หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 6 วสั ดใุ นชีวติ ประจาวนั
แผนฯ ท่ี 3 วสั ดุผสม
แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 3
กลุม่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชา วทิ ยาศาสตร์
ระดับชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
เร่ือง วัสดุผสม เวลา 2 ช่ัวโมง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง
และแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร
การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี
2. ตวั ชว้ี ัด
ว 2.1 ม.3/1 ระบุสมบัติทางกายภาพและการใช้ประโยชน์วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิกและ
วสั ดุผสม โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์และสารสนเทศ
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. ระบสุ มบัติทางกายภาพของวัสดุผสมได้ (K)
2. เลอื กใชว้ ัสดุในชีวติ ประจาวันไดอ้ ย่างเหมาะสม (P)
3. รบั ผดิ ชอบต่อหน้าท่ีทไี่ ด้รับมอบหมาย และมุ่งมน่ั ในการศึกษา (A)
4. สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ทอ้ งถ่นิ
พจิ ารณาตามหลักสตู รของสถานศกึ ษา
สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง
- พอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุผสม เป็นวัสดุที่ใช้
มากในชีวติ ประจาวัน
- วัสดุผสมเป็นวัสดุที่เกิดจากวัสดุต้ังแต่ 2
ประเภท ทม่ี สี มบตั ิแตกตา่ งกนั มารวมตวั กัน เพื่อ
นาไปใช้ประโยชน์ได้มากข้ึน เช่น เส้ือกันฝนบาง
ชนิดเป็นวัสดุผสมระหว่างผ้ากับยาง คอนกรีต
เสริ มเหล็ กเป็นวัสดุผสมระหว่างคอนกรี ตกั บ
เหล็ก
50
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 6 วัสดุในชวี ติ ประจาวนั
แผนฯ ท่ี 3 วัสดผุ สม
5. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
วัสดผุ สมเปน็ วสั ดทุ เ่ี กดิ จากวัสดตุ ั้งแต่ 2 ประเภท ท่มี ีสมบัติแตกต่างกันมารวมตัวกัน ทาให้วัสดุที่
ได้มสี มบตั ิท่ีดขี ึน้ สามารถนาไปใช้ประโยชนไ์ ดม้ ากขึ้น
6. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคิด
1) ทักษะการสงั เกต
2) ทักษะการลงความเหน็ จากข้อมลู
3) ทักษะการตคี วามหมายข้อมลู และลงข้อสรปุ
3. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ
7. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝเ่ รยี นรู้
3. ม่งุ มัน่ ในการทางาน
8. คาถามสาคัญ
1. เพราะเหตุใดต้องมีการผลติ วสั ดผุ สม
2. ยกตัวอย่างวัสดผุ สมในชีวติ ประจาวนั
9. กิจกรรมการเรยี นรู้
วธิ ีการสอนโดยเนน้ รปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
51
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 6 วสั ดใุ นชวี ติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 3 วัสดผุ สม
ช่วั โมงที่ 1
ข้ันนา
ขนั้ ที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage)
1. ครใู ชบ้ ตั รภาพแสดงตัวอยา่ งของวสั ดุ เช่น เส้อื กันฝน
แล้วนานักเรียนอภิปรายเกยี่ วกบั วัสดุทีย่ กตวั อย่างมา โดยครูอาจใช้คาถามนาส่กู ารอภปิ ราย เชน่
- เสื้อกนั ฝนประกอบข้นึ จากวัสดุชนดิ เดยี วกันทงั้ หมดหรือไม่
(แนวตอบ พิจารณาจากคาตอบของนักเรียน)
- หากเสอ้ื กนั ฝนประกอบขึ้นจากวสั ดุหลายชนดิ นักเรียนคดิ วา่ เส้อื กนั ฝนประกอบข้ึนจากวัสดุใดบ้าง
เพราะเหตุใดจงึ เป็นเชน่ น้ัน
(แนวตอบ พจิ ารณาจากคาตอบของนักเรยี น โดยมีแนวตอบว่า เสื้อกนั ฝนประกอบข้ึนจากเสน้ ใยยาง
กบั เส้นใยฝ้าย ยางจะสามารถกนั น้าได้ดี แต่ทาให้อากาศไม่ถ่ายเท สว่ นเสน้ ใยฝ้ายกนั นา้ ไดไ้ ม่ดี
แตท่ าให้อากาศถา่ ยเทได้ดกี ว่าเส้นใยยาง จงึ นาเส้นใยทงั้ สองมารวมกัน ทาให้ไดเ้ ส้ือกนั ฝนทมี่ สี มบัติ
ป้องกนั นา้ ได้ และสวมใส่แล้วสบาย)
2. ครูนาอภิปรายเพ่อื ให้นักเรยี นเข้าใจวา่ ผลติ ภัณฑบ์ างชนดิ ประกอบด้วยวสั ดุตง้ั แต่ 2 ชนดิ ข้นึ ไป
มาผสมกนั เพ่ือทาใหผ้ ลติ ภัณฑ์ทไี่ ด้มสี มบตั ิท่ีดีขน้ึ สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ดีขึน้ เรยี กผลติ ภัณฑ์
ลกั ษณะนว้ี ่า วสั ดผุ สม
ขัน้ สอน
ขัน้ ท่ี 2 สารวจค้นหา (Explore)
1. นักเรยี นจับคกู่ บั เพื่อนที่น่งั ข้างกนั แล้วร่วมกันศึกษา เร่อื ง สมบัตทิ างกายภาพของวัสดุผสม และการ
ใช้ประโยชน์ของวัสดปุ ระเภทวสั ดุผสม จากหนังสือเรยี นรายวิชาพ้นื ฐาน (ชุด สัมฤทธมิ์ าตรฐาน)
วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1 หรือแหลง่ เรียนรอู้ นื่ ๆ เช่น อนิ เทอรเ์ น็ต ห้องสมุด
52
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 6 วสั ดุในชวี ิตประจาวนั
แผนฯ ที่ 3 วัสดผุ สม
2. นักเรยี นแต่ละค่รู ่วมกนั สรุปความรู้ เร่ือง สมบตั ิทางกายภาพของวสั ดุผสม และการใชป้ ระโยชนข์ อง
วสั ดปุ ระเภทวสั ดผุ สม ลงในสมดุ ประจาตัวของนักเรียน
3. ครูต้งั คาถามให้นักเรียนร่วมกันอภปิ รายและตอบคาถามจากการศึกษา เรื่อง สมบตั ิทางกายภาพของ
วสั ดผุ สม และการใชป้ ระโยชน์ของวสั ดุประเภทวัสดุผสม เช่น
- วสั ดุผสมประกอบด้วยวสั ดกุ ่สี ่วน อะไรบ้าง
(แนวตอบ 2 ส่วน คอื 1. วัสดพุ ้นื หรือเมทริกซ์ จัดเป็นองคป์ ระกอบหลกั ของวัสดุผสม มักมี
ความเหนียวสูง ทาหนา้ ท่ีรกั ษาความเสถยี รของรูปรา่ งและขนาดของวสั ดผุ สม และ 2. วัสดุ
เสริมหรอื ตัวเสรมิ แรง เปน็ สว่ นทที่ าให้วัสดผุ สมมคี วามแขง็ แรงมากข้ึน)
- วสั ดุผสมทสี่ ามารถนาไฟฟา้ และรับแรงส่ันสะเทือนไดด้ ี และมคี วามโปรง่ ใส ควรใช้วสั ดุพื้นและ
วัสดุเสริมเป็นสารชนิดใด
(แนวตอบ ใช้วัสดุพืน้ เป็นโลหะ เพราะโลหะสามารถนาไฟฟ้าและรับแรงสัน่ สะเทอื นไดด้ ี และใช้
เซรามกิ เป็นวัสดเุ สรมิ เพราะเซรามกิ มีความโปรง่ ใส )
ชว่ั โมงท่ี 2
ขัน้ ที่ 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
4. ครเู ตรยี มบตั รภาพผลิตภณั ฑ์ตา่ ง ๆ ในชีวติ ประจาวัน แลว้ ให้นักเรียนแตล่ ะคู่แขง่ ขันกันตอบว่า
ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจัดเปน็ วัสดุผสมหรอื ไม่ โดยครูอาจมีของรางวลั ให้ เชน่ ขนม ลูกอม ปากกา
ถนนคอนกรีต (ใช)่ ปนู ซเี มนต์ (ไมใ่ ช่)
กระดูก (ใช่) เชือกไนลอน (ไม่ใช)่
53
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 6 วัสดใุ นชีวติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 3 วัสดผุ สม
ไฟเบอรก์ ลาส (ใช)่ แกว้ นา้ (ไมใ่ ช่)
ข้ันที่ 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
5. ครใู ห้นักเรยี นทจี่ ับค่กู นั ร่วมกันสืบคน้ ขอ้ มลู เก่ียวกบั วัสดผุ สมเพ่ิมเติมจากแหลง่ เรียนรู้ต่าง ๆ
เชน่ ห้องสมดุ อินเทอร์เนต็ แลว้ ยกตวั อยา่ งผลติ ภัณฑท์ เ่ี ปน็ วัสดุผสมมาค่ลู ะ 1 ชนดิ พร้อมระบุ
วา่ ผลิตภณั ฑน์ ัน้ ประกอบด้วยวสั ดชุ นดิ ใดบ้าง และวสั ดแุ ต่ละชนิดมีสมบัติอย่างไร บันทึกลง
กระดาษ A4 สง่ ครูผสู้ อน
ขนั้ สรุป
ขน้ั ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. นักเรยี นร่วมกันสรปุ ความรเู้ กี่ยวกับวสั ดผุ สม โดยมแี นวทางการสรปุ ดังนี้
“วัสดุผสมเปน็ วัสดุทเ่ี กิดจากวัสดุตงั้ แต่ 2 ประเภท ที่มสี มบัติแตกตา่ งกนั มารวมตัวกัน โดย
ประกอบดว้ ย 2 ส่วน คือ วัสดพุ ้ืนหรือเมทริกซ์ และวสั ดเุ สรมิ หรอื ตัวเสริมแรง ทาใหว้ สั ดุทไ่ี ดม้ ี
สมบตั ทิ ด่ี ีขึน้ และสามารถนาไปใช้ประโยชนไ์ ด้มากขึ้น”
2. นกั เรยี นทา Exercise 3.1 จากหนังสอื เรยี นรายวิชาพื้นฐาน (ชดุ สัมฤทธมิ์ าตรฐาน)
วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
3. ครปู ระเมินผล โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล พฤตกิ รรม
การทางานกลุ่ม
4. ครูตรวจสอบผลการทา Exercise 3.1 จากหนังสอื เรยี นรายวชิ าพืน้ ฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิมาตรฐาน)
วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
54
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 6 วสั ดุในชวี ติ ประจาวนั
แผนฯ ท่ี 3 วัสดผุ สม
10. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครือ่ งมือ เกณฑ์การประเมิน
รายการวดั - ตรวจ Exercise 3.1 - Exercise 3.1 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
10.1 การประเมนิ ระหว่าง - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคณุ ภาพ 2
การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์
การจดั กิจกรรม - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพ 2
1) วสั ดผุ สม การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม ผ่านเกณฑ์
2) พฤติกรรมการทางาน - สังเกตความมีวนิ ัย - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2
ใฝ่เรยี นรู้ และมงุ่ ม่ัน คณุ ลักษณะ ผ่านเกณฑ์
รายบุคคล ในการทางาน อนั พงึ ประสงค์
3) พฤติกรรมการทางาน
กลุ่ม
4) คุณลักษณะอันพึง
ประสงค์
11. สอื่ /แหลง่ การเรยี นรู้
11.1 สอื่ การเรยี นรู้
1) หนังสือเรยี นรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 3
วัสดใุ นชวี ิตประจาวนั
2) บัตรภาพผลิตภัณฑต์ า่ ง ๆ
11.2แหลง่ การเรยี นรู้
1) ห้องเรียน
2) อนิ เทอร์เน็ต
55
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 6 วัสดุในชวี ติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 3 วสั ดผุ สม
บัตรภาพผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
56
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 6 วสั ดุในชีวติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 3 วสั ดุผสม
57
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 6 วสั ดุในชีวติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 3 วสั ดุผสม
58
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 6 วัสดุในชีวติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 3 วัสดุผสม
12. ความเห็นของผบู้ ริหารสถานศึกษาหรอื ผู้ทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย
ข้อเสนอแนะ
ลงชื่อ .................................
( ................................ )
ตาแหน่ง .......
13. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ดา้ นความรู้
ด้านสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
ด้านความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ด้านอื่น ๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤตกิ รรมทีม่ ีปัญหาของนกั เรยี นเป็นรายบุคคล (ถ้าม)ี )
ปัญหา/อุปสรรค
แนวทางการแก้ไข
59
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 6 วัสดุในชีวิตประจาวนั
แผนฯ ท่ี 4 ผลกระทบจากการใชว้ ัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวสั ดุผสม
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วทิ ยาศาสตร์
ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3
เรื่อง ผลกระทบจากการใช้วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดผุ สม เวลา 2 ชว่ั โมง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง
และแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร
การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี
2. ตัวช้ีวดั
ว 2.1 ม.3/2 ตระหนักถงึ คุณคา่ ของการใช้วัสดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ และวสั ดุผสม โดย
เสนอแนะแนวทางการใชว้ สั ดุอยา่ งประหยัดและคมุ้ ค่า
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. อธบิ ายแนวทางในการใช้วสั ดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก และวสั ดุผสมอย่างประหยดั และคมุ้ ค่าได้ (K)
2. เสนอแนะแนวทางในการใชว้ สั ดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก และวสั ดผุ สมอย่างประหยัดและคมุ้ ค่าได้ (P)
3. ตระหนักถึงคุณคา่ ของการใช้วัสดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก และวสั ดุผสม (A)
4. รับผดิ ชอบต่อหน้าท่ีท่ีได้รบั มอบหมาย และมุ่งม่ันในการศึกษา (A)
4. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรียนรทู้ อ้ งถิ่น
พิจารณาตามหลักสูตรของสถานศึกษา
สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง
- วสั ดบุ างชนดิ สลายตัวยาก เช่น พลาสติก การ
ใช้วสั ดุอยา่ งฟุ่มเฟอื ยและไมร่ ะมัดระวังอาจกอ่
ปัญหาตอ่ สง่ิ แวดล้อม
5. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด
วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุผสมบางชนิดสลายตัวยาก การใช้วัสดุเหล่านี้อย่าง
ฟุ่มเฟือยและไม่ระมัดระวังอาจก่อให้เกิดปัญหาต่อส่ิงแวดล้อม ดังน้ัน จึงต้องมีแนวทางในการใช้วัสดุ
เหล่านอี้ ยา่ งคุ้มคา่ และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ มน้อยทส่ี ดุ
60
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 6 วสั ดใุ นชีวติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 4 ผลกระทบจากการใช้วสั ดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก และวัสดผุ สม
6. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
1) ทกั ษะการสังเกต
2) ทกั ษะการลงความเห็นจากขอ้ มลู
3) ทกั ษะการตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรุป
3. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ
7. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
1. มวี ินัย
2. ใฝเ่ รยี นรู้
3. มงุ่ ม่นั ในการทางาน
8. คาถามสาคัญ
1. ในปัจจุบัน พลาสติกมผี ลกระทบตอ่ สิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง
2. บอกแนวทางในการแกป้ ัญหาสิ่งแวดลอ้ มจากการใชว้ ัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามิกและวัสดผุ สม
9. กิจกรรมการเรยี นรู้
วธิ ีการสอนโดยเน้นรปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ชั่วโมงที่ 1
ข้ันนา
ขน้ั ท่ี 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engage)
1. ครใู ช้บตั รภาพเกีย่ วกับผลกระทบจากการใชพ้ ลาสติกท่มี ตี ่อส่ิงแวดล้อม เช่น ปญั หาขยะพลาสติก
จานวนมากไมส่ ามารถกาจัดได้
61
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 6 วัสดใุ นชวี ติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 4 ผลกระทบจากการใช้วสั ดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก และวสั ดผุ สม
และวดี ทิ ัศนเ์ กย่ี วกบั ผลกระทบจากการใช้พลาสตกิ จาก YouTube เช่น
- https://www.youtube.com/watch?v=NHOJm95OjFw
- https://www.youtube.com/watch?v=BHcV0ztUYOk
- https://www.youtube.com/watch?v=s42JmRlpimI
แลว้ ให้นกั เรยี นศึกษา จากน้นั ครนู าอภิปรายเพอ่ื ใหน้ ักเรียนเข้าใจว่า การใชผ้ ลิตภณั ฑ์พอลิเมอรบ์ าง
ชนิดที่ย่อยสลายยาก โดยเฉพาะพลาสติกเม่ือใช้อย่างฟุ่มเพือยและไมร่ ะมดั ระวังจะก่อใหเ้ กดิ ปญั หา
มลพษิ ต่อส่ิงแวดลอ้ มได้
2. ครูใหน้ ักเรยี นร่วมกันแสดงความคิดเห็นว่า นักเรยี นจะมีแนวทางในการใช้พลาสติกอยา่ งประหยัด
และคมุ้ ค่าไดอ้ ยา่ งไร
ขั้นสอน
ขนั้ ท่ี 2 สารวจคน้ หา (Explore)
1. นักเรียนจับคู่กับเพ่ือนที่น่งั ข้างกนั แลว้ ร่วมกันศึกษาเก่ยี วกับแนวทางในการใชว้ ัสดุประเภท
พอลเิ มอร์ เซรามิก และวสั ดุผสมอย่างคุ้มค่าและสง่ ผลกระทบตอ่ ส่งิ แวดล้อมน้อยที่สุด จากหนังสือ
เรยี นรายวิชาพืน้ ฐาน (ชดุ สัมฤทธ์มิ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 หรอื แหลง่ เรยี นรอู้ ่ืน ๆ เช่น
อินเทอร์เน็ต หอ้ งสมุด
2. นกั เรยี นแตล่ ะคูร่ ่วมกนั สรุปความรู้เก่ียวกบั แนวทางในการใชว้ สั ดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ และ
วสั ดุผสมอย่างคมุ้ ค่าและส่งผลกระทบต่อสง่ิ แวดลอ้ มน้อยที่สดุ ลงในสมุดประจาตวั ของนักเรียน
ช่วั โมงที่ 2
ขนั้ ท่ี 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
3. ครเู ตรียมบัตรภาพเก่ยี วกบั แนวทางการใช้วัสดุอย่างคมุ้ คา่ แล้วใหน้ กั เรียนแตล่ ะคู่แขง่ ขันกันตอบ
ว่าแนวทางท่ียกตวั อย่างเปน็ แนวทางลักษณะใด โดยครูอาจมขี องรางวัลให้ เช่น ขนม ลกู อม ปากกา
นาขยะอินทรยี ์มาทาเปน็ ปยุ๋ หมัก การนาขวดพลาสติกมาทาเป็นกระถาง
(การนากลบั มาใชใ้ หม่) ปลูกตน้ ไม้
(การใช้ซ้า)
62
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 6 วัสดใุ นชีวติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 4 ผลกระทบจากการใชว้ ัสดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ และวสั ดผุ สม
เลอื กซื้อสินค้าทผ่ี ลติ จากวัสดรุ ไี ซเคิล เชน่ ใชถ้ งุ ผา้ หรอื ตะกรา้ สาหรบั ใส่สนิ คา้ แทน
กระดาษรไี ซเคิล ถงุ พลาสติก
(การลดการใช้)
(การนากลบั มาใชใ้ หม่)
ขน้ั ที่ 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
4. ครใู หน้ กั เรียนทจ่ี ับคกู่ นั ร่วมกันสืบค้นข้อมลู เพ่มิ เตมิ เกยี่ วกับแนวทางในการใช้พลาสตกิ อย่างคุ้มค่า
จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เชน่ หอ้ งสมุด อนิ เทอร์เน็ต จากนั้นนาขอ้ มลู ที่สืบค้นไดม้ าจดั ทาเปน็ แผ่นพบั
เพ่อื เผยแพรค่ วามรู้
ขน้ั สรุป
ข้นั ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. นักเรยี นรว่ มกนั สรุปความรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากการใชว้ ัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุ
ผสม โดยมีแนวทางการสรปุ ดงั น้ี
“วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามกิ และวสั ดผุ สมบางชนิดสลายตัวยาก การใชว้ สั ดุเหล่านอี้ ยา่ ง
ฟุ่มเฟอื ยและไม่ระมัดระวังจะกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาต่อสิง่ แวดล้อม ดงั นน้ั จึงต้องมแี นวทางในการใช้วสั ดุ
เหล่านีอ้ ย่างคุ้มคา่ และสง่ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สดุ เช่น การใชซ้ ้า การลดการใช้ การนา
กลบั มาใชใ้ หม่”
2. นกั เรียนทา Exercise 4.1 จากหนังสอื เรยี นรายวิชาพน้ื ฐาน (ชดุ สัมฤทธ์มิ าตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
3. ให้นักเรียนแตล่ ะคนอา่ น Summary เรื่อง วัสดใุ นชวี ติ ประจาวัน จากหนงั สอื เรยี นรายวิชาพื้นฐาน
(ชดุ สัมฤทธม์ิ าตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
4. นกั เรียนทา Thinking Skills Activity จากหนงั สือเรยี นรายวิชาพนื้ ฐาน (ชดุ สมั ฤทธิม์ าตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
5. นกั เรียนทาแบบทดสอบพัฒนาผูเ้ รียน จากหนังสือเรยี นรายวิชาพนื้ ฐาน (ชดุ สัมฤทธ์ิมาตรฐาน)
วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
6. นักเรียนทาแบบทดสอบหลงั เรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรอื่ ง วัสดใุ นชวี ิตประจาวัน
63
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 6 วัสดใุ นชีวิตประจาวนั
แผนฯ ท่ี 4 ผลกระทบจากการใชว้ ัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามกิ และวัสดผุ สม
7. ครูประเมนิ ผล โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤตกิ รรมการทางานรายบคุ คล พฤตกิ รรม
การทางานกลมุ่
8. ครูตรวจสอบผลการทา Exercise 4.1 จากหนงั สือเรียนรายวชิ าพนื้ ฐาน (ชุด สัมฤทธมิ์ าตรฐาน)
วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
9. ครูตรวจสอบผลการทา Thinking Skills Activity จากหนังสือเรียนรายวิชาพืน้ ฐาน (ชดุ สัมฤทธ์ิ
มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
10.ครูตรวจสอบผลการทา แบบทดสอบพัฒนาผเู้ รียน จากหนังสือเรียนรายวิชาพน้ื ฐาน (ชุด สมั ฤทธิ์
มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
11.ครตู รวจสอบผลการทาแบบทดสอบหลงั เรยี นหน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 เรอื่ ง วัสดุในชวี ติ ประจาวัน
10. การวัดและประเมนิ ผล
รายการวดั วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน
10.1 การประเมนิ ระหว่าง
การจัดกิจกรรม
1) ผลกระทบจากการใช้ - ตรวจ Exercise 4.1 - Exercise 4.1 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
วัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์
เซรามิก และวัสดุผสม
2) พฤติกรรมการทางาน - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คุณภาพ 2
รายบุคคล การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์
3) พฤติกรรมการทางาน - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดบั คุณภาพ 2
กลุม่ การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม ผ่านเกณฑ์
4) คุณลักษณะอันพึง - สังเกตความมวี นิ ยั - แบบประเมนิ - ระดบั คณุ ภาพ 2
ประสงค์ ใฝเ่ รียนรู้ และมงุ่ ม่ัน คุณลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์
ในการทางาน อนั พึงประสงค์
10.2 การประเมินหลังเรียน
- แบบทดสอบหลงั เรียน - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบหลังเรยี น - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 3 หลังเรยี น
เร่อื ง วสั ดุใน
ชีวิตประจาวัน
- Thinking Skills Activity - ตรวจ Thinking Skills - Thinking Skills - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
Activity Activity
- แบบทดสอบพัฒนา - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบพฒั นา - ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
ผู้เรียน พฒั นาผูเ้ รียน ผู้เรียน
64
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 6 วสั ดใุ นชีวิตประจาวนั
แผนฯ ที่ 4 ผลกระทบจากการใช้วสั ดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามกิ และวสั ดุผสม
11. สอื่ /แหล่งการเรยี นรู้
11.1 สอื่ การเรียนรู้
1) หนงั สือเรยี นรายวิชาพ้ืนฐาน (ชดุ สมั ฤทธม์ิ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 3
วัสดใุ นชีวติ ประจาวัน
2) บตั รภาพผลกระทบจากการใชพ้ ลาสติกที่มตี ่อสิ่งแวดล้อม
3) บตั รภาพแนวทางทางการใช้วสั ดอุ ย่างคุ้มค่า
4) วีดิทัศน์ผลกระทบจากการใช้พลาสตกิ ท่ีมตี ่อสง่ิ แวดล้อม
11.2 แหลง่ การเรยี นรู้
1) ห้องเรยี น
2) อินเทอร์เนต็
65
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 6 วัสดใุ นชีวติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 4 ผลกระทบจากการใชว้ ัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวสั ดผุ สม
บัตรภาพผลกระทบจากการใชพ้ ลาสตกิ ท่มี ีตอ่ ส่ิงแวดลอ้ ม
66
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 6 วสั ดุในชวี ิตประจาวนั
แผนฯ ที่ 4 ผลกระทบจากการใชว้ สั ดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามกิ และวสั ดผุ สม
บตั รภาพแนวทางการใช้วสั ดุอยา่ งคุ้มคา่
67
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 6 วัสดุในชวี ิตประจาวนั
แผนฯ ที่ 4 ผลกระทบจากการใช้วสั ดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวสั ดุผสม
68
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 6 วัสดุในชวี ิตประจาวนั
แผนฯ ที่ 4 ผลกระทบจากการใชว้ ัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามกิ และวสั ดุผสม
12. ความเหน็ ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษาหรือผทู้ ่ีไดร้ ับมอบหมาย
ข้อเสนอแนะ
ลงชอื่ .................................
( ................................ )
ตาแหน่ง .......
13. บันทกึ ผลหลงั การสอน
ดา้ นความรู้
ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น
ด้านคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
ดา้ นความสามารถทางวิทยาศาสตร์
ดา้ นอื่น ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤตกิ รรมท่มี ีปญั หาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี))
ปญั หา/อุปสรรค
แนวทางการแก้ไข
69
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 7 ไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนกิ ส์
แผนฯ ท่ี 1 ความต่างศักย์ไฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และความตา้ นทานไฟฟา้
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 1
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์
ระดับช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 3
เร่อื ง ความตา่ งศักยไ์ ฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และความต้านทานไฟฟ้า เวลา 5 ชัว่ โมง
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปลีย่ นแปลงและการถา่ ยโอนพลังงาน ปฏิสมั พันธ์
ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชวี ติ ประจาวัน ธรรมชาตขิ องคล่นื ปรากฏการณ์
ทีเ่ ก่ยี วข้องกับเสยี ง แสง และคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมทัง้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวชีว้ ัด
ว 2.3 ม.3/3 ใชโ้ วลตม์ เิ ตอร์ แอมมิเตอรใ์ นการวัดปรมิ าณทางไฟฟา้
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธบิ ายความหมายของความต่างศักยไ์ ฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และความตา้ นทานไฟฟ้าได้ (K)
2. ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมการวดั ความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้าโดยใชโ้ วลต์มเิ ตอรใ์ นการวัดปริมาณทางไฟฟ้าได้ (P)
3. ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมการวดั กระแสไฟฟา้ โดยใชแ้ อมมเิ ตอร์ในการวดั ปรมิ าณทางไฟฟ้าได้ (P)
4. รับผดิ ชอบตอ่ หน้าท่ที ีไ่ ดร้ บั มอบหมายและมงุ่ มั่นในการทางาน (A)
4. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นร้ทู ้องถน่ิ
พิจารณาตามหลกั สูตรของสถานศกึ ษา
สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
- เม่ือต่อวงจรไฟฟ้าครบวงจรจะมีกระแสไฟฟ้า
ออกจากข้ัวบวกผ่านวงจรไฟฟ้าไปยังขั้วลบของ
แหล่งกาเนิดไฟฟ้า ซงึ่ วัดคา่ ได้จากแอมมิเตอร์
- ค่าที่บอกความแตกต่างของพลังงานไฟฟ้าต่อ
หน่วยประจุระหว่างจุด 2 จุด เรียกว่า ความต่าง
ศกั ย์ ซึ่งวัดได้จากโวลต์มเิ ตอร์
- ขนาดของกระแสไฟฟ้ามีค่าแปรผันตรงกับความ
ต่างศักย์ระหว่างปลายท้ังสองของตัวนา โดย
อัตราสว่ นระหวา่ งความต่างศักยแ์ ละกระแสไฟฟ้า
มคี า่ คงที่ เรียกค่าคงทน่ี วี้ า่ ความต้านทาน
70
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 7 ไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนกิ ส์
แผนฯ ท่ี 1 ความต่างศกั ย์ไฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และความตา้ นทานไฟฟา้
5. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด
ความต่างศักย์ไฟฟ้า คือ ความแตกต่างของพลังงานไฟฟ้าระหว่างจุด 2 จุด ซึ่งทาให้เกิดกระแสไฟฟ้า
ขึน้ กระแสไฟฟา้ เกดิ ข้ึนจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนจากบรเิ วณหนึ่งไปอีกบริเวณหน่งึ กระแสไฟฟ้าจะ
ไหลจากบริเวณศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังศักย์ไฟฟ้าต่า และความต้านทานไฟฟ้า คือ สมบัติของตัวนาไฟฟ้าท่ียอม
ให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้
6. สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคดิ
1) ทกั ษะการสังเกต
2) ทกั ษะการวัด
3) ทกั ษะการทดลอง
4) ทักษะการวิเคราะห์
5) ทกั ษะการตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรุป
3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
7. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มวี ินยั
2. ใฝเ่ รียนรู้
3. มุ่งม่นั ในการทางาน
8. คาถามสาคญั
1. ความต่างศักยไ์ ฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และความตา้ นทานไฟฟ้า มนี ิยามวา่ อยา่ งไร
2. อุปกรณ์ท่ีใช้ในการวดั ความต่างศกั ย์ไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าคืออะไร
3. อปุ กรณ์ทใ่ี ช้ในการวัดกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟา้ คอื อะไร
9. กิจกรรมการเรียนรู้
วธิ ีการสอนโดยเน้นรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
71
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 7 ไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนกิ ส์
แผนฯ ท่ี 1 ความต่างศักย์ไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ และความตา้ นทานไฟฟา้
ชวั่ โมงที่ 1
ขัน้ นา
ขนั้ ท่ี 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage)
1. ครแู จง้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ใหน้ กั เรียนทราบ จากนั้นครูให้นกั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 5 ไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนกิ ส์ เพอื่ วดั ความรเู้ ดิมของนกั เรียนเป็นรายบคุ คลก่อนเขา้ สู่
กจิ กรรม
2. ครสู นทนากับนกั เรยี นโดยให้นักเรียนรว่ มกนั อภิปรายแสดงความคดิ เหน็ รว่ มกันวา่ “ไฟฟ้าทีบ่ ้านของเรา
หรอื ตามทอ้ งถนนมาจากไหน มีอะไรบา้ งทีเ่ กีย่ วข้อง แล้วจะวัดได้อยา่ งไรว่ามไี ฟฟ้า”
3. นกั เรียนแตล่ ะคนสังเกตสถานการณ์ ภาพหนา้ หนว่ ย จากหนังสือเรียนรายวิชาพน้ื ฐาน (ชุด สัมฤทธิ์
มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 5 ไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนิสก์ เพื่อกระตุน้ ให้
เกดิ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ จากน้ันครูใช้คาถามประจาหนว่ ยถามนักเรียนวา่ “เซลล์สรุ ิยะ
เกย่ี วขอ้ งกบั ไฟฟา้ และอิเล็กทรอนกิ ส์อย่างไร” โดยให้นักเรียนแลกเปล่ยี นความคิดเหน็ ร่วมกนั
ครอู าจเขยี นใหน้ ักเรยี นเขียนคาตอบของตนเองไวใ้ นสมุดประจาตัวของเรยี น แลว้ ครูจะมาเฉลย
คาตอบหลงั จากเรยี นจบหนว่ ยการเรยี นรู้
4. ครเู ปดิ ภาพยนตรส์ ารคดีสั้น Twig เรอ่ื ง ไฟฟา้ คืออะไร? ใหน้ กั เรียน จากนน้ั ครูตั้งประเด็นคาถาม
กระตนุ้ ความคดิ นกั เรียน โดยใหน้ กั เรยี นร่วมกันอภิปรายแสดงความคดิ เหน็ อย่างอิสระ แลว้ ใหน้ กั เรียน
จดบนึ ทึกคาตอบของตนเองไว้ในสมดุ ประจาตวั นักเรยี น ดังน้ี
• ความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟา้ คืออะไร
• กระแสไฟฟ้าคอื อะไร
• ความต้านไฟฟา้ คอื อะไร
5. ครใู ช้คาถามกระต้นุ ความสนใจของนกั เรียนเพื่อนาเข้าสูก่ ารเรยี นการสอนว่า “ปรมิ าณตา่ ง ๆ
ในวงจรไฟฟา้ สมั พนั ธ์กันหรือไม่ อย่างไร”
(แนวตอบ : มีความสัมพนั ธก์ นั โดยอตั ราสว่ นระหวา่ งกระแสไฟฟ้ากบั ความต่างศกั ย์ไฟฟ้าจะมคี ่า
เทา่ กับความต้านทานไฟฟา้ )
72
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 7 ไฟฟา้ และอิเล็กทรอนิกส์
แผนฯ ท่ี 1 ความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟา้ และความตา้ นทานไฟฟา้
ขน้ั สอน
ขั้นที่ 2 สารวจค้นหา (Explore)
1. นกั เรียนแต่ละคนศกึ ษาค้นควา้ ขอ้ มูลเก่ยี วกบั ความต่างศกั ย์ไฟฟา้ จากหนงั สือเรยี นรายวิชาพ้ืนฐาน
(ชุด สัมฤทธมิ์ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 5 ไฟฟา้ และอิเล็กทรอนิกส์
หรือแหล่งการเรยี นรู้ตา่ ง ๆ เช่น อนิ เทอร์เน็ต จากนนั้ เขยี นสรปุ ความรูท้ ไี่ ดล้ งในสมุดประจาตวั นกั เรยี น
2. นักเรียนแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 6 คน ตามความสมัครใจ จากนนั้ ครูแจ้งจดุ ประสงค์ของกิจกรรม/การทดลอง
การวัดความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้า ให้นักเรียนทราบเพ่ือเป็นแนวทางการปฏบิ ัติกิจกรรมทถ่ี กู ต้อง
3. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มร่วมกนั ศึกษากิจกรรม/การทดลอง การวัดความตา่ งศักยไ์ ฟฟา้ จากหนังสอื เรียน
รายวชิ าพื้นฐาน (ชดุ สมั ฤทธ์ิมาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 5 ไฟฟ้าและ
อิเล็กทรอนิกส์ โดยครใู ชร้ ูปแบบการเรยี นร้แู บบร่วมมือมาจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยกาหนดให้สมาชกิ
แต่ละคนภายในกลมุ่ มีบทบาทหนา้ ที่ขอตนเอง ดังนี้
• สมาชิกคนที่ 1-2 ทาหนา้ ทเ่ี ตรยี มวัสดุอปุ กรณท์ ่ใี ชใ้ นการทดลองการวดั ความต่างศักย์ไฟฟ้า
• สมาชิกคนที่ 3-4 ทาหนา้ ที่อ่านวธิ ีการทดลอง และนามาอธิบายให้สมาชิกในกลมุ่ ฟัง
• สมาชกิ คนที่ 5-6 ทาหน้าที่บันทกึ ผลการทดลอง
4. สมาชิกภายในกลุ่มร่วมกนั ต้งั สมมตฐิ าน และปฏิบัติกิจกรรม/การทดลอง ตามขนั้ ตอนในหนงั สือเรียน
รายวชิ าพืน้ ฐาน (ชุด สมั ฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 5 ไฟฟ้าและ
อเิ ลก็ ทรอนิกส์ จากนน้ั รว่ มกันอภปิ รายผลการทดลอง และตอบคาถามทา้ ยการทดลอง
ช่วั โมงที่ 2
ขั้นท่ี 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
5. นักเรยี นแต่ละกลุม่ ออกมานาเสนอผลและคาถามทา้ ยการทดลอง การวดั ความต่างศักย์ไฟฟ้า
หน้าชนั้ เรยี น ในระหว่างทน่ี กั เรยี นนาเสนอ ครคู อยให้ข้อเสนอแนะเพม่ิ เตมิ เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นมคี วามเข้าใจ
ที่ถกู ตอ้ ง
6. นักเรยี นและครูรว่ มกันสรุปผลการทดลอง การวดั ความตา่ งศักย์ไฟฟา้ และเฉลยคาถามทา้ ยการทดลอง
7. ครูตงั้ ประเดน็ คาถามกระตนุ้ ความคดิ นักเรียน โดยให้นักเรยี นร่วมกันอภปิ รายแสดงความคดิ เห็นเพ่ือหา
คาตอบ ดังน้ี
• ความตา่ งศักย์ไฟฟ้าคืออะไร
(แนวตอบ : ความแตกตา่ งของพลงั งานไฟฟ้าระหวา่ งจุด 2 จดุ ซ่ึงทาใหเ้ กิดกระแสไฟฟา้ ขน้ึ )
73
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 7 ไฟฟา้ และอิเลก็ ทรอนกิ ส์
แผนฯ ท่ี 1 ความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟ้า กระแสไฟฟา้ และความตา้ นทานไฟฟ้า
• โวลต์มิเตอรม์ คี วามสาคัญอย่างไร
(แนวตอบ : เป็นอุปกรณ์ทใ่ี ช้วัดความต่างศักย์ไฟฟ้าระหวา่ งจุด 2 จุด การวัดความแตกต่างของ
ระดับพลังงานไฟฟ้าตอ้ งนาโวลตม์ ิเตอร์มาต่อคร่อมจดุ 2 จุดทีต่ อ้ งการวัด ซง่ึ ในการตอ่ โวลตม์ เิ ตอร์
กับวงจรจะเปน็ การต่อแบบขนาน โดยตอ้ งต่อข้วั บวกของโวลตม์ เิ ตอร์เขา้ กับข้วั บวกของวงจร และ
ตอ่ ขว้ั ลบของโวลต์มิเตอร์เข้ากับขั้วลบของวงจร)
• หน่วยความต่างศักย์ไฟฟา้ คืออะไร
(แนวตอบ : โวลต์ (Volt) ใชต้ วั ยอ่ แทนความต่างศักยไ์ ฟฟ้าเป็น V)
ชั่วโมงท่ี 3
ขั้นท่ี 2 สารวจคน้ หา (Explore) (ต่อ)
8. ครทู บทวนความรเู้ ดมิ ของนักเรียนเกยี่ วกบั ความต่างศกั ย์ไฟฟ้า
9. นกั เรียนแตล่ ะคนศึกษาค้นควา้ ขอ้ มลู เกี่ยวกับกระแสไฟฟ้า จากหนงั สือเรียนรายวิชาพ้นื ฐาน
(ชุด สัมฤทธ์มิ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 5 ไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนกิ ส์
หรอื แหล่งการเรียนรูต้ า่ ง ๆ เช่น อินเทอรเ์ นต็ จากน้นั เขียนสรปุ ความรู้ที่ไดล้ งในสมุดประจาตวั นักเรยี น
10. นักเรยี นแบง่ กลมุ่ กลุม่ ละ 6 คน ตามความสมัครใจ จากนนั้ ครแู จ้งจุดประสงค์ของกิจกรรม/การทดลอง
การวดั กระแสไฟฟ้า ให้นกั เรียนทราบเพื่อเป็นแนวทางการปฏบิ ัติกิจกรรมที่ถกู ต้อง
11. นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ร่วมกันศึกษากิจกรรม/การทดลอง การวดั กระแสไฟฟา้ จากหนังสือเรยี นรายวชิ า
พืน้ ฐาน (ชดุ สัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 5 ไฟฟา้ และอิเล็กทรอนิกส์
โดยครูใชร้ ูปแบบการเรียนรแู้ บบร่วมมือมาจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยกาหนดให้สมาชิกแต่ละคนภายใน
กลมุ่ มีบทบาทหน้าที่ขอตนเอง ดงั นี้
• สมาชิกคนที่ 1-2 ทาหนา้ ท่เี ตรียมวสั ดุอปุ กรณ์ที่ใชใ้ นการทดลองการวดั กระแสไฟฟ้า
• สมาชกิ คนท่ี 3-4 ทาหนา้ ที่อ่านวธิ ีการทดลอง และนามาอธบิ ายให้สมาชกิ ในกลุ่มฟงั
• สมาชิกคนท่ี 5-6 ทาหนา้ ทบ่ี ันทกึ ผลการทดลอง
12. สมาชิกภายในกลุ่มรว่ มกันตั้งสมมตฐิ าน และปฏิบัติกจิ กรรม/การทดลอง ตามขัน้ ตอนในหนงั สือเรยี น
รายวิชาพน้ื ฐาน (ชุด สมั ฤทธิม์ าตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 5 ไฟฟ้าและ
อิเลก็ ทรอนิกส์ จากนั้นรว่ มกันอภปิ รายผลการทดลอง และตอบคาถามท้ายการทดลอง
74
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 7 ไฟฟ้าและอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
แผนฯ ท่ี 1 ความต่างศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และความตา้ นทานไฟฟา้
ช่วั โมงที่ 4-5
ขั้นท่ี 3 อธิบายความรู้ (Explain)
13. นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ออกมานาเสนอผลและคาถามทา้ ยการทดลอง การวดั กระแสไฟฟา้ หน้าชั้นเรยี น
ในระหว่างทนี่ ักเรยี นนาเสนอ ครคู อยให้ข้อเสนอแนะเพ่ิมเติมเพื่อให้นกั เรยี นมีความเขา้ ใจที่ถูกต้อง
14. นักเรยี นและครูร่วมกันสรุปผลการทดลอง การวัดกระแสไฟฟ้า และเฉลยคาถามท้ายการทดลอง
15. ครูต้ังประเดน็ คาถามกระตุ้นความคดิ นกั เรยี น โดยให้นกั เรียนร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นเพื่อหา
คาตอบ ดังน้ี
• กระแสไฟฟา้ เกิดข้นึ ได้อยา่ งไร
(แนวตอบ : เกิดขึน้ จากการเคล่ือนที่ของอเิ ลก็ ตรอนจากบริเวณหนงึ่ ไปอีกบรเิ วณหน่ึง กระแสไฟฟา้
เกิดขน้ึ ไดห้ ลายวธิ ี เช่น เกิดจากความแตกตา่ งของพลงั งานสองบรเิ วณ เกดิ จากปฏกิ ริ ิยาเคมี
เกดิ จากการตดั สนามแมเ่ หล็ก)
• แอมมเิ ตอรม์ ีความสาคัญอยา่ งไร
(แนวตอบ : เปน็ อปุ กรณ์ทใี่ ช้วดั กระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้า)
• หนว่ ยกระแสไฟฟา้ คอื อะไร
(แนวตอบ : แอมแปร์ (Ampere) ใชต้ ัวยอ่ แทนกระแสไฟฟ้าเป็น A)
• ไฟฟ้ากระแสแบง่ ออกเปน็ กีช่ นิด อะไรบา้ ง
(แนวตอบ : แบ่งเปน็ 2 ชนิด ได้แก่ ไฟฟ้ากระแสตรง และไฟฟ้ากระแสสลับ)
• ตวั นาไฟฟ้ากบั ฉนวนแตกตา่ งกนั อยา่ งไร
(แนวตอบ : ตวั นาไฟฟา้ เป็นวัตถทุ ม่ี ีสมบัตยิ อมใหก้ ระแสไฟฟา้ ไหลผ่านได้ เช่น ทองแดง เหล็ก
อะลมู ิเนยี ม ส่วนฉนวนเป็นวัตถุทม่ี ีสมบัติไมย่ อมให้กระแสไฟฟ้าไหลผา่ น เช่น ไม้ พลาสตกิ เชอื ก
ยาง)
ขัน้ ท่ี 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
16. นักเรียนจบั คู่กบั เพ่ือนในชน้ั เรยี น จากน้ันรว่ มกันศกึ ษาค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเตมิ เกีย่ วกบั ความต้านทาน
ไฟฟ้า และปัจจัยทม่ี ผี ลตอ่ ความต้านทานของตวั นาไฟฟา้ จากหนังสอื เรยี นรายวชิ าพืน้ ฐาน (ชุด สมั ฤทธ์ิ
มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 5 ไฟฟ้าและอเิ ลก็ ทรอนิกส์ หรอื แหลง่ การ
เรยี นร้ตู า่ ง ๆ เชน่ อินเทอร์เน็ต
17. นกั เรียนแต่ละค่รู ว่ มกนั เขียนสรุปความรู้ท่ีได้จากการศึกษาลงในสมุดประจาตัวของนักเรียน
18. ครูอธบิ ายเพิ่มเติมใหน้ ักเรียนเขา้ ใจวา่ “ในอปุ กรณ์หรือเคร่ืองใช้ไฟฟ้าประเภทท่ใี ห้พลงั งนความร้อน
เชน่ เตารดี ไฟฟา้ กาต้มนา้ เครอ่ื งปงิ้ ขนมปัง จะใชล้ วดตา้ นทานทมี่ สี มบัติเฉพาะ มจี ุดหลอมเหลวสูง
ใหค้ วามรอ้ นเรว็ เชน่ ลวดนิโครม ซ่งึ เป็นโลหะผสมระหว่างนกิ เกิลกบั โครเมยี ม”
75
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 7 ไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนิกส์
แผนฯ ที่ 1 ความต่างศกั ยไ์ ฟฟา้ กระแสไฟฟา้ และความตา้ นทานไฟฟ้า
19. นกั เรยี นแต่ละคน Exercise 1.1 เร่ือง ความตา่ งศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟา้ และความต้านทานไฟฟ้า
จากหนงั สือเรยี นรายวชิ าพ้ืนฐาน (ชดุ สมั ฤทธมิ์ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 5
ไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนิกส์ เมอื่ นกั เรียนทาเสร็จ ครสู ุ่มนักเรียน 3-4 คน ออกมานาเสนอคาตอบของ
ตนเอง แลว้ ให้นกั เรียนที่อยใู่ นชั้นเรยี นร่วมกันพิจารณาว่าคาตอบถูกต้องหรือไม่ จากน้ันครูเฉลยคาตอบ
ท่ถี ูกต้องให้นักเรียน
ขนั้ สรุป
ขนั้ ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. นกั เรียนและครรู ว่ มกันสรุปความรู้เก่ยี วกบั ความต่างศกั ยไ์ ฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และความตา้ นทานไฟฟ้า
โดยมีแนวการสรปุ ดังน้ี
“ความต่างศักยไ์ ฟฟา้ คือ ความแตกต่างของพลงั งานไฟฟ้าระหวา่ งจุด 2 จุด ซึง่ ทาใหเ้ กดิ กระแสไฟฟ้าขึน้
กระแสไฟฟ้า เกิดข้ึนจากการเคล่ือนที่ของอิเล็กตรอนจากบริเวณหนึ่งไปอีกบรเิ วณหน่งึ กระแสไฟฟ้า
จะไหลจากบริเวณศักย์ไฟฟ้าสงู ไปยังศักยไ์ ฟฟ้าตา่ และความต้านทานไฟฟ้า คือ สมบัตขิ องตัวนาไฟฟ้า
ท่ยี อมให้กระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นได้ ปัจจยั ท่มี ผี ลต่อความต้านทานของตวั นาไฟฟ้า ได้แก่ ชนดิ ขนาด
ความยาว และอุณหภมู ขิ องตัวนาไฟฟา้ ”
2. ครูตรวจสอบผลการทาแบบทดสอบก่อนเรยี นหน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 5 ไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนิกส์
เพื่อตรวจสอบความเขา้ ใจก่อนเรยี นของนักเรียน
3. ครปู ระเมินผล โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤติกรรมการทางานรายบุคคล
และพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
4. ครูตรวจสอบผลการทา Exercise 1.1 เรื่อง ความต่างศักย์ไฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และความต้านทานไฟฟ้า
จากหนงั สอื เรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชดุ สัมฤทธมิ์ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 5
ไฟฟา้ และอิเล็กทรอนกิ ส์
5. ครูตรวจสอบผลการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม เรื่อง การวดั ความต่างศักย์ไฟฟ้า
6. ครตู รวจสอบผลการปฏิบตั กิ ิจกรรม เรื่อง การวดั กระแสไฟฟา้
76
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 7 ไฟฟา้ และอิเลก็ ทรอนกิ ส์
แผนฯ ที่ 1 ความตา่ งศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และความตา้ นทานไฟฟ้า
10. การวดั และประเมนิ ผล วิธีการ เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมิน
รายการวัด - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบก่อนเรียน - ประเมนิ ตามสภาพจริง
10.1 การประเมินก่อนเรียน กอ่ นเรยี น
- Exercise 1.1 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- แบบทดสอบก่อนเรยี น - ตรวจ Exercise 1.1
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 5 - แบบประเมินการ - ระดับคุณภาพ 2
ไฟฟ้าและ - ประเมนิ การปฏิบัติ ปฏบิ ัติกจิ กรรม ผ่านเกณฑ์
อเิ ลก็ ทรอนิกส์ กจิ กรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดับคุณภาพ 2
10.2 การประเมินระหว่าง - สังเกตพฤติกรรม การทางานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์
การจัดกิจกรรม การทางานรายบุคคล - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
1) ความต่างศักย์ไฟฟ้า - สงั เกตพฤติกรรม การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
กระแสไฟฟ้า และ การทางานกลุ่ม - แบบประเมนิ - ระดบั คุณภาพ 2
ความตา้ นทานไฟฟ้า - ประเมนิ การนาเสนอ การนาเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์
2) การปฏบิ ัติกจิ กรรม ผลงาน - แบบประเมนิ - ระดบั คุณภาพ 2
- สงั เกตความมวี นิ ัย คณุ ลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์
3) พฤติกรรมการทางาน ใฝ่เรยี นรู้ และมุ่งม่นั อนั พึงประสงค์
รายบุคคล ในการทางาน
4) พฤติกรรมการทางาน
กล่มุ
5) การนาเสนอผลงาน
6) คุณลักษณะอนั พึง
ประสงค์
11. สอ่ื /แหลง่ การเรียนรู้
11.1 ส่อื การเรียนรู้
1) หนงั สือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชดุ สัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 5 ไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนิกส์
2) วสั ดอุ ุปกรณ์ทีใ่ ช้ในการทดลองการวัดความต่างศกั ย์ไฟฟา้
3) วสั ดอุ ปุ กรณ์ทีใ่ ชใ้ นการทดลองการวดั กระแสไฟฟ้า
4) สมดุ ประจาตัวนักเรยี น
5) ภาพยนตรส์ ารคดีสน้ั Twig เร่ือง ไฟฟ้าคืออะไร?
ที่มา https://www.twig-aksorn.com/film/what-is-electricity-8332/
77
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 7 ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนกิ ส์
แผนฯ ที่ 1 ความตา่ งศักย์ไฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และความตา้ นทานไฟฟ้า
11.2 แหล่งการเรียนรู้
1) หอ้ งเรยี น
2) หอ้ งปฏิบัติการวทิ ยาศาสตร์
3) อนิ เทอรเ์ น็ต
78
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 7 ไฟฟา้ และอิเล็กทรอนกิ ส์
แผนฯ ท่ี 1 ความต่างศักย์ไฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และความตา้ นทานไฟฟา้
12. ความเห็นของผู้บริหารสถานศกึ ษาหรือผู้ท่ไี ดร้ บั มอบหมาย
ขอ้ เสนอแนะ
ลงช่อื .................................
( ................................ )
ตาแหน่ง .......
13. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ดา้ นความรู้
ด้านสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
ดา้ นความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ดา้ นอ่นื ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤติกรรมทมี่ ีปญั หาของนกั เรียนเปน็ รายบคุ คล (ถ้าม)ี )
ปัญหา/อุปสรรค
แนวทางการแกไ้ ข
79
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 7 ไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนิกส์
แผนฯ ท่ี 2 กฎของโอหม์
แผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ี 2
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชา วิทยาศาสตร์
ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3
เรอ่ื ง กฎของโอห์ม เวลา 3 ช่ัวโมง
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลงั งาน ปฏิสัมพันธ์
ระหวา่ งสสารและพลงั งาน พลงั งานในชวี ิตประจาวนั ธรรมชาตขิ องคลนื่ ปรากฏการณ์
ท่ีเกี่ยวข้องกับเสยี ง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ รวมทั้งนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
2. ตัวชี้วดั
ว 2.3 ม.3/1 วเิ คราะห์ความสัมพันธร์ ะหว่างความต่างศักย์ กระแสไฟฟา้ และความต้านทาน
และคานวณปริมาณท่เี ก่ยี วข้องโดยใช้สมการ V = IR จากหลักฐานเชิงประจักษ์
ว 2.3 ม.3/2 เขยี นกราฟความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งกระแสไฟฟ้า และความตา่ งศักย์ไฟฟ้า
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายกฎของโอห์มได้ (K)
2. คานวณปรมิ าณท่ีเกยี่ วข้องกบั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความต่างศักย์ กระแสไฟฟ้า และความต้านทานได้ (K)
3. เขยี นความสัมพันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟา้ และความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้าได้ (P)
4. ปฏิบัติกจิ กรรมกฎของโอหม์ ได้ถกู ต้องและเปน็ ลาดบั ข้นั ตอน (P)
5. มีความใฝเ่ รยี นร้แู ละมคี วามมุ่งม่ันในการทางาน (A)
4. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรทู้ อ้ งถิ่น
พิจารณาตามหลกั สตู รของสถานศกึ ษา
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
- เมื่อต่อวงจรไฟฟ้าครบวงจรจะมีกระแสไฟฟ้า
ออกจากขั้วบวกผ่านวงจรไฟฟ้าไปยังขั้วลบของ
แหล่งกาเนิดไฟฟา้ ซ่ึงวัดคา่ ไดจ้ ากแอมมิเตอร์
- ค่าท่ีบอกความแตกต่างของพลังงานไฟฟ้าต่อ
หน่วยประจุระหว่างจุด 2 จุด เรียกว่า ความต่าง
ศักย์ ซึง่ วดั ได้จากโวลต์มเิ ตอร์
80
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 7 ไฟฟา้ และอิเลก็ ทรอนิกส์ สาระการเรยี นรู้ท้องถิน่
แผนฯ ที่ 2 กฎของโอหม์
สาระการเรียนร้แู กนกลาง
- ขนาดของกระแสไฟฟ้ามีค่าแปรผันตรงกับ
ความต่างศักย์ระหว่างปลายท้ังสองของตัวนา
โ ด ย อั ต ร า ส่ ว น ร ะ ห ว่ า ง ค ว า ม ต่ า ง ศั ก ย์ แ ล ะ
กระแสไฟฟ้ากระแสไฟฟ้ามีค่าคงที่ เรียกค่าคงที่
นี้ว่า ความตา้ นทาน
5. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
กฎของโอห์ม มีใจความสาคัญว่า สาหรับตัวนาไฟฟ้าท่ีอุณหภูมิคงตัว อัตราส่วนระหว่างความต่าง
ศักย์ไฟฟ้าระหวา่ งจดุ 2 จดุ กับกระแสไฟฟ้าทไ่ี หลผา่ นระหว่างจุดท้งั สองจะมีค่าคงตวั เชน่ กัน
6. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคิด
1) ทกั ษะการสังเกต
2) ทกั ษะการวดั
3) ทกั ษะการคานวณ
4) ทักษะการทดลอง
5) ทักษะการวเิ คราะห์
6) ทักษะการตคี วามหมายข้อมลู และลงข้อสรุป
3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
7. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
1. มีวนิ ัย
2. ใฝเ่ รียนรู้
3. ม่งุ มั่นในการทางาน
8. คาถามสาคญั
1. กราฟความสมั พนั ธร์ ะหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศกั ย์ไฟฟา้ มีลกั ษณะเป็นอย่างไร
2. กฎของโอห์มมใี จความสาคญั อย่างไร
81
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 7 ไฟฟ้าและอเิ ลก็ ทรอนิกส์
แผนฯ ท่ี 2 กฎของโอห์ม
9. กิจกรรมการเรียนรู้
วิธีการสอนโดยเนน้ รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ช่วั โมงที่ 1-2
ข้นั นา
ขน้ั ที่ 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engage)
1. ครทู บทวนความรูเ้ ดมิ ของนกั เรียนเกยี่ วกับความตา่ งศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และความต้านทานไฟฟ้า
โดยมแี นวคาถาม ดังน้ี
• ถา้ นักเรียนตอ้ งการจะวัดกระแสไฟฟ้ากับความตา่ งศักย์ไฟฟ้า นักเรียนจะเลอื กใช้อปุ กรณ์ใด
(แนวตอบ : สามารถวัดกระแสไฟฟา้ โดยการต่อแอมมิเตอรเ์ ข้าไปในวงจรไฟฟ้า
และวัดความต่างศกั ยไ์ ฟฟา้ โดยการตอ่ โวลตม์ เิ ตอรเ์ ขา้ ไปในวงจรไฟฟ้า)
• ปจั จยั ใดบา้ งที่มผี ลต่อความต้านทานของตวั นาไฟฟ้า
(แนวตอบ : ชนิด ขนาด ความยาว และอณุ หภมู ิของตวั นาไฟฟ้า)
2. ครเู ปดิ วดี ทิ ศั น์ เรื่อง กฎของโอหม์ - ส่อื การเรยี นการสอน วิทยาศาสตร์ ม.3 ใหน้ กั เรยี นดู
จากนัน้ นักเรียนเขียนสาระสาคัญลงในสมุดประจาตัวนกั เรยี น
ขั้นสอน
ขัน้ ที่ 2 สารวจคน้ หา (Explore)
1. นกั เรียนแบ่งกลมุ่ กลุ่มละ 6 คน ตามความสมัครใจ จากนน้ั ครแู จง้ จดุ ประสงค์ของกิจกรรม/การทดลอง
กฎของโอหม์ ให้นักเรียนทราบเพ่ือเปน็ แนวทางการปฏบิ ัติกิจกรรมที่ถกู ต้อง
2. นกั เรียนแต่ละกล่มุ ร่วมกันศึกษากจิ กรรม/การทดลอง กฎของโอห์ม จากหนงั สือเรียนรายวชิ าพน้ื ฐาน
(ชุด สัมฤทธ์มิ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 5 ไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนิกส์
โดยครใู ชร้ ปู แบบการเรียนรแู้ บบร่วมมอื มาจัดกระบวนการเรยี นรู้ โดยกาหนดใหส้ มาชกิ แตล่ ะคนภายใน
กล่มุ มีบทบาทหน้าท่ขี องตนเอง ดังนี้
• สมาชกิ คนที่ 1-2 ทาหนา้ ทเี่ ตรยี มวสั ดุอุปกรณ์ที่ใชใ้ นการทดลองกฎของโอห์ม
• สมาชิกคนท่ี 3-4 ทาหน้าท่ีอ่านวธิ ีการทดลอง และนามาอธบิ ายใหส้ มาชิกในกลุ่มฟัง
• สมาชิกคนที่ 5-6 ทาหน้าที่บันทกึ ผลการทดลอง
3. สมาชกิ ภายในกลุ่มรว่ มกนั ตั้งสมมตฐิ าน และปฏิบัติกิจกรรม/การทดลอง ตามข้ันตอนในหนังสือเรยี น
รายวชิ าพื้นฐาน (ชดุ สัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 5 ไฟฟา้ และ
อิเล็กทรอนิกส์ จากนน้ั รว่ มกันอภปิ รายผลการทดลอง และตอบคาถามทา้ ยการทดลอง
82
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 7 ไฟฟา้ และอิเลก็ ทรอนกิ ส์
แผนฯ ท่ี 2 กฎของโอหม์
ชว่ั โมงท่ี 3
ข้นั ท่ี 3 อธิบายความรู้ (Explain)
4. นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ออกมานาเสนอผลและคาถามท้ายการทดลอง กฎของโอห์มหนา้ ชัน้ เรยี น ในระหว่าง
ท่ีนกั เรียนนาเสนอ ครคู อยให้ข้อเสนอแนะเพม่ิ เตมิ เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นมีความเข้าใจทถ่ี กู ต้อง
5. นกั เรยี นและครูร่วมกนั สรุปผลการทดลอง กฎของโอหม์ และเฉลยคาถามท้ายการทดลอง
6. ครตู ้ังประเดน็ คาถามกระตนุ้ ความคิดนักเรยี น โดยให้นกั เรยี นรว่ มกนั อภิปรายแสดงความคดิ เหน็ เพ่ือหา
คาตอบ ดงั น้ี
• กฎของโอห์มมีใจความสาคัญอย่างไร
(แนวตอบ : สาหรบั ตัวนาไฟฟา้ ท่ีอุณหภูมคิ งตวั อตั ราสว่ นระหว่างความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้าระหวา่ งจดุ 2
จุดกบั กระแสไฟฟ้าที่ไหลผา่ นระหว่างจุดทัง้ สองจะมคี า่ คงตัวเชน่ กนั )
• กราฟความสัมพันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟ้ากับความต่างศักยไ์ ฟฟ้ามีลักษณะอยา่ งไร
(แนวตอบ : เป็นกราฟเส้นตรงท่ีมีความชนั เปน็ บวก)
ข้นั ท่ี 4 ขยายความเข้าใจ (Elaborate)
7. ครูให้นกั เรียนออกมารับบัตรคาหน้าชนั้ เรยี น โดยนกั เรยี นแตล่ ะคนจะได้รบั บัตรคาท่ีแตกต่างกัน แลว้ ให้
นกั เรียนแต่ละคนเขยี นอธบิ ายความหมายของบัตรคาที่ตนเองได้รบั ลงในสมุดประจาตวั นกั เรยี น
8. นกั เรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน โดยแต่ละกลุ่มต้องมสี มาชกิ ทีม่ ีบตั รคาเกย่ี วกับความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้า
กระแสไฟฟ้า และความต้านทาน จากนน้ั สมาชกิ ภายในกลุม่ รว่ มกนั อภปิ รายแสดงความคิดเห็น
เพ่ือหาความสัมพันธ์ตามกฎของโอห์ม ครูอาจเสนอแนะนักเรียนว่า สามารถเขียนแสดงความสัมพนั ธ์
ในรปู สามเหลี่ยมตามกฎของโอหม์
9. ครใู ห้นกั เรยี นพิจารณารูปสามเหลี่ยมในหนังสือเรียน แล้วอธบิ ายเก่ียวกบั ความสัมพันธใ์ นรปู สามเหลี่ยม
ตามกฎของโอห์มว่า “ในการหาความสัมพันธใ์ นรูปสามเหลีย่ มตามกฎของโอห์ม เช่น ถ้าต้องการหาค่า
ความตา่ งศักยไ์ ฟฟา้ ทาไดโ้ ดยใชน้ ิ้วมือปดิ ท่ีตวั อกั ษร V ซงึ่ จะได้คาตอบคือ V = IR”
10. นักเรยี นแต่ละกลุม่ ร่วมกันศึกษาตวั อยา่ งการคานวณหาความสมั พันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟ้า ความตา่ ง
ศักย์ไฟฟ้า และความต้านทาน จากตัวอย่างที่ 5.1 ในหนงั สือเรยี นรายวิชาพน้ื ฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิ
มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 5 ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ครูอาจแนะนา
ให้นกั เรียนทาตามขั้นตอนการแก้โจทยป์ ัญหา ดงั นี้
• ขน้ั ท่ี 1 ทาความเขา้ ใจโจทย์ปญั หา
• ขนั้ ที่ 2 วางแผนการแก้โจทย์ปญั หา เชน่ สง่ิ ทีโ่ จทยต์ อ้ งการถามหา และจะหาสิ่งทโ่ี จทย์ตอ้ งการ
ต้องทาอย่างไร
• ขนั้ ท่ี 3 ดาเนินการแก้โจทย์ปญั หา
• ขนั้ ที่ 4 ตรวจสอบคาตอบ
83
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 7 ไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนกิ ส์
แผนฯ ที่ 2 กฎของโอห์ม
11. นักเรียนแตล่ ะคนหาตัวอยา่ งการคานวณกฎของโอห์มท่นี อกเหนือในหนงั สือเรยี น มาคนละ 2-3 ข้อ
โดยเขยี นบันทกึ ลงในสมุดประจาตวั นักเรียน หรอื ครอู าจเปล่ียนคา่ ความต่างศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า
และความต้านทานในตวั อย่าง เพอื่ แสดงให้ความสัมพันธ์ระหว่างปรมิ าณท้งั สาม
12. ครตู ้งั ประเดน็ คาถามกระตนุ้ ความคิดนกั เรียน โดยใหน้ กั เรียนแตล่ ะคนรว่ มกันอภปิ รายแสดงความ
คิดเหน็ เพื่อหาคาตอบวา่ “กฎของโอห์มสามารถนาไปใช้ประโยชนด์ า้ นใดบา้ ง”
(แนวตอบ : กฎของโอหม์ เป็นความร้พู ้นื ฐานทางด้านไฟฟ้า และเป็นประโยชนอ์ ยา่ งมากในการต่อวงจร
หรือสรา้ งอุปกรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์)
13. นกั เรยี นแตล่ ะคนทาใบงานท่ี 5.2.1 เรือ่ ง กฎของโอห์ม เมอ่ื นักเรยี นทาเสร็จครสู ุ่มนักเรยี น 3-4 คน
ออกมานาเสนอคาตอบของตนเอง แล้วใหน้ กั เรียนที่อยูใ่ นช้ันเรียนร่วมกันพจิ ารณาว่าคาตอบถูกต้อง
หรือไม่ จากนั้นครูเฉลยคาตอบทถี่ กู ต้องให้นักเรียน
14. ครมู อบหมายใหน้ กั เรยี นทา Exercise 1.1 เร่ือง ความต่างศกั ย์ไฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และความตา้ นทาน
ไฟฟ้า จากหนังสือเรยี นรายวิชาพน้ื ฐาน (ชุด สัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการ
เรยี นรู้ท่ี 5 ไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนิกส์ เป็นการบ้าน
ขั้นสรุป
ข้นั ท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. นกั เรียนและครูรว่ มกนั สรุปความรเู้ กีย่ วกับกฎของโอห์ม โดยมแี นวการสรุป ดังนี้
“กฎของโอห์ม มใี จความสาคัญว่า สาหรบั ตวั นาไฟฟ้าท่ีอุณหภูมิคงตัว อตั ราส่วนระหวา่ งความต่าง
ศักย์ไฟฟ้าระหวา่ งจุด 2 จุดกับกระแสไฟฟา้ ที่ไหลผา่ นระหวา่ งจดุ ทั้งสองจะมีคา่ คงตวั เช่นกนั กราฟ
ความสมั พนั ธ์ระหว่างกระแสไฟฟา้ กับความตา่ งศักย์ไฟฟ้าเป็นกราฟเส้นตรงทมี่ คี ่าความชันเปน็ บวก”
2. ครปู ระเมนิ ผล โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมการตอบคาถาม พฤติกรรมการทางานรายบุคคล
และพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
3. ครตู รวจสอบผลการทาใบงานที่ 5.2.1 เรอื่ ง กฎของโอห์ม
4. ครูตรวจสอบผลการทา Exercise 1.1 เร่ือง ความตา่ งศักย์ไฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และความต้านทานไฟฟ้า
จากหนงั สือเรียนรายวชิ าพืน้ ฐาน (ชดุ สัมฤทธิม์ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
ไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนกิ ส์
5. ครตู รวจสอบผลการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม เร่อื ง การวัดความต่างศักย์ไฟฟา้
6. ครตู รวจสอบผลการปฏิบตั ิกิจกรรม เร่ือง การวดั กระแสไฟฟา้
84
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 7 ไฟฟา้ และอิเลก็ ทรอนกิ ส์
แผนฯ ที่ 2 กฎของโอหม์
10. การวัดและประเมนิ ผล วธิ กี าร เครือ่ งมอื เกณฑ์การประเมนิ
รายการวดั - ตรวจใบงานที่ 5.2.1 - ใบงานท่ี 5.2.1 - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
10.1 การประเมินระหว่าง - ตรวจ Exercise 1.1 - Exercise 1.1 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- ประเมินการปฏบิ ตั ิ - แบบประเมินการ - ระดับคุณภาพ 2
การจัดกจิ กรรม กจิ กรรม ปฏิบัตกิ จิ กรรม ผา่ นเกณฑ์
1) กฎของโอหม์ - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดับคุณภาพ 2
การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์
2) การปฏบิ ตั ิกิจกรรม - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดบั คุณภาพ 2
การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม ผ่านเกณฑ์
3) พฤตกิ รรมการทางาน - ประเมินการนาเสนอ - แบบประเมนิ - ระดบั คณุ ภาพ 2
รายบุคคล ผลงาน การนาเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์
- สงั เกตความมีวินยั - แบบประเมิน - ระดับคุณภาพ 2
4) พฤตกิ รรมการทางาน ใฝ่เรยี นรู้ และมุ่งม่นั คุณลักษณะ ผา่ นเกณฑ์
กลมุ่ ในการทางาน อนั พึงประสงค์
5) การนาเสนอผลงาน
6) คุณลกั ษณะอันพึง
ประสงค์
11. สอ่ื /แหลง่ การเรียนรู้
11.1 สอ่ื การเรียนรู้
1) หนงั สอื เรยี นรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 5 ไฟฟา้ และอิเล็กทรอนิกส์
2) วัสดุอุปกรณ์ทใี่ ช้ในการทดลองกฎของโอห์ม
3) ใบงานที่ 5.2.1 เรือ่ ง กฎของโอหม์
4) บตั รคา
5) สมุดประจาตวั นักเรียน
6) วีดทิ ศั น์ เรือ่ ง กฎของโอห์ม - สอ่ื การเรยี นการสอน วิทยาศาสตร์ ม.3
ท่ีมา : https://www.youtube.com/watch?v=q9kYUHXJKGI
85
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 7 ไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนิกส์
แผนฯ ที่ 2 กฎของโอห์ม
11.2 แหลง่ การเรยี นรู้
1) หอ้ งเรียน
2) หอ้ งปฏบิ ัติการวิทยาศาสตร์
3) อินเทอร์เน็ต
86
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 7 ไฟฟ้าและอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
แผนฯ ท่ี 2 กฎของโอห์ม
ใบงานที่ 5.2.1
เรื่อง กฎของโอห์ม
คาชีแ้ จง : ตอบคาถามต่อไปนีใ้ ห้ถูกต้อง
1. กฎของโอห์มมใี จความสาคัญว่าอยา่ งไร
............................................................................................................................. ...........................................
........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...........................................
2. หลอดไฟฟ้าดวงหน่งึ มกี ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ น 0.5 แอมแปร์ ต่อกบั ความตา่ งศักยไ์ ฟฟา้ 220 โวลต์
ความตา้ นทานของหลอดไฟฟ้าดวงน้ีมีคา่ เทา่ ใด
............................................................................................................................. ...........................................
............................................................................................................................. ...........................................
........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...........................................
............................................................................................................................. ...........................................
........................................................................................................................................................................
3. ลวดตวั นาเส้นหนง่ึ มีความตา้ นทาน 12 โอหม์ มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน 0.25 แอมแปร์ ความต่างศักย์ไฟฟา้
ระหว่างปลายทั้งสองของลวดตวั นาเท่าใด
............................................................................................................................. ...........................................
........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...........................................
............................................................................................................................. ...........................................
........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...........................................
4. ลวดตวั นาเสน้ หนงึ่ มคี วามตา้ นทาน 20 โอหม์ ถ้าความต่างศักย์ไฟฟา้ ระหว่างปลายท้งั สองของลวดตัวนา
มคี า่ 75 โวลต์ อยากทราบวา่ กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านลวดตัวนานม้ี ีคา่ ก่ีแอมแปร์
........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...........................................
............................................................................................................................. ...........................................
........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...........................................
............................................................................................................................. ...........................................
87
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 7 ไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนิกส์
แผนฯ ที่ 2 กฎของโอห์ม
ใบงานท่ี 5.2.1 เฉลย
เรอื่ ง กฎของโอหม์
คาช้ีแจง : ตอบคาถามต่อไปนี้ใหถ้ กู ต้อง
1. กฎของโอห์มมีใจความสาคัญว่าอย่างไร
......ก..ฎ...ข..อ...ง..โ.อ...ห...์ม....ม...ีใ.จ...ค..ว...า..ม..ส...า..ค..ัญ....ว..่า....ส...า..ห..ร..ั.บ..ต...ัว..น...า..ไ..ฟ...ฟ..้า...ท..่ีอ...ุณ....ห..ภ...ูม...ิค..ง..ต...ัว....อ..ัต. .ร..า..ส...่ว..น...ร..ะ..ห...ว..่า...ง..ค..ว..า..ม...ต..่.า..ง..
..ศ..กั..ย...์ไ.ฟ...ฟ...า้ ..ร..ะ..ห...ว..่า..ง.จ...ดุ ....2...จ..ดุ...ก..ับ...ก..ร..ะ..แ...ส..ไ..ฟ..ฟ...า้..ท...ไ่ี .ห...ล..ผ...่า..น..ร..ะ..ห...ว..า่..ง..จ..ุด...ท..ัง้..ส..อ...ง..จ..ะ..ม...คี ..า่.ค...ง..ต..วั..เ.ช...่น..ก...นั .........................
........................................................................................................................................................................
2. หลอดไฟฟา้ ดวงหนึง่ มีกระแสไฟฟา้ ไหลผ่าน 0.5 แอมแปร์ ต่อกับความต่างศักยไ์ ฟฟา้ 220 โวลต์
ความต้านทานของหลอดไฟฟ้าดวงนี้มคี ่าเทา่ ใด
..ว..ธิ ..ที ...า.......จ..า..ก..ส...ม..ก..า..ร.............V....=....I.R........................................................................ ...........................................
...................................2..2..0....V.....=...0.....5...A....×....R......................................................................................................
............................................R....=.....2...2..0....V............................................................... ...........................................
......................................................0....5....A................................................................ ...........................................
............................................R....=...4..4..0....Ω.............................................................................................................
..ด..ัง..น...น้ั .......ค..ว..า..ม...ต..า้..น...ท..า..น...ข..อ..ง..ห...ล..อ...ด..ไ..ฟ..ฟ...้า..ด..ว...ง.น...้มี..ีค...่า...4...4..0...โ..อ..ห...ม์........................................................................
3. ลวดตัวนาเส้นหนงึ่ มีความตา้ นทาน 12 โอหม์ มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน 0.25 แอมแปร์ ความต่างศักยไ์ ฟฟ้า
ระหวา่ งปลายทัง้ สองของลวดตัวนาเท่าใด
..ว..ธิ ..ีท...า.......จ..า..ก..ส...ม..ก..า..ร.............V....=....I.R........................................................................ ...........................................
............................................V....=....0...2..5....A....×....1..2....Ω.............................................................................................
............................................V....=....3....V..................................................................... ...........................................
..ด..ัง..น...ั้น.......ค..ว..า..ม...ต..่า..ง..ศ..กั...ย..ไ์ .ฟ...ฟ...้า..ร..ะ..ห...ว..า่ ..ง.ป...ล..า..ย...ท..ั้ง..ส...อ..ง..ข..อ...ง.ล...ว..ด..ต...วั ..น..า..เ..ท..า่..ก...บั ....3...โ..ว..ล..ต...์ .........................................
............................................................................................... .........................................................................
............................................................................................................................. ...........................................
4. ลวดตวั นาเส้นหน่ึงมีความต้านทาน 20 โอหม์ ถา้ ความต่างศกั ย์ไฟฟา้ ระหว่างปลายท้ังสองของลวดตวั นา
มีคา่ 75 โวลต์ อยากทราบว่ากระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านลวดตัวนาน้มี ีคา่ ก่ีแอมแปร์
..ว...ิธ..ที ...า......จ...า..ก..ส..ม...ก..า..ร............V.....=....I.R..................................................................................................................
......................................7...5...V.....=....I..×....2..0....Ω.......................................................................................................
..............................................I...=.....7..5....V................................................................. ...........................................
.....................................................2...0....Ω........................................................................ ....................................
..............................................I...=...3...7..5....A.................................. .........................................................................
..ด...ัง..น..ัน้.......ก...ร..ะ..แ..ส...ไ.ฟ...ฟ...้า..ท..ี่ไ..ห..ล...ผ..า่..น...ล..ว..ด..ต...ัว..น...า..น..เี้.ท...า่..ก..บั.....3...7..5....แ..อ..ม...แ..ป...ร..์ .............................................................
88
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 7 ไฟฟ้าและอเิ ลก็ ทรอนิกส์
แผนฯ ที่ 2 กฎของโอห์ม
บัตรคา
V
I
R
89
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 7 ไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนิกส์
แผนฯ ที่ 2 กฎของโอหม์
12. ความเหน็ ของผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาหรอื ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ข้อเสนอแนะ
ลงชอื่ .................................
( ................................ )
ตาแหน่ง .......
13. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
ด้านความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ด้านอ่นื ๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤตกิ รรมที่มีปญั หาของนักเรียนเปน็ รายบุคคล (ถ้าม)ี )
ปัญหา/อปุ สรรค
แนวทางการแก้ไข
90
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 7 ไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
แผนฯ ที่ 3 วงจรไฟฟ้าและการตอ่ วงจรไฟฟ้า
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 3
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์
ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3
เรอ่ื ง วงจรไฟฟ้าและการตอ่ วงจรไฟฟา้ เวลา 4 ช่ัวโมง
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปล่ยี นแปลงและการถา่ ยโอนพลังงาน ปฏสิ ัมพันธ์
ระหวา่ งสสารและพลงั งาน พลงั งานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลืน่ ปรากฏการณ์
ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับเสียง แสง และคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมทั้งนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์
2. ตัวชี้วัด
ว 2.3 ม.3/4 วิเคราะห์ความตา่ งศักย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าเม่ือตอ่ ตัวต้านทานหลายตัว
แบบอนกุ รมและแบบขนานจากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์
ว 2.3 ม.3/5 เขยี นแผนภาพวงจรไฟฟ้าแสดงการต่อตวั ต้านทานแบบอนกุ รมและขนาน
3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. วเิ คราะหค์ วามตา่ งศักย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าเมื่อตอ่ ตวั ต้านทานหลายตวั แบบอนุกรม
และแบบขนานได้ (K)
2. อธิบายการต่อวงจรไฟฟา้ ในบ้านและอุปกรณไ์ ฟฟ้าต่าง ๆ ในบา้ นได้ (K)
3. เขียนแผนภาพวงจรไฟฟา้ เมือ่ ตอ่ ตวั ตา้ นทานแบบอนุกรมและแบบขนานได้ (P)
4. ปฏิบัตกิ ิจกรรมการตอ่ วงจรไฟฟา้ ไดอ้ ยา่ งถูกต้องและเปน็ ลาดับข้นั ตอน (P)
5. รบั ผิดชอบต่อหน้าที่ทไี่ ดร้ บั มอบหมายและมุง่ ม่ันในการทางาน (A)
4. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรียนรทู้ อ้ งถ่ิน
พจิ ารณาตามหลักสูตรของสถานศึกษา
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
- การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบอนุกรมใน
วงจรไฟฟ้า ความต่างศักย์ท่ีคร่อมตัวต้านทาน
แต่ละตัวมีค่าเท่ากับผลรวมของความต่างศักย์ที่
คร่อมตัวต้านทานแต่ละตัว โดยกระแสไฟฟ้าท่ี
ผา่ นตัวตา้ นทานแต่ละตัวมคี า่ เท่ากนั
91
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 7 ไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนกิ ส์ สาระการเรยี นรูท้ ้องถ่นิ
แผนฯ ท่ี 3 วงจรไฟฟ้าและการตอ่ วงจรไฟฟา้ พิจารณาตามหลกั สูตรของสถานศึกษา
สาระการเรียนรู้แกนกลาง
- การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบขนานใน
วงจรไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าท่ีผ่านวงจรมีค่าเท่ากับ
ผ ล ร ว ม ข อ ง ก ร ะ แ ส ไ ฟ ฟ้ า ที่ ผ่ า น ตั ว ต้ า น ท า น
แต่ละตัว โดยความต่างศักย์ที่คร่อมตัวต้านทาน
แตล่ ะตวั มคี ่าเทา่ กนั
5. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
วงจรไฟฟ้าเป็นทางเดินของกระแสไฟฟ้าท่ีจะนาไปใช้งานในลักษณะต่าง ๆ กัน ซ่ึงวงจรไฟฟ้า
โดยทว่ั ไปประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ เช่น แหลง่ จา่ ยพลังงานไฟฟ้า สายไฟฟ้า และเครอ่ื งใช้ไฟฟ้า ซึ่งสว่ นสาคัญ
ของวงจรไฟฟ้าคือ การต่อโหลดใช้งาน โหลดท่ีนามาต่อใช้งานในวงจรไฟฟ้าสามารถต่อได้ 3 แบบ ได้แก่
วงจรไฟฟ้าแบบอนกุ รม วงจรไฟฟา้ แบบขนาน และวงจรไฟฟ้าแบบผสม
6. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคดิ
1) ทกั ษะการสังเกต
2) ทักษะการต้ังสมมติฐาน
3) ทักษะการทดลอง
4) ทักษะการคานวณ
5) ทักษะการตคี วามหมายข้อมูลและลงข้อสรปุ
3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
7. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
1. มีวนิ ัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มงุ่ ม่นั ในการทางาน
8. คาถามสาคญั
1. วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมแตกต่างกบั วงจรไฟฟา้ แบบขนานอย่างไร
2. การตอ่ หลอดไฟฟ้าในบา้ นเป็นการตอ่ วงจรไฟฟ้าแบบใด
3. ในวงจรไฟฟ้าฟวิ ส์มีความสาคัญอยา่ งไร
92
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 7 ไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนิกส์
แผนฯ ท่ี 3 วงจรไฟฟา้ และการตอ่ วงจรไฟฟ้า
9. กจิ กรรมการเรียนรู้
วธิ ีการสอนโดยเน้นรปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ชว่ั โมงที่ 1
ขัน้ นา
ขน้ั ที่ 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engage)
1. ครทู บทวนความรเู้ ดิมของนกั เรยี นเกี่ยวกับกฎของโอห์ม โดยมแี นวคาถาม ดงั น้ี
• กฎของโอห์มมีใจความสาคญั อยา่ งไร
(แนวตอบ : สาหรับตวั นาไฟฟ้าท่อี ุณหภูมคิ งตัว อัตราสว่ นระหวา่ งความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้าระหวา่ งจดุ 2
จดุ กับกระแสไฟฟ้าทไ่ี หลผา่ นระหวา่ งจดุ ทง้ั สองจะมีคา่ คงตวั เชน่ กนั )
• ความตา้ นทาน 1 โอหม์ คืออะไร
(แนวตอบ : ความต้านทานของตวั นา ซ่งึ เมือ่ ตอ่ ปลายทั้งสองของตัวนาเขา้ กับความต่างศักย์ 1 โวลต์
และมกี ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นตวั นานัน้ 1 แอมแปร์)
2. ครูเปดิ ภาพยนตรส์ ารคดีสั้น Twig เรอ่ื ง วงจรไฟฟา้ ใหน้ ักเรยี น จากนนั้ ครูตง้ั ประเด็นคาถามกระตนุ้
ความคดิ นกั เรียน โดยใหน้ ักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายแสดงความคิดเห็นอยา่ งอิสระ ดงั น้ี
• องคป์ ระกอบของวงจรไฟฟ้าประกอบด้วยอะไรบา้ ง
(แนวตอบ : แหลง่ จ่ายพลงั งานไฟฟ้า สายไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟา้ )
• หลอดไฟฟ้าทป่ี ระดบั ตามตน้ ไม้ งานวดั อาคาร หรอื บนทอ้ งถนน เป็นการตอ่ วงจรไฟฟ้าแบบใด
(แนวตอบ : เปน็ การต่อวงจรไฟฟา้ แบบขนาน)
3. ครสู นทนากับนกั เรียนว่า “นกั เรียนคดิ วา่ การต่อหลอดไฟฟ้าเข้ากบั สายไฟฟา้ ในบา้ นมีวธิ กี ารต่อได้
กแ่ี บบ อะไรบา้ ง”
(แนวตอบ : มี 3 แบบ คือ วงจรไฟฟา้ แบบอนกุ รม วงจรไฟฟ้าแบบขนาน และวงจรไฟฟ้าแบบผสม)
4. ครูใชค้ าถามกระตนุ้ ความสนใจของนกั เรยี นเพ่ือนาเข้าสู่การเรียนการสอนวา่ “เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าจะทางาน
ไดเ้ มอ่ื วงจรไฟฟา้ มลี ักษณะเป็นอยา่ งไร” โดยใหน้ กั เรยี นเขยี นคาตอบของตนเองลงในสมดุ ประจาตัว
นกั เรียน
93
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 7 ไฟฟา้ และอิเล็กทรอนิกส์
แผนฯ ที่ 3 วงจรไฟฟ้าและการต่อวงจรไฟฟ้า
ขัน้ สอน
ขั้นที่ 2 สารวจค้นหา (Explore)
1. ครูเตรยี มแผงวงจรไฟฟ้าท่ีตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบอนุกรม แบบขนาน และแบบผสม มาให้นักเรียน
เปรียบเทียบความสว่างของหลอดไฟฟา้ แลว้ ให้วิเคราะห์ถึงผลการตอ่ หลอดไฟฟ้าทัง้ 3 แบบ
2. นกั เรยี นแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน ตามความสมัครใจ จากนนั้ ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั ศึกษาค้นคว้า
ข้อมูลเก่ียวกบั วงจรไฟฟา้ และประเภทของวงจรไฟฟา้ จากหนังสอื เรยี นรายวิชาพืน้ ฐาน (ชุด สัมฤทธิ์
มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 5 ไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนิกส์ หรือแหล่งการ
เรยี นรตู้ ่าง ๆ เชน่ อินเทอร์เน็ต โดยให้สมาชิกภายในกล่มุ แบ่งหนา้ ท่กี ันศึกษาคนละ 1 เรื่อง ซึ่งหวั ข้อมี
ดงั นี้
• คนที่ 1 ศึกษาวงจรปิดและวงจรเปิด
• คนที่ 2 ศึกษาวงจรไฟฟา้ แบบอนุกรม
• คนที่ 3 ศึกษาวงจรไฟฟ้าแบบขนาน
• คนท่ี 4 ศกึ ษาวงจรไฟฟา้ แบบผสม
3. สมาชิกภายในกลุ่มนาเรอ่ื งทตี่ นเองศึกษาค้นควา้ มาอธบิ ายใหเ้ พื่อนในกลุ่มฟงั จากนนั้ ร่วมกนั เขยี นสรปุ
ความรทู้ ่ไี ดล้ งในสมดุ ประจาตัวนักเรยี น
ช่วั โมงที่ 2
ข้นั ที่ 2 สารวจค้นหา (Explore) (ต่อ)
4. นักเรียนแบ่งกลมุ่ กลุ่มละ 6 คน ตามความสมัครใจ จากนั้นครูแจ้งจดุ ประสงค์ของกิจกรรม/การทดลอง
การต่อวงจรไฟฟ้า ให้นักเรยี นทราบเพ่ือเป็นแนวทางการปฏบิ ัติกิจกรรมที่ถูกต้อง
5. นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ร่วมกันศึกษากจิ กรรม/การทดลอง การตอ่ วงจรไฟฟ้า จากหนังสอื เรยี นรายวิชา
พ้นื ฐาน (ชุด สมั ฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 5 ไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนิกส์
โดยครูใชร้ ูปแบบการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมอื มาจัดกระบวนการเรยี นรู้ โดยกาหนดใหส้ มาชิกแตล่ ะคนภายใน
กลมุ่ มบี ทบาทหน้าทข่ี อตนเอง ดังนี้
• สมาชกิ คนที่ 1-2 ทาหนา้ ทีเ่ ตรียมวสั ดุอุปกรณท์ ีใ่ ช้ในการทดลองการต่อวงจรไฟฟ้า
• สมาชกิ คนท่ี 3-4 ทาหนา้ ที่อ่านวธิ ีการทดลอง และนามาอธิบายให้สมาชกิ ในกลุม่ ฟัง
• สมาชกิ คนที่ 5-6 ทาหนา้ ทบี่ ันทกึ ผลการทดลอง
6. สมาชกิ ภายในกลุ่มรว่ มกันตัง้ สมมติฐาน และปฏิบตั ิกิจกรรม/การทดลอง ตามขน้ั ตอนในหนังสอื เรยี น
รายวชิ าพน้ื ฐาน (ชุด สมั ฤทธ์ิมาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 5 ไฟฟา้ และ
อเิ ล็กทรอนกิ ส์ จากน้นั รว่ มกันอภปิ รายผลการทดลอง และตอบคาถามทา้ ยการทดลอง
94
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 7 ไฟฟา้ และอิเลก็ ทรอนิกส์
แผนฯ ท่ี 3 วงจรไฟฟ้าและการตอ่ วงจรไฟฟ้า
ช่วั โมงท่ี 3
ขั้นท่ี 3 อธิบายความรู้ (Explain)
7. นักเรียนแต่ละกลุม่ ออกมานาเสนอผลและคาถามท้ายการทดลอง การต่อวงจรไฟฟ้าหน้าช้ันเรียน
ในระหวา่ งที่นักเรยี นนาเสนอ ครูคอยให้ข้อเสนอแนะเพ่ิมเติมเพ่ือใหน้ ักเรยี นมีความเขา้ ใจทถี่ กู ต้อง
8. นกั เรียนและครรู ่วมกันสรุปผลการทดลอง การตอ่ วงจรไฟฟ้า และเฉลยคาถามทา้ ยการทดลอง
9. ครตู ้งั ประเดน็ คาถามกระตุน้ ความคดิ นักเรียน โดยใหน้ ักเรยี นร่วมกันอภิปรายแสดงความคดิ เหน็ เพ่ือหา
คาตอบ ดงั น้ี
• วงจรไฟฟา้ แบบใดเหมาะสาหรับการตอ่ วงจรภายในบ้าน
(แนวตอบ : วงจรไฟฟา้ ภายในบา้ น เคร่อื งใช้ไฟฟ้าทุกชนดิ จะต่อวงจรไฟฟ้าแบบขนาน เพอ่ื วา่ ใน
กรณที เี่ ครื่องใช้ไฟฟา้ เครื่องใดเสีย วงจรอ่นื ๆ หรอื เคร่อื งใช้ไฟฟ้าเคร่ืองอน่ื ก็ยังสามารถใช้งานได้
เพราะยงั มกี ระแสไฟฟา้ ไหลผ่าน)
• การต่อวงจรไฟฟ้าแบบใดที่ทาให้ความตา้ นทานรวมมคี ่าเพิ่มขึน้
(แนวตอบ : การตอ่ วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรม)
• การต่อวงจรไฟฟ้าแบบใดที่ทาให้ความตา้ นทานรวมมีค่าลดลง
(แนวตอบ : การต่อวงจรไฟฟ้าแบบขนาน)
10. ครอู ธบิ ายเพิ่มเติมใหน้ ักเรียนเข้าใจเกย่ี วกับการต่อวงจรไฟฟา้ ว่า “ในวงจรไฟฟา้ แบบอนุกรม ถ้ามหี ลอด
ไฟฟา้ ดวงใดดวงหน่ึงเสีย จะทาให้กระแสไฟฟ้าไมส่ ามารถไหลต่อไปได้ ทาใหว้ งจรไฟฟา้ เปดิ หลอดไฟฟ้า
จงึ ดับหมดทุกดวง และในวงจรไฟฟ้าแบบขนาน ถา้ มีหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึง่ เสีย กระแสไฟฟา้ ยงั
สามารถไหลผ่านไปยงั เสน้ ทางอนื่ ได้ ทาใหห้ ลอดอ่ืน ๆ ท่เี ป็นปกติยงั คงสวา่ งอยไู่ ด้”
11. ครูยกตวั อยา่ งการคานวณวงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน จากนัน้ นักเรียนแต่ละคนเขยี น
แผนภาพการต่อวงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนานลงในสมุดประจาตวั นกั เรยี น
12. นกั เรียนแตล่ ะคนทาใบงานที่ 5.3.1 เร่ือง วงจรไฟฟ้าและการตอ่ วงจรไฟฟ้า
13. ครสู ่มุ นกั เรยี น 4-5 คน ออกมานาเสนอคาตอบของตนเอง แลว้ ให้นกั เรยี นท่อี ยูใ่ นชน้ั เรียนรว่ มกัน
พิจารณาว่าคาตอบถูกตอ้ งหรือไม่ จากนั้นครูเฉลยคาตอบทถี่ กู ต้องใหน้ กั เรยี น
95
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 7 ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนกิ ส์
แผนฯ ที่ 3 วงจรไฟฟา้ และการตอ่ วงจรไฟฟา้
ช่วั โมงท่ี 4
ข้ันท่ี 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
14. นักเรยี นจับคู่กบั เพือ่ นในช้นั เรยี น จากนัน้ ร่วมกนั ศกึ ษาคน้ ควา้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกย่ี วกบั อุปกรณ์ทใี่ ช้ใน
วงจรไฟฟ้า และวงจรไฟฟา้ ในบา้ น จากหนงั สอื เรียนรายวชิ าพน้ื ฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิมาตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 5 ไฟฟ้าและอเิ ลก็ ทรอนิกส์ หรอื แหลง่ การเรียนร้ตู ่าง ๆ
เชน่ อนิ เทอรเ์ นต็
15. นกั เรียนแต่ละคู่ร่วมกนั เขยี นสรุปความรทู้ ่ีไดจ้ ากการศึกษาลงในสมุดประจาตวั ของนักเรียน
16. ครอู ธบิ ายเพิ่มเติมใหน้ ักเรียนเขา้ ใจว่า “สายไฟฟ้าแรงสงู เป็นสายเปลือย และนยิ มทาจากอะลมู ิเนยี ม
เพราะมนี ้าหนกั เบา สว่ นสายไฟฟ้าท่ีใชต้ ามบา้ นทาจากลวดทองแดงหุ้มด้วยฉนวน และฟิวสท์ ีใ่ ชต้ าม
บา้ นมีขนาด 5 8 10 16 และ 32 แอมแปร์ ซงึ่ ฟวิ ส์จะยอมใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลผา่ นสูงสุดตามขนาดท่ี
กาหนด”
17. นกั เรยี นแตล่ ะคนสารวจอปุ กรณ์ไฟฟา้ ภายในบ้านของตนเองว่ามีอุปกรณช์ ิน้ ใดบา้ งที่มีการใชง้ านผดิ
ลกั ษณะหรือไม่ แล้วเขยี นลงในกระดาษ A4 สง่ ครผู สู้ อนท้ายชั่วโมง
18. นกั เรยี นแต่ละคน Exercise 2.1 เร่ือง วงจรไฟฟ้าและการตอ่ วงจรไฟฟ้า จากหนงั สอื เรยี นรายวิชา
พ้ืนฐาน (ชุด สัมฤทธ์มิ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 5 ไฟฟ้าและอเิ ลก็ ทรอนิกส์
ขัน้ สรุป
ข้นั ท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. นกั เรียนและครรู ว่ มกนั สรุปความรเู้ กี่ยวกับวงจรไฟฟา้ และการต่อวงจรไฟฟา้ โดยมีแนวการสรปุ ดงั นี้
“วงจรไฟฟ้าเปน็ ทางเดนิ ของกระแสไฟฟา้ ที่จะนาไปใช้งานในลักษณะต่าง ๆ กัน ซ่ึงวงจรไฟฟา้
โดยท่ัวไปประกอบด้วยสว่ นตา่ ง ๆ เช่น แหลง่ จ่ายพลงั งานไฟฟา้ สายไฟฟ้า และเครือ่ งใช้ไฟฟา้ ซ่งึ สว่ น
สาคญั ของวงจรไฟฟา้ คือ การตอ่ โหลดใชง้ าน โหลดท่ีนามาต่อใชง้ านในวงจรไฟฟา้ สามารถตอ่ ได้ 3
แบบ ไดแ้ ก่ วงจรไฟฟา้ แบบอนุกรม วงจรไฟฟา้ แบบขนาน และวงจรไฟฟา้ แบบผสม อปุ กรณ์ที่ใชใ้ น
วงจรไฟฟ้ามหี ลายชนิดที่สาคัญ เช่น สายไฟฟ้า สวติ ช์ สะพานไฟหรอื คัตเอาต์ ฟิวส์ เต้ารบั และเต้าเสยี บ
ซ่ึงไฟฟ้าท่ีใช้ตามบ้านหรือบ้านพักอาศยั โดยทวั่ ไปเปน็ ไฟฟ้ากระแสสลับท่ีมีความต่างศักย์ 220 โวลต์”
2. ครูประเมนิ ผล โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤติกรรมการทางานรายบุคคล
และพฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม
3. ครูตรวจสอบผลการทาใบงานที่ 5.3.1 เรอ่ื ง วงจรไฟฟา้ และการต่อวงจรไฟฟ้า
4. ครตู รวจสอบผลการทา Exercise 2.1 เร่ือง วงจรไฟฟ้าและการต่อวงจรไฟฟ้า จากหนงั สือเรียนรายวชิ า
พนื้ ฐาน (ชุด สมั ฤทธิ์มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 5 ไฟฟ้าและอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
5. ครตู รวจสอบผลการปฏบิ ัติกจิ กรรม เร่ือง การต่อวงจรไฟฟา้
96
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 7 ไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนกิ ส์
แผนฯ ที่ 3 วงจรไฟฟ้าและการต่อวงจรไฟฟา้
10. การวดั และประเมินผล
รายการวัด วธิ ีการ เครื่องมือ เกณฑ์การประเมนิ
10.1 การประเมินระหว่าง - ใบงานท่ี 5.3.1 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- Exercise 2.1 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
การจดั กิจกรรม - แบบประเมนิ การ - ระดบั คุณภาพ 2
ปฏิบตั ิกจิ กรรม ผ่านเกณฑ์
1) วงจรไฟฟ้าและการต่อ - ตรวจใบงานที่ 5.3.1 - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
การทางานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์
วงจรไฟฟา้ - ตรวจ Exercise 2.1 - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดับคณุ ภาพ 2
การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
2) การปฏิบัติกจิ กรรม - ประเมนิ การปฏิบตั ิ - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2
การนาเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์
กจิ กรรม - แบบประเมนิ - ระดับคณุ ภาพ 2
คณุ ลักษณะ ผ่านเกณฑ์
3) พฤติกรรมการทางาน - สงั เกตพฤติกรรม อนั พงึ ประสงค์
รายบุคคล การทางานรายบุคคล
4) พฤตกิ รรมการทางาน - สงั เกตพฤติกรรม
กล่มุ การทางานกลุ่ม
5) การนาเสนอผลงาน - ประเมินการนาเสนอ
ผลงาน
6) คุณลกั ษณะอันพึง - สังเกตความมีวนิ ยั
ประสงค์ ใฝเ่ รียนรู้ และมุ่งมนั่
ในการทางาน
11. ส่ือ/แหล่งการเรยี นรู้
11.1 สอ่ื การเรยี นรู้
1) หนงั สอื เรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชดุ สัมฤทธม์ิ าตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 5 ไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนิกส์
2) วสั ดอุ ุปกรณ์ทใี่ ช้ในการทดลองการตอ่ วงจรไฟฟ้า
3) ใบงานที่ 5.3.1 เรือ่ ง วงจรไฟฟา้ และการต่อวงจรไฟฟา้
4) แผงวงจรไฟฟา้
5) กระดาษ A4
6) สมุดประจาตวั นักเรยี น
7) ภาพยนตรส์ ารคดีส้ัน Twig เรื่อง วงจรไฟฟ้า
ทีม่ า https://www.twig-aksorn.com/film/circuits-8346
97
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 7 ไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนิกส์
แผนฯ ท่ี 3 วงจรไฟฟา้ และการตอ่ วงจรไฟฟา้
11.2 แหล่งการเรียนรู้
1) ห้องเรยี น
2) หอ้ งปฏบิ ตั ิการวิทยาศาสตร์
3) อินเทอรเ์ น็ต
98
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 7 ไฟฟา้ และอิเลก็ ทรอนกิ ส์
แผนฯ ท่ี 3 วงจรไฟฟา้ และการตอ่ วงจรไฟฟา้
ใบงานที่ 5.3.1
เรื่อง วงจรไฟฟา้ และการตอ่ วงจรไฟฟ้า
คาช้ีแจง : ตอบคาถามต่อไปนใ้ี ห้ถกู ต้อง
1. วงจรปิดและวงจรเปดิ แตกตา่ งกนั อยา่ งไร
............................................................................................................................. ...........................................
........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...........................................
............................................................................................................................. ...........................................
........................................................................................................................................................................
2. เปรยี บเทียบความแตกต่างของวงจรไฟฟา้ แตล่ ะแบบ
วงจรไฟฟ้าแบบอนกุ รม วงจรไฟฟา้ แบบขนาน
……………………………………………………………... ……………………………………………………………...
……………………………………………………………... ……………………………………………………………...
……………………………………………………………... ……………………………………………………………...
……………………………………………………………... ……………………………………………………………...
……………………………………………………………... ……………………………………………………………...
3. เปรียบเทยี บความสวา่ งของหลอดไฟฟ้าในแต่ละวงจร
............................................................................................................................. ...........................................
........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...........................................
............................................................................................................................. ...........................................
4. เมื่อนาหลอดไฟฟ้า 2 ดวง มาต่อวงจรไฟฟา้ แบบขนาน เพราะเหตุใดกระแสไฟฟา้ ที่ไหลผา่ นหลอดไฟฟา้
ทั้งสองจงึ มีคา่ เทา่ กัน
............................................................................................................................. ...........................................
............................................................................................................................. ...........................................
...................................................................................... ..................................................................................
............................................................................................................................. ...........................................
99