แผนการจัดการเรียนรู้ ม.3
รหัสวิชา ว23104 วิชาวิทยาศาสตร์ เทอม 2
นายอับดุลยามีน หะยีขาเดร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โรงเรียนเดชะปัตตนยานุกูล
สำนักงานเขตพื้ นที่การศึกษามัธยมศึกษาปัตตานี
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 5 ปฏกิ ริ ิยาเคมี
แผนฯ ท่ี 1 การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 1
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วทิ ยาศาสตร์
ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3
เร่อื ง การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี เวลา 5 ช่วั โมง
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง
และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร
การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี
2. ตวั ชว้ี ดั อธบิ ายการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี รวมถงึ การจดั เรยี งตัวใหมข่ องอะตอมเมือ่ เกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
โดยใชแ้ บบจาลองและสมการข้อความ
ว 2.1 ม.3/3 อธิบายกฎทรงมวล โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์
ว 2.1 ม.3/4
3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธบิ ายการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี และอธบิ ายการจัดเรียงตวั ใหม่ของอะตอมเมอ่ื เกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมไี ด้ (K)
2. อธบิ ายเกย่ี วกบั กฎทรงมวลได้ (K)
3. เขยี นสมการเคมแี ทนปฏกิ ิริยาเคมที ีเ่ กดิ ข้ึนได้ (P)
4. ทดลองเพื่ออธิบายการเกิดปฏิกิรยิ าเคมแี ละมวลกับการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมีได้ (P)
5. รับผดิ ชอบตอ่ หน้าทีท่ ่ีได้รบั มอบหมาย และม่งุ ม่ันในการศึกษา (A)
4. สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น
พจิ ารณาตามหลักสูตรของสถานศึกษา
สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
- การเกิดปฏิกิริยาเคมีหรือการเปล่ียนแปลงทาง
เคมีของสารเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทาให้เกิด
สารใหม่ โดยสารที่เข้าทาปฏิกิริยาเรียกว่าสาร
ต้ังต้นสารใหม่ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยา เรียกว่า
ผลิตภัณฑ์การเกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถเขียน
แทนได้ดว้ ยสมการขอ้ ความ
1
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 5 ปฏิกิรยิ าเคมี สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถ่ิน
แผนฯ ท่ี 1 การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี
สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง
- การเกิดปฏิกิริยาเคมีอะตอมของสารตั้งต้นจะมี
การจดั เรยี งตัวใหม่ ไดเ้ ป็นผลติ ภัณฑ์ซ่ึงมีสมบัติ
แตกต่างจากสารตั้งต้น โดยอะตอมแต่ละชนิด
กอ่ นและหลังเกิดปฏิกริ ิยาเคมมี ีจานวนเทา่ กัน
- เม่ือเกิดปฏิกิริยาเคมีมวลรวมของสารต้ังต้น
เท่ากับมวลรวมของผลิตภัณฑ์ซึ่งเปน็ ไปตามกฎ
ทรงมวล
5. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
การเกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นการที่อะตอมของสารต้ังต้นมีการจัดเรียงตัวใหม่ แล้วเกิดสารผลิตภัณฑ์ท่ีมี
สมบัตแิ ตกต่างไปจากสารเดิม โดยอะตอมแตล่ ะชนิดก่อนและหลังเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีจานวนเท่ากนั และ
เมอ่ื เกิดปฏิกริ ยิ าเคมแี ลว้ มวลรวมของสารต้ังตน้ เท่ากับมวลรวมของผลติ ภัณฑ์ ซงึ่ เป็นไปตามกฎทรงมวล
6. สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
1) ทกั ษะการสังเกต
2) ทักษะการทดลอง
3) ทักษะการลงความเหน็ จากข้อมลู
4) ทกั ษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป
5) ทกั ษะการสรา้ งแบบจาลอง
3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
7. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1. มีวินยั
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. ม่งุ มน่ั ในการทางาน
8. คาถามสาคัญ
1. ลักษณะของปฏิกริ ยิ าเคมเี ป็นอยา่ งไร
2. กฎทรงมวลกลา่ วไวว้ ่าอยา่ งไร
2
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 5 ปฏิกิริยาเคมี
แผนฯ ที่ 1 การเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี
9. กจิ กรรมการเรยี นรู้
วธิ ีการสอนโดยเนน้ รปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ชั่วโมงท่ี 1-3
ขน้ั นา
ขน้ั ท่ี 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage)
1. นกั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียนหนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 4 เรอื่ ง ปฏกิ ิริยาเคมี
2. ครูเตรียมภาพการเปลี่ยนแปลงของสารมาให้นักเรียนพิจารณา เช่น การละลายของน้าแข็ง การเกิด
สนิมเหล็ก
3. นักเรียนร่วมกันอภิปรายเก่ียวกับภาพที่ครูนามาให้พิจารณา โดยครูอาจใช้คาถามนาสู่การอภิปราย
เชน่
- นกั เรยี นคดิ ว่าการเปล่ียนแปลงท้งั 2 ภาพ เหมือนหรือแตกตา่ งกันอยา่ งไร
(แนวตอบ พิจารณาจากคาตอบของนักเรียน โดยมีแนวตอบ คือ แตกต่างกัน การละลายของ
น้าแข็งเป็นการเปลยี่ นแปลงทางกายภาพ สว่ นการเกิดสนิมเป็นการเปลย่ี นแปลงทางเคมี)
- การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและการเปล่ยี นแปลงทางเคมีแตกต่างกนั อยา่ งไร
(แนวตอบ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เป็นการเปล่ียนแปลงของสารท่ีเกี่ยวกับสมบัติกายภาพ
โดยไม่มีผลต่อองค์ประกอบภายใน และไม่เกิดสารใหม่ ส่วนการเปล่ียนแปลงทางเคมี เป็นการ
เปลี่ยนแปลงของสารท่ีเกี่ยวข้องกับสมบัติทางเคมี ซ่ึงมีผลต่อองค์ประกอบภายใน และสารจะมี
สมบัตติ ่างไปจากเดมิ )
4. ครูอภิปรายเพือ่ ให้นักเรียนเข้าใจวา่ การเปลย่ี นแปลงทางเคมี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การเกดิ ปฏกิ ิริยา
เคมี
3
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 5 ปฏกิ ิรยิ าเคมี
แผนฯ ท่ี 1 การเกิดปฏิกิรยิ าเคมี
ข้นั สอน
ขัน้ ท่ี 2 สารวจคน้ หา (Explore)
1. นกั เรยี นแบง่ กลุ่ม กลมุ่ ละ 3 คน ร่วมกนั ปฏบิ ัติกจิ กรรม เร่อื ง การเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี จากหนังสือเรยี น
รายวชิ าพื้นฐาน (ชดุ สัมฤทธิ์มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
2. นกั เรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลจากการทากจิ กรรม เร่ือง การเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี
3. นักเรียนร่วมกันสรุปและอภิปรายผลจากกิจกรรม ซ่ึงควรสรุปได้ ดังนี้ “การเกิดปฏิกิริยาเคมีสังเกต
ได้จากการเปลี่ยนสี การตกตะกอน การเกิดแก๊ส การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ โดยสารท่ีนามาทา
ปฏิกิริยากัน เรียกว่า สารต้ังต้น ส่วนสารที่เกิดขึ้นใหม่ เรียกว่า ผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีสมบัติต่างไปจากสาร
ต้ังต้น”
4. ครูนาอภิปรายเพ่ือให้นักเรียนเข้าใจว่า การที่ผลิตภัณฑ์ท่ีเกิดขึ้นมีสมบัติแตกต่างไปจากสารต้ังต้น
เป็นผลมาจากจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมเน่ืองมาจากการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี จากนั้นนาอภิปรายต่อวา่
การทาปฏิกิริยาเคมีของสารต้ังต้นแล้วเกิดเป็นผลิตภณั ฑ์น้ัน สามารถเขียนแทนด้วยสมการข้อความ
เรียกวา่ สมการเคมี
5. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษา เร่ือง สมการเคมี โดยศึกษาข้อมูลจากหนงั สือเรยี นรายวิชาพ้นื ฐาน
(ชดุ สมั ฤทธมิ์ าตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 หรอื แหลง่ เรยี นรอู้ นื่ ๆ เช่น อนิ เทอร์เน็ต ห้องสมดุ
6. ครูซักถามนักเรียนว่า นักเรียนคิดว่าในการเกิดปฏิกิริยาเคมีมวลรวมของสารก่อนเกิดปฏิกิริยาและ
มวลรวมของสารหลงั เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าจะมคี า่ เท่ากันหรือไม่
7. นกั เรียนกลมุ่ เดมิ ร่วมกันปฏบิ ัตกิ ิจกรรม เรอื่ ง มวลกบั การเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี จากหนงั สอื เรยี นรายวิชา
พืน้ ฐาน (ชดุ สัมฤทธ์มิ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
8. นักเรียนแต่ละกล่มุ นาเสนอผลจากการทากิจกรรม เร่ือง มวลกบั การเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี
9. นักเรียนร่วมกันสรุปและอภิปรายผลจากกิจกรรม ซึ่งควรสรุปได้ ดังนี้ “ในปฏิกิริยาเคมีใด ๆ มวล
ของสารกอ่ นเกดิ ปฏกิ ิริยาจะเทา่ กับมวลของสารหลังทาปฏิกริ ิยา ซึ่งเปน็ ไปตามกฎทรงมวล”
10. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสรุปความรู้ เร่ือง การเกิดปฏิกิริยาเคมี ลงในสมุดประจาตัวของนักเรียน
ชั่วโมงท่ี 4
ขั้นที่ 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
11. ครูตั้งคาถามให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายและตอบคาถามจากการศึกษา เร่ือง การเกิดปฏิกิริยาเคมี
เช่น
- ให้นกั เรยี นระบวุ ่าการเปลยี่ นแปลงที่กาหนดให้มีปฏิกริ ิยาเคมเี กดิ ขน้ึ หรือไม่
4
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 5 ปฏกิ ิริยาเคมี
แผนฯ ท่ี 1 การเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี
• การต้มน้าจนเดือดกลายเปน็ ไอ
(แนวตอบ ไมเ่ กิดปฏิกิริยาเคม)ี
• การใส่สังกะสีลงในกรดเกลือ แล้วมฟี องแกส๊ เกิดข้ึน
(แนวตอบ เกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี)
• การบูดของข้าว
(แนวตอบ เกิดปฏกิ ริ ยิ าเคม)ี
• การผสมนา้ ตาลลงในนา้ จนกลายเปน็ นา้ เช่อื ม
(แนวตอบ ไม่เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคม)ี
• การจุดไมข้ ดี ไฟ
(แนวตอบ เกิดปฏกิ ิรยิ าเคม)ี
• การผุกร่อนของท่อนา้ ทท่ี าจากเหลก็
(แนวตอบ เกิดปฏิกริ ิยาเคมี)
- ใหน้ ักเรียนยกตวั อย่างปฏกิ ิริยาเคมีทเี่ กดิ ขน้ึ ในชวี ิตประจาวันมา 5 ปฏกิ ิริยา
(แนวตอบ ตัวอย่างเช่น ปฏิกิริยาการย่อยอาหาร ปฏิกิริยาในดอกไม้ไฟ ปฏิกิริยาการสลายตัวของ
ผงฟู ปฏิกิริยาในแบตเตอรี่ ปฏกิ ิริยาการเกดิ สบ)ู่
12. ครูกาหนดปฏิกิรยิ าเคมี ดงั น้ี
- แก๊สบิวเทน (C4H10) ทาปฏิกิริยากับแกส๊ ออกซิเจน (O2) ได้แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และไอ
น้า (H2O) เปน็ ผลติ ภณั ฑ์
- สารละลายกรดไฮโดรคลอริก (HCl) ทาปฏิกิริยากับซิงค์ซัลไฟด์ (ZnS) ได้สารละลายซิงค์คลอไรด์
(ZnCl2) และแกส๊ ไฮโดรเจนซลั ไฟด์ (H2S) เป็นผลติ ภัณฑ์
- กามะถัน (S) ทาปฏิกิริยากับสารละลายกรดซัลฟิวริก (H2SO4) ได้น้า (H2O) และแก๊สซัลเฟอร์ได
ออกไซด์ (SO2) เปน็ ผลิตภณั ฑ์
- สารละลายแอมโมเนีย (NH3) ทาปฏิกิริยากับแก๊สออกซิเจน (O2) ได้แก๊สไนโตรเจนมอนอกไซด์
(NO) และน้า (H2O) เปน็ ผลติ ภัณฑ์
- ซิลเวอร์ (I) ออกไซด์ (Ag2O) ทาปฏิกิริยากับสารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) ได้โลหะ
เงนิ (Ag) น้า (H2O) และแกส๊ ออกซิเจน (O2) เปน็ ผลติ ภัณฑ์
แล้วให้นักเรียนเขียนสมการเคมีแทนปฏิกริ ิยาเคมีท่ีกาหนดพร้อมดลุ สมการให้ถูกต้อง บันทกึ ลงในใบ
งานที่ 4.1.1 เรอ่ื ง การเขยี นสมการเคมี
5
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 5 ปฏิกิรยิ าเคมี
แผนฯ ที่ 1 การเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี
ชวั่ โมงที่ 5
ขนั้ ท่ี 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
13. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน จากน้ันให้แต่ละกลุ่มออกแบบและสร้างแบบจาลอง เพ่ืออธิบาย
และเปรียบเทียบการจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมก่อนและหลังการเกิดปฏิกิริยา โดยใชส้ มการข้อความท่ี
ครกู าหนดให้
14. นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอและอธิบายแบบจาลองที่สร้างข้ึน จากนั้นครูและนักเรียนร่วมกัน
อภปิ รายเพอื่ ตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้อง
ข้ันสรปุ
ขน้ั ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. นกั เรยี นร่วมกันสรุปความรูเ้ กีย่ วกบั การเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยมแี นวการสรุป ดังน้ี
“การเกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นการท่ีอะตอมของสารต้ังต้นมีการจัดเรียงตัวใหม่ แล้วเกิดผลิตภัณฑ์ที่มีสมบัติ
แตกต่างไปจากสารเดิม โดยอะตอมแต่ละชนิดก่อนและหลังเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีจานวนเท่ากัน ซึ่งการ
เกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถเขียนแทนได้ด้วยสมการข้อความ เรยี กว่า สมการเคมี และเมื่อเกิดปฏิกริ ิยาเคมี
แล้วมวลรวมของสารตัง้ ต้นเท่ากับมวลรวมของผลิตภัณฑ์ ซ่ึงเปน็ ไปตามกฎทรงมวล”
2. ให้นักเรียนแต่ละคนทา Exercise 1.1 จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธิ์มาตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
3. ครูตรวจสอบผลการทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 4 ปฏิกริ ิยาเคมี
4. ครปู ระเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล พฤติกรรม
การทางานกลุ่ม
5. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัตกิ ิจกรรม เร่อื ง การเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี
6. ครูตรวจสอบผลการปฏิบตั ิกจิ กรรม เรื่อง มวลกบั การเกิดปฏิกิริยาเคมี
7. ครตู รวจสอบผลการทาใบงานที่ 4.1.1 เร่อื ง การเขยี นสมการเคมี
8. ครูตรวจสอบผลการทา Exercise 1.1 จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธิ์มาตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
6
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 5 ปฏิกริ ิยาเคมี
แผนฯ ที่ 1 การเกิดปฏิกิรยิ าเคมี
10. การวดั และประเมินผล
รายการวัด วิธกี าร เครือ่ งมอื เกณฑ์การประเมิน
10.1 การประเมนิ ก่อนเรียน
- แบบทดสอบก่อน - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบก่อน - ประเมนิ ตามสภาพ
เรยี น หน่วยการเรยี นรู้ที่ 4 กอ่ นเรยี น เรียน จรงิ
ปฏิกิรยิ าเคมี
10.2 การประเมินระหวา่ ง
การจดั กิจกรรม
1) การเกดิ ปฏิกิริยาเคมี - ตรวจใบงานท่ี 4.1.1 - ใบงานที่ 4.1.1 - รอ้ ยละ 60 ผา่ น
- ตรวจ Exercise 1.1 - Exercise 1.1 เกณฑ์
2) การปฏบิ ตั ิการ - ประเมินการ - แบบประเมิน - ระดับคุณภาพ 2
ปฏบิ ัติการ การปฏิบัติการ ผ่านเกณฑ์
3) พฤติกรรมการ - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกต - ระดบั คณุ ภาพ 2
ทางาน การทางานรายบุคคล พฤติกรรม ผ่านเกณฑ์
รายบุคคล การทางานรายบุคคล
4) พฤติกรรมการ - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกต - ระดบั คณุ ภาพ 2
ทางาน การทางานกลุ่ม พฤติกรรม ผา่ นเกณฑ์
กลุ่ม การทางานกลุ่ม
5) การนาเสนอผลงาน - ประเมินการนาเสนอ - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2
ผลงาน การนาเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์
6) คุณลกั ษณะอันพึง - สังเกตความมีวินัย - แบบประเมิน - ระดบั คุณภาพ 2
ประสงค์ ใฝเ่ รียนรู้ และมุ่งม่ัน คณุ ลกั ษณะ ผา่ นเกณฑ์
ในการทางาน อันพึงประสงค์
11. สือ่ /แหล่งการเรียนรู้
11.1 ส่อื การเรียนรู้
1) หนงั สือเรยี นรายวชิ าพ้ืนฐาน (ชุด สมั ฤทธิ์มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 4
ปฏิกิรยิ าเคมี
2) ใบงานที่ 4.1.1 เร่อื ง การเขยี นสมการเคมี
3) บัตรภาพการเปล่ยี นแปลงของสาร
7
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 5 ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
แผนฯ ท่ี 1 การเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
11.2 แหลง่ การเรียนรู้
1) ห้องเรยี น
2) หอ้ งปฏบิ ตั ิการวทิ ยาศาสตร์
3) อนิ เทอร์เนต็
8
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 5 ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
แผนฯ ที่ 1 การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี
ใบงานที่ 4.1.1
เร่อื ง การเขยี นสมการเคมี
คาช้แี จง : ใหน้ ักเรยี นเขยี นสมการเคมแี ทนปฏิกริ ยิ าเคมีที่กาหนดให้พร้อมดลุ สมการให้ถูกต้อง
1. แกส๊ บวิ เทน (C4H10) ทาปฏิกิรยิ ากบั แกส๊ ออกซิเจน (O2) ได้แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) และไอน้า
(H2O) เปน็ ผลิตภัณฑ์
2. สารละลายกรดไฮโดรคลอริก (HCl) ทาปฏิกิริยากับซิงค์ซัลไฟด์ (ZnS) ได้สารละลายซิงค์คลอไรด์
(ZnCl2) และแก๊สไฮโดรเจนซลั ไฟด์ (H2S) เปน็ ผลติ ภัณฑ์
3. กามะถัน (S) ทาปฏิกิริยากับสารละลายกรดซัลฟิวริก (H2SO4) ได้น้า (H2O) และแก๊สซัลเฟอร์ได
ออกไซด์ (SO2) เปน็ ผลติ ภณั ฑ์
4. สารละลายแอมโมเนยี (NH3) ทาปฏกิ ิริยากับแกส๊ ออกซเิ จน (O2) ได้แก๊สไนโตรเจนมอนอกไซด์ (NO)
และนา้ (H2O) เป็นผลติ ภณั ฑ์
5. ซิลเวอร์ (I) ออกไซด์ (Ag2O) ทาปฏิกิริยากับสารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) ได้โลหะเงิน
(Ag) นา้ (H2O) และแกส๊ ออกซิเจน (O2) เปน็ ผลติ ภณั ฑ์
9
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 5 ปฏิกริ ยิ าเคมี
แผนฯ ท่ี 1 การเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
ใบงานท่ี 4.1.1 เฉลย
เรอื่ ง การเขียนสมการเคมี
คาชีแ้ จง : ใหน้ กั เรียนเขยี นสมการเคมีแทนปฏิกิรยิ าเคมีที่กาหนดให้พร้อมดุลสมการให้ถูกต้อง
1. แก๊สบวิ เทน (C4H10) ทาปฏิกิรยิ ากับแกส๊ ออกซเิ จน (O2) ไดแ้ ก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และไอน้า
(H2O) เปน็ ผลิตภณั ฑ์
2C4H10 (g) + 13O2 (g) → 8CO2 (g) + 10H2O (g)
2. สารละลายกรดไฮโดรคลอริก (HCl) ทาปฏิกิริยากับซิงค์ซัลไฟด์ (ZnS) ได้สารละลายซิงค์คลอไรด์
(ZnCl2) และแกส๊ ไฮโดรเจนซลั ไฟด์ (H2S) เป็นผลิตภณั ฑ์
2HCl (aq) + ZnS (s) → ZnCl2 (aq) + H2S (g)
3. กามะถัน (S) ทาปฏิกิริยากับสารละลายกรดซัลฟิวริก (H2SO4) ได้น้า (H2O) และแก๊สซัลเฟอร์ได
ออกไซด์ (SO2) เป็นผลิตภณั ฑ์
S (s) + 2H2SO4 (aq) → 2H2O (l) + 3SO2 (g)
4. สารละลายแอมโมเนีย (NH3) ทาปฏิกริ ิยากับแก๊สออกซิเจน (O2) ได้แก๊สไนโตรเจนมอนอกไซด์ (NO)
และนา้ (H2O) เป็นผลติ ภัณฑ์
4NH3 (aq) + 5O2 (g) → 4NO (g) + 6H2O (l)
5. ซิลเวอร์ (I) ออกไซด์ (Ag2O) ทาปฏิกิริยากับสารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) ได้โลหะเงิน
(Ag) น้า (H2O) และแกส๊ ออกซเิ จน (O2) เปน็ ผลิตภัณฑ์
Ag2O (s) + H2O2 (aq) → 2Ag (s) + H2O (l) + O2 (g)
10
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 5 ปฏกิ ริ ิยาเคมี
แผนฯ ที่ 1 การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
บตั รภาพการเปลยี่ นแปลงของสาร
11
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 5 ปฏิกริ ิยาเคมี
แผนฯ ท่ี 1 การเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
12. ความเห็นของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาหรอื ผู้ท่ไี ด้รบั มอบหมาย
ขอ้ เสนอแนะ
ลงชือ่ .................................
( ................................ )
ตาแหน่ง .......
13. บันทกึ ผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ด้านสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน
ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
ดา้ นความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ด้านอืน่ ๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤตกิ รรมทีม่ ปี ัญหาของนักเรียนเป็นรายบคุ คล (ถ้าม)ี )
ปญั หา/อปุ สรรค
แนวทางการแก้ไข
12
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 5 ปฏิกิริยาเคมี
แผนฯ ท่ี 2 ประเภทของปฏิกิริยาเคมี
แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 2
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วิทยาศาสตร์
ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3
เรอ่ื ง ประเภทของปฏกิ ริ ิยาเคมี เวลา 2 ชว่ั โมง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง
และแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร
การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี
2. ตัวชี้วัด
ว 2.1 ม.3/5 วิเคราะห์ปฏิกิริยาดูดความร้อน และปฏิกิริยาคายความร้อน จากการเปลี่ยนแปลง
พลังงานความรอ้ นของปฏกิ ริ ยิ า
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. ระบุประเภทของปฏกิ ิริยาจากการเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อนได้ (K)
2. ทดลองเพอ่ื ระบุการเปลย่ี นแปลงพลงั งานความร้อนของปฏิกริ ยิ าเคมไี ด้ (P)
3. รบั ผดิ ชอบตอ่ หนา้ ทีท่ ไ่ี ด้รับมอบหมาย และม่งุ มัน่ ในการศึกษา (A)
4. สาระการเรียนรู้ สาระการเรยี นรทู้ ้องถ่นิ
พจิ ารณาตามหลักสูตรของสถานศึกษา
สาระการเรียนรู้แกนกลาง
- เม่ือเกิดปฏิกิริยาเคมีมีการถ่ายโอนความร้อน
ควบคู่ไปกับการจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมของ
สาร ปฏิกิริยาท่ีมีการถ่ายโอนความร้อนจาก
สิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบเป็นปฏิกิริยาดูดความ
ร้อน ปฏิกิริยาที่มีการถ่ายโอนความร้อนจาก
ระบบออกสู่ส่ิงแวดล้อมเป็นปฏิกิริยาคายความ
ร้อน โดยใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการวัด
อุณหภูมิ เช่น เทอร์มอมิเตอร์หัววัดที่สามารถ
ตรวจสอบการเปล่ียนแปลงของอุณหภูมิได้อย่าง
ตอ่ เนอื่ ง
13
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 5 ปฏิกิรยิ าเคมี
แผนฯ ที่ 2 ประเภทของปฏิกิริยาเคมี
5. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
เม่ือเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการถ่ายโอนความร้อนควบคู่ไปกับการจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมของสาร
ปฏิกิริยาที่มีการถ่ายโอนความร้อนจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบเป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน ปฏิกิริยาที่มีการ
ถ่ายโอนความรอ้ นจากระบบออกสู่สิ่งแวดลอ้ มเป็นปฏิกริ ยิ าคายความรอ้ น
6. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคดิ
1) ทกั ษะการสังเกต
2) ทักษะการทดลอง
3) ทกั ษะการลงความเห็นจากขอ้ มลู
4) ทกั ษะการตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรุป
3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
7. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มงุ่ ม่ันในการทางาน
8. คาถามสาคัญ
1. ปฏิกิรยิ าเคมแี บ่งออกเปน็ ก่ปี ระเภท อะไรบ้าง
9. กจิ กรรมการเรยี นรู้
วิธีการสอนโดยเนน้ รปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ชว่ั โมงท่ี 1
ข้ันนา
ข้ันท่ี 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engage)
1. ครูทบทวนความรู้เก่ียวกับปฏิกิริยาเคมีท่ีพบในชีวิตประจาวัน จากนั้นนาอภิปรายเพื่อให้นักเรียน
สามารถลงข้อสรุปได้ว่า ระบบเป็นสิ่งท่ีเราต้องการศึกษา ส่วนส่ิงท่ีนอกเหนือจากระบบเป็น
สง่ิ แวดลอ้ ม
14
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 5 ปฏิกริ ิยาเคมี
แผนฯ ที่ 2 ประเภทของปฏกิ ิริยาเคมี
2. ครกู ระตุน้ ใหน้ ักเรียนเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับการเปล่ียนแปลงพลังงานความร้อนของระบบที่มปี ฏิกิริยา
เคมีเกิดข้ึน โดยอาจใชค้ าถาม เชน่
- นักเรียนคิดว่าปฏกิ ิริยาเคมีที่เกิดขึ้นทุกปฏิกิริยาจะมีการเปลยี่ นแปลงพลงั งานความร้อนของระบบ
เหมอื นกนั ทกุ ปฏกิ ริ ิยาหรือไม่
(แนวตอบ พิจารณาจากคาตอบของนักเรียน โดยมีแนวตอบ คือ ปฏิกิริยาเคมีท่ีเกิดขึ้นแต่ละ
ปฏกิ ริ ยิ าจะมีการเปลย่ี นแปลงพลงั งานความร้อนในระบบท่แี ตกต่างกัน)
3. ครูนาอภิปรายเพ่ือให้นักเรยี นเข้าใจว่า การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีกระบวนการสาคัญ 2 กระบวนการ
คือ กระบวนการดูดพลังงานเพื่อสลายพันธะของสารตั้งต้น และกระบวนการคายพลังงานเพื่อสร้าง
พนั ธะของผลติ ภัณฑ์ ซ่งึ ในแตล่ ะปฏกิ ิรยิ าจะมีเปลย่ี นแปลงพลงั งานทแี่ ตกต่างกัน
ขน้ั สอน
ข้ันที่ 2 สารวจค้นหา (Explore)
1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน ร่วมกันปฏิบัติกิจกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อน
ของปฏกิ ริ ยิ า จากหนังสือเรียนรายวิชาพน้ื ฐาน (ชดุ สมั ฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
2. นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลจากการทากจิ กรรม เรอ่ื ง การการเปลยี่ นแปลงพลงั งานความร้อนของ
ปฏิกริ ยิ า
3. นักเรยี นรว่ มกันสรปุ และอภปิ รายผลจากกจิ กรรม ซึ่งควรสรุปได้ ดงั น้ี
“ปฏิกิริยาเคมีส่วนมากจะมีการถ่ายโอนความร้อน โดยปฏิกิริยาท่ีอุณหภูมิต่าลงจะมีการถ่ายโอน
ความร้อนจากสงิ่ แวดล้อมเข้าสู่ระบบ จดั เป็นปฏกิ ิริยาดดู ความร้อน สว่ นปฏิกริ ิยาทอ่ี ณุ หภมู สิ ูงข้ึนจะ
มกี ารถา่ ยโอนความรอ้ นจากระบบออกสสู่ ง่ิ แวดล้อม จดั เปน็ ปฏกิ ิริยาคายความร้อน”
4. นักเรียนจับคู่กับเพื่อที่น่ังข้างกัน แล้วร่วมกันสรุปความรู้ เรื่อง ประเภทของปฏิกิริยาเคมี ลงในสมุด
ประจาตัวของนกั เรยี น
ช่วั โมงท่ี 2
ข้นั ที่ 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
5. ให้นกั เรยี นร่วมกนั ตอบวา่ ลกั ษณะทกี่ าหนดนั้นเปน็ ปฏิกิรยิ าเคมีประเภทใด
- ปฏิกริ ยิ าทีส่ ารตง้ั ต้นมพี ลังงานต่ากว่าผลิตภณั ฑ์
(ปฏกิ ิริยาดดู ความร้อน)
- ปฏกิ ิริยาทผี่ ลติ ภัณฑ์มีพลังงานต่ากวา่ สารตง้ั ตน้
(ปฏิกิรยิ าคายความรอ้ น)
- ปฏิกริ ิยาท่ีเม่ือเอามือสมั ผสั ภาชนะจะร้สู กึ รอ้ น
15
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 5 ปฏกิ ิรยิ าเคมี
แผนฯ ที่ 2 ประเภทของปฏกิ ิรยิ าเคมี
(ปฏกิ ริ ิยาคายความรอ้ น)
- ปฏิกิรยิ าท่เี มื่อเอามือสัมผัสภาชนะจะร้สู ึกเย็น
(ปฏิกิรยิ าดูดความร้อน)
- ปฏิกิรยิ าท่ดี ูดพลงั งานเขา้ ไปสลายพนั ธะมากกวา่ ท่ีคายออกมาเพื่อสร้างพนั ธะ
(ปฏกิ ิรยิ าดดู ความร้อน)
- ปฏกิ ิริยาที่ดูดพลงั งานเข้าไปสลายพันธะนอ้ ยกวา่ ที่คายออกมาเพื่อสร้างพันธะ
(ปฏิกิริยาคายความรอ้ น)
ขน้ั ท่ี 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
6. ครูให้นักเรียนท่ีจับคู่กันร่วมกันสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับประเภทของปฏิกิริยาเคมีเพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้
ต่าง ๆ เช่น ห้องสมุด อินเทอร์เน็ต แล้วยกตัวอย่างปฏิกิริยาเคมีมาคู่ละ 5 ปฏิกิริยา พร้อมระบุว่า
ปฏกิ ริ ยิ าน้ันเป็นปฏกิ ิริยาดดู ความร้อนหรอื คายความร้อน บนั ทกึ ลงกระดาษ A4 สง่ ครูผสู้ อน
ขน้ั สรุป
ขน้ั ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. นักเรยี นร่วมกันสรปุ ความรู้เกย่ี วกบั การประเภทของปฏิกิริยาเคมี โดยมีแนวการสรุป ดังนี้
“ปฏิกิริยาที่มีการถ่ายโอนพลังงานความร้อนจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบ เรียกว่า ปฏิกิริยาดูดความร้อน
สว่ นปฏกิ ริ ิยาที่มีการถ่ายโอนความร้อนจากระบบออกสสู่ ิ่งแวดล้อม เรียกวา่ ปฏกิ ิริยาคายความร้อน”
2. ให้นักเรียนแต่ละคนทา Exercise 2.1 จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิมาตรฐาน)
วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
3. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤติกรรมการทางานรายบุคคล พฤติกรรมการ
ทางานกลุ่ม
4. ครตู รวจสอบผลการปฏิบตั ิกิจกรรม เรอ่ื ง การเปล่ยี นแปลงพลังงานความร้อนของปฏกิ ิรยิ า
5. ครูตรวจสอบผลการทา Exercise 2.1 จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิมาตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
10. การวัดและประเมนิ ผล
รายการวัด วธิ ีการ เครื่องมอื เกณฑ์การประเมิน
10.1 การประเมนิ ระหวา่ ง - Exercise 2.1 - รอ้ ยละ 60
- แบบประเมิน ผา่ นเกณฑ์
การจัดกิจกรรม - ระดับคณุ ภาพ 2
การปฏบิ ัติการ ผ่านเกณฑ์
1) ประเภทของ - ตรวจ Exercise 2.1
ปฏิกริ ิยาเคมี
2) การปฏิบตั ิการ - ประเมินการ
ปฏบิ ัติการ
16
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 5 ปฏกิ ิริยาเคมี
แผนฯ ที่ 2 ประเภทของปฏกิ ริ ยิ าเคมี
3) พฤติกรรมการ - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกต - ระดับคณุ ภาพ 2
ทางาน
การทางานรายบุคคล พฤติกรรม ผา่ นเกณฑ์
รายบุคคล
4) พฤติกรรมการ การทางานรายบุคคล
ทางาน
- สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกต - ระดับคุณภาพ 2
กลมุ่
5) คุณลกั ษณะอันพึง การทางานกลุ่ม พฤติกรรม ผา่ นเกณฑ์
ประสงค์ การทางานกลุ่ม
- สังเกตความมวี ินยั - แบบประเมิน - ระดบั คณุ ภาพ 2
ใฝเ่ รยี นรู้ และมุง่ มัน่ คณุ ลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์
ในการทางาน อันพงึ ประสงค์
11. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
11.1 สอ่ื การเรียนรู้
1) หนังสือเรยี นรายวชิ าพ้ืนฐาน (ชุด สมั ฤทธม์ิ าตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 4
ปฏกิ ริ ิยาเคมี
11.2 แหลง่ การเรยี นรู้
1) หอ้ งเรียน
2) หอ้ งปฏบิ ัตกิ ารวิทยาศาสตร์
3) อนิ เทอรเ์ นต็
17
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 5 ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
แผนฯ ที่ 2 ประเภทของปฏกิ ริ ยิ าเคมี
12. ความเหน็ ของผ้บู ริหารสถานศึกษาหรอื ผู้ท่ไี ด้รบั มอบหมาย
ขอ้ เสนอแนะ
ลงชือ่ .................................
( ................................ )
ตาแหน่ง .......
13. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ดา้ นความรู้
ด้านสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน
ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
ดา้ นความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ดา้ นอน่ื ๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤตกิ รรมทีม่ ปี ัญหาของนักเรียนเป็นรายบคุ คล (ถ้าม)ี )
ปญั หา/อปุ สรรค
แนวทางการแกไ้ ข
18
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 5 ปฏิกิริยาเคมี
แผนฯ ที่ 3 ปฏกิ ริ ิยาเคมใี นชวี ิตประจาวนั
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 3
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชา วทิ ยาศาสตร์
ระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3
เรอ่ื ง ปฏกิ ิริยาเคมีในชีวติ ประจาวนั เวลา 6 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง
และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร
การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี
2. ตัวชว้ี ัด อธิบายปฏิกิริยาการเกิดสนิมของเหล็ก ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรด
กับเบส และปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ และอธิบาย
ว 2.1 ม.3/6 ปฏิกิริยาการเผาไหม้ การเกิดฝนกรด การสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้สารสนเทศ
รวมทัง้ เขียนสมการข้อความแสดงปฏกิ ริ ยิ าดังกลา่ ว
ว 2.1 ม.3/7 ระบุประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมีที่มีต่อส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม และ
ว 2.1 ม.3/8 ยกตัวอย่างวิธีการป้องกันและแก้ปัญหาท่ีเกิดจากปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจาวัน
จากการสืบคน้ ขอ้ มูล
ออกแบบวธิ ีแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน โดยใชค้ วามรเู้ กยี่ วกับปฏิกริ ิยาเคมโี ดยบรู ณา
การวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวศิ วกรรมศาสตร์
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. อธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจาวันโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และข้อมูลสารสนเทศได้
(K)
2. ระบปุ ระโยชน์และโทษของปฏกิ ิรยิ าเคมีทีพ่ บในชีวิตประจาวันทมี่ ีตอ่ สิง่ มชี ีวติ และส่ิงแวดล้อมได้ (K)
3. ยกตวั อย่างวิธกี ารปอ้ งกนั และแก้ปญั หาที่เกิดจากผลของปฏิกิริยาเคมีท่พี บในชีวติ ประจาวนั (K)
4. อธิบายวิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจาวันหรืออธิบายการสร้างนวัตกรรมที่เก่ียวกับปฏิกิริยาเคมีโดยบูรณา
การวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมได้ (K)
5. เขียนสมการข้อความแสดงถึงสารตั้งต้นท่ีเข้าทาปฏิกิริยากันและผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในปฏิกิริยาเคมีใน
ชวี ติ ประจาวนั ได้ (P)
6. รบั ผดิ ชอบต่อหน้าท่ีทีไ่ ด้รับมอบหมาย และมงุ่ ม่ันในการศึกษา (A)
19
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 5 ปฏิกิรยิ าเคมี สาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน
แผนฯ ท่ี 3 ปฏกิ ิริยาเคมใี นชวี ติ ประจาวนั พจิ ารณาตามหลักสูตรของสถานศกึ ษา
4. สาระการเรยี นรู้
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
- ปฏกิ ิริยาเคมที ่ีพบในชีวิตประจาวันมีหลายชนิด
เช่น ปฏิกิริยาการเผาไหม้ การเกิดสนิมของ
เหล็ก ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของ
กรดกับเบส ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ การเกิด
ฝนกรด การสังเคราะห์ด้วยแสง ปฏิกิริยาเคมี
สามารถเขียนแทนได้ด้วยสมการข้อความ ซึ่ง
แสดงชือ่ ของสารตัง้ ต้นและผลิตภณั ฑ์ เชน่
เช้ือเพลงิ + ออกซิเจน→คารบ์ อนไดออกไซด์ + นา้
ปฏิกิริยาการเผาไหม้เป็นปฏิกิริยาระหว่างสาร
กับแก๊สออกซิเจน สารที่เกิดปฏิกิริยาการเผา
ไหมส้ ว่ นใหญ่เป็นสารประกอบท่มี ีคารบ์ อนและ
ไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ ซึ่งถ้าเกิดการเผา
ไ ห ม้ อ ย่ า ง ส ม บู ร ณ์ จ ะ ไ ด้ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ เ ป็ น
คาร์บอนไดออกไซด์และน้า
- การเกิดสนิมของเหล็ก เกิดจากปฏิกิริยาเคมี
ระหว่างเหล็ก น้า และแก๊สออกซิเจน ได้
ผลิตภัณฑเ์ ป็นสนิมของเหลก็
- ปฏิกิริยาการเผาไหม้และการเกิดสนิมของเหล็ก
เป็นปฏกิ ิรยิ าระหว่างสารต่าง ๆ กบั แกส๊ ออกซเิ จน
- ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะกรดทาปฏิกิริยากับ
โลหะได้หลายชนิด ได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือของ
โลหะและแก๊สไฮโดรเจน
- ปฏิกิริยาของกรดกับสารประกอบคาร์บอเนต
ได้ผลิตภัณฑ์เปน็ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ เกลอื
ของโลหะ และน้า
- ปฏิกิริยาของกรดกับเบส ได้ผลิตภัณฑ์เป็น
เกลือของโลหะและน้า หรืออาจได้เพียงเกลือ
ของโลหะ
- ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะบางชนิด ได้
ผลติ ภณั ฑ์เปน็ เกลอื ของเบสและแกส๊ ไฮโดรเจน
20
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 5 ปฏิกริ ยิ าเคมี สาระการเรียนรทู้ ้องถิน่
แผนฯ ท่ี 3 ปฏิกริ ิยาเคมีในชีวติ ประจาวนั
สาระการเรียนรู้แกนกลาง
- การเกิดฝนกรด เป็นผลจากปฏิกิริยาระหว่าง
น้าฝนกับออกไซด์ของไนโตรเจน หรือออกไซด์
ของซัลเฟอร์ทาใหน้ า้ ฝนมีสมบัติเปน็ กรด
- การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช เป็นปฏิกิริยา
ระหว่างแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์กับน้า โดยมี
แสงช่วยในการเกิดปฏิกิริยา ได้ผลิตภัณฑ์เป็น
นา้ ตาลกลโู คสและแกส๊ ออกซเิ จน
- ปฏิกิริยาเคมีท่ีพบในชีวิตประจาวันมีท้ัง
ประโยชน์และโทษต่อส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม
จงึ ต้องระมดั ระวังผลจากปฏิกิรยิ าเคมีตลอดจน
รูจ้ กั วิธปี อ้ งกันและแกป้ ัญหาทเ่ี กดิ จากปฏิกิริยา
เคมีที่พบในชีวติ ประจาวนั
5. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด
ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจาวันมีหลายชนิด เช่น ปฏิกิริยาการเผาไหม้ การเกิดสนิมของเหล็ก
ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรดกับเบส ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ การเกิดฝนกรด
การสังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจาวันมีทั้งประโยชน์และโทษต่อส่ิงมีชีวิตและ
ส่ิงแวดล้อม จึงต้องระมัดระวังผลจากปฏิกิริยาเคมีตลอดจนร้จู ักวธิ ปี ้องกันและแก้ปัญหาที่เกิดจากปฏิกริ ยิ า
เคมีที่พบในชีวติ ประจาวัน
6. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคดิ
1) ทักษะการสังเกต
2) ทักษะการทดลอง
3) ทักษะการจัดกระทาและส่ือความหมายข้อมลู
4) ทักษะการลงความเห็นจากข้อมลู
5) ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรปุ
3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
21
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 5 ปฏิกริ ิยาเคมี
แผนฯ ที่ 3 ปฏกิ ิริยาเคมีในชวี ติ ประจาวนั
7. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มงุ่ มน่ั ในการทางาน
8. คาถามสาคญั
1. ปฏกิ ิริยาเคมใี นชีวิตประจาวันมีประโยชนแ์ ละโทษอย่างไร
9. กจิ กรรมการเรยี นรู้
วธิ ีการสอนโดยเน้นรปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ชัว่ โมงท่ี 1-3
ข้นั นา
ขัน้ ท่ี 1 กระตุน้ ความสนใจ (Engage)
1. ครูเตรียมภาพปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในชีวิตประจาวัน เช่น การเกิดสนิมเหล็ก การเผาไหม้
ของถ่าน การเกดิ หินงอกหนิ ย้อย มาให้นักเรียนพจิ ารณา
22
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 5 ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
แผนฯ ที่ 3 ปฏกิ ิรยิ าเคมีในชีวติ ประจาวนั
2. นักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับภาพที่ครูนามาให้พิจารณา โดยครูอาจใช้คาถามนาสู่การอภิปราย
เชน่
- นกั เรยี นคิดวา่ ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ เหลา่ นีเ้ กดิ ขึน้ ไดอ้ ยา่ งไร
(แนวตอบ พิจารณาจากคาตอบของนักเรียน โดยมีแนวตอบ คือ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้เกิดจาก
การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี)
3. ครูอภิปรายเพ่ือให้นักเรียนเข้าใจวา่ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นจากการเกิดปฏิกิริยาเคมี ซ่ึง
เราสามารถพบปฏกิ ิรยิ าเคมีตา่ ง ๆ เหล่าน้ไี ดท้ ่ัวไปในชีวิตประจาวนั
ขน้ั สอน
ขนั้ ท่ี 2 สารวจค้นหา (Explore)
1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน ร่วมกันปฏิบัติกิจกรรม เร่ือง การเกิดสนิมของตะปูเหล็ก จาก
หนังสอื เรยี นรายวิชาพน้ื ฐาน (ชดุ สัมฤทธ์มิ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
2. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มนาเสนอผลจากการทากิจกรรม เร่ือง การเกิดสนมิ ของตะปเู หล็ก
3. นักเรียนร่วมกันสรุปและอภิปรายผลจากกิจกรรม ซึ่งควรสรุปได้ ดังน้ี “ปฏิกิริยาการเกิดสนิมของ
เหล็กเกิดจากเหล็กทาปฏิกริ ิยากับน้าและออกซิเจนในอากาศ ได้ผลติ ภัณฑเ์ ป็นสนมิ ของเหลก็ ”
4. นักเรียนกลุ่มเดิมร่วมกันปฏิบัติกิจกรรม เรื่อง ปฏิกิริยาระหว่างโลหะกับกรด เบสกับโลหะ และกรด
กบั เบส จากหนังสอื เรยี นรายวิชาพนื้ ฐาน (ชดุ สัมฤทธมิ์ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
5. นักเรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลจากการทากิจกรรม เรื่อง การปฏิกิริยาระหว่างโลหะกับกรด เบสกับ
โลหะ และกรดกับเบส
6. นักเรียนร่วมกันสรุปและอภิปรายผลจากกิจกรรม ซ่ึงควรสรุปได้ ดังน้ี “ปฏิกิริยาระหว่างโลหะกับ
กรดจะได้เกลือของโลหะและแก๊สไฮโดรเจนเป็นผลติ ภณั ฑ์ ปฏิกิริยาระหว่างเบสกับโลหะจะได้เกลือ
ของโลหะและแก๊สไฮโดรเจนเป็นผลิตภัณฑ์ ส่วนปฏิกิริยาระหว่างกรดกับเบสจะได้เกลือของโลหะ
และน้าเป็นผลติ ภณั ฑ์”
7. นักเรียนแต่ละกลมุ่ ร่วมกันศึกษา เร่ือง ชนิดของปฏิกิรยิ าเคมีในชีวิตประจาวัน โดยศึกษาข้อมูลจากหนังสือ
เรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 หรือแหล่งเรียนรู้อ่ืน ๆ เช่น
อินเทอรเ์ น็ต หอ้ งสมุด จากนนั้ ร่วมกนั อภิปรายเพือ่ สรุปความรูท้ ่ีได้ศึกษาจนมีความเข้าใจท่ตี รงกนั
8. นกั เรยี นแตล่ ะคนสรปุ ความรู้ เรือ่ ง ชนดิ ของปฏกิ ริ ยิ าเคมีในชวี ติ ประจาวัน ลงในสมุดประจาตัวของนักเรียน
9. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษา เรื่อง ประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมี โดยศึกษาข้อมูลจาก
หนังสอื เรยี นรายวชิ าพื้นฐาน (ชดุ สมั ฤทธ์ิมาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1 หรือแหล่งเรียนรู้อ่ืนๆ
เช่น อินเทอร์เน็ต ห้องสมุด จากนั้นร่วมกันอภิปรายเพ่ือสรุปความรู้ที่ได้ศึกษาจนมีความเข้าใจที่
ตรงกัน
10. นักเรยี นแตล่ ะคนสรุปความรู้ เร่อื ง ประโยชนแ์ ละโทษของปฏกิ ิริยาเคมี ลงในสมดุ ประจาตวั ของนกั เรยี น
23
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 5 ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
แผนฯ ท่ี 3 ปฏิกิรยิ าเคมใี นชวี ิตประจาวนั
ช่ัวโมงท่ี 4-5
ขัน้ ท่ี 3 อธิบายความรู้ (Explain)
11. ครูต้ังคาถามให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายและตอบคาถาม เร่ือง ชนิดของปฏิกิริยาเคมีใน
ชีวิตประจาวัน และประโยชนแ์ ละโทษของปฏิกิริยาเคมี เชน่
- ใหน้ กั เรียนเขยี นสมการเคมีแสดงปฏิกริ ิยาเคมีท่เี กดิ ขนึ้ จากสารตั้งตน้ ท่ีกาหนดให้ พรอ้ มระบวุ า่ เป็น
ปฏกิ ริ ิยาชนิดใด
• SO3 และ H2O
(แนวตอบ SO3 + H2O → H2SO4 เป็นปฏกิ ริ ยิ าการเกิดฝนกรด)
• Zn และ KOH
(แนวตอบ Zn + 2KOH → K2ZnO2 + H2 เป็นปฏกิ ริ ยิ าระหว่างเบสกบั โลหะ)
• CO2 และ H2O
(แนวตอบ 6CO2 + 6H2O → C6H12O6 + 6O2 เป็นปฏกิ ริ ยิ าการสังเคราะห์ดว้ ยแสง)
• FeO2 และ H2O
(แนวตอบ 4Fe + 3O2 + 3H2O → 2Fe2O3•3H2O เป็นปฏิกริ ิยาการเกิดสนิมของเหล็ก)
• Mg และ H2SO4
(แนวตอบ Mg + H2SO4 → MgSO4 + H2 เป็นปฏกิ ิริยาระหว่างโลหะกบั กรด)
• CaCO3 และ HNO3
(แนวตอบ CaCO3 + 2HNO3 → Ca(NO3)2 + CO2 + H2O เป็นปฏิกิริยาระหว่างกรดกับ
สารประกอบคารบ์ อเนต)
• C3H8 + O2
(แนวตอบ C3H8 + 5O2 → 3CO2 + 4H2O เป็นปฏกิ ริ ิยาการเผาไหม้แบบสมบรู ณ์)
• LiOH และ HBr
(แนวตอบ LiOH + HBr → LiBr + H2O เป็นปฏกิ ิริยาระหวา่ งกรดกบั เบส)
- ใหน้ กั เรยี นยกตวั อยา่ งประโยชนแ์ ละโทษของปฏกิ ริ ิยาเคมีที่พบในชีวติ ประจาวัน
(แนวตอบ พิจารณาจากคาตอบของนักเรียน โดยมีแนวตอบ เช่น ประโยชน์ของปฏิกิริยาเคมี เช่น
การใชผ้ งฟซู ่ึงทาให้ขนมดูนา่ รับประทาน การใช้ปนู ขาวโรยดนิ เพื่อลดความเปน็ กรดของดนิ การกนิ
ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนโทษของปฏิกิริยาเคมี เช่น ทาให้เกิดฝนกรด เกิดปรากฏการณ์
เรอื นกระจก เกิดหมอกควัน)
24
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 5 ปฏกิ ิรยิ าเคมี
แผนฯ ที่ 3 ปฏิกิรยิ าเคมใี นชวี ิตประจาวนั
ข้นั ท่ี 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
12. ครูตงั้ ประเด็นคาถามให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายว่า
- นักเรยี นคดิ ว่าเราจะมีแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาทเี่ กดิ จากปฏกิ ริ ยิ าเคมีได้อย่างไร
13. ครูนาอภิปรายว่า นักเรียนจะได้ศึกษาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมี
จากกิจกรรม เรอื่ ง การปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาที่เกิดจากปฏิกริ ิยาเคมี
14. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มปฏิบตั ิกิจกรรม เร่อื ง แนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาทีเ่ กิดจากปฏิกิริยาเคมี
จากหนงั สือเรียนรายวิชาพืน้ ฐาน (ชดุ สัมฤทธิ์มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
15. นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ส่งตวั แทนออกมานาเสนอผลการทากิจกรรมหนา้ ชัน้ เรียน จากนน้ั ครแู ละนักเรียน
รว่ มกนั อภปิ รายและสรุปผลการทากจิ กรรม
ชวั่ โมงท่ี 6
ขน้ั สรปุ
ขน้ั ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. นักเรียนร่วมกนั สรปุ ความรเู้ กี่ยวกับปฏิกิรยิ าเคมีในชวี ิตประจาวนั โดยมีแนวการสรุป ดังนี้
“ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจาวันมีหลายชนิด เช่น ปฏิกิริยาการเผาไหม้ การเกิดสนิมของเหล็ก
ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรดกับเบส ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ การเกิดฝนกรด การ
สังเคราะห์ด้วยแสง ซ่ึงปฏิกิริยาเคมีท่ีพบในชีวิตประจาวันมีทั้งประโยชน์และโทษต่อส่ิงมีชีวิตและ
ส่ิงแวดล้อม จึงต้องระมัดระวังผลจากปฏิกิริยาเคมีตลอดจนรู้จักวิธีป้องกันและแก้ปัญหาที่เกิดจาก
ปฏกิ ริ ิยาเคมีทีพ่ บในชวี ิตประจาวัน”
2. ให้นักเรียนแต่ละคนทา Exercise 3.1 จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุด สัมฤทธิ์มาตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
3. ให้นกั เรียนแต่ละคนอ่าน Summary เรื่อง ปฏิกิริยาเคมี จากหนงั สือเรียนรายวชิ าพื้นฐาน (ชดุ สมั ฤทธิ์
มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
4. ให้นักเรียนแต่ละคนทา Thinking Skills Activity จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิ
มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
5. ให้นักเรียนแต่ละคนทาแบบทดสอบพัฒนาผู้เรียน จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิ
มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
6. ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะคนทาแบบทดสอบหลงั เรียนหนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 4 เร่อื ง ปฏิกิริยาเคมี
7. ให้แต่ละคนทาข้อสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุด สัมฤทธิ์
มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
25
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 5 ปฏิกิรยิ าเคมี
แผนฯ ที่ 3 ปฏิกริ ิยาเคมใี นชวี ติ ประจาวนั
8. ให้นักเรียนทาข้อสอบแนว O-NET จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธิ์มาตรฐาน)
วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
9. ให้นักเรียนทากิจกรรม STEM Project จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุด สัมฤทธิ์มาตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
10. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤติกรรมการทางานรายบุคคล พฤติกรรมการ
ทางานกลมุ่
11. ครูตรวจสอบผลการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม เร่อื ง การเกิดสนิมของตะปูเหลก็
12. ครูตรวจสอบผลการปฏบิ ตั ิกิจกรรม เรื่อง ปฏิกิริยาระหวา่ งโลหะกบั กรด เบสกับโลหะ และกรดกับเบส
13. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกจิ กรรม เรอ่ื ง แนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากปฏิกิรยิ าเคมี
14. ครูตรวจสอบผลการทา Exercise 3.1 จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุด สัมฤทธิ์มาตรฐาน)
วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
15. ครูตรวจสอบผลการทา Thinking Skills Activity จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุด สัมฤทธิ์
มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
16. ครูตรวจสอบผลการทา แบบทดสอบพัฒนาผู้เรียน จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิ
มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
17. ครตู รวจสอบผลการทาแบบทดสอบหลงั เรยี นหนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 4 เรอื่ ง ปฏกิ ริ ิยาเคมี
18. ครูตรวจสอบผลการทาข้อสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุด
สมั ฤทธิม์ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
19. ครูตรวจสอบผลการทาข้อสอบแนว O-NET จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิมาตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
20. ครูตรวจสอบผลการทากิจกรรม STEM Project จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิ
มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
26
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 5 ปฏกิ ิริยาเคมี
แผนฯ ท่ี 3 ปฏกิ ิรยิ าเคมใี นชวี ิตประจาวนั
10. การวดั และประเมินผล
รายการวดั วธิ กี าร เครอ่ื งมือ เกณฑ์การประเมนิ
10.1 การประเมินระหว่าง
การจัดกิจกรรม
1) ปฏกิ ริ ิยาเคมีใน - ตรวจ Exercise 3.1 - Exercise 3.1 - ร้อยละ 60
ชีวิตประจาวัน ผา่ นเกณฑ์
2) การปฏิบตั ิการ - ประเมนิ การ - แบบประเมนิ - ระดับคณุ ภาพ 2
ปฏบิ ัตกิ าร การปฏบิ ัติการ ผา่ นเกณฑ์
3) พฤติกรรมการทางาน - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
รายบุคคล การทางาน การทางานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์
รายบุคคล
4) พฤติกรรมการทางาน - สังเกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
กลุ่ม การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
5) การนาเสนอผลงาน - ประเมนิ การนาเสนอ - แบบประเมนิ - ระดบั คณุ ภาพ 2
ผลงาน การนาเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์
6) คุณลกั ษณะอันพึง - สังเกตความมีวินัย - แบบประเมนิ - ระดบั คุณภาพ 2
ประสงค์ ใฝเ่ รียนรู้ และมุง่ มัน่ คุณลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์
ในการทางาน อันพงึ ประสงค์
10.2 การประเมินหลังเรียน
1) แบบทดสอบหลังเรียน - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบหลังเรียน - รอ้ ยละ 60
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 4 หลงั เรยี น ผ่านเกณฑ์
ปฏกิ ิรยิ าเคมี
2) Thinking - ตรวจ Thinking - Thinking Skills - ร้อยละ 60
Skills Activity Skills Activity Activity ผ่านเกณฑ์
3) แบบทดสอบ - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบ - รอ้ ยละ 60
พัฒนาผเู้ รียน พฒั นาผู้เรียน พฒั นาผเู้ รียน ผา่ นเกณฑ์
4) ข้อสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ - ตรวจข้อสอบวดั ผล - ข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ - ร้อยละ 60
ทางการเรยี น สัมฤทธิท์ างการเรียน ทางการเรยี น ผา่ นเกณฑ์
5) ข้อสอบแนว O-NET - ตรวจขอ้ สอบแนว - ขอ้ ข้อสอบแนว O-NET - ร้อยละ 60
O-NET ผา่ นเกณฑ์
6) กจิ กรรม STEM - ตรวจกิจกรรม STEM - กจิ กรรม STEM ประเมนิ ตามสภาพ
Project Project Project จริง
27
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 5 ปฏกิ ริ ิยาเคมี
แผนฯ ที่ 3 ปฏิกริ ยิ าเคมีในชีวิตประจาวนั
11. สอื่ /แหล่งการเรยี นรู้
11.1 ส่ือการเรียนรู้
1) หนงั สือเรยี นรายวชิ าพื้นฐาน (ชุด สมั ฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 4
ปฏิกิริยาเคมี
2) บตั รภาพปรากฏการณ์ต่าง ๆ
11.2 แหล่งการเรียนรู้
1) หอ้ งเรียน
2) หอ้ งปฏิบัตกิ ารวทิ ยาศาสตร์
3) อนิ เทอร์เนต็
28
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 5 ปฏิกริ ิยาเคมี
แผนฯ ที่ 3 ปฏกิ ริ ยิ าเคมีในชีวติ ประจาวนั
บัตรภาพปรากฏการณต์ ่าง ๆ
29
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 5 ปฏิกิริยาเคมี
แผนฯ ที่ 3 ปฏิกิริยาเคมใี นชีวติ ประจาวนั
30
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 5 ปฏกิ ิรยิ าเคมี
แผนฯ ที่ 3 ปฏิกริ ยิ าเคมีในชีวิตประจาวนั
12. ความเห็นของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาหรือผทู้ ี่ได้รับมอบหมาย
ข้อเสนอแนะ
ลงช่อื .................................
( ................................ )
ตาแหน่ง .......
13. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
ด้านคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
ดา้ นความสามารถทางวิทยาศาสตร์
ด้านอืน่ ๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤตกิ รรมที่มปี ัญหาของนักเรียนเปน็ รายบุคคล (ถ้าม)ี )
ปัญหา/อุปสรรค
แนวทางการแกไ้ ข
31
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 6 วัสดุในชวี ติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 1 พอลิเมอร์
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์
ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3
เร่ือง พอลิเมอร์ เวลา 4 ช่ัวโมง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง
และแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร
การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี
2. ตัวช้ีวัด
ว 2.1 ม.3/1 ระบสุ มบัตทิ างกายภาพและการใช้ประโยชน์วัสดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ และวสั ดุ
ผสม โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจักษแ์ ละสารสนเทศ
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. ระบุสมบตั ทิ างกายภาพบางประการของพอลเิ มอรป์ ระเภทพลาสตกิ ยาง และเส้นใยได้ (K)
2. ทดลองเพ่ือตรวจสอบสมบัตบิ างประการของพอลเิ มอรแ์ ตล่ ะประเภทได้ (P)
3. เลือกใชพ้ อลิเมอรป์ ระเภทพลาสตกิ ยาง และเสน้ ใยในชวี ติ ประจาวันได้อยา่ งเหมาะสม (P)
4. รบั ผดิ ชอบตอ่ หนา้ ที่ทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย และมุง่ มัน่ ในการศกึ ษา (A)
4. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรูท้ อ้ งถิ่น
พิจารณาตามหลกั สูตรของสถานศึกษา
สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
- พอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุผสม เป็นวัสดุที่ใช้
มากในชวี ิตประจาวัน
- พอลิเมอร์เป็นสารประกอบโมเลกุลใหญ่ท่ีเกิด
จากโมเลกุลจานวนมากรวมตัวกันทางเคมี เช่น
พลาสตกิ ยาง เสน้ ใย ซงึ่ เป็นพอลิเมอร์ท่ีมีสมบัติ
แตกต่างกัน โดยพลาสติกเป็นพอลิเมอร์ท่ีขึ้นรูป
เป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้ ยางยืดหยุ่นได้ ส่วนเส้นใย
เป็นพอลิเมอร์ที่สามารถดงึ เป็นเส้นยาวได้
พอลิเมอร์จงึ ใชป้ ระโยชน์ได้แตกต่างกนั
32
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 6 วสั ดุในชีวิตประจาวนั
แผนฯ ที่ 1 พอลิเมอร์
5. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
พอลิเมอร์เป็นสารประกอบโมเลกุลใหญ่ที่เกิดจากโมเลกุลจานวนมากมารวมตัวกันทางเคมี เช่น
พลาสติก ยาง เส้นใย ซ่ึงเป็นพอลิเมอร์ที่มีสมบัติแตกต่างกัน โดยพลาสติกเป็นพอลิเมอร์ที่ข้ึนรูปเป็นทรง
ต่าง ๆ ได้ ยางยืดหยุ่นได้ ส่วนเส้นใยสามารถดึงเป็นเส้นยาวได้ พอลิเมอร์จึงนามาใช้ประโยชน์ได้แตกต่าง
กัน
6. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคิด
1) ทกั ษะการสังเกต
2) ทักษะการจาแนกประเภท
3) ทกั ษะการตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรปุ
3. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต
7. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1. มวี นิ ยั
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุง่ มัน่ ในการทางาน
8. คาถามสาคญั
1. พอลเิ มอร์มสี มบัติอยา่ งไรบา้ ง
2. พอลิเมอรน์ าไปใชป้ ระโยชนอ์ ย่างไรในชีวิตประจาวัน
9. กจิ กรรมการเรยี นรู้
วิธีการสอนโดยเนน้ รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ชัว่ โมงที่ 1-2
ขั้นนา
ขัน้ ท่ี 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage)
1. นักเรียนทาแบบทดสอบกอ่ นเรียนหน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 3 เร่ือง วสั ดุในชีวิตประจาวนั
2. ครูเตรียมสร้อยที่ร้อยด้วยลูกปัดจานวน 2 เส้น โดยเส้นแรกร้อยด้วยลูกปัดที่มีสีเดียวกันท้ังเส้น อีก
หนึง่ เส้นรอ้ ยด้วยลกู ปดั 2 สี สลับกันไปเร่ือย ๆ แลว้ ใหน้ ักเรยี นพิจารณา
33
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 6 วัสดุในชวี ติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 1 พอลเิ มอร์
3. นกั เรยี นร่วมกันอภิปรายเกยี่ วกับสร้อยลูกปัดทัง้ 2 เส้น โดยครูอาจใช้คาถามนาสกู่ ารอภปิ ราย เช่น
- นักเรยี นคดิ ว่าสร้อยท่ีรอ้ ยด้วยลูกปดั ทงั้ 2 เสน้ เปรยี บเทยี บได้กบั สิ่งใด
(แนวตอบ พจิ ารณาคาตอบของนักเรยี น โดยขน้ึ อยกู่ ับดุลยพินจิ ของครผู สู้ อน มีแนวตอบวา่
สรอ้ ยลกู ปดั เปรียบได้กับสารพอลเิ มอร)์
- นักเรยี นคดิ ว่าลกู ปัดแต่ละเม็ดทร่ี ้อยอยู่ในสร้อยเปรียบเทียบได้กบั สงิ่ ใด
(แนวตอบ พจิ ารณาคาตอบของนักเรียน โดยข้นึ อยูก่ ับดลุ ยพนิ จิ ของครูผู้สอน มแี นวตอบวา่
ลกู ปัดแตล่ ะเมด็ เปรยี บไดก้ บั มอนอเมอร์)
- นักเรียนคิดว่าสร้อยทร่ี ้อยด้วยลูกปดั ทง้ั 2 เสน้ เหมือนหรอื แตกต่างกันอยา่ งไร
(แนวตอบ พิจารณาคาตอบของนักเรียน โดยขึ้นอยกู่ ับดุลยพินิจของครผู ู้สอน มีแนวตอบวา่
แตกต่างกัน โดยสร้อยที่ร้อยด้วยลูกปัดสีเดียวกันเปรียบได้กับพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์
เพียงชนดิ เดยี ว สว่ นสรอ้ ยทรี่ ้อยด้วยลกู ปัด 2 สี สลบั กนั ไปเรือ่ ย ๆ เปรยี บได้กบั พอลเิ มอรท์ ่ี
ประกอบดว้ ยมอนอเมอร์ 2 ชนิด)
4. ครูนาอภิปรายเพ่ือให้นักเรียนเข้าใจว่า สร้อยลูกปัดเปรียบเสมือนพอลิเมอร์ซึ่งเป็นสารประกอบที่มี
โมเลกุลขนาดใหญ่ ประกอบด้วยมอนอเมอร์ซึ่งเป็นโมเลกุลเดี่ยว (ลูกปัด) จานวนมากมายึดเหนี่ยว
กัน โดยมอนอเมอรท์ ีม่ าต่อกันอาจเปน็ ชนดิ เดียวกนั (ลกู ปดั สเี ดยี วกนั ) หรอื ตา่ งชนิดกนั (ลูกปัดต่างสี
กนั ) ก็ได้
ขน้ั สอน
ขัน้ ที่ 2 สารวจค้นหา (Explore)
1. นกั เรียนแบ่งกลมุ่ กลุม่ ละ 3 คน แลว้ ร่วมกนั ศึกษา เร่อื ง ประเภทของพอลิเมอร์ และสมบัตทิ าง
กายภาพของพอลิเมอร์ จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3
เลม่ 1 หรอื แหล่งเรียนรู้อืน่ ๆ เช่น อินเทอรเ์ น็ต หอ้ งสมดุ
2. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันปฏิบัติกิจกรรม เรื่อง การตรวจสอบสมบัติทางกายภาพบางประการของ
พอลิเมอร์ จากหนังสอื เรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน (ชุด สัมฤทธ์มิ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
3. นักเรียนแตล่ ะกลุม่ นาเสนอผลจากการทากิจกรรม เรือ่ ง การตรวจสอบสมบัติทางกายภาพบาง
ประการของพอลเิ มอร์
4. นกั เรียนรว่ มกันสรปุ และอภปิ รายผลจากการทากิจกรรม ซ่งึ ควรสรปุ ได้ ดังน้ี
“พอลิเมอร์แต่ละชนิดจะมีสมบัติทางกายภาพ เช่น ความแข็ง ความยืดหยุ่น ความหนาแน่น
แตกต่างกัน ข้ึนอยู่กับโครงสรา้ งของพอลิเมอร์ชนิดนั้น ๆ และจากสมบัติที่แตกต่างกัน พอลิเมอร์แต่
ละชนิดจงึ นาไปใชป้ ระโยชน์ไดแ้ ตกต่างกัน”
34
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 6 วสั ดุในชีวิตประจาวนั
แผนฯ ที่ 1 พอลิเมอร์
5. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษา เร่ือง การใช้ประโยชน์ของวัสดุประเภทพอลิเมอร์ โดยศึกษาข้อมูล
จากหนังสือเรยี น (ชุด สัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1 หรือแหล่งเรียนรอู้ ื่นๆ เช่น
อนิ เทอร์เนต็ หอ้ งสมุด
6. นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ รว่ มกันสรปุ ความรู้ เร่อื ง ประเภทของพอลเิ มอร์ สมบตั ทิ างกายภาพของ
พอลเิ มอร์ และการใช้ประโยชน์ของวสั ดปุ ระเภทพอลิเมอร์ ลงในสมดุ ประจาตวั ของนกั เรยี น
ชวั่ โมงท่ี 3-4
ข้ันที่ 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
7. ครูตั้งคาถามให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายและตอบคาถามจากการศึกษา เรื่อง ประเภทของพอลเิ มอร์
สมบตั ิทางกายภาพของพอลิเมอร์ และการใช้ประโยชน์ของวสั ดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เช่น
- ยกตวั อย่างพอลเิ มอรธ์ รรมชาติและพอลเิ มอร์สงั เคราะหม์ าอย่างละ 3 ชนิด
(แนวตอบ พอลิเมอร์ธรรมชาติ เช่น แป้ง โปรตนี เซลลูโลส พอลิเมอรส์ ังเคราะห์ เชน่ พลาสติก
ยางสงั เคราะห์ โฟม)
- แปง้ และโปรตนี จัดเป็นพอลิเมอรธ์ รรมชาติทั้งคู่ แล้วพอลเิ มอร์ท้ังสองมีความแตกต่างกันหรือไม่
อย่างไร
(แนวตอบ แป้งจัดเป็นฮอมอพอลิเมอร์ เนื่องจากประกอบด้วยมอนอเมอร์เพียงชนิดเดียว คือ
กลูโคส ส่วนโปรตีนจัดเป็นพอลิเมอร์ร่วม เนื่องจากประกอบด้วยมอนอเมอร์ที่เป็นกรดอะมิโน
หลายชนิด)
- พอลิเมอร์ที่มีโครงสร้างแบบใดมีความแข็งแรงทนทาน แต่เปราะ แตกหักง่าย ไม่ยืดหยุ่น และ
ทนความรอ้ นไดด้ ี
(แนวตอบ พอลิเมอร์แบบรา่ งแห)
- เปรยี บเทียบความหนาแนน่ และจดุ หลอมเหลวของพอลิเมอร์แบบเส้นและพอลิเมอร์แบบกิง่
(แนวตอบ พอลิเมอร์แบบเส้นมีความหนาแน่นและจุดหลอมเหลวสูง ส่วนพอลิเมอร์แบบกิ่งมี
ความหนาแน่นและจดุ หลอมเหลวต่า)
- พลาสตกิ ประเภทใดสามารถนามาหลอมเหลวแล้วขึ้นรูปกลบั มาใชใ้ หมไ่ ด้
(แนวตอบ เทอร์มอพลาสติก)
- เมลามนี ซิลิโคน และเบกาไลต์ จดั เปน็ พลาสตกิ ประเภทใด
(แนวตอบ พลาสตกิ เทอร์มอเซต)
- เทฟลอนเป็นพอลเิ มอร์ประเภทใด นามาใชป้ ระโยชนอ์ ย่างไร
(แนวตอบ เป็นพอลิเมอรส์ ังเคราะห์ ซึ่งเป็นฮอมอพอลิเมอร์ นามาใชเ้ คลือบด้านในภาชนะ เพ่อื
ปอ้ งกันอาหารตดิ ภาชนะ)
- ยางนยิ มนามาใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งไร
35
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 6 วสั ดใุ นชีวิตประจาวนั
แผนฯ ที่ 1 พอลิเมอร์
(แนวตอบ รองเทา้ ยาง ถงุ มอื ยาง ยางรดั ของ ยางรถยนต)์
- เส้นใยนิยมนามาใชป้ ระโยชน์อย่างไร
(แนวตอบ เครอื่ งแต่งกาย เสอ้ื กางเกง ถงุ เทา้ )
ขัน้ ที่ 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
8. นกั เรียนแบง่ กลุ่ม กลมุ่ ละ 3 คน จากนั้นใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ รว่ มกันออกแบบผลติ ภัณฑ์ กลุม่ ละ 1
ผลิตภัณฑ์ โดยให้เลอื กพอลิเมอร์ที่จะนามาใช้ผลติ แลว้ ระบวุ า่ เพราะเหตใุ ดจึงเลอื กใช้พอลิเมอร์ชนิด
นน้ั ในการผลติ ทาลงในกระดาษ A4 สง่ ครผู ้สู อน
9. นกั เรยี นทาใบงานท่ี 3.1.1 เร่ือง พอลิเมอร์และการใชป้ ระโยชน์
ขน้ั สรปุ
ข้ันท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. นกั เรียนรว่ มกันสรุปความรู้เก่ียวกับพอลเิ มอร์ โดยมีแนวการสรปุ ดงั น้ี
“พอลเิ มอร์เปน็ สารประกอบโมเลกุลใหญ่ทปี่ ระกอบด้วยมอนอเมอรจ์ านวนมากมารวมตัวกัน
ทางเคมี ซ่ึงพอลเิ มอร์แต่ละชนิด เชน่ พลาสติก ยาง เส้นใย จะมสี มบัติแตกต่างกนั พอลิเมอร์แตล่ ะ
ชนดิ จึงนามาใชป้ ระโยชนไ์ ด้แตกต่างกัน”
2. นักเรยี นทา Exercise 1.1 จากหนงั สือเรยี นรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธม์ิ าตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
3. ครูตรวจสอบผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 วสั ดุในชวี ติ ประจาวัน
4. ครปู ระเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล พฤตกิ รรม
การทางานกลมุ่
5. ครตู รวจสอบผลการปฏิบัตกิ ิจกรรม เรื่อง การตรวจสอบสมบัตทิ างกายภาพบางประการของ
พอลเิ มอร์
6. ครูตรวจสอบผลการทาใบงานท่ี 3.1.1 เรอ่ื ง พอลิเมอร์และการใชป้ ระโยชน์
7. ครูตรวจสอบผลการทา Exercise 1.1 จากหนงั สอื เรียนรายวิชาพนื้ ฐาน (ชุด สัมฤทธม์ิ าตรฐาน)
วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
36
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 6 วัสดใุ นชวี ิตประจาวนั
แผนฯ ที่ 1 พอลเิ มอร์
10. การวดั และประเมนิ ผล วิธีการ เครอ่ื งมอื เกณฑ์การประเมิน
รายการวดั - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบก่อนเรยี น - ประเมินตามสภาพจริง
10.1 การประเมินก่อนเรียน ก่อนเรยี น
- ใบงานที่ 3.1.1 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- แบบทดสอบก่อนเรียน - ตรวจใบงานท่ี 3.1.1 - Exercise 1.1
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 - ตรวจ Exercise 1.1 - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2
วสั ดใุ นชวี ิตประจาวัน - ประเมนิ การปฏิบัติการ ผ่านเกณฑ์
10.2 การประเมนิ ระหวา่ ง การปฏิบตั ิการ
การจัดกิจกรรม - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
1) พอลเิ มอร์ การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์
- สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดับคณุ ภาพ 2
2) การปฏิบัติการ การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
- สังเกตความมวี นิ ยั - แบบประเมนิ - ระดับคณุ ภาพ 2
3) พฤติกรรมการทางาน ใฝ่เรยี นรู้ และมงุ่ มน่ั คณุ ลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์
รายบุคคล ในการทางาน อนั พงึ ประสงค์
4) พฤติกรรมการทางาน
กลมุ่
5) คุณลกั ษณะอันพึง
ประสงค์
11. สอ่ื /แหล่งการเรยี นรู้
11.1 สอื่ การเรยี นรู้
1) หนงั สือเรียนรายวชิ าพื้นฐาน (ชดุ สมั ฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3
วัสดใุ นชีวิตประจาวนั
2) ใบงานท่ี 3.1.1 เรื่อง พอลิเมอรแ์ ละการใช้ประโยชน์
3) สร้อยลูกปัด
11.2 แหล่งการเรียนรู้
1) หอ้ งเรยี น
2) หอ้ งปฏิบัตกิ ารวทิ ยาศาสตร์
3) อินเทอรเ์ น็ต
37
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 6 วัสดุในชวี ิตประจาวนั
แผนฯ ท่ี 1 พอลิเมอร์
ใบงานท่ี 3. 1.1
เรอื่ ง พอลเิ มอร์และการใช้ประโยชน์
คาชี้แจง : ใหน้ กั เรียนตอบคาถามเก่ยี วกบั พอลิเมอรแ์ ละการใชป้ ระโยชน์
1. ระบวุ ่าพอลิเมอร์ที่กาหนดให้เป็นเทอร์มอพลาสติก หรือพลาสตกิ เทอรม์ อเซต
พอลเิ อทิลีน เมลามนี ฟอร์มาลดีไฮด์ พอลโิ พรพลิ ีน พอลสิ ไตรีน
ฟนี อลฟอรม์ าดีไฮด์ พอลยิ รู ีเทน พอลิไวนลิ คลอไรด์ ซลิ โิ คน
เบกาไลต์ พอลิเอทิลนี เทเรฟทาเลต พอลิคารบ์ อเนต พอลเิ อสเทอร์
เทอร์มอพลาสตกิ พลาสตกิ เทอร์มอเซต
................................................................................. .................................................................................
................................................................................. .................................................................................
................................................................................. .................................................................................
................................................................................. .................................................................................
................................................................................. .................................................................................
................................................................................. ...............................................................................
2. นาพอลิเมอรท์ ่ีกาหนดให้เติมหน้าผลติ ภัณฑ์ให้สมั พนั ธ์กนั
พอลเิ อไมด์ เบกาไลต์ พอลิไวนิลคลอไรด์ พอลสิ ไตรนี ยางเอสบีอาร์
พอลิเอทลิ นี พอลิโพรพลิ ีน พอลิคาร์บอเนต
พอลเิ อสเทอร์ พอลิบิวทาไดอนี
1) ขวดนา้ ดมื่
2) ทอ่ น้าประปา
3) ยางรถยนต์
4) กล่องบรรจุอาหารชนิดใส
5) ถงุ เท้า ถงุ นอ่ ง
6) เชอื ก แห
7) ถุงพลาสติกบรรจขุ องรอ้ น
8) หหู มอ้ หูกระทะ
9) แว่นตากันแดด
10) สายพาน
38
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 6 วัสดใุ นชีวิตประจาวนั เฉลย
แผนฯ ที่ 1 พอลิเมอร์
พอลสิ ไตรีน
ใบงานท่ี 3. 1.1 ซิลโิ คน
พอลเิ อสเทอร์
เรอ่ื ง พอลิเมอร์และการใช้ประโยชน์
คาช้แี จง : ให้นักเรยี นตอบคาถามเก่ยี วกับพอลเิ มอรแ์ ละการใช้ประโยชน์
1. ระบุว่าพอลเิ มอร์ทกี่ าหนดให้เปน็ เทอร์มอพลาสติก หรอื พลาสตกิ เทอรม์ อเซต
พอลิเอทลิ ีน เมลามีนฟอรม์ าลดีไฮด์ พอลโิ พรพลิ ีน
ฟีนอลฟอร์มาดีไฮด์ พอลยิ ูรเี ทน พอลไิ วนลิ คลอไรด์
เบกาไลต์ พอลเิ อทิลนี เทเรฟทาเลต พอลิคารบ์ อเนต
เทอรม์ อพลาสตกิ พลาสตกิ เทอร์มอเซต
พ...อ..ล...เิ .อ..ท...ิล..ีน................................................................. .เ.ม..ล...า..ม..นี...ฟ...อ..ร..์ม..า..ล...ด..ีไ..ฮ..ด..์.............................................
พ...อ..ล...ิโ.พ...ร..พ...ลิ ..ีน.............................................................. .ฟ..นี...อ..ล...ฟ...อ..ร..์ม..า..ล...ด..ไี..ฮ..ด..์................................................
พ...อ..ล...ิส..ไ..ต..ร..นี................................................................. .พ..อ...ล..ยิ..รู..ีเ..ท..น.................................................................
พ...อ..ล...ิไ.ว..น...ิล..ค...ล..อ..ไ..ร..ด..์.................................................... .ซ..ลิ..ิโ..ค..น........................................................................
พ...อ..ล...เิ .อ..ท...ิล..นี...เ.ท...เ.ร..ฟ...ท...า.เ..ล..ต............................................ .เ.บ...ก..า..ไ.ล...ต..์..................................................................
พ...อ..ล...คิ ..า..ร..์บ...อ..เ.น...ต.......................................................... .พ..อ...ล..เิ.อ...ส..เ.ท...อ..ร..์.........................................................
2. นาพอลิเมอร์ที่กาหนดให้เติมหนา้ ผลติ ภัณฑ์ให้สมั พนั ธ์กนั
พอลิเอไมด์ เบกาไลต์ พอลิไวนิลคลอไรด์ พอลิสไตรนี ยางเอสบีอาร์
พอลิเอทิลีน พอลโิ พรพิลีน พอลิคาร์บอเนต
พอลเิ อสเทอร์ พอลบิ ิวทาไดอีน
พอลิเอทลิ ีน 1) ขวดน้าดืม่
พอลิไวนิลคลอไรด์ 2) ท่อนา้ ประปา
พอลบิ วิ ทาไดอีน 3) ยางรถยนต์
พอลสิ ไตรนี 4) กล่องบรรจุอาหารชนดิ ใส
พอลิเอไมด์ 5) ถงุ เท้า ถุงนอ่ ง
พอลิเอสเทอร์ 6) เชือก แห
พอลิโพรพิลนี 7) ถงุ พลาสติกบรรจขุ องรอ้ น
เบกาไลต์ 8) หหู มอ้ หูกระทะ
พอลคิ าร์บอเนต 9) แว่นตากันแดด
ยางเอสบีอาร์ 10) สายพาน
39
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 6 วัสดุในชีวิตประจาวนั
แผนฯ ท่ี 1 พอลเิ มอร์
12. ความเห็นของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาหรอื ผู้ท่ีไดร้ ับมอบหมาย
ข้อเสนอแนะ
ลงช่อื .................................
( ................................ )
ตาแหน่ง .......
13. บันทกึ ผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ด้านสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
ด้านคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
ดา้ นความสามารถทางวิทยาศาสตร์
ดา้ นอนื่ ๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤตกิ รรมทีม่ ปี ญั หาของนักเรยี นเปน็ รายบคุ คล (ถ้าม)ี )
ปญั หา/อุปสรรค
แนวทางการแกไ้ ข
40
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 6 วสั ดใุ นชีวิตประจาวนั
แผนฯ ท่ี 2 เซรามกิ
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 2
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วทิ ยาศาสตร์
ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
เร่ือง เซรามิก เวลา 3 ชว่ั โมง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง
และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร
การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
2. ตวั ชีว้ ัด
ว 2.1 ม.3/1 ระบุสมบัตทิ างกายภาพและการใช้ประโยชน์วสั ดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ และวสั ดุ
ผสม โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจกั ษแ์ ละสารสนเทศ
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. ระบสุ มบตั ิทางกายภาพของเซรามกิ ได้ (K)
2. เลือกใชเ้ ซรามกิ ในชวี ติ ประจาวันไดอ้ ย่างเหมาะสม (P)
3. รบั ผิดชอบต่อหนา้ ท่ีท่ไี ด้รับมอบหมาย และมุง่ มน่ั ในการศึกษา (A)
4. สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรทู้ อ้ งถน่ิ
พจิ ารณาตามหลกั สตู รของสถานศกึ ษา
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
- พอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุผสม เป็นวัสดุที่ใช้
มากในชีวิตประจาวัน
- เซรามิกเป็นวสั ดุท่ผี ลิตจาก ดิน หิน ทราย และ
แร่ธาตุต่าง ๆ จากธรรมชาติและส่วนมากจะ
ผ่านการเผาที่อุณหภูมิสูง เพื่อให้ได้เนื้อสารที่
แข็งแรง เซรามิกสามารถทาเป็นรูปทรงต่าง ๆ
ได้ สมบัติทั่วไปของเซรามิกจะแข็ง ทนต่อการ
สึกกร่อน และเปราะ สามารถนาไปใช้ประโยชน์
ได้ เช่น ภาชนะที่เป็นเคร่ืองป้ันดินเผา ชิ้นส่วน
อเิ ล็กทรอนกิ ส์
41
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 6 วัสดุในชวี ิตประจาวนั
แผนฯ ท่ี 2 เซรามกิ
5. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
เซรามิกเป็นวัสดุทผ่ี ลติ จากดิน หนิ ทราย และแรธ่ าตุตา่ ง ๆ จากธรรมชาติ และสว่ นมากจะผา่ นการเผา
ท่ีอุณหภูมิสงู เพื่อใหไ้ ด้เนื้อสารท่แี ข็งแรง เซรามิกสามารถทาเปน็ รปู ทรงต่าง ๆ ได้ สมบตั ทิ ่ัวไปของเซรามิก
จะแขง็ แต่เปราะ ทนตอ่ การสึกกรอ่ น สามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ เชน่ เครื่องปั้นดนิ เผา ทาภาชนะบรรจุ
อาหาร กระถางต้นไม้ กระเบ้ืองมุงหลังคา ถว้ ยชาม สขุ ภัณฑ์ กระจก แกว้ น้า
6. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคิด
1) ทักษะการสงั เกต
2) ทกั ษะการตคี วามหมายข้อมลู และลงข้อสรปุ
3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
7. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มวี ินัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มุง่ ม่นั ในการทางาน
8. คาถามสาคญั
1. ผลิตภัณฑใ์ ดบา้ งท่ผี ลิตมาจากวสั ดุเซรามกิ
2. วสั ดุเซรามิกมีสมบตั ิอยา่ งไรบ้าง
9. กิจกรรมการเรียนรู้
วิธีการสอนโดยเน้นรปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
42
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 6 วสั ดุในชวี ิตประจาวนั
แผนฯ ท่ี 2 เซรามิก
ชวั่ โมงท่ี 1-2
ข้ันนา
ขั้นท่ี 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage)
1. นกั เรยี นแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน เพอ่ื พจิ ารณาภาพผลติ ภัณฑต์ า่ ง ๆ ที่ได้ครไู ด้เตรยี มไว้
2. นกั เรียนแต่ละกลมุ่ รว่ มกันอภิปรายเกย่ี วกบั ผลิตภณั ฑ์ต่าง ๆ ท่ีได้พจิ ารณา โดยครูอาจใช้คาถามนาสู่
การอภปิ ราย เช่น
- จากภาพ นักเรียนคดิ วา่ ผลิตภัณฑต์ า่ ง ๆ ผลติ จากวตั ถดุ ิบประเภทใด
(แนวตอบ ขน้ึ อยู่กับดลุ ยพนิ ิจของครผู สู้ อน โดยมแี นวตอบ เช่น กระถางตน้ ไมผ้ ลิตจากดินเหนียว
แจกนั ดอกไมผ้ ลิตจากดินเหนียว)
- จากภาพ นกั เรียนคิดวา่ ผลติ ภัณฑต์ า่ ง ๆ ผลติ จากวตั ถดุ ิบประเภทเดยี วกนั หรือไม่ อย่างไร
(แนวตอบ ขน้ึ อยู่กบั ดลุ ยพินิจของครผู ้สู อน โดยมีแนวตอบ คือ ผลิตจากวัตถดุ ิบประเภทเดยี วกัน
เพราะผลติ ภณั ฑ์ต่าง ๆ ที่ครูเตรยี มมา มคี วามแขง็ แรง ทนทาน และคงรปู อยู่ไดเ้ หมือนกัน)
3. ครนู าอภปิ รายเพ่อื ให้นักเรียนเขา้ ใจวา่ ผลิตภณั ฑ์ตา่ ง ๆ ทีย่ กตัวอยา่ งมานั้นผลิตจากวัตถุดิบประเภท
เดียวกัน คือ หนิ ดนิ ทราย และแร่ธาตุตา่ ง ๆ ทีน่ ามาผสมกัน แลว้ นามาขึน้ รูปให้แขง็ แรง ทนทาน
ซ่ึงเรียกวา่ ผลติ ภัณฑเ์ ซรามิก
43
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 6 วัสดุในชีวิตประจาวนั
แผนฯ ท่ี 2 เซรามิก
ขน้ั สอน
ข้ันท่ี 2 สารวจคน้ หา (Explore)
1. นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกันศกึ ษา เรอ่ื ง ประเภทของเซรามิก สมบตั ิทางกายภาพของเซรามกิ และ
การใช้ประโยชน์ของวัสดุประเภทเซรามิก จากหนังสอื เรยี นรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิมาตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1 หรอื แหลง่ เรยี นรู้อ่ืน ๆ เช่น อินเทอร์เนต็ หอ้ งสมุด
2. นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ ร่วมกนั สรุปความรู้ เรอ่ื ง ประเภทของเซรามิก สมบตั ิทางกายภาพของเซรามกิ
และการใชป้ ระโยชน์ของวัสดุประเภทเซรามิก ลงในสมุดประจาตัวของนักเรยี น
ข้ันที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain)
3. นักเรียนนาความรทู้ ่ีได้จากการศึกษาเก่ียวกบั ประเภทของเซรามกิ สมบตั ิทางกายภาพของเซรามิก
และการใช้ประโยชนข์ องวัสดุประเภทเซรามิก มาอภิปรายร่วมกันและหาข้อสรุป โดยใช้ประเด็น
คาถามต่อไปน้ี เช่น
- เซรามิกแบ่งออกเป็นก่ปี ระเภท อะไรบา้ ง
(แนวตอบ 2 ประเภท คอื 1. เซรามิกดง้ั เดิม เป็นเซรามกิ ที่ประกอบดว้ ยดิน ซลิ กิ า และเฟลดส์ ปาร์
เชน่ เคร่อื งปนั้ ดนิ เผา เคร่ืองแก้ว ปูนซีเมนต์ และ 2. เซรามิกสมยั ใหม่ เป็นผลติ ภัณฑ์เซรามิกทผ่ี า่ น
กระบวนการทีท่ าให้มีความบริสทุ ธ์สิ งู และมีการควบคมุ องคป์ ระกอบทางเคมี เช่น ผลิตภัณฑท์ าง
การแพทย์ ผลติ ภัณฑ์ไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนิกส์)
- วัตถุดบิ ทใี่ ช้ในอุตสาหกรรมเซรามกิ มีกีป่ ระเภท อะไรบ้าง
(แนวตอบ 2 ประเภท คือ 1. วตั ถุดบิ หลัก คือ วัตถุดบิ ทเ่ี ป็นสว่ นผสมหลักในการขึน้ รูปผลติ ภัณฑ์
ได้แก่ ดินเหนียว ดนิ ขาว เฟลด์สปาร์ และควอตซ์ และ 2. วตั ถุดบิ เสรมิ คือ วัตถุดิบท่ีชว่ ยให้
ผลติ ภัณฑ์มคี ณุ ภาพสงู ขึน้ ได้แก่ แร่ดิกไคต์ แรโ่ ดโลไมต์ และสารประกอบออกไซด์บางชนิด)
- ผลติ ภณั ฑ์แก้วมสี มบัติอย่างไร
(แนวตอบ มีความแข็งแรง โปร่งใส ท่นตอ่ กรดและเบส ไอน้าและแกส๊ ซึมผ่านได้ยาก ทนต่อแรงดัน)
- ปูนซเี มนต์นามาใชป้ ระโยชนอ์ ย่างไร
(แนวตอบ ใชเ้ ป็นวัสดชุ ว่ ยยดึ สว่ นผสมต่าง ๆ ท่ใี ชใ้ นการก่อสรา้ ง)
ขั้นท่ี 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
4. นักเรียนแบง่ กลุม่ กลุ่มละ 3 คน จากนั้นใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ รวบรวมผลิตภัณฑ์เซรามิกทีพ่ บใน
ชีวิตประจาวันมากลุ่มละ 10 ผลิตภัณฑ์ พร้อมระบุประเภท สมบัติ และการนาไปใช้ประโยชน์ของ
ผลติ ภัณฑเ์ ซรามิกนั้น ๆ จดั ทาในรูปแบบทีส่ วยงามและนา่ สนใจ จากนั้นให้แต่ละกลุ่มสง่ ตัวแทน
ออกมานาเสนอผลงานหนา้ ช้ันเรียน
44
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 6 วัสดุในชีวติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 2 เซรามิก
ขนั้ สรุป
ขน้ั ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. นกั เรียนรว่ มกนั สรปุ ความรู้เก่ียวกบั เซรามิก โดยมีแนวการสรุป ดงั น้ี
“เซรามกิ เป็นวัสดุท่ีผลิตจากดิน หนิ ทราย และแร่ธาตตุ า่ ง ๆ จากธรรมชาติ สว่ นมากจะผา่ นการเผา
ทอี่ ณุ หภูมิสูงเพื่อให้ได้เน้ือสารที่แขง็ แรง เซรามิกสามารถทาเปน็ รูปทรงตา่ ง ๆ ได้ สมบตั ทิ ั่วไปของ
เซรามิกจะแข็ง แต่เปราะ ทนต่อการสึกกร่อน สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ได้ เชน่ เคร่ืองป้ันดินเผา
เครือ่ งแกว้ ปูนซีเมนต์”
2. นักเรยี นทา Exercise 2.1 จากหนังสอื เรียนรายวชิ าพนื้ ฐาน (ชดุ สัมฤทธมิ์ าตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
3. ครปู ระเมนิ ผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤติกรรมการทางานรายบคุ คล พฤติกรรม
การทางานกลุม่
4. ครตู รวจสอบผลการทา Exercise 2.1 จากหนงั สอื เรยี นรายวชิ าพนื้ ฐาน (ชุด สัมฤทธม์ิ าตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
10. การวัดและประเมนิ ผล วธิ กี าร เครื่องมอื เกณฑ์การประเมิน
รายการวัด - ตรวจ Exercise 2.1 - Exercise 2.1 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
10.1 การประเมนิ ระหวา่ ง - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดับคุณภาพ 2
การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์
การจดั กิจกรรม - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คุณภาพ 2
1) เซรามิก การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
2) พฤติกรรมการทางาน - สงั เกตความมวี นิ ัย - แบบประเมนิ - ระดับคณุ ภาพ 2
ใฝเ่ รยี นรู้ และมุ่งมนั่ คุณลกั ษณะ ผา่ นเกณฑ์
รายบุคคล ในการทางาน อนั พึงประสงค์
3) พฤติกรรมการทางาน
กลุม่
4) คุณลักษณะอันพึง
ประสงค์
45
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 6 วสั ดใุ นชีวิตประจาวนั
แผนฯ ที่ 2 เซรามิก
11. สื่อ/แหลง่ การเรียนรู้
11.1 สือ่ การเรยี นรู้
1) หนงั สือเรยี นรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุด สมั ฤทธิ์มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3
วัสดุในชวี ติ ประจาวัน
2) บตั รภาพผลิตภณั ฑต์ า่ ง ๆ
11.2 แหลง่ การเรียนรู้
1) ห้องเรียน
2) อินเทอรเ์ น็ต
46
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 6 วสั ดุในชีวิตประจาวนั
แผนฯ ที่ 2 เซรามิก
บตั รภาพผลติ ภัณฑต์ า่ ง ๆ
47
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 6 วสั ดุในชวี ติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 2 เซรามกิ
48
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 6 วัสดุในชวี ิตประจาวนั
แผนฯ ที่ 2 เซรามิก
12. ความเห็นของผบู้ ริหารสถานศึกษาหรือผู้ท่ไี ด้รบั มอบหมาย
ข้อเสนอแนะ
ลงชือ่ .................................
( ................................ )
ตาแหน่ง .......
13. บันทกึ ผลหลงั การสอน
ดา้ นความรู้
ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
ดา้ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
ดา้ นความสามารถทางวิทยาศาสตร์
ด้านอน่ื ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤตกิ รรมทม่ี ีปัญหาของนักเรียนเปน็ รายบคุ คล (ถ้าม)ี )
ปญั หา/อุปสรรค
แนวทางการแกไ้ ข
49