The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tuahuay, 2023-10-10 19:13:43

รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy Industry)

กมธ.1

รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy Industry) โดย คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา กลุ่มงานคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์ และอุตสาหกรรม ส านักกรรมาธิการ ๑ ส านักงานเลขาธิการวุฒิสภา


๒ บัดนี้ คณะกรรมาธิการได้ด าเนินการพิจารณาศึกษา เรื่อง อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ )Bioeconomy Industry( เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงขอรายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่องดังกล่าว ต่อวุฒิสภาตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๘ จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดทราบและน าเสนอรายงานของคณะกรรมาธิการต่อที่ประชุม วุฒิสภา ต่อไป ลงชื่อ อภิรดี ตันตราภรณ์ )นางอภิรดี ตันตราภรณ์( ประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ส าเนาถูกต้อง )นายภาสันต์ เงาศุภธน( )นางสาวนิรมล ดวงดาว( ผู้ช่วยเลขานุการ ผู้ช่วยเลขานุการ คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา วุฒิสภา ส านักกรรมาธิการ ๑ ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม ไพรราช พิมพ์ โทร ๐ ๒๘๓๑ ๙๑๖๐ จิริยาภา ทาน ๑ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ : [email protected] ภาสันต์ ทาน ๒


ก ค ำน ำ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่ส าคัญของโลกและการเกิดวิกฤติต่อความแปรปรวนของสภาวะ ภูมิอากาศแล้ว จ านวนประชากรที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องก็เป็นอีกประเด็นที่ส าคัญและมีความท้าทาย อย่างมาก อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy Industry) ด้วยการใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโต ทางเศรษฐกิจและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรโลกควบคู่กับการพัฒนาความยั่งยืน ของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ซึ่งนานาประเทศต่างให้ความส าคัญ ทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นอกจากปัญหาภาวะโลกร้อนที่กระทบจริงจังในการปฏิรูปประเทศสู่เศรษฐกิจชีวภาพ หรือระบบเศรษฐกิจกระแสใหม่ รวมถึงองค์การระหว่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวจ าเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องใช้จุดแข็งของประเทศด้านทรัพยากรโดยเฉพาะความหลากหลายทางชีวภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุด ปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นแบบ “ท าน้อยแต่ได้มาก” สร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดการผลิตสินค้า และบริการด้วยการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปอย่างละเอียดรอบคอบ ที่ประชุมคณะกรรมาธิการ การพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา จึงเห็นควรให้ตั้งคณะท างานเพื่อศึกษาและหาแนวทาง ในการน าหลักเศรษฐกิจชีวภาพมาด าเนินการให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างชัดเจน เพื่อน ามาเป็นแบบอย่างหรือต้นแบบในการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษบกิจชีวภาพ ของประเทศไทย รายงานฉบับนี้มีสาระส าคัญคือหลักการของเศรษฐกิจชีวภาพ การประยุกต์ใช้กับ ภาคอุตสาหกรรมและการด าเนินงานของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อสังเคราะห์เป็นแนวทางและมาตรการ การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของหน่วยงานต่าง ๆ จากนโยบายสู่การปฏิบัติจริง คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา


บทสรุปผู้บริหาร อุตสาหกรรมชีวภาพถือได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน โดยมีแนวคิดหลักคือการทดแทนการผลิตในรูปแบบเดิมที่ใช้ทรัพยากรชนิดที่ใช้แล้วหมดไปเปลี่ยนมาเป็น การใช้ทรัพยากรชีวภาพและชีวมวลที่เป็นทรัพยากรทดแทนเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ อุตสาหกรรมชีวภาพถือได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ชีวมวลจากภาคการเกษตรเป็นวัตถุดิบ ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีชีวภาพเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพต่าง ๆ ซึ่งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ มีคุณสมบัติที่สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์จากการกลั่นปิโตรเคมีได้ จึงอาจกล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมชีวภาพเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวข้องและเชื่อมโยง ระหว่างภาคการเกษตร ที่เป็นแหล่งวัตถุดิบตั้งต้นกับภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น ในการพัฒนา อุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศ จึงเปรียบเสมือนการพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมที่ใช้ผลผลิต จากภาคการเกษตรเป็นวัตถุดิบตั้งต้นและเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตและวัสดุเหลือทิ้ง จากภาคการเกษตร ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จากการศึกษาแนวนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศต้น แบบ อย่างสหรัฐอเมริกา เยอรมนีบราซิล จีน และมาเลเซีย พบว่าในแต่ละประเทศจะมีแนวทาง การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพที่คล้ายคลึงกันแต่จะแตกต่างกันในด้านประเด็นเนื้อหา เนื่องจากบริบทของแต่ละประเทศ ที่มีความแตกต่างกัน เช่น ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ วัตถุดิบชีวภาพ เป็นต้น โดยในส่วนของประเทศไทย จากปัญหาทางด้าน ทรัพยากรธรรมชาติ ที่ลดน้อยลง ผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงจ านวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มีความจ าเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมในรูปแบบเดิม สู่การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้เทคโนโลยีชีวภาพ ดังนั้น ภาครัฐจึงได้ให้ความส าคัญกับอุตสาหกรรมชีวภาพ ภายใต้การขับเคลื่อน การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio – Circular – Green Economy : BCG Model) : โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่ปี ๒๕๖๔เป็นต้นไป และให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐพิจารณาก าหนดและด าเนินแผนงาน/โครงการต่าง ๆ เพื่อให้การ ขับเคลื่อนวาระแห่งชาติในเรื่องนี้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วและยั่งยืน ด้วยการก าหนดให้เป็นหนึ่ง ในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (S-Curve) ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยอาศัยข้อได้เปรียบด้านการเป็นแหล่งวัตถุดิบทางชีวภาพที่หลากหลายควบคู่กับความก้าวหน้า ทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร อันจะน าไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ า กลางน้ า จนถึงปลายน้ า โดยมีแผนงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ชาติ๒๐ ปี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นอกจากนี้ ยังมีกรอบนโยบายยุทธศาสตร์และมาตรการที่เกี่ยวข้องในระดับหน่วยงานที่ส าคัญ เช่น กรอบนโยบายพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพของประเทศไทยของส านักงานคณะกรรมการนโยบาย ข


วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม (สวทน.) กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจ จากฐานชีวภาพโดยส านักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) และมาตรการพัฒนา อุตสาหกรรมชีวภาพของไทยโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ปัจจุบันอุตสาหกรรมชีวภาพในประเทศไทยยังถือได้ว่ายังอยู่ในช่วงของการพัฒนา แต่จากการที่ประเทศไทยมีศักยภาพทางด้านวัตถุดิบจากสินค้าเกษตร และยังเป็นผู้ผลิตและส่งออก สินค้าเกษตรรายใหญ่ของโลก อาทิข้าว มันส าปะหลัง ยางพารา น้ าตาลทราย น้ ามันปาล์ม รวมไปถึงยังมีอุตสาหกรรมขั้นต้นที่แปรรูปวัตถุดิบจากภาคการเกษตรที่เข้มแข็ง ซึ่งถือได้ว่า เป็นข้อได้เปรียบที่ส่งผลให้ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio Hub) ทั้งของภูมิภาคและของโลก แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบ จากภาคการเกษตรของประเทศไทยจะพบว่า อุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมแปรรูป ในขั้นต้นที่ใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรในการผลิตที่ไม่สลับซับซ้อน ท าให้การสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับวัตถุดิบมีไม่มาก สินค้าส่วนใหญ่จึงเป็นสินค้าที่ใช้เพื่อการบริโภคและพลังงานทดแทน เช่น ข้าวหอมมะลิแป้งมันส าปะหลัง น้ าตาลทราย น้ ามันพืช ไบโอดีเซลจากปาล์มน้ ามัน เอทานอล จากอ้อย เป็นต้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการขาดโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบที่มีอยู่ สาเหตุส าคัญก็มาจากการขาดนโยบายหรือแนวทางในการขับเคลื่อนและพัฒนา อุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศที่ชัดเจน การมีข้อกฎหมาย กฎระเบียบ และข้อก าหนดที่เป็น อุปสรรคต่อการพัฒนาหรือยกระดับภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงในการที่จะยกระดับจากอุตสาหกรรม แปรรูปผลผลิตทางการเกษตรสู่อุตสาหกรรมชีวภาพจ าเป็นที่จะต้องใช้เงินลงทุนสูงและผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะด้านเป็นจ านวนมาก ส่งผลให้ผู้ประกอบการขาดแรงขับเคลื่อนในการพัฒนา แม้ว่าผลิตภัณฑ์ สินค้าเกษตรในรูปแบบเดิมจะมีแนวโน้มทางด้านราคาและความต้องการที่ลดลงก็ตาม ซึ่งในที่สุด ก็จะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้การที่จะสามารถพยุงราคาของสินค้าเกษตรในประเทศให้อยู่ในระดับ ที่เหมาะสม มีเสถียรภาพ เกษตรกรมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมถึงภาคอุตสาหกรรม ที่ใช้วัตถุดิบดังกล่าวในการผลิตให้สามารถอยู่รอดได้นั้น จึงจ าเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร เช่น เมื่อน าอ้อยมาผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพจะสามารถ สร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงถึง ๑๐๐-๒๒๐ เท่า หรือ เมื่อน าปาล์มน้ ามันมาผลิตเป็นวิตามินจะสามารถสร้าง มูลค่าเพิ่มได้สูงถึง ๒๐-๔๕ เท่า ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยน ดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่าง ภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้กระจายสู่ท้องถิ่น อันจะน ามาสู่ ความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจให้แก่เกษตรกรไทย ดังนั้น การมีแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพที่ชัดเจนและสอดคล้องกับบริบท ของประเทศไทย จึงเป็นสิ่งส าคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศ สามารถขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรมและเห็นผลเชิงประจักษ์อย่างแท้จริง ทั้งนี้คณะท างาน จึงได้ศึกษาข้อมูลอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพจากกรณีศึกษาอุตสาหกรรมปาล์มน้ ามันและอ้อย พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมและห่วงโซ่คุณค่า เพื่อจัดท าข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนา อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทย ฃ


ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศไทย พบว่าประเทศไทยมีจุดแข็งที่ส าคัญคือการเป็นแหล่งวัตถุดิบชีวมวลจากภาคการเกษตรทั้งปาล์มน้ ามัน อ้อย และมันส าปะหลัง รวมถึงเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบตั้งต้นที่ส าคัญของอุตสาหกรรมชีวภาพ นอกจากนี้ยังมีวัตถุดิบชีวมวลที่เหลือจากกระบวนการผลิตในภาคการเกษตรเป็นจ านวนมาก เช่น ใบอ้อย ชานอ้อย ใบมัน เหง้ามัน ทะลายปาล์ม ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีศักยภาพมากพอ ที่จะเป็นผู้น าในอุตสาหกรรมที่ใช้ผลผลิตดังกล่าวเป็นวัตถุดิบ โดยในการจัดท าข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศไทย คณะท างานได้ท าการศึกษาแนวคิด อุตสาหกรรมชีวภาพและตัวอย่างแนวนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศต้นแบบ ซึ่งพบว่าในแต่ละประเทศจะมีแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพที่คล้ายคลึงกัน แต่จะแตกต่างกัน ในด้านประเด็นของเนื้อหาเนื่องจากบริบทของแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกัน รวมถึงได้ท าการศึกษา ข้อมูลอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศไทย กรณีตัวอย่างอุตสาหกรรมปาล์มน้ ามันและอุตสาหกรรมอ้อย รวมถึงข้อจ ากัด สภาพปัญหา และกฎหมาย กฎระเบียบ นโยบายที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งได้ท าการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมและห่วงโซ่ คุณค่า (Value Chain) เพื่อหาจุดแข็งจุดอ่อนและศักยภาพที่มีอยู่ในปัจจุบันของแต่ละภาคส่วน โดยผลการวิเคราะห์ในส่วนของปัจจัยแวดล้อมพบปัจจัยที่เป็นจุดแข็ง ๖ ปัจจัย ปัจจัยที่เป็นจุดอ่อน ๑๓ ปัจจัย ปัจจัยที่เป็นโอกาส ๔ ปัจจัย และปัจจัยที่เป็นอุปสรรค ๓ ปัจจัย และในส่วนของผลการ วิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) พบว่าอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศไทยมีจุดแข็งในส่วน ของวัตถุดิบตั้งต้นและอุตสาหกรรมขั้นต้น แต่ก็มีจุดอ่อนที่จะต้องเร่งด าเนินการหาแนวทางเพื่อพัฒนา ในส่วนของอุตสาหกรรมขั้นกลางและอุตสาหกรรมขั้นปลาย จากการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวข้างต้น คณะท างานได้จัดท าข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีวภาพให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย และสอดคล้องกับกรอบ แนวคิดและวัตถุประสงค์ของการศึกษาที่ได้ก าหนดไว้ใน ๔ ประเด็น ประกอบด้วย ๑) ศึกษาแนวทาง การสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการ ๒) ศึกษามาตรการการส่งเสริมการเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขัน และเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการในการสร้างมูลค่าเพิ่ม บนพื้นฐานของนวัตกรรมและเทคโนโลยี๓) ศึกษาแนวทางการพัฒนาและปัจจัยสนับสนุนที่เป็น มาตรการสนับสนุนต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ และ ๔) ศึกษา และจัดท ารายงานการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพไปสู่ภาคปฏิบัติตาม แนวนโยบายของรัฐ โดยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายพบว่าควรด าเนินการดังต่อไปนี้ ๑. ควรมีมาตรการขจัดอุปสรรคและสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออ านวยต่อการลงทุน ในอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศไทย ได้แก่ ๑.๑ เร่งรัดด าเนินการผลักดันมาตรการที่เกี่ยวข้องกับปาล์มน้ ามันและผลิตภัณฑ์ จากปาล์มน้ ามัน เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนและพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ ามันของประเทศทั้งระบบ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ๑.๒ เร่งรัดการด าเนินการปรับปรุงพระราชบัญญัติอ้อยและน้ าตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ เพื่อให้สามารถน าอ้อยไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นที่ไม่ใช่น้ าตาลทรายได้ และจัดสรรวัตถุดิบ (น้ าอ้อย) ให้เพียงพอและเหมาะสมกับอุตสาหกรรมชีวภาพ ๑.๓ ปรับปรุงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สามารถน าเข้าน้ ามันปาล์มและผลิตภัณฑ์ จากปาล์มน้ ามัน เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีจากปาล์มน้ ามันขั้นกลางและขั้นปลาย ที่มีมูลค่าสูงได้เป็นการเฉพาะ ค


๑.๔ ปรับปรุงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเอทานอล สามารถจ าหน่ายเอทานอลให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอื่นหรืออุตสาหกรรมต่อเนื่อง นอกเหนือจากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพได้ ๑.๕ ปรับปรุงมาตรการและนโยบายการจัดการขยะและกากของเสียในโรงงานอุตสาหกรรม ที่ปัจจุบันก าหนดให้การน าของเสียออกจากโรงงานต้องผ่านกระบวนการกรองของเสียก่อนส่งผลให้ การเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์เหลือทิ้งหรือผลิตภัณฑ์พลอยได้ในอุตสาหกรรม เช่น ชานอ้อย ใบอ้อย กากน้ าตาล ฟางข้าว ไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องจะต้องมีการขออนุญาตก่อนการเคลื่อนย้าย ๑.๖ เร่งด าเนินการปรับปรุงกฎหมายผังเมืองให้สามารถตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ชีวภาพซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาล ในพื้นที่ที่มีความเหมาะสมหรือพื้นที่ที่มี ศักยภาพด้านวัตถุดิบได้ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ภาคการเกษตร (แหล่งวัตถุดิบ) ถูกก าหนดให้เป็นพื้นที่สีเขียว ส่งผลให้โรงงานอุตสาหกรรมชีวภาพที่มักจะถูกมองว่าเป็นอุตสาหกรรมเคมีไม่สามารถตั้งฐานการผลิต ในเขตพื้นที่ดังกล่าวได้ ๑.๗ ปรับปรุงประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม การเกษตรเทคโนโลยีชีวภาพ และการแพทย์ ให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ชีวภาพตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยปัจจุบันแม้ว่าส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ให้ความส าคัญกับการส่งเสริม อุตสาหกรรมเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ตามนโยบายการส่งเสริมของภาครัฐ แต่ก็พบว่าผลิตภัณฑ์หลายชนิดในห่วงโซ่ คุณค่าของอุตสาหกรรมชีวภาพไม่เข้าเงื่อนไขในประเภทกิจการที่ได้ก าหนดไว้ ๑.๘ ออกนโยบายหรือมาตรการยกเว้นภาษีให้กับผู้ประกอบการที่สนใจลงทุน ในอุตสาหกรรมชีวภาพ เช่น มาตรการยกเว้นภาษีเครื่องจักรหรือวัตถุดิบที่ต้องมีการน าเข้าจาก ต่างประเทศ หรือสามารถน าค่าใช้จ่ายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพมาใช้หักลดหย่อนภาษี ๑.๙ จัดตั้งหน่วยงานที่ท าหน้าที่ให้การทดสอบและรับรองมาตรฐานเฉพาะด้านหรือ เฉพาะผลิตภัณฑ์ชีวภาพขึ้นภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ผลิต ภายในประเทศ รวมถึงลดต้นทุนในการส่งผลิตภัณฑ์ไปทดสอบและรับรองมาตรฐานในต่างประเทศ ของผู้ประกอบการ ๑.๑๐ สร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางส าหรับอุตสาหกรรมชีวภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม ๑.๑๑ เร่งด าเนินการจัดท ามาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ให้ครอบคลุม ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีการผลิตภายในประเทศไทย ๒. การกระตุ้นอุปสงค์การบริโภคผลิตภัณฑ์ชีวภาพภายในประเทศ ๒.๑ จัดท าชุดข้อมูลและประชาสัมพันธ์ผ่านหน่วยงานของภาครัฐ ภาคเอกชน สถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์หรือช่องทางออนไลน์“เพื่อสร้าง การรับรู้” ถึงข้อดี และประโยชน์ของการใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพให้เกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศ ๒.๒ ออกนโยบายหรือมาตรการเพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐจะต้อง จัดซื้อผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ผลิตขึ้นภายในประเทศมาใช้ในหน่วยงาน ในกรณีที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีทั้งผลิตภัณฑ์ชีวภาพและผลิตภัณฑ์ทั่วไป เช่น ถุงขยะ บรรจุภัณฑ์เป็นต้น ฅ


๒.๓ ออกนโยบายหรือมาตรการทางด้านภาษีเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการบริโภค ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ โดยให้หน่วยงานภาคเอกชนสามารถน าค่าใช้จ่ายในการซื้อผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ที่ผลิตขึ้นภายในประเทศมาใช้ในการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษี ๒.๔ ออกนโยบายหรือมาตรการบังคับให้ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจจะต้องใช้ ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เช่น ผู้ประกอบการร้านอาหารหรือผู้ประกอบการร้านเครื่องดื่มที่ใช้บรรจุภัณฑ์ ชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use) จะต้องใช้บรรจุภัณฑ์ชีวภาพ ๓. การพัฒนาภาคการเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านวัตถุดิบและรายได้เพิ่ม ให้แก่เกษตรกร ๓.๑ ส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มคลัสเตอร์ของเกษตรกรรายย่อยเพื่อให้เกิดการบริหาร จัดการภาคการเกษตรในรูปแบบสหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกรเครือข่ายอย่างเป็นระบบ ๓.๒ สนับสนุนการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกของพืชที่มีศักยภาพในพื้นที่เป้าหมาย ๓.๓ สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชส าคัญที่ให้ผลผลิตสูง ๓.๔ สนับสนุนเครื่องมือเครื่องจักรในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิต ๓.๕ เร่งด าเนินการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างราคาของพืชส าคัญในอุตสาหกรรม ชีวภาพให้เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทั้งเกษตรกรและผู้ประกอบการ ๔. การส่งเสริมการประกอบอุตสาหกรรมชีวภาพขั้นกลางและขั้นปลาย ๔.๑ ส่งเสริมผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรรายเดิมต่อยอด สู่การเป็นผู้ผลิตในอุตสาหกรรมชีวภาพขั้นกลางเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ๔.๒ ยกระดับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเอทานอลสู่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม เคมีชีวภาพ ๕. การส่งเสริมการประกอบอุตสาหกรรมในรูปแบบ Biorefinery complex ๕.๑ ออกนโยบายหรือมาตรการที่สนับสนุนให้เกิดการร่วมทุนหรือควบรวมกิจการ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งจะน าไปสู่การประกอบกิจการในรูปแบบ Biorefinery complex ๕.๒ ออกนโยบายหรือมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้เอื้ออ านวยต่อนักลงทุน ๖. การส่งเสริมการรับซื้อวัสดุเหลือทิ้งจากภาคการเกษตรเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวมวล ๖.๑ ก าหนดราคากลางเพื่อรับซื้อวัสดุเหลือทิ้งจากภาคการเกษตร เช่น ใบอ้อย ฟางข้าว เหง้ามันหรือวัสดุเหลือทิ้งชนิดอื่นที่มีศักยภาพให้สมเหตุสมผลเป็นธรรมต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการ ๖.๒ ส่งเสริมการให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบจากภาคการเกษตร ตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวลเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในโรงงาน ๗. การสนับสนุนและส่งเสริมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการ อุตสาหกรรมชีวภาพ เพื่อผลักดันประเทศเป็น Bio Hub of ASEAN โดยเร่งด าเนินการจัดตั้ง นิคมอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอุตสาหกรรมชีวภาพ ในเขตพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ลพบุรี อุบลราชธานีและฉะเชิงเทรา ให้แล้วเสร็จ คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ฆ


สารบัญ เรื่อง หน้า ค าน า ก บทสรุปผู้บริหาร ข สารบัญ ง รายงานการพิจารณาศึกษา ฉ บทที่ ๑ บทน า ๑ ๑.๑ ความเป็นมา ๑ ๑.๒ สภาพปัญหา ๑ ๑.๓ วัตถุประสงค์ของการศึกษา ๔ ๑.๔ ขอบเขตของการศึกษา ๕ ๑.๕ วิธีด าเนินการศึกษา ๕ ๑.๖ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ๖ บทที่ ๒ แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพและนโยบายของประเทศต้นแบบ ๗ ๒.๑ แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ ๗ ๒.๒ นโยบายเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศต้นแบบ ๘ บทที่ ๓ อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทย ๑๗ ๓.๑ การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio – Circular – Green Economy : BCG Model) ๑๗ ๓.๒ วิสัยทัศน์อุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ๒๑ ๓.๓ ความสอดคล้องและการเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนและนโยบายของรัฐบาล ๒๓ ๓.๔ กรอบแนวคิดในการศึกษาการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรม เศรษฐกิจชีวภาพของไทย ๔๐ ๓.๕ การคัดเลือกพืชวัตถุดิบเป้าหมายที่มีศักยภาพ ๔๑ บทที่ ๔ การพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ : กรณีศึกษาปาล์มน ามัน ๔๓ ๔.๑ สถานภาพและการผลิตปาล์มน ามันในประเทศไทย ๔๓ ๔.๒ ห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมชีวภาพจากปาล์มน ามัน ๔๘ ๔.๓ ข้อจ ากัด สภาพปัญหา และอุปสรรคในการพัฒนาอุตสาหกรรม เศรษฐกิจฐานชีวภาพจากปาล์มน ามัน ๕๗ ๔.๔ แนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีที่ผลิตได้จากปาล์มน ามัน ๗๒ ง


บทที่ ๕ การพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ : กรณีศึกษาอ้อย ๘๓ ๕.๑ สถานภาพและการผลิตอ้อยและน าตาลทรายในประเทศไทย ๘๓ ๕.๒ ห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพจากอ้อย ๙๓ ๕.๓ ข้อจ ากัด สภาพปัญหา และอุปสรรคในการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ชีวภาพจากอ้อย ๑๑๒ ๕.๔ แนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพจากอ้อย ๑๒๐ บทที่ ๖ สรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ๑๓๑ ๖.๑ สรุป ๑๓๑ ๖.๒ การวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศไทย ๑๓๓ ๖.๓ การวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) อุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศไทย ๑๓๙ ๖.๔ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศไทย ๑๔๒ บรรณานุกรม ๑๕๓ ภาคผนวก ๑๕๕ ภาคผนวก ก การเดินทางไปศึกษาดูงาน ๑๕๖ ภาคผนวก ข การสัมมนา ๑๖๒ ภาคผนวก ค ค าสั่งแต่งตั งคณะท างานศึกษาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ๑๗๑ จ


รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy Industry) ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ......................................................... ตามที่ที่ประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๑๗ (สมัยสามัญประจ าปีครั้งที่หนึ่ง) วันอังคารที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๒ ที่ประชุมได้มีมติตั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจ าวุฒิสภาตามข้อบังคับการประชุม วุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๗๘ วรรคสอง (๒๔) ซึ่งคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา เป็นคณะกรรมการสามัญประจ าวุฒิสภา เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ กระท ากิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาเรื่องใด ๆ ทีเกี่ยวกับการส่งเสริม สนับสนุน หรือพัฒนา การพาณิชย์และอุตสาหกรรม การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น และภูมิปัญญาไทย วิสาหกิจเพื่อสังคม วิสาหกิจเพื่อชุมชน เขตเศรษฐกิจพิเศษ ความสามารถ ในการแข่งขัน และการเจริญเติบโตทางอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พิจารณาศึกษา ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ที่อยู่ในหน้าที่ และอ านาจ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยคณะกรรมาธิการได้พิจารณาศึกษา เรื่อง อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ชีวภาพ (Bioeconomy Industry) บัดนี้ คณะกรรมาธิการได้พิจารณาศึกษาเรื่องดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงขอรายงานผลการพิจารณาศึกษาต่อวุฒิสภา ดังนี้ ๑. การด าเนินงานของคณะกรรมาธิการ ๑.๑ คณะกรรมาธิการได้มีมติเลือกต าแหน่งต่าง ๆ ดังนี้ ๑) นางอภิรดี ตันตราภรณ์ ประธานคณะกรรมาธิการ ๒) นายสมชาย หาญหิรัญ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง ๓) นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สอง ๔) นางสุวรรณี สิริเวชชะพันธ์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สาม ๕) นายชลิต แก้วจินดา รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สี่ ๖) นายรณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล เลขานุการคณะกรรมาธิการ ๗) นายเจน น าชัยศิริ โฆษกคณะกรรมาธิการ ๘) นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ๙) ศาสตราจารย์พิเศษสม จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ๑๐) พลเอก วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ๑๑) พลเอก วิชิต ยาทิพย์ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ๑๒) นายบรรชา พงศ์อายุกูล ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ๑๓) ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณอุดม คชินทร ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ๑๔) นางจินตนา ชัยยวรรณาการกรรมาธิการ ๑๕) นายเฉลียว เกาะแก้ว กรรมาธิการ ๑๖) นางดวงพร รอดพยาธิ์ กรรมาธิการ ๑๗) นายบุญมี สุระโคตร กรรมาธิการ ๑๘) นายสาธิต เหล่าสุวรรณ กรรมาธิการ ๑๙) นายอุดม วรัญญูรัฐ กรรมาธิการ ฉ


อนึ่ง คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ได้มีการเปลี่ยนแปลง ต าแหน่งภายในคณะกรรมาธิการ ดังนี้ - เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณอุดม คชินทร ได้ขอลาออก จากการเป็นสมาชิกวุฒิสภา - เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๓ นายบุญมี สุระโคตร ได้ขอลาออกจากการเป็นกรรมาธิการ ๑.๒ คณะกรรมาธิการได้มีมติแต่งตั้งผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมาธิการ ตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๘๗ วรรคสี่ ดังนี้ ๑) นายภาสันต์ เงาศุภธน นิติกรช านาญการพิเศษ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการ การเศรษฐกิจ การพาณิชย์ และอุตสาหกรรม ๒) นางสาวนิรมล ดวงดาว วิทยากรปฏิบัติการ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการ การเศรษฐกิจ การพาณิชย์ และอุตสาหกรรม ๑.๓ คณะกรรมาธิการได้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ซึ่งคณะอนุกรรมาธิการคณะนี้ ประกอบด้วย อนุกรรมาธิการ จ านวน ๑๒ คน และที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ จ านวน ๗ คน ดังนี้ อนุกรรมาธิการ ๑) นายสมชาย หาญหิรัญ ประธานคณะอนุกรรมาธิการ ๒) นายเจน น าชัยศิริ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ ๓) นายชลิต แก้วจินดา อนุกรรมาธิการ ๔) นายรณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล อนุกรรมาธิการ ๕) นายยงเกียรติ์ กิตะพาณิชย์ อนุกรรมาธิการ ๖) นางสาววิภาดา พลาธนพร อนุกรรมาธิการ ๗) นายยุทธ ลิมป์ศิระ อนุกรรมาธิการ ๘) นายกนิษฐ์ สารสิน อนุกรรมาธิการ ๙) นางสาวทิพยวรรณ ผลประโยชน์ อนุกรรมาธิการ ๑๐) นายนาวา จันทนสุรคน อนุกรรมาธิการ ๑๑) นายพัฒน์ชรัช รัตนศุทธพบูลย์ อนุกรรมาธิการ ๑๒) ผู้ช่วยศาสตราจารย์เทอดศักดิ์ ศรีสุรพล อนุกรรมาธิการ และเลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ ๑) นายพสุ โลหารชุน ๒) นายปณิธาน จินดาภู ๓) นายรุ่งเพชร สังข์ทอง ๔) กรณ์ภัฐวีญ์ ม่วงน้อย ๕) นายพิชิต มิทราวงศ์ ๖) นางสาวกชนิภา อินทสุวรรณ์ ๗) นายสราวุฒิ สินส าเนา ช


๑.๔ คณะกรรมาธิการเห็นควรมอบหมายคณะอนุกรรมาธิการการอุตสาหกรรมในการพิจารณา ศึกษาเรื่องดังกล่าว ก. คณะท างาน ประกอบด้วย ๑ นายรณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล ประธานคณะท างาน ๒. นายเจน น าชัยศิริ รองประธานคณะท างาน คนที่หนึ่ง ๓. นายชลิต แก้วจินดา รองประธานคณะท างาน คนที่สอง ๔. นายอดิทัต วะสีนนท์ คณะท างาน ๕. นางสาวทิพยวรรณ ผลประโยชน์ คณะท างาน ๖. นางสาววิภาดา พลาธนพร คณะท างาน ๗. นายกนิษฐ์ สารสิน คณะท างาน ๘. นายยงเกียรติ กิตะพาณิชย์ คณะท างาน ๙. นายสัมฤทธิ์ แซ่เจียง คณะท างาน ๑๐. นายบุรินทร์ สุขพิศาล คณะท างาน ๑๑. นายกฤศ จันทร์สุวรรณ คณะท างาน ๑๒. นายศิวะ โพธิตาปนะ คณะท างาน ๑๓. นายจักรกฤช รังสิมานพ คณะท างาน ๑๔. นายเกรียงไกร วงศ์พร้อมรัตน์ คณะท างาน ๑๕. นายวินิต อธิสุข คณะท างาน ๑๖. นายคุณานันท์ ทยายุทธ คณะท างาน ๑๗. ผู้ช่วยศาสตราจารย์เทอดศักดิ์ ศรีสุรพล คณะท างานและเลขานุการ ๑๘. นายไพรราช ไพรแก้ว คณะท างานและผู้ช่วยเลขานุการ ข. ให้คณะท างานมีหน้าที่และอ านาจ ดังต่อไปนี้ ๑) ศึกษาแนวทางการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ตลอดห่วงโซ่อุปทานการผลิตอย่างครบวงจร ๒) ศึกษามาตรการส่งเสริมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มผลผลิต ประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการในการสร้างมูลค่าเพิ่มบนพื้นฐานของนวัตกรรมและเทคโนโลยี ๓) ศึกษาแนวทางการพัฒนาและปัจจัยสนับสนุนที่เป็นมาตรการสนับสนุนต่อการขับเคลื่อน การพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ๔) ศึกษาและจัดท ารายงานการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ไปสู่ภาคปฏิบัติตามแนวนโยบายของรัฐ ๒. วิธีการพิจารณาศึกษา ๒.๑ คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ชีวภาพ ดังนี้ ๑) เดินทางศึกษาดูงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมไบโอ ณ จังหวัดระยอง ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ - วันศุกร์ที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ ซ


๒) เดินทางศึกษาดูงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ณ จังหวัดนครปฐม และจังหวัด กาญจนบุรี ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ - วันศุกร์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ ๓) เดินทางศึกษาดูงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ณ จังหวัดชุมพร และจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างวันอาทิตย์ที่ ๑๔ – วันอังคารที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๔ ๒.๒ คณะกรรมาธิการได้จัดการสัมมนาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ อิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง “การพัฒนา และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทย” วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ นาฬิกา ณ ระบบออนไลน์ Webex (โปรแกรม Cisco Webex Meetings) เพื่อรับฟังความคิดเห็นของอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ๓. ผลการพิจารณาศึกษา คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ขอรายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy Industry) ซึ่งคณะกรรมาธิการได้มอบหมาย ให้คณะท างานพิจารณา ศึกษา และจัดท าข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรม เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy Industry) ของประเทศไทย โดยคณะกรรมาธิการได้พิจารณา รายงานของคณะท างานด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว และได้มีมติให้ความเห็นชอบกับรายงาน ดังกล่าว โดยถือว่าเป็นรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการ จากการพิจารณาศึกษาเรื่องดังกล่าวข้างต้น คณะกรรมาธิการจึงขอเสนอรายงานการพิจารณา ศึกษาของคณะกรรมาธิการ โดยมีรายละเอียดตามรายงานท้ายนี้ เพื่อให้วุฒิสภาได้พิจารณา หากวุฒิสภา ให้ความเห็นชอบด้วยกับผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการ ขอให้ได้โปรดแจ้ง ไปยังคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาและด าเนินการตามแต่เห็นสมควรต่อไป ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน (นายรณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล) เลขานุการคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ฌ


๑ บทที่ ๑ บทน ำ ๑.๑ ควำมเป็นมำ ตามที่ที่ประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๑๗ (สมัยสามัญประจ าปีครั้งที่หนึ่ง) ที่ประชุมได้มีมติ ตั้งคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา มีหน้าที่และอ านาจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ กระท ากิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับการส่งเสริม สนับสนุน หรือพัฒนาการพาณิชย์และอุตสาหกรรม การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น และภูมิปัญญาไทย วิสาหกิจเพื่อสังคม วิสาหกิจชุมชน เขตเศรษฐกิจพิเศษ ความสามารถในการแข่งขัน และการเจริญเติบโตทางอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พิจารณาศึกษา ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ที่อยู่ในหน้าที่และอ านาจ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๖๒ นั้น ในคราวประชุมคณะกรรมาธิการ ครั้งที่ ๒๑/๒๕๖๓ วันอังคารที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ ที่ประชุมได้มีมติตั้ง “คณะท างานศึกษาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพิจารณาจัดท ารายงานอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพเพื่อน ามาด าเนินการให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผล เพื่อน ามาเป็นแบบอย่างหรือต้นแบบในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ โดยก าหนดให้คณะท างานฯ มีหน้าที่และอ านาจ ดังต่อไปนี้ ๑. ศึกษาแนวทางการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ตลอดห่วงโซ่อุปทานการผลิตอย่างครบวงจร ๒. ศึกษามาตรการส่งเสริมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มผลผลิต ประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการในการสร้างมูลค่าเพิ่มบนพื้นฐานของนวัตกรรมและเทคโนโลยี ๓. ศึกษาแนวทางการพัฒนาและปัจจัยสนับสนุนที่เป็นมาตรการสนับสนุนต่อการขับเคลื่อน การพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ๔. ศึกษาและจัดท ารายงานการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ไปสู่ภาคปฏิบัติตามแนวนโยบายของรัฐ ๕. ด าเนินการเรื่องอื่น ๆ ตามที่คณะอนุกรรมาธิการการอุตสาหกรรมมอบหมาย ๑.๒ สภำพปัญหำ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่ส าคัญของโลก (Mega trends) และการเกิดวิกฤตที่ท้าทายต่าง ๆ ทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากปัญหาภาวะโลกร้อนที่กระทบต่อความแปรปรวน ของสภาวะภูมิอากาศแล้ว จ านวนประชากรที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องก็เป็นอีกประเด็นที่ส าคัญและมีความ ท้าทายอย่างมาก โดยสหประชาชาติ(United Nations : UN) ได้คาดการณ์ว่าอีก ๓๐ ปีข้างหน้า หรือในปีพ.ศ. ๒๕๙๓ (๒๐๕๐) โลกของเราจะมีประชากรอาศัยอยู่สูงถึง ๙.๗ พันล้านคน (แผนภาพที่ ๑-๑) และในจ านวนนี้เป็นประชากรสูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ ๖๐ ปีขึ้นไป ประมาณ ๒.๑ พันล้านคน (แผนภาพที่ ๑-๒) ส่งผลให้เกิดความต้องการสินค้าอาหารและการบริการเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้น รวมถึงระบบการผลิต และการบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พลังงานสะอาด ผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรที่น ากลับมา ใช้ใหม่ได้เป็นต้น ซึ่งหนึ่งในกลไกที่ได้รับความสนใจอย่างมากในการเอาชนะความท้าทายดังกล่าว คือ การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ด้วยการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ


๒ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการยกระดับ คุณภาพชีวิตของประชากรโลกควบคู่กับการพัฒนาความยั่งยืนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ซึ่งนานาประเทศต่างให้ความส าคัญอย่างจริงจังในการปฏิรูปประเทศสู่เศรษฐกิจชีวภาพ หรือระบบ เศรษฐกิจกระแสใหม่ รวมถึงองค์การระหว่างประเทศ แผนภำพที่ ๑-๑ การคาดการณ์จ านวนประชากรโลก แผนภำพที่ ๑-๒ การคาดการณ์จ านวนประชากรโลกที่มีอายุตั้งแต่ ๖๐ ปีขึ้นไป อาทิ สหประชาชาติที่น าประเด็นเกี่ยวข้องกับการสร้างเศรษฐกิจชีวภาพมาพิจารณาร่วมกับการก าหนด เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยมีความสอดคล้องกัน ถึง ๑๑ เป้าหมายจากทั้งหมด ๑๗ เป้าหมาย ซึ่งจะน าไปสู่ผลลัพธ์ของการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพในมิติต่างๆ (แผนภาพที่ ๑-๓) กล่าวคือ เป้าหมายที่ ๑ การขจัดความยากจน เป้าหมายที่ ๒ การขจัดความหิวโหย เป้าหมายที่ ๓ การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีและเป้าหมายที่ ๘ การจ้างงานที่มีคุณค่าและการ เติบโตทางเศรษฐกิจ เกี่ยวข้องกับมิติด้านสังคม เป้าหมายที่ ๖ การมีน้ าสะอาดและสุขอนามัย เป้าหมายที่ ๑๓ การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป้าหมายที่ ๑๔ การใช้ประโยชน์จากนิเวศทางทะเล และมหาสมุทร และเป้าหมายที่ ๑๕ การใช้ประโยชน์จากนิเวศทางบก เกี่ยวข้องกับมิติด้านระบบนิเวศ เป้าหมายที่ ๗ พลังงานสะอาดในราคาที่เข้าถึงได้เป้าหมายที่ ๙ การพัฒนาอุตสาหกรรม นวัตกรรม


๓ โครงสร้างพื้นฐาน และเป้าหมายที่ ๑๒ การบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน เกี่ยวข้องกับมิติด้านเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม แผนภำพที่ ๑-๓ ความสอดคล้องของเศรษฐกิจชีวภาพกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ที่มา : Heimann (2019) ประเทศไทยได้มีความตระหนักในเรื่องเศรษฐกิจชีวภาพเช่นเดียวกับอีกหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากมีความได้เปรียบในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งไทยมีภูมิประเทศตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ ที่เป็น Biodiversity Hotspot (แผนภาพที่ ๑-๔) ประกอบกับมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ โดยรัฐบาลไทยเห็นความส าคัญเชิงนโยบายในการสร้างเศรษฐกิจชีวภาพ หรือการพัฒนาอุตสาหกรรม ชีวภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-curve) ที่มีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต เพื่อเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยบรรจุเป็นประเด็นเป้าหมายที่ส าคัญในทั้งยุทธศาสตร์ชาติแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔ และนโยบายรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง อาทิการต่อยอดอุตสาหกรรมเป้าหมายและวางรากฐานการพัฒนา ด้วยการใช้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) ซึ่งเป็นหนึ่ง ในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยแผนภาพที่ ๑-๕ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงในระดับนโยบาย ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพและการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพในภาคเกษตรกรรม และภาคอุตสาหกรรม กล่าวโดยสรุป อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพเป็นอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ที่นานาประเทศ เห็นพ้องต้องกันว่าจะเป็นกลไกส าคัญต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และก่อให้เกิดผลกระทบทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อันจะน าไปสู่การสร้างความมั่งคั่งและความสามารถในการแข่งขัน การยกระดับ รายได้และคุณภาพชีวิตของประชากรในประเทศ การกระจายโอกาสและลดความเหลื่อมล้ าทางสังคม และการลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม


๔ แผนภำพที่ ๑-๔ เขตพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงของโลก ที่มา: Conservation International Foundation (2014) แผนภำพที่ ๑-๕ ความเชื่อมโยงในระดับนโยบายต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ ที่มา : ประมวลโดยส านักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ๑.๓ วัตถุประสงค์ของกำรศึกษำ ตามค าสั่งของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ที่ ท. ๙/๒๕๖๓ เรื่อง ตั้งคณะท างานศึกษาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ สั่ง ณ วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ เพื่อพิจารณา จัดท ารายงานอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพที่เป็นแบบอย่างหรือต้นแบบในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม เศรษฐกิจชีวภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ของการศึกษา ดังต่อไปนี้ ๑. เพื่อศึกษาแนวทางการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ชีวภาพตลอดห่วงโซ่อุปทานการผลิตอย่างครบวงจร ๒. เพื่อศึกษามาตรการการส่งเสริมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มผลผลิต และประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการในการสร้างมูลค่าเพิ่มบนพื้นฐานของนวัตกรรมและเทคโนโลยี ๓. เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาและปัจจัยสนับสนุนที่เป็นมาตรการสนับสนุนต่อการขับเคลื่อน การพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ๔. เพื่อศึกษาและจัดท ารายงานการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ไปสู่ภาคปฏิบัติตามแนวนโยบายของรัฐ


๕ ๑.๔ ขอบเขตของกำรศึกษำ รายงานการศึกษาฉบับนี้มีเนื้อหาครอบคลุมข้อมูลส าคัญและประเด็นที่จ าเป็นส าหรับ การก าหนดแนวทางและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ชีวภาพของประเทศไทย ประกอบด้วย บทที่ ๑ บทน ำ กล่าวถึงความเป็นมา สภาพปัญหา วัตถุประสงค์ของการศึกษา ขอบเขต การศึกษา วิธีด าเนินการ และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้จากการศึกษา บทที่ ๒ แนวคิดเศรษฐกิจชีวภำพ กล่าวถึงแนวคิดและค าจ ากัดความของเศรษฐกิจชีวภาพ และตัวอย่างแนวนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศต้นแบบ บทที่ ๓ อุตสำหกรรมเศรษฐกิจชีวภำพของประเทศไทย กล่าวถึงความสอดคล้องและเชื่อมโยง ของยุทธศาสตร์และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ สถานการณ์อุตสาหกรรม เศรษฐกิจชีวภาพของไทยในปัจจุบัน การคัดเลือกพืชวัตถุดิบเป้าหมายที่มีศักยภาพ และกรอบแนวคิด ในการศึกษาแนวทางการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทย บทที่ ๔ กำรพัฒนำอุตสำหกรรมเศรษฐกิจชีวภำพของไทยกรณีศึกษำปำล์มน ำมัน กล่าวถึงการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและประเมินศักยภาพของอุตสาหกรรมโครงสร้างและความเชื่อมโยง ตลอดห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพจากพืชวัตถุดิบเป้าหมายปาล์มน้ ามัน และแนวทาง การพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทยภายใต้พืชและวัตถุดิบปาล์มน้ ามันตามวัตถุประสงค์ ที่ก าหนดไว้ บทที่ ๕ กำรพัฒนำอุตสำหกรรมเศรษฐกิจชีวภำพของไทย กรณีศึกษำอ้อยและน ำตำล กล่าวถึงการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและประเมินศักยภาพของอุตสาหกรรมโครงสร้างและความเชื่อมโยง ตลอดห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพจากพืชวัตถุดิบเป้าหมายอ้อยและน้ าตาล และแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทยของพืชและวัตถุดิบอ้อยและน้ าตาล ตามวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้ บทที่ ๖ บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบำยในกำรขับเคลื่อนสู่ภำคปฏิบัติกล่าวถึง ผลสรุปของการศึกษาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวปฏิบัติ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทยให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๑.๕ วิธีด ำเนินกำรศึกษำ การด าเนินการจัดท ารายงานการศึกษาฉบับนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ร่วมกับใช้การวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) โดยมีขั้นตอนดังนี้ ๑. รวบรวมข้อมูลจากการทบทวนเอกสาร เช่น ยุทธศาสตร์และนโยบายการพัฒนา อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทยและประเทศต้นแบบที่ประสบความส าเร็จ สถานการณ์ อุตสาหกรรมในปัจจุบัน รายงานการศึกษาที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับการประชุมกลุ่มย่อย (Focus group) การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) และการศึกษาดูงาน (Factory visit) เพื่อให้ได้ข้อมูล เชิงประจักษ์ ๒. วิเคราะห์สภาพแวดล้อมและปัญหาอุปสรรค เพื่อประเมินศักยภาพของอุตสาหกรรม เศรษฐกิจชีวภาพไทยจากพืชวัตถุดิบเป้าหมาย ๓. สังเคราะห์แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทยจากพืชวัตถุดิบ เป้าหมาย พร้อมข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการขับเคลื่อนสู่ภาคปฏิบัติ


๖ ๑.๖ ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ ๑. ได้ข้อมูลและแนวทางที่จ าเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทย ๒. ได้ประเด็นปัจจัยที่ภาครัฐควรผลักดันในการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ชีวภาพของประเทศให้ประสบความส าเร็จ ตลอดจนรูปแบบการท างานของหน่วยงานภาครัฐให้สอดคล้อง กับทิศทางการพัฒนาและเป็นไปอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ าจนถึงปลายน้ า ๓. ได้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทย รวมทั้งแนวทางการผลักดันนโยบายไปสู่การปฏิบัติในบริบทที่เหมาะสมของประเทศ


๗ บทที่ ๒ แนวคิดเศรษฐกิจชีวภำพและนโยบำยของประเทศต้นแบบ ๒.๑ แนวคิดเศรษฐกิจชีวภำพ แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ถูกกล่าวอ้างถึงเป็นครั้งแรกในบทความ เรื่อง Genomics and the World’s Economy เขียนโดยน าย Juan Enriquez Cabot ซึ่งตีพิมพ์ ในนิตยสาร Science เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๑ (๑๙๙๘) โดยในบทความดังกล่าวยังไม่มีการระบุค าศัพท์ที่ชัดเจน แต่เป็นเพียงการวางกรอบแนวคิดกว้าง ๆ เกี่ยวกับศักยภาพของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีชีวภาพในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม (Birner R. 2018, p.17-38) และต่อมาแนวคิดดังกล่าวได้เป็นที่กล่าวถึงมากขึ้น จะเห็นได้จากการอ้างอิงถึงค าส าคัญ (Keywords) ในวารสารวิชาการที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจชีวภาพที่เพิ่มจ านวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว (แผนภาพที่ ๒-๑) ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีการนิยามเศรษฐกิจชีวภาพที่เป็นหนึ่งเดียว แต่โดยส่วนใหญ่ ได้ให้ค าจ ากัดความไปในทิศทางที่ใกล้เคียงกัน องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Co-operation and Development : OECD) นิ ย า ม ว่ า เ ป็ น “กลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งเทคโนโลยีชีวภาพเป็นหัวใจส าคัญในการผลิตขั้นต้นและในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเมื่อมีการประยุกต์ใช้ชีววิทยาศาสตร์ขั้นสูงเพื่อแปรเปลี่ยนชีวมวล ให้เป็นวัสดุสารเคมี และเชื้อเพลิงต่าง ๆ” (OECD, 2018) แผนภำพที่ ๒-๑ จ านวนบทคัดย่อวารสารวิชาการที่มีการอ้างอิงเกี่ยวกับเศรษฐกิจชีวภาพในระบบฐานข้อมูล บรรณานุกรม Scopus ที่มา : Birner, 2018. สหภาพยุโรปซึ่งมีประเทศสมาชิกเกินครึ่งเข้าร่วมในองค์การ OECD ได้น าแนวคิดเกี่ยวกับ เศรษฐกิจชีวภาพมาเป็นกรอบในการก าหนดนโยบายเพื่อพัฒนาภูมิภาคด้วยเช่นกัน โดยในการประชุม คณะมนตรียุโรป (European Council) ที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ในปีพ.ศ. ๒๕๔๓ (๒๐๐๐) ที่ประชุมได้แสดงความมุ่งมั่นในการสร้างเศรษฐกิจฐานความรู้ที่มีการแข่งขันและมีพลวัตมากที่สุดในโลก และในปีพ.ศ. ๒๕๔๘ (๒๐๐๕) คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้จัดการประชุม สัมมนาภายใต้หัวข้อ New Perspectives on the Knowledge-Based Bio-Economy โดยมีการ บรรยายถึง “การแปรเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านชีววิทยาศาสตร์ไปสู่การพัฒนานวัตกรรมสินค้าที่ยั่งยืน


๘ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถแข่งขันได้” ซึ่งถูกใช้นิยามความหมายของเศรษฐกิจชีวภาพ บนฐานความรู้(Knowledge-based bioeconomy) ในการประชุมหลายครั้งในเวลาต่อมา (Birner R. 2018, p.17-38) นอกจากสหภาพยุโรปแล้ว สหรัฐอเมริกาก็เป็นอีกประเทศที่สนับสนุนการน าแนวคิด เศรษฐกิจชีวภาพมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาประเทศ โดยมีการพูดถึงครั้งแรกในการประชุมสมาคม เพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา (American Association for the Advancement of Science) เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๐ (๑๙๙๗) และในปีพ.ศ. ๒๕๕๕ (๒๐๑๒) ได้มีการออกมาตรการ เชิงนโยบายของประเทศด้านเศรษฐกิจชีวภาพอย่างเป็นทางการ เรียกว่า National Bioeconomy Blueprint ซึ่งได้ให้ค าจ ากัดความของเศรษฐกิจชีวภาพว่าเป็น “การใช้ประโยชน์จากการวิจัย และนวัตกรรมทางชีววิทยาศาสตร์เพื่อสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสาธารณประโยชน์” (White House 2012) ในส่วนของประเทศไทย แนวคิดเกี่ยวกับเศรษฐกิจชีวภาพเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเมื่อสภาขับเคลื่อน การปฏิรูปประเทศ ได้ประกาศให้เศรษฐกิจชีวภาพเป็นวาระแห่งชาติโดยคณะกรรมาธิการขับเคลื่อน การปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ได้ให้ความหมายของเศรษฐกิจชีวภาพไว้ในรายงานการปฏิรูปเศรษฐกิจ ชีวภาพ (Bio Economy) ว่าเป็น “การสร้างเศรษฐกิจบนฐานของการวิจัยพัฒนาและและนวัตกรรม ใช้ทรัพยากรฐานชีวภาพ (พืช สัตว์จุลินทรีย์) รวมถึงวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ของเสีย/น้ าเสีย จากโรงงานอุตสาหกรรม ฟาร์มปศุสัตว์และชุมชนพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง” (ส านักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ๒๕๕๙) และต่อมารัฐบาลได้ก าหนดให้อุตสาหกรรมชีวภาพ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคตด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจของประเทศสู่ความยั่งยืน ซึ่งหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้องได้ให้ความส าคัญและอธิบายถึงแนวคิด เศรษฐกิจกระแสใหม่ดังกล่าว ส านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติกล่าวว่า เศรษฐกิจ ชีวภาพ คือ “ระบบเศรษฐกิจที่น าความรู้และนวัตกรรม โดยเฉพาะทางด้านชีววิทยาหรือวิทยาศาสตร์ ชีวภาพอื่น ๆ มาช่วยพัฒนาการผลิตสินค้าและบริการที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ เช่น การเกษตร อาหาร สุขภาพ การแพทย์และพลังงาน ให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน” (กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี๒๕๖๒) ๒.๒ นโยบำยเศรษฐกิจชีวภำพของประเทศต้นแบบ ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกได้มีการก าหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจชีวภาพ ทั้งที่เป็นนโยบาย โดยเฉพาะ (Dedicated bioeconomy strategy) และเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องภายใต้แผนพัฒนาต่าง ๆ ของแต่ละประเทศ (Bioeconomy-related strategy) (แผนภาพที่ ๒-๒) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประเทศ ที่พัฒนาแล้วและเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ขณะที่ในส่วน ของประเทศไทยได้ก าหนดให้อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรรมเป้าหมายใหม่ ในอนาคตที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ดีการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ เศรษฐกิจชีวภาพของไทยยังอยู่ในระยะเริ่มแรกและต้องอาศัยการเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศ ที่ประสบความส าเร็จ ดังนั้น จึงมีความจ าเป็นต้องศึกษานโยบายการพัฒนาขององค์การระหว่างประเทศ และประเทศผู้น าด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพในระดับนโยบาย เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงทิศทาง การพัฒนาของประเทศต้นแบบดังกล่าว และน ามาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสม กับบริบทและสภาพแวดล้อมของประเทศไทย


๙ แผนภำพที่ ๒-๒ ประเทศที่มีนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ ที่มา : ดัดแปลงจาก German Bioeconomy Council (2019), “Bioeconomy Policies around the World”, https://biooekonomierat.de/fileadmin/images/BOER_Bioeconomy_Around_World_Map.pdf องค์กำรเพื่อควำมร่วมมือและกำรพัฒนำทำงเศรษฐกิจ (OECD) OECD ได้จัดท ารายงาน “The Bioeconomy to 2030: Designing a Policy Agenda” เพื่อวิเคราะห์ทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพในอนาคต ซึ่งเน้นภาคส่วนที่จะก่อให้เกิดผลกระทบ มากที่สุดทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม คือ ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม และภาคบริการเพื่อสุขภาพ โดย OECD ได้คาดการณ์ว่า เทคโนโลยีชีวภาพจะมีสัดส่วนประมาณร้อยละ ๒.๗ ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ในกลุ่มประเทศสมาชิก OECD ภายในปีพ.ศ. ๒๕๗๓ (๒๐๓๐) ซึ่งเป็นการประเมินศักยภาพ ของเทคโนโลยีชีวภาพที่ค่อนข้างต่ าเกินไป เนื่องจากการวิเคราะห์ไม่ได้ครอบคลุมถึงกลุ่มเชื้อเพลิงชีวภาพ และนวัตกรรมสินค้าที่ยังไม่เกิดขึ้นในปัจจุบันแต่อาจถูกพัฒนาในอนาคต นอกจากนี้OECD มองว่า เทคโนโลยีชีวภาพจะมีบทบาทมากขึ้นในการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ของโลก อย่างไรก็ดีเนื่องจากในช่วงที่ท าการศึกษา ปีพ.ศ. ๒๕๔๖ (๒๐๐๓) OECD พบว่า ร้อยละ ๘๗ ของค่าใช้จ่ายภาคเอกชนในกลุ่มประเทศสมาชิก OECD เพื่อการวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นผลงาน ที่เกี่ยวกับภาคบริการเพื่อสุขภาพ ขณะที่มีการคาดการณ์ว่า ภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม จะสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้เทคโนโลยีชีวภาพได้รวมกันสูงถึงร้อยละ ๗๕ ของมูลค่าเพิ่มรวม (Gross Value Added : GVA) ในปีพ.ศ. ๒๕๗๓ (๒๐๓๐) (แผนภาพที่ ๒-๓) นั่นแสดงให้เห็นว่า การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมมีผลิตภาพสูงกว่า เมื่อเทียบกับภาคบริการเพื่อสุขภาพ ซึ่งรายงานดังกล่าวได้เสนอแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ สรุปได้ดังนี้ ๑. สร้างรากฐานที่เข้มแข็งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพในระยะยาว โดยการสร้างตลาด รองรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนเงินทุนเพื่อการวิจัย และการลงทุนเพื่อพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานและการศึกษา ซึ่งในแต่ละภาคส่วนมีแนวทาง ดังนี้ ๑.๑) ภาคบริการเพื่อสุขภาพ พัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านสุขภาพและงานวิจัยที่สามารถ เชื่อมโยงประวัติการรักษาและการติดตามผลลัพธ์ของงานวิจัย ๑.๒) ภาคอุตสาหกรรม สนับสนุนสิ่งจูงใจให้กับสถานประกอบการที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ


๑๐ ๑.๓) ภาคเกษตรกรรม ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ ๒. กระตุ้นการใช้เทคโนโลยีชีวภาพในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม โดยการสนับสนุน การลงทุนภาครัฐและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อการวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพ ในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม ๓. เตรียมพร้อมส าหรับการปฏิวัติการดูแลสุขภาพ โดยการสนับสนุนสิ่งจูงใจให้กับภาคเอกชน เพื่อยกระดับคุณภาพของการบ าบัดสุขภาพควบคู่กับการพัฒนาการบริการด้านสุขภาพของภาครัฐ รวมถึงการประเมินผลกระทบในมิติต่าง ๆ จากการมีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น ๔. พลิกวิกฤตการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยการสนับสนุน เงินทุนการวิจัยส าหรับการคาดการณ์อนาคต (Foresight research) เพื่อก าหนดรูปแบบสิ่งจูงใจ และโมเดลธุรกิจในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีชีวภาพ รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษา ที่สอดคล้องกับทิศทางเทคโนโลยีในอนาคต ๕. ลดอุปสรรคต่อการพัฒนานวัตกรรม โดยการปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน และออกมาตรการส่งเสริมสนับสนุนด้านการวิจัยและการเข้าสู่ตลาด ๖. ส่งเสริมงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์โดยการบูรณาการการท างานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเพื่อเชื่อมโยงงานวิจัยจากหลากหลายสาขาวิชาและพัฒนาให้เกิดการผลิตเชิงพาณิชย์ ๗. สร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยการจัดกิจกรรมเสวนาสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อระดมข้อคิดเห็นต่อนโยบายที่เกี่ยวข้องกับพัฒนา เศรษฐกิจชีวภาพ และประเมินผลกระทบของการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีชีวภาพ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และจริยธรรม แผนภำพที่ ๒-๓ ค่าใช้จ่ายภาคเอกชนเพื่อการวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและมูลค่าเพิ่มจากการใช้เทคโนโลยี ชีวภาพของกลุ่มประเทศสมาชิก OECD ที่มา : OECD (2009) เยอรมนีถือเป็นหนึ่งในประเทศผู้น าด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพของโลก ซึ่งแม้จะไม่ได้ตั้งอยู่ในเขต พื้นที่ที่เป็น Biodiversity Hotspot ท าให้ทรัพยากรชีวภาพในประเทศไม่มีความหลากหลายมากนัก แต่เยอรมนีมีความได้เปรียบด้านการวิจัยและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า จะเห็นได้จากจ านวนศูนย์วิจัย ของสถาบันรายใหญ่ที่ไม่ใช่มหาวิทยาลัยซึ่งร่วมทุนวิจัยกับรัฐบาล อาทิสถาบัน Helmholtz สถาบัน Max Planck สถาบัน Leibniz และสถาบัน Fraunhofer รวมถึงหน่วยงานรัฐด้านการวิจัย ที่มีอยู่หลายแห่งและกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ (แผนภาพที่ ๒-๔) โดยรัฐบาลเยอรมนีได้จัดตั้ง German Bioeconomy Council เป็นหน่วยงานกลางที่ท าหน้าที่ในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี


๑๑ ชีวภาพของประเทศ และจัดท ามาตรการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพฉบับแรกของประเทศขึ้นซึ่งเน้น การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมด้านชีวภาพเป็นหลัก เรียกว่า “National Research Strategy BioEconomy 2030” มีวิสัยทัศน์การพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพที่ยั่งยืนจากทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีอย่างเพียงพอ รวมถึงผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากทรัพยากรหมุนเวียน โดยการสนับสนุนเงินทุนเพื่อพัฒนางานวิจัยและสร้างเครือข่ายการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจชีวภาพ ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การสร้างความมั่นคงด้านอาหาร การพัฒนาระบบการเกษตรที่ยั่งยืน การผลิตอาหาร ปลอดภัยและเป็นประโยชน์การส่งเสริมการใช้วัตถุดิบจากทรัพยากรหมุนเวียนในภาคอุตสาหกรรม และการพัฒนาพลังงานจากชีวมวล แผนภำพที่ ๒-๔ หน่วยงานวิจัยด้านเศรษฐกิจชีวภาพในเยอรมนี ที่มา : Federal Minister for Education and Research, Germany (2011) สหรัฐอเมริกาได้ให้ความส าคัญอย่างมากกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะที่อาศัย ความก้าวหน้าวด้านชีววิทยาศาสตร์เพื่อเป็นกลไกหลักในขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศ ซึ่งในปีพ.ศ. ๒๕๕๕ (๒๐๑๒) สหรัฐอเมริกาได้ประกาศ “National Bioeconomy Blueprint” เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพที่สามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีของประชากรชาวอเมริกัน และให้มีอายุยืนยาวมากขึ้น ลดการพึ่งพาน้ ามันปิโตรเลียม ขจัดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ปรับกระบวนการ ผลิต และยกระดับผลิตภาพและความเข้มแข็งของภาคการเกษตร ตลอดจนสร้างการจ้างงาน และเกิดอุตสาหกรรมใหม่เพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์สรุปได้ดังนี้ ๑. สนับสนุนการลงทุนด้าน R&D เพื่อสร้างรากฐานที่เข้มแข็งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ ในอนาคต โดยการให้ทุนงานวิจัย โดยเฉพาะงานวิจัยที่มีความเสี่ยงสูงแต่ให้ผลตอบแทนสูง และงานวิจัย ที่ต้องใช้องค์ความรู้จากหลากหลายสาขาวิชา รวมถึงการบูรณาการการท างานร่วมกันระหว่างหลายหน่วยงาน เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีพื้นฐานที่เกิดใหม่ เช่น ชีววิทยาสังเคราะห์(synthetic biology) ชีวสารสนเทศ (bioinformatics)


๑๒ ๒. ส่งเสริมการต่อยอดงานวิจัยสู่การผลิตเชิงพาณิชย์โดยการร่วมลงทุนระหว่างภาคเอกชน และหน่วยงานวิจัยในการน าผลงานวิจัยไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด โดยเฉพาะงานวิจัย ด้านยารักษาโรคที่น าไปทดลองใช้กับผู้ป่วยจริง (translational science) และงานวิจัยด้านการก ากับ ดูแลยา (regulatory science) เช่น เครื่องมือเฝ้าระวังและติดตามผลจากการใช้ยา รวมถึงการใช้ มาตรการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐเพื่อกระตุ้นความต้องการของตลาดผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพให้เพิ่มมากขึ้น ๓. ปรับปรุงกฎระเบียบที่ล้าสมัยและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ โดยเฉพาะกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสุขภาพของผู้บริโภค การรักษาสิ่งแวดล้อม และการลดความเสี่ยง จากความผิดพลาดทางเทคโนโลยีโดยการพิจารณาทบทวนร่วมกันระหว่างภาครัฐและผู้มีส่วนได้เสีย ในการปรับแก้กฎระเบียบให้เกิดความคล่องตัวและเอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น เช่น อ านาจหน้าที่ ของหน่วยงานรับผิดชอบที่ชัดเจน กระบวนการที่ไม่ซับซ้อน เพื่อลดระยะเวลาและค่าใช้จ่าย ในการด าเนินการด้านกฎระเบียบของผู้ประกอบการ ๔. พัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมที่ทันสมัยและตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งจะเน้นการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีวิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ตั้งแต่ระดับปฐมวัย จนถึงระดับอุดมศึกษา และการพัฒนาทักษะฝีมือที่จ าเป็นต่อการท างานในอนาคต โดยการสนับสนุน ให้ภาคอุตสาหกรรมมีส่วนร่วมในการฝึกอบรมนักเรียนนักศีกษาร่วมกับสถาบันการศึกษาทุกระดับชั้น ขณะเดียวกันรัฐบาลจะให้สิทธิประโยชน์แก่สถาบันการศึกษาที่มีการปฏิรูปโปรแกรมการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับทิศทางความต้องการแรงงานด้านเศรษฐกิจชีวภาพ ๕. ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา เพื่อแบ่งปันข้อมูล และประสบการณ์ความส าเร็จ/ความล้มเหลวในการท างาน และเพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากร และผู้เชี่ยวชาญในการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ร่วมกัน ประเทศบราซิลเป็นประเทศผู้น าด้านการผลิตพลังงานชีวภาพ แต่ปัจจุบันบราซิลยังไม่มีนโยบาย การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพโดยเฉพาะของประเทศ อย่างไรก็ดีรัฐบาลบราซิลได้ให้ความส าคัญ กับการผลักดันประเทศสู่เศรษฐกิจชีวภาพ โดยบรรจุเป็นหนึ่งในประเด็นหลักภายใต้มาตรการ “National Strategy for Science, Technology and Innovation” ซึ่งเน้นการส่งเสริมและพัฒนา เทคโนโลยีชีวภาพและเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างยั่งยืนเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงการสนับสนุนการวิจัยในสาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหาร ชีวเภสัชภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพส าหรับ อากาศยาน นอกจากนี้ได้มีการวางนโยบายเชื้อเพลิงชีวภาพระดับชาติเรียกว่า RenovaBio เพื่อเพิ่มปริมาณความต้องการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพทั้งหมดในบราซิล ได้แก่ เอทานอล ไบโอดีเซล และไบโอมีเทน น าไปสู่การสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศ มาเลเซียนับเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ก าหนดกลยุทธ์เชิง นโยบาย แบบองค์รวมด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ โดยในปีพ.ศ. ๒๕๔๘ (๒๐๐๕) รัฐบาลมาเลเซียได้ ประกาศ “National Biotechnology Policy” เพื่อยกระดับการเติบโตของเศรษฐกิจในสาขาเป้าหมาย คือ การเกษตร การแพทย์และบริการเพื่อสุขภาพ และการผลิตระดับอุตสาหกรรม ซึ่งแบ่งการด าเนินงาน ออกเป็น ๓ ระยะ สรุปได้ดังนี้ ระยะที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๕๓ (๒๐๐๕-๒๐๑๐) กำรเสริมสร้ำงขีดควำมสำมำรถ (Capacity Building) เน้นการสร้างกลไกขับเคลื่อน เช่น สภาที่ปรึกษาทางธุรกิจ องค์กรส่งเสริม การลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์เครื่องมือ


๑๓ การท าวิจัยที่ทันสมัย การสร้างบุคลากร การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ การพัฒนาธุรกิจ และการสร้าง ตราสินค้าของประเทศ โดยในระยะนี้มาเลเซียได้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้น าด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ในภูมิภาค ระยะที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ (๒๐๑๑-๒๐๑๕) กำรปรับเปลี่ยนงำนวิจัยสู่ธุรกิจ (Science to Business) เน้นการสร้างผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนายาจากความหลากหลายทาง ชีวภาพและทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในประเทศ การจัดหาเทคโนโลยีการส่งเสริมการลงทุน จากต่างประเทศ การพัฒนาสินค้าใหม่ การสร้างความเข้มแข็งให้กับตราสินค้าทั้งตลาดในประเทศ และตลาดโลก ระยะที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๓ (๒๐๑๖-๒๐๒๐) กำรสร้ำงธุรกิจระดับโลก (Global Business) เน้นการยกระดับศักยภาพของผู้เชี่ยวชาญและความเข้มแข็งด้านการวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีชีวภาพ การสร้างรายได้จากธุรกิจของประเทศในตลาดโลก และการเป็นเจ้าของเทคโนโลยี สมัยใหม่ (Cutting edge technology) โดยในระยะนี้มาเลเซียได้ตั้งเป้าหมายที่จะก้าวสู่การเป็นผู้น า ด้านเทคโนโลยีชีวภาพของโลก ทั้งนี้รัฐบาลมาเลเซียได้จัดตั้ง Malaysian Bioeconomy Development Corporation ซึ่งถือหุ้นโดยกระทรวงการคลัง และอยู่ภายใต้การก ากับดูแลของ Biotechnology Implementation Council เพื่อท าหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยการส่งเสริมให้เกิดการลงทุน ด้านเทคโนโลยีชีวภาพในประเทศ ทั้งในเชิงวิจัยพัฒนาและในเชิงพาณิชย์รวมถึงการสนับสนุน ด้านเงินทุนในรูปแบบของการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลและเอกชน และการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ผ่านโครงการส าคัญ อาทิBioNexus Status ซึ่งผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับสาขา เป้าหมายทั้งสามและผ่านเกณฑ์การคัดเลือกให้ได้สถานะ BioNexus จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและ การบริการให้ค าปรึกษาทั้งด้านการเงินการคลัง ด้านข้อกฎหมาย และด้านการจ้างแรงงาน ซึ่งข้อมูลล่าสุด ณ ปีพ.ศ. ๒๕๕๙ (๒๐๑๖) พบว่ามีผู้ประกอบการที่ได้สถานะ BioNexus จ านวน ๒๗๘ ราย เกิดมูลค่าการลงทุนรวม ๓,๔๙๗.๒ ล้านริงกิต หรือประมาณ ๒๙,๘๐๐ ล้านบาท โดยมีตัวอย่าง ผู้ประกอบการ BioNexus Status (แผนภาพที่ ๒-๕) เช่น บริษัท Bio Alpha จ ากัด ผู้ผลิตอาหารฟังค์ชัน นอลและอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ บริษัท StemLife จ ากัด ผู้ให้บริการค าปรึกษาด้านสเต็มเซลล์บ าบัด บริษัท Bio Tree Biotechnology จ ากัด ผู้ผลิตเอนไซม์จากพืชผักผลไม้อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ แผนภำพที่ ๒-๕ ตรา BioNexus Status และตัวอย่างสินค้าและบริการของผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี ชีวภาพที่ได้รับสถานะ BioNexus ที่มา : http://bioa.com.my/https://www.stemlife.com/en/ และhttps://www.biotreebiotechnology.com/


๑๔ จีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตพื้นที่ที่เป็น Biodiversity Hotspot ท าให้มีความได้เปรียบ ด้านความหลากหลายทางชีวภาพสูง ประกอบกับรัฐบาลได้ให้ความส าคัญในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ชีวภาพเพื่อการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้จีนเป็นหนึ่งในประเทศต้นแบบที่มีการเติบโต ทางเศรษฐกิจชีวภาพอย่างรวดเร็ว โดยได้มีการบรรจุเศรษฐกิจชีวภาพเป็นวาระส าคัญในแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคม ระยะ ๕ ปีของจีน ตั้งแต่ฉบับที่ ๑๑ เป็นต้นมา และล่าสุดในฉบับที่ ๑๓ ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๓ (2016 – 2020) ได้มุ่งเน้นถึงการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเป็นกลไกหลักในการพัฒนา ความยั่งยืนของประเทศ ซึ่งภายใต้แผนฉบับดังกล่าวประกอบด้วยแผนย่อยด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีชีวภาพ อาทิด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเกิดใหม่ ด้านการพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรม และด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนการวิจัย และพัฒนาต่อ GDP ของประเทศ การเพิ่มจ านวนสิทธิบัตรด้านเทคโนโลยีชีวภาพ การเพิ่มการจ าหน่าย ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ รวมถึงการลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ จากตัวอย่างนโยบายและมาตรการที่เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศ ต้นแบบ โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีลักษณะแนวนโยบายแบบองค์รวมที่ครอบคลุมการด าเนินงานทุกมิติ ทั้งการสนับสนุนการวิจัยนวัตกรรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างขีดความสามารถ การส่งเสริม การตลาด การกระตุ้นอุปสงค์และการปรับปรุงกฎระเบียบและยกระดับมาตรฐาน (แผนภาพที่ ๒-๖) โดยตารางที่ ๒-๑ แสดงถึงทิศทางเป้าหมายและนโยบายมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ ชีวภาพของประเทศต้นแบบ แผนภำพที่ ๒-๖ ลักษณะแนวนโยบายและมาตรการที่เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศต้นแบบ ที่มา: German Bioeconomy Council (๒๐๑๕)


๑๕ ตำรำงที่ ๒-๑ สรุปทิศทางเป้าหมายและนโยบายมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ ของประเทศต้นแบบ ประเทศต้นแบบ นโยบายมาตรการที่เกี่ยวข้อง เป้าหมายการพัฒนา เยอรมนี • Bioeconomy ๒๐๓๐ Research Strategy • Bioeconomy Policy Strategy การวิจัยเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร การ พัฒนาเกษตรยั่งยืนและอาหารเพื่อสุขภาพ การพัฒนาพลังงานชีวภาพ การส่งเสริม การใช้พลังงานหมุนเวียนใน ภาคอุตสาหกรรม สหรัฐอเมริกา • Bioeconomy Blueprint • ๒๐๑๔ Farmbill การพัฒนาด้านการแพทย์และสุขภาพ ด้านพลังงาน ด้านการเกษตร และด้าน สิ่งแวดล้อม โดยอาศัยความก้าวหน้าทาง วิทยาศาสตร์ชีวภาพ บราซิล • National Strategy for Science, Technology and Innovation • Biotechnology Strategy • PAISS การพัฒนาด้านพลังงานชีวภาพ และ ด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง และ การส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว มาเลเซีย • National Biotechnology Policy • National Biomass Strategy ๒๐๒๐: New Wealth Creation for Malaysia’s Palm Oil Industry • Bioeconomy Transformation Programme • National Biomass Straetgy การพัฒนาด้านการเกษตร ด้านการแพทย์ และอาหารเสริมสุขภาพ ด้านพลังงาน หมุนเวียน และด้านเคมีชีวภาพ จีน • ๑๒th Five-year Plan (๒๐๑๑- ๒๐๑๕) on Agricultural Science and Technology Development • ๑๒th Five-year Plan for National Strategic Emerging Industries • Bioindustry Development Plan การพัฒนาด้านการแพทย์และสุขภาพ ด้านพลังงานทดแทน ด้านการเกษตร และ ด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ โดยอาศัยการใช้ ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่าง ยั่งยืนควบคู่กับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ของประเทศ ที่มา: German Bioeconomy Council (2015)


๑๖


๑๗ บทที่ ๓ อุตสำหกรรมเศรษฐกิจชีวภำพของประเทศไทย ๓.๑ กำรขับเคลื่อนกำรพัฒนำเศรษฐกิจชีวภำพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio – Circular – Green Economy : BCG Model) เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๔ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้การขับเคลื่อนการพัฒนา เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio – Circular – Green Economy : BCG Model) : โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่ปี ๒๕๖๔ เป็นต้นไป และให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐพิจารณาก าหนดและด าเนินแผนงาน/โครงการต่าง ๆ เพื่อให้การ ขับเคลื่อนวาระแห่งชาติในเรื่องนี้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วและยั่งยืน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้จัดท ายุทธศาสตร์ การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ โดยได้ระบุถึงสภาพปัญหา ในการพัฒนาเศรษฐกิจในอดีตว่าประเทศไทยยังใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างหลากหลาย ซึ่งควรเป็นจุดแข็งของประเทศอย่างไม่มีประสิทธิภาพ มีลักษณะแบบ “ท ามากแต่ได้น้อย” ซึ่งสุดท้ายแล้ว การพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบนี้ก็ส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสุขภาพ ฯลฯ ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้ทรัพยากร อย่างเต็มที่ ซึ่งก็น าไปสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ าในภาคส่วนต่าง ๆ และปัญหาการพึ่งพาภาคเศรษฐกิจ ระหว่างประเทศในระดับสูง ส่งผลให้ประเทศไทยไม่สามารถก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น จ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้จุดแข็งของประเทศด้านทรัพยากร โดยเฉพาะความหลากหลายทางชีวภาพและทางวัฒนธรรมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ปรับเปลี่ยนรูปแบบ การพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นแบบ “ท าน้อยแต่ได้มาก” สร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดตลอดห่วงโซ่ การผลิตสินค้า และบริการด้วยการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม กระทรวง อว. จึงได้เสนอ BCG Model ซึ่งเป็นการพัฒนา ๓ เศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยมุ่งเน้น การพัฒนาใน ๔ สาขายุทธศาสตร์คือ สาขาการเกษตรและอาหาร สาขาสุขภาพและการแพทย์ สาขาพลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และสาขาการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ นอกจากนี้ รัฐบาล ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการผลักดัน BCG Model ด้วยการออกค าสั่งส านักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๒๕/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ แต่งตั้งคณะกรรมการทั้งหมด ๒ คณะ ได้แก่ คณะกรรมการ บ ริห า ร ก า ร พั ฒ น า เ ศ ร ษ ฐ กิ จ ชี ว ภ า พ เ ศ ร ษ ฐ กิ จ ห มุ น เ วี ย น แ ล ะ เ ศ ร ษ ฐ กิ จ สี เ ขี ย ว ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีหน้าที่ก าหนดแนวทางและยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนตามนโยบาย การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG และคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เป็นประธาน มีหน้าที่จัดท าแผนงานการขับเคลื่อนตามนโยบาย การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG และก าหนดกลไกการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG การลงทุนโครงสร้าง พื้นฐาน การพัฒนาก าลังคน การพัฒนาระบบนิเวศ การปรับแก้หรือพัฒนากฎหมายและมาตรการ ให้เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG


๑๘ แนวคิดทั้ง๓ เรื่อง ไม่ว่าเรื่องเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนหรือเศรษฐกิจสีเขียวล้วนแล้วแต่ ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งปรากฏในโลกแต่อย่างใด แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวสามารถพิจารณาย้อนกลับ ไปได้ตั้งแต่หลายสิบปีที่แล้ว ซึ่งแต่ละแนวคิดก็มีพัฒนาการในตัวเองและมีความประสาน สอดคล้องซึ่งกันและกัน Birner (2018) ได้ศึกษาต้นก าเนิดและวิวัฒนาการของแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ ซึ่งแนวคิดนี้ ได้มีการน าเสนอตั้งแต่ราวปี ค.ศ. ๑๙๖๐ แม้ว่าความหมายและขอบเขตของแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่รากฐานของแนวคิดยังคงอยู่ที่การใช้ทรัพยากรชีวภาพที่มีอยู่ ในท้องถิ่นเพื่อการขับเคลื่อนให้เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยแนวคิดในปัจจุบันได้มุ่งเน้น ให้มีการใช้องค์ความรู้ การวิจัยพัฒนา และนวัตกรรมในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรชีวภาพ และการน าทรัพยากรชีวภาพเหล่านั้นมาด าเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในท านองเดียวกัน แนวคิดของเศรษฐกิจหมุนเวียนก็เริ่มมีการพูดถึงตั้งแต่ราวปี ค.ศ. ๑๙๖๐ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นานาชาติเริ่มให้ความสนใจเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อม แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน มีจุดเริ่มต้นจากการบริหารจัดการวัสดุและทรัพยากรเหลือใช้หรือขยะจากกระบวนการผลิตภายใน โรงงานอุตสาหกรรม ต่อมาแนวคิดได้ขยายขอบเขตมายังการบริโภคให้สามารถน าขยะจากการบริโภค มาใช้ได้ใหม่ (recycle) ดังนั้น ทั้งวัสดุที่เหลือทิ้งจากการผลิตและการบริโภคจะสามารถน ามาสร้างคุณค่า ได้ใหม่ หมุนเวียนเป็นวงจรต่อเนื่องโดยไม่มีของเสีย แนวคิดนี้ยิ่งได้รับการตอบรับในยุคปัจจุบันที่หลาย ๆ ประเทศเกิดปัญหาวิกฤตการขาดแคลนทรัพยากร ปัญหาการจัดการขยะ และปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งแนวคิดของเศรษฐกิจหมุนเวียนจะช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติได้ อย่างมีประสิทธิภาพ (Blomsma and Brennan, 2017) แนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวและการพัฒนาอย่างยั่งยืนก็ได้รับการพัฒนามาจากสองแนวคิดข้างต้น โดยตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. ๑๙๖๐ ที่ทั่วโลกเกิดการตื่นตัวเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้สารเคมีที่มี ต่อระบบนิเวศและสภาพแวดล้อม จนน าไปสู่การประชุมสหประชาชาติเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่กรุงสต๊อกโฮม ประเทศสวีเดน ในปี ค.ศ. ๑๙๗๒ และมีการจัดตั้งโครงการสิ่งแวดล้อมแห่ง สหประชาชาติ (United Nations Environment Programme : UNEP) ในปีเดียวกัน โดย UNEP ท าหน้าที่ก าหนดวาระด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก และส่งเสริมการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืน จนกระทั่งปี ค.ศ. ๒๐๐๙ UNEP ได้ออกเอกสารทางวิชาการชื่อ Rethinking the Economic Recovery : A Global Green New Deal ซึ่งได้ระบุถึงปัญหาของการที่ทั่วโลกมุ่งพัฒนาโดยละเลยผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม ส่งผลให้เกิดวิกฤติในด้านต่าง ๆ ซึ่ง UNEP เสนอให้ประเทศต่าง ๆ ควรปฏิรูปการลงทุนใน ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นสินค้าสาธารณะ โดยใช้กลไกราคาเพื่อเป็นจุดเริ่มต้น ในการเปลี่ยนผ่านการพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยให้นิยามของเศรษฐกิจสีเขียวว่าเป็นเศรษฐกิจ ที่จะน าพาประเทศต่าง ๆ ไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นธรรมของสังคม อีกทั้งยังช่วย ลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและการขาดแคลนเชิงนิเวศได้ (Barbier, 2009) รัฐบาลไม่ได้เพิ่งมาตระหนักถึงความส าคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ รักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยรัฐบาลได้ให้ความส าคัญกับเรื่องนี้มานานแล้ว ดังจะเห็นได้จาก การบรรจุประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ BCG ตั้งแต่ระดับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี แผนการปฏิรูปประเทศ และแผนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) ได้ตระหนักถึงปัญหาการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่ยังไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่างเต็มที่


๑๙ ส่งผลให้ผลิตภาพการผลิตของภาคเกษตรและภาคบริการอยู่ในระดับต่ า จึงได้ก าหนดวิสัยทัศน์ การพัฒนาว่า “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” โดยก าหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศทั้งสิ้น ๖ ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่นคง ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพ ทรัพยากรมนุษย์ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพ ชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ซึ่งมีแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติทั้งหมด ๒๓ แผนในการถ่ายทอดเป้าหมายและประเด็น ยุทธศาสตร์ลงสู่แผนระดับต่าง ๆ และได้มีการเน้นย้ าความส าคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG ซึ่งได้ปรากฏในแผนแม่บทฯ อาทิ การพัฒนาให้เกษตรชีวภาพมีมูลค่าสูงขึ้นด้วยการใช้นวัตกรรม จากภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยีที่ค านึงถึงสิ่งแวดล้อมเพื่อการแปรรูปสินค้าจากความหลากหลาย ทางชีวภาพ การส่งเสริมให้มีการน าวัตถุดิบเหลือทิ้งทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม และพลังงานที่เกี่ยวเนื่องกับชีวภาพ การท าระบบฟาร์มอัจฉริยะ การสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบชีวภาพ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพอย่างบูรณาการตลอดทั้งห่วงโซ่มูลค่า การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรมด้วยการใช้ความหลากหลายทางทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตเพื่อสร้างคุณค่าให้กับสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว การสร้างการเติบโต อย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียวด้วยการอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ส าหรับแผนการปฏิรูปประเทศซึ่งได้มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ได้ตระหนักถึงการใช้ฐานทรัพยากรรองรับการพัฒนาประเทศ ทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว และต้องการยกระดับภาคเกษตร อุตสาหกรรม บริการ และการวิจัยพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยได้ก าหนดให้ มีการปฏิรูปประเทศ ๑๓ ด้าน และมีการคัดเลือกกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ต่อประชาชนอย่างมีนัยส าคัญ (Big Rock) ทั้งสิ้น ๖๒ กิจกรรม ซึ่งต้องด าเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ในช่วงปี ๒๕๖๔ - ๒๕๖๕ อีกทั้งยังก าหนดให้มีการปรับปรุงพัฒนากฎหมายอีก ๔๕ ฉบับ โดยในจ านวน กิจกรรม Big Rock และกฎหมายที่จ าเป็นต้องปรับปรุงพัฒนานี้ ได้มีการเน้นย้ าความส าคัญในการพัฒนา เศรษฐกิจ BCG ในประเด็นต่าง ๆ อาทิ การสร้างเกษตรมูลค่าสูงและการสร้างผลิตภัณฑ์อาหารมูลค่าสูง ด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม การส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูง เช่น การท่องเที่ยว เชิงสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพและทักษะก าลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และบริการเป้าหมาย การสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรปิโตรเลียมเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ เศรษฐกิจหมุนเวียน และการสร้างอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคตในส่วนของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) ก็เช่นกัน แผนฉบับนี้ได้ตระหนักเป็นอย่างยิ่ง ว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ ากว่าศักยภาพอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายปี การพัฒนาตามแผนฯ นี้ จึงได้ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนา ประเทศ ๑๐ ด้าน มีประเด็นการพัฒนาหลักที่ส าคัญในการส่งเสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกิจกระแส ใหม่ เช่น เศรษฐกิจชีวภาพ และเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม การพัฒนานวัตกรรมและการน า ความคิดสร้างสรรค์มาใช้เพิ่มมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจทั้งในเรื่องกระบวนการผลิต การบริการ ตลอดจน การสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ การปรับโครงสร้างการผลิตโดยเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับ ปัจจัยพื้นฐานและการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจโดยการใช้เทคโนโลยีวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรม


๒๐ การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในแต่ละช่วงของห่วงโซ่มูลค่า การเพิ่มศักยภาพฐานการผลิตและบริการ เดิมที่มีศักยภาพในปัจจุบันให้ต่อยอดไปสู่ฐานการผลิตและบริการที่ใช้เทคโนโลยีที่เข้มข้นและมีนวัตกรรมมากขึ้น ดังนั้น การที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติยกเอาเรื่องการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ จึงเป็นการตอกย้ าให้เห็นถึงความส าคัญ ในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป ว่าจะมุ่งเน้นในการน าเอาจุดแข็ง ของประเทศที่มีความหลากหลายในด้านต่าง ๆ ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ ชีวภาพ และวัฒนธรรม มาประสานกับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม สูงสุด มีประสิทธิภาพสูงสุด และมีความยั่งยืนมากที่สุด นอกจากการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG จะส่งผลดีต่อธุรกิจ ผู้ประกอบการ และแรงงานทั้งประเทศ ตลอดห่วงโซ่อุปทานแล้ว ยังส่งผลดีอย่างยิ่งต่อกลุ่มเป้าหมายหลักใน ๔ สาขายุทธศาสตร์ อย่างแรกสุด อย่างที่เราทราบกันดีว่าภาคการเกษตรของประเทศไทยเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เนื่องจากมี จ านวนเกษตรกรและกลุ่มแรงงานตลอดจนผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องอยู่กว่าสิบล้านคน แต่มูลค่า ทางเศรษฐกิจหรือรายได้ของประเทศที่เกิดขึ้นจากภาคเศรษฐกิจนี้ยังอยู่ในระดับต่ า การเพิ่มปริมาณ ผลผลิตต้องแลกมาด้วยการใช้ทรัพยากรเป็นจ านวนมาก เกิดความไม่คุ้มค่าและเสื่อมโทรมของ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาภาคการเกษตรด้วยโมเดล BCG จะช่วยปรับปรุงการผลิต สินค้าเกษตรและอาหารไปสู่สินค้าระดับพรีเมี่ยมที่ผลิตน้อย ใช้ทรัพยากรน้อยแต่สร้างมูลค่าได้สูง เพิ่มความหลากหลายของผลผลิตทางการเกษตรเพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาดเพื่อผลสุดท้ายน าไปสู่ การยกระดับเกษตรกรรายย่อยที่มีอยู่เป็นจ านวนมากให้เข้าสู่วิสาหกิจหรือธุรกิจการเกษตรที่เชื่อมต่อ กับอุตสาหกรรม ท าให้เกิดการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมตลอดห่วงโซ่การผลิต ประเทศเกิดการปรับ โครงสร้างภาคการผลิตให้สามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้นในขณะเดียวกันก็มีภูมิคุ้มกันจากผลกระทบ ภายนอกมากขึ้น ส าหรับด้านสุขภาพและการแพทย์ กระแสการเกิดขึ้นและขยายตัวของอุตสาหกรรมด้านนี้ เป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก เนื่องจากมีมูลค่าเพิ่มสูงมากเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกทั้งในขณะที่ หลาย ๆ อุตสาหกรรมต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางธุรกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางการ แข่งขันทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วและรุนแรง และการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ยิ่งไปกว่านั้น ภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ก าลังอยู่ในภาวะซบเซา ชะลอตัวจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ปรากฏว่าธุรกิจให้บริการด้านการแพทย์ และสุขภาพกลับมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG จะช่วยรองรับ การขยายตัวของอุตสาหกรรมนี้ด้วยการใช้ศักยภาพที่ประเทศไทยมีอย่างเต็มที่ ประเทศไทยจะสามารถ ผลิตยาและเวชภัณฑ์ วัคซีน อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จ าเป็นได้เองและลดการน าเข้าไปในตัว เกิดการขยายบริการด้านสุขภาพไปสู่การให้บริการทางการแพทย์เฉพาะบุคคลด้วยการใช้ประโยชน์ จากข้อมูลพันธุกรรม ซึ่งสุดท้ายแล้วจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการเจริญเติบโตใน GDP อย่างมาก ก้าวข้ามความเป็นประเทศรายได้ปานกลางด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างสมบูรณ์แบบ ส าหรับสาขาพลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ เพื่อให้เป็นไปตามแนวโน้มของโลกที่ต้องการ เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน พลังงานทางเลือก เศรษฐกิจ BCG จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มด้วย การพัฒนานวัตกรรมการผลิตพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถรองรับของเสียจากกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นขยะจากอุตสาหกรรม ครัวเรือน ตลอดจนของเหลือทิ้งทางการเกษตร ให้สามารถน ากลับมา


๒๑ ใช้ใหม่ได้ในรูปของพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานทดแทน ซึ่งจะน าไปสู่การสร้างโรงไฟฟ้าชุมชน ที่มีแหล่งพลังงานทดแทนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น พลังงานจากแสงอาทิตย์ ขยะ ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ ซึ่งโรงไฟฟ้าชุมชนจะช่วยสร้างรายได้จากการขายไฟฟ้าให้กับชุมชนทั่วทั้งประเทศ ในส่วนของการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์นั้น เศรษฐกิจ BCG จะมุ่งเน้นในการ พัฒนาการท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืนโดยใช้จุดแข็งเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม และทุนทางปัญญา น ามาสร้างอัตลักษณ์ของการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ อันเป็นการ ยกระดับการท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรองไปพร้อมกัน การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่จะเน้นตลาด คุณภาพ สร้างมาตรฐาน ความสะดวก สะอาด ปลอดภัย โดยน าเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้บริหาร จัดการและดูแลทั้งนักท่องเที่ยว และทรัพยากรการท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ มีการจัดท ามาตรฐานการท่องเที่ยวตามขีดความสามารถในการรองรับของแหล่งท่องเที่ยว มีการพัฒนา สินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวให้สร้างสรรค์และมีอัตลักษณ์ตามแต่ละท้องถิ่น ซึ่งเมื่อทรัพยากร การท่องเที่ยวมีลักษณะการใช้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และยั่งยืนแล้ว รายได้ที่ชุมชนและผู้ประกอบการ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวก็จะยั่งยืนด้วยเช่นกัน สรุปแล้วการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายทั้งเรื่อง ๑) การเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับรายได้ของประชากร โดยคาดว่ามูลค่า GDP ของเศรษฐกิจ BCG จะเพิ่มขึ้นอีกกว่า ๑ ล้านล้านบาท ครัวเรือนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น เกิดการจ้างงาน เพิ่มขึ้นอีกกว่า ๓.๕ ล้านคน ท าให้ความเหลื่อมล้ าทางรายได้ของผู้ที่อยู่ในเศรษฐกิจฐานรากลดลง ๒) การสร้างความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ และพลังงาน อันเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ให้ดีขึ้น โดยคาดว่าปัญหาการขาดแคลนอาหารและทุพโภชนาการจะต่ าลง คนไทยสามารถเข้าถึงยา และเวชภัณฑ์ได้มากขึ้น การใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีมากขึ้น และ ๓) การสร้าง ความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยคาดว่ามลพิษสิ่งแวดล้อมทั้งฝุ่น PM ๒.๕ ขยะ น้ าเสีย จะลดลง ทรัพยากรธรรมชาติได้รับการฟื้นฟู การท่องเที่ยวมีระบบบริหารจัดการเพื่อสร้างความยั่งยืน ในการใช้ทรัพยากรการท่องเที่ยว เป็นต้น ๓.๒ วิสัยทัศน์อุตสำหกรรมชีวภำพของไทย วิสัยทัศน์อุตสาหกรรมชีวภาพของไทยใน ๒๐ ปีคือ ประเทศไทยก้าวสู่ผู้น าอุตสาหกรรม ชีวภาพอย่างครบวงจรในระดับโลก มีเป้าหมาย ๓ ประการ คือ ๑) สร้างอุตสาหกรรมชีวภาพให้เป็น อุตสาหกรรมหลักในการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าเกษตร ๒) สร้างความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรม ชีวภาพบนพื้นฐานของเทคโนโลยีและนวัตกรรมของชาติ ด้วยการมีศูนย์วิจัยจุลินทรีย์เพื่อผลิตเอนไซม์ ด้วยเทคโนโลยีของตนเอง และพัฒนาเทคโนโลยี 2G (Cellulosic) เชิงพาณิชย์ และ ๓) ปฏิรูปโครงสร้าง อุตสาหกรรมของประเทศด้วยสินค้าจากอุตสาหกรรมชีวภาพเพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ โดยมีวิธีการ คือ ในระยะเร่งด่วน (ปี ๒๐๑๕-๒๐๑๖) บรรจุเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ให้คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) พิจารณาเป็นวาระเร่งด่วน ในระยะยาว (ปี๒๕๑๗-๒๐๓๕) ให้จัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อบูรณาการ การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ ครอบคลุมทั้งด้านนโยบายระยะยาวการส่งเสริมการลงทุน การวิจัยพัฒนา และนวัตกรรมด้านสินค้าส าเร็จรูปและการพัฒนาด้านตลาดสินค้าชีวภาพ พัฒนาอุตสาหกรรมสินค้า ชีวภาพเป็นแผนหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยก าหนดเป็น “วาระแห่งชาติ” และส่งเสริม


๒๒ ให้เอกชนเป็นองค์กรหลักในการผลักดันการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพ โดยมีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน ด้านนโยบายและความช่วยเหลือในระยะต้น ส าหรับยุทธศาสตร์ของคณะอนุกรรมการการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีวภาพ ในระยะเร่งด่วน ปี ๒๐๑๕-๒๐๑๖ มี ๔ ด้าน ได้แก่ ๑. ยุทธศาสตร์ด้านนโยบาย (Policy and Regulation) มีมาตรการเกื้อหนุนและลดอุปสรรค ด้านนโยบายและกฎระเบียบ โดยแก้พระราชบัญญัติอ้อยและน้ าตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ให้น้ าเชื่อมเข้มข้น (High Test Molass) ที่จะใช้เป็นวัตถุดิบใน Bio Hub เข้ าระบบแบ่งปันผลประโยชน์ ๗๐:๓๐ และการออกแบบใบอนุญาตขอตั้งโรงน้ าตาลที่จะสร้างใหม่ให้พิจารณาโรงงานแปรรูปอ้อยที่ Integrate กับ Bio Hub เป็นอันดับแรก ๒. ยุทธศาสตร์ด้านการลงทุน (Investment Support) สนับสนุนผู้ลงทุนหน่วยผลิตแกนกลาง ผู้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภครองรับหน่วยผลิตต่อเนื่อง โดยสนับสนุนผู้ลงทุนหน่วยผลิต แกนกลางเป็นล าดับแรก ด้วยการให้รัฐสนับสนุนการจัดหาพื้นที่ส าหรับการจัดตั้ง Bio Hub โดยเอกชน เป็นผู้ลงทุน ให้รัฐและเอกชนร่วมกันพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคใน Bio Hub และให้การลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรด้วยเทคโนโลยีชีวภาพได้รับการส่งเสริมการลงทุน สูงสุดจาก BOI ๓. ยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยี (Research Development and Innovation) ผลักดัน ให้ประเทศไทยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเป็นของตัวเอง โดยรัฐสนับสนุนการจัดการเทคโนโลยีจุลินทรีย์ เพื่อการผลิตเอนไซม์และการพัฒนาเทคโนโลยี 2G (Cellulosic) ของประเทศ ๔. ยุทธศาสตร์ด้านการตลาด (Market Leader) ผลักดันประเทศไทยเป็นผู้น าตลาดสินค้า ชีวภาพ โดยก าหนดให้บรรจุภัณฑ์อาหารใช้พลาสติกชีวภาพทดแทนโฟม ให้การจัดซื้อพลาสติกชีวภาพ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ร้อยละ ๒๐๐ ให้สนับสนุนการวิจัยพัฒนาสินค้าที่ผลิตจากพลาสติกชีวภาพ และให้ยกเลิกน้ ามันเชื้อเพลิง E10 โดยให้ กอช. ศึกษาและจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรม ชีวภาพแห่งชาติ พร้อมกับจัดตั้งส านักงานคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพแห่งชาติ (ส านักงานถาวร) เพื่อผลักดันให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพและเกิดอุตสาหกรรมชีวภาพขึ้น ในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพแห่งชาติ ในระยะยาว ปี๒๐๑๗-๒๐๓๕ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ ๔ ด้าน ได้แก่ ๑. ยุทธศาสตร์ด้านนโยบาย (Policy and Regulation) มีมาตรการเกื้อหนุนและลดอุปสรรค ด้านนโยบายและกฎระเบียบ โดยก าหนดนโยบายสนับสนุนการท า Contract Farming ขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มผลิตภาพภาคการเกษตร และเปิดเสรีการผลิต ขนส่ง การค้า และการใช้ประโยชน์เชื้อเพลิงชีวภาพ ๒. ยุทธศาสตร์ด้านการลงทุน (Investment Support) สนับสนุนผู้ลงทุนหน่วยผลิต แกนกลาง ได้แก่ โรงงานหีบและแปรรูปอ้อย โรงงานผลิตเอทานอล ไฟฟ้า/ไอน้ าจากชีวมวล ก๊าซชีวภาพ เคมีชีวภาพ (กรดแลคติก กรดซักซินิก BDO) และพลาสติกชีวภาพ (PLA, PBS) ๓. ยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยี (Research Development and Innovation) ผลักดัน ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ โดยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพส าหรับแปรรูป มันส าปะหลัง ผลผลิตเกษตรประเภทเส้นใยเป็นสินค้าชีวภาพ อีกทั้งจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เชื่อมโยงและสร้างเครือข่ายวิจัยร่วมตั้งแต่ระดับ Lab Scale, Pilot Plant


๒๓ และ Commercial Scale รวมถึง ส่งเสริมการวิจัยพัฒนาการบ าบัดของเสีย/น้ าเสีย ให้เป็นส่วนหนึ่ง ของการผลิตวัตถุดิบ และสนับสนุนการวิจัยพัฒนา/การผลิตในเชิงพาณิชย์ เพื่อน าชีวมวลไปเป็นวัตถุดิบ ในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ 2G (Cellulosic) ๔. ยุทธศาสตร์ด้านการตลาด (Market Leader) ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้น าตลาด สินค้าชีวภาพ โดยให้หน่วยงานราชการ/รัฐวิสาหกิจ เลือกให้สินค้าชีวภาพที่ผลิตในประเทศ อีกทั้งก าหนดสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ชีวภาพในบรรจุภัณฑ์ รวมถึง ก าหนดมาตรการแก้ไขปัญหาขยะ และสิ่งแวดล้อม โดยให้ผลิตภัณฑ์พลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้งต้องผลิตจากพลาสติกชีวภาพ พร้อมทั้งสนับสนุนให้ใช้ E85 เป็นเชื้อเพลิงหลักในพื้นที่ที่สร้าง Complex และพื้นที่ใกล้เคียง และยกเว้นภาษีสรรพสามิตน้ ามันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมเอทานอลมากกว่าร้อยละ ๒๐ ๓.๓ ควำมสอดคล้องและกำรเชื่อมโยงกับยุทธศำสตร์ชำติ แผนและนโยบำยของรัฐบำล อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทยถือเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่รัฐบาล ให้ความส าคัญเป็นอย่างยิ่งโดยก าหนดให้เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ของประเทศ ที่จะช่วยขับเคลื่อนเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการอาศัยข้อได้เปรียบ ด้านการเป็นแหล่งวัตถุดิบทางชีวภาพที่หลากหลายควบคู่กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าเกษตรและพัฒนาต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพอันจะน าไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ า กลางน้ า จนถึงปลายน้ า ช่วงที่ผ่านมาหลายหน่วยงานต่าง ๆ ได้มีการด าเนินการในระดับนโยบายเพื่อก าหนดกรอบ แนวทางการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศ ซึ่งมีความสอดคล้องและเชื่อมโยง ไปในทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์ชาติ๒๐ ปีแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติแผนปฏิรูปประเทศ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวมถึงนโยบายส าคัญของรัฐบาล และกรอบนโยบาย ยุทธศาสตร์แผน และมาตรการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)ของโลกและบริบทการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศสู่ยุค Thailand 4.0 ด้วย เทคโนโลยีและนวัตกรรม (แผนภาพที่ ๓-๑) แผนภำพที่ ๓-๑ ความสอดคล้องและเชื่อมโยงของกรอบนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทย ที่มา: ประมวลโดยส านักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม


๒๔ เมื่อพิจารณาความสอดคล้องระหว่างการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ชีวภาพของไทยกับยุทธศาสตร์ชาติ๒๐ ปี(พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ชาติฉบับแรก ของประเทศไทยที่ใช้เป็นกรอบในการจัดท าแผนนโยบายการพัฒนาต่าง ๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการ กันเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า มีความสอดคล้องในยุทธศาสตร์๒ ด้าน ซึ่งแต่ละด้านมีประเด็นยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ยุทธศำสตร์ที่ ๒ ด้ำนกำรสร้ำงควำมสำมำรถในกำรแข่งขัน ซึ่งมุ่งเน้นการยกระดับ ศักยภาพของประเทศในหลากหลายมิติโดยมีเป้าหมายการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน และมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ซึ่งประเด็น ยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ได้แก่ (๑) การเกษตรสร้างมูลค่า ด้วยการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยในการสร้างมูลค่าเพิ่ม ของภาคการผลิต และน าไปสู่การผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากฐานเกษตรกรรมและฐาน ทรัพยากรชีวภาพ และสร้างความมั่นคงของประเทศทั้งด้านอาหารและสุขภาพ และ (๒) อุตสาหกรรม และบริการแห่งอนาคต ด้วยการสร้างประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อต่อยอดจาก ภาคเกษตรไทยและมุ่งสู่อุตสาหกรรมบนฐานชีวภาพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงพลังงานชีวมวล โดยการเพิ่มสัดส่วนอุตสาหกรรมชีวภาพที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ได้แก่ ชีวเคมีภัณฑ์วัสดุชีวภาพ อาหารเสริม เวชส าอาง ชีวเภสัชภัณฑ์วัคซีน และสารสกัดจากสมุนไพร การเพิ่มการผลิตและส่งเสริมการใช้พลาสติก ชีวภาพ การแปลงของเหลือทิ้งจากการเกษตรและอุตสาหกรรมให้เป็นสารเคมีและพลังงานชีวภาพ ที่มีมูลค่า การใช้ประโยชน์จากวัตถุชีวมวลในการผลิตพลังงานไฟฟ้า การเน้นการวิจัยและพัฒนา และน าผลงานวิจัยมาใช้ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น ตลอดจนให้ความส าคัญกับระบบนวัตกรรมแบบเปิด เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพได้เร็วขึ้น ยุทธศำสตร์ที่ ๕ ด้ำนกำรสร้ำงกำรเติบโตบนคุณภำพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในทุกมิติทั้งมิติด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ธรรมาภิบาล และความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างบูรณา การ โดยมีวิสัยทัศน์เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดใน อาเซียน ภายในปีพ.ศ. ๒๕๘๐ ซึ่งประเด็นยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ชีวภาพ ได้แก่ (๑) สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียว ด้วยการเพิ่มมูลค่าของเศรษฐกิจ ฐานชีวภาพ และการส่งเสริมการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและ เ ป ลี่ ย น แ ป ลง พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร บ ริ โ ภ ค แ ล ะ ก า ร ผ ลิ ต วิ ธี คิ ด แ ล ะ วิ ถี ชี วิ ต ข อง บุ ค คล และองค์กรให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากที่สุด การสร้างการมี จิตส านึกในการผลิตที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการบริโภคอย่างพอเพียงและเป็น มิตรต่อสิ่งแวดล้อม (๒) สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจภาคทะเล ด้วยการเพิ่มมูลค่าของ เศรษฐกิจฐานชีวภาพทางทะเล การใช้ประโยชน์และการเข้าถึงทรัพยากร รวมถึงการผลิตและส่งออก ผลิตภัณฑ์ประมงมูลค่าสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (๓) สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมที่เป็นมิตร ต่อสภาพภูมิอากาศ ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างสังคมคาร์บอนต่ า รวมถึงการ สนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและ ภาคเอกชน และ (๔) พัฒนาความมั่นคงน ้า พลังงาน และเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการพัฒนา


๒๕ ค ว ามมั่นคงท างพลังง านอย่ างเป็นมิต รต่อสิ่งแ วดล้อม ส่งเส ริมก า รใช้พลังง านทดแทน และพลังงานทางเลือกที่ค านึงถึงการพัฒนาอย่างเหมาะสมให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มศักยภาพ และการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และพัฒนาความมั่นคง ทางการเกษตรและอาหารปลอดภัย การพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทยมีความสอดคล้องกับแผน แม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติใน ๓ ประเด็น ซึ่งแต่ละประเด็นมีแผนย่อยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ประเด็นที่ ๓ กำรพัฒนำกำรเกษตร ที่ให้ความส าคัญกับการท าเกษตรอุตสาหกรรม/การแปรรูป เกษตรที่มีมูลค่าเพิ่มสูง การเพิ่มผลิตภาพการผลิตโดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการใช้ ประโยชน์จากฐานทรัพยากรชีวภาพ ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยอาหาร ในแผนย่อยที่ ๓ เกษตรชีวภาพ ที่เน้นสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพเพื่อน าไปสู่ การผลิตที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเสริมและสนับสนุนการผลิต การแปรรูปและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ฐานชีวภาพและเชื่อมโยงสู่ภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่อง สนับสนุนให้มีการน าวัตถุดิบเหลือทิ้งทางการเกษตร มาใช้ในอุตสาหกรรมและพลังงานที่เกี่ยวเนื่องกับชีวภาพ ตลอดจนส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพร ให้เป็นพืชเศรษฐกิจเพื่อป้อนในตลาดอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สินค้าประเภทโภชนาเภสัช ผลิตภัณฑ์ประเภทเวชส าอาง และผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องส าอาง ประเด็นที่ ๔ อุตสำหกรรมและบริกำรแห่งอนำคต ที่ให้ความส าคัญกับการพัฒนาเป็นองค์รวม และการสร้างระบบนิเวศโดยเน้นการสร้างรากฐานและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออ านวยต่อการพัฒนา อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคตที่ประเทศไทยมีศักยภาพ ทั้งด้านบุคลากร และโครงสร้างพื้นฐาน ที่จ าเป็น รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมของตนเอง ในแผนย่อยที่ ๑ อุตสาหกรรมชีวภาพ ที่เน้นสนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบชีวภาพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ชีวเคมีภัณฑ์วัสดุชีวภาพ ชีวเภสัชภัณฑ์เวชส าอาง นวัตกรรมอาหารชีวภาพ สารสกัดสมุนไพร พลังงานชีวภาพ เป็นต้น พัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพอย่างบูรณาการตลอดห่วงโซ่มูลค่า โดยเชื่อมโยง กับอุตสาหกรรมเกษตรชีวภาพ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมแปรรูปชีวมวล เทคโนโลยีชีวภาพด้านการแพทย์และสุขภาพ และอุตสาหกรรมและบริการที่เกี่ยวเนื่อง พัฒนาคลัสเตอร์ อุตสาหกรรมชีวภาพในพื้นที่เหมาะสม สร้างและพัฒนาผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง กับเศรษฐกิจชีวภาพ สร้างความตระหนักรู้ในประโยชน์จากผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีชีวภาพ รวมถึงพัฒนามาตรการสร้างแรงจูงใจเพื่อส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการจากเศรษฐกิจฐานชีวภาพ และใช้กลไกการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้เกิดประโยชน์ ประเด็นที่ ๑๘ กำรสร้ำงกำรเติบโตอย่ำงยั่งยืน ที่ให้ความส าคัญกับการใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์ฟื้นฟูและสร้างใหม่ฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นรากฐานในการสร้าง การเติบโตทางเศรษฐกิจชีวภาพ รวมถึงการผลิตและการบริโภคเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในแผนย่อยที่ ๑ การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียว เน้นส่งเสริมการลงทุนและเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมไปสู่การผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน แผนย่อยที่ ๒ การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคม เศรษฐกิจภาคทะเล เน้นกิจกรรมทางทะเลที่หลากหลายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และประยุกต์ ใช้นวัตกรรมใหม่มาพัฒนาการประมงครบวงจร และแผนย่อยที่ ๓ การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน บนสังคมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ เน้นส่งเสริมการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และภาคเอกชนที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก


๒๖ ควำมสอดคล้องกับแผนปฏิรูปประเทศ การพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ชีวภาพของไทยมีความสอดคล้องกับแผนปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจและด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งแต่ละด้านมีประเด็นการปฏิรูปที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ด้ำนเศรษฐกิจ หัวข้อที่ ๑ การปฏิรูปด้านการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน หัวข้อย่อย ๑.๑ ผลิตภาพ (Productivity) เพื่อเพิ่มผลผลิตและศักยภาพในการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมหลัก และอุตสาหกรรมใหม่ที่ก าลังจะเติบโต ในประเด็นการปฏิรูปย่อยที่ ๔ อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่มีการเติบโตสูงและเป็นอุตสาหกรรมที่ส าคัญในระยะยาว ต่อเศรษฐกิจของไทยในอนาคต โดยเน้นการบูรณาการอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพร่วมกับการเกษตร และการผลิตอาหาร และการส่งเสริมการพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ นอกจากการปฏิรูปที่เฉพาะเจาะจง ด้านอุตสาหกรรมแล้ว ยังมีปัจจัยสนับสนุนขีดความสามารถในการแข่งขัน (Cross–Industry Enabler) ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประเด็นการปฏิรูปย่อยที่ ๑๐ และ ๑๑ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั งในระดับ อาชีวศึกษาและอุดมศึกษา โดยการพัฒนาระบบการศึกษาในประเทศไทยให้สร้างบุคลากรและแรงงาน ที่มีทักษะและประสบการณ์เพียงพอส าหรับการรองรับการพัฒนาของภาคอุตสาหกรรม และประเด็น การปฏิรูปย่อยที่ ๑๗ การเพิ่มระดับการแข่งขันทางธุรกิจ โดยการยกเลิกหรือทบทวนกฎหมายที่ล้าสมัย หรือเป็นอุปสรรคต่อการท าธุรกิจ และจัดท าข้อกฎหมายเฉพาะที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการแข่งขัน ทางการค้า เพื่อสนับสนุนให้เกิดการประกอบธุรกิจภายในประเทศมากขึ้นและดึงดูดธุรกิจจากต่างชาติ ให้มาลงทุนในประเทศไทย ด้ำนทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ ในประเด็น การปฏิรูปที่ ๒ ปฏิรูประบบการวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และนวัตกรรม และการเชื่อมโยงองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่น กับการก าหนดแนวนโยบายของประเทศ และการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย เพื่อความก้าวหน้าทางความรู้และเทคโนโลยี และเพื่อพัฒนาต่อยอดงานวิจัยและยกระดับผลิตภัณฑ์ บนฐานความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศให้เกิดผลผลิตอย่างเป็นรูปธรรม ประเด็นการปฏิรูปที่ ๕ ปฏิรูประบบบุคลากรด้านความหลากหลายทางชีวภาพ โดยการสร้างและพัฒนาบุคลากรในเชิง สหสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง (Multidisciplinary Science) เช่น นักชีวโมเลกุล นัก Bioinformatics นัก Bioengineering นักพันธุวิศวกรรม ด้วยการสนับสนุนทุนเล่าเรียน/ฝึกอบรม และสร้างแรงจูงใจ ในเส้นทางอาชีพ เช่น อัตราค่าตอบแทนพิเศษ และประเด็นการปฏิรูปที่ ๖ ปฏิรูประบบ กลไกรองรับ การใช้ประโยชน์และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน โดยการก าหนดนโยบายจัดซื้อ จัดจ้างภาครัฐให้สนับสนุนสินค้าและบริการที่ไม่ท าลายความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ พัฒนามาตรการจูงใจทางการคลังเพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและบริการ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ การพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทยมีความสอดคล้อง กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) ใน ๒ ยุทธศาสตร์ ซึ่งแต่ละยุทธศาสตร์มีแนวทางการพัฒนาที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ยุทธศำสตร์ที่ ๓ กำรสร้ำงควำมเข้มแข็งทำงเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่ำงยั่งยืน มีแนวทางการพัฒนาที่สอดคล้อง ได้แก่ แนวทางที่ ๒ การเสริมสร้างและพัฒนาขีดความสามารถ ในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการ โดยมุ่งเน้น (๑) การสร้างและถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิชาการ


๒๗ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการเกษตรแบบมีส่วนร่วม เพื่อสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากฐานทรัพยากรชีวภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรมีความ ปลอดภัยและตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย (๒) การพัฒนาต่อยอด ความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพปัจจุบันเพื่อยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง บนพื้นฐานของการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ชีวภาพและพลาสติก ชีวภาพ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารที่พัฒนาเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ และ (๓) การวางรากฐาน การพัฒนาอุตสาหกรรมส าหรับอนาคต โดยให้ความส าคัญกับอุตสาหกรรมพลังงานชีวภาพเพื่อสร้าง ความมั่นคงด้านพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้และสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตรและวัตถุดิบชีวมวล ยุทธศำสตร์ที่ ๔ กำรเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อกำรพัฒนำอย่ำงยั่งยืน มีแนวทางการพัฒนาที่สอดคล้อง ได้แก่ แนวทางที่ ๑ การรักษาฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติสร้างสมดุล ของการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนและเป็นธรรม โดยการส่งเสริมการใช้ประโยชน์และการสร้าง มูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรชีวภาพ และแนวทางที่ ๔ การส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้น (๑) การส่งเสริมการผลิตและการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อม โดยใช้มาตรการทางการเงินและการคลังเพื่อสนับสนุนกระบวนการผลิตให้ได้มาตรฐาน การลดมลพิษและการใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม ที่ใช้เทคโนโลยีที่สะอาด สนับสนุนการออกแบบระบบการผลิตและสร้างนวัตกรรมของสินค้าและบริการ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิพลาสติกชีวภาพ (๒) การสนับสนุนการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตภาคเกษตร ไปสู่เกษตรกรรมยั่งยืน อาทิเกษตรธรรมชาติเกษตรผสมผสาน เกษตรอินทรีย์วนเกษตร และเกษตร ทฤษฎีใหม่ สนับสนุนการพัฒนาปุ๋ยอินทรีย์การใช้วัสดุอินทรีย์และการใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพทดแทน การใช้สารเคมีการเกษตร และ (๓) การสร้างแรงจูงใจเพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนไปสู่การบริโภคที่ยั่งยืน โดยเลือกใช้มาตรการจูงใจที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ส่งเสริมให้ใช้บรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ เพื่อทดแทนการใช้พลาสติก สร้างเครือข่ายการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขยายผลการจัดซื้อจัดจ้าง สินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของภาครัฐให้ครอบคลุมถึงระดับภูมิภาคและท้องถิ่น รวมทั้งขยายประเภทของสินค้าให้มากขึ้นและให้ครอบคลุมสินค้าทางการเกษตร โดยเฉพาะสินค้าเกษตรอินทรีย์ ควำมสอดคล้องกับประเด็นเร่งด่วน ๕ ปีแรก (พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๖๕) ของยุทธศำสตร์ชำติ จากการถ่ายทอดยุทธศาสตร์ชาติทั้ง ๖ ด้านลงสู่แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ(พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) จ านวน ๒๓ ประเด็น ซึ่งจะมีผลผูกผันต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น รวมทั้งการจัดท างบประมาณรายจ่ายประจ าปีงบประมาณต้องสอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติรัฐบาลจึงก าหนดประเด็นเร่งด่วนที่ต้องด าเนินการใน ๕ ปีแรก (พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๖๕) ของยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติสามารถขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติและบรรลุ เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ในด้านต่าง ๆ ได้ส าเร็จ ประกอบด้วย ๑๕ เรื่อง ซึ่งจัดแบ่งได้เป็น ๔ กลุ่มประเด็น ได้แก่ (๑) การแก้ไขปัญหาพื้นฐานของประเทศ (๒) การดูแลยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน (๓) การรองรับการเจริญเติบโตอย่างเป็นระบบและยั่งยืน และ (๔) การสร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทยมีความสอดคล้องกับกลุ่มการดูแล ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ในประเด็นเร่งด่วนเรื่องเศรษฐกิจฐานราก ที่เน้นการพัฒนา ผู้ประกอบการเกษตรและผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรจากฐานทรัพยากรชีวภาพ และกลุ่มการสร้างรายได้ ให้กับประเทศ ในประเด็นเรื่องด่วนเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ ที่เน้นการสร้าง


๒๘ และยกระดับอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสร้างประโยชน์จากความหลากหลาย ทางชีวภาพเพื่อต่อยอดจากภาคเกษตรไทยและมุ่งสู่อุตสาหกรรมบนฐานชีวภาพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนที่เน้นการวิจัย พัฒนา และสร้างนวัตกรรม การถ่ายทอดเทคโนโลยี และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออ านวยต่อการพัฒนาของอุตสาหกรรม ควำมสอดคล้องกับนโยบำยรัฐบำลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชำ (พ.ศ. ๒๕๖๒) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๒ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง สังคมไทยมีความ สงบสุข สามัคคีและเอื้ออาทร คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและมีความพร้อมที่จะด าเนินชีวิตในศตวรรษ ที่ ๒๑ เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งและมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการดูแล ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจ ชีวภาพและการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศเป็นประเด็นหนึ่งที่รัฐบาล ให้ความส าคัญอย่างมากและบรรจุเป็นนโยบายหลัก ๑๒ ด้าน ของรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในส่วนของนโยบายที่ ๕ การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยมีนโยบาย ด าเนินการที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ พัฒนำภำคอุตสำหกรรม โดยพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจ หมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว [Bio-Circular-Green (BCG) Economy] ด้วยการน าความก้าวหน้าทาง เ ท ค โ น โ ล ยี แ ล ะ น วั ต ก ร ร ม ม า พั ฒ น า ต่ อ ย อ ด แ ล ะ ส ร้ าง มู ล ค่ า เ พิ่ ม จ า ก ท รั พ ย า ก ร ความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมในการผลิตสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม ส่งเสริมการใช้พลังงาน ทดแทน การใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาเพิ่มมูลค่า และส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับสินค้าเกษตร เพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พร้อมทั้งให้ความส าคัญกับกฎระเบียบ ทางด้านสิ่งแวดล้อมในระดับประเทศและระหว่างประเทศ พัฒนำภำคเกษตร โดยส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร ด้วยการใช้ประโยชน์ จากฐานความหลากหลายทางชีวภาพ ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่มและโอกาสทางเศรษฐกิจ อาทิเกษตรอินทรีย์เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น เกษตรปลอดภัย เกษตรชีวภาพ และเกษตรแปรรูป เพื่อต่อยอดไปสู่เกษตรอุตสาหกรรม ส่งเสริมการวิจัยพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีในการพัฒนาสินค้า เกษตรและผลิตภัณฑ์รวมทั้งส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรให้ได้คุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัย เพื่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกร พัฒนำสำธำรณูปโภคพื นฐำน โดยเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้สามารถพึ่งพา ตนเองได้ ด้วยการกระจายชนิดของเชื้อเพลิงทั้งจากฟอสซิลและจากพลังงานทดแทนอย่างเหมาะสม สนับสนุนการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนตามศักยภาพของแหล่งเชื้อเพลิงในพื้นที่ และส่งเสริม ให้มีการใช้น้ ามัน B20 และ B100 เพื่อเพิ่มการใช้น้ ามันปาล์มดิบ พัฒนำโครงสร้ำงพื นฐำนด้ำนวิทยำศำสตร์เทคโนโลยีกำรวิจัยและพัฒนำ และนวัตกรรม โดยสนับสนุนการพัฒนาโรงงาน ห้องปฏิบัติการต้นแบบที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมในระดับต้นน้ า โดยเฉพาะโรงงานและห้องปฏิบัติการน าร่องที่สามารถ ตอบสนองต่อความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้แนวคิด BCG และสนับสนุนให้เกิดการลงทุน จากภาคธุรกิจเอกชนไปพร้อมกัน


๒๙ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยพัฒนาระบบนิเวศเพื่อรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ อาทิ เศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Sharing Economy) เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจสร้างสรรค์และเศรษฐกิจวัฒนธรรม พร้อมทั้งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่ เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการยุคใหม่สามารถพัฒนาแอปพลิเคชัน นวัตกรรม สินค้าและ บ ริก า รที่หล ากหล ายเพื่อตอบสนองต่อค ว ามต้องก า รของผู้บ ริโภคแล ะค ว าม ก้ า วหน้ า ทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และก่อให้เกิด มูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม นอกจากนโยบายหลักที่เกี่ยวข้องข้างต้นแล้ว รัฐบาลได้ก าหนดนโยบายเร่งด่วน ๑๒ เรื่องที่ต้องด าเนินการ เพื่อบรรเทาปัญหาและลดผลกระทบกับประชาชนและระบบเศรษฐกิจ โดยมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ เรื่องการให้ความ ช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม โดยส่งเสริมการใช้ผลผลิตทางการเกษตรในอุตสาหกรรม พลังงาน รวมทั้งเร่งศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการใช้กัญชา กัญชง และพืชสมุนไพรในทาง การแพทย์อุตสาหกรรมทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการสร้าง รายได้ของประชาชน เรื่องการยกระดับศักยภาพของแรงงาน โดยพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้ตรงกับ ความต้องการของตลาดแรงงานอุตสาหกรรมเป้าหมาย และความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และเรื่องการวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต โดยต่อยอดอุตสาหกรรมเป้าหมาย และวางรากฐานการพัฒนาภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว นโยบำยกำรพัฒนำประเทศภำยใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภำพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG Model) นโยบายหนึ่งที่รัฐบาล ให้ความส าคัญเป็นอย่างยิ่งคือการปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยอาศัยฐานความเข้มแข็งด้านความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ส่งเสริมและพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นเจ้าของสินค้าและบริการมูลค่าสูงที่ยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่ การผลิตสินค้าและบริการ น าเทคโนโลยีนวัตกรรมดิจิทัลสมัยใหม่มาช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างยั่งยืน กระจายรายได้โอกาส และความมั่งคั่งแบบทั่วถึง (Inclusive Growth) ด้วยการใช้โมเดล เศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า “BCG Model” ซึ่งเป็นการพัฒนา ๓ เศรษฐกิจไปพร้อมกัน คือ เศรษฐกิจ ชี ว ภ าพ (Bioeconomy) เ ศ รษ ฐ กิ จ ห มุ น เ วี ย น (Circular Economy) แ ล ะ เ ศ รษ ฐ กิ จ สี เ ขี ย ว (Green Economy) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมได้จัดท าข้อเสนอ BCG in Action : The New Sustainable Growth Engine โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งมีกลไกการพัฒนา BCG ประกอบด้วย ๔ กำรขับเคลื่อน (4 Drivers) ได้แก่ ๑. การพัฒนาสาขายุทธศาสตร์BCG ได้แก่ (๑) การเกษตรและอาหาร มุ่งสู่การผลิตสินค้า เกษตรและอาหารระดับพรีเมี่ยมที่ผลิตน้อยแต่สร้างรายได้สูง รวมถึงการเพิ่มความหลากหลายของสินค้า เกษตรเศรษฐกิจ (๒) สุขภาพและการแพทย์พลังงาน มุ่งเน้นการสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ทางด้านการผลิตยาและชีวเภสัชภัณฑ์อุปกรณ์ทางการแพทย์และวัสดุฝังในร่างกาย ปรับเปลี่ยนรูปแบบ การรักษาไปสู่การแพทย์แม่นย า การเป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านสุขภาพและการวิจัยด้านคลินิกชั้นน า ของโลก (๓) วัสดุและเคมีชีวภาพ มุ่งเน้นการเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานและการต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ เคมีและวัสดุชีวภาพมูลค่าสูง และ (๔) การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์มุ่งพัฒนาสู่การท่องเที่ยว


๓๐ ที่ยั่งยืนด้วยการใช้จุดแข็งของพื้นที่มาสร้างอัตลักษณ์ของตนเอง ควบคู่กับการบริหารจัดการ ที่มีประสิทธิภาพสูงและการต่อยอดผลิตภัณฑ์และบริการให้มีมูลค่าที่สูงขึ้น ๒. การเตรียมก้าลังคน ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ประกอบการ BCG ประกอบด้วย ๖ กลุ่ม คื อ (๑) ก ลุ่ ม Startups (๒) ก ลุ่ ม ผู้ ป ร ะ ก อ บ ก า ร เ ชิง น วั ต ก ร ร ม (๓) ก ลุ่ ม Smart Farmers (๔) กลุ่มผู้ให้บริการมูลค่าสูง (๕) กลุ่มผู้พัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง และ (๖) กลุ่มผู้ประกอบการสร้างสรรค์ ๓. การพัฒนาเชิงพื นที่BCG มุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถในระดับภูมิภาค ประกอบด้วย (๑) ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC) เน้นการพัฒนาระบบการเกษตรปลอดภัย (๒) ระเบียงเศรษฐกิจ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (NEEC) เน้นแก้ไขปัญหาสุขภาพหลักของประชากรในพื้นที่ (๓) ระเบียง เศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เน้นการพัฒนาผลผลิตการเกษตรโดยเฉพาะกลุ่มไม้ผล และ (๔) ระเบียง เศรษฐกิจภาคใต้(SEC) เน้นการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ าด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ๔. การพัฒนาเทคโนโลยีและองค์ความรู้ขั นแนวหน้า BCG เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคง และยั่งยืน เช่น เทคโนโลยีโอมิกส์(OMICs) เทคโนโลยีดิจิทัลแพลตฟอร์มขั้นสูง เทคโนโลยีการผลิต แบบคาร์บอนต่ า (Decarbonization) วิศวกรรมกระบวนการทางชีวภาพ (Bioprocess Engineering) ๔ กำรส่งเสริม (๔ Enablers) ได้แก่ ๑. กฎหมาย กฎระเบียบ ที่เกี่ยวข้องกับ BCG โดยการปลดล็อคข้อจ ากัดทางกฎหมาย และกฎระเบียบต่าง ๆ ให้เอื้ออ านวยต่อการพัฒนา BCG ๒. โครงสร้างพื นฐานส้าคัญและสิ่งอ้านวยความสะดวกสนับสนุน BCG เช่น โรงงานสาธิต โรงงานต้นแบบระดับขยายขนาด (Pilot Plant) ธนาคารทรัพยากรชีวภาพ (Biobank) ๓. การยกระดับความสามารถของก้าลังคน BCG ด้วยการพัฒนาบุคลากรวิชาชีพเฉพาะ เช่น นักอนุกรมวิธาน (Taxonomist) การปรับปรุงหรือเพิ่มหลักสูตรที่เกี่ยวข้องรองรับการเปลี่ยนแปลง ของโลก เช่น System Biology, Bioinformatics, Life Science ๔. การยกระดับเครือข่ายพันธมิตรต่างประเทศ BCG ด้วยการสร้างความร่วมมือกับองค์กร ระหว่างประเทศ สถาบันการศึกษา สถาบันการวิจัย และบริษัทเทคโนโลยีดิจิทัลชั้นน าของโลก เพื่อเลือกรับ พัฒนาต่อยอด ดึงความร่วมมือ การลงทุน และปรับใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยี ให้เหมาะสมกับบริบทของไทย กรอบนโยบำยกำรพัฒนำเทคโนโลยีชีวภำพของประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) ส านักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ(สวทน.) หรือปัจจุบัน คือ ส านักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ(สอวช.) รวมกับศูนย พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแหงชาติส านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดท ากรอบนโยบายการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพของประเทศไทย(พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๔) เพื่อเรงรัด การพัฒนาความสามารถด้านเทคโนโลยีชีวภาพของประเทศไทยใหเพิ่มขึ้น โดยกรอบนโยบายดังกล่าว มีเปาหมายเพื่อ (๑) เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในสาขาที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบหรือมี ศักยภ าพสูง (๒) ยกระดับร ายได้ของประช าชน (๓) ยกระดับคุณภ าพชีวิตของประช าชน (๔) มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และ (๕) สร้างความมั่นคงของประเทศ โดยเน้นการพัฒนาในสาขายุทธศาตร์ ๔ สาขา ซึ่งแต่ละสาขามีเป้าหมายและทิศทางการพัฒนา ดังนี้ สำขำกำรเกษตรและอำหำร มีเป้าหมายหลักในการยกระดับความสามารถในการแขงขัน และเสริมสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกรอย่างยั่งยืนโดยใช้วิทยาการด้านเทคโนโลยชีวภาพ


๓๑ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพผลผลิต พัฒนานวัตกรรมด้านเกษตรและอาหาร และรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก โดยประยุกต์ใชเทคโนโลยีจีโนม พันธุวิศวกรรม ใช้เซลล์เป็นเสมือนโรงงาน ร่วมกับเทคโนโลยีในสาขาอื่น ๆ เช่น การปรับปรุงพันธุ์แบบเดิม และพันธุวิศวกรรมเพื่อการพัฒนาใน ๓ ด้าน ได้แก่ (๑) ปรับปรุงพันธุ์พืช-สัตว์(๒) พัฒนาปัจจัยการผลิต และ (๓) สร้างมูลค่าเพิ่ม สำขำกำรแพทย์และสุขภำพ มีเป้าหมายหลักในการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีเพิ่มการพึ่งพาตนเอง และสร้างความสามารถในการแข่งขันในสาขาที่มีศักยภาพโดยใช้วิทยาการด้านเทคโนโลยีชีวภาพ โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีจีโนม เทคโนโลยีจีเอ็ม เทคโนโลยีชีววิทยาในระดับโมเลกุล เทคโนโลยีวิเคราะห์ ทดสอบและการสังเคราะห์สารส าคัญ และเทคโนโลยีการผลิตในระดับอุตสาหกรรมใน ๔ สาขา ได้แก่ (๑) ชุดตรวจทางการแพทย์(๒) เภสัชภัณฑ์(๓) วัคซีน และ (๔) อาหารเสริมสุขภาพ สำขำพลังงำนชีวภำพ มีเป้าหมายหลักในการเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานด้วยการใช้ เทคโนโลยีชีวภาพ พัฒนาพลังงานทดแทนที่ไม่ก่อปัญหาการแย่งชิงพืชอาหารโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีจีโนม สรีรวิทยาของจุลินทรีย์เทคโนโลยีจีเอ็ม เทคโนโลยีการคัดกรองแบบรวดเร็วและแม่นย าสูง เทคโนโลยี การหมักและเทคโนโลยีการผลิตในระดับอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาพลังงานชีวภาพ ใน ๓ สาขา ได้แก่ (๑) ก๊าซชีวภาพจากน้ าเสียและของเสีย (๒) เอทานอลจากวัสดุเซลลูโลสิก และ (๓) ไบโอดีเซลจากสาหร่าย สำขำอุตสำหกรรมชีวภำพ มีเป้าหมายหลักในการพัฒนาความสามารถของอุตสาหกรรม ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพ พัฒนากระบวนการผลิตและสร้างนวัตกรรมที่ประเทศไทย มีความได้เปรียบ โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีจีโนม พันธุวิศวกรรม เทคโนโลยีการหมัก และเทคโนโลยี การผลิตในระดับอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาทางชีวภาพ ค้นหาสายพันธุ์ปรับปรุงสายพันธุ์ จุลินทรีย์ให้มีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งยกระดับความสามารถในการผลิตระดับอุตสาหกรรม โดยการน าเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศเพื่อให้เกิดการก้าวกระโดดของความสามารถด้านเทคโนโลยี การหมักของประเทศ กรอบยุทธศำสตร์กำรพัฒนำเศรษฐกิจจำกฐำนชีวภำพ ระยะ ๒๐ ปีพ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙ ส านักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) ได้จัดท ากรอบยุทธศาสตร์การพัฒนา เศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ ระยะ ๒๐ ปีพ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๗๙ ซึ่งผ่านการรับฟังความเห็นจากหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารส านักงานพัฒนาเศรษฐกิจ จากฐานชีวภาพ ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๖๐ วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ เพื่อใช้เป็นแนวทาง การด าเนินงานและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ (๑) ยกระดับความสามารถทางการแข่งขันการพัฒนาเศรษฐกิจจากความ หลากหลายทางชีวภาพเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน (๒) น าองค์ความรู้และฐานข้อมูลด้านความหลากหลาย ทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และ (๓) น ากลไกประชารัฐมาใช้ ในการสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อความหลากหลายทางชีวภาพโดยใช้กลไก ประชารัฐ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์หลัก ซึ่งแต่ละยุทธศาสตร์มีกลยุทธ์การพัฒนา ดังนี้ ยุทธศำสตร์ที่ ๑ สร้ำงควำมเข้มแข็งให้เศรษฐกิจชุมชนและภำคธุรกิจบนฐำนกำรใช้ประโยชน์ และอนุรักษ์ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพอย่ำงยั่งยืน โดยการสนับสนุนให้มีศูนย์รวบรวมองค์ความรู้ และมีกิจกรรมสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ


๓๒ เสริมสร้างสมรรถนะในการพึ่งพาตนเองของชุมชน สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากความหลากหลาย ทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาวิจัยด้านความหลากหลาย ทางชีวภาพ ยุทธศำสตร์ที่ ๒ จัดท ำฐำนข้อมูลและองค์ควำมรู้ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ เพื่อกำรปกป้อง คุ้มครอง อนุรักษ์และกำรใช้ประโยชน์เชิงพำณิชย์โดยการจัดท าคลังข้อมูล (web portal) ด้านความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง พัฒนาและส่งเสริม การเข้าถึงข้อมูล พัฒนารูปแบบและกลไกเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูล ส่งเสริมและสนับสนุน การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ประสานและอ านวยการให้เกิดการจัดตั้งธนาคารความหลากหลายทาง ชีวภาพแห่งชาติ ยุทธศำสตร์ที่ ๓ ส่งเสริมและสนับสนุนกำรมีส่วนร่วมกับภำคส่วนต่ำง ๆ ในกำรอนุรักษ์ และใช้ประโยชน์ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ โดยการสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาความเข้มแข็ง ของเครือข่ายความร่วมมือและพัฒนากลไกการใช้ประโยชน์ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และฟื้นฟู ความหลากหลายทางชีวภาพ แผนพัฒนำพลังงำนทดแทนและพลังงำนทำงเลือก (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙) กระทรวงพลังงาน ได้จัดท าแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙) (Alternative Energy Development Plan : AEDP2015) ซึ่งผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภูมิภาคต่าง ๆ ได้แก่ ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(จังหวัดขอนแก่น) และภาคใต้(จังหวัดสุราษฎร์ธานี) รวมถึงส่วนกลาง (กรุงเทพมหานคร) โดยแผนพัฒนาดังกล่าวมีวิสัยทัศน์“ส่งเสริมและขับเคลื่อนพลังงาน ทดแทนเพื่อน าพาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน” ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์หลัก ซึ่งแต่ละยุทธศาสตร์ มีเป้าประสงค์และกลยุทธ์การพัฒนา ดังนี้ ยุทธศำสตร์ที่ ๑ กำรเตรียมควำมพร้อมด้ำนวัตถุดิบและเทคโนโลยีพลังงำนทดแทน มีเป้าประสงค์ในการพัฒนาความสามารถในการผลิต บริหารจัดการวัตถุดิบด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม โดยการพัฒนาวัตถุดิบทางเลือกอื่นและพื้นที่ที่มีศักยภาพเพื่อผลิตพลังงานทดแทน พัฒนารูปแบบ การบริหารจัดการและการใช้วัตถุดิบพลังงานทดแทนให้มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยี ให้ที่เหมาะสมกับความสามารถการผลิตและการใช้พลังงานทดแทน และปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการผลิตการใช้พลังงานทดแทนอย่างเหมาะสม ยุทธศำสตร์ที่ ๒ กำรเพิ่มศักยภำพกำรผลิต กำรใช้และตลำดพลังงำนทดแทน มีเป้าประสงค์ในการผลักดันความสามารถในการผลิตและความต้องการพลังงานทดแทน โดยการสนับสนุน ครัวเรือนและชุมชนให้มีส่วนร่วมในการผลิตการใช้พลังงานทดแทน ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนด้านพลังงาน ทดแทนอย่างเหมาะสมแก่ผู้ผลิตและผู้ใช้ทั้งในและต่างประเทศ ส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจพลังงานทดแทน และพัฒนากฎหมายด้านพลังงานทดแทน พร้อมทั้งเร่งรัด การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมการพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างเหมาะสม ยุทธศำสตร์ที่ ๓ กำรสร้ำงจิตส ำนึกและเข้ำถึงองค์ควำมรู้ข้อเท็จจริงด้ำนพลังงำน ทดแทน มีเป้าประสงค์ในการสร้างความตระหนักและความรู้ความเข้าใจต่อการผลิต การใช้พลังงาน ทดแทนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อบริหารจัดการฐานข้อมูล ด้านพลังงานทดแทน เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้และข้อมูลสถิติพลังงานทดแทน พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจด้านพลังงานทดแทน เพื่อสร้างความสามารถในการใช้ประโยชน์


๓๓ จากพลังงานทดแทนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติและพัฒนาเครือข่ายด้านพลังงานทดแทนที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของเครือข่ายทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ มำตรกำรพัฒนำอุตสำหกรรมชีวภำพของไทย ปีพ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยส านักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้จัดท ามาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปีพ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐ เพื่อวางแนวทางการพัฒนาให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้น าในอุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio Hub) อย่างครบวงจรในอาเซียน โดยอาศัยฐานความหลากหลายทางชีวภาพมาผลิตเป็นสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง ตอบสนองกระแสและแนวโน้มการผลิตสินค้าของโลกที่ให้ความส าคัญด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา อย่างยั่งยืน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑ รับทราบมาตรการดังกล่าว และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งด าเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมาตรการพัฒนา อุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปีพ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐ มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป้าหมาย ๓ กลุ่มหลัก ไ ด้ แ ก่ พ ล า ส ติ ก ชี ว ภ า พ (Bioplastic) เ ค มี ชี ว ภ าพ (Bio chemicals) แ ล ะ ชี ว เ ภ สั ช ภั ณ ฑ์ (Biopharmaceuticals) ประกอบด้วย ๔ มาตรการย่อย ได้แก่ ๑. มาตรการขจัดอุปสรรคการลงทุนและสร้างปัจจัยสนับสนุน ซึ่งเป็นมาตรการที่จะต้อง เร่งด าเนินการ เพื่อสร้างปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยสนับสนุนให้อุตสาหกรรมชีวภาพเกิดขึ้นได้ และมีการพัฒนาเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ขจัดปัญหาอุปสรรคของการเกิดและพัฒนาอุตสาหกรรม ชีวภาพ โดยการพิจารณาทบทวนปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรค และการสร้าง ปัจจัยสนับสนุนที่จ าเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม ๒. มาตรการเร่งรัดการลงทุนภายในประเทศ โดยในระยะแรกจะผลักดันภาคเอกชนที่เป็น กลไกหลักในการขับเคลื่อนการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศ ในเขตพื้นที่ศักยภาพ ๓ เขต ได้แก่ เขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง และเขตพื้นที่ภาคอีสาน ตอนกลาง รวมถึงโครงการอื่น ๆ ภายใต้Bioeconomy ๓. มาตรการกระตุ้นอุปสงค์เป็นกลไกส าคัญส าหรับอุตสาหกรรมชีวภาพ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรม ใหม่ ที่จะมีบทบาทส าคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต ซึ่งในระยะแรกจะเป็นการ กระตุ้นตลาดภายใน สร้างการรับรู้ให้ผู้ใช้และสร้างทักษะให้ผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้า เพื่อตอบสนอง ความต้องการตลาดภายในประเทศ โดยจะผลักดันให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่หลากหลาย เกิดการน าสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพของประเทศ เช่น มันส าปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ ามัน มาสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพยังตอบสนองกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจสีเขียวที่เริ่มเป็นกติกาสากล ผ่านการด าเนินการที่ส าคัญ เช่น การประกาศใช้มาตรการ การเงินการคลังเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมชีวภาพตามความเหมาะสม การจัดท าข้อตกลง (MOU) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อก าหนดมาตรการในการส่งเสริมการใช้พลาสติกชีวภาพเพื่อลดปัญหามลพิษ ด้านสิ่งแวดล้อมในทุกภาคส่วน โดยเน้นเรื่องการให้องค์ความรู้สร้างความรู้ความเข้าใจในการเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การสร้างตราสัญลักษณ์Bio label ส าหรับผลิตภัณฑ์ชีวภาพ และการออกมาตรฐานเกี่ยวกับพลาสติกชีวภาพและผลิตภัณฑ์ชีวภาพเพิ่มขึ้น ๔. มาตรการสร้างเครือข่ายในรูปแบบของศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านชีวภาพ (Center of Bio Excellence : CoBE) โดยให้สถาบันพลาสติกเป็นหน่วยงานกลางท าหน้าที่ประสานเชื่อมโยง เตรียมความพร้อม และบริหารงานวิจัย/เทคโนโลยี/นวัตกรรมด้านชีวภาพเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจชีวภาพ โดยมีภารกิจหลัก ๔ ด้าน คือ (๑) สร้างเครือข่ายเชื่อมโยงงานวิจัยสู่ภาคอุตสาหกรรม


๓๔ และให้การรับรองผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (๒) เชื่อมโยงงานวิจัย ให้ค าปรึกษา สนับสนุนเงินทุนในการยกระดับ สถานประกอบการชีวภาพ สร้าง Prototypes ที่ตลาดสนใจและผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพสู่ตลาด รวมถึงการบริหารทรัพย์สินทางปัญญา (๓) สร้างผู้ประกอบการด้าน Bio Industry และสร้างบุคลากร ในอุตสาหกรรมชีวภาพให้เพียงพอต่อความต้องการในภาคอุตสาหกรรม และ (๔) พัฒนาศูนย์ข้อมูล อัจฉริยะอุตสาหกรรมชีวภาพ เพื่อเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงข้อมูลเชิงลึกให้ผู้ประกอบการและผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค สามารถน าไปพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพได้อย่างเป็นระบบและครบทุกมิติ จากการทบทวนกรอบนโยบาย ยุทธศาสตร์แผน และมาตรการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม เศรษฐกิจชีวภาพของไทย จะเห็นว่า หลายหน่วยงานมีความเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประเทศสู่เศรษฐกิจ ชีวภาพ ซึ่งแม้ว่าในภาพรวมกรอบนโยบายของหน่วยงานดังกล่าวจะมีความสอดคล้องไปในทิศทาง เดียวกันกับยุทธศาสตร์ชาติ แต่หากพิจารณาในแง่ของการด าเนินงาน ถือว่ายังขาดการประสานงาน และบูรณาการการท างานร่วมกันอย่างชัดเจน รวมทั้งขาดหน่วยงานกลางที่ก ากับดูแลและเชื่อมโยง การขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศตลอดห่วงโซ่มูลค่าให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ อย่างจริงจัง เนื่องจากเศรษฐกิจชีวภาพมีความเกี่ยวโยงกับหลายสาขาทั้งเกษตรอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมวัสดุและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมยาและวัคซีน ธุรกิจการแพทย์ และสาธารณสุข ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ แต่หน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่ มักจะเน้นการท างานตามบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบหลัก (Functional-based) เช่น กระทรวง เกษตรและสหกรณ์มุ่งพัฒนาเกษตรชีวภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร กระทรวงพลังงาน มุ่งสนับสนุนการผลิตและการใช้พลังงานชีวภาพเป็นพลังงานทดแทน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมมุ่งส่งเสริมการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อสร้างนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมุ่งอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและใช้ประโยชน์ จากความหลากหลายทางชีวภาพ กระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ อุตสาหกรรมชีวภาพและส่งเสริมการประกอบกิจการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาหลายฝ่ายได้มีความพยายามในการประสานการท างานร่วมกันผ่านข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เช่น การจัดท าข้อตกลงความร่วมมือสร้างเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ระหว่างกระทรวง อุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาและวิจัย รวมทั้งสิ้น ๒๓ หน่วยงาน เพื่อเป็นจุดเริ่มต้น ในการขับเคลื่อนการลงทุนด้านเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทย สถำนกำรณ์อุตสำหกรรมเศรษฐกิจชีวภำพของไทยในปัจจุบัน ส าหรับประเทศไทย การพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพถือว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ก็มีโอกาสในการพัฒนาสูง เนื่องจากไทยมีฐานทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลายที่เป็นทุนพื้นฐาน และเป็นประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออก สินค้าเกษตรอันดับต้น ๆ ของโลก เป็นผู้ส่งออกมันส าปะหลังและยางพาราอันดับ ๑ ผู้ส่งออกข้าว และน้ าตาลทรายอันดับ ๒ ผู้ผลิตน้ ามันปาล์มอันดับ ๓ ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศ อย่างไรก็ดีสินค้าเกษตร ที่ไทยผลิตและส่งออกส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์แปรรูปขั้นต้นที่มีมูลค่าเพิ่มไม่สูงมากนัก สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้น้อยซึ่งจะเห็นได้จากสัดส่วนมูลค่าสินค้าเกษตรในภาพรวม ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยที่อยู่ในระดับร้อยละ ๘-๑๒ มาเป็นระยะเวลานานกว่า ๒๐ ปี(แผนภาพที่ ๓-๒) และมักประสบปัญหาความผันผวนของราคาค่อนข้างสูง (แผนภาพที่ ๓-๓) ซึ่งเทคโนโลยีชีวภาพจะเป็นเครื่องมือส าคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกร


Click to View FlipBook Version