์ นเิ ทศศิลป์. (2551). ส่ือและนวัตกรรมแหง่ การเรียนร้.ู ปทุมธานี: สกายปก๊ ส.์
วรางคณา จนั ทรค์ ง. (ม.ป.ป.).บทความวชิ าการกับบทความวจิ ยั เหมือนหรือตา่ งกนั อยา่ งไร. จลุ สารสาขา
วิทยาศาสตร์สุขภาพออนไลน์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทียธรรมาธิราช. สบื คน้ เม่อื วนั ท่ี 8 พฤษภาคม 2563 เข้าถงึ ได้
จาก https://www.stou.ac.th/Schools/Shs/ booklet/ Book573/ rsearch573.
หริพล ธรรมนารักษ์.(2558). นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา: ยุคดิจิทัล.กรุงเทพฯ: ทริปเพ้ิล
กรุ๊ป.
อนุชา โนมาบุตร. (2555). การพัฒนาโมเดลการแพร่นวัตกรรมการเรียนรู้: กรณีศึกษานวัตกรรมการเรียนรู้ตาม
แนวคอนสตรัคตวิ สิ ต์. ขอนแก่น: วิทยานิพนธ์ปริญญาปรชั ญาดษุ ฎีบัณฑติ , สาขาวชิ าเทคโนโลยีการศึกษา
, บัณฑิตวทิ ยาลัย, มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ .
Brown, James W.; Lewis, Richard B.; and Harcleroad, Fred F. (1985). AV Instruction: Technology,
Media, and Methods. 6th ed. New York: Mcgrow-Hill Book Company.
Gagne, Robert M. and Leslie J. Briggs. (1979). Principles of Instruction Design. 2nd ed. New York: Holt,
Rinehart and Winston.
Good, Carter V. (1973)” Dictionary of Education. 3rd ed. New York: Mc Graw – Hill.
Hancock, Alan. (1977). Planning for Educational Mass Media. London: Longman.
Rogers, Everett M. (2003). Diffusion of Innovations. New York: The Free Press.

ก่อนอื่นขอให้ทลายกาแพงการต่อต้านภาษาอังกฤษ
ออกไปใหห้ มดกอ่ น หลังจากนน้ั ให้ทาใจและตั้งสติใหไ้ ด้ว่า
ภาษาอังกฤษเป็นสิง่ จาเปน็ จะตอ้ งเรียนร้แู ละต้องใช้
ภาษาองั กฤษสาหรบั ครู : อาจารย์จรี ภรณ์ กจิ เจริญ



บทที่ 4
ภาษาองั กฤษสาหรับครู

ในยุคปัจจุบนั เป็นยคุ ของการสอื่ สารไรพ้ รมแดน การสื่อสารสามารถติดตอ่ ทั่วถงึ กนั ได้ทว่ั โลก
ในเวลาอันรวดเร็วต่างจากอดีตเป็นอย่างมาก และในการติดต่อซ่ึงกันและกันกับมวลมนุษยชาติ
บนโลกใบน้ี ซึ่งต่างคนต่างใช้ภาษาที่แตกต่างกันออกไปน้ัน ก็จาเป็นจะต้องมีภาษากลางที่ใช้สาหรับ
แลกเปล่ียนการสอ่ื สารซึ่งกนั และกัน น่ันกค็ อื ภาษาองั กฤษน่นั เอง

สาหรับประเทศไทยให้ความสาคัญกับภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก และในระบบการศึกษา
ก็มีการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษมานานแล้ว และในปัจจุบันสังคมไทยก็ยังให้
ความสาคัญกบั ภาษาองั กฤษด้วยเหตผุ ลดังตอ่ ไปนี้

ความสาคญั ของภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษมีความสาคัญต่อคนไทยและสังคมไทยในหลายด้าน เชน่ การค้าขาย การลงทุน
การท่องเที่ยว การศึกษา การทูต การแลกเปล่ียนวัฒนธรรม เป็นต้น โดยเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
(2561) กล่าว่า “ถ้าเราพิการทางกาย เรายังพอจะหาวิธีทดแทนได้ แต่ถ้าเราพิการทางภาษาอังกฤษ
เราจะเป็นอัมพาตทางโอกาสตลอดชีวิตอย่างแท้จริง” คากล่าวข้างต้น เป็นข้อสรุปความสาคัญ
ของภาษาอังกฤษในยุคปัจจุบัน ที่ได้กล่าวไว้ในการบรรยายในที่ต่าง ๆ เพื่อให้คนไทยทุกคน ไม่ว่าอยู่
ในแวดวงใด ได้ตระหนักและเตรียมความพร้อมในการพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ
ทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน นอกจากน้ี แสงระวี ดอนบัวแก้ว (2558: 22), พระมหา
เสาวนันท์ สภุ าจาโร และสรุ พงษ์ คงสัตย์ (2559: 6-7), เกรยี งศกั ด์ิ เจรญิ วงศ์ศักดิ์ (2561), ร่งุ เพชร ศรี
อุทุมพร (2561: 26-27) และ โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษน่าน Festallor Education (2563)
ได้สรปุ ความสาคญั และบทบาทของภาษาองั กฤษในปัจจุบัน ดงั นี้คือ

1. ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง ภาษาหลัก ภาษาราชการ และเป็นภาษาสากลท่ีได้
รับการยอมรับ และใช้สาหรับการติดต่อส่ือสารกันในระดับโลกอย่างแพร่หลาย รวมถึงภาษากลาง
ของอาเซยี น

2. ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางของกิจกรรมของมนุษย์ในทุกด้าน เช่น การติดต่อส่ือสาร
การศึกษา การค้าขาย การลงทุน การบริโภค การท่องเที่ยว การแพทย์และสาธารณสุข เป็นต้น
โดยเฉพาะอย่างยงิ่ อุตสาหกรรมไอที (IT) และอนิ เทอร์เนต็

3. ภาษาอังกฤษมีบทบาทในชวี ิตประจาวันของคนไทยในหลายเรอื่ ง เช่น การเดินทางไปไหน
มาไหนก็จะพบเห็นป้ายถนน ป้ายโฆษณา ร้านอาหารและเครื่องด่ืม ได้แก่ Mc Donald, Pizza Hut,
KFC, Starbucks สถานีน้ามัน ได้แก่ Shell, Esso โรงแรม Oriental, Shangri la เวลาซื้อสินค้าและ
ผลติ ภัณฑ์ ก็จะได้เหน็ ฉลากอาหารและยาท่เี ป็นภาษาองั กฤษ เปน็ ต้น

4. ภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐานของการแสวงหาวิทยาการความรู้ที่ทันสมัยจากประเทศท่ี
พัฒนาแล้ว การเรียนรู้จากหนังสือ ตารา และงานวิจัยระดับโลกล้วนตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ
ภาษาองั กฤษเป็น “คลงั ความรู้ทม่ี ีมลู ค่ามหาศาล” ความร้ทู ี่ทันสมัยมักเขยี นดว้ ยภาษาอังกฤษ

102
5. อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารท่ีใหญ่และรวดเร็วที่สุดของสังคมโลก การมีความรู้

เรื่องภาษาอังกฤษ ซ่ึงเป็นภาษากลางของโลกเท่ากับมีโอกาสรับรู้ข้อมูลของโลกสูง เป็นการสร้างความ
ได้เปรียบในการทางานของตนเองและองค์กร รวมถึงการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันทาง
ธรุ กจิ อีกด้วย ถ้าคนไทยไม่คิดจะขวนขวายหาความรู้ภาษาองั กฤษ เท่ากับปิดตัวเองและไม่ทันข่าวสาร
ของโลก

6. สถานศึกษาในประเทศไทยมีการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาให้มีความเป็นสากลมากข้ึน
จดั ให้มกี ารเรยี นการสอนในหลักสูตรภาษาองั กฤษ

7. ภาษาอังกฤษจึงมีประโยชน์มากในการท่องเที่ยว หรือพักผ่อนในต่างประเทศ ต้องใช้
ภาษาอังกฤษสาหรับการตดิ ต่อสอื่ สาร และสาหรับคนที่ต้องการเรยี นต่อในต่างประเทศ ก็จาเป็นต้องรู้
ภาษาอังกฤษ เช่นเดยี วกนั

8. คนท่ีพูดภาษาอังกฤษได้ย่อมมีโอกาสได้ทางานในต่างประเทศ มีโอกาสได้รายได้ท่ีสูงกว่า
คนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ โดยเฉพาะงานท่ีเก่ียวข้องกับชาวต่างชาติ เช่น โรงแรม การท่องเท่ียว
เป็นตน้

9. การสอบบรรจุเป็นข้าราชการทุกสังกัด มักมี "ข้อสอบภาษาอังกฤษ" ทุกครั้ง และใน
ปัจจุบันทุกองค์กรไดน้ าความร้แู ละทักษะภาษาองั กฤษมาเป็นตวั กาหนดคุณสมบัติที่จะรับพนักงานเข้า
ทางาน

10. การรู้ภาษาอังกฤษ จะทาให้สามารถเรียนรู้วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี
การแตง่ กาย การแสดง ศิลปะ เศรษฐกจิ การเมอื ง และระบอบการปกครองของชาวตา่ งชาติไดด้ ยี ิ่งขึ้น
ช่วยส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดียิ่งขึ้น นาไปสู่การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน
และมคี วามสมั พันธ์ทางการค้าและการลงทุน หรอื การดาเนินธุรกิจนาออกไปสตู่ ลาดโลก

11. คนทีเ่ กง่ ระดบั โลก และมชี อ่ื เสียงเปน็ ทรี่ จู้ ักทวั่ โลก ส่วนมากพูดภาษาองั กฤษได้
12. ประเทศทีม่ ีประชากรเก่งภาษาอังกฤษ มักจะพัฒนาได้เร็วกว่าประเทศท่ีประชากรไม่เก่ง
ภาษาองั กฤษ
13. คนท่ีรู้มากกว่าหน่ึงภาษามีโอกาสพัฒนามันสมองในส่วนของภาษาได้มากกว่าคนท่ีรู้
ภาษาเดยี ว
สาหรับนักศึกษาครู ผู้ที่กาลังศึกษาหาความรู้อยู่ในหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต ถ้าจะตีความ
“ภาษาอังกฤษสาหรับครู” สามารถตีความได้ 2 นัย คือ นัยที่ 1 หมายถึง นักศึกษาท่ีกาลังศึกษาอยู่
และนัยท่ี 2 หมายถึง นกั ศึกษาที่จบการศึกษา แล้วไปประกอบอาชีพครูหรืออาจจะไปประกอบอาชีพ
อื่นท่ีไม่ใช่อาชีพครู แต่อย่างไรก็แล้วแต่ นักศึกษาครูควรให้ความสาคัญกับภาษาอังกฤษให้มาก
ดว้ ยความจาเป็นและเหตผุ ล ดงั นี้คือ
1. นักศึกษาจะจบหลักสูตรได้ ต้องผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษ CEFR ซึ่งนักศึกษาต้อง
มีคะแนนผลการทดสอบไม่ต่ากว่าระดับ B1 สาหรับนักศึกษาท่ีไม่ใช่เอกภาษาอังกฤษ และนักศึกษา
ทเ่ี รยี นเอกภาษาองั กฤษ ตอ้ งมคี ะแนนผลการทดสอบไมต่ ่ากว่าระดับ B2
2. นกั ศึกษาควรจะตอ้ งหาความรเู้ พ่ิมเตมิ จากหนงั สือ ตารา งานวิจัย และเอกสารงานวิชาการ
อ่ืนจากต่างประเทศ เพ่ือนามาบูรณาการความรู้เดิม เพิ่มเติมความรู้ใหม่ให้มีความทันสมัยมากข้ึน
เพราะโลกหมุนไปทุกวนั ดังนัน้ การศึกษากค็ วรจะหมนุ ตามโลกใหท้ นั

103
3. การทางานวิจยั จาเป็นต้องมกี ารศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และทบทวนวรรณกรรมทเี่ กย่ี วข้อง
นักศึกษาควรจะต้องมีการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีท่ีเป็นต้นตารับ (Original) เพ่ือจะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง
และควรจะศกึ ษางานวิจยั ใหม่ ๆ เพื่อจะได้รบั ทราบขอ้ มูลทท่ี นั สมยั
4. นักศึกษาโครงการครูคืนถิ่นจะต้องมีผลการทดสอบ TOEIC (ผลการทดสอบวัดระดับ
ความรภู้ าษาองั กฤษเพื่อการสื่อสาร) จานวน 500 คะแนนข้นึ ไป
5. ภาษาองั กฤษเป็นภาษากลางของโลก ถ้าทใี่ ดมีชาวต่างชาตกิ ็จาเป็นจะต้องใช้ภาษาอังกฤษ
เป็นส่ือกลางในการติดต่อส่ือสารกัน ดังน้ันนักศึกษาควรจะได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติให้ชานาญจะได้
สื่อสารกับคนต่างชาติได้ เช่น นักศึกษามีเพ่ือนของเพื่อนเป็นชาวต่างชาติ นักศึกษาก็ต้องใช้
ภาษาองั กฤษในการสือ่ สารทาความร้จู กั กนั เป็นตน้
6. ภาษาอังกฤษมีอยทู่ กุ สถานท่ี เช่น ห้างสรรพสนิ คา้ รา้ นค้า รา้ นอาหารและเครอื่ งดืม่ ฉลาก
สินคา้ และฉลากยา เป็นตน้ นักศกึ ษาควรจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่ใชใ้ นชีวิตประจาวันให้มาก ๆ จะได้มี
ข้อมลู สาหรับการตัดสนิ ใจได้อย่างรวดเร็วและถูกตอ้ ง เช่น เวลานักศึกษาซื้อผลิตภณั ฑย์ า ก็ควรทจ่ี ะดู
วนั หมดอายุ คณุ ประโยชน์ วธิ ีการใช้ ส่วนผสม และข้อควรระวัง เป็นตน้
7. การรับสมัครงานและการรับเข้าทางานของหน่วยงานและองค์กร ส่วนใหญ่จะใช้ใบสมัคร
ภาษาอังกฤษ รวมถึงการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษด้วยเช่นเดียวกัน สาหรับบางองค์กรเวลาเข้าทางาน
แล้วจะต้องรายงานคะแนนผลการทดสอบภาษาอังกฤษด้วย ดังน้ัน นักศึกษาควรจะมีความรู้พ้ืนฐาน
ด้านภาษาอังกฤษสาหรับการสมัครงานเบ้ืองต้น เพื่อจะได้มีโอกาสเข้าทางาน และจะต้องมี
การเตรยี มพร้อมสาหรบั ผลการทดสอบภาษาองั กฤษ เพอื่ การใชง้ านในโอกาสต่อไป
8. เม่ือนักศึกษามีความรู้หรือสามารถในการส่ือสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี จะช่วย
ส่งเสรมิ ใหน้ ักศกึ ษาเปน็ คนทมี่ คี ณุ ค่าและมีราคาในตวั เองสูงข้นึ
ถ้านักศกึ ษาไม่สามารถสอ่ื สารภาษาองั กฤษได้ ผลกระทบที่ตามมา คอื
1. นักศึกษาอาจจะไม่จบการศึกษาตามหลักสูตร เนื่องจากนักศึกษาต้องสอบผ่าน CEFR ได้
ในระดับ B1 สาหรับนักศึกษาท่ีไม่ใช่เอกภาษาอังกฤษ สาหรับนักศึกษาวิชาเอกภาษาอังกฤษ ต้อง
ไดผ้ ลสอบในระดบั B2
2. นักศึกษาท่ีสอบครูคืนถ่ินได้ แต่ความรู้ทางภาษาอังกฤษไม่ถึงเกณฑ์ ก็ส่งผลให้นักศึกษา
ไมไ่ ด้รบั การบรรจุครใู นโครงการครูคนื ถิ่นได้ ทาใหเ้ สียโอกาสในการได้งานทา
3. นักศึกษาจะเป็นกลายเป็นคนพิการทางการส่ือสาร เวลาคนพูดอะไรกัน เราก็ฟังไม่ได้
พูดไม่ออก บอกไม่เปน็ ไมม่ ีปฏิสมั พันธ์ในการสนทนา ระดบั ความสัมพันธ์ทางสังคมกเ็ ส่ือมถอย ทาให้
ไมม่ คี นอยากคยุ ดว้ ย เพราะคุยไปกค็ ยุ ไม่ร้เู รอื่ ง
4. นักศึกษาจะขาดโอกาสสาหรับการไปศึกษาดูงานหรือศึกษาต่อต่างประเทศ เช่น โครงการ
แลกเปล่ียนภาษาและวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยสานักงานศิลปะ
และวัฒนธรรมจะเปิดรับสมัครนักศึกษาช้ันปีท่ี 5 เพื่อไปแลกเปล่ียน-เรียนรู้วัฒนธรรมท่ีต่างประเทศ
ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมัน ฯลฯ ถ้านักศึกษาไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ นักศึกษาก็ขาด
โอกาสเช่นนไี้ ด้

104

5. นักศึกษาจะขาดข้อมูลสาหรับการตัดสินใจท่ีถูกต้องและรวดเร็ว เพราะข้อมูลจะอยู่ใน
อนิ เทอร์เน็ต และขอ้ มูลบางอย่างกต็ อ้ งแข่งขันกับเวลา เช่น โปรโมชน่ั การซ้อื ขายสนิ คา้ การซ้ือขายหุ้น
อัตราแลกเปล่ียนเงนิ ตราระหว่างประเทศ เป็นตน้

ด้วยเหตุผลและความจาเป็น ผลได้และผลเสียของการรเู้ รื่องภาษาองั กฤษจะชว่ ยให้นักศึกษา
ตระหนักถึงความสาคัญของการรู้เร่ืองภาษาอังกฤษที่ส่งผลต่อชีวิตในอนาคต ดังนั้นนักศึกษาจะต้อง
ตดั สินใจ และเตรยี มพรอ้ มสาหรบั การเรียนรู้และการฝึกฝนการร้เู ร่ืองภาษาองั กฤษให้คล่องแคลว่ และ
ชานาญตอ่ ไป

การใชภ้ าษาอังกฤษในสถานศกึ ษา

ภาษาอังกฤษมีความสาคัญกับมนุษย์ในฐานะที่เป็นเครื่องมือการสื่อสารทั้งภาษาพูดและ
ภาษาเขียน สาหรับการใช้ภาษาอังกฤษในสังคมไทยน้ันมีการใช้ภาษาอังกฤษอยู่ทั่วไป เช่น สถานที่
ต่าง ๆ ที่มีชาวต่างชาติ หรือสถานที่ที่ต้องใช้ภาษาต่างประเทศ ได้แก่ สถานทูต สถานที่ท่องเที่ยว
สานักงาน (office) รา้ นค้า รา้ นอาหาร รา้ นแปลเอกสาร และในอินเทอรเ์ น็ต เป็นตน้

สาหรับการใช้ภาษาอังกฤษในสถานศึกษา ถ้าเป็นโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยนานาชาติ
สถานศึกษาเหลา่ น้ันก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นประจาอยู่แล้ว เนื่องจากต้องใช้ภาษาองั กฤษเพ่ือการสื่อสาร
ท้ังนอกห้องเรียนและในห้องเรียน สาหรับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยของไทย การใช้ภาษาอังกฤษ
ในสถานศึกษาก็จะอยู่ในลักษณะของการพูดสื่อสารในชีวิตประจาวัน ได้แก่ การทักทาย การขอโทษ
การขอบคุณ การแนะนาตัวเอง การแนะนาสถานท่ีทางาน หรือการพูดคุยเล็ก ๆ น้อย ๆ ในวงสังคม
วิชาการ และการใช้ภาษาองั กฤษในรปู แบบของการจดั การเรยี นรใู้ นห้องเรยี น

1. การจดั การเรียนรภู้ าษาอังกฤษในยคุ THAILAND 4.0
สมบัติ คชสิทธ์ิ,จันทนี อินทรสูต, และธนกร สุวรรณพฤฒ (2560) ได้สรุปว่า

เป้าหมายของการสอนภาษาที่สองหรือภาษาต่างประเทศควรใช้แนวคิดการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร
เพือ่ ให้ผ้เู รยี นสามารถใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างถูกต้องและเหมาะสมกบั บรบิ ททาง
สังคม ทาให้ผู้เรียนได้รับความรู้ทางภาษาและเกิดทักษะทางภาษาไปในเวลาพร้อม ๆ กันได้
โดยเป้าหมายของการสอนภาษาท่ีสองหรือภาษาต่างประเทศตามแนวคิดการสอนภาษาเพ่ือ
การส่ือสาร ก็คือ ผู้เรยี นสามารถส่ือสารภาษาเป้าหมายไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการสอนภาษาจึงมุ่ง
พัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถส่ือสารตามสถานการณ์ในการใช้ภาษาจริง มากกว่ามุ่งเน้นการสอน
รปู แบบหรอื โครงสรา้ งภาษาเพยี งอย่างเดยี ว

ริชาร์ด และร็อดเจอร์ส (Richards & Rodgers, 2002) ได้เสนอแนวคิดหลักการสอน
(An Approach) มากกว่าวิธีการสอน (A method) โดยมีจุดมุ่งหมายสาคัญของการสอนภาษา 2
ประการ คือ เพื่อสร้างสมรรถนะทางการส่ือสาร (Communicative Competence) และ เพอ่ื พัฒนา
กระบวนการสอนและวิธีการสอนภาษาท้ังส่ีทักษะ โดยเช่ือมโยงความรู้ทางภาษาและการส่ือสารเข้า
ด้วยกนั

105

วิธีการสอนภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสาร ได้แก่ การสอนภาษาแนวสื่อสาร
(Communicative Language Teaching : CLT) การสอนภาษาที่เน้นภาระงาน (Task-Based
Language Teaching : TBLT) วิธีการสอนรูปแบบ 3P (PPP Teaching Model) ประกอบด้วย
ข้ันที่ 1 การนาเสนอ (Presentation) ขั้นที่ 2 การฝึกปฏิบัติ (Practice) และข้ันท่ี 3 การนาไปใช้
(Production)

2. การจัดการเรียนรภู้ าษาองั กฤษในยคุ ศตวรรษท่ี 21
การจัดการเรียนรู้ท่ีสาคัญของครูในยุคศตวรรษที่ 21 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2545)

มแี นวคดิ การจัดการเรยี นการสอน ดงั นค้ี อื
1. หลักสตู รภาษาทีเ่ น้นผู้เรยี นเป็นสาคญั (Lerner – Centered Language Curriculum)
2. แนวคิดการสอนภาษาเพ่ือการสอ่ื สาร (Communicative Language Teaching)
3. แนวคดิ การสอนภาษาเพื่อวตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะ (Language for Specific Purposes)
4. การจัดการเรียนรูแ้ บบบรู ณาการ (Integrated Learning)
5. การจัดการเรยี นร้แู บบรว่ มมอื (Cooperative Learning)
6. การจัดการเรียนการสอนแบบภาษาทีเ่ น้นเนือ้ หา (Content-Based Instruction)
7. การสอนภาษาแบบองค์รวม (Whole Language Approach)
8. การเรยี นรจู้ ากการทาโครงงาน (Project-Based Learning)
9. การเรียนร้ทู ีเ่ นน้ ภาระงาน (Task-Based Language)
10. การสรา้ งองคค์ วามรู้ (Constructivism)
11. วิธกี ารสอนด้วยการตอบสนองดว้ ยทา่ ทาง (Total Physical Response)
12. การเรียนการสอนภาษาอังกฤษแบบไฟร์แมท็ ซสิ เต็ม (4 MATS Language System)

จากที่ได้กล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า การจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน เน้นแนวคิดการสอน
ภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสาร เพื่อให้ผู้เรียนมีสมรรถนะทางการส่ือสาร (Communicative
Competence) สามารถใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ชานาญ และ
เหมาะสมกับบริบททางสังคม โดยการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นภาระงาน (Task-Based Language)
การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ (Integrated Learning) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
( Cooperative Learning) แ ล ะ วิ ธี ก า ร ส อ น แ บ บ 3P (Presentation-Practice-Production
Teaching Model)

ทักษะการสอ่ื สารภาษาองั กฤษ

ทักษะทางภาษาใดๆ ก็ตาม ประกอบด้วย ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน
ซึ่งทักษะการส่ือสารภาษาอังกฤษ ก็คือ การใช้ภาษาอังกฤษสาหรับการฟัง การพูด การอ่าน และ
การเขียนได้อย่างถูกต้อง คล่องแคล่วและชานาญ ซึ่งก่อนจะใช้ทักษะทางภาษาอังกฤษได้อย่าง
คล่องแคล่วและชานาญนั้น ผู้เรียนจาเป็นจะต้องมีความรู้พ้ืนฐานทางภาษาอังกฤษเสียก่อน (English
Fundamental Knowledge) โดยความรู้พ้ืนฐานทางภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย คาศัพท์
(Vocabulary) ประเภทของคา (Part of Speech) รูปแบบประโยค (Structure) นาไปสู่การใช้
ไวยากรณภ์ าษาอังกฤษทถ่ี ูกต้อง (Grammar) ดงั แผนภาพ

106

ทกั ษะทาง
ภาษาองั กฤษ

การฟัง การพดู การอา่ น การเขยี น

ภาพท่ี 4.1 ความรพู้ นื้ ฐานทส่ี ง่ ผลต่อทกั ษะทางภาษาอังกฤษ
ความรูพ้ นื้ ฐานทางภาษาองั กฤษ ประกอบด้วย คาศพั ท์ ประเภทของคา รูปแบบประโยค และไวยากรณ์

1. คาศัพท์
คาศัพท์ (Vocabulary) เป็นพ้ืนฐานของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่สาคัญท่ีสุดที่ช่วยให้เข้าใจ
ความหมายในการสื่อสารมากขึ้น และช่วยสาหรับการศึกษาในในข้ันสูงต่อไป คาศัพท์ภาษาอังกฤษมี
มากมายหลายพันคา มีคาศัพท์ที่ทราบและไม่ทราบ มีคาศัพท์แบบง่าย แบบยาก แบบธรรมดา และ
คาศัพท์เฉพาะ (technical term) ซึ่งในความเป็นจริงเราไม่สามารถทราบคาศัพท์ภาษาอังกฤษได้
หมด ดังนัน้ การเรียนรคู้ าศพั ท์ มีเคร่อื งมือที่ชว่ ยได้เป็นอย่างดี คือ พจนานุกรม (Dictionary) ท่ีอยู่ใน
อินเตอร์เน็ต เช่น oxford dictionary วิธีการใช้ คือ ไปที่เว็บไซต์ของ oxford dictionary แล้วพิมพ์
คาศัพทท์ ่ีต้องการศึกษาเรียนรู้ลงไป ก็จะได้ความหมายของคา ความหมายของคาในแตล่ ะหน้าท่ี และ
ตวั อยา่ งการใช้คา เปน็ ตน้ นอกจากนัน้ ยังสามารถฟงั คาอ่านทถี่ ูกต้องได้ดว้ ย
2 วธิ กี ารเรียนรู้คาศัพท์

2.1 เรยี นรคู้ าศัพทเ์ ป็นกลุ่มประเภท เชน่
1) คาศัพท์ที่เกี่ยวกับร่างกาย อวัยวะ และส่ิงท่ีเกี่ยวข้อง ได้แก่ อวัยวะ

ภายนอก เช่น head, face, ear, nail, knee, mouth, Adam apple, อวัยวะภายใน เช่น heart,
kidney, vagina, stomach และส่ิงที่เกยี่ วข้อง เชน่ breath เป็นตน้

2) คาศัพท์ท่ีเกี่ยวกับผัก ได้แก่ เช่น bean, asparagus, onion, chilli,
basil, garlic, mushroom, lime, taro etc. ผลไม้ เช่น orange, banana, grape, apple, pine
apple, durian, star fruit, rambutan, raisin, melon, etc.

107
3) คาศัพท์ที่เก่ียวกับผลิตภัณฑ์ ได้แก่ soap, shampoo, toothbrush,
toothpaste, hairbrush, conditioner, shower cap, comb, mirror, etc.
4) คาศัพท์ท่ีเก่ียวข้องกับห้องเรียน ได้แก่ classroom, table, chair, lecture
table, window, floor, ceiling, fan, air conditioner, computer, projector, white board, etc.
5) คาศัพท์ท่ีเก่ียวกับรูปทรง และเรขาคณิต ได้แก่ circle, semi-circle,
hemisphere, arc, square, rectangle, cube, spiral, oval, sphere, ellipse, cone, prism,
triangle, radius, pyramid, cylinder, pentagon, heptagon, hexagon, octagon
6) คาศัพท์ท่ีเก่ียวกับสถานที่ ได้แก่ hospital, school, university,
college, hotel, police station, museum, department store, clinic, library, garden, park,
BTS station, MRT station, coffee shop, camera shop, mobile shop, toy store,
pharmaceutical store, restaurant, travel agency, restaurant, etc.
7) คาศัพท์ท่ีเก่ียวกับธรรมชาติ ได้แก่ waterfall, sea, beach, sand,
island, bay, gulf, ocean, lagoon, canyon, mountain, forest, fjord, pot-hole, oxbow lake,
meander, cuesta, sand dune, swamp, cave, etc.
8) คาศพั ทท์ ี่เกยี่ วกับอาชพี ได้แก่ teacher, lecturer, instructor, policeman,
sale man, lawyer, musician, politician, geographer, actress, banker, broker, etc.
9) คาศัพท์ที่เกี่ยวกับการจราจรบนท้องถนน ได้แก่ road, street,
crosswalk, pedestrian, junction, intersection, interchange, road bus, bus stop, inbound,
outbound, interchange, toll booth, etc.
10) คาศัพท์ที่เกี่ยวกับรายวิชา ได้แก่ social studies, geographer,
history, economic, biology, chemistry, physics, politic, religion, sociology, anthropology,
mathematics, science, engineering, technology, art, dance, music, etc.
11) คาศัพท์ทางวิชาการ ได้แก่ education, academic, professor,
assistant professor, associate professor, thesis, research, article, journal, conference,
internship, workshop, faculty, etc.
12) คาศัพท์ท่ีเกี่ยวกับสถานท่ีในโรงเรียน ได้แก่ auditorium, cafeteria,
canteen, classroom, computer room, football field, gym, laboratory, library,
playground, principals room, science room, swimming pool, teacher room, etc.
สาหรับการเรียนรู้คาศัพท์ควรเรียนรู้จากสิ่งท่ีอยู่ใกล้ตัวก่อนแล้วค่อยเรียนรู้ในส่ิงท่ีไกลตัว
ออกไป และควรจะเชื่อมโยงคาศัพท์ให้เป็น จะได้จดจาและเรียนรู้คาศัพท์ได้มากกว่าเดิม รวมถึง
การใชค้ าศพั ท์ จะช่วยใหเ้ ข้าใจภาษามากข้ึน

108

2.2 การเรียนคาศัพท์จากกลมุ่ คาของ part of speech เช่น
2.2.1 คานาม (Noun)
1) คน เช่น baby, boy, girl, man, woman, child, young

man, old women, guy, son, daugher, nephew, Mr.Kim, etc.
2) สตั ว์ สามารถแบง่ เป็นประเภทได้
- สัตว์บก ได้แก่ tiger, lion, panther, jaguar, fox,

wolf, cow, duck, horse, monkey, swan, elephant etc.
- สั ต ว์ ค รึ่ ง บ ก ค ร่ึ ง น้ า ไ ด้ แ ก่ frog, salamander,

hippopotamus, snake, crocodile etc.
- สัตว์น้า ได้แก่ crab, lobster, jelly fish, fighting

fish, coral reef etc.
3) สิ่งของ ได้แก่ table, projector, notebook, etc.
4) สถานท่ี ไดแ้ ก่ university, school, home, hospital, police

station, BTS station, MRT station, department store, shop, mall, 7-Eleven, etc.
วธิ กี ารสงั เกตว่าคาใดเป็น Noun (ชดิ พงษ์ กวีวรวฒุ ิ, 2558: 16-20)
1. สงั เกตจากคาลงท้าย เช่น

-ity เชน่ nationality
-ment เช่น appointment
-ness เชน่ happiness
-ation เชน่ relation
-hood เช่น childhood
-ship เชน่ friendship
2. สงั เกตจากตาแหนง่ ที่ต้งั เชน่
2.1 คานามมกั ตามหลัง a, an, the ไดแ้ ก่

A teacher
An apple
The school
2.2 คานามมกั ตามหลัง this, that, these, those ไดแ้ ก่
This book.
These books.
That paper.
Those papers.
2.3 คานามมกั ตามหลงั my, your, his, her, their, our, its ได้แก่
My skirt.

109
Your pets.
Their house.
Our cars.
His / her computer.
Its legs.
2.4 คานามมักตามหลังคาคุณศัพท์ (adjective) ไดแ้ ก่
The big house.
My brown cat.
The easy word.
3. สงั เกตจากหน้าที่ในประโยค เชน่
3.1 ทาหนา้ ทเ่ี ปน็ ประธาน
Education is important.
3.2 ทาหนา้ ท่เี ปน็ กรรม
She likes the songs.
3.3 ทาหน้าท่เี ปน็ ทงั้ ประธานและกรรม
The police shot the thief.
3.4 ทาหนา้ ทเี่ ป็นส่วนเตมิ เต็ม
We are students.

2.2.2 คาสรรพนาม (Pronoun) ได้แก่ I, We, You, They, He, She, It
2.2.3 คากรยิ า (Verb) ได้แก่ tell, explain, complain, enjoy, discuss, study,
Communicate, innovate, plan, create, make, action, plan, etc.
2.2.4 คากริยาวิเศษณ์ (Adverb) ได้แก่ fast, slow, easy, difficult,
always, very, etc.
2.2.5 คาคุณศัพท์ (Adjective) ได้แก่ natural resources, international
airport, etc.
2.2.6 คาบุพบท(Preposition) ไดแ้ ก่ in, on, at, above, under, in front
of, behind, beside, next to, inside, outside, opposite, near, by, etc.
2.2.7 คาสันธาน (Conjunction) ได้แก่ and, but, or, as, after, etc.
2.2.8 คาอทุ าน ไดแ้ ก่ Wow!, Oh! My God, Oops!, etc.

110

2.3 การเรยี นคาศพั ทจ์ ากคาประสม (compound word) เชน่
water + fall = waterfall
butter + fly = butterfly

2.4 การเรยี นคาศพั ท์จากคาเหมอื น (Synnonyms) เช่น
important = significant = essential
clever = bright = intelligent = knowledgeable
increase = rise = grow
do = make = create
information = public relations

2.5 การเรียนคาศัพท์จากคาตรงขา้ ม (Antonyms) เช่น
before ≠ after
easy ≠ difficult
best ≠ worst
cheap ≠ expensive

2.6 การเรียนคาศพั ท์จากข่าว เช่น
COVID-19, new normal, state quarantine, victim, advertisement,

Sport, Entertainment, Politic, etc.
2.7 การเรยี นคาศพั ท์จากฉลากผลิตภณั ฑ์ เชน่
expire date, best before, BBF, MFG. Date, ingredients, Product

of Thailand, net weight, nutrition information, Chocolate Chip, Crispy lite biscuit,
Caution, Satisfaction Guaranteed, EST., etc.

นอกจากวิธีการเรียนรู้คาศัพท์ 7 วิธีตามท่ีได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ยังมีวิธีการเรียนรู้
คาศัพท์อีกมากมาย นักศกึ ษาควรสนใจและหมน่ั ศึกษาเพ่ิมเติมเพ่ือเพิม่ คลังคาศัพท์ใหก้ บั ตนเอง

กจิ กรรมการเรยี นรู้
ให้นักศึกษาเรียนรู้คาศัพท์เฉพาะ (Technical Term) ท่ีเกี่ยวข้องกับสาขา

วิชาเอก ตัวอย่างเช่น สาขาวิชาศิลปศึกษามีคาศัพท์ที่เก่ียวข้อง ได้แก่ brush,
composition, contour, monotone, painting, perspective, shade, sketch, etc.

111

3. ประเภทของคา
คาบางคามีหน้าท่ีหลายความหมาย ข้ึนอยู่หน้าที่ของคาในประโยค ดังน้ันการรู้ประเภท

ของคา (part of speech) จึงเป็นสงิ่ ท่สี าคัญมาก ตวั อยา่ งเชน่
ประโยคที่ 1 Please turn on the light. , Light เป็น noun แปลว่า หลอดไฟ
ประโยคท่ี 2 Pastels are light colors. , Light เปน็ adjective แปลวา่ สีอ่อน ๆ

Exercise : Part of speech
Directions: Many words can be more than one part of speech. The part of speech
a word belongs to depends on how the word is used in a sentence. Read each
sentence, and then decide the part of speech of the italicized word.

Example: Every four years, the public votes in the presidential election.
a. noun b. verb
Explanation: The answer is b because votes describes an action. It tells what the
public does every four years. Therefore, votes is a verb.
A) Adjective B) noun C) verb

……….. 1. Whenever the door slams, the lamp rocks back and forth.
……….. 2. The garden wall is made of rocks.
……….. 3. Every evening my grandmother rocks in her rocking chair.
……….. 4. The college's geology department has a large rock collection.
……….. 5. Parents should limit the amount of television their children watch.
……….. 6. Her credit limit is $5,000.
……….. 7. How much cloth will it take to make the curtains?
……….. 8. When I travel, I take my cloth coat instead of my leather one.
……….. 9. Feathers are so light that they seem to float.
……….. 10. Please turn on the light.
……….. 11. Pastels are light colors.
……….. 12. Open the window and let in the light.
……….. 13. Please light the candles on the birthday cake.
……….. 14. Her daughter is the light of her life
……….. 15. The pancakes are delicious and light.

112
4. รูปแบบประโยค
รูปแบบประโยค (Structure) แบ่งออกเป็น ประโยคบอกเล่า ประโยคคาถาม และประโยค

คาสั่ง/ขอรอ้ ง
4.1 ประโยคบอกเล่า (Affirmative)
เป็นประโยคที่ใช้พูดเพ่ือบอกเร่ืองราว เป็นการให้ข้อมูล หรือเล่าเร่ืองต่าง ๆ รวมทั้ง

ประโยคคาสั่ง/ขอร้องด้วย
รูปแบบประโยค จะประกอบไปด้วย สองส่วน คือ ภาคประธาน และ ภาคกริยา

เรยี งกันตามลาดับ ตัวอย่างเชน่
I listen to the radio.
The students are playing in the field.
She is my best friend.

4.2 ประโยคคาถาม (Interrogative)
ในภาษาอังกฤษ คาถามสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
4.2.1 Yes/No question เป็นคาถามท่ีต้องการคาตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่

ประกอบดว้ ย
1) ขึ้นตน้ คาถามดว้ ย V. to be ตวั อย่างเช่น
Is he your boyfriend ?
Are you a student ?
Am I a woman ?
2) ขนึ้ ต้นคาถามด้วย V. to do ตัวอยา่ งเช่น
Do you have a notebook ?
Do you want some drink ?
Does she like a brand name wallet ?
3) ขนึ้ ต้นคาถามดว้ ยกรยิ าชว่ ยตัวอื่น เช่น Can Could May Will Would Should
Can you speak English ?
Could you give me a report, please ?
May I help you ?
Will you marry me ?
Would you take some orange juice ?
Should I buy a new house ?
4.2.2 WH-Questions เป็นคาถามที่ต้องการคาตอบ โดยการต้ังถามด้วย

What, When, Where, Why, Who และ How ตัวอย่างเชน่
What’s your name ?
Where do you from ?
When do you wake up ?
Why don’t you go back to your hometown ?

113

Who is your lovely friend ?
How do you come to the university ?
4.3 ประโยคคาส่งั /ขอร้อง (Imperative)
เป็นประโยคบอกเล่าประเภทหน่ึง สาหรับประโยคคาส่ัง มักจะละประธาน
ไว้ในฐานที่เข้าใจกัน เพราะ การสั่ง คือการพูดให้ผู้ฟังปฏิบัติตาม ดังน้ัน ประธานจึงเป็นคาว่า YOU
ตวั อยา่ งเช่น
Give me a glass of water, please.
Turn off the light, please.
Let’s go.
Let’s not talk about this.

ทักษะทางภาษาอังกฤษ

ทักษะทางภาษาอังกฤษ (English Skill) ประกอบด้วย ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และ
การเขียน สาหรับผู้เริ่มต้นอาจจะพัฒนาทักษะใดทักษะหนึ่งก่อน แล้วค่อยพัฒนาทักษะอื่นตาม เช่น
อาจจะเร่ิมต้นจากทักษะการฟังก่อน แล้วค่อยพัฒนาไปยังทักษะการพูด การอ่าน และการเขียน
ตามลาดับ หรืออาจจะพัฒนาทักษะคู่ก็ได้ เช่น พัฒนาทักษะการฟังควบคู่กับการพูด หรือทักษะการ
อ่านควบคู่กับการเขียน หรือจะบูรณาการทักษะทั้ง 4 คือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนไป
พรอ้ ม ๆ กันกไ็ ด้

ทักษะการฟงั

การฟัง หมายถึง ความสามารถทางความคิดและสติปัญญาในการจับประเด็นใจความหลัก
หรือสาระสาคัญจากผู้พูด โดยสามารถตีความหมาย สาเนียง การออกเสียง อารมณ์ และความคิดเห็น
ของผู้พูดได้ ซึ่งทักษะการฟังเป็นกระบวนการที่เกิดจากการได้ยิน รับรู้ เข้าใจ จับสาระสาคัญ
ตคี วามหมาย ไตรต่ รอง และนาไปใช้ และในบางคร้ังผูฟ้ ังอาจจะต้องใชป้ ระสบการณ์เขา้ มาช่วยในการ
ตีความหมายเพื่อให้เกิดการสื่อสารท่ีเข้าใจตรงกัน (แสงระวี ดอนบัวแก้ว, 2558: 140 และอังชรินทร์
ทองปาน, 2559: 97)

การฟงั โดยทั่วๆไป มกั มีจดุ ประสงค์ใหญ่ ๆ 3 ประการคอื
1) ฟังเพอื่ ใหเ้ กดิ ความร้แู ละความรอบรู้
2) ฟงั เพอื่ หาเหตุผลมาโตแ้ ย้งหรือคล้อยตาม
3) ฟังเพ่อื ความเพลดิ เพลนิ และซาบซ้ึง

114
1. กิจกรรมการฟงั ภาษาอังกฤษ
ลักษณะกิจกรรมการสอนการฟังภาษาอังกฤษ (แสงระวี ดอนบัวแก้ว, 2558: 140 และ

อังชรินทร์ ทองปาน, 2559: 97) สามารถแบ่งออกเป็น 3 ขั้น คือ กิจกรรมก่อนการฟัง กิจกรรมขณะ
การฟงั และกิจกรรมหลงั การฟงั ดงั นี้

1.1 กิจกรรมก่อนการฟัง (Pre-listening Activities) ในข้ันตอนน้ีมีวัตถุประสงค์
เพ่อื ใหผ้ ู้เรียนไดร้ บั ข้อมูลเบอ้ื งตน้ ในเรอื่ งที่จะฟัง กจิ กรรมกอ่ นการฟัง มดี ังนค้ี อื

1) ให้ผ้เู รยี นดูรปู ภาพ
2) การอภปิ ราย
3) การเขียนรายการคาศพั ท์
4) การอา่ นคาถามเกี่ยวกับเนือ้ เร่อื ง
5) การทาแบบฝึกหัดกอ่ นการฟัง
1.2 กิจกรรมขณะการฟัง (While-listening Activities) ในขั้นตอนน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อ
ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการดึงข้อมูลท่ีได้จากการฟัง และควรฝึกให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการคาดการณ์
และการตคี วามไปดว้ ย เนอ่ื งจากเปน็ ทักษะที่ต้องใช้ในสถานการณ์จรงิ กิจกรรมในข้ันตอนนี้ ไดแ้ ก่
1) การเติมคาท่สี มบูรณ์
2) การเลอื กคาตอบ
3) การหาข้อผดิ พลาด
4) การหาสิง่ ที่ผพู้ ดู กล่าวถงึ
5) การระบุตวั บคุ คลหรือส่งิ ของ
6) ฟังแลว้ ช้ี
7) การปฏิบัติตาม
1.3 กิจกรรมหลังการฟัง (Post-listening Activities) ในข้ันตอนนี้มีวัตถุประสงค์
เพื่อตรวจสอบวา่ ผูเ้ รยี นเข้าใจในเรื่องท่ฟี ังหรือไม่ กจิ กรรมในขัน้ ตอนนี้ ไดแ้ ก่
1) การแกป้ ัญหาและการตดั สนิ ใจ
2) การตคี วามหมาย
3) การอภิปราย
4) การแสดงบทบาทสมมตุ ิ
5) การนาเสนอหนา้ ช้นั เรยี น
6) การเขียนสรุป

115
2. วิธกี ารฝึกการฟงั ภาษาอังกฤษ

2.1 ดหู นงั ซีรีย์
2.2 ฟังเพลง
2.3 ฟังขา่ ว
2.4 ฟังและดู You Tube
2.5 เวบ็ ไซต์การฟงั ได้แก่

1) esl-lab
2) elllo.org
3) 5minuteenglish.com
4) eslfast
5) eslgold.com
6) gistguide.com
7) focusenglish.com
8) examenglish.com
9) librivox
10) newfiction
3. เทคนิคการฟังภาษาอังกฤษ มีดังนี้
3.1 ฝึกฟังจากเทป
1) บทสนทนาภาษาองั กฤษ ซึ่งบทสนทนาน้ันจะต้องพูดดว้ ยความเร็วปกติที่
ชาวต่างชาติพูด อย่าฝึกฟังจากเทปท่ีพูดช้ากว่าการพูดปกติของเขา เน่ืองจากจะทาให้เราเคยชินกับ
การฟังภาษาอังกฤษแบบที่พูดช้าๆ และเมื่อเจอชาวต่างชาติที่พูดด้วยอัตราความเร็วปกติ เราก็ไม่
เขา้ ใจเช่นเดมิ
2) การฝึกฟังครั้งแรกๆ ควรเร่ิมฟัง ครั้งละ 5 - 10 ประโยค (อย่าฟัง
ประโยคมากเกินไปจนไม่สามารถจาประโยคเหลา่ นั้นได้)
3) ขณะที่ฝกึ ฟงั ภาษาอังกฤษ ตอ้ งมี Script เสมอ
4) ในการฝกึ ฟงั แตล่ ะครงั้ ต้องฟังให้ไดอ้ ย่างนอ้ ย 4 รอบ คือ
รอบท่ี 1 ฟงั พร้อม Script และหากเห็นว่าคาใดท่เี ราเคยออกเสียงไม่เหมือนเขา หรอื เรา
ฟังไมร่ ู้เร่ืองแมจ้ ะมี Script ใหห้ ยดุ เทป แลว้ จดลงใน Script ว่า เสยี งทเ่ี ราได้ยนิ น้นั คืออะไร
รอบท่ี 2 และ 3 ออกเสียงตาม
รอบที่ 4, 5, 6, ..... ลองฟังแบบหลบั ตา โดยไมม่ ี Script
5) ช่วงแรกขอให้ฝึกฟังประโยคเดิม ๆ ด้วยวิธีข้างต้นสัปดาห์ละ 2-3
ครั้ง (ฝึกทุกวันได้ยิ่งดี) แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มจานวนประโยคให้มากขึ้นเป็น 15-20 ประโยค ต่อ
การฝึกฟังแต่ละคร้ัง
3.2 ฝกึ ดูซรี ยี ์ (วิธนี ีอ้ าจจะยากและน่าเบือ่ หน่าย แตร่ ับรองไดผ้ ลเย่ียม)
1) หาซีรีย์ท่ีไม่ยาวมาก (แนะนาเรื่อง Friends, People of Earth,
Stranger Things, How I met your mother หรอื การ์ตูนเร่อื ง The Simpsons)

116

2) ฟังแบบไม่มี sub title ก่อน ให้ฟัง 3-5 ประโยควนไปเร่ือย ๆ พยายาม
ใชห้ ู ไม่ตอ้ งใชส้ มอง ฟงั ให้ออก วนไปอยา่ งนน้ั 8-10 รอบ

3) พอครบ 8-10 รอบแล้ว รอบท่ี 11 ให้เขียนสิ่งที่ได้ยิน ไม่ว่าจะฟังออก
หรือไม่ก็ตาม

4) ฟังรอบท่ี 12 รอบน้ีให้เปิด sub title ไปด้วย แล้วเปรียบเทียบส่ิงที่เขา
พูดกบั สง่ิ ทเี่ ราเขยี น

5) ทาอย่างน้ีไปเรอื่ ย ๆ จนจบเรือ่ ง หาสมดุ ไวจ้ ดคาศัพทใ์ หม่ เอาไวท้ บทวน
6) พอจบเรื่อง กลับมาฟังอกี รอบโดยไม่ตอ้ งเปดิ sub title จะพบว่า ทกั ษะ
การฟงั ภาษาองั กฤษมันแขง็ แรงขน้ึ อยา่ งมหัศจรรย์
นักศกึ ษาหมนั่ ฝึกฝนการฟงั บ่อย ๆ ฟังไปเร่อื ย ๆ จะคุ้นเคยกบั สาเนียงทฟ่ี งั หาวิธกี ารฟัง
ทีเ่ หมาะสมกับตัวเอง หม่ันเรยี นรู้ เราจะได้คาศัพท์เพิ่มขึน้ จะรู้เร่ืองมากข้ึน พัฒนาการทาแบบฝึกหัด
หัดต้งั คาถาม แสวงหาคาตอบด้วยตัวเอง แลว้ วันหน่งึ เราจะเป็นคนที่ฟงั ภาษาองั กฤษอยา่ งรเู้ ร่ือง
Exercise ใหน้ ักศกึ ษาเขียนตามคาบอก
The…………and the boys are in the……………. . There are two…………….
The door is closed. One ……………is open, the other window is closed.
One boy is ……………...the teacher. The clock is …………..the wall. There are
……………..pictures on the wall.

เฉลอย Exercise ใหน้ ักศกึ ษาเขยี นตามคาบอก
The teacher and the boys are in the classroom. There are two boys.

The door is closed. One window is open, the other window is closed.
One boy is near the teacher. The clock is on the wall. There are
two pictures on the wall.

117

ทกั ษะการพูด

การพูด หมายถึง การท่ีผู้พูดสื่อสารความคิด อารมณ์ ความรู้สึกของตนไปยังผู้ฟัง โดยมี
วตั ถุประสงค์เพือ่ ให้ผฟู้ ังเข้าใจตรงกัน หรือปฏิบัติตามท่ีผู้พดู ตอ้ งการ โดยกระบวนการส่งสารนั้น ผู้พูด
จะใช้น้าเสียง จังหวะ ความหนักเบาของเสียง ทานอง และท่าทาง รวมถึงอารมณ์เพ่ือ
การสื่อความหมายรวมกับคาพูดด้วย (แสงระวี ดอนบัวแก้ว, 2558: 146 และอังชรินทร์ ทองปาน,
2559: 114)

จดุ มุ่งหมายของการพูด คือ การสอ่ื สารให้ผู้อน่ื ได้รับรดู้ ้วยการพูดอยา่ งถูกตอ้ งและคล่องแคล่ว
การสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษในเบื้องต้น มุ่งเน้นความถูกต้องของการใช้ภาษา
ในเรื่องของเสียง คาศัพท์ ไวยากรณ์ กระสวนประโยค ดังน้ัน กิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียนระดับต้นได้ฝึก
ทกั ษะการพดู จงึ เนน้ กจิ กรรมที่ผ้เู รียนต้องฝึกปฏิบัติตามแบบ หรือ ตามโครงสรา้ งประโยคทีก่ าหนดให้
พูดเป็นส่วนใหญ่ สาหรับผู้เรียนระดับสูง กิจกรรมฝึกทักษะการพูด จึงจะเน้นท่ีความคล่องแคล่วของ
การใช้ภาษา และจะเป็นการพดู แบบอสิ ระมากขึ้น

1. กิจกรรมการฝกึ ทักษะการพดู
รูปแบบของกิจกรรมการฝึกทักษะการพูด (แสงระวี ดอนบัวแก้ว, 2558:153 และอัง

ชรนิ ทร์ ทองปาน, 2559:114) มี 3 รูปแบบ คือ
1.1 การฝกึ พูดระดบั กลไก (Mechanical Drills) เปน็ การฝึกตามตัวแบบทกี่ าหนดให้

ในหลายลกั ษณะ เช่น
1) พูดเปลี่ยนคาศัพทใ์ นประโยค (Multiple Substitution Drill)
2) พดู ตงั้ คาถามจากสถานการณ์ในประโยคบอกเล่า (Transformation Drill)
3) พูดถามตอบตามรูปแบบของประโยคที่กาหนดให้
(Yes/No Question-Answer Drill)
4) พดู สรา้ งประโยคตอ่ เติมจากประโยคทก่ี าหนดให้ (Sentence Building)
5) พูดเรียงประโยคจากบทสนทนา (Ordering dialogues)
6) พดู ทายเหตุการณท์ จี่ ะเกดิ ข้ึนในบทสนทนา (Predicting dialogue)
7) พดู ใหเ้ พ่ือนเขียนตามคาบอก (Split Dictation)
8) พูดคาศพั ท์ สานวนในประโยคทลี่ บไปทีละส่วน (Rub out and remember)
9) พดู ต่อเติมมส่วนท่ีหายไปจากประโยค (Completing Sentences)
ฯลฯ

1.2 การฝึกพูดอย่างมีความหมาย (Meaningful Drills) เป็นการฝึกตามตัวแบบที่
เนน้ ความหมายมากขนึ้ มีหลายลกั ษณะ เช่น – พูดสร้างประโยคเปรยี บเทียบโดยใช้รูปภาพ

1) พดู สร้างประโยคเปรียบเทียบโดยใชร้ ปู ภาพ
2) พดู สร้างประโยคจากภาพที่กาหนดให้
3) พูดเกี่ยวกบั สถานการณ์ตา่ งๆ ในห้องเรยี น
ฯลฯ
1.3 การฝึกพูดเพ่ือการส่ือสาร (Communicative Drill) เป็นการฝึกเพื่อมุ่งเน้น
การส่ือสาร เปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นสร้างคาตอบตามจินตนาการ เช่น

118

1) พูดประโยคตามสถานการณท์ ี่เกดิ ขึ้นจรงิ (Situation)
2) พูดตามสถานการณ์ทกี่ าหนดให้ (Imaginary Situation)
3) พูดบรรยายภาพหรอื สถานการณแ์ ล้วใหเ้ พอื่ นวาดภาพตามทพี่ ดู
(Describe and Draw)
ฯลฯ
2. การพฒั นาทักษะการพูด
ในการพฒั นาทักษะการพูดของผ้เู รียน ผสู้ อนควรมีวธิ ีการพัฒนาผู้เรียน ดังนค้ี ือ
2.1 สรา้ งความเคยชนิ ในการพูดภาษาอังกฤษให้กับผ้เู รยี น
1) เร่มิ ตน้ การทกั ทายเป็นภาษาอังกฤษ
2) ใชภ้ าษาองั กฤษแบบงา่ ยๆ
3) ฝึกผเู้ รียนให้ใชค้ า กลุ่มคา หรอื ประโยคท่จี าเปน็
2.2 สร้างความสนกุ สนานเพลิดเพลนิ เชน่ เพลง เกม ละคร
2.3 สร้างความถูกต้องแม่นยา ในเรื่องไวยากรณ์ กฎเกณฑ์ วิธีการออกเสียงและ
สาเนยี ง คาศพั ท์และการใช้คาศัพท์
2.4 สร้างบรรยากาศทีด่ ีต่อการเรยี นรู้
2.5 สรา้ งความมั่นใจใหก้ บั ผเู้ รียน รวมถึงการสรา้ งขวัญและกาลังใจ
3. การฝึกฝนทกั ษะการพูด
ผู้เรียนมวี ิธีการฝกึ ฝนทกั ษะการพดู (wallstreetenglish, 2019) ดังนี้
3.1 นาไปใช้ในชีวิตจรงิ เช่น การซอื้ ของ
3.2 พดู ออกมาดัง ๆ เวลาที่อย่คู นเดยี ว โดยเฉพาะเวลาทที่ าแบบฝกึ หัดเขียน
3.3 อา่ นและพดู ในสิ่งที่เขยี น ทบทวนประมาณ 2-3 รอบ
3.4 เปรียบเทียบการพูดของเรากับเจ้าของภาษาโดยการอัดเสยี ง
สาหรับการพัฒนาทักษะการพูด ลาดับแรกนักศึกษาควรกล้าพูดก่อน ไม่ต้องกลัวว่าจะ
พูดผิด พูดไดไ้ ม่ได้ก็กล้าพูด พดู ผิดพูดถูกกพ็ ูดไป เวลาเราพูดไปแล้วเราจะรู้ว่า เราพูดผิดหรือถูก พูดดี
หรือไม่ดี พูดแบบใช้ได้ หรือใช้ไม่ได้ หรอื ต้องปรับปรงุ ทส่ี าคัญตอ้ งระลกึ ว่า ในโอกาสต่อไป เราจะตอ้ ง
ใชว้ ิธีการพดู อย่างไรให้เราดดู ี แล้ววันหน่งึ เราจะเปน็ คนทพ่ี ูดกบั ผู้อนื่ รเู้ ร่อื ง
Exercise ให้นักศึกษาฝึกการพูดจากหวั ข้อดงั น้ี
1. Introduce yourself
2. Explain the meaning of “dog”
3. Tell me “things to do today”
4. What major are your studying ? and Why do you choose this major ?
5. Where will you go on this weekend ? and Why ?

119

ทกั ษะการอ่าน

การอ่าน หมายถึง กระบวนการถอดรหัสของมนุษย์ผ่านทางตัวอักษรหรือข้อมูลในรูปแบบ
ต่าง ๆ เช่น รูปภาพ หรือสัญลักษณ์ที่ผู้เขียนต้องการส่ือสารไปยังผู้อ่าน ท้ังนี้ผู้อ่านจะเข้าใจใน
ความหมายในสิ่งท่ีอ่าน ผู้อ่านต้องมีความรู้และประสบการณ์เดิมเข้ามาช่วยในวิเคราะห์คา การแปล
ความ ตีความ ขยายความ รวมถึงต้องรู้โครงสร้างของงานเขียน วิธีการเขียน และจินตนาการของ
ผู้เขียน (แสงระวี ดอนบัวแกว้ , 2558: 162 และอังชรนิ ทร์ ทองปาน, 2559: 140)

การอา่ นสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คอื การอา่ นออกเสียง (Oral Reading) และการอ่าน
ในใจ (Silent Reading) โดยการอ่านออกเสียงมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบความถูกต้องในการอ่าน
สว่ นการอา่ นในใจเปน็ การฝึกฝนให้ผ้อู า่ นสามารถอ่านไดเ้ ร็วและสามารถเขา้ ใจเรอื่ งราวที่อ่านไดด้ ี

1. กจิ กรรมการสอนทกั ษะการอ่าน
กจิ กรรมการสอนทักษะการอ่านมีลักษณะเชน่ เดียวกบั ข้ันตอนการสอนทักษะการฟัง

โดยแบง่ เป็น 3 กจิ กรรม คือ กิจกรรมนาเข้าสู่การอา่ น ( Pre-Reading) กจิ กรรมระหวา่ งการอา่ น หรือ
ขณะท่ีสอนอ่าน (While-Reading) กิจกรรมหลังการอ่าน (Post-Reading) แต่ละกิจกรรมอาจใช้
เทคนคิ ดงั น้ี

1.1 กิจกรรมนาเข้าสู่การอ่าน ( Pre-Reading) การที่ผู้เรียนจะอ่านสารได้อย่าง
เข้าใจ ควรต้องมีข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับสารท่ีจะได้อ่าน โดยครูผู้สอนอาจใช้กิจกรรมนาให้ผู้เรียนได้มี
ข้อมูลบางส่วนเพื่อช่วยสร้างความเข้าใจในบริบท ก่อนเร่ิมต้นอ่านสารท่ีกาหนดให้ โดยท่ัวไป มี 2
ขั้นตอน คือ

- ขั้น Personalization เปน็ ขัน้ สนทนา โตต้ อบ ระหว่างครู กับผูเ้ รยี น หรือ
ระหวา่ งผูเ้ รียนกบั ผู้เรียน เพอื่ ทบทวนความรเู้ ดมิ และเตรยี มรับความรูใ้ หม่จากการอ่าน

- ข้ัน Predicting เปน็ ข้ันที่ใหผ้ ู้เรยี นคาดเดาเกี่ยวกบั เรอื่ งที่จะอ่าน โดยอาจ
ใช้รูปภาพ แผนภูมิ หัวเรื่อง ฯลฯ ท่ีเกี่ยวข้องกับเร่ืองท่ีจะได้อ่าน แล้วนาสนทนา หรือ อภิปราย หรือ
หาคาตอบเกี่ยวกับภาพนั้น ๆ หรือ อาจฝึกกิจกรรมที่เกี่ยวกับคาศัพท์ เช่น ขีดเส้นใต้ หรือวงกลม
ล้อมรอบคาศัพท์ในสารที่อ่าน หรือ อ่านคาถามเก่ียวกับเร่ืองที่จะได้อ่าน เพ่ือให้ผู้เรียนได้ทราบ
แนวทางว่าจะได้อ่านสารเกี่ยวกับเร่ืองใด เป็นการเตรียมตัวล่วงหน้าเก่ียวกับข้อมูลประกอบการอ่าน
และค้นหาคาตอบท่ีจะได้จากการอ่านสารน้ันๆ หรือ ทบทวนคาศัพท์จากความรู้เดิมท่ีมีอยู่ ซ่ึงจะ
ปรากฏในสารท่จี ะไดอ้ ่าน โดยอาจใชว้ ธิ ีบอกความหมาย หรือทาแบบฝึกหัดเติมคา ฯลฯ

1.2 กิจกรรมระหว่างการอ่าน หรือ กิจกรรมขณะที่สอนอ่าน ( While-Reading)
เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติในขณะท่ีอ่านสารน้ัน กิจกรรมน้ีมิใช่การทดสอบการอ่าน แต่เป็น
การ “ฝึกทักษะการอ่านเพื่อความเขา้ ใจ” กิจกรรมระหว่างการอ่านนี้ ควรหลีกเลี่ยงการจัดกจิ กรรมท่ี
มุ่งเน้นให้ผ้เู รียนได้ปฏบิ ัติทกั ษะอ่ืนๆ เช่น การฟัง หรือ การเขียน อาจจัดกิจกรรมให้พูดโต้ตอบได้บ้าง
เล็กน้อย เนือ่ งจากจะเปน็ การเบี่ยงเบนทักษะที่ต้องการฝึกไปสู่ทักษะอื่นโดยมิได้เจตนา กิจกรรมท่ีจัด
ให้ในขณะฝกึ อ่าน ควรเปน็ ประเภทตอ่ ไปนี้

120
- Matching คือ อ่านแล้วจับคู่คาศัพท์ กับ คาจากัดความ หรือ จับคู่

ประโยค เน้ือเรือ่ งกับภาพ แผนภมู ิ
- Ordering คือ อ่านแล้วเรียงภาพ แผนภูมิ ตามเนื้อเรื่องท่ีอ่าน หรือ เรียง

ประโยค (Sentences)ตามลาดับเร่ือง หรือเรยี งเน้ือหาแตล่ ะตอน (Paragraph) ตามลาดับของเนื้อเร่ือง
- Completing คือ อ่านแล้วเติมคา สานวน ประโยค ข้อความ ลงในภาพ

แผนภมู ิ ตาราง ฯลฯ ตามเร่ืองท่อี า่ น
- Correcting คือ อ่านแล้วแก้ไขคา สานวน ประโยค ข้อความ ให้ถูกต้อง

ตามเนื้อเร่ืองทีไ่ ดอ้ า่ น
- Deciding คือ อ่านแล้วเลือกคาตอบที่ถูกต้อง (Multiple Choice) หรือ

เลือกประโยคถูกผิด (True/False) หรือ เลือกว่ามีประโยคนั้นๆ ในเน้ือเร่ืองหรือไม่ หรือ เลือกว่า
ประโยคน้ันเปน็ ข้อเทจ็ จรงิ (Fact)หรอื เปน็ ความคดิ เหน็ (Opinion)

- Supplying / Identifying คือ อ่านแล้วหาประโยคหัวข้อเรื่อง ( Topic
Sentence) หรอื สรุปใจความสาคญั ( Conclusion) หรือ จับใจความสาคัญ ( Main Idea) หรือตั้งชื่อ
เรอื่ ง (Title) หรือ ย่อเรือ่ ง (Summary) หรอื หาขอ้ มูลรายละเอียดจากเร่ือง ( Specific Information)

1.3 กิจกรรมหลังการอ่าน (Post-Reading) เป็นกิจกรรมที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ฝึกการใช้
ภาษาในลักษณะทักษะสัมพันธ์เพิ่มขึ้นจากการอ่าน ท้ังการฟัง การพูดและการเขียน ภายหลังที่ได้ฝึก
ปฏิบัติกิจกรรมระหว่างการอ่านแล้ว โดยอาจฝึกการแข่งขันเกี่ยวกับคาศัพท์ สานวน ไวยากรณ์ จาก
เรือ่ งทไ่ี ด้อา่ น เป็นการตรวจสอบทบทวนความรู้ ความถูกต้องของคาศพั ท์ สานวน โครงสรา้ งไวยากรณ์
หรือฝึกทักษะการฟังการพูดโดยให้ผู้เรียนร่วมกันต้ังคาถามเก่ียวกับเนื้อเรื่องแล้วช่วยกันหาคาตอบ
สาหรับผู้เรียนระดับสูง อาจให้พูดอภิปรายเก่ียวกับอารมณ์หรือเจตคติของผู้เขียนเรื่องน้ัน หรือฝึก
ทกั ษะการเขยี นแสดงความคิดเหน็ เกี่ยวกบั เร่ืองท่ีได้อา่ น เปน็ ตน้

121

Exercise ใหน้ ักศึกษาฝึกการอา่ นจากเร่อื งตอ่ ไปนี้

Reading the passage and then answer the question
What is a Penguin?

Penguins are birds that live in the water and on land. They
cannot fly, but they are excellent swimmers. They have webbed feet
and short wing, which they use for swimming. There are several kinds
of penguins. They live in both warm and cold climates, but only in
waters south of equator.

Penguins spend most of their time living in the oceans. They
live on the land only when laying their eggs and raising their young.
Penguins are sociable animals. They live and play together. They nest
in colonies called rookeries. Some of these rookeries have as many
million birds.

Penguins are birds that live in the water and on land. They
cannot fly, but they are excellent swimmers. They have webbed feet
and short wing, which they use for swimming. There are several kinds
of penguins. They live in both warm and cold climates, but only in
waters south of equator.

Penguins fly only under water. Penguins propel themselves
through the water with flying movements of their flippers. While
many birds are light-weight so they can fly. Penguins are heavy so
they can swim and dive for food. A penguin’s wing are paddled like
flippers. Their legs and webbed feet are used as rudders, for steering.
Write T if the statement is true. Write F, it is false
………….. 1. Penguins are very good swimmers
………….. 2. Penguins can’t live in warm climate.
………….. 3. Penguins lay eggs in the ocean.
………….. 4. Rookeries are penguin’s colonies.
………….. 5. Penguins like to live with their family only.
………….. 6. Penguins are light-weight.
………….. 7. Penguins can fly under water.
………….. 8. Penguins’s colonies are small.

122

ทกั ษะการเขยี น

การเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความต้องการ ประสบการณ์ และ
ความรู้ของผเู้ ขียนออกมาเปน็ ลายลักษณ์ผา่ นตวั อักษร โดยกระบวนการถา่ ยทอดตอ้ งอาศัยความร้ดู ้าน
คาศัพท์ สานวน เน้อื หา และไวยากรณ์เรียบเรียงออกมาเปน็ ภาษาเขียน เพื่อส่ือความหมายใหต้ รงตาม
จุดประสงค์ โดยยึดความถูกต้องของรูปแบบภาษา ความเหมาะสมของภาษา และเอกภาพของแก่น
เรอ่ื งและหวั ขอ้ (แสงระวี ดอนบวั แก้ว, 2558: 176 และอังชรินทร์ ทองปาน, 2559: 176)

การฝกึ ทกั ษะการเขยี น มี 3 แนวทาง คอื
1. การเขียนแบบควบคุม (Controlled Writing) เป็นแบบฝึกการเขียนที่มุ่งเน้นใน

เรื่องความถูกต้องของรูปแบบ เช่น การเปล่ียนรูปทางไวยากรณ์ คาศัพท์ในประโยค โดยครูจะเป็นผู้
กาหนดสว่ นที่เปลย่ี นแปลงให้ผู้เรียน ผเู้ รยี นจะถูกจากัดในด้านความคดิ อิสระ สร้างสรรค์ ข้อดีของการ
เขียนแบบควบคุมน้ี คือ การปอ้ งกันมใิ ห้ผเู้ รียนเขยี นผดิ ตั้งแตเ่ ร่มิ ต้น กจิ กรรมที่นามาใชใ้ นการฝึกเขียน
เช่น

1.1 Copying เปน็ การฝกึ เขียนโดยการคดั ลอกคา ประโยค หรือ ข้อความที่
กาหนดให้ ในขณะที่เขียนคัดลอก ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้การสะกดคา การประกอบคาเข้าเป็นรูป
ประโยค และอาจเปน็ การฝึกอ่านในใจไปพร้อมกัน

1.2 Gap Filing เปน็ การฝึกเขยี นโดยเลอื กคาที่กาหนดให้ มาเขียนเติมลงใน
ช่องว่างของประโยค ผู้เรียนจะได้ฝึกการใช้คาชนิดต่างๆ (Part of Speech) ท้ังด้านความหมาย และ
ดา้ นไวยากรณ์

1.3 Re-ordering Words เป็นการฝึกเขียนโดยเรียบเรียงคาท่ีกาหนดให้
เป็นประโยค ผู้เรียนได้ฝึกการใช้คาในประโยคอย่างถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และเรียนรู้ความหมาย
ของประโยคไปพร้อมกนั

1.4 Changing forms of certain words เป็นการฝกึ เขียนโดยเปล่ียนแปลง
คาที่กาหนดให้ในประโยค ให้เป็นรูปพจน์ หรือรูปกาล ต่างๆ หรือ รูปประโยคคาถาม ประโยคปฏิเสธ
ฯลฯ ผู้เรยี นไดฝ้ ึกการเปล่ียนรูปแบบของคาได้อยา่ งสอดคลอ้ งกบั ชนดิ และหนา้ ท่ขี อง คาในประโยค

1.5 Substitution Tables เป็นการฝึกเขียนโดยเลือกคาท่ีกาหนดให้ใน
ตาราง มาเขียนเป็นประโยคตามโครงสร้างท่ีกาหนด ผู้เรียนได้ฝึกการเลือกใช้คาที่หลากหลายใน
โครงสร้างประโยคเดยี วกนั และไดฝ้ กึ ทาความเขา้ ใจในความหมายของคา หรอื ประโยคด้วย

2. การเขียนแบบกึ่งควบคุม (Less – Controlled Writing) เป็นแบบฝึกเขียนที่มี
การควบคมุ น้อยลง และผู้เรียนมีอสิ ระในการเขยี นมากข้ึน การฝึกการเขียนในลักษณะน้ี ครจู ะกาหนด
เค้าโครงหรือรูปแบบ แล้วให้ผู้เรียนเขียนต่อเติมส่วนท่ีขาดหายไปให้สมบูรณ์ วิธีการน้ี ช่วยให้ผู้เรียน
พฒั นาทักษะความสามารถในการเขียนไดม้ ากข้ึน อนั จะนาไปสู่การเขียนอย่างอิสระได้ในโอกาสต่อไป
กิจกรรมฝกึ การเขยี นแบบกึ่งอิสระ เช่น

2.1 Sentence combining เป็นการฝึกเขยี นโดยเช่ือมประโยค 2 ประโยค
เข้าด้วยกัน ด้วยคาขยาย หรือ คาเชื่อมประโยค ผู้เรียนได้ฝึกการเขียนเรียบเรียงประโยคโดยใช้คา
ขยาย หรอื คาเช่ือมประโยค ในตาแหนง่ ท่ีถูกต้อง

123

2.2 Describing People เป็นการฝึกการเขียนบรรยาย คน สัตว์ ส่ิงของ
สถานที่ โดยใช้คาคุณศัพท์แสดงคุณลักษณะของส่ิงท่ีกาหนดให้ ผู้เรียนได้ฝึกการใช้คาคุณศัพท์ขยาย
คานามไดอ้ ย่างสอดคล้อง และตรงตามตาแหน่งท่ีควรจะเป็น

2.3 Questions and Answers Composition เ ป็ น ก า ร ฝึ ก ก า ร เ ขี ย น
เร่ืองราว ภายหลังจากการฝึกถามตอบปากเปล่าแล้ว โดยอาจให้จับคู่แล้วสลับกันถามตอบปากเปล่า
เก่ียวกับเร่ืองราวที่กาหนดให้ แต่ละคนจดบันทึกคาตอบของตนเองไว้ หลังจากนั้น จึงให้เขียนเรียบ
เรียงเป็นเร่ืองราว 1 ย่อหน้า ผู้เรียนได้ฝึกการเขียนเร่ืองราวต่อเน่ืองกัน โดยมีคาถามเป็นสื่อนา
ความคิด หรือเป็นส่ือในการค้นหาคาตอบ ผู้เรียนจะได้มีข้อมูลเป็นรายข้อที่สามารถนามาเรียบเรียง
ต่อเน่อื งกนั ไปได้ อย่างน้อย 1 เร่อื ง

2.4 Parallel writing เป็นการฝึกการเขียนเร่ืองราวเทียบเคียงกับเรื่องท่ี
อา่ น โดยเขียนจากขอ้ มูล หรือ ประเด็นสาคัญทก่ี าหนดให้ ซ่ึงมีลักษณะเทียบเคียงกับความหมายและ
โครงสร้างประโยค ของเรื่องท่ีอ่าน เม่ือผู้เรียนได้อ่านเร่ืองและศึกษารูปแบบการเขียนเรียบเรียงเรื่อง
น้นั แล้ว ผู้เรียนสามารถนาขอ้ มลู หรอื ประเด็นทีก่ าหนดใหม้ าเขยี นเลียนแบบ หรือ เทียบเคียงกบั เรือ่ งที่
อ่านได้

2.5 Dictation เป็นการฝึกเขียนตามคาบอก ซึ่งเป็นกิจกรรมที่วัดความรู้
ความสามารถของผู้เรียนในหลายๆด้าน เช่น การสะกดคา ความเข้าใจด้านโครงสร้างประโยค
ไวยากรณ์ รวมถงึ ความหมายของคา ประโยค หรือ ข้อความท่เี ขยี น

3. การเขียนแบบอิสระ ( Free Writing) เป็นแบบฝึกเขยี นที่ไม่มีการควบคุมแต่อยา่ ง
ใด ผู้เรียนมีอิสระเสรีในการเขียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิด จินตนาการอย่างกว้างขวาง
การเขียนในลักษณะน้ี ครูจะกาหนดเพียงหัวข้อเร่ือง หรือ สถานการณ์ แล้วให้ผู้เรียนเขียนเร่ืองราว
ตามความคิดของตนเอง วิธีการนี้ ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะความสามารถในการเขียนได้เต็มท่ี
ข้อจากัดของการเขียนลักษณะน้ี คือ ผู้เรียนมีข้อมูลท่ีเป็นคลังคา โครงสร้างประโยค กระสวน
ไวยากรณ์เป็นองค์ความรู้อยู่ค่อนข้างน้อย ส่งผลให้การเขียนอย่างอิสระน้ี ไม่ประสบผลสาเร็จ
เทา่ ทีค่ วร

Exercise ใหน้ กั ศึกษาฝกึ การเขียน
1. What is the characteristic of the good teacher ?
2. What is your strange/weakness ?

124

การสนทนาแบบ Small talk

ในครงั้ แรกท่ีผู้เขียนไดเ้ รยี นรู้เร่ือง Small talk ก็เข้าใจว่า การพูด Small talk คือ การพูดคุย
กันทางโทรศัพท์โดยมีสาย small talk เสียบหูฟังในขณะขับรถที่ไม่สามารถใช้มือถือโทรศัพท์ได้ และ
ผู้เขียนก็เข้าใจว่าผู้อ่านหลายคนก็คงจะเข้าใจเช่นเดียวกันกับผู้เขียน แต่ในความเป็นจริง
การสนทนาแบบ Small talk ก็คือ การพูดคุยสนทนากันอย่างไม่เป็นทางการ ในเร่ืองท่ัว ๆ ไป
ทไ่ี ม่สาคัญ ในช่วงระยะเวลาอันส้ัน เพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ทางสังคมมากกว่าการสื่อสาร (Hornby
(2005), longdo dict (n.d.), Dr.Bombai (2012))

ประเด็นการสนทนาสาหรับการพดู Small talk เปน็ เรื่องทัว่ ๆ ไป (Yuliya Geikhman (n.a.),
Aja Frost (n.a.) and Arlin Cuncic (2020)) ได้แก่ การดหู นัง การฟงั เพลง การท่องเท่ียว งานอดิเรก
กีฬา ลมฟ้าอากาศ เรื่องที่ทางาน ประเด็นร้อนของสังคมและของโลก และบันเทิง เป็นต้น นอกจาก
ประเด็นที่พูดคุยกันแล้ว Arlin Cuncic (2020) ยังได้สรุปว่า ประเด็นที่แย่ท่ีไม่ควรนามาพูดคุย คือ
Finances, Politics and Religion, Sex, Death, Age or Appearance, Personal gossip,
Offensive jokes, Narrow topics and Past Relationships

1. การต้งั คาถาม
การต้ังคาถามสาหรบั การสนทนา small talk สามารถตั้งคาถามได้หลายแบบ ดงั นี้ คือ

1.1 เรมิ่ ต้นด้วย Yes/No question เชน่
Have you ever been to South Korea ?

การเร่ิมต้นถามด้วยคาถาม yes/no มีเร่ืองที่ทาให้สามารถคุยกันต่อได้พอสมควร แต่ควรจะ
ระมัดระวงั ในการถามความรูส้ ึก เชน่ Do you like the prime minister ? ควรจะหลกี เลยี่ ง

1.2 การตง้ั คาถามแบบสอบถามความคิดเห็น เชน่
What do you think about ……….. ?
What’s your opinion?

1.3 โดยมารยาท ถา้ อยากทราบขอ้ มลู ของคู่สนทนา ควรจะบอกขอ้ มูลของผูพ้ ูดกอ่ น เช่น
I’m Jeeraporn. What’s your name ?
I like Japanese food. And you ?

1.4 หาเร่ืองชม เชน่
Your shirt looks nice. Where do you buy it ?

1.5 ฝึกการต้ังคาถามด้วย 5W-questions ได้แก่ What, When, Where, Why,
Who และ How

125

2. บทสนทนาภาษาอังกฤษสนั้ ๆ (Small talk)
Greetings

A: Hi, how are you doing?
B: I'm fine. How about you?
A: I'm pretty good. Thanks for asking.
B: I've been good. I'm in school right now.
A: What school do you go to?
B: I go to BSRU.
A: Do you like it there?
B: It's okay. It's a really warm university.
A: Good luck with there.
B: Thank you.
Sports
A: Did you go to the basketball game on Friday?
B: No, I couldn't make it.
A: You missed a really good game.
B: Oh, really? Who won?
A: Our school did. They played really well.
B: Too bad I was busy. I really wanted to go.
A: Yeah, you should have. It was really exciting.
B: So what was the score?
A: The score was 101-98.
B: Man, that was a really close game.
A: That's what made it so great.
B: I'll make sure and make it to the next one.

126

สรุป

ในทุกวันนี้ภาษาอังกฤษมีความสาคัญเป็นอย่างมากอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ ดังนั้นทุกคนควรจะ
เปิดใจยอมรับและมีความสุขท่ีจะเรียนรู้กับมัน สาหรับคนท่ีสนใจและชอบภาษาอังกฤษก็เป็นสิ่งที่ดี
และไม่ยาก เพราะมีความชอบและความสนใจเป็นพ้ืนฐานอยู่แล้ว ขอให้พยายามเรียนรู้ ฝึกฝน และ
พัฒนาให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ สาหรับคนท่ีไม่ชอบภาษาอังกฤษ อาจจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก่อนอ่ืนขอให้
ทลายกาแพงการต่อต้านภาษาอังกฤษออกไปให้หมดก่อน หลังจากนั้นให้ทาใจและต้ังสติให้ได้ว่า
ภาษาอังกฤษเป็นส่ิงจาเป็นจะต้องเรียนรู้และต้องใช้ ดังน้ันค่อย ๆ เรียนรู้ หาหลักการและวิธีการ
เรยี นรู้ ฝึกฝนให้มาก ๆ มากกวา่ คนอืน่ และสุดท้ายมันกจ็ ะได้เอง พยายามเรียนรู้ในทกุ ๆ วันของชวี ิต
เสมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แล้วชีวิตก็จะดีข้ึน ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการเ รียนรู้
ภาษาอังกฤษ

127

กจิ กรรมท้ายบท

1. หาคาศัพท์ท่ีเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาเอก จานวน 15 คา พร้อมทั้งให้ความหมายของคา
เหลา่ นั้น

2. สร้างคาศัพท์ข้ึนมาใหม่จากคาที่กาหนดให้ (learn, teach, inform, product) พร้อมทั้ง
แต่งประโยคจากคาศพั ท์เหลา่ นนั้

3. ตั้งคาถามโดยใช้ WH-Questions อย่างละ 5 ประโยค พร้อมเขยี นคาตอบ
4. ต้ังคาถามเกี่ยวกับประโยคคาสั่งหรือขอร้อง 10 ประโยค
5. อ่านเรอ่ื งทีส่ นใจ แล้วนามาเลา่ ใหเ้ พื่อนฟัง
6. เขยี นประโยคพืน้ ฐานทค่ี วรรู้ 30 ประโยค
7. เขียนประวัติส่วนตัวของนกั ศึกษา 1 หน้ากระดาษ
8. What are advantages and disadvantages for teacher?
9. จงเขยี นบทสนทนาในสถานการณ์ร้านอาหาร
10. สถานการณ์ในลิฟท์ นักศึกษาพบเจออาจารย์ผู้สอน นักศึกษาควรจะเปิดประเด็น
การสนทนา small talk เรอื่ งอะไร และควรจะพดู อย่างไร จงยกตัวอย่างบทสนทนา

128

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงศึกษาธิการ. (2545). แบบฝกึ ประกอบการสอนตามแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน
ภาษาอังกฤษ. (พิมพ์ครงั้ ที่ 3). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พค์ ุรุสภาลาดพร้าว.

เกรียงศักด์ิ เจริญวงศ์ศักด์ิ. (31 สิงหาคม 2561). ความสาคัญของภาษาอังกฤษ. สืบค้นวันที่ 18
เมษายน 2563. เขา้ ถงึ ได้จาก https://www.facebook.com/drdancando/ posts

พระมหาเสาวนันท์ สุภาจาโร และสรุ พงษ์ คงสัตย์. (2559). ภาษาอังกฤษเบ้ืองต้น. (พมิ พ์คร้งั ท่ี 3).
พระนครศรีอยุธยา: มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั .

รุ่งเพชร ศรอี ทุ ุมพร. (2561). เกง่ ไวยากรณอ์ ังกฤษ พชิ ติ ความสาเรจ็ (ฉบบั ปลดลอ๊ ก).
กรงุ เทพฯ: พมิ พส์ วย.

โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษน่าน Festallor Education. ความสาคัญของภาษาอังกฤษในด้านต่างๆ.
สืบค้นวันท่ี 8 พฤษภาคม 2563. เข้าถึงได้จาก https://www.festallor- edu.com/post/why-
english-is-important.

วไิ ลศักดิ์ กง่ิ คา. (2559). ภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์
สมบตั ิ คชสิทธ์ิ จันทนี อินทรสูต และธนกร สวุ รรณพฤฒ. (2560). การจัดการเรียนร้ภู าษาอังกฤษ

ให้กับผู้เรยี นยุค THAILAND 4.0. วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์ (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์).
7(2), 175-186.
แสงระวี ดอนบัวแก้ว. (2558). กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
องั ชรินทร์ ทองปาน. (2559). การสอนภาษาองั กฤษเปน็ ภาษาตา่ งประเทศ. นครราชสมี า: โฟโต้-บคุ๊ ดอทเน็ต.
Dr. Bambi - Everyday English. ภาษาอังกฤษรอบตัว small talk. สบื ค้นวนั ท่ี
18 เมษายน 2563. เข้าถึงได้จาก https://www.facebook.com/DrBambiThailand/
posts/510737992291923/.
Aja Frost. (n.a.). 48 Questions That'll Make Awkward Small Talk So Much Easier. สืบค้นวันท่ี
18 เมษายน 2563. เข้าถึงได้จาก https://www.themuse.com/advice/48-questions-thatll-
make-awkward-small-talk-so-much-easier.
Arlin Cuncic. (2020). Preparing for Small Talk: A List of the Best and Worst Topics. สืบค้นวันที่
18 เมษายน 2563. เข้าถึงได้ จาก https://www.verywellmind.com/small-talk-topics-
3024421.
A. S. Hornby. (2005). Oxford Advanced Learner's Dictionary. New York, USA: Oxford University Press.
Richarods, j. & Rodgers, T. (2002). Approaches and Methods in Language Teaching. (2nd ed).
Cambridge University Press, USA.
Wallstreetenglish. จะพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษได้อย่างไร?. สืบค้นวันที่ 8 พฤษภาคม 2563.
เข้าถงึ ไดจ้ าก www.wallstreetenglish.in.th./เรยี นภาษาอังกฤษ/จะพัฒนาทักษะการพูดภาษา.
Yuliya Geikhman. (n.a.). Be Social: 7 English Small Talk Topics for Starting Friendly
Conversations. สืบค้นวนั ที่ 18 เมษายน 2563. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก
https://www.fluentu.com/ blog/english/english-small-talk/.

“วฒั นธรรม” เปน็ เคร่อื งมอื ในกำรวัดควำมเจริญงอกงำม
ทำงดำ้ นวตั ถุ หรอื ดำ้ นจติ ใจ อกี ท้งั เป็นตัวกำหนดแนวทำง
วิถกี ำรดำเนนิ ชวี ิตใหเ้ ป็นไปตำมแบบแผนทำงสงั คม รวมถึง
เป็นตัวชว้ี ดั ควำมเสื่อมของสงั คม

รวมถึงเทคนคิ การนาเสนองานวชิ าการ

วัฒนธรรมไทยสำหรบั ครู : อำจำรยศ์ รำวุฒิ สมัญญำ


Click to View FlipBook Version